PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : Five soul mistress limit สาวน้อยพลังวิญญาณกับรักต้องห้าม ตอน หอคอยซาบิน่า



Prince.NO9
11th May 2012, 08:57
อัพเดต บทที่ 20,21


เพื่อนที่หาตอนนิยาย ให้กด Ctrl+f แล้วพิมพ์บทที่ต้องการได้เลยครับ


ผมประธานนักเรียนแห่งโรงเรียนสปิริตไฮส์เป็นโรงเรียนนานาชาติ หน้าตาไม่ดีไม่หล่อแต่พ่อรวย ชีวิตทุกวันในโรงเรียนมีแต่ไล่จับนักเรียนทำผิดกฎในที่ต่างๆไปทั่วและทุกๆวันผมจะทำอยู่แค่นี้จริงๆ
แต่เรื่องของเรื่องก็คือผมเจอผู้หญิงคนนึงเธออยากเป็นเพื่อนกับผม แต่เรื่องนี้มันไม่น่าปวดหัวเท่าไหร่เมื่อตัวผมต้องกลายเป็นผู้หญิงแถมโคตรสวยอีกต่างหาก นี่สิน่าปวดเฮดกว่าตั้งเยอะ แย่แล้วจะต้องทำยังเนี่
ยถึงจะได้กลับ
ไปเป็นผู้ชาย??? ต้องทำยังงายยยยยยยยยยยยยย


บทนำ

ตายแน่ ตายแน่ ข้างหลังก็ไอ้เน็กนักเลงหัวไม้ประจำโรเรียน ข้างหน้าเป็นปีศาจลักษณะคล้ายแมลงที่เพิ่งฆ่าเพื่อนผมตายไปหมาดๆ เธอเป็นเพื่อนหญิงคนแรกของผม ปีศาจมันพลุ่งขามาทางนี้แล้ว หลบไม่ทันห
ลับตาปี๋ กึก ผมน่าจะโดนเสียบแล้วนี่นา ผมค่อยลืมตาขึ้นช้า
“เฮ้ย” ขาแหลมเล็กของไอ้ปีศาจอยู่ห่างจากผมแค่สองมิน รอบๆตัวผมไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว เกิดอะไรขึ้น
“อยากช่วยริมิมั้ยหนุ่มน้อย” เสียงไม่ทุ้มเกินไม่สูงเกินดังมาจากข้างหลัง ผมจึงหันไปมอง เห็นร่างของปีศาจตัวเล็กๆสีดำ ลักษณะคล้ายหมาป่า
“ก..แกเป็นปีศาจ”
“ไม่สุภาพเลยนะ ฉันชื่อปริทาด้า เป็นภูตต่างหาก”
แล้วทุกอย่างก็เริ่มจากตรงนี้

บทที่ 1 ปริทาด้า



ซาโตริรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้นมาพบตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาล พร้อมความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาสู่ร่างกาย

‘ผมตายแล้วใช่ไหม นี่คงเป็นสวรรค์สินะ แต่สวรรค์มันมีสายระโยงระย้า แถมความเจ็บปวดนี่อีก มันไม่เหมือนสวรรค์เลย’

“ลูกแม่ ลูกแม่ฟื้นแล้ว” ‘แม่นั่นเอง แสดงว่าเรายังไม่ตายงั้นสิ’

“ลูกเป็นยังไงบ้างจ๊ะ” ผู้เป็นมารดาน้ำตาไหลพราก ซาโตริมองหาร่างของพ่อ แต่ไม่เห็นแม้เงา‘พ่อไม่มาเหมือนเคยสินะ ก็ติดงานขนาดนั้นนี่นา’

“ก็เจ็บปางตายแหละครับ”

“ดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นอะไร”

หากถามว่าเขามาทำอะไรตรงนี้ล่ะก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน



สองอาทิตย์ก่อน ในห้องเรียน

ตุบ ปึก ตุบ ปึก

“อัก โอ๊ย” ซาโตริชายร่างท้วม(ชื่อเหมือนผู้หญิงเนาะ)โดนรุมสะกำโดยคนหมู่มาก เนื่องมาจากเขาไปฟ้องอาจารย์ว่าพวกนี้สูบบุหรี่ในห้องน้ำ บริเวณนั้นมีคนอยู่ด้วยแต่ไม่มีใครคิดจะเข้าไปช่วยเพราะไม่อยากมีชะตากรรมเดียวกับซาโตริ ทว่ามีร่างของนักเรียนชายคนนึงวิ่งออกไปนอกห้อง คงจะไปทำอะไรสักอย่าง เน็กสั่งให้ลูกน้องตามร่างนั้นไป

“พอก่อน”เสียงเรียบนี่เป็นของเน็กชายผู้เป็นหัวโจกเขายกมือห้ามลูกน้อง ก่อนจะพูดต่อว่า“มันไม่ยากเลยนะแค่แกพูดว่าขอโทษครับ ผมจะไม่ไปฟ้องอาจารย์อีกแล้วแค่นี้เรื่องก็จบ” ซาโตริไม่มีทางที่จะขอโทษคนเหล่านี้หรอก ต่อให้ตายเขาก็ไม้มีทางขอโทษ

“ฉันไม่ขอโทษพวกแกเด็ดขาด” เน็กพยักหน้าให้ลูกน้องเป็นสัญญาณให้กระทืบต่อ

ตุบ ปึก ตุบ ปึก

“คิดจะขอโทษฉันเมื่อไหร่บอกด้วยละกัน”เน็กคว้าเก้าอี้ที่อยู่ใกล้มือมานั่ง ‘ฉันไม่ขอโทษแกเด็ดขาดเพราะฉันสัญญากับปู่เอาไว้แล้วว่าจะไม่ขอโทษคนที่ทำผิด ต่อให้ต้องตายก็ยอม’ ซาโตรินึกถึงวันที่มาเรียนที่นี่เป็นวันแรกเขาสอบเข้าด้วยคะแนนสูงสุด 4.00ปู่ของซาโตริหรือผ.อ.ของโรงเรียนสปิริตไฮส์ จึงแต่งตั้งให้เขาเป็นประธานนักเรียนตั้งแต่อยู่ ม.1จนตอนนี้ซาโตริอยู่ ม. 5 แต่ก็ยังคงดำรงตำแหน่งของประธานนักเรียนไว้และคำมั่นสัญญาที่เขามีให้กับปู่ด้วยเช่นกัน

“หลานรู้มั้ยว่าทำไมปู่ถึงเลือกหลานเป็นประธานนักเรียน” ผ.อ.โรงเรียนผู้มีศักดิ์เป็นปู่เอ่ยถามหลานเสียงจริงจัง

“เพราะผมได้คะแนนมากสุดมั้งครับหรือว่าเพราะว่าผมเป็นหลานคุณปู่”ปู่ส่ายหน้าพลาง มือหนาลูบหัวเด็กน้อย

“ไม่ไช่ ที่ปู่เลือกหลานเป็นประธานนักเรียนก็เพราะว่าปู่ต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้คนที่จะไม่ยอมก้มหัวให้ไอ้พวกคนเลว ไม่รับสินบนจากพวกมันและคนคนนั้นก็คือหลาน สัญญากับปู่ได้มั้ยว่าต่อให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมากแค่ไหนก็จะไม่ยอมก้มหัวให้คนเหล่านี้เด็ดขาด “สายตามุ่งมั่นส่งผ่านไปยังซาโตริ เขาตอบทันทีโดยไม่ลังเล

“ครับ ผมสัญญา”เด็กน้อยรับคำ

“สัญญาแห่งลูกผู้ชาย”

“ครับสัญญาแห่งลูกผู้ชาย”

กลับมาที่เหตุการณ์กระทืบซาโตริ

“แกมันทนทานยาดจริงๆนะ แค่ขอโทษทุกอย่างก็จบแล้ว” เน็กพูดเสียงเจือปนหัวเราะ ‘นี่เราเป็นกระสอบทรายให้มันกระทืบนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย มันชาไปหมด ไม่รู้สึกอะไรเลยเห็นแต่เลือดที่ไหลออกมาจากกายเราตอนนี้เราคงฟกช้ำหมดทั้งตัวแล้วมั้ง อา...ตายแน่เดี๋ยวอีกสักพักคงมียมทูตมารับวิญญาณเรา หึ หึ ผมขอโทษนะครับคุณปู่’เน็กเห็นว่าซาโตริหมดสติไปแล้วแต่กระนั้นเขาก็ยังไม่สั่งให้ลูกน้องหยุด แถมยังบอกให้กระทืบจนกว่ามันจะฟื้น(ช่างเลวได้ใจริงๆ) ‘เราจะทำยังไงดีนะ’ นี่เป็นความคิดของสาวน้อยร่างบางหลังห้อง เธอมีชื่อว่า ยุสึกิ ริมิ ‘ต้องทำอะไรสักอย่างไม่อย่างนั้นซาโตริต้องตายแน่เลย’ขณะที่ริมิกังวลอยู่นั้นก็.....

“เฮ้ย พวกแกหยุดจะทำอะไรหลานฉันฮะ” เสียงทุ้มอันทรงอำนาจตวาดลั่น

“ท่าน ผ.อ.” เสียงนักเรียนเรียกผู้มาเยือนอย่างพร้อมเพียง พร้อมกับร่างของคนสี่คน หนึ่งในนั้นเป็นร่างของนักเรียนชายที่วิ่งออกไปตอนที่เห็นซาโตริโดนกระทืบ เขามีชื่อว่า ดาร์ก

“เฮ้ย หนีเร็ว” เน็กตะโกน เหล่ากลุ่มเด็กนักเรียน(เลง)ต่างวิ่งหนีกันคนละทิศคนละทาง บ้างก็หนีทางหน้าต่างบ้างก็วิ่งออกทางหลังห้อง

“จับพวกมันให้ได้” ปู่ของซาโตริสั่งครูที่ตามมาด้วยสามคน ก่อนจะกดมือถือโทรออกปลายสายคือโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

เมื่อได้สติร่างท้วมพยายามลืมตาแต่ทำไมเปลือกตาถึงได้หนักอย่างนี้ร่างกายมีแต่ความเจ็บปวด ซาโตริมองร่างของคนที่เข้ามาช่วยให้เขาพ้นจากชะตากรรมอันโหดร้ายนี่ แต่สิ่งที่สายตาของซาโตริมองเห็นเป็นเพียงภาพเบลอๆ ของคนตรงหน้าเท่านั้นเอง

.....แล้วทุกอย่างก็มืดสนิท.....



ซาโตรินึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลได้สองอาทิตย์ก็สามารถกลับไปเรียนต่อได้ แม้บาดแผลจะยังไม่หายสนิท แต่ด้วยหน้าที่ของประธานนักเรียนมันค้ำหัวอยู่จึงต้องมา ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลซาโตริอยากให้พ่อมาเยี่ยมเขาบ้างแต่เปล่าเลยมีเพียงแม่ที่เจียดเวลามาเยี่ยมเขาทั้งๆที่งานยุ่งจนแทบไม่ได้กินข้าว

“แม่อยากให้ลูกย้ายโรงเรียนซะ” ซาโตรินึกถึงวันที่หายแล้วกลับมาบ้าน แม่ของเขาก็เปิดประเด็นเรื่องย้ายโรงเรียนทันที

“ไม่ครับ ผมไม่ย้าย”

“เพราะอะไร ปกติซาโตริไม่เคยดื้อกับแม่เลย”

“เพราะผมสัญญากับคุณปู่ไว้แล้วครับ”

“สัญญาอะไรกัน บอกแม่ได้ไหม”แม่ของซาโตริเสียงสั่น เธอทนไม่ได้ที่จะต้องให้ซาโตริไปโรงเรียนสปิริตไฮส์ หากไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกของเธอล่ะ เธอคงขาดใจตายแน่ถ้าซาโตริเป็นอะไรขึ้นมา

“สัญญาแห่งลูกผู้ชายครับ ผมบอกแม่ไม่ได้ครับ ผมขอโทษ”

“เหมือนกันเลย ดวงตาคู่นั้น ฮึก นิสัยดื้อรั้นแบบนั้น ฮึก เหมือนปู่ของลูกไม่มีผิด ฮือ” ซาโตริเดินขึ้นห้องนอน ทิ้งให้แม่ร้องไห้ต่อการตัดสินใจของเขา‘ขอโทษนะครับแม่ ผมไม่อยากจะเดินหนีไอ้เลวพวกนั้นอีกแล้ว’

กลับมาที่เวลาปัจจุบัน ตอนนี้ซาโตริอยู่ในห้องประธานนักเรียน ภายในห้อง กว้างขวางมีกระจกบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นทั่วโรงเรียนสปิริตไฮส์ ก๊อก ก๊อก

SATORI ซาโตริ

“เข้ามาครับ” ร่างสูงเปิดประตูเข้ามาเผยให้เห็นความหล่อที่มากกว่าตัวผมหลายเท่า(อิจฉาล่ะสิ)

“มีอะไรให้ผมช่วยไหม”ผมถามชายตรงหน้า

“นายมาเรียนทำไม ไม่กลัวไอ้เน็กมาแก้แค้นรึไง” เฮอะ คนอย่างผมเคยกลัวที่ไหน

“ถ้ากลัวจะนั่งอยู่ตรงนี้ไหมล่ะ”

“นายอย่ามาพูดดีหน่อยเลยถ้าวันนั้นฉันไม่วิ่งไปหาปู่นาย ป่านนี้นายตายไปแล้ว” อ๋อคนนี้นี่เองที่วิ่งแจ้นไปแจ้งปู่ผม ยุ่งไม่เข้าเรื่อง

“นายชื่ออะไร”

“ดาร์ก”

“เอาล่ะดาร์ก ต้องการจะมาบอกผมแค่นี้ใช่ไหม ถ้ามาด้วยเรื่องแค่นี้ก็ออกไปซะ” ผมยกมือชี้ไปทางประตู

“ฉันก็แค่มาเตือนนายเท่านั้นแหละ” ดาร์กบอกอย่างฉุนเฉียวก่อนจะเดินออกไป เฮ้อ ได้พักซักที

“ท่านประธานคะ” ดาร์กเดินออกไปได้ไม่ถึงสองวิ หญิงสาวผมสีส้มอ่อน สูงพอๆกับผม นัยน์ตาสีม่วงอร่าม ก็เดินเข้ามาต่อทันที

“ไม่มีมารยาทเลยนะครับ ทำไมไม่เคาะประตูก่อน” ผมตำหนิ

“ข....ขอโทษค่ะ” สาวผมส้มเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ เธอห่างจากผมแค่โต๊ะกั้น

“ต้องการอะไรครับ”ผมถาม

“ฉัน ยุสึกิ ริมิค่ะ ประธานมีแฟนรึยังคะ” จะมาสารภาพรักหรอ “ยังไม่มี ถามทำไม”

“มาเป็นเพื่อนกับริมิได้ไหมคะ”เพื่อน?ยัยนี่ไม่มีเพื่อนรึไง

“ผมไม่อยากมีเพื่อนเป็นผู้หญิง” กริ๊งงง เสียงออดเข้าเรียน โอยจะนอนพักสักหน่อยก็ไม่ได้ ผมลุกพรวดเดินหนีมาทันทีจุดหมายคือห้องเรียน เดินจากตึกประธานต้องใช้เวลาสามนาที

“ขอโทษครับที่มาสาย” ผมขอโทษอาจารย์ เนื่องจากสายไปห้านาที

“ไม่เป็นไรจ้ะเข้ามาเลย” ผมพยักหน้า

ที่นั่งซึ่งยังเหลือว่างอยู่มีเพียงแถวๆริมหน้าต่าง

“ไปเข้าห้องน้ำนานจังนะจ๊ะ ริมิจัง”

“ริมิไปถ่ายหนักมาค่ะ”

อาจารย์เอ่ยกับสาวผมสีส้ม ตาสีม่วง...เอ๊ะหรือว่า ยัยนั่น ผมมองดูดีๆอีกทีใช่เลย ยัยนั่นจริงๆด้วย ดั๊นเรียนห้องเดียวกันอีก เธอเดินมานั่งข้างๆผม

“เป็นเพื่อนกับริมินะ”ยังไม่จบนะยัยริมิ

“......”ผมทำเป็นไม่สนใจเธอ

“หลังเลิกเรียนซาโตริมาเจอริมิที่ห้องประธานนักเรียนหญิงไม่เกินสี่โมงสัญญานะ ห้ามเบี้ยวห้ามสายเข้าใจแล้วนะ”เธอพูดเองเออคนเดียวก่อนจะทิ้งให้ผมนั่งเป็นไอ้เอ๋อ ว่าแต่มันมีห้องประธานนักเรียนหญิงด้วยเหรอ

ในเวลาทักเที่ยงผมเดินไปโรงอาหารอย่างเนิบๆ คนเยอะเป็นบ้าแต่ผมก็สามารถซื้อข้าวกระเพาไข่ดาวได้เพราะใช้สิทธิ์รัดคิวของประธานนักเรียน(เลวจริงๆ) สายตาผมไล่หาที่นั่งซึ่งว่างอยู่ที่นึงไม่เชิงว่าว่างหรอกเพราะมีผู้หญิงนั่งอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าบึ้งตึง เธอคือยัยลูกหมา ทั้งๆที่นั่งได้ตั้งสิบคน แต่ทำไมเธอนั่งคนเดียวล่ะ เธอไม่มีเพื่อนจริงๆเหรอ ผมตรงไปนั่งตรงข้ามเธอ เธอมองหน้าผมแบบแปลกๆ

“ซาโตริคุงมานั่งนี่ทำไมใครอนุญาติ” อ้าว ยัยนี่ ผมจะนั่งต้องขออนุญาตเธอก่อนรึไง

“ผมจะนั่งนี่ เธอมีปัญหาเหรอ” สาวตรงหน้าผม ลุกอย่างรวดเร็วพร้อมกันนั้นจานข้าวของเธอก็ลอยมาโปะหัวผม “ใช่ริมิมีปัญหา” เธอเดินเชิดออกไป มิน่าล่ะถึงไม่มีใครคบก็นิสัยอย่างนี้แหละนะ ดีนะที่ผมไม่อยากเป็นเพื่อนเธอ

“ประธานไม่เป็นอะไรนะคะ” นักเรียนหญิงคนหนึ่งถามผม แต่ผมโดนจนชินแล้วล่ะอีแบบนี้ โดนเน็กมันแกล้งบ่อย

“ผมไม่เป็นไร” ผมลุกไปห้องน้ำเพื่อล้างหัวตัวเอง แย่ชะมัดหัวผมส่งกลิ่นเหม็นอย่างแรงฝากไว้ก่อนเถอะยัยลูกหมาผมไม่ยอมเป็นเพื่อนกับเธอแน่ ออกมาหน้าห้องน้ำ ริมิยืนดักรออยู่

“จะมาขอโทษเหรอ” ผมเอ่ย

“อืม ริมิขอโทษนะ เมื่อกี๊ไม่ได้ตั้งใจ” ทำหน้าเศร้าได้ไม่เนียนเลยนะเธอ ผมเดินผ่านเธอไปโดยไม่สนคำขอโทษแม้แต่นิดเดียว

RIMI ริมิ

ฉัน ยุสึกิ ริมิ ค่ะ เป็นนางเอกของนิยายเรื่องนี้นะคะ ฉันมีพลังพิเศษเหมือนกันน้า นั่นคือการมองเห็นด้ายแดงหรือเรียกได้อีกอย่างนึงว่าเส้นเนื้อคู่ของคนแต่ละคนค่ะ และเส้นเนื้อคู่ของฉันคือซาโตริ เมื่อไหร่เขาจะมาสักทีนะนัดไว้ตอนสี่โมงเย็น แต่นี่ปาเข้าไปห้าโมงแล้วแต่ซาโตริก็ยังไม่มา นั่งรอจนปวดสะโพกแล้วนะ

“ติ๊ดดดดดดด”ฉันดูหน้าจอมือถือมันโชว์เบอร์ไม่รู้จัก ด้วยความอยากรู้ฉันจึงกดรับสาย

“เอ่อ...ใครคะ”

(ว่าไงยัยลูกหมา) เอ๊ะเสียงผู้ชายนี่นาแถมว่าฉันเป็นหมาด้วย

“คุณคือใครคะ”

(ผมไงคนที่เธออยากเป็นเพื่อนด้วยเมื่อเช้า ยัยลูกหมา)

“ซาโตริไม่เห็นมาหาริมิเลย เราตกลงกันแล้วนะ” ซาโตริมีเบอร์ริมิได้ไงกัน

(เธอพูดเองเออเองน่ะสิ ยัยลูกหมา) คำก็ยัยลูกหมา สองคำก็ยัยลูกหมา นายจะว่าฉันไปถึงไหนยะ

“แล้วซาโตริจะมาไหม” ฉันตอบอย่างใจเย็น

(ไปหาเธอน่ะนะ ไม่มีทางซะล่ะ... ติ๊ด) ตานั่นวางสายไปแล้ว นายอย่าคิดเลยว่าพรุ่งนี้จะรอด เงื้อมือฉันไปได้ พรุ่งนี้นายต้องตาย

ในเช้าของวันถัดมา ฉันมานั่งอ่านหนังสือรอนายซาโตริในห้องเรียน และคิดแผนจัดการนายซาโตริไปด้วย ฉันมีแผนว่าจะใช้สันหนังสือไปขู่นายนั่นให้มาเป็นเพื่อนกับฉันซะ

“โฮะๆๆๆๆ” คนในห้องเรียนต่างมองฉันเหมือนคนบ้า

“มองอะไรยะ ไม่เคยเห็นคนสวยหัวเราะรึไงฮะ” ฉันตวาด เหล่าคนที่มองฉันพากันดุ้งโหยงแล้วหันกลับไปแทบไม่ทัน

“ฮ้าว อะไรกันนี่วันนี้” เสียงนี้ซาโตริชัวร์ๆ เขาเดินมานั่งข้างๆฉัน นายไม่รู้สึกถึงสายตาอาฆาตของฉันเลยรึไงยะ

“อ้าวนี่เธอ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” แม้แต่ฉันที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ ตานี่ยังไม่แลมอง

“มาตั้งนานแล้วล่ะ ดูซาโตริไม่กลัวริมิเลยนะ”

“กลัวทำไมล่ะ” จบคำพูดของเขาฉันก็จัดการใช้สันหนังสือเพล่งกบาลเขาทันที ซาโตริใช้มือกุมหัวตัวเองและร้องโอดโอย ไปด้วย

“ทำอะไรของเธอเนี่ย” นายอย่ามาแอ๊บไม่รู้นะยะ

“เมื่อวานซาโตริไม่มาหาริมิและยังว่าริมิเป็นหมาอีกทั้งที่สัญญากับริมิแล้วด้วย”

“ริมิคิดเองเออเองไม่ใช่เหรอ” ฉันคิดเองเออเองที่ไหนเล่า เห็นนายไม่ตอบก็นึกว่านายไม่ปฏิเสธ ถ้าไม่อยากมาก็พูดมาตรงๆเหอะ(เข้าข้างตัวเองสุดฤทธิ์นะเธอ)

“นายไม่อยากมาหาริมิใช่ไหมล่ะ”

“แน่นอน ผมไม่อยากไปเพราะริมิ นิสัยอย่างนี้ไง เมื่อวานตอนกลางวันก็ทีนึงแล้วผมอยู่มาห้าปียังไม่เคยเจอคนน่ารังเกียจแบบริมิเลย ผมเกลียดริมิ” ฉันพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล และวิ่งหนีออกจากห้องเรียนไปยังดาดฟ้าของตึก ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เนื้อคู่ของฉันแน่ๆ ทำไมเส้นด้ายสีแดงจะต้องไปผูกอยู่ที่นิ้วก้อยเขาด้วยนะ



SATORI ซาโตริ

เฮอะ วิ่งหนีไปไหนล่ะนั่น ช่างเหอะเดี๋ยวพอเริ่มเรียนก็มาเองแหละ ตอนนี้ผ่านไปจนถึงพักเที่ยงแล้วแต่ริมิก็ยังไม่มาไปทำอะไรอยู่ที่ไหนนะ น่าเป็นห่วงจริงๆผมพูดแรงไปรึเปล่า(โคตรแรง) เอาแบบนี้ดีกว่าถ้าเลิกเรียนแล้วริมิยังไม่มาผมจะไปตามหาเธอ

“ทุกคนกลับบ้านได้พรุ่งนี้อย่าลืมเอาการบ้านมาส่งด้วยนะ” เลิกเรียนแล้วแต่ยังไม่เห็นริมิเลยหายไปไหนนะหรือว่าจะไปฆ่าตัวตาย เฮ้ยไร้สาระ

“ซาโต้ นายจะไปไหน” ดาร์ก...

“ไปหาผู้หญิงที่มาตีหัวผมเมื่อเช้า”

“อ๋อ เมื่อเช้าฉันก็เห็น แต่นายด่าเขาแรงไปเปล่า”

“ผมก็เลยจะไปขอโทษเธอนี่ไง”

“งั้นฉันช่วยหาแล้วกัน”ดาร์กเสนอตัว

“ขอบใจ” นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมบอกขอบคุณคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อ แม่ คุณปู่ นายควรดีใจนะดาร์ก

“ฉันจะไปดูที่โรงอาหาร”

“ผมไปด้วย” พวกเราสองคนเดินไปโรงอาหารด้วยกัน หวังว่าจะเจอริมิ ทว่า ดันเจอไอ้เน็กซะได้ แถมอยู่กันเป็นขโยงเลย พวกผมพยายามจะเดินหลบๆแต่ก็ไม่พ้นสายตาไอ้เน็ก

“จับมันให้ได้” เน็กออกคำสั่ง ไอ้พวกลูกน้องที่นั่งกินข้าวอยู่ก็ร่อนจานข้าวมา จานข้าวนะโว้ยไม่ใช่จานร่อนไม่กลัวบาปบ้างรึไง ผมกับดาร์กวิ่งหนีแต่ไม่ว่าจะหนีไปทางไหนลูกน้องของเน็กก็ล้อมไว้หมด มีทางเดียวคือดาดฟ้าของโรงเรียน ตัดสินใจได้แล้วผมก็ลากดาร์กขึ้นมาด้วยพลางคิดหาวิธีหนีเอาตัวรอดไปพลาง เมื่อขึ้นมาถึงดาดฟ้า คนที่ผมตามหา เธออยู่บนนี้ แต่เธอแปลกออกไป ตรงที่ปลายนิ้วทุกนิ้วจะมีด้ายแดงพันไว้อยู่ และตรงหน้าของเธอคือปีศาจลักษณะคล้ายแมลง ตาเธอโตเมื่อเห็นผม

“นายขึ้นมาทำอะไรบนนี้หนีไปซะ”ริมิตะโกนให้ผมหนี แต่ผมไม่หนีไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เจ้าปีศาจมันใช้ขาพลุ่งมายังร่างของผมที่ยืนนิ่ง ผมต้องหลบสิทำไมขามันก้าวไม่ออกเลย

“ฉึก อ๊าาาาาาาาาาาา” ริมิใช้ตัวเองเป็นเกาะกำบัง เธอช่วยผมไว้ ทำไมกันทั้งๆที่ผมด่าเธอขนาดนั้น เสียงของริมิที่กรีดร้องด้วยความเจ็บนี่อีกทำให้ผมโมโหและรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจได้ขนาดนี้เลยเหรอแถมน้ำใสๆที่เอ่อล้นเบ้าตานี่ล่ะผมรู้สึกยังไงกันแน่ เน็กวิ่งขึ้นมาพร้อมลูกน้องอีกสิบห้าคน

“นั่นมันตัวอะไร”เน็กถามผม แต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะตอบ ที่รู้ก็คือบรรดาลูกน้องของเน็กต่างวิ่งหนีตายกันไปหมดแล้ว

ตายแน่ ตายแน่ ข้างหลังก็ไอ้เน็กนักเลงหัวไม้ประจำโรเรียน ข้างหน้าเป็นปีศาจที่เพิ่งฆ่าเพื่อนผมตายไปหมาดๆ(ไม่เชิงว่าเป็นเพื่อน) เธอเป็นเพื่อนหญิงคนแรกของผม ปีศาจมันพลุ่งขามาทางนี้แล้ว หลบไม่ทันแน่ ผมหลับตาปี๋ กึก ไม่เห็นเจ็บเลย ผมน่าจะโดนมันเสียบแล้วนี่นา ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมทำให้ผมต้องถอยกรูด

ขาแหลมเล็กของไอ้ปีศาจอยู่ห่างจากผมแค่สองมิน รอบๆตัวผมไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว มันเกิดอะไรขึ้น

“อยากช่วยริมิมั้ยหนุ่มน้อย” เสียงไม่ทุ้มเกินไม่สูงเกินดังมาจากข้างหลัง ผมจึงหันไปมอง เห็นร่างของปีศาจตัวเล็กๆสีดำ ลักษณะคล้ายแมวแต่หูยาว

“ก..แกเป็นปีศาจ”

“ไม่สุภาพเลยนะ ฉันชื่อปริทาด้า เป็นภูตที่สิงสถิตโรงเรียนนี้ต่างหาก อยากให้ช่วยไหม”

“แกจะช่วยอะไรฉันได้”

“ฉันช่วยนายได้และกันแต่ก่อนจะช่วย ฉันต้องถามก่อนว่า นายจะรับเรื่องทั้งหมดที่จะเกิดต่อจากนี้ได้ไหม”ผมพยักหน้า

“แม้ว่าเรื่องที่ได้รับจะต้องวนเวียนตามหลอกหลอนนายไปตลอดน่ะเหรอ” ปีศาจตัวเล็กๆเอ่ยเสียงเรียบ อย่ามาทำเป็นห่วงหน่อยเลย

“บอกวิธีมาสักทีเถอะน่า” ตอนนี้ผมยอมได้ทุกอย่างไม่ว่าจะต้องเสียอะไรก็ตาม

“อธิฐานสิ” ริมิ ผมขอโทษ ผมมันโง่จริงๆ ที่เธอต้องการเป็นเพื่อนกับผมเพราะเธอเห็นว่าผมไม่เคยมีเพื่อนที่สามารถพึ่งพาได้สักคน ส่วนเพื่อนร่วมห้องก็แค่เพื่อนคุย เวลาผมมีปัญหาทีไรไม่เคยมีใครช่วยผมสักคนแต่เธอคนนี้ไม่เหมือนกัน ริมิไม่ลังเลที่จะช่วยผมแม้แต่นิดเดียว แล้วก็ตอนนั้นอีกที่เธอเอาจานข้าวมาโปะหัวผม แล้วเธอมาขอโทษ ริมิไม่ได้ตั้งใจเพราะตอนนั้นริมิอารมณ์ไม่ค่อยดี ผมมันซื่อบื้อที่สุด ดังนั้นฟื้นกลับมาริมิ ผมอยากเป็นเพื่อนกับริมิ

“โอ๊ยยย อ๊ากก” อยู่ดีๆก็เจ็บหน้าอก มันอะไรกัน ผมโดนไอ้ปีศาจร่ายมนต์ใส่รึเปล่าเนี่ย

“โอ๊ยยยยยย” เจ็บเป็นบ้าเลย แต่ถ้านี่สามารถช่วยริมิได้ล่ะก็ผมทนได้ แสงสีฟ้าส่องแสงมาจากตัวผมและก็มีแท่งอะไรสักอย่างยาวพอๆกับไม้บรรทัด โผล่ออกมาก่อนจะหายเข้าไปในตัวผมอีก ความเจ็บปวดหายไปแล้ว

“ตอนนี้นายเป็นโซลมิสเทสเหมือนริมิเรียบร้อย”เหมือนริมิหมายความว่าริมิก็เป็นแบบเดียวกับผมน่ะสิ

“แท่งเมื่อกี๊มันคืออะไร”

“มันคือโซลริมิท เป็นที่เก็บรวบรวมพลังวิญญาณซึ่งมีจำกัดใช้แล้วหมดแต่ก็เติมได้”

“เติมยังไง”

“พลังของนายมันทรงอนุภาพที่สุดดังนั้นใช้ระวังๆ หน่อย และก็นะหลังจากนี้สิ่งที่นายเห็นหรือสัมผัสจะต่างออกไปจากเดิมมากเพราะพลังของนายได้เปลี่ยนทุกอย่าง เรียบร้อยแล้วไปล่ะ” พูดจบเจ้าปีศาจก็หายไป ป่ะโถ่น่าจะบอกกันก่อน ริมิไม่เห็นฟื้นเลยนี่นามันหลอกผมรึเปล่า แต่เดี๋ยวนะตอนนี้ทุกอย่างยังถูกหยุดเวลาไว้อยู่เลยนี่นา ผมน่าจะมีพลังอะไรสักอย่างที่ทำให้เวลาเดินได้ ออกมาสิพลังของผม วิ้ง อยู่ดีๆนาฬิกาพกสีแดงสดก็มาปรากฏในมือผม ไอ้นาฬิกานี่จะช่วยได้เหรอ ผมเปิดมันข้างในไม่มีเข็มนาทีไม่มีเข็มชั่วโมง หรือว่าพลังของผมคือการย้อนเวลาและหยุดเวลาได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ต้องจัดการปีศาจก่อน เอาล่ะเจ้านาฬิกามีดีอะไรโชว์มาเลย วิ้ง นาฬิกาพกกลายเป็นปืนรีวอลเวอร์สีแดงสด ผมจัดการเล็งปืนไปที่มันทันที ยิงติดต่อกันหกนัดรวด ผมเปลี่ยนปืนกลับไปเป็นนาฬิกา

“เวลาจงเดิน” สิ้นเสียงของผมเวลาก็กลับมาเดินอีกครั้ง

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก” เจ้าปีศาจร้องอย่างทรมาน แค่นี้ยังไม่สาสมกับสิ่งที่แกทำกับริมิหรอก ร่างของมันค่อยๆสลายไป เป็นเหมือนเท่าธุรี

“สำเร็จ ฆ่ามันได้แล้ว” ผมเด้งตัวดีใจสุดขีด พลางหันไปมองดาร์กกับเน็ก พวกมันทำหน้าเหวอไปตามๆกัน

“หน้าผมมันมีอะไรติดรึไง”

“.....”ถามแล้วไม่ตอบไอ้พวกนี้นิ

“ซาโตริคุงกลายเป็นผู้หญิงนี่จ๊ะ พวกเน็กก็เลยตกกะใจ” เสียงนี้ริมิ เธอฟื้นแล้ว เธอไม่ตาย เย้ แต่เดี๋ยวนะเมื่อกี๊ริมิบอกว่าผมกลายเป็นผู้หญิงเหรอ บ้าไปแล้ว

“ขอกระจกหน่อย” ผมบอกริมิ

“นี่จ้ะกระจก” ริมิส่งกระจกพกพา ลายคิตตี้อันเล็กๆให้ผมมาส่องหน้า

“เฮ้ย ป...ป...เป็นอย่างนี้ได้ยังไง”สิ่งที่ผมเห็นในกระจกคือผู้หญิงในชุดนักเรียนชาย หน้าของผมที่กลายเป็นผู้หญิง ช่างสวยเหลือเกิน ผมยาวสีแดง นัยน์ตาสีทับทิม มีหน้าอกหน้าใจด้วย น้องชายผมหายไปแล้วรู้สึกโหวงเหวงอะ

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ริมิระเบิดเสียงหัวเราะ มีอะไรน่าขำหรอเธอ ผมเหล่มองไอ้เน็กมันหายไปแล้ว ส่วนดาร์กยังคงนั่งมึน “มันเป็นไปไม่ได้ฉันไม่เชื่อ” ดาร์กไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออะนะ

“ดาร์กครับเก็บไว้เป็นความลับระหว่างเราสามคนได้ไหม” ดาร์กพยักหน้า

“แล้วไอ้เน็กล่ะ” ดาร์กถาม

“ช่างมันเหอะ”

ผม ตามด้วย ริมิ และ ดาร์ก แวะเก็บสมุดหนังสือที่ห้องเรียนก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน ดาร์กกลับบ้านโดยพ่อมารับ ส่วนผมกับริมิโบกรถแท็กซี่กลับด้วยกัน ในเวลาต่อมาก็ถึงบ้านของริมิ แต่ก็ใกล้บ้านผมมากด้วยถัดไปสี่หลังเองบังเอิญจริงๆ

“ริมิพวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันแล้วนะ”

“จริงเหรอจ๊ะ” ริมิดีใจยิ้มหน้าบานเชียว

“ครับ พรุ่งนี้ไปรับผมที่บ้านด้วยนะ”

“จ้า ราตรีสวัสนะจ๊ะ”ริมิโบกมือให้ผมแล้วเดินเข้าบ้าน

“ราตรีสวัสครับ” ผมโบกมือตอบ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าบ้านของตัวเอง เอาไงดีผมจะเข้าบ้านไปด้วยสภาพนี้ได้ยังไง เวอร์ชั่นหญิงนี่นะ ถ้าแม่เห็นมีหวังหัวใจวายตายต้องเข้าทางหน้าต่างห้องนอนดีกว่ามั้ง แกร๊ก แอ๊ด เสียงประตูที่ไม่รู้ว่าได้เคยหยอดน้ำมันบ้างหรือป่าว เปิดออก แย่แล้ว ผมจะซ่อนตรงไหนดี

“นั่นใครน่ะ” แม่มาเองเยยเหยอ ฮือ ตายแน่ แม่ผมหัวใจวายตายแน่(แช่งแม่ตัวเองอีก) น่าจะปีนเข้าทางหลังบ้านตั้งแต่แรก เอาวะเป็นไงเป็นกันถ้าอธิบายแม่ต้องเข้าใจชัวร์ สู้เว้ย




บทที่ 2 ความเศร้าของสาวสวย

“ผมเอง ซาโตริลูกแม่ไง” ซาโตริตอบพลางยืนหลบในมุมมืด

“ไปทำลับๆล่อๆอะไรตรงนั้นล่ะลูก เข้ามาในบ้านสิ” แม่ของซาโตริถามอย่างห่วงใย

“แม่อย่าตกใจนะถ้าเห็นผม เปลี่ยนไป”

“แม่จะกลัวลูกตัวเองทำไม รีบเข้าบ้านสักทีเถอะข้างนอกนี่มันหนาว”

ซาโตริเดินออกจากมุมมืดแล้วไปหาแม่อย่างกล้าๆกลัวๆ เขายืนอยู่ตรง

หน้าแม่ แต่แม่ของเขาไม่ตกใจแม้แต่นิดเดียวเมื่อได้เห็นเขา

“ทำไมใส่ชุดนักเรียนชาย”แม่ซาโตริถาม

“ก็ผมเป็นนักเรียนชายนี่ฮะ”

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ” ผู้เป็นมารดาระเบิดเสียงหัวเราะ สร้างความฉงนแก่ซา

โตริมิใช่น้อย

“ลูกขึ้นไปนอนเถอะแม่มีงานต้องทำอีกเยอะ” แม่บอกซาโตริอย่างอารมณ์

ดีพลางดึงลูกเข้ามา พวกคนใช้ไม่มีใครตกใจหรือแม้แต่ถามซาโตริว่า

ทำไมกลายเป็นผู้หญิงอย่างกับว่าเขาเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เกิดแล้ว

แสดงว่าจะต้องมีอะไรเปลี่ยนอีกแน่ๆ แต่จะเป็นอะไรเท่านั้นเองที่เปลี่ยน

ซาโตริเข้ามาในห้องปุ๊บ

“เป็นไปได้ยังไงนี่มันเหลือเชื่อมากๆเลย” ซาโตริไม่อยากเชื่อในสิ่งที่

ได้เห็น แต่ห้องของเขาที่เคยเต็มไปด้วยโปสเตอร์การ์ตูนบัดนี้กลับมีแต่

ตุ๊กตาทั้งเล็กใหญ่อยู่บนหัวเตียง ห้องที่เป็นสีฟ้าถูกเปลี่ยนเป็นสีชมพูน่า

รัก ซาโตริสอดส่องสำรวจห้องตัวเองแบบทุกซอกทุกมุม พบว่าหนังสือ

การ์ตูนของเขาหายไป(รวมหนังสือโป๊ด้วย) เสื้อผ้าก็เป็นของผู้หญิงหมด

ไม่มีเสื้อผ้าของผู้ชายเลยแม้แต่นิดเดียวอย่างกับว่าซาโตริในร่างผู้ชาย

ไม่เคยมีตัวตน

แสดงอาทิตย์ส่องแสงยามเช้าแยงตาของหญิงสาวนัยน์ตาสีทับทิม และ

ยังมีอีกร่างนึงที่นั่งคร่อมเขาอยู่ไม่รู้ว่าเข้ามาเมื่อไหร่

“ซาโตริจ๋า สวัสดียามเช้าจ้า” เช้าวันใหม่มาถึงพร้อมกับร่างบางของริ

มิ นั่งคร่อมซาโตริที่นอนอยู่บนเตียง

“........” ซาโตริลืมตาอย่างสลืมสลือก่อนจะตาโตเท่าไข่ห่านและผลัก

ริมิออกไปจากตัว

“ริมิเข้ามาในห้องของผมได้ยังไง” ซาโตริดึงผ้านวมมาคลุมตัวเอง

พร้อมกับหน้าแดงบางๆ ก็เขาโป๊นิ

“ไม่เห็นจะยากเลยแค่บอกว่าเป็นเพื่อนกับซาโตริเท่านั้นเอง คุณป้าก็กุ

รีกุจอพาริมิมาห้องของซาริ”

“ออกไปก่อนได้ไหม แล้วอย่าเรียกผมว่าซาริจังด้วยผมอาย” ไม่พูด

เปล่าหน้าเขายังคงแดงอยู่อย่างนั้น

“ผู้หญิงเหมือนกันจะอายอะไรอีกล่ะ” พูดจบ ริมิกระชากผ้าห่มของซา

โตริออก เผยให้เห็นร่างของผู้หญิงที่หุ่นดีเอามากๆ แต่โป๊นะ ซาโตริใช้

มือข้างซ้ายปิดหน้าอก ส่วนข้างที่เหลือปิดท่อนร่าง

“รีบไปอาบน้ำได้แล้ว ออกมาเดี๋ยวริมิจะช่วยแต่งตัวให้” ริมิมองแบบ

โหดๆแต่น่ารักด้วยเช่นกัน ซาโตริรีบตรงเข้าห้องน้ำทันที ผ่านไปสิบห้า

นาที ซาโตริก็โผล่หัวออกมา พร้อมผ้าเช็ดตัวสีชมพูลายหมีแพนด้า(น่า

รักอ่ะ) ริมิไม่รอช้าจัดการแต่งตัวซาโตริด้วยชุดนักเรียนหญิงตาม สไตล์

ของตนเอง จะต่างกันก็ตรงทรงผมกับถุงเท้ายาวที่ใส่ขึ้นมาถึงโคนขาของ

ซาโตริ

เมื่อจัดแต่งทรงผมแต่งตัวเรียบร้อยสองสาวก็อยู่ระหว่างเดินทางไปโรง

เรียนสปิริตไฮส์ ซาโตริพึ่งรู้วันนี้เองว่ากระโปรงมันใส่แล้วหวิวๆและเย็น

ขาเอามากๆเหมือนกระโปรงมันจะเปิดทุกครั้งที่โดนลมพัดมาอย่างนั้น

แหละ

“ริมิเคยเป็นผู้ชาย หรือว่าเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่แรกแล้ว” ซาโตริสงสัย

กลัวว่าริมิจะเคยเป็นผู้ชายแบบเขา

“จ้ะริมิเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่แรกแล้ว” ‘ฟู่ ค่อยโล่งอก’

“ริมิขอพรอะไร จากปริทาด้า”

“ริมิขอให้เนื้อคู่ของริมิมาปกป้องริมิ” ซาโตริมองริมิอย่างฉงน

“เพราะอะไร”

“ก็ริมิโดนแกล้งนี่นา ดังนั้นริมิเลยอยากได้ใครสักคนมาคอยปกป้องริมิ

เสมอ คนที่สามารถช่วยริมิได้ตลอดเวลา และตอนนั้นริมิก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมา

ทันที ว่าคนที่เป็นเนื้อคู่ของริมิไงที่จะปกป้องริมิได้ทุกเวลา”

“ริมิโชคร้ายจังที่ได้ผมเป็นเนื้อคู่” ริมิตีแขนซาโตริเบาๆก่อนจะเอามือจุ๊

ปาก

“ไม่ได้นะ ซาริจะแทนตัวเองว่าผมไม่ได้แล้วนะ และก็เรื่องเนื้อคู่ไม่ใช่

โชคร้ายหรอกแต่เป็นพรหมลิขิตต่างหากริมิเชื่ออย่างนั้นจ้ะ” ซาโตริพยัก

หน้า ก่อนจะถามต่อ

“แท่งโซลิมิท เติมยังไง” นี่เป็นข้อสงสัยที่ซาโตริต้องการคำตอบมาก

ที่สุดในตอนนี้ ริ

“ไม่รู้สิ แต่พอสู้กับปีศาจเสร็จ กว่าแท่งโซลลิมิทจะเต็มก็ใช้เวลาสอง

ชั่งโมงจ้ะ”

“ฉันจะกลับเป็นผู้ชายได้รึเปล่า” นี่ก็อีกคำถามนึงที่ซาโตริต้องการคำ

ตอบเพราะเขาอยากกลับเป็นผู้ชายจนตัวสั่น ริมิทำท่าครุ่นคิด ใช้เวลาคิด

อยู่นานแต่คำตอบที่ซาโตริได้รับทำให้เขาอยากจะตบกบาลแม่เนื้อคู่

จริงๆ

“ไม่รู้จ้ะ” ซาโตริผิดหวังไปชั่วขณะก่อนจะมีอารมณ์อื่นเข้ามาแทนที่

เพราะเหตุการณ์ที่หน้าประตูโรงเรียน

“นากาเนะ นากาเนะ” เสียงนักเรียนชายร่วมร้อยที่หน้าประตูโรงเรียน

ต่างตะโกนเรียกชื่อนากาเนะ อย่างพร้อมเพียง สร้างความหมั่นไส้แก่ซา

โตริมิใช่น้อยน่าสั่งไล่ออกให้หมด(แค่ประธานนะซาโตริ) ซาโตริแหวก

พวกนักเรียนชายซึ่งตัวโตกว่าเธอเข้าไป กว่าจะเข้ามาได้ก็แทบแย่ คน

ตรงหน้าคือผู้หญิงในชุดนักเรียน ม.ปลายของโรงเรียนสปิริตไฮส์ เธอมี

ความสวยที่เรียกได้ว่าดุจเทพธิดาบวกดวงตาสีแดงทับ ผมทรงแกละ

สีชมพู ดูงดงามจริงๆ

“นั่นใคร”ซาโตริหันไปถามชายข้างๆ

“ประธานไม่รู้จักเหรอครับ” ซาโตริส่ายหน้า ขวับๆ

“นั่นคือ คุณนากาเนะ ที่เป็นนักร้องนำของวง Heaven cry (เสียง

เพรียกจากสวรรค์) นะครับเห็นว่าเมื่อหนึ่งสองอาทิตย์ก่อนยังขี้เหร่อยู่เลย

แต่ไม่รู้ทำอีท่าไหนอยู่ดีๆเธอก็สวยขึ้นมาเฉยๆ แถมเธอจะย้ายมาเรียนที่

โรงเรียนเราด้วยนะครับ”

อยู่ดีๆก็สวยสงสัยเดินผ่านยันฮีแน่ๆ และอีกอย่างมันไร้สาระสิ้นดี นักร้อง

อะไรกันก็แค่พวกที่เปล่งเสียงเป็นจังหวะและทำนองได้ไพเราะเท่านั้น

เองไม่ใช่รึไงผมร้องดีกว่าตั้งเยอะ(อิจฉาเขาล่ะสิซาโตริ) ถ้ามีพวกนี้ใน

โรงเรียนวันๆไม่ต้องทำอะไรกันพอดีคงเดินขอลายเซ็นกันเป็นว่าเล่นแน่

เห็นทีต้องออกกฎไม่ให้เล่นดนตรีและห้ามขอลายเซ็นในโรงเรียนแล้วมั้

งอย่างนี้
“นากาเนะมีแฟนรึยังครับ” ผู้ชายร่างกายบึกบึนเท่ากอลินล่าตะโกน

ถามนากาเนะอย่างบ้าคลั่ง นักร้องสาวเม้มปากอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะไล่

สายตามองหาอะไรสักอย่างแล้วสายตาคู่นั้นก็มาหยุดอยู่ที่ซาโตริกับริมิ

เธอปรี่เข้าหาสองสาวทันที “ช่วยฉันหน่อยนะ” นากาเนะกระซิบข้างๆหู

ซาโตริ

“คนนี้คือแฟนของฉันเองค่ะ” นากาเนะจับมือของซาโตริแล้วชูขึ้น คำ

ตอบของนากาเนะทำให้แฟนคลับต่างหน้าเหวอไปตามๆกัน ก่อนจะมี

กลั้วเสียงหัวเราะตามมา

“คุณนากาเนะล้อเล่นใช่ไหมครับ”

“ฉันพูดจริงค่ะ”สายตาของสาวเจ้าบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าไม่ได้ล้อ

เล่น และในเวลาเดียวกันก็มีสายตาอาฆาตแค้นส่งไปให้ซาโตริไม่ใช่น้อย

“เฮ้ย อะไรของเธอฮะ จู่ๆทำไมถึงพูดอย่างนั้นออกไป” ซาโตริถามนา

กาเนะอย่างฉุนเฉียวพลางจ้องเขม็ง ตอนนี้ทั้งสามคนอยู่ในห้องประธาน

นักเรียนหญิงซึ่งก่อนหน้านี้กว่าจะฝ่าวงล้อมของนักเรียนชายมาได้ก็แทบ

แย่ ซาโตริซึ่งเป็นประธานนั่งอยู่บนเก้าอี้ส่วนริมิที่เป็นรองประธานยืนอยู่

ข้างๆ ตรงหน้าของทั้งสองคนคือนักร้องสาวที่พึ่งโกหกหน้าด้านมา

หมาดๆ
“อย่าใจจืดใจดำนักสิ ลูกผู้หญิงเหมือนกันก็ต้องช่วยกันใช่ไหมล่ะ” คำ

พูดยียวนของนากาเนะ วอนโดนฝ่ามือของซาโตริแต่ดีนะที่ริมิมารั้งเอาไว้

ทัน

“และอีกอย่างเธอน่าจะรู้จักฉันเหมือนกันใช่ไหม คนอย่างฉันโดนนัก

ข่าวตามถามด้วยคำถามเดิมอยู่ร่ำไปจนเบื่อแล้ว”
“ไม่ ฉันไม่รู้จักเธอ แต่การที่เธอโกหกมันไม่ดี” หน้านากาเนะเหวอ

สุดขีด มีคนที่ไม่รู้จักเธอด้วยรึเป็นไปไม่ได้แน่ๆ “ฉันริขุคาวะ นากาเนะ ทีนี้

พวกเธอก็รู้จักฉันแล้วนะ แล้วพวกเธอชื่ออะไร” นากาเนะแนะนำตัวเอง

ก่อนจะถามซาโตริ

“ฉันยามาชิตะ ซาโตริ ส่วนคนนี้” เอ่ยพลางผายมือไปยังริมิ

“ยุสึกิ ริมิจ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“แล้วเรื่องห้องเรียน....” ซาโตริพูดยังไม่ทันจบดีนากาเนะก็พูดสวน

กลับมาก่อน


“ฉันเอาห้องเดียวกับเธอ ใครๆจะได้ไม่สงสัยว่าฉันเป็นแฟนกับเธอจริง

หรือเปล่า” ซาโตริไม่อยากให้ยัยนี่อยู่ด้วยจริงๆ ถ้าทำได้อยากถีบส่งนา

กาเนะออกนอกโรงเรียนซะ แต่ขืนทำอย่างนั้นมีหวังโดนรุมตบจากแฟน

คลับของนากาเนะเป็นแน่

“ก็ได้ แต่จากประวัตินี่เธอย้ายโรงเรียนมานี่นาแถมไม่บอกอีกว่าทำไม

พอจะบอกได้ไหม”

“บ..บอกไม่ได้” นากาเนะกระอักกระอ่วนใจในการตอบ

“ช่างเหอะ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ไปห้องเรียนกันเถอะนี่มันจะสาย

แล้ว”สามสาวเดินไปห้องเรียนประจำอย่างเนิบๆ ซาโตริกับริมิหยอกกันไป

ตลอดทาง มีเพียงนากาเนะที่เดินตีหน้าเศร้า ท่าทีของเธอไม่พ้นสายตา

ของพระ(นาง)เอกของเราไปได้หรอก เขามองนากาเนะตลอดตั้งแต่ห้อง

ประธานนักเรียนแล้ว

คิดแล้วเชียวว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีอะไรบางอย่างปิดบังเป็นแน่ ต้องรู้ให้ได้

ว่ามันคือเรื่องอะไร และทำไม่ถึงเล่าไม่ได้มันลำบากใจขนาดนั้นเชียว

หรือ

“นักเรียนไปกินข้าวกันได้แล้วค่ะ” สิ้นเสียงอาจารย์เหล่านักเรียน

สามสิบกว่าคนต่างวิ่งออกจากห้องอย่างเร่งรีบ ซาโตริ ริมิ และดาร์ก ด้วย

เช่นกัน เนื่องจากขืนไปโรงอาหารช้าอาจต้องเข้าแถวต่อคิวซื้อข้าวมหา

โหด ดังนั้นสองสาวจึงวิ่งไปโรงอาหารอย่างรวดเร็ว แต่โชคชะตาก็ช่าง

เข้าใจเล่นตลกจริงๆ

“คนเยอะเป็นบ้า ทำไมพระเจ้าใจร้ายขนาดนี้ ข้าวเช้าผมเอ๊ยฉันก็ยังไม่

ได้กินอุดส่าวิ่งลงมาแทบตายแต่ต้องมาสิ้นใจตายเพราะแถวคนซื้อข้าวที่

ยาวจนน่าตกใจ” ซาโตริ มองแถวเข้าคิวซื้อข้าวที่ยาวเหยียดจนสามารถ

นอนรอได้ แล้วตัดเพ้อต่อชะตากรรมของตัวเอง

“แย่จัง อย่างนี้พวกเราต้องนั่งรออีกนานเลย วันนี้คงไม่ได้กินข้าวแล้วล่ะ

จ้ะ” ริมิก็ปลงไม่แพ้กัน
“ว่าแต่วันนี้ยังไม่เห็นเน็กเลยนะ ไปสูบบุหรี่ที่ไหนล่ะนั่น” ซาโตริตั้ง

คำถามได้ถูกประเด็นมากเพราะริมิก็คิดจะถามซาโตริเรื่องนี้เหมือนกัน
“ถามริมิ แล้วริมิจะหาคำตอบจากไหนล่ะจ๊ะ”แต่ริมิตอบได้กวนมาก ดี

นะที่ชั่วโมงนี้ซาโตริไม่มีอารมณ์จะโกรธ เพราะเขาหิวจนตาลาย

“มันลาออกไปแล้ว” ดาร์กพูดขึ้นมาแก้ข้อข้องใจของซาโตริได้มากทีเดียว
“ได้ไงฉันไม่เห็นรู้เรื่อง”

“ก็หลังจากเหตุการณ์ที่นายเปลี่ยนเป็นผู้หญิงไอ้เน็กก็ถูกสั่งออกทันที

เมื่อเช้าฉันยังเห็นมันเดินคอตกออกนอกโรงเรียนอยู่เลย”

“ช่างเหอะไอ้เน็กมันออกไปได้ก็ดีแล้วโรงเรียนนี้จะได้มีแต่คนดีๆ อีก

อย่างฉันหิวข้าวจะแย่อยู่แล้วอ่ะ”


“ท่าทางพวกเธอจะยังไม่ได้ซื้อข้าวนะ” นากาเนะผ่านมาได้ยินพอดี

และในมือถือจานข้าว เหมือนโดนเยาะเลย


“มันเกี่ยวอะไรกับเธอ” ซาโตริเริ่มโมโหหิว

“เปล่า ฉันแค่คิดว่าจะช่วยซื้อข้าวให้เธอดีมั้ย”

“ขอบใจ แต่ฉันไม่อยากเป็นหนี้บุณคุณใคร” ตอบเช่นนั้นแต่ท้องของ

เขากลับประท้วง โครกคราก นากาเนะนึกหมั่นไส้จึงปาจานข้าวใส่ซาโตริ

หมายจะให้โดนหน้า แต่ซาโตริหลบได้อย่างฉิวเฉียด ความซวยตกเป็น

ของริมิที่ยืนอยู่เฉยๆแทน

“เฮือก” นากาเนะตกใจใน ยิ้มหวาน(แบบสุดจะบรรยาย) ของริมิช่างน่า

กลัวยิ่งนัก ริมิคว้าจานข้าวของใครก็ไม่รู้(เป็นของนักเรียนแถวนั้น)มาปาใส่

นากาเนะดาร์กห้ามไม่ทัน จานข้าวใบนั้นโดนหน้านักร้องสาวเต็มๆ

“เธอเป็นใครมาทำร้ายคุณนากาเนะของพวกเรา คนที่กล้าทำร้ายคุณ

นากาเนะของพวกเรา ต้องโดนกลับไปหลายเท่าตัว” กลุ่มนักเรียนชายที่

เห็นเหตุการณ์ลุกพรวดจากที่นั่งแล้วหนึ่งในนั้นกล่าวเป็นเดือดเป็นดาล

แทนนากาเนะ

“นากาเนะของพวกนายต่างหากที่ทำร้ายท่านประธาน” หนึ่งในกลุ่ม

นักเรียนหญิงที่เกลียดนากาเนะเถียงแทนซาโตริ นักเรียนชายหน้าเสียไป

นิดก่อนจะพูดต่อ

“เหอะ เธอเป็นพวกเลสเบี้ยนล่ะสิท่า” นักเรียนหญิงคนดังกล่าว ตา

เขียวปั๊ด

“ฉันเป็นเลสเบี้ยนแล้วไง มันหนักหัวใคร พวกนายต่างหากตัวโตซะ


เปล่า ตามติดผู้หญิงคนนั้นแจเหมือนเป็นคนรับใช้ ไอ้พวกสุนัขรับใช้ ฉัน

เห็นแล้วอายแทนจริงๆ นากาเนะแกก็เหมือนกัน โปรยเสนห์ใส่ผู้ชายเขา

ไปทั่วแม้แต่แฟนของฉัน แค่แกเดินผ่านเขาก็บอกเลิกทันที” นักเรียนหญิง

ใส่เป็นชุด

“เอ่อ....” นากาเนะทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ทัน แม่สาวนักเรียน

ปากตลาดก็ส่งคำด่าระรอกสองมา

“ไม่ใช่แค่แฟนของฉันเท่านั้นหรอกที่หลงแกหัวปักหัวปำ แฟนของ

เพื่อนฉันก็ต่างบอกเลิกเร็วปานสายฟ้าแลบแล้วไปคอยรับใช้แกซะหมด

ไปตายซะ อีชั่ว อีเลว” ชุดคำด่าระรอกสองมีทั้งคำด่ากับสายตาอาฆาต

แค้นส่งไปยังนากาเนะ แต่เธอกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิดเดียวอย่าง

กับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนแบบนี้


“ก่อนจะว่านากาเนะของพวกฉัน ลองถามประธานของพวกเธอก่อน

เถอะว่า มาคบกับคุณนากาเนะทำไม” งานเข้าแล้ว งานเข้าแล้ว ซาโตริ

รู้ตัวในทันทีว่างานเข้าแล้ว นักเรียนหญิงต่างมองมาที่เขาด้วยสายตาคาดคั้น


“ไม่ใช่แฟนหรอกค่ะ” นากาเนะตอบแทน ก่อนจะแอบตีหน้าเศร้า‘อีก

แล้วสินะ ฉันต้องย้ายโรงเรียนอีกแล้ว ไม่อยากย้ายเลย อุดส่าได้เพื่อน

แล้วแท้ๆ ไม่สิ ริมิกับซาโตริไม่ใช่เพื่อนซะหน่อยก็แค่คนที่กำลังจะเกลียด

ฉันในอีกไม่ช้า ฮ่าๆๆๆๆๆ แต่อย่างน้อยที่นี่ก็คงไม่มีเรื่องร้ายแรงเหมือนที่

อื่นหรอก ไม่สิอาจจะรุนแรงกว่าที่อื่นก็ได้’ นากาเนะนึกถึงอดีตอันเจ็บปวด

อดีตที่เธอเฝ้าลืมมันทุกคืนก่อนนอน มันคอยตามหลอกหลอนเธอเสมอ

ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตาม ในดวงตาคู่นั้นฉายแววความออกมาอย่าง

ชัดเจนไม่มีใครเห็นนอกจากซาโตริที่คอยสังเกตท่าทีของนากาเนะตลอด

เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมนากาเนะถึงได้มีสายตาแบบนั้น

เผละ จานข้าวลอยมาโปะอยู่บนหัวนักเรียนหญิงที่ด่านากาเนะ หลังจาก

นั้นจานข้าวก็บินว่อนทั่วโรงอาหาร เป็นสงครามจานข้าวระหว่างฝั่งของ

นักเรียนชายที่คลั่งในตัวนากาเนะ กับฝั่งของนักเรียนหญิงที่ศรัทธาในตัว

ซาโตริ ซาโตริกับริมิต่างหลบจานข้าวกันอลหม่านพลางเขยิบไปใกล้นา

กาเนะเรื่อยๆ นักร้องสาวเห็นซาโตริเดินเข้ามาใกล้พลางหลบหมัดของ

นักเรียนชายอย่างคล่องแคล่วไม่มีใครต่อยโดนเธอสักคนอย่างกับว่าซา

โตริรู้ว่าหมัดเหล่านั้นมันจะมาจากทางไหนบ้าง ซาโตริมาถึงตัวนากาเนะ

ได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะยื่นมือมาจับแขนนากาเนะ หลับตาปี๋ตัวเธอตัว

สั่นพลางคิดไปต่างๆนาๆ


“ตามฉันมา” ว่าแล้วก็ฉุดกระชากลากนากาเนะ ถึงเธอจะขัดขืนบ้างแต่


ซาโตริของเราก็ใช้แรงทั้งหมดที่มี พาเธอออกจากเหตุการณ์สุดน่าปวด

หัวนี่ได้สำเร็จ ก่อนจะมุ่งหน้าไปห้องของประธานนักเรียน ซาโตริจัดการ

ล็อคห้องเรียบร้อย นากาเนะคิดว่าจะโดนซาโตริกับริมิตบ แต่ที่ไหนได้

กลายเป็นว่าสามสาวมานั่งจับเข่าคุยกันซะอย่างนั้น

“เธอพาฉันมาที่นี่ทำไม หรือว่าจะตบฉันแล้วฆ่าฉันหมกห้องนี้ไม่เอานะ”

มองโลกในแง่ร้ายไปแล้วนากาเนะ

“ถ้าฉันจะตบเธอหรือฆ่าเธอ ก็ทำไปตั้งแต่อยู่โรงอาหารแล้ว ว่าแต่

ทำไมต้องทำหน้าเศร้าอย่างนั้นด้วย เล่าให้พวกฉันฟังได้ไหม” ซาโตริ

ตอบแล้วถามปัญหาที่ตะขิดตะขวงใจทันที

“ใช่แล้วล่ะ ริมิกำลังจะถามพอดี ซาริจังนิสัยไม่ดีแย่งคำถามของริมิ

ทำไม” ริมิมองซาโตริงอนๆก่อนจะมองนากาเนะด้วยสายตาใคร่รู้

‘ฉันจะไว้ใจสามารถเล่าเรื่องของฉันกับซาโตริและริมิได้ไหมนะ หากสอง

คนนี้รู้แล้วจะเป็นเพื่อนกับฉันรึเปล่า ไม่แน่หรอกบางที... ฉันอาจจะไว้ใจ

สองคนนี้ได้ ไม่สิต้องไว้ใจได้แน่ๆก็ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกนี่นาที่มีผู้หญิง

ไม่เกลียดฉันไม่คิดจะฆ่าฉัน แต่ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดี’

“.........” เงียบ

“นากาเนะ เธอคิดว่าฉันกับริมิเป็นเพื่อนเธอรึเปล่า” ซาโตริถาม นากาเนะ

พยักหน้าหงึกหงัก

“งั้นเธอก็เล่าให้พวกฉันฟังสิ” ซาโตริอยากให้นากาเนะเห็นว่าเขาจริงใจ
แค่ไหน จึงมองเข้าไปยังนัยน์ตาของนักร้องสาว มันได้ผลท่าทีของนา

กาเนะเปลี่ยนไปน้ำใสๆเอ่อล้นสองเบ้าตาพร้อมกับเรื่องราวมากมายที่

ออกจากปากเธอไม่หยุด เล่าไปน้ำตาก็ไหลไป ซาโตริและริมิต่างนั่งนิ่ง

ฟังชะตาชีวิตอันอาภัพของสาวตรงหน้า


เรื่องมันมีอยู่ว่า......


เมื่อหนึ่งเดือนก่อน

ก่อนวันงานโรงเรียนหนึ่งวัน ในเวลาเย็นนักเรียนต่างยุ่งอยู่กับการจัด

สถานที่หรืออุปกรณ์ต่างๆเพราะอยากให้งานของตัวเองออกมาดี แต่ยังมี

นักเรียนอยู่คนหนึ่ง รูปร่างลักษณะของเธอๆไม่ใช่คนที่สวยนักตัวดำ ผิว

แตกกร้าน ฟันเหยิน ดั้งหัก ตาโปน จะกล่าวว่าเป็นสาวอัปลักษณ์ก็ไม่

ปาน มีเพียงน้ำเสียงเท่าน้ำที่ฟังแล้วไพเราะเสนาะหู




“โอยเมื่อไหร่เท็นจะมาสักทีนะรอจนเบื่อแล้ว” หญิงสาวพูดอย่างเซ็งๆ

คงจะรอนานมากแล้วแน่ๆ

“จะรอทำไมยะ อย่างเท็นคงไม่มาตามที่เธอขอหรอก”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิจีจี้ ฉันกับเท็นเป็นเพื่อนกันนะ” สาวอัปลักษณ์เอ่ย จี

จี้เบ้ปากอย่างหน่ายเพื่ยน

“แค่เขาขอลอกการบ้านเธอไม่ได้หมายว่าเธอจะได้เป็นเพื่อนเท็นสัก

หน่อยนะ นากาเนะ” นากาเนะมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาของเธอ

ไปหยุดอยู่ที่เท็นเขากำลังวิ่งเข้าตึกเรียนด้วยหน้าร้อนรน

“นั่นไงเขามาแล้ว” นากาเนะเด้งตัวดีใจข้างๆเพื่อนสาว

“เหรอ ฉันไปล่ะ ต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบ” ว่าแล้วก็หยิบ

กระเป๋าเดินดุ่ยๆออกจากห้องไปทันที

“อะไรกัน กว่าจะสอบก็อีกตั้งสองอาทิตย์นี่นา” นากาเนะพึมพำ

“รอนานมั้ย” เท็นเดินเข้ามาพอดีเป็นจังหวะเดียวกับที่จีจี้เดินออกไปได้

สักห้าวินาที

“ฉันพึ่งมาเหมือนกัน”

“ดีจัง ว่าแต่เธอเรียกฉันมาทำไม” เท็นเดินเข้าใกล้พลางปาดเหงื่อ

บริเวณหน้าผาก ชายตรงหน้าสูงกว่าตัวเธอมาก หากไม่เงยหน้าคงเห็น

แต่หน้าอกของเท็น แถมความหล่อเหลือร้ายนั่นอีกยิ่งดูเซ็กซี่เมื่อมีเหลื่อ

ใหลหน่อยๆ เขามีแฟนคลับมากมายนากาเนะก็เป็นหนึ่งในนั้นเธอชอบเท็

นมานานแล้ว ไม่มีโอกาสได้บอกชอบสักที จนกระทั่งอีกสองอาทิตย์ข้าง

หน้าเป็นวันที่เธอจะย้ายไปโรงเรียนสปิริตไฮส์ และนี่เป็นโอกาสของที่เธอ

จะต้องบอกเท็นสักทีก่อนจะไม่มีโอกาสได้พูดความในใจของตัวเอง


“เอ่อ....ค..ค..ค..คือ...ฉ..ฉัน...ช..” นากาเนะพูดตะกุกตะกัก แก้มแดง

ระเรื่อ

“หือ อะไรนะไม่ได้ยิน” เท็นเอียงคอเข้าไปใกล้สาวอัปลักษณ์เขา

รังเกียจเธออยู่ไม่น้อย แต่ขืนไม่ทำดีด้วยมีหวังอดลอกการบ้านเป็นแน่

เท็นแค่กีฬาดี การเรียนแย่

“ฉันชอบ เท็นมานานแล้ว คบกับฉันได้มั้ย!!!”นากาเนะโพล่งออกมา

เท็นเด้งตัวถอยกรูดชิดประตู แสดงสีหน้า ท่าทีรังเกลียดอย่างเห็นได้ชัด

ถ้าทำได้เขาอยากจะเดินหนีไปจากตรงนี้แต่ทำไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากมี

แฟนขี้เหร่ด้วยเช่นกันดังนั้น....

“ขอบคุณในความรู้สึกของเธอ แต่ฉันมีแฟนอยู่แล้ว” นากาเนะเศร้าขึ้น

มาในทันที พยายามกลั้นเขื่อนน้ำตาไม่ให้แตก ก่อนจะถามเสียงสั่น


“ใครเป็นแฟนเท็นเหรอ บอกฉันได้ไหม” เท็นทำหน้าลำบากใจ ใน

ตอนนั้นเอง ร่างบางเดินเข้ามาพอดี

“คนนี้เป็นแฟนฉันเอง” เท็นคว้าผู้หญิงคนนั้นมากอดพลางหอมแก้มดัง
ฟอด คนตรงหน้า

“ไม่จริง ไม่จริงต้องไม่ใช่เธอ!!!” นากาเนะ ตะโกน เขื่อนน้ำตาที่

พยายามกลั้นไว้ก็แตกลงอย่างง่ายดาย เธอกำลังหลอกตัวเอง ทั้งๆที่ผู้

หญิงตรงหน้าคือคนที่รู้จักเป็นอย่างดี ผู้หญิงที่โดนกอดไม่ขัดขืนหรือ

แม้แต่จะแสดงอาการใดๆ


“มันคือความจริงผู้หญิงคนนี้คือแฟนฉันเธอชื่อ....” เท็นกล่าวแค่นั้น เพราะ

ไม่รู้ชื่อเขาจึงกระซิบถาม

“เธอชื่อจีจี้” มันคือสิ่งที่นากาเนะไม่รู้ จีจี้ก็ชอบเท็นไม่แพ้นากาเนะ เพื่อนสาวยิ้มเยาะเธอ

“แต่...”

