PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : Heated ทีมเดือดมหาประลัย



Alathreon
4th May 2012, 20:15
Heated ทีมเดือดมหาประลัย / Written by: Raiden & Alathreon / Story by:Alathreon
Action, War, Drama

กองกำลังรับจ้างที่ทำงานให้กับผู้ว่าจ้างที่ตอบแทนโดย ค่าจ้างจำนวนมาก ไม่ว่าภารกิจนั้นจะยากเย็นแค่ไหน จะหินแค่ไหน พวกเขาจะฝ่าฟันไปให้ถึงจุดหมายจนได้ในที่สุด
สงครามเป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาจากลามา ชีวิตใหม่ ภารกิจใหม่ ตัวตนใหม่ คือปัจจุบันของพวกเขา และนี่คือ PMC...

ตอนที่ 4 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503#8)
ตอนที่ 5 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503#10)
ตอนที่ 6 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503#14)
ตอนที่ 7 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503#15)
ตอนที่ 8 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503#16)
ตอนที่ 9 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503#17)
ตอนที่ 10 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503#18)
ตอนที่ 11 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503#19)
ตอนที่ 12 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503#20)
ตอนที่ 13 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503#21)
ตอนที่ 14 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503#23)
ตอนที่ 15 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503#24)
ตอนที่ 16 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503&page=2#26)
ตอนที่ 17 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503&page=2#27)
ตอนที่ 18 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503&page=2#28)
ตอนที่ 19 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503&page=2#29)
ตอนที่ 20 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503&page=2#31)
ตอนที่ 21 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503&page=2#35)
ตอนที่ 22 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503&page=2#36)
ตอนที่ 23 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503&page=2#37)
ตอนที่ 24 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503&page=2#38)
ตอนที่ 25 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=89503&page=2#39)

*รับสมัครตัวละครแล้วครับ

ภารกิจที่ 001: Recruit
ช่วงเวลาอาทิตย์ลาลับที่มืดมัวเต็มไปด้วยท้องฟ้าอันมืดมิดของเมืองแมนแฮทตัน ฝนที่โปรยปรายลงมาไม่มีทีท่าจะหยุดลงผู้คนมากหน้าหลายตาเดินว่อนไปมาพร้อมร่มคู่ใจ แต่ยังมีชายคน
หนึ่งที่ไม่ได้ถือร่ม สะพายกระเป๋าเป้ทหาร เขาเดินไปตามทางเดินเรียบถนนอย่างมีจุดหมายแน่วแน่ ตึกที่สูงตระหง่ำนข้ามไป 2 ช่วงตึกคือเป้าหมายของเขามันคือที่ตั้งของ บริษัททางด้านความ
ปลอดภัยและยุทธวิธีชั้นนำของโลก หรือในนาม “Azure Wolf PMC” เกวริล เดมอนเชฟ ชายเต็มตัวสายเลือดรัสเซีย นักฆ่าในคราบสเปซีอาลโนโวหรือชื่อที่คุ้นหูนักหนาคือ
หน่วยปฏิบัติการพิเศษสเปซนาซ กลุ่มนักรบมือสังหารอันเลือดเย็นดั่งอากาศที่หนาวยะเยือกของรัสเซีย แต่เปล่าเลยเวลานี้ เกวริล ลาออกจากกองกำลังแล้ว
และกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ของกรเป็นทหารรับจ้างที่ช่ำชอง
“สวัสดีครับ...”
สำเนียงที่ไม่คุ้นหูของเกวริลทำให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทละสายตาจากเอกสารมาจับจ้องที่เขา สายตาของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับสูงคอยจับตามองเกวริลอย่างไม่ละสายตา มือขวาของแต่ละคนปลดเซฟปืนพกที่เอวไว้เรียบร้อย ไม่แปลกที่จะมีคนอเมริกันจำนวนมากที่ยังคงหวาดระแวงชาวรัสเซียเหมือนที่ชาวรัสเซียมักจับจ้องชาวอเมริกันเป็นสายลับ
“มีอะไรให้ช่วยค่ะ? คุณ...” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ปริปากอย่างนอบน้อม
“เกวริลครับ...เกวริล เดมอนเชฟ” เกวริลตอบกลับอย่างมีมารยาท
“ค่ะคุณเกวริล ต้องการติดต่อแผนกไหนค่ะ?” หญิงสาวถามพร้อมชี้ไปที่แผนผังของตึกซึ่งระบุแผนกไว้อย่างเรียบร้อย
“แผนก...ความปลอดภัยและยุทธวิธีพิเศษครับ” เกวริลส่งยิ้มให้สาวประชาสัมพันธ์
“ค่ะ เชิญตามเจ้าหน้าที่ไปทางด้านขวามือของคุณเลยนะค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มกลับขณะส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่นำเกวริลเข้าสู่ลิฟต์
“ทางนี้ครับคุณ” เจ้าหน้าความปลอดภัยนำทางเกวริลเข้าสู่ลิฟต์
“ผมจะส่งคุณไปที่ชั้น 32 นะครับ” เจ้าหน้าที่กดปุ่มลิฟต์จากด้านนอก ลิฟต์ปิดตัวลงขณะที่เกวริลยืนอยู่เพียงลำพังในลิฟต์ขนาดใหญ่ “ปิ๊ง...ป่อง” เสียงสัญญาณลิฟต์ดังขึ้นเบาๆ
ขณะที่เขาเตรียมตัวจะก้าวออกจากตัวลิฟต์นั้นเสียงตะโกนดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เอามือวางไปบนหัวเดี๋ยวนี้!” กลุ่มทหารในชุดสีน้ำเงินเข้มอาวุธครบมือประทับบ่าเล็งเป้าไปที่เกวริลอย่างดุดัน “ชั้นบอกว่าให้เอามือวางไปบนหัว!” เขาตะโกนขึ้นอีกครั้ง เลเซอร์ชี้เป้าหลายตัว
จับจี้ไปที่จุดสังหารของเกวริล
“โอเคๆ...ที่นี่เขาต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบนี้หรือไง” เกวริลยกมือวางไว้บนหัวตามคำสั่งของกลุ่มติดอาวุธ“ในกระเป๋ามีแต่กระเป๋าเงินน่ะ ไม่มีอาวุธหรอกน่า ผมเดินผ่านเครื่องตัวโลหะมาแล้ว” เกวริลกล่าวขณะที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งค้นตัวเขา
“ไม่มีอาวุธครับ” เขาขานตอบให้เจ้าหน้าที่อีกคนทราบ “เราคุมเป้าหมายไว้แล้ว...กำลังจะพาไปที่ห้อง” กลุ่มทหารในชุดน้ำเงินควบคุมตัวเกวริลเดินผ่านห้องโถงกว้างๆ ที่เป็นสำนักงาน
ทั้งพนักงานบัญชีและเจ้าหน้าที่ทหารต่างจับจ้องเขาราวกับเป็นตัวประหลาด พวกเขามาถึงห้องๆหนึ่ง ฝนหยุดตกแล้ว ประตูกระจกบานใหญ่ถูกเปิดออก
“คุณครอสครับ…นี่คือเกวริล เดมอนเชฟ” หนึ่งในทหารชุดน้ำเงินกล่าวกับชายอังกฤษในชุดสูทที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตำแหน่ง CEO เกวริลมองสำรวจในห้องมีคนอยู่อีก 4 คน มีชาย 2 นั่งบนโซฟามองสำรวจเกวริล คนนึงน่าจะเป็นคนอเมริกัน อีกคนเป็นบราซิล ที่มุมห้องมีสาวลูกครึ่งเอเชียนั่งอยู่ กับโต๊ะเอกสาร น่าจะเป็นเลขา ส่วนคนสุดท้ายสวมหน้ากากสีดำ
“ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรกับพวกคุณนะ” เกวริลกล่าวกับชายอังกฤษที่เป็น CEO
“งั้นนายมาทำอะไรกันล่ะ พวกรัสเซียที่ชั้นพบล่าสุดพยายามฆ่าทีมของชั้น” เขายักไหล่ทั้งสองข้าง
“ผมมาสมัคร…เป็นเจ้าหน้าที่ทหารของที่นี่”
ชายใส่สูทยืนขึ้นเดินไปทางชายที่สวมหน้ากากสีดำแล้วกล่าวเบาๆ “ลองดูซิ” ชายสวมหน้ากากพยักหน้า แล้วเขาก็ควัก M1911 สีดำด้านออกมาจากเสื้อโค้ท จ่อมันไปที่หัวของเกวริล
“…นี่…” เกวริลเอ่ยออกมาเรียบๆ ชายสวมหน้ากากกำลังจะลั่นไก เกวริลออกแรงแขนทั้งหมดสะบัดตัวเองออกจากกลุ่มทหาร แล้วพุ่งไปกระแทกและปลดอาวุธชายสวมหน้ากากอย่างรวดเร็ว แล้วเล็งไปที่ชายใส่สูททันที “เฮ้ย…ไอ้รัสเซีย!!! ” ทหารชุดน้ำเงินเดือดขึ้นมา เล็งปืนไปทางเกวริลทันที แต่เกวริลกลับเหยียดแขนตึง มือจับปืนกระชับ ปลดเซฟพร้อมยิง ไม่มีความลังเลที่จะ
เหนี่ยวไก สถานการณ์ภายในห้องเริ่มตึงเครียด…...
“แปะ…แปะ…แปะ” เสียงตบมือเบาๆดังขึ้น ชายในสูทยิ้มอย่างพอใจ
“ชั้นชื่อแดเนียล ครอส และชั้นคิดว่าในโลกของทหารรับจ้าง มีคน 2 ประเภท พวกมีกึ๋น กับ พวกไม่มีกึ๋น..” เขาเดินเข้ามาหาเกวริล “และชั้นก็รู้ดีว่านายเป็นพวกมีกึ๋น”
“พวกนายออกไปได้แล้ว” ครอสกล่างกับกลุ่มทหารชุดน้ำเงิน พวกเขาวันทยาหัตกลับมาแล้วทยอยเดินออกไป หนึ่งในนั้นเดินนำกระเป๋าของเกวริลไปให้สาวเอเชียอย่างรู้งานเธอ
มองหน้าเกวริลราวกับขออนุญาตแล้วจึงค้นกระเป๋าในนั้นมีแฟ้มเอกสารกับกระเป๋าเงินเก่าๆ
สาวลูกครึ่งที่โต๊ะมุมห้องยืนขึ้นพร้อมกับแฟ้มนั้นในมือ เดินเข้ามาแล้วเปิดพินิจพิเคราะห์มัน “สเปซนาซ เชี่ยวชาญทุกอย่างโดยเฉพาะการฆ่า ประวัติยอดเยี่ยม ไม่เคยขึ้นศาลทหาร …..โสด” เธอหันไปทางครอส “ครอส ชั้นว่า คนแบบนี้ นับวันยิ่งหายากนะ รับๆเขาไว้เถอะ”
“มาริ!! เธอเป็นเลขา ไม่ต้องมายุ่งหรอกน่า”
“ไม่มีชั้นซักคน นายก็ทำอะไรไม่ได้หรอก” เธอยิ้มให้เกวริลแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ ครอสแสดงอาการหน่ายๆ “พวกนายว่าไง”ครอสเอ่ยถาม ชายสองคนบนโซฟา
“ไม่เลว…” ชายอเมริกันพูดขึ้น
“ชั้นชอบคนรัสเซีย” ชายบราซิลกล่าวห้วนๆ ส่วนชายสวมหน้ากากไม่ได้กล่าวอะไร
“โอเค เกวริล….”
“เกรฟ! ใช่!!! ต่อจากนี้ไปโค้ดของนายชื่อ เกรฟ!!! ” มาริตะโกนแทรกขึ้นมา
“นั่นเป็นโค้ดเนม…เฮ้อ ยัยนี่…ช่างมันเถอะ เกรฟ ตอนนี้นายเป็นสมาชิกของ Azure Wolf แล้ว” ครอสยื่นกุญแจห้องให้ “ที่พักอยู่ชั้น 30 รีบๆไปนอนซะ”
เกรฟลดปืนลง พยายามครุ่นคิดว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น “อะไรกันวะเนี่ย…” เขาพึมพำเบาๆกับตัวเอง
“เอาปืนคืนให้เบรินซะ แล้วเอากุญแจห้องนี่ไป ก่อนที่ชั้นจะเปลี่ยนใจ” เกรฟจำต้องทำตาม ชายสวมหน้ากากรับปืนคืนไป เกรฟมั่นใจว่าชายคนนี้ต้องอ่อนให้เขาตอนปลดดอาวุธแน่ๆ
“ชั้นต้องทำยังไงต่อ” เกรฟกำกุญแจไว้ในมือ
“ไปเก็บของที่ห้อง แล้วพักผ่อนซะ…..เรามีงานต้องทำพรุ่งนี้” ครอสเดินออกจากห้อง“มาริ ฝากงานที่เหลือด้วยนะ!!”

______________________________

ภารกิจที่ 002: Warm up
ชีวิตใหม่ของเกรฟ หรือ เกวริล เดมอนเชฟ อดีตสเปซนาซมือดีที่ตอนนี้กลายเป็นหนึ่งใน Azure Wolf PMC หนึ่งในบริษัทชั้นนำระดับโลก เขาเข้าใจดีถึงความแตกต่างระหว่างการทำงานให้กับรัฐบาลกับบริษัทธุรกิจ ทันทีที่ครอสยื่นกุญแจดอกนั้นให้ คำว่าศีลธรรมหรือความถูกต้องก็คงหมดความหมายไป แต่สำหรับชีวิตของทหารคนนึงแล้ว มันคงไม่ยากเท่าไหร่ รถเอสยูวีจอดหน้าตึกหน้าสนามบิน เสียงจอกแจกจอแจช่วยดึงเกรฟอออกจากภวังค์ แสงแดดจ้าของช่วงเที่ยงวัน ส่องสว่างผ่านกระจกรถเข้ามาแยงตาของเกรฟ บรรยากาศอันมืดมิดของห่าฝนเมื่อวานนี้ไม่มีหลงเหลืออยู่เลย มันช่างแตกต่างจากที่ที่เขาจากมากเหลือเกิน…ผู้โดยสารในรถมี 6 คน…เกรฟ ,ครอส ที่มาริสั่งให้เรียกว่า แวนดอล ,เจซซิก้า มาริ แคมป์ สาวลูกครึ่งที่ทุกคนชอบเรียกด้วยชื่อกลาง ,โคลบี้ สจ๊วต หรือโคโลเนล หนุ่มอเมริกันผู้เฉื่อยชาซึ่งเป็นพลซุ่มยิง,เบริน ชายสวมหน้ากากที่มาริกล่าวว่าเค้าไม่อยากให้ใครรู้ประวัติของเขา และสุดท้าย ราฟาเอล คอสต้า หรือ แรปป้า หนุ่มบราซิลหน้าตาใจดีซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเกรฟ
“ระวังจะหลงล่ะ ฮ่ะๆ” แรปป้ากล่าวยิ้มๆให้เกรฟ เขายิ้มกลับ แล้วออกจากรถตามคนที่เหลือออกไป ตอนนี้สนามบินมีผู้คนมากมายเหลือเกิน แวนดอลเดินนำทุกคนเข้าไปในตึกสนามบิน ภายในตึกสนามบินมีกลุ่มคนสวมสูทอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ พวกเขายืนล้อมชายวัยสี่สิบต้นๆคนนึงอยู่
“ว่าไง…แวนดอล เจ้าหนุ่มตัวร้ายของชั้น” ไมเคิล เจค๊อบ ประธานกรรมการของ เจค๊อบ อินดัสทรี่ บริษัทเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคที่เป็นบริษัทคู่ค้ากับ Azure Wolf
“ชั้นสบายดี ไมเคิล เอาล่ะ มาเข้าเรื่องงานกันดีกว่า” แวนดอลรวบรัดตามนิสัยของเขา
“นายนี่ ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ …โอเคๆ” ไมเคิลกวักมือเรียกลูกน้องของเขาให้นำกระเป๋าเอกสารมาให้ใบหนึ่ง “ในกระเป๋าใบนี้ มีข้อมูลและที่อยู่ของนักวิจัยชาวฮ่องกงที่กำลังพัฒนาอุปกรณ์ให้เราอยู่”
“กะอีแค่ไปรับของทำไมต้องจ้างพวกชั้นด้วยล่ะ?” แวนดอลถามเพื่อให้แน่ใจว่างานชิ้นนี้ คุ้มที่จะรับไหม
“เจ้าของชิ้นนี้มันสำคัญกับเรามาก มันอาจจะทำเงินให้เราได้หลายสิบล้าน” ไมเคิลอธิบาย “ที่สำคัญชั้นรู้สึกว่าตอนนี้ ภายในบริษัทมีปัญหาภายใน ชั้นไม่อยากให้มีปัญหา”
“พวกนายก็แค่ขึ้นเครื่องบิน ไปที่ฮ่องกง ไปหานักวิจัยคนนั้น และพาเค้ากับผลงานของเขามาสั่งที่แมนฮัตตันก็พอ” ไมเคิลยิ้ม
“เงินล่ะ” แวนดอลหรี่ตาพูด ไมเคิลโพ้งขึ้นทันที “เออ เกือบลืมไปเลย ชั้นจะโอนเงินให้นายก่อน 3 ล้าน แล้วถ้าเสร็จงานเมื่อไหร่ ก็จะโอนให้อีก 7 โอเคมั้ย”
“ก็ได้ๆ” แวนดอลตอบตกลง “พวกชั้นรับงาน” เกรฟสังเกตุกิริยาของทุกคน ไม่มีใครหืออืออะไรแสดงว่าพวกเขาเชื่อใจแวนดอล ซึ่งเกรฟก็ไม่ควรทำตัวแตกต่าง
การเจรจาจบลง ไมเคิลโบกมือให้ทุกคนจากหน้าต่างประตูรถลีมูซีนคันหรูของเขา ก่อนที่มันจะแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว มาริเปิดกระเป๋าเอกสารออกดู มีแฟ้มเอกสารไม่หนามากนอนอยู่ เธออ่านมันอย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็เก็บมันเข้าไปที่เดิม
“เราจะไปที่ไหน?” แวนเดลถาม
“เกาลูน” มาริยิ้มให้ทุกคน “ถ้ายิงกัน ก็มันแน่”
...
สายฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ท้องฟ้าที่มืดมิดประดับด้วยแสงสายฟ้าฟาดราวกับไฟคริสต์มาส ผนวกกับสภาพอพาร์ตเมนโกโรโกโสสุดแออัด ชวนให้นึกถึงหนังสยองขวัญยุคเก่า ห้องโถงที่ทอดยาวไปไกล ชวนให้นึกว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้า เสียงฝีเท้าของคน 6 คนดังกังวาล ในความมืด
“ห้อง 476” มาริกล่าว “ใกล้จะถึงแล้วล่ะ”
ถ้าเป็นสมัยก่อนภาพของกลุ่มคนติดอาวุธคงทำให้ประชาชนหวาดผวา แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เพียงแค่มีตราสัญลักษร์และใบอนุญาต แม้แต่เด็กเล็กก็เข้าใจว่าพวกเขาคือ PMC เกรฟนึกคิดแค่เพียงรูปภาพสัญลักษณ์กับกระดาษเพียงใบเดียวก็เป็นตัวแบ่งแยกระหว่างโจรกับนักธุกิจได้แล้วงั้นหรือ
“ถึงแล้ว” มาริบอกทุกคน แรปป้าเข้าไปยืนประจำตำแหน่งที่ข้างประตูทันที กระชับ HK416 ในมือแน่นปลดเซฟพร้อมยิง แวนดอลเป็นคนเปิดประตูโดยมีโคโลเนลกับเบรินคุ้มกันให้ ส่วนเกรฟคอยดูหลังให้ทุกคน งานชิ้นนี้ทำให้เกรฟรู้ “กฏ”บางอย่างอีกข้อของ PMC ถ้าคุณรู้อะไรอย่างบาง อย่าคิดว่าคนอื่นอาจจะไม่รู้ ไม่แน่นักวิจัยคนนี้อาจกลายเป็นศพไปแล้วก็ได้
“ก็อก … ก็อก”เคาะประตูห้องเช่าเก่าๆ อย่างช้าๆ ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีเสียงชายหนุ่มตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว“มังกรมีกี่ตัว?”
“3 ตัว แต่น่าเสียดายตายหมดแล้ว…” แวนดอลตอบรหัสกลับไป ประตูห้องถูกเปิดออกในทันที นักวิจัยชาวฮ่องกงสวมแว่น แต่งกายโทรมๆเหมือนโหมทำงานมาหลายวัน ออกมาต้อนรับพวกเขา
“ขอบคุณสวรรค์!!” นักวิจัยใจชื่นขึ้นมาทันที “เรียกผมว่า เหล่ง แล้วกัน”
สภาพห้องเหมือนกับพึ่งผ่านสงครามวิชาการมา แผ่นกระดาษเอกสารวางอยู่ทั่วไปหมด ขวดน้ำ จานอาหารที่ไม่ได้ล้างกองเต็มโต๊ะ คอมพิวเตอร์เกือบสิบตัวยังเปิดค้างไว้
“เฮ้ๆ ไมเคิลไม่ได้โทรมาบอกรึไงว่าพวกเราจะมารับ?” โคโลเนลท้วงขึ้น “ดูจากสภาพแล้ว นายยังไม่ได้เก็บของด้วยซ้ำ”
“ใช่ๆๆ เค้าโทรมาบอกผมแล้ว แต่เค้าไม่ฟังผมเลย ผมบอกเค้าว่ายังเหลือเก็บงานอีกนิด เค้าก็บอกให้เก็บของได้แล้ว” เหล่งพยายามแก้ต่างให้ ตัวเอง พลางเดินไปที่คอมพิวเตอร์แล้วทำอะไรบางอย่างกับมัน
“เหล่ง นายต้องไปเดี๋ยวนี้เลย” แวนดอลเริ่มหัวเสีย ความอดทนเค้ามีไม่มากโดยเฉพาะกับเรื่องงาน แต่เหล่งไม่ได้พูดอะไรกลับ แต่ชูนิ้วมา 5 นิ้ว เหมือนกับบอกว่า ขออีก 5 นาที
“ชั้นชอบคนเอเชียตรงนี้แหละ” แรปป้าแซวด้วยอารมณ์ขัน ส่วนเกรฟกับเบรินยืนอยู่ที่หน้าต่างสายลมรุนแรงบดบังทัศนวิสัยแต่ไม่ใช่กับเกรฟ เค้าฝึกรบด้วยการอยู่กับพายุหิมะมานาน และพบว่า มันไม่ต่างกันเท่าไหร่ สายตากวาดไปรอบๆจับจองการเคลื่อนไหวของทุกสิ่งแสงเรืองรองจากหน้าต่างทะลุผ่านหยดน้ำเข้า เกรฟมองไปที่ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่ตึกฝั่งตรงข้าม สายตาสะดุดเข้ากับแสงแวบเล็กๆ หลายจุดตรงนั้น นัยต์เบิกกว้าง เกรฟรู้ว่ามันคืออะไร…
“หมอบลง!!!!!!” เกรฟตระโกนดังลั่น ทุกคนตอบสนองอย่างรวดเร็วยกเว้นเหล่งที่โดนแวนดอลฉุดลงมาจนล้มขะมำ กระจกหน้าต่างแตกกระจายพร้อมกับเสียงฟ้าผ่า ห่ากระสุน 7.62 แหวกว่ายห่าฝนเข้ามา ข้าวของแตกกระจุย กระจาย เหล่งร้องเสียงหลงเพราะผลงานของเขาแหลกกระจุย
“สไนเปอร์!!!” แวนดอลร้องออกมา เขาคิดอยู่ไว้แล้ว “เบริน โคโล่ ยิงคุ้มกันที!! เราจะพาไอ้เหล่งนี่หนี” เขาพยายามจับตัวเหล่งซึ่งตะเกียดตะกายจะไปที่คอมพิวเตอร์ให้ได้ “ผมขออีกนิดเดียว!!” แล้วเขาก็หลุดไปจนได้ “****เอ้ย!! เบริน โคโล่!!!”
เบรินปลดเซฟ ACR แล้วไล่ยิงทีละนัด เพื่อให้โคโลเนลมีจังหวะ ฉับพลัน M14 แผดเสียงคำรามลั่นห้อง ช่วงอึดใจเดียวเงาดำๆที่มีรูปร่างเหมือนคนก็ตกลงจากป้ายโฆษณาสู่ถนนเบื้องล่าง หากแต่เพียงพลซุ่มยิงฝั่งนั้นมีมากกว่าหนึ่ง
“เสร็จแล้วๆ” เหล่งกำแฟรชไดรฟ์สีดำเอาไว้ใน ก่อนจะโดนแวนดอลแย่งไป “เราต้องไปกันแล้ว”แวนดอลขึ้นลำกล้อง F2000 ในอ้อมแขน “เกรฟ แรปป้า ประตู มาริ มากับชั้น!!!” เนื่องจากมี
เบรินกับโคโลเนลดูแลที่หน้าต่าง จึงทำให้พวกเขาพอจะยืนได้บ้าง เกรฟขึ้นลำกล้อง AEK971 คู่ใจของเขา มันไม่ได้ปลิดชีพใครมานานแล้ว
“พร้อมนะ” แรปป้าที่ยืนพิงอยู่ข้างๆประตูกล่าวขึ้น ในมือมีระเบิดแฟลชอยู่ เกรฟพยักหน้า “งั้นเอาเลย!” ระเบิดแฟลชถูกโยนออกไปเสียงตระโกนจากภายนอกดังอย่างตื่นตระหนก “แฟ่บ!!!” ระเบิดแฟลชทำงานแล้ว เกรฟถีบประตูเดินออกไปโดยมีแรปป้า และกลุ่มของแวนดอลตามหลัง ศูนย์เล็งคอบราขยับไปที่หัวของศัตรูปริศนาโดยอัติโนมัติ แสงปากกระบอกปืนสว่างวาบเป็นจังหวะ พร้อมกับชีวิตที่ถูกพรากไปทีละชีวิต หนึ่ง สอง สาม….เลือดสาดกระเซ็นประดับผนังของอพาร์ตเมนเก่าเป็นลวดลายที่สวยงาม
“เบริน โคโล่ มาได้แล้ว!!” แวนดอลร้องเตือน พวกเขารีบวิ่งรวมกลุ่มทันที แล้วไปต่ออย่างรวดเร็วโดยมีเกรฟนำหน้า ไม่ต้องมีใครต้องมาสั่งเขา เกรฟตื่นขึ้นจากภวังค์ที่น่าหน่าย จิตใจและร่างกายเดินเข้าสู่ภวังค์แห่งนักล่า…. อีกครั้ง


______________________________

ภารกิจที่ 003: Muzzleflash
แมกกาซีนอันว่างเปล่าถูกปล่อยทิ้งมาจะมืออันหยาบกร้านของเกรฟ ก่อนที่แมกกาซีนใหม่จะถูกบรรจุใส่ AEK อย่างรวดเร็ว นับจากห้องของเหล่ง ศัตรูปริศนาที่ไม่มีสัญลักษณ์หรือข้อมูลอะไรในร่างกายเลย นับยี่สิบ ช่วยอุ่นเครื่องให้เกรฟได้เป็นอย่างดี หลังจากไม่ได้ทำหน้าที่ของเขามานาน แวนดอลวางแผนเอาไว้นิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องการหนีแต่จากข้อมูลที่โคโลเนลสังเกตุจากกลุ่มสไนเปอร์และอาวุธยุทโธปกรณ์ของเจ้าพวกนี้ ที่เป็นอาวุธชั้นเยี่ยม บางคนพกระเบิดแฟลชหรือแม้กระทั่งพกไนท์วิสชั่น แสดงให้เห็นว่าพวกมันมีแบคอัพที่ดี และการที่จะตรงแน่วไปที่รถตู้ ที่จอดทิ้งไว้หน้าอพาร์ตเมนนับว่าเป็นแผนที่โง่บัดซบ โชคยังดีที่มีรถตู้ส่งของลายพราง FedEx ที่เตรียมไว้อีกคันจอดอยู่ในย่านตลาด ด้วยความที่ตอนนี้ พวกเขาอยู่บนชั้น 7 จึงทำให้มีเวลาคิดเล็กน้อย
“เอาไงดีล่ะ?” แวนดอลพึมพำกับมาริ ในขณะที่คนที่เหลือคอยเผ้าระวัง
“ชั้นเดาได้ว่า พวกมันน่ามีเป็นร้อย แต่ที่ส่งมาเพื่อมาดูเชิง” โคโลเนลแนะ “บันไดคงโดนฝ้าไว้แล้วด้วยคนส่วนมาก ประตูหลังอีก”
“ซึ่งต้องไปทางบันไดหลักอยู่ดี” แวนดอลเสนอความเห็น “คิดยังไงกับหลังคา หรือบันไดหนีไฟ”
“สไนเปอร์คงรออยู่แล้ว” มาริเสริมเข้ามา “บันไดหนีไฟตัดทิ้งไปเลย ส่วนหลังคาอพาร์ตเมนนี้ยังมีตึกที่สูงกว่าล้อมอยู่อีกสองตึก แต่ก็มีตึกที่ต่ำกว่าพอที่จะโดดลงไปได้ ถ้านายบ้าพอน่ะนะ”
“สรุปคือต้องวิ่งฝ่าดงกระสุน แล้วโดดลงล่างใช่ไหมเนี่ย” เมื่อแรปป้ากล่าวออกไป ทุกคนก็พยักหน้าเบาๆ “แหม เหมือนตอนยังอยู่ที่ ริโอ เลยแฮะ..” เกรฟกับเบรินไม่ได้พูดอะไร แต่กำลังชะโงกหน้าไปดูชั้นล่างของอพาร์ตเมนแห่งนี้ ทุกๆชั้นจะมีหน้าต่างที่ห้องโถงทั้งชั้น ยกเว้นชั้น 7 ที่ทำเป็นเนื้อที่โฆษณาทำให้พวกเขาไม่ถูกสไนเปอร์ที่ตึกอีกฝั่งไล่ยิง แสงสายฟ้าสว่างวาบขึ้นอีกครั้งคราวนี้ ทำให้เกรฟเห็นเงาของกลุ่มคนกำลังวิ่งขึ้นมา ดูท่าทางพวกเขาจะไม่มีทางเลือกเสียแล้ว “พวกมันมาแล้ว” เกรฟกล่าวเรียบๆ แล้วแวนดอลก็จับเหล่งที่ตัวสั่น พูดอะไรไม่ออก วิ่งขั้นบันไดไป ทุกคนก็วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
แวนดอลถีบประตูเก่าๆจนหลุดออกไปอย่างง่ายดาย พื้นที่หลังคานี้ยังไม่เปิดโล่งเสียที่เดียว มันมีพื้นที่ที่เป็นสวนย่อมขนาดเล็กๆ ที่ถูกคุมด้วยเพิงสังกะสี มาริสำรวจพื้นที่ ตรงหน้าของพวกเขาที่มีสวนย่อมบังอยู่คือตึกอพาร์ตเมนขนาดสิบชั้นห่างไป 200 เมตรที่มีสไนเปอร์อยู่แน่ๆ ทางซ้ายเป็นตำแหน่งของห้องพักของเหล่ง และห่างออกไปอีกราว 300 เมตร ก็มี อพาร์ตเมน 8 ชั้นที่มีสไนเปอร์ผู้โชคร้ายหลายรายโดนโคโลเนลสอยไป และทางขวาที่เป็นจุดหมาย อพาร์ตเมน 6 ชั้น ที่ชั้นหลังคามีเพิงสังกะสี พอจะเป็นทางหนีได้ ที่สำคัญมันยังยาวไปทางย่านตลาดอีกด้วย
“โคโล พอจะจัดการได้ไหม” แวนดอลถามโคโลเนล ซึ่งเจ้าตัวพยักหน้าตอบ
“เกรฟอยู่กับชั้น ตาเหยี่ยวของนายน่าจะช่วยชั้นได้ดีเลยล่ะ” เกรฟแสดงท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบตกลง พร้อมกับรับกล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวที่โคโลเนลส่งให้
“เอาล่ะ โคโลกับเกรฟจะคอยคุ้มกันพวกเราจากที่นี้ แรปป้านายอยู่ข้างๆชั้นไว้ เราทั้งคู่จะนำหน้า มาริจับเหล่งไว้ให้ดีๆ ส่วนเบริน นายคอยดูแลหลัง” ทุกคนขานรับ ยกเว้นเหล่งที่อยู่ในอาการตื่นๆ
โคโลเนลคอยๆเปิดหน้าต่างบานเดียวในเพิงแห่งนี้ และค่อยๆวาง m14 ลงเบาๆโชคดีที่ต้นไม้บริเวณนี้ โตกว่าต้นอื่นๆช่วยพรางทำให้สไนเปอร์ฝั่งตรงข้ามสังเกตุยากขึ้น เกรฟเช็ดกระจกหน้าต่างแล้วค่อยๆเงื้อมดู ครั้งนี้ ต่างจากครั้งที่แล้วเพราะ ฝั่งตรงข้ามไม่มีป้ายไฟโฆษณาบนดาดฟ้า มันจึงมืดสนิท เกรฟคิด ถ้าหากเขาเป็นพวกมัน......ช่วงเวลาเกือบเที่ยงคืนในเกาลูนนั้นค่อนข้างคึกคักที่เดียว ห้องพักส่วนใหญ่จะมีแสงสว่างผ่านหน้าต่างออกมา อาจเป็นเพราะติดละครหรือพึ่งทำงานเสร็จ อย่างน้อยอพาร์ตเมนทุกๆชั้นจะมีห้องที่ปิดไฟเพียงห้อง 2 ห้องเท่านั้น แต่มีบางอย่างผิดปกติ เกรฟกวาดสายตาไปที่ชั้น 10 ห้องทุกห้องมืดสนิท แต่มีหน้าต่างเปิดแหงมๆไว้
“ชั้น 10 บริเวณกลาง” เกรฟกระซิบบอกโคโลเนล คนอื่นๆอยู่ในสภาวะพร้อมวิ่ง เมื่อไหร่ก็ตามที่โคโลเนลลั่นไกล ทุกคนจะเคลื่อนย้ายไปทันที
“กำลังค้นหา...” โคโลเนลขยับกล้องเล็งกำลังสูงอย่างช้าๆเพื่อป้องกันการถูกตรวจพบ “เกรฟ...จากซ้ายห้องที่ 6”
เกรฟขยับตามตำแหน่งดังกล่าว เค้าเพ่งสายตามองชั่วครู่หนึ่ง เมื่อตาสามารถปรับระยะโฟกัส เค้าก็มองเห็นทันที เงาดำๆ 2 เงาอยู่ติดๆ แสงเงาสะท้อนจากปากกระบอกปืนซุ่มยิง “แล้วเห็น...ระบุเป้าหมาย” โคโลเนลปลดเซฟปืน ปลายนิ้วชี้ขวาสัมผัสไกปืนอย่างแผ่วเบา เค้าสูดลมหายใจเข้า แล้วกดไกปืนอย่างนุ่มนวลแต่ดุดัน เสียงดินปืนระเบิดดังกังวาลภายในเพิงสังกะสี ไอความร้อนสัมผัสแก้มขวาของ
เกรฟอย่างทั่วถึง ลูกตะกั่วหมุนควงเข้ากระทบเป้าหมายของมันอย่างแม่นยำ
“ไปได้!!!” แรปป้าถุบประตูจนหลุดแล้ววิ่งนำออกไป ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำตามมาด้วย แวนดอลและคนอื่นๆ ขอบคอนกรีตยกสูงและป้ายโฆษณาโลหะช่วยเป็นที่กำลังให้อย่างดี
นัยต์ตาของเกรฟเปิดกว้าง แล้วกระโจนฉุดโคโลเนลให้นอนลง ความฉงนที่มีต่อการิกระทำดังกล่าวของเกรฟ หายไปพร้อมๆกับเสียงห่ากระสุนที่ทะลวงเพิงสังกะสีอย่างไร้ความปราณี สวนย่อมใต้เพิงสังกะสีอันมืดมิดนี้ ถูกเจาะเป็นรูปพรุน แสงสว่างเล็กๆเล็ดลอดเข้ามาตามรูจุดต่างๆ เกรฟมองไปทางกลุ่มของแวนดอล ก็พบว่าพวกเขาถูกตรึงให้นอนอยู่กับที่ ทำได้แค่ชายคามองตำแหน่งแสงปากกระบอกปืนเท่านั้น
เศษกระเบื้องกระถางต้นไม้ เศษกระจกหน้าต่าง ฝุ่นละออง ใบไม้ที่ขาดกระจุยกระจาย ร่วงหล่นลงมาปกคลุมตัวเกรฟและโคโลเนล เสียงปืนกลเงียบหายไป ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงของสายฝนที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆ กระสุนพวกมันคงหมดและกำลังบรรจุใหม่ เกรฟกับโคโลเนลมองหน้ากัน แล้วทั้งคู่ก็หันไปมองกลุ่มข้างนอกที่กำลังเปียกปอน แวนดอลกับแรปป้าขึ้นลำกล้องปืนพร้อมกัน และพยักหน้า เบรินปรับระบบปืนไปเป็นออโต้อย่างรู้งาน สายฟ้าฟาดลงมาเป็นสัญญาณ พวกเขายืนขึ้นพร้อมกันอย่างรวดเร็ว ศูนย์เล็งจับตำแหน่งสุดท้ายของแสงปากกระบอกปืนที่เห็นเพียงน้อยนิด จากห้องพักฝั่งตรงข้าม ราวกับหมาป่าที่พึ่งโดนเหยียบหาง มันจะสวนกัด รวดเร็ว ดุดัน และถึงตาย.... แสงจากปากกระบอกปืน 5 กระบอกจากหมาป่าหนุ่มทั้ง 5 ตัว ส่งผ่านความตายไปสู่ศัตรูลึกลับอย่างแม่นยำ กระสุนปืนถูกถ่ายโอนไปรังเพลิงอย่างรวดเร็ว จน*****นแมกกาซีน เพียงชั่วอึดใจแมกกาซีนใหม่ก็ถูกบรรจุเพื่อความพร้อม แต่มันคงไม่จำเป็นต้องใช่อีกแล้ว
“รีบไปกันเถอะ” แวนดอลโยกหัวเรียกทุกคน โดยมีมาริกับเหล่งที่ยังตัวสั่นจากการโดยยิงกด รออยู่ที่ตึก 6 ชั้น เป้าหมายการหนีของพวกเขาแล้ว พวกเขาแต่ละคนต้องกระโดดข้ามไปตึก 6 ชั้นที่อยู่ห่างไม่มากนัก
“ไม่น่าเชื่อว่าคนรัสเซียจะตาดีขนาดนี้” โคโลเนลกล่าวกับเกรฟ “ขอบใจที่ช่วยชั้นไว้”
“สัญชาตญาณมันพาไปน่ะ” เกรฟกล่าวยิ้มๆ เค้าเริ่มนึกถึงเพื่อนเก่าในหน่วยเก่าขึ้นมา “เอาเป็นว่า กลับแมทฮัทตัน แล้วเลี้ยงเหล้าชั้นด้วยล่ะ”
“ได้เลย!!” โคโลเนลกระโดดข้ามตึกไป เหลือเพียงเกรฟคนเดียว
เกรฟหันหลังเดินไปเพื่อเตรียมวิ่ง เค้าสาวเท้าอย่างรวดเร็วเพื่อวิ่งกระโดดข้ามไปตึก 6 ชั้น ทันทีที่เท้าแตะขอบคอนกรีตเค้าออกแรงอย่างสุดกำลัง สายลมและละอองน้ำปะทะเข้ากับใบหน้า ความสดชื่นเล็กๆ ขณะที่อยู่กลางอากาศ โคโลเนลรอเค้าอยู่ที่ตึกฝั่งตรงข้าม แต่ทว่าแรปป้ากลับทำสีหน้าตกใจ ปลดเซฟปืนของเค้า เกรฟพึ่งนึกขึ้นได้ แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่ไหล่ซ้าย มือขวาคว้าขอบตึกไว้ได้ แต่มือซ้ายกลับไร้เรี่ยวแรง ด้วยความลื่น เกรฟไม่สามารถเกาะไว้ได้อีกต่อไป ในขณะที่ร่างกายร่วงหล่นสู่ถนนเบื้องล่าง โคโลเนลที่ถูกคุ้มกันอยู่ โผล่เข้ามาพยายามคว้ามือเกรฟไว้ แต่มันสายเกินไป “*****เอ้ยยยย!!!!!” คือคำสบถของโคโลเนลที่ไม่สามารถช่วยเกรฟได้ทัน เค้าจำต้องคว้าปืนแล้วยิงตอบโต้ศัตรูต่อไป.....

LoveSeeker
4th May 2012, 21:19
วิจารแบบเบาๆ

เรื่องของบทบรรยายและบทพรรณา ผมว่าทำออกมาได้ OK เห็นภาพตามได้ดีพอสมควร


เลเซอร์ชี้เป้า โดยส่วนตัว ผมคิดว่าน่าจะเรียกว่า เลเซอร์ช่วยเล็งนะครับ เพราะถ้าชี้เป้า ผมคิดไปถึง JDAM แล้วครับ

Alathreon
4th May 2012, 21:25
วิจารแบบเบาๆ

เรื่องของบทบรรยายและบทพรรณา ผมว่าทำออกมาได้ OK เห็นภาพตามได้ดีพอสมควร

โดยส่วนตัว ผมคิดว่าน่าจะเรียกว่า เลเซอร์ช่วยเล็งนะครับ เพราะถ้าชี้เป้า ผมคิดไปถึง JDAM แล้วครับ

ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อเสนอแนะ ส่วนเรื่องการเรียกอุปกรณ์นั้น ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องอุปกรณ์เท่าไหร่ จึงพิมพ์ออกมาตามที่เข้าใจครับ

LoveSeeker
4th May 2012, 21:30
ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อเสนอแนะ ส่วนเรื่องการเรียกอุปกรณ์นั้น ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องอุปกรณ์เท่าไหร่ จึงพิมพ์ออกมาตามที่เข้าใจครับ

ค่อยๆศึกษาไปครับผม
เรื่องปืนนี่มันละเอียดอ่อนมากครับ

Stormwind
4th May 2012, 22:14
รู้สึกว่านิยายแนว ทหารรับจ้าง นี่จะออกมาเยอะเหลือเกินนะครับ

55555

By Stormwind [Male]

Alathreon
5th May 2012, 13:55
อัปเดตตอนที่สองแล้วนะครับ อย่าลืม ข้อเสนอแนะ คำติชม เพื่อไปแก้ไข ปรังปรุงในตอนต่อๆไปนะครับ

Alathreon
16th May 2012, 21:06
อัพเดทตอนที่ 3 ครับ อย่าลืมส่งตัวละครหรือทิ้งคำติชมข้อเสนอแนะเพื่อนำไปแก้ไขงานในตอนต่อๆไปครับ

Alathreon
7th June 2012, 21:08
New ตอนที่ 4

ภารกิจที่ 004: Sign
เม็ดหยาดฝน เม็ดโต ตกระรัวปกใบหน้าพร้อมกับเสียงปืนที่ดังกระหึ่มกระแทกรูหูช่วยย้ำเตือนว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลานอน เกรฟใช้แขนจับปืนแล้วใช้พยุงตัวขึ้นมาต่างไม้เท้า ความเจ็บที่ไหล่เริ่มชาและแทนที่ด้วยความเจ็บปวดที่หลัง โชคยังดีที่วันนี้เจ้าของอพาร์ตเมนต์ 6 ชั้นสั่งต่อเติมอพาร์ตเมนต์ใหม่ ชั้นโครงเหล็กช่วยชีวิตเกรฟไว้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่เวลาก็ไม่ได้ให้ช่วงเวลาสงบๆกับเขามากนัก เสียงคลื่นวิทยุที่เกรฟเปิดไปตลอดก็ดังขึ้น
“เกรฟ!! ไอ้เวรเอ้ย นายเป็นคนรัสเซียที่โคตรอึดเลยว่ะ!!!” ปลายสายไม่ใช่ใคร แวนดอล นั่นเอง “เอาล่ะ นายมีเวลาไม่มากนะ ตอนนี้พวกมันที่ยิงนายทยอยวิ่งลงตึก ส่วนอีกพวกกำลังวิ่งมาจากตึก 8 ชั้น ออกมาจากตรอกแล้ววิ่งออกทางขวาเลยนะ พอถึง 3 แยกให้หลบรอแถวๆนั้นนะ”
“เออ” แล้วเขาก็ตัดสาย “คนอังกฤษบ้านไหนวะ หยาบเป็นบ้า” เกรฟพึมพำอยู่คนเดียวก่อนจะค่อยๆวิ่งออกจากตรอกแห่งนี้ไป ข้างนอกมันเป็นถนนเล็กๆที่รถยนต์ผ่านได้คันเดียว ทันทีที่วิ่งออกมา เสียงปืนไรเฟิลก็ดังทักทายทันที ถึงแม้จุดปะทะลูกกระสุนจะอยู่ห่างตัวเกรฟเยอะ แต่จำนวนต่างหากที่เขากลัว กลุ่มชุดดำนับสิบกำลังวิ่งกรูตามกันมา เกรฟออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตทันที พลางต้องคอยหลบหลีก อาตี๋อาหมวยนอนดึกที่กำลังวิ่งกระจัดกระจายอย่างตื่นตระหนก กระสุนห่าใหญ่อีกระลอกดังประทุมาจากด้านหลัง เคราะห์ดีไม่มีใครโดนลูกหลง เกรฟเปลี่ยนแม็กกาซีนกระสุนใหม่อย่างรวดเร็วแล้ว ยิงสวนกลับไปอย่างตามมีตามเกิด แม้จะส่ายไปบ้างแต่ก็ทำตามความตั้งใจได้ พวกมันต้องหลบอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่น่านัก เกรฟที่อยู่ในที่เปิด ฮึดวิ่งให้เร็วกว่าเดิมเพื่อที่จะได้ถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด เขามองไปข้างหน้า สามแยกที่จุดเลี้ยวเป็นทางออกไปถนนใหญ่ ส่วนทางตรงมีกลุ่มชุดดำอีกนับสิบวิ่งมาทางเขา
เกรฟรีบสไลด์ตัวเข้าหลบหลังรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยวทันที กระสุนแม็กสุดท้ายถูกบรรจุ เกรฟยิงไปข้างหน้าเพื่อหวังหยุดพวกมันไว้ แล้วต้องหันไปยิงพวกที่วิ่งตามมาอีก พวกมันยิงสวนกลับด้วยจำนวนที่เหนือกว่า กดดันให้เกรฟหดหัวอยู่หลังรถเข็นอย่างช่วยไม่ได้
“เฮ้ แวนดอล จะทำอะไรก็รีบๆทำหน่อย” เกรฟบ่นพึมพำอยู่คนเดียว AEK ร้องดังแชะเป็นสัญญาณบอกว่ากระสุนหมดแล้ว เกรฟควัก MP-443 ในเสื้อแจ็คเก็ตพอมายิงโต้ตอบอย่างสุดชีวิต เลือดจากไหล่ซ้ายหยดประปนกับเม็ดฝน ก่อนจะหลบเข้าที่กำบังไปแล้วสะดุ้งเฮือกทันที เพราะพวกกลุ่มดำ 3-4 กำลังเล็งปืนมาหมายจะเอาชีวิตเกรฟ พวกมันกำลังจะลั่นไก แต่วินาทีนั้นเอง รถตู้ FedEx เก่าๆพุ่งทะยานเข้ามาชนพวกมันจนกระเด็นไปคนล่ะทิศ คนละทาง ทิ้งความมึนงงให้กับเกรฟและพวกกลุ่มดำอีกนับสิบ
รถตู้ดริฟท์ควงเข้ามาในซอย และประตูกระบะเก็บของก็มาอยู่ตรงหน้าเกรฟพอดี มันถูกถีบเปิดออกอย่างแรง ผู้ชาย 2 สองในลักษณะนั่งอยู่ที่หน้าประตู เสียงลูกเคลื่อนดังสะท้านขึ้น บ่งบอกว่าลูกกระสุนพร้อมแล้ว เบรินประทับบ่ายิง M249 อย่างไม่กลัวไหล่หลุด เข้าใส่พวกชุดดำที่วิ่งตามเกรฟมาตายไป 2 ในทันทีจนพวกที่เหลือต้องแย่งกับหาที่หลบ ในเสียงแผดร้องอันต่อเนื่องนั้นเอง มีเสียงคำรามที่คุ้นหูดังขึ้นเป็นชุด M14 EBR เผยกลายออกมาพร้อมกับเจ้าของของมัน โคโลเนลรีบเดินก้มมาหาเกรฟ ทั้งคู่มองตากันราวกับเป็นสหายร่วมศึกกันมานาน
“ไหลซ้าย โชคดีเป็นบ้า” โคโลเนลพยุงเกรฟขึ้นมาแล้วรีบสาวเท้าเดินเข้ารถไป เกรฟยิ้มตอบเป็นนัยๆ จนเมื่อทั้งคู่เข้ามาที่รถ โคโลเนลแตะไหลเบรินให้เขาหยุดยิงและขึ้นรถมา
“ไปเลย แรป” มาริบอกกล่าวแรปป้า ฝ่ายหลังเหยียบคันเร่งแล่นรถออกมาอย่างรวดเร็ว
“เป็นไงบ้าง?” แวนดอลที่นั่งอยู่เก้าอี้ผู้โดยสารหน้ารถ หันหน้ามาพูดกับเกรฟ พลางหยิบกระเป๋าพยาบาลให้มาริ
“ยังไหว” เกรฟนั่งนิ่งๆให้มาริ ถอดเสื้อของเขาออก เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เธอมีความสามารถด้านการปฐมพยายบาลด้วย “เจ็บหน่อยนะ ชั้นมือหนัก” เธอบอก เกรฟได้แต่ยิ้ม เขาบอกได้จากความรู้สึกว่า เขาโดนขนาด 5.56 เข้า หัวกระสุนเข้าไปข้างใน เกือบจะทะลุออกมา ทำให้ควานลำบาก งานนี้มีเจ็บแน่ๆ เขาจึง เบนความสนใจตัวเองไป และเขาพึ่งนึกได้ว่าเหล่งก็อยู่ในรถนี่ด้วย เขายิ้มให้เหล่ง แล้วไปดู โคโลเนลกับเบริน ที่ซึ่งฝ่ายหลังจ้องท้องถนนผ่านกระจกประตูเล็กๆอย่างไม่เบือนหน้าหนี 249 สับเปลี่ยนกระสุนเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่นานนัก เขาก็แตะไหล่ให้โคโลเนลดูถนน โคโลเนลดูแล้วปลดเซฟปืนทันที
“รถกระบะสีดำ 3 คัน” โคโลเนลเข้าประจำตำแหน่ง “มาริ ขยับไปข้างในหน่อย”
มาริทำสีหน้าเคืองแล้วค่อยๆขยับพาเกรฟและเหล่งเข้าหลบ
“มาแล้ว!” โคโลเนลยังไม่ทันร้องเตือน ลูกตะกั่วนับสิบก็พุ่งเข้ากระทบกับแผ่นเหล็กหนาๆที่แรปป้าหามาเสริมท้าย
“เปิดประตู!!” โคโลเนลเป็นฝ่ายเปิดประตูให้เบรินทันทีเมื่อสิ้นเสียงการยิง เบรินประเคนกระสุนเป็นชุดใส่กระทะทั้ง 3 คันที่แล่นตามพวกเขามา กระสุนเดินทางเป็นสายไปกระทบเข้ากับผู้เคราะห์ร้ายในรถหลายราย จนพวกมันต้องเคลื่อนรถหนี นับเป็นโชคดีในโชคร้าย ด้วยความที่ถนนค่อนข้างโล่ง ทำให้รถคันนึงเร่งเคลื่อนเข้ามาประชิดทางซ้ายของรถตู้
“มาเลย ไอ้เปรตเอ้ยย!!” แวนดอลบริจาคกระสุน F2000 ให้กระบะสุดซวยคันนั้นหมดแมก คนขับโดนยิงเข้าตายคาที่จนรถค่อยๆเคลื่อนแล้วเข้าพุ่งชนกับเสาไฟจนคว่ำ
“พระเจ้า..” เกรฟอุทาน เหล่งที่พอจะคุ้นกับนิสัยห่ามของแวนดอลได้แต่นั่งเงียบ แต่คนอื่นดูจะไม่แปลกใจนัก รู้ตัวอีกที 249 ตับใหม่พร้อมลุย เบรินสาดไม่ยั้งจนรถอีกคันยางแตกพลิกคว่ำไป เหลือเพียงคันเหลือที่ค่อนข้างทิ้งระยะห่างพอสมควรแต่โคโลเนลประทับบ่าเล็งรอไว้แล้ว เพียงพริบตา กระจกฝั่งคนขับของกระบะคันสุดท้ายแตกเป็นเสี่ยงๆ เลือดสาดกระจุยกระจายแล้วพลิกคว่ำในที่สุด เหตุการณ์สงบลงโดยที่ไม่มีใครเป็นอะไร
เวลาตี 2 เศษๆ ฝนเริ่มซาลงมาก ท่าเรือฮ่องกงที่เงียบสงัด และมืดมิด ถูกฉายไฟสว่างไสว แรปป้าจอดรถอย่างนิ่มนวลราวกับเมื่อซักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เบรินกับโคโลเนลช่วยกับขนของในรถออกมา เหล่งยืนกอดตัวเองด้วยความหนาวอยู่ข้างๆมาริ แรปป้าลงมาจากรถพยักหน้าให้เกรฟเป็นเชิงทักทายก่อนจะเดินไปหาแวนดอลที่ที่จอดเรือ มองดูเรือยอร์ชลำงามที่จอดอยู่อย่างสงบ
“มาเถอะ กลับแมนฮัตตันกัน” แวนดอลกล่าวเรียกทุกคนขณะก้าวขึ้นเรือ เกรฟ มองไปที่เขา มันมีอะไรบางอย่างบอก อาจจะเป็นสัญชาตญาณ หรือ ความรู้สึก มันบอกเขา บอกว่าา เขาได้มาอยู่ถูกที่แล้ว Azure Wolf ที่สถานที่ที่เขาต้องการ...

