ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 4 หน้า 123 ... หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย
กำลังแสดงผล 1 ถึง 25 จากทั้งหมด 89
  1. #1
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818

    The World Cold Day "มหาวิบัติ คนไม่ยอมตาย"

    ก่อนจะติดตามเรื่องผมอยากให้อ่านครับนี่ดูก่อนนะครับ
    1.ผมจริงจังมาก เพราะฉะนั้นส่วนไหนที่ผมขาดช่วยบอกผมด้วย
    2.คีย์บอร์ดผมมีปัญหา ถ้าเห็นผมเขียนผิดมั่นใจได้เลยว่าผมไม่ได้ตั้งใจ
    3.ผมแต่งทั้งใน Microsoft และต้องเอามาเรียบเรียงใหม่ เลยดูจ้าดง่าวว เล็กน้อย
    4.ผมย่อหน้าไม่ได้เลยอ่านยากครับ
    5.ผมจะไม่เลิกกลางทะเลอีกแล้ว จึงขอกำลังใจด้วยครับ

    ประเดิมครับ



    The World Cold Day
    มหาวิบัติ คนไม่ยอมตาย

    โลกแสนสงบสุขของ ร้อยเอก ดีน คา ไทเลอร์ พักร้อน2เดือน ปลดเปลื้องเขาจากสงครามกลางเมืองที่ผ่านมา จนกระทั่งวันหนึ่งความสงบกลับเปลี่ยนเป็นความวุ่นวายเมื่อโลกที่เขาพักอยู่เกิดจลาจลขึ้นโดยฝีมือของคนไม่ยอมตาย ที่ภายนอกเป็นมนุษย์แต่เขาพวกนั้น กลับไม่เหนื่อย ไม่เจ็บ ไม่หิว และไม่มีความรู้สึกรู้สา มีแค่ความหิวโหยในเนื้อมนุษย์ซึ่งทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ดีน ต้องทำตามคำแนะนำของหลายๆคน และการใช้ทักษะในการเอาชีวิตรอดจากฝูงกระหายเนื้อและรักษาจิตใจของตัวเอง แม้ว่าศัตรูของเขาจะไม่ได้เป็นแค่คนไม่ยอมตายเท่านั้น
    Black Jack Sdppd - DPP



    บทที่ 1 จลาจล

    บทที่ 1 จลาจล

    แสงแดดอ่อนๆ ตอนบ่ายแก่ๆ ของอากาศที่สงบสุข ในเมืองเล็กๆ เคล้าธรรมชาติสไตล์ชนบท อย่าง"เลควิว" แม้จะมีตัวเมืองอยู่บ้าง แต่ก็พอจะให้เป็นที่เปิดหูเปิดตาของ
    ชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ทั่วทุกอำเภอจะมีสถานที่บำรุงสุขภาพอยู่ทั่วทุกแห่ง
    ทำให้เลควิวมีชื่อในเรื่องการบำรุงสุขภาพทั้งทางกายและใจ ผู้คนส่วนมากจึงเอาเวลาไปผ่อนคลายชนะความเครียด ดีกว่าไปทำอะไรไม่ค่อยดีงามหรือสร้างปัญหา
    ผมเป็นทหารที่เสร็จภารกิจจากการก่อการร้ายที่รัสเซีย เกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายที่ลักลอบขนอะไรซักอย่างที่เราไม่มีทางรู้ แม้รัฐบาลจะมองเราเป็นเพียง"ทหารเลว"แต่ผมก็ภูมิใจที่อย่างน้อย ก็ได้รับใช้ชาติ หลับหูหลับตาทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง เอาคำขวัญที่ว่า "ใครขวางทางชาติ จะกำจัดให้หมดสิ้น" เราทำภารกิจได้อย่างยอดเยี่ยมขนพรรคพวกไปเพียงแค่ 45 คน แต่สามารถต่อกรกับหัวหน้าผู้ก่อการร้าย เราฆ่าหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่ชื่อ "โคเลียม วีนอสกี้" ทุกอย่างจบ แต่นั่นก็เรื่องเมื่อ 2 ปีมาแล้ว หลังจากที่เราตามเก็บกวาดพวกมัน ผมจึงมีสิทธิ์ใช้เวลาพักร้อน 2 เดือนให้คุ้มค่าที่สุด ประหยัดเงินให้มากที่สุด บอกตามตรงเลยว่า สันดานผมขี้เหนียวพอสมควร
    โดยเดิม ผมเป็นคนที่เลควิวเต็มตัว ครอบครัวผมทุกคนเกิดที่นี่ โดยเฉพาะ เคน และ อัลเลน ไทเลอร์ บุพการีของผมท่านทั้งสองเป็นวีรบุรุษและวีรสตรีแห่งสงคราม เหตุนี้กระมังที่ทำให้ผมได้ยศร้อยเอกมาง่ายกว่าปกติ แต่ผมภูมิใจที่ได้ชื่อท่านทั้งสอง มารวมในชื่อกลาง "คา"

    ผมว่ายท่าฟรีสไตล์อย่างสวยงามในสระยาว25เมตร ลึก2เมตร สระสี่เหลี่ยมผืนผ้า คุณภาพดีในสถานบำรุงสุขภาพทางตอนใต้ของเมือง ที่ผมเลือกที่นี่เพราะคนไม่คับคั่งนัก ไม่แพงจนเกินไป เน้นคนที่เป็นสมาชิกหรือไม่ก็คนในชุมชน พวกเรารู้จักกันดี
    การทำลำตัวให้เหมือนคนหมดแรง งอเข่าแล้วสะบัดเท้า เป็นเทคนิคอย่างดีในการว่ายท่านี้
    "รู้สึกว่า วันนี้จะว่ายเร็วขึ้นนะ คา " เสียงหนึ่งทักหลังจากผมว่ายติดต่อกัน ไม่ต้องแปลกใจเลยเสียงอุ่นทุ้มและใจดีนี้ต้องเป็นเสียงของ โจ ยามเฝ้าสระ เพื่อนสนิทของผม
    " มันก็ต้องมีพัฒนาบ้างสิ" ผมตอบกลับหลังจากที่หายใจในน้ำ และถอดแว่นกันน้ำ
    มือลูบหน้าเพื่อไล่น้ำออก
    "เหรอ งั้นถ้านายว่ายเสร็จแล้ว ฉันมีเรื่องให้นายช่วยหน่อย" โจกล่าวออกมา ซึ่งก่อนที่ผมจะได้ตอบก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี น้ำที่แตกกระจายซึ่งเกิดจากลูกเต้าเหล่าใครสักคนแถวนี้
    "นายมีอะไร จะให้ฉันช่วยนะ"
    "อ๋อ ช่วยว่ายต่อไปนะ ไอ้เกลอ" นั่นไง มุขใหม่ของโจ เขาคงจะขาดใจตายถ้าไม่ได้เล่นมุขกับผม มันจะไม่มีปัญหาเลยถ้ามันฮาบ้าง
    "เออ เอาเหอะ" แล้วผมกับ โจ ก็ขำด้วยกัน หลังพิงสระอย่างเหนื่อยและอ่อนล้า ผมชอบกลั้นหายใจใต้น้ำมาก
    มันรู้สึกดี ในช่วงแรก ว่าแล้วก็ขอเช็คหน่อยละกัน ว่าตัวเองกลั้นหายใจได้นานเพียงใด
    ผ่านไปอึดใจหนึ่งสุดสังขารที่ผมจะทนไหว ผมคิดว่าสักสองนาทีครึ่งมั้ง ขณะที่โผล่ขึ้นมาเพื่อฮุบอากาศ
    สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป มันอึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงกรีดร้อง คนวิ่งพล่าน มันเป็นความโกลาหล ที่ผมไม่ชอบเลย มันทำให้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในสงคราม สายตาปรับสภาพ แต่ไม่สามารถดูได้ว่าหน้าไหนเป็นหน้าไหน คนมากหน้าหลายตาวิ่งไล่จับกัน อลหม่าน
    ผมคิดว่าเห็นคนกลุ่มหนึ่ง นั่งรุมล้อมทำอะไรซักอย่าง หัวขยับเคลื่อนไปมาอย่างน่ากลัว มองลอดแขนของคนๆหนึ่ง เจออะไรบางอย่างนอนแน่นิ่งไป
    "พระเจ้า!" ผมว่าผมอุทานไม่ผิด นั้นมันคนนี่ สายตาว่างเปล่า แม่เจ้า เขาตายแล้ว
    เสียงคำรามดังขึ้น ผมหันกลับไป มองหาเจ้าของเสียง จากข้างสระ ชายผู้นั้น แต่งชุดตำรวจ แยกเขี้ยวอย่างน่ากลัว ของเหลวสีแดงเต็มปาก
    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นนน"ใช่ทุกอย่างเริ่มชัดขึ้น บรรยากาศเงียบลง ทุกสายตาจับจ้องที่ผมท่าทางโกรธแค้นและแล้วพวกเขาก็พุ่งมาที่ผม
    ใต้ความสับสน ผมตัดสินใจว่ายน้ำให้เร็วที่สุดไปที่อีกฝั่ง หลังจากว่ายไปครึ่งสระ ในหูได้ยินเสียงกระโดดลงน้ำ
    ผมตัดสินใจหันกลับไปมองพวกเขากระโดลงน้ำตามมา กะด้วยสายตาแล้วมากกว่า 50 คน มาจากข้างหลัง ผมกลัวเหลือเกิน กลัวที่จะต้องไปนอนเป็นศพที่โดนแทะ น้ำตาไหลออกมาพร้อมความรู้สึกสิ้นหวัง
    แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ว่าย กลับตะกุยขาไม่ยั้งเหมือนพยายามวิ่ง ผมหันกลับไปมีกำลังใจเล็กน้อยแม้น้ำตาจะไหลอยู่ก็ตาม
    แต่ว่ามีอีกประมาณ 50 คนก็โดดลงสระมาเช่นกัน ตอนนี้ผมโดนล้อมแล้วจาก 'อะไรสักอย่าง' เหลืออีกแค่สามเมตรพวกเขาจะถึงตัวผม โอ้ไม่ หน้าตาเปื้อนเลือด กลิ่นเหม็นตลบอบอวน ผมหวีดร้อง สายตาคลั่งแค้นพยายามไขว่คว้าตัวผม ผมไม่สนว่าเขาจะตายหรือไม่แล้วตอนนี้ พวกเขาล้อมผม ไร้ทางหนีผมตกเป็นเหยื่อแน่นอนแล้ว การหายใจเริ่มกระสับกระส่าย หมดกำลังใจที่จะว่ายต่อ แรงหายไป รอที่จะเป็นเหยื่อ
    แต่มีบางคนเท้าลอยอยู่ทำให้ผมนึกอะไรออก ดวงผมยังไม่ถึงฆาตหรอกน่า แล้วตัดสินใจ กระทำสิ่งที่งี่เง่าที่สุดไป นั่นคืองับอากาศที่แรงที่สุดเข้าปอด แล้วทิ้งตัวลงในน้ำ รู้สึกถึงแรงกดจับที่ขา ไม่มีเวลาหันไปดู ผมดิ้นสุดแรงแล้วรีบว่ายดำลงไป รักษาความลึกให้ได้มากที่สุด ขณะที่กำลังแหวกว่ายผ่านขาหลายขาและแขนที่ตะเกียยกตะกายอย่างสับสันอยู่นั้น เกิดการชุลมุนขึ้นเหนือผม มันหาตัวผมอยู่ ผมถึงอีกปลายฝั่ง แตะขอบสระ โผล่ขึ้นมาเบียดกับใครบางคนไม่เหลือเวลาให้หายใจแล้ว ผมเอามือยันขอบสระแต่ ตัวผมกลับถูกกระชากลงในน้ำ แม้เห็นไม่ชัดแต่ก็รู้ว่ามันกำลังจะกัดผม
    "ม่ายยยย" การตะโกนที่ไร้ประโยชน์ ขอบคุณแรงดันน้ำ ที่ทำให้มันมาช้า สัญชาติญาณสั่งให้ใช้สองมือหักคอเขา
    ผมปีนขึ้นฝั่ง วิ่งอีกสองสามก้าว หายใจหอบแล้วหันกลับไปที่สระ เลือดเต็มขอบสระ ผู้คนนอนเสียชีวิต เลือดไหลมากอง บางรายไส้ออกมาทะลัก แต่ภาพที่น่ากลัวที่สุดอยู่ตรงหน้าผม ที่สระน้ำ ผมเข่าอ่อนทันที ผู้คนนับร้อยอัดกันแน่นในสระสีแดงฉาน เหมือนฝูงมดในรังแคบที่ไร้ซึ่งความสามัคคี พยายามเหยียบหัวกันเพื่อขึ้นมาหาผม คนปีนขึ้นหัวอีกคนไม่สนว่าจะมีตัวตนหรือไม่ ผมเอามือปิดหน้า พระเจ้าเล่นอะไรกับผม
    ตอนนี้ คงไม่ต้องห่วงพวกหน้าโง่ในสระแล้ว ผมนั่งพัก ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ซึ่งทีจริงผมน่าจะอ้วกแล้ว เพราะกลิ่นคาวเลือด ชวนแหวะ
    เสียงครวญคราง ดังขึ้น ไม่ใช่เสียงตะโกนในสระ ผมลุกขึ้นมอง เห็นศพที่นอนตายนั้น ค่อยๆยันตัวเองกับพื้นช้าๆ ผมส่ายหัวอย่างตะลึง ร่างกายสั่นด้วยความกลัว ใจไม่กล้าทำอะไรแล้ว พวกศพที่เคยนอนอยู่ลุกขึ้นช้าตัวกระตุกอย่างน่ากลัว
    จากเสียงครวญครางเป็นเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ผมออกแรงวิ่งด้วยเท้าเปล่า ไปที่ เชฟโรแลต ของตัวเอง จนเมื่อถึงรถ
    "กุญแจรถล่ะ" ผมหันกลับไปที่สระ เห็นใครหลายคนวิ่งออกมา สายตาจับจ้องที่ผม
    ลองเสี่ยงดึงประตู โอ้ ไม่ได้ล็อค ขอบคุณพระเจ้า
    ว่าแล้วก็รีบเข้าในรถ ปิดประตูล็อค แก้เบาะออกต่อสายเครื่อง เสียงกระหึ่มดังขึ้น เวลาเดียวกับที่คนหลายคนมาทุบกระจกรถ ผมมองอย่างหวาดหวั่น แต่แน่ใจว่ามันแข็งแรงพอแน่ ผมเข้าเกียร์ถอยหลังและรีบพุ่งออกไปทันที


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย black jack sdppd : 21st April 2014 เมื่อ 14:18
    3 Coins DPP


  2. #2
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    The life and soul
    กระทู้
    226
    กล่าวขอบคุณ
    183
    ได้รับคำขอบคุณ: 97
    สู้ นะครับ ผมชอบอ่านแนวนี้อยู่เดียวอ่านให้ครับแล้วจะมาบอก
    The life and soul.

  3. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  4. #3
    ถูกระงับใช้งาน (Banned)
    วันที่สมัคร
    Aug 2011
    ที่อยู่
    System of Live operation
    กระทู้
    2,025
    กล่าวขอบคุณ
    2,831
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,021
    เจิมๆครับ แนวนี้น่าสนใจและน่าติดตามมากครับ

    ถ้าตามความคิดเห็นส่วนตัวของผมแล้ว ผมว่าน่าจะใส่จุดหักมุมไว้เยอะๆนะครับ ฮ่าๆๆ ให้คิดตามๆกัน

  5. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  6. #4
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818

    บทที่ 2 มันคืออะไร ?

    "ซอมบี้ ซอมบี้ ซอมบี้" ผมพร่ำบอกตัวเองขณะที่ก้นอุ่น นุ่มสบายในรถ ใจเย็น เพราะแอร์ชุ่มฉ่ำ พึ่งขึ้นจากสระน้ำแท้ๆ ทำไมไม่หนาวเลยนะ
    "ซอมบี้ ผีดิบ ผีชีวะ ผีลืมหลุม" ไม่จริงแน่ เรื่องอย่างนี้ไม่มีจริง สิ่งเมื่อกี้ มันเป็นเรื่องหลอกๆที่ พวกมีอารมณ์ขันทำกัน ถ้าผมอยู่ต่อ อาจจะมีใครสักคนออกมาแล้วพูด"เซอร์ไพรส์" ดังๆก็ได้ เป็นการหลอกตัวเองที่ดี
    ผมเป็นคนที่ชอบหนังเกี่ยวกับซอมบี้พอสมควร ไม่ว่าเรื่องนั้นจะมีกี่ภาค และเนื้อเรื่องออกนอกอวกาศแค่ไหนก็ตาม ซึ่งสิ่งที่ผมเห็นคือ บางเรื่องผีจะเดินอย่างเชื่องช้า บางเรื่องผีจะวิ่งเร็วอย่างกับนักวิ่ง 4x100
    ผมมองกระจกหลัง ขณะที่ขับบนถนนที่ตัดทุ่งหญ้าสีทอง มันดูเป็นวิวที่สวยงานซึ่งขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก ไม่มีใครตามมา ผมถอนหายใจดังๆหนึ่งที เยี่ยม ผมใจเย็นลงแล้วตอนนี้ ไม่รู้ว่าควรจะกลับบ้านหรือไม่นะ แต่ถ้ามันมาจากทางใต้ บ้านผมทางตะวันตกก็คงไม่เป็นอะไร ว่าแล้วผมจึงเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ เปลี่ยนเป็นคลื่น AF ความถี่สาหรับข่าว ช่องท้องถิ่น เสียงสัญญาณชัดเจนดี
    "--เลยนะครับ" ผมเปิดช้าไป "ตอนนี้ขอให้ทุกท่านไปทางตะวันตกของเลควิวนะครับ" ดีเจพูดด้วยเสียงเร่งรีบ แสดงว่าซอมบี้ยังไปไม่ถึงสถานี "ผมก็คงจะรีบไปแล้ว ขอให้โชคดีนะครับ" เสียงปึงดังขึ้นในวิทยุ เสียงคำรามปนกับเสียงหวีดร้อง ของดีเจ ทำให้ผมรู้ว่า เขาไม่รอดแล้ว
    "ไปสู่สุคติเถอะเพื่อน" ผมพึมพำเบาๆ

    ถึงทางด่วนแล้ว ยังไม่มีการอาละวาดเกิดขึ้น แต่รถติดมากและรู้สึกได้ถึงบรรยากาศวุ่นวาย ผมว่าผมควรจะตะโกนบอกพวกเขา แม้จะเกิดความแตกตื่น แต่ถนนจะว่างอย่างเหลือเชื่อ ผมไปด้านหลังเอาแจ็คเกตทหารลายพรางที่แขนปักไว้ว่า “อาร์มี่ เรนเจอร์” ที่แขวนอยู่มาคลุมร่างที่เปลือยเปล่าของตัวเอง แต่คงไม่สามารถเอากางเกงมาใส่ได้ทัน คงไม่มีปัญหาเพราะกางเกงว่ายน้ำผมยาวถึงเข่า
    “เฮ้ อีริค” ผมเดินไปทักเพื่อนร่างอ้วนที่นั่งอารมณ์เสียอยู่ในฮอนด้าสีขาว
    “เฮ้ ดีน เกิดอะไรขึ้น นายพึ่งมาจากทางใต้เหรอ” เขาถาม
    “ใช่ ที่นั่นมีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้น” ผมตอบ “นายรู้เรื่องอะไรมั้ย”
    “ฉันอยู่ที่ในตัวเมืองแล้วคนในเมืองแล้วจู่ๆก็ประกาศเคอร์ฟิลด์ซะงั้น” เขาเล่า “เราได้ยินเกี่ยวกับเชื้อโรคแพร่ระบาดแค่นี้แหละ” ถ้าเขารู้แค่นี้แสดงว่าทางรัฐปิดบังข่าวไม่ให้คนแตกตื่น “เกิดอะไรขึ้นทางใต้ ทำไมนายไม่ใส่ชุด”
    "ใช่ นายต้องรีบกลับบ้านด่วน” แต่เขาไม่ได้ยิน เพราะตอนนั้น เสียงหวือ จากบนฟ้า เสียงใหญ่ยักษ์ของเฮลิคอปเตอร์ กลบเสียงผมจนหมด แต่ถึงกระนั้นทุกคนลงมาดู พาลูกเต้ามาดูด้วย ไม่สมควรเลยแม้แต่นิดเดียว
    เกิดเสียงแตรจากรถหลายคันข้างหลัง มันเป็นเสียงใหม่ที่ไม่ใช่จากรถห้า หกคันที่ต่อแถวกันอยู่ ตอนนี้มีมาเพิ่มอีกพรวน
    "เฮ้ พวกมันมาแล้วโว้ย" เสียงจากคนในรถคนหนึ่ง เขาดูมีท่าทีเร่งรีบและตื่นกลัว คันข้างหลังที่ผมสามารถมองเข้าไปในรถได้เช่นกัน บางคนมีสีหน้ายุ่งเหยิง ตกใจและหวาดกลัว
    ผมค่อยเดินเข้าไปใกล้ๆรถ ที่มาใหม่ รู้สึกกลัวว่าสิ่งที่เขาพึ่งเจอจะเหมือนกับผม เมื่อมองรถด้านหลัง บางคันกระจกหน้าแตกร้าว อีริคลงจากรถมาเดินข้างผม
    “นายไปเจออะไรมา” ผมถามเรียบๆ
    “ไม่ใช่เวลาถามนะ รีบไปได้แล้ว” เขาตะโกนแล้วกดแตรๆหลายครั้ง
    “ใช่คนที่ลุกมากัดกันคนรึเปล่า” ผมถาม เขาสงบลงทันที เขาหันมามองผมสลับอีริค สายตาดูหวาดกลัว
    “อะไรนะ ดีน นายไปเจออะไรมา” ผมไม่ตอบ ผมไม่ได้ฝันไป ถึงเวลาที่ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผมปีนขึ้นหลังคารถตัวเอง
    “ทุกคนรีบออกไปจากที่นี่" ผมตะโกน “ไปเลย ช่างหัวไฟแดง” แต่ทุกคนบนถนนยังมองผมงงๆ “ไปเซ่ โถ่เว้ย” ผมปีนลงจากรถแล้วหยิบปืนพกจากในกล่องใต้เก้าอี้ ผมปีนขึ้นหลังคาอีกครั้ง มือชูปืนพีเคเคขึ้นฟ้า
    ปัง
    เสียงกรีดร้องและเสียงเคลื่อนรถดังขึ้นทันที ผมยิงขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นพวกเขา รถเคลื่อนย้ายแล้ว วุ่นวายกว่าเดิมเกิดการชนกันขึ้นเพื่อดันอีกฝ่าย ผมคิดผิดหรือถูก
    “นายทำบ้าอะไรดีน ลงมาน่ะ” อีริคมายืนข้างรถผมมองผมอย่างสงสัย
    “ขึ้นรถไปซะ อีริค รถนายกำลังขวางเขาอยู่” ผมพยักหน้าไปทางรถของเขา แต่มันไม่ทันแล้ว มันถูกรถข้างหลังเบียดไป เขาจ้องมองอย่างไม่เชื่อสายตา
    “โอเค ดีนมันเกิดอะไรขึ้น” เขาถาม ผมลงมาจากหลังคารถมายืนประจันหน้ากับเขา มือจับไหล่เขา
    “ฟังนะ มันเกิดเหตุประหลาดขึ้น จู่ๆก็มีกลุ่มคนบ้าที่ไหนไม่รู้ วิ่งมาที่สระน้ำแล้วไล่ฆ่าทุกคนหมดเลยแล้วคนที่ถูกทำร้ายก็กลายเป็นมีท่าทางเดียวกัน”
    “นายเป็นบ้าอะไรดีน” เขาปัดมือผมออกแล้วมองผมเหมือนผมเป็นคนบ้า
    รถติดไม่ยาว คงใช้เวลาไม่นาน ผมนึกอะไรออก กลับเข้าไปในรถ หยิบกล้องส่องทางไกลที่เก็บไว้ใต้เบาะออกมา ผมปีนขึ้นหลังคารถอย่างทุลักทุเลอีกรอบ แล้วใช้มันส่องไปในที่ที่ผมจากมา ระยะ 1500เมตร
    "แม่เจ้า" มันมาแล้วสายตามุ่งร้าย ปากที่อ้าอยู่ตลอดเวลา กะคร่าวๆน่าจะสัก 300 คนได้ เป็นภาพที่น่าสยดสยอง บางตัววิ่งจนกระดูกทะลุ แต่มันก็ไม่หยุดวิ่ง บางตัวที่วิ่งเร็วแต่อยู่ข้างหลังพยายามปีนป่ายกันเอง ล้มทับกันชุลมุน ผมส่งกล้องให้อีริคเขารับมาอย่างทุลักทุเล ผมดึงเขาให้ขึ้นมาบนรถ ตอนนี้หลังคารถผมสกปรกไปด้วยรอยเท้า
    “ไอพวกนั่นมันเป็นอะไรวะนั่น” เขาอุทาน ตายังจ้องมองผ่านกล้อง
    “นั่นแหละ พวกที่ฉันเล่า” ผมบอก เขามีสีหน้าตกตะลึง “ไปซะ”
    "พวกมันมาแล้ว รีบย้ายก้นกันซักทีสิฟระ" เขาตะโกนคนที่ไม่ได้ปิดกระจก รับรู้ถึงเสียงของเขา อีริคขึ้นรถรีบแทรกช่องว่างระหว่างทาง แล้วเบียดกันไป
    ผมคิดว่าผมควรจะเอาด้วยนะ ผมลงจากหลังคาเข้าไปในรถ รีบแทรกทันทีเมื่อมีช่องว่างและไอ้ขาโจ๋เฮงซวยคนนึง เกือบจะชนผมแล้ว ไม่มีเวลาโกรธผมแทรกและขับไปมีคนพยายามจะแซงทั้งชน ทั้งปาดหน้า
    วุ่นวายจริงๆ มีคนบางพวกที่ทำให้ผมหัวใจวาย เพราะพวกเขาทิ้งรถแล้ววิ่งมา ทำให้ผมนึกว่า พวกมันตามมาแล้ว
    ตอนนี้เวลาราว 6 โมงเย็น ผมขับถึงถนนสายใหญ่แล้วรีบซิ่งไปที่บ้านทันที เพราะผมรู้ว่า เดี๋ยวจะมีไอพวกซิ่งแน่ๆ ระหว่างทางก็เจอ สิ่งที่ทำให้ไปได้ช้าขึ้น
    ด่านตรวจที่เหมือนป้อมปราการ กำแพงสูงกว่า 9 เมตร น่าจะยาวสัก 10 เมตร มีทหารและตำรวจหลายนายอาวุธครบมือ ทุกคันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมขับรถไปถึงจุดตรวจ
    “ถูกกัดตรงไหนมั้ยครับ” เจ้าหน้าที่หน้าละอ่อนถาม ส่องไฟฉายเข้ามาในรถ
    "มันมาแล้วอีกหน่อยก็ถึง แล้วก็มีอีกหลายคน ยังไม่ถึงเส้นหลัก คุณต้องปล่อยรถทั้งหมด" ผมบอกสถานการณ์กับเจ้าหน้าที่ตัวเล็กยังหนุ่ม เขาหันไปคุยอะไรบางอย่างกับอีกคนท่าทางเครียด “ไม่มีใครโดนกัดหรอกน่า”
    "ไม่มีเวลาปรึกษาแล้ว อีก800เมตรมันก็ถึง บอกทหารประจำสถานีรบ เตรียมอาวุธ มี ฮัมวี่ติดปืนกลรึเปล่า รึเปล่า" ผมถาม
    "มี แต่คุณรู้ได้ไง" เจ้าหน้าที่ขมวดคิ้วสงสัย
    "ช่างเหอะว่ะ" ผมตะคอก "มีกี่คัน"
    "สี่คัน" เจ้าหน้าที่ตอบ
    "ผมเป็นทหารจะช่วยวางแผนที่นี่ให้ มีเสื้อผ้าเปลี่ยนมั้ย" ผมถามแต่ไม่รอคำตอบ ผมรีบขับรถไปจอดข้างๆป้อมสี่เหลี่ยมข้างหลังกำแพงที่สามารถขึ้นไปได้ มีทหารอยู่รอบๆหลายคนเลยทีเดียว
    เมื่อลงจากรถ เจ้าหน้าที่รายเดิมเดินเข้ามา เมื่อเขาเห็นตัวผม เขาก็ชักปืนขึ้นทันที ทหารรอบๆก็ดูเหมือนจะมีท่าทีเช่นกัน เขายกปืนขึ้นชี้มาที่ผม
    "คุณโดนกัดรึ" เขาตะโกนถาม ถอยห่าง
    "หา" ผมสงสัยว่าทำไมเขาพูดเช่นนั้น แต่เมื่อมองดูก็พบว่า ตัวผมยังติดคาวเลือดอยู่
    "คุณโดนกัดรึเปล่า" เขาทวนคำถาม
    "เปล่า แค่เกือบน่ะ ทีนี้ให้ผมเข้าไปได้รึยัง" ผมก้าวไปข้างหน้าแม้เขาลดปืนลงแต่จากท่าทางแล้วเขาคงไม่ยอมให้ผมเข้าแน่
    "พลเรือน ห้ามเข้าครับ เชิญ--"
    "ให้เขาเข้ามาเดนนิส นั่นร้อยเอก ดีน คา ไทเลอร์ นะเว้ย" เสียงหนึ่งดังจากข้างหลังในเงา เขาโผล่มาพร้อมกับใบหน้าเหลี่ยมเข้ม ผมทองเรียบมีเคราเล็กน้อยที่คาง ทหารเอาปืนลงทันที
    เดนนิสหันกลับไปดูเจ้าของเสียงสลับกับผมทีสองที คงงงมากสิท่า เดนนิสเก็บปืนแล้วพยักหน้าให้เจ้าของเสียง
    เมื่อผมหันกลับไปก็พบว่าเจ้าของเสียงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเอ็ดดี้ วินเชสเตอร์ เพื่อนสนิทของผม เขาคือนาวิกโยธินสหรัฐฯ
    "ผมต้องขอโทษจริงๆครับ " ผมยืดอกและรู้สึกอยากหัวเราะด้วย แต่ไม่ใช่เวลา
    "ไม่ใช่ตอนนี้เดนนิส" เขาพยักหน้าอย่างรู้งานผมเดินข้ามไปหาเพื่อนสนิทของผม เจ้าของเสียงเมื่อกี้
    "มีเสื้อเปลี่ยนมั้ย เอ็ดดี้" ผมถามน้ำเสียงจริงจัง ตัวสั่นเพราะความหนาวเล็กน้อย
    "มีครับ" คู่หูผมตอบพร้อมพยักหน้า

