ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

กำลังแสดงผล 1 ถึง 18 จากทั้งหมด 18
  1. #1
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Oct 2011
    กระทู้
    553
    กล่าวขอบคุณ
    289
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,628

    Post {RE}รวมประวัติรถสปอร์ต (ทีใครหลายๆ คนยังไม่เคยรู้)+สำหรับคนรักรถ

    หวัดดีกับพื่น้องชาว JKG ทุกคนนะครับ จากทีผมหายไปนาน เพราะผมมาอยู่ต่างประเทศ มันเข้า JKG แต่วันนี้ก็ งง ปกติมันเข้าไม่ได้ แค่ทำไมวันนี้มันเข้าได้ว่ะ ช่างเหอะ ผมจึงขออนุญาติ รี นะครับ รี กระทู้เก่า ทีเคยตั้งไว้ ไม่อยากขุดขึ้นมา เดะผมจะอัพเรื่อยๆนะครับ ขอบคุณมากครับ





    ประวัติ Lamborghini


    ใครจะทราบบ้างว่าแท้จริงแล้ว หนึ่งรถสปอร์ตที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นรถระดับซุปเป อร์คาร์อย่าง "แลมเบอร์กินี" นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากความไม่พอใจเล็กๆ ของใครคนหนึ่งที่นำไปสู่การพัฒนาจนกลายมาเป็นรถสปอร์ ตชื่อก้องโลกในปัจจุบัน ซึ่งใครคนนั้น มีนามว่า "เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี"

    เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี คือชื่อของผู้สร้างตำนานบทใหม่ของรถสปอร์ตระดับซุปเป อร์คาร์ เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2459 ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางเหนือของอิตาลี เฟอรุชชิโอให้ความสนใจ ในเรื่องเครื่องยนต์กลไกเป็นอย่างมากตั้งแต่ในวัยเด็ ก เมื่อโตขึ้นได้เข้าเรียนในวิทยาลัย อุตสาหกรรม ที่เมืองโบโลญญ่าหลังจากที่ได้ศึกษาเป็นเวลาหลายปีก็ สำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ ทางด้านอุตสาหกรรม

    เฟอรุชชิโอ เริ่มทำงานในอู่ซ่อมเครื่องยนต์ เมื่อช่วงต้นอายุยี่สิบของเขานั้น สงครามโลกครั้งที่สองได้เกิดขึ้น และเขาได้เข้าร่วมรับใช้ชาติด้วยการทำงานที่ฐานทัพอา กาศอิตาลีที่เมือง Rhodes โดยทำหน้าที่ซ่อมแซมยวดยาน หลังจากที่ สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เขาถูกบังคับให้ทำงานดังกล่าวด้วยการซ่อมยวดยานของฝ่ ายสัมพันธมิตรต่อไปอีกจนถึงปี พ.ศ. 2489 ในที่สุดเขาก็ได้กลับบ้าน และได้เริ่มต้นซ่อมแซมรถแทรกเตอร์ของอิตาลี ที่ยังคงใช้อะไหล่จากยวดยานของทหาร และนี่เองคือ จุดเริ่มต้นในการตั้งโรงงานแทรกเตอร์ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมากที่สุดในฐานะ นักธุรกิจ

    เฟอร์รุซซิโอ แลมเบอร์กินี่


    เฟอรุชชิโอเป็นคนที่เข้าใจชีวิต และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และเป็นเพราะว่าเขาให้ความสนใจในเรื่องยานยนต์โดยเฉพ าะประเภทที่มีความเร็วสูง เขาจึงซื้อ เฟอร์รารีหลายคัน

    ในช่วงเวลานั้น การสร้างรถเฟอร์รารี สำหรับถนนปกตินั้นทำการผลิตกันแบบขอไปที เจ้าของรถเฟอร์รารีหลายคนไม่พอใจในรถของ ตนเอง แต่ก็ไม่กล้าที่จะร้องเรียน เพราะกลัวว่าตนเองอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อรถได้อ ีก และจากสาเหตุของการให้บริการหลังการขาย ที่ย่ำแย่ เนื่องจาก เอนโซ เฟอร์รารี นั้นได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจทั้งหมดของเขาไปที่รายการแข่งรถ ส่วนรถที่ใช้สำหรับขับขี่บนถนนถูกผลิตขึ้นเพื่อนำเงิ นที่ได้ไปพัฒนารถแข่งของเขาเท่านั้น

    ในช่วงต้นของทศวรรษที่ 60 เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี ถอย เฟอร์รารี 250 GT ถึงกระนั้นเขาก็ต้องส่งรถคันดังกล่าวเข้า ซ่อมหลายครั้งและดูเหมือนว่ามันไม่เคยได้รับการซ่อมแ ซมได้อย่างถูกต้องเลย และนี่คือปฐมเหตุในการเริ่มต้น ตำนานของ แลมเบอร์กินี

    ครั้งหนึ่ง เมื่อเฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี ได้รับรถเฟอร์รารีของเขากลับมาจากโรงงาน หลังจากส่งไปซ่อมคลัชท์ แต่ดูเหมือนว่า โรงงานนั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ดังนั้น เฟอรุชชิโอ จึงไปเยี่ยมเยียน เอนโซ เฟอร์รารี ด้วยตัวของเขาเอง ณ โรงงานของเฟอร์รารี และบอกแก่ เอนโซ เฟอร์รารี ในเรื่องที่เขารู้สึกเกี่ยวกับตัวของเอนโซและรถอันแส นย่ำแย่



    โลโก้ "กระทิงเปลี่ยว"

    เอนโซ ได้ตอกกลับเฟอรุชชิโอว่า เป็นเพียงแค่คนบ้านนอกที่ไม่มีความรู้อะไรเลยในเรื่อ งที่เกี่ยวกับรถสปอร์ต ต่างกับเขาที่มีอยู่เต็ม ในสายเลือด

    หลังจากการโต้เถียงครั้งนั้น เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี ก็ตัดสินใจว่าเขาจะต้องโต้ตอบเอนโซ ให้เจ็บแสบที่สุดด้วยการสร้างรถของเขาเอง ดังนั้นเขาจึงได้ว่าจ้างบุคลากรที่ดีที่สุดที่สามารถ หาได้ และเริ่มต้นการผจญภัยของเขาด้วยการสร้าง GT รถที่ สมบูรณ์แบบ และไม่ใช่แค่เขาสร้างมันได้ดีกว่าและเร็วกว่า แต่เขายังต้องการที่จะรับฟังลูกค้าพร้อมกับยินดีช่วย เหลือลูกค้าของเขาหากเกิดปัญหาจากรถที่สร้างขึ้น

    เฟอรุชชิโอ ได้เริ่มต้นด้วยการสร้างโรงงานใหม่ และตั้งบริษัท “แลมเบอร์กินี ออโตโมบิลี” ซึ่งห่างจากโรงงานของเฟอร์รารีเพียง 15 กม. เท่านั้น


    แลมเบอร์กินี่ 350จีที


    ในมุมหนึ่งของโรงงานแทรกเตอร์ รถแลมเบอร์กินีถูกสร้างขึ้น ก่อนที่โรงงานสร้างรถยนต์แห่งใหม่จะ พร้อมเสร็จ เขาใช้เวลาทุกนาทีในการพัฒนารถของเขาด้วยตนเอง เฟอรุชชิโอ ทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกจ้าง เพราะว่า เขาต้องการมีส่วนร่วมในทุกๆ ด้าน กับการพัฒนารถคันนี้ และบ่อยครั้งที่อยู่เป็น คนสุดท้ายเพื่อคอยปิดสวิชท์ไฟในโรงงานปลายเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2506 แลมเบอร์กินี 350 GTV คันแรกก็เสร็จสมบูรณ์

    อย่างไรก็ตาม รถดังกล่าวก็ยังเป็นเพียงรถต้นแบบ และ ผลิตภัณฑ์คันแรกนั้นยังมาไม่ถึงจนกระทั่งเดือนมีนาคม 2507 ด้วย 350 GT ที่ได้ปรากฏแก่สายตาชาวโลกว่าเฟอร์รารีนั้นสามารถที่ จะถูกปราบลงได้เช่นกัน และนี้คือเรื่องราวทั้งหมดในการเริ่มต้นจ้าวแห่ง ตำนานของกระทิงเปลี่ยว


    ข้อมูลจาก บ.นิชคาร์ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ แลมเบอร์กินี อย่างเป็นทางการในเมืองไทย
    cradit http://www.hydrocarbon101.com/forums...ead.php?t=1324


    ลัมโบร์กินี LAMBORGHINE
    ลัมโปร์กินี เป็นชื่อของรถสปอร์ทที่ปรากฎตัวออกสู่สายตาโลกเมื่อประมาณสามทศวรรษที่ผ่าน มานี้เอง แต่ชื่อเสียงและกิตติคุณของรถสปอร์ทพันธ์อิตาลียี่ห้อนี้ กลับโด่งดังไม่แพ้รถสปอร์ทเก่าแก่อย่าง อัลฟา-โรเมโอ เฟร์รารี หรือ มาเซราตีนั่นเลย สัญลักษณ์ของ ลัมโบร์กินี เป็นรูปวัวกระทิง บรรจุอยู่ในโล่ โดยมีแถบชื่อ LAMBORGHINI พาดทับอยู่ด้านบน การที่ลัมโบร์กินีใช้รูปวัวกระทิงเป็นสัญสักษณ์ก็เนื่องจากสัตว์ชนิดนี้เป็น สัญลักษณ์ปีเกิดของผู้ก่อตั้งกิจการนั่นเอง เฟร์รุชชิโอ สัมโบร์กินี (FERRUCCIO LAMBORGHINE) ชาวอิตาลีผู้ก่อร่างสร้างตัวจากเงินในกระเป๋าไม่กี่หมื่นลีร์ จนกลายเป็นนักธุรกิจระดับ “มัลติมิลเลียนแนร์” ผู้มีกิจการใหญ่โตในวงการอุต-สาหกรรมรถแทรคเตอร์และเครื่องปรับอากาศของ เมืองมะกะโลนี ได้ควักเงินทุนก้อนหนึ่งก่อตั้งบริษัท ออโตโมบิลี เฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กินี เอศพีเอ (AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A.) ขึ้นเมื่อปี 1962 โดยที่จุดมุ่งหมายของบริษัทเกิดใหม่นี้ก็คือ ผลิตรถสปอร์ทชั้นยอดออกขายแข่งกับยักษ์ใหญ่อย่างเฟร์รารี ที่เฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กินีเคยเป็นลูกค้ามาก่อน เล่าขานสืบต่อกันมาว่า มูลเหตุที่ทำให้ มร.ลัมโบร์กินี คิดจะผลิตรถขึ้นเองก็เพราะไม่พอใจในบริการที่ได้รับจากเฟร์ารรีนั่นเอง และข้อได้เปรียบของลัมโบร์กินีก็คือ ก่อนที่จะหันมาเอาดีกับการผลิตรถสปอร์ทระดับ”ซูเพอร์คาร์” ลัมโบร์กินีมีโรงงานผลิตรถแทรคเตอร์อยู่แล้ว

    ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ อาจต้องใช้เวลาแรมปีในการสร้างสมเกียรติยศชื่อเสียง แต่สำหรับลัมโบร์กินีที่เริ่มต้นกิจการด้วยคำขวัญ “มาหาลัมโบร์กินี ถ้าต้องการรถที่ดีที่สุดในโลก” ความสำเร็จเกิดขึ้นในเวลาชั่วคืน รถสปอร์ทแทบทุกรุ่นที่ลัมโบร์กินีผลิตออกสู่ตลาด ได้รับความนิยมจากนักเลงรถสปอร์ท “รายได้สูง รสนิยมสูง” จนผลิตขายแทบไม่ทัน โดยเฉพาะรถ ลัมโบร์กินี มีอูรา (LAMBORGHINI MIURA) ซึ่งปรากฎตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมรถยนต์ตูรินเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1965 และออกจำหน่ายสองปีหลังจากนั้น นับเป็นรถที่สร้างชื่อเสียงเกียรติคุณให้แก่ผู้ผลิตรถสปอร์ทรายนี้ยิ่งกว่ารถรุ่นอื่น ๆ ลัมโบร์กินีใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถก้าวขึ้นมาเทียมบ่าเทียมไหล่กับเจ้ายุทธจักรรถสปอร์ท อย่างเฟร์รารีได้สำเร็จ ในเดือนมิถุนายน 1981 ลัมโบร์กินีเปลี่ยนชื่อกิจการเป็นชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ นูโอวา ออโตโมบิสี เฟร์รุขขิโอ ลัมโบร์กินี เอสพีเอ (NUOVA AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A.)

    ปัญหาด้านการเงินบีบบังคับให้ผู้ผลิตรถสปอร์รายนี้ต้องเปลี่ยนมือเจ้าของ กิจการหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายคื่อในปี 1987 ลัมโบร์กินีก็มีสภาพเป็นปลาเล็กที่ถูกกลืนกินโดยปาใหญ่ โดยยอมขายกิจการทั้งหมดให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา คือ ไครสเลอร์ คอร์พอเรชัน ในรอบสามทศวรรษที่ผ่านมาลัมโบร์กินีผลิตรถสปอร์ทออกจำหน่ายในตลาดรวมทั้ง สิ้น 13 รุ่น รุ่นที่ผลิตมากที่สุด คือ ลัมโบร์กินี คูนทาช (LAMBORGHINI COUNTACH) รถสปอร์ทระดับ “ซูเปอร์คาร์” ที่นักเลงรถทั่วโลกรู้จักกันดี ปัจจุบัน ลัมโบร์กินีมีกำลังผลิตประมาณ 400 คันต่อปี รถที่ผลิตจำหน่ายในขณะนี้มีอยุ่เพียงรุ่นเดียว คือ ลัมโบร์กินี ดิอาบโล (LAMBORGHINI BIABLO) ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดารถตลาดที่เร็วที่สุดในปัจจุบันเพราะสามารถวิ่งได้เร็ว กว่า 325 กม./ชม.นั้นเทียว

    ชื่อบริษัท: นูโอวา ออโตโมบิลี เฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กินี
    NUOVA AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A.
    ก่อตั้ง: ค.ศ. 1962
    สำนักงานใหญ่: VIA MODENA 12, 40019 SANT’ AGATA
    BOLOGNESE, BOLOGNA, ITALY
    เว็บไซต์: www.lamborghini.com


    รถรุ่นสำคัญ:
    ลัมโบร์กินี 350 จีที (1963)
    ลัมโบร์กินี 400 จีที (1966)
    ลัมโบร์กินี มิอูรา (1967)
    ลัมโบร์กินี เอสปาดา (1968)
    ลัมโบร์กินี ไอส์เบโร (1968)
    ลัมโบร์กินี ฮารามา (1970)
    ลัมโบร์กินี อีร์ราโก (1971)
    ลัมโบร์กินี คูนทาช (1974)
    ลัมโบร์กินี คูนทาช เอส (1978)
    ลัมโบร์กินี จัลปา (1982)
    ลัมโบร์กินี คูนทาช 500 ควาตโดรวาลโวเล (1985)
    ลัมโบร์กินี คูนทาช ทเวนติ-ฟิฟธ์
    แอนนีเวอร์ซารี (1988)
    ลัมโบร์กินี ดิอาบโล (1990)
    ลัมโบร์กินี ดิอาบโล (LAMBORGHINE DIABLO)

    แถมให้อีกนิดละกันครับ

    Lamborghini 350 GT





    ขอขอบคุณ https://sites.google.com/site/alleve...ti-lamborghini ด้วยครับ


    เอาดี AUDI

    สัญลักษณ์เดิมของเอาดีเป็นรูปวงแหวนสี่วงคล้องเรียงกันแต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอาดีได้เปลี่ยนสัญลักษณ์เป็นรูปวงรีสีแดงภายในบรรจุตัวอักษร AUDI สีขาว อย่างไรก็ตามรถเอาดีทุกคันที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบัน บนแผงกระจังหน้ายังคงติดสัญลักษณ์วงแหวนสี่วงเช่นเดิม ประวัติความเป็นมาของเอาดีสามารถย้อนหลังไปได้จนถึงปี 1902 อันเป็นปีที่นาย ออกัสท์ ฮอร์ค AUGUST HORCH วิศวกรชาวเยอรมันได้เปิดกิจการผลิตรถยนต์ขึ้นในเยอรมันโดยใช้ชื่อสกุลของเขาเป็นยี่ห้อรถ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฝีมือในการบริหารเงินทุนของนายฮอร์คไม่ได้ปราดเปรื่องเหมือนความรู้ทางวิศวกรรมที่เขามีอยู่ ไม่กี่ปีหลังจากนั้นนายฮอร์คก็ต้องขายกิจการดังกล่าวให้แก่ผู้อี่น ไปเพราะมีทีท่าว่าถ้าขืนทู่ซี้ต่อไปกิจการก็อาจจะล้มละลาย แต่นายฮอร์คไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ ในปี 1909 เขาก็ก่อตั้งกิจการผลิตรถยนต์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่จะใช้ชื่อเดิมก็ไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย บังเอิญไปได้ความรู้จากบุตรชายที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยว่า ชื่อ HORCH มีความหมายเหมือนคำ ว่า AUDI ในภาษาละติน (แปลว่า “ฟัง”) นายฮอร์คจึงตัดสินใจใช้ชื่อ AUDI เป็นยี่ห้อของรถที่ผลิตนับแต่นั้น

    เอาดีประกอบกิจการผลิตรถยนต์เป็นเอกเทศจนถึงปี 1932 ก็ถูกสภาวะเศรษฐกิจบีบบังคับให้ต้องรวมกิจการเข้ากับผู้ผลิตรถยนต์อีกสามราย คือ ฮอร์ค (HORCH) วอนเดอเรอร์ (WANDERER) และดีเคดับลิว (DKW) กลายเป็นบริษัทใหม่มีชื่อว่า ออโต้ ยูเนียน (AUTO UNION) และมีรูปวงแหวนสี่วงคล้องเรียงกันเป็นสัญลักษณ์ หลังสงครามโลกครั้งที่สองเยอรมันถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศโรงงานของเอาโท ยูเนียน ซึ่งอยู่ในเยอรมนีตะวันออกถูกยึดเป็นสมบัติของรัฐ และเปลี่ยนชื่อรถที่ผลิตเป็น ทราบันท์ (TRABANT) ส่วนในเยอรมนีตะวันตกก็มีการก่อตั้งออโต้ ยูเนียน ขึ้นใหม่ในปี 1949 แต่คราวนี้ผลิตรถออกจำหน่ายเพียงยี่ห้อเดียวคือ ดีเคดับลิว ชื่อ เอาดี ฮอร์ค และวอนเดอเรอร์ จึงตายไปจากอาณาจักรรถยนต์ 15 ปีหลังจากนั้น โฟล์คสวาเกน (VOLKSWAGEN) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเยอรมันเข้าครองกิจการของออโต้ ยูเนียน และหนึ่งปีหลังจากนั้น ชื่อ เอาดี ก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่ง เมื่อโฟล์คสวาเกนใช้ชื่อ เอาดี 80 เป็นชื่อรุ่นของรถแบบใหม่ที่สร้างขึ้นจากตัวถึงและโครงฐานของรถดีเคดับลิวเอฟ 102 และติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 1.7 ลิตร

    ปรากฎว่ารถแบบดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีชื่อเอาดีจึงฮิทติดตลาดและรถ เอาดี 90 กับ เอาดี100 ก็ตามมา ปัจจุบัน เอาดี มีฐานะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่งซึ่งสังกัดอยู่ในกลุ่มโฟล์คสวาเกน-เอาดี-เซอาท (VOLKSWAGIN-AUDI-SEAT) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทีมียอดขายสูงสุดในยุโรปตะวันตก ปี 1990 ทำยอดขายได้ถึง 2.0 ล้านคัน รถยนต์นั่งที่เอาดีผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบัน มีตั้งแต่รถยนต์นั่งขนาดเล็กอย่าง เอาดี 80 ไปจนถึงรถยนต์นั่งระดับหรูสำหรับนักบริหารอย่าง เอาดี วี 8


    ชื่อบริษัท: เอาดี อาเก
    AUDI AG
    ก่อตั้ง: ค.ศ. 1969
    สำนักงานใหญ่: POSTFACH 220,8070 INGOLSTADT,
    GERMANY
    เว็บไซต์: www.audi.com


    รถรุ่นสำคัญ: เอาดี 100 (1969)
    เอาดี 100 คูเป เอส (1970)
    เอาดี 80 (1972)
    เอาดี 100 (1976)
    เอาดี 80 (1978)
    เอาดี 200 5 ที (1980)
    เอาดี 100 (1982)
    เอาดี 200 เทอร์โบ (1983)
    เอาดี ควาตโคร สปอร์ท (1984)
    เอาดี วี 8 (1988)
    เอาดี 100 (1990)
    เอาดี 80 (1991)
    เอาดี 80 (AUDI 80)
    เอาดี คูเป (AUDI COUPE)
    เอาดี คาบริโอเลต์ (AUDI CABRIOLET)
    เอาดี 100 (AUDI 100)
    เอาดี 100 อาวันท์ (AUDI 100 AVANT)
    เอาดี วี 8 (AUDI V8)

