ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

หน้าที่ 4 จากทั้งหมด 4 หน้า หน้าแรกหน้าแรก ... 234
กำลังแสดงผล 76 ถึง 89 จากทั้งหมด 89
  1. #76
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ santisook01 อ่านกระทู้
    อ่านตอนที่ 8 จบแล้วครับ เท่าที่อ่านมาทั้งหมดผมรู้สึกตงิดตงิดกับเจ้าวอร์คกกี้ – ทอร์กกี้จริง ๆ ถ้าหากว่าคุณเปลี่ยนเป็นคำอื่นอย่างเช่นวิทยุสื่อสาร หรือเจ้าส่งสารประมาณนี้อาจจะดีขึ้นนะครับ(ไม่ต้องก็ได้เพราะมันเป็นแค่ความรู้สึกของผม)
    ‘แจ็คยิ้มอย่างน้อยก็ทำให้หน้าที่ดูพิกลของเขาดีขึ้น’ ผมงงหรือตรงนี้คุณพิมพ์ตกไปรึเปล่า

    บทสนทนาแบบคู่รักระหว่างเอมม่ากับตัวเอกดูไร้เดียงสาไปหน่อยนะครับ(เหมือนเด็กมัธยมต้นของฝรั่งจีบกัน ถ้าเทียบกับไทยก็เด็กมหาลัย) เพราะตามวัฒนธรรมของชาวฝรั่งแล้วมันเป็นอะไรที่ซับซ้อนและอาจใช้คำหยอกเย้าที่เร้าร้อนมากกว่านี้เยอะ ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องศึกษาบทสนทนาให้มากเวลาแต่งนิยายที่มีเรื่องแบบนี้มาเกี่ยวข้อง พูดง่าย ๆ มันทำให้ผมงง ส่วนเรื่องบรรยายกิริยาท่าทางนั้นดีมากครับ ใช้วลีไม่ซ้ำกันแถมยังไหลลื่นอ่านสนุกอีกต่างหาก

    ผมว่าโอเลดขี้แยเร็วเกินไปนะ
    จากข้างบนที่ว่าบทสนทนาแบบคู่รักดูไร้เดียงสาแต่บทสนทนาปกติก็ถือว่าดีครับ อยู่ในขั้นมาตรฐานของคนเขาพูดคุยกันในสถานการณ์ตึงเครียด

    ‘"กรี๊ดดดดดด" วินแคลร์กรีดร้องและหันไปยิงใส่ต้นตอของเสียงไม่ยั้ง’ มีตัวละครปริศนาปรากฏขึ้นมาด้วยแฮะ

    ตอนช่วงตัวเอกสอนยิงปืนผมชอบนะ รู้สึกว่ามันอ่านสนุกดี แต่ก็สงสัยเล็กน้อยว่าทำไมปืนมันถึงได้มีมากและก็หลายชนิดถึงขนาดนี้

    ส่วนตอนจบควรจะเพิ่มความน่าติดตามหน่อยนะครับ ที่อีกไม่นานคงจะมาสมทบ มันฟังดูแล้วเหมือนไม่แน่ไม่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า

    หมดแค่นี้ครับ นี่เป็นแค่คำวิจารณ์หลังอ่านจบเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝง สู้ต่อ ๆ ไปครับไรเตอร์ ตอนที่ 9 ผมจะกลับมาอีก ขอบคุณสำหรับตอนที่ 8 ครับ
    ขอบคุณสำหรับคำวิจารณ์ครับ เป๊ะมาก
    ส่วนเรื่องที่ปืนเยอะคงจะเป็นเพราะร้านขายปืนก็เป็นได้
    ไม่แน่ใจเหมือนกัน (ฮาและ)
    3 Coins DPP

  2. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #77
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    อ่านตอนที่ 9 จบแล้วครับ ตอนนี้รู้สึกว่าคำผิดมีมากขึ้น วลีหรือคำเปรียบก็ดูทื่อ ๆ มากขึ้น อีกทั้งเนื้อหาก็สั้นมากด้วย- โดยส่วนใหญ่ผมว่าปัญหามันเกิดมาจากตัวละครหลายตัวหละครับ

    ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เอาเป็นว่า สู้ต่อไปครับ คุณนักเขียน ผมจะมาต่อตอนที่ 10 ในระหว่างนี้ผมคงต้องไปทำงานก่อน(พิมพ์ก่อนไปทำงานยามเช้า)

  4. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  5. #78
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ santisook01 อ่านกระทู้
    อ่านตอนที่ 9 จบแล้วครับ ตอนนี้รู้สึกว่าคำผิดมีมากขึ้น วลีหรือคำเปรียบก็ดูทื่อ ๆ มากขึ้น อีกทั้งเนื้อหาก็สั้นมากด้วย- โดยส่วนใหญ่ผมว่าปัญหามันเกิดมาจากตัวละครหลายตัวหละครับ

    ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เอาเป็นว่า สู้ต่อไปครับ คุณนักเขียน ผมจะมาต่อตอนที่ 10 ในระหว่างนี้ผมคงต้องไปทำงานก่อน(พิมพ์ก่อนไปทำงานยามเช้า)
    ครับ ยอมรับว่าตอนนั้นเผางานมาก
    ยังไม่หมด ยังมีอีกหลายบทครับ
    ขอบคุณสำหรับคำวิจารณ์ครับ
    3 Coins DPP

  6. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  7. #79
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    อ่านตอนที่ 10 จบแล้วครับ คำผิดน้อยลง ภาษาดีขึ้น และเนื้อเรื่องก็ดีขึ้น แต่เรื่องฉากการต่อสู้กลับไม่ทำให้ผมรู้สึกระทึก ถ้าเพิ่มรายละเอียดระหว่างต่อสู้มากขึ้นอีกก็จะดีนะครับ ไม่จำเป็นต้องรีบไปอธิบายตัวละครคนอื่นที่กำลังสู้ก็ได้ เพราะเรื่องนี้ก็เป็นมุมมองบุคคลที่ 1

    ขอบคุณสำหรับตอนที่ 10 ครับ

  8. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  9. #80
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818
    หมวดนิยายเริ่มคึกคักแล้ว (ดีใจ)
    อย่าให้คอมเสร็จนะ ... จะไล่เม้นทุกเรื่อง !!!!
    3 Coins DPP

  10. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  11. #81
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    น่าดีใจจริง ๆ แหละครับ แต่ผมก็ติดเรื่องงานเหมือนกัน แต่งไปไม่ถึงไหนเลย เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยว่างอ่านด้วย

  12. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  13. #82
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    พึ่งอ่านตอนที่ 11 จบครับ รู้สึกว่าออกจะสั้นไปนิดนะครับ
    เท่าที่ผมอ่านงานเขียนของคุณมา
    ผมอยากให้คุณเพิ่มบทอธิบายและบทสนทนาให้มากกว่านี้ เพราะรู้สึกว่าแต่ละครั้งคุณจะใช้คำสั้นห้วนจนเกินไปและอาจทำให้ผู้อ่านนึกภาพตามไม่ออก

  14. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  15. #83
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818
    Jack ryan Shadow Recruit
    สร้างจากผลงานของ Tom Clancy
    มาจากผลงานชิ้นไหนหว่า The Sum Of All Fear รึเปล่า
    เข้าแล้ว ใครดูแล้วมาบอกหน่อยนะครับว่าสนุกมั้ย

    เข้าเรื่องเลยคือ คอมพิวเตอร์ซ่อมเสร็จแล้ว
    และกำลังแต่งนิยายเกี่ยวกับสายลับและกำลังเอามาลงในนี้
    จึงอยากออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้เลียนแบบอะไรทั้งสิ้น
    จะแต่งมานานแล้ว
    แค่นี้แหละครับ ขอบคุณครับ
    3 Coins DPP

  16. #84
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    ดีแล้วล่ะครับ เว็บเราจะได้คึกคักขึ้นมาบ้าง

  17. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  18. #85
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818
    สำหรับเรื่องนี้เหลืออีกประมาณ 24 - 26 บทก็จะจบแล้วครับ
    แหะๆ ช่วยๆกันอ่านช่วยกันสนับสนุนกันหน่อยเน้อ
    ขอแรงใจอีกครั้งและขอขอบคุณสำหรับทุกท่านที่มา
    คอมเม้นท์ให้กำลังใจ วิจารณ์ติเตียน แนะนำ
    ซึ้งครับ ซึ้ง
    (วันนี้ติดเน็ทเลยว่างมาแพล่ม) (<-- มัวแต่แพล่มแล้วเมื่อไหร่เอ็งจะลงนิยายฟระ จะเสร็จมั้ยเนี่ย)
    3 Coins DPP

  19. #86
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818
    Back From Dead HaHaHa


    18. ทรัพย์สินหรือชีวิต

    เวอร์จิเนีย
    พลโทเนสท์ เนเก้น กำลังเดินกลับไปที่ห้องพักของตนเอง ในใจคิดแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและกองทหารของตน ซึ่งมีหลายพื้นที่ที่ขาดการติดต่อ อีกทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ยังไม่ได้รับการสนับสนุน แต่ที่เขาโหยหามากที่สุดคือภรรยาและลูกสาวที่แสนน่ารัก
    ก่อนจะเกิดเรื่องนั้น เขาดำเนินชีวิตเหมือนปกติ ร่วมวิจัยอาวุธใหม่กับกองทัพ วันต่อมาเขาถูกปลุกกลางดึงและได้รับรายงานว่าทำเนียบขาวถูกโจมตี ตอนแรกเขาไม่เชื่อเพราะบ้านเขาและทำเนียบขาวห่างกันเพียง 4 กิโลเมตรแต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร จนกระทั่งได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า มีคนบ้าโรคจิตไล่กัดผู้คนในทำเนียบขาว ซึ่งเขาก็ยังไม่เชื่ออีก
    เขาเดินทางไปทำเนียบขาวอย่างรวดเร็ว ข้างนอกยังดูปกติ แต่ว่าด้านในกับเต็มไปด้วยเสียงปืน ผู้คนมุงดูอยู่รอบๆ เขาจำเป็นต้องบัญชาการหน่วยสวาทและกำชับให้ยิงแค่ผู้ที่ถือปืนเท่านั้น แต่ว่าหน่วยสวาทที่ถูกส่งเข้าไปกลับถูกโจมตีและขาดการติดต่อ
    ผ่านไปหลายชั่วโมงมีสัญญาณแรกและสัญญาณเดียวจากข้างในติดต่อออกมา หน่วยสวาทและทหารจำนวนหนึ่งเข้าไปกำชับเช่นเดิม มีคำพูดประหลาดมากมายที่จับใจความไม่ได้เช่นกัดหรือซอมบี้
    ผ่านไปอีกพักใหญ่มีกลุ่มคนจำนวนมากเดินโซเซออกมาและพุ่งเข้าทำร้ายผู้คน จนเขาเองก็แทบเอาตัวไม่รอด สถานการณ์ข้างหน้าเลวร้ายอย่างไร ข้างหลังก็ไม่แพ้กันเมื่อมีพวกผู้ติดเชื้อจากไหนมารู้โผล่มา ราวกับนัดกันไว้ เขารอดตัวได้อย่างหวุดหวิดและลี้ภัยไปที่เพนตากอนซึ่งแน่นอนครอบครัวเขาไม่รอด

    “ท่านครับ” เสียงเวลส์ดังขึ้นจากข้างหลัง เนเก้นหันไปมองพบเขาวิ่งหน้าตาตื่นมา
    “มีอะไรเวลส์ ทำท่าอย่างกับผีบุก” เนเก้นพูด
    “ผีบุกครับท่าน ท่านต้องมาดูนี่” เวลส์พูดรัวเร็ว
    “หา” เนเก้นสงสัยแต่ก็วิ่งตารมเวลส์ไป ไปที่ห้องปฏิบัติการ ในห้องนั้นเดิมทีก็ดูสับสนวุ่นวายอยู่แล้ว ตอนนี้กลับมากกว่าเดิม หลายคนมาจับกลุ่มคุยและวางแผน
    “อะไรเวลส์” เนเก้นถามเมื่อเขาเห็นจอโทรทัศน์จอกลาง ลักษณะเหมือนแผนที่แต่ทุกอย่างเป็นสีส้ม มีเส้นตรงลากตรงกลาง ในเส้นตรงนั้นเป็นสีชมพูขนาดใหญ่เคลื่อนที่ “อย่าบอกนะว่านั่นคือ...”
    “ใช่ครับ ซอมบี้… เคลื่อนที่เร็ว 4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากการวิเคราะห์คือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างมากและจะมาถึงที่นี่ใน 12 วันครับ” เวลส์ชี้แจงข้อมูลด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก เนเก้นตาค้าง เหงื่อเริ่มปรากฏทั้งที่ห้องไม่ได้มีอากาศร้อน แต่เขายังควบคุมอารมณ์ไว้ได้
    “ซอมบี้มันร่วมกลุ่มกันและเดินขบวนอย่างงั้นด้วยเรอะ มันไม่ใช้สมองนิ่” เนเก้นถาม
    “ครับ แต่ผลวิเคราะห์ส่วนหนึ่งบอกว่าเชื้อไวรัสสามารถติดต่อกันเพื่อสร้างสังคมได้” ความเงียบครอบคลุมทั้งห้อง
    “ฉันต้องไปเพนตากอน” เนเก้นพูดเสียงเรียบ “แจ้งเขาเรื่องข้อมูลนี้และบอกเขาว่าให้มีการประชุม”