Alathreon
9th June 2012, 08:27
ดันนิดๆหน่อยๆ จิตแจ่มใส^^

Alathreon
28th September 2012, 23:43
Update 28/09/12
005: Awake

“เกวริล! พร้อมนะ!!” หน่วยรบพิเศษสเปซนาซ นายหนึ่ง ยืนอยู่ข้างหน้าเกรฟ เขาถือ ปืนไรเฟิล A-91 อยู่ในมือที่ถูกคลุมด้วยถุงมือหนาเตอะ หน้ากากกันแก๊สปิดบังใบหน้าของเขาจนมิด เขายืนพิงผนังข้างๆประตูไม้บานหนึ่ง เตรียมพร้อมสำหรับการบุก
“เอาเลย!!” เกรฟพูดแล้ว ถีบประตูไม้บานนั้นอย่างแรงจนมันล้มลงไปด้านหน้า คู่หูร่วมหน่วยของเขาก็ ตั้งท่าเล็งปืนแล้วบุกนำหน้าเข้าไปอย่างมืออาชีพ เกรฟตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ทำการ “แสกน” ห้องนั้นอย่างรวดเร็ว
“เคลียล์!!!” เกรฟตระโกนดังลั่น เป็นสัญญาณ
“เฮ้!!! รู้ว่าเราจะเจออะไรบางอย่างนะ” คู่หูของเขาตระโกนกลับมาจะอีกช่วงของห้อง เกรฟจึงรุดหน้าไปดู เขาเรียกคู่หูของเขา
“มีอะไร ซาช่า?” เขาเอ่ยถาม คู่หูของเขา หรือ ซาช่า สเตรโกวิช หนุ่มรัสเซียหน้าตาดี จมูกเป็นล่ำ เป็นสัน ดวงตาคม คางแหลมได้รูปพอดี ซาช่าทำให้เกรฟต้องถามเขาหลายครั้งว่า ทำไมไม่ไปเป็นดารา และทุกๆครั้ง เขามักจะตอบกลับมาว่า “นี่คือสิ่งที่ชั้นรัก ชั้นอยากทำเพื่อชาติ…”
“ดูเหมือนจะเจอกับ...เอ่ออ อะไรล่ะเนี่ย?” ซาช่าใช้ปืนเขี่ยกองเอกสารบนโต๊ะทำงานเก่าๆ ซึ่งรายละเอียดในเอกสารนั้น เกี่ยวกับการซื้อขายอาวุธ เกรฟจึงหยิบมันขึ้นไปดู
“เยี่ยม! ดูเหมือนเราจะได้สิ่งที่เราต้องการมาแล้วนะ” เกรฟอ่านรายงานในกระดาษ แต่มีบางสิ่งสะกิดใจเขา เกรฟพบชื่อของคนหลายๆคนที่เป็นบุคคลระดับสูงในเกรมลิน “ไม่จริงน่า...” เขาตาเบิกกว้าง
“ถ้านายไม่ว่าอะไร ชั้นจะเปิดลิ้นชักดูล่ะนะ...” ซาช่าค่อยดึงลิ้นชักออกทีละนิด
“ซาช่า เดี๋ย.....” ประกายไฟจากกลไกภายในลิ้นชักนั้น ทำงาน ระเบิด C4 หลายกิโลกรัม ปะทุแล้วระเบิดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในอาณาเขต เกรฟกระเด็นจนตัวทะลุผนังมาที่อีกฝากของห้อง หัวกระแทกเข้ากับโต๊ะรับแขกจนสติเลือนลางในทันที

“ตื๊ดดดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดดดด” เสียงนาฬิกาปลุกดิจิตอลดังบอกเวลา สี่ทุ่มตรง เกรฟลืมตาตื่นจากห้วงความฝันพร้อมกับปาดเหงื่อที่ใบหน้า เขาลุกขึ้นจากเตือน แล้วมองออกไปทางหน้าต่าง ชึ่งเป็นผนังกระจก ทิวทัศน์ของแมนฮัตตันยามค่ำคืนอันสุกสว่าง แสดงถึงตัวตนที่ไม่เคยหลับของมัน เกรฟเดินไปหยิบโทรศัพท์ Nokia Lumia สีดำ แล้วเปิดดูข้อความ มันมาจากโคโลเนล ว่าด้วยเสียง ที่เขาจะเลี้ยงเหล้าเกรฟ ที่ร้าน The Club บาร์ระดับห้าดาวเจ้าประจำของเหล่า Azure Wolf เกรฟจึงรีบเดินไปอาบน้ำ เขามองเข้าไปในกระจก แววตาอันเย็นชาและอำมหิตของเขา ช่างตัดกับใบหน้าที่เรียบเนียนและดูอบอุ่นของเขาเสียจริงๆ เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกสบายใจคือเมื่อไหร่ จนกระทั่งได้มาพอกับพวกแวนดอล เขาเดินเข้าไปที่ห้องฝักบัวอาบน้ำ น้ำเย็นๆไหลมาชโลมกายของเขา
“สิ่งที่ชั้นรัก… ทำเพื่อชาติอย่างนั้นเหรอะ....”

เกรฟเดินออกมาจากห้อง ถึงแม้จะอยู่ที่แมนฮัตตันมาแล้ว 2 สัปดาห์นับตั้งแต่ทริปไปเกาลูน ด้วยความที่ยังติดกับสภาพอากาศของรัสเซีย เขาจึงหยิบแจ๊คเกตมาด้วย แต่ความงงงวงยิ่งกว่าก็คือ เขาไม่รู้ว่า เขาจะหยิบปืนพกมาด้วยทำไม กว่าจะรู้ตัวเขาก็ล็อคห้องไปแล้ว “ช่างมัน...” เขาคิด แล้วเดินตรงแน่วไปที่ลิฟท์ที่ชั้น 30 ซึ่งเป็นชั้นห้องเพนท์เฮาส์สำหรับ สมาชิก Azure Wolf ซึ่งมี 6 ห้องพอดี แต่ว่าง 1 ห้องเพราะมาริ ไปซื้อคอนโดอยู่เองด้วยเหตุผลที่ว่าไม่สะดวกเท่าไหร่
ส่วนชั้น 31-33 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด เป็นชั้นของงานบัญชี และเอกสารทั่วๆไป ซึ่งป่านนี้ เกรฟก็ยังไม่เข้าใจว่าจะมีไปทำไม ส่วนชั้น 29 ลงไปถึงชั้น 15 เป็นห้องพักของ PMC Blue Hound ซึ่งเป็นหน่วย PMC ลูกของ Azure Wolf ซึ่งขึ้นตรงกับแวนดอลโดยตรง นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมตอนไปรับเหล่งจึงไม่มีพวกเขาไปด้วย ซึ่งจากจุดนี้ ที่ทำให้เกรฟรู้ว่า แม้แวนดอลจะห่ามไปหน่อย แต่เขาก็เป็นคนดี มาริเล่าว่าที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะว่า เขาเชื่อว่าคนทุกคน ควรได้รับโอกาสครั้งที่สอง และสมาชิกของ Blue Hound ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกไร้บ้านหรือนักโทษที่กลับตัวแล้วแต่สังคมไม่ให้โอกาส พวกเขาจะถูกส่งไปฝึกกับทหารจริงๆ ก่อน 6 เดือนด้วยการรับผิดชอบแวนดอลและให้มั่นใจถึงศักยภาพที่พร้อมทำงาน พวกเขาจึงจะเป็น Blue Hound เต็มตัว ไม่มีการบังคับ ทุกคนที่อยู่ที่นี้ ได้เลือกเส้นทางชีวิตของพวกเขาแล้ว เช่นเดียวกับเกรฟ ลิฟท์มาถึง ณ ชั้น 30 พอดี เกรฟเดินเขาไปในนั้นแล้วกดไปที่ชั้น 14 ซึ่ง ชั้น 14-5 ของตึกนี่ เป็นห้องเก็บสรรพาวุธ ยุทโปกรณ์ ของพวกเขาไว้ มีการป้องกันที่แน่นหนา และปลอดภัย เกรฟกดจอดที่ชั้น 14 เขาเดินเขาไปที่ห้องของเขาเอง ในห้องมีปืนสัญชาติรัสเซียแขวนอยู่กับแผงโชว์ปืน พร้อมด้วยเครื่องกระสุนที่นานับชนิดรวมไปถึงเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับการแต่งปืนอยู่มากมาย นั่นทำให้เขาประหลาดใจในความสามารถอันน่าทึ่งในการหาของของมาริ เขาไปสะดุดตาเขากับปืนกระบอกหนึ่ง มันคือ ปืนไรเฟิล A-91
“ซาช่า...” เกรฟกล่าวกับตัวเองเบาๆ “ชั้นขอโทษ...ไอ้น้องชาย...”
“คู่หูหรอ..?” เสียงผู้ชายอันแหบแห้ง แต่ฟังดูลึกลับและน่าค้นหาดังขึ้น เกรฟหันไปมอง ชายในชุดเสื้อแจ๊คเก็ตมีฮูดสีดำสนิทกับกางเกงยีนส์น้ำเงินยืนพิงประตูอยู่ ในมือถือกระป๋องเบียร์ยี่ห้อหนึ่งเอาไว้ ด้วยความที่ฮูดที่ปิดบังใบหน้ามีขนาดใหญ่ ผนวกกับผมสีดำที่ยาวจนถึงบ่า อยู่ในสภาพยุ่งเหยิง ทำให้เกรฟมองเห็นเขาได้ไม่ชัด แต่สัดส่วนความสูงที่เกรฟจำได้ เขาจึงมั่นใจ
“ใช่..ตายไปนานแล้วล่ะ” เกรฟตอบ “แล้วนายล่ะ เบริน?”
“ชั้นแค่มาเช็คสภาพของ...เวลาลงงานต่อไปจะได้ไม่มีอะไรขัดข้อง” เบรินตอบแล้วยกเบียร์ดื่ม
“ทำไมนายถึงไม่อยากให้ใครๆเห็นหน้าล่ะ” เกรฟถามทั้งๆที่ดูว่าคงไม่ได้คำตอบ เบรินเงียบไปคู่หนึ่ง เขาเขย่ากระป๋องเพื่อดูว่า มันหมดรึยัง
“นายมีเหตุผลของนายที่เข้ามาที่นี่ ชั้นก็มีเหมือนกัน” พูดจบเบรินก็เดินจากขึ้นลิฟท์ไป ทิ้งความเงียบไว้กับเกรฟอีกครั้ง
“เหตุผลเหรอะ...จริงด้วยสินะ”
ในที่สุดเกรฟ ก็เดินมาถึงโรงรถขนาดใหญ่ที่ชั้นใต้ดินของตึก มันดูเหมือนโชว์รูมรถสวยมาก เพราะนอกจากรถ SUV คันหรูกว่าหลายสิบคันแล้ว รถซูเปอร์ราคาแพงๆ ที่น่าจะเป็นของแวนดอลอีกเกือบสิบคัน ก็จอดอยู่ด้วย เขาอดใจมองมันไม่ได้อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่โซนจอดรดเล็ก รถซูเปอร์ไบค์หลายคันก็จอดที่นี่ เกรฟตรงแน่วไปที่ ซูซุกิ ฮายาบุสะ สีดำ ที่พึ่งถอยออกมาด้วยเงินส่วนแบ่งของเขาจากงานที่แล้ว เขานึกขำกับตัวเอง ถ้าหากตอนนี้เขายังทำงานอยู่ที่รัสเซีย ก็ไม่รู้ว่า อีกกี่สิบปีถึงจะซื้อมันได้

“The Club เหรอะ..” เกรฟสวมหมวกกันน๊อคแล้วสวมถุงมือขับขี่ “หวังว่า วอดก้าจะแรงได้มาตรฐานนะ” เขาคิดในใจก่อนจะเร่งเครื่องรถบึ่งจากโรงจอดรถไป...

Grandnadoesp
30th September 2012, 22:38
อ่านอยู่ครับ

Alathreon
1st October 2012, 15:25
ครับผม ขอบคุณครับที่ติดตามอ่าน พอดีว่า ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาว่างเท่าไหร่ เลยไม่มีเวลาเขียน ถ้ามีเวลาว่าง ผมจะเขียนลงให้เร็วที่สุดเลยครับ

Alathreon
2nd October 2012, 22:33
006: The Club
ผู้คนยังคนเดินกวักไกว่อันอย่างล้นหลามในย่านมิดส์ทาวน์ เกรฟขับฮายาบุซะเลยออกมาจากไทม์สแควร์ได้ไม่ไกลนักก็ถึงที่หมาย , The Club บาร์ขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ 2 บล็อก สูง 3 ชั้น รถหรูมากมายจอดอยู่เรียงหลายไปหมด หนุ่มสาวนักเที่ยวที่แต่งกายให้แบบต่างๆ ทั้งมาเป็นกลุ่มและเดียว ต่างออกันอยู่หน้าร้าน รอคอยให้เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูประจำร้านประมาณ 4-5 ตรวจสอบสิ่งของในร่างกย ป้ายไฟรูปตัวอักษรสไตล์โมเดิร์นสีฟ้าที่เป็นคำว่า The Club ทำให้เกรฟนึกว่า เจ้าของร้านนี่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับ Azure Wolf ซักอย่าง เขาเบาเครื่องรถแล้วไปจอดที่ถนนฝั่งตรงข้ามร้าน แล้วเดินข้ามถนนไป เขาเดินเข้าไปต่อแถวตามมารยาทแต่จู่ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่ชายของร้านคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“คุณเกวริล เดมอนเชฟ ใช่มั้ยครับ?” เกรฟกล่าวกลับไปสั้นๆว่า ใช่ “คุณโคลบี้ กำลังรออยู่ เชิญครับ”
เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวแหวกทางให้เกรฟแล้วเดินนำเข้าไป เกรฟสังเกตรอบๆ ผู้คนต่างจ้องมองเขา ราวกับเขาเป็นดารา ผู้หญิงบางกลุ่มก็คุยกันแล้วยิ้มมาทางเขา ทำให้เกรฟรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก
เมื่อเกรฟเดินเข้ามา บรรยากาศภายในมันแตกต่างจากที่เขานึกเอาไว้เยอะ ภายในของ The Club มีลักษณะการจัดองค์ประกอบเหมือนอารีน่า ที่ส่วนวงกลมตรงกลาง เป็นบาร์ขนาดย่อมๆ ล้อมรอบด้วยลานเต้น ส่วนรอบๆเป็นส่วนนั่งดื่มเป็นแบบโต๊ะกลม ที่มีโซฟานุ่มๆ อยู่เหมือนบาร์ทั่วๆ มี 3 ชั้น และแต่ละชั้นก็มีบาร์ขนาดย่อมๆอีกแห่งละชั้น ด้วยจำนวนของนักเที่ยวภายในนี่ทำให้ ดูจากทางเข้าเหมือนว่ามันจะแคบ แต่เมื่อเดินเข้าไปกลับพบว่า มันกว้างมากเลยทีเดียว ภายในตกแต่งด้วย เส้นไฟนีออนหลายสีกับบรรยากาศทึมๆราวกับถอดแบบมาจากภาพยนตร์ Tron Legacy ที่เกรฟเคยดูมาไม่มีผิด
“เฮ้!! พ่อตาเหยียว!” เสียงของโคโลเนลดังมาจากชั้นสอง เกรฟมองขึ้นไป ก็เห็นโคลบี้กำลังซดน้ำอะไรซักอย่างซึ่งมีสีค่อนข้างสดใส เขาจึงเดินขึ้นไป คลอด้วยเสียงดนตรี Dubstep มันส์ๆ ที่ทำให้นักเต้นหลายคนไปดิ้นที่ลานเต้นเป็นที่เรียบร้อย
“ที่นี่ คึกดีจัง” เกรฟยิ้มรับทักทายทุกคนในโต๊ะ ที่มีโคโลเนล, แรปป้า และผู้หญิงผมสีเขียว ทรงทวินเทลล์คนหนึ่ง ที่แต่งกายด้วยชุดเดรสสั้นสีฟ้า เช่นกับสีโทนหลักๆ ของร้าน
“นี่แค่ปกตินะ...ถ้าเป็นสิ้นเดือนหรือเทศกาลล่ะก็ จะหายนะกว่านี้อีก” ผู้หญิงคนนั้นกล่าว “อ่ะ ลืมไปเลย ชั้น ลิซ่า เร็กซ์ เป็นเจ้าของร้านนี่น่ะ” ลิซ่ายื่นมือเข้ามา “ผม เกวริล เดมอนเชฟ” ทั้งคู่ เชคแฮนด์กัน “คุณต้องการเครื่องดื่มอะไรไหม?”
“เอ่อ...ผมขอเป็น วอด..” เกรฟกำลังจะสั่งแต่แรปป้าก็ห้ามปรามไว้
“ให้ตายสิ! เกรฟ นายอยู่แมนฮัตตันนะ” แรปป้าหันไปทางลิซ่า “เอาเป็น fifty caliber ก็แล้วกัน”
“ได้!” ลิซ่ากล่าวแล้วหันไปสั่งพนักงานเสิร์ฟที่อยู่ใกล้ๆ
“เอาล่ะ เกวริล ชั้นได้ยินมาว่า ลงงานแรกก็โดนยิงเลยนิ่” ลิซ่ากล่าวอย่างยิ้ม ทำให้เกรฟรู้สึกตกใจเล็กน้อย
“อย่าหวง เธอก็เคยเป็น หมาป่า เหมือนกัน” โคโลเนลบอกกับเกรฟคลายกังวล “เธอเป็นสมาชิกรุ่นแรกกับชั้นและแวนดอล เธอเป็นเลขาที่เก่งใช่ได้เลยล่ะ”
ลิซ่ายิ้มแล้วเอามือขวาปัดลม “อย่ายอกันให้มากเลย ชั้นชอบทำธุรกิจที่มันปลอดภัยมากกว่า อีกอย่าง รุ่นน้องของชั้นก็ทำงานได้ดีนี่”
“มาริ...หรือครับ ?” เกรฟตกใจเล็กน้อย
“ใช่…เธอเป็นรุ่นน้องจากใน...CIA น่ะ ยัยนั้นก็เบื่องานของรัฐเหมือนกัน เลยลาออก ตามชั้นมาน่ะ” ลิซ่าอธิบายให้เกรฟฟัง นั่นทำให้เขานึกถึงคำพูของเบรินก่อนหน้านี้ แล้วเครื่องดื่มที่แรปป้าสั่งไปก็มาพอดี ทุกคนในโต๊ะยุยงให้เกรฟดื่มอึดใหญ่ๆเลย
“อย่าปอดไปเลยน่า เกรฟ” แรปป้ายุ “ก็แค่เหล้าผสมเอง”
เกรฟประหม่านิดๆ ด้วยความที่เขาเป็นคนชอบจิบเหล้า มากกว่าที่จะกระดกมัน แต่ก็ทนแรงยุยงไม่ไหว เขาจึงอั้นใจแล้วกระดกมันไปครึ่งแก้ว รสชาติของเหล้าแรงๆหลายชนิดแย่งกันทำหน้าที่ของมันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตั้งแต่วอดก้า เตกีล่า ยันสาเก สุดท้ายพวกมันก็กระแทกลิ้นของเกรฟอย่างแรงจึงรู้สึกได้...เขาเริ่มจะชอบมันแล้วสิ
“ให้ตายสิ!” เกรฟอยู่ในอาการตะลึง “สูตรนี่ เธอคิดเองรึป่าวเนี่ย !?! รู้สึกดีเป็นบ้า!” ลิซ่ายิ้มแล้วชี้ไปทางแรปป้า เขาก้มแล้วเอียงหัว 45 องศาเป็นเชิง ขอบคุณ เกรฟวางแก้ว ทุกคนในโต๊ะก็คุยกันถึงงานล่าสุดของ Azure Wolf แล้วก็มีพนักงานของร้านคนนึงเดินเข้ามา
“คุณลิซ่า ครับ มีสายมาจากคุณครอสครับ” เขากล่าว ลิซ่าตอบรับ แล้วโคโลเนลก็ขอตามไปด้วย ซึ่งเธอก็ไม่ว่าอะไร เมื่อทั้งคู่ไปแล้ว ก็เหลือแรปป้าอยู่ที่โต๊ะกับเกรฟ ขณะที่เกรฟนั่งดื่ม fifty caliber แก้วที่สองอยู่ แรปป้าก็เอ่ยขึ้น
“เกรฟ..ทำไมนายถึงได้มาเป็นทหารรับจ้างล่ะ ?” เขาถาม “เล่าได้ไหม?”
“…” เกรฟเงียบไปพักนึง “ก็...มีเรื่องขัดแย้งกับเบื้องบนน่ะ...หลังจากชั้นเสียลูกทีมไป 3 คน”
“เสียใจด้วยนะ...” แรปป้ากล่าวนิ่งๆ “ชั้นก็คล้ายๆกับนายนะ...เพียงแต่ชั้นจำเป็นต้องลาออก”
“เกิดอะไรขึ้นกับนาย?” เกรฟวางแก้วเครื่องดื่มลง
“ก็...สมัยที่ชั้นยังเป็นทีมปราบยาเสพติดในริโอ” แรปป้ายิ้ม “ทีมของชั้นดันไปเหยียบหางของตัวใหญ่ๆเข้า… ทีมของชั้นถูกตามล่า บางคนก็หนีไปได้ บางคนก็ตาย พวกผู้ใหญ่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องลาออก แล้วหนีมาที่นี่”
“อืม...” เกรฟพยักหน้า “ชั้นเข้าใจดี...” ทั้งคู่ยิ้มให้กันแล้วยกแก้วเครื่องดื่มของตนมาชนแก้วแล้วดื่ม ให้แก่วันวานอันขมขื่มและไม่ยุติธรรม
“ขอโทษนะ?” ชายหัวโล้นคนนึงในชุดไพรเวทเสื้อกล้ามสีขาวสวมทันด้วยเสื้อเชิ้ตสีเขียวเข้มไม่ติดกระดุมเดินเข้ามาที่โต๊ะด้วยท่าทางนักเลงๆ “นายใช่ราฟาเอล คอสต้ารึป่าว?”
แรปป้าและเกรฟมองหน้ากัน โดยสัณชาตญาณ เกรฟหันหน้าตรวจสอบรอบๆตัว เขาพบชายฉกรรจ์ 5 คนกำลังมองดูพวกเขาอยู่ที่มุมๆต่างในชั้นนั้น แรปป้าหันมามองหน้าเขาอีกครั้ง ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป ด้วยแววตาของนักฆ่า เขาส่ายหน้าเบาๆ
“อ่า...ใช่แล้ว มีอะไรเหรอะ?” แรปป้ายิ้มตอบ
“คุณคาลอส มีของมาฝาก!” พูดจบชายหัวโล้นคนนั้นก็ควักปืน Glock17 ออกมาจากเสื้อเชิ้ต มันปลดไกพร้อมยิง แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว สันมือของเกรฟก็กวาดกระแทกเข้าไปที่ลูกกระเดียกของมันอย่างรุนแรง แรปป้ายืนขึ้นแล้วปลดปืน Glock17 ออกมาจากมืออย่างรวดเร็ว มันลงไปนอนตะเกียตะกายกับพื้นอย่างน่าเวทนา
“ซ้าย 3!” แรปป้าตระโกน “ขวา 2!” เกรฟตระโกนกลับแล้วควักปืนพก MP443 ที่พกติดตัวมาด้วยอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทั้งแรปป้าและเกรฟเล็งปืนแล้วหันไปทางด้วยหลังของตน ศูนย์เล็งปืนพกเล็งไปที่ชายฉกรรจ์อย่างอัตโนมัติ เกรฟเห็นแล้ว พวกมันกำลังจะควักปืน
“ปัง...ปังปังปัง...ปัง” เสียงปืนดังลั่น 5 นัดแทรกเสียงดนตรีที่กำลังปะทุ ชายฉกรรจ์ทั้ง 5 คน ลงไปนอนกองกับพื้นอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือที่จับอาวุธอยู่ยังไม่ทันเอาออกมาจากเสื้อด้วยซ้ำ เลือดสาดกระจุยปะปนกับเศษสมองบนพื้นพรมกำมะหยี ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดร้องของสาวๆผู้ตกใจ แรปป้าหันไปหาชายหัวโล้นที่โดนสันมือของเกรฟเสริฟเป็นอาหารว่าง
“ชั้นก็มีของฝากให้มันเหมือนกัน!” แรปป้าพูดด้วยความเดือดดาด
“ปัง!!!” ปลอกกระสุนกระเด็นตกไปบพื้นพรม เลือดกระจุยเป็นวง ดูราวกับดอกไม้สีแดงกร่ำ

Alathreon
13th October 2012, 20:41
007 : The Game

“สรุปคือ เจ้าพวกนั้น มันต้องการจะฆ่าคุณ เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่คุณผู้ชายทั้งสองคนนั้นช่วยคุณไว้?” นายตำรวจวัยกลางคน รูปร่างผอมบาง กล่าวกับลิซ่า เธอพยักหน้าแล้วตอบว่า ใช่ นายตำรวจคนนั้น ก็พยักหน้าเบาๆ แล้วดึงเดินไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายรายที่กำลังเก็บหลักฐานใน The Club ที่พรุ่งนี้ คงจะโดนพวดหัวข่าว ยิงกันดับ 6 ศพ ดังไปทั่วนิวยอร์คแน่ๆ
“คุณยิงปืนได้แม่นมากนะครับ สำหรับครูสอนภาษา” นายตำรวจกล่าวกับเกรฟก่อนจะเดินจากไป ลิซ่าทำท่ายักไหล่ประมาณว่า ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา
หลังจากเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดนั้นเอง ทำให้แรปป้า, เกรฟ, โคโลเนล จำเป็นต้องไปขึ้นโรงพักเพื่อทำบันทึก ส่วนโคโลเนลไปด้วยในฐานะพยานที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น แวนดอลก็รออยู่หน้า โรงพักอยู่แล้ว
“แรปป้า...เรามีงานที่เจาะจงชื่อของนายเข้ามา” นั้นทำให้แรปป้าเกิดสงสัยถึงความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้น
ชายหนุ่ม 5 คนนั่งอยู่ในห้องประชุมที่ AW Tower โดนมีการติดต่อกับมาริด้วยวิดิโอลิ้ง ผ่านมอนิเตอร์ขนาดใหญ่
“คนที่ติดต่อเข้ามาคือ ริโค มาติน ชื่อนี้น่าจะสะกิดนายนะ เพราะเค้าพูดชื่อของนายมาตรงๆเลย” มาริกล่าว แรปป้า ก้มหน้านิ่งไปครู่นึงก่อนกล่าวเบาๆว่า งั้นรึ
“เขาเคยเป็นผู้บัญชาการหน่วยต่อต้านยาเสพติดของชั้น” ใบหน้าของแรปป้าเต็มไปด้วยรอยย่นจาการขุ่นคิด “เขาช่วยชีวิตของชั้นเอาไว้ ด้วยการสร้างอุบัติเหตุปลอมๆ ทำให้พวกค้ายาคิดว่า ชั้นตายไปแล้ว”
“ตอนนี้ คงไม่แล้ว...” แวนดอลกล่าว “เนื้อหางานคือการคุ้มกันบุคคลสำคัญ นายพอคิดอะไรออกรึป่าว”
“ไม่เลย...ชั้นไม่ได้รับข่าวสารอะไรจากวงในที่บราซิลเท่าไหร่นัก” แรปป้าขุ่นคิด แต่ตอนนี้ในหัวมันตีบตันไปหมด
“ชั้นจะให้นายเลือกเองล่ะกันว่า จะเอายังไง” เมื่อแวนดอลพูดจบ แรปป้าก็หันไปมองทุกคน ทั้งเกรฟ โคโลเนล และเบริน ต่างพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
“ตกลง ชั้นจะไป” แรปป้ากล่าวอย่างมั่นใจ

บรรยากาศชายทะเลของริโอ เดอ จาเนโร ดูคึกคักและสดใสจนทำเอานักท่องเที่ยวหลายๆคนลืมภาพของสลัมเก่าๆที่เต็มไปด้วยแก๊งอันธพาลจนหมดสิ้น แต่ไม่ใช่กับแรปป้า เขาแทบจะจำทุกตารางนิ้วของมันได้ เขาเกิดมากับมัน โตมากับมัน และต้องเจ็บเพราะมัน คนอื่นๆในทีมไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนักขณะเดินทางมาที่นี่ มีเพียงแค่เบรินที่ดูจะเป็นเป้าสายตาของทุกคนในละแวกที่เขาเดินผ่าน สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ตามที่ ริโค่ นายจ้างของงานนี่ระบุไว้ พนักงานของร้านที่ประจำอยู่ที่บริเวณที่นั่งด้านนอกเดินเข้ามาหา แรปป้าจึงบอกกลับด้วยภาษาบราซิล เป็นเชิงว่า ไม่ต้องการอะไร ไม่นานนัก ชายหนุ่มวัยเกษียณร่างกำยำที่ดูก็รู้ว่าเคยเป็นทหารไม่ก็ตำรวจแน่ๆ ในชุดทางการเดินเข้ามาหาพวกเขา
“ราฟาเอล!!!” ชายคนนั้นคือริโค่แน่ๆ เขาตรงเขามาหาแรปป้า ซึ่งคราวนี้จำเป็นต้องเป็นคนนำแทนแวนดอล
“คุณรู้ได้ยังไง...ว่าผมอยู่ที่ไหน?” แรปป้ากล่าวถามด้วยน้ำเสียงกึ่งเย็นชากึ่งโกรธ “คุณก็รู้ดีว่า ถ้าพวกมันเห็นผมล่ะก็ คุณก็คงไม่รอด”
“ใจเย็นๆน่า ไอ้ลูกชาย” ริโค่พูดราวกับคนแก่ที่กำลังดีใจเมื่อได้พบกับลูกชาย “’งั้นมาเถอะ ชั้นจัดที่พักเอาไว้ให้แล้ว” ริโค่กล่าวพลางเดินนำไปทางรถตู้ของเขาเองที่จอดอยู่ แรปป้าหันหน้ามาสบตาเกรฟ เขารู้ดี ด้วยสายตาแบบนั้น
“ให้ตายสิ บราซิลมันน่าเที่ยวแบบนี้ นี่เอง” เกรฟหมุนไปรอบๆอย่างช้าๆเหมือนกับนักท่องเที่ยวขี้เห่อ สายตาจดจ้องไปรอบๆตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับมาอยู่ท่าเดิม มีคนหลายๆคน ต่างจุดต่างๆกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ เขารู้จักได้ทันทีถึงความไม่ชอบมาพากลและความรู้สึกอึดอัดของที่นี่
พวกเขามาถึงโรงแรมระดับ 3 ดาวแห่งหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะอยู่ไกลจากถนนเส้นหลักพอสมควร โรงแรมที่นี่ไม่สูงมากนัก อีกทั้งด้านหลังยังอยู่ติดกันเขตสลัมอีกด้วย ริโค่จัดการเรื่องห้องพักให้กับพวกเขาไว้ที่ชั้น 5 ของโรงแรม มันเป็นห้องขนาดใหญ่ เหมือนกับคอนโดแต่ใหญ่กว่ามาก อยู่ได้ประมาณ 6 คนพอดี เมื่อบอกกล่าวกันเสร็จริโค่ก็ให้ทุกคนได้เต็มตัวเสียก่อน แล้วเขาก็ขอตัวไปคุยกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรม
“น่าสงสัยชะมัด” โคโลเนลที่กำลังเช็คสัมภาระในกระเป๋าของตนที่ไม่มีอะไรนอกจากปืนไรเฟิล M14EBR ของตนและชุดเคฟล่าและกระสุน ของคนอื่นๆก็ไม่ต่างกันมากนัก
“ในเนื้องานระบุว่า เป็นงานคุ้มกัน แต่กลับไม่ใช่คนของรัฐ แถมยังเอ่ยชื่อของแรปตรงๆอีก ชั้นคิดว่า งานนี้มันอะไรแอบแฝงแน่ๆ” มารินั่งลงบนเตียงที่อยู่ติดกับประตูระเบียงที่เป็นกระจกบานใหญ่
เกรฟได้เห็นอาวุธประจำตัวของเธอ ปืนพก SVI Infinity 6 สีดำอันสวยงาม
ถึงแม้จะอยู่ในสภาพที่ไม่รู้อะไรแน่ชัด แต่ทุกคนก็จัดเตรียมข้าวของอย่างมืออาชีพ ดูไม่ต่างจากสภาพตอนอยู่ในสงครามเท่าไหร่นัก เกรฟเปิดกระเป๋าของตนดู ปืนไรเฟิล A-91 ติดตั้งเครื่องยิงระเบิด ขนาด 40มม. และศูนย์เล็งพื้นฐานอันเป็นหนึ่งในอาวุธชิ้นโปรดของเขาร่วมกับ “น้องชาย” ของเขา นอนอยู่ในกระเป๋า เขาเปิดมันไว้ แต่ไม่ได้เอาออกมา ไม่นานนัก ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เบรินที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างยกปืนพกขึ้นเล็งในทันที
“รูม เซอร์วิสครับ!!” เสียงของเด็กวัยรุ่นดังขึ้นหลังประตูไม้ แรปป้าที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดมองหน้าทุกคน ริโค่สั่งให้รูม เซอร์วิส มางั้นหรอ เขาค่อยๆเดินไปเปิดประตูอย่างช้า ปรากฏเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เข็นรถขนผ้าบนหนูและของใช้จิปาถะมาด้วย
“เอ่อ คือทางเราไม่ได้...” แรปป้ากำลังจะพูดจบ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ขัดขึ้นทันที “เป็นของฝากจากคุณคาลอสน่ะครับ!” พูด เขาก็สะบัดผ้าขนหนูออกจากรถเข็นแล้วคว้า AK-47 ขึ้นมา พร้อมจะยิงทันที เพียงชั่วพริบตา กระสุนขนาด 9 มม. 3 นัดก็พุ่งไปหาหัวของเด็กหนุ่มคนนั้น เบรินนั้นเอง เขาลั่นไกอย่างไม่ลังเล
“อะไร?” เสียงที่แหบแห้งจากปากของชายหน้ากากที่ไม่ได้มีให้ได้ยินกันบ่อยๆ ดังขึ้น หลังจากทุกคนในห้องหันไปมองเขา ก่อนที่แรปป้าจะได้เอ่ยพูดอะไร เสียงระเบิดก็ปะทะกับผนังห้องอย่างรุนแรง แรปป้าพุ่งตัวหลบออกมาอย่างรวดเร็ว เขารวมไปถึงทุกคนต่างพุ่งไปคว้ากระเป๋าของ เกรฟมั่นใจว่า เขาได้ยินแวนดอลสบถสาปแช่งเบาๆ เมื่อทุกคนได้กระเป๋าและหมอบลงแล้ว ก็มีเสียงห่าปืนดังออกมาจากด้านนอกห้อง เหมือนพวกมันล้อมพวกเขาไว้แล้ว กระสุนปืนทะลุผนังปะทะกับข้สวของเครื่องใช้กระจัดกระจายราวกับหนังฮ่องกง
“หน้าต่างๆ” โคโลเนลพูดขึ้น เมื่อทุกคนได้จังหวะ ต่างคน ต่างก็พุ่งออกไปทางด้านระเบียง และพบว่า หลังจากบ้านสลัมในละแวกนั้นสูงพอจะโดดลงไปได้ “เหมือนตอนอยู่ที่ริโอเลยเฮะ” เกรฟนึกถึงคำพูดของแรปป้าที่เกาลูนขึ้นมา
“โดดเลย!” แรปป้าตระโกนแต่ดูเหมือนว่าจะช้าไป ระเบิดแรงสูงอีกลูกถูกยิงมาในห้อง แรงระเบิดส่งผลให้พวกเขากระเด็นตกมาจากระเบียง เกรฟยังคงกำกระเป๋าตนเองเอาไว้แน่น แล้วมองเห็นหลังคาสังกะสีเบื่องหน้าของตน เขาใช้กระเป๋าเป็นตัวนำในการรับแรงกระแทก แต่ทว่า เหมือนหลังคานั้นถูกจัดเอาไว้แล้ว ตัวเขาพุ่งทะลุรูหลังคาขนาดพอดีตัวเข้ามาในห้องๆหนึ่งในบ้านสลัม ซึ่งมีผนังห้องที่หนามาก แต่ยังพอได้ยินเสียงจากภายนอก พร้อมกับประตูเหล็กเบื้องหน้าที่ล๊อดเข้าไว้ด้วยระบบไฟฟ้า จากการฟังเสียง คนอื่นๆก็คงเป็นเหมือนกัน เกรฟรีบปลดกระเป๋าแล้วแต่งกายด้วยชุดรบ เสื้อเคฟล่าประจำของ AWP สนับเข่าและศอก แว่นตานิรภัยสีเหลือง ไม่เยอะมาก แต่เพียงพอต่อการทำภารกิจทั่วไป สุดท้าย เขาก็นำหูฟังติดก้านไมโครโฟนที่เป็นชุดวิทยุขนาดพกพาเสียบหูแล้วเปิดเครื่อง
“ทุกคน! รายงานตัวด้วย นี่แวนดอล อยู่กับมาริ” เสียงแวนคอลดังขึ้นในวิทยุ
“แรปป้ากับโคโลเนล” เสียงของแรปป้าดังขึ้นด้วยน้ำเสียงลุกลนซึ่งมันมากกว่าปกติ
“เกรฟ หมาป่าเดียวดาย” เกรฟตอบกลับ
“เช่นกัน” เสียงแหบๆดังตอบกลับมา
“เอาล่ะ แรปป้า นี่มัน บ้าอะไรกันเนี่ย” แวนดอลถามอย่างไม่สบอารมณ์ เกรฟก็สังเกตได้ พวกคนที่ไล่ยิงพวกเขาเมื่อครู่ ไม่ได้ตามมา เหมือนกัน ต้องการไล่ต้อนพวกเขาให้อยู่ในสภาพนี่มากกว่า
“คาลอสเริ่มแล้ว...” แรปป้ากล่าว “มันเป็นเกม...เมื่อเกมเริ่ม เราต้องฝ่าสลัมแห่งนี้ ออกไปให้ได้”
“ฝ่าอะไร...” เกรฟถาม
“กองทัพ...ส่วนตัวของคาลอส เจ้าพ่อค้าขายที่ชั้นทำให้ธุรกิจของมันดิ่งลงเหวเมื่อหลายปีก่อน” แรปป้ากล่าวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย “ชั้นขอโทษที่ลากพวกนายเข้ามาเกี่ยว”
ทุกคนต่างเงียบไป
“ซาวด์เช็คๆ” เสียงชายหนุ่มที่มีท่าทางกวนประสาท ฟังเผินๆมีส่วนคล้ายเสียงของแวนดอลดังขึ้น มาจากลำโพงเล็กๆในห้องของแต่ละคน
“ก็อย่างที่คุณราฟาเอล เขาว่า นั้นแหละครับ” เกรฟได้ยินเสียงแรปป้าพูดเบาๆผ่านวิทยุว่า คาลอส “แหม ต้องขอโทษจริงๆ ที่ผมไม่ได้ชวนเชิญพวกคุณดีๆ เพราะเรื่องสนุกๆ มันจะสนุกขึ้น เมื่อเปิดตัวด้วยการเซอไพรส์!!!”
“ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ประตูตรงหน้าของพวกคุณจะเปิดออก นั้นหมายถึงเริ่มเกมครับ” คาลอสเว้นจังหวะแล้วกล่าวต้อง “มีกติกาง่ายๆก็คือ พวกคุณต้องฝ่าไปในเส้นทางของตนเอง โดยที่ห้ามเข้าไปเสือกกับเส้นอื่นๆเด็ดขาด ซึ่งมันก็คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไม่งั้นจะหาว่าใจร้ายไม่ได้นะครับ ฮี่ๆๆๆๆ”
เกรฟพอนึกออกเลยว่าแวนดอลหมั่นไส้หมอนี่ขนาดไหน
“แล้วถ้าคิดจะหนีล่ะก็ อย่าพยายามเลยครับ เพราะพื้นที่ตรงนี้ ถูกขุดต่ำลงกว่าระดับพื้นดินตั้ง 10 เมตรนะครับ อาคารทางเดินก็ใช่ว่าจะปีนกันได้ง่ายๆ อีกอย่าง สไนเปอร์ของผมก็ตาดีมากเลยนะครับ ฮี่ๆ”
“ก่อนะจะเริ่ม ผมมีอะไรจะบอกไว้อย่างนึงครับ...เกมๆนี้ ไม่เคยมีใครชนะมาก่อน และอีกอย่าง...จะชนะยังไงนั้น ตัวผมเองก็ยังไม่รู้เลยครับ!!!”
“จากนี้ก็...ขอให้โชคดีนะครับทุกคน” ประตูเหล็กตรงหน้าเกรฟถูกเปิดออก “ทุกคน...อย่าตาย” แวนดอลกล่าวออกมาเรียบๆทางวิทยุ “ไปตามล่า ไอ้หอกหัก นี่กัน!!!”

