ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

กำลังแสดงผล 1 ถึง 5 จากทั้งหมด 5
  1. #1
    สมาชิกใหม่
    วันที่สมัคร
    Jun 2017
    กระทู้
    3
    กล่าวขอบคุณ
    1
    ได้รับคำขอบคุณ 1

    นิยายแฟนตาซี The red artifact advanture : เจ้าชายสุธนกับห้าอาณาจักรโบราณ

    บทเกริ่น การค้นพบ

    ปล. ตัวอักษรที่ ทำตัวหนาจะแสดงถึงภาษาของชนชั้นสูง ที่มีมนตราไว้สื่อสารกับชนชั้นสูงทั่วโลกเพียงภาษาเดียวนอกจากเป็นเพียงแค่ภาษาต่ำที่ชนชั้นสูงประดิษฐ์ไว้ให้ประชากรของตัวเองสื่อสารกันภายในอาณาจักรของตน

    บทเกริ่น การค้นพบ


    คุณเชื่อว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตแห่งอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ครอบครองวิทยาการล้ำสมัยหรือไม่ ?

    บ้างลือบ้างเล่าอ้างว่าอารยธรรมเหล่านั้นติดต่อกับคนจากนอกโลกหรือแม้กระทั่งเป็นผู้มาเยือนจากอวกาศเสียเอง

    บ้างก็ว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันของนักแต่งนิยายสติเฟื่องคนนึงเท่านั้น....

    มนุษย์อย่างพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตแรกและชนิดเดียวที่อุดมปัญญาท่ามกลางสายพันธุ์นับไม่ถ้วนบนโลกนี้ จริงหรือเปล่า...

    “ ผมเคยเชื่อว่าไม่จริง แต่ตอนนี้ ...!! ผมคิดว่าเมื่อก่อนมีมนุษย์หรือบางอย่างรูปร่างคล้ายพวกเราแต่ทรงพลัง ชาญฉลาดกว่ามีวิทยาการอันน่าทึ่งแบบไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงดังยุคปัจจุบัน

    ผมคงไม่อาจหาคำอธิบายได้อย่างชัดเจนนอกจากคำว่าเป็นวิทยาการจากเวทมนต์ !!! การค้นพบครั้งนี้อาจจะพลิกผันประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว ”

    นักโบราณคดีวัยกลางคนในชุดนักสำรวจรูปร่างผอมเกร็งท่าทางแข็งแรงกว่าคนรุ่นเดียวกันกำลังเสนอการค้นพบอันยิ่งใหญ่ผ่านทางสไลด์สรุปและหลักฐานโบราณวัตถุต่างอารยธรรมจากทั่วโลก มาสนับสนุนการนำเสนอเรียงรายอยู่บนโต๊ะ

    ท่ามกลางห้องประชุมอันมืดสลัวจนเงามืดบดบังใบหน้าผู้รับชมการนำเสนอหลายคน

    “ ผะ ผม เชื่อว่าที่ตั้ง 5 อารยธรรมโบราณเหล่านั้นตั้งอยู่ในดินแดนแถบนี้ !! ” ระหว่างกล่าวเขาชี้ไปยัง 5 จุดบนแผนที่หนึ่งในนั้นอยู่บริเวณอินเดียในปัจจุบัน

    “ แปะ แปะ แปะ ” เสียงตบมือจากผู้รับชมทุกคนดังสนั่นทั่วห้อง

    “ ไม่เสียแรงที่พวกเราออกเงินสนับสนุนจริงๆ คุณโจนส์.... คุณทำได้ยอดเยี่ยมมากครับ ” ผู้ชมคนนึงกล่าวชื่นชมออกมาทุกอย่างดูดำเนินไปด้วยดีสำหรับนักโบราณคดีกระทั่ง

    “ ทว่า... การค้นพบครั้งนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไปจากห้องนี้ ” น้ำเสียงเย็นชากล่าวตัดขึ้นมาจนโจนส์ผงะ

    ก่อนที่เขาจะได้กล่าวอะไรโต้แย้ง ผู้ประชุมคนนึงลุกขึ้นมาจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหานักโบราณคดี

    กระทั่งใกล้พอที่แสงสว่างจากสไลด์จะเผยโฉมสตรีวัยกลางคนในชุดราตรีธรรมดา มือข้างนึงถือเครื่องดื่มสีโลหิตในแก้วไวน์

    ทว่านักโบราณคดีกลับรู้สึกผวาจนตัวสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้นสตรีในสายตาจะดูเหมือนหญิงวัยกลางคนธรรมดา

    “ ดิฉันขอถามคุณโจนส์หน่อยคะ คุณโจนส์คิดว่าในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติทรัพยากรอะไรบริหารยากที่สุดแต่ก็เป็นทรัพยากรอันทรงคุณค่าที่สุด ? ” หญิงวัยกลางคนกล่าวถามด้วยรอยยิ้มหวาน นักโบราณคดีตัวสั่น เหงื่อท่วมกาย แม้นห้องหนาวเหน็บด้วยเครื่องปรับอากาศ ณ วินาทีนี้ การส่ายหัวตอบกลับก็เต็มกลืนแล้ว

    “ ทรัพยากรมนุษย์ไงล่ะคะ พวกเราอยากจะให้ลิงเหล่านั้นเชื่อว่า‘เวทมนต์’ เป็นเพียงแค่ของงมงายเท่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขายึดถือในยุคสมัยใดๆจะต้องเป็นไปตามที่พวกเราต้องการเท่านั้น

    พวกมันจะเชื่อว่าพวกมันมีเสรีภาพแม้นเต้นระบำตามใยที่พวกเราชักไว้ หากเป็นสมัยนี้ใครๆก็คงเรียกใยนั้นว่า ‘ประชาธิปไตย’ กระมังคะ ” สตรีผู้นั้นยังคงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มอันอำมหิต พอฟังจบนักโบราณคดีโจนส์เก็บงำความกลัวไม่ไหวจนสติแตก

    “ ยะ อย่าฆ่าผมเลย !!!!!! ผะ ผมสัญญาว่าจะไม่พูดออกไปแน่ๆ ” ตะโกนออกมาอย่างหวาดผวา วินาทีนั้นฝ่ามืออันเย็นเฉียบของหญิงผู้นั้นเข้ามากุมมือนักโบราณคดี

    “ อย่ากลัวไปเลยค่ะ คุณจะมีชีวิตอยู่แน่นอน ” เธอกล่าวปลอบใจด้วยสีหน้าสงบปิดตาทั้งสองข้าง

    “ แม้นพลังชีวิตนั้นจะไหลเวียนในตัวดิฉันก็ตามเถิด !! ” แล้วลืมขึ้นมาด้วยดวงตาอมนุษย์ เบ้าตาดำดุจราตรีอันไร้จันทราแต่นัยน์ตาดำนั้นเรืองแสง พร้อมทั้งเขี้ยวอันแหลมคม

    ไม่ช้าร่างของนักโบราณคดีนั้นดูแก่ชราขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นซากแห้งผากล้มลงไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา ผิดกับสตรีวัยกลางคนนางนั้นกลับกลายเป็นเป็นหญิงสาสละสลวย ผิวพรรณเต่งตึงแทน

    “ จงภูมิใจเสียเถอะที่ลิงอย่างเจ้ามีโอกาสเป็นส่วนนึงของแผนการอันยิ่งใหญ่ของพวกเราส่วนครอบครัวของเจ้าจะอยู่กินดีตลอดไปข้าสัญญา ”

    ระหว่างกล่าวเธอหยิบกระจกขึ้นมาส่องใบหน้าอ่อนวัยของตนครู่หนึ่ง ก่อนที่ผู้เข้าร่วมประชุมชายอีกคนจะพูดขึ้นมา

    “ ข้าเองก็อยากมีพลังมนตราแห่งโลหิตแบบเจ้านะ จะได้คงความหนุ่มสาวไปตลอดกาลได้แม้นพวกเราจะมีอายุขัยมากกว่าลิงพวกนั้น ...แต่ก็หนีความชราภาพไม่พ้นอยู่ดี ”

    ชายคนนึงในที่ประชุมกล่าวระหว่างเสกดวงไฟดวงเล็กจากนิ้วมือพักนึงแล้วทุบโต๊ะอย่างเดือดดาล

    “ ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งแค้น หากไม่ใช่เพราะมันล่ะก็ พวกเราที่สมควรมีพลังมนตราดุจพระเจ้ากลับต้องมาตกต่ำเพียงนี้ แถมยังลงคำสาปไม่ให้พวกเราเข้าไปย่างเท้าในที่ที่เคยเป็นของพวกเราจนต้องให้ลิงพวกนี้เอาเสนียดไปติดเพื่อค้นหาเบาะแสสิ่งที่เคยเป็นของพวกเรา !!! ”

    “ จงอยู่ในความสงบ !!! ” น้ำเสียงกังวานทรงพลังสนั่นห้องบรรยากาศรอบห้องเงียบโดยพลัน ทุกสายตาจ้องมองไปยังบุคคลลึกลับสวมหมวกอารยธรรมโบราณในเงามืดแลเห็นเพียงดวงตาเปล่งอักขระลึกลับเรืองแสงท่าทางน่าเกรงขามและลี้ลับที่หัวโต๊ะ

    บุคคลลึกลับเริ่มกล่าวปราศรัยให้ทุกคนฟัง

    “ ในสมัยอดีตกาลแม้นพวกเราเคยแบ่งแยกด้วยอาณาจักรโบราณเพื่อสนองอุดมการณ์เดียวกันจนเลยเถิดไปเป็นสงคราม ทว่าตอนนี้เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะพวกเราเหลือน้อยเต็มทน

    อีกไม่นานหอคอยแห่งพลังมนตราที่ถูกปิดผนึกกำลังจะหวนคืนมาอีกคราและคราวนี้พวกเราจะบรรลุเป้าหมายที่บรรพบุรุษเราตั้งไว้ !!!

    ครานี้เมื่อลิงทั่วโลกาพร้อมใจเปล่งวาจาเป็นภาษาเดียวกันด้วยถ้อยคำที่เราประสงค์ทุกถ้อยคำเราจะเอื้อมมือไปถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน!!!

    พวกเจ้าทุกคนจงส่งลิงรับจ้างไปสำรวจตามข้อมูลของคุณโจนส์ หากจำเป็นล่ะก็จงปิดปากพวกมันได้เลย !!”

    พอสิ้นคำปราศรัย ผู้ประชมทุกคนลุกขึ้นมาเอามือทุบอกของตน

    “ เพื่อยูโทเปียบนยอดหอคอยบาเบล !!” เปล่งภาษาลึกลับอันเป็นรากของทุกภาษาบนโลกแต่ละคำดูน่าเกรงขาม น่าเลื่อมใส แล้วเดินออกจากห้องทิ้งบุคคลลึกลับ ณหัวโต๊ะไว้เพียงลำพังในท่าทางรำพึงรำพัน

    "................... สุธนหนึ่งในพี่น้องร่วมสาบานเอ๋ย ข้าจำวันนั้นได้ดีในยุคแห่งเวทมนต์อาคมเมื่อลิงพวกนั้นนับถือพวกเราดุจสมมติเทพ หนึ่งแสนสามปีผ่านมาแล้วกระมัง ”

    ย้อนไป 130000 ปีก่อนคริสต์ศักราช

    ในห้องประชุมลึกลับมืดสลัว มีเพียงแสงรำไรจากเปลวเทียนมนตราสีฟ้าลุกไหม้โดยปราศจากเชื้อเพลิง ณใจกลางห้องปรากฏโต๊ะศิลาโบราณห้อมล้อมด้วยเก้าอี้หกตัวแต่ตอนนี้เว้นว่างไว้ตัวนึง

    บรรยากาศดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งห้าต่างนั่งด้วยกิริยาสง่างาม ไม่กระดุกกระดิกดังปุถุชนแม้แต่น้อย

    กระทั่งประตูห้องศิลาสลักลายโบราณอันวิจิตรเลื่อนเปิดออก ภาพหนุ่มฉกรรจ์หน้าคมสัน จมูกโด่ง ตาขึงขังผิวสีคล้ำดุจชาวอินเดียอารยัน ผมดำยาวและยุ่งแต่งกายด้วยผ้าโพกไหล่ข้างเดียว กางเกงทรงพอง รองเท้ากษัตริย์ปลายชี้สูง จุดดำบนหน้าผากเด่นเป็นสง่า

    ผู้ประชุมคนนึงหันมากล่าวทักทาย

    "ยินดีต้อนรับ เจ้าชายสุธนแห่งอาณาจักรอินดัส (อินเดีย) ผู้เป็นพี่น้องของเรา เจ้าชายแห่งสี่อาณาจักร ”
    ระหว่างการประชุมดำเนินไปนกตัวหนึ่งได้โบยบินขึ้นฟากฟ้า จนแลเห็นแผ่นดินแห่งห้าอารยธรรมโบราณเบื้องล่าง

    ส่วนนอกเขตอาณาจักรเหล่านั้น เต็มไปด้วยสัตว์ยุคน้ำแข็ง มนุษย์ยุคหินไร้อารยธรรมร่อนเร่ไปมา

    จนมันบินไปเกาะต้นแขนสตรีร่างครึ่งบนเป็นหญิงสาวครึ่งล่างเป็นนกสยายปีกขาวเปล่งประกายจากเส้นไหมสีขาวเรืองแสงนับไม่ถ้วนร้อยรวมกันนัยน์ตาอินทรีสีเทา เฝ้ามองความเป็นไปของโลกจากเบื้องบน

    “ฟันเฟืองแห่งชะตากรรมได้หมุนขึ้นเมื่อเจ้า!! สุธนได้พบกับนางผู้นั้น ..... ”

    จบบทเกริ่น และ..

