ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

กำลังแสดงผล 1 ถึง 24 จากทั้งหมด 24
  1. #1
    So Nyeo Shi Dae 4EVER
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    664
    กล่าวขอบคุณ
    671
    ได้รับคำขอบคุณ: 441

    คิดอย่างไรกับการศึกษาที่เด็กต้องเรียนหนักเพื่อไปสอบ

    จากคลิปนี้

    https://www.facebook.com/photo.php?v=10200561255660181







    ของคุณ https://www.facebook.com/kamparnat.vinttitkankamjon

    ส่วนตัวผมคิดว่าพูดได้ดีนะ สำหรับผมเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเรียนจบแล้วจะทำอะไร และที่โดนใจก็คือ ประเทศไทยเรียนอย่างต่ำ 6 ชั่วโมง
    ยังไม่รวมเรียนพิเศษ ติวกับเพื่อนวันหยุด และนั่งอ่านหนังสือคนเดียวที่บ้าน รวมๆแล้วเรามีเวลาทำอย่างอื่นกันซักเท่าไหร่
    ประสบการ์ณที่เจอมากับตัวตอน ม.ต้น คือการสั่ง "รายงาน / โครงงาน / ชิ้นงาน "
    แบบที่เป็นเล่มมั่ง บอร์ดติดผนังมั่ง และสั่งกันเยอะมาก ยกตัวอย่างที่ผมเจอมากับตัวเลยคือ มีทุกวิชา ชิ้นงานเป็น Mind Mapping ทำทุกบท
    และวิชานึงมีประมาณ 10-12 บท รายงานอีกวิชาละ2-3 เล่ม มันทำให้เด็กนักเรียนทั้งห้องวุ่นวาย กับการแบ่งกลุ่มและแบ่งเวลามาทำงานที่มอบหมายมาให้
    จนแทบจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น และเวลาที่ใช้ทำก็คือเวลาที่อาจารย์เข้าสอนนั่นแหละ อาจารย์ก็สอน นักเรียนก็ทำงาน
    และต่างฝ่ายก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง...เรียนไม่รู้เรื่อง สอบไม่ผ่าน ก็ต้องมานั่งซ่อมแต่ละวิชากันอีก และเวลาซ่อม สิ่งที่ทำให้ผมแอบขำก็คือ
    ซ่อมด้วยการทำรายงาน / ชิ้นงาน เหมือนกัน !!! OH GOD !!!!!! และผมเคยดูคลิปหนึ่งที่เขาว่า ประโยคที่ทำให้นักเรียนมีความสุขที่สุดคือ

    "วันนี้ครูงดสอน"
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ViRuS|Benz : 23rd August 2013 เมื่อ 21:29
    I NEED A GIRL

  2. รายชื่อสมาชิกจำนวน 13 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    กระทู้
    175
    กล่าวขอบคุณ
    65
    ได้รับคำขอบคุณ: 454
    เรียนไปเพื่อสอบ จะมีซักกี่อย่างที่เอาไปใช้ได้จริง

    (ประโยคนี้คุยกับเพื่อนบ่อยครับ 555+)

  4. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  5. #3
    ใจร้ายชอบถากถาง
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    ที่ไหนสักที่
    กระทู้
    1,797
    กล่าวขอบคุณ
    58
    ได้รับคำขอบคุณ: 4,185
    Blog Entries
    1
    ผมก็เรียนครูอยู่ยังคิดหนักเหมือนกันเลยเพราะต้องสอนตามหลักสูตรแกนกลาง และดูโครงสร้างหลักสูตร

    ม่าง.......! จะเยอะไปไหน กำหนดชั่วโมงการสอนให้แบบเป้ะๆ แล้วมันก็เอาความคิดตัวเองเป็นแกนกลางจริงๆโดยไม่คำนึงถึงความรู้ของเด็ก

    ว่าเด็กแต่ล่ะคนทักษะการเรียนรู้ไม่เท่ากัน เด็กบางคนเรียนคำนวณได้ช้า แต่ถ้าฝึกสอนย้ำจุดที่บกพร่อง เชื่อดิข้อสอบโอลิมปิก เด็กพวกนี้ก็แก้ได้

    แต่นี้ม่าง อัดๆๆๆๆๆๆๆ ตำราเรียนเข้าไป เด็กเรียนไม่ทัน สมองตามไม่ทัน และยิ่งวิชาที่มันเชื่อมโยง อย่าง วิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์

    และอีกอย่างยังมีการปลูกฝังความคิดว่าเด็กเก่งต้อง วิทย์-คณิต เท่านั้น ความคิดนี้ทำให้เด็กแห่ไปเรียน วิทย์-คณิต อย่างเดียว

    โดยไม่คำนึงถึงความชอบ ความสามารถของตัว มันก็ยังโยงให้เห็นว่า การแนะแนวของระบบการศึกษามันน่าปวดตับสุดๆ

  6. รายชื่อสมาชิกจำนวน 3 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  7. #4
    เสพกราฟฟิกขั้นเทพ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    6,574
    กล่าวขอบคุณ
    2,381
    ได้รับคำขอบคุณ: 4,560
    การศึกษาไทยจะเรียนแบบรูปทรงปิรามิดครับ

    คือตอนเด็กจะเรียนกว้างๆ เรียนเยอะ แต่ยังไม่รู้จริง ซึ่งเหมือนกับฐานปิรามิด

    พอเรียนสูงขึ้นมาหน่อย จะเริ่มแคบลงมาละ ลงในรายละเอียดวิชามากขึ้น

    พอเรียนขั้นที่สูงมากๆ อย่าง ป.โท ป. เอก เรียนลึกลงไปเฉพาะเรื่อง เป็น specialist ในสาขาเฉพาะทาง ก็เปรียบเสมือนยอดปิรามิดนั่นแหละครับ

    ผมก็โอเคกับระบบการศึกษาแบบนี้นะ

    แต่ไม่เห็นด้วยกับเด็กที่เรียนพิเศษนู่นนี่มากเกินไป จนไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย

    ตอนผมเป็นนักเรียน ผมไม่เคยเรียนพิเศษเลยนะ ผมคิดว่าเรียนตามหลักสูตรก็น่าจะเพียงพอแล้ว
    Intel Core i7 4790k / MSI Z97 Gaming 5 / GALAX GTX980 SOC 4GB
    AMD Phenom II X6 1090T / Asrock 890GX Extreme 3 / Power Color HD5970 2GB

  8. รายชื่อสมาชิกจำนวน 8 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  9. #5
    So Nyeo Shi Dae 4EVER
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    664
    กล่าวขอบคุณ
    671
    ได้รับคำขอบคุณ: 441
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ Fairy อ่านกระทู้
    ผมก็เรียนครูอยู่ยังคิดหนักเหมือนกันเลยเพราะต้องสอนตามหลักสูตรแกนกลาง และดูโครงสร้างหลักสูตร

    ม่าง.......! จะเยอะไปไหน กำหนดชั่วโมงการสอนให้แบบเป้ะๆ แล้วมันก็เอาความคิดตัวเองเป็นแกนกลางจริงๆโดยไม่คำนึงถึงความรู้ของเด็ก

    ว่าเด็กแต่ล่ะคนทักษะการเรียนรู้ไม่เท่ากัน เด็กบางคนเรียนคำนวณได้ช้า แต่ถ้าฝึกสอนย้ำจุดที่บกพร่อง เชื่อดิข้อสอบโอลิมปิก เด็กพวกนี้ก็แก้ได้

    แต่นี้ม่าง อัดๆๆๆๆๆๆๆ ตำราเรียนเข้าไป เด็กเรียนไม่ทัน สมองตามไม่ทัน และยิ่งวิชาที่มันเชื่อมโยง อย่าง วิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์

    และอีกอย่างยังมีการปลูกฝังความคิดว่าเด็กเก่งต้อง วิทย์-คณิต เท่านั้น ความคิดนี้ทำให้เด็กแห่ไปเรียน วิทย์-คณิต อย่างเดียว

    โดยไม่คำนึงถึงความชอบ ความสามารถของตัว มันก็ยังโยงให้เห็นว่า การแนะแนวของระบบการศึกษามันน่าปวดตับสุดๆ
    ใช่ครับ เด็กไทยโดนปลูกฝังว่าต้องเก่งคณิต - วิทย์เท่านั้น แต่ผมว่าแต่ละคนมีความชอบและความถนัดที่ไม่เหมือนกัน
    แต่ก็นะ....สังคมกลับยอมรับคนใช้ตรรกะมากกว่าคนใช้จินตนาการ ทุกวันนี้เด็กจบจากสายวิทย์,คณิต,ศิลป์คำนวณ เยอะมากครับผมยังสงสัยว่าอนาคตจะเป็นยังไง
    จะต้องแก่งแย่งกันต่อไปหรือเปล่า
    และการสอบก็อีกอย่างนึงโรงเรียนดีๆ ก็รับแต่ "คนเก่ง" ที่สอบเข้าได้
    แล้วคนที่เหลือล่ะครับ ????

