PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : ประวัติความเป็นมาของ ปืนไรเฟิลประจำกาย M-16



cpt.noppakit
13th May 2012, 22:22
http://www.thailandoutdoor.com/Gun/History_of_M16_files/fire6fa.jpg

“วันที่ 16 มิถุนายน พศ. 2506 หน่วยลาดตระเวนสังกัดกองร้อยที่ 340 ปะทะกับข้าศึกจำนวน 3 นาย ขณะออกปฏิบัติการในป่าลึก
ทหารเวียตกง 2 นาย มีอาวุธปืนคาร์บิน ลูกระเบิดขว้าง ระเบิดแสวงเครื่อง ข้าศึกอีก 1 นายใช้อาวุธปืนกลมือ ที่ระยะประมาณ 15 เมตร ทหารเวียตนามใต้ใช้ปืนไรเฟิลจู่โจม เออาร์-15
(ต้นแบบของปืน เอ็ม-16 เพยาว์ศรี) ยิงต่อสู้โดนทหารเวียตกง 3 นัด หนึ่งนัดเด็ดหัวข้าศึกออกจากคอ หนึ่งนัด กระทบที่แขนทำให้แขนหลุด อีกนัด เข้าด้านขวาของลำตัว
เกิดเป็นรูบาดแผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 นิ้ว ในความเห็นของข้าพเจ้า บาดแผลจากกระสุนเพียงนัดใดนัดหนึ่ง ก็เพียงพอที่จะปลิดชีพข้าศึก ฯลฯ”

รายงานของนายทหารอเมริกัน ที่ปรึกษากองทัพเวียตนามใต้และสังเกตการณ์ในสงครามเวียตนาม

สองตำนานสงครามยอดนิยมที่ได้รับการกล่าวขาน (อย่างคาดเคลื่อน) น่าจะเป็นประวัติการประจำการของปืนโคลท์ ยูเอสอาร์มี่ 11 มม.
เล่ากันว่าแจ้งเกิดระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อหยุดยั้งการจู่โจมประชั้นชิดของเหล่าทหารกล้าตายกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น บางคราถึงกับบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่ เช่น ซามูไรคิลเลอร์ Samurai Killer
ปืนพกประจำกายกึ่งอัตโนมัติขนาด .45 ของกองทัพสหรัฐอเมริกา มีชื่อเป็นทางการว่า United States Pistol Caliber .45 M1911 ประจำการครั้งแรกในปี คศ. 1911 (พศ. 2454)
ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเสียอีก ออกรบครั้งแรกในการปราบจลาจลชนเผ่าโมโร ในประเทศฟิลิปปินส์ ระหว่างปี คศ. 1912-1916 และก็ไม่ได้ผลิตโดยบริษัทโคลท์เพียงรายเดียว
มีอีกหลายบริษัทได้รับมอบหมายเช่น อิธาก้า (Ithaca Gun Company), บริษัทผลิตกระสุนเรมิงตัน (Remington Arms Company) หรือแม้กระทั่งบริษัทผลิตเครื่องเก็บเงิน NCR (National Cash Register)
และบริษัทผลิตจักรเย็บผ้าซิงเกอร์

อีกตำนานได้แก่ปืนไรเฟิลเอ็ม-16 ที่ “ผู้รู้” กล่าวว่าเจ้าปืนกระบอกนี้แจ้งกำเนิดเพราะสงครามเวียตนาม ปืนที่ประจำการก่อนหน้า เอ็ม-1 การ์แรนด์ และ เอ็ม-14 นั้นหนักเหลือหลาย
ไม่เหมาะสมกับสงครามในป่าทึบ ไม่ก็วิเคราะห์ว่าคนเอเชียตัวเล็กถือปืนหนักไม่ไหว ราวกับอเมริกาจะยอมลงทุนวิจัยทดสอบอาวุธเสียเงินหลายพันล้าน เพื่อให้ประเทศที่แทบไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจโลก
(แต่มีผลกับการประจายอิทธิพลของสองมหาอำนาจ) เพราะแท้จริงปรัชญาสงครามของแม่ทัพอเมริกัน เริ่มเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ในปี คศ. 1948 (พศ. 2491) กองทัพบกสหรัฐอเมริกาจัดตั้งสำนักงานวิจัยการปฏิบัติการ (Operation Research Office หรือ ORO) มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการปฏิบัติงานของกองทัพ
โครงการแรกของสำนักงานได้แก่วิจัยและพัฒนาเสื้อเกราะ สำนักงานได้ดำเนินการค้นหาข้อมูลจากทหารผ่านศึก พบว่าร้อยละ 87 ของกลุ่มผู้สำรวจประกอบด้วยทหารราบจำนวน 602 นาย
แจ้งว่าร้อยละ 95 ของการปะทะยิงต่อสู้เกิดในระยะใกล้กว่า 300 หลา (274 เมตร) อีกหลายรายกล่าวว่าการปะทะส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ระยะไม่เกิน 100 หลา (91 เมตร)
นายมาแชล (S.L.A Marshall) นักค้นคว้าประวัติศาสตร์การทหาร พบว่าระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง มีทหารเพียง 4 ใน 10 ต่อสู้กับข้าศึก
นายทหารนอกราชการยศพันตรี เดฟ กรอสแมน (Lieutenant Colonel Dave Grossman, Retired) ให้ข้อสรุปแม้ทหารที่ได้รับฝึกมาเป็นอย่างดี ก็ยังมีสัญชาติญาณเหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไป
นั่นก็คือมีจิตใจต่อต้านการทำร้ายผู้อื่น ทหารรบที่ได้รับบาดเจ็บหรือตายส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการยิงเล็งประณีต แต่จากการยิงฉับพลันหรือยิงสุ่ม
หมายความว่า ไรเฟิลประจำกายที่ให้ประสิทธิผลสูงสุดและเหมาะสมกับพฤติกรรมของทหารทั่วไป ควรจะเป็นปืนที่ใช้กระสุนขนาดกลาง (เพิ่มอำนาจการยิง สามารถขนย้ายได้จำนวนมากกว่ากระสุนขนาดใหญ่)
ทำให้สามารถลดมิติและน้ำหนักของปืน (เพิ่มความคล่องตัว) และมีคุณสมบัติยิงในระบบอัตโนมัติ (เพิ่มโอกาสกระสุนเข้าเป้าหมาย)
คุณสมบัติปืนไรเฟิลกำหนดโดยสำนักงาน ORO
1.ใช้ซองกระสุนบรรจุได้ 20 นัด
2.น้ำหนักปืนและกระสุนต่ำกว่า 6 ปอนด์ (2.72 กก.)
3.สามารถยิงในระบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติ
4.กระสุนสามารถยิงทะลุหมวกเหล็กมาตรฐาน เสื้อเกราะหรือแผ่นโลหะหนา 3.4 มม. ที่ระยะ 500 หลา (457 เมตร)
ณ ขณะนั้น ปืนประจำกายหลักของกองท้พสหรัฐฯได้แก่ ปืนไรเฟิลกาแรนด์ เอ็ม-1 (Garand M-1) น้ำหนักปืน 4.32 กก. ใช้กระสุนขนาด .30-06 (Cal. 30 M1906 Ball)
บรรจุด้วยแหนบกระสุน 8 นัด ยิงในระบบกึ่งอัตโนมัติ เป็นปืนและกระสุนที่มีคุณสมบัติจำเพาะตัวขัดค้านกับข้อสรุปของการวิจัย