    ยินดีต้อนรับอยู่มหากาพย์แห่งผลึกสีแดงทุกท่าน

    ปล. ตัวอักษรที่ ทำตัวหนาจะแสดงถึงภาษาของชนชั้นสูง ที่มีมนตราไว้สื่อสารกับชนชั้นสูงทั่วโลกเพียงภาษาเดียวนอกจากเป็นเพียงแค่ภาษาต่ำที่ชนชั้นสูงประดิษฐ์ไว้ให้ประชากรของตัวเองสื่อสารกันภายในอาณาจักรของตน

    ปล.2 หากไม่ชอบตรงไหน การจัดวางหน้า สำนวน กรุณาช่วยชี้แนะ โพสบอกวิจารณ์ด่าเลยก็ได้ครับ จะเป็นพระคุณอย่างมาก แต่ถ้าชอบโพสชมก็ดีนะครับแหะๆ



    ตอนที่ 1 บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

    ตอนที่ 1 บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

    130,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก่อนยุคน้ำแข็งใหญ่มาเยือน ณ ดินแดนอินเดียที่ตั้งของอาณาจักรอินดัสโบราณ

    จากพงไพรหมู่บ้านเล็กเลียบริมโขงเข้าไปนครหลวงแห่งอาณาจักรอินดัส มากด้วยสถาปัตยกรรมอินเดียสูงใหญ่ตระหง่านสลับบ้านหลังเล็กหลังน้อยของชาวบ้าน ลึกเข้าไปในอาณาจักรอินดัส ผู้คนมากหน้าขวักไขว่บนท้องถนนแต่งตัวต่างกันโดยวรรณะ บ้างเดินไปมา บ้างพูดคุยกัน บ้างฝึกศาสตราอาวุธและมนตรา บ้างโยคะบำเพ็ญตนในเพลาเที่ยงวัน

    ณ หน้าประตูวังแห่งกษัตริย์กับกำแพงหินผาสูงใหญ่สลักลายงดงาม กลุ่มชาวบ้านนุ่งห่มน้อย ปกปิดเพียงจุดสำคัญ ผู้ชายโพกหัวไว้หนวด เข้ามาร้องทุกข์กับทหารยามสวมเกราะหนักลวดลายอินเดียมือถือหอกกับโล่ท่าทางแข็งขันสองนาย

    “ข้าบอกแล้วไงว่าตอนนี้องค์ชายทรงเสด็จประพาสต่างแดน ส่วนพระเจ้าอยู่หัวทรงติดราชการแผ่นดินอยู่” ทหารเฝ้าประตูนายนึงกล่าวเสียงแข็ง

    “ตะ แต่ว่า หลายชั่วยามพวกเราต่างเห็นกลุ่มคนมีพลังมนตรา ท่าทางลับลมคมในมาป้วนเปี้ยนแถวบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าจะเป็นเหตุอาเพศ กรุณาส่งผู้ใดมาตรวจสอบด้วยเถิด”

    ทหารสองนายมองหน้ากันและกันไม่รู้จะทำเช่นใดส่วนชาวบ้านยังคงอ้อนวอนต่อไป ทันใดนั้นเอง

    “ข้าในฐานะเสือหมอบแมวเซา (สายลับ) คนสนิทของเจ้าชายสุธนขออาสาไปสืบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง” น้ำเสียงทุ้มไม่เสนาะหูดังจากเบื้องหลังกลุ่มชาวบ้าน

    ปรากฏชายผิวคล้ำร่างใหญ่หนวดเฟิ้มผมเผ้ารุงรังตามตัวเต็มไปด้วยอุปกรณ์ล่าสัตว์แบกคันธนูไว้บนหลังเนื้อตัวคละคลุ้งด้วยกลิ่นพงไพร

    “พรานบุญ! เช่นนั้นพวกข้าคงต้องรบกวนท่านด้วย”

    หลังจากชาวบ้านเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดแก่พรานต่างแยกย้ายกันกลับไป ส่วนพรานเดินตามถนนพระนครพลางครุ่นคิดในใจ

    ในพระนครช่างมากด้วยผู้คนหลายวรรณะ พวกชนชั้นสูง (High born) ว่ากันว่ามาจากดินแดนไกลโพ้น ครอบครองศาสตราเวทมนต์มีภาษาชั้นสูงเฉพาะ ตระกูลชนชั้นสูงที่ทรงพลังและแก่กล้าด้วยบารมีจะเป็นผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้และอาณาจักรแห่งดินแดนไกลโพ้นจากวาจาขององค์ชายผู้เป็นพระราชโอรสแห่งมหาราชาอาทิตยวงศ์

    นอกนั้นเป็นนักปราชญ์ ข้าราชการ หรือนักรบชั้นสูงผู้เชี่ยวชาญทั้งมนตราและลมปราณผ่านการบำเพ็ญตนลือลั่นกันว่าตัวเบาจนเดินบนผิวน้ำได้ กายาแข็งดุจเหล็กกล้า

    ส่วนชนชั้นล่าง (low born) ต่างเป็นผู้น้อย ข้าแผ่นดิน อยู่ภายใต้การปกครองของพระราชวงศ์และทหารอันเกรียงไกร

    สุดท้ายเฉกเช่นตัวข้าลูกครึ่ง (half born) ว่ากันว่าแม้ชนชั้นสูงแม้นทรงพลัง แต่ก็มีบุตรยาก บางคนยอมเลือกชนชั้นล่างมาเป็นคู่ครองเพื่อให้สายเลือดของตนสืบทอดต่อไป หากฟ้าเป็นใจลูกครึ่งบางคนสามารถใช้มนตราได้ไม่แพ้ชนชั้นสูง ผิดกับตัวข้าไร้วาสนาจะใช้มัน ต้องเป็นพรานดำรงชีพจนได้รับพระเมตตาจากองค์ชาย

    ตกเย็นอุทัยลับฟ้ามอบนภาแก่จันทราเพียงชั่วยาม

    พรานบุญลัดเลาะตามพุ่มไม้อย่างคล่องแคล่วเงียบเชียบด้วยประสบการณ์ชาวป่าชั่วชีวิตมุ่งไปบ่อน้ำมหัศจรรย์น้ำใสดุจแก้วปรากฏละอองแสงลอยขึ้นมาตลอดเวลา ริมสระมากด้วยบุปผานานาพันธุ์ล้วนเติบโตงดงามเปล่งปลั่งกว่าดอกไม้ทั่วไป

    ว่ากันว่าหากเอาน้ำไปรดพืชผักชนิดใดจะงอกเงยออกผลงดงามและเลิศรสดุจสวรรค์ประทาน

    มิรอให้เวลาผ่านไปโดยสูญเปล่า พรานฉมังตระเตรียมจุดเฝ้ามอง ณ ยอดไม้สูง พร้อมวางกับดักเผื่อทางหนีทีไล่ หากสถานการณ์ไม่เป็นไปดั่งที่คาด

    พลบค่ำผ่านพ้นไป ความมืดสงัดเข้ามาแทนที่ มีเพียงเสียงพฤกษาลู่ลมปนเสียงแมลงราตรี

    พรานยังคงซ่อนเร้นบนจุดเฝ้ามองอย่างไม่ลดละกระทั่งได้ยินเสียงกลุ่มคนฝ่าพฤกษาเข้ามาบริเวณริมสระ คนนึงห่มผ้าดำเยี่ยงพราหมณ์สักทั่วกาย

    ส่วนที่เหลือ 3 คนสวมชุดเกราะหนาสีดำ ลวดลายอินเดียแข็งกร้าวกว่าทหารนครแต่ที่เด่นสุดคือหน้ากากยักษ์ขขึงขังเขี้ยวยาวดวงตาเปล่งแสงอาคม

    พราหมณ์ห่มดำถือกระบอกปั้นดิ้นเผาแผ่ควันดำออกมา ก่อนจะนั่งประกอบพิธีร่ายมนต์คาถาจนฝุ่นรอบกายรวมตัวกันเป็นอักขระลึกลับนับไม่ถ้วนขยับไปมา

    แม้นไม่เข้าใจในเนื้อหาพิธีพรานรู้โดยสัญชาตญาณว่ามิอาจปล่อยให้มันดำเนินต่อไปได้ หากจะไปร้องขอความช่วยเหลือคงไม่ทันการหยิบลูกธนูขึ้นมาง้างคันธนูเล็งใส่จอมขมังเวทย์แล้วยิงออกไป ทว่า..

    กลับถูกจับได้โดยกองอารักขานายหนึ่ง มันหักธนูทิ้งด้วยมือเดียวราวกับไม้จิ้มฝันส่งสายตาเปล่งแสงชี้มาทางพรานบุญตะโกนบอกพรรคพวกให้ออกไล่ล่าทันที

    พรานบุญกระโดดลัดเลาะตามกิ่งไม้อัดคดเคี้ยวด้วยฝีเท้าอันปราดเปรียวว่องไวสลับกับเหลียวมองหลัง แม้นใส่เกราะหนักแต่พวกมันก็ว่องไวดุจลิงตามมาอย่างกระชั้นชิด

    ในที่สุดปรากฏคมดาบลึกลับบินมาเฉี่ยวหลังพรานจนเสียหลักผลัดตกลงมากระแทกพื้นจนนอนแน่นิ่ง

    ไม่ช้าผู้ไล่ล่าตามลงมาทำท่าจะแบกร่างพรานขึ้นหลัง ทันใดนั้นเองถูกพรานบุญที่รวบรวมลมปราณไว้ค่อยท่าอยู่แล้วใช้ฝ่ามืออัดกระแทกเข้าหน้าเต็มๆ จนเซไปข้างหลังปล่อยให้พรานถอยไปตั้งหลักได้

    แม้นลมปราณจากการบำเพ็ญตนของข้าจะไม่แกร่งกล้าเท่าชนชั้นสูงทว่าคงพอซื้อเวลาให้ตัวข้าได้ ข้าต้องกลับไปรายงานทางพระนครให้ได้ระหว่างบอกตัวเองในใจ กำลังจะออกวิ่งมือพลางกุมแผลบนหลังกลับต้องผงะ

    เมื่อไพรีในชุดเกราะตาเรืองแสงสองนายขวางหน้า นายนึงเสกกงจักรพลังงานโปร่งใสหมุนรอบนิ้วไปมาอย่างรวดเร็วดุจใบเลื่อย

    พลังพิศวงนั่นมันอะไรกัน! ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย? ความคิดหวั่นวิตกปนสงสัยวนเวียนในหัว ภายใต้ใบหน้าเคร่งขรึม ยืนตั้งรับสองศัตรูตรงหน้า

    “มันผู้นั้นเป็นของข้า!!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดกระหึ่มดั่งสายฟ้าฟาดก้องจากเบื้องหลัง

    สิ้นเสียงคอของพรานบุญเหมือนโดนบีบแน่นจนหายใจไม่ออกด้วยมือที่มองไม่เห็น ก่อนจะถูกพลิกตัวมาสบสายตาอริหน้ากากแตกเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา

    ใบหน้าเหมือนมนุษย์ยุคหินคล้ายลิงแต่เขี้ยวยาวดุจเสือโคร่งดวงตาเปล่งพลังงานออกมา หายใจเข้าออกเป็นไอ

    “สวะเช่นเจ้าริอาจมาขวางพิธีกรรมคืนชีพท่านราหูกระนั้นหรือบังอาจยิ่งนัก!!” อมนุษย์ตะคอกใส่หน้าพรานบุญที่สติกำลังเลือนหายแล้วสลบไปในที่สุด

    “...........................................................................................” ท่ามกลางสติเลือนราง แว่วเสียงร่ายอาคมด้วยภาษาลึกลับพอได้สติคืนมาสัมผัสได้ว่าแขนขาถูกตรึงด้วยพลังบางอย่าง รีบลืมตาโพลงขึ้นมา

    แลเห็นตัวเองอยู่กลางวงพิธีโดยมีพราหมณ์ชุดดำประกอบพิธี ส่วนองครักษ์ในชุดเกราะสามคนยืนคุมเชิงอยู่ เว้นแต่ตนที่หน้ากากแตกยื่นมือส่งพลังลึกลับตรึงแขนขาอยู่

    “ก่อนเจ้าม้วยมรณาข้าจะบอกเอาบุญพลังที่เจ้าประจักษ์อยู่คือพลังจิตที่ท่านราหูผู้ปกครองที่แท้จริงแห่งอาณาจักรนี้เป็นผู้ค้นพบผ่านการบำเพ็ญตนขัดเกลาจิตจนทรงพลัง

    ขณะที่พวกเขลาอย่างพวกเจ้าหยุดอยู่แค่ลมหายใจ!!! แต่จงภูมิใจเสียเถิดที่เจ้าจะเป็นส่วนหนี่งของช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ การคืนชีพของท่านราหู!