“เธอคิดว่าเท็นชอบเธอรึไง ยัยอัปลักษณ์” แปล๊บ มันแล่นเข้ามาในใจ

เธอทันทีความรู้สึกนี้ โดนด่าคำนี้มาก็มากแต่ทำไมมันเจ็บ เมื่อคำนั้นมา

จากเพื่อนสนิท นากาเนะรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงตัดสินใจวิ่งออกมา

สองมือเช็ดน้ำตาไปพลางวิ่งไปพลาง

ไม่จริงก็เขามักคุยกับฉันเสมอ มาลอกการบ้านของฉันเสมอ หรือว่าที่เท็น

เข้ามาทำดีด้วยเขาต้องการหลอกใช้ฉันเท่านั้น ฉันคงโง่สินะที่ยอมให้

เขาหลอกมาโดยตลอด ฮึกฮือ ฮึกฮือ


“ลูกออกมาเถอะ เป็นอะไรบอกพ่อบอกแม่ได้นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว

มันไม่ดีนะจ๊ะ”

“ให้หนูได้อยู่คนเดียวเถอะค่ะ ฮึก ฮือออออออออออออออออออออออ” นากาเนะกลับมาถึงบ้านนั่งร้องไห้ในห้องนอนมาได้สองชั่วโมงกว่า

แล้วแต่น้ำตาของเธอยังคงไม่เหือดแห้ง ตลอดทางเธอร้องไห้ไม่หยุด

หากน้ำตาของเธอจะไหลเป็นเลือดได้คงไหลเป็นเลือดแล้วแน่

“ด..ได้จ้ะ” แม่ของเธอเดินปล่อยให้นากาเนะอยู่คนเดียวตามคำขอ

“ฮึก ฮือออออออออออออออออออออออ”

“อยากสวยขึ้นมั้ยล่ะ” เสียงไม่สูงเกินไปไม่ต่ำไปเดาไม่ออกว่าเป็น

ของผู้หญิงหรือของผู้ชาย ดังขึ้นจากมุมมืด

“เสียงใครน่ะ แกเป็นใคร ฮึก” เอ่ยอย่างกล้าๆกลัวๆ

“ปริทาด้านั่นคือชื่อของฉันและฉันทำให้สิ่งที่เธอปารถนา เป็นจริงได้นะ”

“พ..พูดจริงๆนะ”

“ฉันจะหลอกเธอทำไม อธิฐานสิ” ‘จะขออะไรดีนะ ขอให้จีจี้มันตายซะ

ไม่ได้สิจีจี้เพื่อนของเรานะ หรือขอให้เท็นมารักเราดี แต่อย่างนั้นมันดูไม่มี

เหตุมีผลเลยแถมเท็นจะอายที่มีแฟนขี้เหร่อย่างเราอีก อืม ถ้าอย่างนั้น...’

“ขอให้ฉันสวยที่สุด ใครมองก็หลงใครมองก็ชอบจนงัวหัวไม่ขึ้น” ด้วย

ความรู้สึกชั่ววูบทำให้เธอขอไปโดยไม่คิดให้ดีว่าสิ่งที่ขอจะเกิดผลร้าย

แรงขนาดไหน แสงสีเหลืองส่องแสงมาจากตัวนากาเนะ มันเจ็บปวดแต่

ความเจ็บนี้ไม่เท่ากับที่จีจี้ด่าเธอสักเท่าไหร่ เทียบกันแล้วมันธรรมดาไป

เลย สาวผมแกละค่อยๆเอนกายลงนอนบนเตียงหนานุ่มอย่างช้าๆ ก่อนจะ

หลับไป ในมือของเธอกำแท่งโซลิมิทเอาไว้ พรที่ขอเริ่มส่งผลร่างของ

หญิงสาวค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นคนละคนไม่เหลือเคร้าโครง

ของยัยอัปลักษณ์ นากาเนะ กลายเป็นคนใหม่ในที่สวยไฉไลกว่าเดิม

“มิสเทสอีกคนนึงถึอกำเนิดแล้ว” ปริทาด้าทิ้งท้ายไงแค่นั้น แล้วก็หาย

ไปอย่างเงียบๆ


ในเช้าถัดมา ที่โรงเรียนซึ่งเต็มไปด้วยบูธกิจกรรมต่างๆเพราะวันนี้เป็นวัน

งานโรงเรียน ร่างบางของหญิงสาวเดินเข้าโรงเรียนอย่างมาดมั่น

“นี่เธอผู้หญิงคนนั้นสวยเหมือนดาราเลยเนาะ” นักเรียนหญิงพูดกับ

เพื่อนนักเรียนหญิงด้วยกัน

“นั่นสินะ สวยจริงๆ” สาวที่ถูกกล่าวถึงยิ้มรับคำชมเหล่านั้นไม่หุบ จุด

หมายของเธอคือ ห้องเรียน ตลอดทางทั้งหญิงชายต่างต้องเหลียวมอง

เธออย่างแปลกใจตามด้วยคำถามว่า “ในโรงเรียนเรามีผู้หญิงคนนี้ด้วยเห

รอ ทำไมไม่เคยเห็น” หญิงสาวเดินมาถึงห้องเจอเท็นนั่งอยู่กับจีจี้

“เท็น...” เสียงใสเรียกเบาๆ

“ใครวะ.....” เท็นหันมาตามเสียงเรียกก็ต้องตะลึงในทันที เบื้องหน้าคือ

นากาเนะในเวอร์ชั่นใหม่ ผมแกละสีเหลืองออกส้ม ยาวยันน่อง หน้าโค้ง

ได้รูป ผิวขาว แตกต่างจากตอนแรกลิบลับ


“เธอชืออะไร” เท็นดันจีจี้ออกห่างตัว พลางลุกไปหานากาเนะ


“ฉันเอง นากาเนะ” เท็นกับจีจี้ที่ได้ยินตาแทบจะถลน ออกจากเบ้า ไม่มี

ใครเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน


“จริงเหรอ” เท็นยังไม่เชื่อ

“แน่นอน”

“คบกับฉันนะ” เท็นออกปากบอกแขนเป็นฟอโดยไม่สนจีจี้ที่นั่งหน้า

เหวออยู่ข้างหลังเขา นากาเนะพยักหน้าหงึกๆ

กลับมาที่เวลาปัจจุบัน

“หลังจากนั้นฉันกับเท็นก็เดินทัวร์งานโรงเรียนด้วยกันสองคนและคู่รัก

ที่ฉันเดินผ่านจะต้องบอกเลิกกันทุกคู่ไปไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่

ทุกอย่างในตอนนันมันสวยงามและเต็มไปด้วยความสุขที่โบยบินรอบๆตัว

ฉัน ฉันอยากให้ความสุขนี้มันคงอยู่ต่อไปจริงๆ ทว่าความสุขของฉันมัน

ไม่ยาวนานเท่าไหร่เพราะทุกอย่างที่เหมือนจะไปได้สวย กลับกลายเป็น

โศกนาฏกรรม เป็นสงครามระหว่างนักเรียนชายนำโดยเท็น กับ นักเรียน

หญิงนำโดยจีจี้ ฉันจำได้ดีว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างในเวลาเย็น

ของวันนั้น นักเรียนชายหญิงต่างตรงเข้าห้ำหั่นกันไม่มีการแบ่งแยกชาย

หญิง ลองคิดดูนะผู้ชายต่อยผู้หญิงได้หน้าตาเฉยโดยไม่แสดงความรู้สึก

ลังเลใจ ฉันก็โดนเหมือนกัน โดนรุมตบ จากเพื่อนรัก จากคนที่ฉันไว้ใจ

มันทรมานนะ จบเหตุการณ์นั้นฉันรักษาตัวสองอาทิตย์ก่อนจะมาสอบแล้ว

ก็ย้ายมาเรียนนี่โดยเร็วที่สุดมันก็มีเท่านี้แหละ ฉันคงจะผิดมาเลยสินะ ผิด

ที่ฉันอยากมีความรักดีๆสักครั้ง ผิดที่ฉันอยากมีเพื่อนดีๆสักคน”

“ฮึก ฮึก” ริมินั่งร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แต่ที่รู้คือเสียงของคุณเธอ

สร้าง ความรำคาญให้ซาโตริไม่น้อยทีเดียว



“พวกเรานี่ไงเพื่อนของเธอ”

“เพื่อนกันจริงใช่ไหม ฉันสามารถพูดเล่นหัวกับพวกเธอได้ใช่ไหม” ซา

โตริพยกหน้า นากาเนะทำท่าจะร้องอีกร้อง รอบ แต่ต้องชะงักเพราะ....

“พลังของเธอคืออะไร”

“พลัง?? พลังอะไรเหรอ??” คิ้วของนากาเนะขมวดกันเป็นปม

“ก็เธอเป็นมิสเทสเหมือนกับพวกเราก็ต้องมีพลังบางอย่างสิ อย่างฉัน

มีพลังหยุดเวลา ส่วนริมิมองเห็นเส้นเนื้อคู่ แล้วพลังของเธอก็น่าจะ

เป็น.....” ตึง!!! ตึง!!! เสียงประตูถูกพังเข้ามา ทำให้คนในห้องต้องหันไป

มองตามเสียง ร่างของสาวในชุดเมดสีน้ำเงินผมสีชมพูยาวตาสีครามดู

แล้วน่ารักไม่เบา เดินเข้ามาในห้องก่อนจะคุกเข่าต่อหน้าสามสาว

“พลังของท่าน นากาเนะคือ เสียงทำนองเจ้าค่ะ” ผู้มาใหม่ตอบแทน

นากาเนะ และสร้างความฉงนในใจของสามสาวเช่นกัน

“เธอเป็นใคร” ซาโตริยิงคำถาม

“อิฉัน เองเจ้าค่ะ ปริทาด้า” พูดเสียงเรียบ

“เฮ้ย!!!” ซาโตริ นากาเนะ ริมิ(หยุดร้องไห้แล้วเหรอเธอ) อุทานพร้อมกัน

“สงสัยอะไรกันเจ้าคะ อย่ามองอย่างนั้นสิ อิฉันก็เขินเป็นนะเจ้าคะ” ว่า

แล้วหน้าภูตสาวก็แดงบางๆ

“เธอน่ะเหรอ คือปริทะจัง ริมิไม่เชื่อมันเป็นไปไม่ได้” ริมิยังคงไม่เชื่อ

ซาโตริมองแม่เนื้อคู่ของตัวเองอย่างเอือมๆ แล้วคิดว่า ยัยนี่เป็นเนื้อคู่ผม

จริงรึนี่

“ร่างไหนคือร่างจริง”

“ร่างนี้แหละเจ้าค่ะ ร่างปีศาจเป็นร่างจำแรง”

“แล้วพลังของนากาเนะมันพิเศษยังไง” ซาโตริหันไปถามสาวเมด

“พลังของท่านนากาเนะสามารถเปลี่ยนจิตใจคนได้ด้วยเสียงร้องเพลง

เจ้าค่ะ” ซาโตริเข้าใจทุกอย่างทันที พลังนี้ก็ร้ายแรงพอๆกับเขาลองคิดดู

สิหากเปลี่ยนจิตใจคนให้หันมาฆ่ากันจะเป็นยังไง แค่คิดก็เสียวสันหลัง

วูบวาบแล้ว

“งั้นเธอต้องร้องเพลงแล้วล่ะนากาเนะ”

“มิทราบว่าเธอเอาสมองส่วนไหนคิดยัยซาริถั่วเน่า จะร้องเพลงมันต้อง

มีเสียงดนตรี แถมที่จะร้องก็ไม่มี แค่ลงไปข้างล่างคงโดนนักเรียนหญิง

กระทืบตายแล้วมั้ง แล้วเราจะร้องยังไง” พูดซะสนิทเชียวนะนากาเนะจัง

“ใช้ ห้องกระจายเสียงสิ” ริมิออกความคิดเห็น


“อ้านั่นแหละ เป็นความคิดที่ดีมาก ไปกันเถอะ” ซาโตริวิ่งนำทุกคนไป

ห้องกระจายเสียง ซึ่งอยู่ไม่ใกลนัก ถึงแม้ระหว่างทางมาเจอเหตุการณ์

นักเรียนชายปะทะกับนักเรียนหญิงอย่างไม่แบ่งแยกเหมือนกับเรื่องเล่า

ของนากาเนะ และ อุปสรรคอย่างพวกนักเรียนหญิง หรือนักเรียนชายที่

ทำท่าจะเข้ามาหยุดพวกซาโตริแต่ปริทาด้าก็จัดการซัดซะหมอบในหมัด

เดียว และแล้วก็มาถึงห้องกระจายเสียง


หน้าห้องกระจายเสียงนักเรียนหญิงมาออกันเต็ม เคาะประตูอย่างกับมีใคร

ตาย ดีนะที่ปริทาด้าดันตู้ไปขวางไว้ไม่งั้นมีหวังโดนรุมตบตายคาห้อง

แน่ๆ

“ร้องเพลงอะไร” นักร้องสาวถามพลางคว้าไมค์มาถือไว้

“รักกันไว้เถิด”

“ร้องไง” ซาโตริยื่นกระดาษแผ่นนึงให้นากาเนะ

“เพลงไทยนี่นา ฉันอ่านไม่ออกจะร้องได้ยังไงยัยซาริถั่วเน่าเธอหัดคิด

ก่อนจะได้มั้ย เพลงญี่ปุ่นก็ว่าไปอย่างหรือหัวเธอมันตีบตันเพราะความ

กลัวจนลนทำอะไรไม่ถูกยะ” มาเป็นชุดเลยนะ นากาเนะจัง

“ที่แท้เธอเป็นคนแบบนี้ใช่ไหม”

“ใช่” คำเดียวสั้นๆ

“จะทำอะไรก็ทำเถอะจ้ะ เดี๋ยวปริทะจัง ยันไม่อยู่แล้วจะแย่นะจ๊ะ” ริมิ

กระวนกระวาย

“ร้องตามฉันแล้วกัน”


“ชิ ก็ได้ยะ”

“รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย”

“จะเกิดภาคไหนก็ไทยด้วยกัน”

“เชื้อสายประเพณีไม่มีกัดกั้น”


“เกิดใต้ธงไทยนั้นปวงชนทุกคนคือไทย” ซาโตริร้องนำ ร้องได้ไม่ดีเท่าไหร่

“รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย”

“จะเกิดภาคไหนก็ไทยด้วยกัน”

“เชื้อสายประเพณีไม่มีกัดกั้น”

“เกิดใต้ธงไทยนั้นปวงชนทุกคนคือไทย” นากาเนะร้องตาม ได้อย่าง

แม่นยำ และไพเราะกว่าถึงฟังเพียงครั้งเดียวก็ตาม

นักเรียนหญิงที่เคาะประตูอย่างบ้าคลั่งค่อยๆหยุดแล้วเดินจากไปอย่าง

งุนงง พวกซาโตริเดินออกไปดูการเปลี่ยนแปลงปรากฏว่า นักเรียนชาย

และนักเรียนหญิงที่ได้ยินเสียงเพลงต่างหันมากอดกัน บอกขอโทษกัน

นักเรียนชายที่บอกเลิกนักเรียนหญิงกลับมาขอคืนดีด้วย หลังจากจบ

เหตุการณ์นั้น ซาโตริก็ออกคำสั่งให้ทำความสะอาดโรงเรียน และวันนี้ไม่

ต้องเรียนถ้าทำควาวมสะอาดเสร็จให้กลับบ้านได้เลย

วันนี้เหนื่อยเป็นบ้าเพราะยัยนากาเนะแท้ๆ นำปัญหามาให้ผมตั้งแต่วัน

แรกที่เจออย่างนี้ไม่ค่อยดีเลยนะ แต่นากาเนะก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรหรอก

เพราะอดีตของเธอด้วยล่ะนะที่ทำให้เธอเป็นอย่างนั้น แต่ที่สำคัญคือปริ

ทาด้ามันเป็นผู้หญิงรึนี่พึ่งจะรู้ก็วันนี้นี่แหละ

“เหล่ามิสเทสจะครบแล้วสินะ ขาดแค่คนเดียว ฮ่าๆๆ หอคอยซาบิน่า

เอ๋ยรอฉันอีกหน่อยนะฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ”เสียงทุ้มต่ำพึมพำระคน

หัวเราะ เขาจ้องมองซาโตริไม่กระพริบตา ก่อนจะเดินหายไปในความ

มืด...

วูบ อยู่ดีๆซาโตริก็เสียวสันหลังจึงหันกลับไปมอง แต่ก็ไม่พบร่างของใคร

สักคน ‘ความรู้สึกนี้มันอะไรกันเมื่อกี๊เหมือนมีคนจ้องมองผมอยู่เลย ไม่แน่

บางทีผมอาจจะคิดไปเอง ขอให้คิดไปเองดีกว่าว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น....’

Stormwind
12th May 2012, 05:17
โอเคเลยนะ แหม่มให้ผ่าน (จากหลายๆเรื่องที่ไม่ผ่าน)

By Stormwind [Female]

nakiann123
12th May 2012, 11:55
โอเคเลยนะ แหม่มให้ผ่าน (จากหลายๆเรื่องที่ไม่ผ่าน)

By Stormwind [Female]

นั่งอ่านตั้งแต่ตี 5 O_o ตื่นไวมากครับ

Stormwind
12th May 2012, 12:06
นั่งอ่านตั้งแต่ตี 5 O_o ตื่นไวมากครับ

ตื่นมาคุมเข้ม พี่ตั้มซ้อมออกกำลังกาย ตั้งแต่ตี 5 ยัน แปดโมง (ฝึกมหาโหดจริงๆ)

By Stormwind [Female]

Prince.NO9
13th May 2012, 11:05
บทที่ 3“เธอนั่นแหละผิด”


“เฮ้ ทำไมไม่ไปเกาะล้าน ทำไมจู่ๆถึงเปลี่ยนไปหัวหินแทน” นากาเนะ โวยวาย เมื่อก่อนหน้านี้ซาโตริได้บอกกับเธอว่าปู่ของซาโตริจะพาไปเที่ยวเกาะล้านแต่ไปๆมาๆกลับเปลี่ยนไปหัวหินแทน

“ก็ฉันยังไม่เคยไปนี่นา” เหตุผลดีจริงๆซาโตริ

“ก็ได้ ก็ได้ แล้วเรื่องเลขาล่ะฉันไม่อยากเป็นนะ”

“นั่นไม่ใช่ความคิดฉัน” ซาโตริตอบ

“งั้นความคิดใครเธอใช่มั้ยริมิ” นากาเนะ พาลไปลงริมิที่ยืนอยู่เฉยๆ

“เป็นของปริทะจังจ้ะ” ริมิตอบ

“ปริทาด้า?? ยัยนั่นเกี่ยวอะไรด้วย” ซาโตริอ้าปากจะตอบแต่ก็ไม่ทันริมิ

“ปริทะจังบอกว่าอยากให้พวกเราเหล่ามิสเทสอยู่รวมๆกันไว้จ้ะ” เอ่ยพลางเอียงคอ

“อย่ามาอ้างปริทาด้าดีกว่า ยัยนั่นเป็นแค่ภูตรับใช้จะมาออกความคิดเห็นได้ยังไงและอีกอย่างทำไมต้องอยู่รวมๆกันด้วย” กึก กึก รองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นเป็นจังหวะเดินเข้ามา ในมือถือซองสีน้ำตาลพลางตอบคำถามของนากาเนะ เสียงเรียบ

“เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ไม่ต้องโทรตามไงเจ้าคะ”

“เหตุฉุกเฉิน??? ฉันไม่ใช่เจ้าหน้าที่เก็บศพนะ และอีกอย่างน่าจะถามกันก่อนว่าฉันเต็มใจมั้ย” นักร้องสาวว่าพลางกอดอกอย่างอารมณ์เสีย

“ท่านนากาเนะเต็มใจมั้ยเจ้าคะ”

“ไม่เต็มใจ” คำตอบของนากาเนะเป็นสิ่งที่ปริทาด้าคาดเดาไว้แล้วว่าเจ้านายของตนจะตอบออกมาลักษณะนี้ ปริทาด้าทำเมินต่อคำตอบของนากาเนะ แล้วยื่นซองสีน้ำตาล ให้สาวผมแดง ที่นั่งท้าวคางมองซองนั้นอย่างงงๆ

“มันคือ” ซาโตริหยิบเอกสารออกมาดู

“ท่านยูกิโกะ หรือก็คือมิสเทสคนสุดท้ายเจ้าค่ะ” ในเอกสารคือรูปของผู้หญิงผมสีดำขลับ ดวงตาสีคราม ในชุดนักเรียน ยืนอ่านหนังสือ

“ยูซากะ ยูกิโกะ” ซาโตริพูดชื่อนั้นให้ทุกคนได้ยินพลางเงยหน้าจากเอกสารมามองหน้าปริทาด้า

“แล้วมาบอกฉันทำไม” ปริทาด้าผงะไปนิดนึง พูดอะไรผิดเหยอ

“ขอเสียมารยาทนิดนึงนะเจ้าคะ ท่านซาโตริแกล้งโง่หรือว่าโง่จริงๆเจ้าคะ” แรง แรง

“ว่ากันแบบนี้ไม่ต้องขอโทษหรอก ตบหัวผมเอ๊ยฉันเลยก็ได้” ซาโตริใช้ชีวิตในร่างผู้หญิงมาได้สองวันแล้วแต่เขายังไม่ชิน ชอบหลุดแทนตัวเองว่าผมทุกที

“ท่านซาโตริพูดจริงรึเปล่าเจ้าคะ” ปริทาด้าตาเป็นประกาย เมื่อคิดว่าจะได้ตบหัวเจ้านายตัวเอง

“แค่พลั้งปาก ว่าแต่เธอรู้ด้วยเหรอว่าใครจะเป็นมิสเทส” ปริทาด้าเม้มปากดั่งคนถูกขัดใจ

“รู้สิเจ้าคะ หรือว่าท่านซาโตริคิดว่าเป็นความบังเอิญ” ซาโตริพยักหน้า

“หมายความว่าเธอก็รู้มาตั้งแต่ต้นแล้วน่ะสิ”

“ถูกต้องเจ้าค่ะ ท่านนากาเนะ”

“บอกหน่อยสิ ปริทาด้าเธอรู้อะไรเกี่ยวกับมิสเทสบ้าง” ซาโตริถามได้ตรงจุด

“อิฉันจะเล่าอย่างคร่าวๆนะเจ้าคะ ก่อนอื่นอิฉันอายุ หกร้อยปีเจ้าค่ะ”

“โห ไม่น่าเชื่อ” สามสาวมิเทสอุทานพร้อมกัน สาวเมดจ้องมองเจ้านายของตนด้วยสาตาตำหนิเป็นเชิงว่าอย่าขัดตอนกำลังเล่าได้ไหม สามสาวมิสเทสรู้สึกถึงสายตานั้นจึงพากันเงียบ

“มิสเทสมีกันสี่คนมาแต่ไหนแต่ไรแล้วและอย่างที่บอกมันไม่ใช่ความบังเอิญ เพราะชาติที่แล้วพวกท่านเคยเป็นมิสเทสมาก่อนและอิฉันก็เป็นหนึ่งในปีศาจที่พวกท่านต้องกำจัด แต่ท่านนากาเนะเกิดบอกว่าอย่าฆ่าอิฉันแล้วใช้เสียงเพลงทำให้กลายเป็นภูตดี หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดสงความหอคอยซาบิน่าแล้วพวกท่านก็ตาย ในเหตุการณ์นั้นพวกท่านเสียสละตัวเองอย่างกล้าหาร”

“ฉันตายยังไง ตอนตายทุเรศรึเปล่า” นากาเนะเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ แหมยังจะอยากรู้อีกนะว่าตายยังไง

“ไม่ค่อยเจ้าค่ะ...” ปริทาด้าเว้นช่วงการพูดอย่างจงใจ นากาเนะยิ้มน้อยๆคิดว่าตัวเองคงไม่ตายแบบน่าเกลียดนัก แต่... “ท่านนากาเนะโดนเหล็กแหลมเสียบทะลุคอเจ้าค่ะสีหน้าในตอนนั้นจำไม่ค่อยได้แต่ที่รู้ท่านนากาเนะทรมานมากเลยเจ้าค่ะก่อนจะโดนหินหล่นลงมาทับตายเจ้าค่ะ”ปริทาด้าพูดเรื่องน่ากลัวได้อย่างน่าตาเฉย นากาเนะหุบยิ้ม เปลี่ยนเป็นบึ้งแทน

“นี่นะไม่ค่อยทุเรศ นี่แหละโคตะระทุเรศเลย แล้วคนอื่นๆตายกันยังไง”

“ท่านซาโตริ โดนแทงตายจากดาบนับสิบเล่ม ท่านริมิโดนบีบคอตาย”

“ไม่มีใครตายทุเรศเท่าฉันเลยนี่นา แถมยัยซาโตริยังตายเท่กว่าตั้งเยอะ แว้ดๆๆ” นากาเนะเริ่มโวยอีกครั้ง ซาโตริไม่สนนอกจากกระซิบถามสาวเมด

“ชาติที่แล้ว ผมเป็นผู้หญิง??”

“ใช่เจ้าค่ะ แต่มาเกิดในชาตินี้กลายเป็นผู้ชาย พอขอพรผลของมันจึงส่งผลให้ท่านกลับคืนร่างเดิมเจ้าค่ะ” ซาโตริเริ่มเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากยิ่งขึ้น

“ยูกิโกะเป็นมิสเทสคนสุดท้ายใช่มั้ย” สาวเมดพยักหน้า

“ตอนนี้ยูกิโกะยังอยู่ในโรงเรียนรึเปล่า แล้วอยู่ที่ไหน” ซาโตริถาม

“อยู่เจ้าค่ะ ที่ห้องสมุด” ตอบเสียงเรียบ ซาโตริหันไปมองมิสเทสแห่งเสียงทำนองแล้วส่ายหน้าอย่างหนักใจเนื่องจากเธอยังคงบ่นไม่หยุด ก่อนจะเดินนำปริทาด้าไปห้องสมุด ริมิและนากาเนะเห็นว่าสาวผมแดงเดินจากไปแล้วจึงพากันเดินตามไปติดๆ



ห้องสมุดโรงเรียนผมมีสามชั้น มักเต็มไปด้วยนักเรียนที่จะเวียนมาใช้บริการเสมอ แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาเย็นจึงไม่มีใครมาอยู่ในห้องสมุด ยกเว้นยูกิโกะนะไม่รู้คุณเธอจะรักห้องสมุดอะไรนักหนา แต่จากประวัติ เธอเรียนเก่งโฮกกกกกกกกกกก!!!อิจฉาคนเก่งเว้ย

แล้วพวกเราก็มาถึงห้องสมุด

“ทำไมฉันจะต้องมากับเธอด้วยยัยซาริถั่วเน่า เมื่อกี๊ยังมีริมิ กับปริทาด้าตามมาอยู่เลย” นากาเนะทำท่าฮึดฮัด ริมิบองผมว่าไม่ว่างต้องรีบกลับบ้านส่วนปริทาด้าต้องไปตรวจสอบรอบๆโรงเรียน

“ก็เธอมัวแต่บ่นนู่นบ่นนี่ เคยสนใจอะไรมั่งรึเปล่าล่ะ”

“แล้วฉันผิดรึไงเล่า” ผมล่ะหน่ายยัยนี่จริงๆ

“นั่นไง ยูกิโกะ”

“ไหนๆๆๆๆๆๆ” ผมชี้ไปยังโต๊ะที่มีไว้ให้นักเรียนใช้อ่านหนังสือ

“เธอชื่อยูกิโกะใช่มั้ย” นากาเนะรีบปรี่เข้าไปถาม ผมเดินตามไปติดๆ

“........” ยูกิโกะไม่ตอบ แต่สายตาของเธอไล่อ่านตัวอักษร อย่างรวดเร็วโอ้ โห!! นี่สินะที่เขาเรียกว่าการอ่านแบบ scanning“เฮ้ เธอได่ยินฉันรึเปล่า”

“........." นากาเนะง้างมือจะตบกบาลคนตรงหน้า เฮ้ยไม่ได้นะนากาเนะ

“ยูกิโกะ” ผมหยุดมือนากาเนะด้วยมือขวา แล้วใช้มือข้างที่เหลือเขย่าตัวยูกิโกะเบาๆ

“พวกคุณไม่เห็นหรอคะว่าฉันอ่านหนังสืออยู่ไม่มีมารยาทเลย” โดนเต็มๆคำนี้แต่ที่สำคัญก็คือสำเนียงอังกฤษของเธฮเหมือนคนอังกฤษมาเองยังไงยังงั้น

“เอ่อ...ก่อนอื่นฉันขอแนะนำตัวเองก่อนนะ ฉันชื่อยามาชิตะ ซาโตริ ส่วนคนนี้คือ ริขุคาวะ นากาเนะ” ผมผายมือไปยังสาวหน้ามุ่ยข้างๆ

“.....” ยัยนี่วันๆพูดสักกี่ประโยคเชียว สงสัยจะนับคำได้เลยมั้ง

“วันเสาร์นี้ว่างรึเปล่า”

“.......” ไม่มีเสียงตอบจากคนตรงหน้า

“ยัยหนอนหนังสือเน่า เพื่อนฉันถามอย่าทำเฉยเซ่” หนอนหนังสือเน่า เกือบจะหลุดก๊ากแล้วสิไม่งั้นคงโดนว่าเสียมารยาทอีกแน่ คำนี้ได้ผลเพราะยูกิโกะกระแทกหนังสือลงกับโต๊ะแล้วลุกพรวดขึ้นมาจ้องหน้านากาเนะเขม็ง

“จะเอารึไง” นากาเนะตั้งท่าเตรียม

“เปล่าค่ะ ฉันจะบอกว่าแถวๆนี้มีแต่พวกชอบทำลายสมาธิในการอ่านหนังสือของคนอื่น ไม่รู้ว่ามีความเป็นผู้ดีบ้างรึเปล่า แว้ดๆๆอยู่ได้ ไปล่ะคะ” เธอทิ้งคำด่าเอาไว้ก่อนจะเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้สาวผมแกละยืนโกรธตัวสั่นข้างๆผม



“อะไรของยัยนั่น คำก็มารยาท สองคำก็มารยาท คอยดูนะถ้าเจออีกฉันจะตบให้ตาบวมจนอ่านหนังสือไม่ได้เลย” หลังจากโดนด่ามาหมาดๆตอนนี้ผมกับนากาเนะ อยู่ในร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงเรียนมากินก๋วยเตี๋ยวพลางหาวิธีขอโทษไปพลาง เฮ้อ ตอนแรกว่าจะไปทำความรู้จักแล้วชวนไปเที่ยวสักหน่อย กลับกลายเป็นไปทำให้เค้าโกรธจนได้

“นี่เออไม่โกรธยัยหนอนหอังอื๋อเน่านั่นเลยเหรอ” นากาเนะพูดไม่เป็นคำ นี่เธอเคี้ยวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยพูดก็ได้

“จะโกรธเค้าทำไมในเมื่อพวกเราก็ผิดเหมือนกัน” สาวผมแกละหยุดโซ้ยก๋วยเตี๋ยวแล้วทำตาโตใส่ ผมพูดอะไรผิดเหรอ

“ยัยถั่วเน่าเธออยู่ข้างยัยหนอนหนังสือนั่นใช่มั้ย” อ้าว ไปกันใหญ่แล้ว

“ไม่ใช่นะ” ผมโบกมือปฏิเสธ

“โกหก” ไม่ได้โกหก โอยจะบ้าตาย ผมหันไปมองทางขวา ก็เห็นยูกิโกะสะพายกระเป๋าเป้เดินออกมาจากโรงเรียน เธอน่าจะกลับไปแล้วนี่นา ไปขอโทษเธอสักหน่อยดีกว่า

“จะไปไหน???”

“กินก๋วยเตี๋ยวไปเหอะน่า” ผมตรงไปหายูกิโกะ เธอทำท่าจะเดินหนี

“ยูกิโกะ เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” เธอหยุดแล้วหันกลับมา มองผมด้วยสายตาเย็นชา

“มีอะไร ก็รีบพูดมาฉันรีบ”

“ฉันอยากจะขอโทษ เรื่องในห้องสมุดและขอโทษแทนเพื่อนฉันด้วย” ผมโค้งขอโทษแบบคนญี่ปุ่น

“อ้อหรอ มีแค่นี้ใช้มั้ย” ตอบได้หน้านิ่งมาก

“เอ่อ....วันเสาร์นี้เธอว่างมั้ยฉันจะชวนเธอไปเที่ยวหัวหิน” ขอให้ว่างทีเถอะ

“ไม่ว่าง ไม่มีทางว่างด้วย”

“เอ๋ ทำไมไม่ว่างล่ะ”

“ทำงาน” ยูกิโกะจะเดินหนี ผมจึงจับแขนเธอไว้ แต่เธอสะบัดมือผมออก

“ฉันถามหน่อยเถอะท่าทีที่ฉันแสดงในห้องสมุดมันไม่ชัดเจนอีกเหรอ”

“ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ ฉันต้องทำยังไงเธอถึงจะยกโทษให้ฉัน” ยูกิโกะมองผมแบบเหยียดหยาม

“เข้าใจแล้วเธอเป็นพวกสวยแต่โง่สินะ เอางี้ฉันจะบอกให้เอาบุญ ถ้าฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอก็จะไม่เดินหนีมาแบบนี้หรอก” โอ้โหโดนเต็มๆเลยผม

“ทีนี้ก็รู้แล้วสินะว่าตัวเองโง่แค่ไหนยัยหน้าโง่ คราวหน้าไม่ต้องมาหาฉันอีกนะ ฉันอยากอยู่คนเดียวจำใส่กระโหลกของเธอไว้ด้วยล่ะ และเพื่อนฉันไม่ต้องการหรอก”

“ทำไมล่ะ มีเพื่อนมันไม่ดีตรงไหน.....”

“ก็แค่การรวมตัวกันของพวกชอบเมาส์ ไม่ทำอะไรนอกจากนินทาชาวบ้านชาวช่องไปวันๆ สนุกตรงไหนกัน และเพื่อนก็แค่พวกใส่หน้ากากเข้าหากันเท่านั้นเอง ไม่มีใครจริงใจสักคนและอย่างเธอก็เป.....” เพี้ยะ มือเรียวตบหน้ายูกิโกะ หน้าเธอหมุนไปตามแรงตบ ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าคนตบเธอ ผมหันไปดูเจ้าของมือนั้น.... เฮ้ย นากาเนะมาตั้งแต่เมื่อไหร่ฟะเนี่ย

“อย่าบังอาจมาว่าซาโตริเด็ดขาด” นากาเนะลูบฝ่ามือตัวเองเบาๆคงเจ็บล่ะสิ เธอจะเข้าไปซ้ำแต่ผมรั้งเอาไว้ก่อน

“อย่างเธอคงไม่มีเพื่อนสักคนใช่มั้ยล่ะก็น่าหรอก ยัยหนอนหนังสือเน่า” เธอดิ้นจะให้หลุดจากการจับของผมแต่ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีจับเธอไว้แน่น

“หยุดสิ นากาเนะ เธอจะทำให้เรื่องมันแย่ไปกันใหญ่”

“อย่ามาห้ามซาโตริ เธอไม่โกรธรึไงที่โดนด่าว่าโง่ ฉันที่นั่งฟังอยู่ยังอยากจะกระโดดมาฆ่ายัยนี่ตั้งแต่มันด่าเธอโง่แล้ว” นากาเนะพูดถูกแต่ผมไม่รูสึกโกรธเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ยูกิโกะมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกับผม ยูกิโกะ มองหน้านากาเนะอย่างเอาเรื่อง แต่เธอคงเห็นว่าพวกผมมีสองคน เลยเดินหนีไปแต่ไม่แคล้วตะโกนกลับมาอีก

“ไอ้พวกป่าเถื่อน” นากาเนะที่โมโหอยู่แล้วยิ่งโมโหเข้าไปอีกพยายามดิ้นให้หลุดเพื่อไปตบยูกิโกะ แต่ผมไม่ยอมหรอก ผ่านไปสักพักสาวผมแกละถึงได้อารมณ์เย็นลง

“ปล่อยซักทีสิ”

“อ้า โทษที” ผมคลายมือที่รั้งเธอไว้ นากาเนะหันมามองหน้าผมอย่างงงๆ

“ขอโทษทำไม ในเมื่อยัยหนอนหนังสือน่ะผิด พวกเราไม่ผิด” นากาเนะยังคงไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด

“ผิด?? เธอน่ะแหละผิด ถ้าเธอยังไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดก็ไม่ต้องมาทำหน้าที่เรขาของฉันหรอก” ผมเดินหนีนากาเนะไม่ปล่อยให้เธอได้ถามผมกลับสักคำ

“เดี๋ยว เธอจะไปไหน”

“.....” ไปให้ไกลจากเธอนั่นแหละ ไม่อยากพูดกับคนที่ชอบเห็นว่าตัวเองถูกเสมอ ผมแวะหยิบเป้ในร้าน แล้วตรงกลับบ้านทันที พรุ่งนี้จะต้องไปขอโทษยูกิโกะและชวนไปเที่ยวหัวหินให้ได้เลยคอยดู ต้องกลับบ้านไปคิดแผนก่อน

Prince.NO9
14th May 2012, 19:46
บทที่ 5 ความเย็นชาจอมปลอมกับมิตรภาพที่แท้จริง
บ้านของยูกิโกะ ในห้องนอน เวลาเช้า

น้ำแข็งแบกเพื่อนสาวปากแข็งกลับมานอนที่บ้านแล้วอยู่เฝ้าไข้ยูกิโกะยันเช้า ในเช้าวันนี้เป็นวันเกิดของยูกิโกะ มันควรจะเป็นวันที่ดีแต่กลับกัน เธอต้องมานอนซมบนเตียงเพราะพิษไข้ ต้องลางานที่ไปทำประจำ เท่ากับไม่ได้เงิน แย่ๆๆๆๆๆๆ ยูกิโกะยันตัวเองจนมาอยู่ในท่านั่ง และกำลังจะลุกไปแต่.....

“ทำอะไรของเธอยูกิโกะ” น้ำแข็งตรงเข้ามากดตัวยูกิโกะให้ลงนอนอย่างเก่าด้วยหน้าตาตื่น0_0ลืมไปว่าน้ำแข็งอยู่ด้วย อย่างนี้เธอคงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ‘โถ่... ฉันจะไปช่วยงานที่ร้านสวีทตริม คนยิ่งไม่พออยู่>_<’ (อย่าฝืนดีกว่ายูกิจัง)

“เธอนอนนิ่งๆเลยนะ วันนี้ฉันจะทำทุกอย่างแทนเธอเอง” ยูกิโกะหูผึ่งทันที น้ำแข็งจัดแจงปัดกวาดเก็บของ

“ทุกอย่างจริงนะ” ยูกิโกะย้ำคำพูดของเพื่อนสนิท พลางทำตาระยิบระยับ

“อืม”

“เรื่องร้านสวีทตริม กับพี่ชินจิด้วยนะ” พี่ชินจิ คือพี่แท้ๆที่เลี้ยงยูกิโกะมาจนอายุได้สิบห้า เขาก็ล้มป่วยเป็นโรครักษาไม่หาย หลังจากนั้นก็มีแต่เธอคนเดียวที่ต้องเรียนทำงานเก็บเงินแล้วก็เรียนทำงานเก็บเงินทุกๆวัน ตัวของเธอจะทำอยู่แค่นี้เอง

“จ้า แม่สาวเย็นชา เอ้อ...แล้วเมื่อไหร่เธอจะเลิกทำตัวเย็นชาสักที ฉันว่าพวกซาโตริช่วยเธอได้นา”

“......”

“ยูกิโกะ นี่ยูกิโกะ” น้ำแข็งหันไปมองคนป่วย เธอหลับไปแล้ว

“พักผ่อนเยอะๆนะ ขอให้หายทันตอนเย็นทีเถอะ เพราะฉันมีเซอร์ไพส์ให้เธอด้วยนะ” น้ำแข็งพึมพำระคนยิ้มอยู่คนเดียว ก่อนจะกลับไปง่วนกับงานบ้านที่ต้องทำแทนยูกิโกะทุกอย่าง







ในฝัน(ขอย้ำว่าอยู่ในฝัน) ของ

YUKIKO ยูกิโกะ

ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย พอกวาดสายตามองรอบๆพบว่ามีแต่ทุ่งหญ้าเขียวขจีและต้นไม้ต้นใหญ่เอามากๆเลยล่ะ นั่นตรงนั้นที่ใต้ต้นไม้ มีคนนั่งปิคนิคกันอยู่สามคน ฉันวิ่งไปหาสามคนนั้นทันที

“เธอมาสายนะ ยูกิโกะ” นากาเนะว่าฉันพลางซดน้ำชา ดังซวบๆ

“อย่าไปว่ายูกิจังอย่างนั้นสิจ๊ะ” คนนี้ใคระผมสีส้ม ตาสีม่วงไม่รู้จักอะ

“เธอคือใคร” ฉันถามสาวผมส้ม

“อะไรกันจ๊ะจำริมิไม่ได้เหรอ ยูกิจังใจร้าย” ผู้หญิงที่บอกว่าชื่อริมิทำท่างอแงเหมือนเด็ก

“เอาน่า เอาน่า ถึงจะมาสาย แต่ก็มาแล้ว นั่งสิยูกิโกะ” ซาโตริบ่นพวกนากาเนะก่อนจะหันมาเชิญฉัน

“อืม” ฉันรีบนั่งปุลงไปบนพื้นหญ้า ริมิยื่นถ้วยน้ำชาลายดอกสีน้ำเงินให้ฉัน ส่วนคนเทเป็นนากาเนะที่ตั้งท่าเตรียมจะเทตั้งแต่ฉันนั่งแล้วล่ะ

“ขอบใจนะ”

“เธอจะทำตัวเย็นชาไปทำไม” ซาโตริถามฉัน

“ใช่ๆๆ ริมิก็อยากรู้เหมือนกัน” แล้วริมิก็เสริมเข้ามาทันที

“.......” นากาเนะ เงียบ

“เอ่อคือฉันมีเหตุผลส่วนตัวน่ะบอกไม่ได้”

“เรื่องพี่เธอใช่มั้ย” นากาเนะพูดขึ้นมา ร...รู้ได้ไงฉันยังไม่ได้บอกเลยนี่นา

“ม...ไม่ใช่นะ..ค..คือเหตุผลที่ว่าน่ะ....” นากาเนะมองฉันด้วยสายตาที่ฉันใช้มองนากาเนะคือสายตาเย็นชา มันรู้สึกอย่างนี้นี่เอง

“ทำไมต้องพูดตะกุกตะกักด้วย” นากาเนะกำลังจับผิดฉัน

“เอ่อคือ....”

“มาอ่งมาเอ่ออะไรของเธอ ”ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไร นากาเนะก็ขัดขึ้นมาก่อน

“เธอกำลังทำอะไรอยู่ ยูกิโกะ คิดว่าทำตัวเย็นชาแล้วจะแข็งแกร่งขึ้นหรือไง ยอมรับเถอะว่าตัวเธอเองมันก็ไร้ค่าพอๆกับการกระทำนั่นแหละ” พ...พูดแรงไปแล้วนะ ริมิหันมาแล้ว ริมิต้องต่อว่านากาเนะแน่ๆ

“ยูกิจังคิดว่าริมิจะว่านากาเนะใช่มั้ยจ๊ะ” ฉันพยักหน้าเป็นคำตอบ ทำไมล่ะฉันเข้าใจอะไรผิด

“แอ๊ดๆ” ริมิไขว้มือเป็นรูปตัวเอ็ก

“เลิกแสร้งทำเป็นเย็นชาได้แล้วขอร้องล่ะ ฉันเบื่อเต็มทีแล้วที่ต้องมาตามขอโทษเธอทุกวี่ทุกวัน โดนด่าว่าสวยแต่โง่ ต้องแกล้งทำเป็นไม่โกรธ เธอรู้มั้ยว่ามันรู้สึกยังไงเวลาโดนด่า” ฉันส่ายหน้าก็ฉันไม่เคยโดนด่านี่นา อีกอย่างซาโตริไม่น่าจะเป็นแบบนี้ นี่ไม่ใช่ความจริง

“งั้นลองโดนดูมั่งสิ ยัยหนอนเน่า ไม่มีใครคบ ยัยบ้า ยัยปากแข็ง ยัยด้านชา” มาเป็นชุด มันเจ็บแปล๊บๆอย่างนี้นี่เองแล้วก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้เลย สมควรแล้วล่ะก็ฉันด่าซาโตริตั้งเยอะพูดจาเสียดสีก็มาก

(อย่าไปฟังมันเจ้าค่ะ ท่านยูกิโกะ) เสียงผู้หญิงดังอยู่ในหัวฉัน

“ส....เสียงใครน่ะ” ฉันมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นมีใครนอกจากพวกซาโตริที่นั่งจิบน้ำชากันโดยไม่สนใจฉัน

(อิฉันชื่อปริทาด้าเจ้าค่ะ ท่านยูกิโกะกำลังโดนปีศาจฝันเล่นงาน)

“หมายความว่าไง”

(ไว้ค่อยเล่าทีหลังเจ้าค่ะ ท่านยูกิโกะเพล่งมองพวกท่านซาโตริดีๆนะเจ้าคะ)

“ด...ได้” ฉันมองซาโตริ ริมิ และ นากาเนะ ฉับพลันนั้นเองใบเลื่อยก็โผล่มาจากตัวของนากาเนะ แล้วตามมาด้วยร่างของหญิงสาวในชุดเมดสีน้ำเงิน ผมสีชมพู หน้าตานี่ไม่ต้องพูดถึงสวยมาก นากาเนะที่พึ่งโดนผ่าท้องไปหมาดๆไม่มีเลือดไหลออกมา แต่กลายเป็นกระดาษซะงั้น หมายความว่าซาโตริ กับ ริมิ ก็เป็นปีศาจด้วยอะดิ

“เธอคือปริทาด้าใช่มั้ย”

“ก้มเจ้าค่ะ” บอกให้ฉันหลบพลางพยักหน้ารับ ปริทาด้าใช้เลื่อยผ่าร่างของริมิออกเป็นสองซีก และตัดซาโตริออกเป็นสองท่อน น่ากลัวโฮกกกกกกกกก!!!และก็นะอันนี้ฉันโง่เองอะ คือแบบจะก้มหลบแต่ดันล้มทับมือตัวเองซะงั้น

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ไม่อยากจะเชื่อ ว่าฉันจะพลาดท่าง่ายๆให้สุนัขรับใช้อย่างเธอ” เสียงทุ้ม ต่ำ ต่ำมากกกกกกกกดังมาจากฟ้า ฉันยันตัวเองจากพื้นแล้วแหงนมองตามเสียงนั้น บนท้องฟ้ามีหน้าของคนๆนึงอยู่

“ออกมาสิเจ้าคะ อิฉันจะจัดการแกเอง” ปริทาด้าท้าเสียงที่ดังอยู่บนฟ้าอย่างไม่เกรงกลัวแบบสุภาพมาก อยากรู้จริงว่าเธอคนนี้เคยพูดหยาบมั่งมั้ย

“ไว้คราวหน้าดีกว่าฉันไม่ว่างจะเล่นกับพวกเธอสองคน แล้วพบกันใหม่นะภูตรับใช้หน้าโง่กับมิสเทสแห่งความตาย” หืม มิสเทสแห่งความตาย??? ฉันหรอ หรือว่าปริทาด้า แต่ปีศาจนั่นมันพูดถึงภูตด้วยนี่นา ใบหน้าของปีศาจที่อยู่บนฟ้าหายไปแล้ว

“เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านยูกิโกะจะรู้เรื่องพวกนี้เจ้าค่ะ รออีกหน่อยนะเจ้าคะ” ทำไมตอบแบบนี้ล่ะ ฉันจะยื่นมือไปแตะไหล่สาวเมดตรงหน้า แต่อยู่ดีๆก็เหมือนถูกรัดด้วยเชือกบางๆนับพันเส้น มันรัดแน่นมาก เจ็บจัง ฉันโดนดดึงอย่างแรงด้วยเชือกพวกนั้น หลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดสนิท ใครปิดไฟเนี่ย

“ยูกิโกะ อย่าเป็นอะไรนะ ยูกิโกะ ฮืออออออออออ” ส...เสียงน้ำแข็งกำลังร้องไห้ ฉันลืมตาเห็นเพื่อนสาวกอดฉันไว้แน่น

“กอดฉันทำไม แล้วเธอร้องไห้เพราะอะไรมีใครตายเหรอ”

“ฮึก ย..ย...ยูกิโกะอยู่ดีๆก็ชักดิ้นชักงอสีหน้าทรมานมาก ฉันเลยกลัวว่าเธอจะตายจึงกอดร่างของยูกิโกะไว้แน่น แล้ว แล้ว ฮือออออออออออ” โอ๊ยเพื่อนฉัน จะร้องอะไรนักหนาฉันยังไม่ตายสักหน่อย เฮ้อ ฉันทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง มันเป็นเวลากลางคืนแล้ว ห๊ะ!!!กลางคืน ฉันเหลียวไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง เข็มสั้นชี้เลขสิบเอ็ด เข็มยาวชี้เลขเก้า ม่ายน้าาาาาาาาาาาห้าทุ่มสี่สิบห้านาทีO[]Oฉันไปทำงานก่ะเย็นไม่ทันซะแล้ว(อ้าว ลืมวันเกิดตัวเองแล้วเหรอยูกิโกะ) เฮ้อออออ ช่างมันเหอะ ฉันเอนตัวลงนอนตามเดิม พูดถึงฝันเมื่อตะกี๊เหมือนจริงมากอย่างกับว่าไม่ใช่ความฝันแหน่ะ แปล๊บ จ..เจ็บอะ ที่มือมันปวดหน่วงๆ หรือว่าเมื่อกี๊ไม่ใช่ความฝัน

“ยูกิ เธอรู้สึกดีขึ้นมั้ย ฮึกๆ” รู้สึกดีเหรอ ยิ่งกว่าดีอีกแค่ปวดมือนิดหน่อย มีลูกสะอื้นด้วย เพื่อนสาวปาดน้ำตาที่เปลื้อนหน้า

“ตอนนี้หายเป็นปลิดทิ้งเชียวละ อย่างกับว่าพิษไข้เมื่อเช้าเป็นแค่ความฝันแหน่ะ”

“เห็นมั้ยฉันบอกแล้วไงว่าให้นอนพักเยอะๆ ต้องขอบคุณฉันนะเนี่ย” แกบอกฉันตอนไหน

“ยูกิโกะไปที่ร้านสวีทตริมกันเถอะ ลุกๆๆ” น้ำแข็งลากฉันลงจากเตียง

“จะไปทำไม ดึกดื่นป่านนี้ไปก็ไม่ทันแล้ว”

“เถอะน่าๆ ไปอาบน้ำแต่งตัวป่ะ” ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรกลับไป น้ำแข็งก็ลากฉันเข้าห้องน้ำ เอออาบก็ได้ แต่ช่วยออกไปก่อนได้มั้ย

“ฉันจะถูหลังให้นะ” ไม้ต้องงงงงง

“ฉัน...อาบเองได้”

“ฉันช่วยจะได้เร็วๆ” อย่ามาเซ้าซี้น่า

“ออกไปเลย” ว่าแล้วก็จัดการผลักเพื่อนแสนดีให้พ้นธรณีห้องน้ำ ฉันใช้เวลาในการอาบน้ำครึ่งชั่วโมงรวมแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จสัพ (นานไปละ ตัวไม่เปลื่อยหรือนั่น) คงไม่นานไปนะ

“นานจังยูกิโกะ”

“โทษที โทษที” ฉันขอโทษขอโพยพลางก้าวออกมาจากห้องน้ำ

“ยูกิโกะแต่งตัวสวยๆหน่อยดิ” การแต่งตัวของฉันตอนนี้มันดูไม่ดีรึไง เสื้อยืดกางเกงยีน อีกอย่างจะแต่งสวยไปทำไม

“เหอะน่า”

“ด..เดี๋ยวๆ” น้ำแข็งเปิดตู้เสื้อผ้าฉันน่าจะเรียกว่ารื้อมากกว่า มือควานหาเสือผ้าไปเรื่อย มีความเกรงใจกันบ้างม้ายยยยยยยยยยยยย ยัยเพื่อนตัวดี

“ตัวนี้เลย ฉันว่ายูกิโกะใส่แล้วต้องดูสวยแน่นอน” น้ำแข็ง หยิบชุดกระโปรงเกราะอก เนื้อผ้ายืด สีเทา สายคาดเอวสีดำ ยื่นให้ฉัน ฉันรับมันมาใส่แบบมึนๆ แต่ผ้าคาดเอวนี่ดิ พอดีไม่ได้ใส่นานบวกปวดมือนิดๆ ชุดนี้ฉันซื้อมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ใส่ได้สองครั้งเองมั้ง

“ฉันช่วยนะ” น้ำแข็งช่วยผูกผ้าคาดเอวให้ เป็นหูกระต่ายน่ารักอ่ะ ปล่อยหางมาซะยาว

“ขอบใจนะ”

“อื้ม” พวกเราสองคนเดินออกไปหน้าบ้าน ฉันจัดการใส่กุณแจล็อคประตูเรียบร้อย ก็โบกรถแท็กซี่ เพื่อไปร้าน สวีทตริม ซึ่งโชคก็เข้าข้างพวกฉันเพราะใช้เวลาไม่นานรถแท็กซี่ก็มาจอดรับพวกเรา

ขณะนั่งรถแท็กซี่ น้ำแข็ง มองมือถือตัวเองสลับกับมองหน้าฉันไปมาแถมเหงื่อก็แตกอีกต่างหาก ทำท่าทำทางมีพิรุธน่าสงสัยชะมัด วันนี้มันมีอะไรพิเศษรึไง ถึงต้องให้ฉันออกจากบ้านเวลานี้มันเกือบเที่ยงคืนแล้วนะ มาถึงร้านสวีทตริม ในร้านปิดไฟเงียบ ฉันกับน้ำแข็งลงจากรถ ตอนนี้ยืนอยู่หน้าร้าน

“ก็บอกแล้วว่าไม่ทันหรอก กลับกันเหอะ” ฉันว่าพลางหมุนตัวจะโบกรถ แต่ต้องชะงักเพราะเพื่อนตัวดีจับมือฉันไว้ก่อน

“เอาน่าลองเข้าไปก่อน” จะเข้าไปทำไมกัน ในเมื่อร้านปิดไฟเงียบขนาดนี้น่ากลัวจะตายไม่เอา

“มา มา มา เข้าไปกันเถอะ” ปล่อย ปล่อยนะ น้ำแข็งฉันไม่อยากเข้า ฉันไม่ใช่ควายนะจะได้เล่นลากกันง่ายๆแบบนี้

แกร๊ก ประตูไมได้ล็อคนี่นา หมายความว่าไง น้ำแข็งปล่อยมือฉัน เดี๋ยว...มันมืดน่ากลัว มือตัวเองยังมองไม่เห็นเลย

“น้ำแข็งปล่อยมือฉันทำไม”

“.......” เงียบ....

“อย่าแกล้งกันแบบนี้สิ” ฉันจะร้องแล้วนะ พรึ่บ เสียงเปิดไฟตามด้วยเสียงเอ่อ....

“
แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ทู้ ยู แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ ทู้ ยู แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ แฮปปี้ เบิร์ดเดย์..... แฮปปี้ เบิร์ดเดย์..... แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ ทู้ ยู”

“สุขสันวันเกิดนะ ยูกิโกะ” อ๋อ ฉันลืมไปเลยว่าวันนี้เป็นวันเกิดฉันมิน่าน้ำแข็งถึงได้ทำตัวมีพิรุธ เพื่อนใครเนี่ยทำตัวได้น่ารักจริงๆ ห้องถูกตกแต่งด้วยลูกโป่ง คนถือเค้กคือเพื่อนของฉันเอง

“เป่าเค้กแล้วอธิฐานสิ” น้ำแข็งบอกพลางยื่นเค้กมาใกล้หน้าฉัน

“ฟู่ฟฟฟฟฟฟฟฟฟ” ขอให้เจอเพื่อนดีๆทีเถอะ เพื่อนที่เชื่อใจก็พอแล้ว

เอ....คนที่จัดงานวันเกิดของฉันมีใครบ้างนะฉันกวาดสายตามองรอบๆ ก็มีคุณป้าเจ้าของร้าน น้ำแข็ง เพื่อนพนักงานคนอื่นๆ ซาโตริ!!!ริมิ!!!และเอ่อ....นากาเนะ!!! พวกนี้มาได้ยังไงแถมใส่ชุดนักเรียนด้วย เอ้อ..ลืมไปวันนี้วันศุกร์ คนบอกต้องเป็นน้ำแข็งแน่ๆ ฉันหันไปหาน้ำแข็งอย่างเอาเรื่อง

“เธอบอกพวกซาโตริเหรอว่าวันนี้วันเกิดฉัน”

“ใคร??? ไม่รู้ไม่ใช่ฉัน” ไม่ต้องมาทำเสียงสูงเลยนะ

“ยูกิโกะ เธอหายดีแล้วเหรอ” นากาเนะ...

“เออ....” ต้องเย็นชาไว้

“ดีจังเลยนะจ๊ะเมื่อวานริมิเป็นห่วงแทบแย่”

“หายก็ดีแล้วพวกฉันห่วงเธอมากนะ สรุปวันเสาร์นี้เธอว่างมั้ย” อันนี้ของซาโตริตื๊อจริงๆเลยแม่คนนี้ บอกตามตรงนะฉันดีใจมากเลยล่ะ นี่มันเหมือนฝันการที่นักร้องที่ฉันชื่นชอบจะมาเป็นห่วงฉัน การที่มีคนเป็นห่วงมากขนาดนี้มันเหมือนฝันที่เป็นจริง เพราะเมื่อก่อนเวลาฉันเย็นชากับใครก็ตามจะไม่มีใครมาตามตื๊ออย่างนี้ฉันอยากจะร้องไห้ แต่ยังไงฉันก็ไม่สามารถไปเที่ยวหัวหินกับพวกซาโตริได้หรอก ขืนไปเที่ยวมีหวังฉันอดได้เงินในส่วนที่ต้องหยุดแล้วไปเที่ยวกันพอดี

“.........” ฉันยังคงความเย็นชาได้เหมือนเดิม

“สิ่งที่เธอทำอยู่ตอนนี้มันมาจากใจจริง ของเธอใช่มั้ย” นากาเนะถามฉัน

“อืม”

“บางครั้งคนที่เก็บอะไรไว้คนเดียว อาจคิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง แต่ผิดแล้วล่ะ เพราะบางครั้งการกระทำของคนๆนั้นอาจจะกำลังทำให้ตัวเองเจ็บปวดแล้วคนที่เป็นห่วงเจ็บปวดก็ได้ เธอฟังแล้วเก็บไปคิดด้วยล่ะ” ขอบใจนะนากาเนะแต่ฉันไม่อยากเสียพี่ชินจิ เออแต่ว่าพูดถึงพี่ชินจิตอนนี้เป็นไงบ้างก็ไม่รู้

“.......” ฉันยังเงียบเหมือนเดิม จนเวลาล่วงเลยมาถึง ตอนให้ของขวัญ น้ำแข็งซื้อกระปุกให้ฉันส่วนป้าผู้จัดการร้านซื้อกระเป๋ายี่ห้อดังให้ นอกเหนือจากนั้นก็เป็นพวกอุปกรณ์การเรียนบ้าง รองเท้าบ้าง แต่....พวกซาโตริไม่เห็นให้อะไรฉันเลยนี่นา ฉันกวาดสายตามองหาซาโตริ ริมิ หรือนากาเนะ ไม่เห็นแม่เงา หายไปไหนอ่ะ

“เอาล่ะ ยูกิโกะฉันจะมอบบทเพลงนี้ให้เธอ คนหาเพลงคือซาโตริ คนแปลงเนื้อคือริมิ คนร้องคือฉันเอง ฟังแล้วคิดตามซะแล้วเธอจะรู้ว่าพวกเรารู้สึกยังไง” เสียงดนตรีค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ทำนอนแบบนี้ฉันรู้จักดี มันคือเพลงความเฉยชาคือการบอกลาโดยไม่ต้องออกเสียงใด เป็นของเต้น นรารักษ์ น้ำแข็งเคยร้องเป็นภาษาอังกฤษให้ฉันฟังอยู่

“
ฉันไม่ได้ยินอะไร เธอไม่เคยจะพูดอะไร


ได้ยินเพียงแค่ใจของคนเย็นชา

ถึงเธอไม่บอกอะไร ก็คงมีค่าเท่าๆกัน

เมื่อเธอเขียนคำๆนั้นในแววตา



ก็ไม่ได้รู้ซึ้งแค่รู้สึก ปากเธอไม่ตรงกับใจ


เธอคงไม่รู้การบอกรักเพื่อน ต้องบอกวิธีใด

ให้ฉันบอกให้ไหมฉันรู้ดี

ความเย็นชาต้องถูกละลายด้วย เสียงบทเพลงนี้

ท่าทีที่เธอแสดง เธอแค่แกล้งทำ

เธอไม่ต้องเอ่ยคำใด เพราะหัวใจเรียกร้องอย่างชัดเจน


เย็นใส่ฉัน ทำลงไปเพื่ออะไร ถึงเธอจะเย็นจะชา

ก็อยากจะเป็นเพื่อนกับเธอ

ฉันได้ยินใจเธอแล้ว เสียงใจที่เธอมี


หัวใจเธอตอนนี้กำลังร้องไห้ ” ฉันตื้นตันจังเลยไม่เคยมีใคร

ทำให้ฉันอย่างนี้มาก่อน อยากจะร้องไห้ ไม่ได้นะฉันจะร้องไม่

ได้ ฉันจะร้องไม่ได้

“ฮือออออออออออ ฮืออออออออออออ” ฉันกลั้นมันไว้ไม่อยู่ ทำไงได้ก็นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ฉันเคยได้รับในชีวิตเชียวล่ะ







พอดีเมื่อเช้าว่างๆ ก็เลยนั่งปั่นนิยายซะเลยครับ ตอนนี้อาจจะแปลกๆซะหน่อยนะครับ ต้องขอขอบคุณเพลงของคุณเต้น นรารักมากๆเลยครับ





บทที่ 6 วันเกิดสุดแสนจะเจ็บปวด




SATORI ซาโตริ

“บอกแล้วว่ายูกิโกะจะต้องร้องไห้”นากาเนะ...

“ต้องทำให้ยูกิจังพูดความรู้สึกจากใจไม่ใช่เหรอจ๊ะ ไม่ใช่

ร้องไห้”

“แต่ก็สำเร็จเหมือนกันแหละน่า” มันเกินความคาดหมายนะ

เนี่ย ยังคิดอยู่เลยว่าจะสำเร็จรึเปล่า

ติ๊ดดดดดดดดดดดด มือถือใครดังอ่ะ

“ค่ะ ยูกิโกะพูดสายอยู่ค่ะ” มือถือของยูกิโกะนั่นเอง

“จริงเหรอคะ” เอ๊ะ ยูกิโกะทำไมทำหน้าทำตาเหมือนญาติ

ใครเสียงั้นแหละ

“ไม่จริง ไม่จริง!!!” ยูกิโกะกรีดร้อง ก่อนจะวิ่งออกไปนอก

ร้านสร้างความฉงนให้กับใครหลายคนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ผม นากาเนะและริมิ วิ่งตามไปติดๆ น้ำแข็งก็ด้วย

“เฮ้ย จะไปไหนยูกิโกะ” ผมถามเธอ พอออกมาข้างนอก

เห็นเธอกำลังขึ้นรถแท็กซี่

“เรื่องของฉัน” ผมขึ้นรถแท็กซี่และบรรดาสาวๆที่เหลือก็ขึ้น

ตามกันมา

“พวกเธอจะขึ้นมาทำไม”

“เพราะเป็นเพื่อนไง” ผมตอบ

“ไปโรงบาล xxxค่ะ” เธอหันไปบอกคนขับ โรงพยาบาลที่ยู

กิโกะไปอยู่ไม่ไกลจากร้านสวีทตริมเท่าไหร่ ประมาณสิบนาที

พวกเราก็มาถึงโรงพยาบาล xxxยูกิโกะรีบกระโดดลงจากรถ

ตรงเข้าโรงพยาบาลทันที โดยมีพวกนากาเนะตามไปติดๆ ดูสิ

พวกนี้เล่นวิ่งตามไปก่อนต้องลำบากผมจ่ายค่าแท็กซี่อีก ผม

ยื่นแบงค์ร้อยสองใบแล้วตรงเข้าโรงพยาบาล ถึงหน้าเค้าต์

เตอร์พวกยูกิโกะหายไปไหนแล้ว

“ทางนี้จ้ะ ซาริจัง” ริมิยืนควักมือเรียกผมตรงทางบันได

ก่อนจะเดินนำผมไปห้องไอซียู ที่หน้าห้องยูกิโกะนั่งร้องไห้

สองมือจับชายกระโปรงแน่น น้ำแข็งนั่งปลอบอยู่ข้างๆ นา

กาเนะกำลังเอ่อ....กระชากคอเสื้อปริทาด้า!!!

“ข้างในใคร” ผมเอ่ยถามร่างบางที่นั่งน้ำตาตกอย่างน่า สงสาร

“ฮึก พี่ฉันเอง ฮึก ฮือออออออออออออ”

“บอกมาเซ่ว่าจะช่วยพี่ยูกิโกะได้ยังไง”

“แป๊ปนึงนะเจ้าคะ” ปริทาด้าปัดมือของนากาเนะออก แล้วตรงไปจับหัวน้ำแข็ง ทันใดนั้นแสงสีฟ้าแผ่ออกมาจากมือของปริทาด้า

“เธอทำอะไรน้ำแข็ง ฮึก”

“ทำให้หลับเจ้าค่ะ”

“บอกมาสักทีสิ” นากาเนะกระฟัดกระเฟียด

“ท่านยูกิโกะ อิฉันสามารถทำให้สิ่งที่ท่านปรารถณาเป็นจริงได้”

“จริงเหรอ ทำได้จริงๆเหรอ ฮึก” สำหรับยูกิโกะแล้วมันก็

เหมือนกับเชือกเส้นสุดท้ายมีโอกาสเพียงครั้งเดียวและเธอ

ต้องคว้ามันให้แน่น ไม่ว่าปลายเชือกเส้นนั้นจะพาเธอไปไหน

ก็ตาม

“อธิฐานสิเจ้าคะ”

“ฮึก ขอร้องล่ะขอให้พี่ของฉันหายจากการทรมานนี่ทีเถอะ”

แสงสีม่วงส่องแสงเรืองรองจากตัวของยูกิโกะ เธอดูไม่เจ็บ

ปวดเลย ทำไมตอนผมขอมันโคตรจะทรมานเลยนะ แท่งโซล

ริมิทของเธอเป็นสีม่วง

“ท่านยูกิโกะเป็นมิสเทสแล้วเรียบร้อยเจ้าค่ะ” แสงหายไป

แล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แกร๊ก นางพยาบาลเปิด

ประตูออกมา หรือว่าพี่ของยูกิโกะจะหายแล้ว งั้นทำไมต้อง

เดินหน้าดำคร่ำเครียดออกมาด้วยล่ะ

“พี่ของฉันเป็นไงบ้างคะ” ยูกิโกะตรงเข้าถามทันที

“เอ่อ....คนไข้อาการทรุดหนักลงกว่าเดิมอีกค่ะ” สิ้นสุดคำ

พูดของนางพยาบาลยูกิโกะก็ทรุดตัวลงไปกองกับพื้นด้วยเช่น

กัน ทำไมนะวันนี้เป็นวันเกิดของยูกิโกะไม่ใช่เหรอ มันควรจะ

เป็นวันที่เธอมีความสุขที่สุดสิ ไม่ใช่ต้องมานั่งร้องไห้แบบนี้สัก

หน่อย พระเจ้าช่างใจร้าย นางพยาบาลเดินกลับเข้าไปเหมือน

เดิม

“เฮ้ พรบ้าอะไรเนี่ยไม่เห็นเป็นไปตามนั้นเลยนี่นา”นา

กาเนะกระชากคอเสื้อของสาวเมดอีกรอบ เฮ้ย อย่าตบกัน

“พรสัมฤทธิ์ผลแล้วเจ้าค่ะ”

“ตรงไหนที่เรียกว่าสัมฤทธิ์ผลกันยะ อ้อ...โกหกใช่มั้ย” นา

กาเนะง้างมือเตรียมตบ

“ถ้าพรข้อนั้นได้ผลแล้วทำไมพี่ของยูกิจังยังไม่หายล่ะจ๊ะ”

ริมิถามขัดขึ้นมา ก่อนที่นากาเนะจะตบหน้าปริทาด้า

“พี่ของท่านนากาเนะหายจากโรงร้ายแล้ว แต่ที่อาการทรุด

หนักลงเป็นเพราะปีศาจฝันเจ้าค่ะ”

“ปีศาจฝัน!!!” ยูกิโกะโพล่งขึ้นมาพลางเช็ดน้ำตา อย่าบอก

นะว่ายูกิโกะเคยเจอกับมัน

“สรุปว่าปีศาจมันอยู่ในฝันของพี่ยูกิโกะ” ผมออกความคิดเห็น

“เข้าใจถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ และอิฉันมีวิธีที่จะส่งพวกท่านเข้าไป จัดการกับมันเจ้าค่ะ”

“บอกอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็จบ” นากาเนะคลายมือออกจากคอ

เสื้อของปริทาด้า ปริทาด้าจัดการยื่นมือไปแตะหัวนากาเนะ

สาวขี้วีนของเราลงไปนอนกองกับพื้นทันที

“ต่อไปใครเจ้าคะ”

“ฉันเอง” ยูกิโกะเสนอตัว ปริทาด้ายื่นมือไปแตะหัวยูกิโกะ

แป๊ปเดียวยูกิโกะก็สลบตามนากาเนะไป

“ริมิเองจ้า ซาริจังไปพร้อมกับริมิเลยน้า”

“อืม” ว่าแล้วริมิ จูงมือผมไปให้ปริทาด้าแตะหัว มันไม่รู้สึก

เจ็บเลยแต่มันรู้สึกชาๆ ก่อนทุกอย่างจะค่อยๆมืดลงเหมือนมี

ใครมาปิดไฟ

นางพยาบาลสาวเดินออกมาจากห้องไอซียู เพื่อจะแจ้งถึง

อาการของชินจิให้ทราบแต่ก็..

“พวกคุณเป็นอะไรกันคะ”นางพยาบาลเขย่าร่างของสาวๆที

ละคนและก็เอามืออังจมูกด้วย

“ม...ไม่หายใจ” ทุกคนไม่หายใจหมด ยกเว้นน้ำแข็ง ปริทา

ด้าหายไปไหน??? นางพยาบาลกลับเข้าไปในห้องไอซียูอีก

ครั้ง

“แย่แล้วค่ะหมอ ญาติคนไข้เป็นลมค่ะ จะให้ทำยังไงดีคะ”

นางพยาบาลบอกอย่างร้อนรน หมอฟังไปด้วยผ่าตัดชินจิไป

ด้วยอย่างคล่องแคล่ว

“แค่เป็นลมคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

“แต่หัวใจไม่เต้นด้วยนะคะ” หมอตาโตทันที

“พาเข้าห้องไอซียูด่วน เร็ว!!!” หมอออกคำสั่ง ด้วยความ

ชำนาญ พลางคิดในใจว่าวันนี้มันอะไรกันนักหนา





ในฝันของชินจิ

ผมลืมตาขึ้นมาภาพตรงหน้าคือ...

