ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 3 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 123
กำลังแสดงผล 51 ถึง 52 จากทั้งหมด 52
  1. #51
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    413
    กล่าวขอบคุณ
    115
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    บทที่ 5: เพื่อน และความสัมพันธ์ที่ไม่อาจลืมเลือน
    “พี่อยากฟังเพลงจัง ร้องให้ฟังหน่อยสิ” ตั้มพูดและลูบมือของแก้มแหม่มที่พาดอยู่บนอกของเขา เขานอนหนุ่นตักแฟนสาว มือข้างหนึ่งของเขากำปืนพกของตนเอาไว้แน่น นิ้วแตะไกปืนพร้อมยิง เตรียมตัวรอรับทหารจาฟานิสถานที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้

    “งั้น เอาเพลง Goodbyeแล้วกัน”เธอพูด อากาของเธอดูดีขึ้นมาเล็กน้อย เวลานี้เลือดก็หยุดไหลแล้ว ปืนเอยูจี เอ3 ทอดกายอยู่ไม่ไกลตัว เหมือนว่าเธอเตรียมพร้อมกับสิ่งที่ต้องพบเจอ ความตาย กำลังคืบคลานเข้ามาพร้อมเสียงผีเท้าที่ดังก้อง เสียงเรียกกำลังเสริมที่ดังระงมใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ เหมือนว่าจะรอให้ทั้งสองล่ำรากันเสร็จ เสียงใสๆของแก้มแหม่มหำเป็นทำนองของเพลงๆหนึ่ง ก่อนที่เธอเปร่งเสียงร้องออกมาพร้อมน้ำตาที่รินไหลอาบแก้มซีดๆ เสียงใบพัดของเฮลิคอปเตอร์จู่โจมดังขึ้นเหมือนจะช่วยเป็นทำนองคลอไปกับเนื้อร้องของเพลง ทหารจาฟานิสถานซึ่งอยู่ในบ้านสองข้างทาง และเหมือนจะรอให้แก้มแหม่มร้องเพลงจบ อาจเป็นเพราะน้ำเสียงของเธอทำให้พวกเขามีชีวิตรอดออกไปได้อีกเล็กน้อย

    “ทีนี้ไงต่อ” แก้มแหม่มถาม

    “สู้ตาย อย่าให้ผู้พันผิดหวัง” ตั้มพูดและกำปืนแน่น

    “ขอปืนให้แหม่ม เอาปืนแหม่มไป เดี๋ยวแหม่มดูหลังให้พี่เอง”เธอพูดและยื่นจับมือข้างที่ตั้มจับปืนเอาไว้ ตั้มคลายมือช้าๆ แก้มแหม่มจับปืนออกมาจากมือของเขาและพยายามขยับให้มองเห็นข้างหลังของสามีได้ถนัด “เราไม่ได้เกิดด้วยกัน” แก้มแหม่มพูดในขณะที่ตั้มจับปืนเล็กยาวของเธอขั้นมาประทับ

    “เราจะตายด้วยกัน”ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันก่อนที่ตั้มจะจูบแก้มแหม่มอยากดูดดื่ม ก่อนที่ผละออกจากเธอและไปบริเวณหน้ารถ เขาหันกลับมาพยักหน้าให้แก้มแหม่มเล็กน้อยก่อนที่จะโผล่ออกไปยิงใส่ทหารจาฟานิสถานที่มองออกมาจากประตูเพื่อสอดแนม กระสุนหลายนัดเกาะกลุ่มกันเข้าหาชายคนนั้น แม้เขาจะเห็นตั้ม แต่ก็ไม่อาจหลบกระสุนได้พ้น สามนัดจากกระบอกปืนของแก้มแหม่มเข้ากลางศรีษะของทหารนายนั้นก่อนที่กระสุนจากปืนของทหารจาฟานิสถานจะกระหน่ำเข้ากดดันตั้มจนต้องหลบลงหลังที่กำบัง ทหารจาฟานิสถานสี่นายโผลออกมาจากตรองเบื่อหลังซากรถที่ตั้มและแก้มแหม่มใช้เป็นที่กำบัง แต่พวกเขาก็ไม่อาจหลบพ้นสายตาของแก้มแหม่มได้ เธอกระหน่ำกนะสุนเร็วที่สุดเท่าที่ปลายนิ้วของเธอจะเหนี่ยวไกได้ ทั้งสี่ลงไปนอนโอดครวญที่พื้นอย่างรวดเร็วก่อนที่ตั้มจะหันมายิงซ้ำเป็นรายคนคนนอนแผ่หลาทั้งสี่คน กระสุนปืนใหญ่อากาศจากเฮลิคอปเตอร์จู่โจมพุ่งลงใส่พื้นหาจากทั้งสองไปไม่มาก ตั้มทิ่งปืนลงและโผเข้ากอดแก้มแหม่มโดยทันทีที่กระสุนเริ่มตกลงรอบๆพวกเขา แก้มแหม่มร้องให้สะอื่นออกมาและซบลงบนอกของตั้ม ห่าฝนตะกั่วได้หยุดลงไปแล้ว เสียงการเรียกกำลังเสริมเข้ามาแทนที่ ทหารจาฟานิสถานก้าวออกจากที่กำบังและเดินเข้าหาตั้มและแก้มแหม่มจากทุกทิศทาง เวลานี้กระสุนของทั้งสองแทบไม่เหลือเลยคงมีกระสุนเหลืออยู่ในแม็กกาซีนปืนพกเพียงสองสามนัทเท่านั้น