    ความรู้ที่ถูกลืมเลือน พลังจิตอันไร้ขีดจำกัด จะกลับมาผงาดอีกครา!! เลือดเนื้อของเจ้าจะเสริมมนตราให้แข็งแกร่งเป็นเท่าทวี!!

    โอ ท่านราหูผู้เสวยจันทร์ โปรดจงคืนชีพมาอีกครา ขจัดความเขลาบนโลกใบนี้ให้หมดสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ของท่านเถิดดดดดดดดดดดด!!!!!!”

    พรานบุญหัวใจเต้นระลึก หายใจไม่เป็นจังหวะ พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดจากบ่วงพลังจิตที่กั้นเขาระหว่างความเป็นความตายอย่างสุดชีวิตมิได้ใส่ใจคำสาธยายจากปากอมนุษย์เสียสติ

    กระทั่งเห็นดวงจันทร์บนฟากฟ้าถูกความมืดกลืนกินทีละเล็กน้อยจนมืดสนิททั้งดวงกระบอกเครื่องปั้นดินเผาแผ่ควันสีดำเปล่งแสงออกมาแล้วลอยขึ้นไปเป็นภาพซ้อนกับจันทรุปราคาเบื้องหลัง

    พราหมณ์ชุดดำกำมีดแน่นด้วยสองมือแล้วยกขึ้นฟ้าปากเอ่ยคาถาอย่างหนักแน่นเน้นคำต่อคำบ่งบอกว่าถึงจุดสำคัญแล้ว

    ความกลัวกัดกินพรานบุญจนหมดสิ้น ทั้งกายสั่นเทิ้มเหงื่อกาฬแตกพล่านดิ้นสู้พันธนาการจนหมดแรงมองดูมีดอาคมพุ่งลงมาอย่างสิ้นหวัง

    ชีวิตของข้าจะจบสิ้นเพียงเท่านี้!? โปรดอภัยข้าด้วยองค์ชายสุธน ข้าล้มเหลวต่อท่าน และ อาณาจักรอินดัส!!!!

    พรานบุญหลับตาทำใจอยู่แสนนานจนรู้ตัวว่ายังไม่โดนแทง ความประหลาดใจปนโล่งใจเอ่อล้นข้างในจึงลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าทว่าถูกแสงจ้าแยงเข้าตาจนต้องยกมือมาบังเลยรู้ตัวว่าพันธนาการได้คลายออกแล้ว

    แว่วเสียงต่อสู้กับร้องโหยหวนเพียงครู่เดียวทุกอย่างเงียบสงัดโดนพลัน แม้นงุนงงกับสถานการณ์ปัจจุบันเพียงใดแต่แสงสว่างจ้าเกินกว่าวิสัยทัศน์จะดับความใคร่รู้ได้

    เมื่อแสงจ้าอ่อนกำลังลงภาพหญิงสาวผิวขาวผมเทายาวดุจนางในวรรณคดีสยายปีกด้ายแสงนับไม่ถ้วนร้อยรวมกันอันพร่ามัวเพียงครู่เดียวครู่เดียว ก่อนที่นางจะย่อตัวลงมาเอานิ้วจิ้มลงมาเกิดแสงสว่างวาบโดยพลัน

    “................. มโนราห์” แว่วเสียงสุดท้ายก่อนเข้าสู่ภวังค์

    รู้สึกตัวอีกทีก็ถึงเพลาเช้าตรู่แล้วแสงอาทิตย์อ่อนดับความมืดมิดแห่งค่ำคืน นกน้อยมากมายบินออกจากรัง พรานบุญลุกขึ้นมาอย่างอิดโรยกวาดสายตารอบกายอย่างงุนงง

    ไม่ปรากฏศพคนเหล่านั้น แต่บาดแผลจากหลังข้ายืนยันว่าเหตุการณ์เพลาที่แล้วมิใช่ความฝันเป็นแน่แท้นางคนนั้นเป็นผู้ใด หาใช่มนุษย์หรือไม่ แต่ก่อนอื่นข้าต้องกลับไปรายงานเหตุการณ์กับทางพระนครก่อน

    ก่อนจะออกตัวเดินจากไปกลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงในหัว

    “ช้าก่อนเจ้า!!!” พรานบุญเหลียวหลังไปทางบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

    “เจ้ามิได้หูฝาดแต่เพียงใด ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าใหญ่หลวงนัก หากไม่ตอบแทนสิ่งใดตัวข้าคงเสื่อมเสียไปสิบทิศ มัจฉาเผือกผู้นี้จะเป็นคนนำเจ้ามาหาข้าเอง” น้ำเสียงน่าเกรงขามทรงพลังยังคงกังวาลในหัวพราน

    สิ้นเสียงปลาเผือกสีขาวนวลโผล่ขึ้นมาจากสระสบสายตาพรานที่ลังเลพักนึง ก่อนตัดสินใจดำน้ำตามลงไป

    ช่างน่าอัศจรรย์ขณะที่ดำน้ำลงไปกลับหายใจได้ปกติวิสัยทัศน์ชัดเจนดุจมัจฉา กระทั่งดำลึกลงไปจนแสงอาทิตย์มิอาจสาดส่องถึง แลเห็นปากถ้ำใต้น้ำตกแต่งลวดลายวิจิตรงาม

    พอเข้ามาในถ้ำกลับต้องประหลาดใจยิ่งกว่า เมื่อมันแห้งสนิทราวกับมีกำแพงล่องหนกั้นน้ำจากภายนอก ระหว่างพรานเพลิดเพลินปนทึ่งกับสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่นั้นเอง

    “ยินดีต้อนรับสู่ถ้านาครา ผู้มาเยือน!!!!” ดวงตาอสรพิษเขียวมรกตปรากฏขึ้นมาจากในถ้ำอันมืดมิด



    ตอนที่ 2 บ่วงนาคบาศ

    พรานบุญแน่นิ่งขาสั่นอ้าปากค้างเมื่อสบสายตาอสรพิษ

    พญานาคร่างยักษ์ดุจเรือเดินสมุทรตระหง่านเบื้องหน้าตามร่างเรียงรายด้วยเกล็ดแข็งนับไม่ถ้วน บนหัวประดับประดาด้วยเครื่องประดับแบบอินเดีย

    “ พรานเอ๋ย หากไม่มีเจ้าขัดขวางคนเหล่านั้นข้าคงตกตระลำบากเป็นแน่ " วาจาก้องกังวานสั่นไหวผนังถ้ำยิ่งชวนให้พรานหวาดผวาแม้นเนื้อความจะประสงค์ดี

    เช่นนั้นนาคถอนหายใจปลดปล่อยพลังบางอย่างรอบกายแล้วจำแลงกายเป็นครึ่งคนครึ่งงู

    ท่อนบนเป็นชายอินเดียในเครื่องแต่งกายดูมีภูมิฐาน ครึ่งล่างเป็นงูดังเดิม บนแผ่นหลังปรากฏเงาแขนหลายคู่อันเลือนรางยื่นออกมา

    “แม้นข้าจะสามารถเนรมิตกายให้เหมือนพวกเจ้าได้ทุกกระเบียดนิ้วทว่าเท่านี้คงเพียงพอจะปลดความกังวลให้เจ้าได้กระมัง " พอกล่าวเสร็จก็เลื้อยเข้ามากราบทักทายพรานอย่างอ่อนน้อม ส่วนพรานคลายกังวลลงแทนที่ด้วยความตกตะลึงจนอดถามไม่ได้

    “ ท่านเป็นผู้วิเศษแห่งบ่อน้ำศักสิทธิ์กระนั้นหรือครับ ? “ พรานบุญกล่าวอย่างเลื่อมใส

    “ ข้ามิใช่มนุษย์แต่เป็นราชาแห่งนาคในบ่อนี้นามว่าชมพูจิต “

    “ นาค ? “ พรานตอบด้วยความงุนงงเพราะเพิ่งได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรก

    “ เอาเป็นว่าข้าเป็นเพียงสัตว์ที่มีฤทธิ์เดชและพลังมนตราเฉกเช่นพวกเจ้าล่ะกัน ตอนนี้ ข้าอยากให้เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการสิ่งใดหากข้าประทานได้ด้วยพลังของข้า เจ้าจะได้สิ่งนั้นอย่างไม่มีข้อแม้ “

    “ ราหูคือผู้ใดกัน ? แล้วคนพวกนั้นต้องการสิ่งใดจากบ่อน้ำแห่งนี้ ? ข้าจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ให้กระจ่างแล้วกลับไปรายงานแก่พ่ออยู่หัว และหากข้ามิได้ตาฝาดไปล่ะก็แม่นางผู้นึงเป็นผู้สังหารผู้คนเหล่านั้น ข้าคิดว่านางสมควรได้รับการตอบแทนจากท่านมิใช่ข้า“

    นาคราครุ่นคิดขมวดคิ้วพักนึง

    “ หากไม่มีเจ้าไปขัดขวาง พวกมันคงประกอบพิธีสำเร็จเป็นแน่ ส่วนนามว่าราหู ข้ามิอาจบอกได้และเจ้าต้องสัญญากับข้าว่าจะไม่เอ่ยชื่อนี้อีกเมื่อย่างเท้าออกจากถ้ำแห่งนี้ !! “

    กล่าวจบนาคจำแลงกายแสดงสีหน้าดุร้ายเผยดวงตาอสรพิษแทนที่ตามนุษย์ แลบลิ้นสองแฉกออกมาพร้อมส่งเสียงแผ่แม่เบี้ยขู่

    “ มิเช่นนั้นเจ้าจะได้เป็นผีเฝ้าบ่อน้ำแห่งนี้ตราบชั่วนิรันดร์ !!! หากชื่อนั้นแพร่งพร่ายออกไป อาเพศใหญ่คงอุบัติเป็นแน่”

    พรานบุญสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจทำตามข้อเสนอ

    "โปรดวางใจข้าเถิดท่านข้าขอสาบานด้วยชีวิตว่าจะไม่กล่าวคำว่าราหูออกมา ทว่าหากเกิดเหตุเช่นนี้อีก ข้าควรทำเยี่ยงไร? "

    "เรื่องนั้นเจ้ามิต้องกังวลเพราะข้าจะมอบของวิเศษให้เจ้าไปต่อกรกับคนพวกนั้น จากนี้ไปเจ้าจะเป็นตัวแทนของข้าในการปราบปรามและรักษาความลับ " พอสิ้นเสียงนาคจึงปรากฏรอยสักลึกลับรอบข้อมือข้างขวาของพราน

    “ ข้าขอมอบบ่วงนาคบาศแก่เจ้า!!! บ่วงมนตรานี้จะช่วยให้เจ้าต่อกรกับไพรีที่มีพลังเวทมนต์อาคมนานาและเหมาะมือพรานมือฉมังเช่นเจ้าทว่าจงจำไว้ให้ดีว่ามันเป็นบ่วงระหว่างเจ้ากับข้าเช่นกันหากเจ้าใช้มันในทางอกุศลล่ะก็ ข้าจะสั่งให้มันปลิดชีพเจ้าในบัดดล!! ”