Alathreon
24th October 2012, 22:25
008: Pin Down

การนอนๆ หมอบ อยู่ในบังเกอร์ที่อยู่ท่ามกลางหิมะหนาเป็นเมตร มันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก เมื่อต้องเอามาเทียบกับการเป็นตัวเบี้ยของเจ้าพ่อค้ายาสพติด-เศรษฐีหนุ่ม-ไอ้โรคจิต-ไอ้กวนประสาท ในเกมที่มันจัดขึ้นมา แหม ถึงจะดูบ้าและบัดซบ แต่เกรฟก็อดชมคาลอสไม่ได้จริงๆ ที่หมอนั่นใจถึงพอกับการทุ่มเงินมหาศาลสร้างเขตสลัมปลอมๆขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้วโยนพวกโรคจิตหรือไม่ก็พวกนักเลงคึกทะนองเข้ามาที่นี่ เพื่อรอเชือดพวกเบี้ยที่คาลอสจับมาได้แล้วอยากทรมานเล่น ความรู้สึกของเกรฟตอนนี้ มันคงไม่ห่างจาก แคทนิส ตัวเอกของ Hunger Game มากนัก เพียงแต่ว่า เกรฟ...ฆ่าทุกคนที่หันปืนมาใส่เค้า
ยังดีที่พวกกองทัพส่วนตัวของคาลอส ไม่ได้ยกโขยงมากันหมดในทีเดียว เกรฟนั่งอยู่ในบ้านสลัมหลังแรกที่อยู่ห่างจากจุดปล่อยตัวไม่มากนัก เค้าหยิบแมกกระสุนจากกระเป๋าจากศพของชายผิวดำในชุดลายดอก ห่างออกไป 3 ก้าวมีอีก 4 ศพนอนซบกันอยู่ ดูเหมือนจะง่าย แต่ไม่เลย เกรฟโดนพวกมันระดมจากในบ้านหลังนี้ ในขณะที่เขาพึ่งเดินออกมาจากจุดปล่อยตัว เกรฟสไลด์ตัวหลบเข้าที่กำบังอย่างรวดเร็วแล้วต้องค่อยๆหาจุดยิงในขณะที่ต้องเปลี่ยนตำแหน่งไปด้วย สุดท้าย พวก 4 คนนั้นก็เสียท่าให้กับเกรฟในขณะที่ชายเสื้อลายดอกพยายามหนีออกทางประตู ทันทีที่เขาเปิดมัน ใบมีดคมๆสีดำสนิทของเกรฟก็ฝังตัวทะลุเปลือกระโหลกเข้าสู่ส่วนซีรีบัมอยากรุนแรง นั้นเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ประมาณครึ่งนาที มีดเล่มนั้นยังคงอยู่ที่เดิม ปืนที่พวกนี้ใช้คือ AK-47 ซึ่งส่งผลดีกับสภาวะกระสุนของเกรฟ เพราะ ปืนไรเฟิล A-91 นั้นใช้กระสุนขนาดเดียวกับ แถมแมกกระสุนยังใช้ได้อีกด้วย เกรฟยืนขึ้นแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะปล่อยมันออกมา ดึงมีดของตนกลับเข้าฝักแล้วค่อยๆเดินออกจากบ้านไป
เสียงปืนดังไล่ๆกัน มาจากเส้นทางอีกฝั่งนึง เป็นสัญญาณว่าทุกคนก็เริ่มแล้ว เกรฟหวังไว้ลึกๆว่า ขอให้ทุกคนปลอดภัย
“ไอ้พวก*****นี่ มันจะยิงแม่นไปไหนวะ” คงไม่ต้องหวังแล้วล่ะ “มาริ เร็วเข้า!!” แวนดอลตระโกนฝ่านวิทยุ เห็นได้ชัดว่าอารมณ์เลือดร้อนของเขากำลังพุ่งถึงขีดสุด ไม่นานนักนัก ก็มีเสียงปืนดังแทรก
“อยากรับหน้าที่แท็งค์เลยนี่นา” มาริพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นได้ชัดว่า แวนดอลใช่ทักษะของเธอในการแทรกซึมที่ได้มาจาก CIA คอยเก็บกวาดพวกของคาลอส โดยมีแวนดอลเป็นตัวล่อ
“เจ้าพวกนี้เป็นพวกแก๊งค้ายาหรือพวกอันธพาลที่มีทั้งอาสามาและโดนเขี่ยทิ้ง” แรปป้ากล่าวอย่างเรียบๆ “แต่ยังไง ระวังไหนหน่อยก็ดี อย่าปะทะตรงๆ พวกมันไม่ค่อยชินกับการเซอไพรส์มากนัก”
“ใจเย็นน่า แรป” โคโลเนล กล่าวติดตลก “จริงอย่างที่นายพูด พึ่งมีไอ้บ้าตัวนึงทำปืนลั่นใส่เพื่อนตัวเอง ****....” เขาขำเบาๆหลังจากพูดจบ ก่อนจะพูดว่า ไปกันต่อเถอะ หลังจากนั้น การติดต่อก็เงียบไป
ไม่มีใครกล่าวถึงเบิร์น ความจริงคือ ไม่ต้องกล่าวมากกว่า หมอนั่นคงชอบด้วยซ้ำไปที่ตัวเองได้ไปคนเดียว
เกรฟมาถึงจุดต่อมา มันเป็นเหมือนเกมจริงๆ ก่อนหน้านึ่ มีกัน 4 เมื่อเล่นเกมต่อก็จะเจอด่านที่มันยากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นจุดที่ดูคล้ายกับตลาดมาก เพียงแต่ไม่มีขาย ข้าวของวางระเกะระกะไปทั่ว มีคนเฝ้าที่นั่งอยู่ติดๆกันอยู่ 4 คน พวกมันดูสบายใจเกินไปเหมือนเชื่อมั่นว่า เค้าคงผ่านจุด 1 มาไม่ได้ ถัดไปเป็นซอยแคบระวางบ้าน เกรฟต้องทำตามคำแนะของแรปป้าว่าด้วยเรื่องของเซอไพรส์
ระเบิดมือที่ถูกปลดสลักออกแล้ว ตกกระทบพวกมัน คงจะไม่เคยเห็นระเบิดกัน อวัยวะรยางค์ของพวกมันขาดกระจุยกระจากตามแรงระเบิด เกรฟรู้สึกได้ถึงแรงผลักเบาๆ พวกนั้น 4 คนตายทันที ส่งผลให้บ้านในซอยแคบๆดังกล่าว เกิดเสียงอึกทึกขึ้น ก่อนที่ประตูของบ้านแต่ละหลังจากถูกเปิดออกด้วยแรงถีบ แก๊งของคาลอสโผล่พรวดออกมาจากบ้านสลัมในซอยนั้น เกือบสิบคน อาวุธ ครบมือ พวกมันอยู่ในอาการตกใจทำให้เกรฟที่ดักรออยู่แล้วได้โอกาส เขายิงปืนลูกระเบิด 40 มม.นำเข้าไป แล้วยิงซ้ำเข้าไปทันที ลูกระเบิดไปกระทบกับผนังบ้านแล้วเกิดการระเบิด สะเก็ดของมันกระจายไปทั่ว พร้อมกับศพของพวกมัน 2-3 คนที่ลงไปกองกับพื้น พวกมันรู้ตำแหน่งของเกรฟแล้ว แต่เกรฟกระหน่ำยิงเข้าไปเป็นชุดๆ ดุดันและแม่นยำ คมกระสุน 7.62 ร้อนๆฉีกกระชากเนื้อของพวกมัน เลือกที่กระเด็นออก ตามวิถีกระสุนที่บ้างก็ทะลุออกไป บ้างก็ฝังในร่างกาย เกรฟกระพริบตาหนึ่งครั้ง หลังจากพวกมันที่ยืนเป็นคนสุดท้ายอยู่ลงไปกองกับพื้น แล้วเปลี่ยนแมกกระสุนอย่างรวดเร็ว ค่อยๆเดินเข้าไปตรวจสอบ โดยไม่ลืมระวังรอบๆตัว พยายามฟังเสียงต่างๆท่ามกลางเสียงปืนกระหึ่มเบื้องหลัง
“จุดนี้คงเคลียล์แล้วล่ะ” เกรฟลดปืนลงและตรวจสอบตัวเอง กระสุนมีเหลืออีก 4 แมก ระเบิดมือ 1 และลูก 40 มม. อีก 2 เนื้อตัวเปรอะเปื้อนมากจากทั้งขี้ดินและรอยไหม้จากกระสุนที่พุ่งเฉียวตัวเขาไป
เวลาพักมีไม่มาก เกรฟจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม ณ จุดนี้ เกรฟยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดของสลัมแห่งนี้เลย เขาเข้าไปเอียงตัวตรวจบ้านทุกหลังที่ พวกแก๊งนั้นโผล่กันออกมา มีเพียงขวดเหล้าหลายขวดที่ยังไม่หมด พิซซ่า 2-3 ถาด กองบุหรี่ และทีวีที่เปิดรายการเพลงค้างไว้ เหมือนกันที่อยู่อาศัยเลยทีเดียว เกรฟสันนิษฐานว่า สลัมแห่งนี้ คงเป็นทั้งที่พักของแก๊งและลานประหารไปด้วย ถ้าเป็นจริงอย่างนั้น น่ากลัวว่า จำนวนของศัตรูน่าจะถึงหลักร้อย
“ถึงจุดที่สอง กำลังไปจุดที่สาม” เสียงแรปป้ากล่าวมาทางวิทยุ
“ถึงจะมียัยมาริถ่วงแต่ก็ถึงแล้ว” แวนดอลตอบกลับมา “เฮ้!!!! เอาปืนของชั้นคืนมาได้รึยัง!?!”
ดูท่าทางจะไม่มีปัญหา เกรฟกำลังจะตอบกลับไป แต่ก็หยุดไปเสียก่อน
“แหมๆ มาถึงเร็วกว่าที่ผมคิดนะครับเนี่ย” คาลอส “คุณราฟาเอลนี่ ช่างเลือกทีมได้เก่งจริงๆ เหมือนกับทีมที่แล้วเลยนะครับ” แรปป้าไม่ได้พูดอะไร เพราะเขารอที่จะพูดกับเจ้าตัวเอง
“พอดี เมื่อไม่นานมานี่ ผมพึ่งซื้อของเล่นใหม่มานะครับ แล้วยังไม่ได้ทดสอบเลย”
“อะไรอีกวะ” เสียงของแวนดอลที่แสดงออกได้ถึงความอดกลั้นอย่างเต็มที่ ดังผ่านวิทยุ
“ก็เลย...กะเอามาลองทดลองที่นี่เลย น่ะครับ” เกรฟที่เดินมาได้ซักพักหยุดลง ก่อนจะมองไปที่ด่านข้างหน้ามันเป็นอาคารสูง 3 ชั้น เขามองไปทางด้านข้าง ที่เส้นทางอื่นๆ แม้จะมีกำแพงสูงกั้นอยู่แต่ก็พอเห็นได้นิดๆ มันก็มีตึกที่หน้าตาคล้ายๆกันอยู่ เช่นเดียวกัน แต่มันไม่ติดกันเพื่อป้องกันการข้ามเลนอย่างที่คาลอสว่า
“เจอตึกรึป่าว?” โคโลเนลพูดขึ้น
“อืม หน้าต่างเยอะมาก” มาริกล่าว และเกรฟได้ยินเสียงสบถของแวนดอลดังแทรกมาด้วย
“เอ้า! เด็กๆ จัดของให้พี่ๆเขาหน่อยสิ” คาลอสว่า ไม่นานนัก หน้าต่างจำนวนหลายสิบบานที่มีแผ่นกระดานปิดอยู่ก็เปิดออก แท่งเหล็กยาวที่เป็นรูกลวงค่อยๆเผยโฉมออกมา เค้าที่เกรฟเห็นก็มีประมาณ 4 กระบอก อยู่ในตำแหน่งที่หน้าต่างเยื้องๆมุมตึกของแต่ละตึกพอดี
“คิดว่าใช่ป่าววะ?” โคโลเนลกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “รู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเจอในแบกแดด”
“PKM…” เสียงของเบิร์นขึ้นมาเบาๆ แต่ก็สร้างความหวาดผวาให้กับทุกคนได้ โดยเฉพาะกับเกรฟ เขาเคยเป็นพลประจำปืนกลกระบอกนี้มาก่อน
“หลบโว้ยยยยย!!!!” โคโลเนลตระโกนลั่นจนแสบแก้วหูจองเกรฟ ไม่ต้องบอกก็รู้โว้ยย เกรฟอยากตะโดนกลับไปเช่นนั้น เขารีบวิ่งแล้วสไลด์ตัวหลบเขาไปในที่กำบังที่ “ดู” แข็งแรงที่สุดในบริเวณนั้น เสียงดินปืนระเบิดอันดังกนะหึ่มดังนำร่องมาเป็นนัดแรกก่อนที่จะตามมาอีกหลายห่า เกรฟกดหัวตัวเองให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่ทำได้ ลองจากรอให้กระสุนพวกมันหมด กระสุนจากปืนกลทั้ง 4 กระบอกทั้งกระทบที่กำบัง ทั้งเฉียวข้ามหัวเกรฟไป สร้างความเสียวได้ดี แสดงได้ชัดถึงความยังไม่คุ้นและชำนาญของผู้ยิงเพราะกลุ่มกระสุนยังกระทบห่างจากตัวเขาอยู่ แต่ก็ไม่มากพอที่จะมีโอกาสให้ลุกขึ้นยิงสวน
“มีคำแนะนำอะไรไหมโว้ยยยย” โคโลเนลกระโกนผ่านเข้ามา พร้อมมีเสียงปืนกลเป็นเพลงแบ๊คกราวด์
“ไม่มีโว้ยยย” เกรฟตระโกนกลับ “ไม่นึกว่าชาตินี่ จะโดนปืนชาติตัวเองไล่ยิงนี่หว่า”
“ปืนรัสเซีย****มีทั่วโลกนั่นแหละ!” โคโลเนลตอบกลับอย่างติดตลก เกรฟเองก็ขำอย่างช่วยไม่ได้
แต่แล้วในเสียงปืน เกรฟก็ได้ยินเสียงแปลกปลอม.. เสียงใบพัดกระแทกแหวกอากาศจำนวน 2 ใบ และดูเหมือนว่า พลยิงปืนกลนั้นจะเปลี่ยนเป้าหมายแล้ว
แรงระเบิดมหาศาลก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าของเกรฟ เปลวไฟเผาผลาญทุกสิ่ง ตัวตึกแทบจะถล่มในทั้งทีที่มันระเบิด เกรฟมองไปบนฟากฟ้า เห็นลูกจรวดขนาดเล็ก พุ่งเข้าใส่ตึกรังปืนกลในแนว 45 องศาในเลนส์ถัดไป และตามมาด้วยลูกที่ 3 และ 4 อย่างรวดเร็ว เกรฟยังสามารถสัมผัสได้ถึงแรงระเบิดอันมหาศาลจากเลนส์ที่ 4 หรือเลนส์ของเบิร์น
“เฮ้ย!! มาริเอาพรีเดเตอร์มาด้วยหรอวะ?” โคโลเนลกล่าวอย่างตื่นเต้น
“ชั้นป่าวนะ” มาริกล่าวขึ้น
“งั้นของใครกัน” แรปป้าพูดด้วยเสียงห้วนๆแต่แฝงไปด้วยตื่นเต้น
เกรฟยืนมองดูซากตึกตรงหน้า มันช่างเป็นการทำลายที่สวยงาม เขาพูดอะไรไม่ออก
“เฮ้ย! นั้น*****อะไรวะนะ พวก***ทำอะไรวะ?!? ” คาลอสตระโกนอย่างตื่นตระหนก เดาว่า ตอนนี้ แวนดอลคงยิ้มไม่หุบ
“ไฮๆๆ ยังใช้คลื่นเดิมอยู่จริงๆด้วยนะ” เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นผ่านวิทยุของทีม Azure Wolf, เสียงนั้นมีสำเนียงของชาวเอเซียอยู่ แต่ฟังดูแล้ว ยังไงก็ไม่น่าใช่คนจีน “เด็กเก่ารายงายตัว ครับผม”
“ตายยากจริงๆนะเอ็ง” เสียงของแวนดอลที่แฝงไปด้วยความยินดีดังขึ้น
“ชั้นไม่ตายง่ายๆหรอก” เสียงนั้นกล่าวขึ้นอีกครั้ง เกรฟมองไปด้านบนเห็นเครื่องบินไร้คนขับ พรีเดเตอร์บินผ่านไปอย่างสวยงาม ด้านหลังของมันมีเครื่องบินออสเปรย์ลอยตัวตามมา มันบินมาอยู่เหนือหัวของพวกเกรฟ แรมด้านหลังที่เปิดอยู่แล้วมีชายในชุดดำ 2 คน คนหนึ่งนั่งอยู่ที่ริมสุดของแรม อีกคนยืนอยู่ ทั้งคู่มีสายสลิงคล้องตัวไว้ ชายคนแรกพับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วเก็บใส่กระเป๋าที่ติดอยู่กับเวสท์ด้านหน้า ส่วนอีกคนถือปืนสไนเปอร์ M82 ที่เห็นได้ชัดเจน เขายิงมันอย่างไม่ยากเย็นทั้งๆที่อยู่ในท่ายืน ดูเหมือนเป้าหมายจะเป็นสไนเปอร์ที่คาลอสว่าไว้ตอนต้น
“นั้นหรอ เด็กใหม่?” เสียงชายเอเชียดังขึ้น ดูเหมือนชายที่นั่งอยู่ริมแรมจะคือชายคนนั้น เพราะเขากำลังใช้กล้องส่องทางไกลขนาดเล็กส่องมาที่เกรฟ
“น่าสนใจดีนี่...”

Alathreon
3rd November 2012, 13:06
009: Dismiss
เครื่องออสเปรย์ลอยลำอยู่เหนือหัวของเกรฟ ชายผู้ที่นั่งบนแรมหยิบเชือกเคเบิลเพื่อเตรียมให้พวกเขาปีนขึ้นมาบนเครื่อง ข้างๆมีชายในชุดคลุมพลแม่นปืนที่แบก M82 เอาไว้ราวกับว่ามันเบาเป็นไม้กวาด

“เราต้องรีบ..ชั้นมีเรื่องที่ต้องคุยกับพวกนายยาวเลยล่ะ” ชายที่นั่งบนแรมกล่าวผ่านวิทยุ ฟังดูจากน้ำเสียงและการพูด เขาค่อนข้างจะสนิทกับพวกแวนดอลมากทีเดียว

“แกรู้ได้ยังไงว่า พวกชั้นอยู่ที่นี่ แคสเซิล?” แวนดอลถามกลับไป

“เอาเป็นว่า ค่อยคุยกันหลังจากออกจากที่นี่ก่อนดีกว่า” เขาตอบกลับมา “อีกอย่าง ชั้นเปลี่ยนโค้ดเนมแล้ว จากนี้ เรียกชั้นว่า อลาทีออน…”

“ชื่อห่าอะไรวะ?” โคโลเนลพูดขึ้นมาทันที เขา-คนที่บอกให้เรียกเขาว่า อลาทีออน ขำยกใหญ่

“ให้เด็กใหม่ขึ้นมาก่อนล่ะกัน” อลาทีออนพูดพลางกวักมือเรียกเกรฟ
เกรฟมองขึ้นไปแล้วใช้ตะขอเหล็กเกี่ยวสายเคเบิล ความรู้สึกแปลกๆเหมือนถูกใครจ้องมองเกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขามองไปที่ซากตึกที่โดนจรวดทำลายย่อยยับ ห่างออกไป เขาเห็นคนมากมายที่แบกอาวุธเต็มอัตราศึก หลายๆคนในนั้นแบกท่อนสีน้ำตาลที่เกรฟรู้สึกว่า มันคุ้นตาเหลือเกิน

“ไปตายซะ ไอ้พวกระยำ!!!!” เสียงของคาลอสดังแว่วออกมาทางลำโพง

“RPG!!!!” เกรฟตระโกนลั่น แล้วปลดตะขอเหล็กทันที
เสียงกระสุน .50 ระเบิดลั่นพร้อมกับศพของคน 2 คนที่มีรูโบ๋บนร่างกาย แต่หัวรบจรวดก็ถูกยิงมาแล้ว มันบินว่อนผ่านเครื่องออสเปรย์ไปอย่างฉิวเฉียด

“****...” อลาทีออน จับสายเคเบิลแล้วโรยตัวลงมาหาเกรฟ

“ชาเมเลออส คอยยิงคุ้มกัน คนอื่นๆด้วย” อลาทีออน สั่งการ “ฮอร์เน็ต บินวนให้อยู่ในวงกว้างแต่อย่ามากเกินไป แล้วรอคอยคำสั่ง”

“รับทราบ” เสียงนักบินดังขึ้น

“ชั้นถนัดการรบภาคพื้นดินมากกว่าน่ะ” เขาตอบเกรฟที่ทำหน้างุนงง ว่าเหตุใดอลาทีออนจึงลงมาจากเครื่อง

เกรฟสำรวจอลาทีออน ชุดทหารสีดำที่มีอุปกรณ์ครบครัน แขนเสื้อพับมาจนถึงศอก เวสท์ที่มีซองกระสุนอยู่ 4 ซอง และกระเป๋าขนาดกลางที่ใส่เครื่องคอมพ์ควมคุมพรีเดเตอร์ที่ตอนนี่ย้ายไปอยู่ด้านหลัง รองเท้าคอมแทบเปื้อนดิน ในมือถือปืนไรเฟิล SIG553 ติดตั้งกริบหน้าและกล้องเล็งแบบไฮบริด ACOG + Red dotศรีษะถูกปิดด้วยผ้าซีมัคตั้งแต่คอถึงจมูก สวมทับด้วยแว่นต่อสู้สีดำ และเฮดเซตแบบเป็นสายรัดกับศรีษะเกรฟจ้องมองสัญลักษณ์รูปมังกรที่ติดอยู่ที่เวสท์ของอลาทีออนครู่หนึ่ง

“แคส...อลาทีออน ไหนบอกมาสิ ว่าแผนแกเป็นยังไง” แวนดอลกล่าวถาม เสียงปืนรัวดังแทรกเป็นระยะๆ
เช่นเดียวกับเลนส์อื่นๆ

“การยิงกำแพงแล้วรวมกลุ่มกัน คงเป็นไปไม่ได้” เขาอธิบาย “พวกนายต้องฝ่าไปอีกประมาณ 300 เมตร จะถึงจุดสิ้นสุดของแต่ล่ะเลนส์ ดูเหมือนว่า ตรงนั้นจะเป็นออฟฟิซที่เป็นศูนย์กลางการกระจายเสียงและทางออกทางเดียว”

“ไอ้คาลอสอยู่ที่นั้นสินะ ให้มันได้อย่างงี้สิ” โคโลเนลบ่น พลางยิง M14 ใส่ศัตรูอย่างแม่นยำ

“อลาทีออน” แรปป้ากล่าวถาม “เหลือจรวดอีกกี่ลูก?”

“..6 ”

“เหลือไว้ซัก 2 นะ …พอดีชั้นยังไม่มีของฝากให้คาลอสมันเลย”

“น่าสนุกแฮะ” เขากล่าว “เอาล่ะ อีก 20 นาที เจอกัน โชคดี!”

เกรฟเช็คกระสุนที่เหลือแล้วบรรจุพร้อมยิง

“เกรฟ” อลาทีออนพูด “นายคอยระวังหลังให้ชั้นนะ ชั้นจะเป็นตัวบุกให้เอง”

“ได้ อย่าขวางทางปืนชั้นก็พอ”

เกรฟยิ้ม อลาทีออนทำท่าเป็นเชิง ใช้ได้ แล้ววิ่งนำเกรฟไปปะทะกับศัตรูอย่างรวดเร็ว เกรฟรีบวิ่งตามไป อลาทีออนสไลด์ตัวแล้วยิงพวกมันล้มลงไป 3 คนอย่างรวดเร็ว เขาเปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็วทำให้พวกมันจับตำแหน่งไม่ได้แล้วจัดการพวกมันไปได้อีก เกรฟที่มาถึง คอยยิงสนับสนุนให้เขาสามารถทุกทะลวงได้ราบลื่น ในขณะที่จัดการพวกไปอีก 2 คน พล RPG แตกตื่นแล้วพยายามพวกเขา แต่แล้วด้วยเสียงระเบิดดังลั่น หัวของมันแตกกระจุยกระจาย เลือกสาดกระเด็นไปทั่ว เป็นฝีมือของสไนเปอร์ที่อยู่บนออสเปรย์-ที่อลาทีออนเรียกว่า-ชาเมเลออส ต่อจากนั้น ชาเมเลออสก็เก็บแมเพิ่มอีกด้วยการยิงที่รวดเร็ว แม็กกาซีน กระสุน.50 ถูกสับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ส่วนคาลอสก็สบถคำด่าทุกคำเท่าที่จะนึกได้ ทุกๆ 30-60 วินาที เกมส์เปลี่ยนแล้ว
ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงที่ 250 เมตรพร้อมกับคำด่าของคาลอสที่ดูเหมือนว่า เจาจะเพี้ยนไปแล้ว และเสียงแสดงความมีชัยของแวนดอล ด้วยจำนวนศัตรูที่มีเยอะ อลาทีออนจำต้องใช้จรวดพรีเดเตอร์ 2 ลูกในการจัดการ วิญญาณหลายสิบดวงถูกเพลิงจรวดทำลายล้างอย่างดุดันและเฉียบพลัน เกรฟรู้สึกเหมือนได้กลับไปสนามรบอีกครั้ง กับความวินาศสันตะโรชนิดไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ของพวกเขา เสียงหวอไซเรนของรถตำรวจและรถดับเพลิงดังกันระงมมาไกลๆ คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะมาถึง เพราะที่นี่อยู่ลึกจากตัวเมืองและถนนทางเข้าก็แคบ เปลวเพลิงที่ก่อตัวขึ้นค่อยๆ เผาที่นี่ทิ้งอย่างช้าๆ
พวกเขามาถึงออฟฟิซที่ว่า มันไม่มีทางเดินหรือส่วนใดเลยที่จะเชื่อมจากสลัมไปที่นั้นได้ ยกเว้น ช่องปล่อยสี่เหลี่ยมกว้างๆที่ดูเหมือนจะเอาไว้ปล่อยตัวคนลงมาที่นี่ และไม่มีทางขึ้นไปได้สูงประมาณ 4 เมตร เกรฟจึงเป็นคนส่งให้อลาทีออนขึ้นไปด้วยการเป็นแท่นดันเท้าให้โดดขึ้นไปได้ แล้วอลาทีออนจึงดึงเข้าขึ้นมา
เมื่อขึ้นมาแล้ว รอบๆดูเหมือนจะเป็นห้องๆหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนจุดปล่อยตัว พวกเขาเดินออกมาและพบว่าพวกแวนดอลรออยู่แล้ว มาริกำลังเช็คกระสุน F2000 ที่ “ยืม” แวนดอลมาใช้อยู่ แรปป้ากับโคโลเนลก็เช่นกัน ส่วนเบิร์น ที่ขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่ทราบ กำลังนั่งอยู่เฉยๆ ในอ้อมแขนมี SR-47 อยู่

“มาช้าจริง” แวนดอลเดินเข้ามาแล้วจับมือกับอลาทีออนในท่างัดข้อเป็นเชิงทักทาย

“ก็นะ”

“อ่า เกรฟ...หมอนี่คืออดีตสมาชิกของ Blue Hounds ที่กำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็น Azure Wolf อยู่แล้ว” แวนดอลแนะนำ “แต่ดันหนีไปอยู่ที่อื่นซะได้”

“ก็นะ” อลาทีออนยักไหล่ “ชื่อเก่าของชั้นคือ แคสเซิล ตอนนี่เป็นอลาทีออนแล้ว ตอนนี้ชั้นอยู่กับ Dragonic PMC”

เกรฟเบิกตาด้วยความสงสัย Dragonic PMC จากที่เขาเคยได้ยินและได้อ่านมา พวกเขาเป็น PMC ที่ขึ้นชื่อได้ว่ามีประสิทธิภาพสูงที่สุด เรื่องความเก่งกาจเป็นที่ 1 แต่วว่า จำนวนของทหารกลับมีอยู่เพียงไม่ถึง 10 คน ช่างคล้ายกับ Azure Wolf แต่นี่เป็นบริษัท PMC เดียวที่แวนดอลยอมรับ

“อืม...ยังชอบทำงานเป็นคู่อยู่เหมือนเดิมเลยนะ” แวนดอลกล่าว คงจะหมายถึง สไนเปอร์คนนั้น

“ไม่ได้มาทำงาน แต่มาแจ้งข่าวให้พวกนายต่างหาก”

แวนดอลหรี่ตามองเขา ราวกับมีเรื่องที่สงสัยอยู่ในใจ

“ผมจะให้คุณ 3 ล้าน แลกกับชีวิตของพวกมัน 1 คน” จู่ๆเสียงของคาลอสก็ดังขึ้น น้ำเสียงนิ่งเรียบ และเย็นชา ต่างกับเมื่อซักครู่ที่เขาบ้าไปแล้วเพราะการมาของอลาทีออนและพวก

“…ชั้นไมรู้สิ ชั้นต้องการคนมาช่วย” คราวนี่เป็นเสียงของริโค่ แรปป้าเบิกตากว้าง เหงื่อแตกไปทั่วใบหน้า

“ได้ทุกอย่างที่คุณต้องการ ผมต้องการแค่ให้พวกมันตาย” เสียงของคาลอสสิ้นสุดลงพร้อมกับเสียงคลิ๊ก ดูเหมือนจะเป็นเทปที่บันทึกเอาไว้

“ริโค่คุยกับคาลอส?” มาริกล่าวเบาๆแต่ก็ดังพอที่ทุกคนจะได้ยิน

“บ้าน่า” โคโลเนลกล่าวพลางลุกขึ้น ตั้งใจจะเดินไปต่อ แต่ก็มีเสียงตามลำโพงขัดขึ้น

“รู้สึกยังไงบ้างล่ะ ได้หักหลังลูกน้องตัวเอง” เสียงของคาลอสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ลูกน้องงั้นรึ? พวกมันรนหาที่มาจุ้นเรื่องของนายเอง นั้นทำให้ธุรกิจของชั้นขัดข้อง” เสียงของริโค่

“หึ! คุณเป็นแค่ผู้บัญชาการหน่วยเล็กๆ แต่รวยผิดปกติขนาดนี้ ทางการไม่สงสัยคุณบ้างรึไง”

“แค่เงิน 2-3 แสนก็หุบปากพวกมันได้ทั้งกรมแล้ว”

เทปบันทึกจบ แรปป้าเริ่มเดือดพล่าน มือของเขากำปืนแน่น แล้วรีบวิ่งตรงไปในออฟฟิซทันที

“เฮ้ย! ” โคโลเนลวิ่งตามไป พร้อมกับคนอื่นๆ พวกเขาวิ่งผ่านทางเดินกว้างๆแล้วมาหยุดที่หน้าห้องหนึ่งโดนมีแรปป้ารออยู่ ประตูเหล็กบานใหญ่เก่าๆขาวงกั้น เกรฟสังเกตว่า เกตุใดจึงไม่มีใครเฝ้าที่แห่งนี่เลย

“ห้องควบคุมเสียง...” อลาทีออนกล่าวขึ้น

ทุกคนรีบฟอร์มตำแหน่งการเข้าบุก โดยมีแรปป้าอยู่หน้าประตู เขาถีบประตูจนตัวเชื่อมมันหลุด มันล้มลงกระทบพื้นเสียงดังลั่น พวกเขาบุกเข้ามาในห้องกว้างๆที่ด้านหน้าเป็นระเบียงใหญ่ๆ ด้านขวาเป็นแผงควบคุมเครื่องเสียง ลำโพงและมีจอโทรทัศน์หลายสิบจอที่กำลังแสดงส่วนต่างๆของสลัม ด้านขวาเป็นโต๊ะทำงานที่มีการรื้อค้นกระจัดกระจาย ไม่มีใครอยู่ในห้องยกเว้น ชายคนหนึ่งที่นั่งหันหลังให้กับทุกคนอยู่บนเก้าอี้ออฟฟิซ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกมัดไว้

“นั่นใคร!” แรปป้าตระโกนลั่น แตไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เขาจึงค่อยๆก้าวเข้าไป โดยมีคนอื่นๆคุ้มกัน
แรปป้าหมุนเก้าอี้กลับมา พร้อมกับชายที่ถูกมัดไว้ เขาหายใจเข้าลึกๆ มองดูใบหน้าที่แดงกร่ำและมีเลือดไหลนองค่อยๆขยับ ชายคนนั้นเริ่มรู้สึก พร้อมกับเสียงโอดครวญ

“…ริโค่”

ริโค่ตกใจด้วยเสียงเรียกของแรปป้า เขาพยายามลุกแต่ก็ถูกมัดเอาไว้กับเก้าอี้ เสียงลมหายใจดังถี่ๆของเขา ช่างดูน่าเวทนา

“มิเกล โรดิโก้ มาคัส ริก้า และผม รวมเป็นสิบห้าล้านสินะ” แรปป้าลดปืนลง “พึ่งรู้ว่าทำงานให้คนส่งยามาตลอด มิน่าล่ะ ปราบเท่าไหร่มันก็ไม่หมดซักที”

“เดี๋ยว....ชั้น....อธิบายได้นะ” ริโค่ด้วยเสียงอ่อนล้า คาลอสคงสั่งให้ลูกน้องซ้อมเขาแล้วมัดไว้เพื่อหนีเอาตัวรอด

“ได้...ผมให้โอกาสคุณอธิบาย” แรปป้าหยิบปืนพกของเขาขึ้นมาแล้วขึ้นลำกล้อง “ไปอธิบายให้ทีมผมที่ถูกคุณหักหลังล่ะกัน”

“ม่าย-” เสียงโหยหวนของริโค่ถูกทำให้เงียบลงด้วยลูกกระสุน .45 ที่พุ่งเจาะกระโหลก สังหารอดีตหัวหน้าของตนที่เคยศรัทธา เขาเข้าใจมาตลอดว่าที่เขารอดมาได้เพราะริโค่ช่วยสร้างการตายๆปลอมให้เขา
แต่ความจริงคือ มันเป็นแค่ความผิดพลาด แรปป้าเก็บปืนแล้วยืนเงียบอยู่นาน

“ที่นี่ไม่เหลืออะไรนอกจากเทป 2 ม้วนนั้น” มาริกล่าวขึ้น

“เหลือสิ..” แรปป้ากล่าว แล้วเดินไปที่ศพของริโค่ เขาถีบออกอย่างแรงด้วยความเครียดแค้น ที่หลังของริโค่มีระเบิด C4 4-5 ผูกไว้ เวลาที่ตั้งไว้เหลืออีก 10 นาที

“คาลอสมันเก่งที่รู้ว่าเรามาถึงห้องนี่ แต่คงไม่นึกว่าเราจะมาถึงเร็ว” แรปป้ากล่าว

ทุกคนในห้องเงียบไป เกรฟได้แต่ยืนมองศพของริโค่ เขาเข้าใจแรปป้าดี กระสุนนัดนั้นไม่ได้สร้างความดีใจหรือสะใจ แต่มันยิ่งตอกย้ำความเฮงซวยและความขมขื่นไม่ยุติธรรมที่โลกใบนี้ กำลังถูกเกาะกินด้วยพวกมัน

“ทุกอย่างเคลียร์ เครื่องรออยู่ด้านนอก จะไปไหนกับต่อ” อลาทีออนกล่าวทำลายความเงียบงัน

ทุกคนมองไปที่ แรปป้า

“เดี๋ยวชั้นนำไปเอง”

ในขณะที่เครื่องออสเปรย์บินออกห่างจากสลัมมาเรื่อยๆ ทุกคนกำลังใช้เวลาที่มีอยู่พักผ่อน เกรฟมองดูวิวของสลัมแห่งนั้นที่กำลังลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง แรปป้ายืนอยู่ที่แรมของเครื่องข้างๆกับสไนเปอร์ชาเมเลออส เกรฟมองดูนาฬิกา ครบ 10 นาทีแล้ว
ระเบิด C4 ทำงาน เปลวเพลิงและแรงระเบิดทำลายล้างทุกสิ่งที่อยู่ที่นั้นความอัปยศ ความชั่วช้า และความศรัทธาของแรปป้าผู้ซึ่งกำลังทิ้งอดีตของตน แล้วกำลังมุ่งหน้าไปต่อกรกับปราการสุดท้ายของเขาเอง

Alathreon
3rd November 2012, 23:23
010: Busted

1 นาที!” นักบินเครื่องออสเปรย์ตระโกนบอกทุกคนในเครื่อง

เกรฟหมุนคอเพื่อยืดเส้น หลังจากมองดูวิวของทะเลบราซิล จากช่องแรมด้านหลังเครื่องที่เปิดอยู่แล้ว โดนมีชาเมเลออสยื่นอยู่โดยมีสลิงดึงไว้กับเครื่อง ดูเหมือนเขาคงจะชอบรับลม ก่อนที่เกรฟจะหันไปสำรวจคนอื่นๆ แวนดอลได้ F2000 คืนมาแล้ว หลังจากมาริขออยู่บนเครื่อง เพราะเธอไม่อยากลงภาคสนามเท่าไหร่ เบิร์นยังคงนั่งเฉย เขาไม่มีท่าทางสั่นหรือตื่นเต้นใดๆ ส่วนโคโลเนลกำลังยืนคุยกับแรปป้า เกี่ยวกับเรื่องในครั้งนี้ ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม

“คาลอสต้องตาย” เขากล่าว คงจะเป็นคำสั่งหรือคำร้องขอจากแรปป้า

“พรีเดเตอร์ทำงาน เหลือมิสไซล์ 3 ลูก” อลาทีออนบอกกับทุกคนแต่เจาะจงไปที่แรปป้า

เขาเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วดูหน้าจอมอนิเตอร์ที่แสดงผลด้วยภาพขาวดำ จากกล้องตรวจจับความร้อน จากภาพที่แสดง คฤหาสน์ หลังใหญ่รูปทรงคล้ายกับทำเนียบขาว ที่ด้านหน้ามีสวนย่อมเป็นทางยาวตลอดแนวคฤหาสน์ ประดับประดับด้วยเสาหินมัน และศาลาไม้ ตั้งตระหงาดหันหน้าให้กับชายหาดทะเล โดยมีสนามที่ใหญ่เท่าสนามฟุตบอลอยู่ระหว่างมันทั้งสอง บนสนามหญ้ามีสนามเทนนิส แล้วบ้านพักไม้ขนาดกลางๆ คงเป็นที่สำหรับพวกลูกน้องคาลอส อลาทีออนมองหน้าแรปป้า

“เอามันเลย...”

อลาทีออนสั่งยิง ลูกจรวดขนาดเท่าท่อนแขนบินออกจากรังเก็บมิสไซล์ มันปะทุไอพ่นในตัวเอง กล้องขนาดเล็กที่แสดงภาพด้านหน้าของมันทำให้เห็นว่า มันกำลังพุ่งที่บ้านหลังนั้น แรปป้าจดจ้องมอนิเตอร์อย่างตาไม่กระพริบ รู้สึกเหมือนว่าตนกำลังพุ่งเข้าไป จนกระทั่งภาพสุดท้ายจากจรวด แสดงบริเวณประตูของบ้านพักหลังจากนั้นแล้วภาพก็ซาขาดไป

พร้อมๆกับเสียงระเบิดที่ดังลั่นขึ้นมา บ้านพักไม้หลังนั้นแทบจะหายไปในทันที เมื่อภาพตัดมาที่กล้องของพรีเดเตอร์อีกครั้ง ก็ได้เห็นสภาพโดยรอบ ศพของลูกน้องคาลอสหลายสิบกระเด็นกระจัดกระจายกันไปราวกับมดที่โดนน้ำฉีด เศษไม้และโลหะจากสิ่งที่เคยเป็นบ้าน ถูกบดขยี้จนแทบไม่หลงเหลือเค้าเดิมของมัน เมื่อดูไปทางคฤหาสน์ ลูกน้องของคาลอสที่อยู่ที่นั้น เริ่มวิ่งกรูมาด้านหน้าเพื่อตั้งรับพวกเขาแล้ว

“อีกสองลูกเก็บเอาไว้ใช้” แรปป้ากล่าว “ชั้นอยากลงไปขยี้ไข่มันด้วยตัวเอง”

“อย่าไปสนุกคนเดียวสิ” แวนดอลกล่าวขึ้นแล้วลุกขึ้นมาพร้อมกับ F2000 “ชั้นก็อยากเห็นมันตอนโดนขยี้ไข่”

“นายต้องมีคนดูแลหลัง” โคโลเนลยืนขึ้น M14 EBR ของเขาส่องประกาย แล้วเดินมาข้างๆแรปป้า

เบิร์นลุกขึ้นมา ไม่พูดอะไร เขาก้าวเดินมาที่แรปป้าแล้วขึ้นลำกล้องปืนเป็นสัญญาณ

เกรฟยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืน เดินไปรวมกลุ่มกับทุกคน ขึ้นลำกล้องแล้วมองหน้าของแรปป้า

“ถ้านายขยี้ไข่มันได้ ชั้นจะเลี้ยงเหล้านายเลย”

อลาทีออนที่อยู่ที่หน้าแรมกับชาเมเลออสอยู่แล้ว ยืนขึ้น ชูนิ้วโป้งให้กับทุกคน

“10 วินาที!” นักบินตระโกนลั่น

“โชคดีนะ หนุ่มๆ!!” มาริตระโกนส่ง

ทันทีที่เครื่องออสเปรย์แตะพื้น ชาเมเลออสยิง M82 เปิดตัวทันที อย่างรวดเร็ว หัวกระสุนขนาดเท่าปากกาเมจิกระเบิดหัวของลูกน้องคาลอสไป 1 คนทันที แรปป้า แวนดอล เกรฟ โคโลเนล เบิร์น และอลาทีออน พุ่งออกมาเครื่องบิน เข้าหาที่กำบังแล้วยิงตอบโต้ทันที คราวนี้ เครื่องออสเปรย์ไมได้เทคออฟไปไหน เพราะนักบินมั่นในว่า พื้นที่ ปลอดภัย โดยมี ชาเมเลออสเป็นคนคุ้มกัน

การยิงประหัดประหารระหว่างกลุ่มคน เกือบครึ่งร้อยกับคนอีกกลุ่มที่มีแค่ 6 คน ดูจะเป็นการต่อสู้ที่เอาเปรียบ แต่ทว่า ด้วยความพร้อมที่มากกว่า ด้วยประสบการณ์ และด้วยสัญชาตญาณที่มิอาจเอาสิ่งใดมาเทียบแทนได้ของทหารผ่านศึกทั้ง 6 คน ทำให้พวกเขาเข้าตีวงได้ง่ายขึ้นมาก ถึงแม้จะไม่ได้นัดแนะหรือวางแผน แต่ทุกคนสามารถทำงานรวมกันได้อย่างไร้ที่ติ แรปป้าทำหน้าที่เป็นตัวล่อหลัก เขามี HK416 ติดเครื่องยิงระเบิดที่เพียงพอต่อการยิงถล่มศัตรู ทำให้ความสนใจพุ่งมาที่เขา ในขณะทีอลาทีออนกับแวนดอลจะอยู่นำแรปป้าและจัดการทำการทะลวงแนวป้องกันของศัตรู เขาทั้งสองย้ายที่กำลังสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว และไม่ตกเป็นเป้าง่ายๆ โคโลเนลอยู่ด้านหลังของแรปป้า คอยคุ้มกันและยิงสนับสนุน และสุดท้ายเบิร์นกับเกรฟที่อยู่วงนอกสุดจะเป็นคนตีวงการต่อสู้ให้แคบลง ควบคุมสนามรบขนาดย่อมๆแห่งนี้

ราวกับน้ำป่าที่ซัดเข้าหาหมู่บ้าน ศพแล้วศพเล่าที่ลงไปกองกับพื้นหญ้าอย่างรวดเร็ว พวกเขาทำให้ลูกน้องของคาลอสหมดกำลังที่จะสู้ต่อ พวกมันที่เหลือเพียงเกือบ 20 ต่างแย่งกันวิ่งกระจัดกระจายเข้าไปในตัวคฤหาสน์ แวนดอลยิ้มอย่างสะใจ เพราะคาลอสจนมุมแล้ว

พวกเขาไม่รีบบุกเข้าไป แต่จะให้ของขวัญชิ้นเอกกับคาลอสชิ้นที่หนึ่ง “ส่งของไปแล้ว”

อลาทีออนมองที่คอมพ์พกพาก่อนจะหันไปมองที่ส่วนที่นูนโค้งออกมาเป็นประตูทางเข้าของคฤหาสน์ จรวดพุ่งเข้าใส่ประตูพอดี แรงระเบิดมหาศาลทำลายเสารับน้ำหนักที่บริเวณนั้น ทำให้มันถล่มลงมาอยากรวดเร็วจนน่ากลัว ลูกน้องของคาลอสเกือบทั้งหมดที่หนเข้ามาตายทันทีทั้งด้วยแรงระเบิดและโดนคอนกรีตหล่นทับ

บริเวณหน้าสถานนี่กลายเป็นรูโบ๋ขนาดใหญ่ราวกับแท่งช็อกโกแลตที่โดนกัดคำโต

แรปป้าเดินนำทีมเข้ามาผ่านไฟที่กำลังลูกโหมและเศษซากของคอนกรีตหน้าบ้าน กระสุน 2-3 นัดจากปืนของแต่ละคนถูกส่งไปทีร่างของผู้รอดชีวิตที่ยังเล็งปืนไหว อาจจะดูโหดร้าย แต่นี่คือสงคราม...

ทุกๆอย่างดูสับสน เมื่อเข้ามาในตัวคฤหาสน์เ สียงปืนที่ดังรัวเริ่มอยู่ใกล้ขึ้น การยิงปะทะเกิดในระยะประชิด

“ไปชั้น 2” แรปป้านำทุกคนไปผ่านห้องโถงขนาดใหญ่ขึ้นไปสู่ชั้น 2

การบุกรุกย่อมมีการป้องกัน

แต่การป้อง ณ ที่แห่ง หละหลวมเหลือเกิน พวกเขาสังหารคนมีอาวุธทุกคนที่พบเห็น ห้องต่อห้อง ประตูต่อประตู ราวกับว่า พวกเรามาเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกมัน เกรฟเข้าใจดี ภารกิจที่เชชเนียของเขาก็ไม่ต่างกัน

จนกระทั่งมาถึงห้องสุดท้าย ที่มีประตูคู่บานใหญ่แกะสลักเป็นลายดอกไม้อย่างสวยงาม

“อย่าเข้ามานะโว้ย!” เสียงอู้อี้ของคาลอสดังผ่านประตู “พวก*** ดูประตูไว้ดีๆนะโว้ย!!!”

“ช้าไม่ได้แล้ว” เกรฟรีบวิ่งไปประจำตำแหน่งที่ด้านซ้าย มีแรปป้าและเบิร์นประกบ ด้านขวามีอลทีออนนำ

อลาทีออนพยักหน้าแสดงความพร้อม แล้วหยิบพวงระเบิดสำหรับระเบิดประตูมาคล้องที่ลูกบิด เขาปลดชนวน จากนั้นไม่กี่วินาทีก็ทำงาน ประตูไม้คู่แหลกกระจุย เกรฟปาระเบิดแฟลชซ้ำเข้าไป เมื่อมันทำงานก็บุกเข้าไป ความเคยชินของเกรฟและการจมตีแบสายฟ้าแลบเช่นนี้ทำให้ศัตรูอยู่ในอาการ “สตั้น” พวกมันจะตอบสนองต่อสิ่งต่างๆได้ช้าลง สำหรับเกรฟ มันเหมือนกับการชะลอเวลาชั่วขณะ

พวกมันมีกันอยู่ 6 คนไม่รวมคาลอส ศูนย์เล็งขยับไปที่หัวอย่างแม่นยำแล้วลั่นไก เพียงชั่ววินาที เกรฟและอลาทีออนก็ส่งพวกมันลงนรกไปพร้อมๆกัน

เหลือเพียงคาลอสที่พุ่งขึ้นมาพร้อมปืนพกในปืน หลังจากที่เมื่อครู่หลบอยู่ใต้โต๊ะ

“ตายห่าซะ พวกมึ-” เสียงคำพูดเปลี่ยนเป็นเสียงร้องหลง

แรปป้าลั่นไกยิงปืนพกไปที่มือของคาลอส ทำให้ปืนที่ถืออยู่หล่นมาทันที คาลอสเหวี่ยงตัวเองมานั่งขดตัวกำนิ้วชี้และกลางขวาของตนที่โดนยิงจนแหลกเละ โอดครวญอย่างน่าสมเพช เวทนา

ไม่มีใครทำอะไรใดๆนอกจากแรปป้า

เขาเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ช้าพอที่จะให้คาลอสรู้ตัว มันค่อยๆตะเกียดตะกายนั่งคุกเข่าขึ้นมา อ้อนวอนแรปป้า

“ดะ-” ยังไม่ทันสิ้นคำพูดด้วยซ้ำ ที่ฝ่าเท้าที่หุ้มด้วยร้องเท้าคอมแบทของแรปป้า เหวี่ยงเสยไปที่คางของคาลอสอย่างรุนแรง จนมันเงยหน้าขึ้นตามแรงเตะ เลือดสาดกระจายเป็นสายไปทางด้านหลัง แล้วล้มลงนอนกับพื้น คาลอสยังมีสติอยู่

“ชะ-แอ๊ก!” มันกำลังจะพูด ถ้าหากส้นเท้าของแรปป้าไม่ได้กระทืบเข้าไปที่ของลับ บริเวณหว่างขาของมันซะก่อน คาลอสพ่นน้ำลายผสมเลือดออกมาอย่างแรง แวนกับโคโลเนลถึงกับกุมของลับของตนเองเบาๆ

“เหล้า 1 แก้วนึงนะเว้ย” แรปป้าหันมาบอกกับเกรฟอย่างติดตลก

“ไอ้*****...” คาลอสค่อยๆพูด “กูจะตามฆ่-”

แรปป้าเตะเข้าไปที่ใบหน้าของคาลอสอย่างแรงจนหัน

“พูดมาก ไอ้ห่า!”