    // เพลีย
    I NEED A GIRL

  10. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  11. #6
    meat
    วันที่สมัคร
    Mar 2012
    กระทู้
    399
    กล่าวขอบคุณ
    13
    ได้รับคำขอบคุณ: 188
    "เฮ้ย ***ไม่ได้เรียนพิเศษแล้ว***จะสอบเข้ามหาลัยได้เหรอว่ะ" เพื่อนของผมได้กล่าวเอาไว้

  12. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  13. #7
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Sep 2012
    กระทู้
    535
    กล่าวขอบคุณ
    531
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,161
    ที่ผมเจอมา คือผมเรียนโรงเรียนที่พอจะมีชื่อ อยู่ตรงข้ามห้างสรรพสินค้า ปัญหาคือครูที่โรงเรียนเเม่มสอนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ผมโง่เอง หรือครูสอนกาก
    เลยต้องไปพึ่งการเรียนพิเศษ(ซึ่งเกือบ100เปอร์เซ็นต์ของเด็กห้องผมก็เรียนพิเศษกันหมด) เรียนทีก็หลายวิชา
    ทีนี้ทั้งการบ้านในห้อง ทั้งต้องเอาเวลาไปเรียนพิเศษ เกมก็อยากเล่น กีตาร์ก็อยากเล่น กิจกรรมก็อยากทำ ความรู้สึกตอนนั้นคือเรียนหนักชิบห*

    อยากให้ครูสอนที่โรงเรียนให้เข้าใจไปเลย เนื้อหาครอบคลุมที่จะไปสอบเอนท์ จะได้ไม่ต้องไปเรียนเพิ่ม

  14. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  15. #8
    เสพกราฟฟิกขั้นเทพ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    6,574
    กล่าวขอบคุณ
    2,381
    ได้รับคำขอบคุณ: 4,560
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ ViRuS|Benz อ่านกระทู้
    ใช่ครับ เด็กไทยโดนปลูกฝังว่าต้องเก่งคณิต - วิทย์เท่านั้น แต่ผมว่าแต่ละคนมีความชอบและความถนัดที่ไม่เหมือนกัน
    แต่ก็นะ....สังคมกลับยอมรับคนใช้ตรรกะมากกว่าคนใช้จินตนาการ ทุกวันนี้เด็กจบจากสายวิทย์,คณิต,ศิลป์คำนวณ เยอะมากครับผมยังสงสัยว่าอนาคตจะเป็นยังไง
    จะต้องแก่งแย่งกันต่อไปหรือเปล่า
    และการสอบก็อีกอย่างนึงโรงเรียนดีๆ ก็รับแต่ "คนเก่ง" ที่สอบเข้าได้
    แล้วคนที่เหลือล่ะครับ ????

    // เพลีย

    เป็นค่านิยมที่สืบทอดกันมาครับ

    อาชีพยอดนิยม ที่เงินเดือนดีๆ ก็คงไม่พ้น หมอ , วิศวะ หรอกครับ ปลูกฝังกันแบบนี้มานาน

    และมันก็ต้องอาศัย คณิต วิทยาศาสตร์ อะไรพวกนี้เป็นพื้นฐาน

    ทั้งที่จริงๆแล้วยังมีอีกหลายอาชีพที่สามารถสร้างเงินได้ดีกว่า
    Intel Core i7 4790k / MSI Z97 Gaming 5 / GALAX GTX980 SOC 4GB
    AMD Phenom II X6 1090T / Asrock 890GX Extreme 3 / Power Color HD5970 2GB

  16. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  17. #9
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Aug 2011
    กระทู้
    1,710
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,034
    การศึกษาไทย ให้ความสำคัญกับการสอบ มากกว่าความรู้ในห้องเรียน

    เรียนเพื่อเอาไว้สอบ ไม่ได้เรียนเอาไว้ใช้ เด็กไทยมันถึงเป็นแบบนี้

    แล้วที่เด็กไทยไปแข่งพวกฟิสิกโอลิมปิก แข่งวิท แข่งเลขที่เมืองนอกอ่ะ

    ลองให้มันไปแข่งอยากอื่นที่ไม่มีในตำราเรียนดิ เชื่อว่าตกรอบแรก

    เพราะอะไรล่ะ ระบบไง ระบบการศึกษาไทยมันจ้องแต่จะยัดวิชาการใส่สมองเด็กท่าเดียว

    ความรู้รอบตัวแทบจะไม่มี ถามหน่อยว่าเด็กที่เรียนมัทธยมตอนนี้ มีวิชาไหนเรียนแล้วเอามาใช้ในชีวิตจริงได้บ้าง
    0000000000000000000000

  18. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  19. #10
    Games Hub
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    everywhere
    กระทู้
    1,820
    กล่าวขอบคุณ
    1,269
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,686
    Blog Entries
    1
    ผมอยากให้มี ที่เปิดสอนเป็นสถานที่เรียน หลังจากจบ ม.6 แบบไม่ต้องสอบเลย
    สมัครเข้าไปเรียนเลย ใครถนัดอะไรก็เข้าไปเรียน
    ใครอยากเรียนอะไรก็เรียน ใครรักอะไรก็ไปเรียน รักอะไรก็ไปทำ
    ไม่ต้องมาสอบแข่งขันกันอยู่

    ใน 1 วัน ในห้องเรียน ผมอยากให้มีแบบนี้ ช่วงเช้าเป็นวิชาปกติ ส่วนช่วงบ่าย วิชา ที่ชอบเลย
    ใครอยากเรียนอะไร ไปเรียน ชอบทำไร ไปทำ เช่น เปิดสอนวิชา อังกฤษ จีน กีฬาต่างๆเอย บลาๆๆ
    ทุกวันนั้น ผมจะเน้นมากที่สุดกับวิชาที่ผมชอบและรัก ส่วนที่เหลือ ผมไม่ค่อยเน้นเลย
    อ่านหนังสือ จำๆ แล้วสอบ พอสอบเสร็จก็ลืม

    ผมละชอบคำที่ท่านหนึ่งเคยบอกไว้ในบอร์ดนี้
    Learn for live, not for race ผมว่ามันก็จริงนะ เราเรียนเพื่ออยู่ ไมได้เรียนเพื่อแข่ง
    There is no Thank You and there is nothing right as long as we're downloading illegal games.

  20. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  21. #11
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    173
    กล่าวขอบคุณ
    11
    ได้รับคำขอบคุณ: 54
    ไอที่สอบๆกันนั่น เดี๋ยวก็ได้ใช้ในมหาลัย โดยเฉพาะสายวิทย์ กับวิศวะ

    มันมีข้อควรปรับปรุงอยู่ข้อหนึ่งคือ... ถ้าระบบหลักเน้นสอบ ระบบการศึกษาที่สอนกันอยู่ทุกวันก็ควรเปลี่ยนไปเป็น "เรียนเพื่อสอบด้วย" ไม่ใช่เรียนไปเรื่อยโดยเรื่องที่เรียนไม่มีในการสอบหลัก แค่นี้เด็กๆก็จะได้เรียนเบาลง

    สรุปก็คือ ตัดวิชาบางอย่างออก เพิ่มเวลาให้กับเรื่องในเนื้อหาที่จะสอบจริงๆ แค่นี้น่าจะดีอยู่นะ

  22. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  23. #12
    So Nyeo Shi Dae 4EVER
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    664
    กล่าวขอบคุณ
    671
    ได้รับคำขอบคุณ: 441
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ Blackened อ่านกระทู้
    ที่ผมเจอมา คือผมเรียนโรงเรียนที่พอจะมีชื่อ อยู่ตรงข้ามห้างสรรพสินค้า ปัญหาคือครูที่โรงเรียนเเม่มสอนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ผมโง่เอง หรือครูสอนกาก
    เลยต้องไปพึ่งการเรียนพิเศษ(ซึ่งเกือบ100เปอร์เซ็นต์ของเด็กห้องผมก็เรียนพิเศษกันหมด) เรียนทีก็หลายวิชา
    ทีนี้ทั้งการบ้านในห้อง ทั้งต้องเอาเวลาไปเรียนพิเศษ เกมก็อยากเล่น กีตาร์ก็อยากเล่น กิจกรรมก็อยากทำ ความรู้สึกตอนนั้นคือเรียนหนักชิบห*

    อยากให้ครูสอนที่โรงเรียนให้เข้าใจไปเลย เนื้อหาครอบคลุมที่จะไปสอบเอนท์ จะได้ไม่ต้องไปเรียนเพิ่ม
    โห....บางทีก็สงสัยนะว่าทำไมจะต้องเรียนพิเศษ ผมขอจำกรณีของคุณไว้ในซีลีบัมลึกๆของผมเลยละกันนะครับ ผมก็เพิ่งรู้จริงๆนะเนี่ยเพราะผมไม่เคยเรียนพิเศษเลย
    เคยแต่เรียนพิเศษเป็นศิลปะสีน้ำ ซึ่งมันนอกตำราเรียน
    และในอีกกรณีนึง พูดถึงเรื่องเรียนพิเศษ น้องชายผมเรียนอยู่ ป.6 ที่ รร.ประถมแห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในจังหวัดผม
    น้องมาเล่าให้ฟังว่า ครูคนนี้ดุมากแถมยังสอนไม่รอเด็กนักเรียน ซึ่งน้องเขาบอกผมว่าครูคนนี้แกเปิดสอนพิเศษหลักสูตรประถมอยู่ที่บ้านของขาเองและเขาชักชวนให้เด็กในห้องไปเรียนกับเขาตอนช่วงเย็นและวันหยุด น้องผมปฏิเสธไปด้วยประโยค "ไม่ครับ ผมไม่มีเงินเรียน" และเด็กๆครึ่งหนึ่งในห้องก็ไปเรียนพิเศษกับแก ปรากฏว่าตอนสอบ มีแต่พวกที่ไปเรียนพิเศษเท่านั้นที่ทำได้ และยังได้คะแนนเต็มกันหลายคนเลย ส่วนอีกครึ่งห้องก็ผ่านบ้าง ไม่ผ่านบ้างแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ผ่าน ผมสงสัยว่าครูทำแบบนี้ได้ด้วยหรอ สอบในสิ่งที่ไม่ได้สอนในโรงเรียน
    เดี๋ยวนี้อะไรก็เป็นธุรกิจไปหมดแล้ว แม้แต่ครูอาจารย์ภายในยังแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายกันเอง
    ผมนึกถึงสมัยผมเรียนประถม คุณครูทุกท่านเป็นห่วงนักเรียนทุกคนครับโดยเฉพาะคนที่ไม่เอาไหนจะใส่ใจเป็นพิเศษ ท่านบอกว่าอยากจะให้จบไปพร้อมๆกัน