http://www.thailandoutdoor.com/Gun/History_of_M16_files/h97174.jpg
M1 Garand เป็นปืนประจำการหลักในกองทัพสหรัฐตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองจนมาถึงสงครามเกาหลี

สืบเนื่องจากรายงานของสำนักงานฯ ระหว่างปี คศ. 1953-1957 (พศ. 2496-2500) กรมสรรพาวุธสหรัฐฯได้จัดตั้งโครงการซัลโว (Project Salvo) ในปี คศ. 1957
มอบหมายให้บริษัทผลิตอาวุธและกระสุนวินเชสเตอร์ (Wincester Repeating Arms) และบริษัทอาร์มาไลท์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทผลิตเครื่องยนต์และอากาศยานแฟร์ไชลด์
(ArmaLite Division of the Fairchild Engine and Airplane Corporation) พัฒนาและผลิตไรเฟิลและกระสุนความเร็วสูงขนาด .22 นิ้ว
ในปี คศ. 1956 (พศ. 2499) บริษัทแฟร์ไชลด์ โดยนายยูจีน สโตนเนอร์ (Eugene Stoner) ผู้ออกแบบและหัวหน้าโครงการ ได้นำปืน เออาร์-10 (AR-10)
มาพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับคุณสมบัติที่ระบุในรายงานของสำนักงาน ORO ไรเฟิลเออาร์-10 ใช้กระสุนขนาด 7.62 มม. (ตรงกับกระสุนพาณิชย์ .308 วินเชสเตอร์)
เป็นปืนมีข้อมูลจำเพาะแตกต่างจากปืนประจำการรุ่นเดิมในกองทัพสหรัฐฯโดยสิ้นเชิง ยูจีนได้นำโครงสร้างและระบบปฏิบัติการที่โดดเด่นของไรเฟิลอื่นๆ นำมาผสมผสาน เช่น ระบบขัดกลอนของ ไรเฟิล เอ็ม-1941
จอห์นสัน, ครอบลำเลื่อนแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนบนและส่วนล่างมีบานพับอยู่ด้านหน้า ต้นแบบมาจากปืนเอฟเอ็น เอฟเอแอล ประเทศเบลเยี่ยม
(FN-FAL ย่อมาจาก Fabrique Nationale - Fusil Automatique Léger แปลว่า Light Automatic Rifle ปืนเล็กยาวบรรจุเอง), ระบบปฏิบัติการด้วยก๊าสไร้ลูกสูบและก้านสูบ
ก๊าสจากการเผาไหม้ของดินขับดันลูกเลื่อนโดยตรง กระโจมมือและพานท้ายทำด้วยพลาสติก โครงปืนเป็นอัลลูมิเนี่ยมผสม ทำให้ เออาร์-15 (AR-15) มีน้ำหนักเบา 6.39 ปอนด์ (2.89 กก.)
การลดส่วนประกอบและใช้วัสดุสังเคราะห์ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มอัตราการผลิต

http://www.thailandoutdoor.com/Gun/History_of_M16_files/Ar10-1.jpg

http://www.thailandoutdoor.com/Gun/History_of_M16_files/shapeimage_2.png
บน AR-10 ปืน Assault Rifle ขนาด 7.62X51 NATO จากการออกแบบของ Eugene Stoner เพื่อเข้าประกวดในโครงการจัดหาอาวุธในครั้งแรก แต่กองทัพเลือก M14 (ล่าง)
ที่พัฒนาขึ้นมาจากพื้นฐานของ M1 Garand