Alathreon
16th November 2012, 22:30
011 : Adeus, meu passado.

เกรฟยืนมองโต๊ะทำงานไม้สักที่สลักลวดลายของใบไม้ไว้อย่างสวยงามดังโครมครามในขณะที่มาริกำลังทำการ “สแกน” ในแบบของเธอ กองเอกสารทั้งเก่า ทั้งใหม่ ซองสีน้ำตาล เทปบันทึกเสียง ถูกวงากองไว้บนโต๊ะ ก่อนที่เธอจะหันไปสแกนจุดอื่นๆที่พอจะใช้เก็บของได้ เธอเหลือบมองเหล่าพ่อบ้าน แม่บ้านและคนงานของคาลอสที่ถูกต้อนออกมาจากที่ซ่อนตอนคฤหาสน์ถูกโจมตีและกำลังถูกเฝ้าระวังโดยโคโลเนลกับเบิร์น

“ไอ้พวกเวร...” คาลอสเอ่ยเบาๆในสภาพที่เหมือนกับผ่านสงครามเวียดนามมา รอยช้ำ รอบปูดโปน และเลือดระไปทั่วใบหน้า แรปป้าผู้ซึ่งจับมือของเขาไขว้หลังแล้วมัดด้วยกุญแจมือพลาสติก ถึงกับอึ้งในความอึดของคาลอส

“อึดดีนะ” แวนดอลกล่าวขึ้น ก่อนที่เดินมาแล้วนั่งยองตรงหน้าคาลอส แล้วจ้องตาอันเลือนลอยของเขา

“เกิดอะไรขึ้น?” แวนดอลลุกขึ้น คำถามก่อนหน้าดูห้วนๆ แต่มันสามารถหาเป้าหมายของมันได้เอง

“สมัย...ที่ชั้นยังเป็นกองปราบ” แรปป้ากล่าว “พวกชั้นเป็นทีมที่ไฟแรงที่สุดในกรม ณ ตอนนั้น..”

“วันนึง ชั้นได้เบาะแสว่าจะมีการส่งยาข้ามชายแดนล็อตใหญ่แต่กลับไม่มีคำสั่งอะไรมาเลย ชั้นกับทีมที่เห็นว่าปล่อยเอาไว้ไม่ได้ จึงไปปฏิบัติการกันเอง” เขามองมาที่คาลอสครู่หนึ่ง

“และตอนเที่ยงคืน ที่แถบชายแดนบราซิล-โคลัมเบีย พวกมันก็มาจริงๆ…รถเป็นขบวน ตั้ง 5 คัน ใช่ ชั้นยังจำได้...เราเปิดฉากด้วยกับระเบิด ขบวนรถหยุดลง พวกมันถูกพวกชั้นที่ซุ่มตามที่สูงไล่เก็บทีละคน จนเหลือรถคันสุดท้าย...มิเกลกับโรดิโก้เป็นคนนำส่วนชั้นและที่เหลือคุ้มกัน เมื่อพวกมันเห็นพวกชั้นเท่านั้นแหละ พวกมันยิงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา และแน่นอน พวกชั้นกระหน่ำยิง จนหมดกระสุนไป 2 ซอง พวกมันตายเกลี้ยง...พอพวกเราแจ้งไปทางกรม...แทนที่จะได้อะไรซักอย่างที่เราควรได้รับ พวกชั้นกลับได้ใบสั่งพักงาน 2 เดือน”

“หลังจากรอผลสรุปภารกิจ 2 วัน พวกเราก็ต้องทึ่ง...ในรถคันสุดท้าย พบศพรัฐมนตรีเปโดร ผู้มีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับยาเสพติดรวมอยู่ด้วย”

“แล้ว...” แวนดอลกางมือรอคำตอบ

“เขา...คือ พ่อของชั้นเอง” คาลอสเปล่งเสียงที่แฝงไปด้วยความเคียดแค้นและอดกลั้นออกมา นัยต์ตาจ้องมาที่แรปป้าอย่างไม่กระพริบ

“…ก็นั้นแหละ...แกได้รับมรดกต่อจากพ่อ แต่ก็เสียแม่ไปด้วยโรคหัวใจ แน่นอน...สิ่งเดียวที่แกมีอยู่ คือ การแก้แค้น...”

“และมันก็โคตรรู้สึกดีเลยว่ะ...” คาลอสพยายามฝืนยิ้ม ด้วยอาการบาดเจ็บที่ใบหน้า ทำให้มันเป็นไปได้ยาก

“ไม่นึกว่า ริโค่ จะเป็นหุ้นส่วนพ่อแกด้วย...แต่ว่าถึงตอนนี้ ชั้นไม่มีอะไรติดค้างแล้ว” แรปป้าเดินเข้าไปใกล้ๆคาลอส สีหน้าที่เรียบเฉยผิดปกติของเขา ทำให้เกรฟสะดุ้ง แรปป้าพูดเบาๆแต่ก็ดังพอได้ยิน

“เพราะ...ชั้น...ชนะแล้ว”

ความเงียบยึดพื้นที่ภายในห้องอีกครั้ง เกรฟยังคงได้ยินเสียงร้องด้วยความกลัวของเหล่าคนงานของคาลอส แต่ประโยคเมื่อคู่ มันทำให้โลกทั้งใบเงียบลงช่วงขณะ

“หนุ่มๆ ชั้นเจอของดีแล้ว” มาริพูดขึ้น พลางชูซองน้ำตาลซองใหญ่ที่เปิดผนึกแล้วขึ้นมา บนซองจ่าหน้าถึงริโค่แบบหยาบๆ คาดว่าคงส่งกันแบบมือต่อมือ เธอหยิบแผ่นที่บรรจุอยู่ภายใน แล้ววางกระจายๆลงบนโต๊ะไม้สัก มันเป็นรูปถ่ายขนาด A4 6 รูป และมีแผ่นกระดาษจดหมายพับอยู่ด้วย เกรฟเป็นคนที่สองที่ได้รูปถ่าย

“นี่มัน...” เกรฟหรี่ตา เขาพบรูปของเขาเองในท่ายืนปกติ บนดาดฟ้าตึกแห่งหนึ่ง ด้วยความที่รูปเป็นสีออกฟ้าๆ มืดๆ บนตัวของเขาในรูปฉาบด้วยสีจากแสงอ่อนๆที่มากพอจะทำให้เห็นใบหน้าได้ชัดเจน รอบๆข้างมีสายฝนเทลงมาจนเห็นเป็นสายใสๆ เขาให้รูปเหมือนกำลังจะออกวิ่ง ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดในภาพทำให้เขาจำทุกอย่างได้ทันที

รูปพวกนี้ถูกถ่ายที่เกาลูน...ในคืนที่พวกเขาทุกคนไปรับเหล่ง

“ไอ้พวกชุดดำนั่น?” โคโลเนลจ้องมองรูปถ่ายของตน และดูเหมือนคนอื่นๆจะจำได้แล้ว และแน่นอน ทุกคนหันไปมองหน้ามาริ

“ดูเหมือนว่า...พวกเราจะงานเข้าแล้วล่ะ” เธอยิ้มอย่างน่ารักจนน่ากลัวในสายตาของเกรฟ พร้อมกับชูจดหมายในมือ

“ไม่ว่าคนที่ส่งรูปพวกนี้ให้ริโค่ จะเป็นใครก็ตาม พวกเขาอยากให้เราตาย” เธออธิบาย “เนื้อหาในจดหมายและลักษณะการเขียนมันบ่งบอกได้เลยว่า พวกนั้นมีเพียงเป้าหมายเดียว คือ จับตาย และพร้อมจะจ่ายเงินมหาศาลถ้างานสำเร็จ และแน่นอน ไม่มีการเอ่ยถึงตัวตนของพวกมันเลย”

“ชักจะบ้าไปใหญ่แล้ว…” แวนดอลขยำรูปถ่ายทิ้งอย่างรุนแรง “แรงจูงใจล่ะ”

“ชั้นก็พอเดาได้ล่ะนะ” มาริพยักหน้า “การที่พวกมันต้องการให้ริโค่กับคาลอสลงมือ แสดงว่า มันรู้ว่า แรปป้าเคยมีเรื่องที่นี้ และถ้าพวกเราตาย มันเป็นดูเป็นเพียงการแก้แค้น...อีกอย่าง การที่พวกมันรู้ข้อมูลพวกเราได้ละเอียดขนาดนี้ แสดงว่า พวกมันเป็นองค์กรที่ใหญ่มากแน่ๆ”

“พวกมันต้องมีเงินจำนวนมหาศาล คาดเดาได้จากค่าจ้างที่ให้คาลอส กับพวกชุดดำที่เกาลูน นั้นแปลว่า การที่พวกมันทุ่มเงินเยอะขนาดนี้ พวกมันมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าพวกเราแน่ๆ”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ สีหน้าของทุกคนดูครุ่นคิด ยกเว้นเบิร์นที่เกรฟไม่เห็นหน้าของเขา กำลังใช้สัญญาณมือให้คนงานเงียบๆ

“เจค๊อบ...” เกรฟพูดขึ้นมาเรียบๆ “เรากับ Blue Hounds เป็นสิ่งเดียวที่ขวางพวกมันกับเจค๊อบ อินดัสทรี่เอาไว้”

แวนดอลเบิกตากว้าง โคโลเนลจ้องมองเอาที่รูปนั้น อีกครั้ง ส่วนมาริได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เบรินมองมาที่เกรฟ ส่วนแรปป้า เดินไปหาคาลอส

“พวกมันเป็นใคร?” แรปป้าคว้าขอเสื้อของคาลอสขึ้นมา ในขณะที่อีกฝ่ายยิ้มอย่างสะใจ

“พวกแกก็คงเหมือนกันทุกคนสินะ ฮ่าๆๆๆ” คาลอสหัวเราะ “เป็นตัวซวยเหมือนกันหมดทุกตัว ฮ่าๆๆๆๆๆ”

แรปป้าไม่ได้ทำอะไร เขาค่อยๆลดมือลง แล้วปล่อยให้คาลอสยิ้มลอยๆไป เขารู้อยู่แก่ใจ คาลอสไม่มีทางรู้ได้แน่ๆเพราะ “ฆ่าพวก Azure Wolf ซะ” คือสิ่งเดียวทีเขาได้รับรู้มา และแน่นอน ปัญหาในวงการุรกิจอุตสาหกรรม คาลอสที่รวยเงินและอำนาจอยู่แล้ว คงไม่สนใจนักหรอก แต่สำหรับ PMC ที่ทำงานด้านความปลอดภัยแล้ว การที่บริษัทของตนเองซึ่งเป็นบริษัทระดับโลกถูกหมายหัวเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย อีกทั้งตัวเองยังถูกระบุว่าเป็นเสี้ยนหนามที่ต้องตัดทิ้งอีก มันอาจจะเป็นเรื่องที่ซวยที่สุดของการเป็น PMC เลยก็ได้

“อลาทีออน?” แวนดอลพูดวิทยุไปถึงอลาทีออน สหายเก่า ที่ไปรออยู่ที่เครื่องออสเปรย์แล้ว “เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“เบิร์น พาพวกคนงานไปที่หน้าบ้าน แล้วปล่อยพวกเขาไป โคโลเนล มาริ กลับเครื่อง” แวนดอลสั่งขณะ ตัวเขาเดินออกจากห้องนั้นอย่างรวดเร็ว ไล่ๆกับเบิร์นที่ต้อนคนงานออกไป

“เกรฟ...” แวนดอลหยุด เมื่อเห็นเกรฟเดินตามมาแล้วยืนพิงที่ผนังหน้าห้อง แวนดอลพยักหน้า แล้วมองไปที่แรปป้าที่ยังอยู่ในห้องกับคาลอส แล้วเดินจากไป

เกรฟยืนรอแรปป้าอยู่หน้าห้อง หยิบซองบุหรี่ยู่ๆที่พกติดตัวเอาไว้ตลอดออกมาแล้วจุดไฟ สูดอากาศเสียๆเขาปอด เขารู้ดีว่ามันอันตรายต่อสุขภาพ แต่ ให้ตายสิ เขาจะตายวัน ตายพรุ่ง ไม่มีใครรู้หรอก

เขาพ่นควันออกมาช้าๆ ปล่อยให้ แรปป้าได้สะสางโซ่เส้นใหญ่ในชีวิตด้วยตัวเอง

“…สุดท้าย...แกก็ชนะจนได้” คาลอสเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “ชั้นไม่รู้หรอก...ว่าชั้นเสียเงิน เสียคนไปเท่าไหร่ แต่ชีวิตเพื่อนของแกน่ะ...อีกคนนะ...4 คน...มันโคตรคุ้มค่าเลยว่ะ”

“และนั้นจะเป็นเรื่องชั่วๆสุดท้ายที่แกจะได้ทำ” แรปป้ามองคาลอสด้วยแววตาเรียบๆ แต่เกรฟรู้สึกได้ ถึงชายผู้ซึ่งกำลังจะเป็นอิสระ

“เรื่องชั่วๆหรอ? หึหึ ราฟาเอล...ชั้นคิดว่า มันเป็นเกมที่สนุกมากเลยนะ” คาลอสแสยะยิ้ม

“…แกจำเหตุระเบิดครั้งใหญ่ที่ท่าเรือได้ไหม” แรปป้าหยิบปืนพอขึ้นมา และขึ้นลำกล้อง

“อ๋อ...ภารกิจสุดท้ายที่ไอ้แก่ริโค่ทำพลาดสินะ” คาลอสยิ้มกว้างมองใบหน้าอันเรียบเฉยของแรปป้า

“…ไม่...เขาทำสำเร็จ...ราฟาเอล คอสต้า...ตายแล้ว”

เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด มันก้องกังวาลไปทั่วทั้งห้อง ตามมาด้วยเสียงร่างกายของชายหนุ่มผู้ถูกพันธนาการล้มลงกระทบพื้นผ้ากำมะหยี เลือดสีแดงฉานค่อยๆไหลซึมรูกระสุนที่กลางหน้าผาก แรปป้าเดินออกมาจากห้อง เขามองหน้าเกรฟ แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับไปที่ฮอ

เครื่องออสเปรย์บินห่างจากคฤหาสน์เรื่อยๆ เกรฟกำลังจดจำวิวของทิวเขาและทะเลริโอ เดอจาเนโร ในขณะที่ลูกทีมคนอื่นๆกำลังนั่งพักผ่อน อลาทีออนและชาเมเลออสก็เช่นกัน ยกเว้นแรปป้า เขาหยิบด๊อกแทคเปลื้อนเลือดแห้งๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อ บนนั้นประทับเป็นชื่อของ ราฟาเอล คอสต้า

แรปป้าสูดหายใจเข้า แล้วออกแรงเหวี่ยงปาด๊อกแทคนั้น ให้มันจมดิ่ง และหายสายสูญไป ในมหาสมุทร

pone123
16th November 2012, 23:36
เอ้า เราลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงกกันเนี่ย สุดยอดมากครับ แต่งได้ดูดีมากๆเลย แถมมาต่อเนื่องดีกว่าผมอีก

Alathreon
26th November 2012, 21:43
012: Reunion

เสียงปืนไรเฟิลดังขึ้น 3 นัด แต่ละนัด เว้นช่วงกัน 5 วินาที โลงศพไม้ค่อยๆถูกย่อนลงไปในหลุมสี่เหลี่ยมผืนผ้าลึกหลายเมตร กลุ่มคนที่มีทั้งทหารชายหญิงในชุดเครื่องแบบพิธีและพลเรือนอีกจำนวนหนึ่ง ยืนอยู่ตรงหน้าหลุมนั้น ใบหน้าของแต่ละคนฉาบไปด้วยความเศร้าสลด บางคนร้องไห้ บางคนขมวดคิ้วแน่นด้วยความโกรธ เมื่อโลงศพถึงที่หมาย ก้อนดินแต่ละก้อนค่อยถูกบรรจงเทกลบหลุมนั้นจนมิด ผู้คนเริ่มเดินออกจากบริเวณไปทีละคน สองคน จนเหลือเพียงชายร่างสูงคนเดียว ผู้ยืนอยู่กับไม้เท้าช่วยพยุงที่ด้านซ้ายของลำตัว ไม่ไกลกันมากนัก มีชายวัยกลางคนร่างท้วมค่อยๆเดินไปหา

“นาวาอากาศตรี เกวริล เดมอนเชฟ…” เกวริลหันไปทางต้นเสียงอันทุ้มต่ำ ของชายที่เรียกเขา เขาเห็นนายพลวัยใกล้เกษียณนายหนึ่ง ยืนอยู่ไม่ไกลจากเขานัก นายพลเดินย่ำพื้นหญ้าเข้ามาก่อนจะหยุดแล้ววันทยาหัตให้กับป้ายหลุมศพ ที่พึ่งกลบไปมาดๆ ท้องฟ้าสลัวๆ ทำให้เห็นหน้าเขาได้ไม่ชัดเจน

“นายพลโซโคลอฟ” เกรฟทำท่าวันทยาหัตทั้งๆที่ตนเองยังยืนไม่ค่อยได้ ด้วยแขนซ้ายที่จับไม้เท้าช่วยพยุงอย่างสั่นเทาและเจ็บปวดไปทั่วร่าง เขาสวมชุดเครื่องแบบในงานพิธีทหารสีดำ ที่มีเครื่องราชและตราติดอยู่จำนวนหนึ่ง

นายพลโซโคลอฟเดินเข้ามาแล้วพยักหน้า เกวริลจึงลดมือลง นายพลเฒ่ามองไปที่ป้ายหลุมศพสีขาวดาษๆที่ทั้งสองคนยืนอยู่เบื้องหน้า มันลงแกะสลักเป็นตัวอักษรรัสเซียอย่างเรียบๆว่า “อเล็กเซีย ซาช่า สเตรโกวิช”

“เรานึกว่าจะเสียนายไปแล้ว” นายพลกล่าว “ทีมของนายเป็นทีมที่ดีที่สุดในแนวหน้า การสูญเสียในครั้งนี้จึงมีผลกับกำลังของกองทัพในแนวหน้าพอสมควร”

เกวริลนิ่งเงียบ ก่อนที่จะค่อยๆเอ่ยปาก “เอกสารพวกนั้น...เป็นของจริงรึเปล่า?”

“…นาวาตรี...ชั้นว่านายควรจะพักผ่อนเสียก่อนนะ” นายพลหันหน้ามามองเกวริล

“เอกสารพวกนั้น เป็นของจริงรึเปล่า!” เกวริลขึ้นเสียงจนนายพลถอยห่างก้าวเล็กๆ

“…เอกสารส่วนใหญ่ถูกทำลายไปขณะเกิดเหตุระเบิด” นายพลอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง “ข้อมูลที่พอเรียบเรียงได้จึงไม่ชัดเจนมากนัก”

“มันคืออะไร”

“เกวริล...มันไม่ชัดเจนพอ...”

“ส่งสเปซนาซ 2 คนไปตรวจอพาร์ตเมนร้างเก่าๆเนี่ยนะ! พวกแกต้องรู้เซ่!!!” เกวริลตะคอกด้วยความเคียดแค้น ทำเอานายพลผู้นั้นสะดุ้งเฮือก ราวกับว่า เกวริลพร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ

“’งั้น” นายพลโซโคลอฟปาดเหงื่อที่หน้าผาก “อีก 2 วัน ชั้นจะไปหานายที่โรงพยาบาล”

นายพลรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เกวริลยังคงยืนอยู่หน้าหลุมศพอย่างลำพัง ทั้งมือซ้ายและขวาบีบแน่นจนเนื้อเป็นสีขาวซีด

“นายจะต้องไม่ตายเปล่า ซาช่า...”



“กริ่งงงงงงงงงงงงงงงงงงง” เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือของเกรฟดังขึ้น

เขาค่อยๆพยุงตัวให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆลุกจากเตียงนอน ปิดระบบนาฬิกาปลุกที่มือถือ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ เขาสำรวจร่างกายตัวเองก่อนจะลงมือล้างหน้า แปลงฟัน รอยแผลเป็นที่บริเวณน่องขาและท้องจากสะเก็ดระเบิดชวนให้เขานึกถึงเหตุการณ์วันนั้น วันที่ซาช่าตาย

“นายจะไม่ตายเปล่า...”



หลังจากประชุมกับพวกแวนดอลและหัวหน้าหน่วยของ Blue Hounds แต่ละคน ว่าด้วยเรื่องของการเฝ้าระวังภัยและเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และจากแหล่งข่าวของอลาทีออน ซึ่งเกี่ยวกับการขยายตัวของทหารรับจ้างกลุ่มใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่โจมตีพวกเขาที่เกาลูน ถึงแม้ข้อมูลที่ได้มาจะไม่ชัดเจนมากนัก ตั้งแต่ผู้เกี่ยวข้องที่ระบุชื่อได้ และท่าทีต้องไปของพวกมัน สิ่งที่ Azure Wolf รู้ ณ ตอนนี้คือ พวกเขา ทั้งหมาป่าน้ำเงินและหมาป่าคราม ตกเป็นเป้าจู่โจมของทหารรับจ้างกลุ่มใหม่นี่ และบริษัท เจค๊อบ อินดัสทรี่ คือเป้าหมายต่อไป หากพวกเขาทั้งหมดตาย สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ ระวังและหาข่าวให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ หลังจากการประชุมในวันนั้น อลาทีออนกับชาเมเลออสก็หายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนแรปป้าก็ดูมีความสุขกว่าที่เคยเป็น แม้จะอยู่ในภาวะเช่นนี้ก็ตาม เกรฟรู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่กองทัพอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เขาพอใจที่จะอยู่ ในบ้านหลังใหม่แห่งนี้



เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้ว เกรฟก็ออกมาจากห้องเพื่อหาอาหารเช้ากิน เวลา 6 โมงกว่าๆของอาคารนี้ยังคงสงบ พวก Blue Hounds ส่วนใหญ่กว่าจะตื่นก็ 9 โมงเป็นอย่างต่ำ ส่วนในแผนกของงานบัญชีและเอกสาร ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา เกรฟก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเลย นอกจากแวนดอลจะเรียกไปคุย เกรฟสลัดความคิดเรื่อยเปื่อยออกแล้วเดินไปกดลิฟท์ เขารู้สึกเหมือนได้มาอยู่ในครอบครัวใหญ่ ครอบครัวหนึ่งที่สมาชิกแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา เวลาผ่านไปไม่นานลิฟท์ก็มาจอดที่ชั้นโรงจอดรถแล้ว เกรฟ เดินผ่านห้องพักพนักงานพร้อมแวะทักทายลุงจอร์นสันที่นั่งกินกาแฟอยู่ เกรฟขึ้มค่อมมอเตอร์ไซและนั่งนึกว่าจะไปกินอาหารเช้าที่ร้านไหนดี ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า โคโลเนลเคยแนะนำร้านอาหารร้านนึงชื่อ Potato Sack ที่เปิดตั้งแต่ไก่โห่ เกรฟจึงสวมหมวกกันน็อคแล้วบึ่งรถออกไปอย่างรวดเร็ว



“ไง พวก!” โคโลเนลกล่าวทักเกรฟ โดยที่มีไส้กรอกลมควันอยู่เต็มปาก ข้างๆมีแรปป้าที่ยิ้มให้อย่างเบิกบาน เกรฟโบกมือทักตอบแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะนั้น มีพนักงานหญิงน่าตาหน้ารักคนนึงเดินเข้ามารับออร์เดอร์ เกรฟมองดูจานอาหารที่อยู่ตรงหน้าทั้งแรปป้าและโคโลเนล มันเป็นจานเสต็กเนื้อราดน้ำซอสอะไรซักอย่าง มีเฟรนฟายส์และไส้กรอกรมควันเป็นเครื่องเคียง เกรฟจึงสั่งแบบเดียวกัน พนักงานหญิงพยักหน้ายิ้มแล้วเดินไปทางห้องครัว

“มาเจอกันพอดีเลยแฮะ!” โคโลเนลทัก แล้วจกเฟรนฟายส์แท่งใหญ่เข้าปาก

“ก็ มันหิวพอดีนี่” เกรฟพูดคุยกลบเกลื่อนความหิว

“นายชอบกินอาหารประเภทไหนล่ะ? เดี๋ยวชั้นแนะนำให้” แรปป้ากล่าวขึ้นมา หลังจากซดกาแฟร้อนไปอึกหนึ่ง

“ม่ายอ่ะ เดี๋ยวชั้นจะหิวไปมากกว่านี้” เกรฟตอบพลางหัวเราะ ทั้งสามคน คุยกันอย่างถูกคอ ด้วยความที่ยังเป็นช่วง 6 โมง ในร้านจึงมีคนน้อยพอสมควร ประจวบเหมาะกับที่พนักงานคนเดิมเดินมาจากครัวพร้อมกับอาหารที่เกรฟสั่งไปพอดี หลังจากเสริฟแล้ว เธอจึงเดินไปเปิดทีวีจอ LCD ขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่มุมร้าน เป็นช่วงเวลาของข่าวเช้าทันที

“พวกนายมีแค้นเก่าเก็บเหมือนชั้นรึป่าววะ” แรปป้ากล่าวขึ้นขณะกัดชิ้นเนื้อฉ่ำซอสจนน้ำมันเยิ้มออกมา ประโยคนั้นช่วยชะลอความเร็วในการกินของทั้งโคโลเนลและเกรฟ

“จะว่าไป ชั้นก็มีนะ” โคโลเนลหมุนส้อมในมือเป็นวงกลมราวกับจะเล่าเรื่องในวัยเด็ก

“สมัยตอนอยู่ ปากีสถาน”

“แล้ว...คิดว่า พวกมันจะตามนายมาได้ไหม?” เกรฟถามพลางนกถึงเรื่องราวในร้าน The Club ของลิซ่าวันนั้น

“คงไม่หรอก...ชั้นยิงมันตกหน้าผาเองกับมือ มันไม่น่าจะรอดหรอก” โคโลเนลยักไหล่ เค้าดูปล่อยวางกว่าที่ควร ยังไงซะ เรื่องของแรปป้าก็คงพอเป็นบทเรียนให้กับพวกเขาได้ “เฮ้ นายได้ดูรายการเมื่อคืนรึเปล่า?” โคโลเนลชวนทุกคนคุยเรื่องอื่น แรปป้ากับเกรฟจึงเออออตาม แม้จะยังเป็นห่วงอยู่ในใจก็ตาม

“โคลบี้!” เสียงหญิงสาว ที่ค่อนข้างแหลมดังขึ้นมาจากทางหน้าประตูร้าน Potato Sack ทั้งสามหันไปมองเธอย่างรวดเร็วและดูเหมือนว่า โคโลเนลจะแสดงท่าทีตกใจ เธอค่อยๆเดินเข้ามาที่โต๊ะของทั้ง 3 เธอสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำทับเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนๆ กางเกงยีนส์ และรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สสีเขียวอ่อน ผมเผ้าที่มัดเป็นมวยด้านหลังยาวสลวยเหมือนหางม้า

“แซม?” โคโลเนลร้องด้วยความฉงน

“ไม่เจอกันนานเลยนะ แล้วนี่....” แซมยิ้มเป็นเชิญทักทายแรปป้ากับเกรฟ หน้าด้านที่ดูรั้นๆและรักสนุกของเธอทำให้เกรฟรู้สึกเหมือนไม่ควรล้อเล่นกับเธอ

“เอ่อ...นี่ แรปป้า กับ เกรฟ” โคโลเนลชี้ตัวตามลำดับ

“ส่วนแรปป้า เกรฟ นี่ ร้อยเอกแซม ไรลี่ย์” โคโลเนลกลืนน้ำลาย “หัวหน้าทีมชุดปฏิบัติพิเศษต่อต้านการก่อการร้ายของชั้นเอง”

Alathreon
30th November 2012, 22:15
013 : UNSF

โคโลเนลนั่งมองแซม ไรลี่ย์ อดีตหัวหน้าของตนนั่งกัดดับเบิ้ลชีสเบอร์เกอร์คำโตจนซอสเยิ้มออกมาอย่างไม่ห่วงหุ่น เขายุติการกินอาหารเช้าของลงตั้งแต่เธอมานั่งที่โต๊ะ ทั้งๆที่ยังเหลือเสต็กเนื้ออยู่อีกประมาณ 4-5 คำ เกรฟกับแรปป้าก็ค่อยๆกินอย่างปกติ แม้จะมีเหล่ตามองท่าทีของแซมอยู่เนืองๆ

“ชั้นทิ้งชีวิตทหารมาแล้ว เธอก็รู้ดี” โคโลเนลกล่าวอย่างเคร่งเครียดแต่ดูเหมือนแซมจะไม่ไหวติง เธอกัดเบอร์เกอร์อีกหนึ่งคำก่อนจะวางมันลงในจานแล้วซดโค้กอึกใหญ่

“แล้วตอนนี้ก็มาเป็นทหารรับจ้างน่ะเหรอ” แซมยิ้มให้กับท่าทางสงสัยของโคโลเนล “CIA กับ Seal เค้าไม่ยอมปล่อยคนฝีมือดีให้หายเข้ากลีบเมฆหรอกจ๊ะ”

โคโลเนลส่ายหน้าและยิ้มไปด้วย แน่นอน เกรฟก็พอเข้าใจได้ คนที่มีฝีมือดีอย่างโคโลเนลลาออกจากกองทัพมาเอง ทาง CIA หรือ Seal ที่น่าจะเป็นสังกัดเก่าของเขา คงไม่ยอมปล่อยให้เค้าหลุดมือไปง่ายๆ เผื่ออาจจะต้องจำเป็นขอความช่วยเหลืออีก อย่างเช่นในกรณีของแซม ไรลี่ย์

“’ชั้นจะเกลียดพวกชอบเสือกชาวบ้าน******” โคโลเนลสบถออกมา จากมาริอยู่ตรงนี้ด้วย เธอคงกระโดดถีบโคโลเนล หรือก็คงแต่มองค้อน เพราะเกรฟได้ยินมาว่า เธอเบื่องาน CIA เต็มทน

“จะให้ไปทำอะไรอีกล่ะ?”

“คุยง่าย สมกับเป็นนายดีนะ” แซมยิ้มมุมปาก “ขอชั้นเกริ่นนำก่อนล่ะกัน จะให้เพื่อนนายฟังด้วยก็ได้นะ”

เกรฟกับแรปป้าพยักหน้าพร้อมกัน แซมหยิบเครื่องพีดีเอกองทัพออกมาแล้ว เปิดไฟล์บางอย่าง

“ความจริงนี่เป็นข้อมูลลับนะ แต่ชั้นขออนุญาตแล้วว่า พวกนายสามารถเชื่อใจได้ เบื้องบนเค้าเลยให้มา”

“ต่อเลย” โคโลเนลกล่าว แซมพยักหน้า

“หน่วยเก่าที่ชั้นกับโคโลเนลสังกัดอยู่คือ JSOC คงจะดังพอตัวล่ะนะ” แรปป้าพยักหน้า “หลักๆก็คือการต่อต้านการก่อการร้ายของกองทัพสหรัฐฯ จนเมื่อ...ปี 2012 พวกนายคงจำกันได้นะ”

แน่นอน ทุกคนที่เป็นทหารจำได้

“หายนะธันวาคม... ทั้งออสเตรเรีย รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา”

หลังสิ้นสุดคำอธิบายนั้นเอง เกรฟ เริ่มเห็นภาพความทรงจำอันหยุ่งเหยิงของเขา แน่นอน แม้จะผ่านมาเกือบ 6 ปีแล้ว แต่มันก็ดูไม่นานมาตลอดเวลา “หายนะธันวาคม” คือชื่อเรียกของเหตุการณ์การก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของกลุ่มองค์กรก่อการร้าย 2 กลุ่มในพื้นที่ 3 ประเทศ ซึ่งแม้มันจะเกิดขึ้นเพียงวันเดียวก็สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อโลกทั้งใบ โดยในวันที่ 25 ธันวาคม 2012 ตามเวลาท้องถิ่นของแต่ละประเทศ โดยที่ประเทศออสเตรเรียได้เกิดเหตุระเบิดครงั้ใหญ่ขึ้นหลายจุดโดยกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ โดยเฉพาะที่โอเปร่า ซึ่งมีการแสดงละครโอเปร่าฉลองวันคริสมาสตร์ ในครั้งนั้น มีบุคคลสำหรับของอสสเตรเรียเสียชีวิตกับถูกจับเป็นตัวประกันหลายคน ทางออสเตรเรียจึงต้องระมกำลังพล SASR หน่วยรบพิเศษของออสเตรเรีย เข้าตรึงพื้นที่และทำภารกิจช่วยเหลือตัวประกัน และที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 10 นาฬิกา สนามบินหลายแห่งในนิวยอร์คและลอสแองเจลิส เกิดเหตุระเบิดพลีชีพ และกราดยิงในสนามบิน มีผู้เสียชีวิตร่วมเกือบพันคน หน่วยรบพิเศษ Delta Force ถึงกับถูกเรียกตัวมา แม้ทั้งสองเหตุการ์จะสามารถคลี่คลายลงได้ กลุ่มก่อการร้ายที่รอดชีวิตโดนจับกุม แต่ทั้ง 2 เหตุการณ์ก็ได้จารึกความหวาดกลัวไว้กับชนชาติตะวันตกเสียแล้ว และเท่าที่เกรฟได้ยินมาว่า หน่วย SASR ได้ยกย่องทหารนายหนึ่งให้เป็นฮีโร่ ชื่อของเขาชื่อ ไซม่อน ไวท์ แต่ทว่าหลังจากนั้น ก็ไม่มีข่าวคาวของเขาอีกเลย และอีกเหตุการณ์หนึ่ง เกิดขึ้นในวันที่ 31 ธันวาคม 2012 ที่ประเทศรัสเซีย เกรฟยังคงจำได้แม่นยำแม้จะอยากลืมมันก็ตาม เวลาประมาณเที่ยงคืนเศษๆ มอสโควถูกโจมตีโดยกลุ่มกบฎแบ่งแยกดินแดนเชเชนซึ่งทำการโจมตีจุดยุทธศาสตร์สำคัญหลายจุด ในเมืองหลวงแทบจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง กว่าจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ ก็ล่วงเลยไปจนถึงเวลา 6 โมงเช้า ของวันที่ 1 มกราคม 2013 เหตุการณ์นั้นได้แสดงให้เห็นแล้วว่า รัสเซีย ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป แล้วนั้นเป็นภารกิจสุดท้ายของเกรฟในฐานะทหารแห่งกองทัพรัสเซียด้วยเช่นกัน

“อืม...จำได้แม่นเลยล่ะ” เกรฟกล่าวอย่างเรียบๆ แม้ในหัวของเขาตอนนี้จะมีภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนลุกเป็นไฟ บ้านเรือนโดนระเบิดจนถล่ม การยิงปะทะกันทุกหัวมุมถนน ประชาชนร้องแตกตื่นอย่างน่าเวทนา และรอยเลือดกับชีวิตของเพื่อนทหารที่สังเวยไปราวกับหิมะที่รวงโรย

“หลังจาก เหตุการณ์นั้น กองทัพสหรัฐฯได้รับมือกับทางออสเตรเลียและ EU ฟอร์มทีมหน่วยรบพิเศษขึ้นมาใหม่เพื่อรับมือกับเหตุก่อการร้ายโดยเฉพาะ ทีมนั้นคือ United Nations Security Forces หรือ UNSF” แซมอธิบายเกริ่นจบ

ดูท่าทางโคโลเนลจะไม่มีท่าทีอะไรเลย

“แล้วไง..?” โคโลเนลจิ้มเนื้อเสต็กที่เย็นชืดเข้าปาก “ชั้นออกมาจากกองทัพตั้งแต่ปี 2010 ชั้นจำห่าเหวอะไรไม่ได้หรอก...”

“เหรอ?” แซมเอียงหัวยิ้ม ท่าทางกวนประสาทไม่ต่างจากโคโลเนลนัก “แต่นายน่าจะจำ อัสราม ได้นะ?”

“ไอ้นรกที่โดนชั้นยิงตกหน้าผาน่ะเหรอ” โคโลเนลตอบด้วยท่าทีมั่นใจ “เน่าตายไปแล้วมั้ง”

“อ่อ...” แซมกดบางอย่างในพีดีเอ แล้วมันก็มีรูปภาพๆนึงขึ้นมาแล้วเธอก็ยื่นในโคโลเนล

“รูปนี้ เป็นรูปสุดท้ายของโดรนสอดแนมที่เราส่งเข้าไปในพื้นที่ชายแดนอัฟกัน-ปากีส”

โคโลเนลมองดูด้วยความสนใจใคร่รู้ เค้าเริ่มกวาดสายตาจากมุมภาพจนถึงมุมภาพอีกด้าน พีดีเอนั้นก็มีขนาดใหญ่พอที่จะให้แรปป้ากับเกรฟเห็นได้ เกรฟพินิจอย่างละเอียด มันเป็นภาพการจับตัวเชลยในหมู่บ้านดินแห่งหนึ่งซึ่งชาวบ้านแต่งกายด้วยชุดอาหรับ พวกเขากับถูกสังหารและจับตัวโดยกลุ่มทหารที่ดูคล้ายกับทหารรับจ้าง ด้วยกางเกงขายาวแบบทหารและเสื้อผ้ามีฮูด แต่ละคนพันผ้าที่ดูคล้ายกับชาวอาหรับ บางคนที่ไม่ใส่ก็ดูเห็นได้ว่าเป็นชาวอาหรับชัดเจน แต่ละคนถือปืนไรเฟิลที่ดูเหมือนจะเป็น AK รุ่นใหม่ๆ

“แล้วไง...ก็แค่...” โคโลเนลกำลังจะพูด จนกระทั่งแซมยื่นนิ้วเข้ามาแล้วซูมภาพไปที่ชายคนหนึ่งให้

“*****..อะไร...ว่ะเนี่ย...” โคโลเนลเหงื่อแตกเต็มหน้าผากจนเจ้าตัวปาดมือเช็ด

เกรฟเห็นเป็นชายวัยประมาณ 30 ต้นๆ เท่าๆกับพวกเขา ที่แต่งกายคล้ายกับคนอื่นๆ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้พกปืนไรเฟิล ท่าทางในภาพคือกำลังสั่งการคนอื่นๆอยู่

“มัน?....มันรอด?” โคโลเนลพูดตะกุกตะกัก

“เราคิดว่า คงจะเป็นผู้นำการก่อเหตุหายนะธันวาคมด้วยนะ” แซมไม่มีท่าทีติดตลกอีกต่อไป

“.....” โคโลเนลถอนหายใจแล้ว มองหน้าแซมตรงๆ “UNSF จะทำอะไรต่อ?”

“แน่นอน ส่งคนที่ดีที่สุดไปที่นั้น แล้วหาหมอนั้นให้เจอ”

“แต่ชั้นเป็นคนนอกนะ แซม”

“ไม่ต้องห่วง...ได้ข่าวว่า CEO นายเป็นพวกหน้าเลือด” แซมกลับมายิ้มอีกครับ “UNSF ก็ยอมทุ่มเต็มที่ เพื่อให้ได้นายมาร่วมทีม”

“ได้กี่คนล่ะ?” โคโลเนลถามพลางหันไปมองทั้งเกรฟและแรปป้า

“ชั้นก็พร้อมนะพวก” แรปป้ากล่าว ส่วนเกรฟพยักหน้า

“ก็ดี” โคโลเนลหันไปมอง แซมอีกครั้ง “ชั้นจะพาเธอไปหา ครอส”

แซมยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมกับทั้งสามคน

“พีดีเอนั้น นายเก็บเอาไว้เถอะ” เธอกล่าว

โคโลเนลหยิบมันขึ้นมา เขาจ้องหน้าของชายคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง

“อัสราม อิซา คราวนี้ แกไม่รอดแน่...”

Alathreon
30th November 2012, 22:20
อัพตอนใหม่แล้วครับ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาตลอดนะครับ ^^

Alathreon
11th December 2012, 23:20
014 : Mission Briefing

"UNSF พร้อมจะจ่ายให้นายได้ไม่อั้น ขอเพียงแค่ให้โคโลเนลได้ไปกับชั้น"

แซมยืนท้าวเอวกล่าวกับแวนดอลอย่างไม่มีความเกรงใจ เกรฟเป็นวิตกเล็กๆว่าแวนดอลอาจจะวีนแตกก็ได้ แต่ไม่เลย สีหน้าของแวนดอลกับแสดงความครุ่นคิดออกมา

"ให้โคโลเนลไปคนเดียว มันเสี่ยงเกินไป อย่างน้อยก็ต้องให้คนของเราไปด้วยคนนึงล่ะนะ"

แวนดอลยืนกอดอกแล้วมองไปรอบๆห้องทำงานของเขาที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า มาริที่นั่งประจำที่ของเธอแค่มองสำรวจแซมเฉยๆ เธอไม่คิดที่จะแสดงความเห็นอะไร แต่ปล่อยให้มันเป็นการตัดสินใจของแวนดอล จากการที่เกรฟคิดคาดคะเนเอาไว้ มาริกับตัวแวนดอลเองตัดทิ้งไปได้เลย

"ชั้นกับมาริต้องอยู่ที่นี้ เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน"

ตามนั้น การที่พวกเขาโดนเล็งโจมตีอยู่ มันคงเป็นเรื่องโง่มาก ถ้าจะส่งนักวางแผนของทีมไปที่อื่น
แซมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แต่เธอก็ไม่พูดอะไร โคโลเนลได้เล่าให้เธอฟังแล้วเกี่ยวกับกลุ่มทหารรับจ้างชุดดำพวกนั้น แซมเข้าใจดีแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะภาครัฐไม่อาจจะแทรกแซงเรื่องของเอกชนได้ เพราะมันจะมีปัญหาในภายหลัง ยกเว้นแต่ว่า มันจะกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติ

"แรปป้ากับเบิร์น นายสองคนเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ระยะใกล้ ถ้าเกิดเหตุที่นี้จริงๆล่ะก็ นายสองคนจะเป็นตัวกุมชัยได้เลยนะ"

แน่นอน เหลือเพียงตัวเกรฟคนเดียวที่เหมาะสมที่สุดแล้ว เขาพยักหน้ารับ เมื่อแวนดอลหันมาหาเขา

"หวังว่า หน่วยรบโคตรจะพิเศษของสหรัฐฯ จะไม่สองมาตรฐานกับคนรัสเซียนะ"

"ไม่หรอก...เอาจริงๆนะ UNSF ก็มีชาวอาหรับเป็นสมาชิกอยู่เหมือนกัน" แซมยิ้ม "อีกอย่าง รัสเซียก็ไม่มีเรื่องชวนตีกับสหรัฐฯมานานแล้วนี่นะ"

"ก็ไม่แน่หรอก" เกรฟกล่าว "ชั้นขอบอกไว้ก่อน ถ้าชั้นคิดจะฆ่าใครชั้นฆ่าจริง"

แน่นอน เกรฟแค่พูดเป็นเชิงล้อเล่น แต่ทว่า สีหน้าของแซมกลับดูซีดลงนิดๆ มันคงจะเป็นแววตาของเขา

"ด...ได้ งั้นชั้นขอตัวโคโลเนลให้ไปคุยกับผู้บัญชาการก่อนนะ" แซมยิ้มให้กับแวนดอล ก่อนจะลากตัวโคโลเนลออกไป ทันทีประตูปิดลง มาริก็โพ่งขึ้นมาทันที

"ทำไมหน่วยรบของกองทัพขึ้นต้องตามง้อทหารรับจ้างด้วยล่ะ อีกอย่าง งานประเภทต่อต้านการก่อการร้ายมันควรจะเป็นความลับสิ"

"มันก็จริงอยู่..." แวนดอลทำสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ "แต่โคโลเนลเป็นพวกมีพรสวรรค์ ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ งานที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงก็คงให้พวกอ่อนๆ ทำไม่ได้เหมือนกัน"

"ชั้นกลัวว่ามันจะเข้าเคสเดียวกับชั้นน่ะสิ" แรปป้าที่นั่งอยู่นาน เอ่ยขึ้น "เกรฟ นายก็เห็นสินะ"

"ใช่" เกรฟตอบอย่างแข็งขัน "เราไม่มีทางรู้เลยว่านี่จะเป็นกับดับอีกรึป่าว แถมเราก็ยังไม่รู้ด้วยว่า พวกกลุ่มชุดดำพวกนั้นมีอะไรเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายนี่รึป่าว ยังไงซะ ก็คงต้องระวังไว้ก่อน"

"นั้นสินะ การที่จู่ๆทหารรับจ้างกลุ่มใหม่มาไล่ล่าพวกเราเลยมันก็ยังไงอยู่ การที่พวกมันเชื่อมโยงกับพวกก่อการร้ายมันน่าคิดเหมือนกัน" แวนดอลทำสีหน้าครุ่นคิด

เกรฟพอจะเข้าใจเขาขึ้นมาบ้าง แม้เวลาปกติทั่วๆไป แวนดอลดูจะเป็นคนที่ไม่เอาถ่าย เอาแต่ใจ และดูบ้าบิ่นที่สุด แต่ว่าในเวลาที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนี้ กลับดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จะว่าห่วงลูกน้องฝีมือดีก็ไม่น่าใช่ น่าจะเรียกว่า เป็นห่วงเพื่อนร่วมรบเสียมากกว่า เกรฟเองไม่ได้รู้ประวัติของแวนดอลมากนัก รู้เพียงว่า เขาเคยไปปฏิบัติภารกิจร่วมระหว่างกองทัพสหรัฐ-ราชอาณาจักรที่ ตะวันออกกลางกับโคโลเนลด้วย
การสนทนายุติลงชั่วขณะ เบิร์นผู้สวมหน้ากากบาลิสติกสีดำด้านนั่งนิ่งมาตั้งแต่ที่แซมเข้ามาในห้องแล้วเกรฟเหล่มองเป็นบางครั้งบางคราว เกรฟไม่รู้ว่าเค้าได้ผ่านเรื่องอะไรมา แต่เบิร์นดูเหมือนว่า พร้อมจะยิงใครก็ได้ที่หมายจะทำร้ายเขา ตลอดเวลา แวนดอลที่กล่าวว่าคงจำเป็นต้องส่งโคโลเนลไป จริงๆ เพราะช่วยงานของกองทัพเอาไว้บ้าง เผื่อจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ ยังคงนั่งเงียบบนเก้าอี้โซฟาของตัวเอง ส่วนคนอื่นๆก็ดูมีท่าทีกังวลเล็กเหมือนกัน...