    Gallary:AUDI Autopictures



    อาจจะมีข้อมูลน้อยเกินไปต้องขออภัยด้วยครับ

    ที่มา.http://www.chuansin.com/doctorcar/au...tory-audi.html





    ประวัติ

    BMW (BMW ย่อจาก ภาษาเยอรมัน: Bayerische Motoren Werke (บาเยริสเชโมโทเรน เวร์เค); อังกฤษ: Bavarian Motor Works) เป็นบริษัทผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของเยอรมนี ตั้งอยู่ที่เมือง Munich ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) และเป็นบริษัทแม่ของมินิ ซึ่ง BMW ซื้อมาจากโรเวอร์




    สัญลักษณ์ของ BMW

    ลักษณะสัญลักษณ์
    ป็นวงแหวนสีดำพร้อมตัวอักษร BMW -สีขาว ล้อมรอบพื้นที่วงกลมซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ส่วนเป็นสีขาวสองส่วนและสีฟ้าสองส่วน

    ที่มาของสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้คือ

    ลักษณะการหมุนของใบพัดเครื่องบิน เนื่องจากก่อนที่จะมาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และจักรยานยนต์ BMW เคยเป็นผู้ผลิตเครื่องบินมาก่อน ส่วนสีฟ้าและสีขาวที่ใช้ ก็เป็นสีประจำแคว้น Bavaria อันเป็นที่ตั้งของบริษัทนั่นเอง



    Max Friz


    Karl Rapp

    เริ่มต้นในปี 1916 เมื่อวิศวกรเครื่องกลขาวเยอรมันสองคนคือ คาร์ล -แรพพ์ (CARL RAPP) และ แมกซ์ฟริซ (MAX FRIZ) ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทสร้างเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินขึ้นในเยอรมนี โดยตั้งชื่อบริษัทว่า BAYERISCHE FLUGZKUGWERKEAG อย่างไรก็ตาม เพียงสองปีหลังจากนั้นคือในปี 1918 บริษัทดังกล่าวก็เปลี่ยนชื่อกิจการเป็น BAYERISCHE MOTOREN WERKEAG อันเป็นชื่อที่ใช้ตราบจนปัจจุบัน และเป็นที่มาของชื่อย่อ BMW นั่นเอง

    สำนักงานใหญ่: PETUELRING 130, 8000 MUNCHEN 40, GERMANY.
    รถรุ่นแรกของ BMW

    ในปี 1928 วงการอุตสาหกรรมรถยนต์ก็ได้สมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งราย เมื่อBMW หันเหกิจการ โดยเริ่มการผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายในตลาด รถยนต์นั่งแบบ

    เเรกของ BMW มีชื่อว่า ดีซี (DIXI) หรือ BMW 3/15 เป็นรถแบบสองประตูหลังคาเปิดประทุน ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 15 แรงม้า และนั้นคือจุดเริ่มต้นของกิจการผลิตรถยนต์ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในช่วงหกทศวรรษต่อมา ปัจจุบัน BMW เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลก ในรอบปี 1990 BMW ผลิตรถออกสู่ตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 520,000 คัน และมียอดขายรวมทั้งสิ้นประมาณ 450,000 ล้านบาท รถยนต์นั่งที่ผลิตจำหน่ายในปัจจุบัน มีอยู่เพียง 4 อนุกรม คือ อนุกรม 3-อนุกรม 5-อนุกรม 7- และ อนุกรม 8 ในปี 1990 รถที่ผลิตมากที่สุด คือ รถอนุกรม 3 (255,156 คัน) รองลงไปคือรถอนุกรม 5 (210,209 คัน)

    รถรุ่นสำคัญอื่นๆ

    รุ่นรถสำคัญ: บีเอ็มดับบลิว 3/15 (1928)
    บีเอ็มดับบลิว 328 (1936)
    บีเอ็มดับบลิว 501 (1951)
    บีเอ็มดับบลิว 2000 (1966)
    บีเอ็มดับบลิว 2002 (1968)
    บีเอ็มดับบลิว 520 ไอ (1972)
    บีเอ็มดับบลิว 320 (1975)
    บีเอ็มดับบลิว 635 ซีเอสไอ (1978)
    บีเอ็มดับบลิว เอม 1 (1979)
    บีเอ็มดับบลิว เอม 5 (1985)
    บีเอ็มดับบลิว 750 ไอแอล (1987)
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 ซาลูน
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 คูเป
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 คาบริโอเลต์
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 5 ซาลูน
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 5 ทัวริง
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 7 ซาลูน
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 8 คูเป


    w.bmw.co.th/
    ประวัติ
    posted on 06 Aug 2008 03:40 by interbrands-bmw
    ประวัติ

    BMW (BMW ย่อจาก ภาษาเยอรมัน: Bayerische Motoren Werke (บาเยริสเชโมโทเรน เวร์เค); อังกฤษ: Bavarian Motor Works) เป็นบริษัทผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของเยอรมนี ตั้งอยู่ที่เมือง Munich ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) และเป็นบริษัทแม่ของมินิ ซึ่ง BMW ซื้อมาจากโรเวอร์







    สัญลักษณ์ของ BMW

    ลักษณะสัญลักษณ์

    เป็นวงแหวนสีดำพร้อมตัวอักษร BMW -สีขาว ล้อมรอบพื้นที่วงกลมซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ส่วนเป็นสีขาวสองส่วนและสีฟ้าสองส่วน

    ที่มาของสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้คือ

    ลักษณะการหมุนของใบพัดเครื่องบิน เนื่องจากก่อนที่จะมาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และจักรยานยนต์ BMW เคยเป็นผู้ผลิตเครื่องบินมาก่อน ส่วนสีฟ้าและสีขาวที่ใช้ ก็เป็นสีประจำแคว้น Bavaria อันเป็นที่ตั้งของบริษัทนั่นเอง

    ประวัติศาสตร์ของ BMW


    Max Friz

    Karl Rapp
    เริ่มต้นในปี 1916 เมื่อวิศวกรเครื่องกลขาวเยอรมันสองคนคือ คาร์ล -แรพพ์ (CARL RAPP) และ แมกซ์ฟริซ (MAX FRIZ) ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทสร้างเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินขึ้นในเยอรมนี โดยตั้งชื่อบริษัทว่า BAYERISCHE FLUGZKUGWERKEAG อย่างไรก็ตาม เพียงสองปีหลังจากนั้นคือในปี 1918 บริษัทดังกล่าวก็เปลี่ยนชื่อกิจการเป็น BAYERISCHE MOTOREN WERKEAG อันเป็นชื่อที่ใช้ตราบจนปัจจุบัน และเป็นที่มาของชื่อย่อ BMW นั่นเอง

    สำนักงานใหญ่: PETUELRING 130, 8000 MUNCHEN 40, GERMANY.

    รถรุ่นแรกของ BMW

    BMW ดีซี (DIXI) หรือ BMW 3/15

    ในปี 1928 วงการอุตสาหกรรมรถยนต์ก็ได้สมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งราย เมื่อBMW หันเหกิจการ โดยเริ่มการผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายในตลาด รถยนต์นั่งแบบ

    เเรกของ BMW มีชื่อว่า ดีซี (DIXI) หรือ BMW 3/15 เป็นรถแบบสองประตูหลังคาเปิดประทุน ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 15 แรงม้า และนั้นคือจุดเริ่มต้นของกิจการผลิตรถยนต์ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในช่วงหกทศวรรษต่อมา ปัจจุบัน BMW เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลก ในรอบปี 1990 BMW ผลิตรถออกสู่ตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 520,000 คัน และมียอดขายรวมทั้งสิ้นประมาณ 450,000 ล้านบาท รถยนต์นั่งที่ผลิตจำหน่ายในปัจจุบัน มีอยู่เพียง 4 อนุกรม คือ อนุกรม 3-อนุกรม 5-อนุกรม 7- และ อนุกรม 8 ในปี 1990 รถที่ผลิตมากที่สุด คือ รถอนุกรม 3 (255,156 คัน) รองลงไปคือรถอนุกรม 5 (210,209 คัน)


    รถรุ่นสำคัญอื่นๆ

    รุ่นรถสำคัญ: บีเอ็มดับบลิว 3/15 (1928)
    บีเอ็มดับบลิว 328 (1936)
    บีเอ็มดับบลิว 501 (1951)
    บีเอ็มดับบลิว 2000 (1966)
    บีเอ็มดับบลิว 2002 (1968)
    บีเอ็มดับบลิว 520 ไอ (1972)
    บีเอ็มดับบลิว 320 (1975)
    บีเอ็มดับบลิว 635 ซีเอสไอ (1978)
    บีเอ็มดับบลิว เอม 1 (1979)
    บีเอ็มดับบลิว เอม 5 (1985)
    บีเอ็มดับบลิว 750 ไอแอล (1987)
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 ซาลูน
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 คูเป
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 คาบริโอเลต์
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 5 ซาลูน
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 5 ทัวริง
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 7 ซาลูน
    บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 8 คูเป



    บริษัท BMW ในประเทศไทย

    BMW เข้ามาในไทยตั้งแต่ปี 2504 ที่ยนตรกิจยุคบุกเบิก ภายใต้การนำของอรรถพร และอรรถพงษ์ ลีนุตพงษ์ ได้เริ่มเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์BMWในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยการสั่งจากบริษัทผู้นำเข้า ที่สิงคโปร์

    หลังจากนั้น ในปี 2506 ยนตรกิจ ก็ได้รับการแต่งตั้งจากBMW เอจี ประเทศเยอรมนี ให้เป็นผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์BMWอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยนำรถBMW รุ่น 700 เข้ามาขายเป็นรุ่นแรก

    ตลอดเวลากว่า 30 ปี ก่อน ที่จะแยกจากกันในปี 2541 ยนตรกิจได้เน้นยอดขายจากรถยนต์BMWเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนสูงถึงกว่า 60% ของยอดขายรวมของรถยนต์ทุกยี่ห้อ

    หากนับรวมจาก ที่เริ่มเป็นตัวแทนจำหน่ายครั้งแรกในปี 2506 จนกระทั่งสิ้นสุดการเป็นตัวแทนจำหน่ายในปี 2541 ยนตรกิจได้ขายรถยนต์BMWไปแล้วเป็นจำนวนถึง 50,000 คัน
    BMW ประเทศไทย

