PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : เรื่องเล่าจากความมืด ตอนที่1



kabukiput
18th May 2012, 23:14
ขออนุญาตลงนิยายที่ตัวเองเขียนหน่อยนะครับ เอามาให้ติชมกันนะครับ ออกแนวสยองขวัญนิดหน่อยนะครับ แต่ต้องขออภัยเรื่องคำหยาบนิดหน่อยนะครับ เพื่ออรรถรสของตัวบทความเองครับ ซึ่งตัวที่ผมนำมาลงให้อ่านกันนี้เป้นตัวแรกที่เริ่มเขียนครับ ซึ่งผมปรับมาจากเรื่องจริงของโรงเรียนประจำโรงเรียนหนึ่งครับ เป้นอย่างไร เดี่ยวลองอ่านกันดูครับผม


เรื่องเล่าจากความมืด ตอน "ยามกะดึก"

จะมีซักกี่คนกันที่เมื่ออายุเวลานึงแล้วจะอยู่กับชีวิตที่สบายไปตลอดกาล ผมไม่เชื่อว่ามี มันต้องมีเรื่องร้ายๆเข้ามาบ้างแหละ และเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเอง ซึ่งทำให้ผมแทบคลั่งกับเหตุการณ์นั้น และผมเชื่อว่าต่อให้คุณเก่งแค่ไหน เมื่อเจอผี คุณก็ต้องผวาบ้างแหละ จริงมั๊ย? ผมก็หนึ่งในนั้น ครับ

ผมชื่อ โจ ครับ ผมอายุ18 ตอนนี้ผมกำลังทำงานเป็นรปภ.อยู่ ผมเป็นรปภ.ใหม่ครับหรือที่เรียกกันว่ายามนั่นแหละ แต่ไม่ใช่ว่าบ้านผมจนขนาดต้องมาเป็นยามแบบนี้ เปล่าครับ มันเป็นช่วงปิดเทอมที่ผมกำลังเซ็ง เพราะว่ามันเป็นปิดเทอมม.6 ที่ยาวนานมากๆ คนอื่นต้องขยันขันแข็งเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่ตนต้องการให้ได้ แต่ไม่ใช่สำหรับผม ผมได้ทุนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแล้ว เหลือแค่รอไปสัมภาษณ์เท่านั้นเอง และด้วยเหตุนี้ เวลาไปชวนเพื่อนคนไหนไปเที่ยวด้วยกัน ผมมักจะได้คำตอบกลับมาว่า “ไม่ว่างว่ะ!!!ต้องเรียนพิเศษ” “เฮ้ยวันหลังได้มั๊ยข้ามีเรียนว่ะ” ซึ่งผมได้ยินจนชินตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แค่สัปดาห์เดียวยังทำผมเบื่อได้ขนาดนี้ ผมคงไม่อยู่บ้านให้ตูดชาเล่นๆเพื่อรอวันสัมภาษณ์หรอก ผมต้องหาอะไรทำ

รปภ.เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ผมใฝ่ฝันว่าอยากทำ แม้ว่าบางทีพูดไปคนจะหาว่าบ้า เพราะผมก็เป็นเด็กสมองดี เรียนดีคนนึง ก็ทำไมล่ะทีฝรั่งมันยังปั่นจักรยานรอบโลกมาแล้ว ผมจะเป็นยามไม่ได้รึไง

ผมมาสมัครเป็นยามของบริษัทรักษาความปลอดภัยบริษัทหนึ่งได้ซักระยะนึงแล้ว หลังสอบก่อนปิดเทอมด้วยซ้ำ ด้วยความอยากลอง อยากรู้ว่าชีวิตยามมันเป็นยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามกะดึก ใช่ครับ เพราะด้วยความที่ว่าผมชอบดูหนังฝรั่งมากเกินไป หนังที่เบ็น สติลเลอร์เล่นเป็นยามกะดึกในพิพิธภัณฑ์เลยโผล่มาเข้าตาผม ไม่งั้นผมคงไม่อยากลองหรอกครับ

“เอ้า โจ มีงานว่างให้เอ็ง 1 ตำแหน่งน่ะ ที่บริษัทเย็บผ้า ไปรายงานตัวด้วยวันนี้10โมงนะ”

หัวหน้ามอบหมายงานให้ผมก่อนจะยื่นซองสีน้ำตาลใหญ่ๆเท่าซองเอกสารซองหนึ่งมาให้

“รายละเอียดสถานที่ แล้วก็เอกสารต่างๆอยู่ในนี้แล้ว อย่าลืมไปซะล่ะ” เขากำชับผม

“เป็นยามกะดึกรึเปล่าครับ” ผมถามเขากลับ

ยังหรอกไอ้น้อง อยากเป็นยามกะดึกน่ะ มันต้องมีประสบการณ์ แล้วยามกะดึกน่ะ ไม่ได้ทำงานง่ายอย่างที่เด็กอย่างเอ็งคิดหรอก” เขาบอกกับผม

นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมค่อนข้างจะหัวเสียพอสมควร เพราะผมตั้งใจว่าจะมาเป็นยามกะดึกเท่านั้น แต่ก็เถอะ คนมันเป็นยาม มันทำได้ทุกเวลาอยู่แล้วจริงมั๊ย อีกอย่าง ผมพึ่งเข้ามาทำงาน จะรีบไปก็คงไม่ดีอย่างที่หัวหน้าบอก มันต้องมีประสบการณ์ก่อนถึงจะทำได้

ผมมาทำงานอยู่ที่บริษัทเย็บผ้าแห่งหนึ่งอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ ผมต้องขอร้องให้หัวหน้าเปลี่ยนงานให้ เพราะผมค่อนข้างจะมีปัญหากับเสียงเครื่องจักรที่ดังสนั่นหวั่นไหว และที่สำคัญ บริษัทบ้านี่ยังงกขนาดว่าจ้างยามแค่คนเดียวกะให้อยู่ทั้งกลางวันและกลางคืนเลย บ้าไปแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะอยากเป็นยามกะดึกมากแค่ไหน แต่การที่จะให้คนๆเดียวทำงานมันเช้าจรดค่ำๆอยู่อย่างนี้ทุกวัน มันคงจะตายเปล่า ซึ่งหัวหน้าก็เห็นควรด้วย เขาส่งพี่บุญมีกับน้าเทิดมาช่วยผม 2 คนนี้จะอยู่ที่บริษัทนี้ แล้วแบ่งกันคนละช่วง ลุงบุญมีช่วงเช้า พี่เทิดช่วงดึก นั่นทำให้ผมลดงานลงไปได้นิดหน่อย ก่อนที่หัวหน้าจะหางานที่ใหม่ให้ผมได้

คืนนั้นประมาณ4ทุ่มกว่าๆ ซึ่งลุงบุญมียังนั่งอยู่กับพวกผม ทั้งๆที่ควรจะเป็นเวลาที่แกกลับไปหาลูกเมียแกแล้ว แต่แกยังนั่งอยู่กับเรา พร้อมด้วยอาหารมื้อใหญ่ทีเดียว

“เอ้ย กินกันให้เต็มที่ วันนี้ลุงถูกหวยมา อยากกินอะไรสั่งเลย เดี๋ยวลุงเลี้ยง”

ลุงบุญมีโชว์ป๋าเต็มที่ ซึ่งผมกับพี่เทิดก็ไม่เกรงใจท่านหรอก เพราะรู้ว่าเมื่อผู้ใหญ่เลี้ยง ครั้นจะบอกปัดว่าไม่ก็คงไม่ดี ผมจึงกินพอเป็นมารยาท
ยิ่งดึกสุราก็เริ่มเข้ามาในวง พี่เทิดค่อนข้างจะหนักไปซักหน่อย เลยทำให้มีอาการตึงๆขึ้นมาบ้างจนเหมือนคนจะหลับ แต่ผมยังโอเค ส่วนลุงบุญมีนั่นเหรอ เขาเป็นสิงห์สุราอยู่แล้ว กินยังไงก็ไม่มีอาการเลยด้วยซ้ำ และด้วยความมืดและเงียบ ตามสไตล์คนไทยที่ต้องทำก็คือ เล่าเรื่องผีกัน ไม่รู้ใครเป็นต้นคิดขึ้นมา แต่ก็ทำมันทุกยุค ทุกสมัย ซึ่งคืนนี้ลุงบุญมีก็จั่วหัวขึ้นมาก่อนเลยคนแรก

“เอ้ย พวกเอ็งสองคนเคยได้ยินเรื่องโรงเรียนที่มันมีเด็กตายในห้องน้ำบ้างมั๊ยวะ” ลุงบุญมีถามพวกผมเปรยๆ

“ยังหรอกลุง ว่าแต่มันอยู่ที่...ไหนล่ะ..เอิ้กก”พี่เทิดถามด้วยความเมามาย

“หวังว่าคงไม่ใช่ในกรุงเทพหรอกนะครับลุง” ผมเสริมท้ายพี่เทิด

“เหอะๆ ไม่มีทางหรอก ในกรุงเทพนี่นะจะมีเด็กโดนฆ่าตายในโรงเรียน อีกอย่างในห้องน้ำด้วย” ลุงบุญมีพูดเสียงดัง

“แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้นะครับลุง เพราะอัตราการเกิดอาชญากรรมในกรุงเทพมันเยอะกว่า ก็อาจจะเป็นไปได้นะ” ผมพูดด้วยความสงสัยแบบเด็กๆ

“วู้!! เอ็งจะไปกลัวทำไมวะโจ...เอื้อก!! ในกรุงเทพมันมีแต่คนทำงาน มันไม่มีเวลาว่างไปทำอย่างนั้นหรอก” พี่เทิดพูดเสริมลุงบุญมี

“นั่นแหละครับยิ่งเป็นไปได้ ในเมืองคนยิ่งเครียด มันยิ่งต้องหาทางระบายอารมณ์ อาจจะเป็นต้นเหตุก็ได้” ผมยังย้ำคำเดิมอยู่