บรรยากาศช่างรู้สึกคล้ายคลึงกับสมัยที่เกรฟยังคงเป็นทหารอยู่...ต้องไปประจำการที่แนวหน้า...ไม่รู้ว่าตนและพวกพ้องจะตายตอนไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร...
ประตูบานคู่เปิดขึ้นอีกครั้ง ทำลายห้วงอดีตสั้นๆของเกรฟ เขาคิดว่าตนเองควรจะไปปรึกษาจิตแพทย์ซักหน่อย

"ผู้บัญชาการอนุมัติแล้ว" แซมพูดด้วยหน้านิ่งๆ "เราจะเริ่มออกเดินทางด้วยเครื่องเจ็ทส่วนตัวที่สนามในอีก 2 ชั่วโมง"

"ใช่พวก ชั้นกับเกรฟจะได้ไปทัวร์ปากีสถานกัน เดี๋ยวชั้นจะหาปลอกกระสุนมาฝากนะ"

โคโลเนลพูดพยายามจะให้มันติดตลก แต่มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย

"แค่ระวังหัวของแกเอาไว้ก็พอ" แวนดอลส่ายหน้ายิ้ม "ไอ้หัวแม่เหล็กเอ้ย"

ทั้งแวนดอลและโคโลเนลยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ

"เอาล่ะ เราคงต้องรีบแล้วล่ะนะ พ่อแม่เหล็ก" แซมกล่าว โคโลเนลแสดงท่าทีหัวเสียนิดหน่อย ก่อนจะเดินตามเธอไป ในขณะที่เกรฟจะเดินตามไปนั้นเอง

"เกรฟ!" แวนดอลรั้งแขนเขาเบาๆ "ถ้าทุกอย่างมันดิ่งลงเหว....นายคงรู้นะ ว่าต้องทำยังไง"

เกรฟพยักหน้าเบาๆ แวนดอลพยักหน้ากลับ ทุกคนรู้ดี รู้ว่าควรทำยังไง

แรงสั่นสะเทือนจากล้อเครื่องบินกระแทกกับพื้นหินทรายอันหยาบกร้านและแห้งแล้งเบาๆ ที่แรงพอให้ทำให้เกรฟตื่นขึ้นได้ อาจจะเป็นเพราะเค้าไม่เคยหลับสนิทอีกเลยตั้งแต่ภารกิจที่ชายแดนเชชเนีย เกรฟตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีปกติ เขานั่งอยู่ในห้องหลักของเครื่องบิน ที่มีผู้โดยสารอยู่ 5 คน รวมเขาด้วย ที่นั่งด้านหน้าเป็นแซมที่กำลังนั่งอ่านบางอย่างจากโน๊ตบุคทหารของเธอ ส่วนโคโลเนลนั่งเคี้ยวหมากฝรั่ง ที่หูมีหูฟังของ Beat สีฟ้าขาวสวมอยู่ เสียงเพลงดังเล็ดลอดออกมาจนเกรฟที่นั่งอยู่แถวหลังได้ยินชัดเจน มันเป็นเพลงร็อคของวงที่ชื่อ Linkin Park จากเท่าที่เกรฟจำได้ ส่วนผู้โดยสารอีก 2 คน เป็นทหารอารักขาของแซมที่อยู่ในชุดรบแบบพลเรือน พร้อมกับปืนกลเบา MP7 ทั้งสองคน พวกเขาไม่ได้หลับเลยตั้งแต่เครื่องเทคอ๊อฟจากแมนฮัตตัน แซมเก็บของอย่างรวดเร็ว เมื่อสัญญาณสีเขียวสว่างเธอก็ลุกขึ้นยืนทันที ต่างกับโคโลเนล เขามองออกผ่านหน้าต่างเครื่องบิน มองดูทิวทัศน์ของทะเลทรายที่ไกลออกไป สุดลูกหูลูกตา เมื่อเขาลุกขึ้น เกรฟมองเห็นได้ในแววตาของโคโลเนล เหมือนกับชายผู้เหนื่อยหน่าย ได้กลับมายังบ้านหลังเก่า

"ค่ายนอร์ริส เป็นค่ายสร้างใหม่สำหรับ UNSF โดยเฉพาะ" แซมนำพวกเขาอยู่ด้านหน้าแล้ว ทหารอารักขาคนนึงเปิดประตูเครื่องบินให้กับเธอ แสงสว่างที่แฝงไปด้วยความระอุค่อยๆแพร่เข้ามาในเครื่อง

"ก็ไม่เลวเท่าไหร่นี่.." โคโลเนลเดินนำออกไป เกรฟเดินมาติดๆ

มันดูเหมือนค่ายทหารธรรมดาๆ ไม่มีอะไรเป็นจุดสังเกตุชึ่งก็เอาไว้พรางตาได้ดี แซมเดินนำพวกเขาไปที่รถฮัมวี่ 2 สองที่จอดรออยู่ พวกเขาใช่เวลาไม่นานนักก็มาถึงอาคารทรงครึ่งวงกลมที่ทอดตัวยาวออกไป กว่าอาคารอื่นๆ น่าจะเป็นผู้บัญชาการของ UNSF ภาคสนามตะวันออกกลาง แซมเดินนำเข้าไป พลางยื่นผ้าเช็ดหน้าในกับเกรฟที่เหงื่อแตกเต็มทั่วใบหน้าเพราะอากาศที่ร้อนระอุ ซึ่งเกรฟยังไม่ชินกับมันเท่าไหร่นัก

"นาวาเอกโคลบี้ สจ๊วต!" ชายวัยกลางคนในชุดลำลองทหารลายพรางสีทราย ร่างดูกำยำ สูง ริ้วรอยบนใบหน้าที่เข้ากับผมและหนวดสีเทาที่ตัดเป็นทรง เดินเข้ามาทักทายกับโคโลเนล เขาพยักหน้าให้เกรฟเช่นกัน แต่ไม่ได้พูดอะไร

"ท่านนายพลคะ ชายคนนี้เป็นชาวรัสเซียที่ดิชั้นราบงานค่ะ" แซมแนะนำเกรฟให้นายพลคนนั้นได้รู้จัก "เกวริล เดมอนเชฟ ค่ะ"

"นี้คือนายพลแลงย์ลี่ ผู้บัญชาการของ UNSF ภาคสนาม" ทั้งคู่จับมือกันเป็นพิธี

"นานมากแล้วนะ ที่ชั้นไม่ได้เห็นคนรัสเซียในสนามรบ"

"ครับท่าน..." เกรฟตอบเรียบๆ รู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าหมอนี่เท่าไหร่ โคโลเนลเองก็เช่นกัน

"เอาล่ะ ท่านนายพล มีแผนอะไรก็รีบๆ อธิบายมาซะสิ" โคโลเนลพูดโพล่งขึ้นมา "จะได้รีบๆทำ"

นั้นสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนในห้องได้ดีทีเดียว

"เออ...เอาเป็นว่า วันนี้ พวกคุณไปพักผ่อนก่อนล่ะกัน"



"โคตรชอบสีหน้าไอ้นายพลนั้นเลยว่ะ" โคโลเนลนอนบนเตียงสีขาวที่ฟูกคงจะบางแค่ไม่กี่สิบเซน "ชั้นล่ะเกลียดพวกยศนายพลจริงๆ ****ดีแต่สั่ง ไม่ได้รู้ห่าอะไรเลยว่า สถานการณ์มันเป็นยังไง"

"นายคงมีประสบการณ์กับนายพลแย่ๆมาล่ะสิ" เกรฟนั่งตรวจดูกระเป๋าของตัวเอง ซึ่งมีเพียงใบเดียว เพราะแซมกล่าวว่า ทั้งอาวุธและยุทธโปกรณ์ให้ใช้ของ UNSF

"นายพูดยังกับว่า มันมีนายพลดีๆอยู่อย่างนั้นแหละ"

"ชั้นเคยเจอล่ะกันน่า" เกรฟยิ้ม พยายามจะไม่นึกถึงเรื่องเก่าๆ

"คงจะคล้ายๆ ยูนิคอร์นสินะ" เกรฟไม่ได้ตอบอะไรกลับไป โคโลเนลหลับตาลงไปแล้ว เกรฟควรจะปล่อยให้เขาและตัวเองพักให้เต็มที่ เพราะเวลาลงภารกิจ เวลาพักผ่อนแทบเป็นศูนย์

เช้าวันที่ 2 ที่ค่ายนอร์ริส ใกล้ชายแดนปากีสถาน แซมมาปลุกเกรฟกับโคโลเนลถึงที่ แม้ว่า พวกเขาจะเตรียมพร้อมรออยู่แล้วก็ตาม พวกเขามาที่ห้องบรรยายภารกิจและเตรียมอาวุธตั้งแต่เช้ามืด โดยมีนายพลแลงย์ลี่กับทหารที่เป็นชายผิวดำคนนึงกับชาวอาหรับอีกคนรออยู่แล้ว

"เอาล่ะ มากันครบแล้วสินะ" แซมเป็นผู้บรรยาย "เอาล่ะ ภารกิจของพวกนาย ณ ตอนนี้..."

"ที่รู้ๆกันคือ เราได้ภาพของชายคยหนึ่งที่ระบุตัวได้ว่า เป็นอัสราม อิซา ผู้นำกลุ่มลักธิก่อการร้ายในเครือของอัลกออิดะห์ และจากข่าวกรองในช่วงนี้ที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายตามหมู่บ้านเล็กๆ ดังนั้นงานของพวกนายคือ สอดแนม และหาที่มั่นของพวกนี้ให้เจอ"

"แล้วถ้าหาเจอและระบุตำแหน่งได้ล่ะ?" โคโลเนลถาม

"เราจะปรึกษากับทางศูนย์อีกที"

"เสียเวลาดีนี่ น่าจะถล่มซะให้มันจบๆไป"

"เฮ้! นาย จิตสำนึกของคนมันหายไปไหนหมด อาจจะมีชาวบ้านโดนจับเป็นเชลยอยู่ด้วยก็ได้" ชายชาวอาหรับลุกขึ้นด่าทอใส่โคโลเนล ซึ่งฝ่ายหลังไม่มีท่าทีอะไร

"เอาเถอะ... ดีๆกันไว้น่า ฟาฮัด" แลงย์ลี่กล่าวเบาๆ ชายอาหรับคนนั้น ที่ชื่อ ฟาฮัด ก็พยักหน้าแล้วนั่งลง

"ถ้าเป็นงานง่ายๆ อย่างการสอดแนมทำไมต้องให้โคโล...โคลบี้ถ่อมาทำด้วยล่ะ" เกรฟถามแซมอย่างจริงจัง

"ดีมากที่ นายถาม เผื่อคนแถวนี้เค้าอยากรู้" โคโลเนลส่งเสียงชิไปเบาๆ

"ภาพจาก UAV ที่ได้นี่ เป็นภาพสุดท้าย ก่อนที่มันจะถูกยิงตก ด้วยความเร็วของมัน ไม่มีทางที่จะโดนยิงตกด้วยจรวดธรรมดา บวกกับพื้นที่ในบริเวณนั้นเป็นภูเขาเสียส่วนใหญ่ การสอดแนมทางอากาศจึงมีขอ
จำกัดอยู่ พวกนายแค่เข้าไป ระบุตำแหน่งแล้วหนีออกมาก็พอแล้ว"

"อ่าฮะ แล้วภารกิจจะเริ่มเมื่อไหร่ล่ะ" เกรฟยกมือถามอีกครั้ง

"ก็..." แซมดูนาฬิกาข้อมือของตน "อีกชั่วโมงครึ่ง.."

Alathreon
20th December 2012, 00:00
015 : Recon
สายลมแรงยามบ่ายที่พัดพาเม็ดทรายหยาบสีน้ำตาลแดง แลดูเห็นเป็นรูปร่างได้อย่างชัดเจน เคลื่อนเอื่อยๆ แต่กรรโชก กระทบกับร่างของชาย 2 คนที่ซึ่งกลมกลืนไปกับโขดหินและผืนทรายบนยอดเนินเขาเล็กๆ สองคนกำลังหันหน้าไปทางทิศที่ซึ่งระยะทางข้างหน้าประมาณ 400 เมตรมีหมู่บ้านดินเล็กๆ ของชนปากีสถานพื้นเมืองอยู่ ซึ่งที่ที่นั้น อยู่ห่างจากคล้ายนอร์ริสราว 70 กิโลเมตร วินาทีนั้น แท่งโลหะสีทรายค่อยๆตามทิศทางการเคลื่อนไหวของเป้าหมาย

"จับตาดูอยู่รึป่าว?" เกรฟ ใช้กล้องทางไกลแบบตาเดียวที่เป็นที่นิยมของ พลชี้เป้าทั่วไป จับตาดูไปที่หมู่บ้านดินนั้น มันเป็นหมู่บ้านเดียวกันกับที่โดนกลุ่มก่อการร้ายที่นำโดย อัซราม อิซา โจมตี มันไม่กี่วันก่อนอย่างแน่นอน

"ชัดเจน" โคโลเนลตอบสั้นๆ กล้องเล็งกำลังขยายสูงที่ติดตั้งบนปืนไรเฟิลซุ่มยิงแบบโบลท์แอคชั่น MSR สีทรายช่วยให้เขาเห็นทัศนียภาพของหมู่บ้านโดยรอบได้อย่างชัดเจน ทั้งจุดสังเกตุการณ์ จุดซุ่มโจมตี
"พวกมัน..." เกรฟกำลังสังเกตุการณ์ กลุ่มก่อการร้ายดังกล่าว 2 คนที่อยู่ในชุดที่ดูแปลกตาจากกลุ่มก่อการร้ายทั่วๆไป ผนวกกับอาวุธ ที่น่าจะเป็นอาวุธปืนไรเฟิล G36C ทำให้พวกมันดูเหมือนจะเป็นทหารรับจ้าง มากกว่า กลุ่มก่อการร้าย

"แซม...ดูอยู่รึป่าว" โคโลเนลที่ติดตั้งกล้องสังเกตุการณ์แบบไร้สายรุ่นใหม่ที่ส่งสัญญาณได้ไกลกว่า 100 กิโลไว้ที่กล้องเล็งด้วย ซึ่งพวกแซม และแลงย์ลี่กำลังดูอยู่

"ชัดเจนเลยล่ะ....ว่าอัซราม ต้องมีคนหนุนหลังที่ใหญ่มากแน่ๆ"

"ไวเวิร์น 0-1และ 4 ช่วยนับจำนวนพวกนั้นโดยรวมด้วย" แลงย์ลี่กล่าว

"รับทราบ" แม้โคโลเนลจะดูไม่ชอบพวกนายพล แต่เกรฟก็สัมผัสได้ถึงความเป็นมืออาชีพ ที่แยกแยะความรู้สึกส่วนตัวกับงานได้อย่างเด็ดขาด

"ยาม 2 คนที่ทางเข้าหมู่บ้าน และดูเหมือนจะมีอีก 4 คนเป็นพลซุ่มยิงบนหลังคาที่สูงที่สุด 4 แห่ง"

"กลางหมู่บ้านอีกประมาณ 5 คน มีความเป็นไปได้สูงว่า มีพวกมันอีกในบ้านแต่ละหลัง" เกรฟกล่าวเสริม

"ไวเวิร์น 0-2 และ 3 มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมไหม" แลงย์ลี่ถามถึงอีก 2 คน

"เอ่อ...ข้อมูลตรงตามที่ 1 และ 4 กล่าว จากมุมนี่..." "ฟาฮัด" ชายอาหรับ และ "จอร์จ" หนุ่มผิวสี ที่แยกจากโคโลเนลและเกรฟไปสังเกตุกาณร์คนละมุมเขา แต่ไม่ไกลกันมากจนอยูนอกระยะการคุ้มกันของโคโลเนล "เราเห็นยานพหนะประเภทรถบรรทุกและ รถกระบะ จำนวนหนึ่งพร้อมกับกระท่อมที่ดูเหมือนจะเป็นคลังอาวุธขนาดเล็กด้วย"

"ด่านงั้นหรอ" แลงย์ลี่ กล่าวขึ้น "ชักจะยุ่งยากแล้วสิ"

"ขอคำสั่งโจมตีด้วย" เกรฟกล่าวขึ้นมา สร้างความแปลกใจให้กับทุกคน ยกเว้น โคโลเนล

"นี่ หนุ่มรัสเซีย อย่าลืมภารกิจของเราสิ" จอร์จกล่าวเหน็บๆ ฟาฮัดที่อยู่ข้างๆ ขำนิดๆ

"หมู่บ้านนี่ เป็นที่สุดท้ายที่เรารู้ การเคลี่อนไหวของพวกมัน และอย่างที่ว่าไป มันเป็นด่าน ทั้งวิทยุสื่อสาร รายงาน และแผนที่ ที่นี่คือกุญแจของเรา" เกรฟกล่าวอย่างเรียบๆทุกคนเงียบไปชั่วขณะนึง

"กูเข้าใจล่ะ ว่า สเปซนาซมันเก่งกว่าหน่วยซีลตรงไหน" โคโลเนลกล่าวเหน็บๆ

"อ่า...นายก็พูดมีเหตุผลนะ แต่เราไม่รู้จำนวนศัตรู มันเสี่ยงเกินไปที่จะบุกเข้าไป จำนวนของเรามีน้อยกว่ามาก" จอร์จกล่าว

"ก็จริง...การใช้ระเบิดก็อันตรายเกินไป ชาวบ้านบางส่วนอาจจะยังอยู่ที่นี่" เกรฟเป็นฝ่ายออกความเห็นเอง

"แต่มันก็จำเป็น" โคโลเนลกล่าวขึ้นมาเรียบๆ "ให้ชั้นคุ้มกันพวกนาย เกรฟ นายพยายามไปให้ถึงห้องบัญชาการ ส่วน จอร์จกับฟาฮัด วางระเบิด ที่คลังอาวุธ รอจังหวะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ก็จุดพลุได้เลย"

"โคลบี้! นาย.." ฟาฮัดดูเหมือนจะขัดแย้ง

"เชื่อชั้นเถอะน่า!" โคโลเนลตะคอกกลับ ทำให้ฟาฮัดเงียบไป " HQ ขอคำสั่งโจมตี"

"...มันค่อนข้างเสี่ยงเหมือนกัน แต่ว่า...มันจำเป็นจริงๆนั้นแหละนะ" แลงย์ลี่ถอนหายใจ "ชั้นอนุญาต ขอให้โชคดี"
เกรฟได้ยินเสียงแสดงอาการไม่พอใจของฟาฮัดเบาๆ

เกรฟ ภายใต้รหัส ไวเวิร์น 0-4 ค่อยๆลุกขึ้นยืน เขาสวมชุดนาวิกโยธินของกองทัพสหรัฐฯ แบบใหม่ที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัว ตั้งแต่รองเท้าที่เป็นแบบรองเท้าผ้าใบ และเสื้อที่เป็นเนื้อผ้าแบบ สเปนเด็กซ์ และ
ชุดเวสท์ที่น้ำหนักเบา กระทัดรัดแต่สามารถติดตั้งกระเป๋าและอุปกรณ์ได้เยอะ เขาค่อยๆขยับผ้าพันคอซีมัคให้ปิดจมูก ผมยาวที่รวบเอาไว้เรียบร้อยสั่นไหวตามการเคลื่อนที่ แล้วหยิบอาวุธปืนไรเฟิล SCAR-H สีทรายแบบดั้งเดิม ที่ติดตั้งกล้องช่วยเล็งระยะกลางกำลัง 4 ACOG ที่มีศูนย์เล็ง Red dot เล็กๆ ติดอยู่บนกล้องเผื่อการยิงระยะใกล้ และแท่งกริปใต้ลำกล้องเพื่อลดแรงถีบ ผู้ที่เลือกปืนนี้ให้ คือโคโลเนล ที่ว่า เกรฟคงคุ้นเคยกับปืนที่มีขนาดกระสุน 7.62 มากกว่า และแม้ว่าเค้าจะไม่คุ้นเคยกับปืนต่างสัญชาติ แต่ถ้าขึ้นชื่อว่า ปืน การเรียนรู้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น เมื่อเตรียมตัวแล้ว เค้าก็ขยับๆก้มตัวแล้ววิ่งต่ำลงเนินเขาไปอย่างรวดเร็ว

"เอาล่ะ หาป๊อปคอร์น มานั่งกินได้เลย โชว์จะเริ่มแล้ว" โคโลเนลค่อยๆขยับเลนส์กล้องให้เหมาะสายตา พร้อมทำการยิง กระบอกเก็บเสียงที่ติดตั้งอยู่กับ MSR จะช่วยซ่อนตำแหน่งของเขา

เวลาผ่านไป ประมาณ 5 นาที เกรฟสามารถเข้าถึงทางเข้าหมู่บ้านได้ พร้อมกับพวกฟาฮัดที่รายงานเข้ามาว่าถึงคลังอาวุธแล้วเช่นกัน แผนของการโจมตีครั้งนี่คือ เกรฟจะลักลอบเข้าไปในหมู่บ้านและพยายามตามหาห้องศูนย์บัญชาการ โดยมีโคโลเนลที่อยู่ห่างออกไป เกือบ 500 เมตรเป็นพลซุ่มยิงคุ้มกัน ถ้าหากจำเป็นต้องยิงสู้จริงๆ ก็จะมีฟาฮัดและจอร์จเป็นคนดึงความสนใจ ในขณะที่เกรฟจะเป็นคนจัดการที่เหลือ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาถนัดอย่างยิ่ง

"ทหารยามหน้าประตู สองคน..." โคโลเนลรายงานทางวิทยุ "นายจัดการคนใกล้ ตามนายพร้อม"
เกรฟพยักหน้า เขาดึงมีดออกมาจากฝักแล้วพุ่งเข้าไปแทงที่คอหอยของยามคนนึง แล้วลากเขาเข้ามาหลบหลังกำแพง เป็นจังหวะเดียวกับที่โคโลเนลลั่นไกลสังหารอีกคน กระสุนพุ่งทะลุเปลือกกระโหลกพร้อมกับเศษสมองสีแดงสด เกรฟสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่ค่อยๆแผ่วลง จนดับไป

"เสื้อเวสท์ ระเบิดมือ แฟลช ปืนกลอัติโนมัติ" เกรฟละมือจากศพของยามแล้วค่อยๆ ลากอีกศพไปให้พ้นระยะสายตา ก่อนที่จะเลาะไปตามกำแพง เปิดหน้าต่างของบ้านแต่ละหลังในแถบด้านนี้ของหมู่บ้าน เพื่อดูภายในบ้านแต่ละหลัง ซึ่งทุกหลังล้วนว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต หมู่บ้านนี้ ถ้ามองจากด้านบนขะเป็นรูปวงกลม โดยที่ตรงกลางเป็นพื้นที่ว่าง ที่คาดว่าน่าจะเป็นจุดชุมนุมและจัดงานเลี้ยงฉลอง ที่ตอนนี้ กลายเป็นจุดพักหลบแดดของพวกทหาร ฟาฮัด กับจอร์จที่ติดตั้งระเบิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยๆตรวจสอบบ้านหลายหลังอีกด้านที่ละหลัง และพบว่ามันร้างมาได้ซักระยะนึงแล้ว

"ไม่มีสัญญาณของชาวบ้านหรือมิตร" เกรฟกล่าวรายงาน "พวกชาวบ้านหายไปไหนกันหมดนะ"

"นี่มันแปลกนะ ปกติพวกก่อการร้ายตะวันออกมันจะเป็นมิตรกับชาวบ้านมุสลิมนี่..." จอร์จกล่าวมาทางวิทยุ

"ใช่...แปลกเกินไป" โคโลเนลกล่าว "ฟาฮัด พอจะรู้อะไรรึป่าว"

"...ก็อย่างที่นาย พวกหัวรุนแรงมันไม่ทำร้ายชาวมุสลิม แต่ดูจากเครื่องแต่งกายของกับอาวุธแล้วล่ะก็ ชั้นว่าพวกนี้ คงจะเป็นพวกอื่นแล้วล่ะ"

"สังหรณ์ใจไม่ดีเลยแฮะ" เกรฟพูดอย่างไม่มีท่าทีกระวนกระวาย เขาหยุดพักที่ข้างบ้านหลังนึง ซึ่งมีพลซุ่มยิงของพวกมันประจำการอยู่ เกรฟจึงค่อยๆ ลอบเข้าทางหน้าต่างไป เพื่อที่จะไปชั้นบน บ้าน 4 หลังที่
มีพลซุ่มยิงประจำการอยู่จะมีความสูงกว่าบ้านหลังอื่นๆ อีกทั้งยังมีหลังคาและกำแพงที่ทำจากสังกะสีสูงประมาณเอว ทำเอาไว้ สำหรับเป็นที่กำบัง ในทางกลับกัน ก็เป็นตัวซ่อนอำพรางศพได้

"โคล คุ้มกันด้วย" เกรฟกล่าวสั่ง ทันทีที่โคโลเนลตอบตกลง เขาก็พุ่งเข้าไป แทงที่ข้างขาซ้ายให้มันล้มลงแล้วงัดมีดแทงไปที่ใต้คาง จนมันแน่นิ่งไป เลือดค่อยๆหยดลงที่ละน้อย เกรฟวางศพลง แล้วอาศัยที่นี่สังเกตุการณ์หมู่บ้านโดยรอบ

"บ้านหลังนั้น! " เกรฟกล่าวถึงบ้านที่มีสองประตู ซึ่งอยู่ลึกจากทางเข้าทั้งสองมาก มันอยู่ห่างจากศูนย์กลางหมู่บ้านประมาณ 10 เมตร เมื่อมีทหารคนนึงเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น

"โอเค เกรฟ...นายย่องเข้าไปทางหน้าต่างแล้วจัดการให้*****น" โคโลเนลสั่งการ "ฟาฮัด จอร์จ คอยคุ้มกันดูด้านนอก ชั้นจะสแกนพื้นที่รอบๆให้"

"รับทราบ!"

เกรฟโดดลงมาจากหอพลซุ่มยิงอย่างเงียบๆ แล้วค่อยๆย่อง เลาะตามกำแพงธรรมชาติที่เป็นเนินเขาเข้าไปที่บ้านหลังนั้น หน้าต่างไม้ผุๆถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เกรฟค่อยโผล่ขึ้นไป พร้อมกับปืนสั้น USP.45 ติดตั้งกระบอกเก็บเสียง แล้วโดดเข้ามาให้ห้องแคบๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นห้องเก็บของ

"เข้ามาแล้ว"

เกรฟค่อยๆย่องให้เบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ เขาก้าวออกมาจากห้องเก็บของแล้วออกมาที่ห้องโถงยาว ที่ตามทางมีห้องอยู่อีก 5 ห้อง และปลายทางเกรฟก็เห็นโต๊ะวิทยุสื่อสาร ซึ่งนั้นทำให้เขามั่นใจ เกรฟเริ่มย่างก้าวเดินไปบนพื้นดินเหนียวที่แข็งกระด้าง สายตาค่อยๆสาดส่องเข้าไปในห้อง 5 ห้องเล็กที่อยู่ระหว่างทางเดิน มันมีเตียงไม้สองชั้นที่พอนอนได้อยู่ในแต่ละห้องดูเหมือนจะเป็นห้องพักของพวกทหารข้างนอกนั้น น่าแปลกที่ไม่มีใครอยู่ในห้องพักเลย ทหารที่อยู่บริเวณกลางหมู่บ้านคือทั้งหมดงั้นน่ะหรือ? มันรบกวนจิตใจเกรฟ ทุกอย่างมันดูง่ายเกินไป จนกระทั่งเขาเดินมาถึงห้องวิทยุ มีทหารคนนึงที่เหมือนอยู่สภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น เพื่อความแน่ใจ เกรฟจึงปาดคอเขา เลือดสาดทะลักลงเต็มพื้นดินเหนียว แล้วค่อยๆไหลซึมลงไป เกรฟสำรวจดู รอบๆห้อง โต๊ะวิทยุสื่อสารและโต๊ะแผนที่ เกรฟละเลียดตามอง จับทุกรายละเอียดที่พอจะหา ได้ วิทยุไม่มีคลื่นสัญญาณหรือเสียงใดๆ บนโต๊ะแผนที่มีเพียงแผนที่ของภูมิภาคนี่แบบหยาบๆ ไม่มีการบันทึกหรือเขียนอะไรลงไป

"โคโลเนล..ชั้นอยู่ในห้องบัญชาการแล้ว"

"ว่ามา.."

"ที่นี่...ไม่มีอะไรเลย นอกจากแผนที่เก่าๆ กับวิทยุพังๆ"

"ว่าไงนะ?" จอร์จพูดขึ้นมา "นี่มันบ้าอะไรกันวะ"

"ทุกอย่างมันดูง่ายเกิน *ติ๊ด* ไป" เกรฟได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมากจากใต้โต๊ะ

"***** !!! กับดัก!!!!!!!!"


"ท่านนายพล..." เกวริลนั่งอยู่ในสวนของโรงพยาบาลทหารที่ซึ่งเขาอยู่พักฟื้นมาได้ 2 สัปดาห์แล้ว นายพลโซโคลอฟ ผู้ชึ่งมีเรื่องจำเป็นต้องคุยกับเกรฟ เดินเขามานั่งข้างๆ พร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาลในมือเขายื่นให้กับเกวริล เขาเปิดมันออกมาอย่างรวดเร็วในนั้นมีรูปถ่าย 2-3 ใบพร้อมกับเอกสารที่ดูคุ้นตา

"การซื้อขายอาวุธ..." เกวริลจดจ้องไปที่กระดาษแผ่นนั้น ดวงตาอ่านกวาดทุกสิ่งทุกอย่างที่อ่านได้

"เราสงสัยในตัววอลโคฟมานานพอสมควรแล้ว...เราจึงส่งมือดีของเราไปเฝ้าจับตาดู" นายพลโซโลอฟกล่าว "ผู้บัญชาการวอลโคฟ ได้ทำเรื่องที่ไม่ได้ไว้มากมาย แต่นี่....มันแย่มาก"

"หมายความว่ายังไง ซื้อขาย อาวุธ...ให้ใคร?"

"เกวริล...ชั้นรู้ว่ามันยากสำหรับนาย..." โซโคลอฟถอนหายใจ "พวกกบฏเชชเนียที่ก่อเรื่องอยู่เหนือนั้น...เราสืบค้นได้ว่ามันมีความสนับสนุนมาจากคนของเรา...วอลโคฟ...เขาทำการติดต่อซื้อขายอาวุธกับพวกเชชเนียมาพอสมควรแล้ว..."

"ว่าไงนะ?" เกวริลเริ่มสับสน วอลโคฟ คือผู้บังคับบัญชาของเขา ผู้ซึ่งส่งมอบภารกิจให้กับหน่วยของเขา

"ที่แย่กว่านั้นคือ...เรารู้ว่ามีอีก 2 คนของเราที่เป็นตัวเป้งของเรื่องในครั้งนี้"

"...." เกวริลพูดอะไรไม่ออก นี่คือสิ่งที่เขารับใช้มาตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ

"ส่วน...เรื่องในวันนั้น ที่นายเจอกับดัก...ความจริงแล้วมันเป็นกับดักที่คนของเราสร้างเอาไว้เอง"

"!??" เกวริลกำหมัดเน้น

"วอลโคฟส่งพวกนายสองคนไปเก็บคนของหน่วยเราที่สามารถลักลอบขโมยเอกสารนั้นมาได้..."

"และคนของนายก็ไหวตัวทัน..."

"ใช่...ชั้น...ชั้นต้องขอโทษจริงๆ" โซโคลอฟกล่าวขอโทษ แต่มันไม่มีความหมายอะไร เขาไม่ผิด เกวริลเข้าใจ พวกเขาเป็นแค่ตัวหมากในเกมการเมืองอะไรซักอย่าง วอลโคฟควบคุมเขาได้อยู่หมัด

"ชั้น...ขอตัวไปพักก่อนล่ะ.." เกวริลค่อยๆเดินอย่างไร้เรี่ยวแรง สิ่งที่น่าเจ็บใจที่สุด คือการตายของคนดีๆ เพราะผลประโยชน์ของคนเลวๆ

"เดี๋ยว...เกวริล" โซโคลอฟร้องห้ามเขาเอาไว้ "ถ้านายต้องการ..นายมาเข้าร่วมหน่วยของชั้นได้นะ"

"หน่วยอะไร?..."

"หน่วยการรบพิเศษและปฎิบัติการลับ โวรอน.."

เกวริลยืนนิ่งไป ในหัวครุ่นคิดถึงเนื้อเรื่องต่างๆที่ผ่านมา เขาได้ยินเสียง เสียงใครบางคน กำลังเรียกขานเขา เสียงของชายหนุ่ม

"เกรฟฟฟฟฟฟ!!!!!" เสียงโคโลเนลตระโกนแหกแก้วหูเอามาทางวิทยุ "ออกมาจากที่นั้นซะ!!!!"

นั้นคือเสียงเดียวที่เกรฟได้ยิน เขาค่อยๆลุกขึ้นมา ร่างกายเปรอะเปรื้อนไปด้วยเศษดินและหิน พร้อมกับรอยไหม้และเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น เขาเอามือคลำหัวตัวเอง สติเริ่มค่อยๆกลับมา แสงจากดวงอาทิตย์ส่องมาทางผนังและหลังคาที่พังกระจุยกระจาย เกรฟจับปืนไรเฟิลของตนแล้วค่อยๆลุกขึ้น โต๊ะวิทยุ แผนที่ ในสภาพพังยับเยินกระจายไปทั่วห้อง เกรฟค่อยๆเดิน กึ่งวิ่งออกทางประตูหน้าอย่างรวดเร็ว เสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้น และมันก็ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ

"โอ้...*****.... " เกรฟรีบวิ่งหลบกระสุนเข้าที่กำลังอย่างรวดเร็ว ทหารนับร้อย กำลังระดมเข้ามาจากทางเข้าหมู่บ้าน บ้านทุกหลังถูกระเบิดทำลายยับเยิน

"เฮ้! พวกคุ้มกันที!!! " จอร์จตระโกนสั่งมาจากบ้านหลังข้างๆที่อยู่ด้านหน้า กำลังแบกฟาฮัดที่หมดสติอยู่

เกรฟพยักหน้าแล้วยิง SCAR-H สวนกลับไป แต่พวกมันมีมาก และมีอาวุธที่เพรียบพร้อม ห่ากระสุนมากมายระดมยิงกันเข้ามาราวกับสายฝน จอร์จรีบวิ่งเข้าที่กำบังที่อยู่ด้านหลังเกรฟแล้ววางฟาฮัดลง ซึ่งไม่ได้บาดเจ็บถึงขั้นชีวิต

"พวกมันวางระเบิดเอาไว้ในบ้านทุกหลัง" จอร์จพยายามก้มหัวหลบอย่างสุดชีวิต "พอมันระเบิดเท่านั้นแหละ พวกมันก็แห่มาจากไหนก็ไม่รู้!"

"บัดซบ!" เกรฟโผล่หัวออกมาแล้วยิงสวนออกไป "เราต้องการกำลังเสริม เดี๋ยวนี้เลย!!!!"

black jack sdppd
20th December 2012, 15:13
สนุกมากครับ ขอติดตามอ่านละกัน
บู๊มันส์ๆ บู๊เน้นๆ
ฮ่าฮ่าฮ่า

Alathreon
29th December 2012, 20:03
016 : Survivor

นิ้วชี้ขวากดลงเป็นจังหวะ พร้อมกับการระเบิดของดินปืนในปลอกกระสุนโลหะขนาด 7.62 กลไกทำงานโดยพร้อมเพียงกัน ส่งหัวกระสุนพุ่งผ่านลำกล้องปืนที่ยาวประมาณท่อนแขน เข้าสู่มัดเนื้อหยาบๆของเป้าหมายอันสับสนวุ่นวาย เกรฟกระพริบตาหนึ่งครั้งก่อนจะมุดหัวหลบเข้าที่กำบัง

"****เอ้ย !" โคโลเนลสบถออกมาเสียงดัง แม้เกรฟกับจอร์จจะอยู่ที่แนวหน้า แต่โคโลเนลก็ต้องพยายามหลบกระสุนไว้บ้าง

เกรฟรู้สึกเหมือนได้กลับเข้าสู่บรรยากาศเดิมๆของชีวิต กลุ่มควันพวยพุ่งจากปากกระบอกปืนพร้อมกับมัจจุราชลูกเล็กๆที่ฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ เสียงระเบิดดังกึกก้องข้างๆหู ที่ชวนชินชา หลังจากที่รอดจากการระเบิดบ้านมาได้อย่างปาฎิหารย์ เกรฟจำต้องคอยคุ้มกันจอร์จที่แบกฟาฮัด เพื่อให้เขาสามารถไปอยู่ที่แนวหลังได้ เพียงแต่ตอนนี้ ศัตรูมีกำลังระดมยิงมาทีพวกเขา มีเกือบร้อย

"..." เกรฟขว้างระเบิดมือออกไป หวังมามันจะพอช่วยอะไรได้ 3 ชีวิตที่ถูกคร่าจากแรงระเบิดมันช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เขาส่งสัญญาณมือให้จอร์จที่กำลังกระหน่ำ LSAT ของเขา ให้รีบเตรียมตัวเคลื่อนย้ายทันทีที่เกรฟลุกขึ้น

"ไป!" เกรฟลุกขึ้นแล้วกระหน่ำยิงไปที่เป้าหมาย ทั้งหวังผลและเพียงเพื่อคุ้มกัน จอร์จให้พละกำลังมหาศาลของเขาแบกฟาฮัดขึ้นหลังและรีบวิ่งไปทางออกหมู่บ้านทางเดียวกับที่เกรฟเข้ามา

"รายการสถานการณ์ ไวเวิร์น!!" แซมแผดร้องอย่างกังวล เห็นได้ชัดว่า ทางนั้นกำลังวุ่นวายเรื่องนี้อยู่

"ยิงกันมั่วเลยล่ะ!!!" โคโลเนลลั่นไกสังหารมือ RPG นายนึงอย่างรวดเร็ว "ต้องการกำลังเสริมทางอากาศด่วน!!!"

"อดทนไว้ พรีเดเตอร์ ไปได้เร็วสุดก็ 10 นาที!!"

"มีห่าเหวอะไรก็เอามาเถอ..." จรวดลูกนึงพุ่งเข้าใส่ชะง่อนหินที่โคโลเนลนอนอยู่อย่างจัง เกรฟเห็นเขาตกลงมาที่ฝืนทรายเบื้องล่าง

"โอ้...เวร!" จอร์จสบถ "หนุ่มรัสเซียพวกมันมีเยอะเกินไป เราต้องวิ่งอย่างเดียวแล้ว"

เกรฟปรับปืนเป็นออโตเมติกแล้วกระหน่ำไปทิศเบื้องหน้า พวกกลุ่มก่อการร้ายอย่างหลบกันได้อย่างรวดเร็ว

"เห็นด้วยเลย.."

จอร์จพยักหน้าแล้วถอดสลักระเบิดควัน 2 ลูก โยนลงไปที่พื้น ควันสีเทาปะทุออกมาเป็นทรงครึ่งวงกลม มันหนาและเยอะพอที่จะบดบังทัศนียภาพ เกรฟพยักหน้าให้จอร์จวิ่งอย่างเต็มกำลัง เขารีบวิ่งตามอย่างรวดเร็วเพราะควันนี้อยู่ได้ไม่นาน พวกก่อการร้ายยังคงยิงเอามาเพื่อหวังผล

"ไวเวิร์น 0-4 เกิดอะไรขึ้น?!" แลงย์ลี่ต่อสายเข้ามา "เราติดต่อ 0-1 ไม่ได้"

"เขาโดนแรงระเบิดกระเด็นตกจากเนินหิน" เกรฟตอบกลับ ขณะที่กำลังออกแรงวิ่งอย่างเต็มที่ โดยหันหลังไปเช็คทางหมู่บ้านเป็นระยะๆ กลุ่มควันเริ่มบางลงแล้วพวกมันกำลังวิ่งกรูมาจากหมู่บ้าน

"เขายังอยู่!" เกรฟชี้ไปที่ร่างของโคโลเนลที่กำลังค่อยๆลุกขึ้น ให้จอร์จดู เขาพยักหน้า ส่วนเกรฟเริ่มวิ่งช้าลงเพื่อดูทางด้านหลัง

"ห่าเอ้ย! " เกรฟวิ่งไปที่หาโคโลเนลทันที จอร์จค่อยตอนนี้แบกทั้งฟาฮัดและพยุงโคโลเนลเริ่มจะหมดแรงแล้ว

"เราอาจจะต้องเคลื่อนย้ายไปด้านบน..." จอร์จละมือจากโคโลเนลที่เกรฟรับช่วงต่อแทน

"พวกมัน...มาได้ยังไง..." โคโลเนลเช็คสติตัวเองแล้วค่อยๆลุกขึ้น

"มาเถอะ...เราอาจจะต้านไว้ได้" ทันทีที่เกรฟพูดจบ เสียงห่ากระสุนจากปืนหลายสิบกระบอกดังลั่นพร้อมกับส่งลูกตะกั่วร้อนๆเข้าหาพวกเกรฟ โชคดีที่พวกมันไปชนผืนทรายกับหิน เกรฟรีบพยุงโคโลเนลที่อยู่ในสภาพเหมือนลูกหมาจมโคลนขึ้นไปที่เนินหินก่อนหน้านี้ โดยมีจอร์จที่กางขาทรายแล้วยิงสนับสนุนจากด้านบนรออยู่แล้ว

"ฟาฮัดเป็นไงบ้าง?" เกรฟวางโคโลเนล แล้วไปนั่งช่วยจอร์จยิงต้าน โคโลเนลยังพอไหวอยู่ เห็นได้จากการที่เขาหาก้อนหินเพื่อวางปืนแล้วยิง

"โดนก้อนอิฐกระเด็นใส่หัวตอนระเบิดน่ะสิ" จอร์จยังคงกระหน่ำยิง ยังพอทำให้พวกก่อการร้ายต้องเคลื่อนที่ช้า

"โอเค.. 0 - 4 ถึง HQ อีกกี่นาที? " เกรฟประกบยิงควบคู่กับจอร์จ

"ประมาณ 2 นาที!" แซมกล่าว "เราเห็นพวกนายแล้ว...พระเจ้า!! พวกมันมาจากไหนกัน"

เกรฟหันไปมองดูด้านหลังบนฟ้า เครื่องบินไร้คนขับ พรีเดเตอร์ที่ติดตั้งจรวดเฮลไฟร์กำลังบินมาทางพวกเขา เกรฟเริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง

"โอเคพวก..เรากำลังจะรอดแล้ว" เกรฟหันกลับไปยิงต้าน ในขณะที่จอร์จกำลังบรรจุกระสุนใหม่

"เราจะยิงล่ะ ! พวกนายหลบๆไว้หน่อย!" ทันทีที่แซมพูดจบเกรฟหันไปมองดูที่เครื่องพรีเดเตอร์ มันอยู่เหนือหัวพวกเขา และกำลังปล่อยมิสไซล์ลำเท่าท่อนแขน มันบินมาอย่างรวดเร็ว

"ก้มไว้!!!" เสียงระเบิดดังลั่น ผืนทรายกระเด็นขึ้นมาราวกับน้ำกระเซ็น เกรฟหันไปมองสถานการณ์ สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดเลยก็เกิดขึ้น

"ไม่ ไม่ ไม่!!!" แซมร้องตระโกนลั่น จรวดแบบเฮลล์ไฟร์ลูกอีกลูกหนึ่งพุ่งแหวกทะลุผืนทรายที่อยู่กลางอากาศออกมาอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งเข้าใส่
เครื่องพรีเดเตอร์จนระเบิดเป็นจุณกลางน่านฟ้า

"นั่นมัน*****อะไรวะ!?!?" จอร์จตระโกนลั่น ความหวังที่จะรอดกลับไปเริ่มดับวูบ

"เฮลล์ไฟร์!!! พวกมัน..." โคโลเนลประหลาดใจมาก พวกก่อการร้ายที่พวกเขากำลังปะทะอยู่ มัน..ไม่ธรรมดาเอามากๆ

"ไวเวิร์น! รายงาน !" แซมกำลังแผดเสียงอย่างรุนแรง จากภารกิจสอดแนมธรรมดาๆ เธอกลับส่งพวกเกรฟมาอยู่กลางดงทหารรับจ้าง "เกิดอะไรขึ้น
ที่นั่น! ตอบด้วย !!!"

เกรฟกำลังจะตอบกลับไป แต่แล้ว เค้าก็เหลือบที่เห็นสิ่งที่คุ้นตา มันคุ้นตาเกินไป ทันทีที่ทรายกลางอากาศตกลงมาอยู่ที่ผืนทะเลทราย เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเป็นจังหวะพร้อมกับใบพัด 2 ชั้น มันคอยๆลอยลำอยู่เหนือพวกทหารรับจ้างนั่น ดูเหมือนว่า จรวดเฮลล์ไฟร์ที่ยิงพรีเดเตอร์ตก ก็ยิงมาจากกล่องบรรจุมิสไซล์ที่ติดเอาไว้ใต้ปีกของเล็กๆของมัน

"ไฮนด์!!!!!!!!!!" เกรฟตระโกนดังลั่น พยายามจะดึงจอร์จและโคโลเนลให้ออกจากเนินหินนี้ แต่ทว่า มันไม่ทันการเสียแล้ว

จรวดมิสไซล์ลูกนึงถูกยิงมาจากช่องนั้น มันพุ่งตรงเอามาหาเกรฟอย่างรวดเร็ว เกรฟไม่เคยคิดว่า เขาจะต้องมาตายแบบนี้...

"....ไวเวิร์น..4...ได้..ยิ....หม... ย้ำ....0.....ได้.....ยิน........เปลี่ยน.....พระเจ้----" เสียงซ่าของวิทยุพกพาที่หูฟังติดอยู่ที่หู ค่อยๆอ่อนแรงลงและดับไปในที่สุด

ท้องฟ้ายามบ่ายอันร้อนระอุสีฟ้าโปร่ง ถูกแทรกด้วยกลุ่มควันที่ลอยโขมงมาจากทางหมู่บ้าน และซากเครื่องพรีเดเตอร์ที่ตกใกล้ๆ ยัง...เขายังไม่ตาย...เกรฟกำมือทั้งสองข้างเพื่อสัมผัสว่าตนยังไม่ตาย ร่างกายไร้ซึ่งความรู้สึก หากแต่เพื่อมันหนักราวกับไม่ใช่ร่างของเขาเอง มือขวาค่อยๆดันพยุงตัวให้ลุกขึ้น เกรฟมองไปรอบๆตัว พวกเขากระเด็นจากเนินหินที่เคยอยู่บนเนินทรายมาไม่ไกลนัก จอร์จแล้วฟาฮัดต่างนอนคว่ำหน้าทั้งคู่ เกรฟจึงไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นยังไงบ้าง ส่วนโคโลเนล เขาขยับปลอกตานิดๆ เป็นสัญญาณว่ายังไม่ตาย ดูเหมือนเกรฟจะเป็นคนเดียวที่ยังมีสติอยู่ เกรฟคลำหาปืนของตนแล้วหยิบขึ้นมา เขารู้ดีว่า ตอนนี้ ยังไงก็ไม่มีทางที่จะรอดจากพวกทหารรับจ้างนั้นได้ เค้าได้แต่หวัง แซมกับแลงย์ลี่อาจจะสามารถเคลื่อนทัพมาช่วยพวกเขามาทันเวลาก็ได้

เป็นความคิดที่ตลกสิ้นดี...

เสียงเฮลิตอปเตอร์จู่โจม Mi-24 "Hind" ยังคงดังกระหึ่มอยู่เหนือพวกเขา เกรฟไม่รู้แน่ชัดว่าตอนนี้ พวกเขาอยู่ที่ตำแหน่งไหน แต่มันคงไม่ไกลจากหมู่บ้านมาก

"ยังอยู่เหรอะ...ฮึ..."

เกรฟสะดุ้งแล้วหันหลังไปพร้อมจะเหนี่ยวไกลทันที แต่ทว่าเขากลับโดนกระแทกใบหน้าอย่างแรงด้วยของแข็ง

"ใจเย็น...ใจเย็น...." เกรฟมองหน้าชายดังกล่าว เขาเบิ่งตา ถึงแม้ว่ามันจะไม่ชัดเจนในตอนแรก แต่ว่า มันใช่แน่ๆ

"อัซราม...." เกรฟกัดฟันพูด ชายคนนั้นมาตัวเปล่า แต่มาพร้อมกับทหารรับจ้างคนนึงที่ไม่ได้สวมเครื่องปกปิดใบหน้า เกรฟจึงเห็นได้อย่างชัดเจน
เขากำลังเล็ง AN-94 มาทางเกรฟ

"...และ นาย...คงจะเป็น เกวริล..เดมอนเชฟสินะ" อัซรามยิ้ม แล้วกวักมือเรียกทหารรับจ้างอีกเกือบ 10 นายเข้ามา

"ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวสินะ...เอาล่ะ เกรงว่า พวกนายจะต้องไปกับชั้นซะแล้วล่ะ"

เกรฟจ้องมองอัซรามอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ พยายามข่มใจไม่ให้ทำอะไรโง่ๆ

"อ่ะ...ลืมไป..." อัซรามหยิบปืนพกจากซองของทหารรับจ้างข้างๆ "เดรคโค่ ของยืมหน่อยนะ"

"พวกนั้นบอกมาเลยว่า จับตาย กรณีเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดี...แต่ โคลบี้..."

