ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

กำลังแสดงผล 1 ถึง 7 จากทั้งหมด 7
  1. #1
    ถูกระงับใช้งาน (Banned)
    วันที่สมัคร
    Apr 2014
    กระทู้
    1,946
    กล่าวขอบคุณ
    163
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,821
    Blog Entries
    6

    Post (สาระแห่งประวัติศาตร์แผ่นดินไทย) ....ค่ายบางระจันแตกเพราะอะไร?



    ....ค่ายบางระจันแตกเพราะอะไร?



    .เรื่องราวอันเป็นวีรกรรมของชาวบ้านบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เกิดขึ้นนานนับร้อยปีล่วงมาแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนั้น เป็นที่เล่าขานกันต่อมาตราบจนทุกวันนี้ มันเป็นสงครามที่ลงเอยด้วยความตาย ไม่มีชาวบางระจันรอดชีวิตจากสงครามในครั้งนั้นแม้แต่คนเดียว
    แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นที่ค้างคาใจคนไทยรุ่นหลังๆ ก็คือ ทำไมกรุงศรีอยุธยาจึงไม่ให้ปืนใหญ่ชาวบ้านบางระจัน ?
    ก่อนอื่นเราต้องไม่ลืมว่า สมัยนั้นคำว่า "ชาติไทย" ยังไม่มี กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวงก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า หัวเมืองต่างๆ จะต้องเชื่อฟัง คำสั่งของพระเจ้าแผ่นดินเสมอไป รวมทั้งชาวบ้านบางระจันก็ไม่ได้ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน
    การใช้ชีวิตของชาวบ้านบางระจันเป็นไปอย่างอิสระ ผู้ชายไม่ได้สนใจเรื่องที่จะไปเป็นทหารอยู่ในวังหลวงเสียด้วยซ้ำไป ภาษีหรือที่เรียกว่า จังกอบ ..........ชาวบ้านบางระจันก็ไม่ได้นำส่งเข้าเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้ทำให้กรุงศรีอยุธยามีความไม่พอใจชาวบ้านบางระจัน
    เมื่อเกิดสงครามระหว่างชาวบ้านบางระจันกับฝ่ายพม่า กรุงศรีอยุธยาจึงไม่ส่งกำลังทหารมาช่วย รวมไปถึงปืนใหญ่ที่ชาวบางระจันขอมา กรุงศรีอยุธยาก็ไม่ให้ไป โดยอ้างเหตุผลว่า กลัวฝ่ายทหารพม่าจะดักปล้นระหว่างทาง
    นักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องราวของชาวบ้านบางระจัน ต่างมีความเห็นตรงกันว่า แท้จริงแล้ว การที่กรุงศรีอยุธยาไม่ให้ปืนใหญ่ไปนั้น เกิดจากความไม่แน่ใจว่า สงครามที่เกิดขึ้นในภายภาคหน้า