    สักพักใหญ่ ผมในชุดทหารด้วยเสื้อยืด และกางเกงแบบครบชุด ก็มาหยุดยืนที่ห้องสี่เหลี่ยมขนาดซึ่งอยู่ติดกับห้องสัมภาระเลย
    ทหารยศร้อยตรีประมาณสิบนายยืนรอบโต๊ะกลมขนาดใหญ่ ในห้องสี่เหลี่ยมล้อมด้วยหน้าต่าง มีคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการวางไว้ที่มุมหนึ่ง และเครื่องสื่อสารที่มุมหนึ่ง ทุกคนทำความเคารพผม ผมพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
    "ให้รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมั้ยครับ" เดนนิสนั่นเอง กุลีกุจอเข้ามาพยายามแก้ตัวที่ทำพลาดไปเมื่อกี้
    "ยังก่อน ตอนนี้ต้องแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าก่อน" ผมบอก
    "ครับ" เขาตอบรับ ดูหงอยลง
    "ปล่อยให้คนเข้ามารึยังครับ" ผมถามเดนนิส ไม่อยากให้เสียน้ำใจ
    "อ๋อ ครับ ปล่อยแล้วครับ เราปล่อยให้เข้ามาแล้วหมดทุกคน ส่วนใหญ่จะเป็นคนตัวเปล่าครับ" ท่าทางของเดนนิสกระตือรือร้นขึ้น
    "ขอบคุณมาก" ผมบอก ทีนี้ก็ได้เวลาวางแผนสักที
    “สวัสดีทุกคน ผมร้อยเอกไทเลอร์” ผมเริ่มทักทาย ทหารรอบโต๊ะทำความเคารพ ผมพยักหน้า “ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วใช่มั้ย ว่าเรากำลังรับมือกับอะไร”
    “เรารู้แค่ว่าเป็นเชื้อโรคที่ทำให้คนลุกขึ้นาอาละวาดทำร้ายกันเองครับ” ทหารนายหนึ่งตอบ “ทางการต้องการให้เราระงับไว้”
    “แล้วทางการรู้หรือเปล่าว่าโรคนี้มันร้ายกาจแค่ไหน” ผมถามกลับ เขาเงียบไป ”ผมประจันหน้ากับมันตัวต่อตัวเลย ขอบอกเลยว่าการระงับของเรานั้นจำเป็นต้องใช้อาวุธเพื่อยับยั้ง ยิงทุกคนที่วิ่งเข้ามา เอา ฮัมวี่ ทั้งสี่ วางเรียงหน้าป้อม เอาทหารทุกคนยืนเรียงบนป้อม อย่าให้ทุกคนลงล่าง นำพลแม่นปืนทุกคนแบ่งให้เท่ากัน ไปประจำที่มุมป้อมทั้งสองข้าง เล็งที่หัว แต่เล็งยากหน่อยนะ เพราะมัน--"
    ผมหยุดเพราะเห็นมือหนึ่งชะงักค้างในอากาศ
    "ว่าไง" ผมถามน้ำเสียงไม่พอใจที่ถูกขัด
    "ถึงกับต้องฆ่าประชาชนเลยเหรอครับ" นายทหารยศร้อยตรีที่ป้ายชื่อบอกว่า โจ แทรกขึ้น มันทำให้ผมนึกถึงเพื่อนของผม
    "ใช่" ผมบอก
    “เราจำเป็นต้องทำถึงขึ้นนั้นเลยเหรอครับ มันเกิดอะไรขึ้นครับ”
    “ผมไม่รู้หรอกนะ แต่คุณคงยังไม่เคยเจอกับมันสินะ จะบอกให้ พวกมันทำโดยที่ไม่มีแผน มันเพียงแค่วิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง กัดกินทุกชีวิต มันวิ่ง วิ่ง วิ่งและวิ่ง เหยียบกันเอง มันโหดร้าย มันไม่สนใจใคร ไม่เหนื่อย ไม่รู้สึกรู้สา ผมเห็นกับตา มันวิ่งมาจากที่ไกลโพ้นจนเนื้อเท้าแทบหลุด แทบไม่ต้องใช้ตาในการมองเลย”
    “ต้องเล็งที่หัวด้วยเหรอครับ” ทหารอีกนายถาม
    “เอาให้แน่ไว้ก่อน พวกนี้ไม่น่าจะตายถ้าโดนที่ลำตัว เหมือนพวกเมายายังไงล่ะ ผมรู้ว่าทุกคนอาจจะคิดไม่ถึง แต่เชื่อเถอะ เราจำเป็นต้องทำอย่างนี้ เพราะฉะนั้นแยกย้ายได้แล้ว”
    "ครับผม!!!" พวกเขาตอบรับ ผมพยักหน้าพึงพอใจ ทุกคนแยกย้ายไปประจำที่
    "เอ็ดดี้ เดนนิส อยู่ก่อน อธิบายเรื่องทุกอย่างให้ผมฟังที" ผมเรียก ทั้งสองหยุดกึก

    ผมยืนมองหน้าไร้ความรู้สึก เหม่อไปนอกหน้าต่างเห็นแต่ความเงียบที่เริ่มคืบคลานเข้ามา รถฮัมวี่เข้ามาประจำการหน้าป้อมแล้ว ในขณะที่เอ็ดดี้อธิบายเรื่องต่างๆให้ฟัง
    "ต้องขอโทษจริงๆ ที่ข้อความส่งไม่ถึงนาย" เอ็ดดี้กล่าว ผมรู้สึกพอใจที่เขายังไม่ลืมข้อตกลงว่า ถ้าไม่มีใครเราจะเป็นกันเอง เล่นหัวกันได้ กรณีนี้อาจจะยกเว้นเดนนิส
    "ไม่งั้นนายจะสามารถหนีมาและมากบดานกับเราได้"
    "รัฐบาลรู้เหรอ ว่ามันจะเกิดขึ้น ใครเป็นคนทำ" ผมแทรก
    "เปล่า รัฐบาลรู้เพียงแค่มันจะเกิดขึ้น"
    "รู้ได้--"
    "อย่าขัดสิเฮ้ย" เอ็ดดี้โพล่งออกมาท่าทางหมดความอดทน
    "โอเค ๆ"
    "มันเกิดขึ้นในซ่องโจรในป่าทางเสฉวนของจีน มีผู้รอดชีวิต จากซ่องโจรนั่นมาแค่1คน ตอนนี้อยู่ในการควบคุมของจีนแล้ว จากนั้นเชื้อก็แพร่ลามไปทั่ว มันรวดเร็วมาก สักประมาณ 20 วินาทีได้ เราจะกลายเป็นแบบพวกมัน" เอ็ดดี้หยุดและพูดต่อในทันที อาจจะเป็นเพราะเขารู้ว่าผมจะพูดอะไรกระมัง "หรือนายจะเรียกมันว่าซอมบี้ ผีดิบ บัดซบอะไรก็ตามแต่"
    "แสดงว่า มันเป็นยาที่ทำให้คนเป็นซอมบี้เหรอ" ผมถามบ้าง
    "เราไม่รู้หรอก ตามที่สายเราบอก มันเป็นอะไรบางอย่างที่เหล่าผู้ก่อการร้ายกำลังพยายามผลิต ตั้งแต่สมัยโซเวียตาโน่น”
    “โซเวียตาเหรอ เป็นไปไม่ได้” ผมคราง
    “ใช่ ข่าวนี้ยังต้องรับการยืนยัน นายอาจจะต้องไปที่แลงก์ลี่ย์แล้วรับภารกิจ” เอ็ดพูด
    “ฉันเหรอเอ็ด ไม่เอาน่า ให้ซีลหรือสายลับจัดการสิ” ผมพูด
    “ก็นายรู้เรื่องงมันมากที่สุดนิ่นา เราต้องการนาย”
    "มันเริ่มแล้วครับ" เดนนิส พูดขึ้นมาพร้อมชี้ไปนอกหน้าต่าง รถฮัมวี่สี่คันที่ประจำที่ป้อม ปากกระบอกปืน เปล่งแสงแวบวาบ ซอมบี้ล้มทีละหลายตัว บางตัวลุกแล้วยืน บางตัวก็ตายไปเลย แต่พวกมันก็ยังถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่น ที่คอยจะซัดรถและประตูให้พังทลาย
    "เห็นไหมล่ะ ดีน เห็นโลกรึเปล่า มันเปลี่ยนไปแล้ว เรากำลังเริ่มต้นสู่สงคราม สงครามที่เป็นจุดตัดสินระหว่างความเป็นอยู่ของมนุษย์" คำพูดนั้นคมบาดใจเหลือ คำพูดจากเอ็ดดี้ มีค่าที่ควรจะจดจำ
    "เดนนิส รวมคนทั้งหมดในทีมนาย อพยพประชาชนไปทางประตูหลัง แล้วนายก็ไม่ต้องหันหลังกลับมาอีก" ผมสั่ง
    "แต่--" เดนนิสมีทีท่าลำบากใจ
    "ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ถ้าอยากจะขอโทษก็ทำสิ่งนี้แหละ" ผมพูด
    "นายจะพาคนไปไว้ที่ไหน" เอ็ดดี้ถาม
    "หมายความว่าไง" มันมีอะไรที่ผมควรรู้รึเปล่า
    "เชื้อแพร่กระจายไปทั่วโลกเมื่อ 10 ชั่วโมงก่อน ผ่านทางการคมนาคมทั่วโลก"
    หา! ทำไมผมไม่รู้ ผมเล็งเก้าอี้ที่ใกล้ที่สุด แล้วก็ทรุดตัวลงนั่ง มือลูบผมแรงๆ ไม่เคยเครียดขนาดนี้มาก่อน แรงกดดันถาถมเข้ามา
    "แล้วทางเรือ ใช่เดนนิส ที่นี่มีท่าเรืออยู่ทางเหนือ พาออกไปเลย ใครไปไม่ได้ก็ให้ทิ้งไว้นายต้องแข่งกับเวลา" ผมพูด "ครับ" เดนนิสตอบแล้ววิ่งออกไปเลย ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วการหลบหนีจะยากลำบาก
    ขณะที่แสงไฟข้างนอกสว่างขึ้น เสียงปืนเริ่มชัดเจน ซอมบี้มาเป็นระลอกใหญ่
    "เอ็ด ขอเรียกกำลังสนับสนุนทางอากาศ"
    "รับทราบครับ" เอ็ดรับทราบ หันไปคุยกับเครื่องสื่อสารขนาดใหญ่
    ข้างนอกปืนจากเอ็ม วี พี และทหารประจำการที่ผมมองไม่เห็นจากข้างล่าง สาดกระสุนนับร้อยใส่ซอมบี้ ที่เหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกมันอาจจะมาจากทางไมอามี่ หลายร่างล้มลงไปกับพื้น เป็นกองศพโตเป็นภูเขา แม้กระนั้นพวกมันกลับปีนศพนั้นมาเรื่อยๆ
    ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากดูภาพที่สลดหดหู่นี้ ดูภาพเอ็ดคุยจ้อกับเครื่องสื่อสารยังจะจำเริญเพลินใจกว่า เขาคุยเสร็จพอดี
    "ว่าไง" ผมถาม
    "การอนุมัติจะเริ่มขึ้นอีก 3 ชั่วโมง" เอ็ดตอบ ผมกลืนน้ำลาย 3 ชั่วโมง รออะไรอยู่นะ
    "นายรู้ใช่ไหม เราไม่มีทางยันมันอยู่" เอ็ดถามเสียงกังวล
    "รู้สิ"


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย black jack sdppd : 21st April 2014 เมื่อ 14:26
    3 Coins DPP

  7. รายชื่อสมาชิกจำนวน 12 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  8. #5
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    The life and soul
    กระทู้
    226
    กล่าวขอบคุณ
    183
    ได้รับคำขอบคุณ: 97
    สนุกดี ครับ ที่จะบอกคือเนื้อเรื่องดีแล้วครับแต่อยากให้ จัดเรียง บ้างประโยค์ อะครับ มันดูขัดๆ กันอะครับ
    เออ มีที่อยากถาม นี้เป็นแนวเดินเรื่องบุคคลเดียว หรือป่าว ครับ ถ้า ใช้ ผมอยากให้ลอง อ่าน BANGKOK OF THE DEAD นะ ครับ บ้าง ที่อาจจะช่วยจุดประกายอะไรได้บ้าง เรื่องผม ชอบมากเลย
    เรื่องของ คุณ สนุกไม่แพ้กันเลย ครับ
    The life and soul.

  9. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  10. #6
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    120
    กล่าวขอบคุณ
    17
    ได้รับคำขอบคุณ: 22
    รออยู่นะครับ รีบๆๆมาต่อนะครับ สนุกมากเลย

  11. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  12. #7
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818

    มุมพูดคุย

    เกี่ยวกับมุมพูดคุยนี้ ผมจะมาตอบทุกคอมเม้นต์ครับ
    ทุกคนที่มาเขียนมาถาม จะสามารถเลื่อนขึ้นมาอ่านตรงนี้ได้
    เริ่มเลยครับ


    คุย ณ 17 พ.ย. 2555

    ผมแต่งเอาไว้แล้ว 3 ตอน จึงอาจจะมาเร็วกว่าปกติครับ


    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ muek9999 อ่านกระทู้
    เจิมๆครับ แนวนี้น่าสนใจและน่าติดตามมากครับ

    ถ้าตามความคิดเห็นส่วนตัวของผมแล้ว ผมว่าน่าจะใส่จุดหักมุมไว้เยอะๆนะครับ ฮ่าๆๆ ให้คิดตามๆกัน
    ผมใส่แน่นอนครับ และมันน่าจะหักมุมพอนะ

    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ lnwbussa02 อ่านกระทู้
    สนุกดี ครับ ที่จะบอกคือเนื้อเรื่องดีแล้วครับแต่อยากให้ จัดเรียง บ้างประโยค์ อะครับ มันดูขัดๆ กันอะครับ
    เออ มีที่อยากถาม นี้เป็นแนวเดินเรื่องบุคคลเดียว หรือป่าว ครับ ถ้า ใช้ ผมอยากให้ลอง อ่าน BANGKOK OF THE DEAD นะ ครับ บ้าง ที่อาจจะช่วยจุดประกายอะไรได้บ้าง เรื่องผม ชอบมากเลย
    เรื่องของ คุณ สนุกไม่แพ้กันเลย ครับ
    มีสองคนครับ เพื่อไม่ให้น่าเบื่อเกินไป
    และขอขอบคุณเรื่องคำแนะนำครับ


    โอเคผมตัดสินใจละ ผมเรียงบรรทัดดีกว่า
    ผมคิดว่ามันทำให้อ่านยาก


    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ stech123 อ่านกระทู้
    สนุกมากเลยครับ อย่าเพิ่งรีบจบนะ สู้ๆๆมาเป็นกำลังใจให้ครับ
    แน่นอนครับ นี่ยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลย และขอรับกำลังใจนั้นครับ

    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ muek9999 อ่านกระทู้
    ต่ออีกหน่อย

    ถ้าท่านใส่รูปตัวละครในตอนแนะนำตัวอะไรอย่างงี้หรือจะทำบทแนะนำตัวไว้ตอนแรก คนอ่านจะรู้สึกสนุกและจินตนาการไปรเพลินๆได้เยี่ยมเลยครับ
    ถ้าท่านใส่รูปสถานที่ในแต่ละเหตุการณ์ลงไปด้วย ผมว่าจะเพอร์เฟคมากเลยครับ
    นิยายของท่านจากที่ผมอ่านแล้วรู้สึกสนุกมากครับ ทำมาเยอะๆนะครับ อยากอ่านต่อ...
    โอ้ว มันเป็นคำแนะนำที่พระสงฆ์มากครับ ผมจะทำดูครับแต่คงต้องใช้เวลาหน่อย
    และรูปเหตุการณืผมจะลองหาดูครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ


    สังเกตุดีๆ ผมล้อเกลนจาก the walking dead ด้วยนะ



    ฟังเพลงนี้ไว้นะครับ จาก 28 Weeks Later
    พออ่านถึงฉากหนีก็อยากให้นึกถึงเพลงนี้
    ได้ฟีลมากๆเลยครับ


    คุย ณ 18 พ.ย. 2555

    งานนี้คงรอ บทที่6-7 นานหน่อยนะครับ

    คุย ณ 8 ม.ค. 2556

    ขอขอบคุณทุกคนที่มาเป็นกำลังใจให้มากครับ
    ที่ผมลงบทใหม่ช้าเพราะ
    1. สอบ
    2. ติดเรื่องการบรรยาย
    แต่พอเห็นกำลังใจจากทุกคน ก็ใจชื้นเป็นกองเลยครับ


    สำหรับบทที่ 10 ขอขอบคุณ
    Who do you voodoo - Sam B
    Afterlife - Avenged SevenFold


    ไอชื่อเรื่องที่มันไม่ถูกตามหลัก ผมแถเป็น
    "The World (have) Cold Day"
    ได้ไหมครับ แบบไม่้ใส่ (have)
    เพราะยังไงมันก็น่าจะเข้าใจอย่างนั้นได้ไม่ค่อยยากเย็น(มั้งนะ)
    ฮ่าฮ่า


    คุย ณ 9 มกราคม 2556

    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ ╬AVENGER╬ อ่านกระทู้
    เย้ ๆ บทที่ 10 มาแล้วววว *-* นั่งเฝ้าเลยนะเนี่ย 555+
    เป็นกำลังใจต่อให้คร้าบบบ


    อ่านแล้ว เสพติด ต่อครับ ต่อๆ

    มี เลิฟซีนบ้างเป็นไรป่ะนี่ 5555 อยากให้มีเล็กน้อย พอประมาณ เพื่ออรรถรสในการอ่าน 555+
    ก็มีนิดหน่อยครับ
    แต่พอเขียนแล้ว
    มันอเนถอนาถใจยังไงไม่รู้


    คุย ณ 5 กุมภาพันธ์ 2556

    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ topten002 อ่านกระทู้
    จะเลิกแต่งต่อแล้วหรอครับผมกำลังรออ่านอยู่เลยอะ

    โอ้ ไม่หรอกครับ ใกล้จะเสร็จแล้ว
    มันต้องรอพลังอาร์ต หายไปนานแต่ก็ไม่เลิกแน่นอน
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย black jack sdppd : 5th February 2013 เมื่อ 19:21
    3 Coins DPP

  13. รายชื่อสมาชิกจำนวน 5 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  14. #8
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818

    บทที่ 3 หลุดเดี่ยว

    มันนอกเหนือการคาดหมายที่จะรับได้ มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ เชื้อผ่านทางการคมนาคมงั้นเหรอ มันไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
    ผมเดินออกจากห้องปฏิบัติการณ์ไปยังห้องเก็บอาวุธของป้อมซึ่งถือว่าเยอะและหลากหลายพอสมควร ผนังรอบห้องติดปืนหลายชนิดเอาไว้ แต่ก็ถูกหยิบไปใช้แล้วส่วนมาก ที่โต๊ะมีเกราะแขนและสนับแข้งสีดำที่เหมือนจะทำจากเคฟล่าไม่ก็พลาสติกกับปูนนิดหน่อย เมื่อพินิจดูแล้วมันมีรูปร่างที่เท่อยู่เหมือนกัน ผมหยิบเอามาสวมไว้จากนั้นก็หันไปเลือกอาวุธ ผมเลือกปืนเอ็มสี่เอหนึ่งที่ปรับแต่งแบบซอปมอด มีศูนย์เล็งแบบสโคปติดอยู่และมีกริปหรือที่จับสีดำด้วย มันเป็นปืนที่ไว้ใจได้ ผมหยิบซองกระสุนมาอีกสามซองและเสียบไปในกระเป๋าของเสื้อเวสท์ ผมหยิบปืนยูเอสพีที่วางไว้บนโต๊ะและยัดมันลงไปที่ซองปืนที่ข้างขา ถือเป็นการเสร็จสิ้นการแต่งตัว ผมเดินออกไปข้างนอกแล้วหยิบแจ็คเกตทหารที่ใส่ก่อนหน้ามาสวมอีกครั้ง
    ผมวิ่งขึ้นไปบนป้อมเสียงยิ่งดังมากขึ้นเรื่อย ผมวิ่งไปยืนข้างๆเดนนิสที่กำลังยิงเหล่าซอมบี้ด้วยปืนเอ็มสี่เช่นกัน เสียงสว่างแปลบปลาบมาจากรอบข้างๆ
    “เหมือนกับวันวานเลยนะ” ผมตะโกนใส่หูเขา เขาไม่ละสายตาจากศูนย์เล็ง
    “วันวานมันยังไม่มีคนตายเดินได้นี่หว่า” เขาตะโกนบอก ผมยิ้มแล้วหันไปผมตะโกนปลุกความฮึกเหิมให้ตัวเองและคนรอบข้าง
    “ยิงมันเลย” ผมตะโกนสุดเสียง
    “ฮูรา”
    เสียงเหล่าทหารตะโกนก้องราวกับจะแข่งกับเสียงคำรามของเหล่าซอมบี้กระหายเลือดที่วิ่งมาอย่างบ้าคลั่ง
    ผมก้มตามองผ่านศูนย์เล็งตอนนี้ซอมบี้อยู่ห่างจากป้อมไปแค่ไม่กี่สิบเมตรและคงจะมาถึงในอีกไม่ช้า ในคลื่นซอมบี้นั้นมันสะดุดตัวที่ถูกยิงล้มกันไป แต่เหมือนจะลุกขึ้นมาได้ทันที
    ผมสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อจับเป้าที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ผมไล่ตามการเล็งหัวทำให้คืออีกอุปสรรค ผมปรับปืนเป็นระบบเซมิ ออโต้แล้วลั่นไกออก กระสุนัดแรกพุ่งไปโดท้องของตัวข้างหลัง ผมลั่นอีกนัดอย่างรวดเร็วซึ่งมันพุ่งไปโดนหัวของตัวเป้าหมาย ผมเลือกเป้าหมายใหม่และยิงเข้าไปอีก พวกมันร่วงลงไปและถูกกลืนหายไปกองทัพนั้น
    ซอมบี้วิ่งมาชนกับกระสุนปืนจากรถฮัมวี่สี่คันข้างล่าง ที่เหมือนจะสาดกระสุนแบบไม่หยุดหย่อน ซึ่งช่วยชะลอคลื่นมหึมานั่นได้
    แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้เมื่อร่างนับหลายร้อยร่างได้ถาโถมเข้ามาใส่ป้อม พลปืนสติแตกกระจายพยายามทิ้งป้อมปืนและกระโดดออกจากตัวรถแต่ก็ถูกมือมากมายคว้าหายไป อีกคนพยายามจะพุ่งรถออกไปแต่ก็ไม่สามารถจะฝ่าออกไปได้ เหล่าซอมบี้พังกระจกหน้ารถเข้าไปกัดกิน ภายใต้เสียงคำรามนั้นมีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมา อีกสองคนที่เหลืออยู่ที่ป้อมจนถึงวาระสุดท้าย เป็นภาพที่หน้าหดหู่
    ตอนนี้ไม่ต้องเล็งหัวแล้ว ผมยิงกราดลงไปข้างล่าง ส่ายแขนไปมา ให้พวกมันได้ชิมกระสุนกันอย่างทั่วถึง รู้สึกโกรธแค้นแทนทหารสี่นายนั้น ผมหยุดยิงเพื่อเติมกระสุนขณะที่ปลดซองกระสุนจากปืน ผมมองลงไปข้างล่างป้อม พวกมันใช้รถเพื่อเป็นฐานปีนขึ้น สองมือเน่าๆตะเกียกตะกายไขว่คว้าที่ยึดเพื่อปีนขึ้นมาไม่ก็ใช้ทั้งสองมือไขว่คว้าเป้าหมาย จนบางตัวลืมที่จะปีน ตกลงไปในฝูงคลื่นซอมบี้ ปากแยกเขี้ยวโหวกเหวก เสียงร้องดังพอจะสู้เสียงปืน
    หน้าเต็มไปด้วยเลือด ไม่น่าเชื่อว่า พวกนี้เคยเป็นคนมาก่อน
    ผมเติมกระสุนแล้วกลับไปยิงต่อ ข้างๆ เอ็ดดี้ยังกราดกระสุนไม่ยั้ง ทหารหลายนายก็เช่นกัน บางคนหัวเราะด้วยความสะใจ มุมป้อม พลซุ่มยิงใช้ปืนมาร์คหนึ่งหนึ่งศูนย์คอยยิงอย่างไม่ว่างเว้น แทบไม่ต้องหยุดเล็ง
    อ้ากกกกกก !!! เสียงร้องของมนุษย์ดังขึ้นจากทางซ้ายของผม เมื่อหันไปดูก็พบว่า
    ซอมบี้ตัวหนึ่งล้มทับนายทหารไว้และฝังเขี้ยวลงบนแขนเขา นายทหารกรีดร้องสุดชีวิต มันฉีกเนื้อเขาออกมา ผมหันกลับไปยิงซอมบี้ตัวนั้น
    ขณะที่ทหารหนึ่งนาย ดึงมันออกมา และอีกหนึ่งนายไปปฐมพยาบาลเพื่อนที่นอนชักดิ้นชักงอ ผมกับเอ็ดดี้ มองหน้ากันสิ่งที่เขาเคยบอก แวบเข้ามาในหัว
    "แค่ 20 วินาที นายจะเป็นเหมือนพวกมัน"
    "อย่าาาา !!!!" ผมและเอ็ดตะโกนพร้อมกัน แต่ไม่ทันแล้วทหารที่ถูกกัดนิ่งและพุ่งไปกัดเพื่อนที่ปฐมพยาบาลเขา เกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายบนป้อม เอ็ดดี้ปลิดชีพอดีตทหาร แต่แน่นอนเหล่าซอมบี้ ข้างนอกไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว
    มันมาถึงป้อมแล้ว และมันมาถึงผมแล้วด้วย มีตัวหนึ่งพุ่งล้มทับผม
    "ไม่" ผมร้องพยายามผลักมันออกไปโดยสัญชาติญาณ ผมยกแขนขึ้นป้องกัน และมันกัดผม ผมส่งเสียงร้องแต่ไม่เจ็บเลย
    เมื่อดูมันกัดลงปลอกแขน ผมใช้อีกมือ ชักปืนพกออกมาขณะที่มันกำลังเคี้ยวแขนอย่างเมามัน ผมหลับตาปิดปาก แล้ว
    ปังงงงงง
    เลือดกระเซ็นโดนหน้าแต่ผมแค่เช็ดออกมันก็หายไป
    "ไหวมั้ย" เอ็ดถามพร้อมพยุงผมขึ้น ผมเซเล็กน้อย พยายามตั้งตัวให้ตรง
    "ไม่ไหวแล้ว เอ็ด นายบอกทหารให้หนีซะ ป้อมแตกแล้ว" ผมบอกเอ็ด พยักหน้า ผมยิงซอมบี้อีกสองตัวที่พุงมาหาเราทั้งคู่ ผมกับเอ็ดช่วยตะโกน
    "ป้อมแตกแล้ว หนีไป หนีไป ป้อมแตกแล้ว" ทหารเหมือนจะรับรู้เขาทิ้งจุดประจำการ และรีบวิ่งลงบันไดกันชุลมุน
    "นายจะช่วยฉันยันพวกนี้มั้ย" ผมถามเอ็ด เขาพยักหน้า นี่สิเพื่อนตาย ผมเก็บปืนพกและคว้าปืนเอ็มสี่ที่ตกมาและกราดใส่พวกซอมบี้ที่วิ่งเข้ามา ตอนนี้เราไปอยู่ที่มุมบันไดมุมเดียวกัน ผมและเอ็ด ปล่อยกระสุนหลายนัดถูกหัวซอมบี้ที่วิ่งเข้ามาหลายตัว ผมหันหลังไปดูว่าทหารลงหมดรึยัง
    "เอ็ด นายลงไปก่อน" ผมพูดขณะที่เปลี่ยนซองกระสุน เอ็ดพยักหน้าและหันหลังก้าวในมือยังยิงปืนอยู่
    ตอนนี้ระยะห่างระหว่างผมและพวกมันคือ 3 เมตร ผมปาระเบิดใส่พวกมัน และตามเอ็ดไป ปิดประตูทันก่อนที่เสียงระเบิดจะดังมา ผมเลยไม่มึนเท่าที่ควร
    "ไปที่ฮัมวี่ เร็ว!" ผมตะโกน พลางชี้มือไปข้างนอก เอ็ดพยักหน้าและรีบลงไป ผมรีบตามลงไป ในใจคิดแต่จะหนี
    ไม่เอาแล้วโว้ย ฝันร้ายชัดๆ นี่ผมยิงมันไปกี่ตัว สายตามันไม่ได้มีความกลัวเลยสักนิด ผมลงบันไดมาเรื่อยๆจนตอนนี้ห่างจากพื้นราว 2 เมตรครึ่ง ผมจึงกระโดดจากบันไดขั้นบนไปจนถึงขั้นสุดท้าย แล้ววิ่งไปที่รถพร้อมเอ็ดดี้ ข้างหน้าเป็นสะพานไม้ที่รองด้วยปูนขนาดใหญ่สูงจากพื้นกว่า 15 เมตรเพื่อเชื่อมเข้าเมืองเลควิว
    ตึงงงง เสียงประตูป้อมดังขึ้น ผมหันไปมองประตูพังแล้วซอมบี้มากมายวิ่งกรูกันออกมาจากทางนั้นเบียดเสียดกันตกบันได แต่อีกหลายตัวที่ลงมาจากบนสุดของป้อมตกลงมาบนพื้นเหมือนฝน เสียงพลั่กๆ ดังอย่างต่อเนื่อง ผมรีบวิ่งไปขึ้นรถจิ๊ปสีดำ นั่งข้างเอ็ดซึ่งเป็นคนขับมีนายทหารถือเอ็มสิบหกสองคนอยู่ข้างหลัง ผมจึงต้องรีบบอกให้เขาเตรียมพร้อม
    "นายทั้งสองคนชื่ออะไร ทหาร" ผมถามตามมารยาท หันหน้าไปทางคนทางซ้าย
    "เอลวิ่นครับ" คนทางซ้ายของผมพูด เสียงสั่นเล็กน้อย ผมหันไปทางขวา
    "แซนครับ" เขาตอบ
    "เอาล่ะ เอลวิ่น แซนดี้ มันกำลังลงมานายเตรียมอาวุธให้พร้อมนะ บอกหน่วยอื่นด้วย"
    "ครับผม" ทั้งสองพูดและไปคุยกับวิทยุสื่อสารขนาดเล็กหรือวอล์คกี้-ทอล์คกี้
    "เอ็ดทำไมรถยังไม่ติดวะ คันอื่นไปกันหมดแล้วนะ" ผมถามน้ำเสียงรำคาญเพราะคันอื่นออกไปทางสะพานหมดแล้ว
    "ไม่รู้โว้ย" เอ็ดตอบมือบิดลูกกุญแจอยู่ เออ ขอบใจนะ
    เลควิวตะวันตกนั้น หลังจากผ่านป้อมมาแล้วจะมีสองทาง ทางแรกจะเป็นถนนเข้าเมือง
    อีกทางจะเป็นสะพานไม้ ที่ผ่านการปรับปรุงมาหลายสิบปีแล้ว เป็นทางไว้ไปท่าเรือ
    "เอางี้นะ เดี๋ยวฉันจะไปเข็นรถแล้วนายค่อยเหยียบครัทช์นะ" ผมพูดพลางกลืนน้ำลาย เอ็ดด้วย
    "ถ้างั้นก็รีบๆ เข้า" เอ็ดบอก ผมกระโดลงจากรถ ไปข้างหลัง แล้วก็เข็นรถทันที
    "เยี่ยม ดีน ใกล้แล้ว" เอ็ดตะโกน มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก
    "ระวังครับ" เอลวิ่นตะโกน
    ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง เอลวิ่นยิงข้ามหัวผม ถึงตอนนี้แซมมายิงด้วย
    "มันมาแล้วครับ" ทั้งสองตะโกนบอก แม่เจ้าโว้ย ตอนนี้ผมเข็นถึงสะพานแล้วนะเนี่ย คาดว่ามันห่างไม่ไกลแล้วจากผมแล้ว เสียงคำรามที่ก้องในหู ดังขึ้น
    บรืนน บรืนนน เสียงจากสวรรค์ดังขึ้น ผมปล่อยมือ วิ่งทันทีสับเท้าถี่ที่สุด
    "เอ็ดรอด้วย" ผมตะโกนเอ็ดชะลอรถ ผมพยายามวิ่งแซงแต่
    ครืนนนน ครืนนน
    เสียงขนาดยักษ์ดังขึ้น เท้าเริ่มลอยกับพื้น รู้สึกหัวใจหยุดเต้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกโหวงเหวง เสียงตะโกนดังในหัว เศษไม้ลอยมาชนหน้า รู้สึกว่าโลกไม่เท่ากัน รู้สึกว่ากำลังบิน ตัวนอนขนานกับอากาศ
    ไม่ นี่ผมกำลังตกนี่ !!!