อัซรามเดินไปทางโคโลเนลแล้วใช้เท้าค่อยๆเหยียบวางลงบนหัวของเขา

"ชั้นมีเรื่องจำเป็นต้องคุยกับเพื่อนเก่า ซักหน่อย...ลาก่อน คุณเดมอนเซฟ"

เกรฟตาเบิกกว้าง อัซรามเล็งปืนมาที่เขาแล้วเหนี่ยวไก อย่างรวดเร็ว ความรู้สึกเหมือนมีดเสียดแทงเข้าที่หน้าอก ส่งเกรฟเข้าสู่ความมืดมิด...


เกรฟลืมตาตื่นขึ้นมา สัมผัสกับเกล็ดหิมะอันเยือกเย็น ลมหายใจแผ่ออกมาเป็นควันสีขาวบริสุทธิ์ เขารีบวิ่งเข้าหากองไฟตรงหน้า โดยลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไป

"เกวริล...หรือชั้นควรจะเรียกว่า เกรฟ ดีล่ะ" เสียงอันคุ้นหูดังขึ้น แม้เสียงๆนี้จะไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษนักก็ตาม

"ซาช่า?" เกรฟหันไปมองชายในชุดธรรมดาที่สวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ที่ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของกองไฟ

"ยังอยู่ดีนะ?" ซาช่า เอากิ่งไม้เสียบมาร์ชเมลโล่แล้วเอามันไปอุ่นไฟ

"แต่นาย...แล้วชั้น....." เกรฟกำลังจะพูด

"ไม่ๆ นายยังไม่ตายหรอก เกวริล นี่เป็นแค่ภาพความฝันบ้าๆบอๆที่สารเคมีในหัวนายมันสร้างขึ้น" ซาช่าส่งมาร์ชเมลโลที่สุกกำลังดีให้เกรฟ

"กินซะ....แล้วรีบไป" ซาช่ายิ้ม "ยังมีคนต้องการนายอยู่"

"อะไรนะ?"


เกรฟสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา จากกลิ่นควันไฟที่มาจากองไฟที่ใหญ่มากๆ ทุกอย่างมันมืดไปหมด แต่เกรฟรู้สึกได้ มือของเขากำลังสัมผัสกับเนื้อของมนุษย์อย่างแน่นอน

"บ้าเอ้ย!!!" เกรฟสบถในใจ แล้วออกแรงทั้งหมดที่มีดันตัวเองออกมาก และใช้มือทั้งสองข้างแหวกออก เขาอยู่ใต้กองศพประมาณ 10 ศพ ของพวกทหารรับจ้างที่ตายไปตอนปะทะ เกรฟออกแรงดันแหวกออกมาจากได้สัมผัสกับอิสรภาพในที่สุด

"เฮ้ย!!!! อะไรวะ***!!" เสียงตระโกนดังขึ้น เกรฟหันไปเห็นชายในชุดทหารรับจ้างกำลังตกใจราวกับเห็น เขาไม่รอช้า พุ่งเข้าไปปลดอาวุธ แล้ว
สังหารชายคนดังกล่าวเสีย เสียงปืนทำให้ชายอีก 2 คนวิ่งเข้ามา เกรฟไหวตัวทันแล้วยิงสังหารทั้งสองอย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์สงบลง

เกรฟคลำมือเข้าไปในเสื้อเคฟล่าที่เป็นรูสองรูด้วยคมกระสุนของอัซราม กระสุนไปโดนกับแผ่นเหล็กที่เกรฟใส่เอาไว้บริเวณหน้าอก ทำให้เขารอดอย่างหวุดหวิด เขามองดูรอบๆ เขาอยู่ที่จัตุรัสกลางหมู่บ้านแห่งเดิม ข้างๆมีกองศพที่เขาพึ่งขุดออกตัวเองออกมา ห่างออกไปมีกองไฟขนาดใหญ่และพบศพจำนวนหนึ่งที่นั้น กองไฟสุขสว่างโชติช่วงท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมิดของทะเลทรายเวลากลางคืน

"ชั้นหลับไปนานเท่าไหร่เนี่ย" เกรฟสำรวจรอบๆ แล้วพบรถกระบะเก่าๆ ที่มีปืนวางเรียงรายอยู่บนกระบะ 3-4 กระบอก หนึ่งในนั้นคือ SCAR-H ของเขา มันคงไปถูกใจทหารซักคนที่เขาพึ่งฆ่าไปแน่ๆ

เกรฟเตรียมเครื่องกระสุนและอุปกรณ์บนเสื้อผ้าและเครื่องป้องกันขาดๆ ราวกับผ่านสงครามโลกมา วิทยุที่ใช้ติดต่อกับพวกแซมก็เสียหายไปแล้ว เกรฟรอไม่ได้อีกต่อไป เขาหยิบวิทยุ walkie talkie เก่าๆ มาจากศพพวกทหารรับจ้าง แล้วสตาร์ทเครื่องรถกระบะ

"รอก่อนนะพวก..."

Alathreon
7th January 2013, 19:40
017 : Infiltrator

พายุทรายโหมกระหน่ำเข้าใส่เกรฟอย่างไร้ความปราณี หลังจากรถกระบะเครื่องยนต์เสีย เกรฟไม่มีเวลาไปนั่งซ่อมอย่างแน่นอน เขาออกเดินจากจุดนั้นมาประมาณ 2 ชั่วโมงแล้ว ยังคงไร้ซึ่งวี่แววของฐานทัพของอัซราม ร่างกายที่เริ่มอ่อนล้าและไร้กำลัง ไม่อาจจะหยุดความตั้งใจของเกรฟได้
เขาหงายท่อนแขนเพื่อดูเวลาจากนาฬิกาดิจิตอล อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกชิ้นเดียวที่รอดพ้นจากการยิงปะทะที่หมู่บ้านนั้น วิทยุ walkie-talkie ที่หยิบติดมือมาด้วยก็ไร้เสียงสัญญาณ

"2 ทุ่ม..." เกรฟพึมพำและแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า พายุกำลังค่อยๆซาลง เกรฟจึงปลดผ้าซีมัคที่พันใบหน้าอยู่อย่างมิดชิด หมู่ดาวมากมายที่ประดับท้องฟ้ายามค่ำคืนเกือบจะทำให้เกรฟนึกว่า ตนมาเที่ยวพักผ่อน แต่ SCAR-H ที่กำเอาไว้ในมือยังคงช่วยเตือนสติเขาเอาไว้

เกรฟหยุดเดินและนั่งลงบนเนินทรายขนาดใหญ่ หลังที่เขาเห็นหุบเขาทอดตัวเป็นแนวยาวอยู่ด้านหน้า ห่างออกไปประมาณ 500 เมตร ด้วยซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้างที่น่าจะเคยเป็นหมู่บ้านมาก่อน กับสิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนรูปสลักขนาดใหญ่ที่สลักเข้าไปในตัวหุบเขา เป็นรูปคนขนาดใหญ่ ถ้าเกรฟจำไม่ผิด สิ่งนั้นคือพระพุทธรูปหินแห่งบามิยันที่โดนพวกตาลีบันซึ่งเป็นรัฐบาลของอัฟกานิสถานในช่วงปี 2001 ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำหรับพระพุทธศาสนา เกรฟถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากที่สำรวจบริเวณพระพุทธรูป ส่วนหนึ่งให้กับความหัวรุนแรงและชาตินิยมของเหล่าตาลีบัน ส่วนหนึ่งให้กับความไร้วี่แววของกองทัพของอัซราม

เกรฟนั่งลงจนแทบจะนอน หยิบขวดน้ำสนามขึ้นมาเพื่อดื่มน้ำอึกเล็กๆ ก่อนจะนั่งสังเกตุไปทางหมู่บ้านที่ตีนหุบเขาบามิยัน ในขณะที่สายลมหนาวของทะเลยทรายพัดเอื้อยๆ เกรฟเหลือไปเห็นแสงและควันไฟค่อยลอยขึ้นมาที่บริเวณซากปรักหักพังเข้า เขาไม่รอช้า ใช้กล้องทางไกลบริเวณนั้น เขาเห็นทหารรับจ้างในชุดที่คุ้นตาประมาณ 4-5 นาย ที่คงจะออกมาเดินเล่นรับลม ไม่ก็เป็นยามเฝ้าระวังกะกลางคืน
แน่นอน มันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วนอกจากเข้าไปที่บริเวณนั้นแล้วหาฐานทัพดังกล่าวของอัซราม เกรฟไถลตัวลงจากเนินทรายแล้วรีบวิ่งก้มไปที่ซากหมู่บ้านแห่งนั้นอย่างเร่งรีบ

"โฮเทล 7 ได้ยินแล้วตอบด้วย...เปลี่ยน" เสียงวิทยุ walkie-talkie ที่เกรฟหยิบติดมาดังขึ้นพร้อมกับเครื่องอื่นๆ อีก 5 เครื่องของทหารในบริเวณนั้น โชคดีที่มันยังใหม่ที่จะมีหูฟังแบบข้างเดียวติดมาด้วย

"โฮเทล 7 ถึงฟ็อกทร๊อต 5-3 ชัดเจน ขับเข้ามาได้เลย เปลี่ยน" ทหารที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มโฮเทล 7 พูดตอบกลับไปทางวิทยุ เกรฟกำลังหลบอยู่หลังกำแพงของบ้านหลังหนึ่งที่ไกลพอที่พวกนั้นจะไม่รู้สึกตัว และใกล้พอที่จะยิงสังหารพวกมันได้แบบแน่นอน เขากำลังพยายามมองไปรอบๆเพื่อหาลู่ทางหรือร่องรอยของฐานทัพ แต่มันไม่มีอะไรเลย

ก่อนที่รถบรรทุกทหารคันหนึ่งจะค่อยๆแล่นเข้ามาจากทิศทางเดียวกับที่เกรฟผ่านมา

"โอเค ฟ๊อกทร๊อต 5-3 ดาราคนโปรดของชั้นคือใคร" หัวหน้าหน่วยโฮเทล 7 ลุกขึ้นมาหยุดรถบรรทุกดังกล่าวไว้

คำถามที่ถามไปคงจะเป็นสัญญาณลับ ป้องกันพวกลับลอกเข้ามา เพราะถ้าตอบผิดเมื่อไหร่ล่ะก็ คนตอบผิดจะโดนยิงจนพรุนแน่นอน เกรฟไม่อาจฉุกคิดได้อีกต่อไป รถบรรทุกนี่เป็นสิ่งเดียวที่อาจจะนำเขาไปสู่ฐานทัพของอัซรามได้ เขาจึงรีบวิ่งเรียบกำแพงแล้วโดดมากลางถนนทราย ตรวจดูรอบข้างอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกเท้าขึ้นส่วนกระบะของรถบรรทุกไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่มันมีผ้าหนาๆคลุมเอาไว้ทั้งกระบะ และสิ่งที่ขนมาก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นเครื่องกระสุนกับอาวุธปืนจำนวนมาก

"แอนน์ แฮทธาเวย์" คนขับรถนั้นที่คงจะมีรหัสว่า ฟ๊อกทร๊อต 5-3 กล่าว หัวหน้าโฮเทล 7 พยักหน้า แล้วกล่าวว่า ไปได้ รถบรรทุกค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านอย่างรวดเร็ว เกรฟที่นอนราบหลบอยู่หลังรถยังคงคิดว่ามันง่ายเกินไป แต่ไม่ใช่ว่า เป็นเพราะนี่เป็นกับดัก แต่ใครๆก็คิดว่า ทีม ไวเวิร์น 0 โดนจับ 3 และตาย 1 ไปแล้ว

"นี่ เอ็ด รู้เรื่องที่อัซรามจับพวกสหรัฐได้รึยังวะ?" หลังจากที่รถแล่นมาไกล ตลอดระยะทางที่ผ่านมา ไอ้สองตัวหน้ารถเอาแต่คุยเรื่องเที่ยวผับกับซื้ออีตัวเมื่อได้เวลาพักผ่อน ประโยคนั้นเป็นประโยคแรกที่สะกิดต่อมสนใจของเกรฟเข้า

"อ่า ได้ยินมาว่า มีคนที่เคยฆ่าล้างโคตรกลุ่มของอัซรามอยู่ด้วยนี่" เอ็ดถามชายคนขับรถ พลางสูบบุหรี่ไปพลาง หมอนี่คงไม่เคยคิดถึงความปลอดภัยเลยสินะ

"ใช่ เป็นสมาชิกพวก Azure Wolf ด้วยนี่ ถ้าจำไม่ผิดนะ" เกรฟตัวแข็งทื่อขึ้นมาในทันที ก่อนหน้านี้ อัซรามก็เคยพูดทำนองนี้มาแล้ว ที่ว่า "จับตายเท่านั้น" หรือสิ่งที่แวนดอลเตือนเอาไว้จะเป็นความจริง ก่อนที่เกรฟจะคิดไปมากกว่านี้ ดูเหมือนว่ารถบรรทุกจะค่อยๆชะลอความเร็วลง

"เอาล่ะ จะได้นอนซักที" ชายคนขับรถพูดขึ้น เกรฟเปิดผ้าแหง้มมองสถานที่รอบๆ พวกเขาพึ่งผ่านประตูลูกกรงขนาดใหญ่ที่มีป้อมยามคุมขนาบสองข้าง ขับแล่นมาทางพื้นหินที่ดูเหมือนเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่ ลงต่ำจากชั้นพื้นผิวไปเรื่อยๆ จนมิอาจเห็นแสงจันทร์ได้ในที่สุด เสียงของผู้คนและเครื่องยนต์ดังระงมอยู่ภายใน "ถ้ำ" ขนาดยักษ์ รถบรรทุกเเล่นมาเรื่อยๆจนหยุดจอดที่ด้านหน้าของท่ารถภายในถ้ำ เกรฟมองดูไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้ อาจจะกว้างถึง 2 สนามฟุตบอลก็เป็นได้ ทั้งทหารยามที่เดินตรวจเต็มไปด้วย และรถกระบะอีกหลายคัน

"ฐานทัพใต้ดิน..." เกรฟพึมพำในใจ ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงปิดประตูรถทั้งสองข้าง

"เดี๋ยวอีกซักพักจะมีคนมาจัดการเอาลงไปเอง เราไปพักก่อนเถอะ" เสียงคนขับรถกล่าว ได้โอกาสแล้วที่เกรฟจะลง ก่อนจะลง เขาคลำหาวัตถุระเบิดในกองคลังแสงเล็กๆท้ายรถ เผื่อยามจำเป็น

"C4 3 ลูกน่าจะพอ" มีแล้วไม่ได้ใช้ ยังดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี เขาคิด

เกรฟเปิดผ้าหนาๆออกแล้วโดดลงมาจากหลังรถอย่างเงียบเชียบ แล้วสำรวจรอบๆ สถานที่แห่งนี่ น่าจะมีความสูงประมาณตึก 2 ชั้น ผนังหินถูกขุดเป็นโพลงทางขนาดประตู 2 บาน และเชื่อมต่อถึงห้องเล็กๆ ที่มีกระจายอยู่ทั่วๆ จุดที่จอดรถอยู่ เป็นจุดทีเป็นลานกว้างๆใหญ่กว่าจุดอื่นๆ แต่เกรฟมั่นใจ ว่ามันจะมีใหญ่กว่านี้แน่นอน
จะรอช้าไม่ได้ ที่นี่ต้องเป็นฐานทัพของอัซรามแน่ๆ เกรฟรีบตรงไปที่ทางเดินล่าสุด เขายังไม่รู้จำนวนของทหารที่นี่อย่างแน่นอน จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการปะทะให้มากที่สุด เกรฟเดินไปตามทางเดินหินที่มีการติดตั้งหลอดไฟเอาไว้ไม่ถี่มาก ความมืดไม่ใช่ปัญหา แต่เส้นทางต่างหาก

"แกว่าไอ้เจ้าโคลบี้อะไรนั้น ที่โดนเดรคโค่ลากไป มันจะอึดซักแค่ไหนวะ" เสียงสนทนาดังมาจากเบื้องหน้า เกรฟรีบหาที่ซ่อน ก่อนจะเหลือบไปเห็นร่องหินขนาดพอดีตัว เขาจึงพุ่งเข้าซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว

"พนัน 20 เหรียญ อีก 2 ชั่วโมงมันก็น๊อคแล้ว" เสียงสนทนาดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เกรฟชักมีดต่อสู้ออกมารอ เตรียมพร้อมสำหรับเหตุไม่คาดฝัน

"อ่า แล้วไอ้ดำนั้นล่ะ" พวกมันสวมชุดคล้ายกับชาวพื้นเมืองปากีสถานเพียงแต่มีอุปกรณ์การรบและปืนเพิ่มมา มันสองคนมาหยุดอยู่ที่หน้าร่องหินที่เกรฟซ่อนอยู่พอดี

"*****...." เกรฟสบถเบาๆ กำลังจะง้างมือออกไปสังหาร แต่ดูเมื่อว่า พวกมันจะยังไม่เห็นเขา

"เฮ้...อีก 10 นาที ชั้นต้องไปผลัดเวรที่ห้องขังว่ะ" คนที่อยู่ไกลออกไปพูดขึ้นพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจะสูบ ดูเหมือนอากาศคงจะหนาว มันเผลอทำบุหรี่ตกลงพื้น

ห้องขัง...จอร์จ ฟาฮัด....

"เค้าห้ามสูบบุหรี่แถวนี้นี่หว่า" คนที่อยู่ตรงหน้าเกรฟพูดขึ้น

"เออ ก็กูอยาก....เฮ้ย!!!!"

เกรฟกระตุกแขนของตนแทงมีดเข้าไปที่ท้ายทอยของคนตรงหน้า ทะลุเข้าสู่ไขสันหลังและก้านสมอง หยุดการทำงานของชีวิตโดยสมบูรณ์ ก่อนจะดึงมันออกอย่างรุนแรง เลือดสาดกระเช็นเป็นเส้นตรงตามแนวมีด แล้วใช้มือซ้ายผลักร่างของมันออกไปด้านข้าง เขาพุ่งเข้าไปตีเข่าเข้าที่จุดอ่อนของคนที่หยิบบุหรี่ มันร้องครางเล็กๆ ก่อนจะโดนหมัดซ้ายประกบเข้าเต็มๆที่กรามจนเลือดกลบปาก เกรฟใช้แขนซ้ายวางพาดจับที่หน้าอกของมัน แล้วใช้มีดที่มือขวาจ่อบริเวณขมับของรวดเร็ว

"เงียบ..." เกรฟพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ราวกับยมทูตในคืนอันหนาวเหน็บ "บอกชั้นหน่อย...ว่าทหารสหรัฐที่พวกแกจับมาอยู่ที่ไหน?"

"***เป็นใครว...อึก" เกรฟกระแทกท่อนแขนซ้ายเข้าไปที่ลำคอของมัน "ดะ...เดินไปทางนั้น ป..ประมาณ 50 เมตร มันอยู่ในห้องขัง....ยะ...อย่าฆ่าชั้นนะ" มันชี้มือไปทางที่ที่มันกับเพื่อนเดินมา

"แล้วอีกคนล่ะ...โคลบี้ แกพูดว่า เขาไม่ได้อยู่ในห้องขังนี้" เกรฟค่อยๆฝั่งคมมีดเข้าไปในเนื้อที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ จนเลือดเริ่มไหลซึมออกมา

"....จะ...เจ้านั้น อัซรามต้องการจะสะส้างเรื่องเก่ากับมัน...ขะ เขาเลยจับมันไปที่ห้องบัญชาการ มัน...มันอยู่ชั้นล่างลงไปอีก 2 ชั้น..." มันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นระริก มองเห็นความกลัวและความเป็นมือใหม่ในฐานะทหารได้ชัดเจน

เห็นได้ชัดว่า ที่นี่อยู่ลึกจากพื้นผิวโลกพอสมควร อัซรามจะต้องมีคนสนับสนุนที่มีเงินและอำนาจสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอย่างแน่นอน เกรฟไม่อาจเห็นหนทางรอดอะไรเลย ตอนนี้คงต้องช่วยโคโลเนล,จอร์จ และฟาฮัดให้ได้ก่อน เกรฟแทงมีดเข้าไปที่ขมับของทหารคนนั้นจนมิดด้าม มือซ้ายปิดปากเพื่อป้องกันเสียงที่จากเล็ดลอดมาจากปาก จนในที่สุด มันก็แน่นิ่งไป

เกรฟลากศพของทหารทั้งสองเข้าไปซ่อนในร่องหิน แล้วเดินไปตามทางทิศที่ได้ข้อมูลมา

50 เมตรต่อมา เกรฟพบกับทหารยามที่กำลังเฝ้าประตูไม้เก่าๆอยู่คนนึง ซึ่งอาจจะเป็นห้องขัง เกรฟดูลาดลเาของทางเดินที่ไม่แน่นอนที่นี้ ดูเหมือนจะหน้าที่เวรยามจะถูกกำหนดเอาไว้อยากชัดเจน เพราะตลอดทางที่เกรฟเดินมายังไม่พบทหารคนอื่น และไม่มีการรายงานว่าพบศพอะไรของใครด้วย เกรฟเห็นว่าได้โอกาสเขาจึงวิ่งพุ่งเข้าไปจัดการสังหารยามนั้นและลากศพผ่านประตูไม้เข้าไป กลิ่นเหม็นสาบแห้งๆ คละคลุ้งเข้ามาสู่รูจมูกทันที ภายในห้องมีกรงโลหะขนาด 3*3 อยู่ 4-5 กรง หลอดไฟ 2 ดวงที่ติดอยู่บนเพดานให้แสงสว่างไม่ทั่วถึงนัก เกรฟพบชายคนหนึ่งในชุดทหารสหรัฐแบบเดียวกับเขานั่งหันหลังพิงประตูกลูกรงอยู่

"*****อะไรอีกวะ?" เสียงที่ใหญ่อึกทึกและมีท่าทีขี้เล่นอันคุ้นหูดังขึ้น "จะต่อยกับกูอีกรอบเหรอไง?"

เป็นจอร์จอย่างแน่นอน

"นี่ชั้นเอง" เกรฟนำกุญแจห้องขังที่อยู่กับผู้คุมมาปลคล๊อคกรงขังของจอร์จ ในขณะที่ฝ่ายหลังกำลังลุกขึ้น

"ไอ้******!! ชั้นนึกว่านายตายไปแล้วซะอีก" จอร์จเดินออกมาจากกรงขัง ยืดเส้นแล้วเตะไปที่ศพของทหารยามแรงๆ 1 ครั้ง ก่อนจะหยิบปืน G36C กระสุนและวิทยุ Walkie-taklie มาจากศพนั้น

"ดูท่าทางนายโอเคดีนะ" เกรฟกล่าว "แล้วฟาฮัดล่ะ"

"ชั้นไม่รู้ว่ะ ชั้นรู้สึกตัวตอนฮอที่ยิงพวกเราลงจอดในฐานนี่ ชั้นเห็นแค่โคลบี้ หมอนั่นโดนลากไปชั้นล่าง" จอร์จอธิบาย "ที่ด้านโน้น เป็นโรงจอดฮอ 2 ลำ และมีรถกับอาวุธอีกเป็นเบือ ช่องทางเข้าของฮอมันเป็นช่องหินที่กว้างมากก็จริง แต่อยู่เหนือระดับพื้นชั้นนี่เกือบ 60 เมตร ชั้นไม่เห็นทางหนีออกจากที่นี่เลยว่ะ"

"ฮองั้นเหรอ" เกรฟครุ่นคิด ก่อนจะยื่นระเบิด C4 3 ลูกและตัวจุดชนวนให้กับจอร์จ "นายไปรอที่นั้นเลย จัดดอกไม้ไฟลูกใหญ่ๆเลยนะ แต่เหลือฮอเอาไว้ลำนึงก็พอ"

"ได้ เรื่องถนัดเลยล่ะ แล้วนายล่ะ หนุ่มรัสเซีย?"

"ชั้นจะลงไปช่วยโคลบี้และตามหาฟาฮัด ถ้ามีจำเป็นจริงๆล่ะก็ จุดระเบิดได้เลย" เกรฟกล่าวอย่างเรียบๆ สายเลือดสเปซนาซเริ่มกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง "มีอะไรที่ชั้นควรจะรู้อีกไหม?"

"ชั้นเดาว่า ข้างล่างนั้น มีพวกมันเป็นร้อยเลยล่ะ พกโชคไปเยอะๆนะพวก"

"....งานนี้ ได้มียิงกันเละแน่"

จอร์จหัวเราะเบาๆแล้วไปประจำตำแหน่งที่ประตูก่อนจะเปิดออกไป เกรฟพยักหน้าแล้วแยกย้ายกับเขาตรงนั้น ในขณะที่ จอร์จวิ่งกลับไปทางที่เกรฟมา เกรฟวิ่งเข้าสู่ทางเดินอันอับแสงเบื้องหน้า...ต่อไป

Alathreon
18th January 2013, 22:33
018 : Loose

เกรฟค่อยๆก้าวลงเหยียบขั้นบันไดโลหะเล็กๆอันเป็นทางลงสู่ชั้นล่างอีกชั้นของฐานทัพใต้ดินแห่งนี้ ฟังจากเสียงวิทยุแล้ว ยังคงไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น หลังจากแยกกับจอร์จ เกรฟก็ตรงดิ่งมาตามทาง หลีกเลี่ยงการปะทะกับทหารยาม 2-3 ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมา มันจึงไม่ได้ยากเย็นอะไรมากนัก

มาถึงจนได้...เกรฟคิด เขาสำรวจดูสภาพโดยรวมของที่นี่ บริเวนบันไดมีกล่องกระดาษและกล่องเก็บของอยู่ ตรงออกไปดูเหมือนเป็นพื้นที่ที่ใหญ่มากๆ และมีการขุดทางเดิน แยกเป็นห้องเล็กๆ อีกมากมายไฟเปิดสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวัน เสียงอึกทึกก็ดังกว่าชั้นที่ผ่านมา เกรฟค่อยๆเดินไปที่มุมทางเดินก่อนจะรีบกลับเข้ามาหลบเพราะที่นี่เต็มไปด้วยทหาร และมี 2 นายกำลังเดินมาทางเขา

"ไอ้ 2 ตัวนั้น หายหัวไปอยู่ไหนนะ ได้เวลาเปลี่ยนผลัดแล้วเนี่ย" ทหารนายหนึ่งที่เดินนำผ่านเกรฟที่ซ่อนตัวโดยการนำลังกระดาษขนาดใหญ่มาปิดตัว

"ไม่รู้วะ ยังไงซะ ก็รีบไปเถอะ คงอัดบุหรี่อยู่แหงๆ" คนที่เดินตามมาเอ่ยขึ้นโดยไม่รู้สึกถึงเกรฟที่ซ่อนตัวอยู่

เมื่อทั้งสองเดินผ่านและขึ้นบันไดหายลับไป เกรฟก็ดันตัวขึ้นมา เมื่อซักครู่จะหมายถึงทหารสองคนที่โดนเก็บไปรึป่าวนะ ถ้าใช่ เกรฟก็จะช้าไม่ได้แล้ว เกรฟวาง SCAR-H พวดไปด้านหลัง ก่อนจะหยิบ USP45 เก็บเสียงพร้อมกับมีดต่อสู้ออกมา แล้วตั้งท่าโดยการถือมีดเอาไว้ที่มือซ้าย สำหรับการจู่โจมที่รวดเร็ว

เกรฟเคลื่อนตัวผ่านที่กำบังจุดต่อจุดอย่างรวดเร็ว บริเวณที่เป็นที่พักทหารแบบนี้ ห้องบัญชาการน่าจะอยู่ไม่ไกล ณ เวลานี้ ที่นี่ค่อนข้างคึกคัก หลายๆคนกำลังคุยกันและบางคนกำลังเปิดเพลงฟังในห้องของตน เกรฟยังไม่อาจหาที่ทางที่จะไปต่อได้ นอกจากตรงไปข้างหน้า เกรฟค่อยๆเดินให้ตัวติดกับผนังและที่กำบังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่เกรฟกำลังเดินย่างก้าวอยู่นั้นเอง ทหารกลุ่มหนึ่งประมาณ 4-5 ก็เดินมาจากทิศที่เกรฟกำลังมุ่งหน้าไป เกรฟเกือบจะหลบให้พ้นสายตาเสียแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่เพราะชุดสีทรายเละๆที่คุ้นตาและใบหน้าที่พอจำเค้าโครงได้ เกรฟเฝ้ามองแล้วพึมพำกับตัวเอง

"ฟาฮัด !!" เกรฟสะดุ้งขึ้นมา ในสถานการณ์แบบนี้ ที่เกรฟต้องเลือก แน่นอน เกรฟค่อยๆไล่ตามกลุ่มทหารที่ดูเหมือนกำลังควบคุมตัวฟาฮัดอยู่เพื่อไปที่ไหนซักแห่ง ถ้าหากช่วยฟาฮัดได้ เขาจะได้ข้อมูลของโคโลเนลและเพื่อนร่วมรบมาอีกคนแน่นอน

ฟาฮัดที่อยู่ในสภาพมอมแมมไม่ต่างกับเกรฟ กับสีหน้าที่ดูหน่ายๆ อีกทั้งมือยังไม่ได้ถูกมัดอีกด้วย ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรงของผู้จับกุม ฟาฮัดที่ซึ่งอยู่ในหน่วยรบพิเศษ UNSF เป็นตัวอันตรายควรจะถูกควบคุมให้แน่นหนาที่สุด เกรฟสะบัดความคิดเรื่อยเปื่อยออกจากหัว เป้าหมายตอนนี้คือช่วยฟาฮัดให้ได้ก่อน ไม่นานนัก โชคก็เข้าข้าง เมื่อทหารยาม 2 คนที่อยู่ด้านหลัง แยกตัวออกไปทำให้เกรฟสามารถเข้าจู่โจมได้ ดูเหมือนว่า พวกมันกำลังควบคุมตัวฟาฮัดไปทางด้านซ้ายของพื้นที่ ทันทีที่พวกมันเดินเข้าสู่ส่วนที่เป็นทางเดินยาวที่ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ เกรฟพุ่งเข้าไปแตะตัวฟาฮัดเบาๆ เมื่อเขารู้ตัวแล้วหันหน้ามา เกรฟก็ไม่รอช้า ยิงทหารคนหน้าเข้าที่หลัง 3 นัดอย่างแม่นยำ มันล้มลงไปนอนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเข้าไปเอามีดเสียบเข้าที่ไหล่ขวาของอีกคนจากด้านหลัง แล้วดึงมันให้ล้มลง แล้วจัดการด้วยกระสุนอีก 2 นัดที่หน้าอก ฟาฮัดผละไปนิดนึงด้วยความตกใจ

"นายโอเคไหม?" เกรฟถามพลางขยับศพของทหาร 2 นายให้ถูกกล่องไม้และลังบริเวณนั้นบดบัง

"นาย...นายรอดมาได้ยังไง??" ฟาฮัดมีท่าทีสงบลงบ้าง

" Breastplate น่ะ" เกรฟปลดซองกระสุน USP อันเก่าออก แล้วใส่อันใหม่เข้าไป "...นายรู้เหรอว่า เกิดอะไรขึ้น?"

"ตอนที่ชั้นตื่น ชั้นก็อยู่ในห้องบัญชาการกับโคลบี้แล้ว ชั้น...ชั้นไม่เห็นนาย เลยนึกว่า นายตายไปแล้ว"

"..." เกรฟเม้มปากพยักหน้า "แล้วโคลบี้ล่ะ ปลอดภัยดีไหม?"

"ชั้นไม่รู้สิ ชั้นรู้สึกตัวก่อนเขา พวกมันเลยจะหาชั้นไปห้องขัง" ฟาฮัดหันหน้าไปมาเบาๆเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง

"...โอเค นายจะไปกับชั้นไหม ตอนนี้ จอร์จอยู่ที่โรงเก็บเครื่องบิน กำลังรอจุดระเบิด"

ฟาฮัดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินไปที่ศพของทหาร แล้วหยิบปืนพกขึ้นมา

"ชั้นจะไปหาจอร์จเอง....ที่นี่มันเฮงซวย" ฟาฮัดขึ้นลำกล้องปืนสั้น "ห้องบัญชาการตรงไปทางนั้น ระวังด้วยล่ะ"

"ขอบใจ..ชั้นจะรีบช่วยโคลบี้ แล้วกลับหาพวกนายให้เร็วที่สุด" เกรฟหันหลังให้ฟาฮัด แล้วกำลังจะก้าวเดินกลับไปทางเดิม เสียงพื้นรองเท้าบูท
กระทบพื้นหินเบาๆ แต่เกิดเบาดังทึบ ช่วยดึงสติของเกรฟให้กลับมาจากความรีบร้อน แล้วเรียบเรียงปะติดปะต่อเรื่องราว

"ฟาฮัด.." เกรฟหยุดเดิน กำมีดในมือแน่น "นายดูไม่ตกใจเรื่องจอร์จเลยว่ะ"

"ว่าไงนะ?" ฟาฮัดถาม เกรฟหันหลังไป ยกมือขึ้นหมายจะจ้วงแทงเป้าหมาย

เปรี้ยง ! เสียงปืนดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งชั้น เลือดหยาดเล็กสาดเป็นทางยาวจากแก้มอันหยาบกร้าน แต่ปะทะมันไม่อาจหยุดเขาได้ ฟาฮัดกับแววตานักฆ่ากำลังจะลั่นไกนัดต่อไป หลังจากที่เกรฟสามารถเบี่ยงตัวหลบกระสุนนัดแรกได้อย่างหวุดหวิด เขาก้าวสาวเท้าแล้วพุ่งชาร์จคมมีดสีเงินสะท้อนเข้าหาฟาฮัดราวกับกระทิงดุ ฟาฮัดลั่นไกนัดที่สอง เป้าหมายคือหว่างคิ้วของเกรฟที่กำลังพุ่งเข้ามา เพียงแต่ว่าเกรฟสามารถเอียงหัวหลบมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ฟาฮัดเบิกตากว้างรับกับแววตามือสังหารของเกรฟ มีดกำลังพุ่งเข้าใส่ลำตัวของฟาฮัดอย่างไม่มีอะไรหยุดมันได้...ณ ตอนนี้

เปรี้ยง เปรี้ยง ! เลือดสาดกระจุยไหลซึมออกมาจากเสื้อเนื้อสเปนเดกสีทราย มีดตกกระทบกับพื้นอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยผู้ถือมัน เกรฟโน้มตัวลงนอนตามแรงเคลื่อนที่ มือขวารีบกุมสีข้างซ้ายที่บาดเจ็บตามสัญชาตญาณอย่างรวดเร็ว

"เดรคโค่!!" ฟาฮัดทำเสียงตื่นเต้น "มาทันเวลาพอดี"

เกรฟกัดฟัน ด้วยความแค้นเครียดและสะกดความเจ็บปวด กระสุนขนาด 5.45 จากปืน AN94 พุ่งเฉียวสีข้างหนึ่งนัด และทะลุไปอีก 1 นัด เขาพยายามจะลุกขึ้นแต่โดนฟาฮัดเตะเบาๆก็ล้ม เดรคโค่ ชายชาวยุโรปผมยาม สีน้ำตาลที่เขาจำได้ จากการพบอัซรามที่ทะเลทราย กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับทหารอีกจำนวนหนึ่ง ความเฉยชาไร้อารมณ์บนใบหน้า ที่ค่อนไปทางหล่อเหลาของเขา บ่งบอกถึงความชินชาต่อการยิงคน

"เกวริล? Breastplate สินะ" เดรคโค่กล่าว "ชั้นว่าอัซรามต้องชอบแน่ๆ"

"ก็นะ" ฟาฮัดยักไหล่ก่อนจะหันมาทางเกรฟที่ตอนนี้ กำลังถูกหามอยู่ในท่าคุกเข่าโดยทหาร 2 คน

"ทำไม..." เกรฟเอื้อนเอ่ยต่อฟาฮัด "นาย...เป็นสายลับงั้นเหรอะ..."

"เซอไพรซ์ไหมล่ะ" ฟาฮัดยิ้มเยาะ "แต่ที่น่าเซอไพรซ์กว่าคือ ***หลบกระสุนปืนได้ไงวะ ****.."

ฟาฮัดฉีกยิ้มกว้างราวกับคนโรคจิตก่อนจะเดินไปทางห้องบัญชาการ

"มาดูกัน...ว่าคราวนี้ แกจะรอดไหม" เดรคโค่ก้าวเข้ามา ก่อนที่จะง้างพานท้ายปืน เกรฟรู้ดีว่ากำลังจะโดนอะไร เขาหลับตาก่อนที่จะถูกทำให้หลับไหลไปชั่วขณะ

"เขาหักหลังคนมาเยอะแล้ว.." นายโซโคลอฟกล่าวอธิบายให้กับเกวริลในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ทั้งคู่แต่งกายด้วยชุดพลเรือนจึงไม่ตกเป็นเป้าสายตา

"เกี่ยวกับเรื่องนี้...เรื่องค้าอาวุธ" เกวริลชี้ที่กระดาษเอกสารภาษารัสเซียบนโต๊ะ "เขาวางแผนอะไรอยู่ ที่ให้การสนับสนุนพวกกบฏเชชเนียพวกนั้น"

"มันมีหลายเหตุผล" โซโคลอฟจิ๊บกาแฟ "แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ชั้นเดาได้เพียงอย่างเดียว"

"รัฐบาลกำลังอ่อนแอจากพิษเศรษฐกิจ ประชาชนตกงานและขาดแคลนอาหาร การประท้วง" เกวริลขุ่นคิดไล่ที่ละข้อ ทันใดนั้น เขาก็เบิกตากว้าง

"รัฐประหาร..."


แสงไฟสว่างจ้าค่อยๆปลุกเกรฟจากภวังค์ ความเจ็บปวดและชาจากการถูกพานท้ายปืนกระแทก เขาเองไม่รู้ว่าตนสลบไปนานแค่ไหน แต่มันคงไม่นานมากนักหรอก

เพราะเบื้องหน้าคืออัซรามกำลังยืนกอดอกอยู่ พร้อมกับซองปืนและปืนพกที่เข็มขัด

สีหน้าของอัซรามไม่ได้แสดงถึงอารมณ์ด้านลบ ออกไปทางแสดงความยินดีเสียมากกว่า ด้านหลังของเขามีโต๊ะเปล่าๆวางอยู่ และมีชายที่เกรฟรู้จักดีนั่งอยู่เก้าอี้ในสภาพถูกมัดมือ รอบๆข้าง มีโต๊ะเอกสารแผนที่และเครื่องมือสื่อสารมากมาย การที่เอาโคโลเนลมาไว้ที่นี้ อัซรามคงมั่นใจมากแน่ๆว่าสามารถคุมตัวพวกเขาได้ เกรฟค่อยๆคืนสติขึ้น

"รู้ไหม...ว่าปกติชั้นไม่ชอบยิงคนที่หัว.." อัซรามอธิบายด้วยท่าทางราวกับพิธีกรรายการเกมโชว์ พลางหันไปมองฟาฮัดและเดรคโค่ที่เข้ามาพอดี
"ส่วนที่สวยงามที่สุดของคนเวลาตายก็คือใบหน้า ชั้นจึงอยากเก็บส่วนนั้นๆเอาไว้ให้กับทุกคนที่ชั้นฆ่าทิ้ง....แต่นายทำให้ชั้นคิดใหม่นะ"

"ส่งคนออกไปดูแล้ว เรากำลังคว้านหามันอยู่" เดรคโค่กล่าว "ไม่น่าไว้ชีวิตไอ้ดำนั้นเลย"

"จอร์จ?" โคลบี้ที่ถูกมัดอยู่กล่าวขึ้นมา พลางมองมาที่เกรฟ "นาย..."

"ช่ายๆ มันยังไม่ตาย นั้นเรารู้กันหมดแล้ว" ฟาฮัดขัดจังหวะขึ้น "ยังไงซะ เดี๋ยวพวกแกก็ได้ตายกันแล้ว"

"ฟาฮัด...แก..." เกรฟกัดฟัน ด้วยเชือกที่มัดอย่างแน่นหนา ต่อให้ออกแรงยังไงมันก็เอาไม่ออก พวกนี่คงรู้วิธีจัดการกับพวกหน่วยรบพิเศษเป็นอย่างดี

"หึ...เกวริล...นายนี่ช่างไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย ทุกๆวันนี้ โลกใบนี้มันมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่เป็นความลับเต็มไปหมด สายลับแฝงตัว ผลประโยชน์ทางธุรกิจ บลาๆๆๆ" ฟาฮัดแบมือทั้งสองข้าง "พวกเราเป็นอะไรที่ใหญ่ ใหญ่มากๆ อีกไม่นาน ทั้งเจค๊อบและ Azure Wolf จะตกเป็นของเราทั้งหมด"

"หุบปากสว่างๆของแกได้แล้ว" อัซรามกล่าวห้าม ซึ่งฟาฮัดก็ปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง "ก็อย่างที่แกเดาๆนั้นแหละนะ เกวริล พวกแกถูกล่อให้มาตายที่นี้ เราวางแผนเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่ให้ชั้นไปล่อเป้าให้โคลบี้เลือดขึ้นหน้า ใช้ฟาฮัดและคนภายในเกลี้ยกล้อม UNSF ให้พาตัวแกมาเชือดถึงที่นี้"

"สารเลวเอ้ย!!" โคโลเนลคำราม เกรฟเองก็นึกเจ็บใจ ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไง "พวกมัน" ตั้งแต่ที่เกาลูน และจ้างวานคาลอสที่บราซิล เป็นองค์กรเดียวกันหรือไม่ก็เป็นส่วนหนึ่งกับกองทัพของอัซราม ได้วางแผนเอาไว้ทั้งหมด เป้าหมายของพวกมันคงจะเป็นการกวาดล้าง Azure Wolf จริงๆ แต่เพื่ออะไรกันล่ะ?

"ยังจำคราวนั้นได้ไหม โคลบี้ ปฏิบัติการทลายรังแตนนั้น" อัซรามปลดกระดุมเสื้อของตนทีล่ะเม็ด ออกจะเปิดมันออก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นรูปกระสุนปืน 2 จุดที่บริเวณอกซ้าย "พวกแก โดยเฉพาะแก พรากชีวิตพี่น้องของชั้น และเกือบจะพรากชีวิตชั้นไป..."

"แล้วใครใช้ให้***ไปเป็นผู้ก่อการร้ายล่ะวะ?!?" โคโลเนลคำราม แต่ก็ไม่มีผลอะไรกับอัซราม

"ผู้ก่อการร้ายเหรอะ? ชั้นอยากให้แกคิดซะใหม่นะ ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ก่อการร้าย ที่แทรกแซงเข้ามา และตั้งตนเป็นใหญ่ในบ้านของคนอื่น !!!" อัซรามทุกมือกระแทรกโต๊ะ "สหรัฐอเมริกาคือบ่อแห่งความชั่วช้าที่สมควรโดนทำลายให้สิ้นซาก!!!"

อัซรามเริ่มสงบสติอารมณ์ก่อนจะพูดต่อ

"ชั้นไม่อยากจะฆ่าแก โคลบี้ ชั้นอยากให้แกได้เห็น ได้เห็นแผ่นดินอเมริกาลุกเป็นไฟ ให้แกได้เห็นพวกพ้องของแกโดนฆ่าอยากเลือดเย็นในขณะที่แกทำอะไม่ได้เลย ชั้นอยากให้แกได้รู้สึกเหมือนกันชั้น ได้รู้สึกถึงดวงวิญญาณที่แตกสลายจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป!!!"

"แกขู่ชั้นได้ อัซราม แต่แกจะไม่มีวันได้อย่างที่แกต้องการ!!" โคโลเนลตอบกลับ

ราวกับทั้งสองเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว มันทำให้เกรฟนึกถึงคาลอส ที่ยอมรับและเสียทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้ฆ่าแรปป้า อัซรามในตอนนี้เป็นเหมือนหัวหน้าสาขา ผู้ซึ่งไม่เหลือสิ้นใดแล้วนอกจากความกระหายการทำลายล้างผู้ที่ตนอาฆาต เกรฟใคร่รู้เหลือเกินว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด

"โอ้...ขู่งั้นเหรอ? ไม่เลย โคลบี้ อย่าลืมสิ ว่ายังไงซะ พวกแกก็ถูกลงชื่อจับตายอยู่แล้ว" พูดจบอัซรามก็หยิบปืนพกของตนออกมาแล้ว เล็งมาที่
ตรงหน้าของเกรฟพอดี

เกรฟเบิกตากว้างรับกับนัยต์ตาที่โฟกัสภาพลำกล้องปืนกลางแสกหน้าของตนพอดี

"ลาก่อน...อีกครั้ง คุณเดมอนเชฟ"

Alathreon
3rd February 2013, 09:07
019 : Dawn

“อัซราม!! พบศพคนของเรา 3 ศพบริเวณที่พักชั้น 1 ” เสียงรายงานจากทหารยามที่ได้รับคำสั่งให้คว้านหาตัวจอร์จดังขึ้น ช่วยยืดเวลาชีวิตของเกรฟไปได้ 2-3 วินาที

“เดรคโค่ ไปจัดการสิ” อัซรามลดปืนลงเป็นระยะสั้น สั่งเดรคโค่ ฝ่ายหลังก้าวเดินไปที่ประตูอย่างไร้ท่าทีใดๆ

เกรฟได้แต่นั่งคุกเข่า จดจ้องอยู่ปากกระบอกปืนพก P99 ในมือของอัซราม

“ดูเหมือนเพื่อนของพวกแกก็แสบใช้ได้นะ” อัซรามก่อนที่จะหันปืนเล็งมาทางเกรฟอีกครั้ง

“ไปตายซะ ไอ้พวกระยำ!!!” เสียงดังกังวาลอันคุ้นหูดังแหวกออกมาทางวิทยุ อัซราม เดรคโค่ และ ฟาฮัดต่างมองหน้ากันไปมา

เกรฟได้โอกาสลุกขึ้น คิดจะพุ่งเข้าไปแทคเคิลอัซราม ในขณะที่ฟาฮัดแล้วเดรคโค่ยกปืนขึ้นเล็ง โคโลเนลลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

“แผลงฤทธิ์นักนะ!!!” ฟาฮัดตระโกนลั่น

แรงระเบิดมหาศาลกระแทกเข้ามาจากทุกทิศทาง ผนังห้องที่เป็นชั้นหินแตกกระจุยกระจายจนทำให้เครื่องมือในห้องนั้นลอยกระเด็นเสียหายไปทั่ว ทันทีที่เสียงระเบิดดังประทุ เกรฟรู้สึกได้ว่าเวลาเริ่มเดินช้าลง เดรคโค่โดนแรงระเบิดที่บริเวณประตูจนกระเด็นถอยหลัง ฟาฮัดเสียหลักจนหน้ากระแทกกับโต๊ะที่โคโลเนลถีบเข้าหาเขา ส่วนอัซรามกำลังจะเหนี่ยวไกสังหารเกรฟ แต่ทว่า ด้วยแรงทั้งหมดที่มีเกรฟดึงข้อมือออกจากกัน จนเชือที่มัดเอาไว้หลุดปมแล้วง้างหมัดซ้ายชกเข้าที่กรามของอัซรามอย่างเต็มแรง อัซรามก็สวนกลับด้วยเข่าเข้าที่ท้องแต่เกรฟกลับไม่รู้สึกอะไรมากนัก ก่อนจะถีบอัซรามออก และในจังหวะนั้นเอง อัซรามยกปืนขึ้นหมายจะยิงเกรฟ

“รอนานไหมเพื่อน!!!” จอร์จที่มาพร้อมกับปืนลูกซอง USAS-12 พุ่งตัวเข้ามาทางประตูหน้าห้อง ฝ่าเปลวเพลิงและกลุ่มควันเข้ามา เดรคโค่ที่ตั้งหลักได้แล้วพยายามยิง AN-94 ใส่จอร์จ แต่ด้วยอาการจากแรงระเบิดทำให้มันพลาดไป ก่อนที่จะโดนจอร์จยิงด้วยปืนลูกซองเข้าไปจังๆที่กลางลำตัวหนึ่งนัดจนกระเด็นนอนแน่นิ่งไป ก่อนระดมยิงไปทั่วห้อง ในขณะที่โคโลเนลและเกรฟต่างหมอบหลบกับพื้น จนอัซรามก็โดนคมกระสุนเฉือนร่างลงไปกองกับพื้นอีกคน

“ไอ้สัตว์เอ้ย!!!! ” ฟาฮัดพยายามจะยิงโต้ตอบแต่กลับถูกโคโลเนลเตะเข้าไปคางจนเสย

“เราต้องรีบแล้ว พวกมันจะยกโขยงกันมาที่นี้ เราต้องรีบไปกันแล้วล่ะ!!!” จอร์จกระโจนข้ามร่างอันแน่นิ่งของเดรคโค่มาก่อนจะจ้องมองดูที่ฟาฮัดที่สลบไปแล้ว

“ไอ้ฟาฮัด? อะไรวะเนี่ย?” จอร์จสบถ ดูเหมือนเหตุการณ์ในห้องจะสงบลงแล้ว แต่ส่วนอื่นๆของฐานทัพลับนี่ กำลังเดือดพล่านและเต็มไปด้วยเสียงโวกเวก

“มันหักหลังเรา รีบไปกันก่อน เรื่องอื่นค่อยว่าทีหลัง เกรฟ?” โคโลเนลถามเกรฟ ที่กำลังมองดูร่างของอัซรามพลางเอามือกดแผลที่โดนเครดโค่ยิง

“ไปที่จานจอดฮอ จอร์จ?” เกรฟ กล่าวทัก จอร์จพยักหน้า

“ชั้นวางระเบิดเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้จุดระเบิด เอาไว้เวลาหนี”

“เยี่ยม” โคโลเนลกล่าวหลังจากปลดเชือกที่มัดมือได้แล้ว ตาเขาเบิ่งกว้างและตัวเริ่มก้มต่ำลง “รีบไปจากที่นี่ เร็ว!!”