“เฮ้ยๆ พวกเอ็งจะฟังข้าเล่ามั๊ยวะ” ลุงบุญมีตัดบท ก่อนที่ผมกับพี่เทิดจะต่อยกันเพราะเรื่องอาชญากรรมในกรุงเทพ

“ฟังๆครับลุง ฟัง”

แล้วลุงบุญมีก็เล่าว่า สมัยก่อนตอนที่แกยังอยู่ที่หนองคาย แกเคยเป็นภารโรงอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่โรงเรียน มีเด็กผู้หญิงถูกข่มขืนแล้วฆ่า ตายอยู่ในห้องน้ำโรงเรียน ซึ่งทำให้พ่อแม่เด็กหลายๆคนพากันย้ายลูกตัวเองออกจากโรงเรียน เพราะความกลัว จะมีก็เพียงบางคนเท่านั้นที่ยังให้เรียนต่อ เพราะความจน เลยทำให้ไม่มีเงินส่งลูกเรียนในโรงเรียนอื่นได้ แล้วเหตุการณ์ก็เริ่มน่ากลัวขึ้น เมื่อวันนึงมีงานศพที่วัดข้างๆกัน แขกมาเต็มงาน จนทำให้ไม่มีห้องน้ำพอ แล้วแม่ครัวก็ดันทำต้มยำซะด้วย ลุงบุญมีบอกว่าอร่อยมาก แต่ลำบากเวลาเอาออกสุดๆ ซึ่งนั่นทำให้แขกบางคนต้องไปใช้ห้องน้ำโรงเรียน ซึ่งห้องที่อยู่หน้าๆโรงเรียนไม่ค่อยมีอะไรเพราะว่าไฟสว่างพอ แต่ห้องน้ำที่อยู่ลึกเข้าไป ค่อนข้างจะน่ากลัว เพราะไฟไม่ค่อยมี และที่สำคัญ ที่นั่นเองเป็นที่ๆเด็กผู้หญิงถูกฆ่าตายแล้วเอาศพไปหมกไว้ คนที่เข้าไปใช้ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนต่างถิ่น และส่วนใหญ่ก็มักจะเจอดีกัน เจอเด็กผู้หญิงมายืนข้างๆบ้าง มีเสียงเคาะประตูบ้าง แต่ที่หนักสุด เห็นจะเป็นผู้หญิงสองคนที่เข้ามาตอนดึกพอสมควร เพราะหนึ่งในนั้นเจอเป็นตัวเลย ออกมายืนร้องไห้แล้วกรีดร้องใส่จนทำให้ต้องวิ่งหนีออกมา ซึ่งลุงบุญมีก็เล่าให้ทั้งสองคนฟังเกี่ยวกับเด็กที่โดนฆ่าให้ทั้งสองคนฟัง

“อ้าว หลับซะแล้ว ไอ้เทิด” ลุงบุญมีหันไปมองพี่เทิด พร้อมกับส่ายหัว ก่อนจะเก็บของแล้วลาผมกลับไปบ้าน เพราะกลัวมาทำงานเช้าไม่ได้ และที่สำคัญ แกกลัวโดนเมียด่า แต่แกจะรู้มั๊ยว่า คืนนั้น ผมต้องออกดูสถานที่ในโรงงานคนเดียวด้วยความกลัว เพราะพี่เทิดหลับไป เลยทำให้ผมต้องรับกรรมแทนเขาทั้งคืน

เช้าวันต่อมา เป็นเวลาที่ผมต้องออกจากเวรแล้ว ผมจึงนั่งรอลุงบุญมีมาเปลี่ยนผลัดกัน ซึ่งเวลานั้นพี่เทิดก็สร่างเมาแล้ว เลยออกไปหาอะไรกินเพื่อให้สมองโล่ง แล้วเขาก็ขอโทษที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาช่วยผมทำงานเลย ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แม้ว่าในใจจะค่อนข้างอารมณ์เสียเล็กน้อย จนประมาณ8โมงเช้า หัวหน้าโทรมาบอกให้ผมเข้าไปบริษัทตอนบ่าย 3 เพื่อรับงานที่ใหม่ ผมรับคำทันทีเพราะเริ่มเบื่อเสียงที่ดังกระหึ่มตั้งแต่8โมงนี่แล้ว ใครจะไปพักผ่อนได้ถ้าเป็นแบบนี้

ผมรอจนลุงบุญมีมา เลยลาลุงถาวรเลย เพราะผมกำลังได้งานที่ใหม่ ซึ่งลุงก็อวยพรให้โชคดี ทั้งเรื่องงานและเรื่องเรียนที่ผมกำลังจะทำ ผมกลับมาห้องด้วยความเหนื่อยล้า แต่ด้วยความคิดถึงแฟนอย่างจับใจเพราะไม่ค่อยได้คุยกันเลย ผมเลยโทรไปหา หมวย แฟนผม ซึ่งผมต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะเป็นแฟนคนแรก และที่สำคัญต้องคอยระวังไม่ให้มีใครมาจีบ ผมคงไม่ต้องพะวงกับหนุ่มเลย มีแต่สาวๆน่ารักๆเท่านั้นให้ต้องพะวง เพราะแฟนผมเธอเป็นผู้หญิงแมนๆครับ พูดง่ายๆเลยคือเธอเคยเป็นทอมมาก่อน แล้วอกหักมา เลยมาคบกับผม เรียกได้ว่าเป็นทอมหน้าสวยคนนึงเลยทีเดียว อ้อ เธอเป็นรุ่นน้องผมด้วย

ผมโทรไปทักทายหมวยเหมือนเดิมกับที่ทำมา เราคุยกันอย่างสนิทสนม แม้ว่าจะค่อนข้างเหมือนพี่น้องบ้างเพราะเราพึ่งคบกันไม่นาน ผมถามความเป็นอยู่ของเธอ เดิมๆ ถามวนไปวนมา ก่อนที่เธอจะถามถึงเรื่องงาน

“เป็นไงบ้างพี่ ไปเป็นยามเหนื่อยมั๊ย” เธอถามผม

“ถามไม่คิดนะคุณเธอ มันก็เหนื่อยสิ เป็นยามนะไม่ใช่พนักงานนั่งโต๊ะ” ผมยังตอบเธอแบบกวนๆเหมือนเดิม

“งั้นก็โชคดีแล้วกันนะ อ้อ อย่าลืมไปสัมภาษณ์มหาลัยด้วยล่ะ” เธอบอกผมด้วยความห่วงใย

“จ้า แล้วคุณเธอล่ะ คิดไว้รึยังว่าจะเรียนอะไร”

“ก็กะว่าจะเข้าคณะเดียวกับพี่นั่นแหละ ที่เดียวกันด้วย”

“ทำไมล่ะ อยากมาอยู่ด้วยรึไง” ผมถามกลับด้วยความสงสัย

“ก็นิดนึงอ่ะ แต่ที่สำคัญคือหนูชอบ แล้วแม่ก็อยากให้เรียนที่นั่นด้วย” เธอกล่าว

“อืม งั้นก็ดี จะได้ไม่ไกลหูไกลตาดี แล้วเวลารับน้องจะได้เล่นแรงๆได้ด้วย ฮ่าๆๆ” ผมพูดด้วยความสะใจ

“เหอะๆ เอาเถอะพ่อคุณ ติดให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยมาว่ากัน”

“จ้า ตั้งใจเรียนล่ะ พี่ไปนอนแล้ว เดี๋ยวตอนเย็นจะเข้าไปหาหัวหน้า อ้อ ถ้ามันเสร็จเร็วจะเข้าไปหาเธอที่บ้านด้วย” ผมบอกลาเธอก่อน เพราะตอนนี้ผมกำลังจะปิดระบบตัวเองแล้ว เพื่อรอรับงานใหม่

เย็นวันนั้นก็เป็นเหมือนเดิมกับที่เคยทำมาตลอด ผมเข้าไปที่บริษัทเพื่อรับงานจากหัวหน้า คราวนี้หัวหน้าบอกกับผมด้วยรอยยิ้ม เหมือนกับว่าไม่เคยมีใครได้งานง่ายๆแบบนี้มาก่อน

“งานง่ายๆ เฝ้าเวรโรงเรียนมัทธยม หวังว่าคงไม่มีปัญหาให้ต้องเปลี่ยนอีกรอบนะ”

“ได้ครับผม” ผมตอบรับแล้วหยิบซองเอกสารมาเพื่อไปรายงานตัวพรุ่งนี้ และนี่คือสิ่งที่เป็นจุดเริมต้นที่กำลังจะเปลี่ยนชีวิตเด็กม.ปลายที่กำลังจะเข้ามหาลัยอย่างผม

วันต่อมาผมเดินทางมาที่โรงเรียนนั้นตามรายละเอียดที่เขียนไว้ในซองเอกสาร ผมเดินทางด้วยรถเมล์จากหอที่ผมอยู่ กว่าจะมาถึงที่โรงเรียนนี้ก็ประมาณ9โมงกว่าแล้ว โรงเรียนดูใหญ่โต อาคารต่างๆดูหรูหราและถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ภายในโรงเรียนดูร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ปลูกไว้ ยกเว้นต้นไทรที่อยู่ข้างโรงเรียนซึ่งทำให้ผมค่อนข้างกลัว เพราะตอนเด็กๆผมขยาดกับเรื่องผีต้นไทรที่คุณยายเล่า แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีจนผมโตเป็นหนุ่มแล้ว ความกร้านโลกเริ่มมีเยอะขึ้น ผีที่เคยกลัวก็เริ่มชินชา จะมีก็แต่เรื่องผีต้นไทรเท่านั้นที่ยังติดตรึงในสมองผมจนโต วันนี้โรงเรียนดูเงียบสงบมากกว่าที่จะเป็นโรงเรียนได้ เพราะเนื่องจากว่าเป็นเวลาช่วงปิดเทอมพอดี ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะที่โรงเรียนผมก็เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่โรงเรียนผมยังพอมีคนมานั่งเล่น มาเล่นบาส มาทำงานส่งบ้าง คงจะเป็นเพราะที่นี่มีแต่ลูกคนรวยเท่านั้นถึงจะเรียนได้ เลยส่งผลให้เด็กแต่ละคนที่มีพ่อแม่รวยมีการศึกษาที่ดี ทำให้ไม่มีคนสอบตกแล้วมาแก้เลยแม้แต่คนเดียว

