ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 3 หน้า 123 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย
กำลังแสดงผล 1 ถึง 25 จากทั้งหมด 61
  1. #1
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    1,440
    กล่าวขอบคุณ
    5
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,811

    ทฤษฏี พระเจ้าจากอวกาศ จุดเปลี่ยนมนุษย์ชาติ(ฉบับเต็ม เนื้อหาครบ อ่านตาแฉะ)


    **เกริ่นนำ ก่อนเข้าเรื่องนะครับ เนื้อหากระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ สิ่งที่พวกท่านเคารพ แค่อยากจะนำเสนอในรูปแบบใหม่ๆ ทฤษฎีใหม่ๆเท่านั้นเอง

    **คำเตือน เนื้อหากระทู้นี้ค่อนข้างยาว ถึงยาวมาก ถึงยาวแบบสุดๆ








    God from space พระเจ้าจากอวกาศของชาวสุเมเรียน

    ......บันทึกโบราณจากอักษรลิ่ม คิวนิฟอร์ม ที่บันทึกลงบนแผ่นดินเหนียว ของชาวสุเมเรียน ณ ดินแดนเมโสโปเตเมียโบราณอายุ 6,000-7000 ปี กล่าวถึง พระเจ้าหรือเทพเจ้าของเขาที่ลงมาสอนวิทยาการให้ จากการศึกษาภาษาโบราณของนาย Zecharia Sitchin ชาวสุเมเรียนบอกว่าพระเจ้าที่พวกเขาเรียกขานกันว่า Anunnaki นั้นมาแสวงหาแหล่งทรัพยากรบนโลกของเราเพื่อส่งกลับไปยังดินแดนบ้านเกิดของพวกเขา อันเป็นดาวเคราะห์ขนาดมหึมาที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึง 3,600 ปี
    .....และกล่าวถึงการสกัด DNA ซึ่งเป็นเทคโนโลยียุคปัจจุบันที่โลกกำลังพัฒนาอยู่ด้านวิทยาศาสตร์ Biotechnology

    หมายเหตุ: Anunnaki จะเรียกว่า อนันนาคี ก็ได้ดูเป็นคำเรียกแบบไทยๆดีครับ

    .....สำหรับตำนานของอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คืออารยธรรมสุเมเรียนนั้นเล่า มีเรื่องราวของการสร้างมนุษย์คนแรกของโลก "อาดัม" Zecharia Sitchin ผู้ศึกษาอักษรคิวนิฟอร์มจนแตกฉานสรุปเรื่องราวการสร้างมนุษย์ไว้ในงานเขียนของเขาว่า

    ....."... เทพผู้สร้าง Enki ดำริที่จะสร้างมนุษย์จากสิ่งมีชีวิตที่มีอยุ่แล้วบนโลก วัตถุดิบที่พวกเขาหามาทำการทดลองคือลิง ape เพศเมีย มนุษย์ที่พวกเขาสร้างนั้นเรียกกันว่า Lulu Amelu ('the mixed worker) โดยการนำเอายีนของพระเจ้าคือ Anunnaki มาผสมเข้ากับเซลของมนุษย์โลก จากนั้นก็ฝังเข้าไปในรังไข่ของ Anunnaki เพศหญิง หลังจากลองผิดลองถูกอยู่นาน พวกเขาก็ประสบความสำเร็จ มนุษย์โลกที่เป็น Homo Zapiens ในปัจจุบันจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้..."



    ภาพบันทึกโบราณชาวสุเมเรียนที่ขุดพบ
    รูปb ตรงกลางระหว่างคนสองคน เป็นรูปภาษาสัญลักษณ์ที่ใช้ในอียิปต์โบราณด้วย เรียกว่า อังค์ สัญลักษณ์พลังแห่งชีวิต รูป c ถ้าดูดีๆคล้ายคลึงกับ DNA



    .....บทที่ยกมาเป็นบทที่เรารู้จักกันดี เพราะกล่าวตรงกันทั้งสองแหล่ง นั่นคือตำนานของชาวสุเมเรียนกับบทเยเนซิสที่ว่าด้วยการสร้างโลกและมนุษย์

    .....นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันผู้ทำงานกับ DNA เรากำลังตามรอยของพระเจ้า??

    บทที่ว่าด้วยการตัดสินใจของเทพแห่งเมโสโปเตเมียที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมา แปลตรงมาเป็นภาษาอังกฤษ ดังนี้

    "... Mix to a core to Clay
    from the basement of Earth,
    just above the Abzu -
    and shape it into the form of a core.
    I shall provide good, knowing young gods.
    who will bring that caly to the right condition."

    .....Abzu คือดินแดนของเทพเจ้า บทนี้กล่าวถึงการตัดสินใจของ Enki ในการสร้างมนุษย์และมอบหมายหน้าที่ให้เทพธิดาแห่งความรู้ หาทางสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากวัตถุบนโลก อะไรคือวัตถุดังกล่าว ลองมาดูประโยคที่ว่า "Mix to a core the clay " ไปตรงกับ "ปั้นแต่งมนุษย์จากฝุ่นผงแห่งพสุธา" หรือ "from the dust of ground" ในบทเยเนซิสของไบเบิล โคลนหรือฝุ่นชนิดไหนกันครับที่พระเจ้าเอามาสร้างมนุษย์ เรื่องพวกนี้ถ้าอ่านผ่านๆมันก็ตำนานอภินิหารธรรมดา แต่ถ้าลองมาวิเคราะห์จริงๆจากมุมอื่นแล้ว เราจะเห็นอะไรซ่อนอยู่มากมาย

    ..... ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่า ถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาฮีบรูว์ ฉบับแปลทั้งหลายแหล่ที่เรารู้จักกันนั้น คำแปลก็ผิดเพี้ยนไปตามภาษาและการตีความของคนแปล ดังนั้น การศึกษาเราจึงต้องศึกษาจากต้นฉบับที่เป็น Original ของมัน ซึ่งมันจะ Original จริงๆหรือเปล่าก็ไม่มีใครบอกได้ แต่ที่แน่ๆคือฉบับที่เก่าที่สุดย่อมเพี้ยนน้อยที่สุด บทในการสร้างมนุษย์ในไบเบิลกล่าวถึงฝุ่นผงหรือโคลนที่ใช้ในการสร้างมนุษย์ ภาษาฮีบรูว์โบราณใช้คำว่า 'tit' ซึ่งไปตรงกับภาษาสุเมเรียนว่า 'TI.TI' อันมีความหมายในภาษาอังกฤษได้ทั้งคำว่า clay และ "that which is with life'

    .....นั่นคืออาดัมถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งที่มีชีวิตอยู่แล้ว?

    .....มาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่อาดัมถูกสร้างขึ้นมาแล้ว สรรพสิ่งย่อมมีอยู่เป็นคู่ เมื่อมีมนุษย์ผู้ชายก็จำต้องมีผู้หญิงอยู่ด้วย ดังนั้นอีฟจึงถูกสร้างขึ้นมาโดยอาศัยอาดัมเป็นต้นแบบ บทที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ขอให้อ่านย่อหน้าด้านล่างนี้กันอย่างระมัดระวังนิดนึงนะครับ

    ..... "So the Lord God caused the man to fall in to a deep sleep; and while he was sleeping, he look one of the man's 'ribs' and closed up to place with flesh. Then the Lord God made a woman from the 'rib' he had taken out of the man..."

    .....การพิเคราะห์พิจารณาก่อนผ่าตัดของศัลยแพทย์? การวางยาสลบให้ผู้ป่วยหลับลึก? พระเจ้าดึงเอา ribs - - กระดูกซี่โครงของอาดัมออกมาเพื่อสร้างอีฟ ก่อนอื่นเรามาดูคำว่า ribs กันนิดนึง ต้นฉบับของภาษาสุเมเรียนนั้นคำว่า rib คือคำว่า TI อันมีความหมายสองนัยคือ rib(กระดูกซี่โครง) และ life(ชีวิต)

    .....ถ้ามันคือชีวิตแล้ว 'ชีวิต'ชนิดไหนที่พระเจ้าดึงออกมาจากตัวของอาดัมเพื่อสร้างอีฟ อิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ของพระเจ้า สามารถทำให้พิเคราะห์ไปถึงการดึงเอาอณูแห่งชีวิต ส่วนประกอบเล็กๆที่เรียกว่า DNA มาผ่านกรรมวิธีก่อนทำโคลนนิ่ง







    สุเมเรียนอารยธรรมแบบปุบปับ

    .....ตอนที่นโปเลียนมาถึงอียิปต์ในปี 1799 ท่านจอมคนได้นำนักปราชญ์ราชบัณฑิตติดมาด้วยเข่งหนึ่ง เพื่อที่จะทำการศึกษาโบราณสถานของอียิปต์ อันได้แก่หมู่ปิระมิด เมืองโบราณซึ่งจมอยู่ใต้กองทราย สัตว์ผู้พิทักษ์รูปร่างประหลาดที่เรียกกันว่าสฟิงซ์ หนึ่งในทีมสำรวจค้นพบศิลาโบราณใกล้ๆเมืองโรเซตตา อายุของศิลาหลักนี้นับย้อนหลังไปถึง 200 ปีก่อนคริสตกาล เหล่านักปราชญ์รู้สึกประหลาดใจกับอักขระไฮโรกลิฟิกที่จากรึกอยู่บนนั้น และเมื่อสำรวจต่อไปพวกเขาก็พบศิลาโบราณเพิ่มเติมอีกสองหลัก