พูดจบ ห่ากระสุนจำนวนมากก็ยิงเข้ามาในห้องบัญชาการอย่างไม่ยั้ง จนบีบให้พวกเกรฟต้องวิ่งออกไปอีกทาง ทิ้งร่างของอัซรามเอาไว้ในห้องนั้น เสียงตระโกนที่พอฟังเป็นคำของพวกทหารที่ตามมาด้านหลัง พวกนั้นกำลังเดือดปุดๆเลยที่เดียว หลังจากวิ่งเข้าสู่ส่วนทางเดิน เกรฟหันไปมองด้านหลังเป็นระยะสั้นๆ นอกจากกลุ่มทหารนับสิบที่วิ่งตามมาแล้วกำลังยิงใส่พวกเขาอยู่ เขาเห็นฟาฮัดกำลังลุกขึ้น

“ขึ้นบันได!” จอร์จที่วิ่งนำหน้าตระโกนบอก ก่อนจะยิงซัดกระสุนลูกซองใส่ทหาร 2 นายทารอดักอยู่ระหว่างชั้นบันได โดยที่แง้มมองด้านบน ก่อนที่จะรีบหดลงมาพร้อมกับห่ากระสุนของพวกที่ดักรออยู่แล้ว

“จะใช้แฟลชล่ะนะ” จอร์จกล่าวกับบเกรฟและโคโลเนลที่จัดการยึดอาวุธและกระสุนจากศพของทหารสองนายนั้นมาแล้ว โคโลเนลเปลี่ยนแมกกระสุนปืน Ak74s-u แล้วยืนด้านหลังของจอร์จ ส่วนเกรฟกับปืนไรเฟิล TAR21 ที่จะเป็นคนคุ้มกันก็อยู่ข้างๆกับจอร์จ ซึ่งกำลังกำระเบิดแฟลชเอาไว้ในมือ

“เอ้า...” จอร์จดึงสลักรอชั่วขณะ โยนระเบิดแฟลชไป มันแทบจะทำงานทันทีเนื่องจากจอร์จกะเวลาเอาไว้ก่อนจะปาออกไป เหล่าทหารที่ร้องเสียงหลงเพราะตาพร่าเป็นสัญญาณให้ “ลุย!!”

จอร์จวิ่งนำขึ้นไป แล้วลั่นไกระเบิดกระสุนลูกซองประเคนใส่เหล่าทหารที่ไมทันตั้งตัวอย่างระห่ำ หยาดเลือดจากร่างกายสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งห้องราวกับระเบิดถังสี โคโลเนลเล็งเป้าหมายที่จอร์จพลาดไปด้วยการยิงเป็นชุด และปิดด้วยเกรฟที่ยิงอย่างแม่นยำแม้จะบาดเจ็บอยู่ก็ตาม ทหารเกือบสิบนาย ลงนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น

“ไปเร็ว!!” โคโลเนลกล่าว ในขณะที่เกรฟยิงตอบโต้กับทหารกลุ่มที่ตามมาทางบันไดจากชั้นล่าง พวกมันถูกตรึงเอาไว้ด้านล่าง และจอร์จที่โยนระเบิดมือเข้าที่ช่องบันได้นั้น 2 ลูก

ทั้งหมดรีบวิ่งออกจากชั้นนั้นอย่างรวดเร็ว เสียงระเบิดดังอึกทึกอยู่เบื้องหลังในขณะที่พวกเขาทั้ง 3 กำลังวิ่งไป หลบไป ยิงไป กับเหล่าทหารที่ดาหน้าเข้ามาจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง
อีกไม่นานก็ถึงโรงจอดฮอแล้ว

“ต้านพวกมันเอาไว้ อย่าให้พวกมันหนีรอดไปได้!!!!!” พวกทหารตระโกนสั่งกันอย่างเดือดดาษ

พวกเกรฟกำลังฝ่าดงกระสุนจากปืนไรเฟิลนับ 10 กระบอกจากด้านหน้า และยิงโต้ตอบกับอีก 10 ทางด้านหลัง ชั้น พักอาศัยที่ชั้น 1 กลายเป็นสนามรบขนาดย่อมๆ ควันไฟและแสงประกายส่องสว่างทั่วทั้งชั้น เกรฟที่แม้จะบาดเจ็บอยู่ กลับรู้สึกและสามารถสู้ได้ดีกว่าที่ผ่านๆมา กระสุนทุกๆนัดที่เขายิงสามารถที่จะทำให้พวกทหารร้องโหยหวนและสิ้นชีพได้อย่างแม่นยำ กลิ่นดินปืนและควันจากช่องคัดปลอกกระสุนไม่อาจระแคะระคายนัยต์ตาที่กำลังเพ่งมองการสังหารของเกรฟได้ กระสุนนัดสุดท้ายในแมกกระสุน 5.56 แมกสุดท้ายถูกยิงออกไป

“จอร์จ เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว!” เกรฟควักปืนพกออกมาแล้วยิง

“ชั้นวางระเบิดเอาไว้ที่ชั้นบน แต่ถ้าจุดล่ะก็ เราอาจจะหนีออกจากที่นี่ไม่ทันนะ!” แมกกระสุน Usas12 ถูกปลดออกมา จอร์จก็หยิบปืนพกของตนออกมาเช่นกัน

“อย่างน้อยมันก็น่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้นะ” โคโลเนลกล่าว “เอาเลย!”

จอร์จหันไปมองหน้าเกรฟ เขาพยักหน้ารับ จอร์จหมอบลงแล้วหยิบแท่นสัญญาณจุดระเบิดC4 ออกมา แล้วกดเบาๆ
เสียงระเบิดดังอื้ออึงอยู่ในถ้ำนั้น ระเบิดที่ถูกวางเอาตามจุดต่างๆระเบิดเรียงกันเป็นตัวโดมิโน พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับอาฟเตอร์ซ๊อค จนพวกทหารไม่อาจยืนอยู่ได้ ห้องหับต่างๆถูกระเบิดเป็นจุณ ไม่อาจเหลือสิ้นได้เอาไว้ดูต่างหน้าได้ เมื่อเสียงระเบิดใกล้เข้ามาพร้อมกับผนังหินที่เริ่มถล่มลงมา

“วิ่ง!!!!” เกรฟตระโกนลั่นก่อนจะออกตัววิ่งออกจากที่กำบัง ใช้ปืนพกยิงพวกทหารที่จะยิงใส่พวกเขาโดยมีจอร์จแล้วโคโลเนลวิ่งตามหลัง

“โว้!!! โว้ย!!!!!” จอร์จตระโกนดังลั่นพลางวิ่งกึ่งกระโดดข้ามก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถล่มมาจากชั้นบน พวกทหารที่แต่เดิมไล่ล่าพวกเกรฟ ณ ตอนนี้กำลังพากันหนีตามเหมือนมดแตกรัง โคโลเนลต้องวิ่งหลยเศษและก้อนหินที่กำลังร่วงลงมา จนพวกเขาถึงบันไดที่จะพาพวกเขาไปโรงจอดฮอ

“นายไปเอาระเบิดมากมายขนาดนี้มาจากไหนวะ!?!” เกรฟตระโกนถามขณะที่ลดความเร็วลงแล้ว

“ตอนกำลังคลำทางไปโรงจอดฮอเจอคลังแสงเข้าน่ะ!!” จอร์จพูดอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่จะมีเสียงระเบิดดังลั่นมาจากด้านหน้าของพวกเขา เปลวเพลิงโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง พื้นสั่นจนทำให้พวกเขาเกือบจะล้ม “นั้นระเบิดที่คลังแสงสินะ”

“โอ้ เวร..” โคโลเนลกล่าวเบาๆ

ทั้งสามวิ่งผ่านซากหินและถ้ำโพลงที่โดนระเบิดจนแหลกบางที่กลายสภาพเป็นหลุมเนื่องจากการถล่มของชั้นดิน แม้พวกเขาจะกระโดดข้ามไปได้ไม่ยาก แต่ถ้าพลาดมันก็หมายถึงชีวิต

“เฮ้!!!” เกรฟที่วิ่งนำตระโกนลั่น พวกเขาวิ่งมาถึงโรงจอดฮอ แต่สภาพมันดูเหมือนนรก ทั้งแท๊งน้ำมันเชื้อเพลิงและยานพาหนะพวกรถฮัมวี่ที่โดยระเบิดจนสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่โดยรอบ เปลวเพลิงกำลังโหมกระหน่ำพื้นที่ภายในถ้ำและกำลังย่างสดเหล่าทหารผู้โชคร้าย หินกองใหญ่ที่ถล่มมาจากด้านบนปิดทางออกที่ใหย่โตของถ้ำนี่ เหลือเพียงทางคนเดิน กำลังแออัดและเต็มไปด้วยเหล่าทหารที่กำลังหลี้ภัย ตรงกลางมีเฮลิคอปเตอร์ Mi -24 Hind อยู่ 2 ลำ โดยที่ลำหนึ่งกลายเป็นซากไปแล้ว

“มาเร็ว!!” เกรฟกวักมือเรียกแล้ว วิ่งนำไปที่ ฮอ เขาหยิบปืนไรเฟิล Ak-74 ที่ตกอยู่กับศพบริเวณนั้น ยิงสังหารนักบินของเครื่อง Mi-24 ที่กำลังพยายามเปิดคอกพิทเพื่อใช้ฮอหลบหนี

“ไอ้นี่ เนี่ยนะ?!! อย่าล้อกันเล่นนะโว้ย!!” โคโลเนลสบถ

“เชื่อชั้นเถอะน่า” เกรฟโยนปืนทิ้งแล้วเปิดฝากระจกที่นั่งนักบินกับผู้ช่วยนักบิน “โคโลเนล นายมาที่ผู้ช่วยนักบิน จอร์จไปส่วนห้องโดยสาร เต็มอาวุธให้พร้อม!”

“ได้เลย!!” จอร์จรับคำก่อนที่จะวิ่งไปเปิดประตูเลื่อนที่ส่วนห้องโดยสารด้านหลัง

ท่ามกลางเสียงระเบิดแล้วเปลวเพลิง เสียงปืนไรเฟิลดังขึ้น

“จอร์จ!!!” เกรฟพุ่งเข้าไปหาจอร์จที่ฟุบลงไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว เขาโดนยิงที่ลำตัว 2 นัด กระสุนทะลุออกไปจนเลือดไหลออกมามาก

“ชั้นไหว...” จอร์จกล่าวอย่างสั้นๆ ในขณะที่เกรฟอุ้มเขาขึ้น

“เวรเอ้ย!!!” โคโลเนลชักปืนพกออกมาแล้ว หันไปที่ต้นทิศทางของกระสุน แต่แล้วก็ต้องมุดหัวหลบ เมื่อโดยยิงสวนกลับมาเป็นชุด

เกรฟกระชากประตูห้องโดยสารแล้วค่อยๆอุ้มจอร์จเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร แล้วปิดประตู เขาชักปืนแล้วหันไปยิงมือปืนลึกลับอย่างรวดเร็ว แต่ฝ่ายหลังหลบได้ แล้วยิงสวนกลับมา แต่กระสุนกลับไปกระทบกับผิวเครื่องฮอด้านบนของเกรฟ

“เดรคโค่?” เกรฟเบิกตา ครู่หนึ่ง เขาเห็นเดรคโค่ในสภาพยับเยินและมีเลือดไหลตามจุดต่างๆทั่วร่างกาย อ้าปากเพื่อช่วยหายใจ ในมือกระชับ AN -94 เอาไว้แน่นพร้อมสำหรับการยิงครั้งต่อไป

“แกรอดมาได้ยังไง?” เกรฟตระโกนพลางเล็งปืนไปที่เดรคโค่

“แล้วแกล่ะ เกวริล!!!” เดรคโค่ตระโกนกลับ ก่อนที่จะเหนี่ยวไกปืนยิงมาที่เกรฟ แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บ ทำให้มันพลาดเป้า แต่เฉี่ยวต้นแขนซ้ายของเกรฟที่ก้มตัวหลบ แล้วยิงโต้ตอบจนไปโดนเข้าที่ท้องของเดรคโค่ จนล้มลงไป แต่ทว่า เดรคโค่ไม่ยอมแพ้ ควักปืน SIG Sauer P226 ออกมายิงใส่เกรฟ

“****เอ้ย!!” เกรฟไม่อาจเสียเวลาได้อีกต่อไป เขาวิ่งหลบกระสุนแล้วกระโดดขึ้นที่นั่งนักบินแล้วติดเครื่องอย่างรวดเร็ว

“ไอ้เฮี้ยนั้น! เดรคโค่!?!” โคโลเนลตาม

เกรฟไม่ตอบแต่พยักหน้าอย่างแรง เขาเพิ่มระดับการลอยตัวของฮอในขณะที่ใบพัดปั้นแรงขึ้นจนมันเริ่มลอยตัว

“ใส่หูฟังซะ” เกรฟกล่าวกับโคโลเนล “จอร์จ นายโอเคมั้ย?”

“โคตรๆ ไอ้เปรตที่ยิงชั้น มันคือใครวะ” จอร์จซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังตอบกลับมาทางวิทยุของเครื่อง

“ไอ้เดรคโค่”

“ไอ้*****นั้นน่ะนะ??”

เฮลิคอปเตอร์ลอยตัวสูงขึ้นจนผ่านช่องหินที่แต่เดิมกว้างอยู่แล้ว จากการระเบิดทำให้มันกว้างขึ้นอีก แล้วค่อยๆ บินไปทางทิศใต้ผ่านเทือกเขาบามิยันในช่วงเข้าที่มืดมิด

“โคโลเนล ติดต่อไปทางแซมสิ” เกรฟกล่าวขณะบังคับเครื่องอย่างคล่องแคล่ว

“โอเค ได้” โคโลเนลที่ไดพักผ่อนบ้างแล้ว เริ่มจัดการกับคลื่นวิทยุ เครื่อง Hind ค่อยๆบินผ่านผืนทรายรวดเร็ว

อย่างน้อยในตอนนี้ พวกเขาก็รอดมาได้แล้ว เกรฟเริ่มสงบใจขึ้นมาหน่อย เขาถอนหายใจแรงๆ มองดูทิวทัศน์ของทะเลอันรกร้างยามเช้ามืด ถึงแม้จะคาใจเรื่องของอัซรามและความเชื่อมต่อของกลุ่มทหารรับจ้าง แต่ตอนนี้ ขอให้เขาได้มีเวลาพักหายใจซักหน่อย เรื่องน่าปวดหัวพวกนั้นค่อยให้แวนดอลจัดการเอาเถอะ

“ขอบคุณพระเจ้า พวกนายมันเกินคนจริงๆ!!!” เสียงของแซมฟังมาทางวิทยุ ทุกคนในเครื่องได้ยินทั้งหมด

“ความจริง เธอควรจะขอบคุณ เกรฟ เขามันพระเอกตัวจริง!!!” จอร์จกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“ใช่เลยล่ะ แซม...เตรียมวอดก้ากับสเต็กชิ้นใหญ่ๆเอาไว้รอเลย”

เกรฟยิ้ม

“อ้า...เอาเป็นว่าขอทำแผลกับเตียงนุ่มๆก่อนดีกว่านะ”

แสงรุ่งอรุณสาดส่องรับกับเฮลิคอปเตอร์ Hind ในขณะที่มันบินสู่ค่ายนอร์ริส

toomtarm005
18th February 2013, 00:37
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากครับ นานแล้วที่ไม่ได้อ่านนิยายสงครามที่สนุกเร้าใจแบบนี้ หวังว่าจะแต่งจนจบนะครับ
สู้ๆครับผู้แต่ง:cool:

Alathreon
24th February 2013, 13:22
020 : Our Turn

“เดรคโค่ อายุราวๆ 28 คอเคเซียน ผมทอง หน้าตาค่อนข้างดี สูง...” ลิซ่าทวนรายละเอียดที่เกรฟให้มา เธอกำลังอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะระดับไฮเอนพร้อมกับหน้าจอมอร์นิเตอร์ขนาด 100 นิ้ว และเชื่อมต่อกับเซริฟเวอร์ขนาดใหญ่สองตัวในห้องถัดไป โดยมีแซม โคโลเนล แวนดอลและมาริ อยู่ด้วย

“อ่า....” ลิซ่าส่งเสียงให้ลำคอขณะเฝ้ามองจอมอนิเตอร์แสดงข้อความว่า กำลังประมวลผลข้อมูล

“ได้ล่ะ!” เธอร้อง บนจอมอร์นิเตอร์แสดงใบหน้าของชาย 3 คนพร้อมประวัติโดยละเอียด “เดรคโค่เป็นชื่อยอดนิยมในวงการทหารรับจ้างเลยนะ แต่ตัวจี๊ดๆคงมีอยู่ไม่กี่คนหรอก”

“อืม...โดยเฉพาะ...หมอนี่” เกรฟชี้ไปที่ใบหน้าริมขวาสุด ลิซ่าขยายใบหน้านั้นขึ้นมา พร้อมกับข้อมูลอย่างละเอียด

“ดันเต้ บลานซ์ เกิดที่แซ็งเตเตียน ฝรั่งเศส เคย...เป็นทหารรับจ้างของกลุ่ม Guillotine มีศูนย์ใหญ่อยู่ที่ปารีส เป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่กำเนิด ก่อนเป็นทหารรับจ้างเคยหน่วยรบพิเศษของฝรั่งเศส มีเหรียญกล้าหาญ และเชิดชูเกียรติ” มาริไล่สายตาอ่านแบบสรุปอย่างรวดเร็ว “หมอนี่จี๊ดตัวพ่อเลยล่ะ แถมหน้าตาดีซะด้วย”

“ใช่ หมอนี่แหละ” โคโลเนลกล่าวเสริม “มันเดินตามตูดอัซรามอย่างกับหมา”

“แต่ดูประวัติแล้ว หมอนี่ไม่น่าจะยอมเป็นลูกน้อง คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้การร้ายอย่างอัซรามแน่ๆ” โคโลเนลกล่าวพลางหันไปทางมาริ

“ถูกส่งมาช่วยหรือไม่ก็จับตาดู” เธอขยับแว่น “ถ้าที่เกรฟเล่ามาเป็นจริงล่ะก็ น่าจะส่งมาเพื่อจับตาดูมากกว่า”

เกรฟพยักหน้า

หลังจากกลับสู่ค่ายนอร์ริสอย่างปลอดภัย และให้ข้อมูลกับแลงย์ลี่ เรื่องเกี่ยวกับการทรยศของฟาฮัด ทำให้มีการค้นข้อมูลของเจ้าหน้าที่ภายในกองทัพที่อัฟกานิสถานและปากีสถานทั้งระบบเพื่อป้องกันสายลับแบบฟาฮัดอีก ส่วนจอร์จที่บาดเจ็บสาหัสแต่ยังดูคึกคะนองก็มีท่าทีเซ็งหน่อยๆ พอรู้ว่าเกรฟและโคโลเนลจะต้องกลับแมนฮัตตันในวันรุ่งขึ้น โดยมีแซมตามมาด้วย

“ยัยบ้าเอ้ย เธอพาพวกเค้าไปลุยอะไรมาวะเนี่ย!!!” นั้นคือคำพูดแรกของแวนดอลหลังจากเห็นทั้ง 3 ที่อาคาร AW Tower หลังจากนั้น เกรฟและโคโลเนลก็ผลัดกันเล่าเรื่องของฮัซรามซึ่งน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับกองกำลังลึกลับที่จ้องจะกวาดล้าง Azure Wolf อยู่ มาริสะดุดกับ เดรคโค่ เกรฟเล่าว่า เก่งเกินกว่าจะเป็นแค่ผู้ก่อการร้ายธรรมดาๆ และคำอธิบายของโคโลเนลที่ว่า ทั้งฐานทัพและอาวุธที่พวกนั้นมีมันแพงและครบครันมากกว่าที่พวกอัลกออิดะห์หรือตาลีบันจะมีในครอบครองได้ พวกเขาจึงตรงรี่มาหาลิซ่าที่ The Club ทันที

“ก็ได้ๆ คลังข้อมูลที่คัดลอกมาจาก CIA มันค่อนข้างเก่าไป 2-3 ปีนะ” ลิซ่ากล่าวกับมาริ

“2-3 ปี ก็พอที่จะทำให้เธอติดคุกหรือหายไปจากสารบบได้แล้วน่า” มาริกล่าว

“นี่ๆความถ่อมตัวสมัยเป็นศิษย์ของชั้นมันหายไปไหนหมดยะ?”

และสุดท้าย พวกเขาก็มาอยู่ที่นี้ โดยแซมสัญญาว่าจะไม่บอกใครเรื่องคลังข้อมูล CIA ที่ลิซ่าแฮคมา

“เป็นพันธมิตรและให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้าย...” แซมครุ่นคิด “นั้นเป็นการกระทำผิดกฏหมายสหประชาชาติเลยนะ ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำแบบนี้ พวกมันจะต้องมีเงินทุนที่สูง สูงมากพอที่จะเป็นงบประมาณประเทศได้เลยล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น องค์กรที่พอจะทำแบบนั้นได้คือบริษัทขนาดยักษ์หรือไม่ก็อาจจะเป็นประเทศเลยก็ได้” แวนดอลกล่าว

“แต่ดูจากสิ่งที่เรากำลังเจอกันอยู่ มันน่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่มากกว่า” เกรฟกล่าว “ด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่างผลประโยชน์ทางธุรกิจ”

ถึงแม้ว่าโจทย์จะแคบลง แต่ก็ยังคงยากที่จะคาดเดาอยู่ เพราะทั้งบริษัทอุตสาหกรรมอย่าง เจค๊อบอินดัสทรี่ ก็มีมากมายเหลือเกินในปัจจุบัน และด้วยการแข่งขันที่สูงทะลุชั้นบรรยากาศ ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่ตามมา อาชีพทหารรับจ้างจึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดตามไปด้วย เช่นเดียวกับ Azure Wolf

“เป็นไปได้ ที่บริษัทนั้นๆจะใช้ทหารรับจ้างของตัวเองโจมตีพวกเรา” มาริกล่าว “แต่ยังไงซะ เจ้าพวกชุดดำนั้นก็ไม่มีข้อมูลอะไรที่เราพอจะรู้ได้เลย นอกจากที่ว่า พวกมันสามารถพอที่จะวางแผนให้พวกเราติดกับ และสามารถดึงผู้ก่อการร้ายมาเป็นพวกได้”

“เรากำลังเจอกันอะไรอยู่กันแน่วะเนี่ย” โคโลเนลสบถ

ความเงียบงันก่อตัวขึ้นมาชั่วครู่ เกรฟหันมองหน้าแต่ละคน ที่เต็มไปด้วยความเครียด ครุ่นคิดและความสิ้นหวัง ทำให้เขานึกถึงสมัยที่ตนเองเป็นทหาร สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ อาจจะก่อเกิดเป็นสงครามได้ทุกเมื่อ

“แล้ว....พวกนายจะเอาไงกันต่อล่ะ” ลิซ่ากล่าวขึ้น หลังจากที่เธอสั่งพิมพ์ข้อมูลเดรคโค่ลงกระดาษเสร็จ แล้วยื่นให้มาริ “พวกนายอาจต้องใช้มัน”

“ถ้าเราจะตามรอย ต้องเริ่มจากหมอนี่แหละนะ” แวนดอลจ้องมองใบหน้าของเดรคโค่ในเอกสาร

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อะไรมามาก แต่มันก็เพียงพอต่อการสืบเรื่องต่อไป

“ดูเหมือนว่าชั้นคงจะต้องกลับแล้วล่ะนะ” แซมกล่าวหลังจากที่พวกเขาออกมาจาก The Club แล้ว

“อืม...คงมีเรื่องให้จัดการเยอะสินะ” โคโลเนลตอบรับ แซมพยักหน้าแล้วยิ้ม

“ชั้นต้องขอโทษนายกับเกวริลจริงๆ ที่ส่งพวกนายไปติดกันแบบนั้น ไม่น่าเชื่อว่า UNSF จะโดนเข้าเอง” เธอส่ายหน้ายิ้ม เธอดูเหนื่อยและคงรู้สึกผิดจริงๆ

“ไม่หรอก แซม อย่างน้อยพวกชั้นก็รอดมาแล้ว ทุกอย่างจบลงด้วยดี” โคโลเนลพูดปลอบเธอ “แต่ยังไงซะ พวกมันยังไม่ตายแน่ๆ”

“อืม” แซมพยักหน้า “ถ้ามีอะไรคืบหน้าล่ะ ชั้นจะติดต่อมาทันทีเลย เอ่อ เกวริล ขอบคุณมากนะ สำหรับหลายๆอย่าง”

“ไม่เป็นไร ฝากความคิดถึงถึงจอร์จด้วยแล้วกัน” เกรฟกล่าว

“ได้เลย แล้วเจอกันนะ” แซมกำลังจะเปิดประตูรถ SUV ที่เธอนั่งมาโดยมีทหารอารักขสเป็นพลขับ “ครอส ชั้นจะโอนเงินให้ภายในวันนี้นะ!”

“เร็วๆล่ะกันล่ะ!” แวนดอลตระโกนไล่ แซมยิ้มแล้วขึ้นรถ และมันก็แล่นจากไป

ห้องประชุมภายในอาคาร AW Tower เกรฟ แวนดอล โคโลเนล แรปป้า และเบิร์น นั่งอยู่ที่โต๊ะประชุม และมีมาริที่ยืนอยู่หัวโต๊ะกำลังให้ข้อมูล

“สงครามข้ามบริษัทงั้นหรอ? ไม่ได้เห็นมานานแล้วนะเนี่ย” แรปป้าพูดอย่างติดตลก

“ก็อย่างที่ว่าไปล่ะนะ เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าพวกมันต้องการอะไรจากเรา” มาริพูดพลางนั่งลงกับเก้าอี้

แวนดอลนั่งครุ่นคิด อยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าที่แสดงความลังเลออกมาอย่างได้ชัด ทำให้เกรฟรู้สึกว่านี่ไม่ใช่แวนดอลที่เค้าคุ้นเคยนัก

“นี่ถึงตาของเราแล้ว พวกมันทำกับเรามาเยอะ ชั้นจะตามรอยพวกมันเอง ส่วนพวกนายอยู่ที่นี้เผื่อมีเหตุฉุกเฉินเหมือนเดิม”

“อะไรนะ? อย่ามาตลกกับชั้นนะแวนดอล” มาริกล่าว “นายจะทำยังไง ปารีสหรอะ?”

“คงจะต้องเป็นอย่างนั้น”

“ชั้นก็คงคัดค้านอะไรนายไม่ได้ อย่างน้อย พาพวกเราคนนึงไปด้วยจะดีกว่านะ” แรปป้ากล่าวขึ้น

“ชั้นจะเสี่ยงกับพวกนายไม่ได้หรอกนะ แต่ก่อนชั้นก็ทำงานคนเดียวมาตลอด” แวนดอลกล่าว “งานนี้เป็นงานลับ เราควรจะทำให้เรื่องเงียบให้มากที่สุด ชั้นไม่อยากสร้างปัญหาที่ปารีสหรอกนะ”

“งั้นให้ชั้น-”

“เธอต้องอยู่แทนชั้นที่นี้ มาริ” แวนดอลตัดบท “พวกนายลุยมามากพอแล้ว ให้ชั้นได้จัดการด้วยตัวเองบางเถอะ”

“แวนดอล...” เกรฟกล่าวขึ้น “นายไม่ควรไปคนเดียวนะ และถ้านายต้องการคนประเภทจารชนล่ะก็ ชั้นพอช่วยได้นะ”

“เกรฟ? นายพูดบ้าอะไรของนายวะ นายบาดเจ็บอยู่นะ” แรปป้ากล่าว

“เอ่อ...พวก ชั้นไม่รู้หรอกนะ ว่าเกรฟมันเคยเป็นอะไรมากบ้างแต่หมอนี้มันขับฮอกับเครื่องบินเป็นแน่ๆ” โคโลเนลกล่าว ในตอนแรก เขาไม่ได้เล่ามาพวกเขาหนีจากอัซรามยังไง จึงไม่มีใครรู้ว่าเป็นเกรฟ

“ถ้าเป็นงานประเภทนั้น...ชั้นเคย...เอ่อ อยู่กับ KGB ช่วงนึงน่ะนะ” เกรฟยิ้ม

“ไม่ๆ ยังไงก็เถอะ นายยังบาดเจ็บอยู่นะ” แวนดอลยังคงปฏิเสธ

“ถ้างั้น ถ้านายเกิดเจอปัญหาขึ้นมาล่ะ ไม่ก็ไม่ต่างอะไรจากฆ่าตัวตายนะ?” เกรฟกล่าว “ให้ชั้นไปกับนาย”

“มันก็ไม่เสียหายนะแวน ถือซะว่า พาไปฝึกงานกับดูฝีมือล่ะกัน” เสียงแหบแห้งที่ไม่ได้ยินบ่อยๆดังขึ้น ทุกคนหันไปทางเบิร์น เจ้าตัวเอียงคอแล้วพูด “อะไร?”

“ถ้าเบิร์นพูดถึงขนาดนี้ล่ะก็นะ” มาริกล่าว

“อืม ใช่..” โคโลเนลยิ้ม ดูท่าทางทุกครั้งที่เบิร์นมันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ อย่างน้อยก็ในความคิดของเกรฟล่ะนะ

แวนดอลหลับตา แล้วถอนหายใจ

“ก็ได้ ก็ได้ นายไปกับชั้นได้ เราจะออกเดินทาง พรุ่งนี้เช้าเลย”

เกรฟพยักหน้า แวนดอลจึงสั่งให้แยกย้ายได้

“ระวังตัวด้วยนะพวก” แรปป้ากล่าวกับเกรฟ

เกรฟพยักหน้ารับ “ได้ เดี๋ยวจะซื้อของมาฝากนะ”

ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

สนามบินที่เดิมที่คับคั่งไปด้วยผู้คน เกรฟยังไม่รู้สึกกับสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดนี่เท่าไหร่นัก เขายืนอยู่หน้าบอร์ดตารางเวลา ข้างๆกับแวนดอล

“ไม่ลืมอะไรนะเกรฟ” แวนดอลในชุดสูทพร้อมกับเนคไทสีคราม สวมแว่นตากันแดดสีดำ RB8301 ของ Ray Ban มือขวาหิ้วกระเป๋าเอกสารสีดำใบใหญ่

“ทุกอย่างครบ พร้อมกันเดินทาง” เกรฟตอบกลับ เขาอยู่ในชุดสุท สวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำทับ สวมแว่นตากัน M Frame Hybrid S ของ Oakley มือขวาก็หิ้วกระเป๋าเอกสารเช่นกัน แต่ของเกรฟดูเหมือนจะใบใหญ่กว่านิดหน่อย

“รู้สึกเหมือนเจมส์ บอนด์เลยแฮะ” เกรฟกล่าว

“เชื่อชั้นเถอะ จากนี้ไป เจมส์ บอนด์น่ะ ดูเด็กไปเลยล่ะ” แวนดอลพูดขณะกำลังกดโทรศัพท์ บนหน้าจอขึ้นเบอร์ของ ไมเคิล เจค๊อบ

“ว่าไง ครอส โทรหากันแต่เช้าเลย?” เสียงของไมเคิลดังขึ้น

“ไมเคิล ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็ ติดต่อ มาริไปเลยนะ” แวนดอลกล่าว

“ชั้นกำลังจะไปปารีส”

THE DarkLight
24th February 2013, 13:40
เป็นนักเขียนที่สานต่อได้ยอดเยี่ยมเลยครับ ยกนิ้วให้เลย (เพื่อนผมมันไปกับสายลมละ)

Alathreon
24th February 2013, 16:39
ตั้งแต่ช่วงนี้ไป จะอัพเร็วขึ้นนะครับ เพราะปิดเทอมแล้ว ปั่นกันยาวๆเลย (ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิวครับ)

THE DarkLight
25th February 2013, 19:47
ตั้งแต่ช่วงนี้ไป จะอัพเร็วขึ้นนะครับ เพราะปิดเทอมแล้ว ปั่นกันยาวๆเลย (ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิวครับ)

ครับผม ขอให้สานต่ออย่างต่อเนื่องได้ตลอดนะครับ

Alathreon
2nd March 2013, 13:49
021 : Paris

“แล้ว....แกไปทำอะไรที่ปารีส” ไมเคิล เจค๊อบ ถามไถ่กับแวนดอล ฝ่ายหลังส่ายหน้าเป็นเชิงเบื่อหน่าย

“ก็แค่...มาทำธุรกิจกับมาหาอะไรกินน่ะ”

“แกจะบ้ารึไงเนี่ย แล้วนี่แกไปกันใคร”

“เอ่อ...ผมมาคนเดียว พอดีนี้เป็นธุรกิจลับ” แวนดอลขยิบตาให้กับเกรฟที่กำลังนั่งซดกาแฟกับขนมปังโยเกิร์ต

“ธุรกิจลับ? ธุรกิจลับบ้าบออะไรวะ *แซด* เฮ้ย นั่นอะไรน่ะ” ไมเคิลโวยวาย ขณะที่แวนดอลเอากระดาษซับมันขนมปังเฟรนซ์โทสมาขยี้จ่อที่โทรศัพท์

“อ๋า ไมเคิล สัญญาเริ่มไม่ค่อยดีแล้ว แค่นี้ก่อนนะ!!” แวนดอลวางโทรศัพท์แล้วบล็อคเบอร์ขอไมเคิลทันที

“น่ารำคาญชะมัด ไอ้เครือข่ายเวรนี่ก็ดันใช้ข้ามประเทศได้ซะงั้น” แวนดอลเก็บโทรศัพท์แล้วหันมานั่งกินเฟรนซ์โทสต่อ

“เค้าก็คงเป็นห่วงนั้นล่ะ” เกรฟวางแก้วกาแฟ “นายกับไมเคิลดูสนิทกันดีนะ”

“...ก็แค่ทำงานอยู่ด้วยกันมานานเท่านั้นแหละ” แวนดอลตอบด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ไม่ว่าจะมองมุมไหน แวนดอลในยามปกตินั้นดูไม่ต่างจากวัยรุ่นอารมณ์แปรปวนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเลยซักนิด แต่เอาเถอะ แวนดอลก็เป็นหัวหน้าทีมที่ดีที่สุด เท่าที่เกรฟเคยเจอมา

“อ่า...เฮ้ ชั้นยังไม่เคยรู้เลยว่า พวกนายกับเจค๊อบ อินดัสทรี่ ไปทำงานร่วมกันได้ยังไง?”

“อืม...ก็ เรื่องไม่เป็นเรื่องนั้น มันเป็นข้อตกลงระหว่างชั้นกับ...ประธานของเจค๊อบนั้นล่ะ” แวนดอลซดกาแฟเข้าไป ก่อนจะวางมันลง “เอาล่ะ เสียเวลามามากพอแล้ว”

แวนดอลเรียกให้พนักงานมาเก็บเงินค่าอาหารด้วยภาษาฝรั่งเศส แถมยังพูดได้คล่องเสียด้วย เกรฟที่ออกมายืนรอนอกร้าน ที่ไม่สามารถทิ้งนิสัยเดิมๆของตัวเองได้ เขาหันมองรอบๆตัวราวกับเป็นนักสำรวจ อาคารอพาร์ตเมนที่เรียงตัวกันอย่างเบียดเสียด ถนนแต่ล่ะเส้นที่เชื่อมต่อกันเหมือนกันตาข่ายที่ถักทอมาอย่างประณีต ผู้คนสัญจรไปมาบนท้องถนนที่แน่นขนัด ดูๆไปแล้วไม่ต่างจากแมนฮัตตันมากนัก ไกลๆออกเค้าเห็นหอไอเฟลที่ตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส ช่างเป็นภาพที่หลงไหล และเป็ฯบรรยากาศที่น่ามาเที่ยวพักผ่อนซักครั้ง เพียงแต่ว่า เกรฟไม่ได้มาพักผ่อน

“เอาล่ะ ก่อนอื่นเราต้องหาที่พัก” แวนดอลใช้ GPS ในโทรศัพท์มือถือ Iphone ของเขา “นี่ล่ะ Pullman Paris Tour Eiffel”

“ใกล้กับหอไอเฟล” เกรฟกล่าว “แถวนั้นมันจะไม่โล่งไปหน่อยเหรอะ?”

“ปารีสไม่เคยโล่ง” แวนดอลกล่าวติดตลก “และเพื่อความปลอดภัยเราควรจะ-”

“-แยกกันและทำเป็นไม่รู้จักกัน” เกรฟกล่าวแทรกขึ้นมา “แต่ว่า ให้ตายสิ นี่มันฝรั่งเศสนะ”

“ดูเหมือนว่านายจะเคยเป็นพวก KGB จริงๆสินะ” แวนดอลยิ้มอย่างพอใจ เค้าหยิบกระดาษขึ้นมาพร้อมกับปากกาและจดบางอย่างลงไปในนั้น

“หาแท๊กซี่ แล้วเอากระดาษให้เขา” แวนดอลยื่นกระดาษนั้นให้ มันเขียนด้วยภาษาฝรั่งเศสที่เกรฟไม่อาจเข้าใจได้ ก่อนจะเก็บมันลงไปในกระเป๋าเสื้อเทรนซ์โค้ท

“เจอกันที่ Pullman ....ทุ่มนึงล่ะกัน นายเดินเล่นไปก่อนก็ได้นะ แต่อย่าไปทำอะไรบ้าๆเข้าล่ะ”

“เอาน่า พวก!” เกรฟยิ้ม ก่อนจะแยกกับแวนดอล



“ก่อนอื่น...ขอทำความคุ้นเคยกับเมืองนี้ก่อนล่ะกัน” เกรฟพึมพำกับตัวเอง หลังจากที่แยกกับแวนดอลบริเวณหน้าร้านกาแฟเมื่อครู่นี้ เกรฟเดินไปตามบาทวิถีข้างถนน พลางใช้อินเตอร์เน็ตจากโทรศัทพ์มือถือเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองนี้ หลายๆอย่างที่เกรฟรู้สึกว่าเมืองนี้ น่าจะเหมาะกับเขา ตั้งแต่ที่ปารีสได้รับการกล่าวขานกันว่า เป็นเมืองที่เหมาะแก่การเดินเล่น การเดินเล่นก็ไม่เลวเท่าไหร่นัก เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องการจำเส้นทางและสร้างความคุ้นเคยมันยังเป็นงานอดิเรกอย่างเดียวที่เกรฟมีตอนยังอยู่ในกองทัพรัสเซีย

“ตลาดดอกไม้เหรอะ?” เกรฟหยุดเดินแล้ว มองไปด้านหน้า ก่อนจะหันมามองหน้าจอโทรศัทพ์ของตนอีกรอบ ก่อนจะมองไปด้านหน้าอีกครั้ง สีสันสวยงามของดอกไม้นับพัน ช่วยให้เพลินได้ไม่น้อยทีเดียว

“คงไม่เสียหายอะไรหรอกมั้ง” เกรฟพึมพำกับตัวเอง เวลาช่วง บ่ายโมงของย่าน I’île de la Cité ค่อนข้างจะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่ดูท่าทางจะเป็น Backpacker ด้วย แม้จะเป็นทหารเก่าแต่ดอกไม้สวยๆพวกนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลอะไรกับเกรฟเลย มันทำให้เกรฟคิดหลายๆเรื่องที่เค้าไม่เคยคิดมาก่อน ทั้งการใช้ชีวิต เป้าหมายในชีวิต และคนรัก....เกรฟนึกขำกับตัวเองที่กำลังเอาโทรศัทพ์ของตนถ่ายรูปดอกทิวลิปสีขาวอยู่

“เอ่อ...คุณค่ะ?” เสียงของเด็กสาวฝรั่งเศสคนหนึ่งดังขึ้น เธออายุประมาณ 16-17 เนื้อตัวดูมอมแมมและผมยาวรกรุงรัง

“ว่าไง?” เกรฟถามกลับ เขาตกใจเล็กน้อย ที่มีชาวฝรั่งเศสทักเขาด้วยภาษาอังกฤษ

“คือว่า....พ่อแม่ของหนูป่วยน่ะค่ะ...แล้วพวกเราไม่มีแม้แต่เงินซักยูโร คุณจะช่วย..” เด็กสาวนั้น กล่าวอ้อนวอนกับเกรฟ แต่ว่าแวนดอลเคยบอกกับเกรฟมาแล้วว่า อย่าเด็ดขาด แก๊งมิจฉาชีพประเภทนี้ในปารีสก็มีเยอะพอสมควร

“เอ่อ....” แต่เกรฟก็มักจะปฏิเสธอะไรไม่ค่อยเป็น เขาหวังให้แวนดอลอยู่ด้วยตอนนี้

“คุณค่ะ ได้โปรด....” ให้ตายสิ เกรฟคิด เค้าควรจะทำอะไรดีนะ

แต่ยังไม่ทันทำอะไร จู่ๆ ก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านเข้ามาชนกับเกรฟเบาๆ เกรฟที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับผงะเล็กน้อย มือขวากำกระเป๋าเอกสารใบใหญ่เอาไว้อย่างแน่น ก่อนที่เด็กคนนั้นเดินหายลับไปอย่างรวดเร็ว

“นักท่องเที่ยวขี้ตืด!” เด็กสาวตระโกนใส่เกรฟ แล้ววิ่งจากไป เกรฟสับสนเล็กน้อย ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่แวนดอลบอกเอาไว้อีกเรื่องหนึ่ง ระวังกระเป๋าเงินให้ดี เกรฟรีบเอามือซ้ายคลำกระเป๋าเทรนซ์โค้ทที่บริเวนท้อง เขาเบิกตากว้าง กระเป๋าเงินของเขาหายไปแล้ว!

“เวร!!!” เกรฟสบถแล้ววิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่เกรฟวิ่งผ่านต่างตกใจแล้วรีบเปิดทางให้เกรฟอย่างรู้งาน เกรฟเห็นหลังของเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้ว เธอกำลังวิ่งช้าๆ แต่ทันทีที่เธอได้ยินเสียงผู้คนโวยวายแล้วหันมาพบเกรฟที่กำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจแล้วรีบวิ่งไปที่กำแพงอิฐที่ด้านอาคารนึงทันที

“จะทำอะไรน่ะ” ด้วยความสูงของกำแพง เด็กสาวคนนั้นไม่รอดแน่ๆ เกรฟคิด ยังไงซะ เธอกับเด็กผู้ชายเมื่อกี้คงจะต้องร่วมมือกันแน่ๆ

“ไม่รอดหรอกน่า!” เกรฟคำรามลั่นมาตามหลัง แต่เด็กสาวคนนั้นดูท่าทางไม่ตกใจแม้แต่น้อย

เธอวิ่งเหยียบกำแพงในแนวดิ่งจนขึ้นไปถึงครึ่งกำแพงก่อนที่จะใช้มือทั้งสอง เกาะที่สันกำแพงแล้วดึงตัวเองลอบข้ามไปอย่างรวดเร็ว

“ฟรีรันนิ่ง?!” เกรฟตกใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถึงตัวกำแพงแล้วใช้มือซ้ายเกาะขอบแล้วดึงตัวเองให้กระโดดข้ามไป

“ให้ตายสิ...” หลังจากกระโดดกำแพงมา เด็กสาวคนนั้นก็วิ่งไปทางอาคารที่ยังเป็นเพียงโครงและร้างมานานนับปี เธอกระโดดเกาะราวเหล็กที่ยื่นออกมาจากตัวโครงอาคารแล้วดันตัวเองขึ้นไปนั่งบนชั้น 2

“คุณนักท่องเที่ยว....ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณจะตามมาได้นะ” หลังจากที่เธอนั่งลง แล้วสางผมที่ ระเกะระกะใบหน้าเธอออก ทำให้เห็นใบหน้าของเธอชัดเจน ซึ่งก็หน้าตาดีไม่น้อยที่เดียว

“กระเป๋าเงินชั้นอยู่ไหน....” เกรฟถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“เอเบล!” เด็กสาวคนนั้นพูดเสียงดัง ไม่นาน เด็กหนุ่มที่เดินชนเกรฟก็เดินออกมาจากภายในตัวอาคาร พร้อมกับกระเป๋าเงินสีดำของเกรฟ

“ถ้าคุณอยากได้คืนก็มาเอาสิค่ะ” เด็กสาวคนนั้นกล่าว พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กันเกรฟ

“อย่าท้านะ” เกรฟกำลังจะเดินเข้าไป แต่ทว่ากลับมีเด็กผู้ชายอีกประมาณ 4 คนพร้อมกับท่อนเหล็กเดินออกมาจากอาคารชั้น 1 และเอเบลก็กระโดดลงมาจากชั้น 2

“เฮ้...ชั้นไม่อยากทำร้ายเด็ก” เกรฟกล่าว พลางเอามือซ้ายสอดเข้าไปในเทรนซ์โค้ท

“งั้นก็ปล่อยพวกเราไปซะสิ” เอเบลกล่าว “พวกเราต้องการแต่เงินก็พอ อย่างอื่น เราจะคืนให้”

“ชั้นไม่รู้หรอกนะ ว่าพวกนายกำพร้าหรือหนีออกจากบ้าน หรืออะไรก็ตาม” เกรฟกล่าว “แต่ชั้นเข้าใจดี แต่นั้นก็ไม่ใช่ข้ออ้างในการทำแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง”

“คุณจะไปรู้อะไรล่ะ คุณนักท่องเที่ยว!!!” เด็กสาวคนเดิมกล่าว

“ชั้นรู้สิ เธอชื่ออะไร สาวน้อย?” เกรฟถาม

“…เบียทริซ..”

“เอาล่ะ เบียทริซ คืนกระเป๋าเงินของชั้นมาแล้วเราจะคุยกันดีๆ”

“.....”