“ซาริจัง!!!” ริมิ... ผมมองไปรอบๆมีแต่หญ้า และแค่ผมกับริมิ

“ผมยังไม่ตายสักหน่อย” มีริมิคนเดียวที่รู้ว่าผมเคยเป็น

ผู้ชายมาก่อน ไม่ใช่ตุ๊ดนะแต่เพราะผมขอพรกับปริทาด้าเลย

ต้องกลายเป็นผู้หญิง และในเมื่ออยู่กันสองคนผมขอแทนตัว

เองว่าผมหน่อยเถอะ

“จริงๆนะ”

“อืม” ริมิดึงผมให้ลุกขึ้นยืน ตรงที่ผมอยู่มันเป็นเนินเขาพอ

มองลงไปข้างล่างมีแต่ตึก

“แล้วคนอื่นๆล่ะ”

“ริมิไม่เห็นใครเลยนอกจากซาริจังจ้ะ” เป็นไปไม่ได้ก็เข้า

กันตั้งสี่

“พวกเราอยู่ในฝันของพี่ ยูกิโกะใช่มั้ย”

“คงงั้นมั้งจ๊ะ”

“ผมว่าพวกเรา..โอ๊ย” ริมิหยิกแขนผม เจ็บอ่ะผมทำอะไรผิด

“ริมิบอกแล้วไงจ๊ะว่าอย่าแทนตัวเองว่าผม”

“ครับๆเอ๊ยค่ะๆ” ริมิโหดร้ายอะ ยัยเนื้อคู่บ้า โค

รมมมมมมมมมมมมมมมมมม อยู่ดีๆตึกก็ถล่มลงมาต้องเป็น

ตรงนั้นแน่ๆเลย นั่นไงมีผู้หญิงอยู่ด้วยผมสีดำในมือถือเคียวสี

เงินเหมือนเคียวของยมทูตต้องเป็นยูกิโกะแน่ๆ กำลังสู้กับ

ปีศาจกระต่ายสีชมพูที่สวมหมวกทรงสูงสีดำ ตัวมันเล็ก จึง

คล่องแคล่วที่จะหลบการโจมตีของยูกิโกะในขณะที่มันหลบก็

ต่อยกลับมาครั้งละหมัด ผมไม่รอช้าจูงมือริมิวิ่งไปตรงนั้น

ทันที

วิ่งมาได้สักพักจนเข้ามาในเมืองเจอนากาเนะนอนเจ็บอยู่ข้าง

ตึก ผมแกละที่มัดไว้หลุดข้างนึง ขาเธอเจ็บด้วย

“ไม่เป็นไรนะจ๊ะ” ริมิถลาเข้าไปหาทันที

“แค่นี้ฉันไม่ตายหรอกน่า อึก” เจ็บก็บอกว่าเจ็บสิ

“ทำเป็นปากดี”

“อะไรเล่ายัยถั่วเน่า” ถั่วเน่านินะ ตึง

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาา” เสียงยูกิโกะ ผมหันไปมองเห็น

เธอกระเด็นหายเข้าไปในตึก

“ยัยถั่วเน่า ช่วยยูกิโกะด้วยนะ” สีหน้านากาเนะดูไม่ดีเลย

“จะตายแล้วเหรอ ถึงได้สั่งเสีย” นากาเนะ ทำหน้าถ***ทึง

ใส่ผม

“ยังไม่ตายหรอกย่ะ พูดแบบนี้ฉันไปช่วยยูกิโกะเองก็ได้ ริมิ

ช่วยพยุงหน่อยสิ” ว่าแล้วก็จับมือริมิ ผมดันตัวนากาเนะให้นอน

ลงตามเดิม

“ฉันล้อเล่น ก็เห็นหน้าตาเธอเมื่อกี๊แล้วมันดูไม่ใช่ตัวเธอยัง

ไงไม่รู้”

“ฉันเคยทำหน้าแบบนั้นด้วยเหรอ” ยัยผมแกละ ยิ้มอย่างรู้

ในการกระทำของผม

“ริมิฝากดูแลนากาเนะด้วยล่ะ”

“จ้ะ ซาริจังสู้ๆนะ” ผมวิ่งขึ้นไปบนตึกที่ยูกิโกะกระเด็น

เข้าไป เดินเข้าห้องนู้นออกห้องนั้นในที่สุดก็เจอ

“ยูกิโกะเธอเป็นอะไรรึเปล่า”

“น..นิดหน่อย” ตอบมาได้ เห็นกันอยู่โต้ง ยูกิโกะนั่งพิง

กำแพงแบบหมดสภาพ

“ไอ้ปีศาจล่ะ อึก” ด..โดนเต็มๆเลยผม เล่นต่อยท้องกัน มัน

เจ็บนะ ปีศาจตั้งท่าจะเข้ามาซ้ำอีกรอบแต่ผมกดเปิดนาฬิกา

พก กึก ทุกอย่างก็ถูกหยุดเวลา ผมจัดการสาดกระสุนปืนรีวอล

เวอร์ ไม่ยั้ง ก่อนจะกดปิดนาฬิกาและทุกอย่างก็กลับมาเดิน

เหมือนเดิม กึก ปีศาจพรุนไปทั้งตัวมันตายแล้วชัวร์

“เก่งมาก เก่งมาก ” แปะๆๆ เสียงใครตบมือ ผมหันไปมอง

เจ้าของเสียง คือชายแก่อย่างไม่ต้องสงสัยก็ผมลุงแกขาวซะ

ขนาดนั้นแถมแต่งตัวชุดสูทโคตรหรู

“อัก” ยังไม่ทันได้ถามอะไรชายแก่ตรงเข้ามาด้วยความเร็ว

สูงปล่อยหมัดใส่ท้องผมหนึ่งที โอย ต่อยตรงอื่นไม่เป็นรึไงฟะ

“เท่านี้เธอก็ไม่สามารถหยุดเวลาได้แล้ว” หยุดเวลา???

ทำไมจะหยุดไม่ได้ก็ในเมื่อผมมีนาฬิกาพก.....อ้าวหายไปไหน

นาฬิกาผมมันหายไปแล้ว

“มองหาอะไรอยู่เหรอ” เสียงทุ้มพูดเย้ยหยัน พลางชู

นาฬิกาพกสีแดงสดขึ้น เมื่อกี๊แน่เลยที่มันต่อยผมแล้วก็ขโมย

นาฬิกาไป

“ตอนที่เธอสู้อยู่ฉันสังเกตตลอดเวลาเลยนะ ว่าถ้าไม่เปิด

นาฬิกานี่ก็จะหยุดเวลาไม่ได้” บ้าน่า แสดงว่ามันดูมาตั้งแต่

ตอนแรกแล้วน่ะสิ ขนาดผมยังไม่รู้ตัวเองเลยว่ามีจุดอ่อนแบบ

นี้ด้วย

“เอาละนะ” สิ้นเสียงของลุงแก่ มันก็ตรงเข้า ประเคนหมัด

ให้ผมไม่ยั้ง หมัดแรกผมหลบได้อย่างงดงามแต่ไม่พ้นหมัดที่

สองกับลูกเตะที่ตามเป็นชุด นี่มันไม่เห็นผมเป็นผู้หญิงอยู่ใน

สายตาเลยรึไง ต่อยเอาต่อยเอาอย่างเดียว เจ็บนะโว้ย

ยยยยยยยยยยยยยยยย!!!

“รับนี่ไป แล้วขอให้หลับฝันร้ายด้วยนะ” ปีศาจฝันตั้งท่าจะ

แทงเข่า ผมเห็นดังนั้นจึงยกแขนไขว้ตั้งป้องกันไว้ ปึก ผม

กระเด็นไปติดกำแพงปืนหลุดมืออีกต่างหากแต่ช่างมันเหอะ

ถือไปก็ยิงมันไม่โดนเร็วอย่างกะอะไรดี



“ปืนนี่สวยดี ขอนะ” เฮ้ย มันเก็บปืนขึ้นมาแล้วจ่อมาทางผม

ตาย ตาย ตาย ตาย ตายแน่ ผมหลับตาปี๋ไม่รอดแล้วแหละ ฉึก

“อ๊ากกก” เสียงปีศาจฝันนิ ผมลืมตาดู เห็นยูกิโกะใช้เคียว

แทงทะลุท้องของมัน ปีศาจฝันเลือดไม่ไหล มันหันกลับไปทำ

หน้ายักใส่ยูกิโกะพลางผลักยูกิโกะจนล้มลง ปลายกระบอกปืน

กำลังเล็งยูกิโกะอยู่ ทุกอย่างเหมือนช้าไปหมด ปีศาจฝันค่อยๆ

ขึ้นนกและค่อยๆเหนี่ยวไกอย่างช้าๆ ไม่นะ ไม่นะ มันจะต้องไม่

เป็นอย่างนี้ ไม่มมมมมมมมมมมมมมมมมมม

กึก เวลาหยุดแล้ว ทำไมล่ะผมมองนาฬิกาพกที่อยู่ใน

มือปีศาจ มันเปิดเองได้ แสดงว่าต่อให้ผมไม่กดเปิดเอง แต่

หากตัวผมต้องการจะหยุดเวลาก็สามารถหยุดได้เหมือนกัน ดี

ล่ะ ผมยันตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วตรงไปหยิบนาฬิกากับปืนรีวอล

เวอร์คืน ก่อนจะเล็งปืนคู่ใจไปที่กบาลมันแล้วลั่นไกลซะ ปัง

เวลากลับมาเดินอีกครั้ง คราวนี้มันตายชัวร์ๆ ปีศาจกลายเป็นก

ระดาษ ก่อนจะกลายเป็นกุญแจสีดำสนิท ผมหยิบมันมาดู

“ส่งมาให้อิฉันเจ้าค่ะ” ปริทาด้า...

“กุญแจนี่เอาไปทำอะไร”

“เอาไว้ใช้เข้าหอคอยซาบิน่าเจ้าค่ะ”

“อะไรคือหอคอยซาบิน่า”

“เอาไว้อธิบายทีหลังเจ้าค่ะ” ก็ได้ ผมโยนกญุแจให้ปริทา

ด้า เธอรับมันไปเก็บใส่กระเป๋ากระโปรง

“ไปกันเถอะยูกิโกะ” ผมพยุงยูกิโกะที่บาดเจ็บ ผมก็เจ็บนะ

แต่พอดีเจ็บน้อยกว่า เดินลงไปหาริมิกับนากาเนะที่อยู่ข้างล่าง

โดยมีปริทาด้าตามมาติดๆ หวังว่าวันนี้ยูกิโกะจะไม่เจอเรื่อง

ร้ายๆอีกแล้วนะ

“เฮ้ ริมิมาช่วยกันหน่อยสิ”

“ริมิไม่ว่างรักษานากะจังอยู่” เออ ลืมไป

“ให้พี่ช่วยมั้ย” เสียงผู้ชาย ตะโกนกลับมา บอกได้คำเดียว

หน้าตาดีกว่าตอนที่ผมเป็นผู้ชายเยอะ(อิจฉาละซี้)

“พี่คะ” ยูกิโกะวิ่งไปหาคนที่เธอเรียกว่าพี่แบบลืมความเจ็บปวด หรือว่ายูกิโกะฟอร์มเจ็บหว่า

“พี่ยังไม่ตายใช่มั้ยคะ”

“เอ่อ.....” อ้ำๆอึ้งๆอะไรเล่าตอบยูกิโกะเซ่

“กลับไปกับหนูนะคะพี่”

“พี่คงกลับไปด้วยไม่ได้ พี่ตายแล้ว” ยูกิโกะน้ำตาคลอทันที

เธอกำลังพยายามกั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เธอพร้อมร้องไห้ทุกเมื่อ

“ไม่จริงใช่มั้ย พี่ล้อเล่นแน่ๆ ก็หนู.....ขอพรให้พี่หายจาก

โรคแล้วนี่นา...” ยูกิโกะเสียงสั่นเครือพลางมองหน้าปริทาด้า

“โรคของชินจิหายแล้วเจ้าค่ะ แต่ที่ชินจิตายก็เพราะปีศาจ

ฝัน พวกเราเข้ามาช้าไปเจ้าค่ะ” ยูกิโกะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่

ได้ยินแน่ๆ ผมก็เหมือนกันอุตส่าทำขนาดนี้แต่กลับสูญเปล่า

รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตักน้ำออกจากเรือที่มีรอยรั่วอยู่เลย ยิ่ง

ตักเท่าไหร่น้ำก็ไม่มีวันหมดจากเรือสักที

“พี่ขอโทษ พี่ตายแล้วจริงๆ”

“แล้วหนูจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีพี่ หนูไม่อยากอยู่คนเดียว ได้

โปรดกลับไปกับหนูนะคะ” ชินจิมองหน้าน้องสาวอย่างหนักใจ

ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นยิ้มเอ็นดู

“ยูกิเคยบอกพี่ใช่มั้ยว่าพวกเพื่อนแค่คบกันไปวันๆไม่มีใคร

จริงใจสักคน” ยูกิโกะพยักหน้า

“งั้นยูกิลองมองไปรอบๆสิ ตอนนี้ยูกิไม่ได้อยู่คนเดียว แต่

ยังมีเพื่อนที่รักยูกิ ยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อเข้ามาช่วยพี่พร้อม

กับยูกิโกะโดยไม่ลังเล ยูกิลองถามดูสิว่ามีใครไม่เต็มใจมั่ง”

ยูกิหันมามองพวกเราทีละคน

“ริมิเต็มใจอยู่แล้วจ้า” ริมิตอบพลางยิ้มหวาน

“ฉันก็เต็มใจย่ะ” นากาเนะตอบเหมือนไม่เต็มใจเลยแฮะ

“เพื่อเพื่อนฉันทำได้ทุกอย่าง” อันนี้ของผม

“เห็นไหม พี่บอกแล้ว ลาก่อนนะยูกิ น้องของพี่ พี่รักยูกิโกะนะ”

“หนูรักพี่นะคะ” ทั้งสองสวมกอดกันน้ำตาที่ยูกิโกะกลั้นไว้

ไหลออกมาไม่ขาดสาย ด้วยความรักฉันพี่น้อง ทำให้ผมร้อง

ให้ตาม ริมิ กับนากาเนะเองก็เหมือนกันยกเว้นปริทาด้ามีความ

รู้สึกบ้างมั้ยเนี่ย ร่างของพี่ชินจิค่อยๆเลือนรางจนก่อนจะ

เปลี่ยนเป็นแสงสีทองจำนวนมากแล้วค่อยๆลอยขึ้นไปบน

ท้องฟ้าหายเข้าไปในกลีบเมฆ ยูกิโกะไขว้มือจับไหล่ตัวเอง

พลางมองแสงนั้นไม่กระพริบตา เธอยังคงร้องไห้ไม่หยุด

“รีบไปจากที่นี่กันเถอะเจ้าค่ะ ก่อนที่จะเข้าร่างกันไม่ได้” ปริทาด้า....

“หมายความว่าไง”

“การเข้ามาในความฝันไม่ใช่ว่าจะเข้ามาได้ง่ายๆนะเจ้าคะ

ต้องถอดวิญญาณออกมาและตอนนี้พวกท่านอยู่กันนานเกิน

ไปแล้วถ้าอยู่นานกว่านี้จะเข้าร่างไม่ได้เจ้าค่ะ” อ๋อเข้าใจและ

งั้นตอนที่ยัยนี่แตะหัวผมก็ไม่ใช่การทำให้หลับแต่เป็นการดึง

วิญญาณออกมา ทำไมไม่บอกกันก่อนฟะ

ครืนนนนนนนนนนนนนนน ครืนนนนนนนนนนนนนนน ท้องฟ้า

แตกเป็นเสี่ยงๆ ตึกถล่ม เกิดอะไรขึ้น!!!

“มันเกิดอะไรขึ้น”

“มิตินี้กำลังจะแตกเจ้าค่ะ เพราะชินจิไม่อยู่แล้ว หรือเรียก

อีกอย่างนึงว่าเมื่อคนที่ฝันไม่อยู่ โลกนี้ก็อยู่ไม่ได้เจ้าค่ะ”

อธิบายซะยืดยาว บอกแค่ว่ามิติจะแตกก็จบ

“จะออกจากที่นี่ยังไง” ผมถาม

“ที่เนินเขามีประตูอยู่เจ้าค่ะ” เนินเขา??? ต้องเป็นตรงที่ผม

ตื่นแน่ๆ

“อีกนานมั้ยกว่ามิตินี้จะพังโดยสมบูรณ์” ปริทาด้าเงยหน้า

มองท้องฟ้า แล้วหันมาตอบผม

“ภายในสิบนาทีเจ้าค่ะ” ส....สิบนาที!!! จะไปยังไงฟะเนี่ย

ยูกิโกะกับนากาเนะก็บาดเจ็บอีก กว่าจะไปถึงมันจะหมดเวลา

ก่อนน่ะสิ ผมร้อนรนแบบสุดๆ นั่งยองๆกุมขนับจะทำไงดี จะทำ

ยังไงดี๊

“ไปไม่ทันหรอก” ผมเอ่ยออกอย่างจนปัญญา

“ซาริจัง ใช้หยุดเวลาสิจ๊ะ” หัวแหลมมากริมิ สมแล้วที่เป็น

เนื้อคู่ของผม(มีอวยกันด้วย) เอาล่ะ......เฮ้ย ลืมไปถ้าผมหยุด

เวลาทุกอย่างก็หยุดมีแต่ผมที่ขยับได้น่ะสิ เดี๋ยวนะถ้าลองวิธีนี้

ล่ะ....

“ริมิจับแขนผมไว้แล้วริมิก็จับแขนนากาเนะ นากาเนะเธอ

จับยูกิโกะอีกทีนึง” ทุกคนทำตามผมอย่างงงๆ ผมจับแขนปริ

ทาด้า หวังว่าจะได้ผลนะ กึก เวลาหยุดเรียบร้อยผมกวาด

สายตามองเพื่อนๆ ไม่มีใครถูกหยุดเวลานอกจากสิ่งของรอบๆ

ตัวเท่านั้น

“ว้าววววว พลังของซาริจังสุดยอดไปเลย” ริมิพูดอย่างตื่น

เต้น ผมพยุงนากาเนะ ริมิพยุงยูกิโกะ พวกเราพากันเดินไปที่

เนินเขาแบบเนิบ

“ท่านซาโตริดูแท่งโซลริมิทด้วยนะเจ้าคะ ว่าเหลือเท่า

ไหร่” เออจริงด้วย ผมหยิบมันออกมาดูเหลือเกินครึ่ง และมัน

กำลังลดลงเรื่อยๆ แต่ลดช้ามาก

“พวกเรารีบไปกันเถอะ” ผมเร่งทุกคน แน่นอนว่าคนที่ตามหลัง ผมมา เร่งฝีเท้าขึ้นอีก โซลริมิทของผมคงจะไม่หมดซะก่อนนะ

มาถึงเนินเขาหลังโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อย

“ไหนประตูที่ว่า” ไม่เห็นมีประตูอยู่เลย

“ตรงนี้เจ้าค่ะ” ปริทาด้าบอกพลางแตะต้นไม้ แตะต้นไม้

แตะมันทำไมคงจะมีประตูโผล่ออกมาให้เราใช้หรอกเนอะ

ต้นไม้ต้นนั้นแหวกเป็นสองซีกประตูสีดำขอบประตูสีขาวโผล่

ขึ้นมา เฮ้ยโผล่มาจริงๆด้วย

“เข้าไปสิเจ้าคะ” ว่าแล้วผมก็เดินนำเข้าไปก่อน หลังจากนั้นประสาทสัมผัสของผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย ทุกอย่างมันมืดสนิท





บทที่ 7 “ความฝัน ความฝันแน่ๆมันเป็นเพียงความฝัน”



“ซาริจังไปเล่นน้ำทะเลกันเถอะจ้ะ” ริมิดึงแขนเพื่อนสาวให้ลุกมาด้วย

“ไม่ ฉันอยากนั่งอาบแดด” ริมิทำแก้มป่องๆ พลางสะบัดหน้าหนีจ้ำเท้าดังปึกๆ ลงไปเล่นน้ำทะเลกับนากาเนะและยูกิโกะ เล่นสาดน้ำดังซูซ่าเหมือนเด็กๆ สาวๆมิสเทสอยู่ในชุดบิกินียกเว้นซาโตริที่แต่งตัวด้วยกางเกงยีนขาสั้นเสื้อยืดสีขาว โดยให้เหตุผลว่าเป็นผู้หญิงไม่ควรแต่งตัวโป๊นัก(มันเคยเป็นผู้ชายนะ) หลังจากชินจิตาย ยูกิโกะมักนั่งตีหน้าเศร้าตลอดเวลาในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนั้นทิปมาเที่ยวหัวหินในคราวนี้ซาโตริหวังจะให้ยูกิโกะกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมอีกครั้ง และมันได้ผลเพราะยูกิโกะดูจะมีความสุขกับการเล่นน้ำทะเลเอามากๆเชียวละ ไม่เหลือคราบของยูกิโกะที่นั่งซึมกระทือได้ทั้งวัน

“ไม่ลงไปเล่นน้ำทะเลจริงๆหรือเจ้าคะ” เสียงเรียบเอ่ยถาม ปกติเธอจะอยู่ใจชุดเมดสีน้ำเงินแต่ตอนนี้ไม่ใช่เพราะภูตสาวใส่บิกินีสีน้ำเงินนั่งอาบแดดข้างๆซาโตริ

“อย่ายุ่งกับผมได้มั้ย” เจ้าของเสียงตัดความรำคาญ พูดแทนตัวเองว่าผมออกมาอย่างชัดเจนโดยไม่สนใจว่าจะมีใครเดินผ่านมาได้ยิน

“อารมณ์ไม่ดีเหรอเจ้าคะ”

“เปล่า แค่คิดอยู่ว่าถ้าพวกเราออกจากมิติฝันนั่นไม่ทันมันจะเป็นยังไง ต่อให้ออกมาได้แล้วถ้าเข้าร่างไม่ได้ล่ะ” ซาโตริ ว่าพลางนึกถึงเมื่อสองอาทิตย์ก่อน



ร่างของผู้หญิงผมสีแดงมีผ้าปิดหน้าสีขาวคุมอยู่ เธอเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง เหลือบไปเห็นป้ายตรงประตูห้อง

“ห้องดับจิต” ซาโตริร้องลั่น

“เราตายแล้วใช่มั้ย โอ๊ย แต่ก็ยังมีความรู้สึกนี่นา” ซาโตริว่าพลางใช้มือหยิกตัวเองอย่างแรง ฟุบ ร่างที่ถูกปิดด้วยผ้าคลุม ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สาวผมแดงแทบจะวิ่งหนี แต่พอเห็นใบหน้าของร่างนั้นเขาแสร้งเก๊กไม่กลัวไว้ก่อน

“เห พวกเราอยู่ที่ไหนเหรอจ๊ะ” ริมิ...สะลืมสะลือเหมือนคนพึ่งตื่น ช่างน่าแกล้งจริงๆ

“พวกเราตายแล้ว” สาวผมแดงตอบเสียงสั่น

“จ...จ....จะ..จริงเหรอจ๊ะ” เม็ดน้ำใสๆ คลอเบ้าตาสาวร่างบาง

“ล้อเล่น” สิ้นเสียงคนขี้แกล้งก็ตามด้วยเสียงทุบดัง ปักๆๆ

“โอ๊ย เจ็บๆๆๆๆ”

“เรื่องอย่างนี้...อย่าเอามาล้อเล่นได้มั้ยจ๊ะ เชอะ ริมิงอนซาริจังแล่ว” ริมิสะบัดหน้าหนีพลางหลับตากอดอก

“เฮ้ พวกเธอจะทะเลาะกันอีกนานมั้ยยะ” นากาเนะบ่น มองสองสาวตาขวาง

“ฮึก ฮือออออออออออออออออพี่ค้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!” ยูกิโกะแผดเสียงเรียกพี่ชายผู้ไม่มีวันกลับมาให้เธอได้เห็นอีกแล้ว สีหน้าบิดเบี้ยวที่นั่งปล่อยน้ำใสๆอยู่มุมห้องสร้างความทรมานใจให้กับนากาเนะไม่น้อย เพราะเธอทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมองเพื่อนสาวนั่งร้องไห้



กลับมาที่หาดแถวหัวหิน

“แต่ก็ทันนี่เจ้าคะ” เสียงที่ตอบกลับมาไม่ไร้โทนเสียงสูงต่ำจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่

“ว่าแต่กุญแจนั่นเอาไปทำอะไร” ซาโตริยิงคำถามถัดมา

“ท่าน ซาโตริยังจำหอคอยซาบิน่าที่อิฉันเล่าให้ฟังได้มั้ยเจ้าคะ” ภูตสาวว่าพลางดูดน้ำส้มจ๊วบๆ

“จำได้”

“หอคอยซาบิน่าประกอบไปด้วยชั้นหลักสี่ชั้น กว่าจะถึงชั้นหลักจะต้องผ่านชั้นรองห้าชั้น และระหว่างชั้นจะถูกกั้นด้วยขั้นบันไดสามสิบขั้น ถ้าไปถึงยอดหอคอยสามารถเปลื่ยนสิ่งที่เราต้องการได้อย่างนึงเจ้าค่ะ” ซาโตริผงะไปนิดนึงเมื่อคิดว่าต้องขึ้นไปบนหอคอยซาบิน่า โคตรสูงงงงงงงง

“มันขึ้นไปง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ง่ายเจ้าค่ะ ไม่ต้องสู้กับปีศาจไม่ต้องลำบากอะไรเลยเจ้าค่ะ” ปริทาด้าตอบเสียงเรียบแกนหัวเราะไม่สบตานายหญิงแห่งกาลเวลา โกหกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำไมล่ะ

“มีแค่นั้นจริงๆเหรอออออออออออออออออออ” ซาโตริลากเสียงยาวอย่างไม่เชื่อภูตสาวตรงหน้า

“ท่านซาโตริสายตายังคงเฉียบคมเช่นเดิมนะเจ้าคะ สมแล้วที่เป็นหัวหน้าของเหล่ามิสเทส” ภูตสาวยิ้มเล็กยิ้มน้อยเมื่อถูกจับได้

“ไม้ต้องมายิ้มเลยนะ ในหอคอยซาบิน่ามันมีตัวอะไรรออยู่กันแน่”

“บอกไม่ได้เจ้าค่ะ เพราะท่านซาโตริในอดีตเคยสั่งเอาไว้ว่ายังไงก็ห้ามบอกเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

“ถ้าผมสั่งให้บอกล่ะจะได้มั้ย”

“มันก็......” ปริทาด้าไม่ได้พูดประโยคสำคัญเพราะยัยเนื้อคู่เล่นวิ่งขึ้นมาฉุดกระชากซาโตริลงไปเล่นสาดน้ำทะเลด้วยกัน

“มันก็ได้แหละเจ้าค่ะ” ปริทาด้าพึมพำคำพูดตัวเองเบาๆ นึกขำนายหญิงแห่งกาลเวลาที่พยายามขัดขืนริมิไม่อยากลงไปเล่นน้ำทะเลสุดชีวิตไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา

“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีวันนี้เป็นวันโชคดีของพวกท่านเพราะทางหาดหัวหินได้มีเซอร์ไพส์แก่นักท่องเที่ยวทั้งหลาย....” เสียงพิธีกรบนเวทีประกาศพลางโบกไม้โบกมือเรียกบรรดามนุษย์ผอมสูงอ้วนเตี้ยดำขาวให้เข้ามาดูคำว่าเซอร์ไพส์ของเขามันจะยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหนกันเชียว

“รับรองได้ว่าแขกรับเชิญที่ทางหาดเราเชิญมานั้นจะต้องทำให้ใครหลายๆคนถึงกับอึ้งทึ่งเสียวและกรี๊ดสลบเลยที่เดียว พวกเขาเหล่านั้นก็คือวงดนตรีที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในตอนนี้คือวงมาสเตอร์คร้าบบบบบบบบ” จบเสียงพิธีกร ผู้ชายสี่คนเดินขึ้นเวที เรียกเสียงกรี๊ดได้เป็นระยะ สี่สาวมิสเทสมองไปตามเสียง แต่ไม่ได้ให้ความสนใจนักนอกจากเล่นสาดน้ำกันต่ออย่างเมามัน โอยยยยย พวกเธอจะสนอะไรมั่งมั้ยเนี่ย

บนเวทีสี่หนุ่มมาสเตอร์ยืนถือไมค์คนละตัวร้องเพลงพร้อมเต้นไปด้วย วงมาสเตอร์มีกันอยู่สี่คนประกอบไปด้วยเป๊ะโปะหัวหน้าวง ร้องเล่นกีต้าร์ เป็นผู้ชายหน้าหวานบวกกับผมที่ยาวเหมือนผู้หญิงนี่อีก หากจับใส่กระโปรงคงแยกไม่ออกเป็นแน่ คนถัดมามิส เล่นเบส หน้าตาโหดมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นนักเลงเสมอแต่ภายในจิตใจเป็นคนดีนะ

“ท่านริ ท่านริ” สาวๆตะโกนเรียกริเรียนหนุ่มแว่นกรอบทองผู้เป็นคนตีกรองคุมจังหวะ ผู้ไม่เคยหุบยิ้มแม้จะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม และคนสุดท้าย ยูซุรุ หนุ่มจากญี่ปุ่น มือกีต้าร์ระดับเทพประจำวง เป๊ะโปะมองแฟนเพลงด้วยสีหน้าชื่นมื่น

‘ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้วฉันนี่แหละที่หล่อที่สุดฮ่าๆๆๆๆ ไม่มีใครหรอกที่ไม่หลงเสนห์ผม แต่เอ๊ะ!!!ทำไมผู้หญิงสี่คนนั้นไม่มาดูผมร้องเพลง ทำไม ทำม้ายยยยยย’เป๊ะโปะเหลือบไปเห็น สาวๆมิสเทสเล่นบอลเล่บอลชายหาดกันอย่างสนุกสนาน(เมื่อกี๊เล่นสาดน้ำกันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ)ทั้งๆที่เสียงเพลงดังขนาดนี้แต่ทำไมพวกเธอถึงไม่มาหลงความหล่อของเขาล่ะ ไอ้หลงตัวเองเอ๊ย

“เสียงเพลงดังน่ารำคาญ คิดอย่างนั้นมั้ยจ๊ะซาริจัง” ริมิถามความเห็นสาวผมแดงพลางตบบอลเล่กลับไป

“อื้ม ฉันก็ว่างั้น” เสียงร้องเพลงกับดนตรีที่น่ารำคาญได้หยุดลงแล้ว เสียงตบอย่างชื่นชมจากแฟนเพลงดังเกรียวกราวสลับเสียงกรี๊ด

“มาวันนี้พวกคุณมีอะไรมาฝากแฟนๆมั่งครับ” พิธีกรถาม

“พวกเราอยากชวนสาวๆมาร้องเพลงด้วยกันครับ” เสียงพูดของเป๊ะโปะกลบความเงียบนั้นตามด้วยเสียงกรี๊ดอีกครั้งคำนวนได้เกินร้อยยี่สิบเดซิเบล

“เลือกฉัน/ฉัน/เป็นฉันได้มั้ย” ผู้หญิงต่างพากันเสนอตัวเอง เป๊ะโปะไม่ได้แยแสผู้หญิงเหล่านั้นเลยสักนิด สายตาของเขามองแต่เป้าหมายที่ได้เลือกไว้ก่อนแล้ว ว่าแล้วเป๊ะโปะพูดผ่านไมค์ทันทีพลางชี้มือไปยังกลุ่มเป้าหมาย ความซวยตกเป็นของสี่สาวมิสเทส

“ผู้หญิงสี่คนนั้นที่เล่นบอลเล่กันอยู่ช่วยขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ” แฟนเพลงหันไปมองตามมือของเป๊ะโปะเป็นตาเดียว เป็นจังหวะเดียวกันที่สี่สาวมิสเทสเลิกเล่นบอลเล่แล้วหันไปมองคนบนเวทีด้วยสายตาเกรี้ยวกราดกันแทบทุกคนยกเว้นริมิกับยูกิโกะ

“ขึ้นมาเลยครับ” เป๊ะโปะออกปากเรียกอีกครั้ง สีหน้าเขาในตอนนี้ออกแนวกวนประสาทเสียมากกว่า ซาโตริเดินนำหน้า ริมิเดินตามติดๆ และนากาเนะกับยูกิโกะเดินอ้อยอิ่งตามมาอย่างช้าๆ

มันอะไรกันเนี่ย ไอ้พวกมาสตงมาสเตอร์มันเกี่ยวอะไรกับแผนทำให้ยูกิโกะหายเศร้าด้วยฟะ มันนอกแผนชัดๆ อีกอย่างวงดนตรีพวกนี้ผมไม่ค่อยชอบด้วยเพราะว่าร้องเหมือนท่องเพลง แต่ผมไม่เข้าใจนะว่าคนพวกนี้ทนฟังของมันไปได้ยังไง หรือว่าที่เพลงมันขายออกเพราะหน้าตามากกว่ามั้ง ต้องใช่แน่ๆ

สาวๆมิสเทสยืนอยู่ขอบเวทีเนื่องจากเกลียดวงมาสเตอร์ ท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาที่ส่งมาเป็นระยะ

“เธอชื่ออะไร” สาวผมแดงถูกถาม

“ยามาชิตะ ซาโตริ”

“เธอเคยฟังเพลงของพวกเรามั้ย” เป๊ะโปะถาม

“ไม่เคย” ซาโตริตอบแทบทันที เรียกเสียงโห่ได้มากโข

“แล้วคนอื่นๆล่ะ”

“ไม่มีใครฟังเพลงของพวกนายหรอกย่ะ เหมือนท่องเพลงซะขนาดนั้น” นากาเนะโพล่งออกมา ไม่ใช่ซาโตริคนเดียวที่คิดว่าเพลงของวงมาสเตอร์ห่วย หนุ่มๆวงมาสเตอร์ผวาต่อท่าทีของสาวขี้วีน

“เอ....เธอเป็นนักร้องเหมือนกันใช่มั้ย” เป๊ะโปะทำหน้าทะเล้นเหมือนเด็กๆ แฟนๆส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดดังเวอร์อีกแล้ว กรี๊ดดดดดดดดดดดดด กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด

“ถ้าใช่จะทำไม” สาวผมแกละตอบเสียงแข็ง

“เปล๊าาาาาาาาาาาาาาา แค่อยากรู้ไว้ประดับหัว” ไอ้หน้าหวานทำเสียงสูงปี๊ด นากาเนะกำหมัดแน่น ซาโตริเห็นดังนั้นจึงกระซิบบอกนากาเนะว่า

“ใจเย็นๆน่า เธอไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ” นากาเนะผงศรีษะ ก่อนจะหันไปจับมือยูกิโกะแน่น

“นายเรียกพวกเราขึ้นมาทำไม” หัวหน้านายหญิงแห่งมิสเทสถามไอ้คนทะเท้นตรงหน้า

“ร้องเพลง อื๊ย ลืมไปพวกเธอร้องไม่ได้นิ งั้นเอางี้ดีกว่าพวกเธอลองสมมุติเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งกำลังจะเกิดกับหาดภายในอีกไม่กี่นาทีข้างนี้แทนแล้วกัน” หนุ่มหน้าหวานจงใจแกล้งอย่างชัดเจน

“เรื่องอะไรก็ได้ใช่มั้ยจ๊ะ” ริมิถาม

“อะไรก็ได้พูดมาเหอะ”

“มนุษย์ต่างดาวมาบุกโลกจ้า” ริมิเอ่ยด้วยสีหน้ามั่นใจเกินร้อย ยิ้มหวานของเธอเรียกเสียงฮือฮาจากหนุ่มๆได้เยอะ ทว่าก็เรียกเสียงโห่ปนคำด่าของสาวชาวแฟนเพลงวงมาสเตอร์ได้มากพอๆกัน

“พวกนายโดนยิงตายคาที่ทุกคนรวมแฟนคลับด้วยไม่มีใครรอดยกเว้นพวกเราสี่คนโอเคป่ะ” เป็นอีกครั้งที่วงมาสเตอร์พร้อมใจกันผงะโดยมิได้นัดหมาย สายตาอาฆาตนับร้อยส่งผ่านมายังนากาเนะแต่สาวเจ้ากลับไม่รู้สึกถึงสายตาเหล่านั้นสักนิดเดียว กลับกันเธอยืนแสยะอย่างภาคภูมิ

“วัยรุ่นตีกัน มีการคำนวณออกมาแล้วค่ะว่าไม่ว่าจะมีคอนเสิร์ตที่ไหนก็ตามจะต้องมีการตีกัน จนวงดนตรีไม่กล้าเปิดทำการแสดง จากการคำนวนของฉันอาจจะมีวัยรุ่นตีกันที่นี่ก็เป็นได้” ร่ายซะยาว แต่ก็สมกับเป็นยูกิโกะดี

“แล้วเธอล่ะ” พยักเพยิดไปทางซาโตริ

“ฉัน......อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!” ซาโตริกรีดร้องพลางทรุดฮวบลงกับพื้นมือกุมขมับอย่างทรมาน

“ซาโตริ!!!” สามสาวเรียกสาวผมแดงพร้อมกัน

“เฮ้ เธอเป็นอะไรรึเปล่า” เป๊ะโปะเข้ามาประคองเห็นท่าไม่ดีกลัวซาโตริจะเป็นอะไรไปซะก่อน เมื่อความเจ็บปวดบรรเทาลง ซาโตริผลักร่างนั้นออก

“อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวฉัน อ๊าาาาาาาาาาาาา” เธอร้องอีกครั้งตัวสั่นเทาเพราะความเจ็บที่รุมเร้าไม่หยุดหย่อน ริมิโผเข้ากอดน้ำตาไหลพรากๆ นากาเนะกดมือถือโทรออกหาโรงพยาบาล ยูกิโกะวิ่งลงจากเวทีไปตั้งแต่เห็นเพื่อนทรุดตัว จุดหมายคือภูตสาว ที่นอนอาบแดดไม่ไหวติงแม้จะเห็นเจ้านายกำลังเจ็บปวดก็ตาม

“ซาริจังอย่าตายนะจ๊ะ ฮึก ฮือออออออออ”

“อ๊าาาาาาาาาาาาาา!!!.......” เสียงของซาโตริเงียบไปแล้ว

“ซาริจัง ซาริจัง”

“.....................” ไม่มีเสียงตอบรับ เดซิเบ

ริมิเรียกแล้วเรียกอีกพร้อมกันนั้นก็เขย่าร่างของคนตรงหน้า ริมิค่อยๆยื่นมือไปอังจมูกซาโตริก่อนจะปิดปากตัวเอง น้ำตาตอนแรกที่ว่าไหลเยอะอยู่แล้วกลับไหลออกมามากกว่าเดิมเสียอีก ริมิกอดร่างนั้นแน่น





SATORIซาโตริ

ผมลืมตาอย่างช้าๆท้องฟ้ายามเย็นแสดงว่าตอนนี้เป็นเวลาประมาณห้าโมงแล้ว มีอะไรสักอย่างทับตัวผมไว้ ผมไม่ค่อยมีแรงจะผลักของสิ่งนั้นแต่มันน่าจะเป็นอะไรสักอย่าง กวาดตาดูรอบๆ แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เศษม้งเศษไม้กระจายเกลื่อน เวทีล้มพังระเนระนาดทว่ามันไม่ได้มีแค่นั้นเพราะกลิ่นคราวเลือดของศพคนตายหลายเชื้อชาติที่นอนทับกันอยู่เต็มไปหมด มันอะไรกันก่อนหน้านี้ชายหาดยังเต็มไปด้วยสิ่งชีวิตซึ่งเรียกว่ามนุษย์อยู่เลย ผมรวบรวมแรงอีกครั้งพยายามดันของที่ทับอยู่ให้พ้นไปแต่สัมผัสต่อของตรงหน้านั้นมันออกจะนุ่มๆ ม...ม...ไม่จริง ไม่จริ๊ง มันเป็นความฝันแน่ๆ ต้องเป็นความฝัน... สิ่งที่ผมกำลังผลักออก.....ไม่สิเป็นร่างของคนๆนึง ผมมองใบหน้านั้น ผมจำมันได้ดีถึงรอยยิ้ม เสียงที่เรียกผม ผู้หญิงที่ชอบทำตัวกระเง้ากระงอดเมื่อไม่พอใจ ผมสีส้มยาวผูกโบว์ขาวอันใหญ่ ผมอยากให้เป็นคนอื่นที่หน้าละม้ายคล้ายเธอเหลือเกิน...แต่เป็นไปไม่ได้ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นความจริง เธอยู่ตรงหน้าผมยัยเนื้อคู่

“ริมิ!!!” ผมแผดเสียงกึกก้องทั่วชายหาด เธอตายแล้วเหรอ......




บทที่ 8 เวลาไม่หวนคืน



ผมกอดริมิแน่นปรารถนาให้เธอฟื้นกลับมาอีกครั้ง ไออุ่นจากตัวเธอที่เคยสัมผัสได้ บัดนี้ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วมีแต่ความเย็นเฉียบที่แผ่ซ่านจากตัวริมิ ผมลองเดินหายูกิโกะ ปริทาด้า และนากาเนะแต่ไม่เจอแม้ร่าง สามคนนั้นก็คงไม่รอดเหมือนกัน ทำไมต้องเป็นผมที่รอดตายด้วยนะ ความทรงจำสุดท้ายที่ผมจำได้คือปวดหัวเอามากๆ ริมิกอดผมแน่นเธอร้องไห้ไม่หยุด เธอคงเชื่อว่าผมจะฟื้นกลับมาถึงได้ไม่คิดจะปล่อยมือ ทำไมผมคิดแบบนี้นะเหรอ เพราะตอนรู้สึกตัวตื่นริมิกอดผมแน่นมากๆ ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองริมิต้องรักผมมากแน่ๆ

“ท่านซาโตริเจ้าคะ...” รูปประโยคคุ้นๆแฮะ หรือว่าจะเป็น ผมหันขวับมองเจ้าของประโยคนั้น คือสาวผมสีชมพูในชุดเมดสีน้ำเงิน ปริทาด้านั่นเองคิดว่าตายไปแล้วซะอีก แต่เดี๋ยวนะ ก่อนหน้านี้ยัยภูตใส่บิกินีอยู่ไม่ใช่เหรอเปลี่ยนชุดตอนไหน แล้วทำไมยังมีชีวิตอยู่ควรจะตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ

“ท่านซาโตริ คิ้วผูกกันเป็นปมใหญ่แล้วนะเจ้าคะ” ก็คนมันสงสัยอ่ะ

“มันเกิดอะไรขึ้นแล้วทำไมเธ....” ปริทาด้าพูดสวนมาอย่างรู้ทัน

“สึนามิเจ้าค่ะความสูงเท่ากับตึกหกชั้น และทำไมอิฉันไม่ตายเพราะบินหนีขึ้นท้องฟ้าเจ้าค่ะ ส่วนพวกท่านมิสเทสคนอื่นๆตายหมดเจ้าค่ะ” หน้านิ่งมากๆ ไร้อารมณ์สุดๆ

“ทำไมเธอไม่ช่วยพาทุกคนบินหนีขึ้นท้องฟ้าล่ะ”

“ท่านริมิ ท่านนากาเนะ ท่านยูกิโกะไม่สามารถฝืนชะตากรรมได้ ยกเว้นตัวของท่านซาโตริผู้เป็นมิสเทสแห่งกาลเวลา ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แล้วเจ้าค่ะ” ฮ่าๆๆๆๆๆๆ บ้าไปแล้ว ผมพลุ่งตัวใส่ปริทาด้ากระชากคอเสื้อง้างแขนหมายจะต่อยคนตรงหน้า สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดๆ คน...ไม่สิตรงหน้าผมไม่ใช่คนก็แค่สิ่งที่น่ารังเกียจเท่านั้นเอง เห็นแก่ตัวที่สุด

“ถ้าผมย้อนเวลากลับไปช่วยจะแก้ไขทุกอย่างได้มั้ย”

“เสียเวลาเปล่าเจ้าคะ เมื่อใกล้จะถึงเวลาเกิดเหตุสึนามิร่างกายของท่านจะพาร์ทไปเองอัตโนมัติเจ้าค่ะ” ถามคนแบบนี้ไปก็เท่านั้น ผมปล่อยมือจากคอเสื้อเธอ พลางเรียกนาฬิกาพกออกมา เอาล่ะเวลาเมื่อตอนผมปวดหัวคือเที่ยงสี่สิบห้า ย้อนไปตอนนั้นแหละ ผมใช้นิ้วเรียวยาวหมุนเข็มชั่วโมงไปเลขสิบสอง เข็มนาทีไปที่เลขเก้า จงย้อนกลับไป นาฬิกาพกเปล่งแสงรัศมีเจิดจ้า จนแสบตา

ผมหลับตาหนีแสงนั้น เมื่อแสงจ้าเรื่มเบาบางลง จึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพตรงหน้าคือ......ไอ้หน้าหวาน พอดีจำชื่อมันไม่ได้ ยืนเก๊กอยู่นั่นแหละคิดว่าหล่อนักเหรอไง แต่มันก็หล่อนะ ผมแย่งไมค์จากมันก่อนจะกรอกเสียงลงไป

“ทุกคนคะ อีกไม่นานกำลังจะเกิดสึนามิรีบหนีไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!!!” แฟนเพลงของวงมาสเตอร์เงียบไปแล้ว หรือว่าทุกคนจะเชื่อผม

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ไม่ใช่เรื่องตลกนะ

“ไร้สาระทั้งเพ”

“คิดได้เนาะ” เอ๋...อ..อะไรกันไม่มีใครเชื่อเลยนี่นา หมับ ริมิจับแขนผม

“.........”

“จะพูดอะไรก็พูดสิ ไม่ใช่เงียบ มือป้องปากทำไมอะริมิ อ๋อคิดว่าฉันล้อเล่นใช่มั้ย เชิญขำไปตายสบายเลยนะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นจ้ะฮะฮ่าๆๆ”

“ไม่ใช่??? ไม่ใช่ยังไงเล่นระเบิดหัวเราะซะขนาดนั้น”

“ก็เมื่อกี๊เป๊ะโปะบอกว่าให้พวกเราสมมุติเรื่องที่ไม่มีทางจะเกิดขื้นกับหาดนี้ไงจ๊ะ ซาริจังลืมแล้วเหรอจ๊ะ” เออนั่นสินะลืมไป

“แต่ฉัน....ฉัน...อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาา” มันมาอีกแล้ว ความเจ็บนี้ โอยยยยยยยยย อ๊าาาาาาาาาาาาาาา แย่แล้วเรากำลังจะพาร์ทไปเวลาหน้า ต้องบอกให้ทุกคนหนีไปให้ได้ อัก

“ริมิ รีบหนีไปเร็วเข้า เร็วเซ่ พวกเธอก็ด้วย” ผมบอกนากาเนะกับยูกิโกะ

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!” มันทรมานเหลือเกิน เมื่อกี๊ผมคิดจะบอกว่าตัวเองมาจากอนาคตไม่กี่ชั่วโมงข้างนี้เองแต่ทำไม ปวดหัวอย่างนี้นะอย่างกับโดนเข็มทิ่มแทงแหนะ เหมือนสมองจะระเบิดออกมายังไงยังนั้น สติของผมเลือนรางภาพเบื้องหน้าพล่ามัวมันค่อยๆมืดลงเรื่อยๆ จนมืดสนิทไม่นะ ไม่น้าาาาาาาาาาาาาาาาา เท่ากับว่ามันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย ผมไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้จริงๆเหรอแค่ใครสักคนในช่วงเวลานั้นรอดก็ยังดี

“แฮ่กๆ แฮ่กๆ” ผมเด้งตัวตื่นขึ้นมาและมันเป็นที่เดิมแต่คราวนี้ริมิจับมือผมแน่นแทน ผมเปลี่ยนอะไรไม่ได้เลย

“มีอะไรเปลี่ยนบ้างมั้ยเจ้าคะ” น้ำเสียงของปริทาด้าเจือหัวเราะ ไม่ต้องมาเยาะเย้ยเลยนะ

“ผมจะย้อนไปให้ไกลกว่านี้” ใช่แล้ว ถ้าย้อนไปไกลกล่าเดิมล่ะก็ต้องช่วยทุกคนสำเร็จแน่ เอาล่ะ ผมเรียกนาฬิกาออกมา แล้วจัดการหมุนเข็ม กึกๆ ท...ทำไมมันหมุนไม่ได้ แถม......

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา” มันมาอีกแล้ว

“ย้อนไปไกลกว่านี้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”

“ทำไมล่ะ เธอรู้อะไรบางอย่างใช่มั้ย”

“แน่นอนเจ้าค่ะ แต่ท่านต้องการรู้เรื่องไหนล่ะ เรื่องทำไมถึงย้อนเวลาไม่ได้หรือเรื่องอาการที่ตัวท่านเป็นอยู่ล่ะเจ้าคะ” แสดงว่ารู้ทุกอย่างจริงๆสินะ มาทำเป็นหมกเม็ดอยู่นั่นแหละ

“ทุกเรื่อง”

“เรื่องย้อนเวลาก็อย่างที่บอก ท่านซาโตริไม่สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนอื่นได้หรอกเจ้าค่ะหากท่านทำเช่นนั้นความเจ็บปวดซึ่งเสมือนเข็มนับพันเล่มจะสร้างความทรมานให้ท่านไม่น้อย จะมากขึ้นเรื่อยๆทุกครั้ง ที่ท่านจะย้อนกลับไปหรือแค่คิดก็ตามที และอาการของท่านมันเป็นเหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิดเหมือนตัวท่านในอดีต”

“ตอนนั้น??? หมายความว่าไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผมมีอาการแบบนี้น่ะสิ งั้นผมหายได้ยังไง”

“ท่านซาโตริในชาติที่แล้ว ได้ตั้งชื่อโรคนี้ว่า เวลาไม่หวนคืนเจ้าค่ะ” โรคบ้าอะไรวะเนี่ย ไม่เคยเจอะเคยเจอ

“ต้องรักษายังไง” เข้าเรื่องดีกว่า

“ความจริงแล้วมิสเทสนั้นมีกันห้าคนเจ้าค่ะ ท่านซาโตริมิสเทสแห่งเวลา ท่านริมิมิสเทสแห่งชีวิต ท่านนากาเนะมิสเทสแห่งเสียงทำนอง ท่านยูกิโกะมิสเทสแห่งความตาย และท่านเซ็ทสึกิ เรรินะมิสเทสแห่งความเข้าใจซึ่งกันและกันเจ้าค่ะ อ้าวไหนบอกว่ามีแค่สี่ ผมละอยากรู้จริงๆว่ายัยนี่ยังมีเรื่องอะไรปิดบังไว้อีกบ้าง

“แล้วเรรินะที่ว่า จะช่วยอะไรผมได้”

“ท่านเรรินะ มีไอเท็มครอบครองคือ กล่องสมุนไพรเจ้าค่ะ” กล่องยา(สมุนไพรต่างหาก) เอามาผสมกันจนเป็นยาไง

“จะเจอเธอได้ที่ไหน” ปริทาด้าผู้ไม่เคยยิ้ม กลับเหยียดยิ้มที่มุมปาก อย่างนึกสนุก

“ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเจ้าค่ะและพวกเราจะต้องพาท่านเรรินะมาเวลาปัจจุบันด้วยเจ้าคค่ะ” เฮ้ย!!!อะไรนะส..สงครามโลกครั้งที่สอง จะบ้าเหรอเรรินะไปทำอะไรในช่วงเวลานั้น ขืนย้อนไปตอนนั้นผมคงได้กลายเป็นศพก่อนจะกลับมาช่วยทุกคนแน่ๆ

“สีหน้าแบบนั้นกลัวหรือเจ้าคะ” เสียงเรียบแต่ใบหน้าเจ้าหล่อนไม่นิ่งเรียบเหมือนน้ำเสียงกลับเผยลักยิ้มน้อยบนใบหน้า

“ใครว่ากลัว” แค่ตกใจเล็กน้อยถึงปานกลาง

“ทำไมต้องย้อนไปสมัยนู้นด้วย พวกเราหาเรรินะในเวลาปัจจุบันไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้เจ้าค่ะเพราะ ท่านเรรินะ ไม่ได้เกิดในชาตินี้เนื่องจากท่านไม่ต้องการเกิดอีกหลังจากการต่อสู้ที่หอคอยซาบิน่าจบลงเจ้าค่ะ”

“จะไปพาเรรินะในตอนนั้นมามันจะไม่มีผลกระทบถึงช่วงเวลารึไง”

“ไม่กระทบจ้าค่ะ ท่านเรรินะไม่มีความเกี่ยวข้องกับใครเลยดังนั้นต่อให้ท่านเรรินะหายไปก็ไม่มีใครสงสัยแน่นอน อีกอย่างถึงท่านเรรินะจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นต่อไปก็ต้องตายอยู่ดีเพราะระเบิดนิวเคียร์เจ้าค่ะ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย”

“แต่........” ปริทาด้าพูดย้อนกลับมา

“ไม่ต้องแต่แล้วเจ้าค่ะ ท่านซาโตริต้องการช่วยท่านริมิมั้ยเจ้าคะ” ผมพยักหน้า

“โซลริมิทของท่านซาโตริเหลือเท่าไหร่เจ้าคะ” ผมเรียกมันออกมาดู ของเหลวสีฟ้าปนสีดำนิดๆเหลือน้อยกว่าครึ่ง

“แค่นี้จะพอย้อนเวลาเหรอ แล้วจะไปยังไงประเทศที่ญี่ปุ่นเชียวนะ” ยัยภูตพยักหน้าพลางจับมือผม

“ท่านซาโตริแค่นึกถึงสถานที่และเวลาเท่านั้นเองเจ้าค่ะ” จะง่ายขนาดนั้นจริงๆเหรอ ไม่สิอาจจะจริงก็ได้พลังของผมมันมีอะไรบ้างยังไม่รู้เลย ริมิรอก่อนนะผมจะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ สมัยสงครามโลกครั้งที่สองเรรินะผมจะหาเธอให้เจอแล้วให้เธอรักษาผมให้ได้ ว่าแต่เข็มจะหมุนได้เหรอ ผมลองหมุน มันขยับได้ อีกครั้ง เดี๋ยวถ้าผมลองคิดเรื่องอื่นแล้วหมุนเวลากลับไปช่วยริมิจะได้มั้ย เฮ้ย มันหมุนกลับมาเป็นเวลาปัจจุบันซะงั้น เฮอะไม่ได้จริงๆด้วย ผมกลับมาคิดเรื่องไปหาเรรินะอีกครั้งและมันหมุนได้ โอเคต้องไปหาเรรินะจริงๆแล้วล่ะ นาฬิกามันเปล่งแสงรัศมีเรืองรองมากกว่าทุกๆครั้ง บอกได้คำเดียวโคตะระแสบตาอ่ะ ผมเบือนหน้าหนีแสงนั้น ผ่านไปสักพักแสงไม่มีท่าว่าจะจางหายไปสักทีโอยอีกนานมั้ยเนี่ย

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงใคร เสียงคายยยยยยยยยยยยยยยยยย ผมไม่ใช่ดารานะจะมากงมากรี๊ดป่ะโถ่ เมื่อแสงเหล่านั้นเบาบางลงผมขยี้ตาก่อนจะเพล่งมองไปยังเบื้องหน้า สิ่งที่เห็นคือร่างของหญิงสาวผมสีแดงเหมือนผมแต่สีตาเป็นสีฟ้าคนละสีกันผิวของเธอเหมือนหิมะสีขาวโพลน เธออยู่ในชุดยูคาตะสีชมพู โอบิสีน้ำเงิน สวยโฮกกกกกกกกก!!!

“จ...เจ้าเป็นปีศาจใช่มั้ย ย..อย่าทำอะไรเรา เรากลัวแล้ว” เฮ้ย!!!คนหน้าตาดีแสนจะหล่อเอ๊ยสวยอย่างผมนี่นะจะเป็นปีศาจ แต่เอ....ผมกวาดสายตามองรอบๆ มันอุดมไปด้วยต้นไม้ที่สูงเสียดทะลุฟ้า(เวอร์ซะ)แล้วปริทาด้าไปอยู่ไหนฟะคงอยู่แถวๆนี้แหละ

“ข้าไม่ใช่ปีศาจ” อันนี้ผมบอกนะต้องพูดให้เหมือนคนสมัยก่อนเดี๋ยวคุณเธอสงสัย หญิงสาวตรงหน้าน้ำตาคลอ ยกมือป้องกันตัว

“ท..ท..ทำไมจะไม่ใช่เมื่อกี๊ อยู่ดีๆเจ้ามาปรากฏตัวตรงหน้าเรา” หญิงผิวหิมะชี้หน้าผม

“ถ้าข้าเป็นปีศาจจริงๆเจ้าคงตายไปแล้ว” สาวผิวหิมะยืนนิ่งคงกำลังประติดประต่อเรื่องราวอยู่แน่ๆ

“จริงด้วย เราลืมคิดไปซะสนิท”

“เห็นมั้ยล่ะ” เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย ว่าแต่เธอจะรู้จักเรรินะรึเปล่านะ

“เจ้ารู้จักเซ็ทสึกิ เรรินะมั้ย” คนตรงหน้าตาโตใส่ผม ตกใจอะไร หรือว่าหน้าผมมันเลอะอะไร ผมเช็ดหน้าอย่างเบามือ ก่อนจะมองสาวผิวหิมะแต่เธอยังคงมีสีหน้าใตกะจกเอ๊ยตกกะใจไม่หาย

“จ..เจ้าต้องการจ...เจอเรรินะทำไม เจ้าเป็นอะไรกับเรรินะ” ละล่ำละล่ำถาม กรณีนี้ต้องบอกว่าเป็นเพื่อนแต่เอ....บอกว่าเป็นญาติดีกว่า

“ข้าเป็นญาติห่างๆ” เอ่อ......หน้าบึ้งทำไมอ่ะ เมื่อกี๊ยังตกใจอยู่เลยเปลี่ยนสีหน้าและอารมณ์เร็วดีจริง

“ญาติข้างไหนมิทราบ”

“หมายความว่าไง”

“เรานี่แหละ เซ็ทสึกิ เรรินะ” คราวนี้เป็นผมที่ตกใจแทน ไปต่อไม่ถูกเลยพูดซะเต็มปากเต็มคำว่าเป็นญาติเค้าตายๆๆๆๆ

“.......”

“สรุปเป็นญาติข้างไหน” เอ่อ..........ขอเวลาให้ผมได้คิดซัก....เอ่อ....... เรรินะจ้องผมไม่กระพริบตายืนเท้าสะเอวเบะปากหน้าตาบ่งว่าเอาเรื่องแบบสุดๆ




บทที่ 9 เตรียมเทศกาล



RERINA เรรินะ

“เอ่อ.....คือ.....ข้าเป็นลูกของน้าเจ้าไง ที่เคยเล่นกับเจ้าตอนเด็กๆ....” พิพักพิพ่วนในการตอบ ดวงตาเฉมองไปทางอื่น เราจ้องหญิงหัวแดง ตรงหน้าไม่วางตาด้วยความรู้สึกฉงนในจิตใจ จะว่าไปแล้วผู้หญิงคนนี้มีสีผมที่เหมือนเราสีของนัยน์ตาไม่ใช่สีดำเป็นสีแดงดั่งไฟคงเป็นลูกครึ่งเช่นเรา การแต่งตัวก็ยังแปลกๆ เธอต้องไม่ใช่คนแถวนี้แน่ๆ

“แต่....เราไม่มีน้า” เธอหน้าเสียไปนิด

“อ...เอ้อข้าจำผิดที่จริงเป็นลูกของป้าต่างหาก”

“ป้าเราไม่ได้แต่งงาน”

“คือ....” จะพูดอะไรอีก

“สารภาพมาเถอะว่าโกหกแล้วเราจะไม่โกรธ” ตกใจทำไมแปลกเหรอที่เราไม่โกรธ(โคตะระแปลก) จะลังเลอะไรอีก

“ก..ก็ได้ข้าไม่ใช่ญาติเจ้าหรอก เป็นแค่นักเดินทาง พอดีผ่านมาแถวนี้”

“เห็นมั้ยแค่นี้ก็จบเราชื่อเซ็ทสึกิ เรรินะ ยินดีที่ได้รู้จัก เจ้าล่ะ”

“ข้ายามาชิตะ ซาโตริยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน.....” ตุบ

“ซาโตริ!!!” ซาโตริอยู่ดีๆก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้นคงเหนื่อยจากการเดินทางสินะ เราตรงเข้าไปพยุงร่างของซาโตริ เอ๊ะนี่มันหลอดอะไร ทำไมมีของเหลวสีฟ้าอยู่ข้างในด้วย หรือว่าจะเป็นของของเธอคนนี้ต้องใช่แน่ๆเลยเอาไปด้วยดีกว่า เราแบกซาโตริมุ่งตรงเข้าสู่หมู่บ้านจากนี่เดินไปก็ใช้เวลาโขอยู่





บ้านของเรรินะ

“โอย...หัวผม” ซาโตริยันตัวเองจากเตียงมาอยู่ในท่านั่ง

“ซาโตรริฟื้นแล้ว ดีจังที่ไม่เป็นไร”

“ผมแข็งแรงจะตายไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกน่า แต่ผมฝันร้ายด้วยนะ”

“ฝันว่าอะไรเหรอบอกได้มั้ย”

“ฝันว่าผมไม่สามารถย้อนเวลาไปช่วยริมิ นากาเนะและยูกิโกะได้ทำให้ผมต้องย้อนเวลาไปหาเรรินะแถมผมยังโดนเรรินะหาว่าเป็นปีศาจอีกสวยอย่างจะเป็นปีศาจได้ไง คนอะไรนิสัยแย่จริงๆเลยเนาะ” เห...เรานิสัยไม่ดีเหรอ ทีซาโตริโกหก เรายังไม่โกรธเลยนะ

“เจ้าโกหกเราถือว่าหายกันได้มั้ย” ซาโตริสะดุ้งเฮือก ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเรา คิกๆๆๆ ทำหน้าทำตาตลกจัง 0[]0ประมาณนี้แหละ

“เรรินะ ค..ค...คือเมื่อกี๊ผมเอ๊ย ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นข..ข้าขอโทษ” ละล่ำละลักตอบ

“ไม่เป็นไรเราไม่โกรธ” เราตอบกลับก่อนจะพูดต่อว่า

“เจ้าไม่ว่าอะไรเรานะ ที่ถือวิสาสะจับเจ้าใส่ชุดยูคาตะ ดูๆไปแล้วสีฟ้าเหมาะกับเจ้ามากๆเลยล่ะ” จะตกใจอะไรขนาดนั้นกัน ซาโตริก้มลงสำรวจตัวเองว่ามีอะไรสึกหรอบ้างหรือปล่าวพลางจับทุกส่วนของร่างกาย ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก

“คิกๆๆๆ เราไม่ได้ทำอะไรเจ้าสักนิดเดียว”

“ก..ก็ข้าอาย” แก้มสีแดงอ่อนๆเจืออยู่บนใบหน้านั้น

“ผู้หญิงเหมือนกันไม่มีอะไรน่าอายหรอก”

“ตอนนี้วัน เดือน ปีค.ศ.อะไร” เปลี่ยนเรื่องเหรอ

“วันที่5เดือนสิงหาคม ปีค.ส.1945”

“.........” ทำสีหน้าหนักใจแบบนั้นมำไม

“เป็นอะไรทำไมทำหน้าเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ”

“ป....เปล่าไม่มีไร เวลาล่ะตอนนี้เท่าไหร่” ไม่บอก เราก็ไม่ซักไซ้

“หกโมง”

“หกโมงเช้า” เราส่ายหน้า

“หกโมงเย็น” ซาโตริตกกะใจอีกแล้ว พลางทำท่าครุ่นคิด ต้องมีอะไรแน่ๆ หรือว่าจะเป็นหลอดสีฟ้านั่น เราหยิบหลอดที่หนีบอยู่ข้างเอวให้ซาโตริ เธอยื่นมือมารับมันไป

“นี่ของเจ้ารึเปล่า พอดีเมื่อคืนตอนเจ้าสลบไปเราเห็นมันตกอยู่ข้างๆก็เลยเก็บมาด้วย”

“อื้ม ขอบใจนะที่เก็บมาให้”

“ไม่เป็นไร” ครืดดดดด เสียงเลื่อนเปิดประตู ร่างที่เดินเข้ามาคือนากามุระ เป็นลูกน้องของคุณปู่และเป็นซามูไรด้วย

“คุณหนูเรรินะ ท่านซาโต้ ให้กระผมมาตามขอรับ และก็สั่งมาด้วยว่าผู้หญิงที่คุณหนูแบกมาเมื่อคืนให้ลงไปพบด้วย” คุณปู่มีเรื่องอะไรด่วนกันนะ

“ไปกันเถอะ ซาโตริ ไปหาปู่ของเรา” เราบอกซาโตริ ก่อนจะเดินนำลงไปชั้นล่าง เหลือบไปเห็นสีหน้าของซาโตริที่วิตกกังวลอะไรบางอย่าง

“เจ้าไม่ต้องกลัวปู่ของเรานะ ปู่เราไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” หวังว่าคำพูดของเราจะทำให้คนหน้าหมองสบายใจได้บ้าง ลงมาชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่น ซึ่งประตูถูกถอดออกหมดมองเห็นวิวภายนอกบ้านอย่างชัดเจน คนที่ชอบทำอะไรอย่างนี้มีเพียงคุณปู่เท่านั้นแหละ

“คุณปู่คะ” ชายแก่ผมดอกเลาหันมายิ้มให้ เราวิ่งเข้ากอดคุณปู่มันเป็นกิจวัตรของตัวเราไปเสียแล้วไม่รู้เป็นไรวันไหนไม่กอดคุณปู่วันนั้นจะนอนไม่หลับ

“เจ้าชื่ออะไรมาจากไหนและมาที่นี่ทำไม”

“หนูชื่อยามาชิตะ ซาโตริ มาจากเอ่อ....โตเกียว มาที่นี่เพื่อ.....หาเรรินะ”

“มาหาเรรินะ???”

“.......” ทำไงดีซาโตริกำลังโดนกดดันเราต้องทำอะไรสักอย่าง

“ซาโตริเป็นเพื่อนทางจดหมายค่ะ หนูอยากเห็นหน้าซาโตริเลยเขียนให้เธอมาหาค่ะ” คุณปู่จะเชื่อมั้ยนะ

“เรรินะไม่ได้หลอกปู่ใช่มั้ย” แงๆ คุณปู่ไม่เชื่อจริงด้วย แต่ถ้าเราออดอ้อนหน่อยคุณปู่ก็เชื่อแล้ว ฮ่าๆๆๆ (ร้ายจริงๆ)

“ปู่ไม่เชื่อหนูเหรอ” เราทำตัวให้สงสารเผื่อคุณปู่จะเชื่อใจหลานสาวคนนี้

“เชื่อสิ เพราะหลานที่น่ารักของปู่ไม่มีทางพูดโกหกแน่นอน” ใครว่า กำลังโกหกอยู่โต้งๆ หนูขอโทษนะคะคุณปู่

“นากามุระเตรียมของเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย” คุณปู่หันไปถามนากามุระซึ่งถือของเต็มมือ

“ทุกอย่างเรียบร้อยตามที่ท่านสั่งขอรับ”

“เอาล่ะ ปู่ต้องไปประชุมแล้ว ออกจากบ้านอย่าลืมล๊อกประตูล่ะ”

“ค่ะคุณปู่” คุณปู่เดินออกจากบ้านพร้อมกับนากามุระที่เดินถือสัมภาระไปด้วย เหลือแค่เรากับซาโตริสองคน จะเล่นอะไรดีน้า อ้อใช่พาซาโตริไปดูการเตรียมเทศการดีกว่า

“ซาโตริ ไปดูการเตรียมงานเทศกาลด้วยกันมั้ย”

“งานเทศกาล”

“อื้ม งานเทศกาลของที่นี่สวยนะจะบอกให้และอีกอย่างมาที่นี่ทั้งทีต้องกินโอโคโนมิยากิ”เราจับมือซาโตริแล้วพาวิ่งออกจากบ้าน อ๊ะๆๆแต่เราไม่ลืมล็อกประตูบ้านหรอกนะคำพูดของคุณปู่เราจำขึ้นใจเสมอ ล๊อคประตูเรียบร้อยก็พากันวิ่งไปยังสถานที่เตียมงาน เราพาซาโตริไปร้านขายโอโคโนมิยากิ(โอโคโนมิยากิคือพิซซ่าญี่ปุ่น)ของป้าชิสึกะ ทำอร่อยอย่าบอกใครเชียว

“สวัสดีค่ะป้าชิสึกะ”

“สวัสดีจ้ะ” ป้าชิสึกะง่วนอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบโอโคโนมิยากิแต่ก็ยังทักเรากลับได้

“ป้าชิสึกะทำโอโคโนมิยากิสำหรับสองคนให้กินหน่อยได้มั้ยคะ”

“ป้าเค้ายุ่งอยู่อย่าไปรบกวนเค้าเลยนะ เรรินะ” ซาโตริเป็นคนขี้เกรงใจรึ

“ไม่รบกวนหรอกจ้ะสำหรับเรรินะจังป้าจะทำให้เดี๋ยวนี้เลยแล้วกัน” ป้าชิสึกะละจากของที่จัดอยู่หันมาตอบพลางยิ้มหน้าบาน

“ต้องรบกวนด้วยนะคะ” ซาโตริบอกพร้อมโค้งคำนับอย่างเกรงใจ

“โอโคโนมิยากิเป็นของขึ้นชื่อของเมืองฮิโรชิมาเชียวนะ" เราบอกซาโตริ

“ต้องอร่อยมากเลยงั้นสิ”

“อื้ม แน่นอน”

“เรรินะ มาเล่นซนอะไรแถวนี้” เสียงคุ้นๆ อ๋อ...ลุงโยสึเกะนั่นเอง แต่ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ ไม่ได้ไปประชุมกับคุณปู่หรอกเหรอ

“ลุงโยสึเกะต้องไปประชุมกับปู่ของเราไม่ใช่เหรอคะ”

“ประชุมอะไร ข้ามีหน้าที่ยืนคุมการเตรียมงานเทศกาลต่างหาก”

“อ้าว แล้วปู่ของเราไปประชุมเรื่องอะไรล่ะคะ”

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง” ลุงโยสึเกะตอบเสียงห้วนก่อนจะเดินจากไป ซะงั้น

“นี่จ้ะสาวๆ” ป้าชิสึกะส่งโอโคโนมิยากิมาให้ไอร้อนระเหยส่งกลิ่นหอมไปทั่วอณาบริเวณ

“ขอบคุณค่ะ” เราและซาโตริกล่าวขอบคุณพร้อมกัน เราจัดการกินอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็วไม่มูมมามนะ เหลือบไปมองซาโตริเธอกินโอโคโนมิยากิแบบละเลียดน่าจะเรียกว่ากินแบบมีมารยาทมากกว่าตกลงตัวเราไม่มีมารยาทใช่มั้ย

“งานจะเริ่มตอนไหนคะ” เราถามป้าชิสึกะ ป้าหยิบมีดขึ้นมาสีหน้าขึงขัง น่ากลัวจัง ป้าเค้าจะฆ่าเรารึเปล่า....