    .....ความมหัศจรรย์ของภาษาโบราณแห่งอียิปต์ที่ไม่มีใครอ่านออก(ในตอนนั้น) ทำให้เริ่มมีการสำรวจพื้นที่อย่างเอาจริงเอาจัง เหล่าผู้พิชิตจากยุโรปเริ่มตระหนักว่าอารยธรรมบนแผ่นดินไอยคุปต์ มีอายุยาวนานกว่าอารยธรรมกรีกที่พวกเขาภูมิใจนักหนาเสียอีก บันทึกประวัติศาสตร์ของอียิปต์เองก็เริ่มต้นราชวงศ์แรกเมื่อ 3100 ปีก่อนคริสตกาล สองสหัสวรรษเต็มๆก่อนยุครุ่งเรืองของอารยธรรมเฮลเลนิคในยุโรป ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีก 4-5 ศตวรรษกว่าจะมาถึงจุดที่เรียกได้ว่าเจริญสูงสุดอย่างแท้จริง


    ด้วยความเก่าแก่นี้ หรืออียิปต์จะเป็นจุดกำเนิดแห่งอารยธรรมของมนุษยชาติ?

    .....ตอนแรกใครๆก็คิดอย่างนั้น จนกระทั่งเวลาต่อมานักโบราณคดีได้รู้จักดินแดนในตะวันออกกลาง นับระยะทางแล้วก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากอียิปต์เลย ดินแดนแห่งนั้นรู้จักกันในนามของซูเมอร์ (Sumer) ชื่ออื่นๆที่ใช้เรียกกันก็มี Sumer, Shumer, Sumeria, Southern Mesopotamia


    .....ดินแดนนี้เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมมากมายต่อเนื่องกันมา ที่พวกเราคุ้นหูกันก็ได้แค่ อารยธรรมสุเมเรียน อัคเคเดียน บาบิโลเนียนเป็นต้น อารยธรรมเหล่านี้เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้ที่อียิปต์ พวกเขามีภาษาพูดภาษาเขียนเป็นของตนเอง โดยเฉพาะภาษาเขียนที่จารึกไว้บนแผ่นดินเหนียวหรือคิวนิฟอร์มของพวกเขานี่ที่ทำให้เราแกะรอยย้อนเวลาไปสู่ความรุ่งเรืองแต่ครั้งนั้นของพวกเขาได้

    .....หนึ่งในการค้นพบจารึกโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแวดวงโบราณคดีได้แก่ การค้นพบห้องสมุดที่นิเนเวห์(Nineveh) นักโบราณคดีพบจารึกดินเหนียวมากกว่า 25,000 ชิ้น ในบรรดาจารึกเหล่านั้นมีไม่น้อยเหมือนกันที่ระบุเอาไว้ว่า เนื้อหาทั้งหลายไม่ได้มาจากสมองของคนเชียน หากแต่คัดลอกจากเอกสารโบราณของบรรพบุรุษอีกต่อหนึ่ง อารยธรรม Sumer


    มีแผ่นจารึกอยู่ราว 20 แผ่นที่มีหมายเหตุกำกับเอาไว้เป็นภาษาโบราณแปลออกมาได้


    .....ชื่อที่แท้จริงของดินแดนนี้ควรอ่านว่าชูเมอร์ไม่ใช่ซูเมอร์ เมื่อก่อนนี้นักโบราณคดีสับสนมากครับ ว่าอารยธรรมที่พวกเขาค้นพบในดินแดนเมโสโปเตเมียโบราณนั้น ชนชาติที่เป็นเจ้าของอารยธรรมคือใคร พวกเขาสืบสายพันธุ์มาจากมนุษย์วงศ์ไหน เหตุใดจึงรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างกระทันหันและล่มสลายไปอย่างปุบปับเช่นนั้น ช่วงแรกๆของการศึกษาอารยธรรม Sumer นั้น นักโบราณคดีตีอกชกหัวไปตามๆกัน เนื่องจากรื้อก็แล้ว ขุดก็แล้ว สอบถามคนเก่าคนแก่ก็แล้ว พวกเขาไม่เจอเอกสารที่กล่าวถึงที่มาชนชาติสุเมเรียนเลย

    ..... ความจริง Sumer ไม่ใช่ดินแดนปริศนาอะไรเลย ในเอกสารเก่าแก่อย่างไบเบิลได้ ระบุถึงดินแดนนี้อย่างชัดเจนในฐานะที่ตั้งเมืองหลวงของชาวบาบิโลน, อัคเคด และอีเรช ไบเบิลระบุชื่อของดินแดนเอาไว้ว่า The Land of Shi'ar หรือ Shinar

    .....การขุดค้นโบราณสถานครั้งสำคัญของอารยธรรมสุเมเรียนเริ่มขึ้นในปี 1877 โดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ผลจากการขุดค้นทำให้ต้องมีการสำรวจเพิ่มเติมอย่างมโหฬาร พื้นที่ของอาณาจักรนี้ ไม่ใช่เล็กๆ จากไซต์สู่ไซต์ จากเมืองแรกสู่เมืองที่สอง สร้างความพิศวงงงงวยแก่ทีมสำรวจเป็นล้นเหลือ โปรเจ็คนี้ยุติลงในปี 1933 ทั้งที่ยังเหลืองานที่ต้องสำรวจอยู่อีกเยอะ แต่ทีมสำรวจไม่ได้มีทีมเดียว นักโบราณคดีในสังกัดอื่นยังคงทำงานของพวกเขาอย่างไม่ย่อท้อ อาณาบริเวณของ Sumer กินดินแดนครอบคลุมทั้ง อิหร่าน อิรัก จอร์แดน ตุรกี

    .....Zecharia Sitchin เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยอมเสี่ยงชีวิตในการสำรวจดินแดนนั้น เรียกว่าปราชญ์ด้านภาษาโบราณคนหนึ่งเลยทีเดียว Sitchin ทำการศึกษาโบราณสถาน, แผ่นจารึกที่เรียกว่า Seals, เอกสารที่เขียนด้วยอักษรลิ่ม(Cuneiform)จนแตกฉาน
    .....Sitchin เริ่มต้นงานอย่างนักโบราณคดีสมัครเล่นจนก้าวสู่มืออาชีพ Sitchin อดพิศวงกับนิสัยช่างจดบันทึกของชาวสุเมเรียนไม่ได้ เพราะชนชาตินี้บันทึกอะไรเอาไว้แบบจิปาถะ เมื่อเทียบกับอารยธรรม อื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีภาษาเขียนไว้เพื่อจดจารงานสำคัญเช่น คำสอนทางศาสนา หรือตัวบทกฏหมายเท่านั้น

    .....บันทึกของคนโบราณเหล่านี้แสดงให้เห็นความรุ่งเรืองทาง วัฒนธรรมของพวกเขา มันสร้างความตื่นใจให้กับนักโบราณคดีไม่แพ้ซิกกูรัตหรือโบราณสถานอื่นๆหรือโบราณสถานอื่นๆ





    ซิกกูรัต วิหารของชาวสุเมเรียน


    .....นักโบราณคดีบางคนกล่าวไว้อย่างน่าฟังครับว่า การศึกษาอารยธรรมในดินแดนแถบนั้นเหมือนการค้นพบภูเขาน้ำแข็งในทะเล เริ่มแรกเห็นแต่ยอดกระจิ๋วที่ลอยปริ่มอยู่เหนือน้ำ ครั้นพอสำรวจเข้าจริงๆก็พบว่าความจริงแล้วเนื้อที่อันมหึมาของมันซ่อนอยู่ ใต้น้ำต่างหาก

    .....ในฐานะอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดบนผืนพิภพ สุเมเรียนไม่เพียงแต่มีสถาปัตยกรรมอันน่าพิศวง แต่ภาพวาดและงานเขียนของพวกเขาก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน โดยเฉพาะภาพประดิษฐ์ที่ทำเป็นตราสัญลักษณ์หรือผนึก(Cylinder Seal)นั้น นอกจากจะแสดงถึงตัวตนของพวกเขา ยังเป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของมนุษย์ชาติพันธุ์นี้อีกด้วย

    .....ปกติงานศิลปะของมนุษย์ยุคโบราณจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของศาสนาอย่างแยกกันไม่ ออก ชาวสุเมเรียนไม่เพียงแต่สร้างงานทางศาสนาเท่านั้น พวกเขายังมีศิลปะที่บอกเล่าถึงการเกษตร การรังวัดที่ดิน การคำนวณราคาของผลผลิต ซึ่งแสดงถึงความรู้ทางคณิตศาสตร์อันสูงส่งของพวกเขา ตัวอย่างของความรุ่งเรืองแห่งอาณาจักรสุเมเรียนได้แก่