    BMW Group Thailand นั้นเป็นบริษัทลูก ที่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายบริษัทขายในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก ของบริษัท BMW AG ในประเทศเยอรมัน ธุรกิจของ BMW Groupนั้นรวมไปถึงการ ขายผลิตภัณฑ์ของ BMW and Mini ที่นอกเหนือไปจาก องค์กร BMWกรุ๊ปในประเทศไทยแล้ว BMW AG ในเยอรมัน ยังตั้งหน่วยการผลิตในประเทศไทยภายใต้ชื่อ “BMW Manufacturing ประเทศไทย” หรือ “โรงงานระยอง” ขั้นที่จังหวัดระยอง อันเป็น โรงงานแห่งเดียวในเอเชียที่ BMW group AGนั้นเป็นเจ้าของทั้งหมด โดยโรงงานแห่งนี้เริ่มต้นผลิตรถยนต์ซีรี่ส์ สาม และเมื่อพัฒนาผ่านไปราวหกปี ณ เวลานี้ โรงงานแห่งนี่คือหนึ่งในสองโรงงานของBMWทั่วโลก ที่ผลิตรถยนต์รุ่นหลักของBMWครบทั้ง 3 รุ่นได้แก่ ซีรี่ส์ 3, 5, 7 และยังมี รถยนต์ X3 เพิ่มเติมอีกหนึ่งรุ่น นับแต่เริ่มต้นธุรกิจมานั้น BMW Group Thailandได้ ขยายกิจการของตนเองโดยต่อเนื่อง รวมถึงการนำผลิตภัณฑ์มินิ และ มอเตอร์ไซค์ของBMWเข้ามาสู่ประเทศไทย และการร่วมกันกับผู้ลงทุนในประเทศ พัฒนาเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการเพื่อสร้างมาตรฐาน BMWในตลาดแห่งนี้

    ในแง่ของโรงงานระยองแล้วนั้น BMW AGก็ได้ขยายพื้นฐานทางการผลิต พร้อมด้วยการเพิ่มเงินลงทุน จากเริ่มต้นที่ 25 ล้านยูโร มาเป็น50 ล้านยูโรและจากเดิมที่ มีไลน์การประกอบหนึ่งไลน์ มาเป็นไลน์การประกอบสองไลน์ และโรงประกอบตัวถังเพิ่มเติมขึ้น เพื่อรองรับการประกอบรถทั้งสี่รุ่นหลัก การที่โรงงานแห่งนี้ได้รับการวางตัวให้เป็น “Munich แห่งเอเชีย” หรือศูนย์กลางการประกอบรถยนต์ในภูมิภาค อาเซียน ทำให้ โรงงานระยองมีกิจกรรมการส่งออก ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2546 และต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน โดย สถิติของรถยนต์ที่มีราคาแพงที่สุดที่ผลิตจากประเทศไทยและส่งออกไปยังต่างประเทศนั้นคือรถยนต์ 730Li ที่ผลิต ณ. โรงงานแห่งนี้

    ไทยศูนย์กลางBMW ในอาเซียน

    ศูนย์การผลิตรถ BMW ในแถบประเทศอาเซียน BMW Group Thailand ก่อตั้งและดำเนินการในไทยตั้งแต่ปี 2541 และในปี 2543 เกิดโรงงานที่ระยองชื่อบริษัท BMW Manufacturing เป็นศูนย์กลางผลิตรถ BMW ระดับพรีเมียม เพื่อส่งออกในกลุ่มอาเซียนภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี AFTA และในปี 2544 ตั้งบริษัท BMW Leasing (Thailand) ให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ชื่อบริษัท BMW Manufacturing เป็นศูนย์กลางผลิตรถ BMW ระดับพรีเมียม เพื่อส่งออกในกลุ่มอาเซียนภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี AFTA และในปี 2544 ตั้งบริษัท BMW Leasing (Thailand) ให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์

    BMW Manufacturing

    ชิ้นส่วนที่มีมากกว่า 20,000 ชิ้นที่เดินทางผ่านมาถึงพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญและเอาใจใส่กับการทำงานโดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดในกระบวนการผลิต ทำให้คุณภาพของรถยนต์ BMW ทุกคันมีมาตรฐานสูงระดับพรีเมี่ยม การผลิตของBMW Group Thailandโดดเด่นอย่างผู้นำในเทคโนโลยีด้านต่างๆพร้อมกับพัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่ง


    ขอบคุณเว็บดีๆ อย่าง http://interbrands-bmw.exteen.com/20080806/entry น่ะครับ

    เฟร์รารี FERRARI



    ในบรรดารถสปอร์ทพันธุ์อิตาลีที่มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ คงไม่มีรถสปอร์ทยี่ห้อไหนอีกแล้ว ที่จะโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก ยิ่งไปกว่ารถ เฟร์รารี เจ้าของสมญานาม “ม้าลำพองจากเมืองมาราเนลโล” (THE PRANCING HORSE FROM MARANELLO) สัญลักษณ์ของเฟร์รารี แยกออกได้เป็นสามส่วนและแต่ละส่วนมีที่มาแตกต่างกัน กล่าวคือพื้นสีเหลืองเป็นสีประจำเมืองโมเดนา (MODENA) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของโรงงานเฟร์รารี รูปม้ากำลังเผ่นโผนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว ฟรานเชสโค บารัคคา (FRANCESCO BARACCA) เสืออากาศสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนแถบสีเขียว-ขาว-แดง ที่พาดอยู่ตอนบนคือสีธงชาติอิตาลี ประวัติความเป็นมาของเฟร์รารีแยกไม่ออกจากประวัติความเป็นมาของ เอนโซ เฟร์รารี (ENZO FERRARI) “ปูชนียบุคคลของวงการรถสปอร์ท และกีฬารถแข่ง” ผู้ก่อตั้งกิจการและนำเฟร์รารีไปสู่ความรุ่งโรจน์ ก่อนก่อตั้งกิจการของตนเอง เอนโซ เฟร์รารี เคยเป็นนักขับรถแข่งให้แก่ อัลฟา โรเมโอ มาก่อนในปี 1940 ขณะที่มีอายุ 42 ปี เขาลาออกและก่อตั้งกิจการขึ้นเอง มีชื่อว่า SOCIETA AUTO AVIO CONSTRUZIONI RERRARI กิจการที่ทำคือ ออกแบบและผลิตรถแข่ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของรถสปอร์ทและทีมแข่งรถที่มีชื่อเสียงอยู่ยงคงกระพันมากว่า 4 ทศวรรษ

    กล่าวได้ว่า แทบไม่มีการแข่งรถรายการใดในยุโรปที่เฟร์รารีไม่เคยชนะ เฟร์รารีคว้าตำแหน่งแชมป์โลกผู้ผลิตมาแล้วรวม 14 ครั้ง คว้าแชมป์การแข่งเลอมังส์ 24 ชั่วโมง 9 ครั้ง ชนะเลิศการแข่งรถฟอร์มูลา- 1 ชิงแชมป์โลกรวม 103 ครั้ง ครองตำแหน่งแชมป์โลกผู้สร้างรถ 6 สมัย และครองตำแหน่งแชมป์โลกนักขับรวม 8 สมัย ในวงการแข่งรถฟอร์มูลา- 1 ชิงแชมป์โลก เฟร์รารีคือทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดควบคู่กับการแข่งรถคือการผลิตรถสปอร์ทชั้นยอดเพื่อจำหน่ายให้แก่นักเลงรถยนต์ผู้มีรสนิยม โดยที่ส่วนใหญ่เฟร์รารีจะออกแบบและผลิตเครื่องยนต์ขึ้นเอง และว่าจ้างผู้ชำนาญการด้านตัวถัง เช่น ปินินฟารินา ฯลฯ เป็นผู้ออกแบบตัวถัง ในช่วง 46 ปีที่ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 1946 จนถึงปัจจุบัน เฟร์รารีผลิตเครื่องยนต์ไปแล้วประมาณ 160 แบบ และผลิตรถสปอร์ทแบบต่างๆ ออกจำหน่ายในตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 60,000 คัน รถที่ผลิตมากที่สุด คือ เฟร์รารี 328 จีทีเอส (4,979 คัน) รองลงไปคือ เฟร์รารี เตสตาโรสซา และเฟร์รารี จีทีเอส ควาตโตร วาลโวเล ปัจจุบัน เฟร์รารีมีฐานะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในกลุ่มของเฟียตเช่นเดียวกับลันชิอา และ อัลฟา โรเมโอ กิจการของเฟร์รารีแยกออกได้เป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนการผลิตรถตลาด และส่วนทีมแข่งรถ ทั้งสองส่วนนี้มีการบริหารแยกเป็นอิสระจากกัน ปัจจุบันเฟร์รารีผลิตรถออกจำหน่ายเพียงไม่กี่รุ่นแต่ทุกรุ่นก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นรถสปร์ทชั้นยอด สำหรับกิจกรรมการแข่งรถ เฟร์รารีกำลังอยู่ในช่วงที่ตกต่ำสุดขีดเพราะไม่เคยชนะอีกเลยนับแต่ชนะครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปี 1990


    ชื่อบริษัท: เฟร์รารี เอส.พี.เอ.
    เอเซร์ชิซิโอ แฟบบริเค ออโตโมบิลี เอ คอร์เซ
    FERRARI S.p.A.
    ESERCIZIO FABBRICHE AUTOMOBILI E CORSE
    ก่อตั้ง: ค.ศ. 1940
    สำนักงานใหญ่: VIALE TRENTO TRIESTE 31,
    41100 MODENA, ITALY
    เว็บไซต์: www.ferrari.com


    รถรุ่นสำคัญ: เฟร์รารี 125 (1947)
    เฟร์รารี 340 อเมริกา (1952)
    เฟร์รารี 250 จีที (1961)
    เฟร์รารี 250 จีทีโอ (1962)
    เฟร์รารี ดิโน 206 จีที เบร์ลิเนตตา (1967)
    เฟร์รารี ดิโน 308 จีที (1973)
    เฟร์รารี 308 จีทีบี (1975)
    เฟร์รารี 512 บีบี (1976)
    เฟร์รารี 308 จีทีบี ไอ (1981)
    เฟร์รารี จีทีโอ (1984)
    เฟร์รารี 412 (1985)
    เฟร์รารี 328 จีทีบี/ 328 จีทีเอส (1985)
    เฟร์รารี เอฟ-40 (1987)
    เฟร์รารี 348 ทีบี/ 348 ทีเอส (1989)
    เฟร์รารี 348 ทีบี (348 tb)
    เฟร์รารี 348 ทีเอส (348 ts)
    เฟร์รารี มนดิอัล ที (MONDIAL t)
    เฟร์รารี มนดิอัล ที คาบริโอเลต์ (MONDIAL t CABRIOLET)
    เฟร์รารี 512 ทีอาร์ (512 TR)
    เฟร์รารี เอฟ-40 (F-40)
    Gallary:Ferrari Autopictures


