ช่องราคา มุมมองของนักเก็งกำไร

[joker]

หุ้นแต่ละตัวมีราคาที่แตกต่างกัน หุ้นบางตัวมีราคาต่ำ อาจจะเป็นระดับบาทสองบาท หุ้นบางตัวมีราคาสูง ราคาอาจเกือบ 100 บาทต่อหุ้นก็มี ถ้าเราจะเลือกหุ้นที่จะซื้อสักตัวนึง โดยหุ้นทั้ง 2 ตัวนี้มีความน่าสนใจเหมือนๆกันเช่น มีคนเข้ามาเล่นมากพอๆกัน (Volume) มีความเคลื่อนไหวของเราคาใกล้เคียงกัน เราจะใช้กฎเกณฑ์อะไรมาเป็นตัวกำหนดว่า หุ้นตัวไหนเป็นหุ้นที่น่าเล่นมากกว่ากัน



ตัวอย่างเช่นหุ้น 2 ตัวด้านบน
- QH ราคา 2.58 บาท
- TF ราคา 168 บาท

ถ้าให้เลือกหุ้น 1 ใน 2 ตัวนี้มา 1 ตัว จะเลือกตัวไหน หากหุ้นทั้ง 2 ตัวมีคุณสมบัติเหมือนกัน, ผลประกอยการมีกำไรใกล้เคียงกัน, การเติบโตในอนาคตดีเหมือนกัน (บลา..บลา..บลา.. ) พูดง่ายๆก็คือถ้ามองแค่ราคาของหุ้นทั้ง 2 ตัวควรจะเลือกอย่างไรนั่นเอง

ผู้ที่ใหม่ต่อการเล่นหุ้นหลายคนอาจจะคิดว่า หุ้นที่มีราคาสูง เหมาะสำหรับคนที่มีทุนเยอะ และการเล่นหุ้นที่มีราคาสูงๆ มักจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่าหุ้นที่มีราคาต่ำ ความคิดนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถูกต้องนัก การที่เราจะได้รับผลตอบแทนสูงหรือผลตอบแทนต่ำ ขึ้นอยู่กับผลต่างของราคาที่ซื้อกับราคาขายว่าต่างกันเท่าไร รวมทั้งช่องราคา (spread) ที่เปลี่ยนไป ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกหุ้นตัวใดตัวนึง เราควรจะต้องรู้เรื่องของความห่างของช่องราคาก่อน ช่องราคา (spread) คือระยะห่างระหว่างราคาหุ้น ซึ่งระยะห่างนี้จะแตกต่างกันเมื่อราคาหุ้นเปลี่ยนไป ดังภาพด้านล่าง



หุ้นทั้ง 2 ตัวหากดูระยะห่างของช่องจะพบว่า QH นั้นมีระยะห่างของช่องคือ 0.02 โดยจะมีราคาเรียงกันดังนี้ 2.58 - 2.60 - 2.62 - 2.64 .............
ส่วน TF จะมีระยะห่างระหว่างช่องคือ 0.50 โดยจะมีราคาเรียงกันดังนี้ 168.00 - 168.50 - 169.00 - 169.50 ................
หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อหุ้นทั้ง 2 ตัวขึ้นไป 1 ช่อง QH จะขึ้นไป 0.77% ในขณะที่ TF จะขึ้นไปเพียง 0.29% เท่านั้นเอง นั่นหมายถึงหากเราซื้อหุ้น QH และ TF ในจำนวนเงินที่จ่ายไปเท่ากัน เราจะได้รับผลตอบแทนจาก QH มากกว่าที่เราจะไปซื้อหุ้น TF นั่นเอง



มุมมองอีกอย่างนึงของคนเล่นเกมที่เอามาใช้กับการเล่นหุ้นได้ก็คือ มุมมองของความเสี่ยงที่น้อย เมื่อแลกกับผลตอบแทนที่มาก ขอให้ดูหุ้นที่อยู่ดังภาพด้านล่าง เราจะเห็นว่า หุ้น SVI นี้อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงระยะห่างของราคาพอดี นั่นคือราคาจะมีช่องราคา 0.02 และ 0.05 อยู่ด้วยกัน (4.96 - 4.98 - 5.00 - 5.05 - 5.10) การเล่นหุ้นที่มีช่องราคาแบบนี้ จะเป็นผลดีในเรื่องของจิตวิทยา และผลตอบแทน สมมุติว่าเราซื้อหุ้น SVI ในราคา 5.00 บาท เป็นจำนวน 1,000 หุ้น เราจะต้องใช้เงินเป็นจำนวน 5,000 บาท และหากหุ้นตัวนี้ตกลงไป 1 ช่อง ราคาหุ้นจะเหลือ 4.98 บาท มูลค่าของหุ้นที่เรามีคือ 4,980 บาท หรือขาดทุน 20 บาท แต่ถ้าหุ้นนี้ขึ้นไป 1 ช่อง ราคาของหุ้นจะเป็น 5.05 บาท มูลค่าของหุ้นที่เรามีก็คือ 5,050 บาท หรือได้กำไร 50 บาท



หากจะพูดง่ายๆก็คือ หากหุ้นมีราคาลดลง จะลดลงเพียงครั้งละ 0.40% เท่านั้น แต่หากหุ้นขึ้น เราจะได้ผลตอบแทนมากถึง 1.00% เลยทีเดียว มุมมองแบบนี้ จะทำให้เรามองหาหุ้นที่น่าสนใจที่จะลงทุนได้ หากมีหุ้นที่ต้องเลือกซื้อตัวใดตัวหนึ่ง หรือสามารถใช้ในการเก็งกำไร โดยใช้ประโยชน์จากช่องราคาครับ