    * การคิดค้นอิฐเผาสำหรับก่อสร้าง
    * อุตสาหกรรมเครื่องทอขนาดใหญ่
    * การเก็บเกี่ยวและถนอมผลผลิตทางการเกษตร
    * ศิละในการประกอบอาหาร


    .....ชาวสุเมเรียนยังเป็นชนชาติแรกที่เริ่มทำการค้าขาย พวกเขารู้จักการเดินทะเล การประมง พวกเขาไปกันไกลที่สุดเท่าที่เรือจะพาพวกเขาไปได้ มีการดำน้ำเพื่อลงไปค้นหาทรัพยากรแปลกๆ สำรวจเกาะแก่งที่ยังไปไม่ถึง เพื่อค้นหาแร่ธาตุ โลหะ หิน หรือแม้กระทั่งพันธุ์ไม้ที่หาไม่ได้ในดินแดนของพวกเขา

    .....Samuel N. Kramer หนึ่งในนักสุเมเรียนวิทยา(Sumerologist)ได้แจงรายละเอียดของความเป็นผู้ริ เริ่มในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งตกทอดมาสู่สังคมของเราในยุคปัจจุบันไว้มากมาย ความเป็นเจ้าแรกหรือผู้ริเริ่มของชาวสุเมเรียนเท่าที่เราค้นพบกันนั้น ได้แก่

    * โรงเรียนหรือสถานศึกษาเป็นเจ้าแรก
    * มีสภานิติบัญญัติอันประกอบด้วยฝ่ายบริหารและฝ่ายค้านเป็นเจ้าแรก
    * มีนักประวัติศาสตร์และการเขียนประวัติศาสตร์เป็นเจ้าแรก
    * มีตำราเภสัชกรรมเป็นเจ้าแรก
    * มีตารางกิจกรรมทางการเกษตรตลอดปีเป็นเจ้าแรก
    * ศึกษาเรื่องจักรวาลวิทยาและโหราศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับดวงดาวเป็นเจ้าแรก
    * มีการจ้างงานและค่าตอบแทนแรงงานในสังคมเป็นครั้งแรกของโลก
    * มีการบันทึกสุภาษิตและสุนทรพจน์
    * มีการถกประเด็นต่างๆในห้องสมุดหลวงเป็นเจ้าแรก
    * เรื่องราวของน้ำท่วมโลกและวีรบุรุษสไตล์โนอาห์มีเล่าอยู่ทั่วทุกมุมโลก แต่ที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ที่นี่
    * มีบัญญัติกฏหมายและการจัดระเบียบทางสังคมเป็นเจ้าแรก
    * และอื่นๆอีกมากมาย



    .....สิ่งเหล่านี้ยังคงตกทอดมาถึงพวกเราในยุคปัจจุบัน เราแบ่งโลกออกเป็น 360 องศาตามแบบสุเมเรียน, นับเวลาด้วยชั่วโมงและนาทีตามแบบของพวกเขา ยกเว้นระยะเวลาของการดำรงอยู่บนโลกซึ่งแตกต่างกันแล้ว อาจกล่าวได้ว่า เราและเขาไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย


    .....ในปี 1919 กระทาชายนาม H. R. Hall เดินทางมาถึงซากปรักหักพังของโบราณสถานใกล้หมู่บ้านที่เรียกกันว่า เอล-ยูเบด ชื่อของไซต์นี้ถูกตั้งขึ้นตามนักปราชญ์โบราณซึ่งกล่าวอ้างถึงอารยธรรมสุเม เรียนเป็นคนแรก นครของสุเมเรียนสมัยนั้นกินอาณาบริเวณจากเมโสโปเตเมียตอนเหนือจรดตีนเขาซาก รอนในตอนใต้ เป็นผู้ริเริ่มการทำอิบเผา กำแพงฉาบปูน ภาพประดับแบบโมเสค
    .....สุสานหลวงที่ประดับประดาอย่างสวยงาม มีการใช้กระจกเงาที่ทำจากทองแดงขัด ผลิตภัณฑ์จากอัญมณีนานาชนิด มีการผลิตเครื่องทอ เครื่องเรือน และเหนืออื่นใด มีการสร้างอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่จนยากจะเชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มาจาก ฝีมือของคนโบราณเมื่อครั้งกระโน้น

    .....ไกลออกไปทางตอนใต้ นักโบราณคดีค้นพบเอริดู นครแห่งแรกของชาวสุเมเรียน(ตามที่เคยมีอ้างอิงไว้ในเอกสารโบราณ) ขุดกันอย่างบ้าเลือดพักหนึ่งพวกเขาได้พบกับวิหารโบราณ ซึ่งจารึกเอาไว้ว่าสร้างเพื่ออุทิศแด่เทพเอนกิ (Enki) เทพเจ้าแห่งความรู้ของซูเมอร์ วิหารแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกรุงทรอยอยู่ประการหนึ่ง คือมันถูกสร้างถูกบูรณะทับของเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก ผลจากการศึกษาทำให้นักโบราณคดีย้อนอายุของอารยธรรมสุเมเรียนจากร่องรอยของ การบูรณะวิหารแห่งนี้ไปจนถึง 2500, 2800, 3000 และ 3500 B.C. ตามลำดับ

    .....พวกเขาขุดจนกระดั่งถึงดินชั้นล่างสุด ซึ่งเป็นดินบริสุทธิ์ไม่มีร่องรอยสิ่งก่อสร้างใดๆ อายุของดินชั้นนั้นอยู่ที่ประมาณ 3800 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเราอาจสรุปผลจากการสำรวจนี้ว่าอารยธรรมสุเมเรียนน่าจะรุ่งเรืองขึ้นใน ช่วงนั้น


    .....นี่ไม่เป็นเพียงอารยธรรมแรกที่พวกเราตัดสินได้จากสามัญสำนึก เท่านั้น หากแต่ยังมีผลแตกแขนงให้กับอารยธรรมอื่นทั่วทุกมุมโลก มันน่ามหัศจรรย์ตรงที่ว่า ชาวซูเมอร์ไม่เพียงแต่มีความเจริญรุ่งเรืองในท้องถิ่นของตนเท่านั้น พวกเขายังคงทิ้งร่องรอยความรุ่งเรืองเหล่านี้ไว้ตามอารยธรรมอื่นๆแม้กระทั่ง อารยธรรมของมนุษย์ยุคใหม่ในศตวรรษที่ 20

    .....เริ่มต้นจากการรู้จักใช้เครื่องมือจากหินเมื่อ 2 ล้านปีก่อน และธำรงชีวิตอย่างลุ่มๆดอนๆมาจนกระทั่งอารยธรรมสุเมเรียนผุดขึ้นมาเมื่อ ประมาณ 3800 ปีก่อนคริสตกาล มันเรืองโรจน์เสียจนนักโบราณคดีประหลาดใจไปตามๆกัน ไม่มีร่องรอยของการวิวัฒน์ให้สืบสาว ไม่มีใครรู้ว่ามนุษย์พวกนี้ไปเอาความรู้ที่ไม่มีร่องรอยของการสั่งสมเหล่า นี้มาจากที่ใด จากใคร และเมื่อใด

    เหมือนกับจู่ๆอารยธรรมนี้ก็ผุดขึ้นบนโลกมนุษย์ของเรา?


    .....อะไรคือสาเหตุของการพัฒนาอย่างปุบปับในด้านอารยธรรม? ในเมื่อหลายหมื่นหรืออาจจะเก่าไปจนถึงล้านปีก่อนนั้นพัฒนาของมนุษย์เป็นไป อย่างเชื่องช้า ความเป็นอยู่ของพวกเขาล้าหลัง ป่าเถื่อน และเจริญพอๆกับลิง อะไรที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปอย่างปุบปับ

    .....จากมนุษย์ถ้ำมาเป็นมนุษย์ยุคพริมิทิฟที่ยังชีพด้วยการล่า สัตว์ หาของป่า จากนั้นพวกเขารู้จักทำเกษตรกรรมและเครื่องปันดินเผา และหมัดเด็ดของการพัฒนาจากชุมชนขึ้นมาเป็นเมืองซึ่งเจริญล้นเหลือทั้งในด้าน วิศวกรรม คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ การผลิตโลหะ การพาณิชย์ ดนตรี กฏหมาย การแพทย์ ศาสนา และมาถึงขั้นสำคัญที่สร้างหลักฐานให้พวกเราได้สืบสาวราวเรื่องกัน ความเจริญสูงสุดในแง่ของศิลปะและวรรณคดี

    .....ทั้งหมดนี้นักโบราณคดีมึนหัวตึบเพราะตอบไม่ได้ว่าชาวสุเมเรียนเอาความ เจริญพวกนี้มาจากไหน ทั้งที่ชาวสุเมเรียนระบุเอาไว้อย่างชัดเจนถึงที่มาของอารยธรรมอันรุ่งเรือง นี้ว่า

    .....เอามาจากพระเจ้า

    .....เห็นท่าจะจริง พิศจากหลักฐานที่เรามีอยู่ ทุกอย่างของชาวสุเมเรียนดูมหัศจรรย์ไปเสียหมด ราวกับว่าจู่ๆพระเจ้าก็ทรงประทานทุกอย่างมาให้พวกเขาเสียอย่างนั้น ข้อเท็จจริงอีกประการก็คือ บันทึกของชาวสุเมเรียนที่เราขุดค้นกันได้นั้น ส่วนใหญ่เน้นแล้วเน้นอีกว่าผลผลิตแห่งความรู้เหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้า ประทานให้ พระเจ้าซึ่งครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย ปกครองชนพื้นเมืองเยี่ยงราชาของมนุษย์ปุถุชน

    มาถึงตรงนี้แล้วสงสัยไหมครับว่า พระเจ้าของชาวสุเมเรียนเป็นใครและมาจากไหน?