    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ jeepthai อ่านกระทู้
    ไอที่สอบๆกันนั่น เดี๋ยวก็ได้ใช้ในมหาลัย โดยเฉพาะสายวิทย์ กับวิศวะ

    มันมีข้อควรปรับปรุงอยู่ข้อหนึ่งคือ... ถ้าระบบหลักเน้นสอบ ระบบการศึกษาที่สอนกันอยู่ทุกวันก็ควรเปลี่ยนไปเป็น "เรียนเพื่อสอบด้วย" ไม่ใช่เรียนไปเรื่อยโดยเรื่องที่เรียนไม่มีในการสอบหลัก แค่นี้เด็กๆก็จะได้เรียนเบาลง

    สรุปก็คือ ตัดวิชาบางอย่างออก เพิ่มเวลาให้กับเรื่องในเนื้อหาที่จะสอบจริงๆ แค่นี้น่าจะดีอยู่นะ
    ใช่ครับ ผมเองก็คิดว่าคงจะมีพวกวิศวะที่จะได้ใช้หลกสูตรจนคุ้มเท่าที่เรียนมาน่ะครับ ส่วนไอเดียของท่านผมว่าก็ดีนะตัดบางอย่างที่มันดูซ้ำๆจำเจออกไป
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ViRuS|Benz : 23rd August 2013 เมื่อ 22:49
    I NEED A GIRL

  24. #13
    เสพกราฟฟิกขั้นเทพ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    6,574
    กล่าวขอบคุณ
    2,381
    ได้รับคำขอบคุณ: 4,560
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ ViRuS|Benz อ่านกระทู้
    โห....บางทีก็สงสัยนะว่าทำไมจะต้องเรียนพิเศษ ผมขอจำกรณีของคุณไว้ในซีลีบัมลึกๆของผมเลยละกันนะครับ ผมก็เพิ่งรู้จริงๆนะเนี่ยเพราะผมไม่เคยเรียนพิเศษเลย
    เคยแต่เรียนพิเศษเป็นศิลปะสีน้ำ ซึ่งมันนอกตำราเรียน
    และในอีกกรณีนึง พูดถึงเรื่องเรียนพิเศษ น้องชายผมเรียนอยู่ ป.6 ที่ รร.ประถมแห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในจังหวัดผม
    น้องมาเล่าให้ฟังว่า ครูคนนี้ดุมากแถมยังสอนไม่รอเด็กนักเรียน ซึ่งน้องเขาบอกผมว่าครูคนนี้แกเปิดสอนพิเศษหลักสูตรประถมอยู่ที่บ้านของขาเองและเขาชักชวนให้เด็กในห้องไปเรียนกับเขาตอนช่วงเย็นและวันหยุด น้องผมปฏิเสธไปด้วยประโยค "ไม่ครับ ผมไม่มีเงินเรียน" และเด็กๆครึ่งหนึ่งในห้องก็ไปเรียนพิเศษกับแก ปรากฏว่าตอนสอบ มีแต่พวกที่ไปเรียนพิเศษเท่านั้นที่ทำได้ และยังได้คะแนนเต็มกันหลายคนเลย ส่วนอีกครึ่งห้องก็ผ่านบ้าง ไม่ผ่านบ้างแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ผ่าน ผมสงสัยว่าครูทำแบบนี้ได้ด้วยหรอ สอบในสิ่งที่ไม่ได้สอนในโรงเรียน
    เดี๋ยวนี้อะไรก็เป็นธุรกิจไปหมดแล้ว แม้แต่ครูอาจารย์ภายในยังแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายกันเอง
    ผมนึกถึงสมัยผมเรียนประถม คุณครูทุกท่านเป็นห่วงนักเรียนทุกคนครับโดยเฉพาะคนที่ไม่เอาไหนจะใส่ใจเป็นพิเศษ ท่านบอกว่าอยากจะให้จบไปพร้อมๆกัน

    จริงครับ สมัยนี้อะไรก็เป็นเงินไปหมด แม้แต่ครูพวกนี้ก็ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

    ลำพังเงินเดือนครูมันน้อย ไม่พอกินครับ มันเลยต้องหารายได้เสริมแบบนี้ = ='


    ผมคนนึงที่ไม่ได้มีความรู้เพราะครูสอนหรอกครับ ความรู้ส่วนใหญ่ผมได้จากการอ่านมากกว่า

    ผมอยากเรียนรู้อะไร ผมก็ขวนขวายเอามาอ่าน บางทีฟังครูสอนไม่รู้เรื่อง แต่อ่านหนังสือกลับเข้าใจกว่าซะงั้น - -''
    Intel Core i7 4790k / MSI Z97 Gaming 5 / GALAX GTX980 SOC 4GB
    AMD Phenom II X6 1090T / Asrock 890GX Extreme 3 / Power Color HD5970 2GB

  25. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  26. #14
    So Nyeo Shi Dae 4EVER
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    664
    กล่าวขอบคุณ
    671
    ได้รับคำขอบคุณ: 441
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ sattawat1979 อ่านกระทู้
    จริงครับ สมัยนี้อะไรก็เป็นเงินไปหมด แม้แต่ครูพวกนี้ก็ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

    ลำพังเงินเดือนครูมันน้อย ไม่พอกินครับ มันเลยต้องหารายได้เสริมแบบนี้ = ='


    ผมคนนึงที่ไม่ได้มีความรู้เพราะครูสอนหรอกครับ ความรู้ส่วนใหญ่ผมได้จากการอ่านมากกว่า

    ผมอยากเรียนรู้อะไร ผมก็ขวนขวายเอามาอ่าน บางทีฟังครูสอนไม่รู้เรื่อง แต่อ่านหนังสือกลับเข้าใจกว่าซะงั้น - -''
    ผมนี่ตรงกันข้ามกับท่านเลยครับ ฮ่าๆๆๆ อ่านแล้วงง ต้องให้อาจารย์มานั่งอธิบายอยู่หลายรอบเลยครับ -w-
    I NEED A GIRL

  27. #15
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    239
    กล่าวขอบคุณ
    16
    ได้รับคำขอบคุณ: 34
    พูดตรงๆเกลียดมาก แต่การศึกษาไทยมันห่วย ทำไงได้
    BE A GOOD GAMER

  28. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  29. #16
    Stephen Jerm
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    2,025
    กล่าวขอบคุณ
    1,456
    ได้รับคำขอบคุณ: 808
    ผมไม่สนหรอกเรื่องสอบน่ะ เพราผมเรียนเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆเท่านั้น ความรู้ที่เรียนมาในห้องเรียนทั้งหมดของผมยังมีน้อยกว่าจินตนาการในสมองของผมซะอีก
    ONE FOR ALL AND ALL FOR ONE

  30. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  31. #17
    WeeDManZ
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    ที่อยู่
    Bangkok
    กระทู้
    940
    กล่าวขอบคุณ
    279
    ได้รับคำขอบคุณ: 186
    ปัญญาอ่อน หลักการศึกษายังไม่เปลี่ยน ปีนี้ 2556 บางที่ยัง 2446 อยู่เลย อเมริกาเปลี่ยนทุก 1 ปี
    FX-8320E + Maelstrom 120 t AS ROCK 970 Pro 3 HYPER-X 8GB X1 GTX960 4GB `Inno 3D IChill X2 Air Boss` All day All night ~_~

  32. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  33. #18
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    203
    กล่าวขอบคุณ
    305
    ได้รับคำขอบคุณ: 58
    มันอยู่ที่โรงเรียนด้วยนะครับ สำหรับโรงเรียนผมตอนม.ต้นนี่เขาก็สอนโอเคนะครับคือถ้าเราตั้งใจเรียนอ่านชีทก็ทำได้
    แต่ผมไปเรียนพิเศษเพื่อสอบเข้ารร.ตอนม.4อ่ะครับซึ่งตอนนี้ก็เรียนแค่เสาร์อาทิตย์อ่ะครับ
    ผมว่ามีหลายวิชานะครับที่เรานำมาใช้กับชีวิตจริงได้แต่คุณไม่เคยสังเกตหรือนำมาปรับใช้ผมชอบวิชาชีวะมากเลย
    เพราะมันทำให้ผมรู้เกี่ยวกับร่างกายมากขึ้น ส่วนฟิสิกส์ผมว่าซักวันคงได้ใช้กับอาชีพแน่นอนครับถ้าเป็นวิศวะอะไรพวกนี้
    ดังนั้นผมว่ามันจึ้นอยู่กับการปรับใช้ของแต่ละคนมากกว่าอ่ะครับ ลองเปิดรับความคิดแล้วเราจะพบอะไรมากขึ้น