    1 ชั่วโมงผ่านไป.....

    เดนนิส ฟริสท์แมน นั่งสัปหงกอยู่บนโซฟาในที่นั่ง ห้องรับแขกขนาดใหญ่ของเรือสำราญหรู ทั้งห้องตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์รูปปลาโลมา มีโคมไฟระย้าห้อยอยู่เหนือหัว มีความวิจิตรในการตกแต่งสูง เขาจึงปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความสวยงาม พูดง่ายๆคือหลับนั่นเอง
    ในระหว่างที่กำลังขนย้ายคนสู่เรือสิบลำ ในหัวเขาคิดแต่คำพูดของ ดีน
    "ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ถ้าอยากจะขอโทษก็ทำสิ่งนี้แหละ" รู้สึกช็อคเล็กน้อย ความจริงแล้วแม้จะพึ่งพบกันแต่เขานับถือ เคน ไทเลอร์ มาก การได้เห็นสายเลือดของวีรบุรุษทำให้เขาตื่นเต้น แม้ ดีน จะยังไม่ได้ชื่อว่าวีรบุรุษ แต่ด้วยท่าทีแล้ว ความเข้มแข็งทำให้เขานับถือดีน อย่างเต็มที่
    "หือ--" เขาสะดุ้งตื่น ส่ายหัวด้วยความงัวเงีย พยายามมองสิ่งที่สะกิดตนให้ชัด
    "โอ๊ะ ต้องขอโทษด้วยครับ เราแค่อยากขอบคุณน่ะครับ ที่ช่วยครอบครัวของผม ถ้าไม่ได้คุณพวกเราคงตาย" เสียงชายหนุ่มพูด มีลูกและภรรยายืนมองอย่างชื่นชม
    "โอ้ ไม่เป็นไรหรอกครับ มันเป็นหน้าที่" เดนนิสบอก น้ำเสียงเหนียมอาย
    "แต่ก็จริงนะครับ ถ้าไม่มีคุณและทีมของคุณ ป่านนี้พวกเราคงนอนเป็นอาหารของมันแล้วล่ะ" ชายอีกคนพูดเสียงดังหวังให้คนอื่นได้ยิน ท่าทางดูชื่นชมเดนนิส
    เดนนิสและทีมยืดเล็กน้อย แต่ในเรือก็ยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศหวาดหวั่นมีบางคนนั่งฟุบหน้าร้องไห้อยู่กับโต๊ะ เพราะไม่สามารถจะช่วยพ่อ แม่ที่แก่เฒ่าของตนเองได้ พวกท่านหวงบ้านไม่ยอมจากไปไหน เดนนิสเห็นบางคนทุบบุพการีของตัวเองจนสลบและช่วยกันแบกมา
    แต่ก็มีบางคนไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ อาจจะเป็นเพราะท่านเสียแล้วหรือไม่ก็มาจากที่อื่นไกล สำหรับคนที่มาจากที่อื่นมีสีหน้ากังวลกระสับกระส่าย บางคนโทรศัพท์กันจ้าละหวั่น แต่กระนั้นก็ยังมาชื่นชมเดนนิสอยู่
    "คุณกับทีมนี่ วีรบุรุษชัดๆเลย" อีกคนพูด เดนนิสตาโต ไม่เคยมีใครชมเขาว่าวีรบุรุษมาก่อน นั่นทำให้เขาจุดประกายบางสิ่ง เขาเดินไปพูดกับ เชฟ ลูกทีมที่สนิทที่สุด ซึ่งกำลังดื่มเบียร์กับคนอื่นที่โต๊ะบุฟเฟ่ต์
    "ฉันว่า ฉันอยากไปช่วยเหลือคนต่างๆทั่วโลก" เขาเอ่ย หน้าตาจริงจัง
    " พูดเป็นเล่นน่า เดนนิส เราเอาชีวิตรอดมาได้แล้วนะ จะไปเสี่ยงทำไม" เชฟว่าคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย
    "ไม่ใช่เรื่องตลกนะ" เดนนิสขึ้นเสียง ทีมเขาเงียบ "คนพวกนี้ต้องการความช่วยเหลือ"
    “โธ่ ไม่เอาน่า จะหาเรื่องใส่ตัวทำไม เราสบายแล้วนะเพื่อน อีกอย่างนะ คนพวกนี้เขาเอาตัวรอดเองได้ มันต้องมีสักคนแหละจับอาวุธและปลุกระดมชาวบ้าน" เชฟตอกกลับ แม้เดนนิส ไม่อยากยอมรับ แต่เชฟก็ถูก
    "มันเป็นหน้าที่ของเรานะ ถึงยังไงเขาด็ต้องเรียกตัวเราไปใช้อยู่ดี" เดนนิสแย้ง
    “สงสัยนายจะลืมแล้วมั้งว่าก่อนจะเกิดเรื่องบ้าๆนี่ นายทำอะไรอยู่” เชฟพูดจี้ เดนนิสมองหน้าเชฟอย่างไม่สะทกสะท้าน
    ก็เราได้คำสั่งใหม่แล้วนี่” เขาว่า ทุกคนเงียบ “ใครอยากจะร่วมมือกับฉันบ้าง" เดนนิสถามกวาดสายตาไปรอบๆ ไม่มีใครตอบอะไร
    "ดี" เดนนิสกัดฟันกรอด


    ผมเดินฝ่าความมืด ไปในพงไพรแสนกว้างของเลควิว แสงไฟไหม้จากป้อม ยังอยู่ไม่จางหาย ด้วยความเหนื่อ ผมไปนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
    ทันใดนั้นเสียงครางดังขึ้น ผมหันไปเจอเข้ากับใบหน้าเน่าๆที่พอมองออกว่าคือใคร นั่งคอยอยู่
    "เอ็ดดี้" ฉับพลันร่างของเอ็ดพุ่งมาที่ตัวผมและฝังเขี้ยวลงบนต้นแขน
    "อ้ากกกก ! " ผมสะดุ้งตื่น ส่ายหัวงัวเงีย แขนขยับไม่ได้ มองไม่เห็นอะไรในความมืด เมื่อผงกหัวขึ้น ก็ต้องส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ ผมชนกับอะไรบางอย่าง ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ผมก็เลยดิ้นด้วยความอึดอัด ออกแรงแขนสุดแรง อากาศเริ่มอุดอู้ หายใจเริ่มลำบาก นี่ผมอยู่ที่ไหน เอาผมออกไปที ผมดิ้นมากกว่าเดิม พยายามออกแรงที่แขน จนมีบางสิ่งขยับ
    ใช่แล้ว มีอะไรทับตัวผมอยู่ ผมออกแรงมากกว่าเดิม จนแขนขวาขยับได้แล้ว วัตถุบางอย่างหล่นลงไป
    แสงส่องเข้ามาแสงสีเทาเหมือนแสงของดวงจันทร์ เสียงครางดังขึ้น ซวยแล้ว ผมดึงอะไรก็ตามที่อยู่เหนือผม โดยใช้มือขวาขว้างออกไปข้างนอก จนตอนนี้ผมสามารถพยุงลำตัวขึ้นได้แล้ว แต่ยังติดที่ขาและแขนซ้าย เสียงคำรามดังขึ้น ผมมองไปข้างหน้าเห็นซอมบี้ตัวหนึ่งใส่ชุดสโมสรเชลซีเปื้อนเลือดเดินกะเผลกเข้ามา
    เนื้อส่วนหน้าถูกขูดหาย ขางออย่างน่ากลัว กระเสือกกระสนพยายามวิ่ง ผมรีบดึงแขนซ้ายมา ใช้มือขวาหยิบเศษไม้ออก จนดึงแขนซ้ายออกมาได้ แต่ถูกเสี้ยนขูดจนเลือดออก
    ผมเอี้ยวตัวไปด้านหลังพยายามยกเศษไม้ออก รู้สึกถึงเสียงที่ใกล้เข้ามาทุกที ผมผลักไม้ออกไปแล้วใช้ขาถีบ เวลาเดียวกับที่ซอมบี้ยื่นมามาจับที่ไหล่ผมและยื่นหน้ามาหมายจะฝังเขี้ยวที่คอ ผมศอกหลังไปด้วยแขนซ้าย มันเซไปข้างหลังตามแรงกระแทก เมื่อขาผมหลุด ผมม้วนหลังลงจากเศษไม้ที่กองทับกันลงไป แล้วตั้งหลัก ซอมบี้ตัวนั้นหันมามองผมแล้วพุ่งเข้ามา ผมวิ่งเข้าไปพร้อมชักมีดที่เสียบไว้ในปลอกที่อกออกมาแล้วสวนเข้าไปในตามัน มันแน่นิ่งทันที
    เสียงครางอีกเสียงดังจากข้างหลัง ผมคว้าไม้ขนาดใหญ่ข้างหน้า เดินลงจากกองเศษไม้แล้วฟาดไปที่พวกมันเต็มแรง มันล้มลงทันที สมองไหลอย่างน่ากลัว
    ผมเบือนหน้าหนี ก็พบหลายร่าง นอนแผ่ราบในทางป่าใต้สะพาน ซอมบี้หลายตัวกำลังเดินโซเซอยู่ข้างหลัง ทุกตัวขากะเผลกหมด บางตัวคลานอยู่ตามพื้น
    อืม ผมตกสะพานแล้วพึ่งฟื้น ผมคิดขณะที่เงยหน้ามองข้างบน พบสะพานหักครึ่งซีกลอยค้างอยู่ อีกครึ่งซีกแหลกอยู่บนพื้น
    จะปีนเขากลับทางเดิม ก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเพราะหน้าผาชันใช่เล่น จากตอนแรกที่โชคช่วยให้รอด ถ้าปีนก็คงจะต้องมานอนหงายแน่ๆ ความสูงมันตั้ง 15 เมตร
    ผมหันไปดูเศษไม้ที่ผมเคยนอนอยู่ มันกองรวมกันสูงๆ เป็นเบาะที่ไม่ค่อยดีนักให้ผม
    ผมรีบออกเดิน ไปทางซ้ายจากฝั่งทางเข้าเมือง รอบข้างเป็นดอกไม้หรือไม่ก็พุ่มไม้ ฝั่งตรงข้าคือป่า ไม่รู้ว่าเป็นความคิดที่ถูกหรือผิดที่เลือกเดินไปทางนี้ ในใจคิดถึงพรรคพวก ว่าเขาสบายดีหรือไม่
    ตามทางเดินผมได้ยินเสียงกรอกแกรกอยู่ข้างหลัง มือชักปืนเตรียมพร้อม ใส่ที่เก็บเสียงอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ไม่ว่ามันจะเป็นสัตว์ คน หรือซอมบี้ แต่ผมไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
    ผมออกแรงวิ่ง วิ่งไปเรื่อยๆ อย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปจนจุกงอตัวเอามือยันกับเข่า หายใจหอบแฮกๆ หัวใจเต้นแรง
    เมื่อใจเริ่มเย็นลง ก็เงยหน้าพบกับทางขึ้นหมู่บ้านชันๆ ใช่เป็นทั้งทางขึ้นและทางลงของพวกนายพราน ที่มาล่าสัตว์
    ผมปีนขึ้นไปอย่างทุลักทุเล พบกับหมู่บ้านที่เงียบสงัด
    "พวกมันไปแล้ว" ผมกระซิบกับตัวเอง รีบเดินโซเซไปที่บ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง ไม่ใหญ่เท่าไหร่ แต่ก็พอเป็นที่หลบภัยได้ ประตูไม่ได้ล็อค
    อันที่จริงมันเปิดอ้าซ่าไว้แล้วต่างหาก ผมเปิดไฟในบ้าน ไม่ห่วงว่าไอพวกกินเนื้อสดจะเห็น ข้าวของในห้องรับแขกกระจุยกระจาย ผมรีบปิดประตูเอาเก้าอี้มากันเอาไว้
    ผมเดินสำรวจไปเรื่อยๆ กลัวว่าจะมีตัวอะไรพุ่งออกมาจากในห้อง ผมเดินไปในโถงทางเดินแคบๆ
    เจอห้องแรกเมื่อเข้าไปเป็นห้องนอน เป็นห้องของสามีภรรยาคู่หนึ่ง สังเกตุได้จากรูปถ่าย เสื้อผ้าหายไป เจอเงินตกอยู่ผมรีบเก็บเผื่อจะใช้ได้
    เดินไปอีกห้องข้างๆ ผมได้ยินเสียงครางดังขึ้น ได้กลิ่นคาวเลือด ผมชักปืนพร้อมที่เก็บเสียงออกมา เปิดประตูห้องช้าๆ ไฟค้างอยู่เมื่อมองไปที่พื้น ผมก็ต้องตะลึง
    "แม่เจ้า" ร่างอ้วนๆร่างหนึ่งที่โดนแทะจนไม่สามารถดูหน้าได้ ลูกตาหลุดไปข้าง จมูกถูกกัดจนแหว่ง แก้มหายไป จนเห็นฟันและเหงือกชัดเจน
    ผมเหลือบไปเห็นรูปหญิงชราซึ่งน่าจะเป็นซอมบี้ตัวนี้ กับไอสารเลวที่น่าจะเป็นลูกของเขา ลูกที่ทิ้งแม่ตัวเองไว้
    "ขอโทษนะยาย" แล้วผมก็จัดการลั่นไกไปที่หัวของหญิงชรา ร่างนั้นนอนแน่นิ่ง ผมเดินไปห้องครัว
    เจอไม้เบสบอลตกอยู่ ผมหยิบมาลองทดสอบว่าเข้ากับมือหรือไม่ เราจะใช้ปืนไปตลอดไม่ได้ แล้วผมก็เกิดความคิดตลก ว่าน่าจะเอาตะปูมาใส่กับไม้เบสบอล ผมเคยเห็นเพื่อนในกรมผมเอามาโชว์
    เมื่อหันไปที่ประตูครัวก็ต้องอดหัวเราะไม่ได้ เพรา ค้อนและตะปูนับไม่ถ้วนวางไว้ โชคดีแท้ๆ
    ผ่านไปหลายอึดใจผมนั่งบนเก้าอี้ ชื่นชมไม้เบสบอลตะปูของตัวเอง ผมเอาเชือกมาติดไว้เพื่อสะพาย
    ตอนนี้ต้องหาที่นอนด้วยแต่จะนอนที่นี่คงไม่เหมาะ เพราะกลิ่นมันยังตลบอบอวลอยู่ ผมดื่มน้ำเย็นชื่นใจ จากตู้เย็นและตัดสินใจ ออกเดินทางทันที เพื่อหาบ้านดีๆไว้พักผ่อน


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย black jack sdppd : 21st April 2014 เมื่อ 14:24
    3 Coins DPP

  15. รายชื่อสมาชิกจำนวน 9 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  16. #9
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818

    บทที่ 4 Last Man Standing

    "ฮ้าวว" ผมหาวปากกว้าง บิดขี้เกียจทั้งตัว มือขยี้ตา และทำเสียงแจ้บๆ เดินโซเซ ไปที่ห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้า เปิดก๊อก น้ำอุ่น ถูสบู่ให้ทั่วตัว
    ผมห่างจากบ้านนั้นมาประมาณ 3 หลังทุกหลังไม่มีอะไรที่ปลอดภัยแม้บางหลังจะไม่มีคนชราเลยก็ตาม แหม มันจะมีอะไรซะทุกบ้าน แต่ที่นี่เงียบล็อคประตูอย่างดี ผมคิดว่าพวกเขาคงไปพักร้อนพอดี ผมเปิดฝาแชมพูราดหัวและถูให้ทั่ว
    ไม่รู้ว่าเจ้าของจะรู้ไหมว่ามีคนแปลกหน้ามานอนในบ้าน ผมหัวเราะหึๆ เตียงที่นี่นุ่ม จนผมคิดว่าผมไม่ได้ฝันร้ายนะ ก็แค่เห็นพ่อตัวเองมาคุยด้วยแค่นั้นแหละ ผมเช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูที่ยังไม่ได้ใช้
    พวกท่านจากผมไปเมื่อผมได้ยศสิบตรี อายุประมาณสิบห้าได้มั้ง พันเอกเคน ไทเลอร์ แม้ท่านจะมีหน้าที่วางแผน แต่ก็หยิบอาวุธลงไปช่วย ส่วนอัลเลน แฮริส หรือ อัลเลน ไทเลอร์ แพทย์หญิงแห่งสงคราม ท่านไม่ได้แค่รักษาคนในป้อมแต่ท่านตามพ่อไป ลงไปในสนามรบ จะพูดว่าโง่ดีไหมล่ะ ถึงอย่างนั้นมีหลายคนที่รอดชีวิตเพราะแม่ของผมอยู่ถูกที่ถูกเวลา พวกท่านทั้งสองสิ้นลมพร้อมกัน ภายในอ้อมอกซึ่งกันและกัน อันหลังนี่ผมไม่แน่ใจนะ ได้ยินมาอีกที คือผมไม่ได้เห็นกับตาน่ะ แค่ได้ยินเพื่อนของพ่อเล่าให้ฟัง
    ผมใส่ชุดน้ำตาเริ่มปริ่มๆ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ตอนนี้ผมโหยหาพวกท่านเหลือเกิน หรือใครก็ได้พอเป็นเพื่อนคุย ตอนนี้ผมจะพักอยู่แค่ที่นี่จนกว่าเสบียงจะเหลือครึ่งและผมจะหอบเอาครึ่งนึงนั้นไปกบดานที่อื่นผมเช็คแล้วเมอร์ซิเดส เบนซ์ ยังใช้ได้อยู่ ผมมองไปรอบๆห้องแล้วถอนหายใจ อย่างน้อยที่นี่ก็มีคอมพิวเตอร์ชั้นดีล่ะนะ


    2 วันผ่านไป .....