    อาร์ลิงตัน เวอร์จิเนีย
    เนเก้นนั่งอยู่ที่โต๊ะประชุมยาวในห้องปฏิบัติการณ์ของเพนตากอน ภายในห้องเป็นสีดำ มีจอขนาดใหญ่ที่ตอนนี้กำลังฉายภาพการเคลื่อนที่ของซอมบี้อยู่ติดอยู่เหนือพื้น ซึ่งพื้นที่นี้อยู่ในโซนประชุม โซนหลังมีคอมพิวเตอร์มากมายวางเรียงรายกันเพื่อใช้นำเสนอข้อมูลและติดต่อไปในที่ต่างๆ
    ผู้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ตรงข้ามกับฝั่งหน้าจอคือรอส ชอว์ตัน ผู้รักษาการณ์ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา มือประสานกันครุ่นคิด ด้วยหน้าอันทรงภูมิทำให้ผมที่เต็มไปด้วยหงอกขาวโพลนและผิวสีเข้มนั้นดูมีเสน่ห์ ว่ากันว่าเขาเป็นผู้ที่คอยจัดการเรื่องราวมากมายหลายอย่างแทนประธานาธิบดี รอส เบ็กกิน
    “เริ่มกันเลย” เสียงทุ้มนั้นดังขึ้น ทำให้ห้องนั้นสงบและหยุดการเคลื่อนไหวเพื่อฟังการประชุมจากนั้นก็มีทหารระดับพลเอกสองคนมานั่งข้างผมและมีเจ้าหน้าที่คนสำคัญของรัฐสามคนนั่งฝั่งตรงข้าม
    “ตอนนี้ทุกท่านคงเห็นแล้วว่าไอตัวพวกนี้ ที่ตอนนี้เราพึงใจจะเรียกมันว่าซอมบี้ ได้จับขบวนเดินกลุ่มกันและอาจจะมาถึงที่นี่และถล่มให้ราบคาบ” ท่านปธน. เกริ่น “และที่เวอร์จิเนียนี้คือสถานที่มีผู้รอดชีวิตมารวมตัวกันมาก เป็นแหล่งปลอดการติดเชื้อที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาขณะนี้” เขาเว้นวรรค “ด้วยหน้าที่เราต้องปกป้องประชาชน แต่ตอนนี้เราก็รู้ดีว่าทรัพยากรของเรามันมีไม่พอ กำลังพลที่ยากจะบริหาร ผมอยากทราบว่าเราควรทำอย่างไรดี”
    “ท่านครับ” ทหารที่นั่งข้างเนเก้นลุกขึ้น เขามีร่างกายที่สูงใหญ่ กำยำ เขาคือ พลเอกมาร์ลิน เคเนดี้ ผู้บัญชาการทหารบก “เราควรจะตั้งรับเอาไว้ที่จุดก่อนถึงเวอร์จิเนียเช่นเซาท์ แคโรไลนา ตั้งรับด้วยกำลังพลที่มากกว่าตอนนิวเจอร์ซีย์และก่อนที่มันจะถึงเราก็ใช้กองกำลังอีกส่วนตัดตอนมันที่กำลังจะไปเสริมในขบวนและการวางระเบิดจำนวนมากดักหน้าทางพวกมัน ก็จะช่วยลดจำนวนได้ไม่น้อย” เคเนดี้คือเจ้าของแผนนิวเจอร์ซีย์ “และกองกำลังที่นำไปตัดตอน ก็ควรจะเป็นกองกำลังที่ฝึกมาอย่างดี” เขาพูดจบและนั่งลง
    “ท่านครับ” คราวนี้เป็นฝ่ายเนเก้นลุกบ้าง “ผมเห็นด้วยกับแผนที่ท่านเคเนดี้เสนอมาครับ แต่ผมคิดว่ามันไม่อาจจะสำเร็จครับ” เคเนดี้มองหน้าเนเก้นอย่างสงสัยระคนรำคาญใจ “กองกำลังนี้อาจจะมีจุดจบเหมือนที่นิวเจอร์ซีย์”
    “คุณได้อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นเหมือนผมรึเปล่าล่ะ ถึงได้มาวิจารณ์ผม” เคเนดี้ถามเสียงเขียว
    “เปล่าครับ ท่าน ผมไม่ได้มีเจต- -”
    “งั้นก็อย่ามาทำเป็นเก่ง”
    “พลโทเนเก้นเป็นผู้ที่ติดตามสถานการณ์มาตลอดและคอยส่งกองกำลังไปช่วยผู้รอดชีวิตในที่ต่างๆ เขาก็สูญเสียเหมือนเรานั่นแหละท่านนายพล” ท่านปธน. พูดเสียงเย็น เคเนดี้มีท่าทีสงบลง “ต่อสิพลโทเนเก้น”
    “ครับ ขอบคุณครับ” เนเก้นพูดต่อ “ตอนนี้จากที่เรารู้เกี่ยวกับซอมบี้พวกนี้คือ แพร่เชื้อโดยการกัด ติดเชื้อภายใน 20 วินาทีและมีสองช่วงคือ ช่วงแรกของการติดเชื้อคือรันเนอร์ เป็ฯช่วงที่ซอมบี้มีความโหดร้ายสุดๆ ทั้งความเร็ว ความอึด ความแข็งแรงและช่วงที่สองคือช่วงคลายตัวหรือการที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องเลยเป็นเวลา 3 วันขึ้นไป ซอมบี้จะช้าลงเพื่อเก็บพลังงานและจะเป็นรันเนอร์ใหม่เมื่อได้รับอาหาร ซึ่งในช่วงที่คลายตัวนี่แหละ ที่ง่ายต่อการจัดการ” เขาหยุดพัก ให้คนอื่นคิดตามทัน “ผมคิดว่าเราควรจะตั้งรับทีเดียวที่นอร์ท แคโรไลนา” เกิดเสียงพึพำ ซุบซิบไปทั่ว
    “คุณรู้ได้ไงว่า ในช่วง 6 วันก่อนถึงนอร์ท แคโรไลนา มันจะไม่กลายเป็นรันเนอร์ มันจะไม่กินผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่” เคเนดี้ถาม มีเสียงพึมพำเห็นด้วย
    “แค่ส่วนน้อนเท่านั้นที่จะเป็นรันเนอร์เพราะผมอพยพคนในนอร์ทแคโรไลนาที่รอดชีวิตอยู่ส่วนใหญ่ออกมาหมดแล้ว” เจ้าหน้าที่รัฐสองคนที่นั่งตรงข้ามเขาอ้าปากค้างและพลิกดูเอกสารข้างหน้า เคเนดี้พยักหน้าอย่างยอมรับ “ผมชอบแผนการวางระเบิดดักทางพวกมัน เราจำเป็นต้องใช้ระเบิดจำนวนมากเพื่อระเบิด แม้จะเป็นเมืองทั้งเมือง”
    “เอ่อ... ขอขัดจังหวะหน่อย” เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าเป็นเหลี่ยมและมีจมูกที่งองุ้มขัดจังหวะ เขาคือ บิล ซุลลิแวน “คุณบอกจะระเบิดใช่มั้ย? ที่นิวเจอร์ซีย์นั้นยังไม่พออีกใช่มั้ย ทิ้งระเบิดลงไปขนาดนั้นก็ยากที่จะบูรณะอยู่แล้ว นี่คุณกะจะระเบิดไปเป็นทอดๆ กะจะให้ทั้งเมืองพังราบ”
    “มันก็คุ้มค่านิ่ ถ้าหากมันสามารถปกป้องประชากรไว้ได้” คราวนี้เป็นเสียงของเจ้าหน้าที่รัฐหญิง เทสซ่า โทเรนโด
    “แต่ความเสียหายล่ะ” เจ้าหน้าที่รัฐคนที่ใส่แว่นพูด เขาคือ คีท นิเคสัน “แคโลไรนาทั้งหมด มีจุดทำเงินอยู่หลายที่เลยทีเดียว ถ้าพังมันหมด อเมริกาก็ยากที่จะกลับมาเป็นชาติมหาอำนาจ มันออกจะน่าเสียดาย” เขาทำเน้นเสียงแล้วมองไปทางชอว์ตัน เขามองไปในจอดูการเคลื่อนที่ของซอมบี้
    “เงินน่ะ หาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ที่เราต้องการคือความเชื่อใจนะและความไว้วางใจจากคนของเรา” โทเรนโดเถียง
    “เราช่วยเขาได้ ใช่ นั่นก็ได้แล้ว อะไรที่ทำให้เธอคิดว่าเราจะป้องกันเวอร์จิเนียไม่ได้” ซุลลิแวนพูด “หลังจากจบเรื่องได้น่ะ ยังมีอีกหลายที่ที่ต้องการการบูรณะ ทำไมเราต้องระเบิดเมืองเพียงเพื่อผลลัพธ์ที่มีความเป็นไปได้น้อยนิด”
    “ซุลลิแวน ตอนนี้เงินน่ะไม่มีค่าเลยนะ” โทเรนโดเถียงกับซุลลิแวนต่อ
    “มองการณ์ไกลหน่อยสิเทสซ่า หลังจากนี้ล่ะ เราปฏิเสธไม่ได้หรอกนะ ว่าหลังจากที่เราสร้างเมืองแล้ว เราต้องการทั้งเงินและบุคคลากร”
    “แต่ตอนนี้เราต้องรักษาชีวิตคนนะ”
    “เรามีทหาร” นิเคสันพูดบ้าง “เรามีทหารมากมาย จัดสรรปันส่วนให้เรียบร้อยและก็ใช้สอยซะ ให้คุ้มค่า”
    “ขอโทษนะ แต่ผมคิดว่าทหารไม่ใช้ของเล่น มีกี่คนกันที่ยอมสละชีพเพื่อให้พวกคุณมานั่งสบายใจในนี้” ผู้บัญชาการปฏิบัติการณ์พิเศษ เวย์น เพนเทอร์ ชิงพูดก่อนเนเก้นและเคเนดีที่ไม่มีสีหน้าไม่พอใจเหมือนกัน นิเคสันมีท่าทีหวาดกลัวทันที
    “ขออภัย ผมหมายถึงตอนนี้เรามีกองกำลังทหารเพียงพอ ซึ่งต้องใช้งบประมาณในการเลี้ยงดูเหมือนกัน แล้วเราจะนำงบประมาณทั้งหลายซึ่งเรายังไม่ได้รับจากหลายรัฐ มาบูรณะประเทศยังไง”
    “ถ้ารักษาชีวิตและความไว้เนื้อเชื่อใจไม่ได้ เงินจะไปมีประโยชน์อะไร” คราวนี้ท่านประธานาธิบดีพูด ซึ่งเป็นครั้งแรกหลังจากการเกริ่นนำ โทเรนโด มีสีหน้าว่าอยากพูดแบบเดียวกัน “อย่างที่คุณโทเรนโดพูด เงินน่ะ หาเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้ที่เราต้องการคือภาพลักษณืต่างหาก” ชอว์ตันพูดเสียงเย็น ซุลลิแวนอ้าปากจะเถียงแต่ก็ต้องหุบไป “ต่อเลย พลโทเนเก้น”
    “ครับ ถ้าเถียงเรื่องงบประมาณกันจบแล้ว ก็ต่อกันเลย แผนของผมคือการแบ่งการป้องกันเป็นสามจุดคือจุด เอ บี ซี ซึ่งถ้ามีการอนุมัติแผน ผมจะมีชื่ออย่างเป็นทางการ แต่ช่างเถอะ จุดแรก จุดเอ ผมจะให้ทหารประจำอยู่บนเลื่อนยาวๆปิดถนนไว้ เมื่อซอมบี้มาถึงก็จะเริ่มยิง เมื่อถึงระยะที่เหมาะสมก็จะถอยไปจุดบีและกดระเบิด จุดบีคือส่วนตั้งรับที่สองแผนเดิมเหมือนเอ ยิง ถอยไปเรื่อยๆ กดระเบิด จากนั้นที่จุดซี จุดนี้จะเป็นจุดสำคัญที่สุดตั้งรับแน่นหนาที่สุดและรุนแรงที่สุด” เนเก้นหยุดแล้วมองที่เคเนดี้ “ถ้าท่านจะอนุมัติกำลังพลและทหาร” เคเนดี้ยิ้มพลางพยักหน้า
    “คุณต้องการเท่าไหร่” เคเนดี้ถาม
    “ทหาร 100 คน รถถังเอ็ม หนึ่ง อะบรามส์ 3 คัน ฮัมวี่ติดปืนกล 5 คันและถ้าได้ อาปาเช่คอยสนับสนุนกับแร็พเตอร์ทิ้งระเบิดตัดตอนก็จะเป็นอะไรที่ดีมากครับ” เนเก้นแจกแจง เคเนดี้นั่งเงียบไป มีสีหน้าสับสน แล้วมองไปที่เพนเทอร์อย่างสับสน
    “กำลังทหารน่ะ ผมให้คุณได้ แต่เรื่องยุทโธปกรณ์น่ะคงต้องปรึกษานายพลเพนเทอร์ก่อน” เคเนดี้พูด เนเก้นมองไปที่เขาท่าทางเหนื่อยล้าแล้วเขาก็นั่งลง
    “ทำไมหรือ ท่านนายพล คุณมีอะไรขัดข้องใจ” ชอว์ตันถาม มีน้ำเสียงขู่เจือปนอยู่ด้วย แต่แพนเทอร์มองกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
    “ถึงผมจะเห็นด้วยเรื่องแผนนี้ก็เถอะนะ แต่สิ่งที่เขาขอน่ะ ออกจะมากไปหน่อย” แพนเทอร์เริ่ม
    “ปัญหาของคุณคืออะไร” ชอว์ตันถามซ้ำ
    “มันมีปัจจัยมากเกินไป จริงอยู่ที่มีเวลาในการเตรียมตัวหกวัน แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะพร้อมได้ในทันทีนะครับ ทั้งเรื่องความพร้อมของทหารและอาวุธและในเวอร์จิเนียนี้ เราก็ได้แบ่งกองกำลังส่วนหนึ่งไปช่วยในพื้นที่อื่น เราอาจจะต้องถอนกำลังมา แต่ว่าข้อได้เปรียบก็คือ พื้นที่ที่เราเอากำลังไปตั้งนั้น อยู่ห่างจากเขตุรัฐปลอดเชื้อไปมาก เช่น มิชิแกน เคนทักกี้ โอไฮโอ แต่อาจจะทำให้การป้องกันในจุดนั้นเปราะลงมาก” แพนเทอร์หยุด ชอว์ตันดูมีท่าทีลำบากใจมากๆ
    “ถ้าเรานำมาป้องกันที่นี่ ผู้รอดชีวิตที่นั่นอาจจะสูญเสียกำลังทหารไปใช่มั้ย” ชอว์ตันถามเบาๆ แพนเทอร์พยักหน้า
    “ดูจากที่ขอแล้ว เมืองราบแน่ๆ ถึงผมจะไม่สนใจไอเมืองทั้งหลายแหล่ ที่ต้องพังราบ แต่การระเบิดอย่างนั้น มูลค่าหลายพันล้านแน่ๆ เมืองจะกลายเป็นเมืองจะพังและเป็นการยากในการปฏิบัติภารกิจ แถมเสียงก็จะล่อซอมบี้มาจากทุกทิศทุกทางและไล่ต้อนจนยกเลิกภารกิจแทบไม่ทันเหมือนที่นิวเจอร์ซีย์ อย่าลืมสิ ซอมบี้ไม่ได้มีแค่ด้านหน้านะ” แพนเทอร์อธิบายยาวเหยียด “เรื่องกองกำลังทหารก็เช่นกันทหาร 100 คนน่ะ ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะ ที่จะปฏิบัติภารกิจได้เต็มที่หรือยืงโดนหัวได้ทุกนัดหรือไม่สติแตก” เนเก้นกลืนน้ำลาย จุดที่แพนเทอร์พูดมาก็มีเหตุผล “ก็อยากให้คิดดูให้ดี ไม่ก็ลดสิ่งที่คุณขอมาซะ” นายพลแพนเทอร์เสริมพลางมองหน้าเนเก้น
    “พูดได้ตรงจุด” ซุลลิแวนได้ที “ในการบำรุงสภาพทหารนั้นจะเป็นต้องใช้เงินอยู่แล้วและการที่คุณขอทั้งรถถัง ทั้งเครื่องบินเจ็ทหรือเฮลิคอปเตอร์ การเตรียมการของมันไม่ว่าจะเป็น ด้านอาวุธหรือเชื้อเพลิง มันมีมูลค่านะ”
    “แล้วไงล่ะ เราไม่ได้จะผลิตมันสักหน่อย” เนเก้นเถียง “เราแค่เอาของที่มีมาใช้”
    “ไม่มีอะไร ไม่มีค่าใช้จ่ายหรอกนะและที่สำคัญการถอนกำลังจากทางโน้นเพื่อมาเสริมทางนี้ อาจทำให้การป้องกันและการดูแลศูนย์ผู้ปลอดเชื้อ ณ ที่แห่งนั้นระส่ำระส่าย และอาจจะถูกบุกโดยพวกผู้ติดเชื้อ เราอาจจะเสียคนที่นั่นไปและก็เช่นเคยเราต้องเตรียมเงินไว้สำหรับความวินาศด้วย มีแต่เสียกับเสีย”
    “คุณมีแผนที่ดีกว่านี้งั้นเหรอ” ชอว์ตันถาม
    “เราก็แค่นำงบส่วนหนึ่งเพื่อมาเตรียมกำลังแก่ทหาร ให้มีจำนวนมากและตั้งรับอย่างเต็มที่” ซุลลิแวนเสนอ
    “สุดท้ายคุณก็คิดแต่เรื่องเงิน” เคเนดี้ขึ้นเสียง “คุณไม่คิดถึงจิตใจของทหารรึไง ว่าทั้งบอบช้ำและขาดความพร้อม เงินมันไม่ได้ซื้อได้ทุกอย่างหรอกนะ คุณซุลลิแวน”
    “เอ่อ...” ซุลลิแวนพูดไม่ออก
    “ผมว่าเราควรทิ้งระเบิดที่เซาท์แคโรไลนาและใช้กองกำลังพิเศษส่วนหนึ่งเพื่อตัดตอนพวกมันให้ได้มากที่สุด” เนเก้นลุกขึ้นเสนออีกครั้ง
    “อะไรกัน คุณไม่ได้ลดแผน แต่กลับเพิ่มขึ้นอีก” แพนเทอร์โพล่งออกมา “ทหารก็คนเหมือนกันนะ”
    “ท่านก็รู้นี่ครับ พวกเขาถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อให้ทำเพื่อชาติ เขาคงไม่อยากอยู่เฉยๆหรอกครับ”
    “ผู้รู้ดีว่าเขาต้องการอะไร” แพนเทอร์กัดฟัน
    “โทนี่ ดับเบิ้ลยู. แพนเทอร์และแทช แพนเทอร์” เนเก้นเริ่ม แพนเทอร์มองหน้าเขา “ลูกชายคุณสองคนเป็นนาวิกโยธินสหรัฐ โทนี่ตายในภารกิจ ผมรู้ ภายใต้การนำของผมเอง” เนเก้นสำนึกผิด แพนเทอร์หันหน้าไปทางอื่น “เขาเป็นทหารฝีมือดีที่ยอมสละตัวเอง ท่านเสียใจและไม่อยากให้แทชอีกคนท่านเสี่ยงมาก แต่ท่านคิดว่าถ้าเขารู้ เขาจะรู้สึกอย่างไร”
    “อย่ามาทำเป็นรู้ดี!” แพนเทอร์ลุกขึ้นแผดเสียง “นายไม่เข้าใจหรอก ออกไปซะ” เนเก้นตกใจเล็กน้อยแล้วก้มหน้ารับชะตากรรม เขาก้าวเท้าจะเดินออกไป
    “ท่านจะไล่พลเอกเนเก้นไปไหนหรือ ท่านนายพล” ชอว์ตันพูดขึ้น โต๊ะหันไปมองไปที่ท่านประธานาธิบดีอย่างไม่เชื่อสายตา
    “อะไรนะ ท่านครับ” ทั้งแพนเทอร์และเนเก้นถามพร้อมกัน
    “ก็ได้ยินแล้วนี่ ผมแต่งตั้งเขาเป็นพลเอกแล้วให้มอบอำนาจในการควบคุมภารกิจทุกอย่างและทุกท่าน ต้องประสานงานกับเขาอย่างเต็มที่” เนเก้นยังงงอยู่ โทเรนโดมีสีหน้าพอใจ
    “แต่ท่านจะมาแต่งตั้งใครตามใจชอบไม่ได้” แพนเทอร์แย้ง
    “ด้วยอำนาจของประธานาธิบดีนะ ในสถานการณ์แบบนี้ ผมว่าอำนาจการแต่งตั้งอาจจะถูกย่นออกมาเร็วกว่าเดิมหน่อย แล้วก็นะท่านายพล ถ้าฝึกอย่างหนักมา แล้วถูกเก็บไว้อย่างขี้ขลาดเนี่ย ผมว่าลูกคุณไม่ต้องการหรอก” ชอว์ตันพูดอย่างใจเย็น แพนเทอร์ส่ายหัวแล้วนั่งลง “ต่อสิท่านนายพล” ชอว์ตันพูดกับเนเก้น เขาเดินมาที่เดิม
    “ผมต้องการเหมือนที่กล่าวมาครับ นี่คือแผนของผม แล้วผมจะชี้แจงแผนอย่างละเอียดแก่ทหารทุกคนในวันพรุ่งนี้”
    “สรุปว่าเรายังทำลายเมืองสินะ” นิเคสันส่ายหน้ายอมรับ
    “เดฟชิป(DEVSIP)” โทเรนโดพูดเบา ทั้งโต๊ะหันมามองเธอ แต่ดูเหมือนจะมีแค่เคเนดี้และเนเก้นเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ
    “เธอพูดอะไรออกมา” ซุลลิแวนห้ามเสียงดัง
    “อะไรล่ะ ก็ถ้ากลัวเมืองเสียหายมากนัก ไอ้นี่แหละ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสุดๆ” โทเรนโดพูดราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน
    “มันแย่มากๆเลยต่างหาก” ซุลลแวนส่ายหน้า
    “ไอ้เดฟชิปอะไรนี่มันคืออะไรหรือครับ” เนเก้นถาม
    “ดีวาสเตต ชิป(Devastate Ship เรือทำลายล้าง) เป็นชื่ออย่างไม่เป็นทางการของระเบิดขีปนาวุธชนิดใหม่ นั่นเป็นข้อมูลลับสุดๆ”
    “ผมว่าตอนนี้ นอกจากเรื่องส่วนตัวแล้ว ไออื่นก็ไม่เป็นความลับแล้วล่ะ” ชอว์ตันพูด
    “อาวุธนั่นคือเหตุผลที่ผมและนิเคสันพยายามค้านหัวชนฝา เพื่อไม่ให้ใช้กำลังเปลือง” ซุลลิแวนบอก “มันใช้งบประมาณมากในการวิจัย”
    “มันคืออะไร” เคเนดี้ถาม
    “ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่มันเป็นระเบิดที่ข้างในจุสารอะไรบางอย่างที่จะเผาผลาญเฉพาะสิ่งที่มีชีวิตให้มอดไหม้และไม่ทำอันตรายแก่สิ่งก่อสร้าง อะไรก็ตามที่ไม่ใช้หิน เหล็กหรือวัตถุอื่นๆ จะสลายเหลือแต่เถ้า” โทเรนโดตอบ
    “นำมันมาใช้ได้มั้ย” เนเก้นถาม ซุลลิแวนส่ายหน้า
    “ถึงจะเกือบเสร็จ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็บอกว่าไม่ควรนำมันมาใช้ก่อนถ้ายังไม่สมบูรณ์”
    “มีเวลาสองวันในการทำมันขึ้นมาและหนึ่งวันเพื่อให้พร้อมใช้โดยการทิ้งจากเครื่องบิน ใช้ให้คุ้ม” เนเก้นตบโต๊ะ
    “แต่ว่ามันใช้- -”
    “ผมไม่อยากฟังเรื่องงบประมาณบ้าบออะไรนี่อีก” ชอว์ตันลุกขึ้น “ถ้าอยากได้เงินกันนัก ก็ไปที่กระทรวงการคลัง ไปเอาแบงค์ที่เขาพิมพ์เสร็จแล้ว เอาไปให้หนำใจ” เขาประชด “ผมต้องการให้ภารกิจออกมาดีที่สุด อย่าลืมสิว่าเราไม่ไดทำเพื่อตัวเอง เราทำเพื่อประชาชน จงนึกอย่างนั้นเถอะ การประชุมลงมติแล้ว เราจะทำตามแผนของนายพลเนเก้น เลิกการประชุมได้” เขาพูดแล้วเดินจากไป จากนั้นทุกคนในห้องก็แยกย้ายกันออกไปไม่เว้นแม้แต่คนในโซนประสานงาน
    “ผมจะเตรียมคนคุ้มกันไว้ให้แล้วคุณก็นำทางไปนำของที่ทีมวิจัยอยากได้” เนเก้นพูดกับซุลลิแวนนอกห้อง ซุลลิแวนไม่ได้พูดอะไรเขาพยักหน้าแล้วก็เดินจากไป