“ลุงโยสึเกะบอกว่าประมาณสองทุ่มจ้ะ” ลงให้ลุงโยสึเกะเป็นคนบอกเองนะ รับรองสองทุ่มชัวร์ แต่มันอีกตั้งนานแหน่ะกว่าจะถึงเวลางาน แงๆๆ อยากให้ถึงเวลาเทศกาลเดี๋ยวนี้เลย อ้า..ใช่แล้วเราไปหาลุงโยสึเกะแล้วบอกให้เขาเร่งจัดเตรียมงานให้เสร็จดีกว่า ไปยืนอยู่ตรงไหนกัน เราชะเง้อชะแง้คอมองหาร่างของลุงโยสึเกะ อยู่นั่นไงยืนชี้ไม้ชี้มืออยู่ตรงหน้าซุ้มประตู เมื่อเห็นแล้วตัวเราไม่รอช้ารีบปรี่เข้าไปหา

“ลุงโยสึเกะรีบเร่งให้งานมันเริ่มทันตอนหนึ่งทุ่มได้มั้ยคะ” หันมาจ้องเราเขม็ง เห...ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลยนี่นา

“ไม่มีทางทันแน่นอน”

“เอ๋...ช่วยหน่อยได้มั้ยคะ”

“จะขอคิดดูก่อนแล้วกัน”

“ขอบคุณมากค่ะ” เป็นอีกครั้งที่ลุงโยสึเกะเดินหนีไปซะดื้อๆ

“รีบทำเร็วๆเข้าเอาให้ทันหนึ่งทุ่มนะ” ลุงโยสึเกะนี่ปากบอกขอคิดดูก่อนแต่ในใจอยากให้งานเริ่มทันหนึ่งทุ่มเหมือนกันใช่มั้ยล่า

“เรรินะระวัง” เอ๊ะลุงโยสึเกะบอกให้เราระวังอะไร มือชี้ไปที่ข้างบน เรามองตาม อ๋อ...แผ่นป้ายเทศกาลกำลังจะล่วงลงมา เอ๊ะ ครึกๆ แคร๊ก ม..มันล่วงลงมาแล้ว

“หลบสิเรรินะยืนเหม่ออะไรอยู่” ลุงโยสึเกะตะโกนเตือนสติ แต่เราก้าวขาไม่ออกไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เรามองแผ่นป้ายความยาวประมาณสองเมตรค่อยๆร่วงลงมาเรื่อยๆอย่างช้าๆ คงเจ็บน่าดูเลยถ้ามันกระแทกเข้ากับหัวจะตายมั้ยนะ เราหลับตาน้อมรับชะตากรรม หมับ ใครกอดเราทำไมมันอุ่นใจแบบแปลกเป็นความรู้สึกที่โหยหามานาน อย่างกับว่าเราจะปลอดภัยถ้าอยู่ภายในอ้อมกอดนี้

โครมมมมมมมมมมมมม

“เรรินะ เรรินะ” ใคร...กำลังเรียกชื่อเรา ลืมตามองเจ้าของเสียงนั้น ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าอันหล่อเหลาของเรียวจิ ขอสาธยายนิดนึงเรียวจิคือคนที่เราแอบชอบแต่ไม่ได้บอกก็คนมันอาย แม้วันที่เรียวจิต้องไปสู่สมรภูมิสงครามตัวเรากลับไม่กล้าประกาศความใน แต่เราเชื่อว่าต้องได้บอกสักวันในวันที่เรียวจิกลับมาวันนั้นแหละ เราจะพูดออกไปความรู้สึกจากใจ

พอมองดีๆคือใบหน้าของซาโตริซึ่งอยู่ห่างจากหน้าของเราไม่เกินห้ามิน ตึกตัก ตึกตัก เราเบือนหน้าหนีไม่อยากให้เธอเห็นว่าเราหน้าแดงแค่ไหน ทำไมหัวใจต้องเต้นแบบนี้ด้วยเหมือนกับว่าตัวเรากำลังตกหลุมรักซาโตริ ม...ไม่ได้นะ แล้วเรียวจิล่ะ เรารักเรียวจิต่างหาก

“ไม่เป็นอะไรนะ” ซาโตริถาม เรามองเลยร่างที่นอนทับเราอยู่ 0[]0จะไม่ให้เราตกใจได้ไงสิ่งที่อยู่บนหลังซาโตริ คือแผ่นป้ายมันทับมันทับเธอไว้ แสดงว่าธอใช้ตัวเองเป็นดั่งเกราะช่วยกำบังตัวเราจากแผ่นป้ายนั่น

“เจ้านั่นแหละเป็นอะไรหรือเปล่า” เราย้อนคำถามกลับไป

“อื้มสบายมากเรื่อ..แค่..นี้..เอ” ตุบ ซาโตริสลบไปแล้ว

“ซาโตริ!!!ซาโตริ!!!” เราตะโกนพลางเขย่าร่างที่แน่นิ่งไม่หยุดหวังให้เธอได้สติอีกครั้ง ยอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเรารู้ทั้งรู้ว่าจะต้องเจ็บตัว ทำไมเป็นคนดีขนาดนี้ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อตอนคืนวานกลับช่วยเราเหมือนเป็นมิตรสหายกันมานาน ซาโตริอย่าตายนะ

Prince.NO9
20th May 2012, 10:28
บทที่ 10 เริ่มเทศกาลด้วยรอยยิ้มจบด้วยหยาดน้ำตา



SATORIซาโตริ

“ซาริจังเจ็บมากมั้ยจ๊ะ” ริมิ.... นี่ผมตายแล้วเหรอ สงสัยโดนแผ่นป้ายทับตายแน่เลย

“อื้ม..สบายมาก”

“เธอนี่จริงๆเลยน้า ยัยถั่วเน่า จะเอาตัวไปขวางแผ่นป้ายทำม้ายโง่รึเปล่า” ปากคอเลาะร้ายชอบเรียกผมว่าถัวเน่า มีแค่คนเดียว....นากาเนะ

“แต่....” ผมยังไม่ทันได้ชี้แจง เสียงเย็นชาพูดขัดขิ้นมา

“โดนแผ่นไม้ยาวตั้งสองเมตรทับก็สมควรตายอยู่หรอก” ผมหน้าซีดทันที

“ตาย...ฉันตายแล้วหรอ”

“ยังหรอกจ้ะ” โอ้!!!โล่งนึกว่าตายแล้วซะอีก ริมิทำแก้มป่องๆ พลางเชิดใส่ผมทำไปทำไม

“เป็นอะไรริมิ”

“เชอะ” สะบัดหน้าหนี ทำเป็นกระเง้ากระงอด เนื้อคู่ใครเนี่ยน่ารักจริงๆ

“งอนอะไรของเธอ”

“เชอะ” ไม่ธรรมดาแล้วไง แปลกๆนะ

“ริมิโกรธอะไรฉันบอกได้มั้ย”

“..........” เงียบ.... เพี้ยะ!!!หน้าผมหมุนไปตามแรงปะทะของมือสาวขี้วีน ผมใช้มือลูบหน้าบรรเทาความเจ็บปวด

“ตบฉันทำไม”

“เธอลืมพวกเราไปแล้วล่ะสิ ดูจะมีความสุขเหลือเกิ๊นกับเพื่อนใหม่ ชื่ออะไรนะยูกิโกะ” นากาเนะหันไปถามความเห็นยูกิโกะ

“เซ็ทสึกิ เรรินะ ค่ะ” ยูกิโกะตอบ อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้น ผมกำลังพยายามช่วยทุกคนอยู่นะ

“แต่....”

“ซาโตรินอกใจริมิ คนนิสัยไม่ดี คนหลายใจริมิเกลียดซาโตริแล่ว!!!” ริมิโพล่งออกมา น้ำตาไหลพราก ผมไม่อยากเห็นเธอร้องไห้ได้โปรดหยุดเถอะ

“ซาโตริ” เสียงนี้มัน...เรรินะ

“ไปสิ..ไปอยู่กับยัยนั่นซะ พวกเราเกลียดเธอกันหมดแล้ว” นากาเนะเอ่ยปากไล่ผม ริมิยังคงร้องไห้ไม่หยุด ผมยื่นมือจะคว้าร่างนั้นเข้ามากอด ทว่ามือของผมกลับผ่านตัวของเธอไปเฉยๆเหมือนเธอไม่มีตัวตน

“ซาโตริจังเหม่ออะไรอยู่” เมื่อกี๊ผมเห็นไปเองเหรอ ค่อยยังชั่ว ผมส่ายหัวไปมาเพื่อสะบัดภาพเมื่อครู่ออกจากความทรงจำ แต่ผมทำไม่ได้ภาพของริมิร้องไห้มันชัดเจนเกินจะลบเลือน

“ป...เปล่า” ผมโดนแผ่นป้ายทับแต่ไม่เป็นอะไรเลยแค่ถลอกนิดหน่อย มันเหลือเชื่อชาวบ้านบางคนถึงกับมองผมแบบแปลกๆแต่ผมไม่แคร์หรอก การเตรียมงานเทศการได้ดำเนินต่อไปและเร่งให้เสร็จทันตามคำขอของสาวขี้เอาแต่ใจ คนนี้ ซึ่งงานก็เริ่มทันหนึ่งทุ่มพอดีเรรินะตื้นเต้นสุดๆกับเทศกาลเหมือนเคยเป็นครั้งแรกที่เธอได้มางานนี้ ในงานมีอะไรให้เล่นหลายอย่าง ผู้ใหญ่เอยเด็กเอยแน่นไปหมด

งานเริ่มมาได้สักพักจนเวลาล่วงเลยมาถึงห้าทุ่มคนเริ่มซาลงบ้างแล้ว เฮ้อ จนแล้วจนรอดผมยังไม่เจอเรื่องเศร้าที่จะเปลี่ยนเรรินะเป็นมิสเทสได้เลยอะ คิดสิ คิดสิ คิดซี้

“นี่จ้ะ อร่อยนะ” เรรินะยื่นโอโคโนมิยากิให้ผม(กินมากไม่ดีนะเดี๋ยวอ้วน)

“ขอบใจ”

“เราขอบคุณซาโตริมากนะ ถ้าไม่ได้เจ้าเราคงตายไปแล้ว” เธอบอกขอบคุณผมเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

“เรรินะถ้าให้ลุงเดานะ เรื่องแผ่นป้ายเป็นฝีมือของอิชิดะอย่างไม่ต้องสงสัย” ลุงโยสึเกะคาดการณ์ ตาแก่คนนี้อาจดูเป็นมิตรกับทุกๆคน แต่ผมไม่รู้สึกอย่างนั้นเพราะแววตาที่เขามองผมมันเหมือนเขากำลังมองสิ่งที่น่าขยะแขยงสุดๆ

“เราก็คิดเช่นนั้นค่ะ”

“ใครคือ อิชิดะ” ผมถาม

“เขาเป็นคนที่ไม่กินเส้นกับคุณปู่ เราไม่เข้าใจจะช่วยกันพัฒนาเมืองไม่ได้เหรอ ทำไมต้องแย่งชิงดีชิงเด่นกันด้วย” นั่นสินะ ในยุคของผมก็เป็นแบบนี้เหมือนกันนี่นา

“อีกนานมั้ยคะกว่าจะเริ่มจุดดอกไม้ไฟ” สาวผิวหิมะถามลุงโยสึเกะ

“ประมาณเที่ยงคืน จะไปที่เนินนั่นอีกใช่มั้ย” ตาลุงพูดอย่างรู้ทันพลางมองเรรินะ สายตาจริงจังขึ้นมาทันที

“ใช่ค่ะ”

“ไม่ได้ๆต้องมีใครไปด้วยไม่งั้นไม่ต้องไป” ผมรู้แล้วล่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้

“ซาโตริไปเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ” ว่าแล้ว ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรสาวเจ้าหันไปหาลุงโยสึเกะ

“ทีนี้ไปได้แล้วใช่มั้ยคะ” ผมยังไม่ได้ตกเลยนะ ยัยนี่เหมือนริมิชะมัด

“เออๆระวังตัวด้วยล่ะ ป่าตอนกลางค่ำกลางคืนมันตราย”

“ค่าาาาาาาาาาาาา” เรรินะรับคำสีหน้าระรื่นเชียว

“ซาโตริไปกันเถอะ”

“ที่ไหน”

“ก็ตรงที่เราบอกว่าซาโตริเป็นปีศาจ... จำไม่ได้หรอ” จำได้สิ ใครจะไปลืมกันเล่า

“ด...เดี๋ยว เหวอ” เรรินะ เล่นจับมือผมแล้วพาวิ่งไปเนินเขาโดยไม่ถามความสมัครใจเหมือนริมิจริงๆ





เนินเขาเมืองฮิโรชิมา

RERINA

“แฮ่กๆ แฮ่กๆ” พากันวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาบนเนิน มันเป็นที่พิเศษสำหรับเรา คนที่รู้มีน้อยคนนัก เราอยากให้ซาโตริได้เห็นวิวที่อันจะสวยงาม สีของดอกไม้ไฟ บึ้ม บึ้ม ท..ทันเวลาพอดี

“ว้าว ดอกไม้ไฟสวยจัง” ซาโตริเอ่ยปากชม พลางยิ้มกว้าง

“ใช่มั้ยล่า” มันสวยจริงๆนะสีแดง สีส้ม สีม่วง แตกกระจายเป็นวงกว้างกลางอากาศแล้วค่อยๆสลายหายไปกลางนภาเป็นเพียงเถ้าธุรี สวบๆๆๆ เสียงฝีเท้าวิ่งเหยียบหญ้า เราหันไปมองร่างที่ทำให้เกิดเสียงนั้น

“คุณหนูแย่แล้วขอครับ ท..ท..ท่านซาโต้ ท่านซาโต้ อยู่ดีๆโรคเก่าเกิดกำเริบ ตอนนี้นอนเจ็บปวดอยู่บ้านขอรับ”

“คุณปู่!!!”

“คุณหนู!!!” เสียงนากามุระ

“เรรินะ”ซาโตริ... เราเหลียวหลังไปมอง ซาโตริวิ่งตามเรามาพร้อมกับนากามุระที่วิ่งตามมาติดๆ บ้าน่าเมื่อตอนเย็นคุณปู่ยังดูแข็งดีอยู่เลยทำไมจู่ๆอาการถึงกำเริบได้ คุณปู่รอหนูก่อนนะคะหนูจะไปหาเดี๋ยวนี้ เราวิ่งลงเนินแล้วตรงดิ่งเข้าหมู่บ้าน น้ำใสๆคลอเคลียเบ้าตาเราร้องทำไมคุณปู่ยังไม่ตายซักหน่อย เข้มแข็งไว้สิเรรินะคุณปู่ไม่มีทางตายหรอก ไม่มีทาง





บ้านของเรรินะ

วิ่งเข้ามาในบ้านญี่ปุ่นแบบโบราณมีสองชั้นคุณปู่อยู่ชั้นสองแน่นอน ขึ้นมาชั้นสองคุณปู่นอนซมด้วยความเจ็บปวด มือขวายื่นไปกลางอากาศเหมือนควานหาอะไรสักอย่าง

“คุณปู่คะ เรรินะอยู่นี่แล้ว” เราตรงเข้าไปประคองมืออันเหี่ยวย่นอย่างหลวมๆ

“แค่กๆ แค่กๆ เรรินะหลานที่น่ารักของปู่”

“คะ หนูอยู่นี่แล้ว อย่าตายนะคะ” เราพยายามกลั้นน้ำใสๆที่เรียกว่าน้ำตาไม่ให้ไหล

“ไม่ได้หรอก ถึงเวลาที่ปู่ต้องไปแล้ว”

“แต่คุณปู่คะ...หนู...หนู ฮึก” เราเสียงสั่น คุณปู่ใช้มือข้างที่เหลือเอื้อมมาลูบหัวเราอย่างเอ็นดู

“อย่าร้องไห้เลยนะ โรคคนแก่ก็อย่างนี้แหละ แค่กๆ จากนี้ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไปหลานอย่าได้ท้อเด็ดขาดนะ แค่กๆ แค่กๆๆๆๆๆๆๆๆ.............”

“คุณปู่!!!!!!” เสียงไอหายไป คุณปู่หลับตาลง พร้อมกับมือที่อ่อนแรง เราจับมือนั้นแน่น คุณปู่แค่หลับไปใช่มั้ยคะ นากามุระเห็นดังนั้นเดินมาจับชีพจร ก่อนจะหันมาส่ายหน้าให้เรา จะไม่มีแล้วใช้มั้ยความอบอุ่นที่เคยได้สัมผัส ไม่ว่าเราจะมีความสุขมีเรื่องทุกข์ใจ หรือเสียใจมือนี้มักลูบหัวเราเสมอ บัดนี้ไม่มีอีกแล้วความรู้สึกนี้ได้จากไปพร้อมกับคุณปู่ที่จากลาอย่างสงบ น้ำตามันไหลออกมาเจ่อนองสองแก้ม ซาโตริโอบกอดตัวเราจากด้านหลัง

“ฮึก ขอบคุณนะซาโตริ ฮึก ฮืออออออออออออออ.....”

“ไม่เป็นไรข้าเข้าใจ” ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงเคาะประตูอย่างบ้าคลั่ง นากามุระเดินลงไปดูผู้มาเยือนในยามวิกาล

“ฮือออออออออออออออ”

“หยุดร้องเถอะ ปู่ของเจ้าคงไม่ชอบแน่ๆ”

“อื้ม...เราจะ ฮึก หยุดร้องไห้ ฮึก” นากามุระวิ่งขึ้นมาหน้าตาตื่น แถมชักดาบคู่ใจออกมาถือไว้เช่นนั้น ต้องมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่

“คุณหนูรีบหนีไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลยขอรับ”

“ทำไมใครมาเหรอ” เราถามชายหน้าตื่น

“อิชิดะ มันกำลังพังประตูเข้ามาขอรับ” อิชิดะ??? แสดงว่าข่าวไปไวจริงๆ และนี่จะมาทำไม หรือว่าจะมาฆ่าเรา ต้องใช่แน่ๆ

“จะหนีไปยังไง” ซาโตริถามนากามุระ

“ทางหน้าต่างขอรับ กระผมจะลงไปขวางพวกนั้นให้” นากามุระวิ่งลงไปแล้ว ด....เดี๋ยวเราจะปีนลงยังไงตั้งสูงแหน่ะ ซาโตริมองหน้าเรา แล้วคลี่ยิ้ม ท่าทางร้อนรนของเรามันน่าตลกขนาดเลยเหรอ เราไม่ใช่ตัวตลกนะ

“ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ วิธีปีนลงไม่ยาก แค่เพียงเจ้ากับข้าช่วยกันเอาเสื้อมาผูกกันเป็นเชือกแล้วมัดกับอะไรสักอย่างให้แน่นก็ปีนลงไปได้แล้ว” ไอเดียบรรเจิดมาก พูดจบเรารื้อเสื้อผ้าที่คิดว่าไม่ได้ใช้แล้วแน่ๆ มาให้ซาโตริผูกเป็นเชือก

“พอแล้วแค่นี้น่าจะพอ” ในมือของซาโตริเป็นเสื้อผ้าที่ผูกกันเรียบร้อยเร็วแท้ ก่อนจะจัดการมัดมันเข้ากับเสาหลักของบ้าน เรากับซาโตริค่อยๆปีนลงทางหน้าต่าง ถึงแม้มันจะลำบากนิดนึงก็ตามทำไงได้เราใส่ยูคาตะอยู่นะ

“เอาไงต่อดี” เราขอความเห็นซาโตริ

“วิ่งเข้าป่าดีมั้ย”

“ไม่เอา มีหวังได้หลงป่ากันพอดี”

“เจอแล้ว ยัยปีศาจอยู่นั่นไง” ป...ปีศาจ มีปีศาจอยู่แถวนี้หรอ หันไปมองเจ้าของเสียงนั้น ลุงโยสุเกะนั่นเองค่อยโล่งหน่อย

“แกไอ้ปีศาจจะไปไหน” ลุงโยสึเกะว่าพลางชี้หน้าเรา ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ เมื่อตอนหกโมงยังเรียกเราว่าเรรินะอยู่เลย เพราะอะไร นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ต้องหนีก่อน ทว่าพอหันมาอีกด้านนึงปรากฎว่ากลุ่มชาวบ้านในมือถืออาวุธไม่ว่าจะเป็นดาบ มีด กระทะ(เอามาทำไม) วิ่งมายืนล้อมปิดทางหนีไว้เรียบร้อย

“เฮ้ย ทำไมปีศาจมันมีสองตนวะ” ชาวบ้านคนนึงพูดขึ้น ม..ม..หมายความว่าไง เราไม่ใช่ปีศาจนะ ซาโตริก็ไม่ใช่ปีศาจเหมือนกัน

“ทำไมต้องว่ากันแบบนี้ด้วยล่ะคะ” เราเอ่ยถาม

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” หัวเราะ??? หัวเราะทำไมไม่ใช่เรื่องตลกสักหน่อย

“ยัยเด็กโง่เจ้าคิดว่าพวกข้าพูดคุยกับเจ้าจากใจจริงรึ” ลุงโยสึเกะบอก เราพยักหน้าด้วยความเป็นคนซื่อ

“ไม่ใช่!!!เพราะเงินต่างหาก ปู่ของเจ้าให้เงินกับพวกข้าแลกกับต้องทำดีกับเจ้า รู้ไหมว่าชาวบ้านเขาเกลียดแก....ไม่ใช่สิเรียกว่าขยะแขยงกันหมดน่าจะถูกกว่า เพราะแกเป็นลูกครึ่งมันเป็นสิ่งอัปรีย์ของหมู่บ้าน ในเมื่อปู่เจ้าตายก็ไม่มีใครจ่ายเงินพวกข้าดังนั้นเจ้าออกไปจากหมู่บ้านซะถ้าไม่อยากตาย”

“ล้อเล่นใช่มั้ยคะ” ชายแก่ปรายตามองเราอย่างรังเกียจ

“ยังไม่ชัดเจนอีกใช่มั้ย ข้าจะพูดแทนคนทั้งหมู่บ้านเลยนะว่าแกเป็นตัวประหลาดก็แค่ปีศาจในคราบมนุษย์ไสหัวออกไปซะ” แสดงว่าทุกคนตรงนี้ไม่มีใครจริงใจกับเราสักคน ทุกอย่างที่เรารู้สึกกับหมู่บ้านนี้เป็นแค่สิ่งลวงหลอกถูกสร้างขึ้นมาเท่านั้นด้วยอำนาจเงินตรา ‘จากนี้ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไปหลานอย่าได้ท้อเด็ดขาดนะ’หนูเข้าใจแล้วค่ะว่าปู่ต้องการจะบอกอะไรหนู

“ม..ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่เกียจเรา อย่างน้อยเรียวจิคนนึงที่ไม่คิดเช่นนั้น”

“เมื่อเช้ามีจดหมายจากทางการสอดอยู่หน้าบ้านข้า ตอนแรกข้าไม่กล้าเปิดอ่านแต่พอคิดว่าอาจเป็นจดหมายจากเรียวจิ ข้าเปิดอ่านเนื้อหาในจดหมายบอกว่าเรียวจิตายอย่าผู้กล้าในสนามรบ อีนังปีศาจ เพราะแกลูกของข้าถึงได้ตาย อุตส่าย้ำนักย้ำหนาแล้วแท้ๆว่าอย่ามายุ่งกับตัวอัปรีย์ ไม่งั้นจะมีอันเป็นไป รู้ไว้ด้วยนะทุกคนที่เข้าใกล้แกจะต้องตายห่ากันหมดดูอย่างปู่แกสิเมื่อกี๊ยังดีๆอยู่เลยไหงจู่ๆพอเที่ยงคืนโรคที่ว่าน่าจะรักษาหายไปแล้วกลับมากำเริบซะได้ไหนจะลูกของข้าอีกทำไมถึงตายได้ คำตอบนั้นง่ายมากเพราะแกไงอีนังชั่ว ผิวของแกคิดว่าสวยนักเรอะ ขาวอย่างกะปีศาจหิมะ เอาชีวิตของลูกข้าคืนมา!!!เอาชีวิตของลูกข้าคืนมา!!!” ป้าชิสึกะก่นดาเราอย่างเกี้ยวกราดพลางกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้นก่อนจะเปลี่ยนมาร้องไห้แทน

เราทรุดตัวลงนั่งปล่อยหยาดนำเม็ดใสสมเพศในความโง่ของตัวเอง......นี่เราเป็นตัวอะไรกันเป็นปีศาจ หรือเป็นสิ่งอัปมงคลของหมู่บ้านเราเป็นใคร.....





SATORIซาโตริ

“ขี้แยไปได้ เรียกสิว่า...คุณปู่มาช่วยหนูด้วย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” พวกแก!!!ผมผลักชายคนที่ด่าเรรินะ แล้วนั่งคร่อมมันไว้จากนั้นประเคนหมัดไม่ยั้งจนคนโดนต่อยหน้าบวมเป่งคางแตกฟันหัก ผมเหล่ตามองชายหน้าปลวกที่ยืนลังเลเป็นเสียนาน เริ่มตัดสินใจง้างดาบหมายจะฟันคอผม กึก (หยุดเวลา) อ้อมไปด้านหลังของมันจัดการเตะกล่องดวงใจไม่ยั้ง กึก (เวลาเดิน)

“โอ๊ยยยยยยยยยยย” เสียงร้องโอดโอย มันหน้าเขียวปั๊ดเพราะความจุก พูดก็พูดเถอะน่าจะขอบใจผมสักหน่อยอุตส่าทำหมันให้ฟรีไม่คิดตังค์สักบาท ชาวบ้านบริเวณรอบๆ ต่างเหวอไปตามๆกัน ไม่คิดกันล่ะซี้ ว่าผู้หญิงสวยแบบผมจะบู๊เป็น

“ฮือออออออออออออออออ” เรรินะ....

“ข้าถามพวกเจ้าหน่อยเถอะ ทำไมถึงเกลียดเรรินะขนาดนั้น” ผมจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาของแต่ละคน ใครก็ตามที่สบตาผมต่างหลบสายตาเบือนหน้าหนี

“..........” ตอบไม่ได้สักคน

“เพราะมันเป็นลูกครึ่ง เจ้าก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับมัน” ใครฟะเนี่ยปิดตาข้างนึงอย่างกับโจรสลัด

“ช...ใช่ๆ ท่านอิชิดะพูดถูก” ชาวบ้านเสริมขึ้นมาทันที.... อ้อ ไอ้อิชิดะที่เมื่อกี๊จะพังประตูเข้ามานั่นเองหน้าตาอย่างนี้หรือนี่หน้ายาวๆคางแหลมๆผมยาวกระเซอะกระเซิง แล้วคนที่บอกจะถ่วงอิชิดะไว้ล่ะ

“แล้ว..”

“นากามุระน่ะรึ มันตายไปแล้ว” รู้ด้วยว่าผมจะถามอะไร ช่างแสนรู้(ไม่ใช่หมา)

“เจ้าใช้เหตุผลแค่นั้นมาเกลียดคนนี่นะ”

“ใช่” คำเดียวสั้นๆ

“ไอ้เลว ไอ้ชั่ว แค่นั้นไม่ได้เรียกว่าเหตุผลหรอกนั่นมันเรียกว่าอคติส่วนตัว”

“แก!!” ชายหัวเถิกเกิดปี๊ดขึ้นมาทันทีทำท่าจะชักดาบแต่อิชิดะยกมือห้ามปราม

“สาวน้อยข้าชอบเจ้านะ ฝีปากจัดจ้านดีอีกอย่า.....”

“ข้าไม่อยากได้รับคำชมจากเจ้าจำไว้” อิชิดะปลายคิ้วชนกันบ่งถึงความโกรธเล็กน้อย

“แต่เรื่องมารยาทต้องปรับปรุงสงสัยข้าต้องสั่งสอนเสียหน่อย เผื่อเจ้าจะไ....” สั่งสอนเรอะ ผมนี่แหละจะด่ามันกลับให้สาสมเลยคอยดู๊

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ พวกเจ้ารังเกียจอะไรในตัวเรรินะกันแน่รูปลักษณ์ภายนอก หรือนึกหมั่นไส้ เพราะเป็นลูกครึ่งแค่นั้นเหรอไร้สาระสิ้นดี เรรินะเคยไปฆ่าใครรึไง เคยสร้างเรื่องวุ่นวายในหมู่บ้านรึเปล่า ข้าจะบอกให้ความหมายของคำว่ารังเกียจคืออะไรไม่ใช่อยู่ดีๆจะเกลียดก็เกลียดมันต้องมีสาเหตุเช่นเกลียดจากการกระทำอันเลวทราม หรือเกลียดสิ่งที่คนๆนั้นคิดจะทำ พวกเจ้าอาจไม่รู้ตัวแต่การกระทำและความคิดของพวกเจ้ามันน่ารังเกียจยิ่งกว่าสิ่งเรรินะเป็นอยู่เสียอีก โดยเฉพาะเจ้าอิชิดะ อย่างแกคงเป็นได้แค่คนเลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่า.....ยิ่งกว่าอะไรลองคิดดูแล้วกัน แบร่ๆๆ” ผมแลบลิ้นปริ้นตาใส่อิชิดะมันหน้าแดงกล่ำเพราะความโกรธ สะใจจริงๆ

“แก!!!ย้ากกกกกกกกกกก” ไอ้เถิกตัวเดิมชักดาบข้างกายอย่างรวดเร็ว คิดว่าจะฟันผมโดนเหรอ กึก (หยุดเวลา) ผมเดินไปแตะไหล่เรรินะ เพื่อเธอจะสามารถขยับได้ ยังไม่หยุดร้องไห้อีกเหรอ น่าสงสารจัง

“เรรินะเลิกร้องได้แล้วทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนะ”

“จริงนะ” เธอปาดน้ำตาบนหน้าพลางลุกขึ้น

“ข้าไม่หลอกเจ้าอยู่แล้ว”

“ก..เกิดอะไรขึ้นทำไมทุกคนไม่ขยับเลยล่ะเพราะอะไร” เรรินะมองหน้าผมสลับกับมองชาวบ้านถึงเวลาที่ผมต้องบอกความจริงสักที

“ข้ามีเรื่องจะสารภาพ ข้าไม่ใช่คนในยุคนี้หรอก ข้าเดินทางข้ามเวลามา”

“อย่ามาล้อเล่นนะ จ..เจ้าเป็นปีศาจใช่มั้ย”

“ข้าไม่ใช่ปีศาจ แต่...”

“ไม่ต้องพูด อย่ามาใกล้ข้านะถอยไป ข้าเกียจเจ้าคนโกหก เกียจเจ้า” สาวหิมะว่าพลางเดินถอยหลังเรื่อยๆก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นกลับหันหลังร้อยแปดสิบองศาแล้วออกวิ่งทันที ผมก้าวเท้าจะวิ่งตาม ทว่า....

“ท่านซาโตริเจ้าคะ” รู้เลยว่าใคร สำเนียงการพูดแบบนี้ นึกจะมาก็มาเวลาต้องการตัวไม่เคยอยู่

“มีอะไรอีก”

“ขณะนี้เป็นเวลา เที่ยงคืนสามสิบนาทีเจ้าค่ะ” น้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นเดิม เคยมีอารมณ์กับเค้ามั้ยเนี่ยแม่คุ้ณ

“แล้ว....ยังไง” สัญชาติญาญของผมบอกว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

“ระเบิดปรมาณูจะลงตอนเวลาตีหนึ่งเจ้าค่ะ” เห็นมั้ยทำไมเวลาผมซื้อหวยไม่ถูกอย่างนี้บ้างนะ แสดงว่าเหลือเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง เรื่องเศร้าที่จะใช้เปลี่ยนเรรินะเป็นมิสเทสก็ยังหาไม่เจอผมมืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำยังไง เอ....บางทีระหว่างวิ่งหาเรรินะผมอาจเผอิญคิดออกก็ได้ ว่าแล้วก็หันหลังเตรียมจะวิ่งแต่.....

“จะไปไหนเจ้าคะ” ถามอะไรโง่ๆ ผมคงไปวิ่งเล่นมั้ง

“หาตัวเรรินะให้เจอ”

“แค่ครึ่งชั่วโมง ท่านซาโตริคิดว่าจะทันหรือเจ้าคะ”

“ทันสิ”

“หึๆๆๆ สีหน้าไม่มั่นใจเลยเจ้าค่ะ” ข...ขำอะไรของเธอ คำว่าทันสิมันน่าขบขันขนาดนั้นเชียว แล้วหน้าผมมันบ่งแบบนั้นหรอ

“ในเมื่อรู้ว่าไม่ทันพยายามต่อไปรังจะเจอแต่ความสูญเปล่าไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้นี่เจ้าคะ” นิสัยคนเราจะเปลี่ยนบ้างไม้ได้เลยหรือ อ๊ะไม่สิปริทาด้าไม่ใช่คน แต่เป็นภูตต่างหาก

“เธอจะให้ผมทำยังไง”

“ง่ายมากเจ้าค่ะ ทางเลือกของท่านคือลืมเรื่องของมิสเทสคนอื่นๆไปซะแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อิฉันรู้จักมนุษย์ดี เท่าที่สังเกตุมามนุษย์อย่างพวกท่านมีสี่ประเภท พวกแรกเป็นพวกเข้าใจอะไรหลายๆสิ่งได้ยากมากพอสมควร พวกสองมักทำอะไรโดยไร้เหตุผล พวกที่สามกระทำบางสิ่งโดยไม่หวังผล พวกสุดท้ายกระทำเพราะความปรารถนาเป็นแรงผลักดันช่วยแม้ว่าปลายทางที่รออยู่จะเป็นบ่อน้ำตา พวกนี้น่ากลัวสุด ท่านซาโตริคิดว่าตัวเองเป็นพวกไหนเจ้าคะ

“...........” พวกไหนล่ะไม่เห็นจะตรงกับผมสักข้อ

“หากตอบไม่ได้อิฉันตอบให้เจ้าค่ะ แบบท่านเป็นประเภทที่สี่เหตุผลง่ายๆ การกระทำของท่านตอนนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดี เป็นการฝืนในเรื่องไม่ควรนั่นก็คือชะตากรรมเจ้าค่ะ ดังนั้นอิฉันขอแนะนำว่ากลับไปเวลาปัจจุบันแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ของท่านเถอะ” ผมกำหมัดแน่น พยายามหักห้ามตัวเองไม่งั้นสาวเลือดเย็นตรงหน้า มีรอยประทับห้านิ้วไปแล้ว นายต้องใจเย็นเข้าไว้ ใช่แล้วนายต้องใจเย็น

“อย่าทำเป็นรู้จักมนุษย์ดีไปหน่อยเลย เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมนุษย์ด้วยซ้ำ”

“ถ้าอย่างนั้นท่านจะอธิบายเรื่องการกระทำอันโง่เขลาของมนุษย์อย่างไรเจ้าคะ” ย..ยัยนี่คิดว่าตัวเองเป็นใคร

“มนุษย์น่ะ ทำทุกอย่างเพราะศรัทธาและเชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้ในสักวันถึงแม้ครั้งแรกต้องเสียใจ ครั้งที่สองยังคงต้องเสียน้ำตา ไม่แน่บางที แค่บางทีครั้งที่สามอาจเกิดฟลุ๊คหรือดวงดีสำเร็จก็เป็นได้” สั่งสอนเสร็จ ผมกลับหันหลังก่อนจะออกวิ่งตามหาเรรินะปล่อยคนเลือดเย็นให้ยืนเดียวดาย เธอจะอยู่ไหนได้บ้าง งานเทศกาลเธอไม่ไปที่นั่นแน่ ความเป็นไปได้ทั้งหมดน่าจะเป็น......เอ้อรู้แล้ว ต้องเป็นที่นั่นแน่ๆ

“เฮ้ย!!!นังปีศาจมันอยู่นั่น” ผู้ชายเอ่อ....ผอมเนื้อติดกระดูก ตะโกน ด...เดี๋ยวดิผมหยุดเวลาอยู่ไม่ใช่เหรอทำไมไอ้บ้าพกดาบสองตัวถึงขยับได้ฟะ

“หยุดดดดดด” ชายร่างท้วมสั่ง ใครจะไปหยุดให้โง่ ผมวิ่งออกนอกเมืองจุดหมายคือเนินเขาขอให้เธออยู่ตรงนั้นบริเวณที่เธอกับผมเจอกันครั้งแรก แต่เหนือสิ่งอื่นใดผมต้องจัดการชายสองคนที่วิ่งตามหลังมา พอเข้าเขตป่าก็หันกลับไปประจันหน้า พวกมันผงะก่อนจะชักดาบอยู่ในท่าเตรียมพร้อม

“ตายยยยยยยยยยยยยยยยย” โอยยยยยยยยย หนวกหูอยู่แค่นี้จะตะโกนทำไม ชายผอมเนื้อติดกระดูกยกดาบขึ้นเหนือหัวอย่างยากลำบากมือสั่นงักๆๆ โอ๊ยคุณพี่ถ้ามันทรมานขนาดนั้นฟันปกติธรรมดาก็ได้ แล้วฟาดลงมา ผมเอี้ยวหลบผลักดาบออก ก่อนจะพลุ่งหมัดใส่ท้องมันจังๆ ชายร่างท้วมหน้าถอดสีมองผมพลางตวัดดาบฟันอากาศไปมา

“อย่าเข้ามาไอ้ปีศาจไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน”

“เฮ้อ ต้องให้บอกสักกี่ครั้งกัน ข้าไม่ใช่ปีศาจ” ผมล่ะหน่ายใจจริงๆ

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาา” ดาบพลุ่งทะลุท้องชายร่างท้วม ร่างที่ถูกแทงลงไปนอนจมกองเลือด ผมมองเจ้าของดาบยาวนั้น ชายปิดตาข้างเดียวซึ่งน่าจะโดนหยุดเวลาเอาไว้แต่กลับขยับได้ ใช่แล้วเบื้องหน้าผมคืออิชิดะ สายตาแดงฉานจ้องมองผมไม่กระพริบ หากผมไม่ได้ตาฝาดบนหน้าผากของมันมีตาที่สามเปิดอยู่

“เข้าใจแล้ว แกเองสินะคนที่ทำให้เวลาของข้ากลับมาเดินตามปกติ” มันแสยะยิ้ม แบบนี้แสดงว่ามันเป็นคนทำแน่นอน

“เข้าใจถูกแล้วมิสเทสเอ๋ย” หืม.....มันรู้จักมิสเทสด้วย เป็นไปไม่ได้ มันต้องไม่ใช่ปีศาจในยุคนี้แน่ๆ

“เจ้ารู้จักมิสเทสได้ยังไง”

“อันตัวข้าไม่ใช่ปีศาจในยุคนี้ แต่เป็นปีศาจแห่งเวลาใช้พลังเดินทางย้อนมาหาความสงบเท่านั้นไม่เคยฆ่าใครหรือกินเลือดมนุษย์แม้แต่น้อย” โกหก โกหกหน้าตายด้วย ผมไม่เชื่อ เมื่อกี๊มันยังฆ่าชายร่างท้วมอยู่เห็นๆ

“เจ้าไม่เชื่อข้า แต่ข้ามีเหตุผลก่อนทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ มาตอนแรกข้าเป็นเพียงปีศาจที่น่ารังเกียจต้องหนีหัวซุกหัวซุนขโมยกินของๆชาวบ้านไปวันๆสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว จนครั้งนึงข้าคิดว่าจะยอมอดตายเพื่อไม่ให้ชาวบ้านต้องคอยระแวงข้าอีก.....” อิชิดะเล่าเรื่องของตัวเองไม่ถามผมเล้ยว่าอยากฟังมั้ย และยังคงเล่าต่อสีหน้าจริงจัง

“จนกระทั่งข้าได้เจอกับเธอคนที่ฉุดข้าขึ้นมาจากความทุกข์ โอ้..ซานาเอะยอดรักของข้า นางเป็นหญิงสาวหน้าตาอัปลักษณ์แต่จิตใจนางนั้นช่างงามล้ำเหลือจะเอ่ยนางเกลี้ยกล่อมชาวบ้านให้เชื่อว่าข้าเป็นเพียงชายอัปลักษณ์เท่านั้น ตอนแรกเกือบจะไม่มีใครเชื่อแต่เพราะนางเป็นคนดีเกินกว่าจะโกหก ชาวบ้านทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ หลังจากนั้นข้าได้ใช้ชีวิตอยู่กินกับนางจนมีลูกด้วยกัน ทว่า......” เล่าต่อเซ่ อย่าทิ้งวรรคให้อยากแล้วจากไปได้มั้ย ทำหน้าเศร้าแบบนั้นคงเกิดเรื่องไม่ดีใช่ไหม

“มันเกิดอะไรขึ้น” ผมถาม ไม่ได้ละลาบละล้วงนะ

“ซ...ซานาเอะ..ธ..เธอโดนฆ่าตายโดยมนุษย์ ลูกข้าก็ด้วย” อิชิดะตะกุกตะกักในการตอบ

“คนฆ่าลูกเมียเจ้าเห็นหน้ามันรึเปล่า” เฮ้ย!!!ทำไมมองผมเขม็งแบบนั้นอ่ะน่ากลัวนาอย่างกะกินเลือดกินเนื้อกันนั้นแหละ

“เจ้านั่นแหละที่ฆ่าลูกเมียข้า ข้าไม่เคยลืมสาวผมแดงดั่งเพลิงดวงเนตรราวกับอัคคีเสมือนรุกไหม้ตลอดเวลา ข้าอุตส่าหนีมาหลังจากสงครามหอคอยซาบิน่า เจ้ากลับตามมาราวีข้าถึงที่นี่ ในนามของปีศาจแห่งเวลาหากฆ่าเจ้าไม่ได้จะไม่ขอมีชีวิตอีกต่อไป” อิชิดะตะพูดขณะกัดฟันกรอดอย่างโกรธแค้น ผม??? ไปฆ่าใครตั้งแต่เมื่อไหร่ถ้าให้เดาคงเป็นตัวผมในอดีตแน่ โอย ทำไมต้องพาเรื่องซวยมาให้ด้วยนะ เขาหนีไปแล้วปล่อยเขาไปไม่ได้รึไง จะบ้าตาย นี่ก็เหลืออีกแค่ครึ่งชั่วโมงจะทันมั้ยเนี่ย

“มา!!!หยิบดาบตรงนั้นแล้วมาตัดสินกันให้รู้แพ้รู้ชนะ พร้อมแล้วเข้ามาเลย!!!” อิชิดะโพล่งจบพร้อมกับอยู่ในท่าเตรียม เฮอะ สู้ก็สู้ฟะผมหยิบดาบขึ้นมาจับกระชับให้แน่นมือ

“ก่อนอื่นข้าขอบอกว่า คนที่ฆ่าลูกเมียเจ้าไม่ใช่ตัวข้าในตอนนี้แต่เป็นชาติก่อนของข้าดังนั้นข้าขอโทษด้วย เอาล่ะข้าพร้อมแล้ว” อิชิดะจัดการเหวี่ยงดาบทันที ตัวดาบสีขาวด้ามจับเป็นสีทองมันรวยเว้ย เคลื่อนมาอย่างเร็วชนิดที่ว่าดูแทบไม่ทัน ฉึก ผมเอี้ยวตัวหลบแต่ไม่แคล้วหัวไหล่ขวาต้องชิมปลายดาบของอิชิดะ มือขวาผมถือดาบใช้มือข้างที่เหลือปิดบาดแผลไว้ เลือดสีแดงไหลไม่หยุด มันแสบเหมือนมดกัด

“เป็นไงล่ะ” อิชิดะเยาะเย้ย หน็อย ถ้าหยุดเวลาแล้วฟันมันจะได้มั้ยนะ ผมดูแท่งโซลริมิทปรากฎว่ามันเหลือเพียงก้นแท่งจะพอรึเปล่า ต้องลองดู

“ขำไปเหอะ ข้ายังมีไม้ตายอยู่”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ” อิชิดะจู่ๆเกิดระเบิดหัวเราะซะอย่างนั้นมีอะไรน่าขำหรือว่ามันกลัวจนเป็นบ้า

“แกจะต้องขำไม่ออก” กึก(หยุดเวลา) เอาล่ะ ผมฟาดดาบเข้ากลางกบาลบนร่างของชายที่ค้างในท่าหัวเราะ ก่อนจะจัดการไล่ฟันลงมาเรื่อยๆนับได้เกินยี่สิบแผล กึก(เวลาเดิน) ฟุบ ห..หายไปแล้วได้ไงยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย

“เปล่าประโยชน์น่า เจ้าคงลืมไปแล้วว่าข้าก็ใช้พลังเกี่ยวกับเวลาเช่นกัน” ล...ลืมเสียสนิทเลย ซวยล่ะเสียงมันมาจากด้านหลัง ผมรีบหันกลับมาทว่าเบื้องหน้าคือปลายดาบซึ่งกำลังจะแทงทะลุผ่านตัว ผมทำอะไรไม่ได้เลยใช้พลังวิญญาณหมดไปแล้วด้วย อืม......ไม่น่าจะเจ็บมากหรอกมั้ง ฉึกกกกกกกกก

“อัก” มันเจ็บและเจ็บมากทีเดียว ดาบที่ผมถือหลุดจากมืออัตโนมัติ

“ในที่สุดก็ฆ่าเจ้าได้สำเร็จ” อา.....ผมจะตาย ทำไมโลกช่างโหดร้ายแบบนี้ ปีศาจร้ายอิชิดะผลักผมออกจากดาบของมัน ร่างของผมในชุดยูคาตะสีฟ้าถูกย้อมด้วยโลหิตแดงฉานค่อยๆล้มทั้งยืน

อย่ามาว่ายัยถั่วเน่านะฉันไม่ยอมจริงๆด้วย........จากอัตราการคำนวณของฉันแค่โดนแทงท้องไม่ถึงตายหรอก.......ซาริจังห้ามตายนะจ๊ะ นากาเนะ....ยูกิโกะ.....ริมิ.....ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ คนห่วยๆอย่างผมได้ริมิเป็นเนื้อคู่ถือว่าโชคดีไม่น้อย คนโชคร้ายคงเป็นริมิ ขอโทษนะทุกคนหากตัวผมมีพลังมากว่านี้อาจจะเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ โถ่โว้ย

สายตาผมเริ่มพร่ามัวมัน...เลือนรางขึ้นเรื่อยๆ เห็นเป็นเงารางๆรู้ว่าเป็นอิชิดะแน่ มันยกมืนขึ้นเหนือศรีษะคาดว่าของในมือน่าจะเป็นดาบ ใจคอจะซ้ำให้ตายเลยหรือไงไอ้เลวเอ๊ย นี่ผมกำลังถอดใจยอมแพ้ใช่มั้ย ไม่ได้ผมจะยอมแพ้ไม่ได้ ขอโอกาสให้ผมอีกสักครั้งเถอะแท่งโซลริมิทหรือใครก็ได้มอบพลังให้ผมทีเถอะได้โปรด!!!วิ้งงงงงงงงงงงงงง

“ต...ตาข้า แสบตาโว้ย โอ๊ยยยยยย อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาา” แสบตา??? เสียงร้องโหยหวนนั่นอีก เกิดอะไรขึ้น???

“เจ้าลุกไหวมั้ย” ส...เสียงใคร ทำไมเป็นผู้หญิง หรือว่าหูฝาดหว่า ผมพยายามกระพริบตาหลายๆครั้งเพล่งมองคนตรงหน้า พร้อมกันนั้นผมรวบรวมแรงทั้งหมดที่มียันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

“ให้ช่วยมั้ย...” เธอว่าพลางยื่นมือมา ผมจับมือนั้นเธอช่วยดึงผมให้กลับไปยืนได้อีกครั้ง ผมก้มมองแผลที่ท้องมันหายไปแล้วรวมทั้งไหล่ด้วยราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ผมผู้มาช่วยผมอย่างฉงนเธอเป็นใครกัน ผมแดงตาสีแดงหน้าตางี้โคตะระคุ้นคลับคล้ายคลับคราว่าจะเป็นคนรู้จัก ใส่ชุดนักเรียนญี่ปุ่นด้วยนะเป็นชุดกะลาสี ดำสนิท เหลือบไปเห็นร่างของอิชิดะนอนตายเป็นศพเรียบร้อย ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันฆ่าอิชิดะได้อย่างง่ายดาย

“เรารู้จักกันรึเปล่า” ผมถามเธอ

(คิกๆๆๆยิ่งกว่ารู้จักอีก ฉันคือเธอในชาติที่แล้ว เรียกฉันว่าโฮคุระ อาโอย....) แนะนำตัวเองเสร็จสรรพ ห๊า ย...ย..อย่าบอกนะว่าเป็นผี ปากเธอไม่ขยับทว่าผมกลับได้ยินเสียงของเธอดังก้องอยู่ในหัว

(ที่ถูกต้องเรียกว่าวิญญาณมากกว่าอ่ะนะ ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ) อย่า..อย่ายิ้มหน้าบานอย่างนั้น แถมรู้ความคิดผมด้วยไม่จริ๊งงงงงงงงงง เอ้อ...รู้แล้วหน้าเหมือนใครเหมือนผมไงต้องโม้แน่ๆเรื่องอย่างนี้มันโกหกทั้งเพผมไม่เคยมีฝาแฝดสักหน่อย

(เป็นความจริงจ้ะ ฉันกับเธอเป็นคนๆเดียวกัน) ยืนยันด้วย...

“เอ่อ...ผม...เอ่อ..ฉัน”

(แทนตัวเองว่าผมก็ได้ พวกเรารีบไปหาเรรินะจังกันเถอะ) น..นั่นสินะผมลืมไปได้ไงเดี๋ยวค่อยถามลายละเอียดทีหลังก็ได้ ผมกับอาโอย วิ่งขึ้นเนินต่อตามหาเรรินะ อาโอยไม่ได้วิ่งนะแต่พี่แกลอยตามมาติดๆ

“ทำไมบาดแผลของผมถึงหายไปเฉยๆล่ะ”

(เมื่อกี๊ซาโตริต้องการมีชีวิตต่อใช่มั้ยล่ะ)

“ก็ใช่แต่มันเกี่ยวข้องกันยังไง”

(ดังนั้นฉันซึ่งหลับใหลอยู่ในส่วนลึกของนายจึงตื่นขึ้นมาช่วยนายไว้ โดยใช้พลังเปลี่ยนแปลงบางสิ่งซึ่งไม่ต้องย้อนเวลาให้เมื่อย เปลืองพลังวิญญาณเพียงนิดเดียว) ง่ายแบบนั้นเชียว วิ่งมาได้สักพักเลยเนินขึ้นมาอีก ไม่เจอสักทีฟะ

“ฮืออออออออออออออออออ” คนร้องไห้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร เรรินะ ผมมองหาสาวผมแดงในชุดยูคาตะสีชมพู เธออยู่นั่นนั่งร้องไห้อยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ ผมเดินเข้าหาร่างบางตัวสั่นเทาอย่างช้าๆก่อนจะกอดเธอจากด้านหลัง ทว่าเรรินะสะบัดออกแล้วหันหน้ามากอดผมแทน เธอจะเห็นอาโอยรึเปล่านะ

(ไม่เห็นแน่นอนคนที่เห็นมีแต่ซาโตริเท่านั้น) อาโอยบอก

“ฮึก เราขอโทษซาโตริที่จู่ๆบอกเกียจเจ้า ฮึกๆ พอดีตอนนั้นเราเสียใจเพราะเรียวจิตาย” เรียวจิ??? เธอบอกพร้อมลูกสะอื้น

“ไม่เป็นไร ข้าไม่โกรธ แต่บอกได้มั้ยใครคือเรียวจิ”

(ละลาบละล้วงไปแล้วนะ) อาโอยตำหนิผม ก็คนมันอยากรู้อ่ะ

“เราบอกเจ้าไม่ได้หรอกขอโทษด้วย” เรรินะตอบ เรียวจิคงเป็นคนสำคัญของเรรินะถึงได้บอกไม่ได้

“อื้ม ข้าเข้าใจหยุดร้องเถอะเรียวจิรู้คงไม่ชอบเป็นแน่รวมปู่เจ้าด้วย” เธอใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตา ก่อนจะฝืนยิ้มแบบสุดๆ

“ซาโตริเจ้าเป็นมนุษย์หรือปีศาจก็ช่างแต่ช่วยอะไรเราอย่างนึงได้มั้ย” หน้าตาของเธอตอนนี้น่าสงสารจับใจผมเหลือเกิน

“อ..อะไรถ้าข้าช่วยได้จะช่วยเต็มที่” ทำไมผมรู้สึกแปลกๆหมือนจะเกิดเรื่องไม่ดียังไงไม่รู้

“ช่วยทำให้เราพบกับเรียวจิทีเถอะนะ”

“อ...เอ๋เรื่องนั้นมัน......” จะทำยังไงดีเรรินะทำหน้าจะร้องไห้อีกรอบ ผมไม่อยากเห็นเธอเสียใจอีกแต่จะ....นี่แหละเรื่องเศร้าที่ผมตามหามานาน ปริทาด้าไปอยู่ไหนซะล่ะเวลาต้องการไม่เคยเจอตัว

(ปริทาด้า??? ยังอยู่อีกหรอ) อาโอยถาม ผมไม่ชอบยัยปริทาด้าเลย อาโอยไม่รำคาญยัยนั่นมั่งเหรอ

(ไม่อ่ะ งั้นฉันจะบอกวิธีเรียกปริทาด้าให้) วิธีเรียก??? ทำไมผมไม่เคยรู้ ว่าแต่เรียกยังไง

(คิดตามคำพูดฉันนะ ปริทาด้า มาหาฉันมิสเทสของเธอ มาหาฉันนายหญิงของเธอ) ปริทาด้า มาหาฉันมิสเทสของเธอ มาหาฉันนายหญิงของเธอ จะมาจริงๆเร้อออออออออออออ

“ทำให้เราได้มั้ย” เร..ริ..นะ ผมอยากช่วยเธอจริงๆแต่ปริทาด้าไม่มาสักที

“เรียกอิฉันรึเจ้าคะ” ปริทาด้ายัยนี่มันวาร์ปมาใช่ม้ายยยยยยยยยยยยย

“เออใช่มาช้าชะมัด” สาวผิวหิมะหน้าซีดเมื่อเห็นยัยภูต มือจับชายเสื้อผมแน่น ผมต้องบอกเธอว่าไม่ต้องกลัวปริทาด้าหรอกเพราะยัยนี่ไงที่จะทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริง

“ไม่ต้องกลัวนะผู้หญิงคนนี้ชื่อปริทาด้า จะทำให้ทุกอย่างที่เรรินะต้องการเป็นจริงได้”

“จริงเหรอ” เรรินะไม่เชื่อ ผมจึงพยักหน้าหงึกๆให้เธอรู้ว่าตัวผมไม่ได้โกหก

“จริงเจ้าค่ะ อิฉันช่วยท่านเรรินะได้ เชิญอธิฐานเจ้าค่ะ” เสียงไร้อารมณ์สุดๆ เรรินะบีบมือผมแน่นเธอหลับตาพริ้มปากขยับมุบมิบเหมือนบ่นอะไรบางอย่าง ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นจริงจัง

“อย่างน้อย ขอให้เราได้เจอกับเรียวจิเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี” ทันใดนั้นแสงสีชมพูเปล่งรัศมีเจิดจ้าจากตัวเรรินะ มันจ้ามากเสียจนผมต้องถอยมาตั้งหลักข้างๆปริทาด้า เมื่อแสงนั้นจางลงปรากฎร่างของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหน้าตาดีในเครื่องแบบทหารญี่ปุ่นสูงกว่าเรรินะ พื้นที่รอบๆเปลี่ยนไปด้วยจากต้นไม้ที่เหี่ยวเฉากลับกลายเป็นต้นซากุระผลิใบสวยงดงามดั่งกับว่าธรรมชาติเป็นใจให้เธอ

“เรียวจิ” เรรินะเรียกชายตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา เธออาจไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นจริงได้

“เรรินะ” เรียวจิเรียกเรรินะกลับ

“ผม...ผมตายไปแล้วนี่นา” เรียวจิบอก การพูดของเขาแตกต่างจากคนอื่น

“เรารู้...เรารู้” สาวผิวหิมะคุมเสียงไม่ให้สั่น จับเสื้อทหารนั้นพลางเขย่าระคนโดนขัดใจ

“แต่เรรินะไม่ตายใช่มั้ย” เรรินะพยักหน้า เรียวจิเป่าปากดังฟู่อย่างโล่งอก

“คนผิดสัญญา คนนิสัยไม่ดี เจ้าสัญญาแล้วแท้ๆ เราโกรธเจ้า เราโกรธเจ้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีกแล้ว” คนงอนสะบัดหน้าหนีพร้อมกันนั้นก็หมุนตัวร้อยแปดสิบองศาแล้วยืนกอดอก เรียวจิจับไหล่เรรินะหมุนตัวเธอให้กลับมาหาก่อนจะสวมกอดก่อนอย่างแนบแน่น

“ผมมีอะไรจะบอกเรรินะ” ชายหนุ่มในชุดทหาร มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยของสาวผิวหิมะ

“.....................” เธอเงียบ รอฟังคำพูดของชายตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น

“ผมรักเรรินะมาตลอด แค่เรรินะปลอดภัย ถึงร่างกายนี้จะต้องสูญสลายผมก็ยอม” เสียงที่เปล่งออกมาเจือปนไปด้วยความห่วงใยและรักมากเกินจะบรรยาย เรรินะน้ำตาคลอ

“เรียวจิ....เรารักเจ้าเหมือนกันรักมากว่าเจ้าหลายร้อยเท่าเลยด้วย” คนถูกบอกรักยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ก่อนจะเปลี่ยนมาซีเรียส

“ลืมผมเถอะ เรรินะ” เรรินะหัวใจแทบสลายเรียวจิไม่ได้รักเธอเลยหรือ ถึงได้พูดคำว่าลืมออกมาได้ง่ายๆ

“เราทำไม่ได้หรอก เพราะไม่อยากจะเสียความรู้สึกนี้ไป” เรียวจิมีสีหน้าลำบากใจ

“แต่..มนุษย์กับคนตายไม่อาจรักกันได้ เรรินะก็รู้ดีไม่ใช่หรือ” เรรินะกำลังจะร้องไห้อย่างไม่ต้องสงสัย เธอพยายามกล้ำกลืนฝืนมันไว้ใต้ดวงตาร้อนผ่าว

“เราขอโทษถ้าเราบอกเจ้าให้เร็วกว่านี้ก็คงจะดี อย่างน้อยเราคงทำให้ใจเจ้ามีความสุขมากกว่านี้เป็นแน่”

“รู้ไหมความสุขของผมคืออะไร” เรรินะส่ายหน้าขวับๆ เรียวจิมองร่างบางตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม

“การเห็นคนที่รักยังมีชีวิตอยู่ถึงไม่มีผม เรรินะต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้นะสัญญากับผมได้มั้ย”

“เราสัญญา” ชายหนุ่มค่อยๆโน้มตัวบรรจงจูบริมฝีปากชมพูอวบอิ่มของสาวผิวหิมะ ฉับพลันนั้นร่างของเรียวจิมีอันต้องกลายเป็นกรีบดอกซากุระ ล่องลอยบินวนรอบๆตัวเรรินะ

“เรียวจิ ไม่ว่ายังไงเราจะไม่ลืมเจ้า ได้ยินมั้ยเราจะไม่ลืมเจ้าเรียวจิ!!!” ดอกซากุระปลิวไปตามสายลม ลอยสูงขึ้นและสูงขึ้นจนลับตา เรรินะมองตามซากุระเหล่านั้น เธอปล่อยหยาดน้ำตาให้หลั่งไหลไม่ขาดสายพลางทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นสองมือปิดหน้า สีหน้าบิดเบี้ยวเมื่อต้องสูญเสียคนรักไปตลอดกาล บริเวณรอบๆกลับคืนสภาพเป็นต้นไม้สีเขียวดังเดิม

ร่างสั่นเทาของสาวผิวหิมะส่องแสงรัศมีสีชมพูเรืองรองก่อนจะถูกดูดกลืนด้วยแท่งโซลริมิทแล้วเลือนหายเข้าไปในตัวเธอ เรรินะลุกขึ้นยืนหยุดร้องให้ซะเฉยๆ สายตามองตรงมายังผม เธอเดินมาใกล้ จากนั้นเธอโผลเข้ากอดผม

“เรารู้แล้วว่าเจ้าเป็นใครและเราเป็นใคร” พูดอะไรแปลกๆ เธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเรรินะคนเมื่อกี๊หายไปไหนแล้ว

“อย่าทำหน้างงอย่างนั้นสิซาโตริ เจ้ามาหาเราเพราะอะไรลืมแล้วหรือ” มาหาเพราะ.....

“เออใช่....เรื่องยารักษาโรคของข้า แต่เจ้ารู้ได้ยังไง” เรรินะคลี่ยิ้มบางๆ

“ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้นที่เรารู้ยังมีเรื่องของปริทาด้าและก็มิสเทสด้วย อ้อ...เรื่องที่เจ้าเป็นผู้ชายด้วย” ม...ม..หมายความว่า...

(หมายความว่าพวกเราได้ความทรงจำของเรรินะมาด้วยไง) อาโอย.... เรื่องผมเป็นผู้ชายมีคนรู้เพิ่มอีกคนแล้วหรือนี่

“เราจะผสมสมุนไพรให้รอแป๊ปนึง ไม่ต้องเครียดเรื่องที่เจ้าเคยเป็นผู้ชายเราไม่บอกใครหรอก” โอ้!!!โล่ง เรรินะเรียกกล่องยาออกมาอย่างชำนาญพลางนั่งคุกเข่าเปิดวัตถุทรงสี่เหลี่ยม ภายในเต็มไปด้วยเอ่อ....ผมจะอธิบายยังไงดี มันมีแต่ใบไม้ล้วนๆ ซึ่งผมไม่รู้เลยว่ามันเป็นใบของต้นอะไรบ้าง แหะๆ

“ท่านซาโตริเจ้าคะระเบิดลงแล้วเจ้าค่ะ” ระเบิด!!!ผมหันขวับมองปริทาด้า สีหน้าเรียบเฉยได้โล่จริงๆ อ้อเกือบลืม น้ำเสียงด้วยนิ่งไร้อารมณ์สุดๆ

“มันปล่อยลงมาแล้วเหรอ”

“เจ้าค่ะ”

“ปริทาด้ามาช่วยเราหน่อย” เรรินะเรียกยัยภูตให้ไปเป็นลูกมือผสมยา ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า บนนั้นมันไม่ได้มีแค่พระจันทร์ดวงกลมเพราะลูกระเบิดปรมาณูสีดำสนิทกำลังล่วงลงมาเรื่อยๆจุดที่จะตกคาดว่าน่าจะเป็นใจกลางเมืองฮิโรชิม่า ต้องใช้หยุดเวลา กึก(เวลาไม่หยุด) เฮ้ย พลังวิญญาณของผมมันหมดไปแล้วนี่หว่า ตายๆๆๆๆ

(ไม่ตายหรอกน่า นายลืมฉันไปแล้วเหรอ) อาโอยเตือนสติผม บอกมาสิว่าจะให้ทำยังไง

(ฉันจะแบ่งพลังของฉันให้นายไปใช้) แบ่งพลัง อาโอยพูดจบแท่งโซลริมิทของผมเพิ่มมากระจึ๋งนึงจะไปพออะไร เอาเถอะลองดูก่อน กึก(หยุดเวลา) สำเร็จ ผมแตะตัวเรรินะกับปริทาด้าเพื่อให้ทั้งสองคนขยับตัวได้

(นายรู้อะไรเกี่ยวพลังแห่งเวลามั่งเนี่ย) รู้แค่ว่าหยุดเวลาได้ตามใจต้องการ อย่าบอกนะว่ามันมีมากกว่านั้น

(ก็ใช่น่ะสิ!!! พลังของเราสองคนทำอะไรได้มากกว่านั้นเสียอีกยกตัวอย่างเช่นเมื่อกี๊ ถ้าซาโตริคิดว่าให้ระเบิดนั่นหยุดอย่างเดียวมันก็จะหยุดแค่อย่างเดียวจำไว้อะไรจะหยุดบ้างขึ้นอยู่กับใจของเรา เข้าใจมั้ย) ค...ครับเข้าใจแล้ว จู่ๆอาโอยขึ้นเสียง เล่นทำผมตกใจเลยอะ

“ซาโตริ ดื่มนี่ซะแล้วเจ้าจะหายจากโรคของเวลาไม่หวนคืน” เรรินะยื่นถ้วยน้ำชาให้ ผมรับมันมาถือสองมือไอร้อนระเหยเป็นระยะ

“ทำไมมันร้อน”

“ในกล่องของท่านเรรินะจะมีทุกอย่างที่ใช้ทำสมุนไพรเจ้าค่ะ” ผมมองน้ำขุ่นสีเขียวข้นยืนทำใจอยู่สักพักก็คนกลัวขมผิดมั้ยล่ะ คงไม่ขมเท่าไหร่หรอกมั้ง ว่าแล้วก็กินมันรวดเดียวเลย ร..ร้อน ปากพลองแล้วเนี่ย ผมใช้มือพัดปากเป็นพัลวัลร้อนนนนนนนนนนน

“ฟู่ ฟู่” ค่อยยังชั่ว โดนขนาดนี้ถ้าไม่หายผมจะฆ่าปริทาด้าเป็นคนแรกเลยคอยดู

“ลองหมุนเวลาดูเจ้าค่ะ” เออรู้แล้วไม่ต้องบอก ผมเรียกนาฬิกาพกคู่ใจออกมา จัดการหมุนมันโดยคิดเรื่องของริมิอยู่ มันขยับได้ไม่มีติดขัด

“ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่าได้สินะเจ้าคะ” ปริทาด้าจับแขนผม ยัยนี่ไม่น่าให้กลับหรอก

“เรรินะไปกับข้าได้ไหม” เธอตีหน้าเศร้าขึ้นมาทันที

“จะดีหรือ แต่....” ผมสวนเธอกลับก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา

“ดีสิ ดีแน่นอน ข้าอยากให้เจ้าไปด้วย” เธอกำลำลังเลสินะ

“เจ้าสัญญากับเรียวจิแล้วไม่ใช่หรือ ดังนั้นมากับข้าเถอะ” ผมใช้เรียวจิเป็นข้ออ้างซึ่งมันได้ผลเพราะสาวผิวหิมะเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋าแล้วทำให้มันหายไปก่อนจะกำมือผมแน่น แท่งโซลริมิทของผมแทบไม่เหลือให้ใช้คงต้องฝืนกันหน่อยล่ะ ริมิผมกำลังไปหารอก่อนนะผมจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของเธอ จะสร้างเส้นทางที่มีแต่ผมเท่านั้นสามารถทำได้

แสงสีฟ้าเปล่งแสงเจิดจรัสจากตัวซาโตริ มันดูดกลืนสี่สาวให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เวลาทุกอย่างกลับมาเดินอีกครั้งระเบิดปรมาณูล่วงลงสู่ฮิโรชิมาร่างเงาดำมืดมองดูสามสาวหายไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะพูดว่า

“เมื่อไรที่มิสเทสทั้งห้ารวมตัวกันครบอีกครา”



“ครานั้นคือหายนะ”



“เด็กน้อยเอ๋ยวาระสุดท้ายของพวกเจ้าเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้วล่ะ”



"หากจะแก้ไขอีกครั้ง ไม่ได้แล้วนะ"

ร่างเงาแสยะยิ้มอันชั่วร้ายเพียงนึกถึงแผนการที่เตรียมไว้อย่างดีความชั่วสะท้อนเด่นชัดอยู่ในกมล ก่อนจะเลือนหายไป ก่อนระเบิดลงเพียงเสี้ยววินาที... ร่างนั้นคือใคร มีจะจุดประสงค์อะไรกันแน่




บทที่ 11 ใครกันแน่ที่ไร้สาระ



RIMI ริมิ

“ซาริจังอย่าตายนะ ลืมตาสิจ๊ะ” จู่ๆซาริจังก็ไม่หายใจ เพราะอะไร หรือว่าขี้เกียจเอาอากาศเข้าปอด บ้าไปแล้วริมิ บ้าๆๆๆเธอไม่ได้เอาหัวคิดใช่มั้ย

“ยัยถั่วเน่าเป็นไงมั่ง ถ้าเป็นลมแดดแม่จะตบให้ล่วงอีกรอบ” นากะจัง...

“ซาริจังเขา...ซาริจังเขา...ซาริจังต...ตายแล้วจ้ะ” ริมิตอบเสียงสะอื้น นากะจังหน้าขึงขังในบัดดลพร้อมกันนั้นผลักตัวริมิออก แล้วกระชากร่างไร้วิณญาณขึ้นมาตบซะหลายฉาด ย..หยุดนะนากะจัง เพี้ยะ เพี้ยะ

“อย่ามาล้อเล่นนะซาโตริฉันไม่ขำด้วย ยัยถั่วคั่ว ยัยถั่วเน่า ยัยสวยโง่ ยัย...ยัย...ฉันยังมีคำด่าเธออีกมากมายลุกมาฟังสิ.....ตื่นมา....ทะเลาะกับฉันเดี๋ยวนี้!!!” นากะจังตะคอกซาริจัง ว่าแต่ยูกิจังหายไปไหนแล้ว

“เฮ้...เพื่อนเธอแค่เป็นลมใช่มั้ย” เปะโปะ..อ๊ะพวกวงมาสเตอร์อยู่ด้วยนิ บรรดาแฟนเพลงที่ตอนแรกส่งสายตาอาฆาตซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่บัดนี้สายตาเหล่านั้นที่มองมาบนเวทีกลับมีเพียงความสงสารถึงแม้บางคนจะคิดว่านี่เป็นการแสดงจัดฉากสร้างเรื่องก็ตาม

“ปริทาด้าหายไปไหนไม่รู้” ยูกิจัง...ไปขอให้ปริทาด้าช่วยนี่เองหัวแหลมมาก เอ๊ะ!!! เมื่อกี๊ว่าไงนะปริทาด้าหายไป แล้วใครจะช่วยซาริจังล่ะทีนี้

“รีบหนีไปจากที่นี่เร็วเข้า นี่คือสิ่งที่ซาริจังพูดก่อนจะไม่หายใจจ้ะ” ต้องมีอะไรแปลกๆแน่เลย

“หืม...ฉันว่ามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วล่ะ” นากะจังก็คิดเหมือนริมิใช่มั้ยจ๊ะ

“ให้ฉันเดานะ ซาโตริเป็นมิสเทสแห่งเวลา ไม่แน่บางทีเธออาจจะเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าก็ จึงคิดจะบอกพวกเรารวมทั้งคนบนหาดด้วย แต่เพราะอะไรสักอย่างที่ทำให้เธอไม่สามารถบอกได้สังเกตได้จากอาการปวดหัวแบบไม่ทราบสาเหตุ อ้อ..และบางทีอาจจะยังไม่ตายด้วย” จริงหรอจ๊ะถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ ริมิจะได้ไม่ต้องร้องไห้ เสียน้ำตาไปโดยเปล่าประโยชน์

“พวกเธอจะคุยกันสามคนรึไง สรุปเพื่อนเธอเป็นลมรึเปล่า” นายเปะโปะ....คนไม่มีมารยาทไม่เห็นเหรอว่าคนเขาคุยกันอยู่ยังจะแทรกเข้ามาอีก นั่นดูทำหน้าเข้าสิ ริมิรู้สึกไม่ถูกชะตากับนายนี่อย่างแรงหน้าก็สวยกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก

“นายยุ่งอะไรด้วย” ริมิถาม

“เฮ้...นี่มันเวทีพวกฉัน พวกเธออยู่บนนี้ จะให้ว่าไงดีเพื่อนเธอเป็นลมได้ไง เสียการแสดงหมด” ชายหัวฟ้าเป็นมือเบสของวงมาสเตอร์ตอบแทนเปะโปะ นิสัยไม่ดี ไม่ห่วงคนเลยนี่นา

“นาย..นาย...” ไม่ได้ๆริมิเธอจะทะเลาะกับคนพรรค์นี้ไม่ได้ รีบหนีไปจากที่นี่ดีกว่าแต่ก่อนอื่น.....