    ข้อมูลมาจาก http://www.chuansin.com/doctorcar/au...y-ferrari.html


    Porsche



    เมื่อเอ่ยถึงรถสปอร์ทพันธุ์เยอรมันนักเลงรถสปอร์ทร้อยทั้งร้อยต้องนึกถึงชื่อ ปอร์เช่ เป็นชื่อเเรก เพราะรถสปอร์ทยี่ห้อนี้ครองใจผู้ใช้รถทั่วโลกมาแล้วกว่าสี่ทศวรรษ สัญลักษณ์ของปอร์เช่ เป็นตราประจำเมืองชตุทท์การ์ท( STUTTGART) ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถปอร์เช่นั่นเอง ประวัติความเป็นมาของปอร์เช่ก็คือประวัติของ ดร.เฟร์ดินันด์ ปอร์เช่ ( DR.FEREINAND PORSCHE) “ อัจฉริยบุคคลแห่งโลกรถยนต์ ” ที่วงการรถสปอร์ททั่วโลกรู้จักกันดี ก่อนก่อตั้งบริษัท DR.ING.H.V. PORSCHE AG และผลิตรถยนต์สปร์ทออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกในปี 1948 เฟร์ดินัน ปอร์เช่ เคยทำงานให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของเยอรมนีมาแล้วหลายราย เช่น เมร์เซเดส-เบนซ์ โฟล์คสวาเกน วอนเดเร์ ฯลฯ ผลงานที่เฟร์ดินันท์ ปอร์เช่ สร้างขึ้นและถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของวงการรถยนต์มีมากมายสุดจะจาระไน นอกจากชื่อเสียงในการผลิตรถสปอร์ทชั้นยอด ในวงการแข่งรถชื่อเสียงของปอร์เช่ก็ไม่น้อยหน้าใคร ปอร์เช่ชนะมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าการแข่งความเร็วระยะสั้น การแข่งรถทางไกล หรือการแข่งเเรลลี ประจักษ์พยานยืนยันคือ ตำแหน่งเเชมป็การแข่งเลอมองส์ 24 ชั่วโมง อันมีชื่อเสียง แชมป์ผู้สร้างรถฟอร์มูลา 2 แชมป์โลกแรลลีสามสมัยซ้อน (1968-1970) แชมป์โลกผู้สร้างรถฟอร์มูลา 1 สองสมัยซ้อน ( 1984-1985) ฯลฯ มักเข้าใจกันอย่างผิดๆ ว่าปอร์เช่เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีโฟล์คสวาเกนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แท้จริงแล้วปอร์เช่ยังคงมีลักษณะเป็น ” กิจการในครอบครัว ” คือมีผู้ถือหุ้นเพียง 10 คน โดยที่หัวเรือใหญ่ คือ เฟอร์รี ปอร์เช่อภิชาต บุตรของเฟร์ดินันด์ ปอร์เช่ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 1915 ปัจจุบันปอร์เช่มีโรงงานผลิตรถยนต์อยู่เพียงแห่งเดียว ตั้งอยู่ที่เมืองชตุทท์การ์ท เยอรมนีตะวันตก ในปี 1990 ปอร์เช่ผลิตรถสปอร์ทออกจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 32,162 คัน รถที่ผลิตมากที่สุดคือ โพร์เช 911 รองลงไปคือ โพร์เช 944 และโพร์เช 928 ปัจจุบันปอร์เช่ผลิตรถสปอร์ทออกจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 12 โมเดล

    PORSCHE 911

    -- รถสปอร์ตปอร์เช่ที่ทำโดยตั้งแต่ปี 1963, 911 ด้านหลังของเครื่องยนต์ที่มีชื่อเสียงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    PORSCHE Boxster

    -- Roadster กลางเครื่องยนต์ที่สร้างขึ้นโดยปอร์เช่ตั้งแต่ปี 1996
    Porsche Cayenne
    เป็นห้าที่นั่งขนาดกลางยานพาหนะสาธารณูปโภคกีฬาที่ผลิตโดยปอร์เช่ตั้งแต่ปี 2002

    คุณทราบไหม?

    ที่แสดงรถยนต์ปารีสในปี 1974 ระหว่างความสูงของวิกฤตราคาน้ำมันที่ปอร์เช่ที่นำเสนอ 911Turbo -- การผลิตรถยนต์แห่งแรกของโลกกีฬาที่มีเทอร์โบไอเสียและควบคุมความดัน

    ในปี 1996 ที่หนึ่งในล้านปอร์เช่รีดออกของ บริษัท สายการประกอบ Zuffenhausen เพียงนอกตุตการ์ที่ 15 กรกฎาคม

    หลานชายของผู้ก่อตั้ง Porsche ปอร์เช่ของเฟอร์ดินานด์, เฟอร์ดินานด์ Pi CH เป็นประธานและซีอีโอของกลุ่มโฟล์คสวาเก้น 1993 - 2002 กับครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งหมดของเขายังคงเป็นผู้ถือหุ้นแต่ละ บริษัท ที่ใหญ่ที่สุดของรถยนต์ปอร์เช่

    ของปอร์เช่ 2002 การแนะนำของกาแยนนอกจากนี้ยังมีการทำเครื่องหมายการเปิดตัวโรงงานผลิตใหม่ในไลพ์ซิก, ซักโซนีซึ่งวันนี้บัญชีสำหรับเกือบครึ่งหนึ่งของผลผลิตประจำปีของปอร์เช่



    ขอขอบคุณ http://th.hicow.com/%E0%B8%9B%E0%B8%...er-120115.html

    กับ google


    ต่อมาด้วยกันกับ ฮอนด้า

    ชีวประวัติบุคคลยานยนต์โลก : โซอิชิโร ฮอนด้า
    < Biography of HONDA founder : Soichiro Honda >

    บุคคลซึ่งเป็น ตำนานฮอนด้า และสร้าง ประวัติฮอนด้า ให้ทั่วโลกได้รู้จักจนถึงทุกวันนี้













    จักรยานติดเครื่องยนต์ " บาตะ บาตะ ( putt putt ) "
    นวัตกรรมที่ มิสเตอร์ โซอิชิโร ฮอนด้า ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1946 หรือ พ.ศ.2489
    ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ฮอนด้าคอลเลคชั่น ฮอลล์ ( Honda Collection Hall ) ประเทศญี่ปุ่น
    เพื่อระลึกถึงความภาคภูมิใจและจุดเริ่มของพลังแห่งความฝันที่เป็นจริงของฮอนด้า
    HONDA The Power of Dreams


    เจริญมอเตอร์ jrmotor.com นี่แหล่ะ ตำนานฮอนด้า ครอบครัวเรา




    ปี คศ. 1970 Honda CB125

    ปี คศ. 1971 Honda CB100

    ปี คศ. 1976 Honda XL125









    ปี คศ. 1995 HONDA LS125R





    ปี คศ. 2004 Honda CBR150R

    Honda NSR150R

    Honda NSR150SP

    Honda Dream 100

    Honda Dream 100

    Honda Nova-s

    Honda Nova-RS

    HONDA Bigbike 1996-2008
    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 1996









    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 1997











    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 1998








    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 1999








    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2000







    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2001







    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2002















    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2003









    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2004








    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2005












    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2006






    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2007

    .








    รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2008









    [COLOR="#FF0000"][SIZE=5]ที่มา.http://www.jrmotor.com/history-honda.html รวมรูปรวมอะไรอยู่ในนี้หมด

    เดะจะอัพต่อนะครับ

    อัพเดดรอบที2นะท่านๆ

    รถทีอัพให้ดูไป ว่าสุดยอดแล้ว ผมจะพาทุกๆท่าน ไปสู้นวัตกรรมรถที่สุดยอด เป็นรถทีแรงที่สุด แพงที่สุด กินนํ้ามันที่สุด จะเป็นใครใดอื่น นอกจากเจ้าคันนี้

    Bugatti Veyron 16.4


    ระหว่างปี 1909-1940 เอตโตเร และชอง บูกัตติ สองพ่อลูกได้สร้างผลงานที่เรียกว่าศิลปกรรมยานยนต์ทั้งในรูปแบบรถแข่งความเร็วสูง, รถสปอร์ต และรถยนต์นั่งระดับหรูหราออกมาได้เกือบ 8,000 ชิ้น แต่ละคันเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งเทคโนโลยี และสวยสุดๆทั้งนั้น มาคราวนี้ก็เป็นการหวนกลับมาของสัญลักษณ์ที่ว่านั้นอีกครั้งกับ "บูกัตติ เวย์รอน 16.4"

    The Heritage of a Great Artist

    ในปี 1909 เอตโตเร บูกัตติ - วิศวกรหนุ่มได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า Dorlisheim และได้พัฒนาแนวทางการออกแบบรถยนต์ในฝันของเขาเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1910 บูกัตติเริ่มตั้งบริษัทขึ้นในโรงหล่อโลหะที่เลิกใช้แล้วใกล้ๆ กับเมือง Moisheim และวันนี้ บูกัตติกลับไปเริ่มต้นที่นั่นอีกครั้ง

    Technological Perfection and Design

    รูปทรงของบูกัตติล้วนแต่เคยเป็นผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยฝีมือมนุษย์ นับตั้งแต่ผลงานการสร้างสรรค์ของ "เอตโตเร อาร์โค อิซีโดเร บูกัตติ" ผู้ก่อตั้งโรงงาน หรือไม่ก็เป็นฝีมือของบูกัตติผู้เป็นลูก "ชอง" ซึ่งสืบทอดสายเลือดพ่อเอาไว้อย่างเข้มข้น รถบูกัตติแต่ละคันล้วนสร้างกันด้วยมือจากแรงงานฝีมือดีราว 1,200 คนที่โรงงานอัลเซเชียน และกรรมวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมของบูกัตติจะกลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งใน "บูกัตติ อีบี 16.4" บูกัตติ เวย์รอน 16.4 ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์ที่ IAA 2001 ที่แฟรงก์เฟิร์ต โดยออกมาเป็นตัวแบ็กอัพให้กับรถสปอร์ตคูเป้ รุ่น T57 SC "Ventoux" และ "Rouge Ventoux/Noir" ซื่งในครั้งนั้น EB16.4 ได้โชว์ความโดดเด่นของเทคโนโลยีโครงสร้างตัวถังที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ที่เป็นหลักประกันถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างน้ำหนักเบา ที่สามารถปกป้องชีวิตผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้พอๆกับรถฟอร์มูล่า บูกัตติ เวย์รอน 16.4 ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์ที่ IAA 2001 ที่แฟรงก์เฟิร์ต โดยออกมาเป็นตัวแบ็กอัพให้กับรถสปอร์ตคูเป้ รุ่น T57 SC "Ventoux" และ "Rouge Ventoux/Noir" ซื่งในครั้งนั้น EB16.4 ได้โชว์ความโดดเด่นของเทคโนโลยีโครงสร้างตัวถังที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ที่เป็นหลักประกันถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างน้ำหนักเบา ที่สามารถปกป้องชีวิตผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้พอๆกับรถฟอร์มูล่า วัน เปลือกตัวถังภายนอกของ EB16.4 ยังคงเป็นอะลูมินัมครอบบนโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ขนาดฐานล้อ 2.7 เมตร ที่มีพื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารได้พอสะดวกสบาย แต่ที่แน่ๆก็คือในห้องโดยสารนั้น สุดแสนจะหรูหราด้วยหนังแท้