    พรานพินิจข้อมือขวาของตน แล้วแสร้งทำเป็นเหวี่ยงเชือก ทันใดนั้นปรากฏเชือกเขียวมรกตโปร่งใส รูปร่างเป็นนาคตัวเล็กเรียวดังเชือกเหวี่ยงไปในทางที่พรานบุญต้องการเคลื่อนไหวคดเคี้ยวได้อย่างอิสระ

    พรานมองมันอย่างประทับใจก่อนจะหันไปถามนาคผู้ประทานอาวุธให้

    “ แล้วบ่วงนี้มีฤทธิ์วิเศษอันใดหรือท่าน ? ”

    " เรื่องนั้นเจ้าต้องค้นหาเอง พลังมนตราของมันจะขึ้นอยู่กับผู้ใช้ วันนึงเจ้าจะเข้าใจมันด้วยตนเอง

    บัดนี้เจ้าได้ช่วยข้าถึงสองประการ จงบอกข้าได้แล้วว่าเจ้าต้องการอะไร ” นาคในร่างจำแลงครึ่งคนครึ่งงูเลื้อยเข้ามาส่วนพรานบุญครุ่นคิดสักพัก

    “ ขะ ข้าคิดว่าข้าไม่ต้องการสิ่งใดมากกว่านี้ล่ะท่าน ข้าพอใจในทุกสิ่งที่ข้ามีอยู่แล้ว ” สิ้นประโยคพรานฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา

    “ ท่านพญานาคข้าขอความกรุณาให้ท่านอนุญาตให้ข้าใช้บ่วงนี้จับสตรีนางนึงเถิด ! ”

    “ เจ้าว่าเช่นใดนะ ? ”

    พรานบุญจึงเล่าเรื่องภาพสตรีงดงามเรืองแสงอันเลือนราง

    " ตอนนี้พ่ออยู่หัวกังวลว่า ทั่วอาณาจักรหามีสตรีนางไหนจะสามารถพิชิตใจของเจ้าชายสุธนได้ แต่แม่นางผู้นั้นทั้งสวยดุจนางอัปสรและเก่งเรื่องยุทธ อาจจะเป็นหญิงคนแรกที่พิชิตเจ้าชายได้ แม้นนางไม่ตกลงปลงใจด้วย ข้ามั่นใจว่าเจ้าชายคงสั่งให้ปล่อยนางไปเป็นแน่ ท่านพญานาคมิต้องกังวลใจ "

    ราชานาคคิดหนักหลังได้ยินข้อเสนอ

    รุ่งอรุณวันถัดไป

    พรานบุญดักซุ่มในพุ่มไม้ใกล้บ่อน้ำใสแห่งนึงบริเวณตีนเขาเทือกเขาหิมาลายันอันสูงตระหง่านสูงเสียดฟ้าเป็นที่เลื่อมใสและยำเกรงของชาวอินดัส ว่ากันว่าบนยอดเขาเป็นประตูแห่งแดนสนธยา มีเพียงผู้มีบุญญาธิการและเปี่ยมด้วยฤทธิ์เดชเท่านั้นจะย่างกรายขึ้นไปบนยอดแล้วกลับมาได้

    ตามวาจาของท่านพญานาคเผ่าของนางผู้นั้นจะมาเล่นน้ำ ณ เวลานี้ ระหว่างครุ่นคิดนกป่าหลายสายพันธุ์เกาะยอดไม้จ้องมองพรานสลับกับหันหน้ามองกันเองแล้วเปล่งเสียงราวกับพูดคุยกันเอง บ้างบินจากไปบ้างบินมาแทนที่

    ผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม แว่วเสียงกระพือปีกราวกับฝูงปักษายักษ์บินผ่าน แต่กลับกลายเป็นสตรีงามหลายนางสยายปีกจากด้ายเรืองแสงนับไม่ถ้วนร้อยรวมกันโบยบินลงมาจากยอดเขาลงมายังบ่อน้ำ

    แต่ละนางล้วนแต่งเครื่องทรงประหลาดแวววับดุจแก้วแต่แข็งแกร่งราวเพชร ต่างกับวัฒนธรรมแห่งอินดัส

    แต่ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่าเมื่อเครื่องทรงของพวกนางได้สลายกลายเป็นละอองแสงเผยเผยร่างอันอรชรเหลือเพียงผ้าอ่อนนุ่มปกปิดส่วนสำคัญโดยมิต้องปลดเปลื้องด้วยตนเอง ทุกคนล้วนผิวขาวนวลผิดกับชาวภูมิภาคนี้

    พรานบุญเคลิบเคลิ้มภาพนางเหล่านั้นเล่นน้ำด้วยกันด้วยกิริยาอ่อนช้อยและงดงามไปพักนึง ก่อนจะตั้งสติเตือนตัวเองด้วยจุดมุ่งหมายที่แท้จริง

    ยกมือขวาข้างตระเตรียมบ่วงนาคบาศจากรอยสักนาครารอบข้อมือ

    ทว่าทันใดนั้นเอง !!

    " จงหยุดเพียงนั้นแหละมนุษย์!! มิฉะนั้น...." เสียงสตรีแม้นดุดันทว่ากลับเสนาะหูดุจดนตรีดังจากเบื้องหลัง

    พรานบุญชะงักครู่นึง ครุ่นคิดในใจ

    นี่ข้ากลับเป็นผู้ถูกล่าเสียเองทว่า.... เสี้ยววินาทีแห่งไหวพริบสามารถพลิกผันสถานการณ์ได้ ตั้งสติหายใจแล้วหันกลับไปเหวี่ยงบ่วงมนตราใส่เจ้าของเสียง!!!!


    ตอนที่ 3 มโนราห์
    พรานบุญเหวี่ยงบ่วงนาคโปร่งใสไปเบื้องหลัง รัดสตรีนางนึงได้ทันท่วงที

    ไม่ช้าเธอแสดงอาการอ่อนระทวย ค่อยๆล้มลงไปกับพื้น เปิดโอกาสให้พรานเห็นโฉมของเธออย่างชัดเจน

    สตรีผิวขาวเปล่งปลั่ง ผมสีเทายาวสยายปีกด้ายเรืองแสงจากแผ่นหลัง สวมใส่เกราะไทยลายวิจิตรศิลป์แวววาวดุจแก้ว

    ไม่ผิดแน่แม่นางผู้นี้แหละที่ข้าเห็นตอนนั้น แม้นจะราบรื่นเกินไปจนน่าระแวง ทว่าก่อนอื่นต้องเกลี้ยกล่อมให้นางยอมไปพบองค์ชายก่อน

    “ มะ แม่นาง.. ”

    ทว่า....

    “ คิก คิก ในบ่วงนั้นเป็นนกต่อต่างหากเล่า ”

    เพียงเริ่มกล่าวกลับได้ยินเสียงขบขันสตรีอันเพราะพริ้ง ก่อนจะไหวตัวทันสตรีในบ่วงกลับสลายไปเป็นอากาศธาตุ แล้วระเบิดออกมาเป็นสายลมอันรุนแรงพัดพาร่างพรานบุญลอยขึ้นไป

    สายลมอันรุนแรงนี้เป็นพลังของแม่นางหรือระหว่างลอยไปกับสายลมพรานบุญรู้สึกสะพรึงในใจ

    ก่อนจะตั้งสติใช้บ่วงนาคบาศรัดต้นไม้ใกล้ตัวแล้วเหวี่ยงตัวเองขึ้นไปตั้งหลักบนกิ่งไม้

    “ ข้าใคร่รู้เสียแล้วสิว่าบ่วงอัศจรรย์นั้น เจ้าได้แต่ใดมา ” ตัวพรานยังไม่ทันได้ตั้งตัวดี กลับต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงสตรีอันคุ้นหู

    พอหันไปทางต้นเสียง ปรากฏนางคนเดิมแต่ครานี้มากด้วยนกนานาพันธุ์เกาะอยู่บนไหล่ของหล่อน

    พอบางตัวส่งเสียงให้ นางก็กล่าวตอบรับพวกมัน

    “ มะ แม่นางพูดคุยกับปักษาได้หรอกรึ ” พรานบุญอึ้งจนตาโต

    “ ตอนที่เจ้าซุ่มในพุ่มไม้นกพวกนี้เป็นคนบอกข้าเอง เดี๋ยวนะ ข้าจำได้ล่ะ จะ เจ้า เจ้าคนนั้นที่บ่อน้ำแห่งนั้น พวกเจ้ามีจารีตในการทดแทนบุญคุณ ด้วยการพยายามใช้บ่วงจับอีกฝ่ายกระนั้นหรือ !? ”

    พรานบุญอ้ำอึ้งครู่เดียว ส่วนสตรีถอนหายใจแล้วยิ้มมุมปาก

    " ขบขันหน่อยสิเจ้า ถึงเราจะต่างวัฒนธรรมเพียงใดแต่น่าจะรู้ว่า ข้าหยอกเล่น "

    ทว่าพรานมิได้คล้อยตามนาง เอ่ยด้วยทีท่าจริงจัง

    “ ข้ามีสาเหตุที่ต้องจับแม่นางให้ได้ ขออภัยด้วย!! ” สิ้นคำพรานบุญก็เหวี่ยงบ่วงวิเศษหมายจับสตรีเบื้องหน้า

    ทว่าเธอกลับตอบรับด้วยรอยยิ้มขณะที่บ่วงกำลังจะโอบรัดตัวเธอ

    “ นามของตัวฉันคือมโนราห์ ! มิใช่แม่นาง ”

    บ่วงมนตราของพรานมิอาจสัมผัสร่างมโนราห์ได้ราวกับมีอะไรคุ้มกันนางอยู่แถมยังตรึงบ่วงไว้แน่นจนมิอาจดึงมันกลับได้

    กลับกลายเป็นพรานที่โดนพันธนาการเสียเอง บัดนี้เขาทำได้แค่เพียงมองหน้านางอัปสรเบื้องหน้า

    “ จงประจักษ์ถึงพลังแห่งจ้าวมนตราแสงกับวายุเสียมนุษย์ !!! "

    เสี้ยววินาทีนั้นแสงสว่างวาบขึ้นมาจนพรานตาพร่ามัว ก่อนจะถูกสายลมก่อตัวเป็นเชือกพันธนาการทั้งกาย ห้อยต้องแต่งกลับหัวกลางอากาศราวกับดักแด้บนกิ่งไม้

    ไม่ว่าจะดิ้นรนเพียงใด พรานก็มิอาจหลุดจากพันธนาการได้ จากนั้นมโนราห์ทำท่านั่งลงบัลลังก์อากาศธาตุเรืองแสงจากนั้นเริ่มไต่สวนพราน

    “ บ่วงนั้นมิใช่พลังเวทมนต์ของเจ้าเป็นแน่ เจ้าได้แต่ที่ใดมา ?”