    “พี่ขอโทษ” ตั้มพูดและพิงซากรถขึ้นสนิมที่เต็มไปด้วยรูกระสุน “พี่ทำให้แหม่มผิดหวังอีกแล้ว” น้ำตาลูกผู้ชายของเราเริ่มรินไหล แฟนสาวใช้มือข้างที่ใช้ได้จับไหลของเขาและสายหน้าทั้งน้ำตาที่พรั่งรู้ออกมาอาลัยอาวรให้วาระสุดท้ายของชีวิต แก้มแหม่มและตั้มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมๆกันโดยไม่ได้นัดหมาย เฮลิคอปเตอร์จู่โจมพร้อมอาวุธบินวนเข้ามาหาพวกเขา ทั้งสองรับรู้ได้ถึงสายลมอ่อนๆที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้าพร้อมฝุ่นละออง มันทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อมันเคลื่อนที่เข้ามาใกล้มันหยุดอยู่สูงเหนือพวกเขาไม่มากนัก และหันปืนกลอากาศขนาด12.7 มม. เข้าหาพวกเขา ทั้งสองหลับตาลงพร้อมกันและกุมมือกันไว้แน่น

    “ลาก่อน”แก้มแหม่ม” แก่มแหม่มพูดเบาๆก่อนที่ทั้งสองจถูกเฮลิคอปเตอร์ยิงถล่มด้วยปืนกลอากาศ จนร่างแหลกเหลวไม่เหลือชินดี

    สามวันต่อมา กลางดึกคืนหนึ่ง ทางตอนเหนือของรัสเซีย

    “ที่นั่นสินะ กอง บ.ก. ข้าศึก” เรวานอฟพูดพร้อมสองกล้องมองดูหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่รายรอบด้วยแนวกระสอบทราย หอคอยสูง และรั้วลวดหนาม เป้าโลหะรูปร่างคล้ายคนถูกตั้งไว้หน้าเต็นท์ขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีรถถังที่สร้างจากไม้อีกหลายคันจอดอยู่ใกล้ๆกัน “มีรถถังด้วยแฮะ”

    “ใช่ อีกไม่กี่วันคนถูกเข็ญออกมารับพวกเรา” อโลนพูดและมองดูหมู่บ้านที่ตั้งตระหง่าทามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง ไฟจากบ้านหลังต่างๆทำให้อโลนพอจะเดาได้ว่านี่คือบททดสอบการโจมตีในเขตเมือง และการควบคุมฝูงชน “เตรียมลุยได้แล้วสหาย เราจะไปนอนใน บ.ก.ข้าศึก”

    “รับทราบ”เรวานอฟพูดและยิ้มอย่างมีเลศนัย “ดีนะที่เราส่งข่างลวงให้โอเวอร์ลอร์ด พวกเขาจึงไม่รู้ว่าเรามาอยู่นี่” เขาละสายตาจากกล้องส่องทางไกลและไสลด์ลงจากเนินดินมาหาเพื่อนร่วมหมวด อโลนมองดูหมู่บ้านเล็กน้อยก่อนจะลงมาตามเรวานอฟ

    “ถ้าอยากจะหลอกข้าศึก ต้องหลอกฝ่ายตัวเองให้ได้ก่อน”เขากระซิบกับเรวานอฟก่อนจะหันไปมองลูกหมวดของตน “ท่านทั้งหลาย ผมต้องขอบคุณทุกท่านมากที่ลงแรงลงใจ พยายามมากันถึงที่นี่” อโลนนั่งลงบนดินที่ลาดชันขึ้นไปถึงเนินดินเบื่องบน “คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เราอยู่ที่นี่ อีกสิบนาที เราจะลอบเข้ายึด บ.ก.ข้าศึก งานนี้เราได้ลาบก่อนโตแน่ เพราะผมบอกโอเวอร์ลอร์ดว่าเราอยู่ห่างจากนี่ห้าสิบไมล์ ทุกท่าน เตรียมตัวได้แล้ว พร้อมในห้า ไปในสิบ”สิบนาทีต่อมา อโลนก็เรียกรวมหมวด จัดแจงแผนการโดยจะให้หมู่หนึ่งและสองเข้ายึดหมู่บ้าน และหมู่สามทำการลอบเข้ายึด บ.ก.อโลนและหมู่สามนั่งหลังเนินดิน รอให้หมู่ที่หนึ่งและสองเริ่มทำการเข้ายึดหูม่บ้าน