    Style, Speed and Sensuality

    สมกับที่ ดร.เฟอร์ดินาน พิเอค - ประธานบอร์ดของโฟล์คสวาเก้นกรุ๊ปได้กล่าวเอาไว้ว่า "...ภาพลักษณ์ของบูกัตติที่จะกลับมาใหม่ก็คือเทคโนโลยี และนี่ก็คือสุดยอดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดของเรา ณ เวลานี้…"
    สิ่งที่นำมาศึกษาในปรัชญาในการออกแบบย้อนยุคของบูกัตติ ก็คือความสมดุลระหว่างความเป็นรถแข่งคลาสสิก เอกลักษณ์ของบูกัตติ การออกแบบและเทคโนโลยีต่างๆจึงสะท้อนภาพขยายไปยังอดีตอันรุ่งเรืองก่อน สงครามโลก ยุคที่หลุยส์ ชิรอน ชนะการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้รถสปอร์ตของบูกัตติเป็นที่โด่งดังมาก ดังนั้นเส้นสันของ EB Chiron จึงมีเค้าโครงที่ใกล้เคียงกับบูกัตติในอดีต ตัวถังความยาว 4.42 เมตร สูง 1.15 เมตร ทำขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์ ดังปรัชญาของ เอตโตเร บูกัตติ - Less is more...น้ำหนักยิ่งน้อยยิ่งดี ส่วนแนวคิดที่มาจากชอง บูกัตติ ก็คือ ความงามของตัวถังที่เรียวยาว เครื่องยนต์ถูกวางไว้กลางลำตัวหลังเบาะนั่ง มองเห็นได้ผ่านกระจกหลัง ความเร็วท็อปสปีดควรจะเกิน 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ในการนี้จึงต้องมีการออกแบบให้มีสปอยเลอร์หลังที่ปรับได้ 3 ระดับเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้การควบคุมทำได้ดีขึ้น

    เพื่อให้รถเกาะถนนมากขึ้น จึงได้นำเอาระบบขับเคลื่อน 4 ล้อถาวรมาใช้ควบคู่ไปกับช่วงห่างระหว่างล้อกว้างเป็นพิเศษ


    How do you approach a Legend?

    เมื่อครั้งที่มีการศึกษาบูกัตติ EB118 โฟล์คสวาเก้น กรุ๊ป ได้เข้ามาปลุกฟื้นคืนชีพให้บูกัตติโดยค้นหาในสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของบูกัตติ นั่นก็คือการศึกษาย้อนรอยไปถึงอดีตของบูกัตติในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถแข่ง, รถสปอร์ตทัวริ่งคาร์ ฯลฯ ที่อยู่ในช่วงทศวรรษ 1920-30 เพื่อนำมาเป็นคอนเซ็ปต์ในรถรุ่นใหม่

    ในที่สุดก็พบว่าแนวทางของเอตโตเร บูกัตตินั้น เป็นศิลปะในการสร้างรถยนต์ ที่พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีที่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ EB118 จึงถูกนำมาศึกษาเพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาความเป็นไปได้ในการผลิตออกสู่ตลาด EB118 เป็นรถที่ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ยาวถึง 5.05 เมตร สูง 1.42 เมตร โครงสร้างเป็นสเปซเฟรม ใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อถาวรเพื่อการยึดเกาะถนนได้เต็มที่ พร้อมทั้งระบบกันสะเทือนมัลติลิงค์ ซึ่งก็ปรากฏว่า EB118 ตอบสนองข้อมูลต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม ให้ความปลอดภัยสูง และมีความสะดวกสบายในการใช้งาน



    Ultimate Performance in Elegance Harmony

    จากอิทธิพลที่ได้รับจากบูกัตติช่วงทศวรรษ 1920-30 ได้มีการพัฒนาต่อเนื่องมาเป็น EB218 เป็นรถซาลูนซึ่งมีรูปทรงรูปหยดน้ำ กระจังหน้าเอกลักษณ์รูปเกือกม้า ถึงจะเป็นรถซาลูนแต่ก็ให้ความรู้สึกแบบสปอร์ตตั้งแต่หัวจรดท้าย แม้ว่าจะมีขนาดใหญ่โตยาวถึง 5.37 เมตร กว้าง 1.99 เมตร แต่ EB218 ก็ครบถ้วนด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อถาวร ระบบกันสะเทือนมัลติลิงค์ทำด้วยอะลูมิเนียม โครงสร้างตัวถังเป็นสเปซเฟรม ถือว่าเป็น Top Luxury Class ของบูกัตติอีกคันหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในที่หรูหราด้วยหนังแท้เกรดเยี่ยม เข้าชุดกับวัสดุตกแต่งที่ทำมาจากไม้วอลนัท ตัดเส้นด้วยขอบคิ้วโลหะอย่างสวยงาม ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่แนวความคิดที่ทรงอิทธิพลเหล่านี้จะถ่ายทอดมาปรากฏอยู่ใน บูกัตติ เวย์รอน 16.4

    Creativity, Technology, Atr.
    หลังจากใช้เวลาในการพัฒนามาร่วม 4 ปี บูกัตติ เวย์รอน 16.4 ก็พร้อมเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตเพื่อจำหน่าย สิ่งที่รถสปอร์ตหนึ่งเดียวเจ้านี้เดินตามรอยเอกลักษณ์ที่เคยรุ่งเรืองของรถ แข่งในยุคทศวรรษ 1920-30
    ในที่สุดงานออกแบบและพัฒนาที่เริ่มมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 ก็มาถึงขั้นสุดท้าย และได้คอนเซ็ปต์ใหม่ที่เป็นตัวของตัวเอง และพร้อมที่จะออกวางตลาดในปี 2004 ด้วยยอดการผลิตแสนจำกัดชนิดที่เรียกว่า Strictly Limited Edition เพียง 300 คัน เรียกว่าสุดยอดเทคโนโลยีแห่งอนาคตของบูกัตติ พร้อมแจ้งเกิดในศตวรรษที่ 21 แล้วในรุ่นนี้


    Dynamism and Spirit in Perfect Harmony
    ในการออกแบบสำหรับรถที่จะผลิตจำหน่าย ได้คงความเป็นบูกัตติดั้งเดิมที่ศึกษาเอาไว้เป็นส่วนใหญ่ มีการปรับปรุงในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย เช่น กระจกมองข้างทั้งซ้าย-ขวาได้ติดตั้งเอาไฟเลี้ยวรวมเข้าไว้ด้วยกัน สปอยเลอร์หลังที่สามารถปรับเลื่อนเข้า-ออกได้ ก็เพิ่มหน้าที่ในการช่วยเบรกชะลอความเร็วขึ้นมาอีกอย่าง นอกเหนือจากที่มีไว้เพื่อการทรงตัวที่ความเร็วสูงเพียงอย่างเดียว ล้อรถขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 นิ้ว พร้อมโลโก้ EB ติดไว้ตรงกลางคล้ายกับล้ออะลูมิเนียมในรถแข่งบูกัตติ Type 35 ที่ใช้แข่งในช่วงทศวรรษ 1930 กระจังหน้ารถรูปเกือกม้ายังคงโดดเด่นสะดุดตาเป็นช่องลมระบายความร้อนจากรังผึ้ง ไล่ไปทางด้านข้างก็จะมีช่องลมขนาดใหญ่ทำหน้าที่ดักลมจากบริเวณหน้าล้อหลัง เพื่อให้แน่ใจในประสิทธิภาพการระบายความร้อนยามที่ต้องใช้ความเร็วสูง นอกจากนี้แล้วยังมีช่องลมอีก 2 ช่องอยู่หลังล้อหน้าอีกด้วย

    บูกัตติ เวย์รอน 16.4 ยังคงเอกลักษณ์ในการให้สีสันบนตัวถัง นั่นคือการใช้สีแบบ 2-Tone โดยสีที่ใช้จะมาเป็นคู่ๆ คือสีบริเวณกระโปรงหน้า, หลังคา ไปจรดด้านท้ายจะเป็นสีเข้ม ส่วนอีกสีที่อ่อนกว่าจะใช้บริเวณด้านข้างและแก้มบังโคลน

    ในส่วนของกระจังหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองแล้ว ไฟหน้าจะเรียงเป็นแถวยาวเฉียงเข้าไปทางด้านข้าง และที่เป็นเอกลักษณ์ของบูกัตติอีกอย่างหนึ่งก็คือ จะเป็นรถที่มีระยะโอเวอร์แฮงก์หรือว่าหน้ารถสั้น และบังโคลนใหญ่
    ในส่วนของพื้นรถ ถูกออกแบบเพื่อใช้แรงกดของอากาศอย่างเต็มที่ขณะใช้ความเร็วสูง นอกจากพื้นจะเรียบแล้ว ยังมีผลในการรีดกระแสลมเพื่อสร้างแรงกดกับตัวรถ นอกจากนั้นส่วนท้ายของรถยังมีสปอยเลอร์ฝังเอาไว้ เมื่อความเร็วของรถสูงถึงระดับหนึ่ง สปอยเลอร์ก็จะยื่นออกไปทางด้านท้ายราว 20 ซม.และยกขึ้นตามความเร็ว สปอยเลอร์นี้จะยังไม่ถูกเก็บเข้าที่ทันทีที่จอดรถและดับเครื่องยนต์ แต่มันจะเปิดให้ช่วยระบายอากาศออกจากห้องเครื่องยนต์อยู่พักหนึ่งก่อน



    ส่วนท้ายของบูกัตติ เวย์รอน 16.4 สดเด่น


    ภายในของ EB118 หรูหราด้วยหนังแท้เกรดเยี่ยม เข้าชุดกับวัสดุตกแต่งลายไม้วอลนัท

    Exclusive Classical Function
    การตกแต่งภายในของบูกัตติ เวย์รอน 16.4 ไม่มีซ้ำแบบใครและอำนวยความสะดวกในการใช้งานได้เต็มที่ ภายในตกแต่งด้วยหนังแท้เกรดเยี่ยมและใช้สี 2-Tone เช่นเดียวกับภายนอก แล้วตัดด้วยเส้นโลหะชั้นดี ส่วนบรรดาปุ่มสวิตช์ควบคุมต่างๆก็ออกแบบได้ถูกต้องตามหลักสรีระ และจัดวางในตำแหน่งที่สวยงาม