    ชาวบ้านบางระจันจะอยู่ข้างฝ่ายใด หากชาวบางระจันไปเข้ากับฝ่ายพม่า ก็จะเท่ากับเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับฝ่ายศัตรู
    ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท ทางกรุงศรีอยุธยาจึงไม่ให้ปืนใหญ่กับชาวบ้านบางระจัน จนทำให้เกิดเหตุการณ์วิปโยคไปทั้งหมู่บ้าน ส่งผลให้กรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชในเวลาต่อมา ไม่มีตัวเลขยืนยันว่า ชาวบ้านบางระจันเสียชีวิตไปกี่คน แต่สิ่งที่เชื่อถือได้อย่างแน่นอนก็คือ ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตจากสงครามในครั้งนั้นแม้แต่คนเดียว
    ...........ขอนำท่านย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งตรงกับในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พระเจ้าบรมโกศ) เมื่อพระองค์ทรงเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2301 ทรงมอบราชสมบัติให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (กรมขุนพรพินิต) ครองราชสมบัติเป็นเวลา 10 วัน แล้วทรงถวายราชสมบัติแก่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี พระเชษฐาธิราช ส่วนพระองค์เสด็จออกทรงผนวช ณ วัดเดิม แล้วประทับอยู่ ณ วัดประดู่
    เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี ได้กระทำพิธีราชาภิเษกแล้ว ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 หรือเรียกกันว่า สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์ หรือสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศมิได้ทรงพระปรีชาสามารถในการปกครอง สมเด็จพระราชบิดาจึงไม่ยอมมอบราชสมบัติให้ เมื่อพระองค์ได้เถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ดังนี้จึงทำให้เกิดความระส่ำระสายในหมู่เจ้านายและข้าราชการทั้งปวง
    พระเจ้าอลองพญามังลอง และมังระราชบุตร ยกกองทัพมาตีเมืองทวาย มะริดและตะนาวศรี ซึ่งเป็นของไทย สมเด็จพระเจ้าเอกทัศโปรดให้กองทัพไทยยกออกไปป้องกันถึง 3 ทัพ แต่ก็พ่ายแพ้พม่ากลับพระนครทุกครั้ง พม่าสามารถยกเข้ามาถึงชานกรุงศรีอยุธยา ใช้ปืนใหญ่ระดมยิงพระราชวัง เผอิญพระเจ้าอลองพญาถูกราชปืนแตกต้องพระองค์ประชวร ในวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 1 ปีมะโรง พ.ศ. 2303 พอถึงตำบลเมาะกะโลก นอกด่านเมืองตาก พระเจ้าอลองพญาก็สวรรคต
    ...........ต่อมาใน พ.ศ. 2307 พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่า ขึ้นครองราชย์ต่อจากมังลองพระเชษฐาใน พ.ศ. 2306 คิดจะตีกรุงศรีอยุธยาอีก กองทัพของมังมหานรธาตีได้เมืองทวายแล้ว จึงยกมาตีเมืองมะริด เมืองตะนาวศรีของไทยด้วย มังมหานรธาส่งทัพหน้าเข้ามาทางกาญจนบุรีในเดือน 7 ปะทะกับทัพพระพิเรนทรเทพ ทัพไทยแตกพ่าย สงครามครั้งนี้ไทยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พม่ายึดได้เมืองต่างๆหลายเมือง
    ในเดือน 3 ปีระกา พ.ศ. 2308 พวกชาวเมืองวิเศษชัยชาญ เมืองสิงห์บถรี เมืองสรรค์บุรี จึงพากันคิดอุบายล่อลวงพม่า นายโชติก็คุมสมัครพรรคพวกเข้าฆ่าฟันพม่าตายประมาณ 20 เศษ แล้วพาพรรคพวกครอบครัวทั้งปวงหนีมาพึ่งพระอาจารย์ธรรมโชติ วัดเขานางบวช ซึ่งมาอยู่วัดโพธิ์เก้าต้นบ้านบางระจัน เนื่องจากพระอาจารย์ธรรมโชติมีกิตติศัพท์ว่ามีคุณความรู้ดี เชี่ยวชาญทางวิทยาคมมาก