ในขณะเดียวกัน บริษัทวินเชสเตอร์ได้รับมอบหมายให้พัฒนากระสุนโดยปรับปรุงจากกระสุนพาณิชย์ .222 เรมิงตัน เป็น 5.56x45 มม.
(เส้นผ่าศูนย์กลางกระสุน 5.56 มม. ความยาวของปลอกกระสุน 45 มม.) น้ำหนักหัวกระสุน 55 เกรน ความเร็ว 3200 ฟุตต่อวินาที ต่อมาเข้าประจำการในรหัส 5.56 Ball M193
ช่วงระยะเวลาที่เออาร์-15 อยู่ระหว่างการพัฒนา ความเห็นเกี่ยวกับคุณสมบัติของปืนเล็กยาวประจำการกองทัพสหรัฐอเมริกาถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งยังยึดถือปรัชญาดั้งเดิม
ปืนสงครามหลักควรเป็นไรเฟิลยิงระบบอัตโนมัติใช้กระสุนขนาด .30 นิ้ว มีอำนาจหยุดยั้ง (หากสามารถยิงเข้าเป้าหมาย) สูงกว่าปืนที่ใช้กระสุนเล็กความเร็วสูง เช่นปืน เอ็ม-14
ซึ่งใช้กระสุน 7.62x51 (.308 วินเชสเตอร์) อีกฝ่ายเห็นด้วยกับรายงานของสำนักงาน ORO และคุณสมบัติของเออาร์-15
แม้ในกองทัพอันแสนยิ่งใหญ่เยี่ยงสหรัฐฯ พฤติกรรมการขัดขวาง ขัดขา ก็มิได้ว่างเว้น ประกอบกับความผิดพลาดภายในแฟร์ไชลด์เอง ปืนที่ส่งเข้าทดสอบชุดแรกในปี คศ. 1958 (พศ. 2501)
มีปัญหาความแม่นยำและความน่าเชื่อถือ เหตุการณ์วิกฤติถึงขนาดที่บริษัทแฟร์ไชลด์หลังจากได้ลงทุนค้นคว้าวิจัยมูลค่า 1.45 ล้านเหรียญ ในเดือนธันวาคม คศ. 1959 (พศ. 2502)
ติดสินใจโยนผ้าขาว ขายโครงการให้กับบริษัทผลิตอาวุธปืนโคลท์ (Colt’s Manufacturing Company หรือ CMC) เป็นจำนวนเพียง 75,000 เหรียญ และรับค่าลิขสิทธิ์ร้อยละ 4.5 ของยอดขายจากโคลท์
จากนั้นไม่นานบริษัทแฟร์ไชลด์มีการปรับโครงสร้างองค์กร คุณยูจีนถือโอกาสลาออกจากบริษัทไปอยู่กับโคลท์
ปืนเออาร์-15 และซองกระสุนรุ่นแรกๆที่ผลิตโดยโคลท์เพื่อประจำกองกองทัพยังประทับชื่ออาร์มไลท์ ในขณะที่ปืนเออาร์-15 สำหรับตลาดพาณิชย์ (ระบบปฏิบัติการกึ่งอัตโนมัติ)
ออกจำหน่ายภายใต้ชื่อโคลท์ เออาร์-15 มีระยะหวังผลกว่า 215 หลา (200 เมตร) ยิงได้ทั้งระบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติ เริ่มแรกใช้ซองกระสุนบรรจุ 20 นัดภายหลังเปลี่ยนเป็นซองกระสุน 30 นัด
ให้เท่าเทียมกับปืนฝ่ายตรงข้ามค่ายม่านเหล็ก เอเค-47
รายงานของกองทัพอากาศสหรัฐในปี คศ. 1961 (พศ. 2504) ยอมรับคุณสมบัติของเออาร์-15 และต่อมาอนุมัติจัดซื้อจำนวน 8,500 กระบอกเข้าประจำการหน่วยสารวัตรทหารอากาศ
แทนปืนเอ็ม-1 คาร์บิน ใช้ชื่อเป็นทางการ ปืนไรเฟิลประจำการสหรัฐ, ขนาด 5.56 มม., M16 (United States Rifle, Caliber 5.56 mm., M16) ในปี คศ. 1964 (พศ. 2508) ปีเดียวกับที่เอ็ม16
เข้าประจำการกองทัพอากาศ กองทัพบกสั่งซื้อเออาร์-15 จุดประสงค์เพื่อทดสอบ ใช้ชื่อ XM16E1 ไรเฟิล M16 ประจำการกองทัพอากาศต่างกับ XM16E1
ตรงที่ปืนทดสอบกองทัพบกติดตั้งคันส่งลูกเลื่อน (Bolt Assist ตำราบางเล่มเรียกว่า Forward Assist) จุดประสงค์เพื่อดันลูกเลื่อนให้เข้าที่กรณีรังเพลิงสกปรก
และแรงดันของสปริงสะท้อนถอยหลังไม่เพียงพอ ในขณะที่กองทัพอากาศเห็นว่าคันส่งฯจะเพิ่มกลไกและราคาอาวุธโดยไม่มีความจำเป็น

http://www.thailandoutdoor.com/Gun/History_of_M16_files/m16.jpg

http://www.thailandoutdoor.com/Gun/History_of_M16_files/m16a1.jpg

ในขณะเดียวกันบริษัทโคลท์ก็ได้นำเสนอเออาร์-15 ให้แก่สำนักงาน Advanced Research Project Agency (ARPA) จำนวน 1,000 กระบอกมอบให้แก่ทหารเวียตนามใต้เพื่อทดสอบใช้งานในสนามรบ
ผลปรากฏเป็นรายงานในบทนำของบทความนี้