    “ฉันต้องการใช้ทีมคุ้มกัน อย่างได้มือดีหน่อย” เนเก้นพูดกับรอนหลังจากกลับมาจากเพนตากอนมาที่แลงก์ลี่ ขณะที่ทั้งคู่เดินอยู่ตามทางเดินในสำนักงานหน่วยข่าวกรอง
    “ฉันรู้จักคนนึง รูดี ยูจีน” รอนเสนอ
    “ที่เป็นพลซุ่มยิงสินะ”
    “ใช่ ทำงานได้หมดไม่ว่าจะเป็นแบบระยะใกล้หรือไกล” รอนอธิบายแต่เขาเห็นเวลส์วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
    “อะไรเวลส์ เกิดอะไรขึ้น” เนเก้นถามในใจคิดถึงพวกซอมบี้
    “บุคคลพิเศษของท่านนายพลรอนน่ะครับ รูดี ยูจีนน่ะครับ เขาตายแล้วครับ”
    “ห๊ะ” รอนและเนเก้นอุทานพร้อมกัน
    “อะไร เมื่อไหร่” เนเก้นถาม
    “หลายวันแล้วครับสภาพเขาเหมือนถูกต่อยหลายที หัวก็กระแทก แต่เขาตายเพราะโดนหักคอครับ”
    “ใครทำ แล้วทำไมฉันพึ่งรู้” รอนถามดูท่าทางตื่นตระหนก
    “ก็พวกเราก็พึ่งรู้นี่แหละครับ” เวลส์ตอบ
    “ใครทำ รู้ไหม” รอนถาม
    “ไม่แน่ใจครับ แต่คนที่เข้าห้องรอนเป็นคนสุดท้ายเมื่อหลายวันก่อนซึ่งตรงกับเวลาตายคือ ไทเลอร์ครับ” สิ้นคำรอนและเนเก้นมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อหู
    “แล้วทีนี้เราจะทำยังไงล่ะ” รอนพูด
    “สองคนนี้เกี่ยวข้องกันยังไง” เนเก้นถาม
    “เท่าที่รู้ ไม่มี” รอนตอบ
    “สงสัยเราต้องจับตาดูเขาซะแล้ว” เขาพูด


    ปักกิ่ง จีน
    เดนนิส ฟริสท์แมน ตำรวจมือดีแห่งไมอามี่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวตอแบบสุดๆ เขาหลบอยู่ในบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง หลังพิงประตู มือกุมขวานแน่น เขามั่นใจว่า พวกซอมบี้คลาดสายตากับเขาพริบตาหนึ่ง เขาจึงรีบเข้ามาหลบในบ้านนี้
    เพล้งงงงง
    ซอมบี้ตัวหนึ่งพุ่งทะลุหน้าต่างมา เดนนิสมองย่างตกใจ มันหันมาหาเดนนิสและคลานมาอย่างรวดเร็ว เดนนิสลุกขึ้นแล้วใช้ขวานจามไปที่หัว ทีเดียวสลบ แต่เมื่อเขาลุกซอมบี้ที่เหลือจึงวิ่งชนประตูพังอย่างง่ายดาย เดนนิสวิ่งเข้าไปจามหัวซอมบี้ แต่ได้แค่ตัวเดียวก็ต้องถอยหลังกลับเพราะมันโผล่มามาก สายตาจับจ้องอย่างชั่วร้าย ปากคำรามเหมือนสัตว์
    เดนนิสรีววิ่งไปที่หลังบ้านและกระแทกประตูออกไปทางถนนอีกด้านจนตัวเองเสียหลักล้มลง ซอมบี้ก็พุ่งตามเขามาจนล้มลงเช่นกัน
    เดนนิสคลานถอยหลังไปอย่างหวาดกลัว ใจเต้นอย่างแรง ซอมบี้สามตัวลุกขึ้น ตัวบิดไปมาอย่างน่าขยะแขยง พลัน มันหันมามองเดนนิส แล้วก็กระโจนเข้ามา แต่ชั่ววินาทีนั้น มีเสียงยางรถเสียดสีกับถนนแล้วรถกระบะสีแดงคันนั้นก็พุ่งชนซอมบี้สามตัวจนล้ม ประตูฝั่งคนขับเปิดออก มีชายคนหนึ่งร่างกายกำยำ หน้าตาหล่อเข้มและดูห้าวเหมือนทหาร แต่งกายด้วยชุดทหารมีเกราะแขน มือถือปืนจีสามหกซี เขาเดินไปข้างหน้าแล้วยิงซอมบี้ที่กองกับพื้น จากนั้นก็หันไปยิงซอมบี้ที่ยังอยู่ในบ้าน
    “จะรออะไรอยู่เล่า รีบขึ้นรถเซ่” ชายคนนั้นตะโกนสุดเสียงแต่สายตายังเล็งผ่านศูนย์อิเล็คทรอนิคส์แล้วลั่นไกไม่ยั้ง ซอมบี้ที่ถูกยิงก็ล้มไปข้างหลังขวางตัวที่เหลือ เดนนิสไม่รอช้าแล้วรีบวิ่งไปที่ฝั่งผู้โดยสาร ชายคนนั้นรีโหลดกระสุนแล้วรีบวิ่งไปที่ฝั่งคนขับแล้วบึ่งรถอออกไป
    เมื่อหายจากอาการตื่นตระหนก เขาเพ่งมองที่ชายคนนั้นซึ่งสายตาจ้องมองอยู่ที่ถนน แล้วเขาก็เริ่มคุ้นตามากขึ้น
    “คุณไทเลอร์” เดนนิสร้อง
    “ใช่ เรียกฉัน คา ก็ได้ นายเดนนิสสินะ ไม่คิดว่าจะเจอกันเร็วขนาดนี้” ดีนพูด
    “นี่เรากำลังจะไปไหนกันครับ” เดนนิสถาม
    “พระราชวังต้องห้าม” เขาตอบสั้นๆ
    “อ๋อ... แล้วทำไมอยู่ดีๆคุณถึงโผล่มา” เดนนิสถามแล้วหันไปมองข้างหลังเพื่อดูว่าพวกซอมบี้ตามมาหรือไม่
    “ฉันก็มีภารกิจเหมือนนายนั่นแหละ นายคือภารกิจรุกฆาตสินะ เพื่อนไปไหนหมดล่ะ” ดีนถามทั้งที่รู้คำตอบ
    “พวกเขาตายกันหมดแล้วครับ”
    “เสียใจด้วย” ดีนพูดสั้นๆ แต่เดนนิสเข้าใจว่าเขาต้องเพ่งสมาธิกับการขับรถ

    ผมขับรถมาถึงหน้าพระราชวังเมืองจีนโดยที่ผู้โดยสารดูหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด ผมก็รู้สึกสงสารเขานะ แต่นี่ยังไม่ใช่เวลา ถ้าถึงที่ปลอดภัย เขาอาจจะรู้สึกดีขึ้น ไม่นึกเลยว่าจะเจอกันเร็วขนาดนี้ ผมพึ่งลงเครื่องแท้ๆ
    แค่กำแพงรั้วก็ดูใหญ่และอลังการมากแล้ว นอกจากปฏิบัติภารกิจผมไม่ค่อยได้ไปต่างประเทศเลย
    ผมบีบแตรปริ๊นใหญ่หลายครั้ง ผ่านไปชั่วอึดใจ ประตูก็เปิด มียามสองคนรีบวิ่งมาพูดกระโชกโฮกฮากแล้วกวักมือให้เขาเข้าไป ผมนำรถเข้าไปแล้วจอดข้างๆป้อมยาม จากนั้นยามสองคนก็ถือเอเค สี่สิบเจ็ดมาแล้วส่องมาที่ผมกับเดนนิส เขายกปืนพกสู้ตอบ ผมยกมือให้เขาเอาลง
    “เอาปืนลงซะ เราต้องให้พวกเขาช่วย” ผมกระซิบบอก ผมอยากจะพูดกับพวกเขาแต่ผมพูดจีนไม่เป็น ในชีวิตนี้ผมพูดได้แค่อังกฤษ อิรักและรัสเซียเท่านั้น ผมเอาปืนของตัวเองในรถมาวางไว้ที่พื้น
    “เอ่อ... อเมริกัน” ผมเริ่มพูดแล้วเอามือชี้ที่ตัวเอง รู้สึกปัญญาอ่อนสิ้นดี “อยากคุย ... เอ่อ ร็อบเบน ลี เอ่อ... ลีหงฉวน” พอพูดชื่อเสร็จยามก็คุยซุบซิบกัน แล้วคนหนึ่งก็คุยกับวิทยุสื่อสารของตัวเอง ผ่านไปอึดใจ ก็มีเสียงตอบมา ยามสองคนนั้นจึงโบกปืนให้ดีนและเดนนิสเดินไป ตรงสู่หน้าพระราชวัง ใหญ่และโอ่อ่า มีความสวยงามตามสถาปัตยกรรมแบบจีน ตอนนึ้สายตาของยามยังไม่ลดความระแวง ผมเดินไปในห้องหนึ่งในพระราชวังต้องห้าม ซึ่งมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่ในนั้น ที่นี่กว้างมากๆ ผมมองรู้สึกทึ่ง ใหญ่กว่าที่เคยได้ยินมาและสวยด้วย
    10 นาทีผ่านไป มีชายร่างอ้วนเดินเข้ามา เขาผมหงอกเต็มหัวและมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตลอดเวลา ซึ่งดีนรู้ทันทีนั่นก็คือร็อบเบน ลี
    “คุณคืออเมริกันหรือ” เขาทักทาย ผมพยักหน้า “ยินดีต้อนรับ ที่นี่มีที่พอสำหรับทุกคน ผมร็อบเบน ลี” เขายื่นมือมา ผมจับตอบ
    “ผมดีน ไทเลอร์ครับ นี่เดนนิส ฟริสท์แมน”
    “คุณไทเลอร์ คุณฟริสท์แมน ทำไมอเมริกาถึงมาเดินต้อยๆอยู่ในเมืองจีน” เขาถาม
    “ผมและเขาคือทีมช่วยเหลือ แต่เราก็ถูกโจมตีจนเหลือแค่นี้ ผมและเขาเลยจะมารอที่นี่เพื่อรอกองทัพมารับ”
    “กองทัพอเมริกา” เขาถามพลางเลิกคิ้ว รอยยิ้มอบอุ่นหายไป ได้เวลาลองเสี่ยง
    “เจมส์ รอนน่ะครับ” ผมพูดพลางขยิบตา สีหน้านั้นกลับมาเต็มด้วยรอยยิ้มอีกครั้งอย่างน่าสงสัย
    “อ๋อ อเมริกา โอเคๆ” เขาหัวเราะ
    “ปักกิ่งยินดีต้อนรับ”


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย black jack sdppd : 9th February 2014 เมื่อ 20:53
    3 Coins DPP

  20. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  21. #87
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818

    19. ความวิปริต

    “อินเดีย ฟ็อคทรอต แทงโก้ ลีมา ชาร์ลี” ผมกระซิบรหัสเบาๆผ่านโทรศัพท์ดาวเทียมว่าเจอร็อบเบน ลีแล้ว จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ตอนนี้ผมกำลังชมสวนจากระเบียงด้านข้างของพระราชวัง รับลมเย็นๆ ไม่เคยสัมผัสธรรมชาติที่ดีขนาดนี้มาก่อน ตั้งแต่เกิดเรื่อง
    มองไปข้างล่างมีเด็กๆกำลังวิ่งเล่นกันราวกับไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น หรือรู้ แต่เด็กเกินไปกว่าจะใส่ใจ ผมมองอย่างเอ็นดูแล้วก็นึกถึงความสงบสุขในชีวิต เกิดสมาธิขึ้นมาทันที แต่ว่าวัยเด็กของผมจะไม่ค่อยสวยหรูเหมือนคนอื่นเท่าไหร่ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง
    หลังจากที่พบลีแล้ว ยามก็ให้เราพักผ่อนในนี้ได้ตามอัธยาศัย ผมและเดนนิสกลับไปเอาปืนที่รถ ตอนนี้คนเริ่มมาที่ส่วนหน้าพระราชวังแล้ว เกิดเสียงกระซิบกระซาบทุกที่ที่เดินผ่าน หลังจากที่เลือกจะอยู่อย่างสงบสุข ผมจึงใช้เวลาเดินรอบพระราชวัง... ในฐานะนักท่องเที่ยวน่ะ
    “เฮ้ คา” เสียงเดนนิสดังขึ้นจากด้านหลัง เขาเดินมาเกาะระเบียงข้างๆผม
    “ว่าไงเดนนิส”
    “ทำไมคุณถึงมาที่นี่ล่ะ”
    “ก็มาท่องเที่ยว” ผมแกล้งตอบ
    “อย่าตลกน่ะ ไม่มีใครอยากไปไหนหรอก”
    “แล้วนายมาทำไมที่นี่” ผมถามกลับ
    “ก็มาทำภารกิจเหมือนคุณ แต่ผมแค่สงสัยว่าทำไมไม่เอาพวกเราไปช่วยคนในประเทศก่อน ทำไมต้องถ่อมาถึงปักกิ่ง น่าสงสัย”
    “นั่นน่ะสิ” ผมพยักหน้า
    “พอล เพื่อนผมบอกว่ามีภารกิจแอบแฝง แล้วอะไร ทำไมไม่บอกมาตรงๆ” ผมเงียบไป จริงอย่างที่เดนนิสพูด แต่ผมคงไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้เท่าไหร่
    “พลเอกรอน ก่อตั้งภารกิจนี้ล่ะ” เดนนิสพูด ผมมองหน้าเขา รอนกับปักกิ่ง ลีกับปักกิ่ง รอนกับลี
    ตอนนี้รอนอาจตัดสินใจอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับการฆ่าปิดปากลีก็ได้ เลยส่งทีมรุกฆาตมาที่นี่เพื่อรอคำสั่งที่แท้จริง แนบเนียน แต่จะจริงหรือเปล่า
    “อาจจะมีภารกิจแอบแฝงจริงๆก็ได้” ผมทำเป็นแสดงความเห็น “แต่เขายังไม่แจ้งมา”
    “งั้นอะไรล่ะ ที่คุณคิด”
    “ไม่รู้สิอาจจะเป็นอะไรที่เป็นภัยต่อประเทศเรา” ผมตอบ “หรือไม่ก็อะไรที่มันวิปริตจนเกินรับได้” ผมรีบเสริมเมื่อเขามองหน้า
    “งั้นอะไรล่ะ”
    “ไม่รู้สิ” ผมยักไหล่ พลางนึกถึงภาพลักษณ์ประหลาดของจีน “คนกินคนมั้ง” เดนนิสพ่นลมออกมาทางจมูก
    “พูดเป็นเล่น” เขาว่าแล้วก็มองลงไปที่เด็กข้างล่างเช่นเดียวกับผม “พวกเขาไม่น่ามาตาย ความจริงพวกเขาไม่ได้อยากมา” เดนนิสรำพึงถึงเพื่อนพ้อง
    “นายเป็นเพื่อนกับพวกเขากี่ปีแล้ว” ผมถาม
    “ก็ 20 กว่าปีแล้ว” เดนนิสตอบเสียงหดหู่
    “งั้นจะมีเรอะ ที่เขาจะปล่อยให้นายมาคนเดียว” ผมบอกไป “ที่สำคัญพวกนายเป็นตำรวจที่รอดชีวิต ยังไงก็ต้องรับงานอยู่ดี” เดนนิสยิ้มแต่นังคงทำหน้าหดหู่ “เอาน่า ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า มัวแต่เศร้าระวังจะทำภารกิจไม่สำเร็จนะ ฉันว่านายไปพักเถอะ” เขาพยักหน้าแล้วก้าวถอยหลังไปก้าว
    “แล้วคุณล่ะ” เดนนิสถาม ผมยิ้ม
    “ฉันอยากจะใช้เวลาผ่อนคลายให้มากที่สุด” ผมตอบแล้วก็เดินจากไป
    “คุณยังไม่ตอบผมเลย ว่าคุณมาทำอะไรที่นี่”
    “กาลเวลาพิสูจน์คน” ผมตอบไปโดยไม่หันหลัง เดนนิสในตอนนี้คงมีสีหน้างุนงง

    ผมเดินต่อไปและหยุดอยู่ที่ห้องที่มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีคนแก่และเด็กหนุ่มนั่งอยู่ตรงนั้น เมื่อหญิงชราหันมาเห็นเขาก็ทำท่าดีใจและเดินปรี่ยกถ้วยอะไรบางอย่างมาให้ผม เด็กหนุ่มเดินตามมาจากข้างหลัง หญิงชราพูดเป็นภาษาจีนรัวเร็วพลางยื่นถ้วยซุปใส่เนื้อมาให้ หน้าตายิ้มแย้ม ผมยิ้มตอบแม้จะฟังไม่รู้เรื่อง
    “ซุปกระดูกหมูต๋นยาจีนน่ะคุณ บำรุงสุขภาพ” เด็กหนุ่มพูดเป็นภาษาอังกฤษ ผมรู้สึกโล่งใจที่มีคนพูดภาษาจีนเป็น
    “ซุปกระดูกหมูต๋นเหรอ” ผมรับมาแต่ยังไม่ดื่ม หญิงชราคะยั้นคะยอให้ดื่ม ก่อนพูดอีก
    “ยายถามว่าคุณเป็นอเมริกันหรือ” เด็กหนุ่มแปล
    “อ๋อ ใช่” ผมพยักหน้า เด็กหนุ่มพายายตัวเองไปนั่งที่ม้านั่งหน้าห้องพระนั้น
    “ตั้งแต่สี่วันแล้ว ไม่ค่อยได้มีใครมาในนี้หรอกนะ” เด็กหนุ่มอธิบาย “รู้สึกตื่นเต้นน่ะ”
    “งั้นเหรอ” ผมตอบสั้นๆ ไม่รู้จะพูดอะไร “ที่นี่ก็ดูสงบสุขดีนะ” เด็กหนุ่มหันไปพูดกับหญิงชรา เธอหัวเราะแล้วพูดจ้อ
    “ก็ใช่แหละ แต่ว่ายังไงก็ไม่เหมือนบ้านนิ่” เด็กหนุ่มพูด
    “ก็ใช่” ผมพูดและนึกขึ้นได้ “นายรู้จักร็อบเบน ลีมั้ย”
    “ลีหงฉวนน่ะเหรอ รู้จักสิ” เด็กหนุ่มบอก ผมรู้สึกมีความหวัง “เขาเป็นคนจัดที่พักที่นี่ให้เราและเป็นคนหาคนมาป้องกันพวกเราไว้ด้วย เป็นคนที่พึ่งได้มากๆ”
    “เขาอยู่ไหนเหรอ” ผมถาม
    “อยู่เกือบสุดพระราชวังโน่นแหละ” เขาชี้สุดแขนไปข้างๆ “กับพวกนักการเมืองน่ะ”
    “เหรอ ขอบคุณนะ”
    “มีอะไรงั้นรึ” เด็กหนุ่มถามขมวดคิ้ว
    “อ๋อ เปล่าหรอก... ที่นีมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นบ้างมั้ย” ผมทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย
    “เรื่องคนลุกมากัดคนเนี่ย ยังแปลกไม่พอเรอะ” เด็กหนุ่มพูด “ไม่รู้สินะ ถ้าเรื่องแปลกก็ประมาณว่า ช่วงนี้ที่นี่มีคนหายหน้าหายตาไป”
    “ยังไง”
    “ก็คนรู้จักของยายน่ะ หายไปสองคนแล้ว หายกันคนละเดือน”
    “ทำไม”
    “ไม่รู้สิ” เขายักไหล่ “เขาลือกันว่าเป็นเรื่องของจิตใจน่ะ พออยู่ที่นี่ไป ก็เลยคิดว่าบ้านอาจปลอดภัยก็เลยหนีไปหรือไม่ก็อยู่ที่นี่ไม่ไหวเพราะไมใช่บ้านเลยแอบหนีกลับไป” ผมพยักหน้า ครุ่นคิด “ถามทำไมเรอะ” แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบ หญิงชราก็ขัดขึ้นมา
    “ยายบอกให้นายกินได้แล้ว เดี๋ยวซุปก็เย็นหรอก ระวังคาวหน่อยๆด้วยนะ” ผมบิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะยกมาเพื่อซด แต่กลิ่นที่โชยมาแตะจมูก มันคาวและคุ้นมาก แม้กลิ่นคาวจะอ่อนลงแล้ว แต่z,มีความรู้สึกรางๆว่า เคยได้กลิ่นกลิ่นนี้บ่อยๆ
    “อะไร” เด็กหนุ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ
    “ห้องครัวอยู่ไหน” ผมถาม
    “อยู่ถัดไปอีกประมาณ 10 ห้องแล้วเลี้ยวซ้ายเลย... ทำไมเรอะ” เด็กหนุ่มถาม ผมยื่นถ้วยให้เขา ทั้งคู่มีสีหน้างุนงง
    “บอกยายนาย อย่ากินซุปนั่นเด็ดขาด” ผมสั่ง เด็กหนุ่มยิ่งงมากขึ้นไปอีก หญิงชรามองเราสลับกัน
    “ทำไม”
    “เชื่อฉันเถอะน่า” ผมขึ้นเสียงแล้วออกตัววิ่งทันที
    ขอให้สิ่งที่คิด มันผิดด้วยเถิด!