    ผมนั่งอยู่ในบ้านบนเปล ขนาดเล็กแกว่งไปมาเสร็จศึกจากการเล่นเกม จู่ๆผมก็ได้ยิงเสียงอะไรขึ้นมา เสียงหวอๆเหมือนเสียงเตือนภัยรถ ผมวิ่งออกไปหน้าบ้าน เจอรถโฟล้คสีแดงมีแถบดำอยู่ตรงกลาง ขับมาด้วยความเร็วสูง ผมคว้ากล้องส่องทางไกลที่แขวนไว้หน้าบ้าน พบว่าไอ้หนุ่มเอเชียหน้าตี๋คนหนึ่งใส่หมวกแก็ปเป็นคนขับ
    "เห้ยเงียบๆหน่อยไม่ได้เรอะ !" ผมตะโกนถาม
    "ลื้ออ่ะ รีบหนีเหอะ" ไอ้หนุ่มเกาหลีหน้าตี๋ตะโกนกลับ ไรฟระหนีอะไรผมยืนงง ได้ไม่ถึงนาที รถตู้คันใหญ่ก็ผ่านผมไป ไม่สนุกแล้วเสียงรถของไอ้ตี๋นั่น จะพาพวกมันมาหรือไม่พวกเขาก็หนีมันมา
    ผมวิ่งเข้าไปในบ้านคว้ากระเป๋าสะพายมา วิ่งไปในครัวโกยอาหารแห้งใส่ เสื้อผ้าสองสามตัว ยัดเข้าไปในกระเป๋า ไปหยิบกุญแจที่หน้าทีวีซึ่งก่อนหน้านี้ ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการหา ผมคว้าชุดเกราะที่มีปืนเหน็บไว้ทั้งสองข้างแถมมีด และไม่ลืม
    "ไม้เบสบอลตะปู ไปกันเถอะ" ผมพูดกับไม้เดินไปที่โรงจอดรถ กดปุ่มเปิดประตูอัตโนมัติ เข้าไปนั่งสตาร์ทเครื่อง เปิดแอร์เข้าเกียร์แล้วรีบพุ่งรถออกไป มองไปนอกรถ ก็เจอพวกซอมบี้ฝูงใหญ่ วิ่งกันอย่างคึกคะนอง ตอนนี้มันถึงบ้านหลังแรกแล้ว
    ผมหักล้อไปทางซ้ายเพื่อเลี้ยวขวา แล้ววิ่งไปในทันที พวกมันบางตัวมาทันรถ แต่ก่อนที่มันจะได้แตะต้องรถผมก็ขับไปไกลแล้ว มองกระจกหลัง บ้าชิบ พวกมันยังวิ่งตามอย่างไม่ลดละ
    "ไปกินอะไรมาวะ" ผมอุทานหัวเสีย แล้วเร่งความเร็วสูงสุด แล้วผมก็นึกถึงไอตี๋คนนั้น
    ผ่านไปหลายชั่วโมง น่าเบื่อไม่มีแม้กระทั่งวิทยุ ทั่วโลกโดนโจมตีแล้ว ผมคิดเบาๆกับตัวเอง ชิ กองทหารอันแข็งแกร่งเจอกับพวกที่ไม่มีวันเจ็บก็ง่อยกระรอกอยู่ดี
    "ไปไมอามี่สิ ไอลูกชาย" เสียงหนึ่งดังขึ้นที่เบาะข้าง แม่เจ้า ! เป็นไปไม่ได้มีคนคนเดียว ที่เรียกผมไอลูกชาย
    "พ่อ" ผมพูดเบาๆโดยไม่ได้หันไปมอง กลัวเหลือเกินว่าเสียงนั้นจะตอบหกลับ
    "ไปไมอามี่สิ"
    "ม่ายยย" ผมตะโกนเบรกรถทันที หันไปมองพบชายหน้ากลม ผมเรียบเป็นแนวยาว ดูหล่อเหลา
    "เป็นไปไม่ได้ พ่อมาทำอะไร" ผมถาม
    "อะไรกัน" พ่อหัวเราะ"เป็นพ่อก็ต้องมาปกป้องลูกสิ"
    "แต่พ่อ" ผมกลืนน้ำลายไม่กล้าพูดออกไปคำว่าตาย เขาเหมือนจะรู้และตอบกลับมา
    "ไม่หรอก พ่อยังไม่ตาย" ผมจ้องมองพ่อตาค้าง สีหน้าตกตะลึง ไม่ตลกแล้วสิ อยู่คนเดียวในโลกแสนเงียบแค่สองวันทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้
    เพียะ! ผมตบหน้าแรงๆหนึ่งที แล้วหันไปเบาะข้าง ไม่มีใคร
    "แม่เจ้า ! พ่อ ทีหลังพา****าด้วยนะ" ผมอุทาน แล้วออกรถต่อ เลี้ยวหลังกลับใช้ทางอ้อมเข้าสู่ไมอามี่ทันที ไม่รู้ทำไมแต่ผมอยากไป
    ผมแวะปั๊มน้ำมัน หลังขับมาได้ครึ่งทาง ทีจริงผมควรจะเห็นพนักงานมาเติมให้ แต่คราวนี้ไม่มี คนหายไปไหนหมดแล้ว ในปั๊มมีรถสองคันจอดทิ้งเอาไว้ ผมไม่หาเรื่องใส่ตัวขนาดเข้าไปในมินิมารท แน่นอนถึงแม้จะหิวน้ำก็เถอะ
    "ในนั้นมีน้ำ" เสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างหลัง หลังจากที่ผมลงมาจากรถมาสำรวจปั๊ม
    ผมหันควับกลับไปก็เจอพ่อตนเองยืนเท้าสะเอวอยู่ ผมเข่าอ่อนล้มลงไป ส่ายหัวแรงๆหนึ่งที พ่ออกไปแล้ว
    ไม่รู้ยังไง แต่ผมว่าผมเชื่อพ่อหรือไม่ก็ตัวเอง สองเท้าย่างช้าๆเข้าไปในมินิมารท มือกำไม้เบสบอลตะปูไว้ เสียงครางดังมาแต่ไกล มันอยู่ในนั้น ผมเตรียมพร้อมขึ้น
    ขอขอบคุณชีวิตจริง ที่มันครางตลอดไม่ใช่เงียบๆแล้วโผล่มาข้างหลัง ขี้โม้ชะมัด ผมย่างสามขุมเข้าไป เห็นมันแล้วกำลังยืนเบลออยู่หน้าแผงถุงยางอนามัย ไอผีหื่น ผมย่อตัวลง เดินไปเงียบจนตอนนี้ อยู่ข้างหลังมันไม่ถึงสองเมตร
    มันหันมา แล้ววิ่งเข้ามา เปลี่ยนจากเสียงครางเป็นคำราม ผมรอมันให้มันมาหาเหมือนผู้เล่นเบสบอลรอลูก
    ผลัวะ ผมฟาดเต็มแรงมันตัวลอยล้มลง และถูกผมฟาดซ้ำไปอีกหลายที
    "สไตร์ค" ผมร้อง แต่เสียงคำรามยังไม่จบ ผมหันไปเจอซอมบี้อีกตัวมาจากไหนไม่รู้ ผมตกใจจนกระโดดถอยหลัง ส่ายหัวตั้งสติ แล้วหวดไม้ไปข้างหน้าเต็มแรง
    ผลัวะ !!! ซอมบี้ตัวลอยไปติดกำแพง ดีนะที่ผมออกกำลังกายไม่งั้นแขนเคล็ดไปแล้ว โอเคไม่มีเสียงครางหรือคำรามแล้ว ผมเดินไปที่ตู้น้ำคว้าตะกร้า แล้วหยิบขวดน้ำใส่ ผมหยิบขวดเล็กมาดื่ม เดินไปที่รถเปิดประตูหลังแล้วเทขวดน้ำลงไป เดินชิลๆไปที่ปั๊มแล้วเติมน้ำมัน
    หึๆ ไม่มีใครมาคุมก็งี้แหละ ผมหยิบถังน้ำมันข้างๆมาสามถังและใส่น้ำมัน เอาล่ะตอนนี้ผมได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ออกเดินทางกันต่อ
    ตอนนี้เอ็ด อาจจะไปถึงศูนย์ใหญ่นั่งสบายใจแล้วก็ได้


    "ร้อยโทวินด์เชสเตอร์ คุณทำอะไรอยู่" เสียงของพันเอกเจมส์ รอน ชายกำยำผิวเข้มเดินมาทัก ร้อยโทวินด์เชสเตอร์ ที่กำลังนั่งทำอะไรบางอย่างกลับเครื่องสื่อสาร
    ร้อยโทวินด์เชสเตอร์ ดูลุกลี้ลุกลน ยืนขึ้นทำความเคารพ
    "ผมกำลังตามหาร้อยเอกไทเลอร์ อยู่ครับ"
    "หล่นจากความสูงตั้งสิบห้าเมตร เขาไม่รอดแล้วล่ะ ถึงจะรอดแต่ก็ตกเป็นเหยื่อของผุ้ติดเชื้ออยู่ดี" ท่านพันเอกหัวเราะ
    "ถึงยังไงเขาก็สามารถเป็นกำลังหลักของเราได้นะครับ" ร้อยโทวินด์เชสเตอร์แย้ง
    ท่านพันเอกตบโต๊ะ "ผมก็อยากให้เขารอดเหมือนกัน เราไม่เหลือใครแล้ว" พันเอกรอน คำราม "แต่ถ้าเรายังยึดติดกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มันก็ไม่มีประโยชน์" ท่านพันเอกเดินจากไป
    ร้อยโทวินด์เชสเตอร์ พยักหน้าช้าๆ เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้น เขาหันกลับ ไปคุยกับไมโครโฟน
    "นี่เอ็ดดี้นะ ไม่ว่านายจะอยู่ที่ไหน นายสามารถติดต่อฉันได้ทันที ขอแค่นายเปิดวิทยุ นายจะสามารถติดต่อกลับมาได้ทุกเมื่อ และฉันจะไปช่วยนาย"


    ขับรถตอนมืดน่ากลัวจริงๆ นอกจากนั้นยังน่ากลัวจะหลับในด้วย ผมส่ายหัวไปมาขับไล่ความง่วง มือเอื้อมือกดวิทยุ ก็เจอแต่สัญญาณซ่า ผมเอามือคลำช่องเก็บของก็เจอแผ่นอะไรบางอย่าง หยิบขึ้นมาเป็นแผ่นดิสก์ธรรมดา เขียนว่า rock classic
    "โถ ไอสมองกลวงเอ๊ย" ผมหัวเราะกับตัวเองแล้วจัดการสอดแผ่นดิสก์เข้าไป
    เพลงแรกเริ่มต้นด้วย Rock You Like A Hurricane ของ Scorpions วงโปรดของพ่อ เมื่อนึกถึงมนุษย์ไม่ว่าใครก็ตามผมเริ่มซึม โหยหาสิ่งมีชีวิต
    ผมโยกหัวไปตามจังหวะเพลง ขยับนิ้วบนพวงมาลัย ร้องคลอไปตามทำนอง จนกระทั่งสังเกตถึงความมีตัวตนของอะไรบางอย่างที่เบาะผู้โดยสาร หัวโยกอย่างเมามัน
    "พ่อชอบเพลงนี้นะ" โอให้ตายเถอะ ผมรักพ่อนะ แต่เขาไม่ควรจะปรากฎตัว
    "พ่อรู้มั้ย ผมว่าผมควรจะนอนพัก พักกายและสมองให้หายเบลอ" ผมพูด
    "เอาสิ แค้มป์ข้างหน้าเป็นไง" พ่อพูดพลางชี้ไปที่แค้มป์
    "ก็ดีนะครับ" ผมจอดขวางหน้าเต็นท์ ส่วนหนึ่งก็เพื่อบังพวกซอมบี้ ผมลงจากรถ เดินสำรวจรอบเต็นท์ไม่มีอะไรเลย นอกจากรอยรถขนาดใหญ่ที่ขับออกไป ผมค่อยๆเปิดเต็นท์ช้าๆ ไม่มีใครนอกจากกล่องเบียร์เต็มขวด เยี่ยมผ่านเลย


    "ฮ่าๆๆๆ แกนี่บ้าชะมัดเลย ตอนที่เขาจะให้แกยิงปืน แกดันวิ่งหลบไปซะงั้น" พ่อผมโหวกเหวกอย่างมีความสุข เรานั่งดื่มเหล้ากันรอบกองไฟ เล่าเรื่องต่างๆ
    "ตอนนั้นผมยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แค่มีเสียงปั้ง แค่นั่นแหละ" ผมพูด
    "ก็จริง" พ่อยกเหล้าซดเข้าปาก แล้วครางออกมา
    "นี่พ่อ ทำไมพ่อถึงออกไปรบ" ผมถามจริงจังขึ้น รอยยิ้มพ่อหายไป
    "นั่นมันในช่วงสมรภูมิเลวร้าย พ่อต้องออกไปทำหน้าที่ ซึ่งแค่วางแผนมันไม่พอหรอก มันยังขาดคน แม่น่ะ พ่อห้ามเธอแล้วพูดสารพัดขนาดยกเรื่องลูกมาพูดแล้วยังไม่ฟัง เธอบอกว่า ลูกจะยิ่งใหญ่แบบพ่อของเขา" พ่อยิ้ม "ซึ่งพ่อว่ามันก็จริงหลังจากมาเห็น" พ่อลูบหัวผม "แกอดทนดี กลั้นน้ำตาเอาไว้ได้" ผมพยักหน้า ก้มลงกับพื้น
    "พ่อว่าลูกไปนอนเถอะ กินหนักขนาดนี้ เดี๋ยวก็ลุกไม่ไหวหรอก" พ่อเตือน ผมพยักหน้า เข้าไปในเต็นท์และล้มตัวลงนอน รู้อะไรมั้ย ผมว่าผมเมาแล้วล่ะ ชักมีดออกมาจับให้ด้ามหงายขึ้นเพื่อเตรียมตัวแทง เผื่อจะมีตัวอะไรพุ่งเข้ามา แต่ยังไงผมก็มีปลอกแขนและขาอยู่


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย black jack sdppd : 7th November 2013 เมื่อ 19:19
    3 Coins DPP

  17. รายชื่อสมาชิกจำนวน 9 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  18. #10
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    120
    กล่าวขอบคุณ
    17
    ได้รับคำขอบคุณ: 22
    สนุกมากเลยครับ อย่าเพิ่งรีบจบนะ สู้ๆๆมาเป็นกำลังใจให้ครับ

  19. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  20. #11
    "I Love Army"
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    ที่อยู่
    หนุ่ม สุ1000
    กระทู้
    733
    กล่าวขอบคุณ
    1,250
    ได้รับคำขอบคุณ: 209
    ผมพึ่งอ่านบนแรกอยู่เลยสนุกมาผมจะอ่านต่อนะครับ

  21. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  22. #12
    ถูกระงับใช้งาน (Banned)
    วันที่สมัคร
    Aug 2011
    ที่อยู่
    System of Live operation
    กระทู้
    2,025
    กล่าวขอบคุณ
    2,831
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,021
    ต่ออีกหน่อย

    ถ้าท่านใส่รูปตัวละครในตอนแนะนำตัวอะไรอย่างงี้หรือจะทำบทแนะนำตัวไว้ตอนแรก คนอ่านจะรู้สึกสนุกและจินตนาการไปรเพลินๆได้เยี่ยมเลยครับ
    ถ้าท่านใส่รูปสถานที่ในแต่ละเหตุการณ์ลงไปด้วย ผมว่าจะเพอร์เฟคมากเลยครับ
    นิยายของท่านจากที่ผมอ่านแล้วรู้สึกสนุกมากครับ ทำมาเยอะๆนะครับ อยากอ่านต่อ...

  23. รายชื่อสมาชิกจำนวน 3 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  24. #13
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818

    บทที่ 5 Welcome To Miami


    ผมขยับขาไปมาอย่างรำคาญ เพราะมีบางอย่างมาสัมผัส ได้ยินเสียงอะไรซักอย่างดังขึ้น ผมตื่นไม่เต็มตาพยายามมองทะลุความมืด เสียงครางอย่างงี้
    “เฮ้ย” ผมตกใจตื่น มือที่ถือมีดเหมือนถูกไฟช็อต เสียบเข้าไปในอากาศ นี่ผมฝันอีกแล้ว แต่มันเหมือนจะเป็นเรื่องจริงเสียงชัดมาก ผมลุกขึ้นตาสว่าง ได้ยินเสียงครางมากมายข้างนอก ลางไม่ดีเลย ผมค่อยๆรูดซิปเต็นท์ขึ้นช้าๆ ไม่เปิดมากแค่พอเห็นข้างนอก
    ใช่เลย พวกมันไม่น้อยกว่าสิบตัว เดินวนเวียนอยู่ข้างนอก ผมมองซ้ายมองขวาไม่พบทางที่จะรอด และดูเหมือนมันจะหยุดพักที่นี่ซะด้วย
    ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกปวดหัวและมึนเล็กน้อย เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้าผมไม่ดื่มเบียร์เมื่อวาน รู้แล้วว่าตัวเองคออ่อนแค่ไหน รู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างด้วย
    ดีน
    เสียงเรียกเบาๆดังขึ้นจากหลังเต็นท์ ไม่ผิดแน่ นั่นชื่อผม แถมเสียงนั่นยังคุ้นหูอย่างประหลาด ผมค่อยๆคลานจากหัวเต็นท์ไปหลังเต็นท์
    เฮ้ ดีน
    เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ผมรูดซิปเล็กน้อยแล้วหมอบลงดูผ่านช่องซิปเล็กๆ แต่มันมองไม่ชัดเลย ผมใช้มีดเจาะรูในความสูงระดับนั่ง ข้างหลังเกือบจะเรียกได้ว่าโล่ง มีหนึ่งตัวยืนมึนหน้าเต็นท์ ข้างหลังมีอีกตัว
    ดีน
    เสียงดังขึ้นอีกครั้ง ทางฝั่งขวา ผมใช้มีดเจาะทางฝั่งนั่น ตามทางต้นเสียง นั่น รถอยู่ตรงนั่น ข้างหลังหินขนาดใหญ่ บนถนน ห่างกันแค่ไม่กี่เมตร ผมต้องหาทางออกไปจากเต็นท์นี้ให้ได้ก่อน
    ผมถีบเต็นท์ฝั่งหลัง จนมันสะเทือน เกิดเสียงเล็กน้อย ผมมองดูลอดรู ซอมบี้ค่อยๆเดินมาแล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆ รูที่ผมเจาะไว้ เมื่อมันมาถึง ผมกะตำแหน่ง แล้ว
    ฉึก!
    ผมเสียบมีดทะลุเต็นท์เข้าไปในหน้าผากของมัน มันนิ่งไปในทันที ผมชักมีดกลับมา แล้วค่อยรูดซิปสูงขึ้นอีกนิด ซอมบี้อีกตังห่างไปอีกประมาณ 2 เมตรครึ่ง ผมย่องไปข้างหน้า หมายจะเสียบท้ายทอย แต่เท้าดันไปเหยียบเศษไม้จนเกิดเสียงดังกร๊อบ มันหันมา แล้วเห็นผม มันอ้าแกหมายจะคำราม แต่ผมพุ่งไปข้างหน้าอย่างไว ทำสิ่งที่ใจกล้าที่สุดคือใช้มือกดปากมันจนแล้วใช้น้ำหนักตัวกดทับมันและปักมีดเข้าที่กะโหลก มันนิ่งไปทันที ผมหันไปดูข้างหลัง โอเค พวกมันยังไม่รู้ตัว มือที่สกปรกเลอะคาบ ถูไปกับเสื้อของมัน หน้าตาขยะแขยงเต็มทน ผมกลับไปสวมรองเท้า และม้วนหน้าเข้าไปที่หินซึ่งมีพุ่มไม้บังอยู่ เดชะบุญ รถจอดอยู่ข้างๆหิน ตรงประตูพอดี ผมเปิดประตูรถเบาๆ จำได้ว่าเสียบกุญแจคารถเอาไว้ ผมปิดประตูรถไม่สนิทมาก และเริ่มสตาร์ทเครื่อง
    ทีนี้แหละ พวกมันหันมาทางผม สีหน้าจากธรรมดาเปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยวทันที และเริ่มออกวิ่ง เครื่องสตาร์ทติดพอดี เข้าเกียร์และขับออกไปเลี่ยงไม่ชนพวกมัน
    “ไปแล้วนะ ส่วนเบียร์ฉันให้” ผมเยาะเย้ย มองผ่านกระจกหลัง พวกมันยังคงวิ่งตามมาอยู่ ผมยิ่งสะใจมากไปอีกเมื่อเร่งความเร็วทิ้งห่าง
    ผมเปิดประตูและปิดใหม่ให้แน่นกว่าเดิม เปิดเพลงต่อจากเมื่อวาน ตอนนี้พลังพร้อมแล้ว คงจะยิงยาวถึงไมอามี่ได้เพราะยังไง มันก็ใกล้ถึงแล้ว หันไปเบาะหลัง ไม้เบสบอลคู่ใจวางอยู่ ผมว่าผมคงต้องคุยกับมันแล้วล่ะ
    ราวๆ 1 ชั่วโมงแล้วตั้งแต่ขับออกมาจากเต็นท์นั่น ตอนนี้ผมอยู่หน้าทางเข้าเมืองไมอามี่ ตอนนี้ดูจากข้างนอก สภาพมัน เละสิ้นดี
    “อะไรวะนั่น” รถจอดเรียงรายอยู่ตามถนน อยู่ในสภาพโทรมพอสมควร ผมลงไปสำรวจ มือถือไม้เบสบอลตะปูไว้ สภาพรถบู้บี้เหมือนถูกโดนหลายร้อยเท้าเหยียบเข้ามา ทุกคันเป็นเช่นนี้ ประตูเปิดทิ้งไว้ และได้ยินเสียงน่ารำคาญบางอย่างด้วย

    เสียงนั้นมาจากรถคนข้างหน้าสองคันจากที่ผมยืนอยู่ แต่ไม่ได้อยู่ในรถ ซอมบี้ที่ขาขาด คลานมากับพื้นอย่างรวดเร็ว ดูไม่เจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่น้อย ผมเดินเข้าไปหาซอมบี้ตัวนั้น และเหยียบหัวมัน แล้วก็หวดไม้เบสบอลตะปูลงไป สมองแหลกกระจุยเลอะรองเท้าผมด้วย ผมสะบัดเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ ผมว่าผมคงต้องเดินแล้วล่ะ เพราะมีรถขวางทุกทางขับฝ่าไม่ได้ จะให้เสียเวลาเลื่อนรถก็ใช่ที่ ยังไงซะ ก็ใกล้ถึงแล้ว
    ผมลองไปที่รถคันแรกสุดของแถวลองดูว่าจะขับได้ไหม เพราะกุญแจยังติดอยู่ ผมลองสตาร์ทดู สรุปคือไม่ได้น้ำมันหมด หมดทุกคันเลยด้วยอาจจะเป็นเพราะจอดทิ้งไว้ตั้งหลายวันแล้ว
    ผมถอนหายใจ ปลงและกะจะไปเอาสัมภาระก็เหลือบไปเห็นรถพยาบาลจอดทิ้งไว้ อืม มีชุดปฐมพยาบาลไว้ซักหน่อยก็ดี
    ผมเอาหูแนบกับประตูหลังรถ มีเสียงครางข้างใน มีซอมบี้ในนี้ ผมเปิดประตูช้าๆ ค่อยๆ แล้วรีบไปหลบข้างๆ เสียงคำรามดังขึ้น ตามด้วยเสียงกระแทกประตูดังโครมและซอมบี้สวมชุดบุรุษพยาบาลลงไปนอนกองกับพื้น ผมขำแล้วก็หวดไม้เบสบอลตะปูเข้าที่หัวมันเต็มรัก แค่ทีเดียวหัวแหลกลาญ ผมหัวเราะและมองไม้เบสบอลตะปูอย่างชื่นชม ตอนนี้ผมเริ่มชินกับสภาพเละแล้ว อาจจะเป็นเพราะเคยเป็นทหารมาก่อน
    ข้างในรถพยาบาลมีศพเน่าที่มีผ้าคลุมนอนอยู่ กลิ่นคาวเหม็นมาก อาจจะเป็นคนที่ได้รับอุบัติเหตุและถูกทิ้งไว้ในรถ ซวยแท้
    ผมคว้าชุดปฐมพยาบาล เมื่อก้าวขาจะออกจากรถกลับสะดุดล้มไปกองกับซอมบี้ตัวเมื่อกี้ ผมตกใจสะดุ้งทันที ลุกอย่างรวดเร็วหายใจเข้าออก เพื่อให้ใจสงบลง เมื่อมองดูต้นแขนซ้ายตัวเอง เออ ดี พึ่งได้ชุดปฐมพยาบาลมาเมื่อกี้ ก็มีเรื่องให้ใช้เลย เลือดอาบโชกเต็มแขน
    ผมนั่งอยู่ในรถ ปฐมพยาบาลอย่างชำนาญ พันผ้าก็อตเสร็จแล้ว
    ถ้ามองในแง่ดี การถึงเมืองก็ได้เวลาสนุกสนาน ถ้ามองอีกแง่ อันตรายชัดๆ
    ข้างหน้าผมตึกศรีวิไลงดงามแห่งไมอามี่อยู่สองข้างถนนรู้สึกถึงอากาศร้อนทันทีแม้จะไม่ใช่ซัมเมอร์ก็ตาม คิดถึงหนังแบดส์บอยทั้งสองภาค ผมใช้กล้องส่องทางไกล ส่องไปรอบๆ เจอซอมบี้อยู่ในตึกทางขวา ชั้นล่างเป็นกระจกใส เราเห็นข้างใน ข้างในก็เห็นเราเช่นกัน น่าจะเป็นตึกธุรกิจนะ เพราะมีนักธุรกิจเดินโซเซอยู่เต็มไปหมด ผมส่องไปที่ตึกทางซ้าย ทางสะดวกแต่จะไปให้พวกนักธุรกิจไม่สงสัย ผมหันไปข้างหลังเจอฮอนด้าสีดำนอนแน่นิ่งโดยที่กุญแจเสียบไว้อยู่ ถ้ามีกุญแจเสียบไว้ก็แสดงว่าไม่ได้ล็อคคอรถเอาไว้ ผมเปิดประตู มือข้างนึงดันพวงมาลัย มืออีกข้างดันประตูรถแล้วออกแรงผลักมันไป ไม่ใช่ท่าที่ถูกต้องสำหรับการดันรถแต่ไม่มีทางเลือก มันช่วยบังตัวเองจากสายตาของซอมบี้ในตึกได้ กินแรงชะมัดแต่อีกนิดเดียวเท่านั้น
    ในที่สุด ผมก็ดันจนผ่านช่วงตึกมาได้ ผมนั่งพัก หลังพิงขอบรถอย่างเหนื่อยแรง ยังไม่มีแผนต่อไปเลย ว่าตัวเองจะไปหาที่พักตรงไหน อาจจะต้องงัดเข้าบ้านใครสักคน ผมสะบัดแขนตัวเองแรงๆเพื่อคลายเส้นแล้วยืดแขนไปสุดตัว
    ปรี๊น !!!
    เสียงแตรปลุกผมจากภวังค์ หลังจากนั้นผมจึงรู้ตัวเองว่าได้ทำเรื่องที่โง่ที่สุดในชีวิตเข้าแล้ว ผมชะเง้ออกไป พวกนักธุรกิจเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข มันบิดไปมาอย่างน่าขยะแขยงแล้วก็วิ่งเข้าใส่กระจก
    เพล้ง !!! เสียงกระจกแตกดังมาจากด้านขวาพร้อมด้วยวัตถุมากมายหล่นมาจากฟ้า นอนนิ่งไปและเริ่มลุกขึ้นช้าๆ เวรล่ะ
    ซอมบี้ในตึกวิ่งทะลุกระจกออกมาได้แล้ว หลายตัวในตึกวิ่งตามออกมา แถมมีพวกที่วิ่งมาจากชั้นบนของอาคารอีกด้วย ในตึกทางฝั่งขวาก็เจออีกพวกวิ่งลงบันไดมาบางตัวตกลงมาเลยด้วย และพวกมันพุ่งมาทางผม
    ผมออกวิ่งทิ้งกระเป๋าแล้วหยิบไม้เบสบอลตะปูมา สับเท้าถี่อ้อมตึก พวกซอมบี้ที่มองเห็นผม ซึ่งก็น่าจะทุกตัวคำรามและวิ่งตาม ก็ ผมเร่งความเร็วพยายามทิ้งเสียงคำรามไว้ข้างหลัง ผมวิ่งไปทางขวาและตรงไป มีร้านฟาสต์ฟูดอยู่ข้างหน้าราว 200 เมตร ผมวิ่งเร่งความเร็วแบบไม่คิดชีวิต แต่ยังไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าที่ควร ผมวิ่งผ่านตึกหลายตึก ซึ่งในตึกนั้น พวกมันโผล่มาตามเสียงคำรามด้วย นี่แหละจุดจบชะตาชีวิตผม ไม่นะ ยังไม่ได้แต่งงานเลย ผมออกแรงวิ่งมากกว่าเดิม ส่งเสียงร้องไปตลอดทาง แม้ไม่ได้หันหลัง แต่ผมก็รู้เลยว่า พวกมันมีกันเป็นกองร้อยน่าจะห่างกันราวห้าถึงหกเมตร
    ผมวิ่งกระแทกเข้าประตูร้านไป ประตูกระเด็นไปกองข้างๆ ในร้านน่าจะมีพื้นที่สัก 10x10 เมตร สภาพเละสิ้นดี ผมไม่สนบรรยากาศในร้านที่มืดมิด แต่ตรงเข้าไปที่ห้องครัวผมวางไม้เบสบอลแล้วเปิดแก๊สทุกเตาจนสุด หันหลังไป พวกมันเป็นฝูงเริ่มเบียดประตูเข้ามา ผมเปิดตู้ข่างล่างเตาหาเชื้อเพลิง และเจอถ่านสำหรับใช้ปิ้งโน่นนี่ ผมส่ายหัวแล้วหยิบมา จากนั้นก็หยิบหนังสือพิมพ์กับไฟแช็คมา มีหน้าต่างอยู่เหนืออ่าง ผมวิ่งไปเปิดมัน ช่องใหญ่พอที่จะปีนออกไปได้
    พวกซอมบี้เข้ามาแล้ววิ่งตรงมาที่ผม ผมใช้เท้ายันมันกลับไป แต่คงไม่ได้ทุกตัวแน่เพราะพวกมันเริ่มวิ่งทะลักเข้ามาข้างใน ผมโยนไม้เบสบอลออกไปแล้วกระโดดม้วนหน้าออกทางช่องหน้าต่างและลงที่พื้น ม้วนหน้ายืนขึ้นอย่างสวยงาม หันไปข้างหลัง ซอมบี้แก่งแย่งกันออกมา แต่ทำได้ไม่ถนัดนัก ผมยิ้มเยาะแล้วหยิบไม้เบสบอลมาหนีบไว้ที่รักแร้ หลังจากนั้นก็ห่อกระดาษเข้ากับถ่าน จากนั้นก็จุดไฟแช็ค ผมออกตัววิ่งเต็มฝีเท้าจนได้ระยะที่ไกลพอดี
    มาเจอกันหน่อย
    ผมกระโดดขว้างถ่านออกไปสุดแรง มันค่อยตกลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้เข้าไปในร้านอาหาร แก๊สที่ได้แพร่กระจายไปทั่วก็หลุดออกมา ทำปฏิกิริยากับไฟ
    ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมม
    เพลิงไฟเผาผลาญลุกไหม้ ไฟสีแดงพวยพุ่งทะลุหลังคาและผนังร้าน ฉีก พัง ทำลายทุกอย่างในรัศมี ซอมบี้ถูกฝังทั้งเป็นในกองเพลิงภายในชั่วพริบตา ย่อมทำให้ร่างกายของมันถูกแยกด้วยแรงระเบิด เป็นสิ่งที่วินาศสันตะโรที่สุดนับตั้งแต่ลาพักร้อนมาได้ ผมยืนยิ้มให้กับผลงานของตัวเอง ตอนนี้ถึงรู้สึกว่าเริ่มเหนื่อยนิดๆ
    แต่ฝันร้ายยังไม่จบซอมบี้ที่อยู่ในบ้านหรือตึกข้างๆ ออกมาตามต้นตอของเสียงอึกทึก ผมไม่รอดูและออกวิ่งต่อทันที เมื่อถึงทางแยกผมทำตามสัญชาติญาณโดยการเลี้ยวซ้าย
    ตรงหน้าผมคือถนนกว้างทางขวาเป็นห้าง ทางซ้ายเป็นตึกหลายๆตึกติดกัน กลางถนนมีรถเมล์จอดขวางลำอยู่ ถ้าจะวิ่งเข้าไปในห้าง พวกมันคงเห็นแน่ ผมเลยต้องใช้ทางรอดที่ใกล้ที่สุด ผมวิ่งเข้าไปในรถเมล์ เสียงคำรามมาแล้ว ในรถมีร่างร่างหนึ่งนอนอยู่ ผมใช้เท้าพลิก ศพไม่ขยับ ผมล้มตัวลงเข้าไปนอนแล้วดึงมันมาทับร่างตัวเอง
    ผ่านไปหลายอึดใจเสียงคำรามก็ดังขึ้นและเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เกิดเสียงกระแทกที่ตัวรถเพราะพวกมันเอาตัวเองกระแทกอย่างแรง เสียงนี้เกิดไม่นานและหายไป
    จนเมื่อผมเห็นว่าเสียงคำรามเริ่มเบาลงเรื่อยๆ ผมเดินออกมาจากรถ ลงมาสำรวจข้างนอก จุดที่ผมยืนอยู่ ไม่ทราบพิกัดตำแหน่งแน่ชัดเพราะผมไม่ค่อยได้มาแถบนี้ แต่ก็นับว่าเจริญหูเจริญตาอยู่เหมือนกัน ร้านอาหารหรูทางฝั่งซ้ายที่ตอนนี้เงียบสงบ ถนนขนาดใหญ่ เกาะกลางถนนมีต้นปาล์มใหญ่
    ห้างใหญ่ทางฝั่งขวาด้วย มันห่างจากตัวถนนไปเล็กน้อย ชั้นสามของห้างมีส่วนที่เปิดเป็นดาดฟ้าอยู่ และตรงนั้นเอง ที่มีคนยืนใช้กล้องส่องทางไกลมองผมอยู่