“ทำไม เธอจะว่าอะไรฉัน” สีหน้ายียวนกวนประสาทวอนหาบาทามันน่า....จริงๆ(ตบ) ใจเย็นริมิ ใจเย็นๆ พอใจเย็นได้ระดับนึง ริมิแย่งไมค์จากนายหัวฟ้า มาถือในมือ

“ทุกคนจ๊ะ รีบหนีไปจากที่นี่กันเถอะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ไม่ต้องถามเพราะริมิ ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันจ้ะ” ริมิยื่นไมค์คืนเอ่อ....นายหัวฟ้าไม่รู้ชื่ออะ

“นายก็ควรหนีด้วย” หันไปบอกเปะโปะ เขาขยับปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ริมิไม่รอฟังหรอกไม่ใช่เรื่องซะหน่อย รีบซอยเท้าหนีลงเวทีดีกว่า

“ฉันอุ้มยัยนี่เอง” เสียงนี้ใช่เลย นายเปะโปะ ริมิหันกลับไปมอง เปะโปะกำลังอุ้มร่างของซาริจัง ไม่น้าาาาาาาาาาาาาา

“กรี๊ด เหมือนเจ้าชายเลยค่า” เสียงผู้หญิงคนนึงแปร๋นขึ้นมาเหมือนช้างเชียวพาให้ผู้หญิงอีกหลายคนกรี๊ดตามเป็นระยะ ใช่เหมือนเจ้าชาย แต่เป็นเวอร์ชั่นเจ้าชายอสูรน่าเกลียดน่ากลัวตัวละบาทนะ

“นายปล่อยซาริจังเดี๋ยวนี้เลยนะ” ริมิว่าพลางชี้หน้าชายหน้าสวย

“ไม่ปล่อย” อ๊ายยยยยยยยยยยยยย

“เปะนายจะยุ่งเรื่องคนอื่นทำไม” ชายใส่แว่นกรอบทองว่าเปะโปะ นายหน้าหวานทำสีหน้าไม่พอใจมองชายสวมแว่นแบบงอนๆ ริมิรู้ดี เพราะงอนซาริจังบ่อย(เรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น)

“ก็ได้ ก็ได้ อ่ะยัยหัวส้มฉันคืนให้ เพื่อนของเธอฉันไม่เอาไปไหนหรอก” เปะโปะหันไปหานากะจัง สาวผมแกละรับร่างนั้นมาอุ้มต่ออย่างสบายๆ

“หนักเว้ย” บ่นทำม้ายยยยยยยยยยยยยย อุตส่าชม พวกเราสามคนพากันเดินไปห้องพัก โดยมีเสียงบ่นของนากะจังตลอดทางบ่นได้บ่นดีจริงๆ ปากบอกหนัก บอกว่าจะไม่อุ้มแล้ว แต่พอริมิบอกเปลี่ยนกันมั้ยพี่แกบอกไม่เป็นไรสบายมาก แล้วจะบ่นทำไมจ๊ะ แม่สาวขี้วีน

ร่างของซาริจังถูกวางบนเตียงอย่างนุ่มนวล ริมินั่งอยู่ข้างๆ เหลือบไปเห็นยูกิจังกับนากะจังจะเดินออกประตูห้อง

“ทั้งสองคนจะไปไหนกันจ๊ะ ริมินึกว่าทั้งสองคนจะช่วยกันเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าซะอีก”

“จะไปหาปริทาด้า” นากะจังตอบ

“เอ๊ะแล้วพวกเราไม่รีบหนีไปจากที่นี่เหรอจ๊ะ” ยูกิเดินมานั่งข้างๆริมิพลางกุมมือแน่นมองเข้ามายังนัยน์ตาสีม่วง

“ไม่ต้องห่วงนะ จำสีหน้าของซาโตริได้มั้ยว่ากระวนกระวายแค่ไหน..” ริมิพยักหน้าหงึกหงัก

“นั่นแสดงว่าเรื่องร้ายๆที่ควรจะเกิด กำลังถูกเลื่อนเวลาออกไป ไม่งั้นพวกเราคงตายกันหมดแล้ว ทั้งหมดนี้ที่มันเปลี่ยนเพราะซาโตริต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง” ยูกิจังอธิบายต่อ ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับนากะจัง เหลือริมิกับซาริจังสองคนซะงั้นอ่ะ

“ซาริจังฟื้นขึ้นมาสักทีสิจ๊ะ”

“......” เงียบ

“ซาริจัง” ริมิเสียงสั่นเครือ

“ฟื้นขึ้นมาซี่...ฟื้นขึ้นมา...ริมิยังไม่ได้บอกซาริจังเลย ว่าริมิดีใจขนาดไหนที่ได้เป็นเนื้อคู่กับซาริจังน่ะ” ริมิทั้งเรียกทั้งเขย่าร่างนั้น แต่ซาริจังกลับไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นแม้สักนิดก็ไม่มี ริมิพยายามกลั้นน้ำใสๆบริเวณขอบตาซึ่งล้นปริ่มหน่อยๆให้หยุดเสีย ก่อนจะลุกไปหยิบกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลใบใหญ่ซึ่งอยู่มุมห้องขึ้นมาจัดของ เอ...เสื้อผ้าพวกนี้พับของตัวเองใส่ไว้ล่างๆก่อนดีกว่าแล้วค่อยเอาของซาริจังพับเก็บทับทีหลัง ถ้าซาริจังรู้ล่ะก็ต้องโกรธแน่ๆเลย แหมะ น...น้ำตา...ทำไม...ริมิร้องไห้ทำไม

อ๋อ....รู้แล้ว ตัวเราคงกลัว กลัวจะเสียซาริจังไป.......อย่าคิดอะไรบ้าๆเชียวริมิ ซาริจังไม่มีทางที่จะตายเด็ดขาด ซาริจังได้ยินเสียงริมิมั้ย ได้โปรดกลับมาทีเถอะจ้ะ ริมิคงอยู่ไม่ได้หากต้องอยู่คนเดียว หมับ ใครกำลังกอดริมิจากด้านหลัง ไม่ใช่นากะจัง หรือ ยูกิจัง แน่ๆ หรือว่า!!! สัมผัสแบบนี้จะเป็น

“ซาริจัง” ริมิหันกลับไปมอง....ผิดคาดถึงจะไม่ใช่สาวผมแดงแต่เป็นชายร่างท้วม ซึ่งริมิจำได้ดีว่าเป็นใคร ซาริจังในร่างผู้ชาย

“เรียกซาโต้ได้มั้ย” ซาริจังบอก ริมิพยักหน้า

“แล้วนี่ทำไมซาโต้ถึงได้กลับไปเป็นผู้ชายเหมือนเดิมล่ะจ๊ะ”

“แหะๆคงเป็นเพราะผมใช้พลังเกินขีดจำกัดล่ะมั้ง”

“ซาโตริผู้หญิงคนนี้ใคร” หืม...เสียงผู้หญิงไม่ใช่ปริทาด้าแน่ๆงั้นจะเป็นใครล่ะ ริมิผละจากตัวซาริจังแล้วมองหน้าผู้หญิง.....ผมสีแดงเหมือนซาริจัง สีตาเหมือนน้ำทะเลเธออยู่ในชุดยูคาตะสีชมพูโยบิสีน้ำเงิน

“ริมิเป็นเพื่อนซาริจัง เธอนั่นแหละใคร”

“เพื่อน??? เราต่างหากเป็นเพื่อนของซาโตริ แถมรู้ด้วยว่าซาโตริเป็นผู้ชาย เจ้าล่ะรู้อะไรบ้าง” การพูดจาภาษาญี่ปุ่นสำเนียงแปลกๆ แต่...อ๊ะ ผู้หญิงคนนี้รู้ความจริงของซาริจังหมายความว่าไง

“รู้มากกว่าเธอละกัน” ไม่ยอมเสียฟอร์มหรอก

“ท่านริมิอิฉันขอแนะนำให้รู้จักท่านเรรินะมิสเทสแห่งความเข้าใจ และท่านเรรินะผู้หญิงคนนี้คือท่านริมิมิสเทสแห่งชีวิตเจ้าค่ะ” ปริทะจัง... อ้อ...ชื่อเรรินะ ระหว่างสายตาที่จ้องกันไม่วางตาเหมือนมีกระแสไฟช๊อตกันดังเปี๊ยะๆ

“อย่าทะเลาะกันนะ” ซาริจังร้องห้ามอย่างรู้ทัน แกร๊ก ลูกบิดถูกหมุนให้เปิด ร่างที่ก้าวเข้ามาคือนากะจังกับยูกิจัง ตายล่ะสองคนนี้ไม่รู้นี่นาว่าซาริจังเคยเป็นผู้ชาย

“ตาอ้วนนี่ใคร และก็ผู้หญิงคนนั้นด้วย” นากะจังถามริมิ จะบอกว่ายังไงดีนะ

“เอ่อ.....คือ...” ซาริจังร้อนรนขึ้นมาทันที จะโกหกยังไงดีถึงจะรอดตัวไปได้คิดสิริมิ คิดสิริมี้

“เราชื่อเซ็ทสึกิ เรรินะเป็นมิสเทสแห่งความเข้าใจพวกเจ้าคงเป็นมิสเทสเหมือนกันสินะ” เรย์นะจังแนะนำตัวเอง นากะจังพยักหน้ารับก่อนสายตาสงสัยจะเปลี่ยนไปหยุดที่ซาริจังแทน

“แล้วตาอ้วนนี่คือ....” ว่าพลางชี้นิ้ว

“เอ่อ..ผม..ผม....”

“เป็นเพื่อนของริมิเองจ้ะ”

“หืม.....โกหกใช่มั้ย” นากะจังจะสงสัยอะไรขนาดนั้น

“ริมิไม่ใช่คนชอบพูดโกหกซะหน่อย...เป็นเพื่อนของริมิเองเหรอ ชื่ออะไรล่ะ” ยูกิจังบอกสาวขี้สงสัย...ก่อนจะถามซาริจัง

“ผมซาโต้ครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“.......”

“พูดอะไรซักหน่อยสินากาเนะ” ยูกิจังสะกิดแขนนากะจัง

“เออ...ยินดีที่ได้รู้จัก” น้ำเสียงเหมือนจะออกไปทางไม่ยินดีซะมากกว่านะนากะจัง

“เฮ้ พวกเธอ คลื่นยักมันมาแล้วนะ!!!” เปะโปะ

“คลื่นยัก!!!” ทุกคนในห้องต่างพูดขึ้นมาเป็นเสียงเดียงกันยกเว้นเรย์นะจัง ซาริจังมองริมิหน้าบอกอารมณ์โกรธชัดเจน ริมิผิดไปแล้วริมิขอโทษยกโทษให้ริมิด้วยน้าาาาาาาาาาาาาาา





SATORI ซาโตริ

ผมบอกให้ทุกคนหนีไปทว่าทำไมอยู่กันครบแบบนี้ ไม่มีใครฟังผมสักคนเลยหรือไงน้า

“รออยู่บนนี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” เปะโปะพูด

“อยู่บนนี้ก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่ดีพวกนายมันโง่ขนาดหนัก” นากาเนะก่นด่า ที่สาวขี้วีนพูดก็ถูก เพื่อนๆคงเดากันถูกใช่มั้ยว่าพวกผมอยู่ไหนกัน.....บนดาดฟ้าไงครับคลื่นสึนามิมีความสูงเท่าตึกสามชั้น แต่ตึกที่พวกผมอยู่มีความสูงหกชั้นโชคดีแท้ พวกผมกับวงมาสเตอร์ต่างแนะนำตัวกันเป็นที่เรียบร้อย บนนี้ไม่ได้มีแค่พวกเราเหล่ามิสเทสเท่านั้นยังมีวงมาสเตอร์กับนักท่องเที่ยวจำนวนหลายชีวิตที่ต้องมีชะตากรรมร่วมกัน

“เธอจะให้พวกฉันว่ายน้ำหนีกันรึไง” ริเรียนหนุ่มแว่นกรอบทอง สวมเสื้อลายดอกสีฟ้ากางเกงขาสั้นลายดอก ไม่ค่อยเข้าเลยนะ

“นายพูดแล้วทำได้มั้ยล่ะ”

“ไม่ได้เว้ย!!!หรือว่าเธอทำได้” ท่าทางสาวขี้วีนจะเจอคู่ปรับตัวฉกาจเข้าซะแล้ว แต่ช่างมันเหอะปล่อยให้สองคนนั้นทะเลาะกันไป ผมมีเรื่องจะต้องคุยกับริมิ

“ริมิทำไมไม่รีบหนีไป” เธอกรอกสายตาไปมา

“ริมิคิดว่า....จะกลับมาเก็บของก่อนแล้วค่อยหนีจ้ะ” ผมมองยัยเนื้อคู่อย่างหนักใจ ตาเธอแดงกล่ำคงร้องไห้มากล่ะสิ

(อย่าโกรธ ริมิเลยนะ ยัยนี่ไร้เดียงสามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ) อาโอย เมื่อไหร่ผมจะกลับไปเป็นผู้หญิง

(กลับไปเป็นผู้หญิง??? ฉันหูฝาดไปรึเปล่า) ไม่ฝาด ไม่เฝื่อน ตอบมาเร็วๆ

(ไม่แน่นอน แต่นายจะรู้สึกได้ถึงสัญญาณเมื่อถึงเวลา) พูดง่ายดีเนาะ

“ร่างยัยซาโตริหายไปไหน เธอพอจะรู้มั้ยริมิ” นากาเนะเลิกทะเลาะกับริเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่

“ไม่รู้จ้ะ พอซาโต้คุงเดินเข้ามา ร่างของซาริจังก็หายไปเฉยๆจ้ะ”

“เหรอ อื้มๆๆ” ดูนากาเนะจะไม่สงสัยแม้สักนิด

“ว่าไงนะลูกติดอยู่ไหน” ชายวัยต้นชรากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์มือถือคาดว่าคุยกับลูก สีหน้าบ่งถึงความร้อนรน ปลายสายตอบกลับมาเช่นไรไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆปฏิกิริยาของชายชราคนนั้นคือมุ่งตรงไปยังประตูทางเข้าดาดฟ้าแล้วหายไปหลังประตูนั้น ก่อนจะกลับขึ้นมาด้วยหน้าตาตื่นกว่าเดิม

“คุณ ช่วยลูกสาวลุงด้วย” เขาร้องขอความช่วยเหลือคนนู้นทีคนนั้นที ทว่าไม่มีใครสนอกสนใจหรือเสนอตัวเข้าช่วย ต่างปฎิเสธกันทั้งนั้น

“คุณลุงมีอะไรรึเปล่าคะ” ริมิปรี่ตัวเข้าถามชายชราคนดังกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ

“ลูกของลุงติดอยู่ในอาคารชั้นสามห้องสามศูนย์สี่ ช่วยลูกลุงหน่อยได้มั้ย” ลุงพูดภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อเชียว

“ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ลูกคุณลุงจะต้องปลอดภัยแน่นอน” อย่าตอบรับง่ายอย่างนั้นเซ่

“ฉันกับยูกิโกะก็จะไปด้วย”

“ผมไปด้วยริมิ”

“เราไม่รู้หรอกนะว่ามีอะไรกัน แต่จากที่เราได้ยินคงกำลังเกิดเรื่องดังนั้นเราจะไปด้วย”

“พวกฉันจะไปช่วยอีกแรง” วงมาสเตอร์เสนอตัวเองบ้าง

“ไอ้สี่ตาอย่างนายไม่ต้องไป” คนโดนหน้าแดงกล่ำ

“ยัยหัว.หัว...หัว..หัวอุนจิ”

“อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยย” สาวขี้วีนของเราแพ้รึนี่

“โอ้ พวกเธอมีน้ำใจเหลือเกิน ลุงซึ้งจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว” ชายวัยต้นชราน้ำตาคลอเคลีย

ทีมกู้ภัยจำเป็นซึ่งประกอบไปด้วยแปดหน่อสี่สาวห้าหนุ่มเดินอยู่ ณ ชั้นสี่จะยกขโยงมากันอะไรมากมายเฮ้อ แถมเรื่องที่เหมือนจะราบเรื่อนกลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อ....

“เอ่อ...พวกเราจะลงไปกันยังไงจ๊ะ” ยัยเนื้อคู่ถามเสียงไร้เดียงสา

“เดินลงไปเฉยๆไงเปียกน้ำช่างมัน” เปะโปะตอบทันควัน ริมิจ้องมองชายหน้าหวานอย่างขุ่นเคือง

“เฮ้ พวกนายจะช่วยกันคิดดีๆไม่ได้เหรอ” สาวขี้วีนเอ่ย “นายมีข้อเสนอมั้ยซาโต้”

“ยัยอุนจิเงียบๆไปเลย” ริเรียนสั่งเอ่อ...เจ้าของฉายาอุนจิคือสาวขี้วีนพึ่งถูกแต่งตั้งเมื่อตะกี๊

“แกนั่นแหละไอ้สี่ตาหุบปาก” ยัยอุน..เอ๊ย นากาเนะตอกกลับ

“อย่าทะเลาะกันนะจ้ะ” ริมิร้องห้าม

“พวกคุณมันไร้สาระ” ชายสวมหูฟังเปรยขึ้นมาเสียเฉยๆ

“แกเงียบปากไปซะ/อย่าแส่” ทีอย่างนี้พร้อมใจสามัคคีตอบจากที่เห็นน้ำมันสูงเกือบถึงเพดาน ถ้าอย่างนั้นน่าจะดำน้ำหาทีนึง โผล่มาหายใจทีนึงได้

แปล๊บๆ จ..เจ็บความรู้สึกนี้คือ...หรือว่า

(อาจจะเป็นสัญญาณ) สัญญาณ??? อย่าบอกนะ ผมกำลังจะกลับไปเป็นผู้หญิง

(คงงั้น)

“ทุกคนเดี๋ยวผมมา ไปห้องน้ำก่อน” ว่าจบผมปลีกตัวรีบแจ้นไปเข้าห้องน้ำชายในบัดดล

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก แฮ่กๆๆๆๆ” พอเข้ามาในห้องน้ำ อาการก็แสดงทันที ห..หายใจถี่เกินไปแล้ว มันปวดไปทั้งตัวราวกับว่าจะระเบิดเป็นชิ้นๆนั้นแหละ

“นายเป็นไรมากรึเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนา” เปะโปะ!!!จะตามมาทำมายยยยยยยยยยยย แย่ล่ะสิขืนไอ้หน้าหวานรู้ว่าผมเป็นผู้หญิงล่ะก็...

“นายออกไปซะ...อ๊าาาาาาาาาาาาาาาา” เปะโปะจะช่วยประคอง ผมผลักเขาออก

ความรู้สึกมันเหมือนถูกเชือกรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายกำลังเปลี่ยน แขนขาอันใหญ่มีแต่ไขมันหนาเหนอะ เริ่มเล็กเรียวบางสีผิวจากคล้ำหน่อยๆกลายเป็นขาวนวลผ่อง ดวงตาสีดำเข้มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอมเลือดผมที่เคยสั้นสีดำสนิทกลับยาวเลยสะเอวเป็นสีแดงดั่งอัคคี ผมกลายเป็นผู้หญิงไปแล้ว แถมมาด้วยคนรู้ความจริงเพิ่มอีกหนึ่ง เป็นนากาเนะจะไม่ว่าเล้ย แต่เป็นไอ้หน้าสวยซึ่งตอนนี้ยืนหน้าเหวอหวาไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นซะได้ เวรกรรมแท้ๆ

“นายห้ามไปบอกใครเด็ดขาด” ผมตรงเข้ากระชากคอเสื้อคนหน้าเหวอ

“เมื่อกี๊มันอะไร”

“ไม่ต้องถามมากแค่บอกผม ว่าจะไม่บอกใครแล้วนายจะไม่เจ็บตัว” เปะโปะเหยียดยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก

“ฉันจะบอกซะอย่าง เจอเรื่องดีๆขนาดนี้ต้องประกาศให้โลกรู้”

“นายตายแน่ถ้าเอาเรื่องนี้ไปพูด” คอยดูนะผมจะทำหมันมันแบบไม่คิดตังค์สักแดงเดียว แกไอ้เปะโปะเตรียมโดนเจาะไข่แดงได้เลย

“เออน่า ไม่บอกใครหรอกแค่ล้อเล่นนิดหน่อย อีกอย่างฉันจะไปบอกใครได้เล่า แต่นายน่ารักดีนะ” เดี๋ยวปั๊ดตบหัวหลุด ผมจ้องนัยน์ตาของชายตรงหน้า มันบ่งว่าไม่ได้พูดโกหก



“นายสวยมากเลยน้า หน้าอกหน้าใจก็เอ่อ....คับบีป่ะเนี่ย” หึยยยยยยยยยยยย แกไอ้...ไอ้ มันยิ้มแก้มแทบปริหน้าตาออกอาการอื่นมากๆ

“ไอ้ หื่นหน้าสไมส์” มันยังยิ้มอยู่อีกไอ้หื่นเอ๊ย

“ฉันชอบนะฉายานี้แทงกิ้ว” ยังมีหน้ามาขอบคุณอีก ผมด่านายอยู่นะ

“ตามผมมาแล้วอย่าพูดอะไรล่ะ” พูดตัดบทก่อนจะเดินนำออกมาปลายทางคือบันไดที่เชื่อมต่อกับชั้นสาม

“ซาริจังกลับมาเป...แล้วเหรอจ๊ะ” รู้นะว่าจะพูดอะไรระวังหน่อยสิ

“ยัยถั่วคั่ว ถั่วเน่า หายไปไหนมาฮะ รู้ไหมฉันเป็นห่วง” สาวผมแกละแว้ดใส่ผม ใครว่าผมหายไปไหนก็อยู่กับพวกเธอตลอดนั่นแหละ

“โทษที โทษที”

“ชิ คิดว่าพูดขอโทษแล้วมันจะหายรึไง” ยัยนี่งอนเป็นด้วยแฮะ

“ปลอดภัยก็ดีแล้วน่า” ยูกิโกะช่วยพูด

“ชิ” งอนผมจริงสินะ

“ซาโต้ล่ะ ไอ้หน้าหวาน” ผมสะดุ้งนิดๆ หันไปมองชายถูกถาม มันยิ้มแสยะอย่างมีเลศนัย

“เจ้านั่นป่านนี้คงกำลังถ่ายหนักอยู่มั้ง” โอ้ โล่งนึกว่ามันจะบอกความจริงเรื่องผมซะอีกแต่จะหาข้ออ้างที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วเรอะ ผมก้าวเท้าลงบันไดที่มีน้ำปริ่มๆทว่า.........

“จะไปไหนยัยถั่วเน่า”

“ไปช่วยน้องข้าว”

“ช่วย??? ช่วยวิธีไหนไม่ทราบ” เธอแหวใส่ผม

“ดูสิน้ำมันท่วมไม่ถึงเพดานพวกเราน่าจะดำหาห้องแล้วโผล่ขึ้นมาหายใจได้นะ ใครไปกับฉันบ้าง” ผมชี้นิ้วไปยังชั้นสาม สลับหันกลับมาถามความสมัครใจ

“คิดอะไรได้ไร้สาระชะมัดแถมบ้าอีกต่าง ฉันไม่เอาด้วยหรอกเกิดโดนน้ำแล้วตัวฉันเปลื่อยขึ้นมาทำไง” ริเรียนบ่นพร้อมปฎิเสธพลางมองทุกคนอย่างกับหาแนวร่วม นากาเนะจับคางพลางครุ่นคิด

“อาจจะจริงอย่างที่นายพูดความคิดนี้มันบ้าและไร้สาระ” นากาเนะทำไมเธอไปเข้าข้างริเรียนอย่างนั้นเล่า

“ใช่มั้ยล่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่เราสองคนความคิด........” นักร้องสาวชูห้านิ้วเป็นเชิงให้ริเรียนหยุดพูด

“ถึงความคิดของยัยถั่วเน่าจะบ้าแค่ไหนฉันก็จะทำมันเพราะเพื่อนของฉันไม่ได้บ้าและไร้สาระเหมือนที่นายพูดสักนิดเดียว และที่แน่ๆฉันไม่ได้เดินลงมาเจออุปสรรคแล้วจะถอยง่ายๆ ดังนั้นฉันเอาด้วยซาโตริ” ไอ้แว่นกรอบทองหน้าจ๋อยทันที เฮอะๆๆ สมควร!!!

“พวกเรารออยู่นี่นะ” พวกเราที่ว่าประกอบด้วยยูกิโกะ ริมิ และ เรรินะ

“ริมิไปด้วยสิจ๊ะ” ริมิ.....

“เธอคอยอยู่นี่แหละ เกิดน้ำขึ้นแล้วพวกฉันไม่กลับมาให้เธอรีบหนีไปซะ”

“จ้ะ” ริมิหน้าหม่นลงทันที ขอโทษ แต่ผมพาริมิไปเสี่ยงไม่ได้

“ความคิดเธอแจ่มมากฉันกับมิสจะช่วยเปิดประตูให้เธอเอง” เปะโปะกับมิสหรือชายสวมหูฟังออกปากช่วย มีน้ำใจเหมือนกันนิ

"ฉันกลับก่อนละ ไปกันเถอะยูซึรุ ปล่อยให้พวกบ้าทำอะไรบ้าๆไปเถอะ” ริเรียนบอกลาผสมแขวะก่อนจะดึงมือกีตาร์ของวงมาสเตอร์กลับขึ้นไปดาดฟ้า ไปซะได้ก็ดี

ผมเดินนำลงไปชั้นสาม น...น้ำย..เย็นเจี๊ยบ โหยเย็นไปแล้ว ไหนฟะห้องสามศูนย์สี่ ตรงหน้าผมคือห้องสามศูนย์ห้าแสดงว่าถ้าว่ายย้อนกลับไปจะเป็นห้องสามศูนย์สี่ชัวร์ ผมโบกมือเป็นสัญญาณบอกทุกคนให้ย้อนกลับไป ก่อนจะโผล่ขึ้นมาหายใจ เฮ้อค่อยยังชั่ว ดำลงไปอีกครั้งเปะโปะกับมิสกำลังพังประตูห้องสามศูนย์สี่ ประมาณว่าอะไรใกล้มือมันคว้ามาทุบลูกเดียว ทว่าแผ่นไม้หนาไม่มีทีท่าว่าจะพังซักที ผมควักมือเรียกให้พวกมันโผล่ขึ้นมาคุยกันเหนือน้ำ

“พวกนายมีแรงแค่นี้ใช่มั้ย”

“อย่ามาพูดดีหน่อยเลย เธอลองพังมันเองดูสินี่มันใต้น้ำนะแรงเอื่อยมันเยอะ” เอื่อย??? นายแรงน้อยล่ะสิไม่ว่า

“นากาเนะเธอมีแผนอะไรมั้ย”

“.......” เงียบ อ้าว ยัยนั่นไม่ได้โผล่มาตามผมเรียกเรอะ ผมดำกลับลงไปอีกครั้งเห็นสาวผมแกละจับลูกปิดประตูแน่นก่อนจะกระชากสุดแรงไหว เปิดไม่ได้แน่ผมกวาดสายตามองหาอะไรสักอย่างที่น่าจะใช้เปิดประตูได้ นั่นข้างๆมีชะแลงตกอยู่ด้วย ผมหยิบมันขึ้นมาแล้วงัดขอบประตูด้านลูกบิดเต็มแรง เปะโปะแตะไหล่ผม โบกมือไปมาแปลได้ว่า‘ให้ฉันช่วยเธอนะ’ ผมหลบแล้วให้เปะโปะงัดแทน

ประตูขยับแล้ว พยายามเข้าทุกคนอีกนิดเดียว ว่าแต่มิสหายไปไหน แลซ้ายแลขวาไม่เห็นแม้เงา แป๊กๆ ปรึง เปิดประตูสำเร็จแล้ว เย้ น้ำทะลักเข้าไปในห้องนั้น

“ช่วยด้วยค่า!!!” เสียงเด็กผู้หญิง น้องข้าว!!!

พวกผมสามคนโดนแรงดันน้ำพัดเข้าไปในห้องสามศูนย์สี่ด้วย สิ่งที่รออยู่ไม่ได้มีแค่น้องข้าว แต่คือกระจกบานใหญ่เสมือนกำแพงห้องด้านหนึ่งซึ่งมันแตกเป็นเสี่ยงๆกำแพงใสหายไปเหลือความว่างเปล่า หากจับขอบกำแพงช้ากว่านี้นิดเดียวคงตกไปนอนกลายเป็นศพข้างล่างแน่ ผมจับขอบขวา นากาเนะจับขอบซ้าย เปะโปะมัน.....จับขาผม โอย นายกินอะไรเป็นอาหารเนี่ยน้องโคกระบือรึไง ขาผมจะหลุดอยู่แล้ว

“พี่ค้าช่วยหนูด้วย” น้องข้าวยึดขอบตึกแน่นและคงได้อีกไม่นานดูจากสีหน้าที่แดงกล่ำก็พอรู้ ผมจะทำยังไงดี นากาเนะกำลังตกอยู่ในอันตราย เปะโปะด้วย แถมต้องช่วยน้องข้าวอีก

ฟึบ อะไรแว้บๆ นั่นมันมิสนี่หว่า ถ้าผมตาไม่ได้ฝาดเอวของเขามีเชือกผูกติดอยู่ ผมมองไล่เชือกจากตัวมิสไปถึงปลายอีกข้างหนึ่งถูกผูกติดกับเสาบันได

“มิสแกเอาน้องข้าวขึ้นไปก่อน” เปะโปะตะโกนบอก

“อย่ามาสั่ง” มิสตะคอกกลับอย่างหัวเสีย มือหนึ่งประคองร่างน้องข้าวไว้แน่นก่อนจะใช้มือข้างที่เหลือจับเชือก

แล้วสาวตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆในที่สุด มิสก็พาน้องข้าวไปถึงบันไดผ่านพ้นเรื่องอันตรายมาได้ แล้วพวกเราสามคนล่ะจะเอาตัวรอดกันยังไง

“เฮ้ ฉันหนักมากมั้ย” ยังมีหน้ามาถามอีกเรอะไอ้บ้า ไปตายซ้า

“เออ โคตรหนัก” ยิ้มทำไมฟะ

“ฉันชอบเธอ” ผมเป็นผู้ชาย นายก็รู้

“
อย่าขี้โม้มมมมม อย่าขี้โม้มมมมมม” ผมร้องเป็นเพลงล้อ นายหน้าหวานตีหน้าจริงจังแต่ทำไมมันดูเศร้าๆจัง นายพึ่งเจอกับผมไม่ถึงวันเลย จะมาชอบกันได้ยังไง นี่ไม่ใช่นิยายน้ำเน่าซักหน่อย

“ฉันจะพิสูจน์ ให้เธอเห็นเอง” น้ำเสียงซีเรียสด้วย

“เฮ้ยนาย นาย อย่าทำอะไรบ้าๆนะ”

มันปล่อยมือจากขาผมทำซากอะร้ายยยยย เปะโปะนายหลุดมาจากนิยายน้ำเน่าใช่ม้ายยยย นั่นยิ้มหน้าบานแบบนั้นอีก

(ทำอะไรสักอย่างสิ เค้าไม่อยากให้เปะโปะตายอะ) ผมรู้แล้วน่าอาโอย เพราะผมก็ไม่อยากให้มันตายเหมือนกัน อ้ารู้แล้ว กึก{หยุดเวลา}หัวแหลมใช่มั้ยล่า

ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปแก้มัดเชือกที่เอวมิสก่อนจะเอาเส้นเชือกหนาไปผูกเอวของเปะโปะเงื่อนตายไปเลย กึก{เวลาเดิน}ฮ่าๆๆๆดูนายนั่นสิ หน้าเหวอไปเลย ถ้าไม่ใช่เพราะผมเปะโปะคงตายไปแล้ว ชายหน้าหวานจับเชือกแน่นเหมือนมันเป็นทางเลือกสุดท้ายก่อนจะดึงตัวเองขึ้นมาถึงระดับนึง เขาคว้าตัวนากาเนะทั้งสองคนตะเกียกตะกายจนขึ้นมาถึงขั้นบันได

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”

“เฮ้ย เธอมาอยู่นี่ได้ไง” เปะโปะถามผม หน้าตาเลิกลั่กเห็นแล้วอดขำเสียมิได้

“ฉันยืนอยู่นี่ตั้งแต่ตอนมิสช่วยน้องข้าวอะ นายไม่เห็นเองมากกว่า”

“เธอช่วยฉันไว้ใช่มั้ย” นายนี่ส่งสายตาหยานเยิ้มมา แหวะ

“ใครช่วย ไม่มี” ผมพูดเสียงสูง เวลาโกหกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง

เดินกลับขึ้นไปสมทบกับพวกริมิ ก่อนจะพากันเดินเนิบๆไปที่ดาดฟ้า หยอกล้อกันไปตลอดทางราวกับว่าเรื่องเสี่ยงตายก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น

ไม่ชอบสายตาของริเรียนเลยให้ตายสิ ผมไม่เหมือนนายนะที่เห็นแก่ตัว ไอ้สี่ตาเอ๊ย

“ลูกพ่อ” ชายวัยต้นชรากอดลูกสาวน้ำตาเจ่อนองสองแก้ม

“พ่อคะ” น้องข้าวตอบรับพ่อของเธอเสียงใสเจื้อแจ้ว

“พ่อขอโทษนะที่ทิ้งลูกไว้ในห้องนั้น”

“หนูผิดเองค่ะพ่อ หนูต่างหากที่ต้องขอโทษ”

“ดีจังเลยนะจ๊ะ” ริมิยิ้มอย่างมีความสุขผมก็เหมือนกัน ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นความรักอันบริสุทธิ์ของพ่อกับลูกและก็ไม่บ่อยนักเช่นกันที่จะได้เจอคนเห็นแก่ตัว

“เธอเรียนอยู่ที่ไหน” ไอ้หน้าหวานยื่นหน้ามาถามผม

“โรงเรียนสปิริตไฮส์ ถามทำไม”

“เดี๋ยวเธอก็รู้” เอ๊าไอ้นี่มีอุบอิบด้วย

“ว...ว้าย” เสียงริมิร้องว้าย ลมกรรโชกพัดมาจากไหนไม่รู้แต่พอมองไปจุดเกิดลมก็นั้นคือฮอร์สามลำสีดำสนิท บินเทียบดาดฟ้าด้านละลำ มารับใครฟะเนี่ย ลุงแก่ผมสีดอกเลาในชุดสูทก้าวเท้าฉับๆๆลงมาโค้งให้ริเรียน เฮ้ย!!!ไอ้ริเรียนเป็นคนสำคัญของประเทศไหนกันเล่นบินมารับถึงที่

(อิจฉาหรอ เค้าเข้าใจนะ.......) อาโอยไม่ต้องยุ่ง

“อ...อะไรอะ มันคือปีศาจใช่มั้ย” เรรินะถลามาเกาะแขนผม ยัยเนื้อคู่มองมาด้วยสายตางอนๆก่อนจะสะบัดหน้าหนี “ไม่ใช่ปีศาจ มันคือเฮลิคอปเตอร์เป็นยานพาหนะอย่างนึงใช้บรรทุกคน เป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการเดินทาง” ผมกระซิบตอบ

“แต่ยังไงเราก็กลัวอยู่ดี”

“ท่านริเรียน ขอโทษครับที่มาช้า” ลุงผมสีดอกเลาพูดภาษาไทย

“ไม่เป็นไร ฉันไม่ซีเรียส” พูดจบไอ้แว่นกรอบทองเดินทอดน่องไปนั่งบนฮอร์ สบายใจเหลือเกินนะ

“คนพวกนี้ล่ะครับ”

“ฉันจะเลือกเองว่าใครไปได้บ้าง” ไอ้แว่นกรอบทองมองแต่ละคนอย่างพินิจพิจารณา

“เลือกฉันสิคะ”

“เลือกฉันต่างหาก” สาวๆแฟนคลับต่างทะเลาะกันเอง แขกเหรื่อในตึกก็ไม่ต่างจากพวกนั้นเลย บางคนคาดว่าอาจเป็นเพื่อนกันมานานแล้วด้วยซ้ำทว่าความเป็นเพื่อนกลับต้องจบเพราะไอ้พระเจ้ากำมะลอ ใบหน้าหลังกรอบแว่นแสยะยิ้มดั่งมารร้าย ก่อนจะชี้เรียงตัวตามความพอใจของตน แน่นอนอยู่แล้วว่ากลุ่มแรกที่ได้ขึ้นไปนั่งบนฮอร์นั้นต้องเป็นพวกวงมาสเตอร์อย่างไม่ต้องสงสัย ฮอร์ลำสองเต็มไปด้วยกลุ่มแฟนคลับสาวกับบรรดาแขกที่พักในตึกแม้จะเกินมาฮอร์ลำที่สามสองสามคนก็ตาม ชายคนนี้เปรียบเสมือนพระเจ้าก็ไม่ปาน จนฮอร์เหลืออยู่ลำสุดท้าย กับคนอีกแปดคน คือกลุ่มของมิสเทสกับชายวัยต้นชราและลูกสาวของเขา

“ขึ้นได้อีกเจ็ดครับ” ลุงแก่ชุดสูทบอกริเรียน ไอ้กรอบทองส่งยิ้มน้อยๆให้นากาเนะ รอยยิ้มนั้นผิวเผินอาจดูเป็นมิตรทว่าดวงตาสีดำกลับส่อสันดานชั่วอยู่ในกมล

“คุณลุงกับน้องข้าว และพวกเธอยกเว้นยัยอุนจิ” คุณลุงกับน้องข้าวขึ้นไปนั่งบนฮอร์เป็นที่เรียบร้อยไวดีแท้ ริเรียน...จุดประสงค์ของนายคืออะไรกันแน่ถึงกีดกันเพื่อนผมไม่ให้หนีไปด้วย นากาเนะเธอด้วยอย่าเงียบซี่ ตอกอะไรกลับไปสักอย่างนึงเหอะ

“ฮ่าๆๆๆๆๆ” นักร้องสาวระเบิดเสียงหัวเราะลั่นราวกับว่าเรื่องที่เธอได้ยินมันน่าขันเสียเต็มประดา

“เธอหัวเราะทำไม” ริเรียนหน้าเสีย ทุกอย่างมันคงไม่เป็นไปตามที่เขาคิดล่ะมั้ง

“คิดว่าฉันจะอ้อนวอนขอติดฮอร์ไปด้วยรึไงยะ คิดอะไรง่ายๆอีกอย่างนายใช้เวลาคิดเรื่องนี้นานมากมั้ย....ให้ฉันเดานะในหัวคงมีแต่หัวขี้เรื่อยล่ะสิ ที่นายด่าว่าพวกฉันไร้สาระแต่นายคงจะไมรู้ตัว ว่านายเองมันโคตรรรรรรรรรรรรรรร!!!ไร้สาระเลยล่ะ”นากาเนะตอบเสียงเจือหัวเราะไอ้แว่นกรอบทองกำหมัดแน่นๆ สีหน้าบ่งถึงความโกรธแค้นก่อนจะชักสีหน้ากลับมาเป็นอย่างเดิม

(อย่างนี้เค้าเรียกดึงหน้ารึเปล่าอะซาโตริ) คงงั้นมั้งผมก็ไม่รู้ นะอาโอย

“โห่หหหหหหหหหหหหหหหหหหหหห” สงสัยพวกแฟนคลับเป็นลูกหลานของทาซาน พวกนี้ก็โง่จริงๆเห็นธาตุแท้ของริเรียนแล้วแต่ทำไมไม่มีใครเกลียดมันเลยฟะกลับกันดันเข้าข้างมันซะอีก

“พวกเธอจะไปมั้ย” มันหันมาถามพวกผม

“ฉันไม่ไป” ผมตอบโดยไม่ลังเล

“ริมิก็จะอยู่ด้วยถ้าซาริจังอยู่นี่”

“.........” ถึงยูกิโกะจะไม่พูดอะไรแต่พวกเราทุกคน สามารถรับรู้ได้ว่าเธอไม่อยากไปเหมือนกัน

“เราไม่ไปหรอกน่ากลัว” ท่าทางเรรินะจะกลัวเจ้าฮอร์นี่จริงๆด้วย

“อิฉันคงไปไม่ได้เจ้าค่ะเพราะนายหญิงทั้งหลายยืนกรานจะไม่หนีไปจากที่นี่” มีคราวนี้แหละที่ยัยนี่พูดถูกใจผม ไม่อยากไป บอกออกมาตรงๆก็ได้มั้งยัยภูต แหมทำมาเป็นหาข้ออ้าง

ชายผู้ถูกปฎิเสธหน้าแดงกล่ำด้วยความโกรธดั่งภูเขาไฟคุกกรุ่นพร้อมระเบิดทุกเมื่อ ก่อนจะดึงหน้ากลับมาเป็นยิ้มหน้าบานซะอย่างนั้น อารมณ์ไหนเนี่ย

“หึๆๆ ฉันรู้สึกชอบสายสัมพันธ์ของพวกเธอซะแล้วสิ อยากรู้จังจะอยู่ไปได้นานแค่ไหน” ทันใดนั้นฮอร์สีชมพูอีกลำนึงก็บินขึ้นมาเทียบดาดฟ้า สีน่ารักเชียว สาวแฟนคลับต่างอิจฉาตาร้อนกันเป็นแถว คงอยากจะวิ่งไปขึ้นฮอร์ลำนั้นล่ะสิ

“ฉันเตรียมฮอร์ลำนี้ให้พวกเธอโดยเฉพาะ” พูดจบมันส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มให้นากาเนะ ทว่านักร้องสาวของเรากลับไม่สนใจสายตานั่นแม้แต่น้อย บางทีเธออาจจะอยากขยี้มันทิ้งด้วยซ้ำ




บทที่ 12 The way


PrinceNo.9:ต้องกล่าวขอโทษจริงๆครับที่มาอัพช้าไปหน่อย

(ไม่หน่อยอะ ล่อไปตั้งครึ่งเดือน) ถ้าเพื่อนๆอ่านแล้วคิดว่าเนื้อเรื่องมันแปลกๆอ่านแล้วไม่เข้าใจช่วยบอกด้วยนะครับ ผมจะได้แก้ไขได้อย่างทั้นท่วงที

ขอขอบคุณทุกคอมเม้นทุกกำลังใจ



“รีบเอาฮอร์ขึ้นเร็วเข้า!!!” ริเรียนสั่งสีหน้าร้อนรนนั่นก็เพราะ คลื่นยักสึนามิกำลังก่อตัวเข้ามาใกล้ความสูงของมันเทียบเท่ากับตึกหกชั้น

“เร็วเซ่!!!”

“บินไม่ขึ้นครับ น้ำหนักมันเกิน” คนขับตอบกลับมามีสีหน้าไม่ต่างจากเจ้านายสักเท่าไหร่

“ริมิ!!!” เธอจะลงจากฮอร์ทำไมเล่า

“ซาริจัง...เสียสละเพื่อพวกริมิมามากแล้ว ดังนั้นคราวนี้ให้ริมิได้

เสียสละบ้างนะ” อย่ามาพูดเรื่องบ้าๆแล้วยิ้มหน้าตาเฉยนะยัยบ้า ฮ

อร์ตอนแรกที่ไม่มีทีท่าว่าจะขยับตอนนี้กลับบินขึ้นอย่างง่ายดาย

ผมเอื้อมมือหาริมิ หวังให้เธอคว้ามือผม แต่เปล่าเลยมีเพียงรอยยิ้ม

ส่งมาเท่านั้น สึนามิเข้ามาใกล้แล้ว และผมทำอะไรไม่ได้นอกจาก

ทอดสายตามองไปยังเธอฮอร์บินสูงขึ้นเรื่อยๆ จากความสูงระดับนี้

ภาพที่เห็นคือร่างเล็กๆของผู้หญิงคนนึง เธอยืนโบกมือบ๊ายบายอยู่

บนดาดฟ้าของตึกราวกับว่าตอนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อมัจจุราชผู้มี

นามว่าสึนามิมาถึง คลื่นนนนนนนนนนนนนน ร่างของเธอก็พลัน

หายไปพร้อมกับตึกที่ทลายลง สุดท้ายก็ไม่สำเร็จงั้นหรอ แล้วที่ผม

พยายามมาทั้งหมดนั่นมันคืออะไร ย้อนเวลากลับไปในอดีต ตา

มหาเรรินะ ให้เธอรักษาโรคของผมจนหาย ข้ามเวลากลับมา

ปัจจุบัน รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็อยู่ในห้อง ต้องติดแหงกอยู่บนตึกบ้าๆนั่น

ช่วยให้พ่อกับลูกได้เจอกัน ต..แต่สุดท้ายทำไมทุกอย่างมันจะต้อง

มาจบลงตรงที่ริมิตาย ‘ในเมื่อรู้ว่าไม่ทันพยายามต่อไปรังจะเจอแต่

ความสูญเปล่าไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้นี่เจ้าคะ’ คำพูดบ้าๆของยัย

ภูต จู่ก็ดังขึ้นมาในหัวผม

“ริมิๆๆๆ” ผมตะโกนเรียกชื่อเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่!!!..มันไม่ควรจบลงแบบนี้บางทีใต้ซากคอนกรีตพวกนั้นริมิอาจติดอยู่ที่ไหนสักแห่งผมต้องลงไปช่วยเธอ ในจังหวะที่ผมจะโดดลงไปมีอ้อมแขนของคนๆนึงรั้งตัวผมไว้จากด้านหลัง พอเหลียวมองเจ้าของท่อนแขน คือสาวผมแกละที่กำลังทำหน้าตาโกรธเกรี้ยว

“ปล่อยฉัน ปล่อยสิวะ” ผมดิ้นเต็มสุดกำลังที่มี

“เป็นบ้าอะไรของเธอ” นากาเนะตะคอกผม

“ฉันจะลงไปช่วยริมิ”

“สมองเลอะเลือนเหรอยะ ยัยนั่นน่ะตายไปแล้ว”

“เก้าสิบเปอร์เซ็นของมนุษย์เรามักหลอกตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมี

ความสุขกับความลวงหลอกของจิตใจทว่ามันก็เหมือนดาบสองคม

ดังนั้นอย่าหลอกตัวเองเลยนะ ซาโตริ” ยูกิโกะพูดเตือนสติ ผมหยุด

ดิ้น นากาเนะคลายมือออก เรรินะดึงผมมากอดอย่างอ่อนโยน

น้ำตาที่อัดอั้นกลั้นฝืนมาตลอดได้หลั่งรินดั่งสายน้ำไหลไม่ขาด

สาย ทันใดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวผมก็พลันสลายไปราวกับมัน

เป็นภาพลวงตา

“นี่มันที่ไหนเนี่ย” มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็

พบเพียงความมืดมิดแผ่ปกคลุมไปทั่วอณาบริเวณเสมือนห้อง

สี่เหลี่ยมที่ไร้ซอกหลืบให้แสงเล็ดลอด

“มิสเทสแห่งเวลาเอ๋ย” เสียงสูงแหลมดังก้องกังวาน พร้อมแส

งอ่อนๆสีฟ้าปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

“คุณคือใคร รู้ได้ไงว่าผมเป็นมิสเทส แล้วที่นี่มันที่ไหน”

“ข้าคือจิตวิญญาณแห่งหอคอยซาบิน่า ที่นี่เป็นความฝันของเจ้า” ความฝันถ้างั้นก็แปลว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี๊ไม่ใช่ความ

จริงสักอย่างเลยน่ะสิ ผมเช็ดคราบน้ำตาบริเวณขอบตาอย่างโล่งอก

เอ.แต่หอคอย...ซาบิน่า...เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนะ.....อ๋อ

ปริทาด้าเคยเล่าให้ฟัง เมื่อขึ้นไปถึงยอดหอคอยเราสามารถเปลี่ยน

เส้นทางชะตาชีวิตได้

“ท่านสามารถเปลี่ยนเส้นทางชะตาชีวิตได้จริงๆหรอครับ”

“เจ้าได้ยินมาอย่างนั้นรึ” ผมพยักหน้า

“ใช่ข้าเปลี่ยนให้ได้ เพียงเจ้าเลือกช่วงเวลาที่ต้องการมาก็พอ

ทว่าการเปลี่ยนแปลงเส้นทางมันก็มีผลเสียด้วยเช่นกัน” ผล

เสีย??? คงไม่จำเป็นต้องรู้หรอกมั้ง

“ผมอยากกลับไปเป็นผู้ชายอีกครั้ง”

“หึๆๆ...คิดอยู่แล้วเจ้าต้องการเปลี่ยนข้อนี้ แต่แน่ใจแล้วรึ”

“ทำไมล่ะครับ”

“อย่างที่บอกมันมีผลเสียอยู่..หากจะอธิบายคงใช้เวลานาน เอา

สั้นๆละกัน ข้าสามารถทำให้เจ้ากลับไปเป็นผู้ชายได้ โดยไม่ต้อง

มามีส่วนข้องแวะกับสาวๆมิสเทสอีก และสำหรับพวกมิสเทสเอง

ตัวเจ้าก็จะไม่มีตัวตนเป็นเพียงคนแปลกหน้าในสายตาของพวก

เธอ ...กล่าวง่ายๆข้าจะเปลี่ยนเส้นทางของเจ้า ก่อนที่จะได้พบกับ

ริมิที่ห้องประธานนักเรียน ถึงอย่างนั้นเจ้ายังคงยืนกรานคำเดิมหรือ

ไม่”

“เอ่อ.........” ทำไมต้องลังเลด้วย จิตวิญญาณหอคอยซาบิน่า

มาเองทั้งทีอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วก็ได้

แต่ทั้งอย่างนั้นตัวผมกลับรู้สึกว่าหากตัดสินใจผิดเพียงนิดเดียวอาจ

จะเสียสิ่งสำคัญที่สุดไปตลอดชีวิตและมันคงจะไม่หวนคืนกลับมา

อีกครั้ง

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ อีกสักพักข้าจะมาหาเจ้าอีก เตรียมคำตอบไว้ด้วยล่ะ” แสงสีฟ้าค่อยๆเล็กลงจนเท่าเข็มด้ายก่อนจะหายวับไปทิ้งให้ผมยืนคิดทบทวนเพียงลำพัง

“ทางหัวหินเกิดอุทกภัยคลื่นยักถล่มทำให้มี......” ผมสะดุ้ง

ตื่นขึ้นมาเพราะทีวีที่ตั้งเวลาเปิดเอาไว้ เมื่อกี๊...ความฝันจริงๆ

ด้วย..ค่อยยังชั่ว หยิบรีโมทมาไล่ช่องไม่ว่าช่องไหนๆก็มีแต่ข่าวสึ

นามิน่าเบื่อชะมัด หลังจากเหตุการณ์คลื่นยักวันนั้นทำให้โรงเรียน

ผมต้องปิดไปหนึ่งอาทิตย์ซึ่งตลอดห้าวันผมไม่ไปไหนเลยนอนอยู่

บ้านลูกเดียว วันนี้เป็นเช้าของวันจันทร์และผมควรลุกขึ้นยืนสะบัด

ความขี้เกียจไว้บนเตียงนอน แล้วไปอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนซัก

ที กริ๊งงงงงงงงงงงง ใครมากัน??? เช้าๆอย่างนี้ ผิดจังหวะจริงๆ

คนจะอาบน้ำ กริ๊งงงงงงงงงงงง แหน่ะกดย้ำอีก กริ๊งงงงงงงงงงง

งงงงงง เฮ้ย!!!เอาถอดกลับไปกดเล่นบ้านเลยมั้ย

“มาแล้วคร้าบ เอ๊ย มาแล้วค่าาาาาาาาาาาาาาาา” เฮ้อ ไม่

เคยชินสักที ทั้งๆที่ใช้ชีชิตในร่างผู้หญิงมาได้เกืยบหนึ่งเดือนเต็ม

แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังมีบางครั้งบางคราวที่พลั้งปากมักแทนตัวเองว่าผม

หรือขานรับแบบผู้ชายออกไป

“ซาริจางงงงงงงง” พอเปิดประตู ยัยริมิในชุดนักเรียนก็ยื่นหน้า

มาซะใกล้.....ผมมองเลยหัวเธอไป เห็นฮอร์ลำสีชมพูแค่สีก็ทำให้

แสบตา ต้องเป็นลำเดียวกับที่มารับตอนสึนามิแน่ๆ บนนั้นมีคนนั่ง

อยู่ ยูกิโกะ นากาเนะ และ เรรินะ

“ซาริจังพึ่งตื่นเหรอจ๊ะ”

“ทำไมรู้”

“ก็ซาริจัง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แถมยังใส่ชุดนอนอยู่เลยนี่จ๊ะ

ฮิๆๆ” ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะ

“เฮ้ย!!!” ริมิดันผมเข้าบ้านพลางปิดประตู เธอเดินจูงมือผมขึ้น

ไปห้องนอน

“รีบไปอาบน้ำสิจ๊ะ”

“อ..อื้ม” ว่าแล้วผมก็หายเข้าห้องน้ำเป็นเวลาสักพักพอออกมา ริ

มิเตรียมชุดนักเรียนไว้เรียบร้อย เหลือบไปเห็นตู้เสื้อผ้าเบิดอ้าอยู่ มี

ความเกรงใจกันบ้างมั้ยเนี่ย ผมมองริมิด้วยสายตาตำหนิแต่เธอยืน

ยิ้มหน้าบานก่อนจะยื่นผ้าขนหนูผืนน้อยให้ ผมรับมันมาเช็ดหัว ไม่

ได้รับรู้ถึงสายตาของผมแม้แต่น้อย

“เรรินะสร้างความรำคาญให้เธอรึเปล่า” หลังจากผ่านพ้นเหตุ

การณ์สึนามิ ผมได้ฝากเรรินะให้ริมิดูแล ตอนแรกๆเธอแสดงท่าทาง

ไม่เต็มใจเห็นได้ชัด แต่ไม่รู้เพราะอะไรยัยเนื้อคู่กลับเปลี่ยนใจซะ

งั้นแถมก่อนจะออกปากยอมให้เรรินะไปอยู่ร่วมชายคาเดียวกันยัง

แสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนชักเป็นห่วงยัยผิว

หิมะหน่อยๆแล้วสิ





“เรย์นะจังนิสัยดีมากๆเลยจ้ะ แถมทำขนมเก่งด้วย แม้บางทีจะขี้

สงสัยจนสร้างเรื่องปวดหัวบ่อยๆก็เถอะจ้ะ"

“ผมขอโทษ คงทำให้ริมิลำบากมากสินะ......โอ๊ยยยยยย” ริมิ

หยิกท้องผมด้วยสีหน้าชื่นมื่น ดีไม่หยิกหัวนมเพราะแรงขนาดนี้ถ้า

โดนทีมีหวังหัวนมบอด

“ริมิบอกแล้วไงจ๊ะว่าอย่าแทนตัวเองว่าผมอีก”

“โทษที มันลืมตัว”

“งั้นอย่าลืมบ่อยๆนะจ๊ะ...เดี๋ยวท้องจะเขียวไม่รู้ตัว”

“.....” อึ้งพูดอะไรไม่ออก ผมเหลือบไปเห็นวัตถุบางอย่างในมือเธอ

“ว่าแต่ขวดนั่นเอามาทำอะไร” มันคือขวดแก้ว ภายในขวดมีม้วนกระดาษแผ่นนึง

“เห....ซาริจังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เหรอจ๊ะ โรแมนติกมากๆเลยนะ” ผมส่ายหน้า

“จริงๆเหรอจ๊ะ ตอนจบผู้หญิงน่าสงสารมากเลยด้วย” ยัยเนื้อคู่ย้ำเพื่อความแน่ใจ เธอคงคิดว่าผมล้อเล่น

“ฉันจะโกหกทำไมเล่า”

“อยากฟังมั้ย ริมิจะเล่าให้ฟัง”

“ไม่อะ” ไร้สาระจะตายมีแต่พวกติงต๊องเท่านั้นที่เชื่อเรื่องพรรค์นี้

“มันเป็นเรื่องของคู่รักคู่หนึ่งโดยที่ผู้ชายเนี่ย...อ๊ายยยยยย” ริมิ

หน้าแดงพลางใช้มือจับแก้มตัวเองยืนบิดไปบิดมาจะเขินอะไร

นักหนา ทำอย่างกะเป็นเรื่องของตัวเองงั้นแหละ คราวหน้าเธอไม่

ต้องถามก็ได้นะ ถามเหมือนไม่ได้ถามเอาแต่ใจตัวเองชะมัด

“ชายหญิงคู่นี้บ้านอยู่ติดทะเลดังนั้นทุกวันก่อนพระอาทิตย์ลับ

ขอบฟ้า ผู้ชายจะเขียนข้อความยึกๆยือๆลงในกระดาษแผ่นนึงแล้ว

ม้วนมันใส่ขวดแก้ว จากนั้นเขาจะเอาขวดไปลอยทะเล แฟนสาว

เห็นเขาทำหลายครั้งแต่ไม่เคยนึกอยากถามได้แต่เก็บความสงสัย

ไว้ในใจ จนกระทั่งวันนึงเธอเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่จึงถาม

แฟนหนุ่มว่า

‘เอาขวดไปลอยทะเลทำไม’เขายิ้มแล้วตอบกลับมา

‘แม่เธอไม่เคยเล่าให้ฟังเหรอว่าแต่ก่อนมนุษย์เคยสื่อสารกับ

พระเจ้าได้ เพียงแค่เราเขียนคำอธิฐานลงในกระดาษม้วนมันใส่

ขวดแก้วแล้วเอามันไปลอยทะเลให้สายน้ำพัดพามันเดินทางไปสู่

มือพระเจ้าและทางที่มันลอยไปต้องเป็นทางเดียวกับจุดที่

พระอาทิตย์อัสดง แต่ระหว่างนั้นห้ามละสายตาจากขวดเด็ดขาด

ไม่งั้นพระเจ้าจะคิดว่าเราไม่จริงใจต่อการสื่อสารกับพระองค์ต้อง

จ้องขวดไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะหายลับไป ณ ขอบฟ้า หากโชคดี

พระเจ้าจะเก็บมันไปอ่านแล้วคำอธิฐานก็จะเป็นจริง’

‘นายอธิฐานอะไร’

‘ขอให้เธอมีความสุข’ หญิงสาวหัวเราะร่วนกับเรื่องที่ได้ยิน มัน

ไร้สาระเสียจนเธอไม่คิดว่าจะมีใครเชื่อ แฟนหนุ่มไม่โกรธหรือเคือง

เธอแม้แต่น้อย เขาเข้าใจนั่นเพราะมันดูงมงาย”

“แล้วผู้หญิงหน้าสงสารตรงไหน”

“ซาริจังอย่าพูดขัดตอนคนอื่นเขาเล่าสิจ๊ะมันไม่ดีนะรู้มั้ย” ฮึ๋ยยย

สอนตัวเองก่อนเหอะยัยบ้าเล่นซะผมอยากด่ากลับ ทีเธอยังเล่า

เรื่องโดยที่ผมไม่เต็มใจฟังได้หน้าตาเฉยเลย

“แฟนหนุ่มของเธอต้องไปยังต่างเมืองเพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำมา

ค้าขาย ทิ้งให้หญิงสาวอยู่บ้านคนเดียวตามลำพัง ก่อนไปทั้งสอง

คนทะเลาะกันหนักมากจนเกือบถึงขั้นต้องอย่าร้าง สภาพของแฟน

หนุ่มที่ออกเดินทางดูซังกะตายและไร้เรี่ยวแรงนั่นก็เพราะว่าหญิง

สาวโกรธจัดจึงตะโกนบอกเขาว่า

‘ไปตายซะแล้วไม่ต้องกลับมาอีก’เธอไม่รู้หรอกว่าคำพูดของ

เธอนั้นได้สร้างความทรมานใจให้แฟนหนุ่มมากเพียงไร ผ่านไปได้

หลายวันแฟนหนุ่มไม่กลับมาสักที อาทิตย์แรกเธอคิดว่าเขาคงยัง

ไม่ได้ของที่ต้องการจึงกลับมาช้าหน่อย อาทิตย์ที่สองเธอเริ่ม

กระวนกระวายนั่งไม่ติดเก้าอี้เดินวนไปวนมาในบ้านตลอดเวลา

อาทิตย์ที่สามเธอก็ได้รู้...ว่าแฟนของเธอตายไปแล้ว”

“รู้ได้ยังไงว่าตายแล้ว” ริมิแสยะยิ้ม

“ซา...ริ..จางงงงงงง” ริมิเอียงคอพูดเน้นทีละคำเสียงใสบวก

รอยยิ้มด้วยแล้วยิ่งทำให้ดูน่ารักขึ้นอีกเป็นกอง ทว่าความน่ารักของ

เธอต้องพลันหายไปเพราะ....

“อ..โอ้ยยๆๆ หยุดๆเจ็บบบบบบ” เพราะ...แรงหยิกอันมหาศาล

ของยัยนี่ที่เล่นหยิกท้องน้อยๆของผม แถมซ้ำแผลเดิมด้วยห..โหด

ร้ายมากยัยบ้า ชักสงสัยหน่อยๆแล้วสิว่าเป็นเนื้อคู่กันจริงรึเปล่า

“ริมิก็ไม่รู้จ้ะ แม่เล่ามาอย่างนี้”

“แล้วไงต่อ” ผมลูบท้องตัวเองตรงบริเวณที่โดนยัยเนื้อคู่หยิก

เบาๆ

“หญิงสาวรู้สึกเสียใจมากต่อสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป เธอจึง

อยากเจอเขาเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อกล่าวคำขอโทษ แต่ก็ทำไม่ได้

เมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะสิ้นหวังเธอนึกถึงตำนานขวดใบน้อย หญิง

สาวไม่รอช้ารีบหาขวดแก้วกับกระดาษหนึ่งแผ่นมาเขียนคำอธิฐาน

ลงไป ก่อนจะม้วนมันใส่ขวดแล้วเอาไปลอยทะเล เธอจ้องมองขวด

ไม่ละสายตาภายในใจภาวนาขอให้ได้เจอกับเขาอีกครั้ง....”

“สรุปผู้หญิงได้เจอแฟนหนุ่มมั้ย”

“ไม่รู้สิจ๊ะ แม่เล่ามาแค่นี้ ซาริจังคิดว่าไง”

“คงไม่เจอกันมั้ง ผู้หญิงไม่เห็นน่าสงสารเลยสักนิด สมควรโดน

แล้วด้วยซ้ำ เรื่องนี้มันออกจะงมงายไปหน่อยและพระเจ้าไม่มีจริง

หรอก ก็แค่ตำนานนิทานหลอกเด็ก” เธอทำแก้มป่องๆมองผมงอนๆ “ว่าแต่เธอเถอะ อธิฐานอะไร”

“ไม่บอกหรอก แบร่” เธอพูดพลางแลบลิ้นปริ้นตาน่ารักอะ

“ไม่บอกก็ไม่เป็นไรไม่อยากรู้”

“ไม่อยากรู้จริงๆเหรอจ๊ะ” ผมพยักหน้า ที่จริงก็อยากรู้อยู่หรอก

แต่กลัวเสียฟอร์มถ้าจะถามออกไป ริมิกลับหันหลังร้อยแปดสิบ

องศาตรงไปที่ทางออก

“ริมิไปรอข้างล่างดีกว่า” ว่าแล้วยัยเนื้อคู่ก็เดินหายไปหลังประตู

บานสีชมพูโดยถือขวดไปด้วย

“ถ้ามาช้าโดนหยิกอีกไม่รู้ด้วยนะจ๊ะ” โถ่แม่คู้ณณณณ ยังมิวาย

ส่งเสียงใส หวาน แฝงความน่ากลัวกลับมาอีกน้อ พอประตูปิดลง

ผมรีบแต่งตัวอย่างเร่งรีบบวกทะมัดทะแมงประมาณว่าคว้าอะไรได้

จับใส่ลูกเดียว ก่อนจะวิ่งลงไปหาริมิ เธอนั่งรออยู่บนฮอร์พูดคุยเล่น

หยอกล้อกับนากาเนะ โดยมีเรรินะนั่งเป็นกองหนุน และดูท่าทางนา

กาเนะกำลังเสียเปรียบ

“ยูกิโกะเธอช่วยฉันเถียงยัยสองคนนี้หน่อยสิ” แม่นักร้องขี้วีนร้

องขอความช่วยเหลือจากสาวเย็นชา

“......” เงียบไปตามบท

“ฮ่าๆๆๆๆ” ผมหัวเราะลั่น มันรู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง..การได้มีเพื่อน

ช่างวิเศษจริงๆมันไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้หรอก

ความรู้สึกนี้...หากใครไม่เจอกับตัวจะไม่มีทางเข้าใจ โดยเฉพาะ

พวกเธอเป็นเพื่อนกลุ่มแรกของผม เพื่อนหญิงกลุ่มแรก ตอนผมเป็น

ผู้ชายไม่เคยมีเพื่อนสักคนมันเหงามาก มีเรื่องทุกข์ใจทีไรก็ไม่รู้จะ

ปรึกษาใคร หลายๆคนอาจมีพ่อกับแม่ให้พูดระบายความเครียดใน

ใจแต่กับผมมันไม่ใช่ เพราะพวกท่านไม่เคยว่าง ผมเคยขอคุยด้วย

หลายครั้งแต่สิ่งเดียวที่ได้กลับมาคือรูปประโยคซ้ำๆที่ไม่ว่ายังไงก็

ลืมไม่ลง‘พ่อมีประชุม/แม่ต้องไปดูแลงาน’อย่าไปคิดถึงมันดีกว่า...

“ไม่ต้องมาขำเลยยัยถั่วเน่ารีบๆขึ้นมาได้แล้ว” นากาเนะหันมา

มองตาขวาง

“อื้ม” ว่าแล้วก็ขึ้นไปนั่งกั้นกลางระหว่างริมิกับเรรินะ

“ไม่อยากรู้แน่นะ” ริมิอยากบอกก็พูดมาเหอะ

“เออไม่อยาก” ผมตอบเสียงสูง ยัยเนื้อคู่หรี่ตามองผมอย่าง

สงสัย

“เรรินะไม่กลัวแล้วเหรอ” ถามยังไม่ทันขาดคำดี พอเครื่องบิน

ขึ้นปุ๊บ...