    พระอาจารย์ธรรมโชติได้ลงตะกรุดประเจียดมงคลแจกชาวค่าย สำหรับป้องกันตัวและเป็นกำลังใจนอกจากนี้ยังมีคนไทยชั้นหัวหน้าที่เข้ามาร่วมด้วยอีก 5 คน คือ ขุนสรรค์ พันเรือง นายทองเหม็น นายจันหนวดเขี้ยว และนายทองแสงใหญ่ รวมหัวหน้าที่สำคัญของค่ายบางระจันครั้งนั้น 11 คน ท่านเหล่านี้รวมทั้งชาวบ้านอื่นๆ ได้รบสู้กับทัพพม่าถึง 8 ครั้ง
    ...........การรบครั้งที่ 1 ทหารพม่าที่เมืองวิเศษชัยชาญยกพลประมาณ 100 เศษมาตามจับพันเรือง เมื่อถึงบ้านบางระจัน ก็หยุดอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำ (บางระจัน) นายแท่นจัดคนให้รักษาค่าย แล้วนำคนสองร้อยข้ามน้ำไปรบกับพม่า ทหารพม่าไม่ทันรู้ตัวยิงปืนได้เพียงนัดเดียว ชาวไทยซึ่งมีอาวุธสั้นทั้งนั้นก็กรูเข้าไล่ฟันแทงพม่าถึงขั้นตะลุมบอลพลทหารพม่าล้มตายหมด
    ...........การรบครั้งที่ 2 เนเมียยวสีหบดีจึงแต่งให้งาจุนหวุ่น คุมพล 500 มาตีค่ายบางระจัน นายแท่นก็ยกพลออกรับ ตีทัพพม่าแตกพ่ายล้มตายเป็นอันมาก
    ...........การรบครั้งที่ 3 เนเมียวสีหบดีเห็นว่าจะประมาทกำลังของชาวบ้านบางระจันต่อไปอีกไม่ได้ จึงเกณฑ์เพิ่มขึ้นอีกเป็น 900 คน ครั้งนี้ชาวบ้านบางระจันมีชัยชนะอีกครั้ง
    ...........การรบครั้งที่ 4 ทัพไทยทั้งสามยกไปตั้งที่คลองสะตือสี่ต้น ฝ่ายไทยชำนาญภูมิประเทศกว่า ตัวสุรินทร์จอข่องนายทัพพม่า ถูกพลทหารไทยวิ่งเข้าไปฟันตาย ณ ที่นั้น
    ...........การรบครั้งที่ 5 แยจออากาเป็นนายทัพ คุมทหารซึ่งเกณฑ์แบ่งมาจากทุกค่ายประมาณ 1,000 เศษ พร้อมด้วยม้าและอาวุธต่างๆ แต่ก็ปราชัยชาวบ้านบางระจัน
    ...........การรับครั้งที่ 6 นายทัพพม่าครั้งที่ 6 คือ จิกแก ปลัดเมืองทวาย คุมพล 100 เศษ ฝ่ายไทยมีชัยชนะอีกเช่นเคย
    ...........การรบครั้งที่ 7 เนเมียวสีหบดีให้อากาปันคยีเป็นแม่ทัพคุมพล 1,000 เศษ ทหารไทยใช้การรบแบบจู่โจม พม่ายังไม่ทันตั้งค่ายเสร็จก็ถูกโจมตีทางหลังค่าย พม่าแพ้อีกครั้ง
    การรบครั้งที่ 8 ในครั้งนั้นมีชาวรามัญผู้หนึ่งเคยอยู่เมืองไทยมานาน รู้จักนิสัยคนไทยและภูมิประเทศดี ได้เข้าฝากตัวทำราชการอยู่กับพม่าจนได้รับตำแหน่งสุกี้หรือพระนายกอง ดำเนินกลศึกอย่างชาญฉลาด ในที่สุดพม่าก็สามารถตีค่ายใหญ่บางระจันได้ ในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309 รวมเวลาที่ไทยรับกับพม่าตั้งแต่เดือน 4 ปลายปีระกา พ.ศ. 2308 ถึงเดิน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309 เป็นเวลาทั้ง 5 เดือน
    ในเวลานี้ภายในบริเวณวัดโพธิ์เก้าต้น ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสมรภูมิรบเมื่อครั้งอดีต ได้มีการจัดสร้างกำแพงโดยรอบ เพื่อเป็นการรื้อฟื้นบรรยากาศเก่าๆ สมัยเมื่อครั้งอดีต ที่ชาวบ้านบางระจันทำสงครามกับฝ่ายพม่า คุณอ๊อด พลรักษ์ ............ช่างคนหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า ในขณะที่เขากำลังทาสีกำแพงรั้วอยู่นั้น เขารู้สึกหน้ามืดหมดสติ ก่อนที่ร่างของเขาจะล่วงตกลงมา เขามีความรู้สึกว่ามีมือที่ทรงพลังมาดันหลังของเขาเอาไว้
    "ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ มือนั้นมีพลังมาก ซึ่งไม่ใช่พวกเพื่อนๆ ผม พวกเขาไปกินข้าวกันหมด มีผมเพียงคนเดียวที่ยังไม่หิว ผมจึงทาสีกำแพงรั้วไปเรื่อยๆ ความสูงจากรั้วถึงพื้นดิน ราวๆ 10 เมตรเห็นจะได้ ถ้าตกลงมาก็เจ็บหนักละครับ ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผม จะต้องเกี่ยวพันกับอำนาจบางอย่างที่มีอยู่ในบริเวณวัดแห่งนี้"