“มายืนทำอะไรคนเดียวตรงนี้วะไอ้หนุ่ม”

เสียงจากชายแก่นิรนามคนนึงกล่าวขึ้นมาข้างหลังผม ซึ่งทำให้ผมตกใจจนเกือบจะหันไปต่อยเข้าให้แล้ว

“เอ้ย! โห ตกใจหมดเลยครับลุง มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”ผมหันกลับไปพูดกับชายคนนั้น ซึ่งมีท่าทางเหมือนเป็นภารโรงของที่นี่

“มาเมื่อเอ็งไม่รู้นี่แหละ ว่าแต่เอ็งมายืนด้อมๆมองๆนี่จะมาทำอะไร เอ๊ะ!! หรือว่าจะมาขโมยของ หา!!!”
ชายคนนั้นทำท่ากำลังจะเอาไม้กวาดในมือตีผม ผมยกมือขึ้นมากันไว้ทัน เลยทำให้ไม้กวาดไม่โดนหน้าเข้า

“โอ๊ย! ใจเย็นสิลุง ผมไม่ได้มาขโมยของนะครับ ผมมาสมัครเป็นยาม นี่ไง เอกสารที่บริษัทผมให้มา”
ผมพูดพลางยื่นซองเอกสารให้แกดู ซึ่งแกเหลือบตามามองผมแว้บนึงก่อนจะมองดูรายละเอียด

“เอ้าๆ มาๆ เดี๋ยวพาไปหาหัวหน้ายาม”

ชายคนนั้นพาผมเดินไปที่ห้องพักของยาม ซึ่งอยู่ห่างจากป้อมราวๆ20เมตร

ผมยืนอยู่หน้าห้องที่เป็นห้องพักของยาม เคาะประตูห้องเบาๆก่อนจะขออนุญาตเข้าไป ในห้องมียามอยู่ในนั้น3คน หน้าตาแตละคนค่อนข้างจะเหงาๆอยู่บ้าง ยกเว้นชายคนนึงที่เป็นหัวหน้าของที่นี่

“อ้าว ว่าไงน้อง มาสมัครเป็นยามเหรอ”

แหม พี่เขาก็พูดแปลกๆนะครับมันก็ใช่น่ะสิ ถ้าไม่ใช่ผมจะเดินมาที่ห้องพักยามทำหอกอะไรจริงมั๊ยครับทุกท่าน

"ครับผม สวัสดีครับ”

“ใช่คนที่พี่เอกบอกรึเปล่าเนี่ย ไหนเอาเอกสารมาดูซิ” ชายรูปร่างผอม ตัวเล็กเดินมาหยิบเอกสารไปจากมือผม มือที่ค่อนข้างจะหยาบกร้านเป็นตัวบอกว่าเขาทำงานนี้มานานเท่าไรแล้ว

“อืม ใช่จริงๆด้วย พี่ชื่อเฉลิมชัยนะ เป็นหัวหน้ายามของที่นี่ จะเรียกพี่เหลิมก็ได้” พี่เฉลิมกล่าวทักทายผม

“แล้วลุงคนที่นั่งอยู่นั่นชื่อลุงเจริญนะ ทำกะกลางวัน ส่วนคนที่นั่งริมหน้าต่างชื่อบาส ทำตอนกลางคืนเหมือนน้องเนี่ยแหละ”

พี่เฉลิมแนะนำคนในห้องทั้งหมดให้ผมรู้จัก ซึ่งมีหน้าตายิ้มแย้มดี ยกเว้นแต่พี่บาสเท่านั้นที่ดูเงียบแปลกๆ ผมกล่าวทักทายทุกคนในห้องก่อนจะยกของที่แบกมาด้วยไปวางไว้ที่โต๊ะใกล้ๆกับที่พี่บาสนั่ง ซึ่งตอนที่เดินไป สายตาที่เขามองผมค่อนข้างจะน่ากลัวและเย็นชามาก

“สะ สะสวัสดีครับ”ผมกล่าวทักทายพี่บาส แต่พี่บาสไม่ทักตอบแต่ผงกหัวแทน ก่อนที่พี่บาสจะลุกแล้วเดินออกจากห้องไป

จากนั้นพี่เฉลิมก็พาผมเดินดูที่ต่างๆในโรงเรียนเพื่อดูว่าควรจะดูตรงไหนเป็นพิเศษบ้าง เพราะบางทีอาจจะมีเด็กชอบเข้ามาทำอะไรไม่ดีๆบ้าง
ความเงียบยังวนเวียนอยู่ในโรงเรียน แม้จะเป็นเวลาบ่ายโมงก็ตาม

“ที่นี่เราอยู่กัน5คน มีพี่ ลุงเจริญ ไอ้บาส ไอ้โชค แล้วก็น้าถวิลภารโรงของที่นี่” ผมหัวเราะเบาๆในลำคอเมื่อได้ยินชื่อของลุงภารโรงคนนั้น พี่เฉลิมหันมามองผมเล็กน้อยก่อนจะพาเดินไปที่ป้อมยามที่หน้าโรงเรียน

“นี่คือป้อมยามของเรา จะเรียกว่าปราการก็ได้ เพราะถ้าไม่มีที่นี่ ทุกอย่างในโรงเรียนนี้คงไม่สงบสุข อ้อ เห็นคนที่นั่งอยู่นั่นมั๊ย นั่นน่ะ ที่นอนหลับอยู่น่ะ” พี่เฉลิมพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ชายร่างท้วมคนนั้น

“มันชื่อไอ้โชค ชอบหลับประจำแหละ” พี่เฉลิมหันกลับมาพูดกับผมก่อนจะตะโกนเรียกพี่โชค ซึ่งกำลังหลับอยู่ จนสะดุ้งเกือบตกเก้าอี้ เป็นภาพที่หาดูได้ยากที่ลูกวัวตัวนึงนั่งหลับบนเก้าอี้แล้วกลิ้งตกลงมาตอนที่หมาเห่าใส่

“หลับอยู่นั่นแหละ เขาจ้างมาเฝ้านะโว้ย ไม่ใช่จ้างมาหลับ ไอ้นี่” พี่เฉลิมจะคอกใส่พี่โชค

“ขอโทษที่พี่ เผอิญดูบอลดึกไปหน่อย”พี่โชคตอบกลับมาอย่างงัวเงีย พร้อมกับบิดขี้เกียจแล้วขยี้ตาเบาๆ

“ก็อย่างนี้ไง เวลาเดินเข้าออกโรงเรียนถึงไม่มีใครรู้อะไรเลย เอ้า! นี่! น้องเขามาใหม่ ชื่อน้องโจ”พี่เฉลิมแนะนำตัวผมให้พี่โชครับทราบ

“สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทายพี่โชค

แกมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมด้วยสายตาไม่เชื่อว่าเด็กอย่างผมเนี่ยนะจะเป็นยาม ผมค่อนข้างจะชินกับสายตาแบบนี้แล้วล่ะครับ เพราะไม่ว่าใครพอผมบอกว่าเป็นยาม มักจะตามมาด้วยการมองแบบนี้และสายตาไม่เชื่อ

“เออ หวัดดีไอ้น้อง มาใหม่อ่ะ ทำงานตั้งใจหน่อยนะ เจ้าของเขาเคี่ยว” พี่โชคพูดเสร็จก็เดินไปที่กาน้ำร้อนเพื่อชงกาแฟกิน

“กินมันทุกวันไม่เคยเห็นมันจะทำให้ไอ้นี่หายง่วงเลย หึหึ”พี่เฉลิมหัวเราะแล้วพาผมเดินกลับมาที่ห้อง

ผมได้ทำกะดึกคู่กับลุงเจริญ แล้วก็พี่บาส ซึ่งรายหลังค่อนข้างจะเข้าใจยากนิดนึง เพราะพี่แกเขาค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว และที่สำคัญแต่ละคำที่จะหลุดออกมาจากปากเขาได้ ถ้าไม่สำคัญสุดๆ ก็คงไม่มีอีกเลย

คืนแรกที่เราทำงานกันก็เป็นปกติดี โรงเรียนที่ค่อนข้างใหญ่ทำให้ผมต้องออกแรงเดินมากกว่าที่อื่น แต่คงไม่ใช่ปัญหาหรอก เพราะมันเป็นเรื่องที่ผมเจอบ่อยๆกับการเดินไปส่งกาแฟให้แม่ ช่วง2-3คืนแรกก็ผ่านไปด้วยดีจนวันต่อมาพี่เฉลิมเรียกเรามาคุยกัน

“โจ วันนี้ขอกะเช้านะ อยู่กะเดียวกันกับไอ้บาสไป เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่เด็กมาฟังผลสอบ คนอาจจะเยอะหน่อย”

แหงอยู่แล้วครับ เด็กที่นี่ บางคนแค่มาฟังผลสอบยังยกกันมาทั้งตระกูล นี่ถ้าจุดธูปเรียกญาติที่ตายไปแล้วมาด้วยได้คงจะทำไปแล้ว แต่ก็มีหลายๆคนที่มาคนเดียวเพราะขี้เกียจวุ่นวาย แล้วอีกอย่างพ่อแม่ก็ปล่อยแล้วด้วย

