ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

กำลังแสดงผล 1 ถึง 8 จากทั้งหมด 8
  1. #1
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1

    Bad ∞ End ∞ Night

    Bad ∞ End ∞ Night เป็นนิยายที่ถูกทำขึ้นจากเพลงของ Hitoshizuku-P ซึ่งผมได้นำนิยายที่เขาแต่งมาจากเพลงของเขามาแปลเป็นนิยายอีกทีครับ (นิยายแปล) โดยจะมาจาก 4 เพลงนี้ครับ (Bad ∞ End ∞ Night, Crazy ∞ nighT, Twilight ∞ nighT, Ever ∞ Lasting ∞ Night)

    http://my.dek-d.com/yuukuriuddo39/wr...php?id=1330546

    เรื่องย่อ

    เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ 8 ตัวละครที่ติดอยู่ในบทละครที่เล่นวนลูปซ้ำไปซ้ำมา พวกเขาจึงต้องหาทางออกให้เจอ หรือไม่งั้นพวกเขาก็จะพบกับ Bad ∞ End ∞ Night

    แนะนำตัวละคร



    มิคุ นักแสดงหน้าใหม่ในบริษัทบัวร์เล็ต เธอถูกเลือกให้เป็นนางเอกในละคร Crazy ∞ nighT หลังจากการคัดเลือก

    ริน ฝาแฝดสาวของเลน เธอมีแฟนคลับเยอะมาก เป็นตัวอย่างที่ดีในบริษัทบัวร์เล็ต

    เลน ฝาแฝดชายของริน มีนิสัยค่อนข้างขี้อายแต่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีเช่นเดียวกับริน ส่วนใหญ่แฟนคลับของเขาจะเป็นผู้ชายที่ร่ำรวย

    ไคโตะ ผู้นำการแสดงในบริษัทบัวร์เล็ต เขาเป็นทั้งนักแสดงและผู้กำกับการแสดง

    เมย์โกะ นักแสดงหญิงของบริษัทบัวร์เล็ต เธอเป็นที่รู้จักในนักแสดงที่เปรี้ยว แม่นยำ และประณีต

    ลูกะ นักแสดงดาวเด่นของบริษัทบัวร์เล็ต เธอทำงานเป็นโมเดล และมีความสวยที่มากเกินกว่าจะบรรยาย

    กุมิ นักแสดงหญิงของบริษัทบัวร์เล็ตที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย

    กาคุ นักแสดงชายของบริษัทบัวร์เล็ต แถมยังเป็นชาวนาด้วย เขามีบุคลิกที่ขยันและอ่อนโยน

    ศัพท์ในเรื่องนี้

    Crazy ∞ nighT บทละครของบัวร์เล็ตที่สูญหายไปที่เหลือไว้เพียงแค่หัวข้อ ถูกค้นพบในห้องใต้ดินของบริษัทบัวร์เล็ต

    หมู่บ้านซาครี เป็นหมู่บ้านเกิดของมิคุและคุณนายบัวร์เล็ต

    คุณนายบัวร์เล็ต เป็นนักเขียนบทละครเวทีที่โด่งดังมาก เขาเป็นคนที่ประณีตมากและต้องการแค่ความสมบูรณ์แบบเท่านั้น มีคำคมประจำตัว “ใครก็ตามที่ ‘ดูหมิ่น’ บทละครของบัวร์เล็ตจะต้องตายอย่างน่าเวทนา”

    บริษัทบัวร์เล็ต กลุ่มนักแสดงที่จัดตั้งโดยคุณนายบัวร์เล็ต แต่ก่อนเคยรุ่งเรืองมากแต่หลังจากนั้นบริษัทก็เข้าสู่ช่วงขาลง

    สารบัญ


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 11th April 2015 เมื่อ 17:49

  2. #2
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    บทนำ: ค่ำคืนอันมืดมิด

    ปัง!

    เสียงเปิดประตูดังขึ้นจากแรงเหวี่ยงสองมือของเด็กสาว จากนั้นผู้คนที่อยู่ในห้องเกือบสิบคนก็หันมาจับจ้องที่เด็กสาวคนนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน คนนึงกำลังถือขวดไวน์และแก้วไวน์อยู่ คนนึงกำลังบอกเล่าบางสิ่งบางอย่างกับเพื่อนของเขาอย่างมีอรรถรส คนนึงกำลังฟังคำบอกเล่าจากเพื่อนของเขาอย่างน่าเบื่อหน่าย คนนึงกำลังร้องเพลง คนนึงกำลังเต้น คนนึงกำลังรินไวน์ลงในแก้วของตัวเอง และอีกคนก็กำลังเล่นปาเป้าข้างๆโต๊ะกินข้าวใกล้ๆกับอีกหกคนที่เหลือ

    คนที่กำลังถือขวดและแก้วไวน์อยู่สังเกตเห็นเด็กสาวคนนั้นจึงวางอุปกรณ์ลงและเดินไปต้อนรับ ในขณะที่อีกหกคนในห้องก็ทำเช่นเดียวกัน

    “ฮุฮิๆๆ น่ารักจังนะ ดูเหมือนเรามีแขกเพิ่มอีกคนแล้วล่ะ~ เป็นนางเอกซะด้วยสิ” ชายที่ถือขวดไวน์กล่าวทักทาย จากนั้นเขาก็รินไวน์ลงในแก้วใบนึงที่ยังว่างอยู่ กลิ่นและความงดงามของไวน์แก้วนั้นชักชวนให้เธอเข้ามาในแมนชั่นได้เป็นอย่างดี ชายคนนั้นกล่าวต่อแล้วยิ้ม “จะบอกว่าเธอมาสายนะ~ แต่ช่างเถอะ มาสนุกกัน!”

    แก้วไวน์ที่เด็กสาวคนนั้นได้รับมีสีแดงสดสว่างใส เธอเดินเข้าไปหยิบมันแล้วยกมันขึ้นส่องทาบกับแสงไฟบนเพดาน จากนั้นเธอก็เขย่าแก้วอย่างเบาๆ แต่ทว่าสายตาเกือบสิบคู่ที่ได้จับจ้องมาที่เธอก็เริ่มทำให้เธอใจสั่นเล็กน้อย เธอปิดตาอย่างรวดเร็วจากนั้นก็กลืนไวน์ทั้งแก้วจดหมดลงภายในพริบตา

    “นี่” ชายคนนั้นหันไปหาคนอื่นๆ “จะยืนเฉยกันทำไม มีแขกใหม่มาก็ต้องสังสรรค์เพิ่มสิ”

    ชายคนนึงที่มีลักษณะคล้ายผู้นำจ้องมองแก้วไวน์ของเด็กสาวที่หมดลงแล้ว จากนั้นเขาก็บอกกับเด็กสาว “พูดอะไรสักหน่อยสิ พี่ไม่เห็นเธอพูดอะไรเลยตั้งแต่เข้ามาในนี้แล้ว”

    ทุกๆคนต่างก็ยังจับจ้องไปที่เด็กสาวอย่างไม่ลดละ

    “พวกพี่... จะไม่บอกความจริงกับหนูเลยหรอ” เด็กสาวคนนั้นพูดออกมา

    “ความจริง?” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ยิ้มเล็กน้อย ม่านตาของเขาขยายออกและทำตาปริบๆสองถึงสามครั้ง “ความจริงอะไร?”

    “จดหมายนี้...” เธอหยิบซองจดหมายออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “มันจะบอกความจริงกับทุกคน ความจริงที่ทุกคนต้องรู้”

    ทุกคนในห้องต่างก็จ้องไปที่จดหมายฉบับนั้นและตัวเด็กสาวเอง ทุกๆคนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอารมณ์หรือลักษณะท่าทางใดๆเลย ไม่แม้จะกระพริบตาหรือหายใจ... ความนิ่งเงียบนั้นทำให้คนหลายๆคนอยากรู้ว่าตัวเด็กสาวนั้นจะทำอะไรต่อไป

    “บอกฉันทีสิ” หญิงสาวคนนึงที่ดูมีฐานะหน่อยเดินเข้ามาใกล้ “เธอหมายถึงอะไร ‘ความจริง’ ที่ว่าน่ะ?”

    “มันเกี่ยวกับพวกเรานะ” เด็กสาวพร่ำต่อ “ทำให้บทกลายเป็นการแสดง”

    “แล้วไง? แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นหรอ?” หญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) เซ้าซี้

    “อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า~ ถ้าอยากรู้ละก็มันอยู่ในจดหมายนี้แหละ”

    เด็กสาวเหลือบตามองไปที่จดหมายสีขาวที่เธอชูขึ้นมาเหนือหัว ก่อนที่จะถูกขัดโดยชายที่นั่งอยู่

    “เธอไปเอามาจากไหนกันล่ะ?” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ถาม

    “มันอยู่บนเวทีน่ะ...”

    “ถ้างั้น... มันเขียนอะไรไว้ล่ะ? ขอพี่ดูหน่อยสิ” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ลุกขึ้นมาและเข้ามาใกล้เด็กสาว

    “หนูว่าพวกพี่ๆน่ะน่าจะรู้กันดีหมดแล้วนะ หนูไม่ต้องให้พี่ดูหรอก เพราะถ้าสิ่งที่เขียนในจดหมายนี้มันจริงละก็ มันจะไม่เป็นการ ‘ดูหมิ่น’ เขาหรอกหรอ?” เด็กสาวหันหน้าไปหาทุกคน

    “!”

    “ดูหมิ่น... ‘เขา’ หรอ เขาไหนกันล่ะ? อย่าบอกนะว่า...” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) เริ่มแสดงอาการตกใจเล็กน้อย

    เป็นอย่างที่เธอคาดไว้จริงๆ เมื่อเธอพูดคำว่า “ดูหมิ่น” ออกมา ทุกคนก็แสดงอารมณ์ที่แตกต่างกันไปอย่างเห็นได้ชัด เธอเอามือปิดปากตัวเอง นำมืออีกข้างมาก่ายหน้าผากและมองไปที่เพดาน

    “มะ... มันเป็นจริงสินะ... หนูรู้สึก... ผิดมากเลย... และทำไม...”

    มีหลายครั้งที่เด็กสาวคนนั้นอยากจะถามคำถามกับผู้คนเหล่านั้น แต่เธอก็แปลกใจที่เธอกลับพูดตะกุกตะกักจนไม่สามารถจบประโยคตนเองได้เสียที แต่หลังจากนั้นไม่นานชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ก็เปิดปาก

    “มันเกิดขึ้นไปแล้วล่ะ... หนูต้องเข้าใจด้วยนะ เรา...”

    “หนูไม่อยากฟังคำแก้ตัว! แต่ไม่เป็นไรหรอก... หนูว่ามันยังไม่สายเกินไป แต่พี่ๆต้องประกาศความจริงในจดหมายนี้ให้คนอื่นได้รู้นะ ถ้าพี่ทำตอนนี้เลย หนูว่ายังมีเวลานะ... หนูว่านะ... ไม่สิ! หนูมั่นใจเลยว่า...”

    “เดี๋ยวสิ!” หญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) กล่าวตัดพ้อ “เธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่! ถ้าพวกพี่นำจดหมายนี้ไปเผยแพร่แล้ว พวกเราและคณะของเราก็จะถูกยุบเลยนะ!”

    “ใครมันจะกล้าดีเขียนจดหมายแบบนี้กัน ก็คงจะเป็นหนึ่งในพวกเราในนี้แหละใช่มั้ย” เด็กชายคนหนึ่งซึ่งนั่งดูเหตุการณ์ที่โซฟาอยู่เป็นเวลานานแล้วได้เอ่ยขึ้น ทำเอาบรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ เด็กชายนั่งมองหาผู้กระทำผิด แต่ไม่มีใครสารภาพออกมา สุดท้ายแล้วหญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) ก็พูดต่อจากประโยคที่เธอทิ้งไว้

    “นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก! ประเด็นก็คือพวกเราน่ะ ต้องไม่ให้จดหมายนี้ถูกเผยแพร่อย่างเด็ดขาดเลยเข้าใจไหม?”

    “ใช่!” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) เสริมหญิงสาว “ถ้าเธอนำจดหมายนี้ออกไปนะ ทุกอย่างจะแย่ลงกว่านี้เยอะ เชื่อพี่สิ คิดใหม่เถอะนะ~ พี่ขอร้องนะ~ นะๆๆๆ~”

    เด็กหญิงคนหนึ่ง (ที่ขี้กลัว) นั่งอยู่ข้างๆเด็กชายมองเด็กสาวกับชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) กำลังทำให้อีกฝ่ายใจอ่อนกันอยู่ พลันน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาจากดวงตาของเด็กหญิง (ที่ขี้กลัว) คนนั้น บรรยากาศความสำราญของการสังสรรค์นั้นไม่หลงเหลืออีกแล้ว เหลือไว้เพียงแค่ความตึงเครียดที่ถาโถมใส่เด็กสาว (ที่ถือจดหมาย) อยู่อย่างต่อเนื่อง

    ภายนอกห้องนั้นมีฝนตกและพายุฟ้าคะนองอย่างรุนแรง สังเกตได้จากเสียงแรงกระแทกของน้ำฝนกับหน้าต่าง เสียงสะท้อนของน้ำฝนแต่ละหยดก็ค่อยๆก้องกังวานอย่างชัดเจน เธอผู้นั้น (เด็กสาว) ค่อยๆมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสิ้นหวัง

    คำพูดอันมหาศาลที่เพิ่งถาโถมใส่เด็กสาวก็ผ่านไปแล้ว ความเงียบก็เข้ามาแทนที่ และความเงียบนั้นก็ทำให้เด็กสาวเปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง

    “ขอร้องเถอะพี่ ฟังที่หนูพูดก่อนนะ” เธอยกมือไหว้ “หนูซีเรียสนะ มันจะดีต่อพวกพี่ด้วย หนูมีไอเดียที่สามารถทำให้เรื่องนี้มันผ่านพ้นไปได้ แต่หนูยังบอกพวกพี่ไม่ได้ตอนนี้ ทุกๆอย่างมันจะต้องไปได้อย่างราบรื่นเลยจริงๆนะ” เด็กสาวพยายามเกลี้ยกล่อมกลุ่มคนที่อยู่ภายในห้อง

    “แต่ว่า... มันจะไม่มีทางแก้เลยนะถ้าหากคนข้างนอกรู้ว่าภายในจดหมายนั้นมีอะไรน่ะ ความฝันของพวกเรา ความหวังของพวกเรา ทุกอย่างจะหายไปหมดเลยนะ...”