    เรื่องราวแปลกๆ ภายในบริเวณวัดโพธิ์เก้าต้น มักจะปรากฏให้คนทั่วไปได้ประจักษ์อยู่เสมอ ประหนึ่งจะบอกให้รู้ว่า ณ สถานที่แห่งนี้ ยังมีดวงวิญญาณของเหล่านักรบกล้า สิงสถิตอยู่จนชั่วนิจนิรันดร์





    เพื่อให้ได้อตรรรสในการอ่าน ควรเปิดคลิปนี้ก่อนที่จะลงมืออ่าน และท่านจะทราบซึ้งไปกับวีรชนผุ้กล้าหาญ แห่ง หมุ่บ้านค่าย ระจัน จังหวัด สิงห์บุรี ที่มิอยากตกเป็นเเชลย ของ อ้าย พม่า จึงจำเป็นที่ต้องลุกขึ้นสุ้ แม้ว่า พวกเขามิอาจจะมีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ONE OK ROCK : 1st February 2015 เมื่อ 03:47

  2. รายชื่อสมาชิกจำนวน 6 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    ถูกระงับใช้งาน (Banned)
    วันที่สมัคร
    Apr 2014
    กระทู้
    1,946
    กล่าวขอบคุณ
    163
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,821
    Blog Entries
    6
    พระเจ้าตากสิน,พระนเรศวร,บางระจัน 3 ศึกใดในครานี้เกิดก่อน ผุ้ใดกอบกู้เอกราชสู่ผืนแผ่นดินสยาม???





    1 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เริ่มกอบกู้เอกราช สุ่แผ่นดิน เมื่อปี

    -พ.ศ.๒๑๑๓ สงครามอยุธยาเขมร
    -พ.ศ.๒๑๒๑ รบเขมรที่ไชยบาดาล
    -พ.ศ.๒๑๒๖ ประกาศอิสรภาพ
    -พ.ศ.๒๑๒๗ รบกับพระยาพะสิม
    -พ.ศ.๒๑๒๘ รบกับพระเจ้าเชียงใหม่ที่บ้านนายสระเกศ
    -พ.ศ.๒๑๓๓ พระมหาอุปราชายกทัพมาครั้งแรก
    -พ.ศ.๒๑๓๕ สงครามยุทธหัตถี
    -พ.ศ.๒๑๓๖ ปราบปรามเขมรและฟื้นฟูหัวเมืองเหนือ
    -พ.ศ.๒๑๓๗ ตีได้หัวเมืองมอญ
    -พ.ศ.๒๑๓๙ ตีเมืองหงสาวดีครั้งแรก
    -พ.ศ.๒๑๔๒ ตีเมืองหงสาวดีครั้งที่สอง
    -พ.ศ.๒๑๔๘ สวรรคต


    2 ศึกการรบหมู่บ้านบางระจันเมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๘-๒๓๐๙ รวมทั้งสิ้นเป็นเวลา 5 เดือนหลัง จากพม่าบุกโจมตี จน ค่าย ระจัน พ่ายแตกสิ้น