ตอนนี้เวลาประมาณบ่าย3แล้วครับเด็กๆส่วนใหญ่กลับบ้านกันไปเกือบหมดแล้ว จะมีก็แต่นักบาสโรงเรียนที่กำลังซ้อมอยู่ แล้วก็เด็กบางกลุ่มที่มานั่งคุยกันเพราะไม่มีที่ไป ซึ่งทุกครั้งที่ผมต้องเดินผ่านพวกนี้เพื่อไปเอาของบ้าง หาอะไรกินบ้าง จะถูกมองด้วยท่าทางสงสัยจากเด็กเหล่านั้นว่า ไอ้เบื๊อกนี่เป็นใครกัน(วะ) ส่วนบางคนที่รู้ก็จะเล่าต่อๆกันไป แต่สายตาแบบนั้นทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ เพราะผมก็ทำงานของผมไป เขาก็อยู่ของเขา ต่างคนต่างอยู่สบายใจกว่า

บรรยากาศในโรงเรียนเงียบมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โรงอาหาร ในขณะที่ผมไปถึงร้านข้าวทุกร้านปิดหมดแล้ว เหลือแต่ร้านค้าโรงเรียนเท่านั้นที่ยังเปิดอยู่ ผมเดินไปที่ตู้กดน้ำเพื่อกรอกให้เต็มขวดไว้ เพราะผมกะว่าหลังจากเสร็จกะแล้วอาจจะเดินเที่ยวกรุงเทพซักหน่อย เพราะขนาดอยู่มาตั้งแต่เกิด ยังไปไม่หมดเลย ระหว่างที่ผมกำลังกดน้ำใส่ขวดอยู่นั้น ผมหันไปเห็นเด็กผู้หญิง 3 คน กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ม้าหินอ่อนข้างๆโรงอาหาร ซึ่งเสียงค่อนข้างจะดังมากในตอนนี้ แต่ถ้าเป็นตอนอื่นคงจะแค่เสียงกระซิบ เพราะด้วยความเงียบทำให้ผมพอได้ยินบ้าง ซึ่งเรื่องที่คุยส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องผู้หญิง แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายในการส่งสายตาของผมไปมองกลุ่มนั้นหรอกครับ แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในสามคนนั้นต่างหาก

เธอชื่อน้องมีนครับ เธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างน่ารักเลยทีเดียว ผิวขาว หน้าตาหมวยแบบคนไทยเชื้อสายจีน ใส่เหล็กดัดฟัน ตัวเล็ก น่ารักในชุดนักเรียนแขนยาว กระโปรงสีน้ำเงิน ไว้ผมหางม้า นี่ถ้าไม่ติดว่าผมมีแฟนแล้ว แล้วผมรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ ผมคงไม่ปล่อยไปหรอกครับ ก็น่ารักซะขนาดนี้ หน้าตาเธอดูเด็กกว่าผมซัก2-3ปีได้ น่าจะเป็นเด็กม.4 แต่ที่น่าแปลกคือทำไมมาคุยกันที่นี่ ทั้งๆที่ควรจะออกไปนั่งข้างนอกเพื่อให้พ่อแม่เห็นได้ชัดๆ

ระหว่างนั้นเองผมก็พอรู้ว่าทำไมทั้งสามถึงมานั่งที่นี่ เพราะว่าเพื่อนของเธอคนหนึ่งโทรศัพท์ดังเข้ามาทำให้ผมรู้ว่าพวกเธอกำลังจะออกไปกินนมปั่นกันที่ซอยถัดไป แต่น่าเสียดายที่พ่อแม่โทรตามก่อน เลยทำให้เพื่อนทั้งสองคนของเธอคนนั้นต้องลากลับก่อน โดยทิ้งให้น้องตัวเล็กคนนั้นนั่งอยู่คนเดียว

ด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยและหน้าที่การงานของผมเอง ผมเลยเดินเข้าไปเพื่อที่จะบอกให้เธอไปนั่งข้างนอก เผื่อว่าจะได้อยู่ในสายตาของคนอื่น เวลาที่เกิดเรื่องอะไรจะได้ช่วยกันได้ ซึ่งตรงจุดนี้ พวกคุณจะหาว่าผมขี้หลีก็ได้นะ แต่ผมไม่ได้กะจะจีบเธอเลย

“เอ่อ น้องครับ ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะครับ” ผมบอกเธอ

เธอสะดุ้งตกใจเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมายิ้มให้ผม ซึ่งน่ารักมาก ถ้าไม่มีแฟนเป็นภูมิคุ้มกันผมคงละลายลงไปตรงนั้นแล้ว

“อ๋อ มีนกะว่าจะนั่งคิดอะไรเพลินๆหน่อยน่ะค่ะพี่ยาม เพราะมีนกำลังจะเขียนนิยายลงเว็บ เลยนั่งหาแรงบันดาลใจ” เธอตอบกลับมา

“เอ่อ พี่ว่าน้องมีนเรียกพี่ว่าโจ ก็ได้ครับ เรียกพี่ยามมันดูแปลกๆไป” ผมก็ช่างกล้าพูดเนอะ ตัวเองใส่ชุดยูนิฟอร์มอยู่ ก็ยังไม่ให้เขาเรียกว่ายาม

“อ่อ ค่ะ ได้ค่ะ” เธอยิ้มหวานๆ ให้ผมพร้อมกับเสียงหัวเราะใสๆแบบเด็กพึ่งเป็นสาว หน้าผมที่สีค่อนข้างคล้ำแบบผู้ชายไทย ถ้าดูตอนนี้จะออกสีเขียวๆเลยทีเดียว แต่จริงๆอาการนี้คืออาการหน้าแดงของคนทั่วไป

“เหอะๆ เหมือนพี่เลยนะครับ บางทีพี่ก็ชอบนั่งอยู่คนเดียวแล้วเขียนเพลง” ผมเริ่มโชว์ภูมิบ้าง หลังจากที่เธอฟาดความสามารถใส่ในตอนแรกที่คุยกัน

“แต่พี่ว่าน้องมีนไปนั่งข้างหน้าดีกว่า แล้วค่อยโทรบอกพ่อแม่ให้มารับกลับบ้าน จะปลอดภัยกว่านะครับ”

เธอมีสีหน้าตึงๆบ้างเล็กน้อย ก่อนจะตอบผมกลับมา

“ก็คงอีกซักพักแหละค่ะ มีนคงจะออกไป เพราะคุณพ่อยังไม่เลิกงานเลย”

“งั้น ถ้ามีอะไรไปเรียกได้นะครับ พี่อยู่ที่ป้อมตลอดนะ” ผมยิ้มให้เธอ ซึ่งเธอก็ยิ้มกลับมา

จากนั้นผมก็เดินยิ้มกลับมาที่ป้อมด้วยอารมณ์ดี พี่บาสมองผมแปลกๆที่ผมเดินยิ้มเข้ามาที่ป้อม ก่อนจะพูดกับผม

“ไปเจออะไรมาล่ะโจ” พี่บาสเอ่ยถามผม ซึ่งถือว่าเป็นประโยคแรกในรอบประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ที่ผมได้ยินเสียงพี่บาสพูด

“ก็ แหะๆ เจอน้องผู้หญิงคนนึงมาน่ะครับพี่ น่ารักดี ฮึฮึ” ผมตอบด้วยท่าทางขวยเขิน

พี่บาสหันกลับไปดูโทรทัศน์ต่อ พร้อมกับส่ายหัว ผมฉุนนิดๆที่เขาทำแบบนั้น

ตอนนี้ราวๆ 5โมงกว่าแล้ว พี่บาสต้องออกไปเดินตรวจที่ต่างๆ ผมคอยหันดูน้องมีนว่าจะเดินออกมารึยัง เพราะผมห่วงเธอที่เป็นผู้หญิง อยู่ตัวคนเดียว อีกอย่าง ตอนนี้นักบาสก็กลับกันเกือบหมดแล้ว มีบางคนที่ยังล้างหน้า ล้างตัว เปลี่ยนชุดกันอยู่

พี่บาสเดินดูตึกๆหลายๆตึกแล้วก็เดินกลับมาที่ป้อม ซึ่งขณะนั้นเองก็เย็นมากๆแล้ว แต่ผมยังไม่เห็นน้องมีนออกมา เลยจะเดินออกไปดู เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่บาสเดินมาพอดี

“พี่บาสครับ เห็นเด็กผู้หญิงใส่เหล็กดัดฟัน ตัวเล็กๆ ขาวๆ เตี้ยๆเท่าไหล่ผมบ้างมั๊ยพี่” ผมตะโกนถามพี่บาส

“ไม่เห็นเลยว่ะ สงสัยกลับไปแล้วมั๊ง เพราะพี่เดินดูแล้วนอกจากนักบาสก็ไม่มีใครแล้วนะ”

ผมเริ่มสงสัย เพราะว่าถ้าน้องมีนเดินออกมาแล้ว ผมก็ต้องเห็นหรือได้ยินเสียงบ้าง แต่นี่ไม่มีเลยด้วยซ้ำ ผมกับพี่บาสเลยแยกกันเดินตามหาตามอาคารต่างๆ ทั่วโรงอาหาร ในห้องเกือบทุกห้อง จนพี่บาสกับผมเดินไปที่ห้องน้ำหญิง ซึ่งตอนนี้น้าถวิลน่าจะปิดประตูไปเรียบร้อยแล้ว พี่บาสลองบิดลูกบิดดู ก็พบว่ามันถูกล๊อกแล้วพวกเรา จึงเดินจากไป เพราะมันใกล้เวลาออกเวรของเราทั้งสองคนแล้ว พวกเราเดินมาที่ป้อมยามก็เจอพี่โชคกับพี่เหลิมรออยู่ เราทักทายกันเล็กน้อยก่อนที่พี่บาสจะขอตัวกลับเข้าไป เพราะรู้สึกว่าเขาจะทำของตกไว้ที่หน้าห้องน้ำ แต่พอขากลับเราทุกคนเห็นพี่เขาวิ่งออกมาด้วยท่าทางเหนื่อยและเหมือนตกใจจากอะไรบางอย่าง ซึ่งพี่เฉลิมยังบอกเลยว่าไม่เคยเห็นหน้าตาแบบนี้เกิดขึ้นกับพี่บาส แต่พี่บาสก็บอกปัดว่าไม่มีอะไรก่อนจะขอลากลับบ้านไปก่อนผม