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย black jack sdppd : 11th June 2014 เมื่อ 18:48
    3 Coins DPP

  25. รายชื่อสมาชิกจำนวน 7 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  26. #14
    "I Love Army"
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    ที่อยู่
    หนุ่ม สุ1000
    กระทู้
    733
    กล่าวขอบคุณ
    1,250
    ได้รับคำขอบคุณ: 209
    บทที่5มาแล้วเย้ๆ5555

  27. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  28. #15
    "I Love Army"
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    ที่อยู่
    หนุ่ม สุ1000
    กระทู้
    733
    กล่าวขอบคุณ
    1,250
    ได้รับคำขอบคุณ: 209
    บทที่6มาไวนะครับๆ

  29. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  30. #16
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818

    บทที่ 6 คนแปลกหน้า

    ผมค่อยๆเปิดประตูห้างที่ถูกกระแทกช้าๆ ข้างในค่อนข้างมืด คาดว่าจะเป็นส่วนต้อนรับ ฟร้อนท์เดสก์ อยู่ข้างหน้าส่วนช็อปปิ้งที่เปิดไฟสว่าง แผงสินค้าวางเป็นล็อตๆ ถ้าผมจำไม่ผิด นี่เป็นห้างที่ติดกับโรงแรม
    เสียงครางดังขึ้น ผมย่อตัวมองซ้าย มองขวาทางสะดวก ผมตรงไปที่แผนกเสื้อผ้า ซอมบี้ตัวหนึ่งเดินออกมาจากบู๊ทข้างหน้า ผมก้มหลบและอ้อมไปข้างหลังมัน และหวดไม้เต็มแรง ตัวมันลอยเข้าไปในบู๊ทเสื้อยี่ห้อ LEE เลือดสาดกระจาย
    "เลอะหมดเลย ไอเวรเอ๊ย"
    แต่เสียงครางยังดังอยู่ ผมรู้แล้วมันอยู่ตรงไหน แผนกเนื้อแน่นอน ผมตรงไปทางขวาเป็นทางขึ้นลิฟต์ข้างๆ มีแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ เมื่อมองเข้าไป ผมต้องทำหน้าสะอิดสะเอียน ศพซอมบี้เป็นสิบนอนอยู่ รอบๆโต๊ะแคชเชียร์ ข้างหน้าศพ มีเลื่อยไฟฟ้าเหลืออยู่ พร้อมกับซอมบี้ที่เท้าถูกกัดนอนครางอยู่ ผมเข้าไปใกล้ นั่งยองๆ
    "แกคือยอดคน แกควรจะตายอย่างสมเกียรติ" ผมชัก APS 45 พร้อมที่เก็บเสียงออกมา ปลิดหัวผู้กล้าทันที หัวของเขาไม่ควรจะแหลก
    อ้าาา เสียงคำรามดังข้างหลัง ผมเก็บปืนถือไม้เบสบอลในท่าเตรียมพร้อมหันกลับไปพร้อมด้วยหวดทันที ร่างมันลอยไปข้างหน้า แต่เสียงคำรามดังขึ้น ไอ้บ้านี่ปลุกคนอื่นๆ ผมเห็นอีกตัววิ่งมาทางซ้าย ผมหวดไปที่หน้ามัน และอีกสามตัวมาทางขวา ผมวิ่งไปทางซ้ายไปที่แผนกครัว เจอมีดผมหยิบหาจุดถ่วงน้ำหนัก และปามันไปข้างหน้า
    ฉึก!! มีดหั่นเนื้อปักเข้าหน้าผากอย่างจัง และเมื่อมันเข้ามาใกล้ผมใช้มีดอีกเล่มปักเข้าเบ้าตาอีกตัว ผมหลับการคว้าจับของตัวสุดท้ายอ้อมไปข้างหลัง และหักคอมันทิ้ง
    แต่มันยังไม่ตายผมหยิบดี-เอ็มเตรียมปลิดชีพ แต่มันมีปฏิกิริยาแปลกๆ คือมันไอ และอ้วกออกมา มันแน่นิ่งไป เมื่อผมออกไปก็เจออีกหลายตัววิ่งเข้ามา ผมสับเท้าไปที่บันไดให้เร็วที่สุด มีตัวสองตัววิ่งมาขวางผมหวดด้วยดี-เอ็ม ไปหนึ่งตัว หยุดวิ่งแล้วเหวี่ยงดี-เอ็มเข้าเต็มหัวอีกตัว ผมวิ่งต่อไอพวกข้างหลังยังตามมาอยู่ ผมเอารถเข็นมาขวางไว้ แล้วขึ้นบันไดชั้นต่อไป ได้ยินเสียงพวกมันชนกับรถเข็นผมหัวเราะ ชั้นสองนี่เงียบแต่ผมก็คงไม่อยู่สำรวจ ผมวิ่งขึ้นชั้นต่อไปเอารถเข็นที่จอดไว้มาขวางเช่นเคย แล้วตรงไปสู่ชั้นสาม
    ผมมองไปทางขวาเจอซอมบี้ร่างอ้วนทุบประตูอยู่ เป็นผู้หญิงด้วย ผมย่องไปข้างหลังและฟาดด้วยดี-เอ็มมันนอนกองไป
    "ลูกบิดก็มี" ผมเยาะเย้ย แล้วเปิดประตู
    "หยุดนะ" เสียงตะโกนดังขึ้น ผมตาไม่ฝาดนั่นมนุษย์นิ่ ผมหยุดมองที่ Glock18 ของเขา หึ เซฟยังไม่ได้ปลด ผมเดินไปข้างหน้า
    "ฉันบอกให้หยุด" ชายแก่ตะโกน มีชายหนุ่มคอยห้ามอยู่
    "ไม่เอานะ โรล์ ไอ้หมอนี่แหละที่ฉันบอกนาย"
    "นายแน่ เจฟ ว่าไอ้นี่ไม่ใช่โจร" ชายแก่พูด ผมมองอย่างสงสัย
    "ผมเนี่ยนะ โจร ผมแต่งชุดทหารด้วยซ้ำ" ผมตอบ ชายแก่ดูใจเย็นลง แต่ยังไม่ลดปืน ปืนที่ยังไม่ปลดเซฟด้วยซ้ำ
    "ในโลกนี้ จะแต่งชุดอะไรไม่สำคัญหรอก ไอหนุ่ม" ชายแก่ตอบ
    "ผมปลอดภัย ผมปลอดภัยพอที่จะรู้ว่าปืนคุณยิงไม่ได้" ผมพูดไปทั้งที่ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน ชายแก่มองอย่างสงสัย แล้วลดปืน
    "แกรู้" ชายแก่พูด ไม่ใช่คำถาม
    "ผมเป็นทหาร" ผมมองและพยักหน้า
    "โทษทีนะ เราเจอโจรมาเยอะน่ะ ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจใครได้บ้าง" ชายหนุ่มพูดบ้าง
    "โจรเหรอ ยังจะมีโจรอีกเหรอ" ผมถามขมวดคิ้วสงสัย
    "ใช่ นี่นายไปอยู่ไหนมา" ชายหนุ่มถาม ผมส่ายหน้า
    "ช่างมันเถอะ ว่าแต่นี่มีกันอยู่แค่นี้เหรอ" ผมถามเดินไปข้างหน้า แล้วมองไปข้างล่าง เจอรถตู้นอนตะแคงอยู่ ถ้าเป็นยี่สิบนาทีก่อนหน้านี้ น่าจะเห็นผมนั่งพักอยู่
    "มีอีกกลุ่มใหญ่ อยู่ที่ร้านขายปืน อยู่สุดทางโน่น" ชายแก่บอก
    "ร้านขายปืนเหรอ" ผมถาม
    "ใช่แต่เราใช้ปืนไม่เป็นน่ะ" ชายหนุ่มพูดแล้วหัวเราะ ผมยิ้ม
    "แล้วพวกคุณมาทำอะไรกันตรงนี้" ผมยืนเท้าสะเอวถาม
    "พวกเรามาดูลาดเลา พวกซอมบี้ แล้วก็คอยเฝ้าหาผู้รอดชีวิตคนอื่น แล้วก็เจอนาย" ชายหนุ่มพูด
    "คุณนี่เอง ที่ส่องดูผม" ผมจำได้ เขาหัวเราะ
    "ช่าย นายแน่มาก" เขาชม ผมยิ้มเขินๆ
    "ผม ดีน" ผมแนะนำแล้วยื่นมืออกไป
    "ผม เจฟ" ชายหนุ่มพูด แล้วจับมือผม
    ผมยื่นมือ ไปหาชายแก่ หน้าตาถ้าดูดีๆก็ใจดีใช่เล่น
    "ฉัน โรล" เราจับมือกัน ผมเหลือบไปเห็นไรเฟิลล่าสัตว์วางอยู่ข้างเก้าอี้และกระติกน้ำ
    "นั่นคุณใช้เป็นรึเปล่า" ผมถามพลางชี้ไปที่ไรเฟิล
    "ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น ฉันเคยใช้มาก่อน" โรลตอบ
    "คุณอย่าใช้มันนะ ไม่งั้นเสียงจะเรียกพวกมันมา" ผมเตือน โรลพยักหน้า
    "แล้วนี่เราจะไม่กลับกันเหรอ" ผมถาม
    "กลับไม่ได้หรอก เราถูกซอมบี้ขังไว้ เกิดเหตุผิดพลาดน่ะ" เจฟพูด
    "ใช่ เหตุผิดพลาดรุนแรง" โรลมองหน้าเจฟแบบประชด
    "เอาเป็นว่าถ้าเราออกไป จะโดนซอมบี้ไล่ก็แล้วกัน เลยต้องรออยุ่ตรงนี้แหละ" เจฟรีบบอก ผมยืนครุ่นคิด
    "ร้านขายปืน มี APS 45 มั้ย" ผมถาม
    "โทษทีนะ เอพี อะไรเหรอ" โรลและเจฟมองหน้ากัน ผมจึงชักปืนออกมา ให้เขาดู
    "อ๋อ ผมว่าผมเห็นนะ" เจฟตอบ
    "ถ้างั้น ผมคิดอะไรดีๆออกแล้ว" ผมยิ้มอย่างมีเลศนัย ทั้งสองคนทำหน้างง

    "มันจะดีเหรอ" เจฟถาม ขณะที่ผมเช็คเม็กกาซีน ผมหัวเราะในลำคอ แล้วพยักหน้า โรลพ่นลมทางจมูก
    "แล้วทำไมฉันต้องมาเข็นแกด้วยฮึ" โรลถามพลางตบรถเข็น ที่พึ่งเสี่ยงชีวิตออกไปเอาเมื่อสักครู่ "แกเดินเองไม่ง่ายกว่ารึไง"
    "มีสามข้อนะลุง" ผมพูดชูสามนิ้ว
    "ข้อแรก ถ้าผมวิ่งผมจะยิงไม่ถนัด
    ข้อสอง รถเข็นจะทำให้ช่วยลดเสียงกระแทกตึงตึงด้านล่าง
    ข้อสาม ผมวิ่งมาเยอะ ผมเหนื่อย" โรลมองผมอย่างไม่เชื่อหู พลางหันไปซุบซิบถกเถียงกับเจฟ มีบางคำที่หลุดออกมาเป็นเสียงใหญ่ "ก็แกไม่ได้เข็นเองนี่หว่า" หลังจากทั้งคู่เถียงกันเสร็จ โรลยอมแพ้มองหน้าผมเหมือนจะถามว่า เอาไงต่อ
    "โอเค นินทาเผาขนเสร็จแล้วใช่มั้ย" โรลและเจฟ พยักหน้า ผมหัวเราะที่ทั้งคู่ยอมรับ ทั้งสองคนจึงพลอยขำไปด้วย
    "งั้นเริ่มกันเลย !" ผมกระโดขึ้นรถเข็นพร้อมปืนเก็บเสียงทั้งสองกระบอก เจฟที่ถือดี-เอ็ม ถีบประตู เสียงลั่นแล้วนำหน้า พวกมันเริ่มมา ผมตั้งแขนทั้งสองข้าง สายตาเล็งแน่วแน่ พวกมันสามตัว วิ่งเข้ามาจากทางซ้ายผมยิงมันทิ้งอย่างมันมือ และอีกห้าตัวทางขวา อีกสามตัวข้างหน้า ผมจัดการพวกทางขวามันกระโดตัวลอยเพราะวิ่งสวนทางกับกระสุน ส่วนข้างหน้า เจฟฟาดพวกซอมบี้อย่างมันมือ ปากหัวเราะสะใจ
    "นักเบสบอลเก่าน่ะ" โรลซึ่งตอนนี้หอบแฮกๆ ฝืนพูด ผมเบ้ปากพยักหน้าและหันไปตั้งมั่นในเป้าหมายต่อ เสียงแหลมพร้อมลูกกระสุนเข้าหัวพวกมันอย่างแม่นยำ
    "เห้ย ดูข้างหน้าหน่อย" เจฟร้อง ผมหันไปดูพวกมันนับสิบตัวมาดักข้างหน้า
    "ไปหลบข้างหลัง" ผมสั่งเจฟขณะเปลี่ยนเม็กกาซีน เขาชะลอความเร็วแล้วไปอยู่หลังผม ทั้งสองกระบอกมีกระสุนอยู่กระบอกละสิบสองนัด รวมยี่สิบสองนัด พวกมันมีประมาณสิบตัว หึ! สบายมาก
    "ย้ากกกก"

    "ซ่า...ซ่า..." สัญญาณซ่าจากวอล์คกี้-ทอล์คกี้เกือบจะเจ๊ง ดังขึ้นภายในห้องขนาดใหญ่ มีหลายคนนั่งรออยู่ใกล้ๆ รอให้มันได้ส่งเสียง ผู้หญิงที่อยู่ใกล้ที่สุด รีบคว้ามันมาสายตามีความหวัง
    "เปิดประตู ร้านด่วน" เสียงของโรลแทรกเสียงวอล์คกี้-ทอล์คกี้มา
    "โรลเหรอ คุณอยู่ไหน" หญิงสาวรีบถาม
    "รีบเปิดประตูก่อนเร็ว !" โรลสั่งตะคอกผ่านวอล์คกี้-ทอล์คกี้ทีท่างุนงง แล้วหันไปทางผู้หญิงผิวดำข้างๆ ที่มีสายตาลุ้นคำตอบเหมือนกัน
    "ซินแคลร์ เปิดประตู" หญิงสาวสั่ง ซินแคลร์มีท่าทีไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็รีบวิ่งไปเปิดประตู
    "เกิดอะไรขึ้น เอ็มม่า" ชายคนหนึ่งถาม เอ็มม่าส่ายหัว มือยังกำวอล์คกี้-ทอล์คกี้ไว้แน่น
    "ไม่รู้สิ พวกเขาเหมือนวิ่งฝ่าพวกมันมา" เกิดเสียงพูดคุยขึ้นทันที หนึ่งในนั้นแสดงความเห็นว่า พวกเขาฝ่าฝูงซอมบี้มา
    "เจฟยังอยู่หรือเปล่า" หญิงคนหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เอ็มม่าส่ายหัวสายตาเป็นกังวล
    ขณะที่เสียงครืดดังขึ้น จากการเปิดประตูเหล็กขึ้น ชายสามคนวิ่งเข้ามา มีเสียงอะไรบางอย่างเอ็มม่าชะโงกหน้าหันกลับไปดู ก็พบรถเข็นนอนกลิ้งอยู่ไกลออกไปศพซอมบี้นอนอยู่มากมาย ชายสามคนรีบดึงประตูปิดอย่างเร่งรีบ เอ็มม่าถอนหายใจที่ทั้งคู่ยังปลอดภัย
    แต่ อีกคนนึงมาจากไหน

    ผมหัวเราะกับตัวเอง ที่ใจกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้น ผมตบมือกับเจฟและไปหัวเราะกับโรลที่ยืนหอบอยู่("แกจะต้องชดใช้ไอหนู" โรลพูดพลางหัวเราะ) ผมเอามือยันเข่า ก่อนจะหันไปสำรวจห้อง รอยยิ้มหายไปทันทีเพราะสายตาหลายคู่จ้องที่ผมอย่างสงสัย
    ผมทำตัวไม่ถูกยืนแข็งอยู่กับที่ ไม่รู้จะพูดอะไร เริ่มต้นยังไง หรือทำอะไรไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป ผมไม่ได้เจอกับคนมานานเกินไป
    "เอ่อ..." ผมกระอึกกระอัก แต่ก็ถูกตัดบทด้วยสาวที่มือถือวอล์คกี้-ทอล์คกี้เอาไว้ ผมรู้สึกขอบคุณเธอจริงๆ
    "ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย" เธอหันไปถามโรลและเจฟ ตอนนี้คนอื่นเริ่มถอนสายตาจากผมไปแล้ว โอเคเธอช่วยผมไว้ แต่ถ้าสังเกตดีๆเธอเป็นผู้หญิงที่สวยงามมาก ผมทองยาวจรดบ่า หุ่นดี นัยน์ตาสีฟ้า หน้ากลมมนสวย ดูแล้วน่าจะเป็นครึ่งสวีเดน นี่เธอเป็นดาราหรือเปล่าเนี่ย ตอนนี้สิ่งที่ผมคิดคือ ผมจะปกป้องเธอให้มากกว่าคนอื่น
    "ทำไมถึงรอดมาได้ล่ะ" เธอถาม เอ้า นี้ไม่เห็นผมยืนหัวโด่อยู่รึไง
    "ได้เขาช่วยไว้น่ะสิ" โรลตอบพลางผายมือมาทางผม เอ็มม่าหันมามองพลางยิ้มหวานให้ และทุกสายตาหันมาทางผมอีกครั้ง ผมเข้าใจล่ะถ้าส่งโอกาสให้ผมพูด ดูแล้วน่าจะเป็นนักวิเคราะห์สังคมหรือไม่ก็จิตต์แพทย์
    "คุณชื่ออะไรเหรอ ทหาร" เธอถามผม เธอฉลาดไม่เลว คงจะดูจากท่าทางผม เพราะการใส่ชุดทหารก็ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารและกางเกงจีนส์ธรรมดาก็ไม่น่าจะบอกให้เธอรู้ได้
    "เอ่อ...ผมดีน ดีน คา ไทเลอร์" ผมตอบตะกุกตะกัก
    "อยู่คนเดียวนานสิท่า" เธอทาย ซึ่งถูก "ฉันเอ็มม่า" เธอเอาวางที่ตัวเอง แล้วชี้ไปที่ผู้หญิงผิวคล้ำ ที่เปิดประตูให้ "นั่นซินแคลร์" ชี้ไปที่ชายร่างเล็ก ที่เหน็บมีดไว้ข้างตัว "นั่น โอเลด" ชี้ไปที่ชายสวมแจ็คเก็ตหนัง เขามองผมอย่างไม่ไว้ใจ"นั่น แจ็ค" ชี้ไปที่หญิงสาวที่น้ำตานองหน้า "นั่น เคลลี่" ชี้ไปที่ชายร่างกำยำ หน้าตาเป็นมิด ถ้าผมไม่ศึกษาการวิเคราะห์คนอย่างเชี่ยวชาญ ผมคงคิดว่าหมอนั่นเป็นทหาร "นั่น โจนส์" เขายิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร
    "ขอบคุณ ที่ช่วยสามีฉันนะคะ" เคลลี่เดินมากุมมือผมไว้แล้วมองไปที่เจฟ ผมเกาหัวอย่างเก้อเขิน
    "เขาช่วยตัวเองนะครับ" ผมบอก เคลลี่มองเจฟอย่างชื่นชม ผมแอบมองไปที่เอ็มม่าเพื่อดูว่าเขาเป็นภรรยาของโรลหรือเปล่า
    แต่เธอเปล่า เธอแค่ยื่นน้ำให้โรลเฉยๆ ผมโล่งใจ หลังจากนี้ผมนำชีวิตตัวเองไปสู่วังวนแห่งความรัก ถ้าเมื่อใดมันพังขึ้นมา ผมอยู่ยากแน่ๆ แต่จะตัดใจคงไม่ทันแน่
    หลังจากสังเกตห้องนี้แล้ว มันใหญ่มากาสำหรับคนสิบคนและเต้นท์สิบหลังเลยทีเดียว กลางห้องมีหม้อและกระทะวางบนเตา รอบๆมีเต้นท์สามหลังและถุงนอนสี่ถุง นี่ไม่ใช่แค่ร้านขายปืนธรรมดาแล้ว แต่เป็นศูนย์รวมสิ่งของเกี่ยวกับทหาร ตั้งแต่เสื้อไปถึงปืนเลยทีเดียว
    "นายมาจากไหนเหรอ" เสียงยานดังคางขึ้น เสียงของโจนส์ปลุกผมจากความคิด
    "เอ่อ เลควิว" ผมตอบไปใบหน้าเป็นมิตรของโจนส์ทำให้ผมมั่นใจขึ้นเล็กน้อย
    "โว้ว แล้วทำถึงมาไมอามี่ล่ะ" โอเลดถามหน้าตาละอ่อนแฝงไปด้วยความสงสัย
    "ผมโดนซอมบี้ไล่ตามมาน่ะ" ผมตอบ
    "แล้วพ่อแม่นายล่ะ" โอเลดถามต่อ ผมแปลกใจสิ่งที่คนจะคิดไม่น่าจะเป็นเรื่องคนอื่นที่เขาไม่ได้เจอ
    "พวกท่านเสียไปตั้งนานแล้ว" ผมตอบ
    "คุณคุยกับพวกเขาสนุกไหม เจอพ่อหรือแม่" เอ็มม่าถาม ผมตาโตหญิงคนนี้จะฉลาดเกินไปแล้ว
    "พ่อ" เธอพยักหน้า
    "โอเค แล้วนายมาทำห่าอะไรที่นี่" แจ็คถามขึ้นเสียงเล็กน้อย เคลลี่ร้องว่าไม่เอาน่าอยู่ข้างๆ
    "ดูท่านายจะไม่รู้อาหารก็หายาก พวกเชื้อยา(ซอมบี้)มันก็เยอะ ทีจริงเราจะหลบซ่อนอย่างสงบสุข แต่นายกลับทำให้มันวุ่นวาย" โรลส่ายหัว "ไม่เอาน่า แจ็ค--"
    "เงียบน่า โรล ไอ้หมอนี่ช่วยนายแล้วไง ฉันไม่สนหรอกว่านายจะเป็นใคร แต่ไปทางไหนช่วยกลับไปทางนั้นเลย" ผมอึ้งนี่หรือท่าทีของคนพึ่งเจอกัน
    "แจ็ค อย่าเยอะเขาใช้ปืนเป็นไม่เห็นเหรอ" เอ็มม่าตอกกลับ
    "ช...ใช่ ผมใช้ปืนเป็นและก็สอนคุณได้ด้วย" ผมรู้แล้วไอ้หมอนี่ ก็แค่โกรธอย่างไร้เหตุผล
    "ดี นายนอนที่พื้นแล้วกัน" แจ็คบอกแล้วมุดเข้าไปในเต้นท์
    "ต้องขอโทษด้วย พอดีหมอนั่นมันบ้า" เจฟบอกและเสียงตะโกนของแจ็คก็ดังขึ้น
    "ไม่เป็นไรหรอก" ผมบอกเจฟ เจฟพยักหน้าแล้วหันไปพูดกับเคลลี่
    "ที่รัก ทำอาหารให้ดีนหน่อยสิ" เคลลี่ตอบรับ
    หลังจากผมนึกขึ้นได้ว่า ต้องเติมกระสุนให้ปืนตนเอง ผมไม่รอช้า เดินไปที่ส่วนปืนพก มีหลายชนิดมากและเจอกล่องเม็กกาซีนของปืนแต่ละรุ่น ผมเผลอหัวเราะออกมา แล้วเม็กกาซีนลงไปในชุดเกราะ ผมเดินไปที่ส่วนปืนไรเฟิลเจอหลายชนิดมาก ผมลองเอามาถือดู จากนั้นก็เดินชมไปเรื่อยๆลองเอามาควงเล่นบ้างตามประสาทหารห่างปืน จนเจอ Reminton ผมเอามาถือแล้วก็คิดว่าน่าจะเอาปลายมีดมาใส่ไว่ข้างใต้ปากกระบอกปืน
    "อาหารเสร็จแล้ว ทหารหนุ่ม" เคลลี่ปลุกผมจากภวังค์ ผมยิ้มแล้วเดินไปที่จานอาหารเป็นไข่ยัดไส้ ผมตักกินช้าๆ รอให้ลิ้นสัมผัสกับความอร่อยที่ห่างเหินมานาน
    "เล่าเรื่องของคุณให้เราฟังหน่อย" เคลลี่กล่าว เจฟ โรล โอเลด โจนส์และเอ็มม่ามานั่งฟังด้วย จนถึงตอนนี้ผมเริ่มคิดแล้วว่า จะเล่ายังไงให้เอ็มม่าประทับใจ
    "ผมเป็นทหาร ที่หนีเอาชีวิตรอดมาเจอป้อมที่บ้านตัวเอง ผมก็เลยใช้ยศข่มเจ้าหน้าที่ซะ" ผมกลืนน้ำลายเมื่อนึกถึงเดนนิสและเอ็ดดี้ "แล้วก็เข้าไปช่วยวางแผนป้องกัน พวกเราจัดวางกองกำลังอย่างถี่ถ้วน แต่สุดท้ายก็เอาไม่อยู่ พวกมันมาเยอะวิ่งเข้าใส่ปากกระบอกปืนอย่างบ้าคลั่ง ราวกับไม่เห็น ผมเห็นบางคนมีเศษเลือดติดที่ปาก น่าสยดสยอง จนสุดท้ายป้อมแตก ผมเลยหนีระเห็จมาเรื่อยๆ" ผมพูด เจฟหยิบดี-เอ็มขึ้นมา
    "พร้อมกับไอ้นี่ใช่ม้า มันยอดไปเลย" ทุกคนมีสีหน้าทึ่ง ผมหัวเราะแล้วเล่าต่อ
    "ช่าย ผมเดินทางมากับมัน แล้วคุณรู้อะไรมั้ย ผมเจอพ่อตัวเอง นั่งคุยกับผมชิลๆมาก เราเมาด้วยกัน" ผมยิ้มเขินๆ "จนมาเจอพวกคุณนี่แหละ" ผมพูดพลางตักอาหารใส่ปาก
    "แล้วพวกคุณล่ะ" ผมถามบ้าง และถือโอกาสทานข้าวต่อซะเลย
    "ของฉันเหรอ" โจนส์เริ่มก่อน ตอนนี้มันเหมือนกับการนั่งรอบกองไฟซะแล้ว "คือฉันเป็นพนักงานขนของในอาคารนี้ อาศัยความใหญ่ของขนาดตัว หนีแต่ก็มาอยู่ที่นี่กับทุกคนนั่นล่ะ แต่ฉันไม่รู้ข่าวคราวของใครเลย พ่อ แม่ ไม่รู้จะมีรอดอยู่มั้ย" โจนส์ก้มหน้า
    "ฉันเป็นแค่วัยรุ่นสุดหล่อ" โอเลดพูด ทุกคนหัวเราะ "ที่บังเอิญมาซื้อวิดีโอเกมส์ที่นี่ แล้วพวกมันก็วิ่งมาจากไหนไม่รู้ วิ่งเข้ามามีแต่ความชุลมุนวุ่นวายที่นี่ เชื่อมั้ยล่ะ ฉันไม่ได้กลัวเลย ฉันวิ่งไปหยิบมีดพร้ามา ฟันหัวพวกมันเป็นว่าเล่น ไม่สนใจใคร ม่สนพ่อแม่ที่มาด้วย" เขากลืนน้ำลายปากสั่นระริก ผมหยุดเคี้ยว
    "เฮ้ นายไม่ต้องเล่าต่อแล้วล่ะ" โอเลดพยักหน้าแล้วซุกหน้าลงกับแขน แล้วเขาก็ไปนอนที่ถุงนอน
    "แล้วคุณล่ะ โรล" ผมถาม โรลสะดุ้ง
    "พวกเราที่ติดอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มาพักตามโรงแรมน่ะเรื่องของเราเกิดขึ้นพร้อมกัน ฉันเห็นโอเลดฟันพวกเชื้อยาอย่างบ้าคลั่ง คือว่าวันน้น ฉันมารอลูกสาว วันนั้นเป็นวันที่ลูกสาวฉันมาถึง ฉันดีใจมากตอนที่เธอวิ่งเปิดประตูห้างเข้ามา แต่ไม่ใช่ เธอมากับอีกหลายๆคน วิ่งเข้ามาแล้วกัดคอลเซ็นเตอร์ ฉีกเนื้อสดๆกันให้เห็น ฉันงงมากกำลังจะเข้าไปห้ามแต่โจนส์ก็มาจับตัวฉันไป หึๆ ฉันยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่สงสัยว่าทำไมลูกสาวฉันถึงทำแบบนั้น ฉันไม่ได้คิดเรื่องตัวเองเลย " โรลเล่าสายตาล่องลอยไปไกล น้ำตาเริ่มปริ่ม "วันนั้นเป็นวันเกิดของแก" โรลปล่อยโฮออกมา ผมสลดคิดผิดที่ถาม นั่นทำให้ผมไม่กล้าถามเจฟกับเคลลี่
    "เอาล่ะ ทุกคนเข้านอนได้แล้ว" เอ็มม่าตัดบทขึ้นมา เจฟ โจนส์ และโรลไปนอนที่ถุงนอนของตน เอ็มม่าชี้ไปที่ถุงนอนที่ถูกม้วนเก็บไว้ ผมพยักหน้าเชิงขอบคุณ แล้วเอ็มม่ากับเคลลี่ก็มุดเข้าเต็นท์ของตน ไฟในร้านก็ดับ
    แต่ผมยังไม่อยากนอน จึงนั่งกอดเข่าพิงตู้ไว้ หันหลังให้กับเต็นท์ คิดถึงเรื่องราวต่างๆ คิดถึงวันพรุ่งนี้ และวันต่อๆไป คิดถึงโลกจากต่อไปนี้ เอ็ดดี้ เพื่อนๆทุกคน
    ผมได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหว แถวเต็นท์ของเอ็มม่า
    "แจ็ค นายจะทำอะไรน่ะ อย่านะ" เสียงเอ็มม่าดังขึ้น
    "ไม่นะ ยาหยี ผมทนไม่ไหวแล้ว" แจ็คพูด ผมอึ้งทันที หัวใจร่วงกราวลงกับพื้น
    "อะไรของแก อย่ามายุ่งกับฉัน" เอ็มม่าขัดขืน ผมเริ่มปลง
    "ผมชอบคุณมานานแล้ว" ชัดเจน นี่ไมใช่การสมยอมแต่เป็นการข่มขืนโลกเป็นถึงอย่างนี้แล้ว ยังจะทำเรื่องต่ำทรามอย่างนี้อีก
    ผมเปิดไฟ แล้วเดินไปที่เต็นท์ของเอ็มม่า โกรธจนลมออกหู ตัวของแจ็คอีกครึ่งตัวยังอยู่ข้างนอก ผมดึงไหล่แจ็คแล้วเหวี่ยงลงไปนอนข้างนอก แจ็คมึนงง และพยายามเหวี่ยงหมัดมา ผมใช้เท้ายันเอาไว้แล้วเหยียบลงไป เอาแข้งทับคอเขา แล้วซัดหมัดไปเต็มแรงสองที แจ็คนอนสลบกับที่ เลือดไหลออกมาจากจมูกที่หักเบี้ยวอย่างน่ากลัว เอ็มม่าออกมาดูเหตุการณ์ เธอกอดแขนผมไว้
    "ไม่เป็นไรแล้ว ถอยออกมาเถอะ"