    “นั่นไม่จริงหรอก! เชื่อหนูเถอะ! นะพี่นะ~”

    ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ยืนกอดอกสายตาเบนไปที่ผนัง พลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เด็กสาวได้บอกมา “อย่างน้อย... ก็บอกมาได้ไหมว่าเธอจะทำอะไรน่ะ หรือไม่ก็... โอกาสที่เธอจะทำสำเร็จ...”

    หญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) ขยับแว่นขึ้นเมื่อเธอสวมใส่แว่นผิดข้าง เธอหลบหน้าคนอื่นด้วยความอาย

    “แต่หนู...” เด็กสาวพูดต่อ “หนูยังบอกพี่ไม่ได้น่ะ...”

    “หมายถึงตอนนี้ใช่มั้ย? แต่ถ้าภายใน ‘อนาคต’ ล่ะได้ไหม?” เด็กชายที่นั่งอยู่บนโซฟาหยิบไวน์รินใส่แก้วตัวเอง

    “ให้เวลาหนูหน่อยเถอะนะ แล้ว...” เด็กสาวหันไปหาเจ้าของเสียง

    “ให้เวลาเธอแล้วเธอจะ มั่นใจ ว่าจะบริหารมันได้ดีใช่มั้ย?”

    “ก็... นะ หนูไม่รู้หรอกจนกว่าหนูจะลองน่ะ หนูยังต้องไปทำอะไรอีกหลายๆอย่าง และหนูก็ยังไม่รับประกันหรอกนะว่ามันจะสำเร็จน่ะ แต่ว่า...”

    หญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) เอียงคอไปมา “ดูสิๆ ขนาดเธอเองยังไม่มั่นใจเลย เธอคงจะไม่ชักจูงให้คนอื่นเชื่อเธอโดยที่เธอไม่มีหลักฐานอะไรหรอกนะ”

    “แต่หนู... ทำไมกันล่ะ...”

    เด็กสาวก้มหน้าอย่างเศร้าใจ หญิงสาวอีกคนที่ดูเหตุการณ์อยู่ก็เดินเข้ามาใกล้และจ้องหน้าเธออย่างดุดัน

    “อะไรน่ะ... ‘ทำไมกันล่ะ’ อย่างนั้นหรอ? เธอจะบอกว่าเธอมีสิทธิ์สั่งทุกคนในนี้หรอ? เธอเห็นว่าพวกเราทำงานกันมาลำบากมากแค่ไหนแล้วใช่มั้ย? คิดดูสิมันจะแย่แค่ไหนหากโอกาสของพวกเราหายไปน่ะ! แล้วที่เธอบอก ‘หนูไม่รู้หรอกจนกว่าหนูจะลองน่ะ’ มันช่างตลกสิ้นดี! ไม่มีใครเชื่อข้ออ้างที่เห็นแก่ตัวของเธอได้หรอก!”

    “จริง” หญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) กล่าวเสริม “ถึงมันจะน่าเสียดาย แต่เธอชวนให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่ไม่มีหลักฐานได้หรอกนะ มันไม่มีทางเลย เราทำงานมามากมายไม่ได้ให้มาเพื่อเสี่ยงในเรื่องที่เธอยังไม่มั่นใจ นี่ไม่ใช่เกมนะรู้ไหม?"

    “หนูเข้าใจ... แต่... พวกพี่ต้องเชื่อหนูนะ!”

    “เธอมันก็เป็นแค่เด็กสาวที่ไม่รู้จักการ ‘ให้ความร่วมมือ’ สินะ แถมยังไม่สนใจอีกว่าคนรอบข้างจะทำอะไรกับพวกเรา ช่างน่าสมเพชจริงๆ”

    “นะ... หนู... หนูไม่ได้ตั้งใจนะแต่ว่า... หนูก็ทำเท่าที่หนูทำได้น่ะ...” เด็กสาวกุมมือไว้ที่กระโปรง “คิดอีกครั้งไม่ได้หรอคะพี่ หนูขอร้องเถอะนะ มันยังมี...”

    “พวกเราบอกเธอไปหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าพวกเราจะไม่มีวันเชื่อเธอเด็ดขาดถ้าหากเธอยังไม่มีอะไรที่น่าเชื่อถือน่ะ! เธอนี่มันโง่จริงๆเลยนะรู้ไหม! หรือเหมือนว่าเธอจะ ‘ทรยศ’ พวกเราในวันข้างหน้าถูกไหมล่ะ!?”

    เมื่อเด็กสาวได้ยินคำว่า ‘ทรยศ’ ออกมาจากปากพวกนั้น ดวงตาเธอก็ขยายใหญ่ขึ้น เธอยืนนิ่งคล้ายกับว่าตัวเธอถูกแช่แข็งไปแล้ว แสงไฟบนเพดานที่ชโลมบนใบหน้าของผู้คนที่ไม่เห็นด้วยกับเด็กสาวก็สว่างขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ฟ้าฝนยังโหมกระหน่ำอยู่ภายนอก เด็กสาวหลับตาและคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี จากนั้นเธอก็ลืมตาขึ้นมา

    “หนูเข้าใจละ” เด็กสาวกล่าวขึ้น “หนูจะเอาจดหมายนี้ไปส่งให้บริษัทหนังสือพิมพ์”

    เมื่อสิ้นสุดเสียง สายตาที่ดุร้ายทุกคู่ก็จับจ้องมาที่เด็กสาวในขณะที่เด็กสาวก็พูดต่อไป

    “ตอนแรก หนูคิดว่าหนูจะรอให้การแสดงมันเสร็จลงก่อน เพราะหนูคิดว่ามันยังคงมีเวลา แต่ไม่เลย! มันน่าเสียดาย! หนูขอให้พวกพี่เชื่อหนูแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว แต่ไม่มีใครกลับเชื่อหนูเลย! หนูไม่มีอะไรจะพูดกับพวกพี่อีกแล้ว! ลาก่อน!”

    เด็กสาวหันหน้ากลับไปที่ประตูและวิ่งออกไปจากห้อง กลุ่มคนที่อยู่ในห้องได้สติรีบวิ่งไล่เธอไปเช่นกัน พวกเขาตะโกนลั่นให้เธอหยุดวิ่ง แต่เด็กสาวกลับวิ่งเร็วขึ้นเข้าไปในตึกที่ไม่มีแสงไฟและไม่เหลียวหลังอีกเลย

    “หยุดนะ!”

    “นี่พวกนายสองคน ไปที่บันไดฝั่งนู้นและไปปิดทางออกไว้! ส่วนพวกนายที่เหลือ ไปดูที่ชั้นสอง! ตะโกนเรียกคนอื่นด้วยนะถ้าเจอเธอแล้ว ไม่มีแสงไฟแบบนี้เธอคงยังจะหนีไปไม่ไกล” ชาย (ที่ดูล้ายผู้นำ) กล่าวสั่งคนอื่น

    “ได้เลย!”

    “พวกเราจะลงไปเอง!”

    หลังจากที่ชาย (ที่ดูล้ายผู้นำ) สั่งการคนอื่นไปหมดแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันออกตามหาไปในตึกที่มีแต่ความมืดมิด ส่วนเด็กสาวก็วิ่งไปเจอห้องๆหนึ่ง เธอเดินเข้าไปและปิดประตูลงอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้มีเสียงออกมา เธอแอบเข้าไปหลบอยู่หลังฝาประตู กำมือทั้งสองข้างไว้แน่นในกระเป๋ากระโปรง พยายามหายใจให้มีเสียงน้อยที่สุด

    ตึกๆๆ

    เสียงฝีเท้าของใครสักคนเดินเข้ามาใกล้ๆกับที่เด็กสาวซ่อนตัวอยู่

    “มีใครอยู่มั้ย... ?”

    “!”

    มันเสียงของหญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) นั่นเอง! เธอยืนหยุดอยู่หน้าประตูและยังไม่ได้เดินเข้าไป แต่เด็กสาวไม่รอช้า เธอผลักประตูออกไปเร็วไวจนมันกระแทกเข้าใส่หน้าหญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) อย่างจัง! จากนั้นเด็กสาวก็วิ่งหนีไปในทางเดินอันมืดมิด

    “นี่พวกนาย! เธออยู่บนชั้นสอง! และตอนนี้เธอก็วิ่งไปที่บันไดแล้ว!”

    คนที่อยู่ในตึกได้ยินกันหมดทุกคน พวกเขาวิ่งไปดักรอเด็กสาวตรงบันไดหลักของตัวตึก และก็เป็นไปตามคาด เด็กสาววิ่งมาหยุดอยู่ตรงบันไดชั้นสอง ข้างหลังเธอก็มีฝาผนัง ข้างล่างเธอตรงบันไดก็มีคนอยู่สองคน ข้างซ้ายเธอมีคนดักอยู่สามคน ข้างขวาเธอก็มาสองคน

    “เอาล่ะ... วิ่งกันมามากพอแล้วนะ เรายังพูดกันไม่จบเลย ไปที่ด้านหลังเวทีเถอะ” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ก้าวเดินเข้ามาใกล้จากทางข้างขวาของเธอ

    “ออกไปนะ! อย่าเข้าไปใกล้หนูนะ!” เด็กสาวตะโกนลั่น

    แสงจันทร์จากภายนอกที่ลอดผ่านกระจกทำให้มีดสีทองของเด็กสาวส่องประกาย แต่เด็กสาวไม่มองมีดที่เธอถืออยู่ เธอกลับกำมันไว้แน่นแล้วมองไปที่ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) อย่างหวาดกลัว สิ่งที่เธอทำนี้ทำให้หลายๆคนอ้าปากค้างกันไปตามๆกัน แต่ไม่เลยสำหรับชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ)

    ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ค่อยๆก้าวเดินไปประจันหน้ากับเด็กสาวอย่างไม่มีความกลัว ด้วยความเชื่อที่ว่ามีดเล่มนั้นคงทำอะไรเขาไม่ได้ เขาค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เด็กสาวมากขึ้นเรื่อยๆด้วยสายตาดุดัน เด็กสาวหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆจนมือทั้งสองข้างของเธอนั้นสั่นระริกๆ

    และความสั่นนั้นก็ทำให้จดหมายที่อยู่ในมืออีกข้างของเด็กสาวหล่นลงไปตามขั้นบันได เด็กชายซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆได้โอกาสรีบคว้ามันมาไว้ในมือ

    “เราได้จดหมายแล้ว!”

    “มะ... มันไม่มีประโยชน์หรอก! ถึงจะเอาจดหมายนั้นไป แต่ความจริงก็จะถูกเปิดเผยอยู่ดีแหละ!” เด็กสาวเอามืออีกข้างที่ว่างอยู่จับมีดทั้งสองมือ จากนั้นเธอก็หันหน้าหนีชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) และเดินลงบันได จ้องเขม็งไปที่เด็กหญิง (ที่ขี้กลัว) ซึ่งยืนอยู่ข้างๆเด็กชาย

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด! ยะ... อย่านะ! ใจเย็นก่อนนะ! อย่าเข้ามานะ!” เด็กหญิง (ที่ขี้กลัว) ตะโกนอย่างตะกุกตะกักด้วยความกลัว

    ทันใดนั้นชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ก็ก้าวลงบันไดมา จากนั้นเขาก็ออกแรงวิ่งและกระโดดใส่เด็กสาว (ที่ถือมีดอยู่) เขากอดรัดเธอไว้แน่นจากด้านหลังและขโมยมีดออกมาจากมือของเด็กสาว

    “ปะ... ปล่อยนะ!”

    “ไม่!”

    เด็กสาวพยายามเขย่ามือทั้งสองข้างของเธอเพื่อให้หลุดออกจากชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) แต่ก็ไม่สำเร็จ และในขณะนั้นเองคนที่เหลือก็เข้ามาประชิดคนสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่

    “ปล่อยหนูนะ! ใครก็ได้! ช่วยด้วยยยย!” เด็กสาวตะโกนลั่น

    “แย่ละ... ถ้าเกิดมีใครได้ยินเข้าละก็” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) พึมพำออกมาเบาๆ “นี่... ใจเย็นก่อนสิ” เขาเอามือมาปิดปาก

    “ไม่! ใครก็ได้ช่วยด้วยยยยย!” เด็กสาวพยายามร้องผ่านปากที่ถูกปิด

    “โธ่เว้ย! มองอะไรไม่เห็นเลย...” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) บ่นสะพรึงหลังจากที่เขาเห็นเพียงแค่เด็กสาวที่อยู่ใกล้เขาเท่านั้น แสงไฟจากในตัวตึกก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลยยกเว้นแสงจันทร์

    ในที่สุดเด็กสาวก็ไม่ขัดขืน และชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ก็ดูเหมือนจะแผ่วแรงลงแล้วเช่นกัน แต่ทันใดนั้นเด็กสาวก็พลิกตัวกลับอย่างรุนแรง ทำเอามีดที่ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ถืออยู่ปาดแขนของตัวเองจนเลือดทะลักออกมาเป็นรอยรูปพาราโบลา หน้าของชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ซีดเผือกทันที จากนั้นเขาก็ล้มลง จากนั้นมีดเล่มสีทองก็หล่นลงมาใส่มือของเด็กสาว เธอได้ทีหยิบมีดมากำไว้แน่นและสะบัดมือเขาทิ้ง

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด” เด็กหญิง (ที่ขี้กลัว) ตะโกนลั่น เด็กชายที่อยู่ข้างๆพยายามปลอบใจเธอด้วยการกอดเธอไว้ ส่วนเด็กสาว (ที่ถือมีด) ก็ออกแรงวิ่งแต่ข้อมือของเธอกลับถูกล็อคไว้จากมืออีกข้างของชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) เขาใช้เพียงแค่แขนเดียวในการหยุดยั้งเพื่อไม่ให้เด็กสาวหนีไปได้

    หญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) กับเด็กชายวิ่งเข้ามาจับตัวเด็กสาวและพยายามไม่ให้เธอดิ้นหนี เด็กชายขยับตัวไปอยู่ด้านหน้าของเด็กสาวและดึงตัวเธอขึ้นมาข้างบนตามขั้นบันได

    “ยอมแพ้เถอะ... มากับเราเถอะ...” เด็กชายพูดอย่างขอความเห็นใจ

    “ไม่... ไม่มีทาง!” เด็กสาวยังคงปฏิเสธ

    “ทำไมล่ะ!? เราก็แค่มาคุยกัน จากนั้น...”