    พรานบุญปิดปากเงียบเพราะคำมั่นกับราชานาค จนนางปักษามองออกจึงยิ้มกริ่ม บัญชาให้สายลมหมุนร่างพรานที่หัวชี้พื้นไปมาดังลูกข่าง แล้วสนทนากับนกรอบกายอย่างสบายอารมณ์

    ข้าผ่านการพำเบ็ญตนมาแล้วแค่นี้อย่าหวังว่าจะเปิดปากข้าได้แม่นาง พรานบุญครุ่นคิดในใจระหว่างที่โลกรอบตัวหมุนติ้วไปมาชวนให้เวียนหัว

    หลายชั่วโมงผ่านไปจนเที่ยงวัน ความตั้งใจของพรานบุญมิได้เสื่อมคลายแม้แต่น้อย

    จนนางอัปสรหยุดมนต์วายุด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ปล่อยให้พรานร่วงลงมาพักหายใจในสภาพใบหน้าซีดเซียวทำท่าจะอาเจียนออกมา

    “ ดูท่าเจ้าจะอดทนกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีกทว่า ... ” พอกล่าวจบพญาอินทรีร่างใหญ่กว่าคนเป็นเท่าตัวบินมาโฉบร่างพรานด้วยกรงเล็บแล้วพาขึ้นไปท่องนภาโดยมีนางมโนราห์บินตามไป

    สูงขึ้นไปบนยอดนภาจนแลเห็นพงไพรอันไพศาลเบื้องล่างเล็กกระจิดริดดุจฝูงมดอันขวักไขว่ มโนราห์สบตาแล้วกล่าวถามพรานบุญในอุ้งเท้าปักษายักษ์

    “ จงไตร่ตรองอย่างรอบคอบเสียมนุษย์ หากเจ้าไม่ย่อมเอ่ยความจริงก็จงดับสูญเป็นธาตุธุลี ณ เบื้องล่างเสียเถิด “

    พรานบุญมิได้หวั่นไหว ส่งสายตาแข็งกร้าวใส่

    “ หากให้ข้าพรานบุญเสียสัตย์ ข้าขอสละชีวีอย่างสมเกียรติ์ดีกว่า !!! “

    “ สมพรปากเจ้า !!" ได้ยินเช่นนั้นมโนราห์ส่งสัญญาณให้เพื่อนของตนปล่อยพรานบุญตกลงไปยังปากประตูมัจจุราช

    “ !!!!! " นกอินทรีย์หันมามองมโนราห์แล้วส่งเสียงใส่ นางจึงหันมาตอบด้วยรอยยิ้ม

    “ ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ ข้าทราบความจากพญางูล่ะแค่ต้องการทดสอบพรานบุญผู้นั้น ไม่ปล่อยให้เขาม้วยมรณาหรอก ฮิ ฮิ ได้เวลาสนุกล่ะ ” พอหมดคำพูดมโนราห์ได้สยายปีกแล้วดิ่งพสุธาลงไปด้วยความสนุกสนาน

    ทว่า .... ทันใดนั้นเอง

    ปรากฏลูกธนูลึกลับรวดเร็วเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะยิงได้พุ่งมาเฉี่ยวเส้นผมยาวสีเทาอันยาวนุ่มสลวยของนางจนส่วนที่ขาดสลายเป็นอากาศธาตุไป

    ปรากฏบุคคลลึกลับในเครื่องแต่งกายราชวงศ์อียิปต์ขี่หุ่นเหล็กไหลทองคำ

    รูปสฟิงซ์โบยบินด้วยปีกจักรกล การเคลื่อนไหวของมันแลดูตะกุกตะกัก ลงมารับพรานบุญได้ทันท่วงที

    ขณะเดียวกัน แว่วเสียงอันขึงขังจากอีกทิศนึง

    “ ด้วยบัญชาแห่งองค์ชายแห่งดินแดนนี้จงยอมจำนนแต่โดยดี มิฉะนั้นธนูดอกต่อไปจะไม่พลาดเป้าแน่ !!! “

    องค์ชายสุธนแห่งอินดัสกำลังขี่กิเลน ม้าร่างยักษ์กำยำทว่า เหาะเหินเดินอากาศอย่างน่าอัศจรรย์

    ตามร่างเต็มไปด้วยเกล็ดงดงามกับเขาแหลมสง่าบนหัว ตกแต่งเครื่องทรงด้วยอานม้ากับเกราะอาชาแห่งราชวงศ์อินเดีย

    เจ้าชายสายตาขึงขึง มือง้างลูกธนูพลังมนตราโปร่งใสด้วยคันธนูใหญ่เท่าตัวคน

    พอมโนราห์หันไปสบสายตาองค์ชาย ท่านก็ตกอยู่ในภวังค์ไปพักนึง

    กว่าจะดึงสติกลับมาได้ นางปักษาก็พุ่งมากระแทกจนพลัดตกจากหลังกิเลนเสียแล้ว ก่อนจะดิ่งลงพสุธาไปด้วยกัน

    “ องค์ชาย !!! “

    “ สุธน !!!! “

    พรานกับบุคคลลึกลับบนหุ่นสฟิงซ์ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก


    ประวัติตัวละคร ตั้งแต่บทหนึ่ง 1 - 4
    พระสุธน - เจ้าชายแห่งอาณาจักรอินดัสโบราณ ผู้ปราดเปรื่องในศาสตร์ธนู อายุ 60 พรรษา ( เทียบเท่ากับ 20 กว่า ของคนปกติ)

    พรานบุญ - ลูกน้องคนสนิทของพระสุธน

    ชมพูจิต พญานาคาแห่งบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในอินดัส ผู้เปี่ยมด้วยฤทธิ์เดช ประวัติความเป็นมา โปรดติดตาม

    มโนราห์ องค์หญิงกินรีผู้เปี่ยมด้วยมนตราแสงและวายุ

    เจ้าชายราเมสเซส เจ้าชายแห่งอาณาจักรเคเมท(อียิปต์)โบราณ ความสามารถ ???? อายุพอๆกับเจ้าชายสุธน



    ตอนที่ 4 มโนราห์ ๒


    ระหว่างมุ่งสู่พระแม่ธรณี สายลมปะทะผมยาวสีดำของเจ้าชายจนยุ่งเหยิง ผิดกับผมของนางคู่กรณีที่ยังรักษาทรงไว้ได้

    ทั้งสองฝ่ายต่างดูเชิงซึ่งกันและกัน มิใช่เพราะกลัวเปิดช่องว่างหากเดินหมากก่อน แต่เป็นเพราะ ตกอยู่ในภวังค์เมื่อเห็นหน้าซึ่งกันและกัน จนลืมว่าตนเองกำลังโหม่งโลกอยู่

    “ องค์หญิง !!! เพคะ ” เหล่าสตรีงดงามสี่นาง แต่ละนางล้วนผมสีเทา ผิวเปล่งปลั่ง โบยบินด้วยปีกด้ายแสงคล้ายมโนราห์ มาห้อมล้อมทั้งคู่ไว้ แล้วพาลงพื้นโดยสวัสดิภาพ แล้วนางนึงบัญชาวายุเป็นโซ่ตรวน พันธนาการองค์ชาย

    “ มันผู้นี้เป็นผู้ใดกัน คิดปองร้ายเจ้าหญิงมโนราห์ กระนั้นหรือ ? ” ข้ารับใช้นางนึงเอ่ยวาจาเพราะพริ้ง พยายามบังคับให้เจ้าชายคุกเข่าลงด้วยกิริยาดุดัน

    ทว่ามิอาจทำให้เจ้าชายจำนนโดยง่ายแม้นใช้กำลังเวทย์วายุบังคับจนอีกสองคนต้องใช้พลังช่วย

    สายตาลังเลของนางมโนราห์มองภาพเจ้าชายยืดหยัดอย่างองอาจ มือพลางกุมอก

    ก่อนที่เจ้าชายควบคุมลมหายใจของตนให้เป็นพลังแล้วเอ่ยขึ้นมา

    “ เจ้าคิดว่าเจ้าจะบังคับ เจ้าชายแห่งดินแดนนี้คุกเข่าให้คนต่างถิ่นที่ปองร้ายต่อผู้คนของข้าได้กระนั้นรึ !!!! แม้นตัวตายข้าก็จะไม่จำนน ” สิ้นคำเจ้าชายระเบิดพลังปราณอันแรงกล้ากว่าพรานบุญหลายเท่าตัว จนทำลายพันธนาการทำท่าจะหยิบพระขรรค์ มีดประจำกายพระองค์ขึ้นมาส่วนข้ารับใช้สามนางตั้งท่าพร้อมต่อสู้

    “ หยุดเพียงนั้นแหละ ทุกคน !! ” เจ้าหญิงมโนราห์ รีบห้ามปราม ก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายไปมากกว่านี้

    “ คิดดีแล้วหรอเพคะ ? ” เหล่านางรับใช้จำยอมต่อคำสั่ง ผ่อนคลายอิริยาบถ บรรยากาศมาคุได้ทุเลาลง ส่วนเจ้าชายเก็บอาวุธตนเข้าฝัก มองเจ้าหญิงผมเทาอย่างพิสมัย

    “ สุธน !!! ” แว่วเสียงห่วงใยของ ชายฉกรรจ์ในชุดชาวชั้นสูงอียิปต์ มากด้วยเครื่องประดับประดา แต่สิ่งที่เด่นคือผ้าโพกหัวคล้ายหัวสฟิงซ์ลายสลับสี กับ มงกฎงูเห่าคาดหน้าผาก ขี่หุ่นสฟิงซ์มาลงจอด กระทั่งเห็นเหล่าสตรีผมเทาหลายนาง ล้อมเจ้าชายแห่งอินดัสอยู่ จึงเปลี่ยนท่าทีจะชักดาบปลายเคียวเปล่งออร่า ส่วนพรานบุญทำท่าพร้อมสนับสนุนอยู่ข้างหลัง

    “ ช้าก่อน !! ราเมสเซส ” (Ramesses) เจ้าชายสุธนแบมือ ห้ามสหายของตนเพราะเกรงว่าบรรยากาศจะตึงเครียดขึ้นมาอีก แล้วหันไปยังแม่นางผู้สูงศักดิ์

    “ ข้ามีนามว่าสุธน เจ้าชายแห่งอาณาจักรอินดัส จงกล่าวนามและกิจธุระของเจ้าต่อดินแดนแห่งนี้มา ”

    ทางองค์หญิงสำรวมกิริยาแล้วเปล่งวาจาตอบ

    “ ตัวข้ามีนามว่ามโนราห์ องค์หญิงจากดินแดนไกลโพ้น ส่วนกิจธุระของข้า ... ” ระหว่างนั้นเอง

    “ นางกำลังโกหกเจ้า!!!สุธน ในโลกานี้ไม่มีอาณาจักรอื่นนอกเหนือจากอาณาจักรแห่งเครือญาติเราแล้ว อีกทั้งนางผู้นั้นยังปองร้ายลูกน้องเจ้าเสียด้วย ” ราเมสเซสตะโกนขึ้นมาด้วยภาษามนตราแห่งชนชั้นสูง ที่พรานบุญฟังไม่ออก และ หวังว่านางคนนั้นจะไม่เข้าใจด้วย

    “ ท่าทางพระสหายของท่านจะหาว่าข้าโป้ปดมดเท็จนะ องค์ชายสุธน ส่วนเรื่องพรานผู้นั้น เขาเป็นคนพยายามจับข้าก่อน ” มโนราห์ส่งสายตาหวานใส่เจ้าชาย จนท่านอึ้งไปพักหนึ่งจึงหันไปมองพรานบุญที่พยักหน้ายอมรับความผิดของตน

    “ เช่นนั้น ข้าต้องขออภัยด้วยที่ลูกพี่ลูกน้องข้า กับ ลูกน้องได้กระทำล่วงเกินทั้งทางวาจา หรือ การกระทำใดๆ ต่อเจ้า มโนราห์

    แม้นจะเป็นแรกพบอันไม่น่าประทับใจ แต่ข้าขอแนะนำลูกพี่ลูกน้องของข้า เจ้าชายราเมสเซสแห่งอาณาจักรเคเมส (Kemet) แห่งทะเลทรายอียิปต์อันไกลโพ้น กับ พรานบุญ ลูกน้องคนสนิทของข้า ”

    ระหว่างเอ่ย พระสุธนเรียกเจ้าชายอีกดินแดนเข้ามาร่วม สร้างสัมพันธไมตรี แม้นจะยังไม่ไว้วางใจดีแต่เจ้าชายแห่งแดนทะเลทรายก็จำใจเข้าร่วมส่วนพรานยืนสำรวมอยู่เบื้องหลัง

    เจ้าหญิงปักษาครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะอมยิ้มแล้วเดินมาเคียงข้างองค์ชายสุธน

    “ พวกเจ้าจักบอกพ่อของข้าเสียว่า ข้าถูกมนุษย์จับตัวไปล่ะกัน ส่วนข้าจะไปศึกษาวัฒนธรรมพวกเขาหน่อย ”

    เหล่านางรับใช้ได้ยินเช่นนั้นจึงตกตะลึง

    “ จะดีหรอเพคะ ข้าน้อยรู้ว่าองค์หญิง ประสงค์อยากเที่ยวเล่นเสียมากกว่า ! ”

    “ เอาน่าพวกเจ้า เที่ยวเล่นกับการศึกษาวัฒนธรรมต่างถิ่นนั้นคู่กันเสียอยู่แล้ว ฮิ ฮิ ” มโนราห์ทำท่าขบขัน แล้วตัวเปล่งแสง จำแลงกายกลายเป็นหญิงอินเดียผิวสีน้ำผึ้งงดงามในชุดส่าหรีอันงดงาม

    สามบุรุษมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง โดยเฉพาะเจ้าชายแห่งอินดัสนั้นถึงกับสติขาดลอย จนนางจำแลงกายเสร็จ สยายผ้าสไบอันอ่อนนุ่มและหอมหวาน มาโดนใบหน้าจึงหลุดจากภวังค์

    หลายวันต่อมา ...... ข่าวผู้พิชิตใจเจ้าชายได้กระจายไปทั่วอาณาจักรอินดัส จนเกิดบรรยากาศเฉลิมฉลองครื้นเครงทั่วหล้า ชาวเมืองทุกสารทิศ หลากวรรณะแห่กันมาประจักษ์นางมโนราห์ในคราบเจ้าหญิงอินเดียให้เป็นขวัญตา