    “ทำไมถึงเป็นหมู่สามทุกที” สมาชิกหมู่คนหนึ่งถาม แต่อโลนก็ไม่ตอบหากแต่หันไปยิ้มแบบสบายๆให้เขา “ผู้หมวดครับ แค้นอะไรพวกผมรึเปล่า”ทหารคนเดิมถาบแบบทีจริงทีเล่นทำเอาทุกคนที่ได้ยินขำออกมาเบาๆ

    “เปล่าๆ”อโลนพูดและมองดูมิโกะที่ยังคงงอลเขาอยู่เหมือนเดิม “เราหมวดสาม แล้วนายหมู่สาม บวกกันแล้วมันได้หก” อโลนพูดเสียงเรียบๆ ทำเอาหมู่สามทุกคนถึงกับแสดงอาการทึ่งกับคำตอบของเขา “ไปกันได้แล้ว” เขาพูด ดึงกล้องมองกลางคืนให้เข้ามาอยู่บริเวณตาและขึ้นลำปืนในมือ ทหารทั้งสิบสี่นายเดินผ่านแสงจันทร์ไปยังแนวกระสอบทราและเต็นท์ที่คาดว่าจะเป็นกองบัญชาการข้าศึก ซึ่งในขณะเดียวกันนี้ หมู่หนึ่งและสองก็กำลังทำการจู่โจมจากอีกฝั่ง อโลนและทหารหมวดสามก้มตั้วต่ำในขณะที่เข้าใกล้แนวลวดหนาม แนวกระสอบทรายเงียบมาก ไม่มีแม้แต่ทหารยาม อาจเป็นเพราะทหารช่างนั้นคิดว่าพวกเขาอยู่ห่างออกไปไกล จึงไม่ได้ทำการเตรียมรับมือหรือแม้แต่จัดเวรยาม

    อโลนเดินผ่านเป้าโลหะไปอย่างช้าๆ และมุ่งไปยังหมู่รถถังจำลอง อโลนส่งสัญญาณมือให้ทีมชาลีทำการติดตั้งระเบิดบนรถเหล่านั้น ทีมชาลีแยกออกจากกลุ่มอย่างเงียบเชียบและเข้าปฎิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อโลนและสองทีมที่เหลือก้มตัวต่ำและเคลื่อนต่อไปจนถึงหน้ากลุ่มเต็นท์ซึ่งมีเต็นท์ขนาดกลางตั้งอยู่สามหลัง เขาให้สัญญาณหยุดและรอจนทีมชาลีกลับมาร่วมกลุม จากนั้นอโลนจึงจัดแจงให้แต่ละทีมจัดการในแต่ละเต็นท์ โดยที่อโลนและหัวหน้าหมู่คอยดูหลังให้พวกเขา อโลนพยักหน้าให้ทุกทีม ทั้งสามทีมเปิดประตูเต็นท์ที่ทำจากสังกะสี ตามด้วยการโยนระเบิดแสงและระเบิดลูกยางเข้าไปในเต้นและละหลัง วินาทีต่อมา ระเบิดทั้งสองก็ระเบิดขึ้น ส่งทั้งเสียงทั้งแสง และทั้งลูกยางกลมๆไปทั่วทั้งเต็นท์ เสียงโอดครวญของทหารช่างดังขึ้นอย่างโหยหวน ทหารสิบสองนายเข้าผ่านประตูเต็นท์แต่ละหลัง พลางตะโกน “นี่บีเอพีเอ็มซี หมอบลงกับพื้น” เสียงตะโกนนั้นดังแข่งกับเสียงของทหารช่างที่ตะโกนว่า “น้ำเงินบนน้ำเงิน” (เป็นรหัส แปลว่ายิงพวกเดียวกันเอง และให้หยุดยิงทันที) ไม่นานนักความวุ่นวายก็จบลง เหลือเพียงเสียงสบดก่นด่าของทหารช่าง อโลนเข้าไปดูภายในเต็นท์แต่ละเต็นท์เพื่อนับจำนวนเชลยศึก จนต้องมาหยุดที่เตทน์หลังหนึ่ง