ตอนนี้ผมกำลังจะกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน ผมกำลังนั่งรอรถที่ป้าย แต่ในใจก็ยังคิดไม่ตกว่าน้องมีนจะกลับออกไปรึยัง แต่ก็ต้องหยุดคิด เพราะไม่แน่ว่าน้องเขาอาจจะเดินออกไปเงียบๆก็ได้ เพราะเท่าที่ดู น้องเขาเป็นคนเรียบร้อย นั่นทำให้ผมคลายกังวลลงมาบ้าง แต่ก็ยังไม่เชื่อสนิทใจกับสิ่งที่ตัวเองคิด

หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ก็มีเรื่องบ้าๆเกิดขึ้น เมื่อจู่ๆน้ำก็ท่วมกรุงเทพขึ้นมา ทำให้ผมออกจากบ้านแม่ไปทำงานไม่ได้ การสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัยของผมก็ถูกเลื่อนออกไป ผมค่อนข้างจะระอาเล็กน้อยกับเหตุการณ์นี้ เพราะรัฐบาลสัญญาแล้วว่าจะไม่เกิดขึ้น แต่ดันเกิดซะได้ แต่คงต้องปล่อยไป เพราะมันเป็นธรรมชาตินี่นา

จนเวลาก็ล่วงเลยผ่านเวลานั้นมาได้ ผมเลยพอจะออกจากบ้านได้บ้าง ผมเลยเลือกที่จะรอ ออกไปวันที่ผมสัมภาษณ์พอดี วันนั้นพี่เฉลิมโทรมาหาผมให้ไปเข้าเวรกะดึกของผมเหมือนเดิม ผมรับคำแต่ก็บอกพี่เฉลิมไปว่าอาจจะไปช้าหน่อยเพราะผมยังสัมภาษณ์ไม่เสร็จเลย พอประมาณ4โมงกว่า ผมก็ไปถึงที่โรงเรียนนั้น ผมเริ่มงานทันทีเพื่อแทนลุงเจริญที่ต้องมาเข้าแทนผมตอนที่ผมกำลังไปเปลี่ยนชุดที่บ้าน ผมเริ่มงานตามปกติของผมจนประมาณตี 3 เป็นช่วงที่เงียบที่สุดของคืนนี้ ด้วยอากาศที่เย็น เลยทำให้ผมหลับไป แต่สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ผมฝันว่าผมเห็นน้องมีน กำลังอยู่ในห้องแคบๆ ชื้นๆ แต่ดูไม่ออกว่าเป็นห้องอะไร เพราะมันมัวมากๆ แต่ผมพอจะประมาณได้ว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ เพราะผมเห็นแกนใส่ม้วนกระดาษทิชชู่ เธอกำลังมองหาทางที่จะออกจากห้องนั้น ก่อนที่จะหันมาหาผม แล้วตะโกนใส่ผม ก่อนจะหายวับไป

“พี่โจ!!!! ช่วยมีนด้วย พี่โจคะ!!! ช่วยมีนด้วย!!!!!! กรี๊ดดดดด!!!!!”

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีเพราะเสียงกรี๊ด ผมมองดูนาฬิกา ตอนนี้ตี4กว่าแล้ว พี่บาสเดินเข้ามาพอดี

“เป็นอะไรวะโจ เสียงดังเชียว” พี่บาสทักผม ทำให้ผมมีสติมาเล็กน้อย

“พี่ ผมฝันร้ายว่ะ ผมฝันว่าน้องคนที่ผมเจอเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนมาตะโกนให้ผมช่วย” ผมมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก จนพี่บาสต้องพูดปลอบใจ

“เอาน่า เอ็งอาจจะเหนื่อยก็ได้ ไม่แน่ฝันร้ายแบบนี้ พรุ่งนี้อาจจะเจอเรื่องดีๆเข้ามาหาก็ได้” พูดจบพี่บาสก็เดินถอดเสื้อคลุมออกแล้วเขวนไว้ที่มุมห้อง

ผมยังตกใจกับสิ่งนั้นอยู่ จนรู้สึกหนักๆหัวแปลกๆ ผมจึงรอให้พี่โชคมาเปลี่ยนผลัดตอนเช้าก่อนจึงเดินออกไปหาโจ๊กกินกับพี่บาส เราทั้งคู่เดินกลับเข้ามา เห็นน้าถวิลกับพี่โชคกำลังคุยกันอยู่ ผมนึกถึงเหตุการณ์ในฝันนั้นได้ เลยวิ่งเข้าไปหาน้าถวิล แล้วบอกให้น้าไปเปิดห้องน้ำหญิงทุกห้องดู เราไล่ดูทุกชั้น จนมาถึงห้องน้ำแถวโรงอาหาร ตอนที่เราทั้ง 4 กำลังเดินไปถึง สิ่งที่ทุกคนเป็นเหมือนกันคือทำหน้าเหยเก เพราะพวกเราได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงมากมาจากห้องน้ำห้องนั้น

“อื้อหือ อะไรวะตาถวิล มีอะไรตายในห้องน้ำเนี่ย เหม็นเป็นบ้าเลย” พี่โชคตะโกนออกมา

ผมเอามือปิดจมูก แล้วจึงเดินไปที่ห้องน้ำ ก่อนจะลองบิดลูกบิดดู

“น้าถวิลครับ ห้องน้ำนี้ปิดมานานรึยัง” ผมหันกลับไปถามน้าถวิล

“ก็เกือบเดือนแล้วมั๊ง ก่อนน้ำท่วมนู่น” น้าถวิลอธิบาย

“ไม่ได้เปิดมาก่อนเลยใช่มั๊ยน้า ตลอดช่วงที่ผ่านมา” พี่บาสถาม

“ไม่ได้เปิดเลยบาส สงสัยแมวมันเข้าไปแล้วออกไม่ได้มั๊งมันเลยตายอยู่ในนั้น”

แมวเหรอ ผมไม่เชื่อสิ่งที่น้าถวิลพูดเลยซักนิด เพราะถ้าเป็นแมวตาย กลิ่นมันไม่น่าจะแรงได้ขนาดนั้น ผมจึงหันไปหยิบกุญแจมาจากมือน้าถวิลแล้วเปิดเข้าไป จังหวะแรกที่เปิดประตูออกมา กลิ่นเน่านั้นลอยมาปะทะกับหน้าพวกเราทุกคน ทำให้พี่โชคทำการคัดปลอกกระสุนที่เขาอัดไปเมื่อเช้า ทั้งปาท่องโก๋ แล้วก็ชาร้อนออกมาเกือบหมด

เราทั้งหมดเดินเข้าไปเปิดตามห้องเพื่อจะดูว่ามีซากอะไรตาย จนพี่บาสไปเปิดเจอห้องหนึ่งแล้วเอามือปิดปากพร้อมกับพูดว่า “ชิบเป๋งแล้วว่ะ!!!”

ผมวิ่งไปตรงนั้น ภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้น แทบจะทำให้ผมไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็นเลย เป็นภาพของศพเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในชุดนักเรียนแขนยาว กระโปรงสีน้ำเงิน นอนเน่าเฟะ มีหนอนเจาะตามตัว ข้างๆตัวมีเศษกระดาษทิชชู่อยู่เต็มไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้ผมแทบช๊อก คือศพที่ผมเห็นนั้น เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ผิวขาวซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ใส่เหล็กดัดฟัน ไว้ผมหางม้า คนเดียวกับที่ผมคุยเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน นอนอืดอยู่ตรงพื้น พี่โชคกับน้าถวิลตามมาพอดี พอเห็นภาพนั้นพี่โชคก็สำรอกออกมาอีกรอบก่อนจะวิ่งออกจากห้องน้ำไป

“โจ ไปโทรเรียกตำรวจมา” พี่บาสหันมาสั่งผม

ผมรีบวิ่งไปที่ป้อมเพื่อหยิบเอามือถือมาก่อนจะกดเบอร์โทรไปหาตำรวจให้มาที่นี่ แล้วผมก็โทรเรียกพี่เฉลิมให้มาด้วย ซึ่งเมื่อมาถึงพี่เฉลิมมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก

เวลาผ่านไปนานพอสมควร ครู อาจารย์ ผู้บริหารเริ่มเข้ามาดูการชันสูตรศพ โดยตำรวจบอกว่า ศพนี้ตายมาหลายสัปดาห์แล้ว ซึ่งในที่เกิดเหตุพบโทรศัพท์มือถือของผู้ตายหมดตกอยู่ข้างๆไม่มีแบตเตอรี่ และมีเศษกระดาษทิชชู่ที่มีรอยกัดวางเกลื่อนอยู่ ที่สำคัญคือน้ำในอ่างข้างๆกันนั้นแห้งหมด ตำรวจคาดว่าเธอน่าจะกินกระดาษทิชชู่กับน้ำเพื่อให้อยู่รอดมาได้ ก่อนจะเสียชีวิตในที่สุด

เที่ยงวันนั้นหลังจากที่ผมไปพักที่บ้าน ผมไปนั่งทานข้าวที่บ้านหมวยเพราะแม่ของหมวยอยากคุยกับผมเหมือนเดิมกับที่ทำมาตลอด ผมคุยกันกับครอบครัวหมวยได้ซักพักก็ขอตัวออกมานั่งข้างนอก หมวยเดินตามออกมานั่งข้างๆ