  34. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  35. #19
    ヾ(@⌒ー⌒@)ノGhibli-Lover( ゚д
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    2,110
    กล่าวขอบคุณ
    9,171
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,214
    ถ้ามถามว่าไม่เรียนพิเศษแล้วจะสอบเข้ามหาลัยได้มั้ยผมก็จะตอบว่าได้ครับ แต่ถ้าถามว่าแล้วจะเรียนทำไมละ ผมก็จะตอบว่าเพราะเรียนพิเศษคือการเรียนเนื้อหาล่วงหน้า แล้วจะเรียนไปทำไมก็เพราะเมื่อเราอยู่ ม.6 แล้วเปิดเทอมได้ไม่กี่ือนก็เริ่มสอบตรงเข้ามหาลัยกันอยู่แล้ว ซึ่งเวลาเตรียมตัวจะมีน้อยมาก(แค่ 6 เดือนมั้ง) ก็เลยต้องเรียนพิเศษให้จบตั้งแต่ ม.5 เทอม 2 ถึง ม.6 เทอมหนึ่ง และเวลาที่เหลือก็เอาไปทบทวนที่เรียนมา ฝึกทำแบบฝึกหัด เพื่อเตรียมตัวเข้ามหาลัย ซึ่งคนที่ไม่ได้เรียนพิเศษอาจจะเตรียมตัวไม่ทัน เป็นเช่นนี้แล

    ผมไปอ่านความคิดเห็นของท่านอื่นบอกว่า การศึกษาเป็นแบบนี้ๆ ผมจึงติดว่าถ้าอยากจะปฏิรูปการศึกษาจริงๆก็ต้องทำตัวเองให้เก่งก่อน เพราะยากที่ผู้ใหญ่จะฟังความคิดเล็กๆนี้ได้ เราเลยต้องทำตัวให้ใหญ่ก่อน

  36. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  37. #20
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    490
    กล่าวขอบคุณ
    87
    ได้รับคำขอบคุณ: 543
    เมื่อวันที่สิบแปดสิงหาคมผมได้ไปฟังเสวนา "การศึกษาไทยความสำเร็จหรือความล้มเหลว?" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์


    มีคนสรุปการเสวนาให้ประมาณนี้ครับ

    “การศึกษาไทย ความสำเร็จหรือความล้มเหลว”
    บทความเขียนจากการเสวนา //แอดมินปรีดี้

    พอดีกระผมได้เดินทางไปร่วมงานเสวนา“การศึกษาไทย ความสำเร็จหรือความล้มเหลว” ที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
    โดยมีผู้ร่วมเสวนา

    นายกิตติ วิวัฒน์สัตยา จากสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย

    คุณสมบัติ บุญงามองค์ (บก.ลายจุด)

    ผศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร

    ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

    ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    ไม่มากความอีกเช่นเคย เริ่มเลยแล้วกันเด้อ

    “โรงเรียนไทยกำลังทำอะไรอยู่”

    ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า

    ตอนนี้ปัญหาโรงเรียนที่สำคัญของเราอย่างหนึ่ง คือ

    1.การนำกวดวิชาเข้ามาในโรงเรียน

    2.การใช้การศึกษาในการเป็นพาณิชย์ เรียกง่ายๆ”เครื่องมือหากิน”

    ทั้ง2ข้ออาจจะดูคล้ายกันนะครับ แต่มีความแตกต่างกันบ้างบางประการ คือในปัจจุบัน การประกันคุณภาพสถานศึกษา กลายเป็นเรื่องที่ทุกโรงเรียนจะต้องเอาใจใส่ และตอบสนองด้วยการออกมาแข่งขันกัน “ตอแหล” (ในที่เสวนาเค้าใช้คำนี้กันเลยครับ) ใส่กัน ยังไงนะหรือครับ? กระผมขอให้ท่านๆระลึกความหลังสวมบทเป็นนักเรียนประถม-มัธยมกันซักวัน

    ในวันนั้น อาจารย์บอกว่า จะมีคนมาเยี่ยมโรงเรียน… ทางโรงเรียนก็จะทำการ “ตอแหลใส่ตนเอง และตอแหลใส่ผู้อื่น”

    - เกณฑ์นักเรียนมาต้อนรับ

    - ประกาศบอกนักเรียนให้ทำตัวเรียบร้อย พร้อมฝ่ายปกครองรวมถึงผอ.จะออกมาเดินว่อนหลังจากไม่เคยเห็นหน้ามา ประมาณ3เดือน ไม่ก็ทุกทีจะเห้นวนเวียนไปมาเหมือนวิญญาณเพียงหน้าเสาธงตอนเข้าแถว

    - จัดบอร์ด เอารางวัล เอาโล่เกียรติยศมาวาง แสดงผลงาน เก่าแค่ไหนก็งัดออกมาจากกรุจนมากมายก่ายกอง

    จนบางทีท่านอาจจะสงสัยว่า “นี่ใช่โรงเรียนกูหรอวะ กูมาผิดที่รึเปล่า?” โรงเรียนของเราจะงดงามและสวยที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมา
    อย่าลืมนะครับว่า ไอนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความ”ตอแหล”แห่งชาติในรั้วสถานศึกษาที่ทำให้เยาวชน ไทยเราเห็นกันจนเป็นเรื่องชินตา (ก็คงไม่ต้องเดาอนาคต)

    อ้อยังมีไอนี่ครับ ตัวสำคัญ หลายท่านที่มีอายุไล่เลี่ยกันมาคงเคยสัมผัส “O-net!!!”

    ท่านอย่าลืมนะครับว่า ไอการสอบด้วยคำถามชวนหัวนี่ มันคือการประกันคุณภาพการศึกษาด้วยวิชา”แมวๆ” ที่ ชาวเรามัธยม 6 และมัธยม 3 ต้องมาเคร่งเคียดอ่านหนังสือ ติว ไปสอบให้โรงเรียน และใน ม6 ก็ไปเอาคะแนนนี้ไปใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย!

    อีกทั้งเนื้อหาข้อสอบก็เป็นวิชาที่ไม่สามารถวัดความสามารถตามถนัดของนัก เรียนได้เลย และแทบไม่ได้ตอบรับกับสังคมภายนอกด้วยซ้ำไป และ เรื่องข้อ1และ2ที่กระผมว่า มันมาตรงจุดนี้แหละครับ อย่างไร?

    ก็ทางโรงเรียนก็จะไปเอากวดวิชาต่างๆดังๆที่เรารู้จักกันมาสอนนักเรียน อาทิ ครูปิงดาว๊องก์(จารย์ผมๆ-ฮา) ครูลิลลี่ หรือครูสมศรี
    คราวนี้มันก็เกิดคำถามสิครับว่ า

    ”ในเมื่อคุณ***เป็นโรงเรียน ที่จะต้องพยายามทำให้การศึกษามันมีคุณภาพ อย่าให้กวดวิชามันนำ เพราะโรงเรียนมันคือตัวแทนการศึกษาประเทศไทย แต่คุณ***ยังไปพึ่งกวดวิชา นี่ไม่เท่ากับว่า การศึกษาไทยต้องไปเลียตีนกวดวิชาแล้วหรือ หรือไม่ก็เอากวดวิชาไปบริหารกระทรวงศึกษามันซะเลยดีไหม?”

    อีกทั้ง เดี๋ยวจะมีนโยบายเปิด ”ร้านค้าสหกรณ์สีชมพู” ของครุสภา แบบ 7-11 อีกทั้งให้เอกชนบริหาร ซึ่งโครงการนี้กำลังจะผ่าน โรงเรียนก็จะเป็นที่หาเงินดีๆนี่เองครับ สำหรับเอกชน

    ยังไม่หมดเท่านั้น เดี๋ยวนี้มีบริษัทจัดหา ”ครูต่างชาติ”ให้ทางโรงเรียนด้วย โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย คือทางบริษัทจะไม่ให้ทางโรงเรียนหรือแม้แต่กระทรวงศึกษารู้วิธีการจัดหาทั้ง สิ้น เอาเงินมา เอาอาจารย์ไป.. (ข้อความนี้เล่าจากปากผู้เกี่ยวข้องของบริษัทเอง)

    ยังมีรูปแบบพาณิชย์อีกอันครับ คือเรื่อง”กวดวิชา”นี่ล่ะ แต่ไม่กวดวิชาแบบใหญ่ๆที่เราส่ง ลูกไปเรียนกัน มันเป็นกวดวิชาระดับจุลภาค คือ ไอคุณครูตัวดีเนี่ย เฮียแกจะหมกเม็ดสอนไม่หมด บอกว่า “ถ้าอยากรู้เพิ่ม ครูเปิดสอนที่…”(อันนี้มีผู้ร่วมเสวนาที่เป็นนักเรียนออกมาช่วยยืนยันด้วยตน เองว่ามันมีจริง) แล้วนักเรียนก็จะได้ความรู้แบบกึ่งหนึ่ง แล้วอีกกึ่งหนึ่ง ***ต้องเสียตังเพิ่ม
    “อาจารย์สมัยนี้สอนแบบตามเงินเดือน สอน3หมื่น ก็ให้3หมื่น ถ้าอยากได้เพิ่มต้องไปหาเอง”

    “การใช้เด็กเป็นเครื่องมือ”
    ในเสวนาครั้งนี้มีการพูดถึงการใช้เด็กเป็นเครื่องมือด้วย คืเป็นเครื่องมือในการต่อสู้

    ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงเรียนทั้งหมด12,000โรงเรียนครับ และอย่างที่เราทราบกัน ในช่วงก่อนๆ รัฐบาลมีนโยบายในการยุบหรือปิดโรงเรียน มากมาย แต่เราจะพบว่า มีคนออกมาโวยวาย คนไทยจะโง่บ้าง รัฐบาลบ้าบ้าง จนมีคนนำรูปเด็กยกมือไหว้ แล้วเขียนว่า

    ”อย่ายุบโรงเรียนของหนูนะ”

    ว่อนไปในโซเชียลอยู่ช่วงหนึ่ง กลายเป็นว่า ผู้ใหญ่นิสัยดีของประเทศ เอาการเมือง ไปโยงถึงเด็กเสียแล้ว หรือเอาความสงสารที่ไม่รู้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ มาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ เหมือนยืมมือเด็กไป”โหน”ทำนองนั้น

    ซึ่งการที่โรงเรียนหลายโรงเรียนต้องถูกยุบเนื่องจากว่า มีคนเข้ามาทำงานในเมืองจำนวนมาก คนมีลูกน้อยลง และโรงเรียนเล็กๆมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป โรงเรียนเล็กมีผลทำให้สังคมเด็กๆแคบไปด้วย อาจารย์ก็ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะมีความรู้กว้างขวาง แถมก็ไม่รู้ว่าถ้าคงโรงเรียนต่อไปคุณภาพมันจะเท่ากันหรือไม่

    สรุปง่ายๆว่า “คนไทยมักจะเห็นแต่คุณค่าภายนอก” พอได้ยินคำว่า “ยุบ” อะไรที่ดูเป็น สถานที่”ศักดิ์สิทธิ”ทางด้านใดก็แล้วแต่ จะต้องออกมาโวยออกมาด่าเป็นชั้นต้นก่อน ทำนองนั้น

    “เม็ดเงินทุนที่ต่ำ”
    ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่ลงทุนทางการศึกษาสูงมาก แต่ผลที่ได้รับแทบจะไม่มีอะไรเคลื่อนที่ เม็ดเงินทุนในระดับการศึกษค่อนข้างแตกต่างกันมาก และดูผิดจุด
    ตลอดมารัฐบาลไทยอุดหนุนเม็ดเงินในระดับ ประถม-มัธยม 24,000บาม ต่อหัว
    ระดับมหาวิทยาลัย 34,000ต่อหัว
    ซึ่งพบว่ามีเด็กจำนวนมากที่ต้องออกไปจากโรงเรียนในช่วงประถมและมัธยม เราพบว่า การอุดหนุนทางด้านการศึกษามักไปใส่ใจกับระดับที่”เดินได้แล้ว”มากจนเกินไป ดังที่เห็นในจำนวนเงิน สุดท้ายเด็กๆระดับประถม-มัธยมเข้าสู่วัยทำงานเร็วขึ้น และจบชีวิตการศึกษาของพวกน้องๆเหล่านี้ลง

    “ความรู้ประดับชีวิต”
    ปัจจุบันคนไทยเรียนหนังสือแบบ”ความรู้ประดับชีวิต”ไม่ใช่”ความรู้ไปใช้ใน ชีวิต” บก.ลายจุดพูดว่า”ผมถามจริงๆว่าคุณจบมาหรืออะไรที่คุณเรียนมาทั้งชีวิตเนี่ย คุณจำได้ทั้งหมด กี่เปอเซ็นจากร้อย…” ยังไม่พอยังเอาไปประยุกต์ไม่ได้ สิ่งที่แสดงให้เราเห็นชัดคือ “รูปฮิตเลอร์!”

    ข่าวที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์นั้น คณะศิลปกรรมศาสตร์นำรูปฮิตเลอร์ไปรวมอยู่ในภาพรวมฮีโร่ ทำให้เราเห็นแล้วว่า
    ความรู้ทางประวัติศาสตร์ของคนไทย มันจุกอยู่ที่แค่คำว่า “เรื่องที่เรียน” แต่ไม่ใช่”เรื่องที่ร่วม”กับชาวโลก การที่ข่าวแบบนี้ออกมาไม่ใช่ความเพียงที่แสดงออกมาเพียงคณะหรือกล่มคน แต่มันก็แสดงภาพลักษณ์ของการสอนหนังสือของสังคมว่าสัมฤทธิ์ผลอย่างไร
    ศิลปินไม่รู้จักสังคมได้หรือ?
    “คนไทยเรามองความรู้เป็นความรู้ ไม่ได้เอาความรู้ไปเป็นชีวิต”

    “ค่านิยมโลกที่สาม”
    การแบ่งระดับมหาวิทยาลัย การดูถูกกัน การตีตรา เป็นปัญหาอีกปัญหาหนึ่ง อย่างเช่น กลุ่ม” อาชีวะ” สังคมไทยตีตราอาชีวะว่า เป็นความรุนแรงไปแล้ว และอาชีวะก็ทำการตอบกลับสังคม เป็นการผลิตซ้ำไปเรื่อยๆ

    “อาชีวะไม่ได้อยากจะไปฆ่าคน แต่ทำเพราะ กลัวเพื่อนไม่รัก”

    ในฟินแลนด์ อาชีวะนั้นมีความสำคัญเทียบเท่ากับวิศวะ หรือมหาลัยอุดมศึกาทั่วไป “หัวหน้าช่างก็ต้องมีลูกน้องที่ดี” เดี๋ยวนี้การเรียนวิศวะไม่ใช่ทางออกของการหางานทำอีกต่อไปแล้ว เพราะอัตราการว่างงานไปอยู่ที่ “แรงงานฝีมือ”ซึ่งในปัจจุบันค่านิยมโลกที่สามของไทยทำให้เกิดแต่”หัวหน้างาน ”เท่านั้น

    “รับน้อง”
    แต่ในระดับมหาวิทยาลัยด้วยกันก็มีให้เห็น คือการแบ่งระดับคณะที่ต่างกัน เกิดจากผลพลอยได้ของการ”รับน้อง”ที่ร้องปาวๆว่า “รักกัน ร่วมกัน”กิจกรรมรับน้องนี่ถือว่า 20ปีผ่านไป แทบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง ความสร้างสรรค์ของไทยอยู่ตรงไหน? เพลงก็เพลงเดิม ท่าเต้นเปลี่ยนนิดๆหน่อยๆ

    อีกทั้งการกดหัวคนที่ได้ชื่อว่าเป็น”น้อง”ของคุณลงต่ำ ใช้อำนาจ แต่สุดท้ายคือ คุณสอนเค้าไม่ให้ลุกขึ้นสู้กับอะไรเลย ไอปากบอกว่าอดทน แต่อย่าบอกว่าตนเองไปทำงานแล้วไม่เคยคิดจะลาออก…

    “คุณสอนน้องให้รักแต่ตนเอง พวกตนเอง แต่ไม่ได้สอนให้รักคนอื่น”

    สุดท้ายเราต้องถามตนเองว่า”เรามาทำอะไรที่มหาวิทยาลัย”

    “ความคลั่ง”
    ความคลั่งที่เราเห็นกันขัดๆในโลกเชียลของแต่ละมหาวิทยาลัยเป็นผลพลอยได้จาก เรื่องที่กล่าวมาข้างต้น มหาวิทยาลัยชูตนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิและทำคนไม่เป็นคน หรือบางที่ก็ทำตัวเป็น”ประเทศ” ครูต้องจบจากที่นั่น รุ่นพี่ทำตัวเหมือนเทพปราบดาภิเษกตนเองขึ้นมา รถห้ามขี่ต้องเข็นเข้า ผอ.คนใดค้านระบบโซตัสต้องออกไปทันที มีตุลาการตรวจ มีธรรมนูญของมหาวิทาลัยเอง…

    สุดท้ายมหาวิทยาลัย สอนวิทยาศาสตร์คุณมันก็ไม่เข้าหัว หรือมันก็เป็นแค่ความรู้ประดับชีวิต ตราบใดที่คุณยังไม่มีความคิดในทางวิทยาศาสตร์ได้ คุณยังคงกราบไหว้บางสิ่งที่ถูกพูดให้ฟัง ถูกสอนให้เชื่อ ไปแบบนั้น และรับการพูดด้วยเหตุผลในด้านลบไม่ได้…
    มาถึงท่าน สมบัติ บุญงามองค์ หรือ”

    บก.ลายจุด”ได้รับไมต่อ และพูดในประเด็นที่ต่างออกไปในระดับมัธยม

    “คนเรามันดูได้จากเด็ก พอเสียงออดมันดัง เลิกเรียนปุ๊บ ****เหมือนซอมบี้มันตื่น มันกลับมามีชีวิต คุณดูเด็กทารกสิ มันออกจากท้อง****ันร้อง เพราะมันไม่ใช่แค่อยากพูด ไม่ใช่แค่หิว แต่มันอยากเห็นโลกกว้าง แต่วัยอย่างคุณมาเห็นโลกแล้วคุณอยากหลับ ไม่อยากตื่น เพราะโลกแห่งการเรียนมันไม่ได้ทำให้คุณอยากไปเรียน!”