    เดนนิส ฟริสท์แมน กำลังนั่งพักอยู่ในสวน เขานั่งลงบนพื้นดินคนเดียวพลางชมสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติรอบตัว เขาหยิบเครื่องส่งสัญญาณที่เหมือนเพจเจอร์ออกมาแล้วกดปุ่มระบุพิกัดไป เกิดเสียงสัญญาณเล็กที่แปลว่าส่งข้อความแล้ว
    ตอนนี้ฐานคงจะรับสัญญาณและติดต่อกองกำลังของประเทศตัวเองแล้ว แต่เดนนิสยังไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ยอมใช้กองกำลังของประเทศตัวเอง หรือนี่ก็เป็นเรื่องไร้สาระที่อเมริกาคิด
    เสียงสัญญาณดังขึ้นเขาก้มลงไปดูที่เพจเจอร์ มีข้อความสั้นๆปรากฏอยู่
    หาไทเลอร์ให้พบแล้วทำตามเขา ติดต่อกองกำลังของจีนให้แล้ว – OC
    เดนนิสรู้สึกงุนงงขึ้นไปอีก เขาต้องการให้ทำอะไรกันแน่ ตอนนี้เดนนิสก็หาดีนเจอแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าดีนจะเอาคำสั่งอะไรมาให้ แม้การปรากฏตัวของเขาออกจะดูเหลือเชื่อก็ตาม
    หลังจากนี้ไปเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าเรื่องนี้จบแล้ว ในกรณีที่เขาไม่ถูกกัดก่อนน่ะนะ เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวจริง สำหรับคนที่มีนิสัยชอบคิดล่วงหน้าแบบเขา
    อาจจะต้องทำงานช่วยเหลือผู้รอดชีวิตไปตลอด แต่มันจะไปสำคัญอะไรในเมื่อเขาไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว แม้เขาหวังว่าจะได้เจอเพื่อนใหม่ในอีกไม่นานก็ตาม

    ผมวิ่งมาหยุดอยู่หน้าห้องที่เด็กคนนั้นบอก ประตูไม้ที่ติดป้ายอะไรก็ไม่ทราบเพราะเป็นภาษาจีน ดูเหมือนจะไม่มีการป้องกันอะไรที่ต้องใช้ไฟฟ้าหรือต้องแสกนลายนิ้วมือเลย ผมลองบิดลูกบิดแต่ดูเหมือนประตูจะถูกล็อคจากข้างใน แสดงว่ามีคนอยู่ การจะพังประตูเข้าไปก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
    ผมเดินย้อนกลับไปทางเดิมและซุ่มอยู่ตรงมุมผนังฝั่งตนงข้ามนอก ผ่านไปหลายสิบนาที มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น ผมหันกลับไปและเจอชายผอมแห้งคนหนึ่งเดินออกมา เขามองซ้ายที ขวาทีแล้วเดินไปอีกทาง ผมย่องไปข้างหลัง แต่เขาหันมาพอดี ผมพุ่งอ้อมหลังไปล็อคคอเขาไว้แล้วกดคอเขาจนแน่นิ่งไป
    ผมลากเขาไปไว้อีกห้องหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องที่ผมแอบอยู่ซึ่งมีที่ผ้าปูอยู่ ผมวางเขาไว้ที่นั่นและค้นตัว เจอกุญแจด้วย
    ผมเดินออกไปจากห้องนั้นและไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องครัว ผมและลองไขกุญแจดู
    บิงโก
    ผมค่อยๆเปิดประตูช้าๆและแง้มเบาๆเผื่อมีคนอยู่ในห้อง และก็ใช่ มีคนอยู่ในห้องจริง เป็นชายค่อนข้างมีอายุหนึ่งคนหันหลังให้ผมซึ่งกำลังสับอะไรบางอย่างอยู่ ผมมองไม่เห็นเพราะถูกบังด้วยโต๊ะ
    เข้าไปตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอ ว่าแล้วผมก็ไปหลบที่เดิม หลังชิดกำแพง ตามองตรงไปข้างหน้าทำสมาธิ รอเสียงเปิดประตู
    ผ่านไปหลายนาทีมีเสียงประตูดังขึ้น ชายคนนั้นเดินออกมา พูดกระโชกโฮกฮาก ท่าทางอารมณ์เสีย
    ผมเดินเข้าไปในห้องนั้นไขกุญแจและเดินเข้าไปอย่างง่ายดาย ในห้องมีกลิ่นฉุนและคาวมากและดูเหมือนกลิ่นจะตีกับน้ำหอม ผมปัดมือไปมาไล่กลิ่นแล้วเดินสำรวจห้อง
    ภายในห้องต่างจากข้างนอกลิบลับด้วยที่ภายในนั้น ดูใหม่และทันสมัย มีเครื่องมือสำหรับทำครัวมากมาย ตรงกลางมีเคาท์เตอร์ยาว มีผักและเครื่องมือครัววางอยู่มากมาย
    รอบห้องเต็มไปด้วยอ่างและเคาท์เตอร์เล็กๆ ซึ่งเหมือนจะเลอะไปด้วยเลือดและกระดูก ผมตัวสั่นน้อยๆด้วยความขยะแขยง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรพอเละกว่านี้สิบเท่าก็เจอมาแล้ว นี่แค่เศษเลือดและกระดูกติดอ่างเท่านั้น
    สายตาผมหยุดที่ห้องทางฝั่งขวา เหมือนเป็นห้องแช่แข็ง ผมย่างสามขุมเข้าไป ตามองไปที่ประตูอย่างไม่แน่ใจแล้วค่อยๆเปิดประตูที่หนักนั้นแล้วเดินเข้าไป ประตูเหล็กปิดเองโดยอัตโนมัติ
    สิ่งที่เห็นจะทำให้ผมจำไปจนวันตาย มันเป็นความสยดสยองและความวิปริตที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน ผมอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง กลิ่นคาวที่พุ่งเข้ามาเหมือนจะไม่มีอยู่
    มนุษย์จำนวนมากถูกห้อยมาจากเพดานด้วยโซ่ ทั้งหมดทีสภาพร่างเปลือยเปล่า มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย บางรายก็ตัวหายไปครึ่งนึงเหลือแต่ซี่โครง เลือดแห้งยังติดตามชิ้นส่วน
    โซ่ที่ห้อยลงมา บางเส้นก็ห้อยเพียงแขนข้างเดียว ขา หรือแค่ตัว ที่น่ากลัวที่สุดคือหัวที่เหมือนจะถูกแช่เอาไว้
    ผมเดินถอยหลังเตรียมตัววิ่งหนี แต่ก็ได้ยินเสียงประตูเปิด มือที่จับที่เปิดก็ผละลง ผมมองผ่านช่องกระจกข้างนอก เห็นลีและผู้ชายเมื่อกี้ยืนคุยกัน ลีมีท่าทีขยะแขยงเต็มที แต่ก็ยังคุยต่อ
    หลังจากที่ทั้งคู่คุยเสร็จก็เดินออกไปข้างนอก ผมค่อยเปิดประตูแล้วตามทั้งสองคนออกไป ทันทีที่ออกมานอกห้อง ผมวิ่งย้อนกลับตามทางเดินที่ผมมา ผ่านหน้าห้องที่มีพระพุทธรูปซึ่งหญิงชราและเด็กหนุ่มหายไปแล้ว
    สิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้คือหาตัวเดนนิสให้เร็วที่สุด ตอนนี้เขาไม่ได้พักผ่อนอาจจะไปรับซุปตุ๋นกินก็ได้ ผมวิ่งไปเรื่อยๆ ผ่านคนมากมาย จนไปหยุดที่หน้าทางเข้าพระราชวัง มีคนมากมายมาจับกลุ่มคุยกันหลายกลุ่ม
    เดนนิสอยู่ตรงนั้นท่ามกลางชายและหญิงชราหลายๆคน เขายิ้มอย่างอบอุ่นในมือถือถ้วยซุปไว้ ทุกคนมีสีหน้าทึ่งในความเท่ของเขา ผมคิดว่านะ แต่นั่นไม่สำคัญตอนนี้เขากำลังจะดื่มซุปนั่นแล้ว
    “อย่า!!!!!!!!” ผมตะโกนห้ามเสียงดังจนทุกคนต้องหันมามอง ผมวิ่งฝ่าคนพวกนั้นไปจนถึงเดนนิสที่มองผมอย่างสงสัย ผมปัดถ้วยนั้นทิ้ง ซึ่งไปโดนผู้ชายข้าง เขาร้องอย่างหัวเสีย ทุกคนในวงมีสีหน้าไม่พอใจ
    “นั่นมันเนื้อมนุษย์” ผมบอกเดนนิส เขาทำสีหน้างุนงง
    “อะไรนะ” เขาร้อง
    “นั่นมันเนื้อมนุษย์” ผมย้ำ เขายังมีสีหน้าไม่เชื่อ
    “เป็นบ้าอะไรของคุณ” เขาถามผม แต่ก่อนที่ผมจะอ้าปากตอบ ผมก็ถูกผลักโดยชายที่ซุปกระเด็นใส่ เขามีสีหน้าไม่พอใจ ทุกคนในวงก็พูดโห่ผมเหมือนกัน
    ชายคนนั้นเดินเข้ามาสีหน้าหาเรื่อง ผมเดินเข้าไปประจันหน้า ทุกคนในวงก็เหมือนก้าวเข้ามาด้วย ผมยกนิ้วชี้หน้า
    “ถอยไปนะ ถอยไป ไอเวรเอ๊ย” ผมตะโกนใส่ทุกคนที่เข้ามาใกล้ เดนนิสมีท่าทีงุนงงและจับแขนผม ผมสะบัดออก ทุกคนในวงก้าวเข้ามาใกล้ “ไม่ได้ยินรึไง ออกไปเว้ย” ผมตะคอกใส่ ทุกคนในห้องโห่และตะโกนประณามการกระทำของผม ผมรู้สึกได้
    แล้วชายคนนั้นก็พุ่งเข้ามา ผมถีบยันเขากลับไปเดนนิสเข้ามาขวางระหว่างผมกับไอพวกจีนตัวกะเปี๊ยก แต่ถูกผลักออก หลายชีวิตด้าวมาทางผมและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
    “หยุดนะ” ผมตะโกนมือชูระเบิดให้ดู ทุกคนมีสีหน้าตกใจ ผมได้ยินเสีงผู้หญิงกรี๊ด ผู้ชายผงะถอยหลัง เดนนิสมายืนอยู่หน้าผม
    “ประสาทอะไรวะ” เดนนิสถาม สีหน้าเขาเหมือนอยากตบหน้าผม
    “ที่นี่มันวิปริต พวกเขากินเนื้อคน” ผมบอกพยายามพูดอย่างใจเย็น มือยังชูระเบิดอยู่
    “คุณนั่นแหละวิปริต ทำบ้าอะไร” เขาตะโกน
    “โธ่เว้ย ฉันจะโกหกไปเพื่ออะไรวะ” ผมตะคอกใส่ เดนนิสเหมือนจะคิดอะไรได้และหันหน้ากลับไปยังชาวจีน มือทั้งสองยื่นไปข้างหน้าเหมือนจะบอกให้ใจเย็น
    แต่ทันใดนั้น ยามหกคนและผู้ชายอีกสองคนวิ่งเข้ามาที่นี่ในมือถืออาวุธมาครบ ตรงกลางในหมู่การ์ดมีชายคนที่ผมหักคอและพ่อครัวคนนั้นอยู่ด้วย ชายที่ถูกผมหักคอชี้มือมาที่ผม มืออีกข้างยังนวดคออยู่
    พวกยามเอาปืนจ่อมาที่ผมและเดนนิส ผมชูมือขึ้นทั้งสองข้าง ยามสั่งให้ผมทิ้งระเบิดลง ผมทำตามอย่างว่าง่าย ยามอีกคนเก็บระเบิด ยามอีกคนเอากุญแจมือยางมาจับผมและเดนนิสแล้วพาเดินไป
    จนมาหยุดที่ห้องครัว พ่อครัวไขกุญแจเข้าไปแล้วให้การ์ดนำผมและเดนนิสไปผูกไว้กับเสาในห้องแช่งแข็ง เขามีท่าทีตกใจเหมือนกับผม ผมมองไปที่พ่อครัวอย่างโกรธแค้น ขณะที่ถูกมัดกับเสา
    ลีเดินเข้ามาในห้อง มองผมและเดนนิสอย่างเยาะเย้ย เขานั่งยอง ลงข้างหน้าผม
    “ให้ตายสิ อเมริกันพึ่งมา ยังไม่ได้ลิ้มรสอาหารก็ต้องถูกเป็ฯอาหารซะแล้ว” เขาพูด
    “แกมันไอสารเลว ชาติชั่ววิปริต ถ้าฉันหลุดไปเมื่อไหร่ ฉันจะตัดคอแกไปให้ซอมบี้แทะ” ผมกัดฟันกรอด ลียังคงยิ้มหน้าบาน
    “เห่าไปเถอะ” เขาพูดแล้วเดินจากไป พร้อมกับยามที่หยุดมองผมเล็กน้อย ท่าทางเหมือนอยากเตะผมเต็มที่ แต่คงต้องรักษาไว้ไม่ให้ช้ำ

    “ไม่ต้องห่วง เราจะหลุดไปได้แน่” ผมบอกกับเดนนิสที่ไม่รู้ตอนนี้สติกลับมารึยัง
    “ได้แน่ เอ่อ.. ถ้าเกิดคุณมีมีดหรืออะไรคมๆ” เดนนิสพูดเสียงสั่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะกลัวหรือหนาว
    “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้พึ่งมาเป็นทหารบกหรอกนะ” ผมบอก เดนนิสเงียบไป
    “อะไร” เขาถาม ผมไม่ตอบแล้วค่อยๆหันมือมาทางหลังตัวเองแล้วหยิบมีดพับที่ซ่อนไว้หลังกางเกงออกมา ผมกดปุ่ม ใบมีดเด้งออก จากนั้นผมก็ค่อยตัดยางจนมันหลุดออก เมื่อหลุดผมก็ช่วยเดนนิสต่อ เขามีท่าทีงุนงงขณะที่จับมือผมเพื่อพยุงตัวเองให้ลุก
    “ร้อยเอกไทเลอร์ อดีตนาวิกโยธินสหรัฐหน่วย ‘มาร์สอค’ ตอนนี้เป็น ‘อาร์มี่ เรนเจอร์’” ผมพูดอย่างภาคภูมิ เขาดูอึ้งไปเลย
    “ก็ไม่มีอะไรหรอกนะ แต่อยากถามว่า เขาย้ายหน่วยกันได้ด้วยรึ”