    และ
    ....."นักโบราณคดีค้นพบว่าชาวฮิตไทต์โบราณนั้นมีสัญลักษณ์ของพระเจ้าเป็นรูปของ สวรรค์และโลก โครงสร้างนี้มีความสัมพันธ์และถูกจัดเรียงอย่างเป็นลำดับขั้น เทพบางองค์ในจำนวนเทพอันมากมายของชาวฮิตไทต์ถูกจัดให้เป็นพระเจ้าโบราณซึ่ง เดินทางมาจากสรวงสวรรค์ "



    The Planet X ดาวเคราะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรียน

    ..... การค้นคว้าของนักโบราณคดีและนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่ง ชื่อZecharia Sitchin ซึ่งได้ศึกษาเรื่องราวแต่ครั้งโบราณของมนุษย์ นับไปตั้งแต่ไบเบิ้ล จารึกต่างๆจาก ปาริรัส และโดยเฉพาะอารยธรรมจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมแรกของโลก

    ..... Sitchin ได้ให้ทรรศนะว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในบันทึกโบราณพวกนี้ โดยเฉพาะความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน Sitchin ได้ตระเวณศึกษาค้นคว้าอย่างหนักจนในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าพิศวงออกมาว่า “เมื่อครั้งอดีตกาล มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก ได้เคยลงมาตั้งหลักแหล่งในพื้นพิภพของเรา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย โดยเฉพาะ เรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของไบเบิล ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยการดัดแปลง DNA ในไบเบิลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม หรือพระเจ้าเหล่านี้ อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru ”



    ..... Sitchin ได้ศึกษาจารึกดินเหนียวโบราณนับพันๆแผ่น ทั้งขุดค้น ตระเวนไปตามพิพิธภัณฑ์ เพื่อค้นหารอยต่อของสิ่งที่เขาสงสัย สิ่งที่ทำให้ Sitchin รู้สึกพิศวงที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ที่ซุกซ่อนอยู่ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน จารึกอักษรคิวนิฟอร์มชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของประเทศเยอรมนี มีรายละเอียดทางดาราศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเห็นแล้วต้องกุมขมับ เพราะมันกล่าวถึงตำแหน่งของโลกเอาไว้ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด หากนับจากดาวพลูโตเข้ามา

    ..... ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปี ทำไม? ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุปจากการศึกษานับสิบปีของเขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียน ไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บนโลกนี้น่ะสิครับ พวกเขามาจากที่อื่น มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้ Sitchin ปักใจขนาดนั้น?

    ..... หลักฐาน Sitchin ได้ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่องราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอาไว้ให้พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็นบันทึกทางศาสนา ก็เพราะว่าความเชื่อศรัทธานั้น เป็นสิ่งที่ทำให้ เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีขาดตกบกพร่อง ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปากต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆปี
    ..... จนกระทั่งมีการคิดค้นตัวหนังสือขึ้นมาได้ การบันทึกจึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขไปสู่ เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิดของมนุษยชาติได้ โดยไม่ลืม ว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็งทั้งหลายไม่เคย ที่จะบิดเบือนศรัทธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป

    ..... จุดกำเนิดของการศึกษาของเขามีอยู่ว่า Sitchin รู้สึกตะหงิดใจเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้าและทูตสวรรค์ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ซึ่งในนั้นใช้คำว่า "Nefilim" อันแปลว่า "those who came down" หรือ "Came down from where" นอกจากนั้นคำอื่นๆเช่นเอโลฮิมซึ่งหมายถึงพระเจ้า ในบางครั้งไบเบิลก็กล่าวถึงในรูปของพหูพจน์ ซึ่งค้านกันมากกับหลักความเชื่อของยิวและคริสต์ในแง่ที่ว่า พระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว จุดนี้เองที่ทำให้การเริ่มต้นสืบสาวราวเรื่องของ Sitchin เกิดขึ้น เขาเสียเวลาไปหลายปีกับโบราณสถานและแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เขียนลำดับการวิจัยออกมาหนาปึก ก็จะขอตัดตอนเอาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจออกมา

    ..... Zecharria Sitchin นักภาษาศาสตร์ผู้มีความสนใจในอารยธรรมสุเมเรียนอย่างลึกซึ้ง ได้ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาฟังทฤษฎีพิลึกๆของเขา เมื่อเขาเขียนหนังสือชื่อ The Twelfth Planet - Planet 'X' ออกมาเมื่อปี 1976 ในส่วนของเนื้อหากล่าวถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่และวงโคจรที่กว้างมาก มันนับเป็นดาวเคราะห์ยักษ์สีแดงที่ถูกเรียกขานโดยชาวสุเมเรียนโบราณว่า Nibiru ซึ่งเราจะพบชื่อที่หมายถึงสิ่งเดียวกันนี้ในตำนานของชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณ นั่นคือ Marduk
    ..... จารึกโบราณแห่งลุ่มน้ำไทกริสยูเฟรติสนี้ กล่าวถึงสิ่งที่น่าพิศวงอยู่หลายประการด้วยกัน เช่นว่า ดาว Nibiru ดวงนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง เรียกตามภาษาสุเมเรียนว่า Anunnaki หรือผู้ที่ติดตามประวัติศาสตร์และศึกษาไบเบิล จะรู้จัก Anunnaki ตามชื่อที่เรียกในไบเบิลว่า Nefilim อันหมายความว่าผู้ลงมาจากเบื้องบน


    ..... . Sitchin เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความเจริญทางเทคโนโลยีจนถึงขั้นสามารถท่องเที่ยวไปมาในอวกาศได้ พวกเขาเคยครอบครองโลกของเราในอดีต ถูกยกให้เป็นพระเจ้าของคนโบราณ ด้วยเทคโนโลยีที่สูงส่ง Anunnaki ได้เดินทางมาถึงโลกของเราเมื่อ 450,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว





    ทำไมจึงเป็น 12TH Planet?

    .....หลายๆท่านอาจจะสงสัย ว่าทั้งๆที่ Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ถัดจากดาวพลูโต ถ้าเรียงลำดับมันก็ควรจะอยู่อันดับสิบ ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 กัน เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานในวงการดาราศาสตร์
    .....เพราะว่านับตั้งแต่เริ่มแรกที่มีการศึกษาอารยธรรมสุเมเรียน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ของคนโบราณกลุ่มนี้ ทำให้นักวิชาการหลายคนอ้าปากค้าง เพราะพวกเขารู้จักดาวเคราะห์วงนอก ซึ่งอยู่ถัดจากดาวพฤหัสออกไปทุกดวง เรียกได้ว่ารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ก่อนนักดาราศาสตร์สมัยใหม่ตั้งแปดพันปี

    ภาพจารึกกลุ่มดาว ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ของชาวสุเมเรียน




    .....ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ชาวสุเมเรียนโบราณ ดันไปรู้จักดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งของมันอยู่ถัดจากดาวพลูโตออกไป เป็นดาวที่นักวิทยาศาสตร์พากันสงสัยว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ มีหลายคนเคยส่องกล้องพบและคำนวณตำแหน่งได้โดยอาศัยวงโคจรของดาวพลูโตเป็นพื้นฐาน แต่ด้วยความผลุบโผล่ๆของมัน หลายๆคนในวงการจึงเรียกมันว่า Planet X ซึ่งมีความหมายสองนัย หนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ และสองหมายถึงดาวปริศนาที่ไม่ทราบว่า จริงๆแล้วมีมันอยู่ในตำแหน่งที่สงสัยกันหรือไม่

    .....เหตุที่ชาวสุเมเรียนเรียก Nibiru ว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 นั้น เขาเรียกขานตามที่พระเจ้าของพวกเขาสอนเอาไว้ Annunnaki พระเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้นับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นสมาชิกของระบบสุริยะด้วย เมื่อเป็นอย่างนั้น Nibiru จึงกลายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ไปโดยปริยาย คือระบบการจำแนกดาวของชาวสุเมเรียน ก้าวไกลและน่าพิศวง