    เด็กสาวมองหน้าเด็กชายเป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นน้ำตาก็ค่อยๆร่วงลงมาจากดวงตาของเด็กสาว

    “ใครเป็นคนทรยศกันแน่!... หนูไม่อยากเชื่อใครอีกต่อไปแล้ว!” เด็กสาวร้องออกมา

    เมื่อเด็กชายได้ยินคำพูดนี้หน้าตาเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาค่อยๆปล่อยมือที่ดึงเด็กสาวอยู่ออก เด็กสาวได้ทีรีบออกแรงแทงมีดไปที่เด็กชาย แต่เธอกลับแทงได้เพียงแค่เศษเสี้ยวอากาศที่อยู่รอบๆเขา จากการที่เธอแทงพลาดนั้นทำให้ร่างกายเธอหงายหลังด้วยแรงเหวี่ยง จากนั้นเธอก็กลิ้งลงมาตามขั้นบันได

    ช่วงเวลาที่เธอตกบันไดลงมานั้นมันเหมือนกับว่าเวลาได้เดินช้าลง ทุกๆคนยืนตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนกับว่าได้เห็นฉากในละครที่โหดร้ายที่สุดอย่างไรอย่างนั้น... เด็กสาวนอนหงายท้องตรงฐานบันได ไม่ขยับตัว แสงไฟที่ออกมาจากหน้าต่างก็ค่อยๆเลือนหายไปจากวิสัยทัศน์ของเด็กสาว เหลือไว้เพียงแค่มีดเล่มสีทองที่ปักลึกเข้าไปข้างในใจกลางหน้าอกของเธอ และเธอก็ไม่ได้ดึงมันออกแต่อย่างใด

    เสียงปรบมือดังก้องกังวานขึ้นมาจากห้องโถงที่เงียบสงัด หลังจากนั้นผ้าม่านสีแดงก็ถูกปล่อยลงมาเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ฉากต่อไป มันเป็นการแสดงที่เป็นโศกนาฏกรรมที่แท้จริง

  3. #3
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    285
    กล่าวขอบคุณ
    559
    ได้รับคำขอบคุณ: 883
    โอ้ว โฮ เฮะ! อลังการงานแต่ง
    กดขอบคุณให้กำลังใจกัน ไม่ยากเลยเนอะ

  4. #4
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jun 2012
    กระทู้
    1,215
    กล่าวขอบคุณ
    10
    ได้รับคำขอบคุณ: 531
    มิคุ ควักลูกตา โดนตัดคอ รับไม่ไหว

  5. #5
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    บทที่ 1: ซินเดอเรลล่าจำเป็น

    “แฮ่กๆๆ”

    ฉันวิ่งลงมาตามตรอกซอกซอยเล็กๆด้วยความเหนื่อยหอบในเมืองเวสท์เอนด์ เมื่อคำว่า “สาย” ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน ฉันก็พยายามที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆและปล่อยลมหายใจออกไป ถึงมันจะทำให้ตัวฉันสงบลงไปได้บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยฉันให้รู้สึกดีขึ้นมากนัก ถึงแม้ว่าเมื่อคืนนี้ฉันจะอยากนอนตั้งแต่หัวค่ำก็ตามที แต่ฉันก็ทำไม่ได้เพราะการแสดงในวันนี้น่ะมันทำให้ฉันตื่นเต้นไปมากเลยล่ะ

    จะว่าไปแล้ว... เมื่อคืนนี้ฉันก็ตื่นขึ้นมาด้วยความฝันอันแปลกประหลาด มันเป็นความฝันที่มีใครสักคนตกบันไดตายในการแสดง... ฉันจำได้แค่นี้แหละเพราะว่ารายละเอียดต่างๆน่ะมันค่อยๆเลือนรางหายไปหมดแล้ว การที่ได้เห็นใครสักคนตายแบบนั้นมันทำให้ฉันระทึกใจอยู่ไม่ใช่น้อย จากนั้นฉันก็ดึงหมอนข้างเข้ามากอดไว้ พยายามที่จะข่มตานอนอีกแต่มันก็ไม่สำเร็จ ฝันร้ายที่ฉันได้รับครั้งนั้นมันยังคงตรึงตาฉันไว้อยู่ไม่หาย และนั่นก็ทำให้ฉันนอนไม่เพียงพอ จนในที่สุดฉันก็ตื่นสายจนได้

    “ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยล่ะ?” ฉันคิดในใจ ก็ในเมื่อในโลกนี้มีวันตั้งหลากหลาย ทำไมฉันต้องมาตื่นสายในวันที่สำคัญแบบนี้ด้วยนะ “แย่ที่สุด! ฉันนี้มันบ้าจริงๆเลย!” ฉันบ่นตัวเองด้วยคำพูดแบบนี้เป็นสิบๆรอบแล้วเพื่อสาปแช่งในความโง่ของฉัน

    เมื่อฉันวิ่งมาจนถึงถนนใหญ่ ฉันก็พบกับกลุ่มคนขนาดมหึมากำลังเดินสวนสลับกันไปมาอย่างวุ่นวาย ผู้คนต่างก็มาซื้อของ ขายของ ตามกิจวัตรประจำวันของพวกเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าวันนี้ดูเหมือนคนจะเยอะเป็นพิเศษ ฉันเดินเข้าไปในถนนคนเดินด้วยความรีบร้อน พลางกล่าวขอโทษกับคนเหล่านั้นเมื่อฉันพยายามที่จะเดินฝ่าพวกเขาไป แต่คนเยอะขนาดนี้เนี่ย... ฉันคงจะไปไม่ทันจริงๆซะแล้วล่ะ

    ป้าบ!

    ทันใดนั้น บางสิ่งบางอย่างก็เข้ามาบังวิสัยทัศน์ของฉัน

    “ว้ายยย!”

    หน้าฉันชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่างจนทำให้ฉันเสียหลักล้มลงกลางถนนที่คนกำลังพลุ่กพล่าน ฉันขยี้ตาตัวเองและเปิดตาขึ้นมา มองเห็นใครคนนึงรูปร่างสูงพอสมควรกำลังก้มหาหมวกผ้าไหมที่หล่นจากหัวเขา เมื่อเขาเจอแล้วเขาก็นำมันมาสวมบนหัวและยื่นมือเข้ามาหาฉัน

    “ขอโทษนะครับ ผมกำลังรีบจนไม่ทันสังเกตว่าผมกำลังจะเดินไปชนใครเข้า ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ” เขาก้มหัวลงหลายๆครั้ง “คุณเจ็บไหมครับ?”

    “อ่า... มะ... ไม่เป็นไรค่ะ นะ... หนูไม่เป็นไร...”

    ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันหลงเข้าไปอยู่ในนิทานอย่างไรอย่างนั้น เขายื่นมือมาหาฉันอย่างสง่างามและอ่อนโยน เหมือนกับตอนที่เจ้าชายกำลังยื่นมือช่วยเจ้าหญิงที่ล้มอยู่ ฉันค่อยๆยื่นมือออกไปจับมือของเขาและเขาก็ดึงตัวฉันขึ้นมา ช่วงเวลาที่ดูเหมือนว่าจะเป็นฉากในเทพนิยายที่ทั้งสองยื่นมือเข้าหากันนั้นทำให้ฉันรู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก ดังนั้นฉันจึงไม่กล้าพอที่จะมองหน้าเขา ทำได้แค่เบนสายตาออกมาจากเขาพลางชำเลืองมองเขาอยู่พลางๆ เขาสูงมาก เหมือนสุภาพบุรุษที่สวมชุดสูทและหมวกผ้าไหม

    “ดีแล้วล่ะครับผม แต่ระมัดระวังไว้หน่อยก็ดีนะครับ แถวนี้เพิ่งจะมีไฟไหม้ไปเอง”

    “ไฟไหม้?”

    “ครับผม มีไฟไหม้เกิดขึ้นที่แฮร์รอดน่ะครับเมื่อเช้านี้ คุณลองมองไปทางซ้ายมือสิครับ จะเห็นว่าท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยควันไฟสีเทาแล้ว แฮร์รอดน่ะเป็นห้างสรรพสินค้าที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว... น่าจะใช้เวลาดับไฟนานหน่อย ผมเพิ่งวิ่งหนีออกมาจากละแวกนั้นน่ะครับ แต่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าเหตุการณ์อันตรายแบบนี้ทำไมคนไปมุงดูเยอะจัง หวังว่าห้างนั้นจะปลอดภัยดีนะครับ”

    “คะ... ค่ะ”

    ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ทันสังเกตมันเลยจริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าความรีบร้อนของฉันมันออกหน้าไปหน่อยก็เป็นได้ ฉันพลางนึกถึงคนหลายๆคนที่คอยเร่งฉันให้เดินไวๆหน่อย ฉันพอจะนึกเหตุผลออกแล้วล่ะ ฉันมีปัญหาเกี่ยวกับการโฟกัสและเจาะจงไปกับสิ่งๆหนึ่งจนทำให้ฉันไม่ได้สังเกตสิ่งรอบข้างเลย

    เมื่อฉันสงบสติอารมณ์และเงี่ยหูฟังอย่างช้าๆ ฉันก็ได้ยินคนหลายๆคนตะโกนออกมาว่า “ไฟไหม้ๆ” อยู่ไม่ขาดสาย และยังได้ยินเสียงไซเรนที่ออกมาจากรถดับเพลิงที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ด้วย และเมื่อฉันมองไปยังทิศตะวันตก ถึงฉันจะไม่ได้เห็นเปลวไฟ แต่ควันไฟที่พวยพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าก็ดูน่ากลัวมากทีเดียว แต่เหนือสิ่งอื่นใด งานแสดงต้องมาก่อน ดังนั้นฉันจึงอยากที่จะวิ่งฝ่าฝูงชนรอบๆไปโดยไม่สนใจว่าไฟที่ไหม้อยู่นั้นจะทำความเสียหายไปมากน้อยเพียงใด

    “ถ้าเป็นไปได้ คุณควรที่จะอยู่ห่างจากบริเวณนั้นนะครับ มันดูอันตรายมากทีเดียว” เขาบอกฉันด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

    “ค่ะ... ขอบคุณค่ะ”
    “ครับผม... ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต วันเวลาที่ดูแสนจะธรรมดาก็อาจพลิกเป็นฝันร้ายได้ ก็เหมือนกับไฟไหม้ที่ขวางทางคุณในวันสำคัญแบบนี้น่ะครับ หืม?”

    “อ่า... หนูขอโทษค่ะ หนูเป็นคนที่วิ่งโดยไม่มองทางเองค่ะ คุณคงจะรีบมากสินะคะ”

    “”ฮ่าๆๆ ไม่หรอกครับ จริงๆแล้วที่ผมรีบเนี่ย ก็เพราะมีการแสดงที่ผมอยากจะไปดูมากเลย แล้วผมก็ได้ซื้อบัตรวีไอพีมา เพราะฉะนั้นถึงแม้ผมจะไปสายหน่อย มันก็ยังมีเวลาเหลืออยู่บ้างก่อนที่งานจะเริ่มน่ะนะ แต่ถ้าผมไปถึงเร็วมันก็น่าจะดี คุณลองคิดดูสิ การที่ได้นั่งอยู่ในห้องโถงพลางจิบไวน์เล็กๆซักแก้วก่อนชมมันเป็นอะไรที่วิเศษสุดๆไปเลยล่ะ การที่ผมไปสายเนี่ยผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่มากนักหรอก คนที่ต้องรู้สึกแย่ก็คือพวกห้างสรรพสินค้าต่างหาก พวกเขาน่าสงสารมากเลยว่าไหม? มันไม่น่าเกิดขึ้นเลยจริงไหม?”

    “นั่นสินะ...”

    เขาผู้นั้นพูดหลายสิ่งที่ฉันสนใจ แต่เมื่อฉันเงี่ยหูฟังเขาอย่างเต็มที่แล้ว ก็พบว่ามีหลายๆสิ่งเลยที่แอบแฝงหลังคำพูดของเขา นั่นทำให้ฉันอยากฟังเขาพูดต่ออีก

    “จริงๆแล้วเนี่ย” เขาพูดต่อ “การแสดงที่ฉันชอบน่ะก็เป็นพวกการแสดงตลก ไปจนถึงโศกนาฏกรรมเลยล่ะ จะมีอะไรอีกที่ผมพูดได้เวลานี้? สงคราม ทหาร อุตสาหกรรม ผู้นำเผด็จการ บรรพบุรุษของเราน่ะสอนว่าเบียร์น่ะสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตได้ นั่นคือน้ำตาของเทพธิดา เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้น่ะถูกทิ้งไปหมดแล้วจากผู้นำไร้สมองตอนนี้ และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมคนถึงโมโห ก่อสงคราม สิ่งที่พวกเขาควรจะทำน่ะ ก็คือปล่อยประชาชนเหล่านี้ให้อยู่กินกันเอง น่าเสียดายมากเลย... อุ้ปส์! โทษทีด้วย นอกเรี่องซะแล้วล่ะ” เขาเอามือปิดปากตนเองและถามฉันต่อ “เรา... เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”

    หลังจากบทสาธยายอันยืดยาวของชายคนนั้นจบลง เขาก็จ้องมาที่ฉันพลางเอนหัวไปทางซ้ายเล็กน้อย

    “อ่า...”