    3 Coins DPP

  22. #88
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818

    19. หนีอออกจากความวิปริต

    ผมกับเดนนิสยืนอยู่หน้าประตูห้องแช่แข็ง พยายามไม่นึกถึงความหนาว มองผ่านกระจกไป เห็นพวกมันคนนึงยืนอยู่ ยังไงก็เถอะ ในนี้หนาวสู่บ่อน้ำแข็งไม่ได้หรอกนะ
    เสียงประตูดังลั่น พ่อครัวคนนั้นหันมาอย่างตื่นตระหนก ผมปามีดพับใส่เขา มันปักที่แก้ม เขาร้องลั่น แต่ไม่ทำให้เขาตายได้ ผมกระโดดขึ้นเคาท์เตอร์แล้วกระโดดใช้เท้ายันมีดให้เสียบลึกเข้าไปกว่าเดิม ชายคนนั้นแน่นิ่ง
    “ต้องฆ่าเลยเหรอ” เดนนิสร้องอย่างตื่นตระหนก
    “เงียบน่า ไม่ฆ่าเขา เขาก็มาฆ่าเราอยู่ดี” ผมกระซิบ แต่ยังไม่ทันที่เดนนิสจะเถียงกลับ ประตูห้องครัวก็เปิดดังผาง เห็นเจ้าหัวหน้าพ่อครัวยืนจังก้าอยู่ ชุดกั้นเปื้อน ผมคว้ามีดแล่เนื้อ พุ่งเข้าไปหาเขา ผลักเขาพิงประตูแล้วใช้มีดเสียบทะลุคาง เขายังไม่ทันได้ร้อง
    “อะไรวะ” เดนนิสครางหนักกว่าเดิม
    “ใจเย็นๆน่า” ผมพูดรู้สึกสะใจเล็กน้อย
    “คุณฆ่าคนไปสองคนแล้วรู้มั้ย” เดนนิสถาม
    “เอาคนมาทำเป็นอาหารด้วยกันเนี่ย ยังเรียกคนไม่ได้หรอกนะ เดนนิส” ผมบอก เดนนิสยังทำสีหน้าไม่เชื่อ
    “โธ่ เดนนิส ไอหมอนี่มันพ่อครัวนะ มันนี่แหละเป็นคนแล่เนื้อคนพวกนั้นล่ะ” ผมร้องอย่างหัวเสีย “ช่างมันเถอะ ตอนนี้เราคงต้องเดินไปข้างหน้า ฆ่าไอพวกชั่วให้หมด”
    “จะไปฆ่าใครเล่า เราเองยังแทบเอาตัวไม่รอด” เดนนิสแย้ง “นี่เหรอ ภารกิจคุณ”
    “ไม่ใช่” ผมตอบ “ฉันทำเพื่อความถูกต้อง”
    “เราไม่ใช่ฮีโร่นะ” เขามองผมราวกับไม่รู้จักกัน
    “ภารกิจคุณคืออะไร”
    “ไว้ฉันจะบอกนายทีหลัง” ผมปัด “เรียกกำลังเสริมซะ” เดนนิสหันไปพูดกับวิทยุที่อกตัวเองอย่างไม่เต็มใจ
    “นี่ซีทีพี 60 ถึงกองกำลังที่ใกล้ที่สุด ซีทีพี 60 ถึงกองกำลังที่อยู่ใกล้ที่สุด เกิดเหตุฉุกเฉิย เกิดเหตุฉุกเฉิน มีใครได้ยินมั้ย”
    “นี่กองร้อยหลงสังกัดทหารบก นั่นใคร” เสียงจากวิทยุตอบเป็นภาษาอังกฤษ
    “ขอบคุณสวรรค์ เราต้องการความช่วยเหลือ” เดนนิสบอกผ่านวิทยุ
    “คุณอยู่ไหน” เสียงนั้นถามกลับ
    “พระราชวังต้องห้าม” เดนนิสแจ้งพิกัด
    “ที่นั่นเกิดอะไรขึ้น แตกแล้วเหรอ” เสียงนั้นดูตื่นตระหนก เดนนิสลังเลใจก่อนตอบไป
    “มีโจรบุก มีการฆ่ากัน แถมมีการทำเนื้อคนกินด้วย ผมซีทีพี ต้องการกำลังเสริม เพื่อพาผู้รอดชีวิตหนี ผมเหลือแค่สองคน”
    “ได้เราจะไปถึงที่นั่นใน 20 นาที” เสียงนั้นตอบกลับ ไม่ได้ ผมกระชากวิทยุจากอกเดนนิส
    “ผมให้เวลาคุณ 10 นาที ที่นี่เขาจะยิงกันตายห่าอยู่แล้ว!” ผมตะคอกกลับไป เสียงนั้นเงียบไปเลย
    “ยิงอะไร” เดนนิสถาม
    “ไม่เอาน่า เดนนิส นึกว่ามันจะอยู่เฉยๆให้เราจับเหรอ” ผมบอกรู้สึกรำคาญนิดๆแล้ว แต่ก็พอเข้าใจความรู้สึก “ขั้นแรก เราต้องหาปืนก่อนหลังจากนั้นเราต้องจับเป็นไออ้วนลี เข้าใจมั้ย” ผมถามเสียงแข็ง เขาพยักหน้าแล้วหยิบมีดแล่เนื้ออีกเล่มจากเคาท์เตอร์มา
    ผมค่อยเปิดประตูออกจากห้องเสี่ยงลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นเล็กน้อย เมื่อชะเง้อหัวออกไปดูข้างหน้าโล่ง ผมเอาตัวเลียบกำแพงไปทางฝั่งซ้ายมือ เดนนิสตามมาติดๆ ผมได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงคุยเป็นภาษาจีน เมื่อโผล่หน้าออกไปดู บอดี้การ์ดชาวจีนสองคน คนนึงมีปืนผมอยู่ด้วย
    ผมทำสัญญาณมือให้เขาจัดการคนทางขวาเขาพยักหน้าแล้วเราสองคนก็ย่องเข้าไปข้างหลังเขาอย่างเงียบเชียบ ตอนนี้ระยะห่างไม่เกินสองเมตร ผมพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก มือปิดปากคนทางซ้ายแล้วเสียบมีดแหลมคมที่ซี่โครง ร่างกายมันกระตุกเด้ง ผมปล่อยลงเห็นอีกคนยืนจ้องผมอย่างตกตะลึง แต่ไม่ทันที่เขาจะโวยวาย เดนนิสก็เข้ามาจากข้างหลังชนเขาล้มแล้วเอามีดเชือดคอ บอดี้การ์ดสิ้นใจทันที เลือดไหลนองเต็มพื้น
    “ดี” ผมชมแล้วหยิบปืนจีสามหกซีและปืนพกแบเร็ตต้า เอ็มเก้าและซองกระสุนอย่างละสองซองจากบอดี้การ์ดคนแรก เดนนิสหยิบเอเค สี่สิบเจ็ดและซองกระสุนสองซองจากอีกคน เราสองคนเอากระสุนใส่ชุดเวสท์ที่พวกจีนไม่ยอมถอดมันออก ผมสะพายปืนกลไว้แล้วปล่อยให้หัวตกลงไปที่เอวข้างขวาเพื่อที่จะได้สะดวกต่อการหยิบแล้วก็ปรับค่าปืนไว้ให้เป็นยิงทีละนัด เดนนิสต้องถือเพราะปืนเขาไม่มีสาย
    “พวกคนสำคัญน่าจะอยู่ที่ห้องอาหารใหญ่” ผมชี้แจง “ฆ่าทุกคนที่มีอาวุธหรือคนอื่นที่จำเป็นแต่ห้ามฆ่าลีหงฉวนเด็ดขาด”
    เราย่องไปเงียบ ก้มตัวลงต่ำจากนั้นก็เลี้ยวไปทางขวา เป็นทางตรงเปลี่ยวสู่ห้องทานอาหารของคนสำคัญ หน้าห้องประตูไม้สีน้ำตาลที่มีกระจกกลมติดอยู่ เสียงเฮฮาดังลั่นออกมานอกห้อง ผมมองเข้าไปข้างใน ในห้องเป็นห้องยาวตรงกลางมีโต๊ะกลมขนาดใหญ่ที่คลุมด้วยผ้าขาว มีพวกใส่ชุดสูทเป็นสิบคนรวมถึงลีหงฉวนนั่งอยู่ด้วย พ่วงด้วยการ์ดอีกบานตะไท ราวๆสักสิบคนบางคนนั่งอยู่ตามมุมห้องดื่มเหล้า นับว่าเป็นจำนวนที่ไม่เลวร้ายนัก ผมกับเดนนิสจะถีบประตูเข้าไปและยิงการ์ดก่อนที่พวกมันจะทันได้วางจอกเหล้าแล้วก็สั่งนักการเมืองให้หมอบลง จากนั้นจับตัวลี สอบสวนมัน รอกำลังเสริมแล้วก็ค่อยไปสนามบิน เป็นแผนที่ไม่เลวร้ายนัก
    “มีระเบิดแสงมั้ย” ผมถามเดนนิส ถึงแม้จะไม่จำเป็นแต่ถ้ามีก็จำทำให้ลดความเสี่ยงไปได้เยอะ
    “จะไปมีได้ไง เรามาสู้กับซอมบี้นะ ไม่ได้มาสู้กับคน” เขากระซิบเสียงเขียว
    “โอเค จะเข้าไปล่ะนะ” ผมให้สัญญาณและยืนขึ้นเตรียมตัวจะถีบไปข้างใน แต่ยังไม่ทันที่จะได้ยกเท้า ประตูก็เปิดออก พร้อมด้วยการ์ดที่หน้าตางุนงง ไวเท่าความคิด ผมยกจีสามหกซีจากเอวประทับบ่าแล้วเหนี่ยวไกไปสองครั้ง เกิดเสียงดังปั้งสนั่น แต่ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง
    “เดนนิสข้างหลัง” ผมพูดทันทีพร้อมหันไปข้างหลังแล้วเหนี่ยวไกไปอีกสามครั้งกระสุนพุ่งถูกการ์ดที่หน้าอก แต่คงมีอีกหลายคนหลบหลังกำแพง เดนนิสหันไปช่วยยิงต้านไว้
    เมื่อเห็นเดนนิสช่วย ผมจึงพุ่งเข้าไปในห้องเพราะการฝึกมาอย่างดี สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ผมเห็นสิ่งที่ศัตรูทำช้าราวกับเป็นนาที ลีหงฉวนและพรรคพวกแตกตื่น พวกเขาก้มหลบใต้โต๊ะเสียงกรีดร้องดังลั่น ทางขวาผมเห็นการ์ดห้าคนยืนขึ้นและหยิบปืนเอเค สี่สิบเจ็ดที่วางไว้ข้างๆ ผมยกปืนประทับบ่า มองผ่านศูนย์แล้วเหนี่ยวไกเรียงคน แต่คนสุดท้ายทางขวากระโจนหลบไปใต้โต๊ะ เมื่อหันไปทางซ้ายพวกการ์ดหยิบปืนได้แล้วและยิงกราดมาทางผม ผมกระโดดถอยหลังกลับมา ข้างหลังเดนนิสกำลังยิงต้านพวกการ์ดเอาไว้ไม่ให้ผ่านกำแพงมา
    “เราถูกล้อม” ผมบอกเขา
    “เป็นเพราะแผนใครวะ” เขาตะโกนลั่น
    “หุบปากน่า” ผมตะโกนตอบแล้วหันไปข้างหลังแล้วยิงการ์ดคนนึงที่ยืนขึ้นเพื่อยิง แรงกระสุนผลักเขาไปชนกับกำแพง
    “พวกมันมาเพิ่มแล้ว” เดนนิสตะโกนบอก ผมหันไปดูแม้จะมีกำแพงบังอยู่แต่ก็สัมผัสได้ถึงความชุลมุนที่เพิ่มขึ้น
    “ต้านมันไว้” ผมสั่งแล้วพุ่งเข้าไปในห้องแล้วยิงกดหัวพวกการ์ดที่ยังหมอบใต้โต๊ะ ผมลากนักการเมืองขึ้นมากำแบง เมื่อพวกมันเห็นมันมีความลังเลใจไม่กล้ายิง แต่ลีหงฉวนตะโกนอะไรบางอย่าง พวกมันสองคนลุกขึ้นแล้วยิงมา ผมยิงสวนไปได้คนนึงแต่ต้องหลบกระสุนที่พุ่งมาจากอีกคน พวกมันยิงพวกเดียวกันเอง
    “กระสุนแม็กสุดท้ายแล้ว” เดนนิสตะโกน
    ผมกระโจนหลบไปใต้โต๊ะแล้วคลานไปที่หัวโต๊ะฝังซ้าย ในหัวคิดคำนวณ ผมเก็บไปแล้วหกคน เหลืออีกแค่สี่เท่านั้น ข้างนอกผมได้ยินเสียงปืนที่เปลี่ยนไป เดนนิสเปลี่ยนไปใช้ปืนพกแล้ว ผมคลานไปที่หัวโต๊ะผ่านนักเมืองที่หมอบอยู่หลายคน เจอการ์ดคนหนึ่งส่วนมาด้วยความไวกว่า ผมยกปืนขึ้นจ่อหัวเขาแล้วลั่นไก สมองเขาพุ่งกระจายไปด้านหลัง เหลืออีกสามคน
    ผมกระโจนไปข้างหน้าไม่ให้พวกมันตั้งตัวแล้วลั่นไกรัวไปที่การ์ด คนหน้าสุดโดนกระสุนเข้าไปหลายนัดร่างของมันกันอีกสองคนข้างหลัง ผมหมอบแน่นิ่งระหว่างที่พวกมันกราดปืนสวนมา บ้างก็โดนพื้นบ้างก็โดนนักการเมือง ทันใดนั้นเดนนิสก็วิ่งเข้ามาพร้อมปืนพกแล้วยิงคนหลังสุด การ์ดคนสุดท้ายหันไปข้างหลังอย่างตกใจ มันหันหลังกลับซึ่งเป็นการเปิดจังหวะให้ผมตั้งตัวและยิงไปที่หลังมันสามนัด มันกระอักเลือดแล้วล้มลง
    “ที่นี่มีประตูทิศใต้มั้ย” ผมถามเดนนิสซึ่งตอนนี้หมอบมาที่เดียวกับผม
    “มี ทำไม” เขาถามกลับ ผมไม่ตอบแต่คลานไปดูศพการ์ดข้างหน้า
    “ดีนพวกมันมาแล้ว” เดนนิสร้อง การ์ดหลายคนวิ่งเข้ามาพร้อมปืน เดนนิสยิงสกัดไว้ ซึ่งกระสุนของเขากำลังจะหมดในอีกไม่กี่นัด ผมค้นร่างการ์ดและเจอระเบิดมือหนึ่งลูก
    “จะทำอะไร” เดนนิสถามเขากำลังยิงปืนสวนพวกการ์ดไปจนหมดแม็ค พวกชุดสูทหลายคนลุกแล้ววิ่งหนีผ่านการ์ดออกประตูไป พร้อมทั่งลีหงฉวนที่อยู่ตรงหัวโต๊ะด้วย
    ผมยื่นปืนจีสามหกซีให้เดนนิส เขารับไว้งงๆ แต่ก็เอาปืนไปยิงต่อสู้กับพวกการ์ด ตอนนี้ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงปืนสะเทือนเลื่อนลั่นจนแสบแก้วหูไปหมด ผมลากผู้หญิงที่นอนหมอบตรงหัวโต๊ะไปไว้ที่ข้างโต๊ะ ผมแกะสลักระเบิดมือแล้วเอาไปวางไว้ที่ผนังฝั่งหัวโต๊ะแล้วก็พุ่งมา ผมกับเดนนิสล้มโต๊ะใหญ่แล้วลากมาบังระเบิด
    ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมม
    เสียงระเบิดมือดังขึ้นจนหัวใจสะเทือนแม้แต่การปิดหูก็ยังไม่สามารถทำให้เสียงเบาลงไปได้ เศษไม้ปลิวว่อน หูผมอื้อและรู้สึกมึนหัว ไม่ได้ถูกระเบิดใกล้อย่างนี้มานานแล้ว ผมลุกขึ้นมองดูข้างบนการ์ดหลายคนล้มไปเพราะแรงระเบิด ที่ผนังระเบิดเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่
    “ไปๆ” ผมดึงพวกชุดสูทหลายคนให้ลุกขึ้นแล้วผลักไปข้างหน้าตรงทางออก เดนนิสก็ช่วยด้วย เขาลากนักการเมืองผ่านช่องไป การ์ดเริ่มฟื้นมาแล้ว ผมหยิบปืนเอเอที่วางอยู่กับพื้นแล้ววิ่งออกไปทางรู ห่างออกไปหลายร้อยเมตรที่ประตูทิศใต้ ซอมบี้จำนวนมากมายพยายามจะดันปะตูเข้ามา
    “โอ้พระเจ้า” ผมครางหยุดอึ้งอยู่กับที่ ไม่มีแรงจะไปไหน เดนนิสวิ่งมาหยุดข้างๆผม
    “วิ่งก่อนพวกการ์ดมาแล้ว” เขากระตุกแขน ผมหันไปมองข้างหลัง พวกการ์ดโซเซมาแล้วเริ่มลั่นไกยิง ข้างๆผมพวกชุดสูทหลายคนออกวิ่งด้วยความกลัว ผมวิ่งคละไปกับคนพวกนี้แต่ไม่รู้จะไปทางไหน ข้างหน้าซอมบี้เป็นร้อยกับพวกติดอาวุธเป็นวิบข้างหลัง
    “ไปหลบข้างๆก่อน” เดนนิสชี้ไปทางขวา ยังโล่งพวกนักการเมืองก็ไปทางนั้นเช่นกัน คนจำนวนมากออกมาดูเหตุการณ์ฝั่งนั้น ผมออกตัววิ่งอีกครั้งแต่เมื่อหันกลับไปมองการ์ด ก็พบว่ามีคนนึงถือปืนอาร์พีจีเล็งมาทางพวกเรา
    “เห้ย! หลบ” ผมกระชากเดนนิสลงกับพื้น และรู้สึกได้ถึงลูกจรวดที่ลอยข้ามหัวไป ผมมองตามมันลอบไปเรื่อยๆและชนเข้ากับประตูใหญ่และนั่นคือความตระหนกถึงขีดสุดของผมผมคว้าปืนจากเดนนิสแล้วยิงการ์ดคนนั้น กระสุนพุ่งเข้าหัวมัน ข้างหน้าซอมบี้หลายตัวเดินเข้ามา มือไขว่คว้าอาหารและพวกรันเนอร์ราวสิบตัว พวกมันวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
    ผมออกตัววิ่งอีกรอบเพื่อตามพวกชุดสูทให้ทัน การ์ดข้างหลังที่ผมเห็นแล้วว่าจำนวนมากกว่ายี่สิบคน ยิงไล่หลังมา ผมวิ่งอัดสุดแรงให้ตัวเองพ้นจากศูนย์เล็ง แต่เพราะไม่ได้วิ่งกลับหลัง พวกรันเนอร์ที่ไม่รู้จักเหนื่อยและวิ่งสุดแรงเหมือนกันตรงมาที่ผม แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างผลักมันมา มันเสียหลักพุ่งไปข้างหน้าหัวคะมำ
    เมื่อตั้งสติพบว่าผมได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์หลายลำตรงมาทางนี้ เหนือหัวซอมบี้เป็นกองทัพ เฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้หลายลำบินตรงมา มีทหารนั่งมาด้วย พวกเขา เมื่อเข้ามาใกล้ระยะพวกเขายิงการ์ดทุกคนที่ถือปืนเล็งมาทางเรา กระสุนนับร้อยพุ่งทะลุร่างพวกการ์ด จนสิ้นใจ
    ผมยังคงวิ่งต่อไปด้านข้างของพระราชวัง มีพลเรือนหลายคนมายืนดูอยู่ท่าทางอกสั่นขวัญหายและมองซอมบี้อย่างตื่นตระหนก
    ผมไปหยุดอยู่ที่พวกเขาซึ่งมองผมกับเดนนิสด้วยสายตางุนงงแต่มีความไม่พอใจในสายตานั้น
    ฮิวอี้ลงจอดข้างๆผม ทหารหลายคนลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ทุกคนแต่งชุดลายพรางสีเขียว แต่มีสองคนที่ใส่หมวกบังหน้าและแต่งตัวด้วยชุดสีดำและชุดเวสท์ เครื่องแต่งกายคล้ายเดนนิส อาจจะเป็นพวกของเขาก็ได้ คนหนึ่งถือปืนเอ็มพีสี่ข้างมีมีดพร้าขนาดใหญ่เหน็บอยู่ อีกคนร่างเล็กกว่าคนที่ถือเอ็มพีห้า แต่มีปืนบาเร็ตต้า เอ็มเก้าเหน็บไว้ที่ขาทั้งสองข้าง มีมีดคอมแบ็ทเสียบไว้ในปลอกที่อกซ้าย เดาว่าคงมีข้างหลังด้วย
    พวกทหารกรูกันไปช่วยและพูดคุยกับชาวบ้าน ผมและเดนนิสฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่พวกชุดดำสองคนยังคงจ้องมาที่เรา
    แต่ทันใดนั้นมีซอมบี้การ์ดคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากข้างหลังเฮลิคอปเตอร์ คนที่ตัวเล็กเอี้ยวตัวหลบพร้อมชักมีดปักเข้าที่ปลายคางของซอมบี้ มันตายทันที ทั้งสองตนค่อยถอดหมวกออก ซึ่งใบหน้าทั้งสองทำให้ผมตกใจและงุนงงเอามากๆ
    “เอ็มม่า โอเลด” ผมอุทาน
    “ไง” เอ็มม่ายิ้มทิ้งหมวกแล้ววิ่งมากอดผม โอเลดตามเข้ามาตบไหล่ แต่ผมยังไม่หายตกใจหรอกนะเธอผละออกจากตัวผมแล้วยิ้มเขินๆ
    “อะไรเนี่ย มาได้ไง”
    “เรื่องมันยาว ตอนนี้เราต้องรีบอพยพคนก่อน ซอมบี้กำลังมา” เอ็มม่าตอบ สายตามองไปที่ประตูใหญ่ซอมบี้เป็นร้อยกำลังกะเผลกเข้ามา
    เสียงเฮลิคอปเตอร์อีกชุดดังขึ้นเมื่อมองไปบนฟ้าก็พบสกายเครนสองลำบินมาลากตู้คอนเทนเนอร์มาด้วย สกายเครนคือเฮลิคอปเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อขนย้ายของที่มีน้ำหนักมาก ตรงท้องออกแบบมาให้มีลักษณะเว้า
    ทหารที่คุยกับชาวบ้านเสร็จก็วิ่งไปยิงสกัดซอมบี้ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทหารจีนราวสามสิบนายตั้งแถวอย่างมีระบบแล้วเริ่มต้นสกัดั้นซอมบี้
    “เราเหลือเวลาอีกไม่มากใช่มั้ย” ผมถามเอ็มม่า ลืมเรื่องลีหงฉวนไปเสียสนิท เธอพยักหน้า
    “ใช่ เราเหลือเวลาอีกไม่มาก เราต้องรีบไป” เมื่อได้อย่างนั้น ผมก็เริ่มออกวิ่งไปส่วนหน้าของพระราชวังแบบสุดแรง แต่พระราชวังกว้างใหญ่ขนาดนี้จะทันลีมั้ยนะ
    อยู่ตรงนั้น ลีหงฉวนกำลังนั่งเบาะหลังในรถของผม การ์ดสองคนนั่งเบาะหน้า คนนึงพยายามจะสตาร์ทรถแต่คงยากเพราะกุญแจอยู่ที่ผม นอกจากพวกนั้นจะต่อสายตรงเป็น
    แต่เมื่อผมเข้าไปใกล้ขึ้น การ์ดอีกสามคนก็กรูเข้ามา ปืนในมือเล็งมาที่ผม ผมกระโจนไปที่พื้นข้างหน้าหลบจากแนวเล็งแล้วใช้ปืนจีสามหกซียิงไปที่ทั้งสามคน ไม่มีใครรอดจากการยิงครั้งนี้
    บรืนนนนนน
    เสียงสตาร์ทรถติดแล้วและมันกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าที่ทางออก ผมพลิกตัวเองให้นอนคว่ำวางปืนขนานกับพื้นเล็งไปที่ล้อแล้ว
    กริ๊ก
    เสียงปืนที่หมดกระสุนผมร้องอย่างหัวเสียแล้วออกตัววิ่งตามรถ จำเป็นต้องทิ้งปืนไปเพื่อให้วิ่งตามได้
    รถชะลออยู่ที่ทางออกเพื่อเลี้ยวออกไป ผมอาศัยจังหวะนั้นชักปืนเอ็มเก้าออกมาแล้วเล็งไปที่ล้อหลัง
    ปัง ปัง ปัง
    เสียงปืนสามนัดพุ่งไปที่ล้อหลังทั้งสองล้อ เกิดเสียงดังปั้งแล้วยางก็ค่อยแฟบลง รถที่กำลังเลี้ยวอยู่เคลื่อนไปข้างหน้าพ้นราชวังเล็กน้อยแล้วหยุดอยู่กับที่ คนขับรถลงมาจากรถท่าทางหัวเสีย
    ปัง ปัง
    กระสุนสองนัดพุ่งเข้าเจาะคอและกะโหลกศีรษะ ผมเดินเข้าไปที่ฝั่งผู้โดยสารเบาะหน้า การ์ดไม่ได้ลงมาหากแต่ยื่นปืนผ่านช่องหน้าต่าง
    ผมพุ่งเข้าไปดันมือเขาชนกับขอบรถก่อนที่เขาจะลั่นไกแล้วใช้ศอกแทงไปที่โหนกแก้ม เขาเด้งกลับเข้าไปในรถปืนตกจากมือ ผมยิงเขาซ้ำที่หัวอีกนัดอย่างรวดเร็ว
    ลีหงฉวนนั่งอยู่เบาะหลัง สีหน้าไม่แสดงความตกใจแต่ก็รู้เลยว่ามีความกลัวอยู่ในนั้น ผมเปิดประตูหลังแล้วลากเขาออกมา จากนั้นก็ต่อยเขาที่ท้องสองที เข่าหนึ่งครั้งแล้วโยนเขาไปข้างล่าง เขาร้องอย่างโอดครวญ
    ใกล้ๆมีซอมบี้กำลังกะเผลกเข้ามา ผมเดินไปเปิดกระจกรถทั้งสองฝั่งอย่างใจเย็น ซอมบี้ผู้หญิงเสื้อผ้าขากรุ่งริ่งค่อยๆกะเผลกเข้าไปหาลี เขาร้องลั่น ผมเดินไปที่มัน แล้วจิกหัวมันแล้วเหวี่ยงไปที่รถ มันล้มไปอย่างง่ายดายอยู่ที่ประตูรถฝั่งคนนั่ง มันลุกขึ้นผมถีบมันไปที่ท้องแต่ไม่แน่ใจว่ามันจะเจ็บแต่ตัวมันงอ ผมเปิดประตูรถลากศพการ์ดออกมาแล้วโยนซอมบี้เข้าไปแทน
    ผมเดินไปที่ลีดูงุนงงกับการกระทำของผม ผมกระชากเสื้อเขาขึ้นแล้วต่อยที่ท้องไปสองที จากนั้นก็ลากเขาไปที่รถ เขาพยายามถ่วงตัวเองแต่สู้แรงกระชากผมไม่ได้ ผมโยนเขาไปที่กระโปงหน้ารถ แล้วขึ้นตามไปเข่ากดแขนเขาแล้วจ่อปืนเอ็มเก้าไปที่หน้าผาก ข้างหลังซอมบี้พยายามจะพังกระจกหน้ารถ
    “ยิงสิ ยิงเลย แกจะไม่ได้ในสิ่งที่แกต้องการ” เขาท้าทายผมใช้สันปืนตบหน้าเขา ลีร้องเลือดไหลซิบออกจากปาก “ที่ประเทศแกทำกันแบบนี้รึ ฉันช่วยแกเอาไว้”
    “แค่ตอบคำถามน่ะ” ผมพูด “ถ้าแกตอบถูกใจฉัน ฉันจะไม่ยิงกระจกหน้ารถให้ซอมบี้ลากแกไปกินในนั้น โดนกัดมันเจ็บมาก เข้าใจนะ” เขาพยักหน้า
    “แกเกี่ยวข้องอะไรกับรัสเทอร์ริส” ผมถามเขาปืนชี้ไปที่คอ ข้างหลังซอมบี้ทุบรถอย่างบ้าคลั่ง
    “ฉันเป็นผู้สนับสนุนเรื่องการค้าอาวุธและเพื่อเปิดทางให้พวกนั้นเข้ามาขายในประเทศและฉันจะได้กำไรสามสิบเปอร์เซ็นต์” เขาตอบ เสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว ซอมบี้ทุบกระจกจนเริ่มร้าว เขามองด้วยสายตาหวาดหวั่น
    “แกรู้อะไรเกี่ยวกับไวรัสบ้าง”
    “แกเป็นสายลับเรอะ” เขาถามกลับผมใช้ปืนตบเขาอีกรอบ เขาร้องด้วยความเจ็บปวด
    “ฉันไม่ได้บอกให้แกถาม” ผมคำราม “ตอบมา”
    “มันเป็นของที่เช่ากันในตลาดมืด มีคนนำมาขายให้ฉัน เขาให้ฉันนำมาทดลองให้สมบูรณ์แล้วค่อยคืน” เขาพูดรัวเร็ว
    “ใครขายให้แก” ผมถามต่อแต่ในใจสันนิษฐานไว้แล้ว “ไวรัสและผลการทดลองอยู่ไหน ใครเป็นคนเริ่มทำ”
    “ฉันบอกแกไม่ได้หรอก” ลีพูด ผมยกปืนขึ้นจ่อหน้าผากแต่ยังไม่ได้ทันได้พูดอะไร ซอมบี้มาจากไหนไม่รู้ข้างๆผม ผมยกปืนขึ้นโดยสัญชาติญาณ ลีได้ทีผลักผมจนกลิ้งรถ แต่ซอมบี้ข้างใน ก็ทุบกระจกรถจนได้และลากเขาเข้าไปในนั้นแล้วกัดกินเขา เขาดิ้นอย่างทุรนทุราย ผมลุกแล้วยิงซอมบี้ข้างนอกแล้วดึงลีออกมาและส่งกระสุนไปเจาะหน้าผากตัวข้างใน
    ผมมองดุลีซึ่งดิ้นทุรนทุรายและพบว่ามันสายไปแล้ว
    ปัง
    ผมมองดูเขาอย่างสมเพชและกำลังจะวิ่งกลับไปข้างในพระราชวัง
    “นายทำอะไร” เสียงสำเนียงจีนดังขึ้น ผมหันไปก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งถือปืนลูกซองเดินเข้ามาซึ่งผมเห็นในหนังสือในห้องของยูจีน
    “นายคงเป็นลีเตียวล่งสิใช่มั้ย”
    ปัง
    เขายิงเข้ามาแต่ผมกระโจนไปหลบหลังรถทัน เขากระหน่ำลูกซองมาเรื่อยๆ เสียงมันดังและชวนปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง ผมคลานไปอีกฝั่งของรถไปทางฝั่งคนนั่งแต่เหมือนเขายังไม่รู้ตัว ผมลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและยิงไปที่อกขวาของเขา เขาร้องและล้มลงไป
    “ข้อมูลไวรัสน่ะ อยู่กับนายสินะ” ผมเดินไปใกล้ๆแล้วเตะลูกซองออก ลีหงฉวนกลัวว่าผมจะไปตามหาคนที่มีไวรัส แน่นอนว่าต้องเป็นเขา
    “ถึงแกจะได้ไป แกก็จะไม่ได้ตัวสมบูรณ์หรอกนะ” เขาพูดพลางหอบ มือกุมที่แผล “มันคือตัวที่ไม่สมบูรณ์ มันยังขาดอะไรบางอย่าง”
    “ขอบคุณที่บอก” ผมประชดอย่างเย็นชา แล้วค้นตัวเขา ใช้เวลาไม่นานนัก ก็เจอถุงที่มีกระดาษแปะไว้ว่า สัญญาค้าอาวุธชีวภาพ “อยากให้ฉันช่วยให้นายพ้นทุข์มั้ย” ผมถามแต่เขาไม่ตอบ ผมเดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ
    ปัง
    ลูกกระสุนปลิวข้ามหัวผมไป ผมสะดุ้งโหยงแล้วหันกลับไป พบปืนในมือของเขา พบตอบโต้ตามสัญชาติญาณด้วยการยิงไปสองนัดที่ตัวเขา เพื่อไม่ให้เขาได้มีโอกาสลั่นไกอีกครั้ง
    “คุณทำอะไรน่ะ” เอ็มม่าถาม เธอและโอเลดอยู่ที่ประตูพระราชวัง สีหน้าไม่อยากเชื่อ บ้าเอ๊ย ดันโผล่มาทำไมตอนนี้นะ
    “คือเรื่องมันยาว คือเขาจะยิงผมนะ” ผมพูดอย่างประณีประนอม แต่เธอยังดูอึ้งอยู่
    “รีบไปเถอะ เราต้องไปแล้ว” โอเลดที่อยู่ข้างๆเธอบอก เราทั้งหมดออกวิ่งไปที่ที่เฮลิคอปเตอร์อยู่ทันที ผม เอ็มม่า เดนนิสและโอเลดนั่งเฮลิคอปเตอร์ลำเดียวกัน มันค่อยขึ้นจากผืนดินไปเรื่อยๆจนทุกอย่างเริ่มเล็กลงแล้วเคลื่อนตัวห่างออกไปจากพระราชวัง ตามมาด้วยสกายเครนที่ขนคอนเทนเนอร์มาด้วย เดาว่าข้างในคือผู้รอดชีวิต
    อย่างไรก็ตาม งานนี้ผมคงต้องเคลียร์กับเอ็มม่ายาวแ
    น่ๆ