“เป็นอะไรไปคะคุณเธอ ทำไมวันนี้ดูเครียดๆ” หมวยยื่นหน้าหวานๆของเธอมาถามผม

ผมหันหนีนิดนึงก่อนจะตอบกลับไป

“หมวย เป็นหมวยจะรู้สึกยังไง ถ้าหมวยเห็นคนที่หมวยรู้จักนอนตายเป็นศพอยู่ข้างหน้า” ผมเปิดประเด็นขึ้นมา
ซึ่งนั่นทำให้หมวยตกใจกับสิ่งที่ผมพูดเล็กน้อย

“เป็นอะไรเหรอพี่ เพื่อนหรือญาติเสียเหรอ” เธอถามด้วยความห่วงใย

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” ผมบอกปัดไป

“ถ้าเป็นหมวยนะ หมวยจะเสียใจมากๆ เพราะถ้าคนนั้นสำคัญกับเรามาก หมวยคงจะเสียน้ำตาให้เขา”
หมวยหันมามองหน้าผม แล้วเอามือมาลูบที่หลังผม

“เป็นอะไรรึเปล่า เล่าให้หนูฟังได้นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว”เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงผมมาก แล้วลูบหลังผมอย่างเห็นใจ

“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องกังวลหรอก พี่ไม่เป็นอะไร เข้าบ้านเถอะ เดี่ยวพี่จะกลับแล้ว ขอไปลาพ่อแม่ก่อน”

ผมเดินนำหมวยเข้าบ้านไปเพื่อบอกลาพ่อแม่ของเธอ ก่อนจะบอกลาเธอแล้วขอตัวกลับ

คืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืน คิดเพียงอย่างเดียวว่าจะเป็นยังไงต่อไป ในใจนึงก็นึกสงสารพ่อแม่น้องมีนที่รู้ว่าลูกตัวเองตาย ในใจนึงก็สงสัยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น จนผมเผลอหลับไป น้องมีนจึงมาเข้าฝันผม คราวนี้เธอมาบอกกับผมว่า เธอออกมาจากห้องน้ำไม่ได้ เธอยังติดอยู่ที่นั่น เธอหนาว เหงา และคิดถึงบ้านกับพ่อแม่มาก และก่อนที่เธอจะจากไป เธอพูดเหมือนว่าจะเอาคนที่ไม่ได้ช่วยเธอแล้วทิ้งให้เธอตายอยู่ในนั้นไปอยู่ด้วย ซึ่งตอนนั้นผมสะดุ้งตื่นพอดีเพราะนาฬิกาปลุกดังขึ้น

ตอนสายๆของวัน ผมเดินทางไปที่โรงเรียนแล้วไปที่ฝ่ายทะเบียนนักเรียน พร้อมกับหาข้อมูลที่อยู่ของเธอ พอได้เบอร์ที่บ้านมาแล้วผมเลยโทรไปหาพ่อแม่เธอ แต่ไม่มีใครรับ ผมจึงจำเป็นต้องไปที่บ้านเธอเอง และเมื่อไปถึง สิ่งที่ผมเห็นคือ ผู้หญิงวัย40กว่าๆคนนึงเดินมาเปิดประตูให้ผมด้วยใบหน้าอันเศร้าหมองและซีดเซียว ขอบตาบวมเป่ง เดินสะอึกสะอื้นมาหาผมที่ประตู ผมเลยขอเข้าไปคุยกับท่านในบ้าน ซึ่งทั้งพ่อแม่ของน้องมีนก็เล่าให้ผมฟังว่า ช่วงไม่กี่อาทิตย์ตอนที่น้องมีนไปฟังผลสอบ พ่อแม่มีเรื่องด่วนทำให้ต้องไปต่างจังหวัดกะทันหัน เลยทำให้ไปรับเธอไม่ได้ พอกลับมาถึงบ้านไม่เห็นน้องมีนเลยคิดว่าน้องไปอยู่บ้านเพื่อน แต่พอหลายวันเข้า น้องมีนยังไม่กลับมาบ้านซักที เลยพากันออกค้นหาทั้งบ้านญาติ บ้านเพื่อน และที่ต่างๆ จนมาได้ข่าวจากที่โรงเรียนว่าเธอตายแล้ว จึงไปรับศพมา ทั้งคู่เสียใจมากๆกับเหตุการณ์นี้

“เอ่อ ผมเสียใจด้วยจริงๆนะครับคุณลุง คุณป้า ที่ผมช่วยอะไรมากไม่ได้เลย” ผมแสดงความเสียใจกับทั้งคู่

“ไม่เป็นไรหรอก มันคงจะเป็นกรรมของลูกลุงที่เขาต้องมาตายตามเวลาของเขา ลุงไม่เสียใจมากหรอก” พ่อของน้องมีนกล่าว

“อืม ผมว่าน่าจะลองนิมนต์พระไปทำพิธีเชิญวิญญาณ เอ่อ..ไม่แน่ใจแฮะ ทำอะไรประมาณนี้ดูซักหน่อยนะครับ เพราะน้องเขามาบอกผมว่าเขายังออกจากที่นั่นไม่ได้เลย” ผมเล่าให้ทั้งคู่ฟัง แต่ทั้งคู่มีสีหน้าที่ตกใจมาก

“ป้าไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วหนู ป้าคิดถึงลูก ถ้ามันทำได้จริงป้าจะทำ” แม่ของน้องมีนกล่าวทั้งน้ำตา

“งั้นพรุ่งนี้ผมจะอยู่รอนะครับ เพราะผมเป็นยามที่นั่น คืนนี้ผมจะไปเข้าเวรด้วย”

เวลาล่วงเลยมานานผมจึงรีบกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาที่โรงเรียน วันนี้เป็นเวรของผมกับพี่บาส สีหน้าของผมยังแย่อยู่ พี่บาสเลยถามความเป็นอยู่

“ยังฝันแบบวันนั้นมั๊ย”

“ยังครับพี่ แต่คราวนี้แปลก”

“แปลกเหรอ แปลกยังไง” พี่บาสถามด้วยความสงสัย

“ก็แปลกตรงที่ว่าคราวนี้เหมือนน้องเขาจะอาฆาตใครซักคนน่ะครับ เขาบอกจะเอาคนที่ไม่ช่วยเขาไปอยู่ด้วย” พี่บาสสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหันหลังกลับไปเขียนเอกสารต่อ

“งั้นระวังไว้หน่อยแล้วกัน ไม่แน่อาจจะเป็นเอ็งก็ได้”

คืนนี้เราอยู่กันอย่างเงียบๆ ไม่ค่อยมีใครพูดกับใคร เพราะต่างคนต่างมีความเครียด เพราะถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป เรามีสิทธิ์โดนไล่ออกได้ทั้งคู่ แต่พี่บาสดูจะเครียดกว่าผมมาก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

เช้าวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกผู้ปกครองหลายคนมาส่งลูกที่โรงเรียนแต่เช้า บางคนก็มาเดินดูโรงเรียน เด็กบางคนจับกลุ่มคุยกัน ซึ่งก็ไม่พ้นที่ว่าไปทำอะไรมาปิดเทอม แต่บางกลุ่มพูดถึงเรื่องคนตายในห้องน้ำหญิง พอเรื่องเริ่มหนาหูขึ้น ความจริงเริ่มปรากฏ ผู้ปกครองหลายคนที่รู้เรื่องนี้ เริ่มย้ายลูกตัวเองออกจากที่นั่นด้วยความกลัว ยิ่งหลายวันยิ่งออกไปเรื่อยๆจนเหลือน้อย ส่วนพ่อแม่ของน้องมีนก็มาเริ่มทำพิธีเชิญวิญญาณประมาณบ่ายๆ และกลับบ้านไป ผมก็ได้อยู่ร่วมพิธีด้วย

คืนนั้นความเงียบและความผวาเข้ามาปกคลุมโรงเรียน ผมนั่งอยู่กับพี่บาสและน้าถวิลที่ระเบียงห้องพักครูทิ้งให้พี่เฉลิมอยู่ที่ป้อมคนเดียว เราคุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลา พี่เฉลิมว.มาบอกให้พวกผมเดินตรวจอาคาร ด้วยความกลัวที่สะสมมา ทำให้พี่บาสไม่กล้าเดินคนเดียว ผมต้องเดินไปเป็นเพื่อน ส่วนน้าถวิลขอตัวกลับเข้าบ้านก่อน พอเราเดินตรวจได้ซักพัก เราก็ได้ยินเสียงของน้าถวิลดังมาจากบริเวณห้องน้ำหญิงแถวโรงอาหาร เราทั้งคู่จึงรีบวิ่งไปดู สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้านั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ร่างของน้าถวิลถูกต้นไทรข้างโรงอาหารตรงเอาไว้ บางส่วนเหมือนถูกตีจนฉีก แขนข้างหนึ่งห้อยอยู่ที่กิ่งซึ่งห่างจากตัวไปพอสมควร ผมกับพี่บาสเห็นเส้นผมยาวๆออกมาจากกิ่งต้นไทร ทั้งๆที่มันควรจะเป็นไม้ แต่มองยังไงๆก็เส้นผม พี่บาสเห็นหัวหญิงสาวคนหนึ่งค่อยๆโผล่ออกมาจากเงามืดของต้นไทร เขาจึงตะโกนออกมา

“อะไรวะ จะมาหลอกกันทำไมวะเนี่ย ไม่ได้ไปทำอะไรให้ซักหน่อยเลยนะโว้ย”

พี่บาสตะโกนอย่างเสียสติ ทำให้ผมต้องหันไปดูบ้าง มันเป็นหน้าของน้องมีนที่มีสีหน้าที่เคียดแค้นมากๆ นั่นทำให้ผมต้องรีบคว้าตัวพี่บาสแล้ววิ่งหนีสุดชีวิต เพื่อให้ไกลจากต้นไทรต้นนั้น เพราะอย่างที่บอกผมกลัวผีต้นไทรมากๆ ซึ่งผีน้องมีนก็ดันเลือกที่ถูกซะด้วย