    12.Nibiru


    .....แม้ว่าดาวดาวดวงนี้จะเป็นสมาชิกของระบบสุริยะ แต่พฤติกรรมของมันก็แหวกแนววออกไปจากสมาชิกดวงอื่นๆโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะด้านวงโคจรที่เป็นปริศนาของมัน ซึ่งนอกจากจะกว้างกินระยะทางมากว่าเพื่อนแล้ว วงโคจรของ Nibiru ยังเป็นวงโคจรแบบคู่ ไม่ได้เป็นดาวเคราะห์วงโคจรเดี่ยวเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะ นั่นหมายถึง Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์สองดวง
    ..... ตามจารึกโบราณนั้นกล่าวว่า ดาวฤกษ์สองดวงดังกล่าว ดวงหนึ่งคือ The Sun ดวงอาทิตย์ของเรา ส่วนอีกดวงเป็นดาวฤกษ์ที่เย็นกว่าดวงอาทิตย์ ตรงนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า คำว่าเย็นกว่าอาจจะหมายถึงส่องแสงสว่างน้อยกว่า ดาวดวงดังกล่าวปัจจุบันยังไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดรับรองมันอย่างเป็นทางการ ดาวดวงที่เย็นกว่าดังกล่าว อาจจะเป็น Nemesis ดาวฤกษ์คู่แฝดของดวงอาทิตย์ ที่นักดาราศาสตร์หลายท่านได้ตั้งทฤษฎีเอาไว้ ว่ามันน่าจะมีอยู่จริง


    .....Nibiru ต้องใช้เวลามากกว่า 3,600 ปี ในการโคจรกลับมายังโลกของเราอีกครั้ง คนโบราณที่เป็นบรรพบุรุษของเราได้เคยเห็น Nibiru มาแล้ว เพราะมีบันทึกเกี่ยวกับดาวหางสีแดงขนาดใหญ่ในหลายๆชนชาติ ระยะเวลาที่บันทึกไว้ก็ใกล้เคียงกัน

    ..... Sitchin ได้อธิบายไว้ในหนังสือของเขาว่า รอบ 3,600 ปี หรือวงโคจรของ Nibiru นี้ ชาวสุเมเรียนโบราณเรียกมันว่า Shar หรือ Sar ซึ่งจะมากกว่า 3,600 ปีโลกเล็กน้อย Anunnaki ผู้มาจาก Nibiru ได้มาเยือน พัฒนา และครอบครองโลกของเราเป็นระยะเวลามากกว่า 124 Shar มีการจัดตั้งรัฐบาล อาณานิคม การทำเหมืองเพื่อขุดค้นทรัพยากร จนกระทั่งวาระสุดท้ายของอารยธรรมนี้ ที่ถูกกลืนหายไปในไฟสงคราม สงครามขนาดใหญ่ซึ่งทำลายอารยธรรมของเมโสโปเตเมีย อียิปต์ และลุ่มน้ำสินธุบางส่วนไป เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ค.ศ. หรือว่าประมาณห้าพันปีมาแล้ว


    Why the Anunnaki Came Down?

    ...... พวกเขาเดินทางมายังโลกของเรา ในช่วงที่ Nibiru โคจรเข้ามาเฉียดกับโลก เพื่อหาทรัพยากรธรรมชาติบางประการกลับไปใช้ที่ดาวแม่ของพวกเขา main หลักที่ Anunnaki ต้องการก็คือทองคำ เพราะสำหรับพวกเขาดูเหมือนว่าทองคำจะมีคุณสมบัติพิเศษบางประการ ที่เป็นประโยชน์กับการรักษาอุณหภูมิของบรรยากาศใน Nibiru เอาไว้ เพราะว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของวงโคจรนั้น Nibiru อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ จนเกินที่จะได้ความร้อนที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต
    ...... Anunnaki ได้ตั้งอาณานิคม และทำการขุดทองเป็นการใหญ่บนโลกของเรา ตรงนี้เป็นไปได้ไหมว่า เป็นจุดกำเนิดแรกสุด ที่มนุษยชาติให้ความสำคัญกับทองคำ เนื่องจากมันเป็นธาตุที่มีความสำคัญเป็นพิเศษกับ"พระเจ้า"จากอวกาศ ดังนั้นการทำรูปจำลองที่แสดงถึงความเคารพอย่างสูงสุด จึงมักจะทำด้วยทองคำเป็นส่วนใหญ่ และกลายเป็นประเพณีตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ และบริเวณแรกที่ Anunnaki ได้ตั้งเหมืองขนาดใหญ่ก็คือบริเวณอ่าวเปอร์เซีย แล้วค่อยๆขยายวงไปตามส่วนต่างๆของโลกในเวลาต่อมา


    ...... ในสมัยโบราณ Anunnaki มักปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ในรูปแบบของเทพครึ่งสัตว์ เช่น มนุษย์ครึ่งปลาบ้าง ครึ่งนก และครึ่งสิงโต ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการแต่งกายหรือเครื่องแบบของพวกเขา ที่ไปคลับคล้ายกับสัตว์ และอีกส่วนก็อาจจะเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความยำเกรงให้กับมนุษย์ที่อยู่ใต้ปกครอง ดังจะเห็นได้ว่า ตำนานเทพเจ้าของชาติต่างๆที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณ ล้วนมีที่มาและรูปร่างที่คลับคล้ายกัน ในความเป็นจริงเทพหลายๆองค์ของอียิปต์ก็มีต้นแบบมาจากเหล่า Anunnaki

    ...... แม้ว่าเทพเหล่านี้ จะมีบันทึกเอาไว้ในตำนานของคนโบราณในรูปของคนครึ่งสัตว์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เรายังมีหลักฐานยืนยันจากในจารึกของชาวสุเมเรียนและในไบเบิลว่า จริงๆแล้วลักษณะของพวกเขาไม่ต่างไปจากมนุษย์มากเท่าไหร่เลย และที่สำคัญ หลักฐานใหม่ที่เพิ่งค้นพบในทวีปอเมริกาคือ Olmec Stone Heads สามารถช่วยยืนยันตรงนี้ได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีต เคยมีสิ่งมีชีวิตต่างโลกเหล่านี้ เข้ามาตั้งอาณานิคมและขุดหาทรัพยากรอยู่จริงๆ


    ...... เรื่องที่น่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้าของคนโบราณก็คือ เกือบทุกชาติทุกภาษา จะมีการกล่าวถึงต้นไม้แห่งพิภพหรือต้นไม้ที่เป็นรากของโลกเอาไว้ ในตำนานของชาวสุเมเรียนก็เช่นเดียวกัน พวกเขากล่าวถึงต้นไม้พิเศษที่เติบโตในดาว Nibiru ซึ่งจะมีเฉพาะชนชั้นปกครองของ Anunnaki เท่านั้นที่จะมีสิทธิเข้าไปด้านในได้ พวกเขาเรียกมันว่าต้นไม้แห่งชีวิตหรือ Tree of Life ซึ่งต้นไม้ต้นนี้ก็มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิลเช่นเดียวกัน รวมไปถึงต้น Ambrosiac ของกรีกและต้น Ygdrasil ของทางยุโรปเหนือ เป็นต้นไม้แห่งความรู้ และชีวิต


    Exodus and the 12 Planet

    ...... จากการค้นคว้าพบว่า ช่วงเวลาล่าสุดที่ Nibiru โคจรเข้ามาใกล้กับโลกนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิล นั่นคือ Exodus อันเป็นช่วงเวลาที่ชาวยิวหนีออกมาจากอียิปต์นั่นเอง ล่าสุดก็ทฤษฎีพิลึกของ ดร.เวลิคอฟสกี้ นี่แหละ ที่กล่าวถึงภัยพิบัติและผลกระทบของแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวเหมือนกัน เพียงแต่เวลิคอฟสกี้จะมุ่งประเด็นไปที่ดาวศุกร์ ส่วน Sitchin จะใช้หลักฐานของสุเมเรียนอ้างไปถึง Nibiru ท่านผู้อ่านก็ใช้วิจารณญาณเองนะครับ ว่าเหตุผลของใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน


    ...... ภัยพิบัติที่เกิดจากการโคจรเข้ามาเฉียดโลกของ Nibiru นั้นมหาศาลนัก น่าสังเกตว่าทั้งเวลิคอฟสกี้และ Sitchin ต่างก็มุ่งประเด็นไปในทิศทางเดียวกัน ทิศทางดังกล่าวนั้นคือดาว(หาง)ขนาดยักษ์สี ซึ่งก็มีข้อสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์มาประกอบ อันว่าสีแดงของเจ้าดาวดวงดังกล่าวนั้น อาจจะมาจากผงฝุ่นสีแดงของ Iron oxide ที่เกิดจากเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงของ Nibiru (หรืออาจจะเป็นดาวหางตามทัศนของเวลิคอฟสกี้)
    ...... เมื่อมันโคจรเข้ามาเฉียดในระยะที่พอเหมาะ ผงฝุ่งและอนุภาคเหล่านั้นก็จะถูกแรงดึงดูดของโลกดูดเข้ามา จนปกคลุมทั่วทั้งบรรยากาศ มีบางส่วนตกลงไปในแหล่งน้ำกลายเป็นต้นกำเนิดของเรื่องเล่า แม่น้ำและทะเลกลายเป็นสีเลือดอย่างในพระคัมภีร์