    หมวดเงียบมาก นี่พูดเลย
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย black jack sdppd : 16th March 2014 เมื่อ 17:32
    3 Coins DPP

  23. #89
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818


    20. ในอดีต

    ตอนนี้เราอยู่ขนเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก ซึ่งตอนนี้เราอยู่เหนือเมฆแล้ว กัปตันเป็นนักบินอเมริกัน เราจากสนามบินมาได้ 30 นาทีแล้ว หลังจากที่เดนนิสรับปากกับผู้จัดการสนามบินใหญ่ว่าจะส่งกองกำลังอเมริกันมาช่วย ผมได้เล่าเรื่องในอดีตให้เขาฟัง
    ขอบคุณ แต่ไม่ต้องมาแล้วล่ะ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเจอกันอีก
    คำพูดสุดท้ายของเขาตอนเราขึ้นเครื่องบินมา ข้างในเป็นที่นั่งแถวยาว ตกแต่งแบบเฟิร์ส คลาส มี 18 ที่นั่ง มีที่นั่งนึงที่เป็นโต๊ะกลมใหญ่ มีขวดใส่ดอกกุหลาบวางประดับ เบาะที่นั่งทำมาจากกำมะหยี่สีแดง ดูสวยงามและดูมีระดับ มีบาร์ด้วย เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีบาร์เทนเดอร์
    ผมเดินมานั่งที่โต๊ะกลม คนอื่นๆตามมาสมทบ เอ็มม่าและโอเลดนั่งฝั่งตรงข้าม เดนนิสที่ตามมาทีหลังจึงนั่งข้างผม
    “เอาล่ะ เดนนิส นี่เอ็มม่าและโอเลด” ผมแนะนำทั้งคู่ให้เดนนิส “และเอ็มม่า โอเลดนี่เดนนิส” หลังจากนั้นทุกคนก็ทักทายจับมือกันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ถามไถ่เรื่องอาชีพการงาน สารทุกข์สุขดิบเล็กน้อย ผมรอโอกาสเขาพูดเสร็จ
    “คุณมีเรื่องต้องอธิบายรึเปล่า เอ็มม่า” ผมถามเธอ จ้องไปในดวงตาสีฟ้าใสของเธอ ซึ่งเธอมองกลับมาอย่างใสซื่อ “ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ เกิดอะไรขึ้นที่แลงก์ลี่ย์” เธอยิ้มแต่ไม่ตอบแล้วมองหน้าโอเลด
    “พวกเรามีเหตุผลนะ” โอเลดตอบแทน “ฉันไม่อยากอยู่เฉยๆ ที่สำคัญเขามีการรับสมัครพลเรือนเข้ากองกำลังด้วย ฉันกับเอ็มม่าจึงเข้าร่วม”
    “แล้วคุณก็ไปกับเขางั้นเหรอ” ผมถามต่อ มันไม่ใช่เรื่องที่สาวอย่างเอ็มม่าจะออกมาผจญโลกภายนอก ทั้งที่ฝีมือการป้องกันตัวจากซอมบี้ยังไม่ค่อยเอาไหน “นายปล่อยให้เธอมาเหรอ” ผมถามโอเลดน้ำเสียงผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขามองเธอทำนองว่า ฉันบอกแล้ว
    “ใจเย็นน่าดีน เขาไม่ผิดหรอก” เธอกล่อมใช้นำเย็นเข้าลูบ “ฉันรู้ว่าคุณรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้ฉันก็ไม่เป็นไรนิ่”
    “คุณไม่ควรอยู่ที่นี่ คุณไม่ปลอดภัยข้างนอก อันตรายมีอยู่ทุกที่เลย ซอมบี้เต็มไปหมด” ผมอธิบาย
    “ฉันไม่ได้มาเป็นภาระ ฉันเป็นหน่วยแพทย์ ฉันช่วยได้”
    “คุณเป็นจิตแพทย์ไม่ใช่เหรอ” ผมถาม
    “คิดว่าฉันไม่ต้องฝึกการพยาบาลเลยหรือไง” เธอยิ้ม พยายามลดความตึงเครียด ซึ่งช่วยได้มาก แต่ผมยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่
    “ถึงยังไงก็เถอะ มันอันตรายเกินไป”
    “ฉันรู้ในจุดนั้นดีและที่สำคัญ คุณจะปกป้องฉันไม่ใช่เหรอ” เธอจี้เข้าจุด มันก็จริงอย่างที่เธอว่า ผมปกป้องเธอได้ แต่มันง่ายกว่าถ้าเธออยู่ในสถานที่ปลอดภัย “คุณกำลังสงสัยว่าปกป้องฉันไม่ได้รึเปล่า”
    “เปล่า” ผมรีบปฏิเสธ แต่ก็รู้ทันทีว่าตกหลุมพราง “ผมปกป้องคุณได้”
    “ก็ดี นี่แหละ บทพิสูจน์” เธอปล่อยหมัดน็อคทันที
    “โอเค พอๆ ฟังอยู่นาน เลี่ยนแล้ว” โอเลดตัดบท “นาย” เขาหันมาทางผม “เธอมาที่นี่ในฐานะอาสาสมัครทีมสนับสนุนในนามของอเมริกา และเธอ” เขาหันไปทางเอ็มม่า “อย่ามาโชว์หวานแถวนี้” เอ็มม่าหัวเราะเบาๆ
    “ไม่ต้องห่วงหรอก เขาฝึกการต่อสู้ฉันด้วย” เธอเสริม
    “อะไร ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่อง ตอนผมออกมา คุณยังไม่ได้เข้ารับการฝึกอะไรซักหน่อย”
    “หลักสูตรเร่งรัดน่ะ” เธอหลิ่วตา ผมทิ้งตัวพิงเบาะเก้าอี้ รู้สึกสบายใจเล็กน้อย จนกระทั่งเห็นเดนนิสที่นั่งจ้องโต๊ะอยู่เขาดูเหนื่อยและซึมเศร้า
    “นายสู้มาทั้งวันแล้วนิ่ ไปพักสักหน่อย” ผมแตะไหล่เขา เขาหันมามองแล้วยิ้มเศร้าๆ
    “ความจริงแล้ว ผมไม่ใช่ตำรวจไมอามี่หรอก” เขาพูด ในห้องโดยสารเงียบทันทีและรอฟังเขาพูด
    “ผมและเพื่อนอีกสี่คนเป็น ปปส.” เขาเริ่ม นั่นยังสร้างความตะลึงได้มากกว่าเมื่อกี้อีก “เราเป็นปปส. นั่นคือเหตุผลที่พวกเรามีความสามารถมากกว่าตำรวจทั่วไป เราทั้งห้าคนสนิทกันมาก ร่วมเป็น ร่วมตายกันมานานหลายภารกิจ” เขายิ้มให้กับความทรงจำเก่า ดูแล้วหดหู่ ผมกลับมานั่งหลังตรงเพื่อฟังเขา “ความจริงนี่เป็นงานสุดท้ายก่อนพักของเรา ที่จริงไม่ต้องรับก็ได้ แต่เราอยากทำ” เขาก้มหน้าลงไป
    “เรื่องเป็นมายังไง” ผมถาม เอ็มม่ามองด้วยสายตาห้ามปรามคงไม่อยากให้คิดเรื่องร้ายไปมากว่านี้ แต่ผมต้องการรู้จริงๆ เพราะทางตอนใต้นั้นก็เป็นส่วนสระว่ายน้ำที่ผมไปใช้บริการลงไป
    “เราได้รับคำสั่งจากหัวหน้าว่าจะมีการขนย้ายยาเสพติดมาจากทางตอนใต้ของไมอามี่และผ่านเลควิวไปด้วย เราจึงไปตั้งด่านที่หน้าทางเข้าเพื่อรอรถเป้าหมายและจัดการขั้นสูงสุด
    “แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร มีเจ้าหน้าที่จากรัฐและทหารมากมายกรูกันเข้ามา เขาคิดว่าเราเป็นตำรวจจริงเลยแจ้งสถานการณ์กับเรา” เขาหัวเราะในลำคอ
    “ความจริงเรางงและตกใจมากและกำลังจะบอกว่ามาปฏิบัติภารกิจของปปส. แต่ยังไม่ทันได้พูด หัวหน้าเราก็โทรมาและบอกว่าภารกิจล้มเหลว สายของเราของเราถูกจัดการและมีคนคลุ้มคลั่งจากฤทธิ์ยาอาละวาดและกำลังมาทางเรา
    “มันสอดคล้องกับข้อมูลที่ทหารได้ให้เรา แม้ตอนนั้นจะยังไม่ค่อยเชื่อก็ตาม แต่พวกเราได้รับคำสั่งมาจากรัฐบาลให้ทำการป้องกันเลควิวเอาไว้อย่างเต็มความสามารถ แต่มันก็ไม่ไหว”
    “นายรู้ชื่อเป้าหมายมั้ย” ผมถามอีกรู้สึกเหมือนใกล้เบาะแสเข้าไปอีก
    “ได้มาแค่ชื่อกับรูป ไม่มีประวัติ” เขาตอบและเสริมทันที “แต่ผมไม่มีรูปมาหรอกนะ”
    “เขาชื่ออะไร
    “คนรัสเซียชื่อคอลิน คีรอฟสกี้” เดนนิสตอบ ผมรู้สึกได้ถึงความตกตะลึงที่แผ่ซ่านเข้ามาทั่วร่างกาย
    “เขาเป็นคนตัวสูง ผมบลอนด์ ตัดผมรองทรงและมีเคราแพะเล็กๆใช่มั้ย” ผมถามย้ำ
    “ตัวสูง ผมบลอนด์น่ะใช่ แต่เคราแพะนี่ไม่แน่ใจ รูปถ่ายเขาไม่ได้ชัดขนาดนั้น” เดนนิสตอบ แค่นั้นก็พอแล้ว “รู้จักกันเหรอ”