ผมกับพี่บาสวิ่งมาจนถึงสนามบาส ผมจึงหยุดแล้วถามพี่บาสว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“พี่ๆ พี่บาส!! ผมถามพี่ตรงๆนะ เกิดอะไรขึ้นวะ! ทำไมพี่ต้องกลัวขนาดนี้ด้วย!” ผมกระชากคอเสื้อพี่บาสให้เขาอยู่นิ่งๆ

“กูไม่รู้ โจ!!! กูไม่รู้!!! กูไม่ได้ทำ!!!กูขอโทษ!!!” พี่บาสเสียสติไปแล้วตอนนี้

“ทำ!!! ทำอะไรพี่ บอกผมมาตรงๆ มีเรื่องอะไร” ผมเขย่าตัวพี่บาสจนสุดแรง

พี่บาสเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง ว่าวันที่พวกผมมาอยู่เวรกะกลางวันกันในวันฟังผลสอบที่ผมเจอน้องมีนครั้งแรกนั้น หลังจากที่หาน้องมีนไม่เจอแล้วกำลังจะแยกกันกลับบ้าน พี่บาสวิ่งมาหากุญแจห้องที่หน้าห้องน้ำหญิง แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเคาะห้องน้ำดังมากๆ พี่บาสตกใจจึงรีบวิ่งหนีไปเพราะคิดว่าเป็นผี เลยทำให้ไม่ได้เข้าไปดูในห้องน้ำ ขณะนั้นเองที่พี่บาสกำลังเล่า หมวยก็โทรเข้ามาพอดี

“ฮัลโหล ว่าไงคุณเธอ โทรมาดึกๆมีอะไร” หมวยทักผม

“โทร หมายความว่าไงหมวย ใครโทรไปหาหมวย” ผมถามด้วยความตกใจ เพราะคิดว่าหมวยอาจจะเพ้อก็ได้

“ก็พี่นั่นแหละโทรมาหาหนู เมื่อกี๊อ่ะ แล้วก็โทรมาร้องแว๊กๆๆ แล้วก็วางสายไป หนูตกใจนะ”

พอสิ้นเสียงแค่นั้น ผมรีบวางสายทันที แล้วรีบกดไปดูบันทึกการโทร ปรากฏว่าสายที่โทรออกนั้นมีเบอร์ของหมวยจริงๆ แต่น่าแปลกที่ว่ามันเป็นเมื่อวันที่ผมจะไปหาหมวยที่บ้าน ไม่ใช่วันนี้ ผมหันไปมองหน้าพี่บาส หลังจากนั้น หมวยจึงโทรกลับมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห

“ทำไมต้องวางสายใส่กันด้วยอ่ะ มีอะไรก็พูดดีๆสิ ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย” เธอตะคอกใส่ผม

ผมบอกกับหมวยว่าผมโทรไปจริงในบันทึกสนทนามี แต่เป็นเมื่อหลายวันก่อนที่ผมไปบ้านเธอมา เธอว่าผมว่าเพ้อเจ้อ แล้ววางสายใส่ผมทันที

“หมวย เดี๋ยวก่อน หมวย กลับมาก่อน” ผมตะโกนใส่โทรศัพท์แต่หมวยวางไปแล้ว

ผมเดินมากระชากพี่บาส เพื่อจะเดินไปที่ป้อมยาม

“***มานี่เลยนะพี่ มากับกูนี่ ***กับกูมีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลยพี่”

ผมโมโหสุดๆ แล้วลากพี่บาสมาแต่ด้วยอารมณ์โมโห เลยโยนเขาไปข้างหน้าจนเขาล้มลง ผมเริ่มออกอาการหัวเสียและหวาดกลัว ผมหันกลับไปเพื่อจะดึงตัวเขาขึ้นมา ก็ปรากฏเงาดำขึ้นข้างหลังเขา เป็นเงาผู้หญิงผมยาวปิดหน้า เห็นเพียงแค่ใบหน้าเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น เป็นดวงตาสีแดงก่ำ เหลือกโต กำลังเดินเข้ามาข้างหลังพี่บาส ผมชะงักแล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น พี่บาสกลัวมากแล้วขอโทษผมทั้งน้ำตา แต่จังหวะนั้น เส้นผมที่ยาวถึงพื้นของเงานั้นก็สยายออก พร้อมกับแทงทะลุร่างของพี่บาส ก่อนจะยกร่างของเขาขึ้น เสียงพี่บาสแผดดังด้วยความเจ็บปวด มือและเท้าสั่น ก่อนที่ร่างจะร่วงลงมาถึงพื้น เท้ายังฟาดพื้นดังพั่บๆ พี่บาสตายแล้ว แต่ร่างกายของเขายังไม่รู้เท่านั้นเอง เงาดำของหญิงสาวค่อยๆเดินเข้ามาหาผมเรื่อยพร้อมรอยยิ้มอันน่ากลัว ก่อนจะพูดกับผม

“หนูทำสำเร็จแล้วพี่ พี่โจ หนูล้างแค้นได้แล้วพี่ หนูฆ่าไอ้พวกที่มันทิ้งให้หนูตายได้แล้ว”

ผีน้องมีนเริ่มเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ตอนนี้สติผมกำลังจะแตกแล้ว และยิ่งเธอเดินเข้ามาใกล้เท่าไหร่ ผมยิ่งจะเป็นบ้าไปเมื่อนั้น จนเธอมาหยุดตรงหน้าผม ผมลงไปนั่งกับพื้น ใบหน้าสีเขียวและตาสีแดงของเธอ เริ่มจ้องมาที่หน้าผมเรื่อยๆพร้อมกับเสียงหัวเราะอันน่ากลัว ผมกรีดร้องอย่างหวาดกลัวอย่างไม่รู้จะเสียอะไรแล้ว น้ำตาเริ่มไหล ตาของผมเบิกโพลง แล้วหลังจากนั้นผมก็ไม่รู้สติอะไรเลย จนสลบไป

รุ่งเช้าผมตื่นขึ้นมาผมเจอหน้าพี่เหลิมเป็นคนแรกพร้อมด้วยหน้าของแม่ และเพื่อนๆ ผมมองกวาดสายตาไปเรื่อยๆ ผมมองเพดาน รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นโรงพยาบาล ผมมองเห็นหน้าหมวย แต่สีหน้าที่เห็น ไม่ใช่แค่หมวยเท่านั้นที่เป็น ทุกคนรอบๆนั้นหน้าเสียหมด ผมตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาล หมอบอกกับแม่ผมว่าผมได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองทำให้เสียสติไป

ผมใช้เวลาอยู่เป็นปีกว่าจะหายดี จนอาการผมดีขึ้น ผมได้โทรคุยกับพี่เฉลิม แล้วเล่าให้พี่เฉลิมฟังถึงเรื่องทั้งหมด

“เอ็งหายแล้วแน่เหรอวะโจ รู้มั๊ยที่เอ็งเล่าน่ะ ไม่ใช่ที่พี่เห็นตรงนั้นเลยนะ”

“หายแล้วสิพี่ ว่าแต่ทำไมล่ะ ที่ผมเล่านี่เรื่องจริงนะ”

ผมสงสัยทำไมเป็นแบบนั้น เลยถามพี่เฉลิมให้แน่ใจ พี่เฉลิมเลยเล่าให้ฟังว่า คืนนั้นตอนตี4เกือบตี5พี่เฉลิมได้ยินเสียงผมตะโกนโหวกเหวกมาจากสนามบาส เลยวิ่งมาดู พี่เฉลิมเห็นศพของพี่บาสที่ถูกมีดแทงปักหน้าอกอยู่ แทนที่จะเป็นเศษเส้นผมของผีน้องมีน แล้วพี่เฉลิมก็เห็นผมนอนสลบอยู่ จึงเรียกรถพยาบาลมา จนรุ่งเช้า ก็ไปเจอศพน้าถวิลโดนมีดฟันแขนขาดอยู่ข้างต้นไทรมีบาดแผลจากการต่อสู้ แทนที่จะเป็นศพที่ถูกแขวนอยู่ ซึ่งพี่เฉลิมบอกว่า อาจจะเป็นโจรที่เข้ามาขโมยของก็ได้ พอเจอน้าถวิลกับพี่บาสก็เลยฆ่า ส่วนผมอาจจะเป็นว่าโจรเห็นพี่เฉลิมถือปืนมาเลยหนีไปก่อน ผมยังไม่ทันได้ฟังพี่เฉลิมแกพูดจบ ผมวางสายทันที แล้วจึงเดินทางกลับมาที่โรงเรียนนี้อีกครั้ง เมื่อไปถึงชาวบ้านก็ห้ามผมไม่ให้เข้าไปที่นั่น แต่อะไรจะห้ามผมได้ล่ะ ไม่มีทางหรอก

ผมเดินเข้ามาจนถึงที่ๆเคยเป็นโรงเรียนมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว สภาพที่เห็นก็คือ โรงเรียนกลายเป็นโรงเรียนร้าง มีเศษหญ้าขึ้นเต็ม เถาวัลย์เลื้อยไปตามตึกทุกมุมของโรงเรียน จากโรงเรียนที่เคยสวยงาม กลับกลายเป็นโรงเรียนร้างที่มีต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นจนรก ผมเลยกลับออกมาและโทรกลับไปหาพี่เฉลิมอีกครั้ง พี่เฉลิมบอกว่า หลังจากเหตุการณ์นั้น ทำให้ผู้อำนวยการต้องสั่งปิดโรงเรียนทันที เพราะทนแรงกดดันจากผู้ปกครองไม่ไหวที่มีคนถูกฆ่าตายในโรงเรียน และผู้ปกครองยังเป็นห่วงความปลอดภัยของนักเรียนเลยย้ายเด็กออกกันจนหมด พี่เฉลิมเลยต้องลาออก เรื่องนี้กลายเป็นข่าวดังมากเมื่อปีที่แล้ว เมื่อไม่มีใครกล้าอยู่ ที่นี่จึงถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า กลายเป็นที่ ที่มีความอาถรรพ์เพราะบางทีชาวบ้านที่ผ่านไปมาทั้งกลางวัน กลางคืน ก็จะได้ยินเสียงคนเดินบ้าง เสียงกวาดใบไม้บ้าง เสียงเคาะประตูบ้างจนทำให้เป็นที่หวาดผวาของคนทั่วไป ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าที่นี่อาจจะสร้างทับที่ของป่าช้าหรืออะไรก็ได้ จนทำให้อำนาจแห่งความมืดต้องมาทวงคืน