    ...... ทว่า ทฤษฎีผงฝุ่นเหล่านี้ยังฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ในสายตาของนักวิทยาศาสตร์ มีหลายท่านกล่าวว่า ถ้าบรรยากาศของโลกผิดปกติ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แม่น้ำลำธารเปลี่ยนเป็นสีเลือดจริง มันก็น่าจะเกิดจากปฏิกิริยาทางแม่เหล็กไฟฟ้าอันเป็นผลจากแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวมากกว่า ซึ่งผลจากการนี้จะทำให้มีแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ควันและลาวาจากภูเขาไฟที่พุ่งขึ้นสูงๆปกคลุมชั้นบรรยากาศ ก็อาจจะเป็นต้นเหตุอีกอย่างของบรรยากาศสีเลือดดังกล่าวได้เหมือนกัน

    มนุษย์เกิดมาจากวิวัฒนาการทางธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นด้วยฝีมือของพระเจ้า?

    ...... เป็นที่ถกเถียงกันมานานระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา และเป็นหัวข้อที่ใช้เยาะหยันไยไพกันได้เป็นอย่างดี ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับศาสนิกชนผู้เคร่งครัด ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้ทำให้ศาสนิกชนและโบสถ์ต้องแค้นแทบกระอัก เพราะไปอ้างถึงความเป็นไปได้ที่มนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทลิง และยังลบล้างความเชื่อเรื่องของพระเจ้าสร้างโลก สิ่งมีชิวิต และมนุษย์เสียอีก

    ...... แต่ก็ใช่ว่านักวิทยาศาสตร์จะพูดได้เต็มปากนัก เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการยังมีช่องโหว่อยู่มากมาย ห่วงโซ่ที่หายไปที่นักมานุษยวิทยาพากันตามหามานานแสนนาน ปัจจุบันก็ยังไม่ส่อแววว่าจะเจอแบบชัดเจนทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า จริงๆแล้ว มนุษย์เรา อาจจะถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจริงๆ อย่างที่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาต่างๆกล่าวกันก็เป็นได้ เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ ใช้ได้กับสัตว์เกือบทั้งหมด ยกเว้นมนุษย์

    ...... ไม่มีใครเถียงว่าทฤษฎีของดาร์วินเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพียงแต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าการวิวัฒน์ตามทฤษฎีนี้มีอยู่จริง มันอาจจะเกิดขึ้นที่ดาวดวงอื่น แต่ไม่ใช่โลกของเราอย่างเด็ดขาด ทำไมน่ะหรือครับ ก็เพราะว่า ปัจจุบันเราพิสูจน์ได้แล้วว่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นบรรพบุรุษของเรานั้น แท้ที่จริงแล้วโครงสร้างและอื่นๆของพวกนั้นไม่ได้ส่อแววเลยว่า จะสามารถวิวัฒนาการมาเป็นโฮโมเซเปี้ยนอย่างมนุษย์ปัจจุบันอย่างพวกเราเลยแม้แต่น้อย
    ...... และล่าสุดกรณีของการศึกษา DNA ของโฮมินอยด์ประเภท ออสตรัลโลพิทธิคัส และโฮโม อิเร็คตัส ปรากฏว่าไม่มีวี่แววของความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ปัจจุบนเลย ซึ่งถ้าทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นเป็นจริงบนโลกเราแล้วไซร้ เจ้าห่วงโซ่ที่หายไปมันจะไปอยู่ส่วนไหนของโลกกันครับ ช่วยตอบนายโซนิคที

    ...... ถ้าอย่างนั้น คำตอบของนักการศาสนาที่ว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจึงเหลือเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับพวกเรา ซึ่งนักวิชาการบางกลุ่มที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้อย่างหัวร้างข้างแตกก็ยอมรับอย่างกลายๆแล้วว่า มนุษย์เรานั้นไซร้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าจริงๆ เพียงแต่ พระเจ้าที่สร้างพวกเราขึ้นมานั้น หาได้เสด็จมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าตามตำนานหรือในคัมภีร์ไม่ พระเจ้าที่สร้างพวกเรานั้นเป็นเพียงนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากดวงดาวอันไกลโพ้นด้วยยานอวกาศที่เปล่งลำแสงเจิดจ้าต่างหากเล่า นักท่องอวกาศกลุ่มนั้นแม้ไม่ใช่พระเจ้าแต่ก็มีความสามารถที่ใกล้เคียงมาก ใกล้เคียงจนสามารถสมอ้างเป็นพระเจ้าของคนโบราณบนโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ หลักฐานที่จะใช้อ้างในเรื่องต่อไปนี้ จะมาจากสองแหล่งคือไบเบิลในบทเยเนซิส และจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณอยู่เช่นเดิมเพราะหลักฐานจากสองแหล่งดังกล่าว ดูจะเด่นชัดกว่าแหล่งอื่นๆมาก

    หลักฐานอะไร?

    ...... หลักฐานที่ว่าพระเจ้าได้ปั้นแต่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อย่างเราๆท่านๆซึ่งจริงๆแล้ว บทบาทของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์นั้ คงจะยังเป็นนิทานไปอีกนานแสนนาน ถ้าวิทยาศาสตร์ของเราไม่ก้าวหน้าไปถึงขั้นมีวิชาพันธุวิศวกรรม ซึ่งเจ้าศาสตร์แขนงนี้นี้แหละครับ ที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักว่า กิจกรรมของพระเจ้าในสิ่งที่พวกเขาเคยเรียกว่านิทานหรือตำนานนั้น แท้ที่จริงมันคือบันทึกทางประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่สุดหน้าหนึ่งของมนุษยชาติเลยทีเดียว

    ...... หลายท่านคงพอจะนึกออกอย่างเลาๆว่าเรากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร ถ้าเอ่ยถึงพันธุวิศวกรรม สิ่งที่ผุดขึ้นมาสำหรับพวกเราก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการดัดแปลง DNA ที่กำลังเป็นที่ตื่นตัวไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ Zecharia Sitchin เอามาอ้างว่า พระเจ้าจากดาว Nibiru ได้ทำการสร้างสิ่งมีชีวิตกลุ่มโฮโม เซเปี้ยนขึ้นมาจากเหล่าโฮโม อิเร็คตัส ด้วยการดัดแปลง DNA โดยมีจุดประสงค์หลักคือใช้แรงงานมนุษย์ในการขุดค้นทรัพยากรของพวกเขา และรองลงมาก็คือสร้างอารยธรรมที่เจริญขึ้นมาบนโลก โดยมีพวกเขาเป็นพระเจ้าปกครองเหล่ามนุษย์



    Planet X and Genesis: Genetic Engineering Sapiens II.

    ...... ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ปนศาสนานะครับ เพราะในไบเบิลบทเยเนซิสนั้น มีการกล่าวถึงรายละเอียดในการสร้างมนุษย์ด้วยวิธีการที่คล้ายกันกับการโคลนนิ่งอย่างชัดเจน หันมาดูจารึกของชาวสุเมเรียนกันบ้าง ยิ่งชัดกว่า เพราะมีการบอกเล่ากันเป็นบทเป็นตอน มีภาพประกอบหลายภาพก็คือ รูปของเทพีกำลังอุ้มเด็กอ่อนโดยมีเทพองค์อื่นๆ ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับหลอดทดลองอยู่รอบข้าง แถมมีสัญลักษณ์ซึ่งชาวสุเมเรียนโบราณบอกว่า มันคือความลับในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าอยู่อย่างชัดเจน เห็นแล้วท่านจะนึกถึงอย่างอื่นไปได้อีกไหมนอกจากสัญลักษณ์ของ... DNA



    ......แม้ว่า Anunnaki จะมีวิทยาการที่ก้าวหน้า แต่การสร้างมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขานัก
    ......จารึกของชาวสุเมเรียน กล่าวถึง Anunnaki พี่น้องคู่หนึ่ง(ซึ่งน่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับสูง) คือ Enki กับ Ninharsag ที่ทำการลองผิดลองถูกในการ"ปั้นแต่งมนุษย์" ซึ่งก็นับว่านานพอดูกว่าจะประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ พอที่จะสรุปให้ฟังได้ว่า Anunnaki ได้ดัดแปลง DNA ของลิง Ape อาฟริกันจนได้ผลเป็นที่พอใจของพวกเขาในสถานีงาน(และเหมืองทองขนาดใหญ่)ที่อาฟริกา
    ......แต่นั่นยังไม่ใช่มนุษย์ที่พวกเขาต้องการ ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจริงๆมาเกิดขึ้นที่ดินแดนเมโสโปเตเมีย เป็นบริเวณที่ชาวสุเมเรียนโบราณเรียกกันว่า E.DIN (นี่ก็ตรงกับสวนเอเดนในไบเบิล ที่พระเจ้าของชาวยิวสร้างมนุษย์ขึ้นมาอีกเหมือนกัน) ณ ที่นี้เอง ที่อาดัมและอีฟ ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะโฮโม เซเปี้ยน รุ่นแรกของโลก