    2 ปีที่แล้ว
    ตอนบ่าย ณ ค่ายทหารนาวิกโยธินสหรัฐ
    ก๊อกๆ
    เสียงเคาะประตูห้องพักของผมดังขึ้น ปลุกผมจากภวังค์ ผมกำลังนอนจ้องเพดานในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก มีแลปท็อปตั้งถัดจากเตียง ตู้เสื้อผ้าตรงข้ามห้อง มีโปสเตอร์หนังติดอยู่ทั่ว ข้างๆหมอนมีปืนบาเร็ตต้า เอ็มเก้าและแม็กกาซีนวางไว้ ผมลุกขึ้นจากเตียง ไม่งัวเงียเพราะไม่ได้หลับ ผมในตอนนี้ใส่เพียงกางเกงสามส่วนสีกากีเท่านั้นจึงหยิบเสื้อยืดสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะมาใส่ มันเข้ากับตัวพอดี
    ผมเดินไปเปิดประตูห้อง แง้มออกเล็กน้อยเห็นพันเอกเนเก้นในชุดกากีทั้งตัวและหมวกแกปคู่ใจ มือไขว้ไว้ข้างหลัง
    “ไง ไอเสือ”
    “ครับผู้พัน”
    “มันเคลื่อนไหวแล้ว”
    ‘มัน’ ช่างเป็นคำที่กว้างเสียเหลือเกิน แต่สำหรับผู้พันเนเก้นและผมหรือฟร้อนท์ ทีม นี่หมายถึงเป้าหมายเราสิ่งเดียวเท่านั้น
    “แบบลับๆหรือโจ่งแจ้ง” ผมถามเพื่อดูว่าจะเป็นภารกิจลับไหม นั่นก็ต้องดูอีกทีว่าเป็นสิ่งที่ มาร์ส็อคอย่างเราต้องรับหน้าที่มั้ย
    “20 นาทีที่แล้ว สายการบินที่บรรทุกนักวิทยาศาสตร์ทั้ง 10 คนและอาวุธของเราได้จอดอย่างปลอดภัยที่สนามบินนานาชาติรัสเซียและอีก 20นาทีต่อมา ทั้งหมดได้หายไป”
    “ประชุมที่ไหนครับ”
    “แลงก์ลี่ย์”
    “จะประชุมกับซีไอเอเหรอ”
    “ก็ก่อนที่พวกซีลจะได้ไป”
    “ขอเวลาผม 3 นาที”
    “ห้ามเกิน”

    สำนักงานหน่วยข่าวกรองกลาง เวอร์จิเนีย
    โซเวียตาคือกลุ่มค้าอาวุธอิสระที่เหมือนจะกร่างไปทั่วโลกเป็นเวลา 1 ปีกับอีก 2 เดือนแล้วที่เราติดตามพวกนี้ หลังจากที่เห็นพวกมันไปโผล่ที่อัฟกานิสถาน ขายอาวุธและโจมตีหมู่บ้านที่ประเทศนั้น เราจับตาดูพวกมันตลอดมา แต่พวกนี้เหมือนผี โผล่มาให้เห็นไม่บ่อยนักและดูท่าว่าจะไม่เกี่ยวกับการก่อการร้ายหรือเป็นภัยต่อประเทศเรา แต่สิ่งที่เราสรุปได้ก็คือ พวกนี้โดนใจลูกค้าเอาหลายประเทศมากๆและอาจจะนำอาวุธขายผู้ก่อการร้ายทั่วโลกเลยทีเดียว
    อะไรทำให้โซเวียตาเป็นตลาดที่มีลูกค้าหนาแน่น อาวุธคุณภาพดี ราคาไม่กดหัวผู้บริโภคและยังส่งรวดเร็วตรวจจับไม่ได้ เรียกได้ว่าตอนนี้เป็นที่หนึ่งในบัญชีดำขององค์การสหประชาชาติเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังสร้างความหวั่นผวาให้กับกองกำลังของนาโต้มาแล้ว
    ตอนนี้ที่อยู่และเบาะแสของโซเวียตายังเป็นปริศนา
    ในห้องปฏิบัติการณ์หนึ่งมีเพียงผม ผู้พันเนเก้น หัวหน้าทีมภารกิจรัสเทอร์ริส เลียม พอร์ชเลนพบกันครั้งสุดท้ายผมเขายังไม่บางขนาดนี้ หน้าที่ดูคมคายเริ่มมีริ้วรอย และลินซ์ ลีโอนาร์ด นักวิเคราะห์การก่อการร้ายอดีตกรีน เบเร่ต์ ชายคนนี้รูปร่างสมกับเป็นหน่วยรบพิเศษยังคงเหลือรอยเคราเอาไว้ แต่ทรงผมตัดสั้นก็เข้ากับใบหน้าดูเป็นกันเองของเขา
    ผมเลือกนั่งลงฝั่งเดียวกับเนเก้นเป็นฝั่งตรงข้ามกับหน้าจอยักษ์ ลีโอนาร์ดนั่งอีกฝั่งกับพวกเรา เขายิ้มให้พวกเราแวบหนึ่ง ส่วนพอร์ชเลนยืนข้างๆจอ
    “เราได้เบาะแสมาแล้ว การเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของมันถือเป็นดาบสองคม สายลับติดตามมันทันที ที่มีการปล้นสินค้าของเรา”
    “คุณและลูกทีมต้องไปที่มอสโกเพื่อรับฟังข้อมูลและแผนของสายลับเรา” ลีโอนาร์ดพูดบ้าง
    “เขาชื่ออะไร” ผมถาม
    “เควิน สไตร์คเกอร์ชื่อของเขาที่นั่นคือ มานูเอล เครฟเชงโก้” ลีโอนาร์ดตอบ ผมทวนชื่อเขาในใจอีกครั้ง
    “เราควรรู้อะไรที่นี่บ้าง” เนเก้นถามบ้าง
    “ภารกิจของคุณ” ลีโอนาร์ดว่าแล้วส่งไม้ต่อให้พอร์ชเลน
    “ชิงตัวประกันคือแผนแรกที่ต้องทำ อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำคือทำลายมันซะ” เขาป้อนคำสั่ง ทำลายมันงั้นรึ ตราบใดก็ตามที่นาวิกต้องลงมือล่ะก็ พวกมันตายไปแล้ว แค่ยังไม่รู้ตัว “พวกมันอยู่ที่มอสโกแน่นอนเพราะหลังจากที่มีการชิงตัวอุกอาดที่สนามบิน ก็ไม่มีรถหรือยานพาหนะคันใดที่พยายามออกนอกเมือง นอกนั้นเป็นพวกคนธรรมดา”
    “มีพวกคุณที่นู่นกี่คน” เนเก้นถาม
    “ทีมเรามีสไตร์คเกอร์เป็นหัวหน้าและมีอีกสามคนเป็นลูกทีม” พอร์ชเลนตอบ
    “แล้วเราจะออกเดินทางตอนไหน” เขาถามต่อ
    “เร็วที่สุดที่จะทำได้”
    “งั้นเราจะไปเลยเดี๋ยวนี้” เนเก้นพูดเสียงเฉียบขาด “มีอะไรที่เราต้องรู้ที่นี่อีกมั้ย”
    “มีคนอเมริกันเป็นพวกมันด้วย” ลีโอนาร์ดตอบ ผมอึ้งเล็กน้อยและกำลังจะอ้าปากถาม แต่เนเก้นถามให้แล้ว
    “เราต้องช่วยหรือเปล่า”
    “สายเราบอกว่าพวกเขาถูกบังคับให้ทำอย่างงั้น”
    “โอเคขอบคุณสำหรับข้อมูล โทรนัดสายคุณและแจ้งเราด้วย”
    “ทางนี้จะเป็นหูเป็นตาให้” พอร์ชเลนรับปาก เนเก้นหันหน้ามาทางผมแล้วส่งสายตาให้ลุกขึ้น เราจับมือกับอีกฝ่ายแล้วออกไปจากห้อง

    “ลีโอนาร์ด” พอร์ชเลนเรียกเขาเมื่อทหารทั้งสองนายออกไปแล้ว “บอกผู้พันรอนว่าให้เตรียมหน่วยซีลของท่านไว้ให้ดี”

    ฐานทัพนาวิกโยธินสหรัฐ สหรัฐอเมริกา
    ผมและเนเก้นเดินมาด้วยกันเข้าสู่ห้องประชุมที่มีลูกทีมมือดีของผมอีก 40 คนรออยู่แล้ว เราเลี้ยวเข้าห้องประชุมไปก็เจอเหล่าทหารในชุดเต็มยศนั่งที่เก้าอี้รออยู่แล้ว เอ็ดดี้นั่งอยู่หน้าสุด ผมพยักหน้าให้เล็กน้อย
    “ทำความเคารพ” ผมคำรามทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วทำความเคารพเนเก้นทันที ผู้พันพยักหน้าทุกคนนั่งลงตามเดิม
    ไฟห้องหรี่ลงโปรเจคเตอร์ฉายภาพชายผิวขาวร่างใหญ่ผมทอง หนวดเคราเฟิ้ม หน้าตาไม่ค่อยหน้าพิสมัย
    “วีนอสกี้คิดผิดอย่างแรงที่ไปดักปล้นอาวุธที่เราพยายามวิจัยกับรัสเซียและนักวิทยาศาสตร์ห้าคนของเรา” เนเก้นเริ่มพูด “เราได้รับภารกิจมาเพื่อชิงตัวประกันพวกนั้นกลับมาและอาจจะมีภารกิจที่เข้ามาเสริมทันทีเช่นชี้เป้าให้หน่วยอื่นๆเช่นซีล หรือที่ดีกว่านั้นคือฆ่ามัน แต่ที่แน่ๆตอนนี้เราต้องต่อกรกับพวกมันทั้ง 200 คน นี่ลดให้แล้ว” เนเก้นส่งไม้ต่อให้ผม
    “สายของเรายืนยันแล้วว่าตั้งแต่เริ่มลงมือยังไม่มีใครหรืออะไรที่น่าสงสัยผ่านเมืองมอสโกไปเพราะฉะนั้นเราจะไปที่นั่นให้เร็วที่สุด ระบุตำแหน่งมันให้เร็วที่สุด ชิงตัวประกันให้เร็วที่สุดและฆ่ามันให้เร็วที่สุด ให้มันรู้ว่าต้องเจอกับใคร”
    “ใครมีคำถามบ้าง” เนเก้นมองไปรอบๆ มีทหารนายหนึ่งยกมือ เขาพยักหน้าให้ทหารนายนั้น
    “เราได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลรัสเซียด้วยใช่มั้ยครับ”
    “รัสเซียจะช่วยเราอย่างเต็มที่เท่าที่จะช่วยได้ แต่เราก็ต้องปฏิบัติภารกิจให้เสียหายน้อยที่สุด” เนเก้นบอก แหงล่ะ แม้มีประชากรโดนลูกหลงตายไปแม้คนเดียว เราก็จะโดนตราหน้าไปอีกนาน อาจโดนทหารหน่วยอื่นเยาะเย้ยเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดที่อยากจะนึก
    “แล้วตัวประกันบาดเจ็บมั้ยครับ” ทหารอีกคนถาม
    “เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวประกันเลย แต่เราควรหวังสิ่งที่ดีที่สุด รับมือสิ่งที่แย่ที่สุด” เนเก้นพูดคำคม “ให้คิดเอาไว้ว่าตัวประกันเดินไม่ได้ ควรเตียมเปลสนามไว้อย่างน้อยก็สาม”
    “แล้วฐานของเราที่นั่นอยู่ตรงไหนครับ” ทหารอีกนายถาม
    “โซฟีสกาย่า ถัดไปเป็นแม่น้ำ เราสามารถจู่โจมทางน้ำไปได้ทั่วเลย เมื่อเราไปถึงเราจะได้ไปฟังแผนจากสายของเราที่โน่นอีกทีแล้วจะวางแผนให้เร็วที่สุด” เขาชี้แจง “เอาล่ะมีใครจะถามอีกมั้ย” ทั้งห้องเงียบ ได้เวลาผมกล่าวปิดงาน
    “นี่เป็นภารกิจเร่งรัดเพราะฉะนั้นจะไม่มีการซ้อมกันก่อน แต่ฉันเชื่อว่าพวกนายทุกคนฝึกมาดีอยู่แล้ว ไม่งั้นก็คงไม่ได้มายืนอยู่นี่และจะไม่มีการถอนตัวด้วย” ผมพูด “และอย่างที่ได้กล่าว รัสเซียตัวแสบทำซ่าคิดว่าจะเล่นงานคนของเราแล้วจะหลุดไปง่ายๆ เราจะทำให้ความเชื่อผิดๆนี้ ลงหลุมไปพร้อมกับมัน”

    ฐานทัพลับมาร์สอค ถนนโซฟีสกาย่า เมืองมอสโก ประเทศรัสเซีย
    ผมยืนมองแผนที่เมืองมอสโกในห้องวางแผนและสื่อสาร เมืองมอสโกดูกว้างใหญ่และแทบจะหาจุดหลบซ่อนของพวกผู้ก่อการร้ายไม่ได้ ที่เดียวที่มันสามารถมาหลบได้ก็คือตำแหน่งที่พวกเราอยู่ ณ ตอนนี้
    ทิศเหนือหรือด้านหลังของเราคือแม่น้ำที่มีเรือยางเตรียมพร้อมอยู่ ข้างหน้าห่างไปอีก 200 เมตรคือฐานต่างๆที่บรรจุภายในโกดัง ข้างถนนเป็นตึกรามบ้านช่อง ไม่มีใครผ่านมาแถวนี้ เราปฏิบัติตัวแบบไม่กระโตกกระตาก
    เราใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงก็สามารถตั้งค่ายเสร็จ พร้อมอยู่ไปอีกหลายเดือนจนถึงหลายปี 1 ชั่วโมงหลังจากนั้นอาวุธก็ขนผ่านตม. มาได้สำเร็จ นี่เป็นเรื่องของสองรัฐบาลที่ต้องจัดการกันเอาเอง
    โกดังของเราแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกเรียกว่า ฟาลคอนเป็นห้องที่ใช้สำหรับติดต่อสื่อสารและวางแผน ฝั่งฟาลคอนมีพื้นที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก อีกฝั่งเรียกว่าไทเกอร์ เป็นที่ไว้เก็บอาวุธ ยุทโธปกรณ์ต่างๆและยานพาหนะต่างๆ มีพื้นที่เล็กน้อยซ้อมรบ
    ผมแอบไปชมเมืองแถวๆแม่น้ำเล็กน้อยตอนที่จัดค่ายเสร็จ ที่เมืองนี้สวยงาม แม้ช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะไม่คึกคักมา แต่คนก็ยังเดินตามท้องถนนกันอยู่ แม่น้ำที่ตัดผ่านก็ดูดีเหมาะสำหรับไปเดินทอดใจอยู่
    เนเก้นเดินเข้ามาในชุดที่ยังเต็มยศอยู่ในขณะที่บางคนเริ่มถอดชุดเปลี่ยนกันแล้วเพราะยังไงก็รู้ว่าจะไม่มีวันได้ยิงเร็วๆนี้ มีแต่ผมและเนเก้นเท่านั้นที่ยังใส่เต็มยศ
    “พอร์ชเลนนัดสายมาให้แล้ว” เขาบอกกับผม “ที่บาร์แบล็คเบิร์ด 1 ทุ่มตรง”

    อาคารรัฐสภา รัสเซีย
    เกรกอรี่ กรอชซอฟ ชายร่างใหญ่ บึกบืนกำยำ ศีรษะตรงกลางล้าน ผมที่ข้างๆเปลี่ยนเป็นสีขาว แต่ท่ามกลางความแก่เฒ่าดวงตาและหัวใจสิงห์ยังคงอยู่ เขานั่งอยู่ในทำงานที่เต็มไปด้วยของตกแต่งสีแดง สีที่ชอบของเขาเนื่องมาจากความแข็งแกร่งของกองทัพแดง เขาใฝ่หาเรื่องนี้ จนกระทั่งได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัสเซีย
    ก๊อกๆๆ
    “เข้ามา” เขาเรียกเสียงเอื่อยๆเพราะความเบื่อหน่ายที่สะสมกันมา โคเทล รัสกิน เดินเข้าห้องมา เขาหนุ่มกว่ากรอชซอฟมาก จึงทำให้ดูกระตือรือร้นกว่า “ว่าไง” เขาถามรัสกิน
    “เราพึ่งอนุญาตให้กองกำลังอเมริกันเข้ามาในมอสโกเมื่อสักครู่ครับ” รัสกินบอก เขากลืนน้ำลาย ตาเบิกกว้าง สิ่งที่เขากังวลเกิดขึ้นแล้ว
    “ทำไมปล่อยให้มันเข้ามา” เขาคำราม
    “ท่านก็รู้ว่าทำไม” นั่นสินะ ถ้าออกตัวขึ้นมาจะน่าสงสัย
    “ซีลเหรอ” เขาถาม รัสกินสั่นหัว “เดลต้าฟอร์ซ” เขาถามอีก รัสกินส่ายหัวอีก
    “มาร์สอคครับ”
    “มาร์สอคงั้นเหรอ” กรอชซอฟหัวเราะ “มาร์สอคมาทำอะไรน่ะ” เขาเย้ย “ดีแล้วล่ะ แสดงว่า คนของเรายังทำสัญญากันได้”
    “ครับ แต่ยังไงเราก็ควรระวังพวกนี้ไว้ด้วยดีกว่านะ” รัสกินเตือน กรอชซอฟปัดมือ
    “โทรแจ้งพวกนั้นซะ”

    ครูสตาลี เมืองมอสโก ประเทศรัสเซีย
    ผมกำลังนั่งอยู่ในบาร์แบล็คเบิร์ด ทั้งร้านดูมอซอ มีคนมานั่งอยู่สองสามคน มีสองโต๊ะติดฝั่งผนังและสามโต๊ะกระจายอยู่ตรงกลางห้อง หลังสุดของห้องมีทีวีที่ตอนนี้ฉายข่าวกีฬา แสงไฟสลัวๆและบรรยากาศเงียบเชียบทำให้บาร์แห่งนี้เหมือนจะไม่ป็อปปูลาร์
    ผมสั่งเครื่องดื่มแบล็ค รัสเซี่ยน ไปเป็นภาษารัสเซียกับบาร์เทนเดอร์หญิงที่หน้าตาไม่รับแขกและเบื่อหน่าย
    เสียงเปิดประตูดังขึ้นแบบเงียบๆ ดึงความสนใจจากคนทางร้านเล็กน้อย แต่ผมหันไปมอง ชายตัวสูงหุ่นแบบนักวิ่งในชุดสูทสีดำพร้อมด้วยแว่นดำเสริมบุคลิกให้ดูเท่ราวกับสายลับ อย่างไรก็ตามแม้จะสังเกตได้ยากแต่ถ้าดูดีๆ พวกเขาคืออเมริกัน เขาเดินมานั่งข้างผม ต้องเป็นสายลับแน่นอน
    “สวัสดี” ผมทักไปเป็นภาษารัสเซียก่อนเพื่อให้เขารู้ว่าผมรู้และพวกเราจำเป็นต้องสื่อสารเป็นภาษารัสเซียเสียด้วย
    “สวัสดี” เขาทักตอบพลางมองไปรอบๆร้าน
    “สูทเท่นิ่” ผมชม เขาไม่ว่าอะไร
    “ต้องการอะไรคะ” บาร์เทนเดอร์เข้ามาถามพร้อมนำแบล็ค รัสเซี่ยนมาเสิร์ฟผม ผมพยักหน้าขอบคุณ
    “ของผมขอเป็นเร๊ด รัสเซี่ยน” ชายชุดสูทสั่ง หญิงสาวมองไปที่เขาและผมอย่าสงสัย แต่ก็เดินไปตรงกลางโต๊ะเพื่อทำค็อกเทล
    ใช่เขาแน่
    “ทรอสกี้” ผมแนะนำตัวเอง เราต้องพูดภาษารัสเซียกัน เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนหันมา
    “เครฟเชงโก้” เขาแนะนำตัวเองด้วย เมื่อเห็นว่าแน่ใจแล้วเขาจึงโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ “เอาล่ะเข้าเรื่องเลยดีกว่าเราได้จับงูอเมริกันแถวนี้ได้และเจอตัวที่น่าสนใจ เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ของคนของเรา แต่เธอไม่อยากอยู่แล้ว” หญิงสาวเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟแล้วยืนนิ่งตรงนั้น “เธออยากจะออกจากงานแต่ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ เธอเศร้าด้วย นายคงต้องไปคุยกับเธอสักหน่อย เธอไม่ค่อยไว้ใจใคร” เขาหยุดแล้วกระดกเครื่องดื่มเข้าปากลวดเดียวหมดแล้วส่ายหัวแรงๆเหมือนขนลุก ผมมองแล้วอดขำไม่ได้ สาวบาร์เทนเดอร์มองอย่างสงสัย
    “รีบมากเหรอ” เธอถาม เขาไม่ตอบแต่ควักแบงค์ให้และเดินออกไปโดยไม่รอเงินทอน เธอมองมาที่ผม ผมยักไหล่ตอบแล้วดื่มแบล็ค รัสเซี่ยน
    “นักธุรกิจน่ะ งานรัดตัว”