“ปัดโธ่เว้ย!!!” เอเบลพุ่งเข้ามาด้วยความหมดความอดทน เกรฟวางกระเป๋าเอกสารลงแล้วใช้มือขวาเพียงมือเดียว จับไปที่แขนซ้ายของเอเบลซึ่งถือท่อนเหล็กอยู่แล้วบิดมันไปทางด้านหลังของเอเบล ด้วยความเจ็บปวด เอเบลจึงปล่อยท่อนเหล็กลง ในขณะนั้นเองที่เด็กคนอื่นๆกำลังจะพุ่งเข้ามา เกรฟก็ดึงมือซ้าย ออกมาจากเสื้อพร้อมกับปืนพก HK45C ในมือ

“ชั้นไม่อยาก...ลงมือ” เขาเล็งปืนไปที่เด็กๆ พร้อมกับส่งสายตาเย็นชา เบียทริซได้แต่อ้าปากค้างและมือที่สั่นเทา เกรฟรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปรึป่าว ที่ถึงกับเอาปืนออกมา แต่มันก็คงจะดีกว่าการที่เขาต้อง “ซัด”กับเด็กๆพวกนี้ตรงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เขาสามารถฆ่าคนเดียวมือเปล่าได้ง่ายๆ

“เบียทริซ...เราจะคุยกันดีๆ”

“….ค่ะ...”

Alathreon
3rd March 2013, 15:10
022 : Paris (2)

เกรฟนั่งกับพื้นคอนกรีตเก่าๆในอาคารร้างที่เป็นที่อยู่อาศัยของแก๊งเด็กของเบียทริช อย่างสงบ พลางมองดูกิจวัตรประจำวันของเหล่าเด็กๆที่มีเบียทรีซ ซึ่งอายุ 17 ปีมากที่สุดในกลุ่มเป็นผู้นำ ตั้งแต่ เอเบล เด็กชายอายุ 15 ที่เป็นเปรียบเสมือนน้องชายของเบียทรีซ เด็กแสบ 4 หน่ออายุ 13 ที่จ้องจะรุมเกรฟเมื่อครู่ เดวิด เกล และฝาแฝดเอ็ดการ์ กับ เอ็ดมัน และสาวน้อยที่อายุน้อยที่สุด เอ็มม่า 11 ปี สภาพของที่นี้ดูเหมือนกับค่ายหลี้ภัยเล็กๆที่เอาเศษผ้ามาทำเป็นฉากและมุงหลังคา ข้าวของเครื่องใช้ที่ดูเหมือนจะขโมยหรือไม่ก็เก็บมาได้ ตามมีตามเกิด มันทำให้เกรฟรู้สึกสงสารเด็กพวนี้ขึ้นมาจับใจ

“เอาล่ะ คุณนักท่องเที่ยว” เบียทรีซเดินมาแลว ก้มลงมองหน้าเกรฟ “เราจะคุยกันได้รึยัง?”

“อ่า...มาสิ” เกรฟกล่าว “เรียกชั้นว่า...เกวริลล่ะกัน”

“เกวริลหรอ?” เอเบลทักขึ้นมา “นั้นชื่อรัสเซียนี้!”

เกรฟเอียงหัว รู้สึกตกใจเล็กน้อย

“คุณเกวริล” เบียทรีซนั่งลงตรงหน้าเกรฟ “อย่างที่คุณเห็นนั้นล่ะ ว่าพวกเราต้องการเห็นจริงๆ”

“ใช่ๆ เรื่องนั้นชั้นรู้ แต่ก่อนอื่น ชั้นต้องขอคำอธิบายหน่อย”

“เรื่องอะไรค่ะ?”

“ทุกเรื่อง...” เกรฟกล่าว “เกี่ยวกับพวกเธอ”

“เอ่อ...” เบียทรีซหลบสายตาจากเกรฟ แต่เธอก็พูดต่อ “พวกนั้นทั้งหมดเป็นเด็กกำพร้าจากบ้านสถานสังเคราะห์จากย่าน Porte de clignancourt ส่วนชั้นก็เคยเป็นเด็กในความดูแลจนกระทั่งอายุ 15 ก็เลยขอทำงานอยู่กับสถานสังเคราะห์”

“ถ้างั้นก็แสดงว่า พวกเธอ หนีออกมาจากที่นั้น”

“ไม่ใช่นะคะ!! ” เบียทริซปฏิเสธทันควัน เธอกำมือทั้งสองที่วางบนตักของตนเอง “คือว่า...เมื่อปลายปี 2015 สถานสังเคราะห์เริ่มไม่มีทุน ทั้งจากที่มีภาระของเด็กกำพร้าเยอะมากขึ้น และเงินทุนที่ได้จากรัฐเริ่มไม่พอใช้....”

เบียทริซเริ่มเสียงสั้น แววตาของเธอแสดงได้บางสิ่ง เป็นบางสิ่งที่เธอไม่อยากพูดถึง

“ผู้บริหารบ้านก็เริ่มทำตัวแปลกๆ เขาคุยกับคนที่ดูเหมือนทหาร ทุกๆคืนนับแต่นั้น เค้าจะคัดตัวเด็กๆไปทีล่ะ 5-6 คน เมื่อเด็กๆพวกนั้นไปกับพวกทหาร เราก็ไม่ได้เห็นพวกเขาอีกเลย”

เกรฟเริ่มคิดว่า พวกทหารอาจจะเป็นพวก Guillotine

“ทุกๆครั้งที่เด็กๆหายไป ผู้บริหารก็เริ่มมีเงินใช้มากขึ้น แต่เขาไม่เคยสนใจที่จะบำรุงสถานสงเคราะห์ จนกระทั่ง...ชั้นเข้าไปแอบฟังผู้บริหารกับพวกทหารคุยกัน...พวกเขา...พวกเขาขายเด็กกำพร้าให้กับกลุ่มพวกค้าทาสที่อิตาลี...”

เกรฟมองดูเด็กๆคนอื่นๆในบริเวณนั้น ขณะที่เบียทริซเล่าเรื่องนี้ให้เกรฟฟัง พวกเด็กๆดูเศร้าและหดหู่ แสดงว่ามันเป็นเรื่องจริง

“ในตอนนั้น ชั้นตัดสินแล้วว่า ชั้นจะต้องช่วยเด็กๆ ชั้นพาเด็กๆพวกนี้หนีออกมาได้ ชั้นพยายามจะแจ้งตำรวจ แต่ว่า...”

“ไม่มีใครสนและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...” เกรฟกล่าวพร้อมกับเบียทริซ เธอเงยหน้าขึ้นมองเกรฟด้วยสายตาสลด

“ชั้นเข้าใจและคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ดี ” เกรฟวางมือลงบนหัวของเบียทริซเป็นเชิงปลอบโยนเธอ เธอได้แค่ก้มหน้ามองพื้น

“ชั้นต้องยอมรับนะ ว่าพวกเธอเก่งที่อยู่กันได้มา ปีกว่าๆ” เกรฟกล่าว “แต่เธอจะทำยังไงล่ะ เมื่อพวกเขาโตขึ้น”

เกรฟชี้ไปทางเอ็มม่า ที่อยู่ไกลจากเขาที่สุด เธอกำลังนั่งขดตัวอยู่กับฟูกเก่าๆ แล้วตุ๊กตาหมีขาดๆ

“เบียทริซ เธอเคยลองไปสมัครงานที่ไหนบ้างรึป่าวล่ะ?”

“ค่ะ ชั้นเคยไปสมัครงานที่ เอ่อ...Guillotine PMC ที่อยู่ใกล้ๆกับหอไอเฟลนี้เอง”

เกรฟเอียงคอ “เธอ? ไปสมัครกองกำลังทหารรับจ้างเหรอะ?”

“ในตำแหน่งแม่บ้านน่ะค่ะ...” เธอยิ้มเล็กๆ “แต่สุดท้ายก็ลาออกมา เพราะโดนทหารที่นั้นลวนลามน่ะค่ะ”

“ก็เธอ...หน้าตาดีนี่” เกรฟรู้สึกเขินปนขัดปากๆนิด เพราะทั้งชีวิตไม่ค่อยได้ชมผู้หญิงเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่มีอายุเกือบเป็นรุ่นลูก “แล้วถ้างั้น...เธอคุ้นชินกับสถานที่ที่นั้น มากน้อยแค่ไหนล่ะ”

“ค่อนข้างมากค่ะ เพราะชั้นเป็นผู้ช่วยแม่บ้านภายในเลยได้เข้าไปเกือบทุกห้อง”

“ก็ดีนะ...” เกรฟยืนขึ้น พลางควักกระเป๋าเงินออกมา เขาหยิบเงินยูโรที่มีออกมาเกือบทั้งหมด นับได้ 5 พันยูโร “นี่มันอาจจะไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ดูแลกันด้วยล่ะ”

“คุณเกวริล..” เบียทรีซรับเงินจากเกรฟ เธอดูมีความเกรงใจขัดกับความเป็นโจรจริงๆ

“ชั้นต้องไปแล้วล่ะ...” เกรฟก้าวเดินพร้อมกับกระเป๋าเอกสารในมือ เมื่อเดินมาได้ซักพักเขาก็หยุด “เบียทริซ....ถ้ามีอะไรที่เธอพอจะทำได้กับพวกทหารที่เอาเด็กๆไป ...เธอพร้อมจะทำรึป่าว”

“....ค่ะ....ชั้น พร้อม” เบียทริซแสดงสายตาแน่วแน่

เกรฟยิ้มก่อนจะออกจากอาคารมาอย่างรวดเร็ว



เกรฟในชุดเสื้อเชิ๊ตกางเกงสูทขายาวกำลังนั่งบนเตียงขนาดควีนไซส์ บนเตียงมีแผนที่ตัวเมืองของปารีส ซึ่งมีร่องรอยการจดบันทึกบนแผ่นที่ ข้างๆมีกระเป๋าเอกสารที่เปิดออก แทนที่จะเป็นกองกระดาษเอกสาร มันกลับเป็นปืนไรเฟิล SCAR PDW กระบอกกระทัดรัดและเครื่องกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง

“พรุ่งนี้ ชั้นจะเข้าไปในศูนย์ของ Guillotine เพื่อไปคุยกับผู้บริหาร ส่วนนายรออยูด้านนอก ดูลาดเลาและเตรียมพร้อมเอาไว้เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน..” เสียงของแวนดอลดังมาจากวิทยุแบบหูฟังขนาดเล็กที่เกรฟสวมเอาไว้

“ไหนบอกว่า ไม่อยากมีปัญหาไง” เกรฟกล่าว

“นายคิดจริงๆรึ ว่ามันจะไม่มีเรื่องน่ะ” แวนดอลตอบกลับมากึ่งหัวเราะ

“นั้นสินะ...” เกรฟยิ้ม แล้วยืนขึ้น

เขาเดินไปที่ระเบียงของห้องพักแบบดีลักซ์ของโรงแรม Pullman Paris Tour Eiffel วิวของหอไอเฟลยามค่ำคืนที่ประดับได้ด้วยหลอดไฟนับหมื่นดวงก็เพียงพอที่จะทำให้ปารีสสว่างสไวและเจิดจ้า ไกลออกไปเกือบ 600 เมตร สำนักงานใหญ่ของ Guillotine PMC ตั้งตระหง่านอยู่ มันเป็นอาคารคอนกรีตกับสไตล์สถาปัตย์แบบเดียวกับอาคารส่วนใหญ่ในปารีส แต่ว่า มันกินพื้นที่หลายช่วงตึก ทั้งบริเวณนั้นเป็นพื้นที่ของพวกมัน แม้ภายนอกจะไม่มีอะไร แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยทหารรับจ้างกว่าร้อยชีวิต เกรฟไม่เคยคิดที่จะต้องบุกในทีแบบนั้น ถ้าไม่จำเป็น นี่ไม่ใช่เกมที่ทหารฝ่ายตัวเอกสามารถบุกเข้าไปในอาคารที่มีคนที่ต้องการจะฆ่าเขากว่า ร้อยคน เพียงแค่ 20 คนก็เกินพอแล้วสำหรับทหารในชีวิตจริงของพวกเขา

“แวนดอล...”

“ว่าไง เกรฟ...”

“ถ้าหาก นาย...ถ้าหาก เรา ไม่ได้ข้อมูลของดันเต้มาดีๆล่ะ”

แวนดอลหัวเราะผ่านออกมา อย่างร่าเริง

“เรื่องนั้น เราก็น่าจะรู้ๆกันนะ ว่าควรทำยังไง”

Alathreon
4th March 2013, 20:45
023 : Accompany

“ดูปลอดภัยดี ไม่มียาม หรือสไนเปอร์บนตึก” เกรฟกล่าวรายงานกับแวนดอลทางวิทยุ ขณะที่ตัวเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะกาแฟ ก่อนจะซดกาแฟไป 1 อึก พลางมองไปทางด้านหอไอเฟลไม่ไกลนัก ซึ่งแวนดอลกำลังเดินอยู่ในกลุ่มผู้คน มุ่งหน้าไป อาคารศูนย์ใหญ่ของ Guillotine PMC เบื้องหน้า

“โอเค...กำลังมุ่งหน้าไป” แวนดอลเรียงฝีเท้าเดินไปทางด้านหน้าอาคาร เวลา 9 โมงเช้า ดูเวลาที่คนไม่เยอะจนเกินไป และอากาศกำลังดี ถ้าจะหนีหรือป้องกันการสะกดรอยตามก็นับว่าเป็นโอกาศที่ค่อนข้างดี

“ประตูหน้า...” แวนดอลก้าวถึงประตูกระจกบานคู่หน้าอาคารโดยมีพนักงานคอยต้อนรับ

จากจุดนี้ไป เกรฟ ไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนของแวนดอลได้แล้ว แวนดอลต้องการให้เกรฟคอยสอดแนมดูภายนอกตัวอาคารรวมไปถึงการค้นหาทางหนีทีไล่เผื่อเหตุฉุกเฉิน ซึ่งตอนนี้ เกรฟก็พอจะมีแผนรองรับเอาไว้แล้ว

“อยู่ด้านในแล้ว กำลังเดินทาง” เสียงแวนดอลกระซิบมาผ่านวิทยุ โดยมีเสียงของคนอื่นๆแทรกเข้ามาด้วย ดูท่าทางภายในคงมีคนเยอะพอสมควร

“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ” เสียงของพนักงานต้อนรับดังขึ้น

“ผมขอเข้าพบหัวหน้าของพวกคุณหน่อย...ฟรานซิส เซเนีย สินะครับ”

“ได้ค่ะ จากคุณอะไรค่ะ ?”

“ผม ครอส, แคเนียล ครอส ครับ” เกรฟนึกถึงประโยคทำนองเดียวกันที่เคยได้ยินจากหนังสายลับอังกฤษชื่อดังเรื่องหนึ่งขึ้นมา

“ซักครู่นะคะ” เธอคงกำลังต่อสายถึง ฟรานซิส เซเนีย เจ้าของและผู้บริหาร Guillotine PMC “ค่ะ ท่านอนุญาตให้เข้าพบค่ะ”

แวนดอลกระแอ่มเบาๆเป็นเชิงบอกกับเกรฟ เสียงพนักงานต้อนรับพูดขึ้นเป็นภาษาฝรั่งเศส เธอคงจะบอกให้เจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นช่วยพาเกรฟไปที่ห้องของฟรานซิส ระหว่างการเดิน เกรฟได้ยินเสียงมากมายเท่าทีจะได้ยินได้ ในออฟฟิศงานบริษัททั่วไป ฟังดูจากระยะของเสียง ทางเดินน่าจะยาวพอสมควร และเสียงที่สะท้อนกันดังก็พอจะบอกได้ว่า ที่นั้นค่อนข้างแออัดที่เดียว

“ถึงหน้าห้องแล้ว” แวนดอลกล่าว “เลขาฯหมอนี่ สวยเป็นบ้า”

“คุณฟรานซิส รออยู่ด้านในแล้วค่ะ” เลขาฯของฟรานซิสกล่าวขึ้น พร้อมกับมีเสียงประตูดัง

เกรฟซดกาแฟไปอีก 1 อึก พลางมองดูรอบๆ ยังไม่มีอะไรน่าสงสัย

“อ่า...แดเนียล ครอส นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พอกับคุณแบบส่วนตัวในวันนี้” เสียงชายหนุ่มวัยกลางคนดังขึ้น น้ำเสียงนิ่มนวลแต่ฉะฉานแสดงความหรูหราและเย่อหยิ่งของคนพูดได้เป็นอย่างดี จากที่เกรฟเคยลองค้นข้อมูลดู ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะฟรานซิส เซเนียก็หน้าตาออกไปทางเจ้าชายหรือคนชนชั้นสูงที่เห็นได้จากรูปวาดเก่าๆของฝรั่งเศสอะไรเทือกนั้น

“ชั้นอยากเห็นหน้ามันว่ะ” เกรฟกล่าว

“ครับ...เช่นกันครับ ต้องขอโทษด้วยที่มาหาคุณกระทันหันไปหน่อย” แวนดอลกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ซึ้งดูไม่เป็นแวนดอลเลยซักนิด

“อ่อ...ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ อะไรทำให้เจ้าชายแห่งหมาป่าสีครามมาหาผมถึงที่นี้ล่ะ”

เกรฟยิ้มมุมปากแล้วส่ายหน้าเล็กๆ ดูเหมือนแวนดอลก็คงจะดังพอตัว

“ผมมา ด้วยเรื่องของดันเต้ บลานซ์ครับ ผมเชื่อว่า เขาเคยอยู่ในสังกัดทหารรับจ้างของคุณ”

“โอ้...ดันเต้หรอะ” ฟรานซิสเงียบไปครู่นึง “เค้า...เป็นเด็กที่เก่งมากเลยล่ะครับ ไหวพริบสูง ภาวะผู้นำเต็มเปี่ยม เรารักเขามากครับ แต่จู่ๆ เมื่อสองปีก่อนเค้าก็หายตัวไปซะเฉยๆ ตามหาตัวไม่ได้เลยครับ”

“แล้วข้อมูลหลังจากที่เขา...จากไปล่ะครับ เขาไปอยู่ที่ไหนกันครับ”

“ต้องขออภัยจริงๆนะครับ ที่ทำให้คุณมาเสียเที่ยว ดันเต้ขาดการติดต่อจากเราไปเกือบ 2 ปีแล้วล่ะครับ”

“งั้นเหรอครับ...” แวนดอลกล่าวแล้วทำท่าจะลุกขึ้นยืน

“คุณมีเรื่องอะไรกับเขารึป่าวครับ?” ฟรานซิสกล่าว

“ไม่มีอะไรหรอกครับ...ช่างมันเถอะ”

เกรฟไม่อาจเห็นความผิดปกติใดๆในบทสนทนานั้น ก็คงขึ้นอยู่กับแวนดอลว่าจะรับพิรุธหรืออะไรได้ไหม

“งั้นผมคงต้องขอกลับก่อนนะครับ..” แวนดอลกล่าว

“ไม่มีเรื่องอะไรอีกหรอครับ?” ฟรานซิสกล่าว ฟังจากเสียง แวนดอลคงจะเดินออกมาจากห้องแล้ว

“เกรฟ ชั้นกำลังเดินออกจากที่นี้” แวนดอลกล่าว

เกรฟส่งเสียงตอบ เขามองจ้องไปที่หน้าอาคารของ Guillotine PMC ที่ประตูหน้า มีผู้ชาย 2 คนในชุดพลเรือน กางเกงยีนส์เสื้อกันหนาวเดินออกมา ก่อนที่ทั้งสองจะแยกออกจากกัน

“เฮ้...มีชายสองคนเดินออกมาจากอาคาร ตอนนี้แยกกันแล้ว”

“จับตาดูเอาไว้...” แวนดอลเร่งฝีเท้า

เกรฟยืนขึ้น แล้วค่อยๆเดินออกจากลานร้านกาแฟอย่างเป็นธรรมชาติ ชายทั้งสองคนแยกกันอย่างรวดเร็วโดยที่คนแรกเดินอ้อมไปทางด้านหลังอาคาร ส่วนอีกคนเดินตรงมาทางเกรฟ แต่ดูเหมือนว่า มันจะยังไ
ม่รู้ว่าเกรฟมากับแวนดอล มันเดินผ่านเกรฟไป แล้วไปหยุดยืนอยู่ที่หัวมุมถนน เป็นจังหวะเดียวกับที่แวนดอลเดินออกมาพอดี

“หัวมุมถนนด้านหลังชั้น กับอีกคนเดินอ้อมไปหลังอาคารแล้ว” เกรฟพูดรายงานกับแวนดอล

แวนดอลกระแอ่มตอบก่อนที่จะเดินอ้อมไปด้านหลังอาคารทิศทางเดียวกับชายคนแรก เมื่อแวนดอลหายไปจากทัศวิสัยของทั้งเกรฟและชายคนที่สอง ชายคนที่สองก็เริ่มออกเดินตามไปทันที ท่ามกลางฝูงคนกลางๆบริเวณนี้ การติดตามมันไม่ยากมากนัก เกรฟออกเดินสะกดรอยมันอีกต่อหนึ่ง

“ฟรานซิสโกหก...” แวนดอลกล่าว “บอกตรงๆ ไอ้เวรนี่โกหกได้ไม่เก่งเลย แอร์เย็นจะตายห่าเสือกเหงื่อแตก..”

“ตากระพริบไม่เป็นธรรมชาติ และก็พล่ามมากมาย” แวนดอลตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นแวนดอลที่สุด

“เอาเถอะ...รีบจัดการกับพวกมันก่อนดีกว่า” เกรฟตอบกลับขณะก้าวเดินเร็วตามชายสะกดรอยคนที่สอง ตรงไปทิศทางเดียวกับที่แวนดอลเดินไป

“ตรอกทางซ้ายตามมาเลย” แวนดอลกล่าว เมื่อเกรฟเดินถึงหัวมุมถนนเดียวกับแวนดอลอยู่ ถนนนี้เป็นถนนแคบๆ รถผ่านได้คันเดียว ท่าทางถนนนี้จะเป็นย่านอพาร์ตเมนต์ ไร้ซึ่งผู้คนสัญจรไปมา เกรฟหยุดเดิ
นก่อนจะหยิบโทรศัทพ์ของตน ทำทีว่ากำลังเปิดแผนที่เดินเท้าอยู่ ชั่วครู่ แวนดอลเดินตรงปรี่เข้าไปในตรอกทางด้านซ้ายของถนน ชายสะกดรอยคนแรกก็เดินตามเข้าไปทันที และในขณะที่คนสองกำลังจะเดิ
นตามเข้าไป เกรฟก็ตรงดิ่งเข้าไปทันที

“เฮ้ !! ขอโทษนะครับ ผมอยากทราบว่าที่นี้ต้องเดินไปทางไหนน่ะครับ” เกรฟกล่าวพลางยื่นจอโทรศัทพ์ให้ดู

มันพึมพำเป็นภาษาฝรั่งเศส ก่อนที่จะชะโงกหน้ามากดูในจอ

“ไอ้*****เอ้ย!!” เสียงแวนดอลตระโกนออกมาจากตรอก พร้อมกับเสียงดังโครมคราม จนชายสะกดรอยคนที่สองหันไปมองแล้วกำลังจะออกวิ่ง

“เฮ้!!!” แต่เกรฟกระชากแขนมันเอาไว้ได้ ก่อนที่จะกระทุ้งเข่าเข้าไปที่ท้องน้อยของมันอย่างแรง จนมันคลุกเข้าลง ต่อด้วยหมัดฮุคขวา และแย๊บซ้าย สุดท้าย เกรฟก็จับหัวของมันไปกระแทกกับผนังอิฐของอาคารแนวนั้นก่อนจะค่อยๆปล่อยมันนอนลง

“ลงหมัดหนักไปรึป่าววะ...” เกรฟพึมพำ ก่อนจะเดินตรงไปที่ตรอก พบว่าขาทั้งสองข้างของชายสะกดรอยที่ตามแวนดอลมาชี้โด้เด้ขึ้นมาจากถังขยะถังใหญ่แบบเป็นฝาพับ ส่วนแวนดอลกำลังปีดเสื้อนอกชุดสู
ทของเขา ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดมาสวม

“มีอะไรให้ช่วยรึป่าวครับคุณ?” เกรฟกล่าวบ่นยิ้ม

“อ่า...คงไม่ล่ะครับ” แวนดอลกล่าว “ผมกำจัดปัญหาทิ้งไปแล้ว” เขามองไปที่ถังขยะ “ฝังลงไปในถังขยะเลย”

“โอเค...” เกรฟตอบกลับแล้วกลับหลังหันเดินกลับที่หัวมุมถนน ส่วนแวนดอลเดินออกมาจากตรอกแล้วเดินออกไปอีทางหนึ่ง

“เตรียมตัวได้เลย คืนนี้เราจะบุกเข้า Guillotine”

Alathreon
6th March 2013, 19:09
024 : Plan

“ตอนนี้ นายอยู่ที่ไหนวะ” แวนดอลติดต่อมาหาเกรฟ ซึ่งเกรฟกำลังขนถุงกระดาษซื้อของถุงใหญ่ 2 ถุง อันเต็มไปด้วยสะเบียงอาหารจำพวกขนมปัง เนย แยมผลไม้ อาหารสำเร็จรูปและขนมมากมาย

“ตลาดดอกไม้ ไม่ต้องห่วง นายเตรียมของรอเอาไว้เลย” เกรฟกล่าวขณะที่ตัวเขาเองอยู่ด้านหน้าของประตูรั้วเหล็กเก่าๆ ที่ถูกล๊อคจากด้านใน ในซอยเล็กๆที่เป็นทางเข้าของอาคารที่ดูเหมือนกับร้างมาหลายปี พงหญ้าและวัชพืชเริ่มขึ้นจนถึงหัวเข่าและหนานุ่มมากพอจะนอนลงได้

“เอ็มม่า! นี่ชั้นเอง เกวริล” เกรฟตระโกน ไม่นานนั้น ประตูเหล็กนั้นก็ถูกเปิดออก โดยมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มารอต้อนรับอยู่ด้วย

“เบียทริซอยู่รึป่าว?” เกรฟถาม เอ็มม่าพยักหน้า 2 ครั้งเล็กๆ เกรฟยิ้มให้เธอ ก่อนที่จะเดินเข้าไป โดยเอ็มม่าอยู่ปิดและล๊อคประตู

“ไง เด็กๆ” เกรฟทักทายพวกเด็กๆ ทั้ง 7 คน มีเพียงเบียทริซและเอเบลเท่านั้นที่พูดภาษาอังกฤษได้ แก๊ง 4 แสบวิ่งปรี่เข้ามารับถุงกระดาษถุงใหญ่จากเกรฟ ก่อนที่เอ็มม่าจะวิ่งมาสมทบ

“หวัดดีครับ คุณเกวริล” เอเบลกล่าวขึ้น เกรฟทักทายกลับ ก่อนที่เขาจะนั่งลงแล้วหยิบกระดาษกับปากกาออกมา

ไม่นานนัก เบียทริซก็โดดลงมาจากชั้น 2 หลังจากที่ได้ยินเสียงของเกรฟ

“ไปทำอะไร ข้างบนน่ะ?” เกรฟถาม

“งานอดิเรกของชั้นเอง ดูวิวเมือง” เบียทริซกล่าว ก่อนจะเดินมานั่งลงตรงหน้าเกรฟ เธอหันไปมองกลุ่มเด็กๆที่กำลังดีใจกับของที่เกรฟซื้อมาให้

“เงินที่คุณให้มา เรายังใช้ไปไม่มากเลย”

“เอาเถอะ อย่าเกรงใจเลย” เกรฟยิ้ม เบียทริซถึงแม้จะ 17 แล้ว แต่ก็ยังคงมีความเป็นเด็กอยู่และแสดงออกมาได้ชัดเหลือเกิน

“เอาล่ะ ชั้นมีเรื่องจะให้เธอช่วย” เกรฟยื่นกระดาษให้เบียทริซ “เธอพอจะจำโครงสร้างภายในของอาคาร Guillotine ได้ไหม”

“ก็พอได้ค่ะ”

“ดีมาก ชั้นต้องการให้เธอวาดมันลงไปในนี้ เท่าที่เธอจำได้นะ” เกรฟวางมือบนหัวของเบียทริซและตบเบาๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงชอบทำแบบนี้

เบียทริซยิ้มแล้วลงมือวาดแผนผังอาคาร guillotine ด้วยมุมมองแบบด้านบน เธอใสใจกับทุกรายละเอียดและจำได้แม้กระทั่งประตูตามจุดต่างๆ ขณะที่เกรฟเฝ้าดูอยู่นั้น เอ็มม่าก็นำขนมปังแผ่นทาด้วยแยมบลูเบอร์รี่ 2 แผ่นมาให้เกรฟกับเบียทริซ เขารับไว้ ก่อนที่หนูน้อยจะวิ่งกลับไปหาเอเบล เขายื่นให้เบียทริซ เธอรับมันแล้วคาบไว้ที่ปาก เกรฟค่อยๆกัดกินละเลียดไปทีล่ะคำ เวลาผ่านไปประมาณ 5 นาที เบียทริซวาดรูปอาคารที่เหมือนกัน 4 รูป แทนที่แต่ล่ะชั้นของอาคาร พร้อมกับกลืนขนมปังแผ่นที่เหลืออยู่ลงคอไป

เกรฟลองเปรียบเทียบกับที่เห็นจากภายนอกกับที่เห็นจากรูปของเบียทริซ อาคารนี่ภายในต้องดูใหญ่กว่าภายนอกแน่ๆ ยังไม่รวมจุดที่เป็นที่ห้องเก็บอาวุธและยุทโปกรณ์

“ระบบภายในของที่นั้นเป็นยังไง เธอพอรู้รึป่าว”

“ค่ะ โดยปกติที่นั้นจะมีทหารประจำตามเวลาเวรยามแล้ว ก็ประมาณ 30 คนค่ะ” เบียทริชทำท่าครุ่นคิด “อืม...จะมีการเปลี่ยนกะทุกๆ 2 ชั่วโมงค่ะ”

เกรฟพยักหน้า แค่นี้ก็เพียงพอแล้วต่อการจะบุกเข้าไป เพราะแวนดอลก็ได้เห็นและคงพอจะรู้ลู่ทางภายในบางแล้ว จากนี้ไป คงต้องเตรียมการและอาวุธให้พร้อม และอีกปัญหานึงคือ แวนดอลไม่อยากให้มีปั
ญหาจึงห้ามไม่ให้ฆ่าใคร

“เอาล่ะ ขอบคุณมากนะ เบียทริซ” เกรฟหยิบกระดาษแผ่นนั้นหลังจากเบียทริซยื่นให้เขา “พรุ่งนี้ ชั้นจะกลับมาอีก...ถ้าชั้นพอจะช่วยอะไรได้น่ะนะ” เกรฟยืนขึ้น

“แล้วเจอกัน เด็กๆ” เกรฟกล่าวกับพวกเด็กๆ ที่จัดอาหารขายของที่เกรฟซื้อมาให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดหันมาหาเกรฟแล้วยิ้มพร้อมกับโบกมือลา

“เดี๋ยว คุณเกวริล!” เบียทริซโพล่งขึ้น “คุณมาทำอะไรที่ปารีสกันแน่?”

“....” เกรฟอ้ำอึ้งไปชั่วครู่ “เธอคงไม่อยากรู้หรอก”

เบียทรีซได้แต่มองขณะที่เกรฟเดินจากไป

เกรฟค่อยๆกระดกน้ำอัดลมยี่ห้อนึงของฝรั่งเศส ก่อนจะกลืนแซนวิชแฮมเบคอนคำสุดท้ายลงคำไป อากาศยามค่ำคืนค่อนไปทางดึกของปารีส กำลังเย็นยะเยือก ถึงแม้จะเย็นไม่เท่ารัสเซียก็ตาม ในตรอกมืดๆ
ที่อยู่ไม่ห่างอาคาร Guillotine มาก เกรฟในชุดลอบเล้นสีดำกระมึน เสื้อผ้าสเปนเดกซ์ กับกางเกงคาร์โก้ที่มีสายรัดขาและเวสท์ใส่กระสุนแบบบาง ปืนไรเฟิล SCAR PDW ใส่ที่เก็บเสียงเตรียมพร้อม ขณะที่เกรฟกำลังลองเปิดกล้องไนท์วิสชั่นแบบตาเดียว แวนดอลในชุดคล้ายกันก็เดินเข้ามา

“เหมือนที่เด็กของนายว่าไว้” แวนดอลกางกระดาษแผนที่ที่วางโดยเบียทริซออก “มียาม 3-4 อยู่ด้านนอกตัวอาคาร ด้านใน บางส่วนเปิดไฟสว่าง ประตูหน้าคงจะเข้าได้ยาก”

“แล้วประตูโรงรถด้านหลังล่ะ”

“กำลังเล่นโป๊กเกอร์กันเลยล่ะ” แวนดอลถอนหายใจ “เราอาจจะต้องเข้าไปทางด้านบน”

“เอาจริงดิ” เกรฟตกใจเล็กๆ “เอาเถอะ”

แวนดอลพยักหน้าพลางตรวจเช็คความพร้อมของชุด และปืน Magpul PDR เก็บเสียงขนาดกระทัดรัดของเขาด้วย เมื่อเขาจึงพับกล้องไนท์วิสชั่นแบบ 2 ตาที่รัดอยู่กับหัวของเขาลง แสงสีเขียวอ่อนๆ สว่างเป็นดวงตาในความมืดมิด ก่อนที่เขาจะชูนิ้วโป้งให้ แล้ววิ่งนำออกไป เกรฟเปิดกล้องไนท์วิสชั่นแบบตาเดียวของตน แล้วขยับโม่งคุ้มหน้าสีดำให้ปกปิดใบหน้าจนมิด ก่อนจะวิ่งตามแวนดอลไป
เสียงหลอดไฟนับหมื่นดวงบนหอไอเฟล ส่องสว่างให้กับเมืองปารีส แต่มันไม่ได้สว่างมากพอที่จะทำให้เห็นชายสองคนในชุดดำได้ง่ายๆ เกรฟกับแวนดอลมาหยุดอยู่ที่อาคารอพาร์ตเมนท์นึงที่อยู่ใกล้ๆกับอาคารของ Guillotine ทั้งสองอาศัยบันไดหนีไฟด้านข้างตัวอาคารในการปีนให้ถึงชั้นดาดฟ้าที่เป็นหลังคาแบน

“เอาล่ะ” แวนดอลนั่งลงข้างๆกับเครื่องระบายอากาศ โดยมีเกรฟตามมาติดๆ “เราจะเข้าประตูบันไดบนดาดฟ้า หวังว่าคงไม่มีใครอยู่นะ”

เกรฟพยักหน้า มองดูอาคาร Guillotine ที่เป็นหลังคาเรียบแบนที่นั้นมีเครื่องระบายอากาศ 2-3 เครื่องและมีช่องทางเดินทางไฟอยู่อีก 2 ช่องและห้องบันไดฉุกเฉินที่มีประตูเหล็กเก่าๆ ผ่านโลกสีเขียวของไนท์วิสชั่นที่ว่ากันว่า ทำให้มองตอนกลางคืน เห็นเหมือนตอนกลางวัน

แวนดอลค่อยๆเคลี่อนตัวไป โดยมีเกรฟคอยระวังหลัง เนื่องจากควมมืดมิด หูจึงการเป็นอวัยวะในการรับรู้ อันดับแรกๆ เกรฟพยายามเงื้อหูฟังเสียงต่างๆที่พอจะได้ยิน จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าเล็กๆดังมาจากเบื้องหน้า

“หยุด!” แวนดอลพูดเบาๆพร้อมกับชี้ปืนไปทางร่างของคนเล็กด้านหน้า เกรฟเข้าประกบด้านข้างและเล็งไปทางนั้น เห็นเป็นคนที่น่าจะเป็นผู้หญิงกำลังยกมือทั้งสองข้างอยู่

“เฮ้ เดี๋ยวนะ...” เกรฟที่มองผ่านไนท์วิสชั่น เห็นผู้ที่อยู่เบื้องหน้า แม้จะไม่ชัดมาก แต่ก็รู้ว่าเป็นใคร

“เบียทริซ เธอมาทำบ้าอะไรที่นี้”

เบียทริซที่ยกมืออยู่ ค่อยๆลดมือลงหลังจากได้ยินเสียงของเกรฟ

Alathreon
8th March 2013, 16:22
025 : Night Raid

“ชั้นก็แค่สงสัย ว่าคุณเป็นใครกันแน่น่ะ เกวริล” เบียทริซยังคงยืนยันคำเดิม ขณะที่เธอมาแอบดักเกรฟ ซึ่งเธอก็มาถูกที่ ถูกเวลาเกินไป

“ไม่ๆ เบียทริซ เธอไม่ควรจะ...” เกรฟพยายามจะอธิบายกับเธอ แต่ไม่รู้ว่าจะใช้เหตุผลอะไร

“ยังไงซะ เธอต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ กลับไปซะ”

“ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง? เกรวิล ขอโทษนะแต่ชั้นให้ข้อมูลพวกคุณ แล้วถ้าพวกคุณเป็นผู้ก่อการร้ายล่ะ”

“นี่ เธอ !” แวนดอลกล่าวขึ้น “ถ้าเธออยากรู้เรื่องนักล่ะก็ ได้ เราเป็นทหารรับจ้าง แล้วพวกเราถูกไอ้เด็กที่ เคย เป็นใต้สังกัดของที่นี้โจมตี แค่นั้นก็พอแล้ว”

“แล้วพวกคุณมาทำอะไร ล้างแค้นหรอ ?!”

“ให้ตายสิ ถ้ามาล้างแค้น สาบานเลยชั้นไม่มากันแค่นี้หรอก”

“แค่รู้ไว้ ก็พอว่าพวกเราไม่ใช่คนเลว เอาล่ะ เธอรีบกลับไปซะ” เกรฟเกลี่ยกล่อมเบียทริซ

“ไม่ ชั้นจะรออยู่ที่นี่แหละ” เธอยืนยัน

เกรฟส่ายหน้าก่อนจะหันไปหาแวนดอล ที่ดูท่าทางจะเบื่อเต็มทน

“จะทำยังไงล่ะ แวนดอล” เกรฟหมดปัญญา

“ชั้นก็ไม่รู้ แต่เดาได้แน่ๆว่าเธอไม่รออยู่เฉยๆแน่” แวนดอลกล่าวอย่างกวนๆ “เด็กนายแสบใช่เล่นนะ”

“เราให้เธอตามไปไม่ได้หรอกนะ มันอันตรายเกินไป”

“นี่ หนุ่มๆ ชั้นเคยทำงานที่นั้นนะ ชั้นดูแลตัวเองได้แหละน่า” เบียทริซพูดแทรกขึ้นมา “ถ้าพวกคุณจะเข้าที่นั้นล่ะก็ ชั้นแนะนำ หน้าต่างห้องเก็บของชั้น 3 นะ เพราะเข้าง่าย และอยู่ในตัวอาคารหลักพอดี”

“....” แวนดอลเงียบไปครู่นึง “เธอมั่นใจนะ ว่าจะดูแลตัวเองได้”

เกรฟตั้งใจจะพูดห้ามแต่ว่า ทั้งแวนดอลและเบียทริซก็หัวรั้นพอๆกัน

“แน่นอน ชั้นมั่นใจ”

หน้าต่างแบบบานเลื่อนแนวนอนขนาดเล็กที่ใหญ่พอที่จะให้คนๆนึงลอดผ่านเข้าไปได้อย่างสบายๆถูกเปิดออกโดยเบียทริซ ก่อนที่จะลอดเข้ามาในห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยลังกระดาษเก็บของและฝุ่นหนาเตอะ เกรฟและแวนดอลค่อยๆลอดตามมาทีละคน โดยทันทีที่เท้าแตะพื้น เกรฟค่อยๆเปิดประตูที่ไม่ได้ล๊อคแล้วออกไปเฝ้าระวังด้านนอก ซึ่งเป็นส่วนขวาสุดของชั้น 3 มันมืดและไร้ซึ่งการป้องกัน

“โดยปกติ พวกยามจะอยู่กันเยอะที่ชั้น 1 บริเวณทางเข้า และจุดใหญ่จะอยู่ที่โรงจอดรถด้านหลัง ทุกๆชั้นจะมีการเปิดไฟในจุดสำคัญและจะมียามเฝ้าชั้นล่ะ 5-6 คน”

“เป็นข้อมูลที่ดีหนูน้อย” แวนดอลตบเบาๆบนหัวเธอ “แต่ชั้นต้องการแหล่งข้อมูล อะไรก็ได้ที่มันไม่เกี่ยวกับเซริฟเวอร์”

“ถ้างั้น คุณก็น่าจะลองถามฟรานซิสเองเลย” เบียทริซกล่าว “เขามักจะอยู่ที่นี่จนดึก ตอนนี้อาจจะยังอยู่ในห้องก็ได้”

“งั้นงานนี้ คงมีคนได้เข้าโรง’บาลยาวแน่ๆ” เกรฟกล่าว

“ชั้นก็ ว่างั้นล่ะ ไปเร็ว!” แวนดอลกล่าวแล้วออกเดินนำ

ทั้งสามค่อยๆออกเดินไปตามห้องทำงานที่เป็นออฟฟิศขนาดยาว แวนดอลใช้ผนังระหว่างโต๊ะทำงานเป็นที่กำบังดูเหมือนว่า ยามที่นี่จะน้อยกว่าที่อื่นๆ และการเล็ดลอดเข้ามาก็ดูง่ายกว่าที่ควรจะเป็น ห้องของฟ
รานซิสทีอยู่ชั้นนี้ ห่างออกไปไม่ไกลนัก แวนดอลเดินเร็วเข้าไปที่โต๊ะเลขาก่อนจะส่งสัญญาณให้เบียทริซตามมาโดยมีเกรฟอยู่รั้งท้ายเพื่อเฝ้าระวังด่านหลัง

“....มันอยู่ที่นี้ ที่ปารีส” แม้จะเบาแต่พวกเขาที่อยู่ด้านนอกก็ได้ยิน เสียงของผู้ชายที่ทุ้มแปลกๆที่เหมือนกับถูกดัดแปลงดังออกมาจากห้องของฟรานซิสที่ยังเปิดไฟสว่าง

“มันที่ว่านี้ หมายถึง ไอ้ครอสกับเพื่อนมันนะเหรอ?” เสียงของฟรานซิสดังขึ้น “มันมากัน 2 คนครับ คุณเฮ็คเตอร์”

“2 งั้นเหรอ อืม...แล้วนายเตรียมต้อนรับมันรึยังล่ะ” เสียงของชายที่ถูกเรียกว่า เฮ็คเตอร์ ถามกลับ

“ครับ ผม- เฮ้ย!!” เกรฟไม่อาจห้ามได้ทัน แวนดอลถีบประตูเข้าไปแล้วเล็งปืนไปที่ฟรานซิสที่นั่งอยู่ในห้องเพียงคนเดียว มีเพียงคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปขนาดเล็กที่เปิดอยู่

“หมอบลงกับพื้น!” แวนดอลร้องบอก ฟรานซิสจำต้องทำตาม ตามที่แวนดอลกล่าว ถึงแวนดอลจะสวมโม่งคุมหน้า แต่ฟรานซิสกลับรู้ว่าเขาเป็นใคร

“แกเองเหรอะ ครอส...” ฟรานซิสยิ้ม เกรฟที่ตามเข้ามาโดยให้เบียทริซรออยู่ด้านนอก เริ่มเปิดลิ้นชักที่โต๊ะทำงานของฟรานซิส

“แกกำลังหาอะไรล่ะ ไอ้รัสเซีย แฟ้มของดันเต้เหรอะ” ฟรานซิสที่ก้มลงหมอบกับพื้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ชั้นไม่โง่เก็บของแบบนั้นเอาไว้หรอก กันพวกแกสืบสาวต้นตอได้ยังไงล่ะ”

“งั้นแกก็รู้ว่า มันทำงานให้ใครอยู่!” แวนดอลกระทืบลงไปที่หลังของฟรานซิส “บอกชั้นดีๆ หรือไม่ ชั้นจะทำให้แกบอกเอง!”

“ช่างดุร้ายและเดือดดาษตามที่เขาว่ากันจริงๆ” เสียงของเฮ็คเตอร์ดังมาจากคอมพิวเตอร์ เกรฟเปิดดูหน้าจอที่แสดงโปรแกรมทางคุยกันแบบออนไลน์ แต่หน้าจอแสดงคู่สนทนากลับเป็นรูปเครื่องหมายคำถาม

“อืม....มาที่นี้เพื่อมาตามหาข้อมูลของดันเต้ บลานซ์สินะ” เฮ็คเตอร์กล่าว สร้างเดือดดาษให้กับแวนดอลยิ่งขึ้น “ต้องยอมรับเลยว่า ดันเต้ หรือ เดรคโค่ของพวกนายคงจะสร้างปัญญาให้เยอะพอดูสินะ”

“เยอะ แต่ไม่มากพอ” เกรฟเป็นฝ่ายพูดขึ้น “ชั้นไม่รู้ว่าแกเป็นใคร ชั้นเดาว่าเป็นผู้สนับสนุนของอัซรามงั้นสิ”

“อ้า...เกวริล เดมอนเชฟ ชายหนุ่มผู้ทำลายฐานทัพลับของชั้น ฮึๆ” ในน้ำเสียงของเฮ็คเตอร์มีเพียงความหยิ่งยโสและดูถูก “อัซรามก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของแผนของชั้น Azure Wolf เอ๋ย...พวกแกช่างโง่เขลา
นัก”

“ว่าไงนะ!? ไอ้เปรต!!” แวนดอลตระโกนอย่างเดือดดาษ “พวกแกวางแผนอะไรอยู่กันแน่!!!”

“หึๆๆ ครอส...ชั้นคิดว่า คนที่จะตอบคำถามนั้นให้แกได้ คือ จอห์นสัน เจค็อบ มากกว่านะ”

เฮ็คเตอร์หัวเราะอย่างวิกลจริตก่อนที่เขาจะตัดการสื่อสารไป

“....เกรฟ เก็บคอมพ์เวรนั้นไปด้วย เราต้องรู้ว่า มีอะไรในนั้นบ้าง” แวนดอลสั่งเกรฟ

เกรฟพยักหน้า สุดท้าย พวกเขาก็ยังไม่ได้อะไรเมื่อเดิม นอกจากรับรู้การมีตัวตนของชายที่ชื่อว่า เฮ็กเตอร์ ซึ่งตัวเกรฟเองก็มั่นใจว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด

“อย่าร้องไห้ไปเลย ฮ่าๆๆๆ” ฟรานซิสหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ในจังหวะนั้นที่เบียทริซที่รออยู่ด้านนอกค่อยๆเดินเข้ามา

“เบียทริซ งั้นรึ?” ฟรานซิสยิ้ม “เธอช่วยพวกนี่ งั้นสินะ”

“ฟรานซิส ชั้น...” เบียทริซพยายามจะพูด แต่เกรฟก็ยกมือขึ้นแล้วส่ายมือเป็นเชิง อย่าใส่ใจ

“พวกแกมาได้แค่นี้แหละ ฮ่าๆๆ-” ฟรานซิสหัวเราะอีกครั้งก่อนจะโดนแวนดอลใช้สันมือสับเข้าที่ท้ายทอยจนสลบในครั้งเดียว

“ไอ้*****นี่ น่ารำคาญเป็นบ้า” แวนดอลกล่าว “ไปกันเถอะ”

เกรฟพยักหน้า เขาโอบเบียทริซที่เดินอยู่ข้าง ทั้งสามกำลังจะตรงไปที่บันไดซึ่งจะนำพวกเขาไปที่ดาดฟ้า เกรฟหันออกไปมองด้านนอกของเมืองปารีส ผ่านนอกหน้าต่างออกไป ที่อาคารที่กำลังก่อสร้างด้านน
อกที่มีนั่งร้านก่อสร้างอยู่ตลอดแนว ก่อนที่แสงสีแดงจะวิ่งผ่านตาเขาไปอย่างรวดเร็ว เกรฟสลัดความคิดอื่นๆออก ก่อนที่จะรีบเอามือก้มหัวเบียทริซลง

“หมอบลง!!” เกรฟร้องบอกแวนดอล ทันที ในจังหวะที่แสงเลเซอร์สีแดงนับสิบจะสาดส่องเข้ามาจากด้านนอก เสียงกระจกหน้าต่างที่ถูกทุบจนแตกจากภายนอกพร้อมกับวัตถุทรงกระบอกที่ถูกโยนเข้ามา

“ซุ่มโจมตี!!” เกรฟร้องพลางกับใช้มือขวาจับมือของเบียทริซไว้ให้แน่นที่สุด