“น....น่ากลัววว” เรรินะบอกพลางเกาะแขนเสื้อผมแน่นตัวเธอ

สั่นพั่บๆๆ เห็นทำหน้านิ่งๆนึกว่าไม่กลัวที่แท้ก็เก็บอาการว่าแต่นั่ง

มาได้ยังไง

“ชุดนักเรียนเธอใส่แล้วสวยมากๆเลยนะ” เรรินะถูกบรรจุให้เข้า

เรียนที่โรงเรียนสปิริตไฮส์เป็นที่เรียบร้อยอันนี้ใช้อำนาจในฐานะ

ของประธานนักเรียนและในฐานะหลานของผ.อ.ต้องขอบคุณ คุณปู่

จริงๆ ชุดนักเรียนของเรรินะถูกสั่งทำพิเศษให้มีความละม้ายคล้ายยู

คาตะมากที่สุด เคยลองให้ยัยนี่ใส่ชุดนักเรียนปกติ เจ้าตัวบอกว่า

ไม่เอาใส่แล้วมันดูไม่งามวหหวิวๆขาด้วย ผมจึงถามว่าจะเอาแบบ

ไหน เรรินะใช้เวลาคิดไม่นานที่จริงไม่ได้คิดเลยมั้ง ‘เอาแบบยูคา

ตะ’ โอเคตามคำขอ ผมจัดการสั่งให้ร้านค้าตัดชุดนักเรียนแบบยูคา

ตะ เอายูคาตะสีชมพูที่เธอใส่มาด้วยไปให้ร้านค้าเป็นแบบ เสียตังค์

ไปเยอะอยู่เหมือนกันแต่ไม่เป็นไรหรอกแค่ห้าชุด ชุดละห้า

พัน...เอง

(นิสัยไม่ดี เชอะเค้างอน....รู้มั้ยเค้างอน...) เรื่องของเธอไม่คุยก็

ไม่เป็น ยัยอาโอยไม่พูดกับผมเป็นอาทิตย์เพราะเรื่องนี้ ไม่พูดก็ไม่

พูด ผมไม่เห็นต้องแคร์ แต่ที่ไหนได้กลับเป็นยัยวิญญาณนั่นแหละ

ที่ทนความเหงาไม่ไหวต้องหันมาชวนผมคุยก่อนซะงั้น

“ข..ขอบใจนะ”

“ซาริจัง ถ้าริมิใส่จะสวยมั้ยจ๊ะ” เสนอหน้ามาเชียว อย่างเธอใส่

อะไรก็งั้นๆแหละ

“คงจะสวยหรือไม่สวยล่ะมั้ง...ไม่สิ.....อาจจะ....ไม่รุ้” ยัยเนื้อคู่

มองผมตาเขียว สงสัยงานจะเข้า

“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย” ริมิหยิกผมเต็มเหนี่ยว..ที่จริงไม่น่า

เรียกหยิกควรเรียกว่าบิดซะมากกว่า ท้องของผมคงจะเขียวอื๋อแล้ว

ล่ะมั้ง

“ซาโตริ เธอแน่ใจนะว่าไม่มีผลกระทบต่อเวลาแน่น่ะการพาเรริ

นะมามันต้องเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างบ้างสิ” นากาเนะถามผม

หน้าตาจริงจัง หลังจากหนีสึนามิมาได้อย่างหวุดหวิด ผมก็เล่าเรื่อง

การย้อนเวลาไปหาเรรินะให้ทุกคนฟังมีการตีสีใส่ใข่นิดๆหน่อยๆ

เพื่อเพิ่มอรรถรสให้เรื่องสนุกสนานยิ่งขึ้น แต่ตอนนั้นไม่เห็นมีใคร

ถามอะไร นากาเนะทำไมเธอไม่ถามซะปีหน้าเลยล่ะ

“ฉันไม่รู้ แต่ปริทาด้าบอกว่าไม่มี แต่ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ยัย

นั่นน่ะมีเรื่องปิดบังตั้งเยอะแยะ”

“ใช่มั้ย ฉันคิดแล้วว่ายัยนี่ต้องมีเรื่องบิดบังพวกเราอีกแน่”

“อย่าไปว่าปริทะจังอย่างนั้นซี่จ๊ะ บางทีปริทะจังอาจจะมีเรื่อง

บางอย่างที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้ บางเรื่องที่น่าลำบากใจแล้ว

ปริทะจังไม่อยากบอกเพราะไม่อยากทำให้พวกเราลำบากใจไงจ๊ะ”

ที่ริมิพูดมาก็มีเหตุผล

“เธอคิดว่าไงยูกิโกะ” นากาเนะหันไปขอความเห็นเจ้าหญิง

น้ำแข็ง

“.........” เธอไม่สนแม้แต่เหลือบตามอง เพราะสายตาของเธอ

กำลังไล่อ่านหนังสือเล่มหนาในมือ

“ยูกิโกะ!!!” นากาเนะตะโกน ทว่ายูกิโกะยังคงนั่งนิ่งไม่พูดอะไร

เช่นเดิม เล่นเอาแม่นักร้องแทบคลั่ง จ้องสาวเย็นชาเขม็ง ไม่ชินสัก

ทีนะ...นากาเนะ เป็นผมนะเรียกคำสองคำไม่หันก็เลิกเรียก



ฮอร์ลำสีชมพูลงจอด ณ ดาดฟ้าของโรงเรียน สุดแสนจะนิ่มนวล

ขอย้ำว่าโคตะระจะนิ่มนวล

“ถ...ถึงสักที เฮ้อ.....” เรรินะปรี่ตัวลงจากฮอร์เร็วปานสายฟ้า

ล้มตัวลงนอนแผ่หลาบนพื้นซะหมดสวย

“หมดสภาพเลยนะนั่น” ริมิพูดเยาะเย้ย

“ก็เรากลัวนี่นา” สาวผิวหิมะย้ำคำเดิมเสียงอ่อย

“.....” ยูกิโกะเงียบได้โล่จริงๆ แสดงความเห็นบ้างสิเธอ

“คราวหน้าไม่ต้องมารับพวกเราแล้วนะคะ เกรงใจจัง” นากาเนะ

หันไปบอกคนขับเฮริครอปเตอร์อย่างนอบน้อม เพิ่งรู้วันนี้นี่แหละ

ว่ายัยนี่สะกดคำว่าเกรงใจคนอื่นเป็นด้วย

(คนเรามันก็ต้องมีด้านอ่อนโยนกันบ้างสิใครจะไปแข็งกระด้าง

ได้ตลอดล่ะ) พูดได้แล้วหรอนึกว่าเป็นใบ้ไปซะอีก

(นี่แหนะ นี่แหนะ) อาโอยทุบผมดังปึกๆ พึ่งรู้ว่ายัยนี่แรงน้อยก็

วันนี้แหละ ผึ้งต่อยยังเจ็บ มดกัดยังคันๆ แต่ยัยนี่ทำอะไรสะกิดผิว

หรอ

“ไม่ได้หรอกครับ ท่านริเรียนสั่งมาผมต้องทำตาม”

“แต่ว่า....” นากาเนะทำหน้าลำบากใจ

“ถ้าท่านริเรียนรู้เข้าผมต้องโดนยำเละแน่ๆครับ”

“ก...ก็ได้ค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มบนฮอร์กล่าวขอบคุณอย่างโล่งอก

“ไปห้องประธานนักเรียนกันเถอะ” ผมบอกก่อนจะเดินนำทุกคน

ไปจุดหมาย



เข้ามาในห้องผมหย่อนก้นนั่งปุลงบนเก้าอี้ตัวโปรด

“มาห้องนี้ทำไมยะ” นากาเนะถามเสียงห้วน

“มาเตรียมเอกสารให้ริเรียน กับ เปะโปะ เอ้อ..พอพูดถึงแล้วเธอช่วย...”

“เอกสาร??? ไอ้สี่ตา ไอ้หน้าหวาน??? มันเรื่องอะไรกัน” นัก

ร้องสาวพูดสวนกลับมาสีหน้าขึงขัง ลืมไปว่ายัยนี่ไม่ถูกกับริเรียน

ขืนให้ไปถ่ายเอกสารมีหวังไอ้สองหน่อวงมาสเตอร์อดมาเรียนที่นี่

แน่

“เรื่องมาเรียนที่นี่ของริเรียนกับเปะโปะ ฉันก็พึ่งรู้เหมือนกัน

เพราะเมื่อวานคุณปู่พึ่งบอก ว่าสองคนนี้เอาเอาเอกสารข้อมูลส่วน

ตัวมาให้คุณปู่แล้วคุณปู่ก็เอาเอกสารมาเก็บไว้ในตู้ห้องประธานอีก

ทีนึงแถมมาแอบอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทกับฉันซะอีก ถึงว่าไอ้หน้า

หวานถามชื่อโรงเรียนทำไม แค่นึกถึงใบหน้ากวนประสาทของมันก็

ทำให้ฉันอารมณ์เสีย”

“งั้นก็ไม่ต้องเอาเอกสารไปถ่ายสำนงสำเนาอะไรนั่นหรอก เอา

มาเดี๋ยวฉันเอาไปเผาเอง”

“ไม่ต้องหรอกนากาเนะ”

“เอาน่าฉันจัดการเอง”

“บอกว่าไม่ต้องก็คือไม่ต้องสิ!!!” นากาเนะสะดุ้งเฮือกพลางทำ

ปากมุบมิบเหมือนบ่นอะไรบางอย่าง

“ริมิเธอเอาเอกสารของพวกเปะโปะในตู้สีดำไปถ่ายสำเนามา

อย่างละชุดนะรีบๆมาล่ะเดี๋ยวไม่ทันยื่น” ริมิยืนนิ่งไม่ทำตามที่ผม

บอก

“ริมิทำไม่ได้จ้ะ” หือ....

“ทำไม??? ขอเหตุผลดีๆสักข้อซิ”

“เอ่อ...” ริมิกรอกสายตาคิดหาเหตุผลไปมา

“ซาโตริในหัวเธอมีแต่เม็ดถั่วรึไงยะ ก็รู้กันอยู่ว่าฉันไม่ชอบริ

เรียนจะให้มันมาเข้าโรงเรียนนี้ทำไม อีกอย่างริมิเกลียดเปะโปะจะ

ตาย ใช่มั้ยริมิ” นากาเนะเห็นท่าไม่ดีรีบพูดช่วยก่อนจะหันไปถามยัย

เนื้อคู่

“ช...ใช่จ้ะ” เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ

“ทำเป็นใจแคบไปได้น่า”

“อ้าว มันไม่จริงรึไงยะ...”

“ใครกันน้า...เมื่อเช้ายอมขึ้นฮอร์ของริเรียนมาหน้าตาเฉยแถม

ไม่ปฏิเสธซักคำ คงหลงเสน่ห์ของมันเข้าแล้วล่ะสิ” สาวเย็นชา

เปรยขึ้นมาอย่างจงใจ

“ยูกิโกะ อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า”

“ฉันพูดลอยๆ เธอแคร์หรอ” ยูกิโกะมองท่าทางแข็งกระด้างของ

คนร้อนตัว

“พูดลอยๆ??? ประทานโทษเถอะมันกระทบฉันเต็มๆเลยย่ะ”

“หรือเธอจะบอกว่ามันไม่เป็นอย่างที่ฉันพูด” สาวเย็นชาจ้อง

มองอย่างท้าทาย

“ถ้าฉันชอบริเรียนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอยัยหนอนหนังสือ

เน่า”

“มันก็ไม่เกี่ยวจริงๆนั่นแหละแต่พอดีปากเธอมันบอกว่าเกลียดริ

เรียน ทว่าการกระทำของเธอกลับตรงกันข้ามซึ่งมันขัดแย้งอย่างไม่

ต้องสงสัย ไม่แน่นะบางที...ใจเธออาจจะชอบริเรียนแล้วก็ได้ ลอง

ถามใจตัวเองดูสิว่าใช่อย่างที่ฉันพูดมั้ย” อยากตบมือให้ยูกิโกะ

จริงๆกับการคิดวิเคราะห์อันเฉียบแหลม

“แต่เมื่อกี๊ฉันก็บอกให้เขาไม่ต้องมารับแล้วนี่ไง เธอไม่พอใจ

อะไรฉันอีก พูดออกมาตรงๆเซ่!!!” นากาเนะชักเหลืออด

“เฮอะ อย่ามาแก้ตัวหน่อยเลย...เพราะสุดท้ายก็ยอมให้

มันมารับไม่ใช่เหรอ ให้ฉันเดานะ...เธอคงอยากเป็นแฟนของ

ริเรียนจนตัวสั่นล่ะสิท่า” สาวเย็นชาพูดกระแทกเสียง

“เธอ!!!” ยูกิโกะกับนากาเนะต่างจ้องมองนัยน์ตากันและกันไม่กะพริบ

“ท..ทั้งสองคนอย่าทะเลาะกันนะจ๊ะ” ริมิร้องห้ามก่อนที่เรื่องจะ

แย่ไปมากกว่านี้

“เอาซี่ ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าใครจะเริ่มก่อน” ไม่รู้อะไรดลใจให้

ผมพูดอย่างนั้นออกไป

“ซาริจังก็อีกคน ทำไมพูดยุยงอย่างนั้นล่ะจ๊ะ” ริมิหันมาต่อว่าผม

แต่ผมไม่ได้สนใจเสียงของเธอแม้แต่น้อยนั่นก็เพราะมัวแต่ใจจดจ่อ

อยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้า นากาเนะง้างมือขึ้นเหนือหัวเตรียมเปิด

ฉาก ทางยูกิโกะนิ่งเฉยไม่มีทีท่าจะยกมือตั้งป้องกัน สายตาเย็นชา

จ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาของคู่กรณีราวกับว่าเธอคาดหวังอะไรบาง

อย่างในดวงตาคู่นั้น

“ฉันไม่คิดจะทะเลาะกับคนที่คุยไม่รู้เรื่องหรอก” พูดจบเจ้า

หล่อนไม่รอช้า ก้าวเท้าฉับๆๆออกประตูไปซะงั้น ทิ้งนากาเนะให้ยืน

มึนกับท่าเตรียมของตัวเองเหมือนคนบ้า ก่อนจะเดาะลิ้นอย่าง

เจ็บใจแล้ววิ่งตามออกไป

“ซาโตรินิสัยไม่ดีทำไมไม่พูดห้าม” เรรินะหันมาต่อว่าผมอีกคน

“เอ่อ..” เพี้ยะ เรรินะตบผมที่แก้มขวา ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่คันๆ

เกาก็หาย

“ริมิเคยคิดมาตลอดว่าภายนอกของซาริจังอาจจะดูเป็นคนไม่

เอาไหนทำอะไรก็ไม่เก่งอ่อนแอก็ที่หนึ่ง แต่บางทีภายในของซาริ

จังต้องมีอะไรพิเศษซ่อนอยู่แน่ๆเพราะไม่อย่างนั้นริมิกับซาริจังคง

ไม่ใช่เนื้อคู่กัน จากเหตุการณ์สึนามิยิ่งทำให้ริมิเชื่อว่าซาริจังคือเนื้อ

คู่ที่จะมาปกริมิในเวลาที่ริมิตกอยู่ในอันตราย แต่ริมิคิดผิดเพราะ

บางทีอาจจะเป็นแบบที่ซาริจังเคยพูดก็ได้ ริมิซวยจริงๆที่ได้ซาริจัง

เป็นเนื้อคู่ เพราะจริงๆแล้วซาริจังเป็นคนอย่างนี้เองเหรอจ๊ะ หรือว่า

เมื่อกี๊แค่พลั้งปาก” ม..ไม่นะริมิน้ำตาคลอเธอกำลังจะร้องไห้ อย่า

ร้องนะได้โปรด ผมไม่อยากเห็นใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาเธออีก

“แค่พลั้.....” เพี้ยะ ริมิตบผมที่แก้มซ้าย แรงที่กระทบบนหน้า

ขอบอกว่าเบากว่าเรรินะหลายเท่าตัว แต่ทว่าผมกลับรู้สึกเจ็บและ

ชาไปทั้งหน้า สายตาของริมิที่มองมามันสื่อถึงอะไรบางอย่าง

“คือเมี่อกี๊....”

“ไม่ต้องพูดหรอกจ้ะริมิไม่อยากฟัง” ริมิพูดขัดอย่างรู้ทัน เธอ

พยายามประคองเสียงให้ฟังดูปกติที่สุด ริมิไม่ฟังเหตุผล นอกจาก

หยิบเอกสารในตู้แล้วเอามันมาวางบนโต๊ะ

“ส่วนเอกสารพวกนี้เอาไปถ่ายเองนะจ๊ะ” ยัยเนื้อคู่กับยัยผิวหิมะ

พากันเดินออกไปอย่างเงียบๆ เหลือไว้เพียงผมคนเดียว ไม่สิยังมี

รอยสิบนิ้วแยกได้ข้างละห้านิ้วกับความเจ็บนี้นี่นะ

“มิสเทสแห่งเวลาเอ๋ย เจ้าตัดสินใจได้รึยัง” เสียงแหลมเล็กดัง

กึกก้อง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าผมไม่ใช่แสงสีฟ้าแต่เป็นร่างเพรียว

บางของผู้หญิง

“ไม่รู้สิครับผมก็ยังไม่แน่ใจ” เธอเดินมาโอบไหล่ผม

“เมื่อกี๊ข้าเห็นหมดทุกอย่าง เจ้าไม่น่าพูดอย่างนั้นออกไปเลย”

“เธอคงเกลียดผมแล้ว”

“แย่เลยเนาะ ขืนเป็นอย่างนี้มิสเทสแห่งชีวิตอาจจะ....ไปรักกับ

คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้า” เป็นไปไม่ได้

“ผมควรจะทำไงดีครับ”

“เปลี่ยนเส้นทางในอดีตสิ เจ้ายังอยากกลับไปเป็นผู้ชายรึเปล่า

ล่ะ” บอกปฏิเสธซะ ซาโตริ นายก็รู้ผลเสียของมันไม่ใช่เหรอ

(ซาโตริรู้จักผู้หญิงคนนี้ด้วยเหรอ) เคยเจอในความฝันน่ะ เห็น

บอกว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งหอคอยซาบิน่า

(อ่าฮะ ข้อเสียที่ว่าคืออะไร???) เรื่องนั้น...ผมจำไม่ได้ อาโอย

มุ่ยหน้าใส่ผม

(ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่นายช่วยคิดทบทวนก่อนได้มั้ย

เพราะไม่ใช่นายคนเดียวที่จะเสียใจจากการกระทำอันงี่เง่าของนาย

แต่เค้าและพวกริมิก็จะต้องเสียใจเหมือนกันเผลอๆริมิจังอาจจะเจ็บ

ปวดมากที่สุดดังนั้นเค้าอยากให้ซาโตริปฎิเสธไปซะทำได้มั้ย)

ด..ได้

“แหมๆๆ เจ้าเนี่ยคิดนานจัง ข้าจะบอกข้อดีให้ได้รู้ไว้ เจ้า

สามารถกลับไปเป็นผู้ชาย แถมได้คบกับมิสเทสแห่งชีวิตและสิ่ง

สำคัญเจ้าสามารถเลือกจะกลับมาเป็นมิสเทสหรือไม่ต้องการก็ได้

เห็นมั้ยมีแต่ได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง ไม่ต้องใส่ใจข้อเสียหรอก” นั่นสินะ

หากเปลี่ยนเส้นทางในตอนนั้น เหตุการในตอนนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นผม

กับริมิก็ไม่ต้องทะเลาะกันด้วย ข้อเสียช่างมันเหอะไม่จำเป็นหรอก

“ครับ ผมอยากกลับไปเป็นผู้ชาย ช่วยทำให้มันเป็นจริงทีเถอะ

ครับ” ร่างเพรียวบางเสกลูกแก้วให้ปรากฏบนมือแล้วปามันลงบน

โต๊ะ เพล้ง แสงสีขาวสว่างวาบในบัดดลมันส่องแสงเรืองรองทั่ว

ห้อง ผมได้อาบแสงนั้น รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

(ซาโตริทำอะไรของนาย ไหนบอกว่า....ช่างเหอะแล้วนายจะ

ต้องเสียใจ) อาโอยทำตาโตใส่ผมก่อนจะชักสีหน้ากลับมาเป็น

เหมือนเดิม ขอโทษที่ทำตามคำพูดไม่ได้ แต่ผมจะกลับไปแก้ไข

ทุกอย่างเชื่อผมเถอะนะอาโอย

(เชื่อ??? ฮ่าๆๆ สงสัยเค้ากับซาโตริคงไม่มีทางได้มาเจอกันอีก

แล้วล่ะ บอกลาตรงนี้เลยดีกว่า ลาก่อนนะ...นายโง่สมองฝ่อ

อ้อ..ยัยจิตวิญญาณนั่นน่ะที่จริงแล้วเป็น.....) เป็นอะไร???

ด...เดี๋ยว ทันใดนั้นทุกอย่างก็มืดสนิท เธอต้องการบอกอะไรผม



ลืมตาขึ้นมา กวาดสายตามองรอบๆ ห้องประธานนักเรียน

นั่นเอง ก้มลงสำรวจตัวเอง ผมกลับมาเป็นผู้ชายเรียบร้อยไม่มีนม

ให้เดินแบกโทงๆ ไม่มีทรงผมยาวๆให้รำคาญในเวลาตื่นเช้ามาต้อง

หวีต้องสางให้อยู่ทรง นี่แหละตัวผมร่างของผู้ชายอ้วนๆคนเดิม

กลับมาแล้ว ผมกระโดดโลดเต้นดีใจสุดขีดอย่างลิงโลด ก๊อกๆๆๆ

ใครมาฟะขัดจังหวะจริงๆ ผมกลับมานั่งเก้าอี้อยู่ในมาดประธานผู้

เรียบร้อยแทบไม่ทัน

“เชิญครับ” ร่างสูงเปิดประตูเข้ามา คือชายใส่แว่นผมเขียว

“มีอะไรให้ผมช่วยไหม ดาร์ก” ผมถามชายผู้มาเยือน ดาร์กทำ

หน้างงๆ ประมาณว่าผมรู้ชื่อเขาได้ไง

“นาย...” ดาร์กทำหน้าตาตื่นตกใจ มีอะไรติดหน้าผมรึไง

“ผมรู้ว่าดาร์กจะถามอะไร ขอบคุณมากที่ช่วยผมไว้ และไม่ต้อง

เป็นห่วงผมหรอก ผมดูแลตัวเองได้” พูดจบดาร์กเกาหัวแกรกๆ

อย่างฉงน

“น..นายรู้ก็ดีแล้ว ฉันไปล่ะ” ดาร์กซอยเท้าถี่ยิบออกจากห้อง

พร้อมอาการตะขิดตะขวงใจอย่างเห็นได้ชัด เอาล่ะคนต่อไปที่จะ

เดินเข้ามาก็คือริมิ ก๊อกๆๆๆ

“เชิญครับ” ร่างเพรียวบางของหญิงสาวผมดำขลับยาว ตาคม

ผิวออกคล้ำหน่อยๆ ยัยนี่ไม่ใช่ริมิชัวร์ ใครฟะเนี่ย ผมไม่เห็นหน้า

เธอจึงไม่รู้ว่าใคร นั่นก็เพราะคุณเธอเล่นก้มหน้าเดินงุดๆเข้ามายืน

ตรงหน้าผมเราสองคนอยู่ห่างกันแค่ระหว่างโต๊ะ

“เอ่อคุณชื่ออะไร” สาวปริศนาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา โอ้

พระเจ้า ยัยนี่สวยใช้ได้หน้าตาเนียนผ่องไร้เสก็ดดาวตก

“ฉันชอบประธานค่ะ กรุณาคบกับฉันได้มั้ยคะ!!!” เธอ

โพล่งออกมา แก้มแดงระเรื่อก่อนจะแดงขึ้นเรื่อยๆ เอาแล้วนี่

มันไม่ใช่อย่างที่ผมนึกเลย ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ หรือว่า

จิตวิญญาณนั่นที่จริงแล้วเป็น....พวกขี้แกล้งรึเปล่า

“อ..อะไรนะช...ชอบ???ผม” เธอพยักหน้าหงึกๆ

“ชื่อแส้ก็ยังไม่รู้ จะคบกันได้ยังไง”

“ถ้าฉันบอกชื่อแล้วประธานจะคบกับฉันมั้ยคะ”

“ก็ไม่แน่” เธอสูดอากาศเข้าปอดไปอย่างคนเตรียมใจ

“ฉันชื่อ.....”

Stormwind
20th May 2012, 12:15
แนะนำเรื่องนี้นะครับ น่าอ่านดี

By Stormwind [Male]

Prince.NO9
5th June 2012, 17:44
อัพเดตเรียบร้อย

pcore2000
5th June 2012, 17:45
เยอะมากๆๆ ไม่อ่านแล้วๆๆๆๆ

Prince.NO9
5th June 2012, 20:10
เยอะมากๆๆ ไม่อ่านแล้วๆๆๆๆ

ไม่อ่านแล้วจริงหรอ กระซิกๆ(สะอื้นเล็กน้อย)

Prince.NO9
9th June 2012, 16:44
บทที่ 13 ความเคยชินที่ไม่ต้องการ


“ฉันชื่อฮัตจิเมะ ซากุยะค่ะ” เธอก้มหน้าไม่มองผมตรงๆ บอกชื่อหรือไม่บอกผมก็ไม่คิดจะคบด้วยอยู่แล้ว แต่ปฏิเสธยังไงนี่สิ ที่จะไม่ทำให้เธอเสียใจ

“คือเอ่อ...”

“ฉันรู้ค่ะว่าประธานลำบากใจ ถ้ายังไงลองคบเป็นเพื่อนกันก่อนได้ไหมคะ” ซากุยะพูดสวนกลับมาด้วยความหวัง

“ครับ” ไปตามหาริมิดีกว่า ยัยนั่นจะอยู่ที่ไหนได้บ้าง อืม......บางทียัยนั่นอาจจะอยู่ในห้องเรียน

“ประธานจะไปไหนคะ” ผมเดินตรงไปที่ทางออก ปึก ผมต้องหยุดเพราะชนอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนี่นาหรือว่ามีใครอยู่ตรงนั้น รู้สึกไปเองมั้ง พอลองเอื้อมมือออกไปดูปรากฏว่าไม่มีอะไร

“ประธานจะไปไหนคะ” เธอถามอีกครั้ง

“ห้องเรียน” ผมตอบสั้นๆก่อนจะเดินดุ่ยๆไปเปิดประตูก้าวเท้าอวบๆออกมาทันที ไม่รีรอให้ซากุยะได้ถามอะไรสักคำ ว่าแต่เจอริมิแล้วจะทำยังไงต่อดีน้า

“หัวหน้าครับ บุหรี่เพลาๆลงบ้างก็ดีนะครับ เห็นว่าช่วงนี้อาจารย์ยิ่งตรวจเข้มอยู่ แค่เอาแอบเข้ามาขายให้หัวหน้าก็ยากแล้ว” พวกซื้อขายบุหรี่ มันอยู่ไหนฟะ

“เออ ตูรู้ จะไปไหนก็ไป” เสียงดังมาจากในห้องน้ำ นักเรียนชายคนหนึ่งเดินออกมาคาดว่าน่าจะเป็นลูกน้องของไอ้ประโยคบอกไล่เมี่อกี๊ บังอาจมากมาสูบบุหรี่ในห้องน้ำ ต้องจับตัวไปส่งอาจารย์

“นายน่ะ” มันหยุดเดินก่อนจะหันหลังมามองพลางสะดุ้งโหยง จากนั้นก็เกิดการละเล่นวิ่งไล่จับระหว่างผมกับไอ้ชายขายบุหรี่

“เฮ้ยหยุด” ผมตะโกนสั่งพร้อมกันนั้นก็วิ่งไล่ตามหลังมันไปติดๆ แปลกแฮะปกติผมจะวิ่งแล้วเหนื่อยง่ายมาก แต่ทำไมคราวนี้กลับวิ่งได้อย่างสบายๆแถมไม่รู้สึกเหนื่อยอีกต่างหาก จนมาถึงทางลงบันไดนักเรียนชายคนดังกล่าวลื่นล้มก่อนจะได้วิ่งลงไป

“เสร็จล่ะ” ผมรวบแขนคนที่ล้มอยู่บนพื้นพลางกดศรีษะมันด้วยหัวเข่า

“ปล่อยสิวะไอ้ประธาน” นักเรียนชายทั้งดิ้นทั้งสะบัด

“ไม่ ผมจะพานายไปส่งอาจารย์” ในจังหวะที่ผมจะดึงให้มันลุกขึ้นยืน นักนักเรียนชายเอาศอกมากระทุ้งท้องผมอย่างแรง เล่นเอาจุกทีเดียว ทำให้ต้องปล่อยมือที่จับมันอยู่มากุมท้องตัวเอง ไม่รู้ว่ารีบหรืออย่างไรแต่ที่รู้พี่แกทะลึ่งกระโดดข้ามขั้นบันไดพรวดเดียว ถ้าไอ้นี่เกิดขาหักขึ้นมาผมไม่ผิดนะ เมื่อเท้าสัมผัสพื้นร่างนั้นย่อตัวลงแล้วกลิ้งตัวทิ้งน้ำหนักอย่างชำนาญเหมือนกับว่าไอ้บ้านี่ไม่ได้ทำอะไรเพี้ยนๆแบบนี้ครั้งแรก

“แน่จริงก็จับให้ทันสิท่านประธาน” มันส่งเสียงเย้ยหยันพลางปั้นหน้าปั้นตาล้อเลียนก่อนจะวิ่งหายไป

“แก!!!ไม่ยอมให้หนีไปได้หรอกน่า” ผมก้าวเท้าจะลงบันได ทว่ากลับก้าวพลาดและตอนนี้ผมคงไม่แคล้วต้องตกบันได ร่างกายค่อยๆเอนไปข้างหน้าเรื่อยๆอย่างไร้การควบคุม ที่รออยู่เบื้องล่างคือพื้นคอนกรีตแข็งกระด้าง จะเจ็บมั้ยนะ ผมหลับตานึกถึงความเจ็บ ซึ่งกำลังจะตามมาในไม่ช้า

‘หมับ’ มือของใครบางคนคว้ามือผมไว้อย่างทันท่วงทีก่อนจะดึงเข้าไปกอด ใครช่วยผมไว้เนี่ย ต้องขอบคุณซะหน่อยแล้ว ผมลืมตาขึ้นพลางยิ้มหน้าบานให้ผู้ช่วยชีวิตพร้อมคำขอบคุณที่อยากจะกล่าว แต่ต้องชะงักพลางผลักเขาออกห่างทันทีเพราะชายตรงหน้าคือคนที่ผมเกลียดที่สุด แค่เห็นหน้านายนี่ผมต้องกลืนคำพูดขอบคุณไว้ข้างใน

“เดินระวังๆหน่อยสิ เกิดตกไปตายขึ้นมาศพคงไม่สวย” ปากเสีย

“นายสูบบุหรี่ในห้องน้ำใช่มั้ย”

“ฉันนึกว่านายจะพูดขอบคุณซะอีก ว่าแต่ทำไมใส่ชุดนี้” ใช่ผมพูดแน่ถ้านายไม่ใช่คนที่ช่วยผม

“เสื้อกับกางเกงนักเรียนมันแปลกตรงไหน”

“ป...เปล่า น่ารักดี” น่ารัก??? นายอย่าพูดอะไรที่มันเหมือนส่อไปทางรักร่วมเพศแล้วหน้าแดงได้ม้ายยยยยยย หรือว่านายเป็นพวกยาโอย* {*ยาโอย(Yaoi)เอาไว้ใช้เรียกพวกชายรักชาย ถ้าเป็นหญิงรักหญิงจะเรียกยูริ(Yuri)ครับ}

“นายยังไม่ได้ตอบคำถามของผมเลยนะ” ผมบอกพลางชี้นิ้วไปยังมวนบุหรี่ในมือเน็ก

“เนี่ยน่ะเหรอ ฉันว่าจะเอามาทำอย่างนี้” เน็กชูบุหรี่ขึ้นมา ยี่ห้อค่อนข้างแพงพอดูหากซื้อเป็นซองก็หลายตังค์อยู่

“แล้วไง” เน็กปล่อยบุหรี่ลงพื้นก่อนจะใช้เท้าบดขยี้มวนบุหรี่น้อยๆยี่ห้อแพงอย่างเมามันโดยไม่ลังเล

“นายทำแบบนี้ทำไมไม่เสียดายตังค์เหรอ” ผมงงกับการกระทำของมันจริงๆ

“ไม่หรอกเพราะฉันเลิกมันได้แล้ว” นายแปลกๆไปนะเน็กวันนี้กินอะไรผิดสำแดงเข้าไปรึเปล่า เมื่อก่อนไม่เคยคุยกับผมนี่นา ปกติจะได้ยินแค่ ‘หมัด เท้า เข่า ศอก จะเลือกอันไหน’เหตุการณ์หลังจากนั้นคือผมลงไปนอนเลือดซิบคาทีนมัน เพราะฉะนั้นมันโม้ชัวร์

“ทำหน้าอย่างนั้นไม่เชื่อฉันล่ะสิ”

“อย่างนายเชื่อได้ที่ไหนกัน” เน็กเหยียดยิ้มที่มุมปาก เขาเดินเข้ามาใกล้พลางยกมือขวาขึ้น หรือนายจะออกหมัด ได้เข้ามาเลย ผมยกมือตั้งการ์ดเตรียมพร้อมรับการโจมตี

“ให้เวลาฉันหน่อยนะ แล้วฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของฉัน” แต่ผิดคาด เน็กไม่ต่อยนอกจากใช้มือลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ทิ้งคำพูดประหลาดๆก่อนจะเดินจากไป อะไรของมันพิซงพิสูจน์อะไรไม่เห็นจะเข้าใจ

อ๊อดดดด เข้าเรียนแล้วเหรอ ต่อให้วิ่งไปก็สายอยู่ดีเพราะฉะนั้นเดินไปดีกว่าถึงผมไปสายอาจารย์ก็ไม่ว่าหรอก แค่บอกว่าเดินตรวจโรงเรียนอาจารย์ก็ไม่ซักไซร้ให้มากความแล้ว

เข้ามาในห้องเรียนกวาดสายตามองทั่วห้อง ริมิไม่อยู่บางทีเธออาจจะถเลถไลอยู่ที่ไหนก็ได้ เดี๋ยวก็คงมา ผมเดินไปนั่งโต๊ะริมหน้าต่างเกือบหลังห้องพลางเอามือเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง เป็นจังหวะเดียวกันที่อาจารย์เดินเข้ามาในห้องพอดี ผมไม่สนมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิม

“ท่านประธาน” เสียงผู้หญิงฟังดูคุ้นหูเรียกผมพลางสะกิดไหล่เบาๆ

“มีอะไ...” หันกลับมาก็ต้องตกใจเมื่อเจอซากุยะนั่งอยู่ เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันทำไมผมไม่รู้สึกตัวเลยล่ะ เสียงลากเก้าอี้หรือเสียงเดินก็ไม่มีสักแอะน่าสังสัยจริงๆ..... ช่างเหอะ ว่าแต่ริมิหายไปไหน

“กินข้าวเที่ยงด้วยกันนะคะ” ซากุยะบอกด้วยเสียงออดอ้อน

“ด..ได้ๆ” แต่ก่อนอื่นต้องไปตามหาริมิ ผมยกมือ

“มีอะไรซาโตริ” อาจารย์ถาม

“ขอไปเข้าห้องน้ำครับ”

“เชิญจ้ะ”

“หนูอยากเข้าห้องน้ำด้วยค่ะ” สิ้นเสียงของซากุยะ ก็ตามมาด้วยเสียงฮือฮาของนักเรียนคนอื่นถ้าให้เดานะคงคิดเรื่องลามกๆอยู่ล่ะสิ นิสัยไม่ดีไอ้พวกใจอกุศล

“เชิญจ้ะ” ผมเดินออกมาพร้อมกับซากุยะที่เดินตามหลังมาติดๆ

“เธอจะตามมาทำไม”

“ก็มันแปลกนี่คะ”

“แปลกยังไง”

“เอ๊าปกติถ้าเริ่มเรียนแล้ว ประธานจะไม่ยอมขอไปเข้าห้องน้ำเด็ดขาดนี่คะ ดังนั้นการที่ประธานขอมาเข้าห้องน้ำก็ถือเป็นเรื่องผิดปกติ ฉันพูดถูกใช่มั้ยคะ” ยัยนี่สังเกตุขนาดนี้เชียวท่าทางจะชอบผมเอามากๆ

“เธอรู้ได้ยังไงพวกเราพึ่งรู้จักกันเองไม่ใช่เหรอ”

“แหม ก็เราสองคนอยู่ห้องเดียวกันนี่คะ” ไม่เกี่ยวกันมั้ง ทำอย่างกะรู้จักตัวผมดี

“สรุปประธานจะไปห้องน้ำรึเปล่าคะ” เธอถามบ้าง

“ยุ่งน่า”

“แสดงว่าโดดเรียนสินะคะ” ไม่ได้โดดแค่ไปตามหาริมิเฉยๆ

“แล้วแต่เธอจะคิดเถอะ” เธอมองผมแก้มป่องๆก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นอารมณ์ดี ยิ้มหน้าบานอย่างคนบ้า

“บอกหน่อยสิคะ นะค้าๆๆๆๆๆ” ซากุยะทำเสียงออดอ้อนเลียนแบบเด็กเล็กๆ พลางคล้องแขนผมแน่น

“หาเพื่อน” ผมตอบแบบขอไปที

“เพื่อนคนนั้นสำคัญกับประธานขนาดต้องโดดเรียนเลยเหรอคะ”

“ก็คงจะอย่างนั้น”



“ประธานไม่ลงไปกินข้าวเหรอคะ” ซากุยะถามผม เพราะตอนนี้พักเที่ยงแล้วหลังจากที่ก่อนหน้านี้เดินหากันมาตลอดสามชั่วโมงแม้จะเสียเวลากับอาจารย์ฝ่ายปกครองไปบ้างเล็กน้อยต้องคอยตอบคำถาม ‘ออกมาทำอะไรไม่ไปเข้าห้องเรียน’แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การค้นหาริมิล่าช้าลงไปเลย หากไม่เพราะผมเป็นหลานของผ.อ.มีหวังโดนจับส่งห้องปกครองแล้วเป็นแน่

“เธอไปเถอะ” ผมบอกพลางเลื่อนเก้าอี้ประจำตำแหน่งออกมานั่ง

“ถ้างั้นประธานอยากกินอะไรมั้ยคะเดี๋ยวฉันซื้อขึ้นมาให้”

“ไม่เป็นไรขอบคุณ ผมอยากอยู่คนเดียวน่ะเผื่อจะคิดอะไรออก”

“ถ้าประธานต้องการอย่างนั้นก็โอเคค่ะ” เธอบอกก่อนจะเดินออกไป หากลองคิดดูแล้วนี่มันเหมือนฝันมากกว่าการมีคนมาชอบคนอย่างผมผู้ชายอ้วนๆ แถมเป็นผู้หญิงสวยด้วยขนาดยังไม่ได้เป็นแฟนกันยังเอาใจใส่ขนาดนี้ถ้าเป็นแฟนกันนี่คงไม่ต้องพูดถึง ถ้านากาเนะรู้ เธอต้องวี้ดแตกด่าผมเละแน่ๆ ยูกิโกะคงเงียบตามเคยหรือไม่ก็เหล่มองด้วยสายตาเย็นชาหน่อยๆ เรรินะจะทำตัวยังไงนะถ้ารู้ว่ามีคนมาชอบผมน่ะเดาไม่ถูกแฮะแต่ที่รู้ๆริมิต้องโมโหแน่เลยเธอคงงอนผมไปอีกหลายวัน

“ฮะๆฮ่าๆๆๆ” ผมหัวเราะแห้งๆ นี่ผมจะมานั่งคิดอะไรเนี่ย ยังไงซะก็คงไม่มีทางได้เจอกับพวกเธออีกแล้ว ถึงเจอกันคงจำผมได้หรอก

“ขอโทษนะคะ นี่ใช่ห้องประธานรึเปล่า” เสียงผู้หญิงถามอย่างนอบน้อมเป็นภาษาอังกฤษ เปิดประตูโผล่มาแค่หัว

“ช...ใช่ครับ” ผู้หญิงสองคนที่เดินเข้ามาทำให้ผมแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ผู้หญิงที่เดินเข้ามาก่อนผมแกละสีเหลืองซึ่งถูกผูกด้วยโบว์สีแดงนัยน์ตาสีทับทิม อีกคนเป็นสาวผมยาวสีดำมีที่คาดผมสีขาวคาดหัว นัยน์ตาสีน้ำเงิน

“นากาเนะ!!!...ยูกิโกะ!!!” ผมอุทานออกมา

“นายรู้ชื่อฉันได้ยังไง” นากาเนะถามสีหน้าหวั่นวิตก

“ฟ...แฟ้มชื่อน่ะ” เกือบไป แต่ว่าทั้งสองคนมาด้วยกันได้ยังไง

“อ...อ้อนั่นสินะ”

“ทั้งสองคนรู้จักกันเหรอ” ผมถาม

“เปล่า คือฉันหลงทางแล้วยูกิโกะมาเจอเข้าพอดี พอเธอรู้ว่าฉันจะมาสมัครเรียนที่นี่ก็พามาหานายนี่แหละ ใช่มั้ยยูกิโกะ” นากาเนะหันไปถามยูกิโกะ

“ช...ใช่...ค..ค่ะประธาน” เธอพูดแทนที่จะเย็นชา แม้จะตะกุกตะกักไปบ้าง แต่เธอก็พูด

“ไงยัยหัวอุนจิ” ผมแหย่เธอเล่นมันอดไม่ได้นี่นา

“ประธานว่าฉันเหรอคะ” ทำหน้าแกล้งโง่ไปได้นะนากาเนะ

“ก็สีมันเหมือนจริงๆหนิ” เดี๋ยวเธอก็จะมองผมตาเขียวปั๊ดพลางเดินเข้ามาต่อว่าด้วยวาจามากมายหลายคำเหลือเกินจะบรรยาย

“ม...เหมือนจริงๆเหรอ อ๋า..ไม่ได้การซะแล้วฉันคงต้องไปย้อมเป็นสีอื่นแล้วล่ะขอบคุณนายมากที่พูดออกมาตรงๆ” ผิดคาด เธอไม่โกรธแม้แต่จะด่าผมทางสายตา กลับกันดันพูดขอบคุณซะอีก จะบ้าเหรอมีด้วยคนแบบนี้

“เธอจำฉันได้มั้ย” นากาเนะคิ้วขมวดมุ่นอย่างงุนงง

“เราพึ่งเจอกันครั้งแรกเองนะ นายจำคนผิดแล้วล่ะ” เธอจะจำผมได้ยังไง ในเมื่อเส้นทางแห่งโชคชะตามันถูกเปลี่ยนไปแล้ว เฮอะแล้วทำไมกลับต้องเป็นผมที่ไม่ลืม บ้าเอ๊ย น่าจะให้ผมลืมพวกเธอด้วยสิ ผมคิดอะไรอยู่ถึงถามแบบนั้นออกไป

“จะเรียนที่นี่จริงๆเหรอ” นี่ต่างหากคำถามที่ถูกต้อง

“อื้ม ฉันอะนะอยากมาเรียนที่นี่มากเลยล่ะ ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กเชียวนะ.....” ยัยนี่ไม่ใช่นากาเนะตัวจริงเพราะตัวจริงคงไม่สุภาพเรียบร้อยขนาดนี้ ยูกิโกะก็เหมือนกันยัยนั่นตัวปลอมชัดๆ ก็ตัวจริงน่ะต้องเย็นชาพูดน้อยๆ ในห้องนี้ไม่มีคนที่ผมรู้จักเลย ทนไม่ไหวแล้วอยู่ต่อไปรังแต่จะคิดมากเปล่าๆน่าจะลงไปกินข้าวกับซากุยะบางทีตอนนี้ยัยนั่นอาจจะอยู่ที่โรงอาหาร ไปหาเธอดีกว่าเมื่อคิดได้ดังนั้น ผมลุกพรวดจากเก้าอี้ตรงไปที่ประตู

“ประธานจะไปไหน” นากาเนะถาม

“ใบสมัครอยู่ในตู้ เธอหยิบเอาเองละกัน” ผมวิ่งออกมา ใบหน้าและท่าทางของพวกเธอสองคนลอยวนเวียนอยู่ในหัวเป็นระยะมันทำให้ผมรู้สึกอ้างว้างและเดียวดายได้ขนาดนี้เลยเหรอ ตัวผมน่าจะชินชากับมันแล้วนี่นากับการต้องอยู่คนเดียวเพียงเมื่อก่อนก็อยู่ได้ไม่เห็นมีปัญหาแต่...แต่....ทั้งอย่างนั้นตอนนี้ผมกลับอยากให้นากาเนะจำผมได้เรียกชื่อผมด้วยฉายาที่เธอตั้งให้ อยากให้ยูกิโกะไม่ตอบเวลาที่ผมถาม ออกไปนะความรู้สึกพวกนี้ผมไม่ต้องการ สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือริมิ ริมิเท่านั้น



ณ โรงอาหาร

ซากุยะนั่งคุยกับเพื่อนสาว หากเข้าไปตอนนี้คงเป็นการเสียมารยาท รอให้เพื่อนของเธอไปก่อนดีกว่า รอได้ไม่ถึงห้านาทีเพื่อนๆของซากุยะต่างเดินจากไปทิ้งให้เธอนั่งอยู่คนเดียว

“กินข้าวรึยัง” ผมเดินอาดๆเข้าไปถาม

“กินแล้วค่ะ ประธานลงมากินข้าวเหรอคะ”

“อ..อื้ม มีอะไรน่ากินบ้าง”

“ป่านนี้ไม่มีอะไรให้กินแล้วล่ะคะ” ซากุยะคลี่ยิ้มบางๆ ยิ้มอะไรของเธอ

“แย่จัง งั้นไม่กินดีกว่า” ผมหันหลังจะเดินไปตามหาริมิต่อ ก่อนที่จะได้ก้าวเท้า ซากุยะจับแขนผมไว้

“มีอะไร” เธอยื่นกล่องโฟมให้ผม

“นี่ค่ะข้าวกะเพาใข่เดา ที่ประธานชอบ” แม้แต่ความชอบของผมเธอยังรู้

“ซื้อทำไม บอกแล้วไงว่าไม่ต้องซื้อ” ผมบ่นแต่ไอ้มือไม่รักดีคว้ากล่องโฟมมาพลางนั่งกินข้างๆเธอ ผมไม่ต้องไปหยิบช้อนส้อมให้เสียเวลาเพราะในกล่องมีช้อนพลาสติกอยู่

“ประธานเชื่อเรื่องความรู้สึกมั้ยคะ ฉันรู้สึกได้น่ะค่ะว่าประธานจะต้องลงมากินข้าว และประธานก็ลงมาจริงๆ” พูดเป็นนิยายน้ำเน่าไปได้ จะว่าไปซากุยะเธอก็เป็นคนดีจริงๆ แต่ขอโทษนะเธอกับผมคงไม่ได้เป็นแฟนกันหรอก

“เอ่อถ้าไม่รบกวนช่วยผมหน่อยได้มั้ย” ผมถามเธอ

“สำหรับประธานต้องได้อยู่แล้วล่ะค่ะ”

“ช่วยผมหาเพื่อนหน่อยนะ”

“ได้เลยค่าาาาาาาาาาาาา” เธอยืนตรงพลางทำท่ารับทราบทหาร ดูๆไปแล้วเหมือนริมิยังไงไม่รู้



“เฮ้อ” ผมถอนหายใจพลางนอนแผ่บนเตียงระคนหมดแรงตอนนี้ผมกลับมาบ้านแล้ว หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมกับซากุยะช่วยกันตามหาริมิ โดยเริ่มหาจากโรงอาหาร ห้องสมุด สวนกุหลาบหลังโรงเรียน โรงยิมและทุกที่ ที่ผมนึกออก แต่ก็ไม่เห็นเธอแม้เงา เอาเถอะถือเป็นการเดินตรวจความเรียบร้อยของโรงเรียนไปในตัว

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ มิสเทสแห่งเวลาเอ๋ย” ร่างของผู้หญิงนั่งลงช้าๆบริเวณปายเตียง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครจิตวิญญาณแห่งหอคอยซาบิน่า

“มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยครับ อีกอย่างอย่าเรียกผมอย่างนั้นเลย ผมไม่ใช่มิสเทสแล้วนะครับ”

“เรื่องที่ว่าน่ะอะไรรึ” ฟังผมบ้างรึเปล่า

“ผมหาริมิไม่เจอ”

“พูดเป็นเล่นนางอยู่กับเจ้าตลอดมิใช่รึ” เธอตาโตขณะพูด

“แล้วไหนล่ะครับ”

“ซากุยะไง”

“หมายความว่าไงครับ”

“มิสเทสแห่งชีวิตไม่ได้หายไปไหนหรอก นางแค่ถูกบิดเบือนตัวตน...”

“บิดเบือนตัวตนเหรอครับ”

“ใช่บิดเบือนตัวตนเพราะการเปลี่ยนเส้นทางโชคชะตาของเจ้าจึงส่งผลให้อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนแปลง ดังนั้นฮัตจิเมะ ซากุยะ คือการบิดเบือนตัวตนของ ยุสึกิ ริมิ เละแน่นอนว่านิสัยยังคงเดิมอาจมีการพูดการจาที่ไม่เหมือนเดิมบ้างแต่เจ้าแน่ใจได้เลยว่าคือมิสเทสแห่งชีวิด”

“จริงๆนะครับ”

“เออสิ รีบไปหานางแล้วเป็นแฟนกันซะ ข้าไปล่ะบาย” พูดจบร่างของจิตวิญญาณแห่งหอคอยซาบิน่าก็เลือนหายไป ยังมีอีกคำถามที่ผมจะถามเธอเกี่ยวกับพวกนากาเนะแต่ช่างเถอะ คงไม่จำเป็นหรอก ถึงถามไปคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี ความรู้สึกเมื่อตอนเที่ยงคงเพราะอยากให้นากาเนะกับยูกิโกะจำได้สักนิดก็ยังดีอย่างน้อยนั่นก็แปลว่าผมมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ แต่มันก็ไม่จำเป็นเหมือนกันเพราะสองคนนั้นไม่ใช่คนที่ผมรู้จักเป็นใครก็ไม่รู้ในร่างกายที่รูปลักษณ์กลิ่นเสียงซึ่งดันเผอิญคล้ายนากาเนะกับยูกิโกะเท่านั้นเอง

“แหะๆๆ” ไม่ว่ายังไงก็สลัดความคิดนี้ทิ้งไปได้สินะ นากาเนะ ยูกิโกะ เรรินะ ริมิ

กริ๊งงงง ใครมาน่ะ ผมเดินอาดๆลงไปเปิดประตู สงสัยจะเป็นแม่ละมั้งช่วงนี้ยิ่งกลับบ้านดึกอยู่ด้วย

“สวัสดีค่ะท่านประธาน” ไม่ใช่แม่ปรากฏว่าเป็นซากุยะในมือถือกล่องอะไรไม่รู้

“ธ..เธอมาได้ยังไง”

“แหม ท่านประธานล่ะก็ บ้านฉันอยู่ถัดไปแค่สี่หลังเองนี่คะ” ถัด...ไป...สี่...หลัง บ้านริมิไม่ใช่เรอะ

“กล่องนั่นอะไร”

“กล่องคุกกี้ค่ะ เข้าไปได้มั้ย”

“อ..อื้ม”

“พ่อแม่ของประธานล่ะคะ”

“พวกท่านไม่อยู่บ้านน่ะ” ผมเดินนำเธอขึ้นไปบนห้องนอน

“เพื่อนคนนั้นชื่ออะไรเหรอ”

“ใคร???”

“คนที่พวกเราไปตามหาไงคะ” ไม่ถามซะชาติหน้าเลยล่ะเธอ เดินตามหาเป็นเพื่อนผมตลอดทั้งวันโดยไม่ถามไถ่อะไรเลยบร๊ะ

“เธอชื่อยุสึกิ ริมิ”

“ผู้หญิงเหรอ โหย เธอคนนั้นคงสำคัญกับประธานมากเลยสินะคะ สงสัยฉันจะมีคู่แข่งแล้วสิ”

“เอ่อคือลองคบกันดูก่อนก็ได้”

“ท่านประธานพูดจริงเหรอคะ เย้ดีใจจัง” ถ้ายัยนี่คือริมิที่ถูกบิดเบือนไปแล้วจริงๆ ผมก็ควรเช็คดูว่าใช่เธอจริงรึเปล่า

“ลองชิมดูนะคะ ฉันทำเองกับมือ” ซากุยะบอกพลางหยิบคุ้กกี้รูปหมีแพนด้ามาป้อนผม

“อ้ำๆๆ” เธอพูดอ้ำซ้ำๆทำอย่างกะผมเป็นเด็ก

“พึ่งทำเหรอ”

“ค่ะ”

“มิน่าอุ่นๆ อร่อยดี”

“จริงเหรอคะ พอดี ฉันลองทำครั้งแรกปกติจะเป็นลูกมือช่วยแม่ทำเสมอ เลยไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร ก็เลยว่าจะเอามาให้ประธานลองชิมน่ะค่ะ ได้ยินประธานพูดอย่างนี้แล้วฉันดีใจมากเลยค่ะ” ดวงตาของเธอรื้นอย่างดีใจแสดงว่าทำครั้งแรกจริงน่ะสิ เห็นหน้าซากุยะแล้วทำให้ผมอดแกล้งไม่ได้

“คงไม่ท้องเสียหรอกนะ” เธอทำแก้มป่องๆมองค้อนผมก่อนจะทุบแขนผมดังปึกๆๆๆ

“นี่แหน่ะๆๆ บ้าๆๆๆ” ลองสังเกตุท่าทีไปก่อนแล้วกัน

Prince.NO9
15th June 2012, 21:52
[CODE]บทที่ 14 ต่างแม้เพียงเสี้ยว


“คุกกี้เมื่อคืนอร่อยจริงๆเหรอคะ” ซากุยะถามผมบ่อยมากคงเพราะเธอไม่ค่อยมั่นใจล่ะมั้ง

“อื้มอร่อยมากเลยล่ะขนาดทำครั้งแรกนะ อยากกินอีกจัง”

“ถ้าประธานชอบ คราวหน้าฉันจะทำคุกกี้มาให้กินอีกนะคะ” แก้มเธอแดงระเรื่อขณะพูด ตอนนี้ผมกับซากุยะอยู่ระหว่างการยืนต่อแถวซื้อข้าว ซึ่งก็เหมือนทุกวันแถวยาวเหยียดเสียจนบรรยายไม่ถูก

“ประธานจะกินอะไรคะ”

“ไม่รู้สิ ต้องดูก่อนว่าเหลืออะไรบ้าง” กว่าจะถึงคิวผมคงไม่เหลือกับข้าวที่ชอบให้ซื้อกินเป็นแน่ ใจจริงอยากอยู่ห้องประธานมากกว่าแต่กลัวเจอนากาเนะกับยูกิโกะอีก

ถึงใช้เวลานานไปหน่อย ในที่สุดก็ได้ข้าวกะเพาไข่ดาวมากิน แต่พูดอย่างนั้นคงไม่ถูก เพราะผมได้กินข้าวจริงๆก็เมื่อขึ้นมาถึงดาดฟ้าของตึกเรียน จะด้วยเหตุผลอันใดไม่อาจทราบได้ ยัยซากุยะถึงอยากขึ้นไปกินข้าวบนนี้ ถ้าไม่ไปเธอบอกจะงอนผมต่อให้ง้อยังไงก็จะไม่ยอมคืนดีด้วย ถ้ายัยนี่ไม่ใช่ริมินะผมไม่มีทางยอมเด็ดขาด เอาแต่ใจตัวเองชะมัด

“ขอบคุณสำหรับข้าวมื้อนี้นะคะ อร่อยที่สุดเล้ย” ซากุยะกล่าวขอบคุณพลางยกมือไหว้จานข้าวอย่างเก้ๆกังๆ

“ประธานกินช้าจังคะ” เธอกินเร็วเกินไปต่างหาก

ฟอด เธอหอมแก้มผมดังฟอด มันรู้สึกแปลกๆไม่เชิงว่าอายหรือเขิน อาจเป็นเพราะผมไม่เคยโดนผู้หญิงหอมแก้มมาก่อนมั้ง ‘ซาริจัง’ มีอยู่แวบนึงจู่ๆเสียงริมิเกิดดังก้องอยู่ในโสทประสาท ผมเป็นอะไรคิดถึงริมิคนนั้นเหรอ ผมไม่มีทางรู้สึกอย่างนั้นเด็ดขาดในเมื่อซากุยะหรือริมิที่ถูกบิดเบือนอยู่ตรงนี้แล้ว

“ท..ทำอะไรของเธอ”

“แหม คนเป็นแฟนกันก็ต้องทำอย่างนี้สิคะ” เธอยิ้มให้ผมรอยยิ้มที่เธอแย้มมาช่างดูไร้เดียงสา ยัยนี่มีความคล้ายริมิอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขึ้งอน ความเอาแต่ใจ ความน่ารัก แต่รู้สึกว่าจะมีเกินๆมาหน่อยก็ตรงขี้อ้อนนี่แหละ พออ้อนไม่ได้ผล เธอจะเปลี่ยนมาใช้วิธีงอนแทน สายลมเย็นยะเยือกปะทะแก้มผม อากาศหนาวจังยังไม่หน้าหนาวเลยแท้ๆ

“ประธานเป็นอะไรไปคะ” ทำไมอากาศมันเย็นอย่างนี้นะ

“ประธานคะ”

“ประธานค้า!!!” ซากุยะโพล่งออกมา อูยแก้วหูจะแตก

“มีอะไร อยู่แค่นี้พูดเบาๆก็ได้”

“ก็ฉันเรียกประธานตั้งหลายครั้งแล้วนี่คะ”

ผมเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างตรงประตู แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเพราะสิ่งที่เห็นคือร่างของผู้หญิงคนนึงเธอมีผมสีส้มยาว ความสูงของเธอคาดว่าน่าจะสูงพอๆกับผม

“ริมิ!!!” ผมเด้งตัวลุกขึ้นแล้วออกวิ่งตามร่างนั้นไปถึงแม้จะไม่รู้แน่ว่าเธอเป็นภาพลวงตารึเปล่า

“ประธานคะ!!!” ผมไม่สนใจเสียงของซากุยะนอกจากวิ่งตามริมิ ขอให้มีตัวตนทีเถอะจะตามให้ทันเลยคอยดู วิ่งตามกันมาจนถึงหน้าตึกเรียน ริมิวิ่งเลี้ยวเข้าสวนกุหลาบหลังโรงเรียน วิ่งเร็วชะมัด

“อ..อ้าวหายไปไหนอะ” พอตามเข้ามาในสวนปรากฏว่าริมิหายไปเธอคงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในสวนกุหลาบนี้

“ริมิ” ผมเรียกเธอ

“ออกมาคุยกันหน่อยได้ไหม”

“.........” เงียบ... ไม่มีการตอบรับใดๆจากยัยเนื้อคู่ บางทีตอนนี้คนที่ช่วยผมได้น่าจะเป็น......

“จิตวิญญาณแห่งหอคอยซาบิน่ามาหาผมหน่อย ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

“......” มันอะไรกันฟะเนี่ย เรียกใครก็เงียบ

“จิตวิญญาณแห่งหอคอยซาบิน่าได้ยินรึเปล่า” ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็สว่างวาบตรงหน้าพร้อมร่างของหญิงสาว

“มีอะไรอีกล่ะ ข้ายิ่งง่วงๆอยู่ ฮ้าว” พูดจบก็หาวเลยนะเจ๊ คงพึ่งตื่นล่ะสิแต่นี่มันเที่ยงแล้วนะ

“ริมิน่ะสิ ผมเห็นเธอ”

“ฮ่าๆๆๆๆ เจ้านี่ชอบพูดอะไรตลกๆออกมาอยู่เรื่อยเลยนะ” หญิงสาวระเบิดเสียงหัวเราะลั่น

“ผมพูดจริงๆ”

“เจ้าแค่คิดไปเองอย่าลืมสิว่าริมิก็คือซากุยะเจ้าน่ะเห็นภาพลวงตา”

“โกหก เธอต้องไม่ใช่ภาพลวงตา” ผมพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นมาหน่อยนึง

“อย่ามาขึ้นเสียงกับข้านะ เจ้าเลือกทางนี้เองไม่ใช่รึ”

“อย่าเปลี่ยนเรื่องตอบผมมาก่อน”

“ข้าบอกแล้วว่าที่เจ้าเห็นมันภาพลวงตา พูดไปแล้วเจ้าอาจจะเสียใจแต่เมื่อเจ้าเปลี่ยนเส้นทางแล้วก็เท่ากับว่าชะตาของเจ้าจะไม่มีทางมาบรรจบกับมิสเทสแห่งชีวิต ขอให้เข้าใจด้วยเด็กน้อย” พูดจบร่างของเธอเลือนหายไปเสียเฉยๆ

“เดี๋ยวอย่าพึ่งไป” หมายความว่าไงสรุปริมิที่ผมเห็นเป็นภาพลวงตาเรอะ

“ประธานมีอะไรรึเปล่าคะ” ซากุยะ...เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่

“เปล่า” ไม่รู้เป็นไรจู่ๆผมก็อารมณ์เสียขึ้นมาเฉยๆเมื่อเห็นหน้าซากุยะ

“ไม่จริงประธานโกหก อย่าปิดบังเลยค่ะบอกฉันมาเถอะนะคะ”

“ยุ่งไม่เข้าเรื่องน่าจะไปไหนก็ไปซะ” ผมตะคอกซากุยะ เธอสะดุ้งโหยง ขอบตาของเธอปริ่มไปด้วยน้ำใสๆที่พร้อมเอ่อล้น

“แต่...”

“บอกว่าไปซะ”

“ก...ก็ได้ค่ะ” เธอจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก เริ่มสับสนแล้วสิเมื่อกี๊ผมคิดไปเองจริงๆเหรอ

กริ๊งงงงงงง ได้เวลาเข้าเรียนแล้วสิ เราควรจะไปเรียนดีไหม ไม่เอาดีกว่าขืนไปต้องเจอกับซากุยะอีกแหงๆ ผมเดินหามุมดีๆแล้วจัดการนั่งกอดเข่าหลบอยู่ตรงนั้น

“อ้าวนายมาทำอะไรในที่ของฉัน” เสียงผู้ชายถามผมอย่างฉงน

“มีชื่อเขียนติดไว้รึไงเล่า” ผมตอบห้วนๆพลางจ้องหน้าผู้ประกาศความเป็นเจ้าของ ‘เน็ก’

“เฮ้..เป็นอะไรไป” เน็กนั่งข้างๆผม

“ไม่ใช่เรื่องของนาย”

“อยากลองโดดเรียนเหรอ” ไม่ใช่โว้ย

“นี่เป็นที่ประจำของฉันเลยนะ มีเรื่องทุกข์ใจหรือเรื่องทะเลาะวิวาทฉันมักจะมาซ่อนที่นี่เสมอ” มิน่าเวลามีเรื่องทีไรถึงไม่เคยเจอตัวมันหลบมาซ่อนอยู่นี่เอง ปู่ผมไม่ได้ปลูกสวนแห่งนี้ขึ้นเพื่อให้นายมาซ่อนนะ

“อา....แต่ฉันบอกนายไปแล้วคงจะมาซ่อนที่นี่อีกไม่ได้แล้วมั้ง” รู้ตัวก็ดีแล้ว

“ทำหน้าบูดหน้าบึ้งอย่างกะผู้หญิงมีประจำเดือนแหน่ะ” อยากไล่มันไปไกลๆจัง

“มีเรื่องไม่สบายใจบอกฉันได้นะ”

“เน็กจะมายุ่งอะไรกับผมนักหนาไปไกลๆเลยไป๊”

“ไม่ได้เป็นใบ้หรอกเหรอ” แก!!!

“ผมเอานายออกได้ง่ายๆนะ”

“กลัวจังเลย” เน็กพูดพลางแกล้งทำหน้าหวาดกลัว

“นายไม่ไป ผมไปเอง” พูดจบผมเด้งตัวลุกพรวดวิ่งหนีเน็กไปดาดฟ้าของตึก



“ริมิเคยคิดมาตลอดว่าภายนอกของซาริจังอาจจะดูเป็นคนไม่เอาไหนทำอะไรก็ไม่เก่งอ่อนแอก็ที่หนึ่ง แต่บางทีภายในของซาริจังต้องมีอะไรพิเศษซ่อนอยู่แน่ๆเพราะไม่อย่างนั้นริมิกับซาริจังคงไม่ใช่เนื้อคู่กัน จากเหตุการณ์สึนามิยิ่งทำให้ริมิเชื่อว่าซาริจังคือเนื้อคู่ที่จะมาปกป้องริมิในเวลาที่ริมิตกอยู่ในอันตราย แต่ริมิคิดผิดเพราะบางทีอาจจะเป็นแบบที่ซาริจังเคยพูดก็ได้ ริมิซวยจริงๆที่ได้ซาริจังเป็นเนื้อคู่ เพราะจริงๆแล้วซาริจังเป็นคนอย่างนี้เองเหรอจ๊ะ หรือว่าเมื่อกี๊แค่พลั้งปาก” ไม่ใช่นะริมิผ..ผมน่ะ

“ผมไม่ได้ตั้งใจคือ....”

“จะโกหกไปถึงเมื่อไหร่กันจ๊ะ รู้มั้ยว่าเวลาซาริจังแก้ตัวริมิยิ่งเกลียดซาริจังมากขึ้นไปอีก” ย..อย่าเกลียดผมเลยริมิ

“ไปกันเถอะริมิ” มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆริมิ เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่สำคัญมันคือใครเนื่องจากผมปิดหน้าอยู่จึงดูไม่ออก

“ผู้ชายคนนั้นใคร” ผมถามริมิ

“แฟนริมิเองจ้ะ” แฟน!!!

“ไม่จริง”

“ลาก่อนจ้ะ” เธอเดินคล้องแขนไปกับชายปริศนาคนนั้นด้วยหน้าตาเศร้าสร้อยเหมือนคนจำใจ

“ไม่!!!ริมี้” ผมตะโกนเรียกลากเสียงยาว

อ๊อดดดดดดด

“ริมิ!!!” ผมสะดุ้งตัวตื่นจึงรู้ว่าทุกอย่างที่เห็นเป็นเพียงความฝัน เดี๋ยวก่อนถ้าจำไม่ผิดผมนั่งอยู่บนดาดฟ้าตึกคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆแล้วคงเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จนกระทั่งตอนนี้เสียงออดเลิกเรียนดัง เสียงโคตรน่ากลัวสงสัยต้องให้ปู่เปลี่ยนเสียงสักที

“อยู่นี่จริงๆด้วยสินะคะ” ซากุยะยัยนี่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมบ้าง

“กี่โมงแล้ว”

“ห้าโมงเย็นจวนจะครึ่งแล้วค่ะ” เธอตอบพลางเอียงคอ ผมมองนาฬิกาตัวเองซึ่งก็เป็นดั่งที่เธอว่า

“มาทำไม”

“ประธานโกรธฉันใช่ไหมคะ เรื่องหอมแก้มน่ะค่ะ” เธอเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

“ไม่เชิง”

“หมายความว่าไม่โกรธสินะคะ” ผมพยักหน้า

“ดีจัง ประธานรู้สึกยังไงตอนโดนฉันหอมแก้มเหรอคะ” เธอยื่นหน้ามาใกล้หน้าผม ซึ่งตอนนี้ห่างกันไม่เกินหนึ่งเซ็น

“ไม่รู้สิ”

จุ๊บ ซากุยะจูบปากผมทันทีแบบไม่ทันให้ตั้งตัว เคยมีคนบอกว่าถ้าได้จูบกับคนที่ชอบรสชาติของจูบมันจะหวานหอมราวกับขนมท็อปฟี่ชิ้นแรกในชีวิตที่เราได้กิน ไม่เห็นจะจริงสักนิดมันรู้สึกขมๆเฝื่อนๆมากว่า

“รู้สึกยังไงคะประธาน” เธอผละตัวออกพลางยิงคำถาม

“มันเอ่อ....”

“วิเศษไปเลยใช่มั้ยคะ”

“เอ่อ....” วิเศษไปคนเดียวเหอะ

“ใช่มั้ยค้า ใช่มั้ยค้า” เหตุผลง่ายๆที่ทำไมรสจูบมันขมนั่นเพราะซากุยะไม่ใช่ริมิไม่อาจแทนริมิ ผมทำอะไรอยู่ คิดว่ายัยนี่จะแทนริมิได้เหรอถึงจะนิสัยเหมือนกันขนาดไหนก็เถอะแต่ริมิน่ะมีเพียงคนเดียว ผมต้องบอกเลิกกับเธอ อาจทำให้ซากุยะเจ็บปวดแต่พูดออกไปตรงๆคงจะดีที่สุด

“ซากุยะเราเลิกกันเถอะ” เธอหน้าเสียไปในทันทีและกำลังจะร้องไห้

“รู้สึกไม่ดีเหรอคะ ฉันขอโทษค่ะคราวหน้าจะไม่ทำอีกแล้วอย่าเลิกกับฉันเลยนะคะ” เสียงเธอสั่นๆ

“แต่เดิมผมก็บอกแล้วนี่ว่าลองคบกันดูเท่านั้น”

“ประธานพูดอย่างนี้ ไม่ใจดำไปหน่อยเหรอคะ”

“ผมขอโทษ”

“แต่....ถ้าจะเลิกกันจริงๆอย่างน้อยช่วยบอกเหตุผลได้มั้ยคะ”

“......” เหตุผล

“เพราะผู้หญิงที่ชื่อริมิใช่มั้ยคะ ประธานรักเธอมากเหรอคะทั้งๆที่หาเธอไม่เจอ”

“อื้มผมชอบริมิ ผมน่ะมีความสุขมากยิ้มออกทุกครั้งที่ได้เจอรู้สึกสบายใจเมื่อได้ชิดใกล้ ถึงแม้เธอจะงอนผมบ่อยๆ แถมเรื่องที่งอนก็เป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้น หึๆๆ” ผมหัวเราะเบาในลำคอ ซากุยะหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีคิ้วขมวดมุ่นนัยน์ตาแข็งกร้าว เป็นใบหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“ถ้าเธอนิสัยไม่ดีขนาดนั้นประธานไม่เห็นจะต้องไปชอบเธอเลยนี่คะ ทำไมไม่ชอบคนที่ชอบประธานล่ะคะ”

“ผมขอโทษนะ”

“ไม่ค่ะฉันไม่รับ ประธานอย่าไปจากฉันเลยนะคะได้โปรด” เธอโผกอดผมแน่น จะเสียเวลากับยัยนี่ไม่ได้ต้องรีบไปตามหาริมิ



ขอโทษจริงๆครับที่ใช้เวลานานไปหน่อยหวังว่าพี่ๆน้องๆเพื่อนๆทุกท่านคงชอบบทนี้กัน เพื่อเป็นการไถ่โทษผมจะอัพสองบทรวดเลยแต่อีกบทหนึ่งน่าจะเย็นๆหรือบางทีอาจเป็นพรุ่งนี้

สุดท้ายขอย้ำเรื่องคอมเม้นผมอย่างรู้ว่าตัวเองเขียนดีขึ้นไหมหรือแย่ลงดังนั้นขอความกรุณานักอ่านเงาก็ดีนักอ่านที่คอมเม้นอยู่แล้วก็ดีช่วยกล่าวติเตียนตำหนิ เพื่อนิยายดีๆอีกสักเรื่องนะครับ

dragonslayer
15th June 2012, 21:54
โอ้เยอะมากๆ :eek:

Prince.NO9
15th June 2012, 21:55
บทที่ 15 ภูตรับใช้ผู้ถูกเกลียด นายหญิงผู้โง่เขลา กับสายสัมพันธ์เมื่อวานๆ


“ปล่อย” ผมพยายามดันเธอออก ยัยนี่แรงเยอะชะมัดผู้หญิงแน่เรอะ

“ไม่ค่ะ ฉันรักประธานจริงๆนะคะ อยู่กับฉันเถอะค่ะ” ผมผลักเธอด้วยแรงทั้งหมดที่มี ใช้โอกาศนี้วิ่งหนีลงไปทันที จุดหมายคือสวนกุหลาบหลังโรงเรียนไปซ่อนที่นั่นน่าจะดีที่สุด แถมยังเป็นที่สุดท้ายที่ผมเห็นริมิด้วย ป่านนี้เน็กคงกลับไปแล้วมั้ง ผมนั่งหลบตรงมุมที่เน็กประกาศความเป็นเจ้าของ เป็นจังหวะเดียวกันที่ซากุยะวิ่งตามลงมาพอดิบพอดี

“ประธานคะ อย่าทิ้งฉันไปได้โปรด” ซากุยะบอกน้ำเสียงปนสะอื้น

“...”