    เครื่องดื่มของคนที่มาหลังคือรหัสระบุตัวตน อยู่ที่ว่าใครมาก่อนหรือมาหลัง ผมคือแบล็ค รัสเซี่ยนและของเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสไตร์คเกอร์คือ เร๊ด รัสเซี่ยน
    งูอเมริกันที่เขาพูดถึงสัญญาณที่จากแหล่งต่างๆที่เป็นของคนอเมริกันในมอสโกอาจจะมาจากโทรศัพท์ อีเมลล์หรือเว็บ เพจต่างๆ ซึ่งหน่วยข่าวกรองสามารถเข้าถึงส่วนนี้ได้แล้ว
    คนของเราหมายถึงหมายถึงโซเวียตาหรือที่เราเรียกกันว่ารัสเทอร์ริส นั่นหมายความว่า มีผู้หญิงอเมริกันคนนึงถูกบังคับให้ร่วมงานกับพวกผู้ก่อการร้ายและพยายามติดต่อคนภายนอก แต่ปัญหาคือ เธอไม่เชื่อใจสายลับเท่าไหร่ ทำไมกันนะ?
    ผมมองไปที่เก้าอี้ที่เขาพึ่งลุก มีเศษกระดาษเล็กๆที่พับอยู่วางไว้ ผมหยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดอ่าน ข้างในเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ
    โรงแรมมาโรนอฟสกี้ ห้อง 315 แอนนา คินซี่ย์
    ผมกระดกที่เหลือเข้าไปจนหมด รู้สึกซ่านิดๆแต่ก็ไม่ถึงขั้นเมาอะไร ผมจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์และเดินออกไปเตรียมตัวจะไปที่โรงแรมเป้าหมาย แต่เมื่อคิดดูดีๆแล้ว มาโนรอฟสกี้ก็ไม่ใช่จะใกล้กับที่นี่ จะเป็นการรบกวนกันเปล่าๆเพราะกว่าจะถึง คนที่นี่ก็คงปิดไฟนอนกันหมด ผมเดินออกไปสูดอากาศนอกบาร์ ถนนเงียบแล้ว รอบข้างมีแต่ม้านั่งที่วางไว้อย่างเงียบเหงา ลมเย็นพัดมาเป็นพักๆ
    ขามา ผมเดินฆ่าเวลามาเรื่อยๆจากโซฟีสกาย่า เป็นการลาดตระเวนและชมเมืองไปในตัว เมืองมอสโกสมกับเป็นเมืองน่าเที่ยวจริงๆ แต่ช่วงนี้อากาศค่อนข้างร้อน การเดินของผมจึงไม่ค่อยสบายสมดั่งใจปรารถนาเท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละอย่างที่ซีลมักจะบอก วันที่ง่ายมักเป็นแค่เมื่อวาน
    ผมควักโทรศัพท์และกดเบอร์ของเอ็ดดี้ ที่ค่ายมีรถพลเรือนเป็นรถเก๋งฮอนด้าสีดำและรถแรงก์โรเว่อร์ไว้ใช้ เขาน่าจะขับมาหาผมได้เพราะนัดนี้ค่อนข้างจะเร็วกว่าที่คิด ผมยังไม่มีโอกาสได้ถามอะไรเขาเลย เขามาได้ไม่ถึง 5 นาทีก็ไปเสียแล้ว
    “เอ็ด มารับฉันหน่อยสิ” ผมขอเขา เขาหัวเราะ
    “หลงทางรึไง” ปลายสายตอบกลับมา
    “เปล่า มีที่หมายใหม่น่ะ ถ้านายมาเร็ว เธออาจจะยังไม่นอน”
    “เธอ ?” เขาพูดน้ำเสียงไม่มั่นใจ “นายพึ่งมาถึงเองนะ”
    “ภารกิจไม่ใช่เที่ยวไอบ้า” เขาหัวเราะอีก
    “นายอยู่ไหน”
    “ก็ที่ที่นัดกับสายไว้”
    “ได้ๆ รอสัก 5 นาที”
    “ห้ามเกิน”

    5 นาทีรถฮอนด้าก็มาจอดข้างหน้าผม เอ็ดดี้รีบลงมาแล้วเปิดประตูเบาะหลัง
    “ทำได้ดี” ผมชม แต่เขากลับเข้าไปนั่งแทน
    “นายไปขับ” เขาสั่ง ผมยืนงงสักพักแล้วไปนั่งที่เบาะหน้า ปิดประตูแล้วเตรียมเข้าเกียร์ “นั่นเพราะฉันไม่รู้ที่หมายของนายน่ะ” เขารีบแก้ตัว ผมหัวเราะหึๆ
    “เงียบเหอะน่า” ผมเข้าเกียร์แล้วขับออกไปจากหน้าบาร์ จากนั้นก็กลับรถและตรงไปตามสาย ผมบอกถึงสิ่งที่สไตร์คเกอร์บอกผมให้กับเอ็ดดี้
    “เราเชื่อใจเธอได้เหรอ” เขาถาม
    “ไม่รู้สิ” ผมยักไหล่ “ฉันเดาว่าเขาคงไม่ได้ไปคุยกับเธอหรอก ฉันว่าเขาคงดักจับข้อมูลที่เธอคุยกับคนอื่นได้แล้ว ไม่งั้นคงไม่ต้องถ่อมาให้ฉันช่วย”
    “ก็ว่าไป” เขาพูดเอนหลังพิงเบาะ “นายไม่สงสัยว่าเป็นกับดักเหรอ”
    “ผู้ก่อการร้ายจะคิดอะไรเยอะเหรอ” ผมถาม
    “หึ ผู้ก่อการร้ายที่ทำให้เราปวดหัวน่ะ มีถมไป”
    “นั่นเพราะเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกนั้นเลยน่ะสิ แต่พวกนี้น่ะ เสร็จเราแล้ว” ผมให้ความมั่นใจ เขาไม่ตอบ
    ผมจอดรถหน้าโรงแรมซึ่งมีรถจอดไว้อยู่สองสามคัน ข้างหน้าเป็นโรงแรมสีเหลืองสามชั้นเหมือนจะมีอายุพอสมควร ตัวโรงแรมกว้างหลายเมตรดูแล้วน่าจะมีหลายห้อง
    “รอในนี้” ผมสั่ง เขาพยักหน้ารับ ผมลงจากรถไปแล้วเข้าไปในโรงแรม ความจริงผมกะแอบไปที่ห้องของเธอเลยเพื่อเลี่ยงการทิ้งหลักฐานว่าผมเคยมาหาเธอ ถ้าเพื่อมีคนมาตามหาผมขึ้นมา แต่ดูเหมือนเมื่อเข้าโรงแรมต้องประชันหน้ากับเคาท์เตอร์เลย ข้างเคาท์เตอร์ทั้งสองฝั่งมีห้องน้ำชายและหญิง ถัดจากห้องน้ำเป็นบันได ไม่มีลิฟต์ ดูเหมือนทั้งโรงแรมจะมีแต่สีเหลือง
    “โรงแรมมาโนรอฟสกี้ ยินดีต้อนรับ มีอะไรให้ผมช่วยครับ” พนักงานฟร้อนท์ร่างผอม ผมดำทักทายเป็นภาษารัสเซีย ได้เวลาเปลี่ยนแผน
    “ผมมาเช่าห้องครับ” ผมตอบกลับไปเป็นภาษารัสเซีย
    “อยากได้ห้องแบบไหนครับ”
    “มีให้เลือกด้วยเหรอครับ”
    “มีแบบธรรมดาและพิเศษครับ” เขาบอกพร้อมยิ้ม
    “ธรรมดาคืนละเท่าไหร่”
    “300 ครับ”
    “งั้นขอแบบธรรมดา 1 คืน ชั้น 3 ด้วยจะดีมาก”
    “ชื่อครับ” เขาดึงสมุดออกมา
    “อลัน ทรอสกี้ ห้อง 313 เดินไปชั้น 3 แล้วตรงไปทางซ้ายมือเลยครับ” ยื่นกุญแจมาให้ ไม่มีการขอบัตรประชาชนงั้นเหรอ
    “มีชาวต่างชาติอย่างอเมริกันหรืออังกฤษมาพักมั้ยครับ” ผมถามเพื่อจะดูว่าเธอปลอมตัวรึเปล่า
    “มีครับ” เขาบอกยิ้มอีกครั้ง “แฟนเขามาส่งทุกคืนเลย” เขาเสริมซึ่งผมไม่ได้ถาม ผมพยักหน้าให้แล้วเดินตรงไปทางบันไดไป เมื่อถึงชั้น 3 ผมเลี้ยวซ้ายตามที่เขาบอกแล้วเดินตรงไปห้องผมอยู่ตรงข้ามกับห้องของเป้าหมาย ผมเดินเข้าห้องตัวเองไปก่อน ข้างในห้องเมื่อเดินมาก็เจอตู้เสื้อผ้าวางชิดผนังทางฝั่งซ้าย ถัดไปเป็นห้องน้ำ เลยห้องน้ำไปจะเป็นเตียงเดี่ยวสีขาว ข้างหน้ามีโทรทัศน์เล็กๆวางอยู่ ข้างใต้มีมินิบาร์วางข้างใต้ ดูเหมือนไม่มีคนพักมานาน แต่ก็ยังดีที่มีการทำความสะอาดเสมอ ผมยักไหล่ให้สภาพห้องแล้วเปิดโทรศัพท์กดหาเอ็ดดี้ สัญญาณดังไม่ถึง 3 ครั้งเขาก็รับ
    “เอ็ดเปลี่ยนแผน นายกลับไปได้เลย แล้วฉันจะโทรให้นายมารับอีกครั้งพรุ่งนี้”
    “ให้ตายเถอะ พึ่งเจอกันนายก็จะฟาดเขาแล้วเหรอ ให้ตายเถอะ” ปลายสายพูดทีเล่นทีจริง
    “ ‘เขา’บ้านแกสิ ‘เธอ’ ตะหากและฉันก็ไม่ได้จะทำอะไรด้วย อย่าพูดมาก กลับไปได้แล้ว”
    “รับทราบ กอล์ฟ บราโว่” เขาบอกลาแล้วก็วางสายไปเลย ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วเดินไปที่ห้อง 315 เมื่อถึงหน้าประตูผมจึงเคาะไป 3 ที
    “รอเดี๋ยว” เสียงข้างในตอบกลับมาเป็นเสียงที่ดูเพราะและใสมาก ผมได้ยินเสียงเท้ามาหยุดที่หน้าประตูแต่ยังไม่ได้เปิด เดาว่าเธอคงมองผมอยู่ผ่านประตูตาแมว “คุณเป็นใคร”
    “ทำงานสนุกมั้ย” ผมพูดไปเป็นภาษารัสเซีย
    “ขอโทษนะ ฉันไม่พูดรัสเซียนอกเวลางาน”
    “เปิดประตูให้ผม”
    “อะไรนะ”
    “ถ้าคุณไม่เปิดประตูให้ผม คุณอาจจะตายได้” ผมพูดขู่ไปก่อน
    “อะไร” เธอพูดซ้ำแต่น้ำเสียงหวาดกลัว
    “ฟังนะ ผมรู้ว่าคุณเป็นใครแต่เราคุยกันอย่างนี้ไม่ได้”
    “ฟังนะ ไอ้โรคจิต ถ้านายไม่ถอยไปจากตรงนี้ฉันจะแจ้งตำรวจ”
    “ไม่เอาน่าคุณไม่อยากทำอย่างนี้หรอก ผมรู้ว่าคุณไม่มีพาสปอร์ตหรือวีซ่าด้วยซ้ำ” มันควรจะเป็นเช่นนั้นเพราะถ้าเธอถูกบังคับจริง มันอาจจะยึดสิ่งของของเธอเอาไว้
    “งั้นเหรอ ฉันมีเพื่อนที่โคตรโหด ถ้านายไม่ถอยไปล่ะก็ ไม่ถึง 5 นาทีเขาต้องมาถึงแน่ ฉันให้โอกาสสุดท้าย รู้จักรึเปล่า คอลิน คีรอฟสกี้น่ะ”
    “ผมไม่รู้หรอก แต่ถ้าคุณหมายถึงเพื่อนที่ลักพาตัวคุณมา บังคับขู่เข็ญคุณและทำให้คุณเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย ผมช่วยคุณได้ เปิดประตูเถอะ” ผมขอ ข้างในยังคงเงียบ “ทำไมคุณจะไม่อยากได้ความช่วยเหลือในเมื่อคุณอยากได้ ตอนที่ผมบอกว่าคุณไม่มีพาสปอร์ตหรือวีซ่า คุณไม่ค้านผม แสดงว่าคุณเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายหรือถูกยึดไป มีเหตุผลหลายข้อที่บอกว่าคุณไม่ได้เต็มใจจะอยู่ที่นี่ ข้อแรกคุณหางานที่ถูกกฎหมายที่นี่ไม่ได้เพราะเอกสารถูกยึด ดังนั้นจึงทำได้แค่งานใต้ดิน ข้อสองคุณไม่ได้หลบหนีเข้าเมืองเพราะยังใช้ชื่ออังกฤษ ถ้าหนีอยู่ก็ควรใช้ชื่อรัสเซีย ข้อสามคุณบอกว่าคุณไม่พูดรัสเซียนอกเวลางานแสดงว่าคุณตั้งใจจะเลี่ยงคนแถวนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้อสี่คือคนมีเงินอย่างคุณ ซึ่งแน่ล่ะ ต้องมี น่าจะไปพักโรงแรมที่หรูกว่านี้หรือไม่ก็บ้านเช่าไปเลยแต่คุณกลับมาพักที่โรงแรมเล็กๆ แถมไม่ตรวจบัตรประชาชนและต้องมีคนมารับ มาส่งทุกวันแสดงว่าต้องมีคนหาที่นี่ให้คุณ ที่ที่ใครตรวจจับไม่ได้ ข้อสุดท้ายนี่สำคัญมากคือคุณติดต่อขอความช่วยเหลือกับคนนอก”
    เงียบไปแล้วประตูก็เปิดออกมาแต่ยังคล้องโซ่อยู่ ใบหน้าสาวกลมมนโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง นัยน์ตาสีฟ้าชวนฝัน ผมทองยาวจรดบ่า แม้เห็นแค่ครึ่งหัวก็ยังรู้เลยว่าเธอสวยแน่นอน
    “คุณเป็นสายลับเหรอ” เธอถามหยั่งเชิง ผมไม่ตอบ “ฉันไม่เชื่อใจสายลับ พวกเขาเป็นคนที่ทำให้ฉันมาอยู่ที่นี่”
    “ผมเป็นทหารตอนนี้เรามาเพื่อช่วยคนอเมริกันที่ข้องเกี่ยวกับโซเวียตา” ผมบอก “ผมช่วยคุณได้จริงๆ” เธอปิดประตูแล้วดึงโซ่อีก จากนั้นก็ประตูเปิดอีกครั้งแล้วเธอก็ลากผมเข้าไปแล้วผลักผมเข้าไปข้างใน ผมนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองเธอเต็มตา เธอใส่เสื้อกล้ามสีน้ำเงินและกางเกงยีนส์ น่าจะพึ่งถอดเสื้อนอกเมื่อไม่นานมานี้ รูปร่างเธอดูดีมากๆ
    “คุณเป็นทหารเหรอ” เธอถาม ผมพยักหน้า
    “นาวิกโยธิน” ผมตอบ “เรามาช่วยอเมริกันที่ถูกจี้ตัวมา”
    “ก็ดี ฉันไม่ใช่คนอเมริกันนิ่” เธอบอก ผมตกใจเล็กน้อย
    “พ่อฉันเป็นคนอเมริกัน แม่ฉันเป็นคนสวีเดน แต่ว่าฉันเกิดและโตที่สวีเดน” เธอยักไหล่
    “ไม่เป็นไรยังไงคุณก็มีเลือดอเมริกัน ถึงยังไงเราก็ช่วยทุกคนนั่นแหละ”
    “คุณจะช่วยฉันยังไง ไอพวกนี้มันคุมฉันเข้มยิ่งกว่าถ้วยฟุตบอลโลกซะอีก เดี๋ยวก็จะมีคนกลับมาตรวจห้องนี้อีกรอบ คุยกันที่นี่คงไม่สะดวกเท่าไหร่และอย่าคิดที่จะจับตัวพวกนั้นล่ะ ถ้ามันขาดการติดต่อกัน รับรองว่าคนสักสองโหลคงแห่มาที่นี่” เธอพูดดักทางผม
    “พวกนี้มันทำมิดีมิร้ายคุณหรือเปล่า” ผมถามด้วยความเป็นห่วง
    “ไม่หรอก มันไม่ทำอะไรฉันตามสัญญา” เธอบอก
    “สัญญาอะไร”
    “ไม่ใช่ตอนนี้ รู้แค่ว่าฉันสำคัญต่อมันมากก็แล้วกัน” เธอเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองไปข้างนอก “รีบไปซะ มันมาแล้ว”
    “โอเค ผมอยู่ห้อง 313 ถ้ามีอะไรรีบบอกผม” ผมบอกแล้วเดินไปที่ประตู เธอยิ้มยังยืนอยู่ที่หน้าต่าง
    “เลขสวยนิ่” เธอทัก
    “ขอถามอีกสักข้อ คนที่พาตัวคุณมาชื่อโคเลียม วีนอสกี้ใช่มั้ย”
    “พรุ่งนี่ตอนเที่ยงที่บาร์แบล็คเบิร์ด”
    ผมเดินออกมาจากห้องแล้วเดินไปที่ห้องตัวเองเมื่อถึงก็ถอดรองเท้าและทิ้งตัวลงบนเตียงทันที ทำไมคนถึงชอบไปบาร์นี้กันนะ

    ไกลออกไปที่มุมตึกฝั่งตรงข้ามของเควิน สไตร์คเกอร์ในชุดสูทชุดเดิมกำลังยืนหลังพิงกำแพง คราวนี้เขาใส่หูฟังด้วย ดีนะ มาครั้งเดียวก็ได้นัดวันเลย
    เขานึกชื่นชมทหารคนนี้ ข้อมูลที่เขาจะได้รับรู้อาจจะมากกว่าที่เขาดักฟังในห้องเธอซะอีก ซึ่งมันไม่ได้อะไรเลย



    หมวดยังคงเงียบ นี่พูดอีกที
    3 Coins DPP


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top