    บนแผงหน้าปัดของบูกัตติ เวย์รอน 16.4 ประกอบด้วยมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ขนาดใหญ่เป็นหลัก รายล้อมด้วยมาตรวัดเล็กๆที่จำเป็นอีก 4 ตัว แน่นอนว่าจุดนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่ถูกเน้นบรรยากาศแห่งความเป็นรถสปอร์ตและ สายเลือดรถแข่งด้วยการตกแต่งที่ใครเห็นแล้วก็ต้องทึ่ง คือทั้งสวย ทั้งเป็นเอกลักษณ์


    High Performance - but Safe

    ตัวรถถูกเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยระดับสูง เพื่อให้สมดุลกับสมรรถนะสุดยอดของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งหรือว่าความเร็วปลาย ตัวถังรถเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ชิ้นเดียวที่นำมาสร้างเป็นตัวถังแบบโมโนค็อก ความแกร่งของคาร์บอนไฟเบอร์เป็นที่ยอมรับว่าทนทานต่อการชนกระแทกได้ในระดับ สูงสุด ถุงลมนิรภัย 2 ชุดสำหรับผู้ขับและผู้โดยสารเป็นอุปกรณ์เสริมมาอีกชั้น ยางที่ใช้กับบูกัตติ เวย์รอน 16.4 เป็นยางไฮสปีดที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ สำหรับใช้ความเร็วเกิน 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขนาด 265-68R500A ที่ล้อหน้า และ 365-71R540A ที่ล้อหลัง นอกจากนี้แล้ว ภายในยางยังติดตั้งระบบ PAX ที่ช่วยให้รถแล่นได้ แม้ลมยางจะลดแรงดันกะทันหัน อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยอีกอย่างหนึ่งที่มีให้ก็คือสปอยเลอร์หลัง ซึ่งปกติจะเป็นตัวช่วยเพิ่มแรงกดและช่วยในการทรงตัวของรถที่ความเร็วสูง แต่ความพิเศษของสปอยเลอร์นี้ก็คือ ในยามฉุกเฉิน มันสามารถช่วยลดความเร็วของรถได้เช่นเดียวกับเบรกร่ม (Parachute Brake)

    The Art of Machine
    เครื่องยนต์ที่บูกัตติพัฒนาขึ้นมาใช้กับบูกัตติ เวย์รอน 16.4 เป็นเอกลักษณ์อันหนึ่งซึ่งจะปรากฏในประวัติศาสตร์ของโลกยานยนต์ นั่นคือการนำเอาเครื่องยนต์ W16 สูบ ทำด้วยอะลูมินัมอัลลอยมาใช้ เครื่องยนต์นี้เป็นเครื่อง V8 90 องศา 2 เครื่องวางขนานกัน

    พลังเครื่องยนต์มหาศาล 1,001 แรงม้า หรือ 736 กิโลวัตต์ คือผลงานสูงสุดที่ปั๊มออกมาจากเครื่องยนต์นี้ และแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 128.0 กก.-ม. ทำให้อัตราเร่งของรถเป็นสิ่งที่หาตัวจับได้ยากสำหรับรถสปอร์ตด้วยกัน เช่น 0 -100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 3 วินาที และผ่านความเร็วระดับ 300 ในเวลาต่ำกว่า 14 วินาที และหากใจถึงพอที่จะกดคันเร่งต่อไปจะสิ้นสุดความเร็วปลายที่ 406 กิโลเมตรต่อชั่วโมง! หากไม่ติดข้อจำกัดในด้านโครงสร้างของตัวรถ ความเร็วปลายยังสามารถจะเพิ่มไปได้อีก

    ระบบส่งกำลังของรถคันนี้ก็เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นั่นคือการใช้ระบบเกียร์ไดเร็กต์-ชิฟต์ 7 สปีด ซึ่งเป็นนวัตกรรมของบูกัตติ สามารถลดการสูญเสียการถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังระบบขับเคลื่อน 4 ล้อถาวรได้ การเปลี่ยนเกียร์เป็นแบบไล่เรียงลำดับขึ้นหรือลง (Sequential) เท่านั้น การเปลี่ยนเกียร์ที่ทำได้ง่ายแบบนี้ ทำให้ความรู้สึกในการเร่งออกตัวไปจนสิ้นสุดความเร็วปลาย เขาบอกว่าเหมือนกับการขับเครื่องบินไอพ่นนั่นแหละ


    Merging the Past and The Future
    โรงงานผลิตบูกัตติ เวย์รอน 16.4 อยู่ระหว่างเมือง Molsheim-Dorlisheim เมืองเล็กๆของฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อเกือบ 100 ปีก่อน เอตโตเร บูกัตติ ได้มาสร้างความฝันให้เป็นความจริงขึ้นที่นี่

    สำหรับโรงงานแห่งใหม่ไม่เพียงแต่จะเป็นที่ประกอบรถและทดสอบเท่านั้น แต่เป็นที่ที่ผู้ที่สะสมรถบูกัตติจะขับรถบูกัตติออกสู่ถนนครั้งแรกได้จากที่นี่

    Molsheim ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางของรถบูกัตติอีกครั้ง ที่นี่จะมีการสร้างรถบูกัตติด้วยแรงงานช่างฝีมือราว 70 คันต่อปี ในโรงงานแห่งใหม่ ใกล้ๆกันก็จะเป็นโรงงานปรับสภาพรถบูกัตติรุ่นเก่าๆในประวัติศาสตร์ของบูกัตติ ทั้งบูกัตติเก่าและใหม่ก็จะมาพบกันที่บ้านใหม่แห่งนี้


    ข้อมูลเทคนิค บูกัตติ เวย์รอน 16.4 V8 4 วาล์วต่อสูบ 2 เครื่องวางขนานกันเป็น W16 มีซูเปอร์ชาร์จ 4 ตัว
    ตำแหน่งเครื่องยนต์ วางตามยาวตัวรถ กลางลำตัว
    จำนวนกระบอกสูบ 16
    ความจุกระบอกสูบ 7,993 ซี.ซี.
    กระบอกสูบ x ช่วงชัก 86 x 86 มม.
    กำลังเครื่องยนต์ 736 kW /1,001 แรงม้า @ 6000 rpm
    แรงบิดสูงสุด 128.0 กก.-ม. @ 2,200-5,500 rpm
    อัตราส่วนแรงอัดในกระบอก9.0 : 1สูบ 9.0 : 1


    ระบบส่งกำลังและขับเคลื่อน
    เกียร์ 7 สปีด เปลี่ยนเกียร์แบบเรียงลำดับ (Sequential shifting)
    ล้อขับเคลื่อน 4 ล้อแบบถาวร 4 ล้อแบบถาวร
    ล้อหน้า (โลหะน้ำหนักเบา) 255x500A ยาง 265-690R 500A
    ขนาด
    ล้อหลัง (โลหะน้ำหนักเบา) 355x540A ยาง 365-710R 540A
    ขนาด

    ตัวถัง
    โครงสร้างตัวถัง โมโนค็อกทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซับเฟรมทำด้วยอะลูมิเนียม
    เปลือกตัวถังทำจากอะลูมิเนียม และคาร์บอนไฟเบอร์
    ความยาว 4,466 มม.
    ความกว้าง 1,998 มม.
    ความสูง 1,206 มม.
    ฐานล้อ 2,700 มม.
    ช่วงล้อหน้า 1,723 มม.
    ช่วงล้อหลัง 1,632 มม.
    สมรรถนะ
    ความเร็วสูงสุด 406 กม./ชม.
    0-300 กม./ชม. ต่ำกว่า 14.0 วินาที

    ส่วนเรื่องราคานะครับ หลายๆคนคงสงสัย ว่าจริงๆแล้วราคามันเท่าไรกันแน่ บ้างคนก็บอกว่า ร้อยล้านบ้าง สองร้อยล้านบ้าง (เราเองก็สงสัยเหมือนกัน)

    ก็เลยไปค้นดูมั้วๆใน ตลากรถ มือ2 นะครับ (ยํ้านะว่ามือ2) ผมเข้าไปดูมา ราคามันประมาณนี้ครับ &#163;750,000x50 ไปครับ ราคามันก็ประมาณนี้แหละครับ ผมว่ามันถูกมากเลยนะ สำหรับรถแบบนี้


    เอาละครับ ท่าท่านใด ยังไม่เต็มอิ่มกับข้อมูล ขอเชิญไปเสพ ลิ้งข้างล่างเลยครับ




    O_Oเต็มอิ่มแล้วใช่ม่ะละ แต่ยังไม่หมดแค่นั้น ผมแนะนำให้ท่านหลงรัก รถคันนี้อีกสักคัน (จขกท.ชอบคันนี้ม๊ากกกก)


    ประวัติรถ Pagani



    Pagani Automobili S.p.A. บริษัทผู้ผลิตซูเปอร์คาร์และคาร์บอนไฟเบอร์สัญชาติอิตาลี ก่อตั้งในปี 1992 โดย Horacio Pagani ชาวอาเจนติน่าอดีตผู้จัดการฝ่ายออกแบบและวิจัยวัสดุโครงสร้างของ Lamborghini โดยมีโรงงานหลักตั้งอยู่ที่เขต San Cesario sul Panaro เมือง Modena ประเทศอิตาลี
    Horacio Pagani ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ในฐานะนักออกแบบที่เคยฝากผลงานไว้กับซูเปอร์คาร์ค่ายกระทิงดุ Lamborghini Diablo เขามีความสนใจในเรื่องของรถมาตั้งแต่เด็กและออกแบบรถแข่งคันแรกสำเร็จเมื่ออายุ 20 ปี จากนั้นเขาได้ฝึกฝนตัวเองอย่างหนักตามโครงการอุตสาหกรรมยานยนต์ต่างๆ จนทำให้นักแข่งรถชื่อดังชาวอาเจนติน่า Juan Manuel Fangio ชื่นชมในผลงานของเขา จึงผลักดัน Pagani ให้เข้าสู่วงการอุตสาหกรรมซูเปอร์คาร์ที่ประเทศอิตาลี ซึ่งมีบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Lamborghini และ Ferrari ตั้งอยู่

    ด้วยการสนับสนุนของ Fangio และด้วยความสามารถของ Pagani ทำให้เขาได้รับการคัดเลือกเข้าทำงานในบริษัท Lamborghini ด้วยตำแหน่งช่างกล ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายออกแบบและวิจัยวัสดุโครงสร้าง อีกทั้งยังช่วยออกแบบและผลิตรถ LMA Jeep, Jalpa, Countach Evoluzione และ Golf Caddy

    Pagani มีความสนใจในเรื่องคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งเป็นวัสดุที่แข็งแรงและมีน้ำหนักเบา เขาได้ศึกษาและทำการพัฒนาจนสำเร็จในปี 1988 และนำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และในปีเดียวกัน Pagani ได้ก่อตั้งบริษัท Pagani Composite Research เพื่อการวิจัยส่วนประกอบรถยนต์ ซึ่งบริษัทนี้ทำงานร่วมกับบริษัท Lamborghini ในหลายโปรเจครวมถึงการออกแบบรถต้นแบบ Lamborghini L30, Lamborghini Diablo, และ Lamborghini P140 เพื่อฉลองครบรอบ 25 ปีของ Lamborghini Countach