“ประธานค้า สงสัยประธานจะไม่ได้อยู่ที่นี่มั้งไปหาที่อื่นดีกว่า” พูดจบเธอก็วิ่งออกไป

“ริมิ” พอเห็นว่าซากุยะไม่อยู่แถวนี้ผมถึงตะโกนเรียกชื่อยัยเนื้อคู่

“ผมรู้นะว่าริมิได้ยินออกมาเถอะ

ฟิ้ว

“......” มีเพียงสายลมพัดผ่านอย่างแผ่วเบาเท่านั้น

“ขอร้องล่ะริมิออกมาเถอะผมไม่อยากอยู่คนเดียว”

“เฮ้ๆ คนจะนอนนายจะมาตะโกนหาพระแสงอะไรแถวนี้” เสียงทุ้มต่ำบ่น

“เน็กนายยังไม่กลับไปอีกเหรอ” เน็กเดินออกมาจากที่ซ่อนพลางหาวหวอดๆ แต่เมื่อกี้ไม่เห็นมันนอนอยู่เลย

“ถ้าฉันกลับไปแล้วนายจะได้เห็นฉันอยู่ตรงนี้มั้ยล่ะ” เออจริงของมัน

“ตามหาใครอยู่” เน็กถาม เขามองตาผม

“เปล่า....” ผมก้มหน้าหลบสายตาของเขา

“โกหกไม่เนียนเลยนะนายน่ะ”

“ไม่ได้โกห....” ทันใดนั้นไอ้เน็กมันก็ทะลึ่งพรวดเข้ามาเอาปากประกบผมซะงั้น อ๊ากกกกกกกกอะไรกันฟะเนี่ยเมื่อกี้พึ่งโดนจูบไปหมาดๆ ผมจะผลักเน็กออกแต่เหมือนเขาจะรู้ความคิดผมมันใช้มือซ้ายรวบแขนผมไว้พลางใช้มือข้างที่เหลือโอบเอวก่อนจะดึงผมเข้าไปแนบอกของเขาอย่างง่ายดายเรี่ยวแรงมันหายไปหมดผมไม่สามารถขัดขืนเขาได้เลย พอได้ลองสังเกตุดีๆนายนี่สูงขนาดนี้เชียว รู้สึกตัวอีกทีเขาก็ถอนริมฝีปากออกไปเสียแล้ว

“ติดใจล่ะซี่” เขาพูดจายียวนพลางปั้นหน้าทะเล้น

“นายทำแบบนี้ทำไม ชอบผมเหรอ”

“ถ้าบอกว่าใช่นายจะคบกับฉันมั้ยล่ะ” ผมผลักเน็กอย่างแรงจนเขาล้มลงไปนอน

ฟิ้ว เป็นอีกครั้งที่เหมือนโดนอะไรบางอย่างสัมผัสหน้าผม

“ซาริจัง” ริมิคราวนี้ได้ยินเสียงเธอด้วย

“ริมิได้ยินผมไหม”

“.......”

“ผมรู้นะว่าริมิได้ยิน”

“ซาโตรินายพูดกับใคร” เน็กมองไม่เห็นริมิเหมือนกัน ผมแลซ้ายแลขวาพยายามหาต้นเสียงทันใดนั้นร่างเรือนรางของริมิก็ปรากฏตรงหน้าผม เธอกำลังเดินออกจากสวนกุหลาบ ผมไม่รอช้ารีบซอยเท้าตาม

“นายจะไปไหนน่ะเฮ้ย” เน็กถามผมไม่ว่างมาตอบนายหรอกนะ ทว่าพอผมจะแตะไหล่ริมิ เธอกลับหายตัวไปและ ปรากฏร่างใหม่อีกครั้งตรงหน้าผมซึ่งห่างกันประมาณสิบก้าว

“ริมิ” เธอไม่หันมา นอกจากเดินต่อไป

แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตามทันทีที่จะถึงตัวเธอเมื่อเอื้อมมือออกไปสัมผัสแค่ปลายนิ้วก็ยังดีเพื่อพิสูจน์ว่าริมิที่ผมเห็นไม่ได้เป็นแค่ภาพลวงตา ร่างของเธอจะหายไปแล้วมาปรากฏใหม่อีกครั้งและทุกครั้งที่ร่างของเธอกลับมาจะยิ่งห่างจากผมมากขึ้นเรื่อยๆ มันอะไรกันเนี่ยอย่างกับมีใครเล่นตลกแหน่ะ

“ริมิ” ผมตะโกนพลางเร่งฝีเท้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่ง

“....”

ริมิเลือนหายไปเสียเฉยๆ และไม่มาให้เห็นอีกเลย รู้สึกตัวอีกทีมองดูรอบๆก็อยู่ที่หาดทรายเสียแล้ว อย่างกับมีใครจงใจต้องการให้ผมมานี่อย่างนั้นแหละ หรือริมิต้องการให้ผมมาทำอะไรบางอย่างที่นี่

“ริมิ”

ซ่า เสียงคลื่นกะทบหาดทราย

“ผมต้องทำยังไงถึงจะได้เจอกับเธอ”

ซ่า เสียงคลื่นกลบความเงียบไปหมด

“ตอบกันหน่อยสิ” ‘เห....ซาริจังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เหรอจ๊ะ โรแมนติกมากๆเลยนะ’ใช่ตำนานขวดนั่นไงถึงผมจะเคยบอกว่าไม่เชื่อแต่ว่าก็มีแค่วิธีนี้วิธีเดียวที่ผมนึกออก และถ้าจำไม่ผิดต้องเอาขวดไปลอยทะเลก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ดังนั้นตอนนี้กี่โมงแล้ว ผมดูที่นาฬิกาข้อมือปรากฏว่าขณะนี้เวลาห้าโมงสี่สิบห้า เฮ้ยเวลาผ่านไปเร็วขนาดนี้เชียว ก่อนอื่นต้องหาขวดกับกระดาษ

นั่นไงเห็นแล้ว กระดาษแปะกำแพงนี่แหละ....แต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่ามันดูไม่จริงใจยังไงไม่รู้ สายตาผมได้เหลือบไปเห็นสมุดโน้ตในร้านกาแฟ ผมเดินดุ่ยๆเข้าร้าน

“ต้องการอะไรครับ” พนักงานหนุ่มถาม ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงจัดการฉีกกระดาษมาหน้าด้านๆก่อนจะเดินออกจากร้านไปหาไอเทมหลัก ผมกวาดสายตามองหาขวดแก้วบางทีอาจจะเจอขวดสักใบสองใบมันน่าจะมีบ้างล่ะนะ แต่แล้วสายตาของผมต้องไปหยุดอยู่ที่ชายคนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนในมือเขามีขวดเหล้า และมันเป็นขวดแก้ว

“จันทร์อย่าทิ้งพี่ไปจันทร์พี่สัญญาจะไม่กินเหล้าอีกแล้ว” ชายเมาเหล้านอนหมดสภาพพูดเพ้อถึง..น่าจะเป็นผู้หญิง พูดออกมาได้ยังไงว่าจะเลิกเหล้าในเมื่อยังกินอยู่เห็นๆ โกหกชัดๆ แต่นี่ไม่ใช่เวลามายืนวิจารณ์คนอื่น อีกอย่างชายเมาเหล้าก็ดูท่าทางจะหลับไปแล้วด้วย

“ขอโทษนะลุง ยืมขวดหน่อย” ผมหยิบขวดเหล้ามา อย่างง่ายดาย ผมล้วงปากกาในประกระเป๋ากางเกงมาบรรจงเขียนข้อความที่ปรารถณาลงไปในกระดาษ ‘ข้อให้ผมได้เจอกับริมิอีกสักครั้งและได้เพื่อนทุกคนคืนมา’ ประมาณนี้แหละ ผมม้วนกระดาษใส่ขวดก่อนจะเดินออกไปยังหาดทรายย่อตัวลงค่อยๆปล่อยขวดสู่ทะเล ผมมองพระอาทิตย์ซึ่งกำลังจะลับขอบฟ้าในไม่ช้าสลับกับมามองขวดไม่ละสายตา ขืนเป็นยังนี้คงไม่ทันแน่

สายน้ำพัดพาขวดใบน้อยค่อยๆลอยออกไป ไกลออกไป ได้โปรดอย่าจมนะ เจ้าขวดใบน้อย ได้โปรดลอยออกไปยังขอบฟ้าที่ไกลสุดตา เพราะนายเป็นความหวังที่ผมนั้นฝาก ทว่ากว่าขวดใบนั้นจะไปถึงพระอาทิตย์ก็หายไปจากระดับสายตามองเห็นเสียแล้วพร้อมกับขวดที่พึ่งเลือนลางหายลับไป ผมรู้ว่าขอมากเกินไปแต่ได้โปรดเถอะพระผู้เป็นเจ้า ให้ผมได้เจอริมิอีกสักครั้งเถอะ”

“ฮ่าๆๆๆ” ผมนี่มันกว่าจะรู้ตัวว่าทำผิดร้ายแรงแค่ไหนก็ตอนที่เสียเธอไป เดินขึ้นมาลิมหาดพลางล้มลงนอนมองท้องฟ้าอย่างระคนไม่อยากมีชีวิตอยู่

“ริมิ นากาเนะ ยูกิโกะ เรรินะ อาโอย” ผมขอโทษที่ตัดสินใจอะไรบ้าๆออกไปโดยไม่คิดให้ดีก่อน

“ขอโทษ” ผมพูดเบาๆ

“ท่านซาโตริย้อนเวลากลับมาทำไมเจ้าคะ” ผมแหงนหน้ามองเจ้าของเสียงอย่างเร็วทำให้หัวกระแทกกับพื้นทราย ดีไม่ใช่คอนกรีตไม่งั้นหัวแตกแล้วแน่

“เธอยุ่งอะไรด้วย” ผมตอบกลับขณะเดียวกันก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน ทำไมเวลาแย่ๆทีไรต้องเจอยัยภูตทุกทีไม่เห็นจะเข้าใจ คงจะจริงสินะที่ว่าเกลียดอะไรก็จะได้อย่างนั้น หรือว่ายัยนี่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด

“ตอบมาสิเจ้าคะ!!!” เธอตวาด ยัยนี่ไม่ใช่ปริทาด้าเพราะตัวจริงน่ะจะต้องพูดด้วยเสียงเรียบเฉย หน้าตาต้องไร้อารมณ์แบบสุดๆ ต...แต่นี่อะไรสีหน้าแบบนั้นท่าทางแบบนั้นไม่มีทางเป็นปริทาด้าแน่นอน

“เรื่องของผม” ยัยภูตค่อยๆย่างก้าวเข้ามา

“เรื่องของท่าน??? เหรอเจ้าคะ”

“ก็เออสิเธอเสือกอะไรด้วย”

“อิฉันน่ะเหรอเสือก???”

“อ้าวรู้ตัวนี่ก็ดีแล้ว รู้มั้ยว่าเธอมันเสือกยังไงเวลาผมเจอเหตุการณ์แย่ๆทีไร ต้องเจอปีศาจอย่างเธอทุกทีราวกับว่าเธอรู้อยู่แล้วแต่ไม่พูดออกมาสักคำ เธอมันไม่มีหัวใจได้ยินไหมยัยเลือดเย็นขนาดเจ้านายตัวเองแท้ๆยังไม่คิดจะช่วย” ผมพูดความรู้สึกทั้งหมดที่มีออกมา ปริทาด้ายืนประจันหน้าท้าทายผมด้วยสายที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เพี้ยะ หน้าผมสะบัดไปตามแรงตบ ก่อนจะหันกลับมามองยัยภูตเขม็ง

“ท่านซาโตริเสียสติไปแล้วเหรอเจ้าคะ”

“เธอนั่นแหละบ้ามาตบผมทำไมยัยป่าเถื่อน”

“อิฉันไม่ได้ป่าเถื่อน อิฉันมีเหตุผลเจ้าค่ะ”

“เหตุผล??? ปีศาจอย่างเธอมีเหตุผลด้วยเหรอไม่ใช่ว่าที่ทำไปแต่ละอย่างมาจากนิสัยแท้จริงของเธอหรอกนะ” ผมอยากด่าคำที่มันแรงๆกว่านี้จริงๆ

“เกลียด...มาก...เจ้าคะ”

“อะไรนะไม่ได้ยิน” ปริทาด้าพูดด้วยเสียงที่เบาลงเสียจนผมไม่ได้ยิน

“เกลียดอิฉันมากใช่มั้ยเจ้าคะ!!!” เธอโพล่งออกมา

“ฮ่าๆๆๆ ยังชัดเจนไม่พออีกเหรอ แค่เห็นหน้าเธอผมก็อยากจะเดินหนีไปให้ไกลๆ” หากผมไม่ได้ตาฝาดหรือคิดไปเอง ชั่วครู่หนึ่งในม่านตาของปริทาด้าฉายแววความเศร้าซึ่งเด่นชัด จู่ๆความรู้สึกเจ็บแปล๊บก็พุ่งเข้ามาในจิตใจ ท..ทำไมผมคิดอะไรอยู่ตัวผมเป็นอะไรไปเนี่ย

“ไปซะอย่ามาให้ผมเห็นหน้าอีก”

“นี่เป็นคำสั่งรึเปล่าเจ้าคะ” ไปสักทีเถอะ ผมทนไม่ได้กับความรู้สึกนี้

“ผมจะสั่งอะไรเธอได้อีก ในเมื่อผมไม่ใช่มิสเทสแล้ว” ปริทาด้าผงะไปชั่วครู่

“อิฉันไม่รู้นะเจ้าคะว่าท่านซาโตริย้อนเวลากลับมาทำไม แต่ว่าท่านสนุกมากมั้ยเจ้าคะกับการหลอกตัวเอง อิฉันเองยังคงหวังลึกๆเสมอว่าท่านซาโตริคนเดิมจะกลับมาแต่มันเป็นเพียงความฝันใช่มั้ยเจ้าคะ” เธอพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินเอื่อยๆจากไป พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าและผมหลอกตัวเองเรื่องอะไร

“เว้ย มีแต่เรื่องไม่เข้าใจ” ผมทรุดตัวลงนอนอีกครั้ง อะไรกันเมื่อกี้นี้ แค่ยัยนั่นมีดวงตาเศร้าสร้อยผมต้องรู้สึกผิดขนาดนี้เลยเหรอ ไม่เห็นจำเป็นต้องแคร์เลยนี่นายังไงยัยนั่นก็เป็นปีศาจ ปีศาจจะมามีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์ได้อย่างไร....

“อ๊า” ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พอมองรอบๆมีโต๊ะกับเก้าอี้นักเรียน ซึ่งถูกจัดเรียงไปไว้หลังห้องทั้งหมดทำให้ห้องดูโล่งและกว้างขึ้นมาถนัดตา ผมยันตัวเองลุกขึ้นยืนช้าๆพลางเซนิดหน่อย

“หลับฝันดีมั้ยมิสเทสแห่งเวลา” เจ้าของเสียงทักทายยืนพิงประตูพร้อมรอยยิ้มแฝงความนัย

“ผมมาอยู่นี่ได้ไง”

“ข้าไปพาเจ้ามาเอง”

“ทำไม”

“ข้าชักเบื่อที่ต้องเล่นละครลิง มันเสียเวลาเปล่าๆ”

“ท่านจะพูดอะไรกันแน่” ร่างบางเดินอาดๆไปดึงเก้าอี้มานั่งไขว่ห้าง

“ข้าต้องการคริสตัลสีครามในตัวเจ้า” เธอบอกพลางชี้มาที่ผม

“ผมไม่มีซะหน่อย”

“เจ้าชอบพูดให้ข้าขำเสมอเลยนะ” พูดจบคุณเธอหัวเราะร่วน

“ก..ก็ผมไม่มีจริงๆ”

“หืม..นั่นพูดจริงเหรออย่าบอกนะว่าไอ้ภูตรับใช้ของเจ้าไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้รู้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนช่างพูดแท้ๆ” ปริทาด้าน่ะเหรอช่างพูด ไม่มีทาง

“ยัยนั่นพูดแค่เรื่องที่จำเป็นเท่านั้น”

“เฮ้อ เจ้าต้องการอย่างนั้นเองมิใช่เหรอ” ผมนี่นะต้องการ

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นซี่ ตัวเจ้าในอดีตเป็นคนออกคำสั่งเชียวนะ เอ....ถ้าจำไม่ผิดก่อนตายเจ้าสั่งประมาณนี้ ‘ปริทาด้าหากเธอจอตัวฉันในชาติหน้าไม่สิ หากเจอทุกคนในชาติหน้าไม่จำเป็นต้องเล่าอะไรให้ฟังทั้งนั้นนะพูดเฉพาะเรื่องที่จำเป็นก็พอส่วนวิบากกรรมต่างๆก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นไม่ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยจนกว่าเธอจะเห็นสมควร’ ” ร่างบางบอกพลางดัดเสียงเลียนแบบตัวผมในอดีต

“โม้แล้ว ใครจะไปทำตามคำสั่งขนาดนั้นเว้นแต่ว่า....” ยัยภูตจะเป็นคนซื่อ

“ในบรรดามิสเทสทั้งหมดนางซื่อสัตย์กับเจ้าที่สุดจงจำไว้ด้วย ข้าเห็นเจ้าบอกเกลียดนางยิ่งทำให้ข้าเป็นสุขตอนแรกไม่คิดจริงๆว่าจะกะทบไปถึงยัยนั่นด้วยถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”

“โกหกยัยนั่นน่ะนิสัยไม่ดีจะตายแถมพูดจาเลือดเย็นได้หน้าตาเฉย”

“ฮ่าๆๆๆ เจ้าลองนึกดูดีๆว่าปริทาด้าที่เจ้าเจอที่ชายหาดนางพูดอะไรไว้บ้าง” จะพูดอะไรซะอีกล่ะไม่เห็นจะเข้าใจสักเรื่อง ‘อิฉันไม่รู้นะเจ้าคะว่าท่านซาโตริย้อนเวลากลับมาทำไม แต่ว่าท่านสนุกมากมั้ยเจ้าคะกับการหลอกตัวเอง อิฉันเองยังคงหวังลึกๆเสมอว่าท่านซาโตริคนเดิมจะกลับมาแต่มันเป็นเพียงความฝันใช่มั้ยเจ้าคะ’ฮ้า ผมทำอะไรลงไปรวมทั้งความรู้สึกนั่นด้วย

“คริสตัลนั่นอยู่ที่ไหน” ร่างบางบนเก้าอี้ลุกช้าๆก่อนจะเดินใกล้เข้ามาพลางจิ้มอกซ้ายผม

“เจ้ามีมันอยู่ในตัว”

“ถ้าอยู่ในตัวผมจริงจะเอาออกมายังไง” ตาเธอโตราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์มาเป็นขบขันอีกครั้ง

“ฮ่าๆๆๆ แม้แต่เรื่องพื้นฐานก็ไม่รู้รึ” หญิงสาวเว้นช่วงไว้นิดนึงก่อนจะพูดต่อ “ สำหรับพวกเจ้าคงเรียกคริสตัลว่า...แท่งโซลริมิท ส่วนวิธีเอามาก็ต้องให้ผู้ถือครองยกให้เองหรืออีกกรณีนึงถ้าผู้ถือครองไม่ยกให้ต้องฆ่าแล้วผ่าเอามันออกมา”

“จะเอาไปทำอะไร”

“เจ้านี่มันอยากรู้อะไรนักหนา แต่เอาเถอะอยากรู้ข้าก็จะบอก การเปลี่ยนโชคชะตาต้องมีคริสตัลทั้งห้าจึงจะเปลี่ยนได้ ด..ดังนั้นข้าจึงต้องการเปลี่ยนชะตาให้คนที่ข้ารักไม่ต้องตาย” นัยน์ตาของหญิงตรงหน้าปริ่มไปด้วยน้ำใสๆ

“ต้องมีคริสตัลหมายความว่าไง แล้วตอนผมเปลี่ยนชะตาไม่เห็นต้องใช้เลยหรือว่า....” ผมโดนหลอก

“ข้าไม่ใช่จิตวิญญาณอะไรนั่นหรอก ข้าคือปีศาจผู้ถือกุญแจดอกที่สอง มีนามว่า...ฟีเซ่ ยกคริสตัลให้ข้าซะแล้วเจ้าจะไม่ต้องตาย” แสดงว่าผมไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย

“ไม่ให้จนกว่าเธอจะบอกมาก่อนว่ามันยังไงกันแน่”

“เฮ้อ” เธอถอนหายใจราวกับเบื่อหน่ายในความโง่ของผม “เจ้าแค่ย้อนเวลามาเฉยๆแต่ไม่ได้เปลี่ยนชะตา ลูกแก้วสีขาวคือวิธีที่ข้าพาเจ้าย้อนมา”

“แล้วริมิที่ผมได้ยินล่ะและท่าทีของแต่ละคนที่แปลกไปล่ะ”

“ฮ่าๆๆๆ” เธอระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น อารมณ์ดีจริงแม้คุ้ณ

“ข้าไม่เคยเห็นอะไรที่น่าขบขันขนาดนั้นมาก่อน มิสเทสแห่งชีวิตเรียกเจ้าเรียกแล้วเรียกอีกเรียกแล้วเรียกอีก แต่เจ้ากลับไม่แลเหลียวเธอเลยแม้แต่น้อย เธออยู่กับเจ้าในทุกๆที่ เธอได้เห็นเจ้าจูบกับซากุยะหรือจูบกับชายคนนั้น นางยืนน้ำตาร่วงแหมะๆ ฮ่าๆๆ”

“โกหก โกหก ไม่มีทาง แกโกหก”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ โอ๊ยย ปวดท้องจัง เจ้าเห็นนางตั้งหลายครั้ง เจ้าเดินชนกับมิสเทสแห่งชีวิตที่ห้องประธานน่ะจำไม่ได้เหรอ”

“ตอนไหนไม่เห็นจะ...” อ๋อตอนนั้นน่ะเอง

“นึกออกแล้วล่ะสิ ตกลงจะให้คริสตัลข้าได้รึยัง”

“มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย” ฟีเซ่กุมขมับอย่างระอา

“รู้ไหมพลังที่เจ้ามีไม่ได้แค่ใช้หยุดเวลาแต่มันยังทำได้มากกว่านั้น ข้าบอกเคล็ดในพลังของเจ้าให้รู้ไว้ความคิดคือสิ่งสำคัญและการที่เพื่อนของเจ้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเพราะใจส่วนลึกๆมันสั่งและซึ่งพลังในตัวเจ้ามันตอบสนองให้เวลาทุกอย่างเปลี่ยนแปลง แต่ก่อนอื่นช่วยยกคริสตัลให้ข้าได้มั้ย”

“ไม่มีทาง ผมไม่ยกให้เด็ดขาด” ฟีเซ่เปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มมาเป็นบึ้งตึง

“เจ้าคงรู้สินะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“ท่านซาโตริก้มเจ้าค่ะ” ผมก้มหลบทันทีเมื่อสิ้นสุดเสียง น่าจะเรียกว่าหมอบลงไปมากกว่า ปริทาด้าเหวี่ยงเลื่อยใส่ฟีเซ่ ซึ่งเธอหลบได้อย่างฉิวเฉียด

“ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ” ปริทาด้าดึงมือผมให้ลุกขึ้นยืน

“ขอบใจ” เห็นหน้ายัยนี่แล้วปลื้ม

“หนีกันเถอะเจ้าค่ะ” เราสองคนวิ่งหนีไปซ่อนห้องอื่น ปริทาด้าเธอมีความรู้สึกใช่มั้ย ผมอยากถามออกไปแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะนัก

“เธอคิดได้ยังไงปริทาด้ามาซ่อนในนี้”

“แคบไปเหรอเจ้าคะ” เสียงราบเรียบเหมือนเดิม

“ไม่แคบมั้ง” ร่างกายผมแนบกับร่างของปริทาด้า

“อิฉันคิดได้แค่ที่นี่เท่านั้นเจ้าค่ะ” ยัยนี่กำลังฝืนอยู่ทำไมผมไม่เคยสังเกตมาก่อนทำไมผมไม่เคยเอะใจหรือสงสัย ผมนี่มันเจ้านายที่แย่ๆชะมัด

“ที่ซ่อนมีตั้งเยอะแต่ทำไมต้องเป็นลิฟท์ส่งของด้วยเล่า”

“เล็กเกินไปสำหรับสองคนจริงๆด้วย”

“ทำไมเธอถึงรู้ว่าย้อนผมเวลามาล่ะ” อันนี้เป็นเรื่องประหลาดมากผมข้องใจไม่น้อย

“ไม่รู้สิเจ้าคะแต่ระหว่างอิฉันกับท่านซาโตริเหมือนมีเส้นอะไรบางอย่างเชื่อมพวกเราสองคนเอาไว้เวลาท่านย้อนเวลามาอิฉันจะรับรู้ได้เองเจ้าค่ะ”

“ผมขอโทษ” ผมพูดออกไปด้วยเสียงที่แผ่วเบา

“อะไรนะเจ้าคะ” ยัยบ้าหูมีปัญหารึไง คำนี้พูดหลายครั้งไม่ดีเดี๋ยวไม่ซึ้ง

“ขอโทษ” ผมพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นมาหน่อย

“เรื่องอะไรเจ้าคะ”

“ทุกเรื่องที่ผมคิดไม่ดีกับเธอ”

“อิฉันโกรธไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะท่านซาโตริเป็นเจ้านายส่วนฉันเป็นเพียงภูตรับใช้ดังนั้นไม่สิทธิ์ที่จะโกรธหรอกเจ้าค่ะ” นั่นพูดออกมาจริงๆเหรอ เนื่องจากในนี้มันมืดผมจึงไม่รู้ว่าสีหน้าเธอเป็นอย่างไร

“ใครเป็นคนกำหนดกันล่ะ”

“ก็ท่านไงเจ้าคะ อิฉันต้องทำตามคำสั่ง” ไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ คำก็คำสั่ง สองคำก็คำสั่ง

“ผมไม่ได้สั่ง ไอ้อตีดเจ้านายเธอมันสั่งต่างหาก ผมไม่รู้หรอกนะว่ายัยนั่นมันสั่งอะไรเธอไว้บ้างแต่คำสั่งพวกนั้นผมขอยกเลิกทั้งหมดและเธอต้องกลับเป็นปริทาด้าคนเดิมด้วย”

“นี่เป็นคำสั่งใช่ไหมเจ้าคะ”

“เออ” ยังจะถามอีกนะแม่คุณ

“ขอโทษเจ้าค่ะ ที่ทำตามไมได้เพราะท่านซาโตริไม่ได้เป็นมิสเทส เป็นแค่ผู้ชายคนนึงใช่มั้ยเจ้าคะ” ผมแค่พลั้งปากก็คนมันโมโหอะไม่นึกว่ายัยนี่เป็นคนซื่อแถมงอนนิดๆด้วยเอากับเธอสิในหัวคิดอะไรอยู่น่ะฮะ

ครืด ปริทาด้าเปิดประตูลิฟท์ก่อนจะลุกออกไป ผมค่อยๆคลานออกมา พวกเรามาโผล่ที่ชั้นหนึ่ง

“มันคงไปแล้วล่ะเจ้าค่ะ” เธอหันมาบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ฉึก มือของฟีเซ่พุ่งทะลุตัวของปริทาด้า เธอจับมือนั้นแน่น เลือดสีแดงไหลจากตัวเธอ

“ท่านซาโตริหนีไป” หนีเหรอ ผมควรจะหนีใช่ไหม ก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดานี่นาไม่ใช่สิผมเป็นมิสเทสต่างหากแต่ว่าทำไมผมถึงยังเห็นตัวเองเป็นผู้ชายอยู่เลย ออกมาสิไอ้นาฬิกาบ้า

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละพอฆ่านังนี่เสร็จก็จะถึงคิวของเจ้า” ฟีเซ่บอกหน้าตาท***ทึง

“หนีไปสิเจ้าคะ” ปริทาด้ากำลังทรมาณใบหน้าของเธอไม่ได้ราบเรียบเหมือนเคย เธอตาโตมองมือของฟีเซ่สลับมามองผม

(ช่วยปริทาด้าซี่) เสียงนี้มัน....

(ช่วยเธอเดี๋ยวนี้) อาโอย

(ช่วยเธอ) ขอโทษแต่ผม....ผมสับสนเหลือเกิน

(สับสนนายพูดอะไรอย่างนั้น ลองนึกดูดีๆว่านายเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย) ผมเป็น....ผมเป็น....‘ป...เปล่าน่ารักดี ปกติผมวิ่งแล้วเหนื่อยเร็วมากแต่ทำไมตอนนี้วิ่งสบายๆแถมไม่รู้สึกอะไรเลย ท่านซาโตริจะหลอกตัวเองสนุกมากมั้ยเจ้าคะ’ ภาพเหตุการณ์แล่นเข้ามาในหัวผมแว่บหนึ่ง ความจริงผมไม่ได้สับสนแต่ผมยังไม่มั่นใจว่าตัวเองควรจะเป็นชายหรือหญิงดีแม้ตอนนี้ผมก็ยังติดสินใจไม่ได้แต่ที่รู้คือเวลานี้ ผมต้องช่วยปริทาด้า กึก หยุดเวลา

“คิดถึงแกจังไอ้นาฬิกาพก อ้อผมสีแดงกับหน้าอกผิวขาวนี่ด้วย” ผมหมุนเข็มบนหน้าปัดให้ย้อนไปไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ กึกเวลาเดิน

“มันคงไปแล้วล่ะเจ้าค่ะ” ตอนนี้แหล่ะ กึก หยุดเวลา หากมองเลยหลังปริทาด้าไปจะเห็นฟีเซ่ยืนรอเตรียมกะทรวกอยู่ไม่ยอมหรอก

แกร๊ก ผมขึ้นนกปืน ปากกระบอกปืนจ่อท้องของฟีเซ่ก่อนจะกระหน่ำยิงไม่ยั้ง

“ขอบคุณที่บอกเคล็ดให้นะฟีเซ่” ปริทาด้าต้องไม่ขยับเมื่อผมสัมผัส ผมยกร่างของปริทาด้าที่แข็งทื่อเป็นหินไปไว้ใกล้ๆลิฟท์ส่งของ กึก เวลาเดิน

“กรี๊ดดดดดดดด” ปีศาจร้ายร้องอย่างโหยหวน ท้องของมันเป็นรูพุน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันตาย

“ท่านซาโตริปืนนั่นมัน”

“รอแป๊บนึงถ้าจัดการยัยท้องพุนนี่เสร็จ เราสองคนมีเรื่องต้องคุยกัน” ผมขึ้นนกปืนอีกครั้งคราวนี้เล็งที่กลางหน้าผาก

“ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกเจ้ามนุษย์” ปากดีไปเถอะฟีเซ่

“หลับฝันดีนะฟีเซ่”

ปัง กระสุนทุผ่านหัวฟีเซ่ไปอย่างง่ายดาย ร่างของปีศาจค่อยๆสลายไปกลายเป็นเถ้าธุรีอย่างช้าๆเหลือไว้แต่กุญแจสีแดงบนพื้น ผมหยิบมันแล้วส่งให้ปริทาด้า

“ท่านซาโตริข้ามเวลากลับไปเวลาเดิมที่ท่านจากมาเถอะเจ้าค่ะ”

“แต่...” ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรปริทาด้าพูดสวนกลับมาก่อน

“เอาไว้คุยกันตอนนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”

“อื้ม” ผมพยักหน้าก่อนจะหมุนหน้าปัดนาฬิกาแล้วจัดการกดมัน พรึ่บ แสงสีฟ้าสว่างจ้า ผมไม่เบือนหน้าหนีก็คนมันชินแล้วทำไงได้ เมื่อแสงหายภาพตรงหน้าคือประตูบานคู่อันคุ้นเคย

“ห้องประธานนักเรียนหญิง” ผมอ่านชื่อห้อง

“ท่านซาโตริเรื่องที่ว่าคืออะไรเจ้าคะ” ปริทาด้ามีครั้งนี้แหละที่ผมเห็นหน้ายัยนี่แล้วรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“ผมขอยกเลิกคำสั่งทั้งหมดและขอให้เธอกลับไปเป็นปริทาด้าคนเดิม”

“เป็นคำสั่งทั้งหมดรึเปล่าเจ้าคะ” ไม่ใช่ทั้งหมดซะหน่อยยัยซื่อ

“หลังจากคำว่าและไปแล้วเป็นประโยคขอร้อง”

“รับทราบเจ้าค่ะ” ผมยื่นมือจะเปิดประตู

“เดี๋ยวเจ้าค่ะ อิฉันมีเรื่องต้องบอกท่านก่อน” แต่ต้องชะงักเพราะคนข้างๆหยุดมือผมไว้

“อะไร”

“เอ่อ...คือหากท่านก้าวผ่านหลังประตูบานนี้ไปโชคชะตาที่รออยู่จะพันธณาการตัวของท่านพาดิ่งลงสู่ความมืดมิดที่เรียกว่าความเศร้าโศก และท่านจะต้องแบกรับมันไว้คนเดียวอิฉันทนดูไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” ผมคลี่ยิ้มบางๆนี่คงเป็นปริทาด้าคนนั้นสินะ

“ใครว่าคนเดียว ผมยังมีเธอ ริมิ นากาเนะ ยูกิโกะและเรรินะพวกเราทั้งหกคนจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน” ปริทาด้ายิ้มน้อยๆที่มุมปาก เธอดูสดใสขึ้นเยอะ

“กลับมาแล้วจริงๆสินะเจ้าคะ ท่านซาโตริ” เธอคุกเข่า

“อิฉันขอสาบานว่าจะอยู่เคียงข้างท่านและซื่อสัตย์ตลอดไปเจ้าค่ะจะไม่ทรยศหรือทำให้ท่านเสียใจเด็ดขาด” สาบานแล้วนะยัยซื่อ

“ไปกันเถอะ ปริทาด้า”

“รับทราบเจ้าค่ะ” ผมเปิดประตูพร้อมก้าวเท้าเข้าห้องประธานนักเรียน จะไม่ลังเลอีกแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

Prince.NO9
15th June 2012, 21:57
โอ้เยอะมากๆ :eek:


คนเขียนขยันครับ

THE MIZ
23rd June 2012, 10:33
เยอะมากๆ อ่านจนหลงบรรทัดเลย

Prince.NO9
24th August 2012, 15:10
บทที่ 16 กับดักปีศาจ


NAGANEนากาเนะ

“ฉันไม่คิดจะทะเลาะกับคนที่คุยไม่รู้เรื่องหรอก” พูดจบยูกิโกะ ก้าวเท้าฉับๆๆออกประตูไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งฉันให้ยืนมึนกับท่าเตรียมของตัวเองเหมือนคนบ้า ก่อนจะเดาะลิ้นอย่างเจ็บใจแล้ววิ่งตามออกไป

“ยูกิโกะ” ท่านหญิงเย็นชาซอยเท้าถี่ๆ โกรธอะไรของเขานะ แค่ฉันยอมให้เฮริครอปเตอร์ของริเรียนมารับมาส่งไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนคนขับน่าสงสารออก

“เฮ้ ยูกิหันมาคุยกันก่อนได้ไหม” เธอเหลียวหลังมองด้วยหางตา สายตานั้นทำให้ฉันต้องหยุดพร้อมความรู้สึกที่ไม่เข้าใจ ฉันจะมาไล่ตามยูกิโกะทำไมไม่เห็นต้องแคร์ จะโกรธจะอะไรก็ช่างฉันไม่รู้ด้วยแล้ว

ปึก ฉันกลับหันหลัง ขวับ ยังไม่ทันเดินไปไหนก็ชนกับใครไม่รู้

“ขอโทษค่ะ” ฉันโค้งตัวขอโทษอย่างนอบน้อม

“เธอสะกดคำว่าขอโทษเป็นด้วยเรอะ” ม่ายยยยยยยยยยยยยย!!!เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นชายใส่แว่นกรอบทองผู้เป็นคนตั้งฉายยาอุนจิให้ ฉันไม่อยากเชื่อตัวเองว่าพึ่งขอโทษเขา

“ฉันมีมารยาทพอย่ะ ว่าแต่เขาอนุญาตให้หมาเข้ามาด้วยเหรอ”

“ไหนหมาฉันไม่มี” เขาก้มมองรอบๆขาก่อนจะเงยกลับมามองฉันอย่างงงๆ

“ทำไมจะไม่มีตรงหน้าฉันตั้งตัวนึงเขาปล่อยเข้ามาเดินเพ่นพ่านได้ไงเลินเล่อจริงๆ” ริเรียนหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆเขาต้องคิดอะไรอยู่แน่ๆ เชิญนายพูดมาได้เลยฉันรอตอกกลับเต็มกำลัง

“อืม...ว้าวเธอเก่งจังเลยพูดภาษาหมาได้ด้วย” ไม่ต้องชมหรอกย่ะฉันรู้ว่าตัวเองเก่ง แค่ภาษาหมายังจิ๊บๆ....ภา...ษา...หมา กริ๊ดดดดดด นายมันร้ายกาจ ฉันเถียงอะไรไม่ออกดันยิ้มรับคำของเขาซะได้ขืนพูดอะไรกลับไปอาจจะเป็นแถหน้าด้านไม่เอาอะฉันหนีไปห้องประธานดีกว่า

“จะรีบไปไหนคุยกันก่อนสิ” เขารั้งมือฉัน

“รีบๆพูดมาฉันมีธุระ” ธุรงธุระอะไร้ไม่มี้

“ฉันจะมาเรียนที่นี่เธอคิดว่าไง” ไม่เห็นด้วยอย่างแรงแต่ค่อยยังชั่วหน่อยกว่าจะเจอกับหมอนี่ก็ปาเข้าไปเทมอสอง ฉันไม่มีอารมณ์จะตอบจึงเดินหนีมาเฉยๆ

“เป็นไรจู่ๆเกิดเงียบขึ้นมา” เขารั้งมือฉันอีกครั้ง ฉันสะบัดออกพลางก้าวเท้ายาวๆอย่างรวดเร็ว ริเรียนเดินตาม นายคิดผิดที่บังอาจมาตามนากาเนะคนนี้ฉันเดินขึ้นตึกลงตึกวนเวียนไปมาจนเขาเหนื่อย

แฮ่ก แฮ่ก ริเรียนหอบถี่ๆ เขาหยุดพักหายใจก่อนจะล้มทั้งยืน กรี๊ดดดดดดดดดด ฉันทำเขาตายรึเปล่านายสี่ตานอนนิ่งไปแล้ว ฉันค่อยๆเข้าใกล้เขาแล้วย่อตัวลงข้างๆ

“นายยังไม่ตายใช่ไหม” ฉันจิ้มหน้าเขา

“แฮ่ก...แฮ่ก” นายสี่ตายังหายใจอยู่นั่นเป็นสัญญาณที่ดี ค่อยยังชั่วที่คนสวยอย่างฉันไม่ต้องติดคุกให้เสียประวัติ

“นี่แล้วก็นะ...” มีคนมาพอดีเป็นผู้หญิงสองคน....ให้พวกเขาช่วยดีกว่าถือโอกาสผลักภาระไปในตัว

“พวกเธอสองคนช่วยพาชายคนนี้ไปห้องพยาบาลหน่อยนะ” บอกเสร็จฉันไม่อยู่รอให้ถูกปฎิเสธรีบหนีไปห้องประธานทันที ริเรียนเป็นโรคประจำตัวก็ไม่บอกเล่นเอาตกใจเหมือนกันนะ แต่เขาน่าจะรู้นะว่าตัวเองเป็นโรคแล้วจะมาวิ่งตามทำไมไม่เข้าใจ หรือเขาอาจไม่รู้แล้วฉันจะมาคิดเรื่องของเขาให้ปวดหมองทำไมเนี่ยไม่ใช่เรื่องตัวเองซะหน่อย มาถึงประตูบานคู่ฉันเปิดมันแล้วเดินเข้าไป

“ฮือออออออออออ” เสียงสะอื้นไห้ดังมาแต่ไกลญาติใครเสียฟะ มองที่ต้นเสียง ริมินั่นเองแล้วร้องไห้ทำเพื่อ..เมื่อมองบนโต๊ะฉันจึงเข้าใจรีบก้าวเท้ายาวๆไปยืนข้างๆโต๊ะ ร่างที่ฟุบอยู่หันหน้ามาทางฉันในมือกำเศษใสๆคาดว่าน่ะจะเป็นเศษแก้วน้ำ ปลายแหลมของมันซึ่งมีคราบเลือดติดอยู่ บริเวณคอของซาโตริมีรอยแผลยาวและเลือดยังไหลออกจากปากแผลนั้น

“มันเกิดอะไรขึ้น” ฉันถามริมิ เธอกอดสาวผมแดงแน่น หน้าผากแนบติดแก้มซาโตริก่อนจะเงยขึ้นมาตอบ

“ยิมิย็ไอ้ยู้เอื๋อนกัน” ภาษาอะไรของเธอฟังไม่เห็นจะรู้เรื่อง

“ริมิตั้งสติหน่อยสิ” ฉันเขย่าแขนริมิ

“ยอเข้ายาก็เย็นอย่างอี้เห็น” ฟังออกแค่คำว่าเห็นขืนเป็นอย่างนี้คุยกันไม่รู้เรื่องพอดี

“ซาโตริจู่ๆเกิดฆ่าตัวตาย” เรรินะบอก ลืมไปเลยว่ายัยนี่อยู่ด้วยขอโทษนะที่ฉันไมทันสังเกตุเห็นเธอ ห๊ะว่าไงนะซาโตริน่ะเหรอฆ่าตัวตาย พูดเป็นเล่น

“เหตุการณ์มันเป็นยังไงกันแน่” เรรินะเหลือบมองริมินิดนึง

“ริมิน่ะสิเธอบอกซาโตริว่าเกลียด เล่นเอาซาโตริช็อคไปเลยหลังจากนั้นเราสองคนก็ออกไปข้างนอกกะว่าจะไปรอที่ห้องเรียนแต่ต้องกลับมาเพราะริมิบอกว่าลืมของ พอเข้ามาก็เจอร่างไร้วิญญาณของซาโตริ” เล่าจบเรรินะทรุดตัวลงร้องไห้ บ้าน่าเธอจะบอกว่าซาโตริฆ่าตัวตายรึไงยะ แต่รูปการก็เป็นอย่างนั้นห้องนี้มีทางเข้าออกทางเดียวดังนั้น...มันต้องไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดแน่อย่างซาโตริน่ะไม่ฆ่าตัวตายเพราะเหตุผลปัญญาอ่อนหรอกน่า

แกร๊ก ประตูถูกเปิดพร้อมกันนั้น...ฉันไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อคนที่เดินทอดน่องผ่านประตูบานคู่คือซาโตริกับปริทาด้า

สิ้นสุดเนื้อเรื่อง นากาเนะ

ซาโตริ SATORI

นากาเนะจ้องผมด้วยสายตาแปลกๆ ผมจึงมองเลยหัวเธอไปคือเรรินะซึ่งกำลังร้องไห้และริมิเธอร้องไห้เหมือนกันพลางกอด....ไม่แน่ใจว่าใคร แต่ผมไม่ชอบใจนักที่ริมิเสียน้ำตาให้ใครไม่รู้

“เฮ้ ริมิร้องไห้ทำไมใครทำอะไรเธอ” ผมถาม ริมิละจากร่างแน่นิ่งซึ่งมันนอนฟุบอยู่บนโต๊ะประจำตำแหน่งของผม ริมิมองสลับไปสลับมาระหว่างร่างนั้นกับผม

“ซ...ซาริจังมีสองคน” สองคน!!! ฮ่าๆๆๆ อยากขำอยู่เหมือนกันแต่มันไม่ใช่เวลา เรรินะได้ยินริมิพูด เธอหยุดร้องไห้แล้วเด้งตัวพลางจ้องผมเขม็ง มันจะอะไรขนาดนั้น

“เธอใช่ซาโตริรึเปล่า” นากาเนะถาม

“เออใช่” นากาเนะคิ้วขมวดมุ่น

“ไม่ใช่ชัวร์ เพราะจะมีตัวปลอมที่ไหนยอมสารภาพกันเล่า” เออก็จริงอย่างนี้น่าจะตอบว่าเป็นตัวปลอมทุกคนจะได้เชื่อว่าผมเป็นตัวจริง...สรุปผมเป็นตัวปลอมใช่ไหม

“จะบ้าเหรอคิดได้ยังไง”

“ซาริจังจริงๆใช่ไหมจ๊ะ” น้ำเสียงริมิสั่นเครือเจือปนด้วยความหวัง ผมพยักหน้ารับ

“ฮ่าๆๆๆ ฉันไม่โง่นะ แกเป็นปีศาจล่ะสิท่า อย่ามาฟอร์มดีกว่าลูกผู้หญิงพอป่าวบอกมาตรงๆเลยว่าแกฆ่าซาโตริ” จิตใจผมมันผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นเต็มแต่ร่างกายเป็นหญิงเฉยๆ อ้อ นากาเนะผมมีอะไรจะบอก...เธอมันโง่มากสมแล้วที่ริเรียนมันด่าว่าหัวอุนจิ

“ปริทาด้าเอาไงดี” ผมหันไปกะซิบภูตข้างๆตัว

“ไม่รู้สิเจ้าคะ แต่ถ้าให้เดาร่างนั่นคงเป็นเพียงหุ่นเสกสั่งเหมือน หรืออาจเป็นร่างของมนุษย์ที่โดนฆ่าแล้วเอามาสร้างรูปลักษณ์ให้เหมือนท่านซาโตริ อิฉันต้องดูใกล้ๆเจ้าค่ะจึงจะบอกได้ว่าคืออะไรแน่”

“กะซิบกะซาบอะไรกันฮะ!!!แกปริทาด้าเป็นปีศาจปลอมตัวมาใช่ไหม” นากาเนะตะคอก เรื่องชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ

“เธอกำลังเข้าใจผิด ฉันนี่แหละซาโตริตัวจริงเสียงจริงส่วนนี่ก็ปริทาด้าไง” นากาเนะไม่ตอบ เธอเดินไปหยิบดาบซามูไรตรงผนังห้องเอาแล้วไงไม่น่าประดับห้องด้วยดาบญี่ปุ่นเล้ย นากาเนะชักดาบออกตั้งท่าพร้อมโจมตี

“ฟังกันก่อนซี่” นากาเนะไม่ฟังเธอพลุ่งเข้ามาแล้ว นากาเนะยกดาบขึ้น แย่แล้วหลบไม่ทัน...กึก หยุดเวลา ซะเมื่อไหร่ ผมเดินอาดๆไปหยิบดาบมั่งเอาล่ะคราวนี้ก็เท่าเทียมกันแล้วนะ กึก เวลาเดิน

เป๊ง ผมรับดาบของนากาเนะเล่นเอาเธออารมณ์เสียไปเลยทีเดียว

“เร็วอะไรขนาดนี้” นากาเนะบอก เร็วบ้าเร็วบออะไรเล่าหยุดเวลาต่างหาก

“ฉันคือซาโตริ”

“โกหก!!!” พูดจบเจ้าหล่อนฟาดฟันดาบไม่ยั้งผมหลบได้บ้างใช้ดาบรับบ้าง ผมเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวปล่อยให้คุณเธอฟันให้หนำใจเดี๋ยวก็หมดแรงไปเอง

“แฮ่กๆๆ” นากาเนะหายใจถี่เธอใกล้จะหมดแรงต้องอาศัยปลายดาบยันพื้นเอาไว้ไม่งั้นคงล้มไปแล้ว

“ฉันยังไม่..แฮ่กๆ เหนื่อยจัง” เอาสักอย่างสิเธอตกลงเหนื่อยหรือไม่เหนื่อยเนี่ยแต่ว่าเลิกเล่นดีกว่า ปริทาด้าจะขยับได้ต่อให้ผมหยุดเวลาก็ตาม กึก หยุดเวลา ทุกคนหยุดหมดยกเว้นปริทาด้าตามที่ใจผมต้องการ ต้องขอบคุณฟีเซ่จริงๆอุตส่าบอกเคล็ดลับให้

“ไปดูตัวปลอมซิ” ผมสั่งยัยภูต เธอปรี่ตัวเข้าไปดูอย่างรวดเร็ว ยกหัวศพขึ้นยกแขนขึ้นคือ...พี่แกยกทุกอย่างมาสำรวจดูอย่างถี่ถ้วนทุกซอกทุกมุมปริทาด้าดูหมด ก่อนจะเดินกลับมา

“มันเป็นหุ่นเสกสั่งเหมือนเจ้าค่ะ”

“อะไรคือหุ่นเสกสั่งเหมือน”

“มันเป็นตุ๊กตาเจ้าค่ะแค่ถูกนำมาตกแต่งให้เหมือนท่านซาโตริแล้วจัดการร่ายมนต์ใส่ให้ขนาดเท่าคน” อ้อเข้าใจ

“มีวิธีพิสูจน์ว่าเป็นหุ่นไหม” เธอพยักหน้า

“โอเคพอผมเดินเวลาอีกครั้งช่วยทำอะไรกับเจ้าหุ่นบ้านั่นและอธิบายให้ทุกคนเข้าใจด้วยนะ”

“เจ้าค่ะ” กึก เวลาเดิน

“ย้ากกกก” นากาเนะเหวี่ยงดาบมาอีกและผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวจึงโดนคมดาบเข้าไปเต็มเปา ไหล่ขวาผมเลือดไหลซิบ

“อึก เจ็บนะ” อยู่ดีๆขาผมเกิดอ่อนแรงทำให้ผมยืนไม่อยู่ต้องคุกเข่าแทนพลางใช้มือซ้ายปิดปากแผลซึ่งมันไม่ใหญ่นักแต่ก็แสบพอสมควร เงยหน้ามาอีกทีนากาเนะง้างดาบเตรียมปลิดชีพผมในคราวเดียวและมันฟาดลงมา

เป๊ง ปริทาด้าพลุ่งเข้ามาใช้เลื่อยปัดวิถีดาบได้อย่างทันท่วงที

“ท่านนากาเนะเจ้าคะไอ้นั่นเป็นแค่หุ่น”

“โกหก”

“เธอพูดเป็นอยู่คำเดียวใช่ไหมฮะ เมื่อกี้ก็บอกว่าโกหกหัดฟังเหตุผลกันบ้างซี่” ผมบอก

“ฉันจะฆ่าแกที่บังอาจมาฆ่าเพื่อนฉัน” โอ้ ซึ้งในน้ำใจนากาเนะจังถ้าเป็นเวลาอื่นจะซึ้งกว่านี้อีกแต่โทษเถอะเธอกำลังจะฆ่าเพื่อนคนนี้ด้วยน้ำมือตัวเองอยู่น้าาาาาาาาาาาาาา

“หยุดเถอะจ้ะ!!!” ริมิตะโกน

“มาคุยกันก่อนไม่ดีกว่าเหรอจ๊ะ” พูดได้ดีมากริมิสมแล้วที่เป็นเนื้อคู่กัน

“เธอเชื่อที่มันพูดเหรอ”

“จ้ะ” นากาเนะมองผมอย่างโกรธแค้นก่อนจะยกดาบชี้หน้าผม

“ถ้าแกตุกติกล่ะก็ตายศพไม่สวยแน่” ยัยนี่มันเอาจริงดูหน้าก็รู้จ้องมาทีนี่อย่างกะจะกินเลือดกินเนื้อ

“เออรู้แล้วน่า” ผมบอกพลางพยักเพยิดให้ปริทาด้าไปทำตามที่ตกลงกันไว้เธอรีบกุลีกุจอไปทำอะไรบางอย่างกับหุ่นเสก

“เฮ้ย!!! แกจะทำอะไรหยุดไม่งั้นยัยนี่ตาย” นากาเนะไม่พูดเปล่าเอาปลายดาบมาจ่อคอผม เสียวแปล๊บ ทว่าปริทาด้าไม่หยุดยังคงทำต่อไปโดยไม่สนใจ เฮ้ๆ เจ้านายทั้งคนจะโดนฆ่าอยู่แล้วนะ

“ฉันบอกให้หยุด” นากาเนะย้ำคำ

“นากะจังใจเย็นๆสิจ๊ะ” ริมิ...

“เรรินะเธอทำอะไร” สาวผิวหิมะเรียกกล่องยาออกมาก่อนจะนั่งคุกเข่าพลางเปิดฝาล้วงหยิบ...ผมไม่แน่ใจว่ามันเรียกว่าอะไรบ้างขอพูดรวมๆแล้วกัน‘ใบไม้’

“ผสมสมุนไพรน่ะ เผื่อซาโตริตรงนั้นเป็นตัวจริงจะได้นำไปรักษาได้เลย” เรรินะตอบพร้อมลักยิ้ม

“ท่านนากาเนะเจ้าคะ ดูให้ดีท่านซาโตริที่เห็นอยู่ตรงนี้เป็นแค่หุ่นเสกสั่งเหมือน” ปริทาด้าลูบหลังหุ่นทันใดนั้น ไอ้ร่างของตัวปลอมค่อยๆหดลงเล็กลงจนเหลือขนาดเท่ากำมือ มือของนากาเนะอ่อนปวกเปียกดาบที่กำอยู่หลุดล่วงตกกะทบพื้น ริมิรีบถลาตัวเข้ามากอดผมน้ำตาเธอไหลพราก มือของเธอแตะโดนแผลที่แขน

“โอ๊ย!!!เจ็บ”

“ขอโทษจ้ะที่ริมิคิดอะไรตื้นๆ ก็ตอนนั้นริมิคิดแค่ว่าถ้าพูดจาแรงๆบางทีซาริจังอาจจะรู้สึกตัวแต่พอเดินออกมาจากห้องริมิถึงรู้สึกตัวว่าริมิเองก็พลั้งปากเหมือนกัน ดังนั้นริมิจะกลับมาขอโทษจึงแกล้งบอกเรย์นะจังว่าลืมของทว่าพอเข้ามาซาริจังก็ไม่มีชีวิตให้ริมิได้ขอโทษอีกแล้ว ความรู้สึกนั้นริมิยังจำได้อยู่เลยมันโหวงเหวงและทำอะไรไม่ถูก” ขณะพูดริมิเสียงสั่นตลอดเวลา ผมดันริมิออกเพื่อมองหน้าเธอชัดๆ ริมิเปลือกตาแดงกล่ำคิ้วโก่ง เธอร้องไห้หนักขนาดนี้เลยเหรอ ผมกำหมัดแน่น น่าโมโหที่สุดนี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่กันแล้ว

“เธอไม่ผิดหรอกอย่าโทษตัวเองเลยนะ” ผมดึงริมิเข้ามากอดพลางมองสาวหัวอุนจิเธอผงะชั่วครู่

“ฉันขอโทษ” นากาเนะพูดเสียงอ่อย ไม่ได้ๆต้องดังกว่านี้

“อะไรนะ” ผมแกล้งถาม

“ฉันขอโทษ” อื้ม...ดังขึ้นมาหน่อยแต่ยังไม่ถูกใจผม

“อะไรนะ”

“ยัยถั่วเน่าฟังฉันดีๆนะ พูดมากๆมันกะดากปากย่ะ” เธอสูดหายใจเข้าไปฟอดใหญ่พลางเรียกไมโครโฟนซึ่งเป็นไอเทมครอบครองออกมา

“ฉัน...ขอ...โทษษษษษษษษษษษษษษ!!!” ดังไป ผมกำลังเรื่องมากใช่ไหม???

“อ้า..ฉันได้ยินและฉันให้อภัยเธอ” นากาเนะตาโตอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“ไม่โกรธฉันเลยเหรอ” ผมส่ายหน้า

“แต่ฉันเกือบจะฆ่าเธอนะเมื่อกี้อีกนิดเดียวถ้าปริทาด้าช่วยเธอไม่ทันล่ะก็...” นากาเนะเอาแขนซ้ายไขว้หลังแล้วจับข้อมือขวา เธอเบือนหน้าหนีไม่มองผมตรงๆ

“ริมิช่วยพยุงฉันหน่อย” ผมบอกริมิ

“จ้ะ”

“ฉันโกรธเธอไม่ลงหรอก” นากาเนะเม้มริมฝีปากแน่น

“เพราะอะไรล่ะเหตุผลน่ะต่อให้มาเป็นร้อยข้อ แต่ถ้าคิดจะฆ่ากันจริงๆ เป็นฉันไม่มีทางให้อภัยเด็ดขาด” หึย ยัยนี่มันยังไงกันแน่

“ของพรรค์นั้นไม่เห็นต้องถาม เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” นากาเนะตาโตอ้าปากค้างก่อนจะเม้มปากอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาของเธอมีน้ำใสๆคลอเคลีย

“ยัยบ้า ยัยถั่วน่า ยัยถั่วคั่ว ยัยๆๆ อย่าคิดว่าพูดจาเท่ๆแล้วฉันจะร้องไห้นะ” นากาเนะบ่นไปร้องไห้ไปพร้อมกันนั้นโผเข้ากอดผมอีกคน

“ดีจังเลยนะในที่สุดพวกเราก็เข้าใจกัน” เรรินะพูด ท่าทางตอนนี้ทุกอย่างคงจะเรียบร้อยแล้วมั้ง พอทุกคนหยุดปล่อยโฮผมจัดการเล่าเรื่องราวทั้งหมดไม่เชิงว่าทั้งหมดดัดแปลงบ้างนิดหน่อย ผมบอกแค่ว่าย้อนเวลาไปแก้ไขอะไรบางอย่างเท่านั้น

สิ้นสุดเนื้อเรื่อง ซาโตริ



ยามเย็นช่วงค่ำคืน ในซอยเปลี่ยวๆ สาวน้อยผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาเย็นชาเดินอย่างช้าๆจุดหมายคือบ้าน หลังจากหนีนากาเนะพ้น ยูกิโกะหลบอยู่แต่ในห้องน้ำหญิงจนเสียงออดดังเธอรีบบึ่งกลับบ้านทันที เนื่องจากรถติดเธอจึงถึงบ้านช้ากว่าปกติ ระหว่างเดินอยู่นั้นยูกิโกะเหลือบไปเห็นกระจกส่องหน้ามันวางพิงกำแพง ตัวกระจกไม่ได้สวยมากนักจัดได้ว่าเก่าคร่ำครึ ยูกิโกะหยิบกระจกขึ้นมาส่องเธอรู้สึกผูกพันกับมันอย่างบอกไม่ถูฏ

“ใครเอากระจกมาทิ้งไว้ในที่อย่างนี้กันนะ” เธอพึมพำก่อนจะเดินต่อ มือสองข้างแกว่งไปแกว่งมาเบาๆ

ณ เวลาเดียวกันที่บ้านของซาโตริจู่ๆตาขวาของเขาเกิดกระตุก...หรือว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นคงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกมั้งคงรู้สึกไปเองแหงๆ...

Prince.NO9
29th August 2012, 19:39
บทที่ 17 อย่างน้อยกุญแจก็ครบ

ALL CHARACTER

ยามเย็นหลังเลิกเรียน นักเรียนส่วนมากจะรีบกลับบ้านอย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลหลายอย่างแต่มักมีนักเรียนบางส่วนอยู่ทำกิจกรรมชมรม บ้างก็ทำความสะอาดห้องประจำชั้นบ้างก็ถูกอาจาร์ยทำโทษแต่ไม่ว่าพวกเขาเหล่านี้จะอยู่ด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ที่ห้องประธานยังมีนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งและหนึ่งในนั้นกลุ้มใจที่เพื่อนของเธอไม่มาโรงเรียนเพราะ...

“ยูกิโกะกำลังหลบหน้าฉันชัวร์” นากาเนะไม่ได้เจอกับยูกิโกะหลังจากเมื่อวานที่สาวเย็นชาวิ่งหนีหายไป

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกมั้ง” ซาโตริตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

“แต่เราว่าใช่ค่ะ” สาวผิวหิมะพูด เพราะหากลองคิดดูดีๆ เมื่อวานยูกิโกะโดดเรียนทั้งวันแถมวันนี้ยังไม่มาเรียนอีกอย่างนี้ไม่เรียกว่าหลบหน้าแล้วจะเรียกว่าอะไร

“นากะจังอย่าคิดมากสิจ๊ะ บางทียูกิจังแค่ไม่สบายเฉยๆรึเปล่า” เหตุผลของริมิฟังดูเข้าที นากาเนะก้าวเท้าฉับๆตรงไปที่ประตูในหัวคิดว่าหากยูกิโกะไม่สบายจริงๆก็น่าจะโทรมาบอกเธอบ้างสิไม่ใช่เงียบหายไปแบบนี้

“นากะจังจะไปไหนจ๊ะ” ริมิถามพลางเดินเข้าใกล้

“ไปเยี่ยมยูกิโกะ ที่ถามนี่จะไปด้วยกันเหรอ”

“จ้ะ” ริมิตอบยิ้มๆก่อนะจะหันไปถามเรรินะ “เรย์นะจังไปด้วยกันเถอะนะ ริมิเชื่อว่าสมุนไพรของเรย์นะจังต้องช่วยรักษายูกิจังได้แน่นอน” ริมิพูดอย่างร่าเริง

“เราไม่ใช่หมอนะคะ แต่ถ้าแค่ดูอาการล่ะก็เราพอทำได้” สาวผิวหิมะพูดเป็นนัยเหมือนไม่อยากไปด้วยก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับพวกนากาเนะ ริมิสังเกตเห็นสีหน้าของซาโตริ เขามองเธอแบบงอนๆ

“ซาริจังไปด้วยกันสิจ๊ะ”

“โทษทีนะแต่ฉันมีธุระพอดี” คราวนี้กลับเป็นริมิแทนที่ส่งสายตาเง้างอน

“ไปกันได้หรือยัง???” นากาเนะบอกก่อนจะเดินออกไปให้ริมิกับเรรินะเดินตาม

“ไปกับพวกนั้นด้วยซี่” ซาโตริบอกปริทาด้าเมื่อสามสาวหายไปหลังบานประตู

“ทำไมล่ะเจ้าคะ”

“เมื่อคืนตาซ้ายผมกระตุกตลอดจนถึงตอนนี้มันก็ยังกระตุกไม่หายช่วยตามไปดูแลพวกนั้นด้วยละกัน อ้อโดยเฉพาะริมิดูแลเธอดีๆล่ะ”

“รับทราบเจ้าค่ะ” ปริทาด้ารีบซอยเท้าตามนายหญิงทั้งสาม เมื่อแน่ใจว่าอยู่คนเดียวซาโตริลุกขึ้นจากเก้าอี้ประจำตำแหน่งพลางล้วงหยิบซองจดหมายในกระเป๋ากระโปรงออกมาคลี่อ่านทบทวนอีกครั้งและชั่งใจว่าเชื่อถือได้ไหม ‘มิสเทสแห่งเวลาเอ๋ย เราสองคนต้องเจอกันแค่เธอกับฉันก็พอ ฉันจะรอที่ดาดฟ้าหลังเลิกเรียน ห้ามพาใครมาด้วยเด็ดขาดห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้ด้วย’หากเป็นเวลาปกติเขาคงนึกว่าเป็นเรื่องแกล้งกันเล่นซะมากกว่า ทว่าเนื้อความในจดหมายแสดงให้เห็นว่าคนส่งรู้ถึงตัวตนของเขาดังนั้นเขาต้องไปเพื่อรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนส่งมันมา ซาโตริขยำจดหมายทิ้งแล้วมุ่งตรงสู่จุดนัดพบ

กริ๊งงงงง มือเรียวกดกริ่งหน้าบ้านสาวเย็นชาด้วยความรู้สึกเร่งรีบ รอสักพักประตูไม่มีท่าทีว่าจะเปิด

“ยูกิจังนอนหลับอยู่รึเปล่าจ๊ะ” ริมิแสดงความเห็น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นากาเนะใจเย็นลง เธอจึงกดซ้ำอีกที

กริ๊งงงงงงงงง เงียบฉี่เหมือนเดิม

“เปิดเข้าไปเลยดีกว่านะคะ” เรรินะแสดงความเห็นบ้าง

“ไม่ได้นะมันเสียมารยาทนะจ๊ะอีกอย่างประตูก็ต้องล็อค” คำตอบของริมิทำเอานากาเนะนึกหมั่นไส้ เธอลองบิดและ...

“ประตูไม่ได้ล็อค” นากาเนะเดินดุ่ยๆเข้าบ้านยูกิโกะเสมือนเป็นบ้านตัวเองโดยมีเรรินะเดินตามมาติดๆส่วนริมิเข้ามาอย่างไม่เต็มใจนัก ตรงหน้าของสามสาวเป็นทางเดินขี้นไปชั้นสอง ทางซ้ายมือก็มีอีกห้องนึง นากาเนะกำลังจะก้าวเท้าขวาเพื่อเดินขึ้นไปชั้นสองแต่ต้องชะงักเมื่อร่างบางอันคุ้นเคยอยู่ในชุดนอนเดินสวนลงมา

“ยูกิโกะ...” น้ำเสียงแผ่วเบาเรียกเพื่อนที่พยายามหลบหน้า

“ทุกคนมีไรกันเหรอแห่มากันขนาดนี้” ยูกิโกะถาม เธอทำเป็นหูทวนลม

“ยูกิจังไม่สบายใช่ไหมจ๊ะ” ยูกิโกะพยักหน้าพลางไอแค่กๆ

“เราคิดอยู่แล้วว่ายูกิโกะแค่ไม่สบายเป็นหวัดธรรมดาไม่เห็นต้องยืมพลังของเราเลยนี่คะ” เรรินะพูดเหมือนต้องการคนรับผิดชอบ เธอเหล่มองริมิ ริมิหันหน้าไปอีกทาง

“พวกเราขึ้นไปดูห้องของยูกิจังได้ไหมจ๊ะ” ทว่าเจ้าตัวกลับไม่รู้สึกรู้สา ริมิก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว

“ม...ไม่ได้นะ!!!” ยูกิโกะโพล่งออกมา ริมิสะดุ้ง

“ข...ขอโทษจ้ะ ยูกิจังคงไม่ชอบให้ใครไปยุ่งกับห้องนอนสินะ”

“ม..มาทางนี้” ยูกิโกะเดินนำไปห้องนั่งเล่น ริมินั่งบนโซฟา เรรินะนั่งข้างๆริมิ ยูกิโกะนั่งฝั่งตรงข้ามมีโต๊ะกระจกกั้นกลาง นากาเนะตามมาทีหลังเธอยืนพิงประตูพลางมองยูกิโกะอย่างพินิจพิเคราะห์เธอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างแต่ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรเพราะยูกิโกะที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้ช่างไม่เหมือนยูกิโกะที่รู้จักเอาเสียเลยหรือเพราะไม่สบาย??? นิสัยเย็นชาหายไปไหน???

“เมื่อวานยูกิจังกลับบ้านตั้งแต่กี่โมงเหรอจ๊ะ” ริมิถามด้วยสายใคร่รู้

“พอรู้ตัวว่าไม่สบายฉันก็กลับเลย”

“อ้าว..แล้วเธอไม่เรียนหนังสือต่อเหรอ” เรรินะถามบ้าง

“ไม่อะขี้เกียจ” นากาเนะจี๊ดมากกับคำว่าขี้เกียจที่ออกจากปากสาวแก่เรียน ยูกิโกะเป็นคนขี้เกียจหรือ??? ไม่..ไม่ใช่ยูกิโกะไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะเหตุผลที่ว่าทำไมยูกิโกะไม่ไปเข้าเรียนนั้นนากาเนะรู้อยู่แก่ใจ นักร้องสาวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ ทำไมยูกิโกะไม่ยอมให้ขึ้นไปบนห้องนอนล่ะ...ต้องมีอะไรซ่อนอยู่เป็นแน่ คิดได้ดังนั้นนากาเนะไม่รอช้ารีบสาวเท้ายาวๆขึ้นไปชั้นสองทันทีแล้วตรงเข้าห้องที่คาดว่าน่าจะเป็นของยูกิโกะ แกร็ก

เฮือกกกกกกกกกกก นากาเนะตกใจไปชั่วขณะ ห้องนี้มีแต่เมือกสีดำเต็มพื้น แม้แต่กำแพงหรือเพดานก็ไม่เว้น โต๊ะเครื่องแป้ง ลิ้นชักหรืออุปกรณ์เครื่องใช้อื่นๆล้วนถูกกลบด้วยเมือกสีดำสนิท ทว่าเตียงนอนกลับไม่มีเมือกนี่อยู่เลย บนเตียงมีเพียงร่างของยูกิโกะนอนหลับพริ้มในมือ กอดกระจกส่องหน้า

“กระจกนี่มันอะไร”

“กระจกสะท้อนจิตใจเจ้าค่ะ”

“ธ...เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่” นากาเนะแทบจะกระโดดหนีขึ้นเตียง เล่นมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง

“ท่านซาโตริให้อิฉันตามมาเห็นบอกว่าตาขวากระตุกอิฉันไม่เข้าใจเหมือนกันแต่ก็แอบตามมาแบบงงๆ ตอนนี้เข้าใจแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

“เรื่องนั้นช่างมันเหอะ แต่กระจกนี่มัน...” นากาเนะยื่นมือจะไปแตะกระจก

“อย่าแตะมันเจ้าค่ะ!!!” นากาเนะชักมือกลับก่อนจะจ้องหน้าปริทาด้าเขม็ง

“แล้วจะให้ฉันทำยังไงเล่า”

“ตามอิฉันมาเจ้าค่ะ” ปริทาด้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับความคิดของตัวเอง เธอเดินนำนายหญิงกลับลงไปห้องนั่งเล่น ริมิกับเรรินะกำลังกินน้ำอัดลมที่ยูกิโกะยกมาให้ดื่มกันคนละแก้ว

“ปริทะจังมาด้วยเหรอจ๊ะแล้วซาริจังล่ะ” ริมิเด้งตัวพรวดพลางมองหาซาโตริ

“ท่านซาโตริมาไม่ได้เจ้าค่ะ” ริมิเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะย่อตัวนั่งลงดังเดิมพลางกอดอก

“ซาริจังนะซาริจังติดธุระอะไรนักหนา เชอะ...” ริมิทำแก้มป่องๆอย่างเง้างอนบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว จู่ๆริมิก็ล้มตัวลงนอนเอาดื้อๆ เรรินะเกิดรู้สึกง่วงขึ้นมาเสียเฉยๆ สาวผิวหิมะมองริมิซึ่งหลับปุ๋ยไปเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะหันขวับไปมองเจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความรู้สึกฉงนในจิตใจ

“ธ...เธอทำอะไ.....” พูดยังไม่ทันจบประโยคเรรินะทนฤทธิ์ยาไม่ไหว เธอหลับแล้วล้มทับริมิอีกที

“ยูกิโกะเธอเอายานอนหลับให้สองคนนี้กินเหรอ ทำทำไม” นากาเนะถาม

“ปริทาด้าช่วยแบกสองคนนี่ไปไว้ห้องนอนฉันหน่อย”

“เจ้าค่ะ” ภูตสาวรับคำพลางก้าวอาดๆไปใกล้ร่างหลับของนายหญิงทั้งสอง

“ไม่ต้อง อยู่ตรงนี้แหละ” นากาเนะสั่ง

“เจ้าค่ะ” ปริทาด้าเดินกลับมายืนข้างนากาเนะ

“ทำตามที่ฉันสั่งเดี๋ยวนี้!!!” ยูกิโกะสั่ง ปริทาด้าจะเดินมาที่โซฟา ทว่า

“ไม่ต้องอย่าไปฟัง”

“เชิญท่านทั้งสองไปคุยกันบนห้องนอนเถอะเจ้าค่ะ อิฉันรำคาญต้องเดินวนไปวนมาจนตัวจะพันกันอยู่แล้ว” ปริทาด้าบ่นอย่างอารมณ์เสียพลางจับมือนากาเนะกับยูกิโกะแล้วพาออกไปนอกห้อง ปิดประตูใส่หน้าดัง ปึง!!! เมื่อเข้าห้องนั่งเล่นไม่ได้ยูกิโกะจึงขึ้นไปห้องนอนแทน

“คุยกันตรงนี้ก็ได้” นากาเนะบอก ยูกิโกะไม่สนก้าวเท้าขึ้นบันไดไปห้องนอนอย่างไม่แคร์...ช่วยไม่ได้แต่ระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า...นากาเนะนึกพลางเดินตาม ยูกิโกะนั่งปุลงบนเตียงข้างๆยูกิโกะอีกคนนึงที่นอนกอดกระจก

“แล้วไอ้ที่มันสีดำๆตอนแรกหายไปไหน” นากาเนะเอ่ยอย่างฉงน

“มันคือดาร์กโซล หากถามว่าคืออะไรมันคือพลังวิญญาณขั้วลบและที่อยู่ในแท่งโซลริมิทคือพลังวิญญาณขั้วบวก”

“แกเป็นใครทำไมรู้เรื่องนั้น ฉันยังไม่รู้เลย” ยูกิโกะเหยียดยิ้ม

“ฉันคือยูกิโกะ” นากาเนะคิ้วขมวดมุ่น

“ตลกละ ฉันไม่โง่ก็เห็นอยู่ว่ายูกิโกะตัวจริงนอนอยู่ข้างๆแก”

“เฮ้อ ยูกิโกะตัวจริงในสายตาเธอนิสัยยังไงล่ะ” ยูกิโกะถามด้วยสายตามุ่งหวังคำตอบ นากาเนะอึกอักไปชั่วขณะ เธอนึกถึงเพื่อนสาวว่าเป็นคนเช่นไร

“ยูกิโกะตัวจริงจะต้องเย็นชาพูดจาเป็นเหตุเป็นผลอ้างหลักการที่เชื่อถือได้ตลอดและมักพูดเมื่ออยากพูด” นากาเนะตอบตามความรู้สึก

“ใช่นั่นคือยูกิโกะตรงนี้” ยูกิโกะชี้ไปยังร่างที่นอนอยู่ “ส่วนฉันก็เป็นยูกิโกะเหมือนกันแต่เป็นอีกด้านของนิสัย ขออีกคำถามนะฉันดูเป็นคนยังไง” นากาเนะมองไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า จะว่าไปแล้วหญิงตรงหน้าเธอไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่มีส่วนไหนที่ไม่เหมือนยูกิโกะ

“ดูร่าเริง สดใสและอาจชอบพูดจาไร้สาระหรือพูดมากกว่าปกติ”

“อื้ม เกือบถูกทั้งหมดถือว่าไม่เลว”

“ถ้าเธอเป็นคนๆเดียวกับยูกิโกะแล้ว....” พูดยังไม่ทันจบยูกิโกะสวนกลับมาก่อน

“ฉันมาได้ยังไงเหรอ เพราะกระจกนั่นมันคือกระจกสะท้อนจิตใจเป็นไอเทมเฉพาะของมิสเทสแห่งความตายเท่านั้นจึงจะได้มันมาครอบครอง”

“แล้วออกมาให้พวกเราเห็นทำไม”

“ฉันอยากจะบอกว่ายูกิโกะกำลังเศร้า เรื่องอะไรฉันไม่รู้หรอกนะแต่ว่าสาเหตุมันมาจากเธอ ซึ่งฉันไม่ชอบและเธอควรหาทางทำอะไรสักอย่างให้ยัยนี่เลิกเศร้า เพราะไม่อย่างนั้นฉันจะกลับมาพร้อมเคียวเพื่อไล่ฆ่าเธอ” ในประโยคสุดท้ายยูกิโกะจ้องมองนากาเนะด้วยรอยยิ้มราวกับไม่มีพิษมีภัยแต่ทำไมนากาเนะกลับรู้สึกอึดอัดและหวาดหวั่น

“ช...เชื่อมือฉันได้เลย” ยูกิโกะเหยียดยิ้มก่อนจะยื่นมือไปแตะร่างบางบนเตียง ทันใดนั้นยูกิโกะด้านร่าเริงกลายเป็นประกายแสงระยิบระยับก่อนจะหายเข้าไปในตัวของยูกิโกะด้านเย็นชาพร้อมกับกระจก

“อือ” ยูกิโกะรู้สึกตัวเธอลืมตาพร้อมกันนั้นยันตัวเองมาอยู่ในท่านั่งพลางขยี้ตาแล้วหาวไปหวอดหนึ่ง

เฮือกกกกก นัยน์ตาเย็นชาตาเบิกกว้างเมื่อเห็นนากาเนะยืนอยู่ข้างๆ

“เธอเข้ามาได้.....” ยังไม่ทันถามจบดี สาวในชุดเมดวิ่งพรวดเข้ามาพร้อมซองจดหมายหน้าตาร้อนรน ยื่นจดหมายให้นายหญิงแห่งเสียงเพลง นากาเนะรับมาเปิดผนึกแล้วคลี่อ่าน

“เหล่ามิสเทสเอ๋ยก่อนอื่นข้าขอมอบกุญแจสองดอกนี้ให้เป็นของขวัญ....” นากาเนะอ่านจบประโยค กุญแจสีส้มกับสีฟ้าโผล่พรวดเด้งออกมาจากซองปริทาด้าคว้าไว้ได้ทันก่อนมันจะตกพื้น นากาเนะอ่านต่อ

“เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนข้าขอแท่งโซลริมิทในตัวพวกเจ้าทุกคนพวกข้าจะรออยู่ที่ยอดหอคอย...”

“ไปให้โง่สิ” นากาเนะบอก

“เผื่อเจ้าจะไม่อยากมาข้าจึงส่งคนไปจับมิสเทสแห่งเวลาเป็นที่เรียบร้อยบางทีที่เจ้าอ่านจดหมายฉบับนี้เพื่อนของเจ้าอาจจะอยู่กับเราแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงพวกเราจะดูแลเธอเป็นอย่างดี...อืม...แต่คิดดูอีกทีหากโซริมิทไม่มาอยู่ในมือข้าภายในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้แล้วพวกเจ้าจะต้องเสียใจ...เลวที่สุด” นากาเนะฉีกกระดาษอย่างโกรธแค้น

“ท่าทางจะแย่แล้วสิ” ยูกิโกะพูด

“มองในแง่ดีสิเจ้าคะอย่างน้อยกุญแจก็ครบ” ปริทาด้าพูดปลอบ นายหญิงทั้งสองต่างหันขวับมามองเป็นตาเดียว

“เอ่อ...อิฉันพูดอะไรผิดเหรอเจ้าคะ”

Prince.NO9
8th September 2012, 19:11
บทที่ 18 สภาวะบ้าคลั่ง


YUKIKO ยูกิโกะ

หลังจากตื่นนอนพร้อมความงัวเงียแถมนากาเนะมาได้ยังไงและเรรินะยังมองฉันแปลกๆอีกต่างหากฉันทำอะไรผิด นากาเนะลากเรรินะลงไปคุยข้างล่างระหว่างนั้นปริทาด้าเล่าเหตุการณ์ต่างๆตั้งแต่ตอนที่เจอหุ่นเสกสั่งเหมือนจนถึงตอนนี้ ฉันจึงสรุปเรื่องราวในหัวอย่างคร่าวๆได้ประมาณว่าซาโตริโดนจับตัวไป กุญแจสี่ดอกที่มีอยู่ตอนนี้มันเป็นอะไรที่เกินความคาดหมาย พวกปีศาจคิดอะไรอยู่ การเดินทางไปช่วยซาโตริดูเหมือนจะเป็นกับดักของพวกมัน แต่แย่กว่านั้นคือ...หอคอยอยู่ที่ไหน

“ญี่ปุ่นเจ้าค่ะ” ฉันไม่เคยไว้ใจปริทาด้าและคงไม่ใช่ฉันคนเดียวอย่างน้อยนากาเนะก็คงคิดเหมือนกันเพราะสายตาที่มองปริทาด้ามันเหมือนกับฉันป๊ะส่วนริมิกับเรรินะจะคิดยังไงก็ช่างฉันไม่สน ดังนั้นฉันจึงสันนิฐานว่าบางทีปริทาด้าอาจร่วมมือกับปีศาจพวกนั้นแล้วหักหลังซาโตริ จะภูตหรือปีศาจมันก็อันเดียวกันนั่นแหละ แต่ถ้าสิ่งที่ฉันคิดอยู่นี้เป็นเรื่องจริง....ปริทาด้าจะต้องตายสถานเดียวซึ่งมันมีอุปสรรคนิดหน่อยตรงซาโตริ ฉันรู้ว่าเธอจะต้องไม่ยอมให้เป็นอย่างที่ฉันต้องการ....แต่ไม่ว่ายังไงฉันจะต้องทำให้ได้ ฉันงงๆอยู่เล็กน้อยพวกปีศาจขึ้นไปยอดหอคอยได้ยังไงมันสูงเสียดฟ้าไม่ใช่หรอ รู้ไหมฉันถามปริทาด้าแล้วเธอตอบว่าไงที่จริงฉันก็พอเดาได้อยู่เธอตอบว่าพวกปีศาจอาจจะใช้วิธีบินขึ้นไปซึ่งตรงกับที่ฉันคิดไว้และปัญหาถัดมาก็คือพวกเราห้าคนจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นยังไง

“ให้ริเรียนช่วยสิจ๊ะ” ริมิบอก ถือเป็นความคิดที่ดีแต่ฉันไม่ชอบหน้าไอ้สี่ตานี่สักเท่าไหร่อีกอย่างนายสี่ตาอาจถามเหตุผล

“ไม่ได้หรอก ถ้าให้ริเรียนช่วยเขาต้องถามแน่ว่าพวกเราไปทำไมแล้วเธอจะตอบว่ายังไง” นากาเนะแย้งคิดเหมือนฉันเปลี๊ยบ

“ไปเที่ยวกานนนนนน” ริมิลากเสียงยาวอย่างร่าเริงดูไม่มีความวิตกกังวลเหลืออยู่ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้พอรู้ว่าซาโตริถูกจับตัวไปกลับแสดงท่าทางที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน

“คิดอะไรง่ายๆอย่างนี้เสมอเลยเหรอเธอน่ะ” นากาเนะบอก

“ความคิดของริมิไม่ดีหรอคะ” เรรินะพูดขึ้นมา จะกล่าวอย่างนั้นก็ได้ฉันคนนึงล่ะที่ไม่เห็นด้วย

“เออสิยะ ฉันเป็นริเรียนยังรู้เลยว่าโกหก”

“แล้วเจ้ามีความคิดที่ดีกว่าริมิไหม” เรรินะใส่อารมณ์ในน้ำเสียง นากาเนะไม่ชอบใจนัก

“ถึงฉันไม่มีก็ไม่ไปขอร้องไอ้บ้านั่นให้มาช่วยหรอกย่ะ” นากาเนะเริ่มมีน้ำโหเธอลุกขึ้นยืน

“เรารู้ว่านากาเนะไม่ชอบขี้หน้าริเรียนแต่ช่วยลืมความรู้สึกนั้นไปก่อนได้ไหมคะ ซาโตริตกอยู่ในอันตรายนะ”เรรินะลุกบ้าง นากาเนะเม้มริมฝีปากแน่น

“ฉันก็เป็นห่วงยัยถั่วเน่าไม่แพ้เธอหรอก”

“พอสักทีเถอะ!!! พวกท่านจะเถียงแข่งกันไปเพื่ออะไร พวกเราในที่นี้ต่างเป็นห่วงท่านซาโตริกันทั้งนั้นไม่สิบางทีท่านริมิอาจจะกังวลที่สุดก็ได้” ปริทาด้าพูดขึ้นมาอย่างเหลืออดส่งผลให้ทุกคนหันไปมองริมิเป็นตาเดียว ริมิคิ้วโก่งพลางสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะก้มหน้าลง มือน้อยๆสั่นระริกกำชายกระโปรงแน่น

“เราขอโทษค่ะ/ชิ” เรรินะบอกขอโทษ นากาเนะสะบัดเสียงใส่ สองสาวกลับมานั่งที่ตามเดิม ไม่มีใครพูดอะไรหรือแสดงความคิดเห็นขึ้นมาอีก....ไม่ได้การขืนเป็นอย่างนี้ไปช่วยซาโตริไม่ทันแน่แต่ฉันจะทำยังไงดี

“ปริทะจังมีวิธีพาพวกเราไปหอคอยมั้ยจ๊ะ” ริมิเป็นคนทำลายความเงียบ น้ำเสียงของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

“มีเจ้าค่ะ...” ปริทาด้ายังไม่ทันได้พูดต่อ นากาเนะขัดขึ้นมาทันควัน

“เธอมีแล้วทำไมไม่รีบบอกยะ”

“อิฉันขอโทษเจ้าค่ะ แต่ท่านไม่ถามเองนี่นา” ภูตสาวพูดจากวนๆ นากาเนะสติขาดผึ่งพลุ่งตัวเข้าใส่ปริทาด้าอย่างรวดเร็ว นากาเนะนั่งคร่อมปริทาด้า มือเรียวง้างสูงขึ้นเหนือหัว

“หยุดนะจ๊ะ” ริมิคว้าข้อมือหยุดฝ่ามือของสาวคลั่งได้อย่างพอดิบพอดี ฉันกับเรรินะช่วยกันดึงนากาเนะให้ห่างจากปริทาด้าก่อนจะพาสาวคลั่งไปห้องนอน

“ปล่อยเซ่ ฉันจะจัดการยัยนั่นสักหน่อยพูดจากวนประสาทชะมัด” นากาเนะดิ้นไม่หยุด

“ใจเย็นๆก่อนนากาเนะ” ฉันบอก

“ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว ปล่อยยย!!!”

“เรรินะช่วยทำให้นากาเนะใจเย็นลงทีนะ”

“ได้เลยค่ะ” ฉันผลักภาระให้เรรินะก่อนจะลงไปห้องนั่งเล่น

“ไงปริทาด้าอย่าคิดมากเลยนะ นากาเนะก็เป็นอย่างนี้แหละ” ฉันบอกสาวเมด

“อิฉันเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ว่าเมื่อก่อนท่านนากาเนะไม่เคยโมโหขนาดนี้มาก่อนอิฉันเลยงงๆนิดนึง”

“ปริทะจังมีวิธีอะไรเหรอจ๊ะ” ฉันกำลังจะถามอยู่พอดีแต่ริมิชิงถามขึ้นมาก่อน

“ใช้พลังวิญญาณจากแท่งโซลริมิของพวกท่านแต่ละคนเจ้าค่ะ”

“ต้องใช้ของซาริจังด้วยรึเปล่าจ๊ะ”

“เรื่องนั้นค่อยว่ากันอีกทีเจ้าค่ะ เดี๋ยวอิฉันกลับไปเอาอุปกรณ์ที่โรงเรียนก่อน”

“ของที่ว่าน่ะเยอะไหม” เสียงนี้มัน เรรินะ ฉันหันไปมองที่ประตูก็เป๊ะเลย นากาเนะยืนอยู่ข้างๆ

“ไม่เยอะหรอกเจ้าค่ะ หรือว่าท่านคงจะไม่...”

“เรากับนากาเนะจะไปช่วยถือของ” นากาเนะหันขวับมองเรรินะ หน้าตาของเธอบ่งว่าฉันไม่ได้อยากไปด้วยซะหน่อย

“ฉันไปบอกต.....” เรรินะหันไปเหล่นากาเนะหน่อยเดียว เพื่อนฉันเงียบไปในบัดดล

“แต่ว่า....”

“ห้ามปฎิเสธนะ” เรรินะรู้ว่าปริทาด้าจะพูดอะไรจึงพูดดักไว้ก่อน

“เจ้าค่ะ” ภูตสาวรับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เอาล่ะถ้าเข้าใจแล้ว เธอนำไปเลย”

“เจ้าค่ะ” ปริทาด้าเดินออกไปพร้อมกับมิสเทสแห่งความเข้าใจและมิสเทสแห่งเสียงทำนอง ตอนนี้เหลือแค่ฉันกับริมิสองคน ริมินั่งนิ่งก้มหน้างุดในใจคงจะเป็นห่วงซาโตริแบบสุดๆ ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งจะว่าไปแล้วฉันกับริมิไม่เคยได้คุยกันเกินสามสี่ประโยคเลยนี่นะ ที่ไม่ได้คุยกันก็คงเป็นเพราะไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรด้วยแหละ เวลาร่วงเลยผ่านมาได้หลายชั่วโมงแล้วพวกนั้นมัวไปทำอะไรกันอยู่

“ยูกิจังชอบอ่านหนังสือเหรอจ๊ะ” ริมิทำลายความเงียบอีกครั้ง

“ริมิเธอเป็นคนยังไงกันแน่เดี๋ยวเครียดมั่งล่ะ ยิ้มร่าเริงมั่งล่ะ เหม่อลอยมั่งล่ะ”

“ที่พูดนั่นหมายความว่าไงจ๊ะ” ริมิถามอย่างไร้เดียงสา

“ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ เธอเป็นห่วงซาโตริจริงๆเหรอ”

“ก...ก็ต้องเป็นห่วงน่ะสิ ยูกิจังถามอะไรบ้าๆ” ริมิเด้งตัวยืนขึ้นมองฉันเคืองๆ

“รู้มั้ยพลังของฉัน ไม่ใช่แค่เรียกเคียวออกมาแต่ยังสามารถรู้สึกถึงจิตใจของมนุษย์ความโหยหาความเอื้ออาทรความพยาบาทอาฆาตแค้น แต่กับเธอฉันไม่รู้สึกถึงอะไรเลยเหมือนกับว่าเธอเป็นแค่ภาชนะเปล่าๆใบหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรอยู่ในนั้น สรุปก็คือเธอมีตัวตนรึเปล่าริมิ”

“ก็ต้องมีสิ ริมิมีตัวตนนะ...ริมิ...มีตัวตน” น้ำเสียงสั่นเครือขาดหายเป็นบางช่วง

“ฉันไม่เชื่อ!!! ตอนนี้จิตใจเธออยู่ที่ไหนกันแน่” ริมิกำหมัดแน่น แท่งโซลริมิปรากฏขึ้นข้างๆริมิ ครึ่งหนึ่งของหลอดเต็มไปด้วยสีดำถ้าจำไม่ผิดปริทาด้าบอกว่ามันคือดาร์กโซล

“ท่านริมิ” ปริทาด้าพรวดเข้ามากดตัวริมิให้นั่งลง

“ปริทะจัง”

“ท่านริมิเป็นอะไรไปเจ้าคะ”

“ม..ไม่รู้ ริมิไม่รู้”

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” นากาเนะเดินเข้ามาพร้อมเรรินะ ในมือของเพื่อนฉันถือของบางอย่างลักษณะของมันเป็นแท่งสีทองขนาดเท่ากำมือที่ปลายข้างหนึ่งเหมือนหัวค้อนส่วนอีกข้างเป็นทรงกลม

“ท่านริมิอย่าคิดมากสิเจ้าคะ เพราะถ้าท่านเป็นอะไรไปล่ะก็พวกเราจะไปช่วยท่านซาโตริไม่ได้”

“ไม่รู้” ดาร์กโซลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“ท่านซาโตริรออยู่นะเจ้าคะ รอให้ท่านริมิไปช่วยดังนั้นท่านต้องเข้มแข็งไว้เจ้าค่ะ” คำพูดของปริทาด้าได้ผลของเหลวสีดำค่อยๆลดหายไปเหลือแต่โซลขั้วบวก

“จ..จ้ะริมิจะเข้มแข็ง” เรรินะมองฉันอย่างโกรธจัด

“สรุปว่าเกิดอะไรขึ้น” นากาเนะถามอีกครั้ง

“สภาวะคลุ้มคลั่งเจ้าค่ะ มันจะเกิดก็ต่อเมื่อสภาพจิตใจของมิสเทสถูกเล่นงานดาร์กโซลจะเข้ากัดกินโซลขั้วบวกอย่างรวดเร็วหากปล่อยไว้โซลขั้วบวกจะถูกกลืนกินจนหมดแล้ว....พวกท่านก็จะตายหรือแย่กว่านั้นอาจกลายเป็นปีศาจ ท่านริมิคงเป็นกังวลเรื่องของท่านซาโตริมากเกินไปดาร์กโซลจึงเข้าจู่โจมได้โดยง่าย เรื่องนี้ต้องระวังไว้ด้วยนะเจ้าคะ” ปริทาด้าอธิบาย

“ริมิโอเคแล้วล่ะจ้ะ”

“เจ้าค่ะ ถ้างั้นพวกเรามาเริ่มกันเลย” ปริทาด้าคว้าแท่งทองมาถือหันด้านค้อนลงพื้น ภูตสาวทำอะไรบางอย่างกับมันทันใดนั้นไอ้ลูกกลมๆก็บานออกมาเหมือนกลีบดอกบัวบานมีด้วยกันห้ากลีบ

“มันคืออะไร” ฉันถาม

“ทะเกะเจ้าค่ะมันสามารถพาเราไปไหนก็ได้แต่ว่าด้วยข้อเสียของมันแม้เส้นทางจะใกล้หรือไกลเพียงใดก็ใช้พลังวิญญาณปริมาณมากพอๆกัน”

“ถ้าจะให้คุ้มต้องใช้เดินทางไกลๆสินะคะ” เรรินะพูด

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เอาล่ะช่วยเทโซลริมิทของตัวเองลงมาคนละครึ่งด้วยนะเจ้าคะ” ตรงกลางกลีบพวกนั้นมีรูอยู่ ริมิเทเป็นคนแรกตามด้วยนากาเนะและก็เวียนไปจนครบ ไอ้แท่งบ้านี่มันกินพลังวิญญาณจริงๆด้วย ดูภายนอกเหมือนเทแค่สองคนก็พอแต่ที่ไหนได้นี่ปาเข้าไปสี่คนและมันปริ่มๆตอนทีของฉันพอดี

“จับแขนอิฉันไว้นะเจ้าคะ” ฉันยื่นมือซ้ายจับแขนปริทาด้าข้างที่ถือทะเกะ ริมิจับมือข้างที่เหลือของปริทาด้า นากาเนะจับไหล่ เรรินะจับมือริมิอีกทีนึง

“ทะเกะทะจงพาพวกเราไปสู่หน้าประตูหอคอยซาบิน่า” สาวเมดยกทะเกะขึ้นก่อนจะทุ่มมันลงพื้นดัง ปึง พรึ่บแสงสีแดง ส้ม ม่วง ชมพูสว่างจ้าพร้อมกันคงเป็นแสงโซลของแต่ละคน เมื่อแสงหายไปพอมองรอบๆพบว่าพวกเราอยู่ในเมืองคนเดินผ่านพลุกพล่าน

“ที่นี่คือ”

“ใจกลางโตเกียวประเทศญี่ปุ่นเจ้าค่ะ”

“แล้วคนพวกนั้นไม่แปลกใจหรือที่จู่ๆพวกเราก็โผล่มา” เรรินะถามได้ตรงประเด็นมากเพราะคนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่แม้แต่จะตกใจ

“ไม่หรอกเจ้าค่ะเพราะทะเกะยังมีความพิเศษอีกอย่างนึงนั่นคือมันจะลบความทรงของคนที่เห็นพวกเราเจ้าค่ะ” ดีจังนะ

“ไปกันเถอะเจ้าค่ะหอคอยอยู่ตรงหน้านี้เอง” สาวเมดเดินนำไปอย่างรู้ทางก่อนจะมาหยุดในซอยเปี่ยว ปริทาด้าล้วงหยิบกุญแจสีดำพลางสอดเข้ารูเสียบหมุนกลับไปกลับมา แกร๊ก

“เชิญเจ้าค่ะ” สาวเมดผายมือไปยังด้านใน ริมิเข้าไปพร้อมกับเรรินะ ส่วนฉันก้าวเดินไปพร้อมกับนากาเนะ ภายในหอคอยดูใหญ่กว่าที่เห็นตอนอยู่ข้างนอกมันกว้างมากที่เพดานมีโคมไฟแต่มันปิด

“หอคอยนี่มันมีชั้นหลักสี่ชั้นเจ้าค่ะแต่ละชั้นจะมีบททดสอบ โคมไฟบนเพดานติดเมื่อไหร่แสดงว่าพวกเราผ่าน” ปริทาด้าอธิบายไม่ทันไรร่างเงาปรากฏขึ้นเบื้องหน้า...สองมือของมันดูเหมือนดาบ ฉับพลันนั้นร่างเงาพรวดเข้ามาฉันไม่รอช้าเรียกเคียวออกมาเหวี่ยงใส่มันไปหนึ่งที ร่างเงาแยกเป็นสองส่วน

“ง่ายไปมั้ง” นากาเนะพูดอย่างดูถูก

“ไม่ง่ายงั้นหรอกเจ้าค่ะ” ร่างเงาที่เหมือนจะตายแล้วกลับงอกร่างกายออกมาใหม่กลายเป็นว่ามีสองตัว

“จำนวนมันเพิ่ม” เรรินะบอก ฉันรู้แล้วน่า ฉันกำชับเคียวให้แน่นมือจากนั้นจัดการผ่าปลิดชีพมันอีกครั้ง

“ทำอะไรของเธอยูกิ” นากาเนะ...ฉันก็ฆ่ามันน่ะสิ

“.....” ฉันไม่ตอบตาก็มีไม่มองล่ะ เงาพวกนั้นงอกร่างกายอีกครั้งคราวนี้จำนวนของมันเพิ่มเป็นสี่ มันต้องมีจุดอ่อนบ้างล่ะน่าฉันฆ่ามันฆ่าแล้วฆ่าอีกฟันอีกฟันไม่หยุด

“หยุดนะจ๊ะ” ริมิคว้าไหล่ของฉันพลางดึงให้หันไปมอง

“......” ไม่หยุดหรอก ฉันผลักริมิเธอเซไปชนเรรินะ ไม่ระวังเอาซะเลย พวกเงาเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆจนฉันคนเดียวไม่อาจสู้ได้หมด เงาบางตัวหลบเคียวของฉันแล้วมุ่งหน้าไปหานากาเนะ ฉันจะไปช่วยเธอเแต่ทว่าไอ้เงาที่อยู่ข้างหน้าทำให้ฉันไม่สามารถละไปได้ ไม่นะ

ปึดๆ ริมิใช้ด้ายรัดไอ้เงานั่นจนแหลกเป็นชิ้นๆ ขอบใจนะ

“ช่วยกันเถอะจ้ะ” ริมิบอก เธอรัดเงาหลายตัวไว้ด้วยกันก่อนจะรัดให้แน่น เส้นด้ายฝังลึกลงไปในเนื้อเงาก่อนจะสลายไปแล้วพวกมันก็งอกกลับมาอีก โอ๊ยจะบ้าตาย ปริทาด้าใช้เลื่อยฟันพวกมัน นากาเนะร้องเพลงใส่ไมค์ เสียงร้องของเธอกลายเป็นตัวหนังสือกะเด็นใส่ปีศาจเงา เรรินะไม่เหมาะแก่การต่อสู้จริงๆเพราะไอเทมครอบครองที่เธอมีคือกล่องยาดังนั้นการโจมตีของเธอจึงมีรูปแบบเดียวนั่นคือฟาดเงาด้วยกล่องยา พวกมันต้องมีจุดอ่อนบ้างล่ะน่าเมื่อกี้นี้ฉันก็คิดอย่างนี้แล้ว...เงาเหรอ...เงาร่างที่มองทะลุแบบนั้น...หรือว่า

“ย้ากกกกกกก” ฉันเหวี่ยงเคียวเป็นวงกว้างพวกเงาล่าถอยขณะเดียวกันวิ่งเข้าหากำแพง

“เธอจะทำอะไรกลับมานี่” นากาเนะบอกอย่างเป็นห่วง ฉันมีแผนน่า ฉันใช้เคียวตีกำแพงหันด้านแหลมเข้าหาไม่ยั้งแต่มันไม่สะทบสะท้าน

“ปริทาด้าขอแรงหน่อย” ฉันเรียกสาวเมดพลางตีกำแพงไปในเวลาเดียวกัน

“ท่านจะทำอะไร....อ๋อเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ปริทาด้ามองฉันแวบหนึ่งก็เข้าใจในความคิดของฉันทันที เธอฝ่าวงล้อมเงาเข้ามา

“เอานะนับสามแล้วตีพร้อมกัน”

“เจ้าค่ะ”

“หนึ่ง” ริมิตวัดด้ายใส่พวกเงาที่อยู่รอบๆฉันกับปริทาด้า

“สอง” ฉันง้างเคียว ปริทาด้าง้างเลื่อย

“สาม” ปึงๆๆ เราสองคนตีไม่ยั้งพร้อมกันกำแพงเริ่มร้าว รอยแตกเริ่มกระจายไปทุกทาง อีกนิดเดียว ปึงๆๆ สำเร็จกำแพงถูกทลายลงแสงแดดสาดส่องเข้ามาพวกเงาสลายหายไปในพริบตา เป็นเวลาเดียวกันที่โคมไฟติดแสง แกร๊กประตูเปิดออกเองอย่างช้าๆ

“เพราะยูกิจังพวกเราถึงรอดมาได้นะจ๊ะ” ริมิ...

“หัวแหลมมากยูกิ” นากาเนะ...

“ถ้าเจ้าใช้หัวตั้งแต่ตอนแรกพวกเราก็ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้หรอกค่ะ” เรรินะว่า เออฉันมัน... “แต่มันก็เพราะเจ้าจริงๆนั่นล่ะขอบใจนะ” เหมือนโดนตบหัวแล้วลูบหลังเลยแฮะ

“ไปกันเถอะเจ้าค่ะพวกเราต้องผ่านชั้นรองห้าชั้นซึ่งจะถูกกั้นด้วยขั้นบันไดสามสิบขั้นจึงจะถึงชั้นหลักที่สอง” ทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมใจก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดมหาโหด ตั้งสามสิบขั้นฮ่าๆๆๆ ฉันคงหมดแรงก่อนพอดี



ช่วง...จ้อไม่หยุดของ PrinceNo.9

หวังว่าจะชอบบทนี้กันนะครับก่อนอื่นเลยต้องขอโทษจริงๆที่ผมบรรยายฉากต่อสู้ได้แย่ชะมัดพยายามเต็มที่ได้แค่นี้เองแหะๆ อ่านเองแล้วยังรู้สึกตะงิดๆเลยครับ

Prince.NO9
17th October 2012, 22:47
บทที่ 19 มิสเทสปะทะซูโม่


RIMI ริมิ

“แฮ่กๆ ขอ แฮ่ก ฉันพักก่อนนะ” ยูกิจังเอ่ยพลางหายใจกะหืดกะหอบ

“อีกแค่นิดเดียวเองเจ้าค่ะ” ปริทะจังบอกเผื่อยูกิจังจะมีแรงฮึดนึกอย่างเดินต่อ

“....” ยูกิจังไม่พูดอีกแล้วอะ

“ไหวมั้ย” นากะจังถามพลางย่อตัวหันหลังให้ยูกิจัง “ฉันจะแบกเธอไปเอง” นากะจังอย่างเท่อะ

“ม..ไม่เป็นไรขาฉันยังมี” ยูกิจังปฏิเสธน้ำใจพลางซอยเท้าขึ้นบันไดรวดเร็ว ไม่เหนื่อยแล้วเหรอจ๊ะ

“อะไรของเขา” เรย์นะจัง... ในที่สุดก็มาถึงชั้นหลักที่สอง ปริทะจังหยิบกุญแจสีแดงมาปลดล็อคประตู แกร๊ก ชั้นนี้ไม่ได้ต่างจากชั้นแรกสักเท่าไหร่

“อย่าบอกนะว่าซูโม่” ชายอ้วนที่มีผ้าปกปิดร่างกายน้อยชิ้น ยกขาข้างหนึ่งก่อนจะกะทืบลงพื้นเขาทำสลับกับขาอีกข้างหนึ่งไปมา

“ดูเหมือนต้องล้มชายคนนี้ให้ได้เจ้าค่ะจึงจะผ่านการทดสอบ” ปริทะจังบอก

“พวกเจ้าจะเรียกข้าว่าอะไรก็เชิญ” เรียกอะไรก็ได้เหรอจ๊ะถ้างั้นก็...ซูโม่คุง

“กฎง่ายๆในการผ่าน ทำให้ข้าไปยืนอยู่นอกเส้นหรือไม่ก็ต้องทำให้ส่วนใดของร่างกายของข้าสัมผัสพื้นที่อยู่นอกเหนือจากเท้า ใครจะเริ่มก่อน”

“....” พร้อมใจกันเงียบ

“ฉันเองเรื่องออกแรงฉันถนัด” นากะจังเสนอตัว เธอเข้าไปตั้งท่าในเส้นวงกลม

“เริ่ม” สิ้นเสียงปริทะจัง ซู่โม่คุงจัดการทุ่มนากะจังก่อนจะเหวี่ยงออกนอกเส้น หัวไปกระแทกกำแพง อุ๊ย ท่าทางจะเจ็บ

“นากาเนะ..หนอยแหน่ะ” ยูกิจังพลุ่งตัวใส่ซูโม่คุง ไม่ถึงห้าวิเธอกะเด็นไปนอนกองข้างๆนากะจัง

“เรย์นะจังอยากลองก่อนมั้ยจ๊ะ...เอ๊ะ” เรย์นะจังหน้าซีด

“เราน่ะเหรอ”

“จ้ะ”

“ไม่ดีกว่ามั้ง ถ้าเราบาดเจ็บแล้วใครจะรักษาล่ะคะ เราขอตัวไปดูอาการสองคนนั้นก่อนนะ” เรย์นะจังชิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว แงงงงงงงงง!!!ริมิอยากร้องไห้ เฮ้อ ลองดูซักตั้งก็ไม่เสียหายริมิเข้าไปในวงกลมอย่างกล้าๆกลัวๆ

“เริ่ม” อ้าวเริ่มแล้วหรอริมิยังไม่พร้อมเลยนะ ปริทะจังคราวหน้าถามกันบ้างซี่จ๊ะ ซูโม่คุงอุ้มตัวริมิด้วยแขนข้างเดียวยังไม่ทันได้ขัดขืน รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อหัวโขกกับหัวเรย์นะจัง โป๊ก

“โอ๊ย/เจ็บน้าคะ” อันแรกเสียงริมิ อันหลังของเรย์นะจัง

“ขอโทษจ้ะ” ริมิบอกพลางลูบหัวเบาๆเรย์นะจังก็เหมือนกัน

“ไม่เป็นไรเราเข้าใจค่ะ” เรย์นะจังยืนขื้น เดินเข้าไปตั้งท่าในลานประลอง

“เรย์นะจังเอาจริงเหรอจ๊ะ”

“เราตั้งใจไว้อย่างนั้นค่ะ” เธอหันมายิ้ม

“พร้อมมั้ยเจ้าคะ” ปริทะจังลำเอียงทีริมิไม่เห็นถามบ้างเลย

“ทุกเมื่อค่ะ”

“เริ่ม” ซูโม่คุงพลุ่งเข้าใส่เรย์นะจัง สองมือกลางออกพร้อมคว้าศัตรูตรงหน้า ไม่รอดแน่แล้ว...ผิดคาดเรย์นะจังก้มหลบวงแขนพร้อมกันนั้นเธออ้อมไปด้านหลังของซูโม่คุงพลางผลักสุดแรง ทว่าซูโม่คุงไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

“ยัยนั่นทำอะไรน่ะ” นากะจัง... ซูโม่คุงกลับหันหลังเขาจ้องเรย์นะจังเขม็ง

“เจ้าจะทำอะไร เราเป็นผู้หญิงนะ”

“เธอพูดเหมือนพวกฉันไม่ใช่ผู้หญิงงั้นแหละย่ะ!!!” นากะจังพูดอย่างเคืองๆ ซูโม่คุงไม่ได้จับเรย์นะจังเหวี่ยงออกแต่เขาทุ่มเธอแทน เรย์นะจังนอนนิ่งหรือว่าสลบไปแล้ว ปริทะจังแบกเรย์นะจังออกมานอกลานประลอง

“จะทำอะไร” ยูกิจังคว้าหมับที่ข้อมือนากะจัง

“โค่นไอ้อ้วนนั่น” นากะจังตอบ

“พวกเราเอาชนะไม่ได้หรอก”

“ก็ไม่แน่หรอก” นากะจังทะลึ่งพรวดพราดไปเข้ามือมันพอดี เธอโดนทุ่มไปหนึ่งทีก่อนจะโดนเหวี่ยงออก

“มันเป็นไปไม่ได้หรอก ผู้หญิงตัวเล็กๆสี่คนจะล้มนักกีฬาซูโม่ที่น้ำหนักมากกว่าเราสี่คนรวมกันเว้นแต่ว่าทุกคนจะช่วยกันผลักเขาแต่นั่นมันผิดกฏ”

“นั่นสินะ” ริมิลุกขึ้นยืนพลางปัดชายกระโปรงจัดความเรียบร้อยของเสื้อผ้า

“เธอ...ทำไม..ทั้งๆที่รู้อย่างนี้แล้วแต่ยังเดินเข้าไปหาเรื่องเจ็บตัวอีก” ยูกิจังถามอย่างฉงน

“คงเพราะอยากช่วยซาริจังล่ะมั้งจ๊ะ” ริมิก้าวเท้าช้าๆเข้าเส้นวงกลม ตั้งท่าเตรียม

“เริ่ม” ปริทะจังเอาอีกแล้วอะ สองมาตรฐานชัดๆ สองมือริมิประสานกับมือซูโม่คุง ริมิออกแรงดันเท่าที่มี...ฮืออออออ ซูโม่คุงไม่ขยับเลยอะและที่แย่ไปกว่านั้นคือริมิรู้สึกเหมือนกำลังค่อยๆไถลไปเรื่อยๆอย่างไม่เต็มใจ เท้าริมินั่นเอง ส้นรองเท้าอยู่ห่างจากเส้นไม่กี่มิน

ปึก ใครดันหลัง ริมิเหลียวไปมอง

“นากะจัง” เธอลุกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทำอย่างนี้มันผิดกฎไม่ใช่เหรอจ๊ะ

“ในเมื่อคนเดียวล้มไอ้ยักนี่ไม่ได้ถ้าอย่างนั้นก็ต้องช่วยกัน”

“จ..จ้ะ”

“ยูกิเธอมาช่วยกันหน่อยสิ”

“ฉันเหรอ” ยูกิจังทำหน้างงๆ

“เออ..ยังจะถามอีก”

“แต่มันผิดกฏกติกา”

“ช่างหัวกฎนั่นแล้วมาช่วยกันเดี๋ยวนี้!!!” นากะจังตะคอก

“ก..ก็ได้” ยูกิจังปราดเข้ามาช่วยอย่างไม่เต็มใจนัก แสงแห่งความหวังส่อประกายเมื่อรวมแรงกันสามคนซูโม่คุงเริ่มต้องถอยไปช้าๆแต่เขาเหมือนจะถอยไปตั้งหลักซะมากกว่าเพราะพวกเราสามคนโดนยันให้มาอยู่ชิดเส้นอีกครั้ง

ปึก ใครมาช่วยอีกเนี่ย

“ถึงเราจะสู้ไม่เก่งแต่ว่าถ้าช่วยเพิ่มแรงได้อีกสักนิดก็ดีค่ะ” เรย์นะจัง ได้สติตั้งแต่เมื่อไหร่ขนาดสี่คนซูโม่คุงก็ดูชิวๆ(รึเปล่า)

“แค่สี่คนไม่พอจริงๆด้วยสินะ” ยูกิจังถอดใจแล้วเหรอจ๊ะ ซูโม่คุงเหงื่อไหลไคลย้อยดูเหนื่อยพอๆกันถ้าซาริจังอยู่ล่ะก็ชนะแน่

“ลืมอิฉันไปแล้วหรือเจ้าคะ” ปริทะจังร่วมด้วยช่วยอีกแรง

“เอาล่ะพวกเรามาช่วยกันดัน นับสามออกแรงเต็มที่เลยนะทุกคน” นากะจังบอก

“อื้ม/จ้ะ/เจ้าค่ะ” พวกเราขานรับพร้อมกัน

“หนึ่ง...สอง...สาม!!!เอาเลยยยยยย!!!” ซูโม่คุงร่นถอยไปเรื่อยๆเขาพยายามใช้เท้ายันพื้นสุดชีวิต ริมิรู้ได้ไงน่ะหรอ เขาหน้าดำหน้าแดงเม็ดเหงื่อก้อนโตไหลย้อยจากหน้าผากเข้าตาของซูโม่คุงมันทำให้แสบตาเขาหลับตาปี๋ ริมิรู้ได้ในทันทีว่าชนะแน่เพราะซูโม่คุงได้กะเด็นออกไปนอกลานประลองเป็นที่เรียบร้อย โคมไฟเปล่งแสงรัศมีเจิดจ้าทั่วห้องนั่นเป็นสัญญาณบอกว่าพวกเราผ่านการทดสอบ(แบบโกงๆ)

“พวกเจ้าโกง...มันไม่น่าจะ...” ซูโม่คุงโวย

“นายพูดเองนะ ว่าเอานายออกนอกเส้นหรือให้ส่วนใดของร่างกายที่ไม่ใช่เท้าสัมผัสพื้นแต่ไม่ได้บอกว่าห้ามช่วยกันซะหน่อย” นากะจังพูดถูก

“ใช่ๆฉันก็ได้ยิน” ยูกิจังเสริม

“นากะจังหัวหมอมากเลยจ้ะ” ริมิกระซิบ ซูโม่คุงคงกำลังนึกทวนคำพูดก่อนหน้านี้ของตัวเอง

“เฮ้อ เอาเถอะถือว่าข้าบอกกฎกติกาไม่ชัดเจนเอง”

“ขอบคุณค่ะ” ริมิโค้งตัว

“ไปกันเถอะริมิ” นากะจังเรียก ทุกคนรออยู่ที่หน้าประตู

“จ้ะ” ปริทะจังเปิดประตูแล้วพวกเราก็ก้าวเท้าขึ้นบันไดมุ่งสู่ชั้นหลักที่สาม ซาริจังรอริมิก่อนนะจ๊ะริมิจะรีบไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ

Prince.NO9
9th December 2012, 17:20
บทที่ 20 Rock and Roll!!!

SATORI ซาโตริ

“อือ” มือทั้งสองข้างโดนมัดติดกับโซ่ที่เชื่อมจากกำแพงกวาดสายตามองรอบๆ ห้องนี้ใหญ่พอสมควรเหมือนห้องรับแขกแต่ที่พิเศษกว่านั้นคือกระจกที่เป็นเสมือนกำแพงด้านหนึ่งมองออกไปเห็นวิวไม่ค่อยชัดถ้าได้เดินไปดูๆใกล้คงจะดีไม่น้อยทีเดียวเห็นอย่างนี้คิดถึงห้องประธานจัง นึกถึงห้องประธาน..ไม่ชอบเลยพวกเล่นทีเผลอเนี่ย ผมประมาทด้วยแหละนะ หลังจากขยำจดหมายทิ้งผมตรงขึ้นไปดาดฟ้าก็เจอกับคนๆหนึ่งไม่คิดจริงๆ ว่าจะเจอกับเธออีก ตาคม เลือนผมสลวยแม้จะตัดสั้นปะบ่าแต่ผมยังจำเธอได้ดี

“ฉันนึกว่าประธานจะไม่มาซะแล้ว” พูดอะไรแปลกๆหรือว่า...

“หมายความว่าเธอเป็นคนส่งจดหมายเหรอ”

“ค่ะ” ซากุยะยิ้มแฉ่ง

“ถ้างั้นเธอเป็น...”

“ฉันเป็นปีศาจค่ะ” ซากุยะพูดสวนมา

“เอ่อ..มีเรื่องอะไรเหรอ”

“ก่อนอื่นนะคะฉันขอบอกว่าฉันชอบประธานมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ ชอบมาก ที่ฉันมารับงานนี้ก็เพื่อใกล้ชิดประธานค่ะและฉันต้องขอโทษจริงๆที่หลอกประธาน ฉันกะจะบอกความจริงตั้งแต่ตอนจูบประธานแล้วล่ะค่ะ แต่ว่าประธานก็บอกเลิกฉันซะก่อน” ซากุยะพูดไปยิ้มไป

“แต่ฉัน...” ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรซากุยะชิงพูดก่อน

“ฉันรู้ค่ะว่าประธานไม่ได้ชอบฉันถึงประธานจะพูดว่าแค่ลองคบกันดูก็เถอะฉันไม่โกรธค่ะ ฉันจะรอ” พูดขนาดนี้ผมดูเลวขึ้นมาทันทีเลยนะเนี่ย

“ตามใจเธอ” นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้พูดหลังจากนั้นทุกอย่างก็วูบดับลง

“กว่าจะตื่นได้นะฉันรอตั้งนานแหน่ะ” เสียงแหลมตำหนิ

“เธอคือใคร...เฮ่ย ใส่ชุดบ้าอะไรน่ะ” สาวผมม่วง ผมด้านหลังยาวเสมอไหล่จอนของเธอยาวเลยทรวงอกลงไปถึงโคนขามันถูกผูกด้วยริบบิ้นสีแดงซึ่งเข้ากับผมสีม่วงอย่างดี

“ประเทศไทยมันร้อนนี่ ฉันใส่แบบนี้ก็ถูกแล้ว” ชุดชั้นในยกทรงกับกางเกงในเนี่ยนะ...โถ่แม่คู้ณณณณณณณ ไม่กลัวคนลวนลามเรอะถ้านิยายเรื่องนี้ไม่ผ่านการพิจารณาก็เพราะเธอคนเดียว

“ฉันเห็นแล้วอายแทน” ผมแก้มแดง เธอหัวเราะคิกคัก

“ไม่เอาน่าอาโอยเมื่อก่อนเราสองคนเคยใส่แบบนี้มาสู้กันแล้วนะ” อะร้ายยยยยย ผมไปสู้กับเธอตอนหนายยยยยยยยย อ๊ะยัยนี่เรียกผมว่าอาโอยไม่อยากเชื่อเลยว่ายัยนั่นจะกล้าใส่แบบนี้แล้วไปสู้ โอ้ม่ายยยยยยย

“ฉันชื่อซาโตริและนั่นมันชาติที่แล้วต่างหากเล่า”

“แต่นั่นก็คือเธอและฉันจะเรียกเธออาโอยมีไรป่ะ เอ๊ะเดี๋ยวก่อนอย่าบอกนะว่าจำฉันไม่ได้” ใครจะไปจำได้กันฟะไม่ได้ระลึกชาติได้นะโว้ย

“ดีเลยเป็นโอกาสดีที่ฉันจะแนะนำตัว” เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางเดินไปลากเก้าอี้มานั่งไขว่ห้าง

“ฉันชื่อซีเซียล มุสึกิ เป็นศัตรูคู่แค้นคู่กัดและยังเป็นเพื่อนสนิ้ดสนิทกับเธอมาตั้งแต่สมัยสงครามชิงหอคอย ฮัดเช่ย!!!” ศัตรูคู่แค้นจามไปหนึ่งทีฮ่าๆๆๆสะใจ

“ฉันว่าเธอไปหาอะไรใส่ดีกว่ามั้ย”

“เธอเป็นห่วงฉันด้วยหรอ” คิดไปได้นะ ซีเซียล ดึงชิดชู่มาสั่งขี้มูก ฟืด

“เธอบอกว่าใส่อย่างนี้เพราะร้อนแสดงว่าเราอยู่ในไทย???”

“ญี่ปุ่น ฟืด” หน้าขยะแขยง นี่ผมโดนพามาถึงญี่ปุ่เลยเรอะ แต่มองในแง่ดีไม่ต้องเสียค่าเครื่องบินสักบาท

“แล้วจะใส่อย่างนี้ทำไมในเมื่ออยู่ในประเทศญี่ปุ่น” ผมวนกลับมาเรื่องเดิมอีกรอบ

“ฉันขี้เกียจใส่เสื้อผ้ามันยุ่งยากน่ารำคาญ” เจริญล่ะ

“ฉันอยู่ที่ไหน” ผมถามช้าไปไหม

“เธอไม่ไปตายอีกซักสามชาติแล้วค่อยมาถามฉันล่ะยะ” ซีเซียลทำเสียงฟึดฟัด

“มาทำเป็นโกรธ” ผมกับเธอคงเป็นทั้งศัตรูและเพื่อนกันจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่คุยกับคนไม่รู้จักแล้วรู้สึกถูกชะตาด้วยขนาดนี้

“ซีเซียล มายุ่งอะไรกับท่านประธาน” ซากุยะเดินเข้ามาหน้าตาขึงขัง

“แค่มาทักทายเพื่อนเก่าเอง” ซีเซียล ตอบ

“ซากุยะ” ผมเรียกเธอ

“อ๊ะ ฉันไม่ได้จับประธานมานะคะ” ซากุยะร้อนตัวหรือยัยนี่พูดความจริง ผมมองซีเซียล บ้าง

“ฉันไม่ใช้วิธีสกปรกแบบนี้หรอกย่ะ” ซีเซียล แหวขึ้นมา

“ได้เวลาแล้วค่ะนายท่าน” หญิงสาวคนหนึ่งก้าวเท้าช้าๆมายืนท้าวเก้าอี้ที่ซีเซียลนั่งอยู่ ในมือเธอจดอะไรยิกๆลงสมุดเล่มแดง

“ขอบใจมากสึบากิ” ซีเซียล ...

“อาโอยคนที่จับเธอมาเก่งกว่าฉันและเธอมาก” ซีเซียล สีหน้าจริงจัง

“มาบอกฉันทำไม”

“เราต้องร่วมมือกัน” น่าสนอยู่หรอกแต่เป็นกับดักรึเปล่าเนี่ยสิ ถึงจะบอกว่าถูกชะตาด้วยแต่ผมก็ไม่ควรไว้ใจเธอซะทีเดียว

“ฉันไม่หลงกลหรอก” สึบากิใช้นิ้วขยับแว่นเบาๆให้เข้าที่

“นายท่านอุตส่ายื่นข้อเสนอให้แต่คุณกลับปฏิเสธช่างโง่เขลาเบาปัญญายิ่งนัก”

“ฉันเคยบอกเธอไปแล้วนะสึบากิว่าอย่าพูดดูถูกท่านประธาน” ซากุยะต่อว่าสาวแว่น

“ขอโทษค่ะนายท่าน” สึบากิโค้งตัวขอโทษ

“สหาย...ฉันขอพูดด้วยความหวังดี หากเธอไม่อยากให้มิสเทสคนอื่นต้องมาตายก็จงเลือกซะ” น้ำเสียงซีเซียล ฟังดูซีเรียส เดี๋ยวก่อนทุกคนกำลังมาช่วยผมงั้นเหรอ...

“เป็นไปไม่ได้นี่ญี่ปุ่นนะพวกนั้นจะเดินทางมายังไง”

“อันนั้นฉันไม่รู้แต่เพื่อนๆของเธอกำลังต่อสู้กับบททดสอบเพื่อมาช่วยเธอและบททดสอบเหล่านั้นก็อันตรายพอสมควร” ริมิ....ใบหน้าของเธอผุดขึ้นมาในหัวสมองผมเป็นคนแรง

“ตกลง” ซีเซียล ยิ้มหน้าระรื่นถึงจะเป็นกับดักหรือแผนลวงผมจะต้องจัดการไอ้ปีศาจตัวที่จับผมมาก่อนที่พวกริมิจะมาถึง

“ฉันจะตะโกนว่า Let's rockนั่นคือสัญญาณแล้วเธอต้องขานรับว่า...” ซีเซียลบอก เธอตื่นเต้นสุดๆ

“ขานรับ” ผมทวนคำอย่างงงๆ

“Rock and roll!!!ต้องพูดสำเนียงเป๊ะๆด้วยนะ” ซีเซียล ดัดเสียงสำเนียงพูดเหมือนเจ้าของมาเอง......

“เอ่อ....”

“ตกลงตามนี้แล้วเจอกัน” ซีเซียล บอกลาก่อนจะเดินจากไป

“ฉันไม่เข้าใจนายท่านซีเซียลเห็นอะไรดีในตัวคุณไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อก่อนแค่ฉันมองปราดเดียวก็รู้ว่าคุณเป็นคนเช่นไร” สึบากิบ่น เธอตามซีเซียล ออกไปติดๆ

“สึบากิ!!!” ซากุยะน้ำเสียงโกรธจัดคงจะเรียกสาวแว่นมาต่อว่า ทว่าสึบากิเดินตัวลิ่วฉิวชิ่งหนีไปเป็นที่เรียบร้อย

“ดีแล้วล่ะค่ะที่ประธานตกลง ฉันไปก่อนนะคะ” ซากุยะหนีหายไปอีกคนเหลือผมอยู่คนเดียวอีกแล้วต้องห้อยต่องแต่งไปอีกนานเท่าไหร่นะแล้วสัญญาณนั่นใครมันจะไปกล้าพูดกันเล่า

Prince.NO9
9th December 2012, 17:20
บทที่ 21 บททดสอบบ้าอะไรวะเนี่ย

YUKIKO ยูกิโกะ

สาวชุดเมดปลดล็อคประตูโดยใช้กุญแจสีส้ม

แกร๊ก ห้าสาวเดินเข้าชั้นนหลักที่สามพร้อมๆกัน ภายในชั้นนี้มีตู้สี่ใบ ตัวตู้เป็นสีดำมีเครื่องหมายอะไรเอ่ยอยู่ทุกด้าน ทว่าแต่ละด้านเจ้าเครื่องหมายจะอยู่ในแนวตั้งบ้าง แนวนอนบ้าง แนวเฉียงบ้าง เหมือนตู้ของนักมายากลยังไงยังนั้น

“ยินดีต้อนรับเหล่ามิสเทส” ชายผู้มาทักทายอย่างเป็นมิตรพอกหน้าขาวจมูกแดงใส่หมวกทรงสูงอยู่ในชุดตัวตลก

“บททดสอบรอบนี้หมูตู้มากแต่ก่อนจะอธิบายข้าขอให้พวกเจ้าเลือกคนที่ฉลาดสุดในกลุ่มไว้ก่อนแล้วข้าจะอธิบายต่อ...” สิ้นเสียงตัวตลกทุกคนหันมามองฉันเป็นตาเดียว

“การที่ฉันได้เกรดสี่ทุกวิชาไม่ได้หมายความว่าฉลาดที่สุดนะ” ฉันบอก

“ไม่จริงหรอกจ้ะที่พวกเราขึ้นมาถึงนี่ได้ก็เพราะยูกิจังนะจ๊ะ” ริมิพูด จากใจเหรอน่ะ

“เราเห็นด้วยกับริมิค่ะ” เรรินะเสริมขึ้นมา ฉันมองนากาเนะด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ เธอสะดุ้งนิดหน่อย

“ที่ริมิพูดก็ถูก” อ้าวนากาเนะ ทำไมทำแบบนี้อะเธอต้องอยู่ข้างฉันไม่ใช่หรอ

“เลือกได้แล้วใช่ไหม..” ตัวตลกถาม

“ค่ะ” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียว ฉันไม่ได้บอกว่าเอาด้วยซะหน่อยนะพวกเธออย่าพูดเองเออเองได้ม้ายยย

“กฎง่ายๆ เห็นตู้สี่ใบนี่ไหม...ข้าจะให้เจ้าหนึ่งคนเข้าไปอยู่ในนั้นเลือกเอาสักตู้หนึ่งแล้วให้คนที่เลือกไว้กดสวิตช์...”

“ไหนสวิตช์” นากาเนะขัดขึ้นมา มันไม่มีจริงๆนั่นแหละ ตัวตลกกระทืบเท้ารัวๆ

พรึ่บ โต๊ะแก้วโผล่ขึ้นมาทันทีพร้อมปุ่มสีขาวครึ่งสีดำครึ่ง มีทั้งหมดสี่ปุ่ม

“ต้องเลือกทำลายตู้ทั้งสามใบจนเหลือตู้ที่เพื่อนของเจ้าอยู่เท่านั้นหากทำได้จะถือว่าผ่านการทดสอบ”

“ข...ขอโทษนะคะถ้าพลาดไปโดนเพื่อนขึ้นมาล่ะ” เรรินะถาม

“ก็ต้องตาย” ตัวตลกพูดเรื่องตายหน้าตาเฉยชา บ้ารึเปล่า

“การทดสอบนี้มันอันตรายเกินไปใครจะไปยอมกันเล่า” ใช่นากาเนะ ฉันก็ไม่ยอม

“เปลี่ยนไปทดสอบอย่างอื่นไม่ได้เหรอจ๊ะ” ริมิพูดขึ้นมาบ้าง

“ฟังข้าพูดก่อนมันไม่อันตรายขนาดนั้นหรอกเพราะข้ากางเขตอาคมไว้แล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามความจริงแต่นั่นก็หมายถึงถ้าพวกเจ้าต้องผ่านการทดสอบ”

“ถ้าไม่ผ่านล่ะ” เรรินะถามอย่างกล้าๆกลัวๆ

“พวกเจ้าก็ต้องภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างนั้น ฮ่าๆๆๆๆ” ชายหน้าขาวหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข

“ใครจะเข้าไปก่อน” ตัวตลกถาม

“ริมิเองจ้า” ริมิยกแขนขึ้นเสนอตัวเองพลางจะไปเลือกตู้ ทว่าปริทาด้ายืนจังก้าขวางริมิ

“อิฉันเองเจ้าค่ะ ท่านซาโตริกำชับให้อิฉันดูแลท่านริมิอย่าให้เป็นอะไรไปเด็ดขาด”

“แล้วตัวปริทะจังเองจะเป็นยังไงก็ช่างเหรอจ๊ะ”

“เจ้าค่ะ” น้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มเปี่ยมด้วยความตั้งใจ

“ซาริจังนิสัยแย่ที่สุด ถ้าเจอซาริจังนะต้องต่อว่าซะหน่อย” ริมิผลักปริทาด้าให้พ้นทางแล้วก้าวเท้าเร็วๆไปหน้าตู้ที่หมายปอง แต่ก่อนจะได้เข้าไปสาวเมดปรี่ตัวผลักริมิกระเด็นแล้วเธอก็เข้าไปแทน

“ปริทะจังออกมานะ” ริมิสั่ง

“ถือว่าเลือกแล้ว” ตัวตลกพูด “ถอยออกมา” ริมิดึงประตูตู้มันไม่ยอมเปิด

ปึง สายลมแรงพัดริมิกระเด็นไปนอนติดกำแพง

“ข้าบอกแล้วว่าให้ถอยออกมา” ตัวตลกพูดเหมือนว่าก็ช่วยไม่ได้นี่นะอุตส่าเตือนแล้ว

“เป็นอะไรรึเปล่าริมิจัง” เรรินะปราดไปดูอาการริมิ

“ริมิไม่เป็นไรจ้ะ” เรรินะช่วยพยุงริมิ

“เอ้าเลือกเลยมิสเทสแห่งความตาย” ตัวตลกบอก ตู้ถูกสลับอย่างรวดเร็วมองแทบไม่ทันก่อนจะหยุดแล้วเรียงเป็นแถวตอนเรียงหนึ่งอย่างมีระเบียบ ใครจะไปเลือกถูกกันเล่า แต่ว่ามีโอกาสสามในสี่ที่จะกดไม่โดนปริทาด้าถ้าเป็นอย่างนั้นตอนแรกๆน่าจะลองกดมั่วไปก่อน ฉันเลือกตู้ที่สองนับจากขวา ตู้สั่นไหวรุนแรงดาบผุดขึ้นมาจากพื้นหลายเล่มแล้วพลุ่งปักตู้ไม่ยั้ง ตู้นี้ไม่มีใครสินะ นั่นยังเร็วไปที่ฉันจะคิดแบบนั้นเพราะไม่กี่วินาทีต่อมาเลือดหยดติ๋งๆจากตู้ใบนั้น บ้าน่า!!! การคำนวณของฉันผิดพลาดเป็นไปไม่ได้ ตู้ที่มีมีดปักถูกเคลื่อนไปชิดกำแพง

“ปริทะจัง” ริมิปรี่ตัวไปเปิดประตูน้ำใสๆไหลริน มือน้อยๆดึงฉุดกะชากลูกบิดแต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิด เรรินะน้ำใสๆคลอเคลีย

“ใครจะเป็นรายถัดไป” ไอ้ตัวตลกพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ร...เราเอง” เรรินะเสียงสั่น

“อย่านะเรย์นะจัง!!! หยุดดดดดด!!!” เรรินนะไม่ฟังคำหักห้ามของเพื่อน เธอก้าวเท้าฉับๆเข้าไปอยู่ในตู้อย่างรวดเร็ว ริมิทั้งทุบทั้งดึงแต่ผลของมันก็เป็นแบบเดิม

“เรย์นะจังออกมา” สายลมแรงปะทะร่างริมิพัดเธอกระเด็นอีกครั้ง ตู้สามใบรวมกันเป็นหนึ่งก่อนจะแยกออกมาเป็นสี่

“เลือกเลยมิสเทสแห่งความตาย หวังว่าควาวนี้จะโชคดีนะ” ใครใช้ให้นายมาอวยพรฉันไอ้ตัวตลก เมื่อกี้นี้แค่คำนวณพลาดเท่านั้นคราวนี้ฉันไม่มีทางกดโดนยัยเรรินะในปุ่มแรกหรอกกลับมาที่ทฤษฏีโอกาสสามในสี่มันเป็นไปได้ยากมากที่จะพลาดไปโดนถ้าเป็นคำสั่งให้เลือกตู้ที่เพื่อนอยู่ยังยากซะกว่าเพราะนั่นคือหนึ่งในสี่ มัวแต่คิดอย่างนี้ก็ไม่ช่วยอะไรต้องลองกดดูและคราวนี้ต้องโดนตู้เปล่าแน่ ฉันเลือกตู้ที่สองนับจากทางซ้าย ตู้ใบนี้นิ่งไม่มีดาบผุดขึ้นมา....แต่ทว่าควันสีเขียวที่เล็ดรอดออกมาเล็กน้อยนั่นคืออะไร

“แค่กๆๆ” เสียงคนไอเหมือนกำลังสำลักหรือว่าตู้นั้นมัน...ปึงๆๆ เรรินะกำลังพยายามทุบประตู

“อ้าวช่างโชคดีจริงๆสาวน้อยเพื่อนของเจ้าสูบควันพิษเข้าไปเต็มปอดคงตายในไม่ช้า” ชายจมูกแดงพูดอย่างร่าเริงฉีกยิ้มกว้างแก้มแทบปริหากฉันไม่ได้คิดไปเองเขามีความสุขที่ได้ฆ่าคนอื่น

“เรย์นะจังอดทนไว้นะ” ริมิรีบพลุ่งตัวเข้าไปเปิดประตู เธอใช้ได้พันรอบๆลูกบิดแล้วออกแรงดึง

“บ้าเอ๊ย” นากาเนะสบถแล้วตรงเข้าพังประตูอีกแรง

“ถอยออกไปซะ” เสียงตัวตลกแข็งกระด้างลง สายลมแรงพัดริมิกับนากาเนะกระเด็น

“เรย์นะจัง” ริมิลุกขึ้นเธอทำท่าจะวิ่งเข้าใส่ตู้แต่ต้องชะงักเมื่อเสียงปึงๆๆหยุดลง ตู้ถูกเคลื่อนไปอยู่ข้างๆตู้ปริทาด้าอย่างช้าๆ

“เรย์นะจัง” ริมิทรุดตัวลง เธอร้องไห้ไม่หยุดสองมือเช็ดน้ำตา

“กดยังไงของเธอแม่นเหลือเกินนะ” นากาเนะพูดอย่างฉุนเฉียว

“ฉันผิดใช่มั้ยที่ทำสองนั้นคนตายเธอคิดว่าฉันอยากให้สองคนนั้นตายเหรอ” ฉันเริ่มมีอารมณ์

“ฉันไม่ได้บอกว่าเธอผิดสักหน่อยแค่ถามว่ากดยังไงโดนพวกเดียวกันตลอดต่างหาก อย่าร้อนตัวเซ่”

“อ้อหรอ พูดมาได้เนาะทั้งๆที่ความหมายของรูปประโยคมันบอกอย่างชัดเจน” นากาเนะจ้องฉันเขม็ง

“หยุดเถอะจ้ะ” ริมิพรวดเข้ามายืนกั้นกลาง

“หลบเรื่องนี้เธอไม่เกี่ยว” นากาเนะบอก

“ไม่จ้ะ ทั้งสองคนต้องดีกันก่อน” ริมิดึงมือฉันพลางดึงมือของนากาเนะให้มาจับคืนดีกัน

“ไม่มีทาง ชิ” นากาเนะปัดมือฉันแล้วเดินตรงไปเข้าตู้ ม...ไม่นะ อย่าทำอย่างนั้น เดี๋ยว..ยังไม่ทันได้เอ่ยปากนากาเนะเดินหายไปในกล่องสี่เหลี่ยม ตู้รวมกันเป็นหนึ่งแล้วแยกออกเป็นสี่

“เลือกเลยมิสเทสแห่งความตาย” รู้แล้วน่าไม่ต้องย้ำบ่อยนักก็ได้ไอ้หน้าวอก ฉันมือสั่นไปหมดไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับคนอย่างฉัน กลัว...ฉันกลัว...

“ยูกิจังไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ” ริมิกุมมือฉันแน่น ตัวของเธอก็สั่นไม่แพ้กัน

“ขอบใจริมิ”

“ริมิคิดว่ามันแปลกนะจ๊ะเขาต้องโกงแน่เลย” ริมิกระซิบ ใช่แล้วทำไมฉันไม่เคยคิดมาก่อนนะต้องใช่แน่พวกเราโดนโกงถ้าลองคิดดูดีๆตู้ไม่มีเลขตายตัวแค่เรียงให้ตรงกับปุ่มบนโต๊ะเท่านั้นบางทีปุ่มพวกนี้อาจมีไว้หลอกตาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้และเขาอาจสลับตู้ที่ฉันเลือก...แต่มาคิดดูอีกทีต่อให้รู้อย่างนี้ก็พิสูจน์ไม่ได้สักหน่อยว่าไอ้ตัวตลกมันโกง

“ยูกิจังเห็นอะไรมั้ยจ๊ะ”

“เอ๊ะ” ริมิพยักเพยิดมายังข้อมือ ฉันมองตามพบว่าเส้นด้ายสีแดงมัดติดอยู่พอมองไล่ไปตามเส้นมันหายไปในตู้ซ้ายสุดคงมัดติดอยู่กับข้อมือนากาเนะและดูเหมือนนายหน้าวอกจะมองไม่เห็นมันด้วย ตั้งแต่เมื่อไหร่...น่าจะเป็นที่ริมิบอกให้ฉันคืนดีกับนากาเนะ หัวแหลมมากริมิ

“ถ้าเลือกแล้วไม่เอาขอเปลี่ยนได้มั้ย” ฉันถาม

“ได้” ตัวตลกตอบ นากาเนะอยู่ตู้ซ้ายสุด ฉันเลือกกดปุ่มตู้ขวาสุดแล้วก็เป็นดังคาดตู้ของนากาเนะถูกเคลื่อนมาอยู่แทนที่ตู้เดิม

“เดี๋ยวๆๆ ขอเปลี่ยนไม่เอาตู้นี้” ฉันแกล้งบอกอย่างลังเล ตัวตลกไม่สบอารมณ์นักคราวนี้ฉันเลือกตู้ที่สามนับจากขวา ตู้ขวาสุดถูกเคลื่อนมาสลับตู้ที่ฉันเลือกดูไม่ทันจริงๆถ้าไม่เพราะด้ายของริมินากาเนะก็คงต้องตาย

“ขอเข้าไปดูใกล้ๆได้มั้ย” ฉันถาม

“เออ” เขาตอบแบบปัดความรำคาญ ฉันตรงไปยืน ณ ตู้ที่ด้ายเชื่อมถึงจากนั้นจัดการเรียกเคียวออกมาแล้วทำลายตู้เปล่าที่เหลือทันที ชายจมูกแดงตาโตแทบถลน

“เจ้าโกง”

“ก็นายโกงก่อนและอีกอย่างโคมไฟสว่างวาบขนาดนั้น” ใช่โคมไฟเปล่งแสงทันทีที่ฉันทำลายตู้เสร็จ ประตูตู้เปิดตัวออกเองนากาเนะก้าวเท้าลงมา

“คิดแล้วว่าแกต้องโกง” นากาเนะบอก ตู้สองใบข้างกำแพงเลือนหายไปแล้วปรากฏร่างของหญิงสาวสองคนริมิโผเข้ากอดปริทาด้าก่อนจะสลับไปกอดเรรินะ

“ปริทะจังห้ามทำอย่างนั้นอีกนะจ๊ะ” ไม่รู้ว่าริมิบอกหรือสั่งแต่น้ำเสียงเจือสะอื้น

“พวกเจ้าไปไม่ได้ข้าไม่ยอม”ตัวตลกโวยวายพลางยืนขวางประตู

“หลบสิจ้ะ” ริมิขอร้องดีๆ

“ไม่หลบ”

“หลบเถอะจ้ะ”

“ไม่หลบ” ตัวตลกย้ำคำเดิมเสียงแข็ง

“เอาไงดีเจ้าคะ” ปริทาด้าถามเรรินะ

“แล้วแต่เจ้าจะจัดการ” เรรินะออกคำสั่งแลดูแตกต่างจากทุกทีสายตาที่ดูมีอำนาจนั่นอีกอย่างกะคนละคนไม่สิก่อนหน้านี้ที่บ้านฉันเรรินะก็เคยทำสายตาแบบนั้นเหมือนกันแค่เพียงเหล่มอง นากาเนะก็เงียบสนิท ผู้หญิงคนนี้จริงๆแล้วเป็นคนแบบกันนะ ปริทาด้ายกเลื่อยขึ้นสูงฉันสงสัยจริงว่าเธอล้วงอาวุธน่ากลัวอย่างนั้นออกมาจากไหน

“เจ้าจะทำอะไร”

“ทำตามคำสั่ง” สิ้นเสียง สาวเมดฟาดเลื่อยลงหมายจะผ่าร่างของตัวตลก แต่เขากระโดดหลบทันดังนั้นวิถีของเลื่อยจึงลงเข้ากับบานไม้ ประตูถูกทำลายในจังหวะนี้พวกเราทุกคนรู้ทันทีว่าควรทำอะไรโดยไม่ต้องพูดออกมานั่นคือวิ่งขึ้นไปยังชั้นต่อไป

“พวกเจ้าหยุด” ตัวตลกจะวิ่งผ่านประตูที่เหลือแต่ซากไม้ ปริทาด้าเห็นดังนั้นจึงถีบยอดหน้ามันไปหนึ่งทีก่อนจะวิ่งตามมา

“ต่อไปเป็นชั้นสุดท้ายแล้วนะจ๊ะ” ริมิบอก

“หวังว่าปีศาจจะรักษาสัญญานะ” นากาเนะพูด

“บททดสอบสุดท้ายต้องยากแน่” ฉันคาดการณ์

“ไม่หรอกค่ะเพราะถ้าพวกเราช่วยกันต้องผ่านไปได้แน่” เรรินะ... นั่นสินะ