    หน้าประตูทางเข้าพระราชวังหลวง ผู้คนพลุกพล่าน แต่งตัวต่างกันตามฐานะ ล้วนนำของบรรณาการ และ กล่าวคำอวยพรแด่เจ้าชาย

    พร้อมทั้งกองทหารพระนครสวมเกราะปกปิดทั้งกายถือโล่และหอก ยืนอารักขาอย่างองอาจ ตามริมถนนทั้งสองด้านตลอดทาง

    แต่ที่เด่นที่สุดคือ เจ้าชายกับเจ้าหญิงบนรถม้าอันงดงามประณีต ถูกลากโดยกิเลนคู่ใจเจ้าชาย กับ ขบวนองครักษ์อัศวินนรสิงห์

    นักรบชั้นสูงในชุดเกราะอินเดียหนักและหน้ากากเทพเจ้าสิงโต แต่ละนายถืออาวุธต่างกันบ้างถือหอกยาว บ้างถือลูกตุ้มอินเดีย บ้างถือดาบแส้อันเลืองชื่อของอินเดีย (Urumi) แต่ทุกนายล้วนแบกคันธนูไว้เบื้องหลัง ขี่ราชสีห์แห่งยุคน้ำแข็งร่างใหญ่ว่าสิงโตในปัจจุบันเป็นเท่าตัว แค่เสียงคำรามอันน่าเกรงขามก็เพียงพอจะสังหารคนขวัญอ่อนได้ ขนาบทั้งหน้าทั้งหลังรถม้าขององค์ชาย

    ระหว่างองค์ชายสุธนกำลังเยี่ยมพสกนิกรนั้นเอง ณ ภายในระเบียงวังหลวงเจ้าชายแห่งแดนอียิปต์ ผู้กำลังมองขบวนรถม้าอยู่ห่างๆ

    “ ข้ากับสุธน แม้นเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็รักดุจพี่น้องร่วมสายเลือด คบหากันแต่เยาว์วัย นึกไม่ถึงว่าจะลงเอยกับนางคนนั้น แถมเป็นการพบกันอย่างเหนือความคาดหมายอีกด้วย ” พลางพูดลอยลอยต่อพรานบุญ ผู้ยืนสำรวมอยู่เบื้องหลัง

    “ พะยะค่ะ หากมิบังอาจ ข้าพเจ้าสงสัยว่า เหตุไฉน ท่านราเมสเซสถึงตรัสภาษาอาณาจักรนี้ได้คล่องแคล่วยิ่งกว่าชาวพื้นเมืองบางคนเสียอีก ”

    เจ้าชายต่างแดนแสดงท่าทางเป็นมิตร เอ่ยขึ้นมา

    “ ฮะ ฮะ ข้าเองก็ไมได้ถือตัวขนาดนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดเป็นพิธีรีตอง ยามว่างพวกเราต่างศึกษาภาษาของอีกอาณาจักร ยังไงเสียก็เป็นภาษาที่ตระกูลเราคิดค้นขึ้นมา เจ้าสนใจจะศึกษาภาษาของอาณาจักรข้าไหมล่ะ พรานเอ๋ย ? เดี๋ยวข้ามอบตำราให้ ”

    “ ข้าซึ้งในน้ำพระทัยของพระองค์ยิ่งนัก แต่ตัวข้าคงไม่มีวาสนาไปเยี่ยมดินแดนของท่านและมีโอกาสได้ใช้มันหรอกขอรับ ” ส่วนพรานบุญตอบปฏิเสธอย่างเจียมตัว

    ระหว่างนั้นเอง

    “ ราเมสเซส ผู้เป็นดังลูกอีกคนของข้า!!! ยินดีต้อนรับสู่อินดัส วันนี้ช่างวันเป็นวันมงคลเสียจริงได้เจ้ามาร่วมพิธีของสุธน ”


    ชายวัยกลางคนไว้หนวด รูปร่างกำยำแต่งเครื่องทรงอินเดียทั่วกาย แต่ละชิ้นล้วนโอ่อ่า สวมมงกุฎราชา นามว่า “ อาทิตยวงศ์ ” ผู้เป็นมหาราชาแห่งอาณาจักรนี้ ปากกล่าววาจาชนชั้นสูง เดินเข้ามาพร้อมอ้าแขนต้อนรับเจ้าชายต่างแดน

    “ ท่านลุงครับ ข้าคงต้องรบกวนท่าน ประมาณสัปดาห์หนึ่งเสียแล้ว ” เจ้าชายต่างแดนนอบน้อมต่อพระราชา

    “ อย่าได้เกรงใจไปเลย คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองของเจ้า อย่ามัวแต่ยืนตรงนี้เลย ข้ามีเรื่องมากมายอยากจะสนทนาบนโต๊ะเสวยกระยาหาร โดยเฉพาะเรื่องของฟาโรห์ ผู้เป็นบิดาของเจ้า ข้ากับเขาไม่ได้เจอกันเสียนานตั้งแต่ขึ้นครองราชย์”

    “ ครับท่านลุง ”สิ้นบทสนทนาทั้งสองเดินเข้าไปพระราชวังด้วยกัน ทิ้งพรานบุญไว้เบื้องหลัง

    ท่ามกลางบรรยากาศอันชื่นมื่น ความสุขอบอวลทั่วแผ่นดิน ใจผู้หนึ่งในพระราชวังกลับร้อนด้วยไฟริษยากับอาฆาตแค้น

    บุคคลลึกลับในชุดพราหมณ์ ยืนกำมือแน่นในเงามืด กัดฟันมองภาพขบวนองค์ชายด้วยความเคียดแค้น

    “ นังแพศยา เอ้ย**!!!! ”

    ณ ราตรีนั้น

    งานฉลองมหรสพได้เลิกราไป ณ ห้องบรรทมเจ้าชายสุธนอันวิจิตร ผนังและแท่นบรรทมล้วนสลักลายอักขระอินเดียอย่างประณีต บรรยากาศไฟสลัวด้วยดวงไฟมนตราลุกไหม้โดยปราศจากเชื้อเพลิง

    ม่านตกแต่งหน้าต่าง พลิ้วไหวตามลมโชยเข้ามา แลเห็นวิวจันทราและเทือกเขาหิมาลายันอันเด่นเป็นสง่า

    ระหว่างเจ้าหญิงในร่างจำแลงชมวิวนั้นอย่างเพลิดเพลิน เจ้าชายเดินมาเบื้องหลัง แล้วเอ่ยวาจาเวทมนต์บางอย่าง

    ทันใดนั้นเอง ไฟสลัวได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอันเร่าร้อน ผ้าม่านอันพลิ้วไหวแปรเปลี่ยนเป็นของแข็งดุจแก้ว เนื้อของมันขุ่นมัวเกินกว่าภายนอกจะมองเข้ามาและมิปล่อยให้เสียงจะเล็ดรอดออกไป

    “ วันนี้เจ้าวางตัวได้สง่างามจนชนะใจเหล่าพสกนิกรนะ มโนราห์ คราแรกข้ากังวลว่าเจ้าจะชนะใจพระบิดาและมารดาไม่ได้เสียอีก ” องค์ชายกล่าวเกี้ยวพาราสีต่อองค์หญิง

    ส่วนเจ้าหญิงหลับตา อมยิ้มแล้วเดินมาทางเจ้าชายด้วยกิริยาอ้อนแอ้น สายตาพิศวาสแล้วค่อยๆดันเจ้าชายที่กำลังหน้าแดงให้คล้อยไปทางแท่นบรรทมโดยง่าย

    จนร่างเจ้าชายสะดุดขอบแท่นบรรทมล้มลงไปนอน มโนราห์ยิ้มหวานตราตรึงใจเจ้าชายพักหนึ่ง

    “ หลับตาสิเพคะ องค์ชาย ”

    เจ้าชายหลับตาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ไฟราคะกรุ่นร้อนในใจ ได้ยินเสียงปลดเปลื้อง บางอย่างอ่อนนุ่มหล่นพื้น

    “ ลืมตาสิเพคะ ”

    ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น กลับต้องตกใจ เมื่อภาพที่เห็นกลับตาลปัตรเป็น เจ้าหญิงจำแลงกายกลับมายังร่างผมเทา ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

    ทว่าครานี้ขาที่เหมือนมนุษย์กลับแปรเปลี่ยนเป็นขาปักษา จ่อกรงเล็บนกสีแก้วมรกตอันแหลมคมและแวววาว ณ คอหอย พร้อมทั้งใช้นิ้วที่เหลือ ล็อคคอเจ้าชายเอาไว้ดุจอินทรีจับเหยื่อ

    “ จงฟังข้าเสียองค์ชาย !! ”


    ตอนที่ 6 นครลงกา


    รุ่งอรุณวันใหม่ แสงอุทัยอ่อนเป็นสัญญาณว่าวันใหม่มาเยือนแล้ว ฝูงนกโบยบินจากรัง ผู้คนแห่งอินดัสตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของตน

    ที่่ราบกว้างแห่งหนึ่งในเขตนครหลวง เจ้าชายสุธนกำลังแข่งขันยิงธนูด้วยคันธนูใหญ่เท่าตัวคน และลูกธนูโปร่งใสอยู่กับลูกพี่ลูกน้องแดนไอยคุปต์ โดยมีข้าบริพารกับเจ้าหญิงองค์ใหม่ยืนสำรวมอยู่เบื้องหลัง

    ระหว่างผลัดกันแข่งยิง แผ่นหินสลักอักขระลึกลับซ้อนกันหลายแผ่นอันแข็งแกร่ง ว่าใครจะยิงทะลุมากที่สุด

    พอเห็นภาพหินเหล่านั้นฟื้นฟูส่วนที่เสียหายกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างน่าอัศจรรย์

    เจ้าชายสองอาณาจักรจึงเริ่มสนทนากันด้วยภาษาชนชั้นสูง

    " หินพวกนั้นมาจากที่ใดกัน ? ข้าไม่เคยประจักษ์อะไรเช่นนี้เลย " ราเมสเซสถามขึ้นมา

    " ท่านพ่อข้าซื้อมาจากอาณาจักรมิวน่ะ ท่านเคยกล่าวไว้ว่ามันมีประโยชน์ต่อการฝึกพลธนูของอาณาจักร "

    " หึหึ พลธนูแห่งอินดัสอันเลื่องชื่อ และในอาณาจักรนี้คงหามีผู้ใดเทียบเจ้าได้สินะ สุธน ! " สิ้นประโยคราเมสเซส

    " เจ้าก็กล่าวเกินไปราเมสเซส " เจ้าชายสุธนส่งยิ้มตอบ

    " เมื่อคืนในงานมหรสพยามราตรีข้าเห็น พลธนูชนชั้นล่าง ยิงลูกธนูลงอาคมบางอย่าง แล้วกลายเป็นประกายระยิบระยับ บางดอกกลายเป็นช่อดอกไม้นานาชนิดโปร่งใส นักบวช ไม่ใช่สิ พรามหณ์ของอาณาจักรเจ้าเป็นคนสร้างขึ้นมากระนั้นรึ ? ข้าใคร่รู้เสียจริงหากเป็นธนูสำหรับการศึกจะเป็นเช่นใด !! " เจ้าชายแดนแม่น้ำไนล์แสดงทีท่าตื่นเต้น

    " คงมีธนูโลกันต์ ธนูหมอก ธนูเสียงแหลมไว้ข่มขวัญศัตรู หรือไล่ฝูงสัตว์ร้ายกระมัง กล่าวถึงของวิเศษแล้วข้าเคยได้ยินนะว่า อาณาจักรมิวมีผู้รับใช้ผิวฟ้า อาศัยในตะเกียง สามารถเนรมิตธาตุดินให้เป็นทองคำได้ "

    รุ่งอรุณดำเนินไปด้วยบทสนทนาอันรื่นรมย์ของเจ้าชายสองดินแดน กับการฝึกฝนอย่างหนักของเหล่าทหารประจำอาณาจักร

    ทั้งเกร็งลมปราณแล้วให้ครูฝึกใช้ฝ่ามือกระแทก บ้างฝึกศาสตราวุธและโยคะบำเพ็ญตน

    ยามเที่ยงสองเจ้าชายหันมาแข่งกันยิงธนูใส่เป้าหมายขนาดเล็กกลางอากาศหลายเป้า พระสุธนยิงด้วยความแม่นยำทุกดอกปักลงใจกลางเป้าหมาย ทว่าเป้าสุดท้ายกลับเคลื่อนไหวออกนอกวิถีอย่างน่าฉงนใจ