คศ. 1966 (พศ. 2509) เป็นเวลาที่ทหารสหรัฐฯในสงครามเวียตนามได้รับปืน M16 เข้าประจำการ รายงานประสิทธิภาพของ M16
จากเดิมสวยหรูมหัศจรรย์จนเสนาธิการบางคนตั้งข้อสังสัยต่อความแม่นยำของข้อมูล จากสวรรค์เป็นนรก กล่าวถึงปืนขัดลำระหว่างการสู้รบ พบทหารเสียชีวิตเนื่องจากปืนเอ็ม16
ขัดข้องยิงต่อสู้ไม่ได้ บางรายปืนอยู่ในสภาพถูกถอดเหมือนกับพยายามแก้ไขหรือทำความสะอาดอยู่ข้างกาย

ลำกล้องและรังเพลิงปืนต้นแบบเออาร์-15 ผลิตโดยบริษัทแฟร์ไชลด์ เคลือบแข็งด้วยโครมจุดประสงค์เพื่อป้องกันการสึกกร่อนและทำให้รังเพลิงลื่นลดอาการปลอกกระสุนติดค้าง
แต่ปืนที่ผลิตโดยโคลท์ซึ่งเข้าประจำการไม่มีการชุบโครม ประการที่สอง ดินขับของกระสุน 5.56 ระบุโดยโคลท์และผู้ออกแบบคือคุณยูจีนให้เป็นชนิด IMR (Improved Military Rifle)
เป็นดินขับที่เผาไหม้แล้วลำกล้องและรังเพลิงสะอาดวาววับมีวัสดุตกค้างน้อยมาก ด้วยคุณสมบัติของดินขับผู้ผลิตนำเสนอเออาร์ให้กับกองทัพว่าเออาร์-15 เป็นปืนที่มีคุณสมบัติบำรุงรักษาต่ำ
ไม่จำเป็นต้องนำเสนออุปกรณ์ทำความสะอาดหรือแม้กระทั่งวิธีการบำรุงรักษา

แต่กรมสรรพวุธได้เปลี่ยนดินขับเป็นชนิด Ball ซึ่งมีคุณสมบัติต่างกับดินขับ IMR การเผาไหม้สกปรกมีเขม่าตกค้างในท่อก๊าสและรังเพลิง ทำให้ปืนขัดลำ และเนื่องจากดินขับชนิด Ball
มีอัตราการเผาไหม้สูงกว่าดินขับ IMR ส่งผลให้อัตราการยิงของปืนในระบบอัตโนมัติสูงกว่าที่ออกแบบไว้ ผลคือปืนสึกหรอ ชำรุดเสียหายเร็วกว่าปกติ
รวมไปถึงความแม่นยำลดถอยเพราะรีคอยล์และแรงสะบัดเงยที่เพิ่มขึ้น

สภาผู้แทนราษฎรคอนเกรสได้แต่งตั้งกรรมาธิการตรวจสอบปัญหาของปืนเอ็ม16 ผลคือการเปลี่ยนแปลงต่อปืนและกระสุน และจัดโครงการฝึกวิธีการบำรุงรักษาและทำความสะอาดอาวุธ
พร้อมจัดทำคู่มือการบำรุงรักษา ลำกล้องและรังเพลิงชุบโครมแข็ง ติดตั้งคันส่งลูกเลื่อนเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ปรับปรุงระบบปฏิบัติการเพื่อลดอัตราการยิง พานท้ายมีช่องบรรจุอุปกรณ์ทำความสะอาด
ปรับปรุงส่วนผสมดินขับกระสุน M193 เพื่อลดวัสดุตกค้าง
ในปี คศ. 1967 (พศ. 2510) XM16E1 เข้าประจำการกองทัพบกสหรัฐอเมริกาในชื่อ ปืนไรเฟิลประจำการสหรัฐ, ขนาด 5.56 มม., M16A1 (United States Rifle, Caliber 5.56 mm., M16A1)
กองทัพสหรัฐยังได้แต่งตั้งผู้ผลิตเพิ่มเติม ได้แก่ บริษัทผลิตอาวุธ เฮริงตัน แอนด์ ริชชาร์ดสัน (Harrington & Richardson) และส่วนการผลิตระบบส่งกำลังของบริษัทผลิตยานยนต์เยนเนอแรล มอเตอร์
(Hydramatic Division, General Motors)
ผลจากการเปลี่ยนแปลงทำให้ปืนเอ็ม-16 มีประสิทธิภาพตามที่คาดหมาย กลายเป็นปืนประจำการหลักทั้งสี่เหล่าของกองทัพสหรัฐอเมริกา
และสัมพันธมิตรแห่งโลกเสรีและโลกเผด็จการที่อยู่ใต้อำนาจมะกันอีกกว่า 73 ประเทศ