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย black jack sdppd : 7th November 2013 เมื่อ 19:23
    3 Coins DPP

  31. รายชื่อสมาชิกจำนวน 7 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  32. #17
    JUST DO IT !!
    วันที่สมัคร
    Aug 2011
    ที่อยู่
    1 AU (5.1.3Wiki)
    กระทู้
    2,733
    กล่าวขอบคุณ
    60
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,355
    จัดลงเล่มขายได้เลยนะนี่ = = สนุกดีคล้ายๆ The walking dead เลย

  33. รายชื่อสมาชิกจำนวน 3 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  34. #18
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    413
    กล่าวขอบคุณ
    115
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    ชื่อเรื่องผิดไวยารณ์นะหนู
    adj. ตามหลังคำนานไม่ได้นะ ต้องอยู่หน้าคำนาม
    เรื่องอื่น เดี๋ยวมาตามสับให้ที่หลัง



    แสงแดดอ่อนๆ ตอนบ่ายแก่ๆ ของอากาศที่สงบสุข ในเมืองเล็กๆ เคล้าธรรมชาติสไตล์ชนบท

    อย่าง"เลควิว" แม้จะมีตัวเมืองอยู่บ้าง แต่ก็พอจะให้เป็นที่เปิดหูเปิดตาของชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ทั่ว ทุก(ใช้ "ทั้ง" น่าจะดีกว่านะ)อำเภอจะมีสถานที่บำรุงสุขภาพอยู่ทั่วทุกแห่ง
    ทำให้เลควิวมีชื่อในเรื่องการบำรุงสุขภาพทั้งทางกายและใจ ผู้คนส่วนมากจึงเอาเวลาไปผ่อนคลายชนะความเครียด ดีกว่าไปปล้นใครต่อใคร (เหมื่อนมันจะไม่เกียวกันนะ น่าจะบอกว่า "ดีกว่าไปเสพย์ยา )

    ผมเป็นทหารจากสงครามกลางเมือง (สงครามกลางเมือง (อังกฤษ: Civil war) เป็นสงครามภายในกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรม, สัญชาติ หรือสังคมแบบเดียวกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อแย่งชิงอำนาจหรือดินแดน สงครามกลางเมืองอาจนับเป็นการปฏิวัติ (Revolution) ได้ในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ภายในสังคมนั้นหลังจากสิ้นสุดสงคราม
    นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มยังได้นับรวมเอาการจลาจล (Insurgency) เป็นสงครามกลางเมืองประเภทหนึ่งด้วยถ้ามีการสู้รบระหว่างกองทัพอย่างเต็มรูปแบบ ปัจจุบันความแตกต่างระหว่าง "สงครามกลางเมือง", "การปฏิวัติ" และ "การจลาจล" นั้นไม่ชัดเจนนัก ขึ้นอยู่กับบริบทในการใช้งาน เช่นสงครามฝ่ายเหนือใต้ของสหรัฐอเมริกา)
    ที่รัสเซีย

    เกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายที่ลักลอบขนอะไรซักอย่างที่เราไม่มีทางรู้ (ไม่ใช่สงคราม แต่เป็นการ "ก่อการร้าย" มากกว่า
    แม้รัฐบาลจะมองเราเป็นเพียง"ทหารเลว"แต่ผมก็ภูมิใจที่อย่างน้อย
    ก็ได้รับใช้ชาติ หลับหูหลับตาทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง เอาคำขวัญที่ว่า "ใครขวางทางชาติ จะกำจัดให้หมดสิ้น"
    แน่นอนเราเสียทหารไปมากกว่า500คน 20คนในนั้นเป็นเพื่อนผม แต่ภารกิจลุล่วง เราฆ่าหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่ชื่อ
    "โคเลียม วีนอสกี้" ทุกอย่างจบ ใช้พักร้อน 2 เดือนให้คุ้มค่าที่สุด ประหยัดเงินให้มากที่สุด บอกตามตรงเลยว่า สันดานผมขี้เหนียวพอสมควร
    โดยเดิมแต่เก่าก่อน (ใช้คำเปลืองไปนะ) ผมเป็นคนที่เลควิวเต็มตัว ครอบครัวผมทุกคนเกิดที่นี่
    โดยเฉพาะ เคน และ อัลเลน ไทเลอร์ บุพการีของผมท่านทั้งสองเป็นวีรบุรุษและวีรสตรีแห่งสงคราม
    เหตุนี้กระมังที่ทำให้ผมได้ยศร้อยเอกมาง่ายกว่าปกติ แต่ผมภูมิใจที่ได้ชื่อท่านทั้งสอง มารวมในชื่อกลาง "คา"

    ผมว่ายท่าฟรีสไตล์อย่างสวยงามในสระยาว25เมตร ลึก2เมตร สระสี่เหลี่ยมผืนผ้า คุณภาพดีในสถานบำรุงสุขภาพทางตอนใต้ของเมือง
    ที่ผมเลือกที่นี่เพราะคนไม่คับคั่งนัก ไม่แพงจนเกินไป เน้นคนที่เป็นสมาชิกหรือไม่ก็คนในชุมชน พวกเรารู้จักกันดี
    การทำลำตัวให้เหมือนคนหมดแรง งอเข่าแล้วสะบัดเท้า เป็นเทคนิคอย่างดีในการว่ายท่านี้
    "รู้สึกว่า วันนี้จะว่ายเร็วขึ้นนะ คา " เสียงหนึ่งทักหลังจากผมว่ายติดต่อกัน ไม่ต้องแปลกใจเลยเสียงอุ่นทุ้มและใจดีนี้ต้องเป็นเสียงของ
    โจ ยามเฝ้าสระ เพื่อนสนิทของผม
    " มันก็ต้องมีพัฒนาบ้างสิ " ผมตอบกลับหลังจากที่หายใจในน้ำ และถอดแว่นกันน้ำ
    มือลูบหน้าเพื่อไล่น้ำออก
    "เหรอ งั้นถ้านายว่ายเสร็จแล้ว ฉันมีเรื่องให้นายช่วยหน่อย" โจกล่าวออกมา ซึ่งก่อนที่ผมจะได้ตอบก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี
    น้ำที่แตกกระจายซึ่งเกิดจากลูกเต้าเหล่าใครสักคนแถวนี้
    "นายมีอะไร จะให้ฉันช่วยนะ"
    "อ๋อ ช่วยว่ายต่อไปนะ ไอ้เกลอ" นั่นไง มุขใหม่ของโจ เขาคงจะขาดใจตายถ้าไม่ได้เล่นมุขกับผม
    "เออ เอาเหอะ" แล้วผมกับ โจ ก็ขำด้วยกัน หลังพิงสระอย่างเหนื่อยและอ่อนล้า ผมชอบกลั้นหายใจใต้น้ำมาก
    มันรู้สึกดีนะ ในช่วงแรก ว่าแล้วก็ขอเช็คหน่อยละกัน ว่าตัวเองกลั้นหายใจได้นานเพียงใด
    ผ่านไปอึดใจหนึ่งสุดสังขารที่ผมจะทนไหว ผมคิดว่าสักสองนาทีครึ่งมั้ง ขณะที่โผล่ขึ้นมาเพื่อฮุบอากาศ
    สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป มันอึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงกรี๊ด คนวิ่งพล่าน มันเป็นความโกลาหล
    ที่ผมไม่ชอบเลย มันทำให้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในสงคราม สายตาปรับสภาพ แต่ไม่สามารถดูได้ว่าหน้าไหนเป็นหน้าไหน
    คนมากหน้าหลายตาวิ่งไล่จับกัน อลหม่าน ผมคิดว่าเห็นคนกลุ่มหนึ่ง นั่งลุมล้อม("รุมล้อม")ทำอะไรซักอย่าง
    หัวขยับเคลื่อนไปมาอย่างน่ากลัว มองลอดแขนของคนๆหนึ่ง เจอวัตถุบางอย่างนอนแน่นิ่งไป(เอาให้แน่ว่าเป็นสิ่งของ หรือเป็นคน)
    "พระเจ้า!" ผมว่าผมอุทานไม่ผิด นั้นมันคนนี่ สายตาว่างเปล่า แม่เจ้า เขาตายแล้ว
    อ้าาาา !!! เสียงคำรามดังขึ้น ผมหันกลับไป มองหาเจ้าของเสียง จากข้างสระ ชายผู้นั้น แต่งชุดตำรวจ แยกเขี้ยวอย่างน่ากลัว ของเหลวสีแดงเต็มปาก
    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นนน"ใช่ทุกอย่างเริ่มชัดขึ้น บรรยากาศเงียบลง ทุกสายตาจับจ้องที่ผมท่าทางโกรธแค้นและแล้วพวกเขาก็พุ่งมาที่ผม
    ใต้ความสับสน ผมตัดสินใจว่ายน้ำให้เร็วที่สุด หลังจากว่ายไปครึ่งสระ ในหูได้ยินเสียงกระโดดลงน้ำ
    ผมตัดสินใจหันกลับไปมองพวกเขากระโดลงน้ำตามมา กะด้วยสายตาแล้วมากกว่า 50 คน มาจากข้างหลัง
    ผมกลัวเหลือเกิน กลัวที่จะต้องไปนอนเป็นศพที่โดนแทะ น้ำตาไหลออกมาพร้อมความรู้สึกสิ้นหวัง
    แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ว่าย กลับตะกุยขาไม่ยั้งเหมือนพยายามวิ่ง ผมหันกลับไปมีกำลังใจเล็กน้อยแม้น้ำตาจะไหล(เป็นทหารผ่านศึกที่ใจเสาะมาก)
    อยู่ก็ตาม
    แต่ว่ามีอีกประมาณ 50 คนก็โดดลงสระมาเช่นกัน ตอนนี้ผมโดนล้อมแล้วจาก'อะไรสักอย่าง'
    เหลืออีกแค่สามเมตรพวกเขาจะถึงตัวผม โอ้ไม่ หน้าตาเปื้อนเลือด กลิ่นเหม็นตลบอบอวน ผมหวีดร้อง
    สายตาคลั่งแค้น(สายตาของสิ่งที่ตายไปแล้วไม่น่าจะสื่ออารมณ์นะ)พยายามไขว่คว้าตัวผม ผมไม่สนว่าเขาจะตายหรือไม่แล้วตอนนี้ พวกเขาล้อมผม ไร้ทางหนีผมตกเป็นเหยื่อแน่นอนแล้ว การหายใจเริ่มกระสับกระส่าย หมดกำลังใจที่จะว่ายต่อ แรงหายไป รอที่จะเป็นเหยื่อ
    แต่ มีบางคนเท้าลอยอยู่ทำให้ผมนึกอะไรออก ดวงผมยังไม่ถึงฆาตหรอกน่า แล้วตัดสินใจ กระทำสิ่งที่งี่เง่าที่สุดไป นั่นคืองับอากาศที่แรงที่สุดเข้าปอด แล้วทิ้งตัวลงในน้ำ รู้สึกถึงแรงกดจับที่ขา ไม่มีเวลาหันไปดู ผมดิ้นสุดแรงแล้วรีบว่าย
    รักษาความลึกให้ได้มากที่สุด ขณะที่กำลังแหวกว่ายผ่านขาหลายขาและแขนที่ตะเกียยกตะกายอย่างสับสันอยู่นั้น เกิดการชุลมุนขึ้นเหนือผม
    มันหาตัวผมอยู่ ผมถึงอีกปลายฝั่ง แตะขอบสระ
    โผล่ขึ้นมาเบียดกับใครบางคนไม่เหลือเวลาให้หายใจแล้ว ผมเอามือยันขอบสระแต่ ตัวผมกลับถูกกระชากลงในน้ำ แม้เห็นไม่ชัดแต่ก็รู้ว่ามันกำลังจะกัดผม
    "ม่ายยยย" การตะโกนที่ไร้ประโยชน์ ขอบคุณแรงดันน้ำ ที่ทำให้มันมาช้า สัญชาติญาณสั่งให้ใช้สองมือหักคอเขา
    ผมปีนขึ้นฝั่ง วิ่งอีกสองสามก้าว หายใจหอบแล้วหันกลับไปที่สระ เลือดเต็มขอบสระ ผู้คนนอนเสียชีวิต เลือดไหลมากอง บางรายไส้ออกมาทะลัก แ
    ต่ภาพที่น่ากลัวที่สุดอยู่ตรงหน้าผม ที่สระน้ำ ผมเข่าอ่อนทันที ผู้คนนับร้อยอัดกันแน่นในสระสีแดงฉาน เหมือนฝูงมดในรังแคบที่ไร้ซึ่งความสามัคคี พยายามเหยียบหัวกันเพื่อขึ้นมาหาผม คนปีนขึ้นหัวอีกคนไม่สนว่าจะมีตัวตนหรือไม่ ผมเอามือปิดหน้า พระเจ้าเล่นอะไรกับผม
    ตอนนี้ คงไม่ต้องห่วงพวกหน้าโง่ในสระแล้ว ผมนั่งพัก ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ซึ่งทีจริงผมน่าจะอ้วกแล้ว เพราะกลิ่นคาวเลือด ชวนแหวะ
    เสียงครวญคราง ดังขึ้น ไม่ใช่เสียงตะโกนในสระ ผมลุกขึ้นมอง เห็นศพที่นอนตายนั้น ค่อยๆยันตัวเองกับพื้นช้าๆ ผมส่ายหัวอย่างตะลึง ร่างกายสั่นด้วยความกลัว ใจไม่กล้าทำอะไรแล้ว
    อ้าาาา !!! จากเสียงครวญครางเป็นเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ผมออกแรงวิ่งด้วยเท้าเปล่า ไปที่ เชฟโรแลต ของตัวเอง จนเมื่อถึงรถ
    "กุญแจรถล่ะ" ผมหันกลับไปที่สระ เห็นใครหลายคนวิ่งออกมา สายตาจับจ้องที่ผม
    ลองเสี่ยงดึงประตู โอ้ ไม่ได้ล็อค ขอบคุณพระเจ้า
    ว่าแล้วก็รีบเข้าในรถ ปิดประตูล็อค แก้เบาะออกต่อสายเครื่อง เสียงกระหึ่มดังขึ้น เวลาเดียวกับที่คนหลายคนมาทุบกระจกรถ ผมมองอย่างหวาดหวั่น แต่แน่ใจว่ามันแข็งแรงพอแน่ ผมเข้าเกียร์ถอยหลังและรีบพุ่งออกไปทันที


    สรุปการสับ
    -เว้นวรรค์บางช่วงไม่ค่อยดี
    -เรื่องภาษา และเรื่องอื่นๆ น่าจะปรับปรุงหน่อยนะครับ

    แค่นี้ล่ะมั้ง
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LoveSeeker : 3rd December 2012 เมื่อ 22:17

    นิยาย:การทหาร พจญภัย วิทยาศาสตร์

  35. รายชื่อสมาชิกจำนวน 4 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  36. #19
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ LoveSeeker อ่านกระทู้
    ชื่อเรื่องผิดไวยารณ์นะหนู
    adj. ตามหลังคำนานไม่ได้นะ ต้องอยู่หน้าคำนาม
    เรื่องอื่น เดี๋ยวมาตามสับให้ที่หลัง



    แสงแดดอ่อนๆ ตอนบ่ายแก่ๆ ของอากาศที่สงบสุข ในเมืองเล็กๆ เคล้าธรรมชาติสไตล์ชนบท

    อย่าง"เลควิว" แม้จะมีตัวเมืองอยู่บ้าง แต่ก็พอจะให้เป็นที่เปิดหูเปิดตาของชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ทั่ว ทุก(ใช้ "ทั้ง" น่าจะดีกว่านะ)อำเภอจะมีสถานที่บำรุงสุขภาพอยู่ทั่วทุกแห่ง
    ทำให้เลควิวมีชื่อในเรื่องการบำรุงสุขภาพทั้งทางกายและใจ ผู้คนส่วนมากจึงเอาเวลาไปผ่อนคลายชนะความเครียด ดีกว่าไปปล้นใครต่อใคร (เหมื่อนมันจะไม่เกียวกันนะ น่าจะบอกว่า "ดีกว่าไปเสพย์ยา )

    ผมเป็นทหารจากสงครามกลางเมือง (สงครามกลางเมือง (อังกฤษ: Civil war) เป็นสงครามภายในกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรม, สัญชาติ หรือสังคมแบบเดียวกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อแย่งชิงอำนาจหรือดินแดน สงครามกลางเมืองอาจนับเป็นการปฏิวัติ (Revolution) ได้ในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ภายในสังคมนั้นหลังจากสิ้นสุดสงคราม
    นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มยังได้นับรวมเอาการจลาจล (Insurgency) เป็นสงครามกลางเมืองประเภทหนึ่งด้วยถ้ามีการสู้รบระหว่างกองทัพอย่างเต็มรูปแบบ ปัจจุบันความแตกต่างระหว่าง "สงครามกลางเมือง", "การปฏิวัติ" และ "การจลาจล" นั้นไม่ชัดเจนนัก ขึ้นอยู่กับบริบทในการใช้งาน เช่นสงครามฝ่ายเหนือใต้ของสหรัฐอเมริกา)
    ที่รัสเซีย

    เกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายที่ลักลอบขนอะไรซักอย่างที่เราไม่มีทางรู้ (ไม่ใช่สงคราม แต่เป็นการ "ก่อการร้าย" มากกว่า
    แม้รัฐบาลจะมองเราเป็นเพียง"ทหารเลว"แต่ผมก็ภูมิใจที่อย่างน้อย
    ก็ได้รับใช้ชาติ หลับหูหลับตาทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง เอาคำขวัญที่ว่า "ใครขวางทางชาติ จะกำจัดให้หมดสิ้น"
    แน่นอนเราเสียทหารไปมากกว่า500คน 20คนในนั้นเป็นเพื่อนผม แต่ภารกิจลุล่วง เราฆ่าหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่ชื่อ
    "โคเลียม วีนอสกี้" ทุกอย่างจบ ใช้พักร้อน 2 เดือนให้คุ้มค่าที่สุด ประหยัดเงินให้มากที่สุด บอกตามตรงเลยว่า สันดานผมขี้เหนียวพอสมควร
    โดยเดิมแต่เก่าก่อน (ใช้คำเปลืองไปนะ) ผมเป็นคนที่เลควิวเต็มตัว ครอบครัวผมทุกคนเกิดที่นี่
    โดยเฉพาะ เคน และ อัลเลน ไทเลอร์ บุพการีของผมท่านทั้งสองเป็นวีรบุรุษและวีรสตรีแห่งสงคราม
    เหตุนี้กระมังที่ทำให้ผมได้ยศร้อยเอกมาง่ายกว่าปกติ แต่ผมภูมิใจที่ได้ชื่อท่านทั้งสอง มารวมในชื่อกลาง "คา"