    ด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้นทำให้ Pagani มีความมั่นใจในการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง จึงเริ่มสร้างโปรเจค C8 ขึ้นมาเพื่อการผลิตรถสปอร์ตที่ถูกออกแบบให้มีลักษณะเหมือนเครื่องบินรบและอาศัยโครงสร้างพื้นฐานของรถแข่ง Mercedes-Benz Silver Arrows และยังเสริมเอกลักษณ์ให้โดดเด่นด้วยการรวมท่อไอเสียทั้ง 4 ท่อเป็นกลุ่มอยู่ด้านหลังรถ ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อโปรเจค C8 เป็นชื่อ Fangio F1 เพื่อเป็นเกียรติแก่ Juan Manuel Fangio ในการเป็นแชมป์ฟอร์มูล่าวัน 5 สมัย

    จากนั้น Pagani ได้ก่อตั้งบริษัท Modena Design ในปี 1991 เพื่อขยายสายงานทางด้านการออกแบบ วิศวกรรม ดูแลด้านการออกแบบรถต้นแบบ และสร้างทีมรถแข่ง ต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Pagani Automobili S.p.A. และเริ่มลงมือสร้างรถต้นแบบ Fangio F1 จนสำเร็จ และในปี 1993 ได้นำไปทดลองขับพร้อมกับผลลัพธ์ที่น่าพอใจ Fangio จึงนำโปรเจครถแข่ง Fangio F1 ไปเสนอกับบริษัท Daimler AG และบริษัทในเครืออย่าง Mercedes-AMG ซึ่งได้การตอบรับที่ดีด้วยการสนับสนุนเครื่องยนต์ V12 DOHC ซึ่งผลิตให้กับ Fangio F1 โดยเฉพาะ

    ในปี 1995 Fangio ผู้ที่สนับสนุน Pagani มาโดยตลอดได้ถึงแก่กรรม Pagani จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อจาก Fangio F1 เป็น Pagani Zonda C12 ซึ่งคำว่า Zonda เป็นชื่อของลมร้อนที่เกิดในเมือง Andes ประเทศอาเจนติน่า และได้เปิดตัวครั้งแรกในปี 1999 ที่งานมอเตอร์โชว์กรุงเจนีวา รวมระยะเวลาที่สร้างและพัฒนา Pagani Zonda เป็นเวลาทั้งหมด 7 ปี

    Mercedes-AMG ได้นำ Pagani Zonda มาพัฒนาเพิ่มเติมอีก 2 รุ่นคือ Pagani Zonda F ที่นำเครื่องยนต์ Mercedes-Benz M120 7.3 ลิตร มาเพิ่มความแรงให้กับ Zonda และอีกรุ่นคือ Pagani Huayra ที่ใช้เครื่องยนต์ M158 ซึ่งเป็นแบบเดียวกับ Mercedes-Benz SL65 AMG Black Series แต่ Pagani ขอให้ลดรอบเทอร์โบลงและปรับปรุงเรื่องการตอบสนองให้มากขึ้น

    ถึงแม้ว่า Pagani Automobili S.p.A. จะเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่ได้อยู่ในการครอบครองของบริษัทใหญ่เหมือนกับซูเปอร์คาร์แบรนด์อื่นๆ แต่การทำงานของ Pagani Automobili S.p.A. มักจะทำงานควบคู่ไปกับบริษัท Daimler AG อยู่เสมอโดยเฉพาะบริษัทลูกในเครืออย่าง Mercedes-AMG

    ด้วยความสามารถด้านการออกแบบของ Horacio Pagani นอกจากจะฝากผลงานไว้กับซูเปอร์คาร์แล้ว เขายังออกแบบโชว์รูมของ Pagani ที่เราเห็นกันทุกวันนี้อีกด้วย


    อุ๊ยยยย ว่าแต่ คุยถึงประวัติมาตั้งนาน เรามาเห็นสาวนางนี้กันดีกว่าไหม ว่าน่าตาเป็นยังไง น่าคบหารึป่าว

    pagani zonda (เอารูปแบบHDไปดูเลยยย)







    เป็นไงละ ตูดก็สวย น่าคบหาพอรึป่าว??? อยากรู้ไหมว่าเสียงของเธอเพราะขนาดไหน? เรามาดูตามลิ้งข้างล่างดีกว่าา


    เสียงเพราะไหมละ ชอบมากกกกก เราลองคิดเล่นๆดูสิ ท่าเอา Pagani Zonda F มาแข่งกับ Bugatti Veyron ใครจะชนะ เชิญชมเลยครับ


    ผลก็ออกมาตามทีเห็นละครับ 5555 เรามาดู Pagani ทีพึ่งออกตัวล่าสุดไปกันดีกว่า

    pagani huayra ตัวล่าสุด (HD) อีกแล้ว







    เป็นไงละทั้งข้างใน ทั้งตูด นั้งหน้า(หน้าเหมือนปิริย่าไปหน่อย) สวยไหมละ? 555 นี้แหละในฝันผม ส่วนเรื่องเสียงขอเธอนะหรือ จัดให้




    เอาละ ส่วนมาก คงอยากจะรู้สิน่ะ ว่ามันราคาเท่าไร? ผมไปตรวจมาเรียบร้อยแล้วครับ ราคาก็....O_Oไม่น่าเชื่ออออออ!!! แพงกว่า Bugatti Veyron
    Pagani Zonda F ROADSTER "FINAL EDITION" 2dr ราคานะครับ อยู่ที่ &#163;1,400,000x50ไป ได้เท่าไร ว่ากัน ค่าตัวไม่ใช้เล่นๆเลยใช่ม่ะละ หึๆยากทีจะได้มาครอบครอง



    ขอขอบคุณอย่างหนักๆกับเว็บ
    https://sites.google.com/site/alleve...ti-veyron-16-4
    http://www.wesupercars.com/w050223.aspx

    ฝากไลค์กับคอมเม้นให้ด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้หน่อย เพื่อจะได้อัพต่อ
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย PKbiw : 30th August 2012 เมื่อ 06:51


  2. #2
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Aug 2012
    กระทู้
    75
    กล่าวขอบคุณ
    140
    ได้รับคำขอบคุณ: 32
    ข้อมูลเพียบ ขอบคุณมากครับ
    Empty

  3. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  4. #3
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    154
    กล่าวขอบคุณ
    133
    ได้รับคำขอบคุณ: 26
    สาระทั้งนั้น ขอบคุณครับ

  5. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  6. #4
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    48
    กล่าวขอบคุณ
    408
    ได้รับคำขอบคุณ: 13
    บีเอ็มดับบลิว "อนุกรม" 5555


    " Simple Plan "


  7. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  8. #5
    ชีวิตเป็นของเรา
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    ที่อยู่
    อยุธยา|กรุงเทพ
    กระทู้
    513
    กล่าวขอบคุณ
    295
    ได้รับคำขอบคุณ: 343
    Honda คือตำนาน (รถมันเยอะจริงๆ)

  9. #6
    {{Sorry Bro. Ma Bad}}
    วันที่สมัคร
    Aug 2011
    กระทู้
    570
    กล่าวขอบคุณ
    761
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,002
    อ่อย....ฮอนด้าจะเยอะไปไหน

  10. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  11. #7
    Bayou Country
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    New Orleans, LA, United States
    กระทู้
    5,932
    กล่าวขอบคุณ
    4,555
    ได้รับคำขอบคุณ: 8,950


    บ้านผมเคยมี แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว

  12. #8
    The Joker
    วันที่สมัคร
    Oct 2011
    ที่อยู่
    Lampang
    กระทู้
    913
    กล่าวขอบคุณ
    5,717
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,647
    ผมยังเก็บลิงค์เก่าไว้อยู่เลย ขอโชว์

    http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=68838

  13. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  14. #9
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    993
    กล่าวขอบคุณ
    469
    ได้รับคำขอบคุณ: 644
    เดะมาอ่านต่อ

  15. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  16. #10
    ถูกระงับใช้งาน (Banned)
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    668
    กล่าวขอบคุณ
    92
    ได้รับคำขอบคุณ: 603
    รถในฝันของผมก็ แลม นี่แหละส่วนมอไซต์ ก็ ดูคาติ 848 แต่คงไม่มีปัญญาทั้งคู่อ่าเนาะ

  17. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  18. #11
    R.I.P 2PAC (1971-1996)
    วันที่สมัคร
    Mar 2012
    ที่อยู่
    Thailand
    กระทู้
    787
    กล่าวขอบคุณ
    496
    ได้รับคำขอบคุณ: 432
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลสาระดีๆครับ

  19. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  20. #12
    _SaBasTaiN_
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    ที่อยู่
    _SaBasTaiN_
    กระทู้
    2,733
    กล่าวขอบคุณ
    4,034
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,530
    เยอะเเท้เหลา

  21. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  22. #13
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Oct 2011
    กระทู้
    553
    กล่าวขอบคุณ
    289
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,628
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ PhraoBWS อ่านกระทู้
    ผมยังเก็บลิงค์เก่าไว้อยู่เลย ขอโชว์

    http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=68838

    อ๊ากกกขอบคุณมากครับบบบ >< ไม่หน้าเชื่อว่าจะมีคนเก็บของผมด้วย

  23. #14
    ไม่มีความประนีประนอม
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    ผู้ชนะในสงครามคือผู้ที่ถูกต้อง
    กระทู้
    2,780
    กล่าวขอบคุณ
    6,615
    ได้รับคำขอบคุณ: 7,922
    Blog Entries
    1
    ผมชอบรถเก่าๆแบบนี้อ่ะ ช๊อบบบ

  24. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  25. #15
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Oct 2011
    กระทู้
    553
    กล่าวขอบคุณ
    289
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,628
    อัพรอบ2แล้วนะครับ

  26. #16
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    967
    กล่าวขอบคุณ
    602
    ได้รับคำขอบคุณ: 677
    ชอบรถ bigbike มากครับ ขอข้อมูลเกี่ยวกับยี่ฮ้ออื่นด้วยก็ดีครับ
    "กรุณาห้ามอ่านลายเซ็น"

  27. #17
    RISE
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    อยู่ในใจพวกเธอหลายคนไปแล้ว
    กระทู้
    472
    กล่าวขอบคุณ
    940
    ได้รับคำขอบคุณ: 298
    หาducatiด้วยสิครับ อยากอ่านเหมอนกัน

  28. #18
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Aug 2012
    กระทู้
    788
    กล่าวขอบคุณ
    234
    ได้รับคำขอบคุณ: 318
    อ่านตาแฉะเลยทีเดียว ขอบคุณมากครับ


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top