    การรบครั้งที่ 1 ทหารพม่าที่เมืองวิเศษชัยชาญยกพลประมาณ 100 เศษมาตามจับพันเรือง เมื่อถึงบ้านบางระจัน ก็หยุดอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำ (บางระจัน) นายแท่นจัดคนให้รักษาค่าย แล้วนำคนสองร้อยข้ามน้ำไปรบกับพม่า ทหารพม่าไม่ทันรู้ตัวยิงปืนได้เพียงนัดเดียว ชาวไทยซึ่งมีอาวุธสั้นทั้งนั้นก็กรูเข้าไล่ฟันแทงพม่าถึงขั้นตะลุมบอลพลทหารพม่าล้มตายหมด
    ...........การรบครั้งที่ 2 เนเมียยวสีหบดีจึงแต่งให้งาจุนหวุ่น คุมพล 500 มาตีค่ายบางระจัน นายแท่นก็ยกพลออกรับ ตีทัพพม่าแตกพ่ายล้มตายเป็นอันมาก
    ...........การรบครั้งที่ 3 เนเมียวสีหบดีเห็นว่าจะประมาทกำลังของชาวบ้านบางระจันต่อไปอีกไม่ได้ จึงเกณฑ์เพิ่มขึ้นอีกเป็น 900 คน ครั้งนี้ชาวบ้านบางระจันมีชัยชนะอีกครั้ง
    ...........การรบครั้งที่ 4 ทัพไทยทั้งสามยกไปตั้งที่คลองสะตือสี่ต้น ฝ่ายไทยชำนาญภูมิประเทศกว่า ตัวสุรินทร์จอข่องนายทัพพม่า ถูกพลทหารไทยวิ่งเข้าไปฟันตาย ณ ที่นั้น
    ...........การรบครั้งที่ 5 แยจออากาเป็นนายทัพ คุมทหารซึ่งเกณฑ์แบ่งมาจากทุกค่ายประมาณ 1,000 เศษ พร้อมด้วยม้าและอาวุธต่างๆ แต่ก็ปราชัยชาวบ้านบางระจัน
    ...........การรับครั้งที่ 6 นายทัพพม่าครั้งที่ 6 คือ จิกแก ปลัดเมืองทวาย คุมพล 100 เศษ ฝ่ายไทยมีชัยชนะอีกเช่นเคย
    ...........การรบครั้งที่ 7 เนเมียวสีหบดีให้อากาปันคยีเป็นแม่ทัพคุมพล 1,000 เศษ ทหารไทยใช้การรบแบบจู่โจม พม่ายังไม่ทันตั้งค่ายเสร็จก็ถูกโจมตีทางหลังค่าย พม่าแพ้อีกครั้ง
    การรบครั้งที่ 8 ในครั้งนั้นมีชาวรามัญผู้หนึ่งเคยอยู่เมืองไทยมานาน รู้จักนิสัยคนไทยและภูมิประเทศดี ได้เข้าฝากตัวทำราชการอยู่กับพม่าจนได้รับตำแหน่งสุกี้หรือพระนายกอง ดำเนินกลศึกอย่างชาญฉลาด ในที่สุดพม่าก็สามารถตีค่ายใหญ่บางระจันได้ ในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309 รวมเวลาที่ไทยรับกับพม่าตั้งแต่เดือน 4 ปลายปีระกา พ.ศ. 2308 ถึงเดิน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309 เป็นเวลาทั้ง 5 เดือน





    3.สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช




    -พ.ศ.๒๓๑๐ สงครามครั้งที่ 1 รบพม่าที่บางกุ้ง
    -พ.ศ.๒๓๑๓ สงครามครั้งที่ 2 พม่าตีเมืองสวรรคโลก
    -พ.ศ.๒๓๑๓-๒๓๑๔ สงครามครั้งที่ 3 ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก
    -พ.ศ.๒๓๑๕ สงครามครั้งที่ 4 พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ 1
    -พ.ศ.๒๓๑๖ สงครามครั้งที่ 5 พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ 2
    -พ.ศ.๒๓๑๗ สงครามครั้งที่ 6 ไทยตีเมืองเชียงใหม่ ครั้งที่ 2
    -พ.ศ.๒๓๑๗ สงครามครั้งที่ 7 รบพม่าที่บางแก้วเมืองราชบุรี
    -พ.ศ.๒๓๑๘ สงครามครั้งที่ 8 อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ
    -พ.ศ.๒๓๑๙ สงครามครั้งที่ 9 พม่าตีเมืองเชียงใหม่
    -พ.ศ.๒๓๑๑ การสงครามเพื่อรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น
    -พ.ศ. ๒๓๒๒ การสงครามเพื่อขยายพระราชอาณาเขตไปยังหลวงพระบางและเวียงจันทน์
    -พ.ศ.๒๓๒๔ การขยายพระราชอาณาเขตไปยังกัมพูชา
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ONE OK ROCK : 1st February 2015 เมื่อ 06:27