    ผมว่ายท่าฟรีสไตล์อย่างสวยงามในสระยาว25เมตร ลึก2เมตร สระสี่เหลี่ยมผืนผ้า คุณภาพดีในสถานบำรุงสุขภาพทางตอนใต้ของเมือง
    ที่ผมเลือกที่นี่เพราะคนไม่คับคั่งนัก ไม่แพงจนเกินไป เน้นคนที่เป็นสมาชิกหรือไม่ก็คนในชุมชน พวกเรารู้จักกันดี
    การทำลำตัวให้เหมือนคนหมดแรง งอเข่าแล้วสะบัดเท้า เป็นเทคนิคอย่างดีในการว่ายท่านี้
    "รู้สึกว่า วันนี้จะว่ายเร็วขึ้นนะ คา " เสียงหนึ่งทักหลังจากผมว่ายติดต่อกัน ไม่ต้องแปลกใจเลยเสียงอุ่นทุ้มและใจดีนี้ต้องเป็นเสียงของ
    โจ ยามเฝ้าสระ เพื่อนสนิทของผม
    " มันก็ต้องมีพัฒนาบ้างสิ " ผมตอบกลับหลังจากที่หายใจในน้ำ และถอดแว่นกันน้ำ
    มือลูบหน้าเพื่อไล่น้ำออก
    "เหรอ งั้นถ้านายว่ายเสร็จแล้ว ฉันมีเรื่องให้นายช่วยหน่อย" โจกล่าวออกมา ซึ่งก่อนที่ผมจะได้ตอบก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี
    น้ำที่แตกกระจายซึ่งเกิดจากลูกเต้าเหล่าใครสักคนแถวนี้
    "นายมีอะไร จะให้ฉันช่วยนะ"
    "อ๋อ ช่วยว่ายต่อไปนะ ไอ้เกลอ" นั่นไง มุขใหม่ของโจ เขาคงจะขาดใจตายถ้าไม่ได้เล่นมุขกับผม
    "เออ เอาเหอะ" แล้วผมกับ โจ ก็ขำด้วยกัน หลังพิงสระอย่างเหนื่อยและอ่อนล้า ผมชอบกลั้นหายใจใต้น้ำมาก
    มันรู้สึกดีนะ ในช่วงแรก ว่าแล้วก็ขอเช็คหน่อยละกัน ว่าตัวเองกลั้นหายใจได้นานเพียงใด
    ผ่านไปอึดใจหนึ่งสุดสังขารที่ผมจะทนไหว ผมคิดว่าสักสองนาทีครึ่งมั้ง ขณะที่โผล่ขึ้นมาเพื่อฮุบอากาศ
    สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป มันอึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงกรี๊ด คนวิ่งพล่าน มันเป็นความโกลาหล
    ที่ผมไม่ชอบเลย มันทำให้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในสงคราม สายตาปรับสภาพ แต่ไม่สามารถดูได้ว่าหน้าไหนเป็นหน้าไหน
    คนมากหน้าหลายตาวิ่งไล่จับกัน อลหม่าน ผมคิดว่าเห็นคนกลุ่มหนึ่ง นั่งลุมล้อม("รุมล้อม")ทำอะไรซักอย่าง
    หัวขยับเคลื่อนไปมาอย่างน่ากลัว มองลอดแขนของคนๆหนึ่ง เจอวัตถุบางอย่างนอนแน่นิ่งไป(เอาให้แน่ว่าเป็นสิ่งของ หรือเป็นคน)
    "พระเจ้า!" ผมว่าผมอุทานไม่ผิด นั้นมันคนนี่ สายตาว่างเปล่า แม่เจ้า เขาตายแล้ว
    อ้าาาา !!! เสียงคำรามดังขึ้น ผมหันกลับไป มองหาเจ้าของเสียง จากข้างสระ ชายผู้นั้น แต่งชุดตำรวจ แยกเขี้ยวอย่างน่ากลัว ของเหลวสีแดงเต็มปาก
    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นนน"ใช่ทุกอย่างเริ่มชัดขึ้น บรรยากาศเงียบลง ทุกสายตาจับจ้องที่ผมท่าทางโกรธแค้นและแล้วพวกเขาก็พุ่งมาที่ผม
    ใต้ความสับสน ผมตัดสินใจว่ายน้ำให้เร็วที่สุด หลังจากว่ายไปครึ่งสระ ในหูได้ยินเสียงกระโดดลงน้ำ
    ผมตัดสินใจหันกลับไปมองพวกเขากระโดลงน้ำตามมา กะด้วยสายตาแล้วมากกว่า 50 คน มาจากข้างหลัง
    ผมกลัวเหลือเกิน กลัวที่จะต้องไปนอนเป็นศพที่โดนแทะ น้ำตาไหลออกมาพร้อมความรู้สึกสิ้นหวัง
    แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ว่าย กลับตะกุยขาไม่ยั้งเหมือนพยายามวิ่ง ผมหันกลับไปมีกำลังใจเล็กน้อยแม้น้ำตาจะไหล(เป็นทหารผ่านศึกที่ใจเสาะมาก)
    อยู่ก็ตาม
    แต่ว่ามีอีกประมาณ 50 คนก็โดดลงสระมาเช่นกัน ตอนนี้ผมโดนล้อมแล้วจาก'อะไรสักอย่าง'
    เหลืออีกแค่สามเมตรพวกเขาจะถึงตัวผม โอ้ไม่ หน้าตาเปื้อนเลือด กลิ่นเหม็นตลบอบอวน ผมหวีดร้อง
    สายตาคลั่งแค้น(สายตาของสิ่งที่ตายไปแล้วไม่น่าจะสื่ออารมณ์นะ)พยายามไขว่คว้าตัวผม ผมไม่สนว่าเขาจะตายหรือไม่แล้วตอนนี้ พวกเขาล้อมผม ไร้ทางหนีผมตกเป็นเหยื่อแน่นอนแล้ว การหายใจเริ่มกระสับกระส่าย หมดกำลังใจที่จะว่ายต่อ แรงหายไป รอที่จะเป็นเหยื่อ
    แต่ มีบางคนเท้าลอยอยู่ทำให้ผมนึกอะไรออก ดวงผมยังไม่ถึงฆาตหรอกน่า แล้วตัดสินใจ กระทำสิ่งที่งี่เง่าที่สุดไป นั่นคืองับอากาศที่แรงที่สุดเข้าปอด แล้วทิ้งตัวลงในน้ำ รู้สึกถึงแรงกดจับที่ขา ไม่มีเวลาหันไปดู ผมดิ้นสุดแรงแล้วรีบว่าย
    รักษาความลึกให้ได้มากที่สุด ขณะที่กำลังแหวกว่ายผ่านขาหลายขาและแขนที่ตะเกียยกตะกายอย่างสับสันอยู่นั้น เกิดการชุลมุนขึ้นเหนือผม
    มันหาตัวผมอยู่ ผมถึงอีกปลายฝั่ง แตะขอบสระ
    โผล่ขึ้นมาเบียดกับใครบางคนไม่เหลือเวลาให้หายใจแล้ว ผมเอามือยันขอบสระแต่ ตัวผมกลับถูกกระชากลงในน้ำ แม้เห็นไม่ชัดแต่ก็รู้ว่ามันกำลังจะกัดผม
    "ม่ายยยย" การตะโกนที่ไร้ประโยชน์ ขอบคุณแรงดันน้ำ ที่ทำให้มันมาช้า สัญชาติญาณสั่งให้ใช้สองมือหักคอเขา
    ผมปีนขึ้นฝั่ง วิ่งอีกสองสามก้าว หายใจหอบแล้วหันกลับไปที่สระ เลือดเต็มขอบสระ ผู้คนนอนเสียชีวิต เลือดไหลมากอง บางรายไส้ออกมาทะลัก แ
    ต่ภาพที่น่ากลัวที่สุดอยู่ตรงหน้าผม ที่สระน้ำ ผมเข่าอ่อนทันที ผู้คนนับร้อยอัดกันแน่นในสระสีแดงฉาน เหมือนฝูงมดในรังแคบที่ไร้ซึ่งความสามัคคี พยายามเหยียบหัวกันเพื่อขึ้นมาหาผม คนปีนขึ้นหัวอีกคนไม่สนว่าจะมีตัวตนหรือไม่ ผมเอามือปิดหน้า พระเจ้าเล่นอะไรกับผม
    ตอนนี้ คงไม่ต้องห่วงพวกหน้าโง่ในสระแล้ว ผมนั่งพัก ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ซึ่งทีจริงผมน่าจะอ้วกแล้ว เพราะกลิ่นคาวเลือด ชวนแหวะ
    เสียงครวญคราง ดังขึ้น ไม่ใช่เสียงตะโกนในสระ ผมลุกขึ้นมอง เห็นศพที่นอนตายนั้น ค่อยๆยันตัวเองกับพื้นช้าๆ ผมส่ายหัวอย่างตะลึง ร่างกายสั่นด้วยความกลัว ใจไม่กล้าทำอะไรแล้ว
    อ้าาาา !!! จากเสียงครวญครางเป็นเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ผมออกแรงวิ่งด้วยเท้าเปล่า ไปที่ เชฟโรแลต ของตัวเอง จนเมื่อถึงรถ
    "กุญแจรถล่ะ" ผมหันกลับไปที่สระ เห็นใครหลายคนวิ่งออกมา สายตาจับจ้องที่ผม
    ลองเสี่ยงดึงประตู โอ้ ไม่ได้ล็อค ขอบคุณพระเจ้า
    ว่าแล้วก็รีบเข้าในรถ ปิดประตูล็อค แก้เบาะออกต่อสายเครื่อง เสียงกระหึ่มดังขึ้น เวลาเดียวกับที่คนหลายคนมาทุบกระจกรถ ผมมองอย่างหวาดหวั่น แต่แน่ใจว่ามันแข็งแรงพอแน่ ผมเข้าเกียร์ถอยหลังและรีบพุ่งออกไปทันที


    สรุปการสับ
    -เว้นวรรค์บางช่วงไม่ค่อยดี
    -เรื่องภาษา และเรื่องอื่นๆ น่าจะปรับปรุงหน่อยนะครับ

    แค่นี้ล่ะมั้ง

    ขอบคุณครับ สำหรับคำติ นี่แสดงว่าผมกำลังอยู่ในขั้นตัวอ่อนจริงๆ
    ผมจะเอาคำติไปแก้ไขและพัฒนานะครับ ขอบคุณจริงๆ คุณเป็นที่พึ่งได้อีกคนในบอร์ด
    แต่มีบางอย่างอยากชี้แจง
    1.ไปปล้นถูกแล้วครับ ผมจะแสดงว่าเมืองนี้อาชญากรรมมันน้อย
    2."เจอวัตถุบางอย่างนอนแน่นิ่งไป" ผมเขียนแบบใช้มุมมองของตัวเราเป็นหลัก คนพึ่งขึ้นมาจากน้ำเหตุการณ์สับสน
    ก็คงเป็นอย่างนั้น ที่สำคัญ ผมเขียนไว้แล้วนะ ว่านั่นคือคน
    3."เป็นทหารที่ใจเสาะมาก" คนหยุดพักร้อน ว่ายน้ำแล้วกำลังง เจอคนกินเนื้อคนไล่ตาม ใครเห็นก็ต้องตกใจ
    ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ช็อคคาสระ
    4."สายตาคลั่งแค้น" ควรจะรอดูอีกสักนิด(บอกในบทต่อๆไป) เพราะคนพวกนั้นยังไม่ตาย(เฉพาะที่โผล่มาตอนแรก) สีหน้าก็ยังอยู่

    ส่วนเรื่องอื่นผมต้องขอขอบคุณจริงครับ ที่มาแก้ช่องว่างที่โหว่อยู่ให้
    คุณจะเป็นหนึ่งคนที่ทำให้ปณิธานของผมครบถ้วนบริบูรณ์
    3 Coins DPP

  37. รายชื่อสมาชิกจำนวน 3 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  38. #20
    "I Love Army"
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    ที่อยู่
    หนุ่ม สุ1000
    กระทู้
    733
    กล่าวขอบคุณ
    1,250
    ได้รับคำขอบคุณ: 209
    บทที่ 6 กว่าจะมารอตั้งนานในที่สุดก็มาแล้วเย้ๆ

  39. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  40. #21
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818

    บทที่ 7 สัญญาณจากสวรรค์

    "ไม่คิดเลยว่านาย จะเป็นคนอย่างนี้" เสียงโรลดังพร้อมกันกับที่แจ็คลืมตา
    "ไม่รู้สินะ ฉันเห็นเขามองก้นเธอบ่อย เอ็มม่า" โอเลดพูดแล้วหัวเราะ แต่เงียบทันทีที่โดนเอ็มม่าค้อนตาใส่
    "จะทำยังไงกับเขาดี สับไปให้พวกเชื้อยากินเลยมั้ย" โจถาม หลายคนมีสีหน้าเห็นด้วย ไม่เอาน่า ผมรู้ว่าพวกเขาล้อเล่น
    "พวกแอทำ ไรอับฉัน" แจ็คพูดอย่างงัวเงีย เสียงอู้อี้เพราะจมูกยังไม่หายดี ถึงผมจะซ่อมจมูกให้แล้วก็เถอะ "ไหนไอพระเดกอี้อ๊กอั้น แอจะต้องงงนรก"
    "หยุดพูดเถอะ ไม่มีใครฟังนายรู้เรื่องหรอก" โรลตะคอก
    เหตุการณ์หลังจากที่ผมอัดแจ็คจนสลบ ทำให้ทุกคนตื่น ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นอีก ทุกคนใช้กุญแจมือล็อคแจ็ค โดยไขว้มือไว้ด้านหลัง ปล่อยให้เขานอนร้องโอดครวญ ถึงผมจะรู้สึกสงสารอยู่บ้างก็เถอะนะ แต่การทำเรื่องอะไรแบบนี้ ในที่แบบนี้ มันออกจะห่ามเกินไปหน่อย และน่าสงสารที่ผู้หญิงคนนั้นดันเป็นคนในเรดาร์ของผมซะด้วย
    นี่ตอนเช้าแล้ว เคลลี่ทำอาหารเป็นไข่ยัดไส้เหมือนเดิม คงมีแต่ผมที่อยากกิน เพราะทุกคน(ยกเว้นแจ็ค) ทำหน้าเอือมระอากันหมด ผมกินอย่างมูมมามท่ามกลางสายตาแปลกใจของทุกคน แต่เคลลี่เปลี่ยนเป็นดีใจทันที
    "ผมเข้าใจล่ะ พวกคุณกินนี่เป็นมื้อที่ร้อยแล้วใช่ไหม" โอเลดพยักหน้าและทุกคนก็กลีบไปก้มมองไข่ยัดไส้ของตัวเอง
    เรื่องการอาบน้ำ ทุกคนจะรวมตัวกัน(ยกเว้นแจ็ค เฉพาะวันนี้) ใช้ทางลับไปที่ห้องอาบน้ำ โดยมีผมตามอย่างงกเงิ่น ทำตัวไร้เดียงสา ในห้องน้ำผู้ชาย แบ่งเป็นหลายห้อง ผมตรงไปห้องที่เหลืออยู่แล้วอาบน้ำ รู้สึกสดชื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเมื่ออาบน้ำเสร็จจึงจะนึกได้ว่า เสื้อผ้าตกอยู่ที่ทางเข้าเมือง จะให้วิ่งกลับไปเอาก็ใช่ที่
    สุดท้ายผมใส่เสื้อตัวเดิม ขณะที่คนอื่นมีชุดใหม่ หลายเป็นเรื่องเสียดเย้ยกัน เมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังระหว่างขากลับ ผมสาบานได้เลยว่า เอ็มม่ามองผมอย่างชื่นชม รึว่าผมจะเพ้อเกินไป ผมส่ายหัว เคลลี่มองผมอย่างสดใส ผมจ้องเธอกลับประมาณว่า อะร๊าย
    จนถึงตอนเที่ยง ผมมองเห็นหน้าที่ที่ต่างกัน โรลนั่งฟังอะไรบางอย่างจาก วอล์คกี้-ทอล์คกี้ เอ็มม่า นั่งเหม่อมองไปที่ประตูดูแล้วน่ารัก เคลลี่และเจฟ นั่งดูวัตถุดิบอาหารอย่างใจลอย โจนอนกรนเสียงดัง โอเลด นั่งขัดอาวุธทุกชนิดตั้งแต่มีดยันปืนแถมยังใจดีทำความสะอาดดี-เอ็มให้ด้วย เขาบอกว่าในเวลาว่างที่โรลนั่งห่าง วอล์คกี้-ทอล์คกี้ ได้จะมาสอนให้เขาขัดปืน โรลเลิกคิ้วประมาณว่า ก็เอ็งไม่ถาม ส่วนซินแคลร์ก็อ่านหนังสือ บางครั้งก็ร้องเพลงให้ทุกคนฟัง เสียงเธอเพราะใช่เล่น
    การที่ทุกคนไท่ทำอะไรเลยเนี่ย มันทำให้ผมเบื่อออกไปลุยกับพวกมันน่าจะดีกว่า ผมเช็คกระสุนในเม็กกาซีน เหวี่ยงดี-เอ็มไปมา ผมว่าผมจะออกไปหาเสื้อผ้าสักหน่อยและอาจจะหาวัตถุดิบอาหารที่ยังไม่เน่าด้วย ถึงผมจะชอบอาหารของเคลลี่แต่ถ้ายังมื้อเดิมแบบนี้ ผมอาจจะมีอาการเหมือนทุกคน
    "ที่นี่มันน่าเบื่อมากรึไง" เสียงดังขึ้นผมหันไปมอง เอ็มม่ายืนกอดอกมองผมอย่างสนใจ ผมยักไหล่
    "คุณคงไม่คิดจะให้ผมเวียนใส่กางเกงในของทุกคนหรอกนะ" ผมหัวเราะประชด เธอทำหน้าแหวะแล้วหัวเราะ แต่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขึมอย่างรวดเร็ว
    "แต่ข้างนอกมันอันตราย คุณไม่รู้เหรอ" เอ็มม่าเตือน "ถ้าว่างนัก คุณก็สอนพวกเราใช้ปืนสิ" ผมทำตาโตแต่ก็ยิ้มยียวนใส่
    "คุณจะใช้จริงๆเหรอ" ไม่น่าถามคำถามที่ผมรู้คำตอบ ใครจะไม่อยากใช้
    "ไม่น่าถามคำถามที่คุณไม่อยากรู้คำตอบ" เธอยียวนใส่
    "ไว้ผมกลับมาแล้วจะสอนให้ละกัน" ผมรับประกัน เธอดูหงอยลง
    "น้องชายของฉัน เขาบอกว่าจะกลับมาแต่เขาก็ไม่กลับมา" ผมรู้สึกผิดทันที
    "เฮ้ๆ คุณเป็นจิตต์แพทย์ใช่มั้ย" ผมถามพลางจับไหล่เธอ เอ็มม่าพยักหน้าอย่างแปลกใจ "เพราะฉะนั้นคุณคือคนที่จะสามารถฟื้นฟูจิตใจของคนอื่นได้ แต่อย่าทำร้ายตัวเองอย่างนี้เลยนะ" เธอดูแจ่มใสขึ้น
    "งั้นฉันไปด้วย"
    "หา" ผมตกใจหันไปมองเธอดังควับ เธอยิ้ม
    "ม..ไม่ได้หรอกคุณต้องอยู่ที่นี่สิ" ผมบอกอย่างร้อนลน
    "นะ คุณก็เห็นนี่ฉันก็เบื่อไม่แพ้กัน ได้ออกไปทำอะไรบ้าง เผชิญโลกบ้าง" เธอพูดง่ายยังกับจะไปเที่ยว "ที่สำคัญ คุณไปคนเดียวใครจะดูชุดให้คุณล่ะ" ผมทำหน้าไม่อยากเชื่อ
    "ไม่หรอก ผมให้คุณเจ็บไม่ได้หรอก" ผมบอกแต่เธอยังกะพริบตาปริบๆ ละลายเลยทีเดียว
    "โอเคๆ "

    "นายจะไปทำไม ฮึ" โรลถาม ผมคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ผมจึงต้องใช้ไม้ตาย
    "ผมไม่ไปก็ได้ แต่คุณแบ่งเสื้อผ้ากางเกงในมาให้ผมใช้แล้วกัน" ผมประชด โรลเงียบ
    "งั้นผมไปด้วย มันคันไม้คันมือ" โอเลดพูด นี่แหละวัยรุ่น คึกคะนอง ต้องใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
    "นายอยู่ที่นี่แหละ ปกป้องทุกคนตอนฉันไม่อยู่ แล้วฉันจะหาอะไรสนุกๆมาให้" โอเลดหงอยลง
    "ฮึ ฉันก็ดูแลทุกคนได้ ไม่ต้องให้เด็กนี้มาทำใหญ่หรอก" โจนส์พูด งั้นก็จริงที่ว่าสองคนนี้ไม่ถูกกัน โอเลดมองโจนส์เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกัน
    "เฮ้ ไม่เอาน่า อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ฉันกับเอ็มม่าจะออกไปกันแค่สองคน มีใครคัดค้านมั้ย" โอเลดอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หุบไป และผมได้ยินแจ็คพูดออกมาเบาๆว่า พวกแกน่ะ ไปตายทั้งคู่เลย ผมทำเป็นไม่ได้ยิน
    "เอาล่ะ เอ็มม่า คุณเอาไอ้นี่ไป" ผมถอดปลอกแขนและขาให้ เอ็มม่ามองอย่างสงสัย "เอาไว้ใส่เท่ๆน่ะ" เอ็มม่ามองอย่างไม่อยากเชื่อ "เอาไว้กันพวกซอมบี้น่ะ" เอ็มม่ารับไปอย่างสนใจแล้วหยุด
    "แล้วคุณล่ะ" เอ็มม่าถาม ผมคงต้องโกหก
    "ผมมีอีกคู่" ผมใช้ทักษะในการฝึกอย่างมากที่สุด เพื่อตบตาสุดยอดจิตแพทย์คนนี้
    "อ๋อ" เธอร้อง ผมโล่งใจ
    "ฉันจะเปิดประตูให้ครึ่งเดียวนะ" ผมพยักหน้า หลังจากที่โจนส์เปิดประตูเขาก็กระซิบถามผมว่า
    "นายรู้เหรอว่า ข้างหน้าประตูมีพวกมันรึเปล่า" อืมใช่เลย ผมลืมนึก
    "มีกระจกเว้ามั้ย" ผมหันไปถามซินแคลร์ เธอพยักหน้าแล้วไปหยิบกระจกเว้าขนาดเท่าจานมาให้ ผมสั่งให้โจนส์ยกประตูมาเหนือพื้นนิดหน่อย แล้วยื่นกระจกเว้าออกไป ทางสงบ พอรู้ได้จากแสงแดดจากข้างนอก
    "ทำไมมันมืดจัง" ผมถามโรล
    "เราปิดไฟชั้นนี้ไว้ พวกมันจะไปอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างมากกว่า แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่อยู่ในที่มืด" ผมพยักหน้า เห็นเอ็มม่ายืนถือไฟฉายสองกระบอกรอไว้แล้ว ผมยกนิ้วโป้งให้แล้วหยิบมา ผมคลานออกไปนอกประตูก่อน แล้วให้เอ็มม่าคลานตามออกมา ข้างนอกมืดอากาศอับชื้นและเหม็นอบอวลไปหมด ผมค่อยๆย่างเท้าช้าๆ ผ่านซอมบี้นับสิบศพ เอ็มม่ามองอย่างสงสัย พื้นที่แถวนี้ยังปลอดภัยไม่มีเสียงคราง ผมสั่งให้เธอไปเอารถเข็นมา ผมเดินไปคว้ากระเป๋าซึ่งตั้งโชว์อยู่ โยนใส่รถเข็น
    "คุณจะสอนฉันใช้ปืนมั้ย" เธอถามขณะที่ผมเดินผ่านหน้าร้านอาหารต่างๆ
    "แน่นอน แต่ผมอยากรู้ว่าคุณจะทำใจฆ่าพวกนี้ลงหรือเปล่า" ผมถาม "ซึ่งมันไม่ใช่แค่การยิงปืน เมื่อถึงเหตุฉุกเฉินคุณจะสามารถใช้ทั้งมีดหรืออาวุธต่างๆเพื่อทำลายหัวมัน" เอ็มม่านั่งฟังเหมือนจดเลคเชอร์
    "คุณเข้าใจมั้ยเนี่ย" ผมปลุกเธอ เธอสะดุ้งแล้วรีบพยักหน้า ผมส่ายหัวพลางยิ้ม แต่ก็ได้ยินเสียงบางอย่างเสียงคราง ผมหยุด
    "มาหลบหลังผม" ผมสั่งเอ็มม่า เห็นซอมบี้ตัวหนึ่ง วิ่งเหยาะๆเข้ามา ผมกระชับดี-เอ็มในมือ แต่แปลกใจที่มันวิ่งไม่เร็วเหมือนก่อน หรือไอ้ตัวนี้จะอ้วน ไม่น่าจะใช่นะ
    "คุณเลือกได้ว่าจะดูหรือปิดตา" ผมพูดโยไม่หันหลัง และวิ่งเข้าไปประทะกับซอมบี้แล้วหวดไม้เต็มแรงตัวมันลอยกลางอากาศนอนแน่นิ่งไป
    "คุณทำได้ยังไง" เอ็มม่าถามสายตามองผมอย่างไม่อยากเชื่อ
    "คุณไม่เคยเผชิญหน้ากับมันคงไม่รู้หรอก มันไม่ใช่คนแล้ว ไม่มีความรู้สึก หิวแต่เนื้อสด ผมอธิบายตอนนี้คุณอาจจะไม่เข้าใจ แต่ผมจะให้คุณเผชิญหน้ากับมัน" ผมบอกไปอย่างนั้นแหละ แต่ถึงกระนั้นเธอก็มองผมเหมือนว่าผมได้พูดคำที่ร้ายกาจลงไป
    "เดินถึงแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว ทำไมไม่เห็นเจอเสื้อผ้าเลย" ผมบ่น
    "ฮิๆ ฉันลืมไป มันอยู่ชั้นล่าง นั่นไง ว่าแล้ว แต่ช่างเถอะยังไงผมก็กะจะมาเอาไฟฟ้าอยู่แล้ว
    "ฉันเป็นลูกครึ่งสวีเดน คือแม่ฉันน่ะ" เธอเริ่มต้น ขณะที่ผมกำลังเลือกปลั๊กพ่วงที่มีรูเสียบเยอะที่สุดอยู่ "ฉันได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี เป็นเด็กที่เพียบพร้อม เรียนดี กีฬาเด่น คือ ฉันถนัดเทนนิส พอโตขึ้นฉันก็ไปเป็นจิตแพทย์" ผมหยิบปลั๊กพ่วงสี่ชิ้นลงไปในรถเข็น "คุณอาจจะแปลกใจตอนแรกฉันอยากเป็นศัลยแพทย์ แต่จนวันหนึ่งฉันไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งเขียนว่า การศึกษาจิตใจมนุษย์ ฉันสนใจมัน ก็เลยลองเอามาอ่านเล่น" ผมเลือกโทรทัศน์ขนาดที่กะทัดรัดที่สุด "ตามประสาคนอยากรู้ ฉันลองไปทดสอบกับเพื่อน ฉันหมายถึงแฟนน่ะ" หัวใจผมกระตุกวูบ แต่ทำเป็นเลือกโทรทัศน์ เธอยิ้มอย่างมีเลศนัย "มันได้ผลล่ะ มันทำให้ฉันสนใจเรื่องจิตวิทยา" เธอหยุดและผมรู้สึกได้ว่าเธอจ้องผมอยู่ ผมจึงจ้องตอบ
    "คุณไม่คุยกับฉันเลย คุณปล่อยให้ฉันคุยอยู่คนเดียว จนฉันคิดว่าคุณรำคาญ" ผมยิ้มแล้วมองตาเธอ
    "รู้อะไรมั้ย ผมไม่เคยรำคาญอะไรก็ตามที่เป็นคุณ ถึงแม้เราจะพึ่งพบกันก็เถอะ" ผมหยุดไว้แค่นั้น ไม่อยากพูดอะไรที่มันน้ำเน่าต่อไป เธอยิ้มอายๆแล้วเดินเชิดหายไป ผมอยากจะห้ามแต่ก็คิดว่าไม่ควรให้เธอเบื่อ ที่สำคัญพื้นที่แถวนี้ปลอดภัย ผมหยิบโทรทัศน์ขนาด 25x20 นิ้ว วางไว้ในรถเข็น จากนั้นอีกสักพักเธอเดินกลับมาพร้อมเครื่องเล่นซีดี/วิดีโอ ซึ่งเป็นของดีเลยทีเดียว
    "คุณรู้ได้ไง ว่าเครื่องเล่นนั่นเจ๋ง" ผมถามลองเชิง
    "เชื่อฉันสิ" เธอให้ความมั่นใจ
    หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ผมเข็นรถไปอยู่ข้างหน้าที่พักแล้วให้โรลออกมารับ
    "คุณไปพักเถอะ ข้างล่างมันอันตรายเกินไป" ผมบอกเอ็มม่า แต่ดูจากสายตาแล้วเธอไม่ยอมแน่ๆ
    "คุณจะไปเดินดุ่มๆ อยู่ข้างล่างได้ไง ไม่มีคนแนะนำเส้นทาง คุณก็หลง คุณหลงก็หาทางกลับไม่ได้เจอกับซอมบี้ คุณก็ตาย ให้ฉันไปด้วยแนะนำเส้นทางแล้วเราก็กลับมาพร้อมชุดหล่อของคุณ" เธอเล่นซะผมพูดไม่ออก ผมอ้าปากจะพูดแต่เธอชิงพูดซะก่อน "ที่สำคัญฉันจะได้ไปลองเผชิญหน้ากับพวกมันดู"
    "พวกนายรีบไปเถอะนะ มัวแต่เถียงกันอยู่ได้" โรลพูดอย่างละเหี่ยใจ ผมจะเถียงแต่ "นายพาเธอไปด้วย จะได้ไม่เสียเวลา" โรลไล่ ก็ได้ๆ
    ผมกับเอ็มม่าเดินไปที่บันไดเลื่อนซึ่งมีรถเข็นบังอยู่ ผมค่อยๆเลื่อนมันออกช้าๆ แล้วค่อยๆเดินลงไป เริ่มเห็นแสงสว่าง
    "เดี๋ยวคุณเลี้ยวขวาเลยนะ" เอ็มม่าบอก ผมพยักหน้า ยิ่งลงใกล้ถึงเสียงครางก็ยิ่งดังขึ้น เมื่อลงมาถึงเจอซอมบี้ผู้หญิงสวมชุดแคชเชียร์ยืนรอท่าอยู่แล้ว ผมส่งสัญญาณมือให้เอ็มม่าหลบด้านหลัง ซอมบี้ตัวนั้นหันมาเห็นจึงวิ่งเหยาะๆมา มือไขว่คว้า ปากอ้างับ มันแปลกมากพวกนี้วิ่งช้าขึ้นทุกวัน แต่ก็ดี ผมเดินเข้าไปแล้วหวดไม้เข้าเต็มหน้า หัวแบะทันที เอ็มม่ายืนตัวแข็งมองอย่างสยดสยอง ผมกวักมาเป็นสัญญาณให้เดินต่อ หลังจากเลี้ยวขวา จะเป็นทางแยกสองทางข้างหน้าเป็นทางเดินไปแผนกเฟอร์นิเจอร์ ผมเลี้ยวซ้ายตามสัญชาตญาณ
    "เฮ้ คุณจะไปไหน" เอ็มม่ากระซิบถาม พลางเรียกให้ผมไปทางขวา ผมย่องค่อยๆเดินไปเริ่มเห็นเสื้อผ้า ทีจริงผมจะเดินกลับไปเอาชุดLEEข้างหน้าก็ได้ แต่มันเป็นอะไรที่ลำบากมาก ข้างหน้าผมมีซอมบี้ยืนเหม่อกันอยู่ถึงห้าตัว จะบ้าพลังไปบู๊ด้วยคงใช่ที่ ผมกับเอ็มม่าจึงไปหลบหลังชั้นวางเสื้อผ้า แล้วรีบโกยเสื้อผ้าที่ต้องการทันที พวกมันข้างหน้าคงจะได้ยินเสียงขยับ เพราะพวกมันสองตัวเดินอ้อมมาทางผม ผมชักปืนคู่พร้อมที่เก็บเสียงออกมาแล้วกระหน่ำยิงไม่ยั้งแล้วรีบวิ่งก่อนที่อีกสามตัวข้างหน้าจะพาพรรคพวกมาด้วย
    ระหว่างทางกลับ ใกลออกไปมีซอมบี้ผู้ชายขวางทางไว้ ถ้าดูดีๆหน้าตาคุ้นหน้าอย่างประหลาดข้างผมยกมือปืดปากทำตาโต สีหน้าตื่นตระหนกผมพอเข้าใจแล้วนั่นคงจะเป็นครอบครัวของเธอแน่ๆ แต่มันจะบังเอิญขนาดนั้นเลยรึ หรือว่าผมคิดมากไปเอง
    ถ้าเธออยากสู้สิ่งนี้น่าจะใช้ได้ ผมยื่นดี-เอ็มให้พลางพยักเพยิดไปทางซอมบี้ตัวนั้น เธอส่ายหัวไปมา ผมใช้สายตาที่แน่วแน่บอกเธอว่า ทำซะ เธอยื่นมือสั่นระริกออกมารับดี-เอ็มไว้ แล้วเดินตรงไปหามัน มันเห็นเธอแล้วและวิ่งเหยาะๆตรงเข้ามา ผมชักปืนรอไว้ ในใจรู้แน่ว่าเธอทำไม่ได้ เป็นใครก็คงตัดสินใจยาก
    มันวิ่งเข้าใกล้เธอทุกที แต่เธอไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรเลย
    "กรี๊ดดด" เธอกรีดร้อง ผมเหนี่ยวไกทันที กระสุนแหวกอากาศลอยผ่านหูของเธอไปโดนหัวซอมบี้อย่างจัง มอนนอนแน่นิ่งทันที เธอนั่งลงอย่างอ่อนแรงทิ้งดี-เอ็มให้กลิ้งไปกับพื้น ผมเข้าไปพยุงตัวเธอให้ยืนขึ้น เธอกอดผมและทุบอกของผมพลางพูดพึมพำว่า นั่นน้องฉันนะ ความจริงตอนนี้ผมไม่สนจริง สนอยู่อย่างเดียวว่าเสียงของเธอจะเรียกพวกมันมา จนกระทั่งเสียงครางดังขึ้นเรื่อยๆ ผมหันกลับไปดูซอมบี้นับหลายสิบ วิ่งกะเผลกเข้ามาจากรอบทิศ
    "วิ่งเอ็มม่า วิ่ง!!" ผมผลักเธอแล้วก้มไปหยิบดี-เอ็ม มือถือปืนยิงทุกตัวที่มาขวางทาง ซึ่งทางข้างหน้าค่อนข้างสะดวก ผมวิ่งขึ้นบันไดกับเอ็มม่าแล้วรีบเอารถเข็นมากั้นไว้ แล้ววิ่งต่อไปที่ที่พัก บอกให้โรลเปิดประตู รู้สึกโล่งใจทันทีที่ได้กลับมาเห็นหน้าทุกคนอีกครั้งและยังดีใจที่เอ็มม่าหยุดร้องแล้วด้วย
    เมื่อสังเกตุรอบตัวให้ดี พวกเขากำลังดูภาพยนตร์กันอยู่ เรื่องชอว์น ออฟ เดอะ เด๊ด สายไฟและปลั๊กพ่วงพันกันระโยงระยาง ซึ่งมีแจ็คนอนซมอยู่ข้างๆ มือถูกปลดล็อคพันธนาการ
    "เอาล่ะ นายคิดมั้ยว่าต้องเล่าอะไรให้ทุกคนฟัง" โอเลดพูดทำลายความเงียบ
    ผมใช้เวลาไม่นานในการเล่า เล่าเพียงแค่เอ็มม่าเจอน้องชายตัวเองประเด็นนี้เองที่ทำให้ทุกคนสนใจ
    "ทำไมเธอไม่เล่าให้เราฟัง" "เป็นยังไงบ้าง" "เธอฆ่าเขารึเปล่า" คำถามพวกนี้ไม่ได้รับคำตอบจากใครทั้งสิ้นและน้ำตาเธอเริ่มปริ่ม ผมจึงต้องใช้สายตาดุดันเข้าห้าม
    "เอ่อ เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่ดีนฉันได้ยินสัญญาณวิทยุนี่เป็นครั้งที่ห้าแล้ว เขาพูดชื่อนาย นายพอรู้มั้ยว่ามันคืออะไร" โรลถาม ผมยืดคอสนใจทันที โรลยื่นวิทยุให้ผม พร้อมเสียงที่คุ้นเคย
    "ดีน นี่เอ็ดดี้นะ ไม่ว่านายจะอยู่ที่ไหน นายสามารถติดต่อฉันได้ทันที ขอแค่นายเปิดวิทยุ นายจะสามารถติดต่อกลับมาได้ทุกเมื่อ และฉันจะไปช่วยนาย"