    . บางทีเขาอาจจะนึกขึ้นได้ก็ได้ ก็หน้าฉันมันถูกแปะไว้ทั่วเมืองนี้เลยนี่น่า

    “ไม่มั้ง... เอ่อ... นี่อาจจะเป็นการเจอกันครั้งแรกของเรา หน้าของหนูน่ะมันค่อนข้าง... เอ่อ... โหลน่ะ ฮ่าๆๆ”

    ฉันพยายามเบี่ยงเบนคำถามเขา แต่เขาก็มองหน้าฉันราวกับว่าอยากให้ฉันตอบอะไรสักอย่าง แต่ถ้าพวกเราคุยกันต่อไป เขาก็อาจจะรู้ได้ว่าฉันเป็นใคร และก็คงจะไม่ดีแน่หากกลุ่มคนที่กำลังคับคั่งอยู่ในตอนนี้มองเห็นฉัน และรวมตัวกันมามุงดูฉัน นั่นจะทำให้ยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ เขามองมาที่ฉันเป็นระยะเวลาหนึ่งในขณะที่ฉันกำลังเหม่อลอยมองไปรอบๆ ทันใดนั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าสายตาเขาสว่างขึ้น และเขาก็จ้องมองมาที่ข้อมือฉัน

    “กำไลสวยจังนะ...” เขาเอ่ยขึ้น “แต่ดูเหมือนมันจะเก่าและถูกใช้งานมามากพอสมควร”

    “ขะ... ขอบคุณค่ะ ใช่ค่ะมันถูกใช้มาเยอะ... แต่เอ่อ... มันสำคัญกับหนูมากเลย”

    “นั่นสินะ... ดูแลมันไว้ให้ดีด้วยล่ะ เขาว่ากันว่าสิ่งของน่ะจะมีสิ่งสถิตสิงอยู่หากอยู่กับมันมาเป็นระยะเวลานาน ผมเชื่อนะว่ายายของคุณจะภูมิใจ”

    “...!”

    ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ แต่สายตาที่จ้องมาของเขาก็ถูกบดบังโดยเส้นผมที่แกว่งไปมาเบาๆ และฉันก็ไม่สามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่ เสียงอันอ่อนโยนของเขาก็สะท้อนไปมาในหัวฉัน เขาพึ่งพูดถึงยายของฉัน... ให้ตายสิ! เขารู้ได้ยังไงว่ากำไลนี้เป็นของตกทอดมาจากยายของฉัน เขารู้จักย่าฉันหรอ

    “เอ่อ... ทำไม...”

    ยังไม่ทันจะพูดจบ ฉันก็ได้ยินเสียงระฆังบนหอนาฬิกา เสียง “ฆ้อง” ดังขึ้นเป็นจำนวนทั้งสิ้นสิบสองครั้ง

    ฉันฟังอย่างไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ แต่ฉันก็จำสิ่งที่สำคัญได้ในเวลาเดียวกัน แย่แล้ว! ฉันถูกแรงดึงดูดของชายผู้นี้เข้าให้จนลืมไปว่าตัวฉันกำลังรีบอยู่ พวกเขานัดฉันไว้ตอนเวลาเที่ยงตรง

    “แย่จริงเลย... ถึงเวลาแล้วแหละ หนูคิดว่าหนูพูดคุยยาวไปนะ”

    ชายผู้นั้นดึงแขนเสื้อขึ้นและหยิบนาฬิกาพับขึ้นมาดู ฉันรีบกล่าวลาเขา

    “ขอบคุณมากนะคะที่บอกหนูเกี่ยวกับไฟไหม้น่ะ แต่หนูลืมไปเลยว่าหนูกำลังรีบอยู่ วันนี้เป็นวันที่สำคัญมาก หนูต้องไปแล้วล่ะค่ะ”

    “ครับผม ดูแลตัวเองด้วยนะ ผมเองก็จะไปเหมือนกัน”

    ฉันรีบโค้งให้กับชายผู้นั้นแล้วเดินออกมา จากนั้นฉันก็ค่อยๆวิ่ง บางที... เขาอาจจะรู้จักย่าของฉันจริงๆก็เป็นได้ จริงๆแล้วฉันอยากจะคุยกับเขาต่อ แต่ฉันก็ถูกลากออกมาจากความจริงอันน่าแสนเศร้า ความจริงที่ว่าฉันเลยเวลานัดแล้ว!

    อีกอย่างนึง ถ้าฉันกับเขาคุยกันต่อ เขาก็อาจจะรู้ตัวตนของฉัน ว่าฉันนั้นเป็น “ซินเดอเรลล่า” ของเมืองนี้ แล้วฉันก็กำลังจะแสดงละครใหม่ในวันนี้ด้วย จากนั้นความเป็นจริงก็ถาโถมเข้ามาใส่ฉันอีกครั้ง ฉันรู้สึกได้ถึงความสุขและความอายนิดๆหน่อยๆและฉันก็หยุดยิ้มไม่ได้ ก็ผนังตึกที่ตั้งอยู่ข้างถนน ทั้งเสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา มีโปสเตอร์อันใหญ่แปะอยู่เต็มไปหมด มันเป็นโปสเตอร์ของฉันเอง นางเอกที่จะแสดงละครในคืนนี้ โปสเตอร์เหล่านั้นมันให้กำลังใจฉัน มันทำให้ฉันมีพลังให้วิ่งไปยังโรงละครได้เร็วขึ้น

    เมื่อฉันผลักประตูเข้าไปในห้องสีเขียวหมายเลข 1 ฉันก็พบว่ามีนักแสดงสามคนอยู่ในห้องนั้นเรียบร้อยแล้ว พวกเขากำลังนั่งดื่มชาหลังอาหารกลางวันอย่างสนุกสนาน ฉันเช็คนาฬิกาที่อยู่บนผนังห้องอย่างรีบร้อน พวกเขานัดฉันไว้ตอนเที่ยงตรง แต่ตอนนี้มันก็เลยเวลามา 30 นาทีแล้ว

    ฉันรู้สึกกลัวเล็กๆจนทำให้ฉันต้องก้มหน้าและเอามือบีบกระโปรง มันไม่ใช่วิธีการที่ดีมากนักหรอก แต่ฉันมีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วน่ะ เวลาที่ฉันกลัวหรือเครียดเรื่องอะไรก็ตามฉันก็มักจะขยำกระโปรงตัวเองทุกที

    ความนุ่มของผ้าไหมจากกระโปรงของฉันสามารถทำให้ฉันผ่อนคลายไปได้บ้าง แต่ฉันก็ต้องขอโทษพวกเขา ดังนั้นฉันจึงโค้งไปด้านหน้าด้วยมุม 90 องศาและพูดออกมาอย่างเข้มแข็งว่า

    “ขะ... ขอโทษด้วยนะทุกคน! ที่หนูมาสายไป 30 นาที!”

    “ใช่แล้วล่ะมิคุ นอนหลับไม่ตื่นหรือไงยะ?”

    ไคโตะ ผู้นำการแสดงของเรา เดินเข้ามาหาฉันด้วยอารมณ์ที่ไม่บูดบึ้งมากนัก แต่เป็นรอยยิ้มหวานมากกว่า เมื่อฉันก้มหน้าลงบนพื้นต่อ เขาก็เดินเข้ามาในระยะสายตาของฉันและยื่นผ้าเช็ดหน้าให้หนึ่งผืน

    “เธอควรจะเช็ดเหงื่อหน่อยนะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

    ฉันเงยหน้าขึ้นและยิ้มน้อยๆกลบเกลื่อน “ขะ... ขอบคุณ...”

    “ถ้าหายเหนื่อยแล้วก็เปลี่ยนชุดด้วยล่ะ”

    “อะ... โอเค...”

    นักแสดงสามคนที่อยู่ในห้องนี้มาก่อนได้แต่งหน้ากันเสร็จหมดแล้ว และพวกเขาก็สวมชุดในงานแสดงกันเรียบร้อยแล้วด้วย

    “อ่า... คุณลูกะ” ฉันหันหน้าไปหาสาวคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่หรูที่สุด “สะ... สวัสดีค่ะ ขะ... ขอโทษด้วยนะคะที่หนูมาสาย”

    ลูกะนั่งอยู่ข้างหน้าต่างที่แสงอาทิตย์ได้สาดส่องลงมา เธอดูจะไม่ค่อยสนใจฉันเท่าไหร่นัก ผมสวยๆยาวๆสีชมพูของเธอราวกับดอกชมพูพันธ์ทิพย์นั้นสะท้อนแสงอาทิตย์จนส่องประกาย เธอดูสวยที่สุดแล้ว ยามเมื่อเธอปัดผมหน้าม้าของเธอออกจากสายตา มันก็ดูเหมือนกับว่าเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้ไปอยู่ในงานเลี้ยงน้ำชาของดวงอาทิตย์อยู่อย่างไรอย่างนั้น

    เมื่อฉันทักทายทุกคนเสร็จแล้ว ฉันก็เช็ดเหงื่อของตัวเองด้วยผ้าเช็ดหน้าที่ไคโตะให้มา ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ราคาถูกที่สุดใกล้ๆกับประตูทางเข้าและฉันก็เปิดกระเป๋าออก ฉันต้องคอยเช็คของอยู่เสมอเพื่อเตือนสติตัวเองไว้ว่าเธอไม่ได้ลืมเอาอะไรไปแน่นะ ในขณะที่ฉันกำลังรื้อค้นกระเป๋าของฉันอยู่ เมย์โกะ ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาข้างๆไคโตะ ก็ลุกออกมาแล้วก็มานั่งบนโซฟาขนาดสามคนตรงข้ามกับฉัน

    “เอ้านี่! ชามะนาว” เมย์โกะยื่นชามะนาวใส่น้ำแข็งมาให้ “ข้างนอกน่ะ มันร้อนมากใช่ไหมล่ะ? เมื่อคืนเธอนอนหลับฝันดีหรือเปล่า?”

    “ขะ... ขอบคุณค่ะ” ฉันรับแก้วชามะนาวมา “อืม... จริงๆแล้วเมื่อวานหนูค่อนข้างตื่นเต้นน่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้นอนมากนัก กว่าหนูจะหลับได้ก็เกือบรุ่งแหน่ะ และหนูก็ตื่นมาพร้อมกับฝันร้ายอีก จากนั้นหนูจึงพยายามนอนต่ออีกสองครั้งจนลืมไปว่าเวลาในตอนนั้นมันเกือบเที่ยงแล้ว... เพราะฉะนั้นหนูผิดเองแหละ ฮ่าๆๆๆ”

    การแสดงออกของเมย์โกะนั้นดูเหมือนกับผู้ใหญ่ทั้งๆที่เธอยังดูเป็นวัยรุ่นอยู่พอสมควร นั้นก็เป็นเหตุผลนึงที่ว่าทำไมคนถึงเข้าใจผิดกันเยอะว่าเมย์โกะเป็นคนเข้าหาตัวยาก แต่ในความจริงแล้วเธอเป็นคนที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา เป็นคนที่ฉันชอบมากเลยทีเดียว เพราะถึงแม้ว่าฉันจะเป็นแค่เด็กใหม่ที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มนักแสดงแค่ครึ่งปีเอง แต่เธอผู้นี้ก็รินน้ำชาให้กับฉันก่อนที่เราจะเริ่มพูดคุยกันทุกครั้งทุกเวลา และเมื่อใดที่ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าหรือเครียด เธอผู้นี้ก็จะคอยหยอกล้อให้ฉันหัวเราะและมีความสุขอยู่เรื่อยๆ เธอเป็นคนที่อบอุ่นมาก

    “อืม...” เมย์โกะพยักหน้า “เธอคงจะเหนื่อยมากสินะเมื่อเช้านี้น่ะ เห็นเขาว่ากันว่ามีการแปะป้ายประท้วงรัฐบาล แถมยังมีไฟไหม้ที่แฮร์รอดอีก...”

    “ชะ... ใช่”

    เมย์โกะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก ราวกับว่าวันสิ้นโลกกำลังจะทะยานมาถึงอย่างไรอย่างนั้น เหมือนกับตอนที่เธอกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เลย

    “แต่ไม่เป็นไรหรอก” เมย์โกะปลอบใจฉัน “เธอไม่ได้มาสายคนเดียวหรอก”

    “จริงดิ? อะ... อ่า... งั้นหนูขอชานะ”

    ฉันหยิบแก้วชามะนาวเย็นๆขึ้นมาและดื่มมันลงไปจนเหลือครึ่งแก้ว ความขมนิดๆกับความเปรี้ยวแปลบๆจากชานั้นทำให้ฉันดูสดชื่นขึ้นมากเลยทีเดียว จากนั้นไคโตะก็เดินเข้ามาแล้วนั่งข้างๆเมย์โกะ

    “เฮ้! เมย์จ๋า ขอชาเย็นๆสักแก้วหน่อยจิ” ไคโตะประจบประแจงเมย์โกะด้วยคำพูดแปลกๆ

    “แหม่... เริ่มร้อนกันแล้วสินะ จ้ะๆๆ แต่เราบอกคุณไปตั้งหลายรอบแล้วนะว่าอย่ามาเรียกเราว่า “เมย์จ๋าๆๆๆ” เนี่ย...”

    “เอ๋? โหดร้ายจังนะเธอเนี่ย ถ้างั้นก็เรียกผมว่า “คุณชายไคโตะ” สิฮิๆๆๆๆ เออแต่จะว่าไปแล้ว... ผมกับเธอไม่ได้อยู่ในระดับ “นั้น” หรอ?”