    “เทอมที่แล้วเรียนกี่วิชา จำอะไรได้บ้าง?”
    เขาถาม
    เขาอธิบายว่า ประเทศไทย มีความรู้แบบการ”install”ใส่ฮาร์ดดิสเด็กๆ มากกว่าสอนให้เห็นโลกกว้าง

    “คือมีความรู้อะไร***ยัดเข้าไป ยัดเข้าไป ยัดไม่ได้ก็กระทืบลงไปจนมันกระฉอก เหมือนเนติวิทย์ที่ตั้งข้อสงสัยต่อข้อมูลก็โดนไอพวกเด็กเหล่านั้นมันกระฉอก ใส่”

    “แต่ทางออกไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะโทษที่ตัวของครูได้ ไม่มีใครในโลกจะชอบเวลาถูกหาว่า เป็นฝ่ายผิด”

    “สุดท้ายเราจะตำหนิครูอย่างเดียว หรือจะจับมือร่วมกับเขา”

    “เด็กไทยสมัยนี้เรียน9ชั่วโมง เหมือน นรก+คุก"

    การศึกษาไทยดูง่ายๆ ดูเรื่องภาษาไทยทุกวันนี้ ก็ไม่ได้ถือเป็นวิวัฒนาการทางภาษาเพราะถูกขังอยู่กับคำว่า”สวยหรู ถูกอักขระ”ในขณะที่ภาษาก็วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ ระบบการศึกษาไทยสอนให้มันอยู่ในกรอบแบบนั้น ใส่กรอบให้เด็กแบบนั้น เป็นคนในอุดมคติแบบนั้น

    “ผมเขียนไม่ถูกเท่าไหร่นะ และผมไม่ค่อยแคร์ แต่ผมทำให้ไอคนที่มันอ่านสเตตัสผมบอกผมได้ว่าผมเขียนผิด แปลว่ามันรู้เรื่อง!”

    สุดท้ายรัฐกำหนดให้เยาวชนเป็น”คนฉลาด”ที่เชื่อฟังเขา กลายเป็น”คนในอุดมคติ”
    เราเรียนเพื่ออะไร?
    1.มีชีวิตรอด
    2.มีความสุข
    3.บรรลุเป้าหมายการดำรงชีวิต ว่าเรามีชีวิตเพื่ออะไร?

    “เราเรียนมาแทบตาย แต่พออกไปใช้ชีวิตจริง คุณก็ต้องเรียนใหม่..”
    นั่นหมายความว่าการศึกษาไทยมันไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย วิชานั้นฟุ่มเฟือย การบ้านนั่นมากเกินไปสำหรับอาจารย์บางท่านให้การบ้านโดยให้เหตุผลว่า”ให้ เวลาไปทำสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่าความไร้สาระ”

    มีมิตรสหายมาเล่าเหตุการณ์เสริมว่า

    “เป็นความจริง เพื่อนผมเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ8เหรียญทองรวด แต่ต้องหยุดจากการแข่งขันเนื่องจาก การกีฬากับวิชาการในโรงเรียนไม่โคกัน สุดท้ายเค้าก็ไม่ได้ว่ายน้ำอีก”

    คำถามคือ เราไม่ได้มองเห็นคุณค่าได้ด้านอื่นๆเลย นอกจากสิ่งที่เป็น”วิชาการ”ซึ่งดูจะเป้นตัวแทนของ”ความรู้อันมีค่า”ไปเสีย ทุกอย่าง เด็กๆถูกบังคับให้”การบ้านวิชาการ”เป็นสิ่งมีค่า และการ”copy paste”ก็เกิดขึ้นในสมุดรายงาน…

    มาถึงช่วงของคุณ กิตติ วิวัฒน์สัตยา จากสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย

    หลายท่านคงจะรู้จัก บุคคลลือนามที่ชื่อ”เนติวิทย์” นะครับ วันนี้มาทั้งก๊กและอาจารย์ของเขาด้วย เพื่อนของเขาอธิบายเรื่อง
    “ความเท่าเทียม และการฉำแหละวิชา”

    “ความเท่าเทียม”
    คือ การแต่งชุดนักเรียนจริงหรือ? ทุกวันนี้สังคมไทยแบ่งชนชั้นได้ทุกอย่างไม่ว่าคุณจะอยู่ในสภาพไหน

    สีกางเกง กากี = วัด แดง-น้ำเงิน =กรุง ดำ=ชานเมือง นาฬิกา กระเป่า หรือแม้แต่ชื่อโรงเรียน เราถูกแบ่งชัดอย่างสิ้นเชิง หรือไหนจะ โรงเรียนเอกชน โรงเรียนรัฐ โรงเรียนนานาชาติ ก็ถูกแบ่งทั้งทางทรงผม และชุดที่เป็นเอกลักษณ์

    คนไทยมักคิดไปเอง หรือไม่ก็มักจะยืมเหตุผลจากซีรี่ย์”ฮอโมนส์”มาอ้าง แต่สังเกตว่าเราไม่สามารถตั้งเหตุผลเองได้เลย จนกว่าจะนำคำพูดจากซีรี่ย์เรื่องนี้มาบอกว่าชุดนักเรียนมีประโยชน์อย่างไร อีกทั้งยังใช้เหตุผลแบบ”เหมารวม” “ฉันว่ามันดี ทุกคนต้องคิดว่ามันดี”

    ในทัศนะของเขาการแต่งชุดนักเรียนและไม่แต่ง ควรจะไม่มีการบังคับ แลถือว่า เป้นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลที่คนมักจะโจมตี และเขาเองก็มักจะถูกทำร้ายโดยสื่อนิสัยดี..

    “วิชา”

    พุทธศาสนา
    เราพบว่ามีเนื้อหาของคริสต์และอิสลามเพียง2หน้ากระดาษในหนังสือใหญ่ที่เขียน ว่า “พระพุทธศาสนา” ดูจะเป็นการแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน เราถูกสอนให้ทำดี ให้ทำอะไร แล้วชาติหน้าจะได้ผล จะเกิดเป็นเช่นนั้นมาเสมอ “เอาอะไรมายืนยัน มีใครเกิดชาติหน้ามายืนยันกับผมได้ไหม” นี่คือวามขัดแย้งในตัวศาสนา เราสวดมนต์ไปโดยถูกบังคับให้สวด ถูกสั่งให้กราบ พระพุทธองค์เองก็พูดว่า

    ”พระองค์ไม่เคยบังคับใครให้เชื่อ ให้นับถือ”

    “คุณสาบานได้ไหมว่า คุณสวดมนต์ในแถวไม่เคยคุยหรือพนมมือค้างตอนเขาเลิกสวดแล้วเลยสักครั้ง”

    “พุทธศาสนาจะเกิดในจิตได้อย่างไรในเมื่อไม่มีใครตั้งใจจะสวด หรือตั้งใจจะทำมันจริงๆ เพียงถูกเกณฑ์มาทำ”

    ตกลงประเทศเรากำลังเชิดชูพุทธศาสนาหรือทำลายมันลงเป็นอันดับแรก?

    ประวัติศาสตร์
    รัฐไทยสอนอะไรเรา? การสอนประวัติศาสตร์ไทยสอนอย่างไรไม่ให้เราเกลียดประเทศอื่น? เมื่อเราพูดแบบนี้คนเราเองก้มักจะไปควานหาประเทศที่ต่ำว่ามาเปรียบเทียบว่า ทีประเทศนั้นประเทศนี้ยังทำได้ แต่เราไม่เคยคิดจะไปจุดสูงสุดนำเขาบ้างเลย

    เราไม่เคยสอนด้านดีของการล่าอาณานิคมในสยาม เราสอนแต่เรื่องเสียดินแดน ด้านดีของมันคือ”ยกเลิกกฎหมายป่าเถื่อนของสยาม” ยกตัวอย่าง กฎโจร500 ผู้ใดอยู่ใกล้รัศมีโจร500เมตรจะถูกจับไปด้วย ถามว่ายุติธรรมหรือไม่?

    ช่างทำแผนที่ชาวฝรั่งเศสจะทำการปักปันเขตแดน ทำเรื่องถึงวังหลวงว่าอาณาเขตประเทศไทยอยู่ตรงไหน ก็ไม่มีใครทราบให้ไปถามทหารชายแดน ทางชายแดนก็ไม่ทราบให้กะเกณฑ์เอาตามสบาย จึงเกิดคำถามขึ้นว่า”แล้วเราเสียดินแดนตรงไหน?”