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย black jack sdppd : 7th November 2013 เมื่อ 19:24
    3 Coins DPP

  41. รายชื่อสมาชิกจำนวน 7 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  42. #22
    "I Love Army"
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    ที่อยู่
    หนุ่ม สุ1000
    กระทู้
    733
    กล่าวขอบคุณ
    1,250
    ได้รับคำขอบคุณ: 209
    โหตอนทิ้งท้ายนี้ทำให้ผมยิ่งลุ้นอะลุ้นๆ

  43. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  44. #23
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818

    บทที่ 8 เตรียมตัว

    หนึ่งชั่วโมงแรกหลังจากได้รับสัญญาณผมยิ้มไม่หุบและเล่าเรื่องเพื่อนคนนี้อย่างเบิกบาน แต่ห้านาทีจากนั้นผมต้องหัวเราะเน่าๆ ใส่ทุกคนเพราะวอล์คกี้-ทอล์คกี้นี้ มันอ่อนแอเกินกว่าจะติดต่อกลับ
    "ไม่เอาน่า อย่างน้อยนี่ก็เป็นก้าวแรก ที่ได้รู้ว่ามีคนพยายามช่วยเรา" เอ็มม่าปลอบใจผม ผมพยักหน้าหงอยๆ ในใจผมอยากทุบวอล์คกี้-ทอล์คกี้ให้หายแค้น แต่ผมอาจเป็นไอบ้าในสายตาคนอื่น ผมเดินวนไปวนมาในห้องอย่างไร้จุดหมายผมหวังไว้มากเกินไป ตกลงมาจากที่สูงก็เลยเจ็บ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขาผิดหวังกันมั้ย เพราะทุกคนเฮฮากันมากขณะที่ดู Zombie land กันอย่างสนุกสนาน
    ผมเลี่ยงไม่ไปดูด้วย เพราะเกรงจะทำให้เกิดคำถามที่ทำให้ผมเสียหน้า ผมเลยเลือกเดินไปที่แจ็ค ซึ่งตอนนี้ได้ถูกปลดพันธนาการแล้ว แต่เขาเลือกที่จะไปนั่งที่มุมห้องคนเดียว
    "ไม่ไปดูหนังกับคนอื่นเหรอ" ผมถามลองเชิง แจ็คยิ้มอย่างน้อยก็ทำให้หน้าที่ดูพิกลของเขาดีขึ้น
    "อย่าโง่ไปหน่อยเลย ทุกคนมองฉันเป็นตัวประหลาด" แจ็คตอบ "นั่นเป็นเพราะนาย รู้มั้ยทำมาเป็นช่วยคนอื่น นายก็คงชอบยัยนั่นสิท่า" แจ็คพูด ผมพยายามสะกดอารมณ์อยู่ "ทำตัวเป็นฮีโร่ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง" ผมว่าผมไปดูหนังดีกว่าเยอะ ผมหันหลังและจากแจ็คไป แล้วเดินไปนั่งข้างๆเอ็มม่า เธอกำลังหัวเราะสนุกสนาน จะว่าไปแล้วก็ไม่มีใครสนใจเรื่องสัญญาณเท่าไหร่
    มื้อเย็นพวกเรานั่งล้อมวงทานอาหาร(แจ็ครับอาหารแล้วไปนั่งคนเดียว) ซึ่งคือ ไข่ยัดไส้ ผมสะดุ้งเพราะลืมไปว่าจะต้องไปหาเสบียงอื่นๆมา ผมเงียบเข้าไว้ เอ็มม่าเคาะหัวผม แล้วเราสองคนก็หัวเราะด้วยกัน หลังจากนั้นก็ต้องขอโทษทุกคนที่ผิดสัญญาซึ่งไม่มีใครถือสาเอาความ ยกเว้นโอเลดที่นั่งเงียบ
    การทานอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น พวกเราคุยเรื่องหนังที่ได้ดูกัน จนกระทั่งโอเลดที่นั่งเงียบก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างกะทันหัน
    "ที่ที่เพื่อนนายจะพาเราไป มันดีมั้ย" ผมส่ายหัวไปมา
    "ไม่รู้หรอก" ผมตอบอย่างรู้สึกผิด โอเลดเพียงแค่ทำหน้ายิ้มเยาะ
    "งั้นเพื่อนนายก็แค่มั่ว ฝากความหวังงี่เง่าเอาไว้ล่ะสิ " โอเลดพูด ทุกคนเงียบ
    "ใจเย็นๆก่อนสิ" ผมพูดพลางยกมือห้าม "เราอาจ--"
    "อาจบ้าอะไรเล่า ฉันเบื่อที่นี่เหลือทนแล้วโว้ย" โอเลดตวาด "ไม่มีอะไรให้ทำ ได้แต่นั่งอยู่กับที่จนก้นแถบจะพัง เช็ดปืนโง่ๆเง่าๆที่เราไม่มีวันรู้ว่าจะใช้มันยังไง มีแค่ไอหัวเหยือก(นาวิกโยธิน)ที่มาจากไหนไม่รู้ ช่วยอะไรไม่ได้!!"
    "เฮ้ๆ ใจเย็นฉันกำลังจะสอน" ผมใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
    "ไม่ต้องมาบอกให้ฉันใจเย็น ฉันเบื่อเต็มทนแล้ว" โอเลดพูดตัดบท อันที่จริงถ้าเขายังไม่รีบพูด ผมจะบอกว่าผมเป็นทหารบก แต่ไม่รู้ว่าจะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงรึเปล่า
    "จะเข้าห้องน้ำ ก็ต้องเดินตั้งไกล อาหารก็มีแต่มื้อเดิมๆเห่ยๆ" เกิดเสียงพึมพำขึ้นทันที ผมมองไปข้างๆ เอ็มม่าได้แต่นั่งตัวแข็ง เธอสบตาผมกลับซึ่งอ่านเป็นข้อความยาวๆว่า ฉันแค่วิเคราะห์คนเท่านั้นเอง
    "อย่าถือสาเด็กเลยนะเคลลี่" เจฟปลอบซึ่งตอนนี้นั่งฟุบหน้าลงกับเข่า
    "งั้นเหรอต่อยเด็ก ผิดมั้ยเนี่ย" โจนส์กัดฟันแน่น สายตาไม่ละไปจากเด็กหนุ่ม
    "มาสิ" โอเลดท้าพลางชักมีดมาเชเต้(คล้ายมีดพร้า)ออกมา โจนส์ไม่รอช้าชักขวานขนาดพอดีมือที่ไม่รู้เขาเก็บไว้ตรงไหนออกมา
    "เฮ้ พอแล้วพวกนาย" ผมยืนขึ้นระหว่างกลางทั้งสอง มือชักปืนออกมาทั้งสองข้าง และชี้ไปทั้งคู่ "ข้างนอกนั่น ฉันเจอพวกซอมบี้มาเยอะ ฉันไม่ต้องการให้มนุษย์มาทะเลาะกันเอง เข้าใจมั้ย" โจนส์ลดขวานลง แต่โอเลดยังกำอาวุธของเขาไว้แน่น
    "อย่าได้บอกว่าพวกนายไม่คิดเหมือนฉัน อย่าได้บอกว่าพวกนายไม่เบื่อที่นี่" โอเลดร้องไห้ แล้วทิ้งมีดลงกับพื้น ผมเก็บปืนไว้ตามเดิม
    "ฮ่าๆ เอาแล้วไง ไอหนุ่มอาละวาด" แจ็คเดินพร้อมรอยยิ้มเยาะเข้ามา "ทั้งหมดเป็นเพราะแกไม่ใช่รึไง ไอ้ทหาร แกมาทำให้ทุกคนมีความหวังแล้วก็ปล่อยทุกคนให้ตกลงมา คอหักตาย"
    "อย่ามาทำให้เรื่องเลวร้ายมากกว่านี้นะ แจ็ค" เอ็มม่าลุกขึ้นยืนบ้าง
    "อะไรกัน ยาหยี" เอ็มม่ามองเขาด้วยสายตารังเกียจ "เธอก็ได้แต่คอยมองนั่นแหละ หลายครั้งที่เธอทำให้พรรคพวกของเรา นอนหลับแล้วก็ไม่ตื่น ไม่ได้ช่วยเยียวยาจิตใจเขาเลย" ผมงง แต่เอ็มม่าน้ำตาเริ่มปริ่มและเบือนหน้าไปทางอื่น "เธอไม่ได้เล่าให้แกฟังสินะทหาร มีหลายคนที่ทนกับสภาพนี้ไม่ได้แล้วก็หลับตายไป เหมือนไหลตายนั่นแหละ" แจ็คพูด เคลลี่ร้องไห้หนักกว่าเดิม "ใช่เราเคยมีคนมากกว่านี้ แต่พวกเขาไปหมดแล้ว" แจ็คมองเท้าตัวเอง
    "เฮ้ พอเถอะนะ ไอเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว" ซินแคลร์พูด
    "ทำไมไม่กลับไปนั่งแล้ว เอาหัวนายยัดก้นนายเอง" เจฟพูดบ้าง มือกำหมัดแน่นแล้วหักนิ้วเสียงดังน่ากลัว แจ็คยิ้มเยาะ
    "ทุกคนหยุดได้แล้ว" โอเลดตะโกนขึ้นเพื่อให้ทุกคนกลับมาที่เรื่องเดิม "พอเลยกับไอเรื่องงี่เง่าไร้สาระแบบนั้น"
    "ไร้สาระเหรอ โอเลด นายคิดว่าการตายของคนที่ยังอยู่ เป็นเรื่องไร้สาระเหรอ พระเจ้าช่วย" เอ็มม่าคราง
    "โรล คุณพอจะช่วยเรื่องการติดต่อกลับได้หรือเปล่า" ผมขอความช่วยเหลือจากโรล
    "ทีจริงก็มี ห้างที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่อยู่ ถัดจากที่นี่ไปสองตึก แต่ที่นั่นอันตรายมาก" โรลตอบ
    "งั้นก็น่าจะลองเสี่ยงดู" ผมพูดกับทุกคนอย่างมีความหวัง
    "แต่นายจะรู้ได้ไง ว่าเพื่อนนายยังไม่ตาย หรือที่ที่นายจะพาไปมันจะแตกต่างจากที่นี่" เจฟถาม คำพูดนี้จี้ตรงจุด เราไม่รู้อะไรเลยจริง ไม่รู้ว่าข้างนอกเป็นอย่างไร ไม่รู้ใครเป็นยังไง
    "ไม่ๆ สัญญาณนี้บอกว่าเพื่อนของดีนยังไม่ตาย" โรลบอกพลางโบกวอล์คกี้-ทอล์คกี้ไปมา "แต่ที่ที่เขาจะพาไปเป็นอย่างไร นี่ก็ต้องมาดูกันอีกที"
    "คิดว่ามีที่ไหน แย่กว่าที่นี่เหรอ" โอเลดพูดลอยๆ พลางลูบมีดตัวเอง ผมคิดว่าถ้าเขาเลียมันแล้วไม่บาดปากตัวเอง เขาคงทำเพื่อโชว์พาวไปแล้ว
    "เราควรจะลองเสี่ยงดูนะ" ซินแคลร์เสนอความเห็น มือยังลูบหลังเคลลี่ที่ยังร้องไห้ไม่หยุด
    "ฮึ นี่ไม่ใช่ธุรกิจแต่เป็นชีวิต จะมาลองผิดลองถูกเราตั้งตัวใหม่ไม่ได้หรอกนะ" แจ็คพูด
    "งั้นนายก็คิดว่านายจะอยู่ที่นี่ต่อเหรอ เชิญนายอยู่คนเดียวเถอะ" ซินแคลร์สวน น่าแปลกที่คนอย่างแจ็คยังยืนยิ้มอยู่ได้
    "ฉันแค่อยากจะบอกว่า เราควรเตรียมตัวอะไรให้พร้อม เข้าใจไหม ต้องวางแผนกันให้เรียบร้อย ลุยไปข้างหน้าน่ะ มันไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น" แจ็คอธิบาย หลายคนทำหน้าแปลกใจ ไม่นึกว่าแจ็คจะพูดอะไรแบบนี้เป็น
    "ช่าย เขาพูดถูก" ผมเห็นด้วย ถูปืนเล่นเพื่อให้มือไม่ว่าง "ก่อนเราจะวางแผน ผมจะให้ทุกคนฝึกยิงปืน" หลายคนทำเสียงฮือฮา แม้กระทั่งโอเลดก็หันมามองด้วยรอยยิ้ม ดูท่าทางตื่นเต้นกว่าใครเพื่อน
    เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนดูกะปรี่กะเปร่ามากกว่าเดิม ไข่ยัดไส้กลายเป็นของอร่อยทันที ความจริงถึงผมจะพูดไปอย่างนั้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะหาที่ซ้อมที่ไหนดี โอเลดยิ้มทุกครั้งที่มองปืน
    "ทำไมคุณไม่สอนพื้นฐานให้เราก่อนล่ะ" เอ็มม่าเสนอความเห็นขณะที่ผมกำลังนั่งคิดอยู่ที่เคาท์เตอร์
    "ที่นี่เหรอ มันก็กว้างดี แต่ถ้าคุณมีบีบี-"
    "ไม่ใช่อย่างงั้น คุณไม่จำเป็นต้องให้เรายิง แค่สอนเราว่าเล็งยังไงก็พอ" เอ็มม่าตัดบทผม แล้วยื่น ปืนพก M9 มาให้ ผมจับมาถือและลองเล็งตามสัญชาติญาณ แล้วก็หันกลับไป
    "คุณอยากลองกระบอกนี้รึ" ผมถามเอ็มม่า เธอพยักหน้าและยิ้ม
    "งั้นก็--" ยังพูดไม่จบผมก็โยนให้เอ็มม่า ซึ่งเธอรับได้ด้วยมือข้างเดียว และทำหน้างงๆ
    "ดูเหมือนมันจะไม่หนักเกินไปนะ" ผมเลิกคิ้ว
    "คู่นี้ทำอะไรกัน" โอเลดเข้ามา ดูระรื่นขึ้น "เราจะฝึกกันแล้วสินะ"
    ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วถ้าเราฝึกที่นี่ได้การออกไปตะลุยข้างนอกคงไม่ยาก
    "ทุกคน ฟังทางนี้" ผมประกาศและปรบมือเรียก "เราจะเริ่มฝึกกันแล้วนะ ขอถามก่อนใครเคยใช้ปืนจริงๆบ้าง" มีโอเลด เจฟ เคลลี่ โรล และแจ็ค ซึ่งยกมืออย่างเกียจคร้าน
    "โอเลด" ผมถาม มองกดดัน เด็กเนี่ยนะจะใช้ปืน ซอมบี้ตัดเล็บได้ยังจะน่าเชื่อกว่า
    "โอเคๆ ฉันไม่เคยใช้" เขาพูดและลดมือลง
    "เจฟ เคลลี่ พวกคุณใช้เป็นด้วยหรือ" ผมถามแปลกใจจริงๆ สองคนนี่ถ้าบอกว่าเป็นพ่อครัว แม่ครัวก็ไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่ แถมตอนเจอครั้งแรกเจฟยังทำท่าเหมือนคนใช้ปืนไม่เป็นอยู่เลย
    "เอ่อ เราเคยไปซ้อมยิงปืนบ่อยๆ" ทั้งสองคนพูดอย่างเจียมตัว
    "แจ็ค" ผมมองเป็นการถาม
    "ฉันเคยเป็นยามหน้าผับ" แจ็คตอบเสียงดังฟังชัด ซินแคลร์พ่นลมหายใจดังพรืด
    "มีปัญหารึไง" แจ็คพูดแบบเอาเรื่อง
    "โอเค พอเลย" ผมรีบตัดบทซินแคลร์ "แต่ถ้าพวกคุณใช้ปืนเป็นทำไมไม่หนีซะเล่า"
    "ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยทำ" โรลตอบ
    "ยังจำได้ใช่ไหม ที่ฉันบอกว่า เราเคยมีคนเยอะกว่านี้ เราหาทางหนีกันแล้ว เป็นการหนีครั้งใหญ่มาก" แจ็คพูด "เป็นก่อนที่เราจะเจอร้านปืนน่ะ เรารวบรวมอาวุธตั้งแต่กระทะยันไม้เบสบอล อะไรใช้เป็นอาวุธได้เราเอามาหมด" แจ็คหยุด กลืนน้ำลาย "แต่เชื่อมั้ยล่ะเราออกไปนอกห้างได้ ไอพวกโจรสารเลว มาแย่งชิงทุกอย่างไป ทั้งคนของเราทั้งของ ที่ตอนนั้นจำได้ก็แค่วิ่งหาที่หลบและเจอร้านปืน"
    "เราก็เลยให้คนใช้ปืนได้ เป็นกองหน้าฝ่าซอมบี้ออกไป แต่เสียงปืน มันดึงซอมบี้มา เยอะมาก แถมยังเป็นตอนที่มันวิ่งเร็วอีกต่างหาก เราเลยคิดว่าจะหลบอยู่ที่นี่ตลอดไป" โรลพูด
    "ฉันสาบานเลยนะว่า ฉันเห็นไอโจรคนหนึ่งที่มาปล้นเราเป็นแบบพวกนั้นด้วย" โอเลดพูดบ้าง ทำสีหน้าจริงจัง
    หลังจากที่ฟังแล้ว คนที่นี่ก็ใช่ว่าจะโง่เง่าเต่าตุ่นอะไรขนาดนั้น
    "ถ้างั้นเอ็มม่า ซินแคลร์ โจนส์ โอเลด คุณมากับผม" ทั้งสี่พยักหน้า "ส่วนพวกคุณ" ผมหันไปมองคนที่เหลือ "ไปเลือกปืนที่ชอบได้"


    "หลักสำคัญถ้านายอยากยิงปืน นายต้องมีสมาธิ ความพร้อม ความมั่นใจ ความแน่วแน่ที่จะเหนี่ยวไก" ผมสอนแบบที่ครูฝึกทหารสอน "ในโลกที่มนุษย์เป็นศัตรูของคุณ คุณต้องมีความรวดเร็ว ความไว และแน่นอนสมาธิ" ทุกคนฟังอย่างตั้งใจ และเริ่มหยิบปืนพก"แต่ว่าขณะนี้ศัตรูของคุณไม่ใช่คน จำไว้ไม่ใช่คน อย่าเอาความรู้สึกสงสารมาบังตา" ผมปลูกฝังให้ "เอาล่ะ ทุกคนถือปืน" นักเรียนถือปืนขึ้น "เล็ง" ทุกคนเล็งทันทีถือปืนพกตั้งมั่น "ผมจะไม่ใช่ศัพท์ที่พูดยาก แต่จะพูดแบบที่เข้าใจ" ทุกคนพยักหน้า
    การสอนทุกคนเล็งปืนเป็นไปได้อย่างเรียบง่าย ความจริงแล้วการเล็งไม่ใช่ยาก แต่ปัจจัยที่ทำให้มีคนตายจากการยิงกันมากเพราะความเชี่ยวชาญและความเร็วของการยิง
    "โอเค เมื่อทุกคนเล็งได้แล้ว ไหนบอกมาซิต้องทำยังไงก่อน" ผมถาม
    "ยิง" โอเลดตะโกนตอบทันที
    "อ้อเหรอ นายคิดอย่างนั้นจริงเหรอ"
    "จะรอให้ผีมากัดก้นเรารึไง" โอเลดย้อน
    "งั้นก็ลองลั่นไกดูเลย พี่น้อง" ผมท้า โอเลดยิงทันที ไม่ต้องห่วงทุกคนไม่ได้ใส่เม็กกาซีน ซึ่งสิ่งที่เห็นคือโอเลดแขนกระตุกเพราะลั่นไกไม่ได้
    "ใช่การปลดเซฟนี่เป็นสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายที่ควรทำของการใช้ปืน นายต้องดูให้ดีว่าปลดเซฟปืนรึยัง จะได้ไม่เสียเวลา และต้องเช็คให้ดีว่านายล็อคมันแล้วเมื่อใช้เสร็จ รู้มั้ยคงไม่อยากให้นิ้วเท้าแหกขณะที่วิ่งหนีซอมบี้" ผมบอกแล้วก็ยกปืนตัวเองขึ้นมาแล้วชี้ไปที่จุดเหนือไกปืนปืน "นี่คือเซฟปลดมันซะ" ผมบอก "แล้วเราจะได้เข้าสู่บทเรียนต่อไปซะที"
    "เฮ้ ฉันคิดว่าพวกเราเลือกปืนได้แล้ว" เสียงโรลดังขึ้น เมื่อผมหันไปมอง โรลถือปืนไรเฟิล M21 แจ็ค ถือปืนลูกซอง winchester เคลลี่และแจ็คใช้ปืนพก Beretta ทั้งคู่ แต่ละคนดูมั่นใจ โอเลดได้แต่มองอย่างอิจฉาอยู่ข้างๆ

    "ดีน นายแน่ใจเหรอว่าจะฝึกที่นี่" ซินแคลร์ถาม ขณะที่เราอยู่ในใจกลางของห้างชั้นล่าง ด้วย M9 ที่ผมเลือกให้ พร้อมเม็กกาซีนคนละสามชุด
    "ชัวร์ เราต้องรีบหน่อยแล้ว" ผมตอบ ตอนนี้ผู้ฝึกทุกคนยืนประจันหน้ากับเหล่าซอมบี้ ที่เริ่มทยอยกันมา "ทุกคนยิงได้แล้ว" ผมตะโกนสั่ง
    จากที่เห็นตอนนี้ โอเลดทำได้ดีที่สุด สมาธิยอดเยี่ยม ยิงหัวซอมบี้ได้เกือบทุกตัวที่วิ่งเข้ามาแม้จะตัวสั่นเพราะความตื่นเต้น โจนส์ก็ทำได้ดีเช่นกัน ความสูงทำให้การเล็งได้เปรียบดี เอ็มม่าจะยิงช้าๆแต่ชัวร์ เธอยิงโดนหัวทุกนัด แต่อย่างว่า เธอเล็งนานพอสมควร
    บรรยากาศนะตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงปืน หูเกือบจะอื้อ ซินแคลร์ทำได้แย่สุด นอกจากจะไม่กล้ายิงแล้ว ยังยิงไม่เฉียดอีกต่างหาก
    ด้วยความต้องการจะทดสอบทุกคนผมจึงหยิบลูกบอลที่วางอยู่ในแผงข้างๆ แล้วปาสุดแรงไปที่เครื่องครัว เกิดเสียงดังลั่น เครื่องครัวหลายชนิดหล่นลงมา
    "กรี๊ดดดดดด" วินแคลร์กรีดร้องและหันไปยิงใส่ต้นตอของเสียงไม่ยั้ง จนกระสุนหมด ในขณะที่ทุกคนเพียงแค่หันไปดูเท่านั้น
    "พอแล้ว ซินแคลร์ถอยกลับเข้ามา" ผมตะโกนเรียก ซินแคลร์ไม่ผ่านการยิงปืน
    "เราต้องรีบกลับแล้ว ทุกคนถอย" ผมตะโกน แล้วทุกคนก็ค่อยๆวิ่งกลับไปที่ที่พัก ระหว่างทางไร้ซอมบี้ ผมคิดว่ามันน่าจะหมดห้างแล้ว แต่พวกจากข้างนอกคงจะตามมาสมทบในอีกไม่ช้า


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย black jack sdppd : 7th November 2013 เมื่อ 19:26
    3 Coins DPP

  45. รายชื่อสมาชิกจำนวน 7 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  46. #24
    "I Love Army"
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    ที่อยู่
    หนุ่ม สุ1000
    กระทู้
    733
    กล่าวขอบคุณ
    1,250
    ได้รับคำขอบคุณ: 209
    มาให้กำลังใจเช่นเคยครับผม

  47. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  48. #25
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    อุบลราชธานี
    กระทู้
    1,285
    กล่าวขอบคุณ
    2,302
    ได้รับคำขอบคุณ: 168
    เป็นกำลังใจให้ครับ
    No Comment

  49. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:



 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top