    “อย่าพูดอะไรที่มันอาจจะทำให้คนเข้าใจผิดกันได้ง่ายๆสิ” เมย์โกะถอนหายใจแล้วมองมาที่ฉัน “ดูสิมิคุ เขาก็เป็นซะอย่างเนี้ยแหละ ถ้าดูเขาแค่ภายนอกนะจะรู้เลยว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ แต่ถ้าดูภายในตัวเขาแล้วเนี่ย เธอจะรู้เลยว่าเขาพยายามยั่วผู้หญิงมามากแค่ไหน ระวังตัวไว้ด้วยล่ะมิคุ”

    เมย์โกะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบชามะนาวเย็นๆออกมาเสริฟในแก้วที่มีน้ำแข็งอยู่ภายใน

    “นี่แหละถึงจะเป็น “คุณหญิง” เมย์ของเรา” ไคโตะดูท่าจะล้อไม่เลิก “เพราะนี่เป็นวิธีเดียวสินะที่จะทักทายกัน ฮิๆๆๆ”

    “ทักทายแบบนั้นอย่าหวังเลยนะว่าจะใช้ในประเทศนี้ได้” เมย์โกะส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย “เอ้า! “คุณชายไคโตะ” เอาไปได้แล้วย่ะ”

    “ขอบคุณจ้าเมย์จ๋า”

  6. #6
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    บทที่ 2: บทละครที่สูญหายไป

    ไคโตะดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งที่เมย์โกะพูดสักเท่าไหร่ สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้ก็คือแก้วชาเย็นๆที่เมย์โกะเพิ่งรินไปได้ไม่นาน ดังนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปพลางยิ้มน้อยๆ การกระทำของเขามันช่างดูเหมือนขุนนางในพระราชวังยิ่งนัก มันช่างดูสง่างามอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งฉันก็คิดว่าไคโตะอาจจะคิดเอาไว้แล้วว่าสิ่งที่เขาทำไปจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ถึงแม้มันจะเป็นแค่กิจกรรมเล็กๆแค่เหมือนการยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำ แต่เขาก็พิถีพิถันมาก

    “หืม? มิคุ อยากเติมชาหรอ?” ไคโตะหันมาหาฉัน

    “หะ?”

    “ก็... เธอมองมาที่แก้วฉันอยู่นี่นา... หรืออย่าบอกนะว่าเธอกำลังมองมาที่ฉันอยู่!?!?”

    เขาขยิบตาใส่ฉัน แต่จริงๆแล้วฉันไม่ได้มองเขาหรอก ฉันมองไปที่แก้วชาของเขาต่างหาก จริงๆฉันก็อยากสื่อนะว่าท่าทางเขาเป็นยังไง แต่ฉันดันหาคำพูดดีๆไม่ได้ซะนี่

    “เอ่อ... คือว่า...”

    “หาวววววว~” ลูกะเข้ามาขัด “อะไรทำให้คุณคิดว่าเธอกำลังดูอะไรอยู่ล่ะ มิคุเธอก็เป็นแบบนี้แหละ ชอบมองสิ่งของต่างๆไปเรื่อย” เธอบอกไคโตะ

    “พี่ลูกะ?” ฉันยักคิ้ว

    “แหม่... สายตาลูกะนี่บอกได้ทุกอย่างจริงๆ” ไคโตะยิ้มน้อยๆ “มิคุ เธอน่ะอยากรู้จริงๆหรอว่าฉันดื่มชายังไง ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าช่วงนี้เธอจะจ้องมาที่ฉันบ่อยมากเลยนะ ไม่ว่าตอนที่ฉันจะทำอะไรก็ตาม”

    “เอ่อ... ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้น...”

    “ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามีผู้หญิงคนไหนอยากจ้องมาที่ฉันแล้วล่ะก็ ฉันยินดีเสมอล่ะ”

    “(ฉันจ้องเขามากไปหรือนี่?) ตะ... แต่ว่า จริงๆแล้วพี่น่ะมีท่าทางที่สง่างามมากเลย เหมือนกับว่าพี่เป็นลูกขุนนางหรืออะไรสักอย่างนี่แหล่ะ”

    “หืม? แค่นั้น... หรอ? ฮ่าๆๆๆ ก็... นะ ก็ฉันเป็นพวกผู้ดีนี่นา”

    “ใช่! พวกผู้ดี... ไม่สิ พวกพ่อบ้านดีกว่า”

    “พะ... พ่อบ้าน...”

    ไคโตะคอตกอย่างน่าเวทนาหลังจากได้ยินข้อคิดเห็นจากฉัน ลูกะกับเมย์โกะก็พลันหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว

    “แหม่... ฉันก็คิดอยู่นะว่าคุณกำลังจะรุ่งน่ะ ฮ่าๆๆ” ลูกะหันหน้าไปหาไคโตะ “สงสัยสายตาฉันคงจะไม่ดีละม้างงง~”

    ลูกะคงจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องตลกมากที่เดียวถึงกับขำไม่หยุดระหว่างที่เธอกำลังวิจารณ์เขา จากนั้นเธอก็เอานมในกล่องรินเข้าไปในแก้วกาแฟที่เมย์โกะพึ่งให้เธอมา แต่น่าแปลกนะ เมื่อครั้งก่อนเธอยังดื่มกาแฟที่เข้มกว่านี้อยู่เลย

    “เอ่อ... พี่ลูกะคะ ไหนวันก่อนบอกว่าจะดื่มแต่กาแฟดำไงคะ” ฉันถามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

    “หืม? อ้อใช่ ฉันบอกไปแบบนั้นซินะ ก็ตอนนั้นน่ะพวกนักข่าวเขาอยู่กันเต็มเลย ฉันก็เลยบอกไปว่าชอบกินกาแฟดำเพราะแหม่... มันดูดีใช่มั้ยล่ะ? แต่จริงๆแล้วฉันก็เกลียดของขมหมดทุกอย่างน่ะแหละ ฉันชอบพวกแอลกอฮอล์กับขนมหวานมากกว่า”

    “โห... ท่าทางพี่ตอนนั้นนี่เกือบทำให้หนูเชื่อสนิทไปเลยนะนั่นน่ะ”

    “โอ้ะ! ก็แหม... ฉันเป็นนักแสดงนี่นา แน่นอนสิว่าฉันต้องพยายามทำตัวให้ดูดีที่สุด เหมือนกับหนูน่ะแหละ ที่นี่เป็นบริษัทบัวร์เล็ตนะรู้ไหม ทุกๆคนที่นี่น่ะต้องพยายามทำตัวเองให้เพอร์เฟ็คที่สุด ไม่งั้นพวกเขาก็จะคิดว่าบัวร์เล็ตน่ะแย่ลงเรื่อยๆ”

    “บัวร์เล็ต...” ฉันพึมพำออกมาเบาๆ

    บริษัทบัวร์เล็ต... กลุ่มนักแสดงของพวกเรา

    กลุ่มนักแสดงบัวร์เล็ตรุ่นแรกถูกก่อตั้งเมื่อ 100 กว่าปีมาแล้วด้วยผลงานสุดสร้างสรรค์ของคุณนายบัวร์เล็ต เขาเป็นผู้ริเริ่มการแสดงในเมืองเวสท์เอนด์แห่งนี้ บริษัทบัวร์เล็ตนั้นเป็นกลุ่มนักแสดงที่แสดงบทละครจากคุณนายบัวร์เล็ต โดยบทละครและการแสดงจะถูกแสดงในคุณภาพที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ในการแสดง เวที ฉาก แสงไฟ ดนตรี ชุดแสดง หรือทุกสิ่งที่สามารถชักจูงให้ผู้คนเข้ามารับชมได้

    แต่เมื่อไม่กี่ปีมาแล้ว เทคโนโลยีการทำหนังวีดีโอก็ปรากฏขึ้นมา นั่นทำให้บริษัทบัวร์เล็ตค่อยๆตกลงมาเรื่อยๆเนื่องจากคนส่วนใหญ่หันไปชมหนังภาพยนตร์กันหมดแล้ว แต่บริษัทบัวร์เล็ตก็ยังคงอดทนรอดมาได้จนถึงวินาทีนี้ ถึงแม้ว่ายอดขายของพวกเราจะตกลงไปเยอมาก แต่พวกเราก็ยังคงจะตั้งใจแสดงกันอย่างเต็มที่เพื่อผู้ชมที่รักบริษัทของเรา รักการแสดงของเรา

    ส่วนตัวฉันนั้นชื่นชอบผลงานของคุณนายบัวร์เล็ตอยู่แล้ว จึงตัดสินใจสมัครเข้ามาในที่แห่งนี้ เมื่อตอนที่ฉันยังเด็ก คุณย่าของฉันก็ชอบพาฉันออกมาจากบ้านเพื่อที่จะมารับชมการแสดงของบริษัทบัวร์เล็ต การแสดงครั้งนั้นมีชื่อว่า “ความเงียบท่ามกลางหิมะในยามค่ำคืน” ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยปล่อยหิมะจริงลงมากลางเวที แต่ในตอนนั้นฉันก็รู้สึกได้ว่าตนเองกำลังหลงอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยหิมะสีเทาๆ มันช่างดูน่าอัศจรรย์จริงๆ

    หลังจากนั้นฉันก็หลงไหลไปในมนต์เสน่ห์ของการแสดงบัวร์เล็ต ด้วยความฝันว่าอยากไปเป็นนักแสดงของบริษัทนั้นดูสักครั้ง ฉันย้ายบ้านมาที่เมืองเวสท์เอนต์เมื่อปีที่แล้วเพื่อที่จะมาชมการแสดงบัวร์เล็ตอีกครั้ง แต่เพื่อที่จะหาเงินที่จะเข้าไปชมการแสดง ฉันก็ต้องทำงานเป็นพนักงานในร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่งในเมืองนี้

    ลูกะ สาวนักแสดงที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในกลุ่มพวกเราทั้งหมดทั้งยังทำงานเป็นโมเดลอีกด้วย ไคโตะ ผู้นำของพวกเราทั้งหมดในกลุ่มการแสดงที่ทำงานเป็นทั้งนักแสดงและผู้กำกับ เมย์โกะ สาวที่อายุเยอะที่สุดในกลุ่มพวกเราที่ขึ้นชื่อในการแสดงที่ประณีตประนอมมาก ฉันคอยเฝ้าติดตามกลุ่มคนเหล่านี้มาตั้งแต่ต้นแล้วและฉันก็อยากเห็นพวกเขาแสดงอีกไปเรื่อยๆซ้ำไปซ้ำมา ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ไปเรียนในโรงเรียนสอนการแสดงเพราะฉันไม่มีเงิน แต่ฉันก็อาศัยการชมการแสดงของพวกเราเหล่านี้และลอกเลียนพวกเขามา จากนั้นฉันก็ฝึกฝนการแสดงของฉันด้วยตัวของฉันเองเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีเต็ม โดยความหวังที่ว่าสักวันหนึ่งฉันจะต้องไปเป็นนักแสดงที่นั่นให้ได้

    เมื่อสามเดือนที่แล้วก็มีข่าวออกมาจากบริษัทบัวร์เล็ตที่ครึกโครมกันมาก ว่ากันว่าในตอนแรก ผลงานบทละครที่ชื่อว่า “Crazy ∞ nighT” ของคุณนายบัวร์เล็ตซึ่งมีแผนว่าจะให้แสดงหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปก็ดันสูญหายไป หรือไว้เพียงแค่หัวข้อเท่านั้น ทำให้บทละครนั้นเป็นบทละครเดียวที่ไม่ได้ถูกแสดงในบริษัทบัวร์เล็ต ซึ่งข่าวที่ครึกโครมกันมากก็คือการค้นพบส่วนที่เหลือของบทละครซึ่งถูกพบในห้องใต้ดินของบริษัทบัวร์เล็ตเอง ซึ่งทางบริษัทบัวร์เล็ตก็ออกมาประกาศว่าจะแสดงบทละครอันสุดพิเศษนี้ให้ได้รับชมกัน จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้บริษัทบัวร์เล็ตกลับขึ้นมาเป็นที่พูดคุยกันอีกครั้งหลังจากที่ถูกทิ้งร้างไปเป็นเวลานาน

    ไม่เพียงเช่นนั้น บริษัทบัวร์เล็ตได้ออกมาประกาศถึงการคัดเลือกนักแสดงหน้าใหม่ซึ่งจะได้แสดงในบทละครอันสุดพิเศษ และผู้ที่ได้ถูกรับเลือกก็จะได้เล่นเป็นนักแสดงนำของบทละครนี้ ในตอนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะเข้าร่วมด้วยเพราะว่าฉันไม่เคยได้ยืนบนเวทีจริงๆมาก่อน ฉันจึงไม่ได้หวังอะไรมากมายนัก และฉันก็ไม่ได้ส่งชื่อเข้าไปด้วย แต่เจ้าของร้านเบเกอรี่นี่สิ ดันส่งชื่อฉันเข้าไปแถมไม่ได้บอกฉันด้วย เขาพึ่งมาบอกฉันสามวันก่อนการคัดเลือกนี่เอง

    ตอนแรก ฉันก็ไม่ได้คิดจริงจังหรอกนะว่าเขาจะทำอย่างนั้นลงไป และฉันก็คิดว่าถึงแม้ว่าฉันจะส่งชื่อไปแล้ว ฉันก็คงไม่ไปหรอกเพราะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ายังไงก็คงไม่ผ่าน แต่เจ้าของร้านเบเกอรี่ก็ยังอุตส่าห์มาบอกฉันว่า “ลองดูสิ ถ้าครั้งนี้เธอไม่ผ่าน เธอก็ค่อยไปครั้งหน้าก็ได้” ทำให้ฉันมีกำลังใจขึ้นมานิดๆ และนั่นก็ทำให้ฉันถูกรับเลือกจนได้

    บางที เหตุผลที่พวกเขารับเลือกฉันก็อาจจะเป็นเพราะว่าฉันเกิดมาในหมู่บ้านเดียวกันกับคุณนายบัวร์เล็ตก็เป็นได้ และพวกเขาก็ได้ติดโฆษณาด้วยคำแบบนี้อีกด้วย “ความหวังสุดท้ายได้ส่องแสงเข้ามาในบริษัทบัวร์เล็ต บทละครที่สูญหายไปได้ถูกค้นพบ และในการแสดงบทละครนี้ นักแสดงนำก็เป็นเพียงแค่เด็กหญิงธรรมดาๆที่พึ่งย้ายเข้ามาในเมืองนี้ได้ไม่นาน เด็กสาวชาวบ้านที่เกิดมาจากหมู่บ้านเดียวกันกับคุณนายบัวร์เล็ต”

    ฉันคิดอยู่ว่ามันออกจะดราม่าไปนิดนึง ราวกับว่าเป็นเรื่องราวของซินเดอเรลล่าอย่างไรอย่างนั้น แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเช่นนั้น บางทีคำคมที่เขาเขียนมาอาจจะเป็นจุดสนใจของผู้ชมก็เป็นได้ ฉันถูกคัดเลือกมาเพราะพวกเขาอยากให้ฉันเป็นนายหน้าโฆษณาสินะ

    ฉันพึ่งได้เข้ามาร่วมกลุ่มนักแสดงบัวร์เล็ตได้ประมาณครึ่งปีเอง แต่ฉันก็อยากที่จะฝึกฝนการแสดงของฉันให้มันเทียบเท่ากับนักแสดงคนอื่นๆได้เร็วๆ ดังนั้นฉันจึงหมกตัวเองอยู่กับแต่การซ้อมละครและช่วยคนอื่นทำงานเพื่อสะสมทักษะ แต่ความก้าวหน้าของฉันก็ไม่ค่อยได้เพิ่มขึ้นเลย

    “...ฉัน...”

    และตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆพลางคิดว่าทำไมฉันถึงไม่คิดมาก่อนหน้านี้นะ อีกไม่กี่ชั่วโมงฉันก็ต้องเล่นละครในบทสุดพิเศษ และมันก็เป็นการเปิดตัวครั้งแรกของฉันด้วย เวทีของบัวร์เล็ตน่ะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเวทีศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆคนที่อยากทำการแสดงน่ะใฝ่ฝันว่าอยากจะมายืนบนนี้สักครั้ง และนั่นก็คือสิ่งที่ฉันได้รับมา

    ผู้ชมทั้งหลายที่อยู่ในห้องโถงดูมีท่าทางที่กระตือรือร้นมาก พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอวันนี้มานั้นแล้วหลังจากที่กระแสบัวร์เล็ตดับไปไม่นาน แน่นอนว่าพวกเขาตั้งความหวังกับฉันเอาไว้สูงมาก ถ้าเกิดว่าฉันทำผิดพลาดล่ะ? ฉันคงจะทำให้บริษัทนี้แย่ลงกว่าก่อนเยอะเลย... ความเป็นจริงมันค่อยๆคืบคลานเข้ามาทุกวินาที บางครั้งฉันก็คิดนะว่าฉันอยากจะวิ่งหนีออกไปจากที่แห่งนี้ดูสักครั้ง

    “นี่มิคุ” ไคโตะเดินเข้ามาหาฉัน “เครียดใช่มั้ยล่ะ? ดูสิเธอตัวสั่นไปหมดเลย เดิมทีเธอก็ต้องมาเป็นนักแสดงนำในบทละครที่พิเศษอยู่แล้ว เธอคงจะกลัวมากเลยสินะ แต่ฟังนะ ถ้าเกิดเธอล้มขึ้นมาระหว่างการแสดงก็ไม่เป็นไรหรอก เราจะทำทุกอย่างที่จะช่วยเธอเอง เพราะฉะนั้นก็ใจเย็นๆหน่อยนะครับมิคุ”

    “ใช่แล้ว” เมย์โกะเข้ามาเสริม “ถึงแม้ว่าเธอจะลืมบทนะ แต่มันก็ยังมีคนคอยกำกับอยู่ด้านหลังคนดูนะ เธอน่ะเป็นเด็กใหม่ และพวกผู้ชมก็คงจะรู้แหละว่าเธอรู้สึกยังไง อีกอย่างนะ เด็กใหม่นะทำผิดพลาดได้ตลอดเวลาแหละ (ไม่ได้แช่งนะ)”

    “ค่ะ...”

    “เอออีกอย่างนึง การแสดงน่ะมันไม่ได้มีวันเดียวนะ มันมีตั้งหลายวัน เพราะฉะนั้นก็อย่าไปเครียดนักเลยนะมิคุ”

    ไคโตะและเมย์โกะให้กำลังใจฉันและมันก็ทำให้ฉันผ่อนคลายลงไปได้มาก ส่วนการแสดงน่ะมันมีด้วยกันสามวัน โดยบทละครจะต่อเนื่องกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าฉันจะทำไม่ดีภายในวันแรก แต่ฉันก็ยังมีโอกาสเหลืออีกตอนวันที่ 2 แลละวันสุดท้าย

    แต่ที่ลูกะพูดมาก็ถูกเหมือนกัน การแสดงน่ะมันต้องเพอร์เฟ็ค ไม่งั้นมันก็ไม่ใช่บริษัทบัวร์เล็ต แต่น่าเสียดายที่ฉันรู้ตัวว่าฉันไม่ค่อยมีความสามารถทางด้านนั้นมากนัก

  7. #7
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    บทที่ 3: เตรียมพร้อมสู่การแสดง

    คุณนายบัวร์เล็ตเป็นคนที่เคร่งในความสมบูรณ์แบบมาก พวกกลุ่มนักแสดงรุ่นก่อนๆที่ไม่สามารถเล่นบทละครให้ดีได้มากพอก็จะไม่สามารถแสดงบทละครของเขาได้อีก แล้วก็ยังมีข่าวลือกันว่า หากใครก็ตามที่ตัดบทหรือเพิ่มเติมบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับบทละครเข้าไป พวกเขาเหล่านั้นก็จะสูญหายไปจากเวทีบัวร์เล็ต แต่เมื่อตอนที่มีสงครามเมื่อสองสามปีมาแล้ว ผลงานและวัฒนธรรมต่างๆก็ถูกเผาไหม้ไปตามกองไฟ เพราะฉะนั้นมันจึงยากมากที่จะรู้ข้อเท็จจริงหรือต้นตอของข่าวลือเหล่านั้น

    แต่เมื่อยามใดที่มีควัน เมื่อนั้นเปลวไฟก็จะบังเกิด ใครก็ตามที่ดูหมิ่นบทละครของบัวร์เล็ตจะต้องตายอย่างน่าเวทนา หลายๆคนก็ยังเชื่ออยู่กับคำขู่นี้ แม้กระทั่งตัวนักแสดงเอง เพราะฉะนั้นพวกนักแสดงทั้งหลาย รวมไปถึงฉัน จึงมีความกลัวต่อสิ่งนี้อยู่เป็นอย่างมาก พวกเราจึงพยายามแสดงบทละครให้ตรงไปตรงมาที่สุด โดยไม่มีการดัดแปลง หรือแก้ไขต่างๆนาๆ

    แต่นักแสดงจะเสียชีวิตเพียงเพราะว่าเขาทำผิดพลาดอย่างนั้นหรือ? ถ้าให้พูดกันตรงๆแล้ว ในใจฉันมันก็มีส่วนนึงแหละที่ไม่เชื่อเกี่ยวกับคำขู่นี้ เพื่อนๆและพี่ๆในบริษัทน่ะเคยบอกกับฉันว่าคุณนายบัวร์เล็ตน่ะเป็นคนที่ไม่ค่อยน่ากลัวสักเท่าไหร่นัก เพราะว่าเขาน่ะ...

    ...

    ไม่สิ! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ เรื่องที่สำคัญกว่านั้นก็คือว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงฉันก็ต้องเริ่มแสดงแล้ว! จากนั้นฉันก็ถอนหายใจเบาๆ

    “เฮ้อ...” ลูกะถอนหายใจมองมาที่ฉัน “อย่าว่าฉันเลยนะว่าฉันกำลังแกล้งเด็กใหม่อยู่น่ะ แต่ก่อนฉันก็เคยตื่นเวทีเป็นเหมือนกันนะ เหมือนกับนักแสดงคนอื่นๆน่ะแหละ ยิ่งเป็นเวทีของคุณนายบัวร์เล็ตด้วยแล้ว มันก็ยิ่งดูน่ากลัวขึ้นมากเลย”

    ลูกะพยายามปลอบใจฉันว่าทุกๆคนก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกับฉัน แต่ฉันคิดว่าฉันน่าจะเครียดที่สุดแล้วในกลุ่มนักแสดงนี้น่ะ เพราะนี่มันเป็นครั้งแรกของฉันด้วยแหละ แต่มันก็น่าคิดนะ ไม่ว่าฉันจะมองไปยังหน้าของลูกะบ่อยเพียงใด ฉันก็มองไม่เห็นถึงความตื่นเต้นของเธอเลย ก็นะ... เธอเป็นดาราดังนี่น่า เธอคงจะมีประสบการณ์เยอะพอสมควร

    “จริง...” ไคโตะพูดขึ้น “เราทุกคนก็เคยผ่านเวลานี้กันมาบ่อยแล้ว แถมครั้งนี้ดันเป็นบทละครพิเศษด้วย เราจะทำพลาดไม่ได้”

    “ใช่...” ลูกะตอบเขา

    ความเงียบเข้ามาในห้องนี้อีกครั้ง แสงอาทิตย์อันอบอุ่นก็ส่องเข้ามาในห้องผ่านทางกระจกสองชั้นบานใหญ่ ฉันก็คิดว่าทำไมสภาพแวดล้อมที่ดูน่าอบอุ่นเช่นนี้ถึงเต็มไปด้วยความเครียดนัก ทั้งๆที่บรรยากาศแบบนี้มันน่าจะทำให้จิตใจของฉันสงบลงแท้ๆ

    ปัง!

    ประตูที่หน้าห้องได้ถูกผลักด้วยเสียงอันดังจนมันทำลายความเงียบสงัดของพวกเราทั้งหมด แรงเปิดประตูมันเยอะมากจนมันสะท้อนตัวประตูกลับไปกระแทกหน้าผากของผู้เปิดอย่างจัง

    “โอ๊ยยยยยยยยยยย!”

    เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆชื่อว่ารินปรากฏตัวออกมาหลังบานประตูนั้น มือของเธอจับหน้าผากของตัวเองด้วยความเจ็บที่ถูกประตูกระแทกเมื่อกี้ ข้างๆเธอมีเด็กชายคนนึงยืนอยู่ เขาคือเลนนั่นเอง

    “โอ๊ะ! โอ๋~! สะ... สวัสดีจ้าทุกคน ฉันว่าฉันมาสายไป... ใช่มั้ย!? ฉันขอโทษษษษษษษษษษษ!” รินก้มหัวขึ้นลงๆไปรอบห้องๆ

    “วันนี้เกิดอะไรขึ้นหรอ ปกติฉันไม่เคยเห็นเธอสองคนมาสายเลย” ไคโตะพูดขึ้นเมื่อเห็นรินกับเลนทำหน้าตาเหนื่อยๆ

    “เอ๋~!” รินเงยหน้าขึ้น

    “หืม? เจ็บไหมนั่นน่ะ ขอดูหน่อยสิ” ไคโตะยื่นมือเข้ามาจับหน้าผากของริน แต่รินกลับกระเด้งถอยหลังอย่างตกใจ

    “เป็นอะไรไปอะริน? เธอดูแปลกๆไปนะวันนี้” ไคโตะถามอย่างสงสัย

    “เอ๋~? เอ่อ... ไม่หรอก! ก็ฉันกับเลนน่ะ... ถูกพวกแฟนๆหยุดตลอดทางเลย” รินทำหน้าเบ้

    “แฟนคลับ? อ้าวแล้วบอดี้การ์ดล่ะ? พวกบอดี้การ์ดต้องมาอยู่กับพวกเธอตลอดเวลาเลยไม่ใช่หรอ ฉันไม่คิดว่าพวกแฟนๆจะเข้ามาคุยกับพวกเธอได้นะ...”

    ถ้าเอาตามที่เมย์โกะเคยเล่าฉันมาแล้ว บอดี้การ์ดของรินน่ะเป็นพวกกลุ่มคนที่เป็นขาประจำของโรงละครของบัวร์เล็ต หรือจะเรียกว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของกลุ่มพวกเราก็ได้ พวกเขาเป็นพวกเคร่งในกฏระเบียบมาก แทบไม่มีครั้งไหนเลยที่พวกเขาจะปล่อยโอกาสให้แฟนคลับธรรมดาๆได้เข้ามาประชิดตัวริน

    “เอ่อ... ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก...” รินก้มหน้า “ฉันหมายถึงเลนน่ะ...”

    “...”

    รินส่งสายตาไปยังฝาแฝดชายของเขา เลนดูท่าทางนิ่งมาก หน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆเลยแม้แต่น้อย

    “อ้อ แฟนคลับเลนเองสินะ... ถึงจะเป็นบอดี้การ์ดของรินก็เถอะ แต่เจอพลังของแฟนคลับเลนเข้าไปก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้อยู่ดี” ไคโตะพยักหน้า “พวกแฟนคลับเลนน่ะเป็นพวกหัวสูงมากๆ หยั่งกับบูชาเลนเป็นเทพเจ้าแหน่ะ”

    “จริงด้วย” ลูกะเข้ามาเสริมแล้วมองไปที่เลน “เธอน่าจะแนะนำฉันมั่งนะว่าเธอทำยังไงถึงจะทำให้แฟนๆหลงใหลเธอได้ขนาดนั้น คงจะเป็นวิธีดีๆที่จะหาผู้ชายดีๆได้เยอะเชียวแหละ”

    เลนดูหน้านิ่งเหมือนอย่างเคย หน้าตาของเขาดูน่าเบื่อนิดๆ สงสัยจะเป็นเพราะพวกแฟนคลับที่เคยตามตื้อเขานั่นแหละ

    แฟนคลับของเลนน่ะ ถึงแม้ว่าจะมีผู้หญิงเยอะก็ตาม แต่พวกผู้ชายก็มีเยอะไม่แพ้กัน โดยส่วนมากแล้วแฟนคลับผู้ชายของเลนน่ะจะเป็นพวกผู้ดีที่ร่ำรวย เจ้าของธุรกิจ ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นักการเมืองต่างๆ พวกเขาจะคอยสนับสนุนเลนด้วยทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากๆอยู่เสมอ และจะคุยกับเลนเป็นบางครั้งบางคราวเมื่อเห็นเขาเดินเพ่นพ่านอยู่ในเมือง

    กลุ่มคนพวกนี้น่ะคอยเป็นสปอนเซอร์ให้กับเลนและรินอยู่ตลอด ส่วนลูกะก็ทำงานเป็นโมเดลเพื่อที่จะดึงดูดกลุ่มคนพวกนี้ นักแสดงทุกคนน่ะมีแฟนคลับเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะไคโตะและเมย์โกะที่มีความสามารถในการแสดงที่โดดเด่น การทำงานร่วมกันแบบนี้น่ะเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจของบริษัทบัวร์เล็ตให้ยังคงทำงานต่อไปได้

    แต่วันนี้ฉันคิดว่ารินดูท่าทางแปลกไปจากปกติ ยังไงก็ตาม ในบทละครสุดพิเศษในยามค่ำคืนนี้น่ะ รินจะแสดงเป็นตุ๊กตาหญิงสาว และการแสดงของเธอก็ทำให้เธอดูเหมือนกับว่าตุ๊กตาได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

    ตุ๊กตาหญิงสาว... ผู้ที่มีทั้งความไร้เดียงสาและความโง่เขลาอยู่เล็กๆ แน่นอนว่าตุ๊กตาน่ะสามารถพูดและเดินได้อยู่แล้ว แต่การที่เธอกำลังเอาหัวพิงประตูอยู่ก็แสดงว่าเธอกำลังจะฝึกฝนทักษะด้าน “ความโง่” อยู่สินะ...