    ...... ดาว Nibiru ดวงนี้น่าจะมีขนาดใหญ่และสว่างเจิดจ้ากว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก เนื่องจากในบันทึกของดินแดนเมโสโปเตเมีย ได้กล่าวถึงความเจิดจ้าของมันเอาไว้ว่า สามารถมองเห็นได้แม้เวลากลางวัน ภาพโบราณที่ขุดพบที่เมือง Nippur พิสูจน์ได้ถึงความจริงในข้อนี้ครับ จากภาพด้านล่างจะเห็นได้ว่า เกษตรกรที่กำลังทำกสิกรรมอยู่นั้น มองไปยังดาว Nibiru ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาท (ชาวสุเมเรียนโบราณเรียก Nibiru ว่า Planet of the Cross และแทนมันด้วยสัญลักษณ์กากบาท)



    ......จารึกยังกล่าวต่อไปถึงคำทำนายล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ใกล้โลก ภัยพิบัติเช่นแผ่นดินไหวและน้ำท่วมก็จะตามมา แรงดึงดูดที่ส่งผลต่อโลกย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    ...... ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ชาวฮีบรูว์ก็รู้จักดาวดวงนี้ดี พวกเขาถือว่าการปรากฏของ Nibiru บนท้องฟ้านับเป็นนิมิตแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ของโลก ที่มาของภัยพิบัติทั้งหลายในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ก็น่าจะมีสาเหตุมาจาก Nibiru เมื่อไรก็ตามที่ดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้โคจรเข้ามาเฉียดโลกอีกวาระ เมื่อนั้นคำกล่าวของเอไสยะในพระคัมภีร์ก็จะไม่มีใครกังขาอีกต่อไปว่า คำกล่าวนี้กล่าวถึงกองทัพของพระเจ้าหรือพลานุภาพจากแรงดึงดูดกันแน่



    พระเจ้า-ยานพาหนะอวกาศ หลักฐานจากอารยธรรมโบราณแหล่งต่างๆที่พบในโลก

    ภาพของชาวมายัน วาดแทนพระเจ้า/เทพเจ้าของตน
    ที่ลงมาสั่งสอนวิทยาการ แล้วกลับขึ้นสู่สวรรค์ด้วยพาหนะคล้ายยานอวกาศ





    จารึกติดฝนังวิหารแห่งนึงที่อียิปต์


    อันนี้ก็พบที่โคลัมเบีย อเมริกาใต้ มีอายุมากกว่า 1,000 ปี มีลักษณะเหมือนเครื่องบินเจ็ทปีกเป็นรูปสามเหลี่ยมของยุคปัจจุบัน มีที่นั่งนักบินอยู่ตรงส่วนหัวและมีหางเหมือนเครื่องบิน วัตุเหล่านี้ถูกเรียกว่า oopart




    แม้ว่าชาวอียิปต์ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวกันกับมนุษย์ต่างดาวทางสายเลือดแต่ก็มีบันทึกไว้ว่า ในสมัยของพระเจ้าฟาโรห์ธุสโมซิทที่ 3 ได้มีการพบเห็นสิ่งที่คล้ายกับ UFO โดยถูกบันทึกลงในกระดาษปาปิรัส เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 3,500 ปีก่อน

    ......." ในปีที่ 22 ในเดือน 3 ของฤดูหนาว ในชั่วโมงที่ 6 ของวันบรรดาพระในราชสำนักได้พบเห็นวงล้อไฟผ่านมาทางท้องฟ้า มันไม่มีหัว ลำตัวกว้างและยาว 1 ไม้วัด ( 5 เมตร ) ปากของมันระบายกลิ่นออกมา มันไม่ส่งเสียง และแล้วพระทั้งหลายก็มีจิตใจตื่นตระหนกและงงงวย ต่างพากันนอนเอาท้องราบกับพื้น แล้วรายงานให้ฟาโรห์ทราบ ... หลังจากผ่านไปหลายวันก็ได้เห็นสิ่งเหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้นในท้องฟ้ามากกว่าที่ผ่านมา มันส่องแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์ และขยายไปจนถึงขอบเขตทั้ง 4 ด้านของสวรรค์ วงไฟเหล่านี้ครอบครองอยู่เต็มฟ้า เมื่อไพร่พลของฟาโรห์แหงนมองดูมันทันใดนั้น วงไฟก็ลอยสูงขึ้นไปในท้องฟ้าทางทิศใต้ ปลาและสัตว์ปีกหรือนกต่างก็ร่วงลงมาจากฟ้า เป็นสิ่งประหลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับแต่การก่อตั้งอาณาจักร ฟาโรห์ได้บัญชาให้บันทึกเรื่องทั้งหมดไว้ในบันทึกเหตุการณ์ประจำปีของราชสำนักเพื่อว่ามันจะได้เป็นที่จดจำไปตลอดกาล "

    ที่ออสเตรเลียก็มีภาพวาดโบราณพวกนี้เหมือนกัน
    ถ้ำคิมเบอร์ลี่ มีรูปคือวอร์จิน่า เป็นรูปวาดของชนเผ่าที่เก่าแก่กว่าชาวอะบอริจินส์มาก
    เขาบอกว่านี่คือพระเจ้าของพวกเขา ลงมาจากฟากฟ้ามาสอนให้พวกเขารู้จักวิทยาการต่าง





    อายุ 6,000 ปี ขุดเจอที่เคียฟ (ยุโรปตะวันออก)


    ภาพที่ทะเลทรายซาฮ่าร่า อายุ 8,000 ปี
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย shisaku : 21st October 2013 เมื่อ 21:27


  2. #2
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    108
    กล่าวขอบคุณ
    71
    ได้รับคำขอบคุณ: 18
    มีต่อ tag ผมด้วย 5555555

  3. #3
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Nov 2011
    ที่อยู่
    บ้าน
    กระทู้
    1,703
    กล่าวขอบคุณ
    3,254
    ได้รับคำขอบคุณ: 11,424
    Blog Entries
    1
    พระเจ้าจากอวกาศ


  4. รายชื่อสมาชิกจำนวน 19 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  5. #4
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    1,440
    กล่าวขอบคุณ
    5
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,811
    ฉบับวิดีโอก็ดีนะครับ แต่อันนี้คือสรุปแบบให้กระชับ สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาศึกษา ยังไงถ้าชอบติดตามด้วยนะ

  6. #5
    ★★อ่อนโยน แต่อย่าอ่อนแอ★★
    วันที่สมัคร
    May 2012
    ที่อยู่
    now and now
    กระทู้
    505
    กล่าวขอบคุณ
    1,605
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,869
    ว่างๆจะอ่านนะครับ

  7. #6
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Nov 2011
    กระทู้
    348
    กล่าวขอบคุณ
    253
    ได้รับคำขอบคุณ: 95
    ชอบๆๆๆ ต่อๆๆๆ อ่านๆๆๆๆ

  8. #7
    _SaBasTaiN_
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    ที่อยู่
    _SaBasTaiN_
    กระทู้
    2,733
    กล่าวขอบคุณ
    4,034
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,530
    ชอบอ่านๆๆผมชอบเรื่องหยั่งเงี้ย

  9. #8
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Sep 2012
    ที่อยู่
    NRRUKORAT
    กระทู้
    110
    กล่าวขอบคุณ
    18
    ได้รับคำขอบคุณ: 30
    ว่างเดี๋ยวมาอ่านครับ
    ในตอนที่มนุษย์เผชิญความกลัวถึงขีดสุด มักจะไม่มานั่งคิดเรื่องของคนอื่นหรอก....