  4. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  5. #3
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    1,810
    กล่าวขอบคุณ
    282
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,736
    ลองนึกถึงข้อเท็จจริงของระบอบจตุสดมภ์ในสมัยนั้นแล้วประวัติศาสตร์อาจจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยก็ได้
    รอวันโดนแบน

  6. #4
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    829
    กล่าวขอบคุณ
    975
    ได้รับคำขอบคุณ: 908
    ทำไมผมนึกถึง 300 แฮะ

  7. #5
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Dec 2011
    กระทู้
    1,311
    กล่าวขอบคุณ
    445
    ได้รับคำขอบคุณ: 656
    Blog Entries
    1
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ pug1 อ่านกระทู้
    ทำไมผมนึกถึง 300 แฮะ
    นั่นสิครับ

  8. #6
    ~ Scandal ~
    วันที่สมัคร
    Oct 2013
    ที่อยู่
    Nakhon Si Thammarat
    กระทู้
    1,287
    กล่าวขอบคุณ
    738
    ได้รับคำขอบคุณ: 530
    อ่านประวัติศาสตร์ไทยคงไม่ได้อย่างเดียวครับ ต้องอ่านประวัติศาสตร์พม่ามาประกอบด้วย เพราะว่าประวัติศาสตร์ไทยบางอย่างถูกเขียนขึ้นใหม่ก็มาก
    อย่างเช่น สาเหตุการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ไทยเขียนว่า เกิดจากกองทัพไทยอ่อนแอ พระเจ้าเอกทัศน์ทรงอ่อนแอ กรุงจึงแตก

    แต่ในประวัติศาสตร์พม่ากลับเขียนว่า กองทัพไทยในกรุงศรีอยุธยามีความเข้าแข็งกว่าในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชหลายเท่า
    กษัตริย์ไทยมีความเข้มแข็ง ส่วนเหตุกรุงแตกนั้นพม่าเขียนว่าเพราะเกิดจากการที่พม่าเตรียมตัวรบมาอย่างดีเลยชนะ
    [IMG][/IMG]

  9. #7
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Dec 2011
    กระทู้
    1,311
    กล่าวขอบคุณ
    445
    ได้รับคำขอบคุณ: 656
    Blog Entries
    1
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ nunt77 อ่านกระทู้
    อ่านประวัติศาสตร์ไทยคงไม่ได้อย่างเดียวครับ ต้องอ่านประวัติศาสตร์พม่ามาประกอบด้วย เพราะว่าประวัติศาสตร์ไทยบางอย่างถูกเขียนขึ้นใหม่ก็มาก
    อย่างเช่น สาเหตุการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ไทยเขียนว่า เกิดจากกองทัพไทยอ่อนแอ พระเจ้าเอกทัศน์ทรงอ่อนแอ กรุงจึงแตก

    แต่ในประวัติศาสตร์พม่ากลับเขียนว่า กองทัพไทยในกรุงศรีอยุธยามีความเข้าแข็งกว่าในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชหลายเท่า
    กษัตริย์ไทยมีความเข้มแข็ง ส่วนเหตุกรุงแตกนั้นพม่าเขียนว่าเพราะเกิดจากการที่พม่าเตรียมตัวรบมาอย่างดีเลยชนะ
    อันนี้ที่บอกว่ากองทัพไทยอ่อนแอ เป็นเรื่องจริงครับ ถามว่าจริงยังไงก็พระเจ้าเอกทัศน์ทรงทำการสงครามไม่เป็นครับ สั่งประหารขุนศึกเก่งๆไปมากมายเพียงเพราะไม่ทำตามคำสังตน

    พระเจ้าตากสินเองก็เคยเกือบโดนประหารมาแล้ว ว่ากันว่านี่เป็นหนึงในเหตุการที่ทำให้พระเจ้าตากสินตัดสินใจตีฝ่าวงล้อมพม่าเพื่อออกไปรวมกองกำลังใหม่
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ASSASSIN S : 1st February 2015 เมื่อ 20:39


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top