    " นี่เจ้าต่อให้ข้ากระนั้นรึ ลูกพี่ลูกน้อง !? แบบนี้ข้าคงปราชัยดังรอบที่แล้วมิได้เสียแล้ว "

    ราเมสเซสทิ่มศอกหยอก สุธนจึงยิ้มตอบ ทว่าใจรู้ดีว่าเป็นฝีมือใคร เหลียวตาไปมองยังเจ้าหญิงจำแลงกายผู้อมยิ้มอยู่เบื้องหลัง ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์รัตติกาลที่ผ่านมา

    ภาพตนเองถูกกรงเล็บเหยี่ยวของสตรีครึ่งคนครึ่งปักษาผิวพรรณเปล่งแสง ล็อกคอบนแท่นบรรทม

    " ฟังข้าให้ดีองค์ชาย ข้ามิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับท่าน !! ดังนั้นท่านไม่สามารถร่วมสังวาสกับข้าได้ดังสตรีอื่น "

    เจ้าชายมิได้ตื่นตระหนกกับกรงเล็บมัจจุราชที่จ่อคอกับคำพูดของนาง หนำซ้ำยังแสดงสีหน้าตื่นเต้น

    " งั้นเแม่นางคืออะไรล่ะ หากมิใช่คนจากแดนไกลโบยบินด้วยมนตราบางอย่าง "

    " เผ่าพันธุ์ตัวข้ามีนามว่า ' กินรี ' และนี่คือร่างจำแลงยามเราจะต่อสู้ " ระหว่างกล่าวกินรีเอามืออันเรียวงามทาบอกตัวเอง

    พอสิ้นประโยคหล่อนกลับร่างเป็นมนุษย์ปกติแล้วเดินไปยังระเบียงส่วนเจ้าชายเดินตามไปติดๆ

    สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน จนผมทั้งคู่พลิ้วไหวตามแรงลม

    " ตัวข้ามาที่แห่งนี้เพราะสายลมเหล่านี้ แม้นตอนนี้องค์ชายจะสัมผัสไม่ได้ แต่สายลมเหล่านี้เจือปนมนตราธาตุน้ำแข็ง จากเผ่าพันธุ์ของท่าน " ระหว่างกล่าวเธออย่างเอาจริงเอาจังพลางยื่นมือขึ้นมา

    ก่อนที่สายลมบริเวณนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าแล้วเปล่งไอเย็นออกมาเป็นรูปใบหน้าวิญญาณโหยหวน

    เจ้าชายเห็นภาพนั้นเลยตกใจเล็กน้อย

    " ที่ผ่านมาสภาพอากาศหนาวเหน็บขึ้นทุกปี แต่ข้านึกเพียงว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แม่นางกำลังจะบอกว่า หนึ่งในอาณาจักรของญาติข้าเป็นคนร่ายมนตรานี้ขึ้นมากระนั้นรึ ? "

    มโนราห์พยักหน้าตอบ ส่วนเจ้าชายถอนหายใจ

    " ข้าขอไม่ปักใจเชื่อ จะให้ข้าสงสัยพี่น้องร่วมสาบานกระนั้นรึ ยังไงเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ "

    " องค์ชายถึงภายนอกข้าจะเป็นสตรีแต่เราเหล่ากินรีต่างพึงรักษาเกียรติ์ และจะไม่โป้ปดให้เสื่อมเสียเป็นแน่

    หากพระองค์ทรงใช้มนตราวายุได้ดั่งตัวข้าล่ะก็ พระองค์จะสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติที่เจือปนในสายลมหนาวเป็นแน่ ! "

    พระสุธนสบสายอันแน่วแน่ของมโนราห์ครู่นึง จึงกล่าวขึ้นมา

    " ถ้าเจ้าสงสัยว่าตระกูลข้าอยู่เบื้องหลัง ใยถึงมากับข้าเสีย ? "

    มโนราห์หลบสายตา ครุ่นคิด

    " อาจจะเป็นเพราะฟ้าดลบันดาล เป็นหตุให้ตัวข้ารู้สึกถูกชะตากับท่าน " ทว่าถ้อยคำด้วยน้ำเสียงเพราะพริ้งเหล่านั้นมิใช่ความในใจทั้งหมด

    ความจริงข้าทราบอยู่แล้วว่าอาณาจักรอินดัสนี้ มิได้อยู่เบื้องหลังเป็นแน่จาก ท่านพญานาคแห่งบ่อน้ำ แต่ยังมิไว้ใจในตัวมนุษย์ กระทั่งได้เจอะเจอท่าน

    เจ้าชายเคอะเขินไปพักนึง แล้วกลับมาเคร่งขรึมดังเดิม

    " หากข้าจะพาแม่นางไปเยี่ยมเยียนอาณาจักรอื่น แม่นางจำต้องไปในฐานะองค์ราชินีแห่งอาณาจักรนี้

    ถึงจะถูกต้องตามราชประเพณีที่ได้บัญญัติเอาไว้ระหว่างอาณาจักร และ บัดนี้ข้าเองเป็นเพียงเจ้าชาย จำต้องรอหลายปีกว่าจะ

    สืบทอดท่านพ่อ ผู้เป็นมหาราชาปกครองแผ่นดินนี้ด้วยธรรม "

    มโนราห์อมยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินเอานิ้วอันเรียวงามมาแตะริมฝีปากเจ้าชาย

    " หากท่านสอนมารยาท ธรรมเนียมปฏิบัติแก่ตัวข้าแล้ว เจ้าหญิงผู้นี้จะสอนมนตราวายุแด่ท่าน ตกลงไหมเพคะ ? "

    " สุธน สุธน !! " เสียงลูกพี่ลูกน้องดึงเจ้าชายให้กลับมายังปัจจุบัน

    ไม่ช้าราเมสเซสได้ขอตัวลากลับอาณาจักรของตน ด้วยเหตุว่าตนเองพักผ่อนมากพอแล้วจำเป็นต้องกลับไปช่วยพ่อของตนทำราชการแผ่นดิน

    จากนั้นวันคืนระหว่างเจ้าชายกับเจ้าหญิงต่างเผ่าได้เริ่มต้นขึ้น

    ในรุ่งเช้าของแต่ละวันทั้งสองพากันเข้าไปฝึกมนตราวายุในป่าลึก

    " จงทำใจประหนึ่งสายลม แล้วจิตท่านจะบัญชามันได้ดังกายา "

    วันแล้ววันเล่าเจ้าชายตั้งใจฝึกฝนอย่างพากเพียร ปราศจากความคิดฟุ้งซ่านใด กระทั่งวันนึงความรู้สึกว่าตนเองสัมผัสกับพลังมหาศาลบางอย่างเอ่อล้นจากภายใน

    ดวงตาเห็นอนุภาคนานานับไม่ถ้วนในสายลมรอบตัวเพียงเสี้ยววินาที ในใจเปี่ยมด้วยความรู้สึกว่า สายลมรอบกายนั้นเป็นส่วนนึงของตนเอง

    ทันใดนั้นเอง..

    เจ้าชายควบคุมสายลมเพียงหยิบมือให้มารวบรวมรอบแขนตนเอง สร้างความประทับใจแก่เจ้าหญิงกินรีเป็นอย่างมาก

    จากนั้นการฝึกฝนเริ่มหฤโหดมากขึ้น ฝีมือมนตราวายุพัฒนาควบคู่กับความใกล้ชิดระหว่างสอง จนทั้งคู่เอ่ยเพียงชื่อของกันและกันยามอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

    ส่วนพรานบุญก็ออกไปทำภารกิจจากเจ้าแห่งบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ พร้อมฝึกปรือบ่วงนาคบาศ

    ตกเย็นยามผีตากผ้าเหลืองของวันนึง ณ ห้องโถงหนึ่งในพระราชวัง

    เจ้าชายในสภาพอิดโรยนอนหันหลังให้สตรีงามผิวสีคล้ำในชุดสาหรี่แต่ลวดลาย เครื่องประดับประณีตน้อยกว่าเจ้าหญิง นวดกดจุดด้วยความเชี่ยวชาญ โดยมีเจ้าหญิงจำแลงกายนั่งคอยด้วยกิริยางดงาม กับข้าราชบริพาร คอยปรนนิบัติอย่างนอบน้อม

    กระทั่งแว่วเสียงป่าวประกาศ

    " พ่ออยู่หัวเสด็จมา !!!! " เหล่าราชบริพาร ต่างละทิ้งหน้าที่ของตนก้มลงไปกราบกับพื้นโดนพลัน ส่วนเจ้าชายเจ้าหญิงกับหมอนวดรีบยืนขึ้นมาในท่าสำรวม

    ไม่ช้ามหาราชาแห่งอินดัสเดินเข้ามาพร้อมหญิงวัยกลางคนทว่าทีท่างามสง่าและน่าเกรงขามผู้เป็นราชินี กับชายวัยกลางคนไว้หนวดเฟิ้ม ไว้ผมจุก นุ่งห่มขาวดุจพรามหณ์ ผู้เป็นปุโรหิตคนสนิทกำลังถวายคำปรึกษาแก่องค์ราชัน

    พอทั้งสามเดินผ่านไปทุกคนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตนดังเดิม

    " มโนราห์ ข้าขอแนะนำ มาลัยกา เธอเป็นลูกสาวของที่ปรึกษาคนสนิทของท่านพ่อของข้า และเป็นเพื่อนกับข้าตั้งแต่เยาว์วัยด้วย "

    มาลัยกาก้มเคารพเจ้าหญิง

    " มาลัยกา ข้าขอไหว้วานให้เจ้าช่วยดูแลกับสอนธรรมเนียมต่างๆ แก่องค์หญิงมโนราห์ จะเป็นการรบกวนเจ้าเกินไปไหม ? "

    มาลัยกายิ้มตอบ ก้มรับ

    " ข้าน้อยยินดีเพคะ องค์ชาย "

    " ไม่จำเป็นต้องเรียกองค์ชายหรอก มาลัยกา เจ้าเองเป็นดั่งน้องสาวของข้า "

    หลังจากวันนั้น ระหว่างเจ้าชายไปเยี่ยมพสกนิกรในส่วนต่างๆของอาณาจักรตั้งแต่เที่ยงวันจนมืดค่ำ มโนราห์ใช้เวลากับมาลัยกา เรียนรู้เรื่องสังคมอินดัส และ ตัวตนของมาลัยกา จนพัฒนาความสัมพันธ์จนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

    กิริยามารยาทตามอุดมคติสตรีแห่งอินดัสที่ได้รับการขัดเกลาของเจ้าหญิงยิ่งชวนให้เจ้าชายประทับใจในตัวนางมากขึ้น

    เป็นเหตุให้ใคร่รู้เกี่ยวกับนางและมนตราวายุเป็นเท่าทวี

    ยิ่งชำนาญในมนตราลมเท่าไร ยิ่งสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติในสายลมเย็นยะเยือก ดังที่นางกินรีได้กล่าวไว้

    ทว่าทราบดีบัดนี้มิใช่โอกาสสมควรจะสอบสวนเรื่องนี้ จึงเก็บเอาไว้ในใจ

    เวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็วหลายเดือน

    ณ ราตรีนึง จันทราเต็มดวงส่องไสวงดงาม บดบังรัศมีเหล่าดาราดวงเล็กดวงน้อย ท้องฟ้าโปร่งใส แลเห็นภาพระยิบระยับงดงามบนฟ้าโดยชัดเจน

    " สุธน !! จงตื่นเถิด ตัวข้ามีอะไรสำคัญจะบอก " เจ้าหญิงท่าทางตื่นเต้น เขย่าตัวเจ้าชายที่กำลังบรรทม

    " ไว้บอกข้ายามตะวันขึ้นมิได้รึ มโนราห์ " เจ้าชายงัวเงียจากความเหนื่อยล้าแห่งราชการแผ่นดิน

    " มิได้ดอก นี่เป็นเพลาที่เหมาะสมแล้ว " จากนั้นองค์หญิงพยายามดึงตัวเจ้าชายขึ้นมา จนท่านจำยอมลุกขึ้นมาแล้วโดนลากไปยังระเบียงชมวิว

    ก่อนจะทันได้ถามไถ่อะไร นางมโนราห์กลับเป็นร่างเดิม ผมเทายาวสลวย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สยายปีกด้ายแสงออกมา ประสานมือจับเจ้าชายแล้วโบยบินขึ้นท้องฟ้าด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข

    กระทั่งโบยบินขึ้นไประดับสูงเสียดฟ้า แม้นเทือกเขาหิมาลายันอันสูงใหญ่กลับเล็กกระจิ๋ว ยามมองจากจุดนี้

    " มโนราห์ เจ้าจะพาข้าไปยังที่ใดกัน !!!! " ผมขององค์ชายโดนสายลมอันหนักหน่วงของชั้นนภา จนเสียทรงปิดใบหน้าสนิท

    " อีกประเดี๋ยว สุธน !!! "

    จนกระทั่งลมสลาตันเหล่านั้นได้จางหายไป เจ้าชายเอามือข้างที่มิได้ประสานกับมโนราห์ปัด เส้นผมยาวยุ่งจรดคอของตน

    กลับต้องประหลาดใจ เมื่อสัมผัสการขยับแขนขาช่างเบาหวิว ราวกับทุกอย่างไร้น้ำหนักสิ้นเชิง กระทั่งเห็นบรรยากาศรอบกาย

    อวกาศอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด ประดับด้วยละอองแสง ก้อนหินหลากขนาดล่องลอยไปมาอย่างไร้จุดหมาย กับดาวเคราะห์สีแดง (ดาวอังคาร) เด่นตระหง่าน ส่วนเบื้องหลังปรากฏดาวเคราะห์สีฟ้าอันเป็นบ้านเกิดของเจ้าชาย

    เจ้าชายมองภาพรอบกายอย่างตกตะลึง ขณะมโนราห์ล่องลอยไปมาอย่างเพลิดเพลิน

    " สถานที่นี้คือจักรวาล อันเป็นต้นกำเนิดแห่งทุกสิ่ง พลังมนตราล้วนเป็นละอองจากใจกลางของมัน "

    " ขะ ข้า เคยเข้าใจเพียงว่า เลยจากนภาจะมีเพียงความว่างเปล่า ดวงดาราบนนภามีไว้เพียงศึกษาโหรศาสตร์เท่านั้น เจ้าจะบอกข้าว่าเจ้ามาจากที่แห่งนี้เช่นนั้นหรือ "

    มโนราห์เข้ามาใกล้ชิดเจ้าชาย

    " มิใช่ แต่เป็นดวงดาราดวงนึงอันไกลโพ้น นามว่า ไกรลาส ที่ที่พฤกษาล้วนเรืองแสง ปราศจากราตรี นั่นคือบ้านเกิดของข้า ดางดาราของพวกเราล้วนอยู่ในชมพูทวีปเพียงแต่คนละส่วนกัน (ทางช้างเผือกในภาษากินรี) "

    เจ้าชายฟังถ้อยคำเหล่านั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ

    " แล้วในชมพูทวีปมีเพียงเผ่าพันธุ์แห่งสองเรากระนั้นหรือ ? " ส่วนเจ้าหญิงกินรีขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

    " หาไม่ มีมากมายคณานับ ทว่าช่างมหัศจรรย์ยิ่งนักที่จักรวาลดลบันดาลให้พวกเรามีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกัน "

    " สำหรับข้า ไม่มีสิ่งจะมหัศจรรย์ไปกว่าการได้พบเจอเจ้ามโนราห์ " เจ้าชายยกมือลูบหน้านางในดวงใจ

    " เช่นนั้นข้าอยากให้ท่านสอนอะไรบางอย่าง ทรงคุณค่ายิ่งกว่าความลับเบื้องหลังท้องนภานี้ ได้ไหมเพคะ ? องค์ชายแห่งอินดัส " นางเข้ามาใกล้ชิดเจ้าชายมากขึ้นกายสัมผัสซึ่งกันและกัน

    เจ้าชายหลับตาแล้วยิ้มอย่างสุขใจแล้วโอบกอดนาง

    " ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ข้าพร้อมองค์หญิงกินรีของข้า "

    " สอนข้าทีว่า มนุษย์นั้นแสดงความรักกันเช่นใด "

    ทั้งสองสบตากันอย่างรู้ใจ ใบหน้าขยับเข้ามาใกล้ชิดกันอย่างเชื่องช้า มือสัมผัสกายของอีกฝ่าย

    เพียงดาวเคราะห์สีฟ้าเบื้องหลังเป็นสักขีพยาน ยามสองดวงวิญญาณได้เติมเต็มกันและกัน ขณะอีกด้านนึง ณ

    มุมมืดแห่งพระราชวังหลวง ก็มีการเจรจาเพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานในใจ

    " อนาคตได้ถูกกำหนดไว้แล้ว หากท่านรับข้อเสนอข้า คนๆนั้นจะได้เป็นราชีนีองค์ถัดไปแทนที่เจ้าหญิงองค์นี้เป็นแน่ "

    เงาบุคคลลึกลับคนนั้นปรากฏสัญลักณ์ดวงตาเปล่งแสงบนใจกลางหน้าผาก ยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่าย

    " เช่นนั้นข้าขอตกลง !!!!! "

    วันรุ่งขึ้น ...

    ว่ากันว่า ยามก่อนพายุถาโถมทะเลมักสงบเสมอ

    พรานบุญ ชายร่างกำยำหน้า*****ม ผิวคล้ำ กำลังขี่หลังเต่าทะเลยักษ์ตัวนึง มุ่งไปยังเกาะกลางทะเลใหญ่เกาะหนึ่งทางใต้แห่งอาณาจักรอินดัส ที่คนรุ่นหลังจะรู้จักในนาม "ศรีลังกา"

    ไกลออกไปบนเกาะ แลเห็นนครร้างโบราณ เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอินเดีย เจดีย์งดงามเรียงราย

    ทว่าปราศจากสิ่งใดจะโดดเด่นไปกว่ารูปปั้นยักษ์หน้าข*** สวมใส่หมวกสิบเศียร ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเมือง

    " นี่นะหรือ นครลงกา !! "
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย magicofpunch : 24th June 2017 เมื่อ 01:37 เหตุผล: เพิ่มตอน

  2. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    I have a grenade ho ho ho
    วันที่สมัคร
    Apr 2014
    ที่อยู่
    CS:GO
    กระทู้
    485
    กล่าวขอบคุณ
    139
    ได้รับคำขอบคุณ: 364
    อย่ากแรกเลยนะครับสำหรับนั้น ตัวอักษรที่ ทำตัวหนาจะแสดงถึงภาษาของชนชั้นสูง ควรจะตั่งไว้ บรรทัดแรกเลยดีกว่าครับ ผมจะได้รู้ว่า " อ๋อ นี่มันภาษาของชนชั้นสูงนี่ โอเคๆ " ผมมีแค่นี้จริงๆครับ อ้อ แล้วก็ ตัวละครผมยังไม่รู้จักชื่อพวกเขาเลย แล้วไอ้ คุณโจนส์ เนี้ย มันเป็นใคร 555+ เข้าใจครับว่าบทเกริ่น แต่ ขอประวัติตัวละครซักนิดจะได้รู้ว่า อ๋อ ไอ้คนเนี้ย มันเป็นแบบนี้นะ มันทำแบบนี้นะ อ้าวไอ้นี่คนเลวนี่หว่า 555+

    ปล.ผมชอบอ่านประวัติตัวละครมาก มันดูยุคเก่าดี เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครทำนิยาย แบบนี้ให้อ่านในกระทู้แล้ว สู้ๆครับ

  4. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  5. #3
    สมาชิกใหม่
    วันที่สมัคร
    Jun 2017
    กระทู้
    3
    กล่าวขอบคุณ
    1
    ได้รับคำขอบคุณ 1

    ตอนที่ 1 บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

    ขอลบนะครับ ตอนแรกลงตอน 1 ที่นี่ แต่พึ่งใช่ ฟังก์ชั่น spoiler เป็น เลยย้ายไปมู้แรกดีกว่า
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย magicofpunch : 10th June 2017 เมื่อ 02:55

  6. #4
    สมาชิกใหม่
    วันที่สมัคร
    Jun 2017
    กระทู้
    3
    กล่าวขอบคุณ
    1
    ได้รับคำขอบคุณ 1

    Talking

    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ Tonyghost อ่านกระทู้
    อย่ากแรกเลยนะครับสำหรับนั้น ตัวอักษรที่ ทำตัวหนาจะแสดงถึงภาษาของชนชั้นสูง ควรจะตั่งไว้ บรรทัดแรกเลยดีกว่าครับ ผมจะได้รู้ว่า " อ๋อ นี่มันภาษาของชนชั้นสูงนี่ โอเคๆ " ผมมีแค่นี้จริงๆครับ อ้อ แล้วก็ ตัวละครผมยังไม่รู้จักชื่อพวกเขาเลย แล้วไอ้ คุณโจนส์ เนี้ย มันเป็นใคร 555+ เข้าใจครับว่าบทเกริ่น แต่ ขอประวัติตัวละครซักนิดจะได้รู้ว่า อ๋อ ไอ้คนเนี้ย มันเป็นแบบนี้นะ มันทำแบบนี้นะ อ้าวไอ้นี่คนเลวนี่หว่า 555+

    ปล.ผมชอบอ่านประวัติตัวละครมาก มันดูยุคเก่าดี เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครทำนิยาย แบบนี้ให้อ่านในกระทู้แล้ว สู้ๆครับ
    ขอบคุณที่วิจารณ์มากครับ คุณโจนส์เป็นแค่นักโบราณคดีโผล่มาฉากเดียวแล้วตายครับ (ความจริงล้อ indiana jone ครับ) ส่วนตัวละครที่เหลือในบทเกริ่นนั้นแทบจะไม่มีบทในเนื้อเรื่องภาคนี้เลยครับ แต่จะมีในภาคหลังๆครับ (เพราะการดำเนินเรื่องจะย้อนยุค แล้วค่อยๆไล่มาปัจจุบัน) เกรงว่าจะยัดข้อมูลเกินไป แต่ภายในพรุ่งนี้ผมจะทำข้อมูลตัวละครหลักๆให้ครับ (พระสุธน , พรานบุญ ๆลๆ)

    ปล.ใครอยากอ่านลงเว็บลงนิยายหลักที่คุณชื่นชอบเชิญติดตามได้ทางนี้นะครับ แต่จะลงในนี้ต่อแน่นอนครับ 55 เผื่อใครชอบอ่านแบบนี้

    https://www.readawrite.com/?action=v...1759c18d007165

    https://writer.dek-d.com/magicofpunc...php?id=1558495

    http://www.tunwalai.com/story/134318...B8%81%E0%B8%A3

    ถ้าชื่นชอบผลงานผม รบกวนบอกต่อเพื่อนด้วยก็ดีนะคร้าบ วิจารณ์ได้เสมอ ยินดีรับฟังและนำไปปรับปรุงครับ
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย magicofpunch : 5th June 2017 เมื่อ 00:14

  7. #5
    I have a grenade ho ho ho
    วันที่สมัคร
    Apr 2014
    ที่อยู่
    CS:GO
    กระทู้
    485
    กล่าวขอบคุณ
    139
    ได้รับคำขอบคุณ: 364
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ magicofpunch อ่านกระทู้
    ขอบคุณที่วิจารณ์มากครับ คุณโจนส์เป็นแค่นักโบราณคดีโผล่มาฉากเดียวแล้วตายครับ (ความจริงล้อ indiana jone ครับ) ส่วนตัวละครที่เหลือในบทเกริ่นนั้นแทบจะไม่มีบทในเนื้อเรื่องภาคนี้เลยครับ แต่จะมีในภาคหลังๆครับ (เพราะการดำเนินเรื่องจะย้อนยุค แล้วค่อยๆไล่มาปัจจุบัน) เกรงว่าจะยัดข้อมูลเกินไป แต่ภายในพรุ่งนี้ผมจะทำข้อมูลตัวละครหลักๆให้ครับ (พระสุธน , พรานบุญ ๆลๆ)

    ปล.ใครอยากอ่านลงเว็บลงนิยายหลักที่คุณชื่นชอบเชิญติดตามได้ทางนี้นะครับ แต่จะลงในนี้ต่อแน่นอนครับ 55 เผื่อใครชอบอ่านแบบนี้

    https://www.readawrite.com/?action=v...1759c18d007165

    https://writer.dek-d.com/magicofpunc...php?id=1558495

    http://www.tunwalai.com/story/134318...B8%81%E0%B8%A3

    ถ้าชื่นชอบผลงานผม รบกวนบอกต่อเพื่อนด้วยก็ดีนะคร้าบ วิจารณ์ได้เสมอ ยินดีรับฟังและนำไปปรับปรุงครับ
    จัดไปครับ....................


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top