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เหตุการณ์การเมืองผันแปร ศัตรูของโลกเสรีเปลี่ยนจากกลุ่มอักษะ ลัทธินาซี กลายมาเป็นโลกค่ายคอมมิวนิสต์ มีสหภาพโซเวียต (ชื่อสมัยนั้น)
เป็นผู้นำ ฝ่ายประชาธิปไตยมีอเมริกาเป็นพี่ใหญ่ร่วมกับประเทศในยุโรปตะวันตกจัดตั้งองค์การนาโต้ หรือ North Atlantic Treaty Organization (NATO) ในปีคศ. 1949 (พศ. 2492)
ระยะแรก องค์กรนี้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีใครให้ความสำคัญ แต่หลังสงครามเกาหลีสิ้นสุด ประเทศสมาชิกชักเริ่มเห็นโลงศพ คราวนี้กระตือรือร้นจัดตั้งกองทัพร่วมชาติ
ฝ่ายม่านเหล็กมีปฏิกิริยาตอบโต้โลกเสรีโดยจัดตั้งองค์กรมีชื่อเป็นทางการว่า สนธิสัญญามิตรภาพและความช่วยเหลือร่วมกัน Treaty of Friendship, Cooperation and Mutual Assistance
หรือที่รู้จักกันในนามกลุ่มวอร์ซอร์ Warsaw Pact ในปี คศ. 1955 (พศ. 2498)

หนึ่งในบทเรียนที่ได้รับจากสงครามโลกครั้งที่สองคือความหลากหลายของยุทธโธปกรณ์ โดยเฉพาะกระสุนปืนประจำกาย ในขณะที่กองทัพอเมริกาใช้ปืนเล็กยาวเอ็ม 1 กาแรนด์ใช้กระสุน .30 เอ็ม 1906
(.30-06 สปริงฟิลด์) และปืนพกกึ่งอัตโนมัติขนาด .45 เอซีพี สหราชอาณาจักรเพื่อนร่วมสงครามและสัมพันธมิตรใช้ปืนเอ็นฟิลด์ Enfield ขนาด .303 ปืนพกลูกโม่เอ็นฟิลด์
ใช้กระสุน .38/200 (กระสุนเส้นผ่าศูนย์กลาง .38 นิ้ว หัวกระสุนหนัก 200 เกรน)

ปืนกลมะกันใช้ทอมสัน และเอ็ม 3 มีชื่อเล่นปืนจารบี Grease gun กระสุนขนาด .45 เหมือนกับปืนพก อังกฤษใช้สเตน Sten ยิงด้วยกระสุน 9 มม. พาราเบิลลั่ม
เวลาส่งกำลังบำรุงกันทีหัวจะระเบิด เจ็บแล้วต้องจำ ดังนั้นหนึ่งในข้อตกลงระหว่างประเทศสมาชิกก็คือ ปืนไรเฟิล ปืนพกจะเป็นยี่ห้อใดใครผลิตไม่ใช่ประเด็น แต่ต้องใช้กระสุนเหมือนกัน
นโยบายนี้สมาชิกนาโต้เห็นพ้องด้วยเป็นเอกฉันท์ แต่พอมาถึงการคัดเลือกกระสุนลุงแซมแกเริ่มออกลาย ขณะนั้นเสนาธิการอเมริกันยึดถือปรัชญาการรบเดิมยังคงอำนาจ
ปืนประจำการหลักของกองทัพสหรัฐคือ เอ็ม14 ก็คือปืนเอ็ม1 การ์แรนด์ แต่ปรับปรุงใหม่ให้สามารถยิงระบบอัตโนมัติ ใช้กระสุน 7.62x51 หรือ .308 วินเชสเตอร์ กล่าวคือนำกระสุน .30-06
ที่ใช้กับกาแรนด์ลดขนาดปลอกกระสุนให้สั้นลง

ขณะนั้นอังกฤษได้ลงทุนพัฒนาปืนไรเฟิลจู่โจมใช้กระสุนขนาด .280 นิ้ว มะกันบอกว่ากระสุนที่ว่ามันเล็กเกิน อำนาจหยุดยั้งไม่เพียงพอ ไม่เหมาะสมที่จะเป็นปืนไรเฟิลหลักขององค์กรอภิมหาอลังการเยี่ยงนาโต้
คู่อาฆาตหมีขาวประเทศรัสเซียยังใช้ปืนเอเค 47 ใช้กระสุน 7.62x39 เลย ปืนนาโต้ต้องมีคุณสมบัติเท่าเทียมกัน เยี่ยง 7.62x51 ทำให้โครงการอีเอ็ม 1 ซึ่งเป็นปืนต้นแบบ และ อีเอ็ม 2
เป็นปืนที่จะนำเข้าประจำการเป็นอันล้มเลิก อังกฤษก็เลยมาใช้ปืนเอฟเอ็น เอฟเอแอล FN-FAL ใช้กระสุน 7.62x51 แทน