หลังจากวันนั้น ผมได้สอบเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดิมอีกรอบพร้อมกับหมวย ผมกลับมาคุยกับหมวยเหมือนเดิม แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมต้องหวนมาคิดถึงเหตุการณ์วันนั้น คือเสียงสุดท้ายที่หมวยอัดมาได้เพราะว่ามีโทรศัพท์ของผมโทรกลับมาทั้งๆที่วันนั้นผมยังไม่ได้โทรไปหาเธอเลย เป็นเสียงของผมที่พูดว่าขอโทษ และตอนท้ายเป็นเสียงหัวเราะที่ผมจำได้ดีไม่มีลืม มันคือเสียงหัวเราะของน้องมีนตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง

Talon
18th May 2012, 23:46
ชอบมากๆคับ สนุกมากๆๆๆๆ แต่งต่อไปเรื่อยๆนะครับ ^^

kabukiput
18th May 2012, 23:49
ช่วง คุยกันหลังไมค์

ชอบมากๆคับ สนุกมากๆๆๆๆ แต่งต่อไปเรื่อยๆนะครับ ^^

ครับผมขอบคุณครับ แต่ผมคงต้องไปหาแรงบันดาลใจในการเขียนเพิ่มน่ะครับ เพราะว่าที่เขียนนี่มาจากเรื่องผีที่แม่ผมเล่า ฉะนั้นการที่จะออกตอนใหม่ได้ต้องมีคนมาเล่าให้ฟังครับ


อืม....สยองใช้ได้เลยนะเนี่ยยย ดีกว่านิยายบางเรื่องอีก แล้วก็สิ่งเดียวที่ขอก็คือ

"แต่งต่อไปนะคะ อย่าทิ้งงาน"

By Stormwind [Female]

ไม่ทิ้งแน่นอนครับผม ได้แรงบันดาลใจเมื่อไหร่จะรีบแต่งครับผม


บรื้่ออออ......น่ากลัวก็ไม่บอก
มาจากเรื่องจริงครับผม เลยค่อนข้างน่ากลัว

Stormwind
18th May 2012, 23:52
อืม....สยองใช้ได้เลยนะเนี่ยยย ดีกว่านิยายบางเรื่องอีก แล้วก็สิ่งเดียวที่ขอก็คือ

"แต่งต่อไปนะคะ อย่าทิ้งงาน"

By Stormwind [Female]

natthadith7300
19th May 2012, 00:17
บรื้่ออออ......น่ากลัวก็ไม่บอก

kabukiput
19th May 2012, 00:50
ใครมีเรื่องผีที่เคยเจอมากับตัวก็เอามาเล่าให้ฟังได้นะครับ เผื่อว่าจะมาอยู่ในตอนต่อไปของผม อ้อ เน้นด้วยนะครับ่วาขอแบบละเอียดยิบเลย

CORNETTO
19th May 2012, 00:51
โอ้ เอาละไง อ่านตอนดึกๆ เสียวนะเว้ย Writer !!! 5 5 5 5 5 5 5 5

kabukiput
19th May 2012, 09:54
เหอะๆ นี่มันหลอนขนาดนั้นเลยหรอครับเนี่ย บางทีนั่งอ่านเองยังไม่รู้ตรงที่มันหลอนเลย

giarttiwutza
19th May 2012, 09:55
พยายามแต่งต่อไป สู้ ๆ :hehe

ohana123
19th May 2012, 11:19
หลอนดีมีเฮ -..-

kabukiput
19th May 2012, 23:43
ขอบคุณทุกคนด้วยครับ ตอนนี้กำลังเริ่มตอนที่2แล้ว เสร็จเมื่อไหร่เดี๋ยวเอามาลงให้อ่านนะครับผม

Prince.NO9
19th May 2012, 23:44
จากใจเอาไปสองคำ สุโก้ย!!!

AodPDS711
26th May 2012, 13:06
โอ้! นึกว่าจะไม่เท่าไหร่ ที่ไหนได้ เอาไปเลย 9/10 สุดยอดมากๆๆ

Stormwind
26th May 2012, 14:48
ลงในกระทู้เดียวกันจะเวิร์คกว่านะครับ

By Stormwind [Male]

offerre
26th May 2012, 19:43
ใครมีเรื่องผีที่เคยเจอมากับตัวก็เอามาเล่าให้ฟังได้นะครับ เผื่อว่าจะมาอยู่ในตอนต่อไปของผม อ้อ เน้นด้วยนะครับ่วาขอแบบละเอียดยิบเลย

สู้ๆครับแต่งดีกว่านิยายที่ผมอ่านมาซะอีก ได้ความเป็นตัวละครมากจริงๆครับ

สุดยอดเลย อีกอย่างใช้คำที่อ่านง่ายด้วย แต่ถ้ามาจากเรื่องจริงผมก็กลัวนะเนี้ยว่างๆไปเป็นยามตามพาราก้อนยังดีกว่านะ555+อย่างน้อยก็คนเยอะแสงสีเสียง

ยามดึกที่ผมต้องการคือแสงสีเสียงอย่างพาราก้อนนะไม่ใช่ยามราตรีที่เงียบเหงา :sweat

ถ้าจะให้ดีนะกระทู้นี้ไว้ใส่เรื่องเล่าทั้งหมดเลยนะ เอาแบบทำเป็นลิ้งในกระทู้นี้ไว้อะครับแล้วบอกชื่อเรื่องอะครับแล้วเรียงลงมาก็ดูดีละครับ

แต่แต่งต่อไปนะครับจะติดตามผลงานนะครับ

เมื่อก่อนผมก็เคยมีเรื่องเล่านะทั้งดราม่า ทั้งเศร้า ทั้งตลกเยอะแยะ แต่ตอนนี้ลืมหมดละ แต่ถ้าจำได้จะมาบอกอีกทีนะ:cool:

แต่จะรับเรื่องเล่าแบบไหนหรอครับ หรือว่าได้หมดทุกแนว

kabukiput
26th May 2012, 20:03
สู้ๆครับแต่งดีกว่านิยายที่ผมอ่านมาซะอีก ได้ความเป็นตัวละครมากจริงๆครับ

สุดยอดเลย อีกอย่างใช้คำที่อ่านง่ายด้วย แต่ถ้ามาจากเรื่องจริงผมก็กลัวนะเนี้ยว่างๆไปเป็นยามตามพาราก้อนยังดีกว่านะ555+อย่างน้อยก็คนเยอะแสงสีเสียง

ยามดึกที่ผมต้องการคือแสงสีเสียงอย่างพาราก้อนนะไม่ใช่ยามราตรีที่เงียบเหงา :sweat

ถ้าจะให้ดีนะกระทู้นี้ไว้ใส่เรื่องเล่าทั้งหมดเลยนะ เอาแบบทำเป็นลิ้งในกระทู้นี้ไว้อะครับแล้วบอกชื่อเรื่องอะครับแล้วเรียงลงมาก็ดูดีละครับ

แต่แต่งต่อไปนะครับจะติดตามผลงานนะครับ

เมื่อก่อนผมก็เคยมีเรื่องเล่านะทั้งดราม่า ทั้งเศร้า ทั้งตลกเยอะแยะ แต่ตอนนี้ลืมหมดละ แต่ถ้าจำได้จะมาบอกอีกทีนะ:cool:

แต่จะรับเรื่องเล่าแบบไหนหรอครับ หรือว่าได้หมดทุกแนว
ขอเป็นสยองขวัญแบบเดียวดีกว่าครับ เพราะจะทำเป็นซีรี่ส์เลย เขียนจนกว่าผมจะตายไป ส่วนการรวมกระทู้แล้วทำลิ๊งค์นี่ไม่เป้นจริงๆครับ ขออภัยจริงๆ

Stormwind
27th May 2012, 09:38
ขอเป็นสยองขวัญแบบเดียวดีกว่าครับ เพราะจะทำเป็นซีรี่ส์เลย เขียนจนกว่าผมจะตายไป ส่วนการรวมกระทู้แล้วทำลิ๊งค์นี่ไม่เป้นจริงๆครับ ขออภัยจริงๆ

โพสนิยายลงกระทู้เดียวกันไง ก็เหมือนกับคอมเม้นนั่นแหละค่ะ

By Stormwind [Female]

offerre
27th May 2012, 13:29
ขอเป็นสยองขวัญแบบเดียวดีกว่าครับ เพราะจะทำเป็นซีรี่ส์เลย เขียนจนกว่าผมจะตายไป ส่วนการรวมกระทู้แล้วทำลิ๊งค์นี่ไม่เป้นจริงๆครับ ขออภัยจริงๆ

อ่าไม่เป็นไรครับ แต่ถ้ามีอัพเดทเรื่องใหม่มาก็แค่แก้ไขหน้าแรกแล้วบอกว่าเรื่องใหม่ชื่อไรอยู่หน้าไหนก็พอแล้วครับ:victory

เช่น

อัพเดท!

เรื่อง .......... อยู่หน้าที่ 2 3 4 5 6 ก็ว่าไปครับ
เรื่อง
เรื่อง ต่อไปเรื่อยๆอะครับ:cool:

Patanin123
29th May 2012, 12:59
สนุกมากๆ เลยครับ :cool: