PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : เรื่องเล่าจากความมืด ตอนที่ 2



kabukiput
26th May 2012, 12:18
ตอนที่2ของซีรี่ส์แล้วครับ พึ่งแต่งเสร็จเมื่อวาน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ผมแต่งเสร็จภายในวันเดียว แต่ขอบอกก่อนว่าตอนนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับตอนแรกแต่อย่างใดนะครับ เพราะมันเป้นเรื่องสั้นในซีรี่สื ตอนนี้อาจจะดูไม่ค่อยสยองเท่าไหร่นะครับ เพระาผมต้องการเขียนให้เสร็จเพราะกลัวลืมเรื่อง ที่สำคัญครับ ฝากติดตามต่อกันด้วยนะครับ ถ้ามีคนชอบเดี่ยวจะรวมเป็น My Centerเลย


ขออุทิศให้ดวงวิญญาณสัมภเวสีทุกดวงบนโลกใบนี้


เรื่องเล่าจากความมืด ตอน "ห้องพักหลอน"

ชีวิตมหาวิทยาลัย เป็นช่วงชีวิตที่ทุกคนต้องเริ่มปรับเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง บางคนได้เรียนมหาวิทยาลัยที่ดีในที่ที่ตัวเองชอบ บางคนไม่ชอบแต่จำเป็นต้องเรียน ซึ่งบางคนจำเป็นต้องเดินทางจากบ้านแต่เช้าเพื่อให้ทันเรียน ซึ่งถ้าเป็นเด็กในกรุงเทพก็คงจะไม่ลำบากเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่สำหรับเด็กต่างจังหวัดอย่างผมก็คงไม่มีทางที่จะทำอย่างนั้นได้

ผมชื่อ เมือง เป็นเด็กหนุ่มจากจังหวัดขอนแก่น ผมเข้ามาที่กรุงเทพเพื่อที่จะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ผมต้องการ เพื่อให้มีอนาคตที่ดี เด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรในเมืองหลวงเลยคงจะลำบากพอสมควรเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตัวเอง ผมเดินทางเข้ากรุงเทพมาพร้อมกับเพื่อนอีกคน มันชื่อว่า จ่อย เป็นเพื่อนที่ผมสนิทกันมาตั้งแต่ประถม เราสองคนรู้จักกันมานานเพราะที่บ้านนั้นเรารู้จักกัน ซึ่งมันก็เรียนที่เดียวกันกับผมด้วย

เราเป็นเด็กต่างจังหวัดทั้งคู่ เดินทางจากขอนแก่นเข้าสู่กรุงเทพ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางที่จะไปหาที่อยู่ได้อย่างง่ายๆแน่นอน แต่โชคดีที่แม่มีญาติอยู่ที่กรุงเทพ จึงทำให้สะดวกในการหาที่อยู่พอสมควร เพราะบ้านพักของน้าผมนั้นอยู่ค่อนข้างจะใกล้มหาวิทยาลัย ทำให้เวลาที่เดินทางไปเรียนนั้นไม่ลำบากเท่าไหร่

บ้านที่เราไปอาศัยอยู่ด้วยนั้น เป็นอาคารพาณิชย์เก่าๆ ขนาด 4 ชั้น ซึ่งชั้นแรกจะเป็นห้องที่ทุกคนในบ้านจะเอาไว้กินข้าวและนั่งดูโทรทัศน์กัน ชั้นสองจะเป็นห้องของน้าผมกับลูกๆของเขา ส่วนที่ชั้นสามจะเป็นห้องของผมกับญาติอีกหลายคนๆซึ่งที่ชั้นสามนี้จะมีห้องอยู่สี่ห้อง ห้องแรกจะเป็นของญาติผม ซึ่งนอนอยู่กันสองคน ห้องถัดมาจะเป็นห้องของผมกับจ่อย แล้วก็พี่เอกพวกเรานอนด้วยกันสามคน ส่วนห้องที่อยู่ติดบันไดนั้นจะเป็นห้องพระซึ่งจะมีพระของน้าอยู่เต็มไปหมด ถือเป็นอีกห้องนึงที่ค่อนข้างจะน่ากลัวพอสมควรในเวลากลางคืน อาจจะเป็นเพราะอะไร บางอย่างมั๊งที่ทำให้พวกผมรู้สึกแบบนั้น ส่วนห้องสุดท้ายที่อยู่สุดทางเดิน เป็นห้องเก่าของพ่อแม่น้าผม(น้าเป็นลูกพี่ลูกน้องแม่) ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยมีใครเข้าไปเท่าไหร่ส่วนมากจะใช้สำหรับรับแขกที่มาพักเท่านั้น

ช่วงแรกของการอยู่ที่นี่ยังไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ เพราะทุกคนในบ้านล้วนรู้จักกันหมด ต่างคนต่างดูแลซึ่งกันและกัน ทำให้เราไม่ค่อยเขินกันเท่าไหร่ จนวันนึงเป็นวันที่ฟ้าค่อนข้างสลัวๆ เพราะฝนกำลังจะตก เวลาช่วงประมาณ5โมงกว่ากำลังโพล้เพล้ ผมนอนฟังวิทยุอยู่ในห้องคนเดียว เพราะทุกคนอยู่ข้างล่างส่วนจ่อยก็ไปเข้าห้องน้ำ ด้วยความเย็นของอากาศ บวกกับเพลงที่ดีเจเปิดนั้นฟังสบาย ทำให้ผมเหมือนจะเคลิ้มหลับไป แต่ซักพักผมก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอย่างดังเหมือนกับว่าในซอยที่เราอยู่นั้นมีงานอะไรสำคัญๆกันอยู่ ผมจึงลุกขึ้นมาด้วยอาการงัวเงียเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่ระเบียง

เมื่อผมไปถึงระเบียง เสียงของกิจกรรมทั้งหลายนั้นหยุดลงทันที ผมพยายามที่จะตั้งสติ แต่เสียงที่ได้ยินเมื่อสักครู่ก็ไม่มีเลย

“อะไรวะ เมื่อกี๊ยังได้ยินอยู่เลย” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ

ด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบแบบนี้ ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่เลยกับเสียงที่ได้ยินว่ามาจากความคิดหรืออะไร ผมจึงจะลงไปข้างล่าง

“ทำอะไรวะ”

“เฮ้ย!!!!” ผมตกใจเมื่อเห็นไอ้จ่อยมายืนข้างหลังผม

“อะไรของ***วะ คราวหลังมาก็หัดเคาะประตูก่อนดิ ตกใจนะเว่ย” ผมตะหวาดใส่มัน มันทำท่างงเล็กน้อย

“อิหยังของ***เนี่ย กูกะอยู่ของกูจังซี่ ***สิตื่นหาซิแตกอิหยังวะ(อะไรของ***เนี่ย กูก็อยู่ของกูอย่างนี้ ***จะตกใจทำไมวะ)”มันโมโหเล็กน้อย

“ฮึ่ย แล้วยาม***เข่ามานั่นคือบ่เคาะห่องก๊อน กูตื่นเบิ๊ด(แล้วตอน***เข้ามาทำไมไม่เคาะห้องก่อน กูตกใจหมด)” ผมสวนมันกลับ

“แล้ว***สิลงไปกินข้าวบ่นี่ น้าเขาให้กูมาตาม***นี่(แล้ว***จะลงไปกินข้าวมั๊ย น้าเขาให้กุมาตาม***เนี่ย)” มันถาม

“อืม ไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผมหันไปปิดประตูระเบียงเพื่อตามมันลงไปกินข้าว

“เฮ้ย จ่อย ตะกี้***ได้ยินเสียงคนทางตะล่างบ่วะ(เมื่อกี๊***ได้ยินเสียงคนข้างล่างมั๊ยวะ)” ผมหันไปถามมัน

“กะเสียงน้าหมานเผิ่นตั๋วล่ะ สิมีเสียงไผอีก(ก็เสียงน้าสมานนี่ จะมีเสียงใครอีก)”

“บ่แหม่น มันคือเสียงคนอยู่ทางนอกแหม ในซอยนี่ บ่แหม่นเสียงเผิ่น” ผมพยายามอธิบายให้มันฟัง

“หูฝาดล่ะ***นั่น ไปๆ กินข้าว หิวแล้วนี่” มันเดินออกจากห้องผมไป ทิ้งให้ผมงงอยู่คนเดียว

ในขณะที่พวกเรากำลังล้อมวงกินข้าวอยู่นั้น เรื่องที่มันเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ก็หวนกลับขึ้นมาในหัวของผม มันทำห้ผมค้างคามาก จนต้องเอ่ยปากถามน้าดาแฟนของน้าสมาน

“น้าดาครับ เมื่อกี๊ตอนหัวค่ำ แถวนี้เขามีงานอะไรกันหรอครับ” ผมถามน้าดาขึ้นมา ทำให้ทุกคนรอบๆวงข้าวหันมามองผม แต่ยังไม่ทันที่น้าดากำลังจะพูด

อะไร เสียงประตูที่ปิดอย่างแรงก็ดังขึ้น

ปั้ง!!!!!!!

ทุกคนในวงข้าวนั่งนิ่งก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อไป นั่นรวมถึงผมด้วย แต่สิ่งที่ค้างคาในใจก็ยังถูกเก็บไว้ จนกระทั่งวันนึงผมได้รู้กับตัวเองว่า สิ่งที่ผมได้ยินนั้น มันมาจากอะไร


ช่วงเย็นของวันเสาร์ผมนั่งอยู่คนเดียวในห้อง เพื่อที่จะอ่านหนังสือสอบในอีกสองวันบนห้องคนเดียว เหมือนเดิม จ่อยมันออกไปข้างนอกอีกแล้ว เวลาเดิม บรรยากาศเดิม ยิ่งทำให้ผมกลัวขึ้นมา จนผมขนลุก ไม่ได้ลุกเพราะกลัวผีหรอกครับ ผมแค่ปวดฉี่เท่านั้น ผมจึงวางหนังสือแล้วเดินออกจากห้องมาเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งระหว่างทางผมต้องผ่านห้องของญาติผู้หญิง พอเดินไปถึงหน้าห้องผมก็ได้ยินเสียงเหมือนเด็กร้องไห้เพราะถูกแม่ตี ผมจึงหันเข้าไปในห้อง เห็นประตูระเบียงเปิดอยู่ ผมจึงเดินเข้าไปเพื่อที่จะปิดมัน ซึ่งเสียงเด็กก็ยังดังอยู่ จนกระทั่งผมเดินออกไปที่ระเบียง เสียงนั่นหายไป ผมพยายามชะโงกหน้าหาต้นตอของเสียง แต่ไม่มีใครอยู่ในซอยเลย มีเพียงคนงานไม่กี่คนเท่านั้นที่เดินผ่านซอยใหญ่ ผมไม่สนใจกับสิ่งนั้น จึงรีบปิดประตูระเบียง แล้วเดินออกจากห้อง แต่ระหว่างที่เดินออกมานั้น ผมรู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ที่ระเบียงข้างนอกห้อง ผมจึงหันกลับไปมอง

ผมหันมองไปที่ระเบียง ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้น แต่เมื่อผมกำลังก้าวออกมาจากห้องเพื่อจะลงไปข้างล่าง เสียงกรี๊ดร้องของเด็กทารกก็ดังขึ้น ผมไม่รอให้ใครมาบอกอะไร สมองกับร่างกายสัมพันธ์กัน โดยที่ผมไม่รู้ตัว ผมพุ่งลงมาจากชั้น3โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่บ้าง เหงื่อเปียกโชกเต็มหน้า ดวงตาผมเบิกโพลง ผมสั่นไปทั้งตัว ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในอาการหวาดกลัว ทุกคนในบ้านตกใจเมื่อเห็นผมในสภาพนั้น

“เป็นอะไรวะเมือง หนีอะไรลงมาถึงทำหน้าตาตื่นแบบนั้น” พี่เอกถามผม

ผมยังไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพราะทั้งความเหนื่อย และตกใจ จึงทำให้ผมพูดไม่ออก

แต่สิ่งที่ผมสังเกตได้ คือหน้าตาของน้าดากับน้าสมานมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เหมือนกับรู้ว่าผมเจออะไรเข้า ซักพักพี่น้ำจึงเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับถามผม

“เมืองเปิดวิทยุเสียงดังไปนะ เสียงอย่างกับเด็กโดนแม่ตีเลย ไปปิดซะนะ”

ผมถึงกับช็อกกับสิ่งที่พี่น้ำพูด เพราะว่าวันนี้ ผมไม่ได้เปิดวิทยุฟังเลยด้วยซ้ำไป ผมพยายามอธิบายให้พี่น้ำฟังแต่เธอไม่ฟัง และที่สำคัญคือ เสียงที่พี่น้ำกับพี่เนได้ยิน เป็นเสียงเด็กร้องไห้เหมือนกัน ผมจึงพาทั้งพี่น้ำและพี่เนขึ้นไป โดยมีพี่เอกตามขึ้นไปด้วย เพราะผมคงไม่มีทางขึ้นไปคนเดียวอยู่แล้ว พอไปถึงหน้าห้อง วิทยุในห้องผมมันดันเปิดอยู่ เป็นไปได้ยังไงกัน ในเมื่อผมแน่ใจว่าผมไม่ได้เปิดมัน

“นั่นไง บอกแล้วว่าเปิด ยังจะมาบอกว่าไม่ใช่อีก หัดโกหกนะเราเนี่ย” พี่น้ำดุผม

“งั้นก็ช่างมันเหอะ มันคงลืมน่ะ ช่วงนี้มันยิ่งต้องสอบด้วย มันคงเพลียน่ะ” พี่เอกพูดเพื่อให้พี่น้ำเลิกใส่ใจ

เมื่อทุกคนเดินออกจากห้องไป ผมจึงนั่งลงบนเตียง คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ไม่แน่ว่าผมอาจจะเป็นอย่างที่พี่เอกว่าก็ได้ ผมอาจจะเพลียเลยฝันไป แต่ทำไมสิ่งต่างๆมันดูเหมือนจริงมากเลยล่ะ

จนกระทั่งคืนนั้น ผมนั่งอยู่ที่ระเบียงกับพี่เอกและไอ้จ่อย นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยไปพร้อมกับดื่มเบียร์กันไปด้วย ไอ้จ่อยดื่มเยอะกว่าใคร สภาพเลยแย่กว่าคนอื่น ส่วนผมกับพี่เอกนั่งคุยกันไป จนกระทั่ง4ทุ่มกว่า ผมมองไปที่ระเบียงบ้านฝั่งตรงข้าม แต่ไม่รู้เพราะอะไรดลใจทำให้ผมมองไปในเงามืดที่สุด ผมมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่สไบ นั่งอยู่ในเงามืดตรงนั้น ผมหันหน้ากลับมาทันที ผมเห็นพี่เอกยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร แล้วหันกลับมาช้าๆ

“***ก็เห็นใช่มั๊ย” พี่เอกถามผมด้วยน้ำเสียงที่เบาและนิ่ง ผมจึงพยักหน้า เพราะแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ตาฝาดไป

ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร พี่เอกจึงลากไอ้จ่อยเข้ามาในห้อง ก่อนจะปิดประตูแล้วล๊อกกลอนทันทีโดยไม่รอช้า แต่เมื่อพี่เอกกำลังเดินถอยออกมา ก็ปรากฏใบหน้าหนึ่งขึ้นบนกระจก

“เฮ้ยยย!!!!”

พี่เอกตกใจจนร้องเสียงหลงออกมาพวกเราจึงแบกไอ้จ่อยออกมาจากห้องแล้วเข้าไปที่ห้องพระทันที ซึ่งในห้องน้าสมานกำลังนั่งสมาธิอยู่ น้าสมานตกใจที่พวกเราทำเสียงดัง พวกเราจึงเล่าเรื่องให้น้าสมานฟัง น้าสมานจึงเล่าให้พวกเราฟังว่า เมื่อก่อนนี้ ซอยนี้เคยเป็นที่ศาลมาก่อน จนกระทั่งไฟไหม้ใหญ่ มีคนตายหลายสิบคน เลยทำให้ต้องรื้อศาลทิ้ง จนกลายเป็นที่ดินว่างๆมาหลายสิบปี จนมีนายทุนมาลงทุนซื้อที่แล้วสร้างเป็นอาคารพาณิชย์ขึ้น จนเจริญเติบโตมาถึงปัจจุบัน แต่ชาวบ้านที่อยู่แถวนี้มานานจะรู้กัน ว่าบางทีก็มีคนเห็นวิญญาณตามที่ต่างๆในซอย จนบางคนทนไม่ไหว เลยรวมตัวกันไปนิมนต์พระมาทำบุญใหญ่ในซอย แต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ

คืนนั้นพวกผมนอนกันที่ห้องพระจนเช้า กว่าจ่อยจะสร่างเมาก็ล่อไป8โมงกว่า ผมจึงชวนมันออกไปหาหอพักอยู่แทน เพราะผมทนไม่ไหวจริงๆ ซึ่งก็ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะหาได้ ซึ่งผมกับจ่อยก็กลับมาเยี่ยมน้าสมานอยู่บ่อยๆ แต่นานๆจะได้นอนที่นั่นซักที เพราะผมคงเข็ดกันไปอีกนาน


Anton Putto Saika
ผู้แต่ง

kinchiro155
26th May 2012, 12:44
เงอะ เห็น ภาพ เลย สนุก มากครับ =A=

kabukiput
26th May 2012, 20:03
อันนี้ต้องขออภัยผู้อ่านบางท่านที่ไม่ค่อยเข้าใจภาษาอีสานนะครับ

Prince.NO9
26th May 2012, 20:17
อันนี้ต้องขออภัยผู้อ่านบางท่านที่ไม่ค่อยเข้าใจภาษาอีสานนะครับ
แค่ภาษาอีสานไม่ใช่อุปสรรคของนักอ่านตัวยงหรอกครับ

Blisspor01
26th May 2012, 20:25
สนุกครับ รอชมตอนต่อไป