    “ฉันพึ่งนึกขึ้นได้!” รินเงยหน้าขึ้นมา “ฉันมีธุระที่ห้องหมายเลขสอง! ไปก่อนนะทุกคน!”

    จากนั้นตุ๊กตาหญิงสาว หรือริน ก็วิ่งออกไปจากห้องอย่างเร่งรีบ เมื่อรินออกไปแล้ว เลนก็เข้ามาปิดประตูและก้มหัวสวัสดีทุกคน เขาดูเหมือนว่าจะรู้สึกผิดมากกับการที่เขามาสายมาก และเมื่อเขาสวัสดีทุกคนเสร็จแล้ว เขาก็เข้ามาสวัสดีฉันเช่นกัน

    “สวัสดีครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “สะ... สะ... สวัสดีค่ะ” ฉันพูดอย่างตะกุกตะกัก

    “...”

    เขาเด็กกว่าฉันสองปี แต่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มนักแสดงนี้แล้วมามากกว่าห้าปี เลนน่ะเป็นคนที่โด่งดังมาก เช่นเดียวกับฝาแฝดหญิงของเขา พวกเขาน่ะเป็นที่รู้จักกันดีมากในกลุ่มบัวร์เล็ต แต่ถึงแม้ว่าเขาจะยังเด็ก เขาก็มีนิสัยที่ค่อนข้างขี้อายอยู่เล็กน้อย แถมเขายังมีอิทธิพลมากจากการหนุนหลังของแฟนคลับของเขา ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะพูดตะกุกตะกักเมื่อได้คุยกับเขา

    “อย่าเครียดไปเลยครับ วันนี้ก็เหมือนทุกๆวันน่ะแหละ” เลนบอกกับฉัน

    “เอ๊ะ!?” ฉันตกใจเล็กน้อย แต่เขากลับไม่พูดอะไรต่อ เขาหันหลังใส่ฉันและเดินไปหาเมย์โกะ ฉันมาคิดทีหลังว่านี้คือคำช่วยเหลือจากเขาสินะ จริงๆแล้วฉันไม่เคยคุยกับเขาเลยนอกเหนือจากการที่เรามาซ้อมละครด้วยกันเท่านั้น เพราะเหตุใดฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันรู้สึกว่าคำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากปากเขามันช่างดูอ่อนโยนมากเลย

    เขาทำให้ฉันมีความสุข...

    และแน่นอนว่าตอนนี้ฉันก็รู้สึกผ่อนคลายลงไปได้บ้างแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะถูกเลือกให้เป็นนักแสดงนำทั้งๆที่ฉันไม่ค่อยมีความสามารถอะไรเลย และฉันก็ค่อนข้างมั่นใจว่าผู้ชมหลายๆคนคงจะไม่ชอบฉัน แต่คนหลายๆคนที่อยู่ที่นี่และฝึกซ้อมบทละครด้วยกันกับฉันนั้นใจดีกว่าที่ฉันคิดไว้มากเลย บางครั้งฉันก็คิดว่านี่คือบ้านหลังที่สอง หรือมันอาจจะดีกว่าก็ได้ด้วยซ้ำไป

    “เอาล่ะ! คุยกันพอแล้ว” เมย์โกะหันมามองฉันกับเลน “พวกเธอสองคนไปที่ห้องแต่งตัว ไปเปลี่ยนชุดและใส่เมคอัพให้เรียบร้อยด้วยล่ะ เหลือเวลาอีกนิดเดียวแล้วนะ”

    “คะ... ค่ะ” ฉันก้มหน้าและวิ่งออกไปจากห้องหมายเลขหนึ่ง และเลนก็วิ่งตามฉันมาติดๆ

    ...

    เมื่อฉันแต่งตัวและทาเครื่องสำอางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็มานั่งทบทวนบทอย่างเงียบๆสักสามนาทีก่อนที่จะออกจากห้องแต่งตัว ซึ่งเมื่อฉันกลับมาที่ห้องหมายเลขหนึ่งก็เลยบ่าย 3 โมงมา 5 นาทีแล้ว เหลืออีกแค่สองชั่วโมงเท่านั้นก่อนที่งานจะเริ่ม พวกเราทั้งหมดมารวมตัวกันที่ห้องนี้และเช็คบทเป็นครั้งสุดท้าย แต่ว่า... ยังเหลืออีกตั้งสองคนแหน่ะที่ยังไม่มาปรากฏตัวในห้องนี้เลย

    “เอ่อ... อีกสองคนนั่นไปไหนน่ะ เหลือเวลาอีกแค่สองชั่วโมงเอง ทำไมพวกนั้นยังไม่มาอีกนะ” ลูกะบ่นลอยๆ

    “จริงๆเล้ยสองคนนี้” ไคโตะถอนหายใจ “ฉันอุตส่าห์เตือนแล้วเตือนอีกตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะว่าอย่ามาสาย เฮ้อ... พวกเขาน่าจะรู้นะว่าการมาตรงต่อเวลามันสำคัญแค่ไหนกับการเป็นนักแสดง”

    สองคนนั้นที่ลูกะและไคโตะบ่นขึ้นมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน... ก็นักแสดงที่อยู่ในบทละครนี้นั่นแหละ!

    “อ่า...ใช่” เมย์โกะพูดเข้ามา “โดยเฉพาะกุมินะ ฉันคิดว่าเธอน่ะแย่เรื่องเวลาเสมอ แต่เธอก็ไม่เคยมาสายเกิดกว่าเดดไลน์เลยนะ ครั้งล่าสุดที่ฉันเคยเห็นเธอมาสายสุดน่ะก็ตั้งหนึ่งนาทีก่อนการแสดงแหน่ะ”

    “มันใช่เรื่องมั้ยเนี่ย...” ลูกะดูท่าทางจะไม่ยินดีด้วย “แล้วกาคุล่ะ?”

    “กาคุหรอ? ฉันคิดว่าเขาน่าจะอยู่ตรงเวทีนะ ฉันเห็นเขาจัดฉากเวทีตั้งแต่เช้าแล้ว” ไคโตะตอบเธอ “แต่จะว่าไปแล้ว... เขาก็น่าที่จะเสร็จได้แล้วนะป่านนี้...”

    “แต่ก็นะ...” ลูกะส่ายหัว “มีตัวป่วนสองตัวแบบนี้คงทำให้ฝึกซ้อมด้วยกันยากหน่อย แต่พูดถึง... พวกเขาสองคนนั่นเล่นเป็นอะไรนะ?”

    “พ่อบ้านกับแม่บ้านไง คอยรับใช้ “คุณหญิง” น่ะลืมไปแล้วหรอ ฮ่าๆๆๆ” ไคโตะหยอกล้อ

    ลูกะถอนหายใจ “เฮ้อ... ถ้าจะต้องให้มีพวกคนรับใช้ตัวป่วนแบบนั้นนะฉันขอไม่เอาดีกว่า”

    พูดถึงตัวบทละคร บทละครที่ฉันต้องเล่นน่ะมีทั้งหมด 8 ตัวละครด้วยกัน คนแรกเป็นเจ้าของแมนชั่นเก่าๆที่มีภรรยาที่ชอบเข้าสังคมจัดอยู่ด้วยหนึ่งคน ทั้งคู่มีลูกบุญธรรมจอมเอาแต่ใจหนึ่งคน และแม่บ้านกับพ่อบ้านตัวแสบอย่างละคน รวมไปถึงตุ๊กตาสองตัว และที่ขาดไม่ได้ เด็กหญิงซึ่งหลงทางอยู่กลางป่า ซึ่งนั่นก็คือฉันนั่นเอง

    ถ้าให้ฉันดูตัวละครที่อยู่ในบทนี้แล้ว แต่ละตัวละครที่พวกเราได้รับกันมานั้นมันช่างตรงกับลักษณะนิสัยของเราเสียจริง ก็อย่างตัวละครที่ฉันเล่นในบทน่ะก็คือเด็กสาวผู้หลงทางซึ่งมีนิสัยชอบความโดดเดี่ยว ชอบคิดอะไรตามลำพัง ซึ่งฉันก็คิดว่ามันก็ตรงกับที่ฉันคิดไว้อย่างน่าประหลาด

  8. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  9. #8
    ถูกระงับใช้งาน (Banned)
    วันที่สมัคร
    Oct 2015
    ที่อยู่
    New world ตามหาสมบัติ Onepiece
    กระทู้
    9
    กล่าวขอบคุณ
    7
    ได้รับคำขอบคุณ 1
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ macnum10 อ่านกระทู้
    บทที่ 3: เตรียมพร้อมสู่การแสดง

    คุณนายบัวร์เล็ตเป็นคนที่เคร่งในความสมบูรณ์แบบมาก พวกกลุ่มนักแสดงรุ่นก่อนๆที่ไม่สามารถเล่นบทละครให้ดีได้มากพอก็จะไม่สามารถแสดงบทละครของเขาได้อีก แล้วก็ยังมีข่าวลือกันว่า หากใครก็ตามที่ตัดบทหรือเพิ่มเติมบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับบทละครเข้าไป พวกเขาเหล่านั้นก็จะสูญหายไปจากเวทีบัวร์เล็ต แต่เมื่อตอนที่มีสงครามเมื่อสองสามปีมาแล้ว ผลงานและวัฒนธรรมต่างๆก็ถูกเผาไหม้ไปตามกองไฟ เพราะฉะนั้นมันจึงยากมากที่จะรู้ข้อเท็จจริงหรือต้นตอของข่าวลือเหล่านั้น

    แต่เมื่อยามใดที่มีควัน เมื่อนั้นเปลวไฟก็จะบังเกิด ใครก็ตามที่ดูหมิ่นบทละครของบัวร์เล็ตจะต้องตายอย่างน่าเวทนา หลายๆคนก็ยังเชื่ออยู่กับคำขู่นี้ แม้กระทั่งตัวนักแสดงเอง เพราะฉะนั้นพวกนักแสดงทั้งหลาย รวมไปถึงฉัน จึงมีความกลัวต่อสิ่งนี้อยู่เป็นอย่างมาก พวกเราจึงพยายามแสดงบทละครให้ตรงไปตรงมาที่สุด โดยไม่มีการดัดแปลง หรือแก้ไขต่างๆนาๆ

    แต่นักแสดงจะเสียชีวิตเพียงเพราะว่าเขาทำผิดพลาดอย่างนั้นหรือ? ถ้าให้พูดกันตรงๆแล้ว ในใจฉันมันก็มีส่วนนึงแหละที่ไม่เชื่อเกี่ยวกับคำขู่นี้ เพื่อนๆและพี่ๆในบริษัทน่ะเคยบอกกับฉันว่าคุณนายบัวร์เล็ตน่ะเป็นคนที่ไม่ค่อยน่ากลัวสักเท่าไหร่นัก เพราะว่าเขาน่ะ...

    ...

    ไม่สิ! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ เรื่องที่สำคัญกว่านั้นก็คือว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงฉันก็ต้องเริ่มแสดงแล้ว! จากนั้นฉันก็ถอนหายใจเบาๆ

    “เฮ้อ...” ลูกะถอนหายใจมองมาที่ฉัน “อย่าว่าฉันเลยนะว่าฉันกำลังแกล้งเด็กใหม่อยู่น่ะ แต่ก่อนฉันก็เคยตื่นเวทีเป็นเหมือนกันนะ เหมือนกับนักแสดงคนอื่นๆน่ะแหละ ยิ่งเป็นเวทีของคุณนายบัวร์เล็ตด้วยแล้ว มันก็ยิ่งดูน่ากลัวขึ้นมากเลย”

    ลูกะพยายามปลอบใจฉันว่าทุกๆคนก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกับฉัน แต่ฉันคิดว่าฉันน่าจะเครียดที่สุดแล้วในกลุ่มนักแสดงนี้น่ะ เพราะนี่มันเป็นครั้งแรกของฉันด้วยแหละ แต่มันก็น่าคิดนะ ไม่ว่าฉันจะมองไปยังหน้าของลูกะบ่อยเพียงใด ฉันก็มองไม่เห็นถึงความตื่นเต้นของเธอเลย ก็นะ... เธอเป็นดาราดังนี่น่า เธอคงจะมีประสบการณ์เยอะพอสมควร

    “จริง...” ไคโตะพูดขึ้น “เราทุกคนก็เคยผ่านเวลานี้กันมาบ่อยแล้ว แถมครั้งนี้ดันเป็นบทละครพิเศษด้วย เราจะทำพลาดไม่ได้”

    “ใช่...” ลูกะตอบเขา

    ความเงียบเข้ามาในห้องนี้อีกครั้ง แสงอาทิตย์อันอบอุ่นก็ส่องเข้ามาในห้องผ่านทางกระจกสองชั้นบานใหญ่ ฉันก็คิดว่าทำไมสภาพแวดล้อมที่ดูน่าอบอุ่นเช่นนี้ถึงเต็มไปด้วยความเครียดนัก ทั้งๆที่บรรยากาศแบบนี้มันน่าจะทำให้จิตใจของฉันสงบลงแท้ๆ

    ปัง!

    ประตูที่หน้าห้องได้ถูกผลักด้วยเสียงอันดังจนมันทำลายความเงียบสงัดของพวกเราทั้งหมด แรงเปิดประตูมันเยอะมากจนมันสะท้อนตัวประตูกลับไปกระแทกหน้าผากของผู้เปิดอย่างจัง

    “โอ๊ยยยยยยยยยยย!”

    เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆชื่อว่ารินปรากฏตัวออกมาหลังบานประตูนั้น มือของเธอจับหน้าผากของตัวเองด้วยความเจ็บที่ถูกประตูกระแทกเมื่อกี้ ข้างๆเธอมีเด็กชายคนนึงยืนอยู่ เขาคือเลนนั่นเอง

    “โอ๊ะ! โอ๋~! สะ... สวัสดีจ้าทุกคน ฉันว่าฉันมาสายไป... ใช่มั้ย!? ฉันขอโทษษษษษษษษษษษ!” รินก้มหัวขึ้นลงๆไปรอบห้องๆ

    “วันนี้เกิดอะไรขึ้นหรอ ปกติฉันไม่เคยเห็นเธอสองคนมาสายเลย” ไคโตะพูดขึ้นเมื่อเห็นรินกับเลนทำหน้าตาเหนื่อยๆ

    “เอ๋~!” รินเงยหน้าขึ้น

    “หืม? เจ็บไหมนั่นน่ะ ขอดูหน่อยสิ” ไคโตะยื่นมือเข้ามาจับหน้าผากของริน แต่รินกลับกระเด้งถอยหลังอย่างตกใจ

    “เป็นอะไรไปอะริน? เธอดูแปลกๆไปนะวันนี้” ไคโตะถามอย่างสงสัย

    “เอ๋~? เอ่อ... ไม่หรอก! ก็ฉันกับเลนน่ะ... ถูกพวกแฟนๆหยุดตลอดทางเลย” รินทำหน้าเบ้

    “แฟนคลับ? อ้าวแล้วบอดี้การ์ดล่ะ? พวกบอดี้การ์ดต้องมาอยู่กับพวกเธอตลอดเวลาเลยไม่ใช่หรอ ฉันไม่คิดว่าพวกแฟนๆจะเข้ามาคุยกับพวกเธอได้นะ...”

    ถ้าเอาตามที่เมย์โกะเคยเล่าฉันมาแล้ว บอดี้การ์ดของรินน่ะเป็นพวกกลุ่มคนที่เป็นขาประจำของโรงละครของบัวร์เล็ต หรือจะเรียกว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของกลุ่มพวกเราก็ได้ พวกเขาเป็นพวกเคร่งในกฏระเบียบมาก แทบไม่มีครั้งไหนเลยที่พวกเขาจะปล่อยโอกาสให้แฟนคลับธรรมดาๆได้เข้ามาประชิดตัวริน

    “เอ่อ... ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก...” รินก้มหน้า “ฉันหมายถึงเลนน่ะ...”

    “...”

    รินส่งสายตาไปยังฝาแฝดชายของเขา เลนดูท่าทางนิ่งมาก หน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆเลยแม้แต่น้อย

    “อ้อ แฟนคลับเลนเองสินะ... ถึงจะเป็นบอดี้การ์ดของรินก็เถอะ แต่เจอพลังของแฟนคลับเลนเข้าไปก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้อยู่ดี” ไคโตะพยักหน้า “พวกแฟนคลับเลนน่ะเป็นพวกหัวสูงมากๆ หยั่งกับบูชาเลนเป็นเทพเจ้าแหน่ะ”

    “จริงด้วย” ลูกะเข้ามาเสริมแล้วมองไปที่เลน “เธอน่าจะแนะนำฉันมั่งนะว่าเธอทำยังไงถึงจะทำให้แฟนๆหลงใหลเธอได้ขนาดนั้น คงจะเป็นวิธีดีๆที่จะหาผู้ชายดีๆได้เยอะเชียวแหละ”

    เลนดูหน้านิ่งเหมือนอย่างเคย หน้าตาของเขาดูน่าเบื่อนิดๆ สงสัยจะเป็นเพราะพวกแฟนคลับที่เคยตามตื้อเขานั่นแหละ

    แฟนคลับของเลนน่ะ ถึงแม้ว่าจะมีผู้หญิงเยอะก็ตาม แต่พวกผู้ชายก็มีเยอะไม่แพ้กัน โดยส่วนมากแล้วแฟนคลับผู้ชายของเลนน่ะจะเป็นพวกผู้ดีที่ร่ำรวย เจ้าของธุรกิจ ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นักการเมืองต่างๆ พวกเขาจะคอยสนับสนุนเลนด้วยทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากๆอยู่เสมอ และจะคุยกับเลนเป็นบางครั้งบางคราวเมื่อเห็นเขาเดินเพ่นพ่านอยู่ในเมือง

    กลุ่มคนพวกนี้น่ะคอยเป็นสปอนเซอร์ให้กับเลนและรินอยู่ตลอด ส่วนลูกะก็ทำงานเป็นโมเดลเพื่อที่จะดึงดูดกลุ่มคนพวกนี้ นักแสดงทุกคนน่ะมีแฟนคลับเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะไคโตะและเมย์โกะที่มีความสามารถในการแสดงที่โดดเด่น การทำงานร่วมกันแบบนี้น่ะเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจของบริษัทบัวร์เล็ตให้ยังคงทำงานต่อไปได้

    แต่วันนี้ฉันคิดว่ารินดูท่าทางแปลกไปจากปกติ ยังไงก็ตาม ในบทละครสุดพิเศษในยามค่ำคืนนี้น่ะ รินจะแสดงเป็นตุ๊กตาหญิงสาว และการแสดงของเธอก็ทำให้เธอดูเหมือนกับว่าตุ๊กตาได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

    ตุ๊กตาหญิงสาว... ผู้ที่มีทั้งความไร้เดียงสาและความโง่เขลาอยู่เล็กๆ แน่นอนว่าตุ๊กตาน่ะสามารถพูดและเดินได้อยู่แล้ว แต่การที่เธอกำลังเอาหัวพิงประตูอยู่ก็แสดงว่าเธอกำลังจะฝึกฝนทักษะด้าน “ความโง่” อยู่สินะ...

    “ฉันพึ่งนึกขึ้นได้!” รินเงยหน้าขึ้นมา “ฉันมีธุระที่ห้องหมายเลขสอง! ไปก่อนนะทุกคน!”

    จากนั้นตุ๊กตาหญิงสาว หรือริน ก็วิ่งออกไปจากห้องอย่างเร่งรีบ เมื่อรินออกไปแล้ว เลนก็เข้ามาปิดประตูและก้มหัวสวัสดีทุกคน เขาดูเหมือนว่าจะรู้สึกผิดมากกับการที่เขามาสายมาก และเมื่อเขาสวัสดีทุกคนเสร็จแล้ว เขาก็เข้ามาสวัสดีฉันเช่นกัน

    “สวัสดีครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “สะ... สะ... สวัสดีค่ะ” ฉันพูดอย่างตะกุกตะกัก

    “...”

    เขาเด็กกว่าฉันสองปี แต่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มนักแสดงนี้แล้วมามากกว่าห้าปี เลนน่ะเป็นคนที่โด่งดังมาก เช่นเดียวกับฝาแฝดหญิงของเขา พวกเขาน่ะเป็นที่รู้จักกันดีมากในกลุ่มบัวร์เล็ต แต่ถึงแม้ว่าเขาจะยังเด็ก เขาก็มีนิสัยที่ค่อนข้างขี้อายอยู่เล็กน้อย แถมเขายังมีอิทธิพลมากจากการหนุนหลังของแฟนคลับของเขา ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะพูดตะกุกตะกักเมื่อได้คุยกับเขา

    “อย่าเครียดไปเลยครับ วันนี้ก็เหมือนทุกๆวันน่ะแหละ” เลนบอกกับฉัน

    “เอ๊ะ!?” ฉันตกใจเล็กน้อย แต่เขากลับไม่พูดอะไรต่อ เขาหันหลังใส่ฉันและเดินไปหาเมย์โกะ ฉันมาคิดทีหลังว่านี้คือคำช่วยเหลือจากเขาสินะ จริงๆแล้วฉันไม่เคยคุยกับเขาเลยนอกเหนือจากการที่เรามาซ้อมละครด้วยกันเท่านั้น เพราะเหตุใดฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันรู้สึกว่าคำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากปากเขามันช่างดูอ่อนโยนมากเลย

    เขาทำให้ฉันมีความสุข...

    และแน่นอนว่าตอนนี้ฉันก็รู้สึกผ่อนคลายลงไปได้บ้างแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะถูกเลือกให้เป็นนักแสดงนำทั้งๆที่ฉันไม่ค่อยมีความสามารถอะไรเลย และฉันก็ค่อนข้างมั่นใจว่าผู้ชมหลายๆคนคงจะไม่ชอบฉัน แต่คนหลายๆคนที่อยู่ที่นี่และฝึกซ้อมบทละครด้วยกันกับฉันนั้นใจดีกว่าที่ฉันคิดไว้มากเลย บางครั้งฉันก็คิดว่านี่คือบ้านหลังที่สอง หรือมันอาจจะดีกว่าก็ได้ด้วยซ้ำไป

    “เอาล่ะ! คุยกันพอแล้ว” เมย์โกะหันมามองฉันกับเลน “พวกเธอสองคนไปที่ห้องแต่งตัว ไปเปลี่ยนชุดและใส่เมคอัพให้เรียบร้อยด้วยล่ะ เหลือเวลาอีกนิดเดียวแล้วนะ”

    “คะ... ค่ะ” ฉันก้มหน้าและวิ่งออกไปจากห้องหมายเลขหนึ่ง และเลนก็วิ่งตามฉันมาติดๆ

    ...

    เมื่อฉันแต่งตัวและทาเครื่องสำอางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็มานั่งทบทวนบทอย่างเงียบๆสักสามนาทีก่อนที่จะออกจากห้องแต่งตัว ซึ่งเมื่อฉันกลับมาที่ห้องหมายเลขหนึ่งก็เลยบ่าย 3 โมงมา 5 นาทีแล้ว เหลืออีกแค่สองชั่วโมงเท่านั้นก่อนที่งานจะเริ่ม พวกเราทั้งหมดมารวมตัวกันที่ห้องนี้และเช็คบทเป็นครั้งสุดท้าย แต่ว่า... ยังเหลืออีกตั้งสองคนแหน่ะที่ยังไม่มาปรากฏตัวในห้องนี้เลย

    “เอ่อ... อีกสองคนนั่นไปไหนน่ะ เหลือเวลาอีกแค่สองชั่วโมงเอง ทำไมพวกนั้นยังไม่มาอีกนะ” ลูกะบ่นลอยๆ

    “จริงๆเล้ยสองคนนี้” ไคโตะถอนหายใจ “ฉันอุตส่าห์เตือนแล้วเตือนอีกตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะว่าอย่ามาสาย เฮ้อ... พวกเขาน่าจะรู้นะว่าการมาตรงต่อเวลามันสำคัญแค่ไหนกับการเป็นนักแสดง”

    สองคนนั้นที่ลูกะและไคโตะบ่นขึ้นมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน... ก็นักแสดงที่อยู่ในบทละครนี้นั่นแหละ!

    “อ่า...ใช่” เมย์โกะพูดเข้ามา “โดยเฉพาะกุมินะ ฉันคิดว่าเธอน่ะแย่เรื่องเวลาเสมอ แต่เธอก็ไม่เคยมาสายเกิดกว่าเดดไลน์เลยนะ ครั้งล่าสุดที่ฉันเคยเห็นเธอมาสายสุดน่ะก็ตั้งหนึ่งนาทีก่อนการแสดงแหน่ะ”

    “มันใช่เรื่องมั้ยเนี่ย...” ลูกะดูท่าทางจะไม่ยินดีด้วย “แล้วกาคุล่ะ?”

    “กาคุหรอ? ฉันคิดว่าเขาน่าจะอยู่ตรงเวทีนะ ฉันเห็นเขาจัดฉากเวทีตั้งแต่เช้าแล้ว” ไคโตะตอบเธอ “แต่จะว่าไปแล้ว... เขาก็น่าที่จะเสร็จได้แล้วนะป่านนี้...”

    “แต่ก็นะ...” ลูกะส่ายหัว “มีตัวป่วนสองตัวแบบนี้คงทำให้ฝึกซ้อมด้วยกันยากหน่อย แต่พูดถึง... พวกเขาสองคนนั่นเล่นเป็นอะไรนะ?”

    “พ่อบ้านกับแม่บ้านไง คอยรับใช้ “คุณหญิง” น่ะลืมไปแล้วหรอ ฮ่าๆๆๆ” ไคโตะหยอกล้อ

    ลูกะถอนหายใจ “เฮ้อ... ถ้าจะต้องให้มีพวกคนรับใช้ตัวป่วนแบบนั้นนะฉันขอไม่เอาดีกว่า”

    พูดถึงตัวบทละคร บทละครที่ฉันต้องเล่นน่ะมีทั้งหมด 8 ตัวละครด้วยกัน คนแรกเป็นเจ้าของแมนชั่นเก่าๆที่มีภรรยาที่ชอบเข้าสังคมจัดอยู่ด้วยหนึ่งคน ทั้งคู่มีลูกบุญธรรมจอมเอาแต่ใจหนึ่งคน และแม่บ้านกับพ่อบ้านตัวแสบอย่างละคน รวมไปถึงตุ๊กตาสองตัว และที่ขาดไม่ได้ เด็กหญิงซึ่งหลงทางอยู่กลางป่า ซึ่งนั่นก็คือฉันนั่นเอง

    ถ้าให้ฉันดูตัวละครที่อยู่ในบทนี้แล้ว แต่ละตัวละครที่พวกเราได้รับกันมานั้นมันช่างตรงกับลักษณะนิสัยของเราเสียจริง ก็อย่างตัวละครที่ฉันเล่นในบทน่ะก็คือเด็กสาวผู้หลงทางซึ่งมีนิสัยชอบความโดดเดี่ยว ชอบคิดอะไรตามลำพัง ซึ่งฉันก็คิดว่ามันก็ตรงกับที่ฉันคิดไว้อย่างน่าประหลาด
    นั่งอ่านเพลินดีนะครับ


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top