http://www.thailandoutdoor.com/Gun/History_of_M16_files/em2.jpg

ในเดือนมีนาคม คศ. 1970 (พศ. 2513) กระทรวงกลาโหม ฉายาตึก 5 เหลี่ยม เพนตากอน (Pentagon) เขย่าประสาทผู้นำประเทศร่วมองกรค์นาโต้
โดยตระบัตรสัตย์ประกาศว่าทุกเหล่าทัพสหรัฐที่เข้าร่วมพลกับองค์การนาโต้จะประจำการด้วยปืนเอ็ม16เอ1 เพื่อนร่วมตายสหายร่วมใจประเทศอังกฤษถึงกับออกโรงประท้วง
ใครจะไม่โกรธาก็กระสุนขนาด .280 นิ้ว มีขนาดกระสุนใหญ่กว่า, ระยะหวังผล และอำนาจหยุดยั้งสูงกว่ากระสุน 5.56x41 ที่ใช้กับเอ็ม16 ทุกกรณี มิหนำซ้ำทั้งเงินลงทุนและเวลาก็เสียไปหมดแล้ว
แต่ผลสุดท้ายต้องยอม

กลุ่มสมาชิกนาโต้ตกลงที่จะใช้กระสุนขนาด 5.56x45 แต่ไม่พอใจกับประสิทธิภาพของกระสุน 5.56x45 Ball M193 ซึ่งเป็นกระสุนมาตรฐานที่ใช้กับปืนเอ็ม16เอ1 ในช่วงเวลาเดียวกัน
หนึ่งในบริษัทผลิตอาวุธและกระสุนในภาคพื้นยุโรปตะวันตก ได้แก่ บริษัทเอฟเอ็น FN ชื่อเต็มว่า Fabrique Nationale de Herstal แห่งประเทศเบลเยี่ยม
ได้พัฒนากระสุน 5.56x45 แต่ปรับปรุงโดยเฉพาะหัวกระสุน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม ข้อแตกต่างที่สำคัญของกระสุนที่ใช้รหัส SS109 ของบริษัท FN
ได้แก่ หัวกระสุนยาวและหนักกว่า M193 ในขณะที่แกนของ M193 เป็นตะกั่ว แกนของ SS109 ประกอบด้วยเหล็กกล้า (ส่วนปลาย) และตะกั่ว แต่พอเอาปืนเอ็ม16เอ1
มายิงทดสอบปรากฏว่า ประสิทธิภาพของกระสุนใหม่ดีกว่า M193 น้อยเดียว สาเหตุหลักเนื่องจาก เกลียวลำกล้อง (ทำหน้าที่ปั่นหัวกระสุนให้หมุนรอบตัว จุดประสงค์เพื่อสร้างความเสถียรขณะที่วิ่งผ่านอากาศ)
ของรุ่นเอ1 อยู่ที่ 1 รอบ ต่อ 12 นิ้ว สำหรับหัวกระสุน M193 ที่เบาและสั้นกว่า

SS109 กลายเป็นกระสุนประจำการขององค์การนาโต้ ส่วนปืนก็ของใครของมัน ขอให้กระสุนเหมือนกันเท่านั้นพอ มะกันก็เปลี่ยนกระสุนจาก M193 มาเป็น M855
สเป็คเดียวกับ SS109 ใช้ชื่อเป็นทางการว่า 5.56x45 Nato สำหรับเราๆท่านๆ อยากจะรู้ว่ากระสุนที่ถืออยู่ในมือใช่รุ่นประการนาโต้หรือเปล่า
ดูได้ที่จานท้ายครับ จะมีสัญลักษณ์ วงกลมมีกากบาทอยู่ข้างใน

มาถึงตรงนี้ ต้องขอนอกเรื่อง พาผู้อ่านเดินออกจากวงการทหารกลับมาสู่สายพลเรือนสักพัก เพราะสิ่งที่กล่าวถึงนี้มีความสำคัญ สามารถทำให้เกิดอันตรายได้ทั้งต่อปืนและชีวิต

นั่นก็คือ กระสุนผลิตการทหารไม่ว่าจะเป็น M193, M855 หรือ SS109 ไม่ใช่กระสุนขนาดเดียวกับ .223 เรมิงตัน หรือนัยหนึ่งก็คือ
คุณเอากระสุนทหารที่กล่าวเบื้องต้นมาใช้ยิงกับปืนไรเฟิลพลเรือนไม่ได้ ปืนและกระสุนที่ขายให้กับพลเรือนในประเทศสหรัฐอเมริกาถูกควบคุมมาตรฐานโดยองค์กร SAAMI
(Sporting Arms and Ammunition Manufacturers’ Institute) ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่ากระสุนสองประเภทนี้ไม่ใช่กระสุนชนิดเดียวกัน และไม่สามารถนำมาใช้แทนกันได้
เนื่องจากมิติรังเพลิงของปืนพลเรือนต่างกับปืนประจำการ ผลที่จะตามมาหากยังดันทุรังก็คือแรงดันของก๊าซในรังเพลิงของปืนพลเรือนจะสูงเกิดขีดจำกัดที่ออกแบบไว้
จากมาตรฐานโดยเฉลี่ย 52,000 CUP (ย่อมาจาก Copper Units of Pressure เป็นหน่วยวัดแรงดันของการทดสอบอาวุธและกระสุน) ขึ้นสูงถึง 55,000-60,000 CUP
ผลของการกระทำสัปดนนี้สังเกตได้จากความผิดปกติของปลอกกระสุน เช่น โคนปลอกจะบวมหรือแตกร้าว
แก๊ปจานท้ายปกติจะมีรอยเว้าเพราะถูกกระแทกด้วยปลายเข็มแทงชนวนจะป่องบวมหรือไม่ก็ทะลุ ทำเช่นนี้เป็นนิจสินโครงสร้างของรังเพลิงจะสึกหรอเร็วและมากกว่าธรรมดา และทำให้เกิดการแตกร้าวในที่สุด

เพยาว์ศรีผู้เขียนได้ทดสอบด้วยตนเองร่วมกับบรรณาธิการนิตยสารปืน ยืนยันได้ว่าพบทุกอาการที่กล่าวมา ยกเว้นปืนแตกคามือ ไม่สนุกครับ ปืนพังซื้อใหม่ได้ หน้าแหกตาบอด รักษายังไรก็ไม่เหมือนเดิม

แล้วทำไมปืนที่รัฐบาลอเมริกันอนุญาตให้พลเรือนมีไว้ในครอบครอง สามารถยิงกระสุนเหล่านี้ได้ มีสองคำตอบ ประการที่หนึ่งกระสุนที่ใช้ในราชการอเมริกันจะขายให้เฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งปืนใช้ยิงก็คือปืนหลวงถูกออกแบบมาให้ใช้ร่วมกัน (กระสุนทหารที่นำมายิงกับปืนไรเฟิลของเรานั้น เราไป “ขอยืม” มาจากค่ายทหาร) ประการที่สอง ปืนที่สามารถยิงได้ (รับรองโดยผู้ผลิต)
เช่น ปืนตระกูล AR-15, Olympic Arms, Ruger Mini 14 และ Ruger No. 1 เป็นปืนที่มีรังเพลิงออกแบบตามมาตรฐานราชการ (Stoner Specification) ไม่ใช่มาตรฐาน SAAMI

กลางปี คศ. 1981 (พศ. 2524) ปืนเอ็ม16 ต้นแบบรุ่นใหม่ชื่อ M16A1E1 ได้ถูกพัฒนามีความแตกต่างจากเอ็ม16เอ1คือ
1. เกลียวลำกล้อง 1 รอบ ต่อ 7 นิ้ว หรือ 1:7 เพื่อรองรับกระสุนคุณสมบัติจำเพาะตัวใหม่ SS109/เอ็ม855
2. เปลี่ยนวัสดุและรูปทรงพานท้าย ให้คงทนและยิงง่ายกว่ารุ่นเอ1
3. เปลี่ยนชุดกระโจมมือ ให้ชิ้นซ้าย-ขวาเหมือนกันและสามารถสลับกันได้
4. เปลี่ยนศูนย์เล็งหลังให้สามารถปรับซ้าย-ขวา และสูง-ต่ำ
5. เปลี่ยนปลอกพรางแสง ช่วยลดรงสะบัดเงยและลดการกระจายของฝุ่นและดินขับ
6. เปลี่ยนระบบควบคุมการยิงจากระบบอัตโนมัติ มาเป็นยิงครั้งละ 3 นัดเพื่อประหยัดกระสุน

ในปี 1982 (พศ. 2525) กระทรวงกลาโหมสหรัฐเปลี่ยนสถานภาพปืนทดสอบใช้รหัส เอ็ม16เอ1อี1 เป็นรหัสปืนประจำการ เอ็ม16เอ2
เริ่มต้นเข้ารับประจำการกับกองทัพนาวิกโยธิน สหรัฐฯในปี 1983 (พศ. 2526) ตามด้วยกองทัพบกในปี 1985 (พศ. 2528)

http://www.thailandoutdoor.com/Gun/History_of_M16_files/m16a2.jpg

ในช่วงระยะเวลาเดียวกันที่ เอ็ม16เอ2 เข้าประจำการ เอ็ม16เอ3 ก็เข้าประจำการกับหน่วยรักษาความปลอดภัย และหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพเรือได้แก่หน่วยซีล (SEAL),
ซีบี (Seabee) เอ็ม16เอ3 แตกต่างจาก เอ็ม16เอ ที่ระบบควบคุมการยิง เอ็ม16เอ3 สามารถยิงในระบบกึ่งอัตโนมัติและอัตโนมัติ เหมือนกับ เอ็ม16เอ1

รุ่นล่าสุดของเอ็ม16 ได้แก่ เอ็ม16เอ4 เป็นปืนประจำการสำหรับทหารแนวหน้าของ กองทัพบกและนาวิกโยธิน เอกลักษณ์อยู่ที่หูหิ้ว รุ่นอื่นๆตั้งแต่ เอ็ม16-เอ็ม16เอ3
ทำด้วยอัลลูมิเนี่ยมเป็นชิ้นเดียวกับชุดส่วนบนของโครงปืน สันด้านบนติดตั้งศูนย์หลัง หูหิ้วพร้อมศูนย์หลังของ เอ4 ติดตั้งบนรางพิคาทีนี่ (Mil-Std 1913 Picantinny Rail)
สามารถถอดออกเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเล็งอื่นๆได้ สำหรับกระโจมมือหน้าของเอ็ม16เอ4 ประจำการกับนาวิกโยธินสหรัฐ ติดตั้งอุปกรณ์เสริม M5 RAS Handguard (RAS
ย่อมาจาก Rail Adaptor System) ผลิตโดยบริษัท Knight’s Armament Company สามารถติดตั้งด้ามจับ, ไฟเลเซอร์, ไฟฉาย
ปืนประจำการนาวิกฯมีชื่อเรียกว่า M16A4 MWS (Modular Weapon System)

http://www.thailandoutdoor.com/Gun/History_of_M16_files/M16A4.jpg

บริษัทโคลท์ซึ่งเดิมทีเป็นผู้ผลิตหลักของปืนเอ็ม16 ให้กับกองทัพสหรัฐอเมริกา ระหว่างทศวรรษ 1980 เกิดสภาพระส่ำระสาย สงครามเย็นสิ้นสุด สหภาพโซเวียตล้มละลาย
งบประมาณกองทัพสหรัฐฯหด ในปี 1986 (พศ. 2529) มรสุมธุรกิจลูกที่สองมาเยือนโคลท์เมื่อคนงานบริษัทฯนำโดยสหภาพพนักงานโรงงานผลิตรถยนต์ (United Auto Workers, UAW)
ก่อเหตุหยุดงานบริษัทโคลท์นำคนงานใหม่มาแทนที่ ประกอบกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะปืนที่ขายให้กับกองทัพลดถอย จนในที่สุดในปี คศ. 1988 (พศ. 2531)
กองทัพบกตัดสินใจยกเลิกสัญญากับโคลท์ แต่งตั้งให้บริษัท FN Manufacturing Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Fabrique Nationale de Herstal
แห่งประเทศเบลเยี่ยม มาตั้งโรงงานในสหรัฐฯเพื่อผลิตเอ็ม16 ให้กับกองทัพ ด้วยสัญญาจำนวนเงิน 112.1 ล้านเหรียญ ผลิตปืน 266,961 กระบอกเป็นระยะเวลา 5 ปี เริ่มต้นในปี 1990
(พศ. 2533) โคลท์เหลือสัญญากับกองทัพสหรัฐเฉพาะผลิตปืนเอ็ม16 สั้น คาร์บินใช้ชื่อรหัส M4 เพียงรุ่นเดียว

http://www.thailandoutdoor.com/Gun/History_of_M16_files/M4A1.jpg

ประวัติเขาเยอะจริง :sweat



ที่มา. www.thailandoutdoor.com

hackedsugus
13th May 2012, 22:46
อ่าน ได้ 20 กว่าบรรทัด เอง -*- ตาลาย

duchyzaza
13th May 2012, 22:49
ย่อๆหน่อยครับ เอาใจความสำัคัญของมันมา = =

ผมอ่านตาลายมาก @_@

ส่วนตัวชอบเสียงปืนมันมากๆ

เสียงสะใจซะเหลือเกิน

hopmbnzatou
13th May 2012, 22:53
ไม่ต้องย่อหลอกครับเพราะว่าแต่ล่ะคนส่วนที่สำคัญในการอ่านไม่เหมือนกัน ตัวอักษรอย่าไปใส่สีมากครับ ข้อความแนะนำให้ [LEFT][/LEFT.] นะครับถ้าหากตั่งให้ [CENTER][/CENTER.] มันจะดูอ่านยากนะครับเพราะว่าบางบรรทัดมันจะไม่ต่อกันอ่ะครับ

ป.ล.ผมแค่มาแนะนำนะครับ

O'z NEWBIE IN THE H.H.
14th May 2012, 02:12
ปืนนี้ใช่หรือป่าวครับที่พี่ไทยเราใช้ เอาความจริงนะ ผมดูแต่รูปพัฒนาการของปืนน่ะ

Fairy
14th May 2012, 04:21
*เฮฮาโล เฮโลเฮลา สาละพาเฮโล

ปืนเอ็มสิบหก ยกขึ้นมากล่าว พูดถึงความยาว สามสิบเก้านิ้ว
น้ำหนักเบาหวิว หกจุดห้าปอนด์
ป้อนซองกระสุน ด้วยซองยี่สิบนัด และซองสามสิบนัด
ยิงไกลสุดวัด สองหกห้าสาม น้องเอยไม่ต้องถาม หวังผลเท่าไร
บอกให้ก็ได้ สี่ร้อยหกสิบ มีเกลียวหกเกลียว คดเคี้ยวเวียนขวา
ศูนย์หน้านั่งแท่น ศูนย์หลังกระดก (ซ้ำ *)

เราตื่นแต่เช้า เราออกมาวิ่ง วิ่งวิ่งวิ่งวิ่ง ผู้หญิงไม่เกี่ยว
มีเมียคนเดียว เอาไปฝากแม่ไว้ ค่อยหาเอาใหม่ ที่ กทม.
เอ้าหนึ่งกิโล เอ้าสองกิโล
อีกไกลเท่าไร เราลูกผู้ชาย ร่างกายอดทน
อดทนไปเพื่อใคร อดทนไปเพื่อเมีย
เมียอยู่ที่ไหน เมียอยู่ที่บ้าน เมียทำงานอะไร
เมียขายกล้วยปิ้ง เราก็วิ่งทุกวัน เมียขายเต้าหู้ เราก็อู้ทุกวัน
โอ๊ะโอผู้สาว มีแฟนหรือยัง ถ้ายังไม่มี ขอแนะนำตัวพี่
นักรบขี้เมา พูดจายียวน กวนตีนไม่เบา หน้าตาหล่อเหลา สาวๆ แอบมอง (ซ้ำ *)

เพลงของกองทัพบก ให้ทหารเกณฑ์ร้องตอนวิ่ง :yes:yes