  10. #9
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    ที่อยู่
    BKK
    กระทู้
    235
    กล่าวขอบคุณ
    278
    ได้รับคำขอบคุณ: 94
    มันส์ๆชอบครับ

  11. #10
    Travel around the world
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    Chiangmai, Thailand
    กระทู้
    903
    กล่าวขอบคุณ
    1,768
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,078
    Bookmark ไว้เดี๋ยวมาอ่านนะครับ ชอบเรื่องแบบนี้มาก
    ''No god or kings. Only man.'' - Andrew Ryan

  12. #11
    ขอบคุณเป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    Cybertron
    กระทู้
    728
    กล่าวขอบคุณ
    4,250
    ได้รับคำขอบคุณ: 140
    ชอบครับ จะรออ่านต่อครับ

  13. #12
    Stephen Jerm
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    2,025
    กล่าวขอบคุณ
    1,456
    ได้รับคำขอบคุณ: 808
    ในความคิดผมแล้วผมว่าพระเจ้าไม่มีจริงแต่พระเจ้าที่แท้จริงอาจเป็นมนุษย์ต่างดาวซึ่งได้ลงมาบนโลกเมื่อยุคโบราณแล้วและก็โชว์ของวิเศษต่างๆให้เห็นพอคนยุคนั้นเห็นก็คิดว่าเป็นผู้วิเศษลงมาจากฟากฟ้าและก็นับถือให้เป็นพระเจ้าต่อๆกันมา
    ONE FOR ALL AND ALL FOR ONE

  14. #13
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    1,440
    กล่าวขอบคุณ
    5
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,811
    นอนพักเอาแรงก่อนครับ พรุ่งนี้มาต่อใหม่
    .
    .
    .
    อย่าเพิ่งคิดว่ามันจะหมดนะครับ ยังก่อนๆ ยังมีอีกเยอะใหุ้คุณได้เสพ

  15. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  16. #14
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Oct 2013
    กระทู้
    48
    กล่าวขอบคุณ
    2
    ได้รับคำขอบคุณ: 6
    ชอบครับเรื่อง แบบ เนี้ยมันลึกลับดี

  17. #15
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    ที่อยู่
    Thailand
    กระทู้
    479
    กล่าวขอบคุณ
    932
    ได้รับคำขอบคุณ: 660
    อ่านเพลินดีเหมือนกันครับ

  18. #16
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Sep 2012
    กระทู้
    1,092
    กล่าวขอบคุณ
    0
    ได้รับคำขอบคุณ: 699
    ผมไม่ได้ดูถูกความเชื่อนี้นะครับ แต่ผมชอบอ่านบทความพวกนี้เหมือนอ่านนิยายทั่วๆไป ผมเป็นคนๆหนึ่งที่ชื่นชอบวิชาดาราศาสตร์(Astronomy) ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับ อวกาศ ดวงดาวต่างๆ ตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งส่วนตัวผมแล้วนั้นผมจะมีความเชื่อในด้านวิทยาศาสตร์มากกว่าด้านไสยศาสตร์หรือเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าอะไรลึกลับพวกนี้ เพราะอย่างน้อยๆวิทยาศาสตร์ก็สามารถพิสูจน์ความจริงได้บ้างและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้าหากได้ข้อมูลอื่นๆเพิ่มเข้ามา เลยมีความสมเหตุสมผลและดูน่าเชื่อถือ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อก่อนคนเชื่อว่าโลกแบน แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าโลกกลม เป็นต้น วิทยาศาสตร์จึงให้ความน่าเชื่อถือมากกว่า(ในความคิดของผมนะ)
    แต่ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมถึงกล่าวว่า "ดาวNibiru" เป็นดาวลำดับที่ 12 ซึ่งเขานับดวงจันทร์ของโลก(The Moon)เข้าไปด้วย ทำไมเขาถึงให้ความสำคัญกับดวงจันทร์บริวาร(ของโลก)เพียงดวงเดียว ในระบบสุริยะ(Solar System) ดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆมีตั้งมากมาย บางดวงใหญ่กว่าดวงจันทร์ของโลกเสียอีก แต่เขากลับไม่นับ ตรงจุดนี้แหละที่ผมสงสัย
    ปล. หากคุณชื่นชอบเกี่ยวกับดาราศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ คุณเองจะมีลักษณะอุปนิสัยขี้สงสัยแบบไม่รู้ตัวนะครับ (มันเป็นนิสัยทั่วๆไปของนักวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องแปลกใจครับ)
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ILoveJKG : 20th October 2013 เมื่อ 05:53
    [IMG] [/IMG]

  19. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  20. #17
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    May 2012
    กระทู้
    609
    กล่าวขอบคุณ
    166
    ได้รับคำขอบคุณ: 115
    ผมอึ้งตรงที่ อารยธรรม สุเมเรียน รู้จักดาวเคราะห์วงนอกได้ไง ทั้งที่ เทคโนโลยีไม่น่าเจริญถึงขนาดนั้น
    I52400 3.10 Ram 4.00 GTS 450

  21. #18
    欅坂46
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    2,527
    กล่าวขอบคุณ
    62
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,836
    ลงชื่อเดียวกลับมาอ่าน

  22. #19
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    934
    กล่าวขอบคุณ
    421
    ได้รับคำขอบคุณ: 520
    น่าสนใจมากๆ รอติดตามอยู่ครับ

  23. #20
    --- Avril Lavigne ---
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    อยู่ในใจเธอไง >.<
    กระทู้
    817
    กล่าวขอบคุณ
    970
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,034
    ชอบดูสารคดีครับ เพลินดี ^^

  24. #21
    ヾ(@⌒ー⌒@)ノGhibli-Lover( ゚д
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    2,110
    กล่าวขอบคุณ
    9,171
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,214
    ผมเคยอ่านหนังสือนะครับ แต่ก่อนที่ๆอแซกนิวตันจะค้นพบทฤษฎีการโคจรของดาวแบบสมบูรณ์อ่ะ ได้มีนักวิทยาศาสตร์อีกคนคนค้นพบก่อน แต่ไม่สมบูรณ์ก็ได้ใช้ทฤษฎีนี้ค้นหาดาวดวงหนึ่งจนตั้งชื่ออะไรเรียบร้อยแล้ว ต่อมาไอแซกนิวตันก็ค้นพบเลยออกมาโต้แย้งว่าไม่มีจริง ซึ่งดาวดวงนี้เาจจะเป็นดาวนิรุบิก็เป็นด้ายยยยนะครับ

  25. #22
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    กระทู้
    482
    กล่าวขอบคุณ
    2,262
    ได้รับคำขอบคุณ: 56
    เราอาจจะเป็นผุ้มาจากนอกโลกก็ได้ คิดง่ายๆ 555

  26. #23
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Nov 2011
    กระทู้
    348
    กล่าวขอบคุณ
    253
    ได้รับคำขอบคุณ: 95
    ชอบอะ มันน่าคิดมากเลยนะ จู่ๆวิทยาการต่างๆก็เกิดขึ้นมา และการวิวัฒนาการที่ก้าวกระโดด มึนเลย

  27. #24
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Oct 2013
    กระทู้
    529
    กล่าวขอบคุณ
    143
    ได้รับคำขอบคุณ: 195
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ harnibal409 อ่านกระทู้
    ในความคิดผมแล้วผมว่าพระเจ้าไม่มีจริงแต่พระเจ้าที่แท้จริงอาจเป็นมนุษย์ต่างดาวซึ่งได้ลงมาบนโลกเมื่อยุคโบราณแล้วและก็โชว์ของวิเศษต่างๆให้เห็นพอคนยุคนั้นเห็นก็คิดว่าเป็นผู้วิเศษลงมาจากฟากฟ้าและก็นับถือให้เป็นพระเจ้าต่อๆกันมา
    ผมก็มีความคิดแบบเดียวกันเลยคับ

  28. #25
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    216
    กล่าวขอบคุณ
    81
    ได้รับคำขอบคุณ: 52
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ ILoveJKG อ่านกระทู้
    ผมไม่ได้ดูถูกความเชื่อนี้นะครับ แต่ผมชอบอ่านบทความพวกนี้เหมือนอ่านนิยายทั่วๆไป ผมเป็นคนๆหนึ่งที่ชื่นชอบวิชาดาราศาสตร์(Astronomy) ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับ อวกาศ ดวงดาวต่างๆ ตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งส่วนตัวผมแล้วนั้นผมจะมีความเชื่อในด้านวิทยาศาสตร์มากกว่าด้านไสยศาสตร์หรือเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าอะไรลึกลับพวกนี้ เพราะอย่างน้อยๆวิทยาศาสตร์ก็สามารถพิสูจน์ความจริงได้บ้างและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้าหากได้ข้อมูลอื่นๆเพิ่มเข้ามา เลยมีความสมเหตุสมผลและดูน่าเชื่อถือ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อก่อนคนเชื่อว่าโลกแบน แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าโลกกลม เป็นต้น วิทยาศาสตร์จึงให้ความน่าเชื่อถือมากกว่า(ในความคิดของผมนะ)
    แต่ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมถึงกล่าวว่า "ดาวNibiru" เป็นดาวลำดับที่ 12 ซึ่งเขานับดวงจันทร์ของโลก(The Moon)เข้าไปด้วย ทำไมเขาถึงให้ความสำคัญกับดวงจันทร์บริวาร(ของโลก)เพียงดวงเดียว ในระบบสุริยะ(Solar System) ดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆมีตั้งมากมาย บางดวงใหญ่กว่าดวงจันทร์ของโลกเสียอีก แต่เขากลับไม่นับ ตรงจุดนี้แหละที่ผมสงสัย
    ปล. หากคุณชื่นชอบเกี่ยวกับดาราศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ คุณเองจะมีลักษณะอุปนิสัยขี้สงสัยแบบไม่รู้ตัวนะครับ (มันเป็นนิสัยทั่วๆไปของนักวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องแปลกใจครับ)
    สมัยนั้นมีดวงจันทร์ดวงเดียวมั้งครับ


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top