    อชาญวิทย์ เกษตรสิริ เคยตอบคำถามผู้สัมภาษณ์ว่า

    ”ไทยจะเข้าร่วมอาเซียนได้หรือไม่”

    อ.ตอบว่า

    ”คุณคิดว่าคนที่เกลียดกันมาตลอดมาอยู่ร่วมกัน มันจะอยู่ได้ไหมล่ะ อยู่ได้ก็เพียงชั่วครู่”

    อีกทั้งการสอนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยและระดับมัธยมแทบจะเป็นคนละชุด

    ผศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร ล่าเสริมว่า

    “ลูกศิษย์ผมมาถามว่า แล้วที่เราเรียนมามันหลอกลวงหมดเลยเหรออาจารย์”

    “ผมตอบกับนักศึกษาไปเพียงว่า “ใช่” ”

    หน้าที่พลเมือง
    หนังสือเล่มนี้ สอนว่า การเป็น”พลเมือง”จำต้องเป็นคนดีเท่านั้น? สิทธิการเป็นพลเมืองนั้นย่อมเกิดจากการคิดเหมือนในหนังสือตามที่กล่าวา นั่นหมายความว่า การที่ใครสักคนคิดต่างจากคนอื่น คือ เป็นพลเมืองที่ไม่ดี? คำว่าดีนั้นมีหลายด้านมาก ดีสำหรับใคร ดีอย่างไร

    “เราคุยกันเพื่อไม่ใช่ให้เราเข้าใจกัน แต่เพื่อให้เรารู้ว่า ทำไม เราถึงแตกต่างกัน”

    “ครู”
    ปัญหาครูมีมากมาย ปัจจุบัน เราทราบว่า มีครูอยู่200,000คนในไทย ที่ไม่ทรบาว่า อยากเป็นครูหรือเปล่า หรือเพราะทำงานอะไรไม่ได้จึงมาเป็น อยากให้ความรู้กับเด็กๆจริงหรือเปล่า ปัจจุบันเราเห็นครูมากมาย”ทำเงิน”มากว่า”ทำงาน” จมอยู่กับกองงานทเลื่อนตำแหน่ง “C” จนลืมไปว่า เรามี”อนาคตชาติ”อยู่ที่ห้องเรียน

    เราต้องสอนเขาให้เป็น”คน”ให้ได้ นั่นถึงจะถูกเรียกว่า”ครู”
    ในทางต่างประเทศ ครูเป็นสิ่งสำคัญมาก การที่จะเป็นครูได้จะต้องมีการสัมภาษณ์ทัศนะคติ ทำแบบสอบถามทางจิตวิทยาที่ไม่สามารถเดาทางได้ จนมีการวัดออกมาว่าคนๆนี้มีบุคลิกภาพของครูจริงๆ

    มีมิตรสหายสตรีท่านหนึ่งกล่าวว่า

    ”หนูอยู่โรงเรียนนานาชาติ ที่นั่นจะมีการประเมินครูทุกเดือน ว่าครูสอนเด็กเข้าใจหรือไม่ เด็กเป็นตัวกำหนดชีวิตครู ถ้าหากไม่ เรื่องจะไปถึงผู้ปกครองซึ่งรวมตัวกันหารือและส่งไปยังสถานศึกษาอีกครั้ง ครูจะถูกอบรมการสอนและเรียกพบเพื่อปรับปรุงวิธีการสอนใหม่ให้เด็กเข้าใจ หนูคิดว่าโรงเรียนแบบนี้ถึงจะมีครูที่มีคุณภาพจริงๆ เพราะหลังจากหนูย้ายไปอยู่โรงเรียนรัฐมันต่างกันสิ้นเชิง.. ”

    ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ รับไมและบรรยายต่อ

    “เพดานการศึกษาไทยมันต่ำเตี้ย!”

    กี่ปีก็มีการคิกแบบนี้เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครลงมือทำ ท่านอธิบายว่า”สมัยก่อน อ.SJ(สมศักดิ์ เจียม) อ.เกษียณ เตชะพีระ ก็เคยทำการเผาวรรณคดีไทยและเขียนวิพากย์วิจารณ์ฉำแหละหลักสูตรการศึกษามา แล้ว แต่43ปีผ่านไป มันก็เหมือนเดิม..”

    รัฐไทยปัจจุบันเป็น “Post colonial state”
    อยู่ภายใต้ทุนนิยมภายนอก
    อิทธิพลศักดินาแบบอนุรักษ์
    รับระบบสมัยใหม่
    รับเทคโนโลนี

    “คือมันมั่วไปหมด มันไม่เอาซักทาง”

    “คุณเห็นElite ชนชั้นสูงเมืองไทย มีใครเรียนเมืองไทยไหมล่ะ เขาก้ส่งไปเรียนเมืองนอกกลับมาด่าการศึกาไทยเองทั้งนั้น”

    “กิจกรรม”
    กิจกรรมปัจจุบันมีเพียงผลสัมฤทธิ์กับวิทยฐานะของครู แต่สำเร็จกับนักเรียนเพียงน้อยนิด

    “ทรงผม”
    ไทยเราไม่มีเหาบนหัว แต่ยังมีกฎกะหรั่วๆอยู่ แม้ว่ารัฐจะยกเลิก แต่โรงเรียนไทยหลายแห่งยังคงมันไว้ และกลับมองแต่เรื่อง”วัฒนธรรมลวง” ในต่างประเทศไม่มีการบังคับทรงผมใดๆ และเด็กไม่ได้ทำโมฮ๊อกมาทุกคน “คนฝรั่งนิยมตัดเกรียน”เพราะมองเป้นเรื่องแปลกใหม่ เขาชินชากับทรงผมที่เราเรียกว่า”ทันสมัย” มันแปลกดีนะครับ

    ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ยก 3 ลัทธิในการศึกษทไทยคือ
    1. บูชาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    2.ล่าปริญญา
    3.แบบฟอร์ม ประกันคุณภาพ

    เริ่มจาก1.บูชาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

    “คนไทยเราถูกปลูกฝังโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่วาดลอยหยักที่ไม่มีอยู่จริงและระบายสีมันในกระดาษใบงานของโรงเรียน”

    “เราถูกปลูกฝังให้มีอารมณ์รว่มกับชาวบ้านบางระจัน โดยที่เราเองก็ไม่ใช่คนไทย คุณคิดดูซิว่าคุณมาที่เมืองสยามตอนไหน จีนอพยพบ้าง ลาวบ้าง เราไม่ไดมีส่วนร่วมอะไรกับเขาเลย แต่เราถูกปลูกฝังให้ร่วม..”

    รัฐไทยทำลายความเป็นชาติของผู้อื่นในท้องถื่นจนหมดสิ้น อาทิ ภาษาลาว ภาษาเหน่อ ภษาถิ่นต่างๆ โดยการถูกหยอกล้อ ถูกมองว่าต่ำต้อย ในขณะที่ นั่นคือภาษาที่เค้าควรจดจำมากกว่าภาษาไทยเสียอีก
    ในประเทศเสรีนิยม ศาสนาจะถูกแยกออกจากโรงเรียนอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากถือเป็นเรื่องของ”ปัจเจกบุคคล”ไม่ใช่สาธารณะ วิทยาศาสตรืถือเป็นเรื่องสาธารณะ

    ผศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร กล่าวเสริมว่า

    “ใครว่าพระพุทธศานาเป็นวิทยาศาสตร์ คุณไปค้นหาพระไตรปิฎก 84,000พระธรรมขัณ ดู เราพบว่า ถ้าตัดเรื่องอภินิหาร งางายออก มันก็เหลือแค่นิดเดียวเท่านั้น”

    2.ลัทธิล่าปริญญา

    “คนเอเชียเป็นพวกที่ถูกหลอกกินตังมากที่สุดในสายตาคนตะวันตก เพราะ ในทางตะวันตกเรื่องจบป.ตรีหรือม.6ไม่เกี่ยวข้องกันกับสติปัญญา สามารถเข้าทำงานบริษัทได้ทันที การเรียนปริญญาโท เอก แทบจะดูเป็นเรื่งอไร้สาระ”

    อาจารย์อธิบายว่า
    ในตะวันตกการเรียนการสอนไม่ได้วัดกันตามระดับขั้น และไม่มีการให้ความสำคัญกับระดับขั้นตรี โท เอก เพราะเขามองว่า เหมือนการ”เรียนไม่สุด”ในชั้นตรี คุณคืดผู้ที่รู้ที่สุดแล้ว ส่วน โท ซึ่งบางมหาวิทยาลัยไม่ยอมให้มี และเอกเป็นเพียงความรู้เสริมเท่านั้น หรือการเรียนตามอัธยาศัย

    มีผู้ที่อ้างตนว่า เรียนจากเมืองนอกมากล่าวเสริม

    “ระบบ High school of informatics ที่ผมรู้จักในต่างประเทศ จะมีให้เลือก8หน่วยกิต ไม่มีการแบ่งสาย หรือศาสตร์ คุณเพียงบอกว่า อาชีพที่คุณจะเป็น จำเป็นต้องเรียนอะไรบ้าง จบ คุณจะลงอะไรก็ได้ใน80วิชาให้เลือก คุณจะไม่รู้เลยว่า เค้าจะให้ปริญญาสาขาอะไรกับคุณ จนกว่าคุณจะจบ และหากที่ประเทศคุณไม่มีปริญญาสาขานี้ เขาจะออกใบปริญญาที่เกี่ยวข้องหรือมีในประเทศคุณให้ ”

    3.แบบฟอร์มประกันคุณภาพ
    สิ่งพวกนี้ดึงครูจากห้องเรียนให้ไปอยู่ที่โต๊ะทำรายงานแก่สถานศึกษา ระบบรับประกันคุณภาพ ถูกคิดโดย คนที่จบ”หมอ”หรือคนที่จบสายวิทย์เป็นส่วนใหญ่ เพราะมันทำงานได้ไว ถ้าให้สายสังคมอย่างเรามาวัด ก้จะต้องใช้เวลานาน หรืออาจจะตอบว่า”มันทำไม่ได้ ที่คุณคิดจะทำมันวัดได้แค่คุณภาพเชิงปริมาณเท่านั้น” ชะนั้นการประกันคุณภาพก็ถูกทำตามหรืออกแบบมาโดย ตรรกะแบบ”หมอๆ”นั่นเอง

    ในช่วงท้ายมีการเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมเสวนาแสดงความคิดเห็นได้ กระผมได้รวบรวมคำพูดเท่าที่จำได้มา

    “การเรียนการสอนที่อังกฤษ การใส่รองเท้าแตะยังใส่เรียนได้ ใส่สอบได้ คนอังกฤษถือว่าไม่สุภาพมาก แต่ไม่มีใครมาว่า หรือด่าคุณ เขาก็ทำตัวปกติ เด็กตัดหัวเกรียนเป็นเรื่องฮิต ทำสีผม ไว้ผมกระเซิงเป้นเรื่งอที่เห็นกันทั่วไป ป.ตรีไม่มีความจำเป็นจริงๆสำหรับตะวันตก มหาวิทยาลัยที่นั่นกินตังจากคนเอเชียทั้งนั้น”

    “การสอนประวัติศาสตร์ที่Liberal art collage เขาจะให้ text คุณมา3เล่ม แต่งจากอเมริกา จีน และฉบับเหมาเจ๋อตุง ทั้ง3ลเมเขียนต่างกัน อาจารย์จะถามคำถามกว้างๆกับคุณให้คุณตอบเขาแบบที่คุณคิด การทำรายางนอาจารย์จะถามเรื่องอ้างอิงอย่างละเอียดและถามถึงเหตุผลทางความ คิดของคุณ”

    “ตอนเด็กดิฉันเห็น อาจารย์คนนึง สอนนักเรียน250 แต่ตก200คน ผ่าน50 อาจารย์บอกว่า พวก200นั้นโง่ที่ทำข้อสอบแกไม่ได้ แต่ก็งงว่า การสอนนักเรียน200คนให้สอบตกได้ ใครโง่กันแน่ ”

    “ผมว่าเรื่องความเหลื่อมล้ำนั้นน่าจะรวมเรื่องสายวิทย์และสายศิลป์เข้าไป ด้วย เพราะเรามักจะเจอคำถามเวลาคนสายวิทย์อยากจะเรียนสายศิลป์ว่า สอบไม่ติดหรอ สอบไม่ผ่านหรอ? แปลว่าสังคมไทยมองความด้อยความต่างอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผมก็คิดว่ามันไม่ถูกต้อง ความยากง่ายของวิทย์และศิลป์ต่างกันคนละแบบ สายวิทย์อย่างผมมองว่า สายวิทย์มีคำตอบตายตัว แต่สายศิลป์ในระดับมหาวิทยาลัยเราต้องใช้การวิเคราะห์มากถึงจะตอบมันได้”

    “ผมคิดว่าคนโง่ๆนี่แหละโตไม่เป้นอาจารย์ได อย่าคิดว่าอาจารย์ต้องฉลาด คนโง่ๆก็โตได้เหมือนกัน”

    สรุป การศึกษาไทยนั้นเห็นไดชัดเจนว่ามีข้อบกพร่องมากมายทั้งระดับมหภาคและจุลภาค และแตกต่างจากต่างประเทศหรือประเทศที่เจริญในตะวันตกอย่างสิ้นเชิง การศึกษาไทยนั้น ยังอยู่ในระบบ”ชาตินิยม”และ”ระบบยอมรับอำนาจ”ในแทบทุกจุด หรือใช้วัตถุเป็นศูนย์กลาง อีกทั้งยังคงให้ความสำคัญในด้านการส่งเสริมด้วยเม็ดเงิน แต่ไม่ได้ส่งเสริมด้วยคุณภาพ สุดท้ายการศึกษาไทยก็ดูจะไปไหนตั้งแต่การปฎิรูปการศึกษาสมัยรัชกาลที่5 หากคนไทยยังคงยอมรับและละเลยมันต่อไป เราอาจไม่มีวันเห็นเด็กสัมยใหม่ความคิดใหม่ๆในไทยประเทศเลยก็เป็นได้ …

    https://www.facebook.com/photo.php?f...&type=1&ref=nf




    ป.ล.ผมใส่เสื้อลายสก็อตอ่ะ ฮ่าๆ
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย KaMeLRo : 24th August 2013 เมื่อ 01:07
    ถ้าคุณไม่ยอมรับฟังคำติเตียนของผู้อื่น คุณก็ไม่ควรไปสั่งสอนใคร

  38. รายชื่อสมาชิกจำนวน 3 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  39. #21
    Travel around the world
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    Chiangmai, Thailand
    กระทู้
    903
    กล่าวขอบคุณ
    1,768
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,078
    ประเทศไทยเน้นทำงาน แต่ไม่เน้นสร้างงานครับ ทำให้คนเราต้องเรียนเยอะอยู่แบบนี้และเรียนอะไรไม่รู้ที่ไม่ได้ใช้จริงในชีวิตประจำวัน
    ''No god or kings. Only man.'' - Andrew Ryan

  40. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  41. #22
    So Nyeo Shi Dae 4EVER
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    664
    กล่าวขอบคุณ
    671
    ได้รับคำขอบคุณ: 441
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ maxnizium อ่านกระทู้
    มันอยู่ที่โรงเรียนด้วยนะครับ สำหรับโรงเรียนผมตอนม.ต้นนี่เขาก็สอนโอเคนะครับคือถ้าเราตั้งใจเรียนอ่านชีทก็ทำได้
    แต่ผมไปเรียนพิเศษเพื่อสอบเข้ารร.ตอนม.4อ่ะครับซึ่งตอนนี้ก็เรียนแค่เสาร์อาทิตย์อ่ะครับ
    ผมว่ามีหลายวิชานะครับที่เรานำมาใช้กับชีวิตจริงได้แต่คุณไม่เคยสังเกตหรือนำมาปรับใช้ผมชอบวิชาชีวะมากเลย
    เพราะมันทำให้ผมรู้เกี่ยวกับร่างกายมากขึ้น ส่วนฟิสิกส์ผมว่าซักวันคงได้ใช้กับอาชีพแน่นอนครับถ้าเป็นวิศวะอะไรพวกนี้
    ดังนั้นผมว่ามันจึ้นอยู่กับการปรับใช้ของแต่ละคนมากกว่าอ่ะครับ ลองเปิดรับความคิดแล้วเราจะพบอะไรมากขึ้น
    คือ...ผมแค่ไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่างอ่ะครับ อย่างเช่นสูตรคณิตอย่างเนี้ย ผมยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้มันเมื่อไหร่ แต่อย่างตอผนผมอนุบาล ครูสอนให้ผมบวกลบ
    และยังตั้งโจทย์ปัญหาให้ผมลองคิดดู เพื่อใช้มันได้ แต่ยิ่งเรียนสูงขึ้น ในหัวผมมีแต่คำถามเต็มไปหมด ยิ่งถาม ก็ยิ่งงงหนักกว่าเดิม ผมเป็นคนโง่ๆคนนึงครับ
    ผมก็เลยสงสัยว่ามันจะต้องเอาไปใช้ตอนไหน ใช้ยังไง แล้วถึงเวลาต้องใช้ ผมจะยังจำได้หรือเปล่า หรือว่าต้องไปทบทวนจากประสบการณ์อีกที..... = =

    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ hades051 อ่านกระทู้
    ถ้ามถามว่าไม่เรียนพิเศษแล้วจะสอบเข้ามหาลัยได้มั้ยผมก็จะตอบว่าได้ครับ แต่ถ้าถามว่าแล้วจะเรียนทำไมละ ผมก็จะตอบว่าเพราะเรียนพิเศษคือการเรียนเนื้อหาล่วงหน้า แล้วจะเรียนไปทำไมก็เพราะเมื่อเราอยู่ ม.6 แล้วเปิดเทอมได้ไม่กี่ือนก็เริ่มสอบตรงเข้ามหาลัยกันอยู่แล้ว ซึ่งเวลาเตรียมตัวจะมีน้อยมาก(แค่ 6 เดือนมั้ง) ก็เลยต้องเรียนพิเศษให้จบตั้งแต่ ม.5 เทอม 2 ถึง ม.6 เทอมหนึ่ง และเวลาที่เหลือก็เอาไปทบทวนที่เรียนมา ฝึกทำแบบฝึกหัด เพื่อเตรียมตัวเข้ามหาลัย ซึ่งคนที่ไม่ได้เรียนพิเศษอาจจะเตรียมตัวไม่ทัน เป็นเช่นนี้แล

    ผมไปอ่านความคิดเห็นของท่านอื่นบอกว่า การศึกษาเป็นแบบนี้ๆ ผมจึงติดว่าถ้าอยากจะปฏิรูปการศึกษาจริงๆก็ต้องทำตัวเองให้เก่งก่อน เพราะยากที่ผู้ใหญ่จะฟังความคิดเล็กๆนี้ได้ เราเลยต้องทำตัวให้ใหญ่ก่อน
    ผมแย่แน่ๆ = =" ถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่ามา รู้สึกแยกระหว่างชีวิตกับการเรียนไม่ออกเลยแฮะ ผมนับถือพวกที่เรียน ม.ปลายจริงๆ ซาบูๆ
    และผมก็ไม่ได้คิดจะปฏิรูปการศึกษานะครับ แค่อยากจะเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างให้มันไม่น่าเบื่ออ่ะครับ
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ViRuS|Benz : 26th August 2013 เมื่อ 00:48
    I NEED A GIRL

  42. #23
    Skyfall
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    1,449
    กล่าวขอบคุณ
    1,369
    ได้รับคำขอบคุณ: 551
    Blog Entries
    1
    ยังไงก็ได้ ขอแค่สอนให้ทันนะครับครูขอร้อง อย่ามาเร่งตอนก่อนจะสอบ TT

  43. #24
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    กระทู้
    80
    กล่าวขอบคุณ
    3
    ได้รับคำขอบคุณ: 25
    ที่ผมเรียนมาผมได้ใช้เกือยหมดนะ


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top