    “ฉันเป็นพันตรีนะโว้ย พวกแกมาทำแบบนี้กับฉันได้ไงวะ พวกเปรต” ชายคนหนึ่งในชุดฝึกสภาพร่างกายของบีเอพีเอ็มซีพูดขึ้น เขานอนคว่ำหน้าบนพื้นที่ถูกปูด้วยผ้า โดยที่ร่างของเขาถูกหญิงสาวคนหนึ่งนั่งทับอยู่จนเขานั้นลุกไม่ขึ้น อโลนเข้ามาภายในเต็นท์และนั่งคุกเข่าลงหน้านายทหารคนนั้น

    “คุณยศพันตรีหรือครับ” อโลนถามในขณะที่ทหารของเขาคนหนึ่งกำลังใส่กุญแจมือพลาสติกให้กับทหารช่างอีกคน

    “เออสิวะ ไอ้ร้อยตรี (เซ็นเซอร์) ปล่อยกูไปเดี๋ยวนี่นะ” เขาพูดและดินอย่างรุนแรงเพื่อให้หลุดจากการพันธนาการและตะโกนว่า “ปล่อยกู”

    “ใส่กุญแจมือมันซะ แล้วก็หาอะไรปิดปากไว้ด้วย”อโลนสั่งหัวหน้าทีมชาลี และเดินออกไปจากเต็นท์ “นี่บราโว่-3 เรียกโอเวอร์ลอร์ด”อโลนพูดกับวิทยุ

    “โอเวอร์ลอร์ด ทราบแล้วเปลี่ยน”

    “ภารกิจเสร็จสิ้น จับกุมนายทหารของข้าศึกได้หนึ่งคน ขอคำแนะนำด้วย เปลี่ยน”

    “ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ผู้หมวด ตรึงพื้นที่ไว้ กองพันของเราจะไปสมทบในเวลารุ่งสาง เลิกการติดต่อ” อโลนทำการสั่งหมวดของตนให้จัดแนวป้องกัน พวกเขาทุกคนนอนไม่หลับกันทั้งคืนเนื่องด้วยความปิติยินดีที่มีอยู่เต็มหัวใจ เวลาเช้ามาถึงพร้อมกับกองร้อยยานเกราะที่เคลื่อนเข้ามา ตามด้วยทหารราบ โอเวอร์ลอร์ด หรือตัวจริงของเขาก็คอ นายพลเอกเฟร็ดเดอร์ริค วอร์ฟิล มาพบและแสดงความยิดีกับเขาด้วยตัวเองพร้อมๆกับพี่ชายทั้งสองของอโลน ทหารใหม่น้อยคนนักที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นตำนานเฉกเช่นเขา นายพลเฟร็ดเดอร์ริค ผ่านสงครามมานักต่อนัก จนนายพลวัย63ปีคนนี้ไม่มีโอกาศเกษียร เพราะว่าไม่มีใครเก่งพอที่จะแทนที่เขาได้เลย

    นายทหารหมวด3กองร้อยบีได้สัมผัสมือกับผู้เป็นตำนาน และได้ร่วมถ่ายรูปหมู่กับเขา ดวงตะวันเริ่มคล้อยขึ้นสูง ทหารทุกนายเข้าแถวเตรียมรับเหรียญพิชิตการฝึก แต่อโลนและสมาชิกหมวดสามได้รับเหรียญโดยตรงจากพลจัตวาอดัม ที่ได้รับการแต่งตั่งเมื่อสามวันก่อน ซึ่งอโลนก็ยังเสียดายที่ไม่ได้ไปงานนี้ ทหารแต่ละคนแยกย้ายไปยังยานพาหนะของแต่ละหมวด ซึ่งมันจะนำพวกเขากลับไปยังสถาบัน ก่อนที่พวกเขาจะถูกส่งไปฝึกยังสถานที่ต่างๆทั่วโลก อโลนถูกแยกจากหมวดและถูกส่งไปยังเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวของอดัม สามพี่น้องนั่งอยู่ในห้องโดยสารของเครื่องโดยพร้อมเพรียง เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทั้งสามได้มาพบกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ไม่มีใครพูดอะไร เหมือนว่าจะดูเชิงของผ่านตรงข้ามก่อนเสียอย่างนั้น สิบนาทีผ่านไป มีเพียงเสียงเครื่องยนต์และใบพัดเท่านั้น จุนอดัมเริ่มเปิดประเด็น

    “ไปหลุมศพพ่อมาเหรอ” อดัมพูดในขณะที่สายตาจับจ้องกับป่าสนเบื่องล่าง

    “ครับ”อโลนตอบแบบนิ่งๆ เขามองดูป่าสนเบื่องล่างเหมือนดั่งที่อดัมทำ “ผมแค่อยากให้น้องรอด” อโลนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อดัมถอนหายใจก่อนจะหันมามองอโลน

    “เอาน่า เราเปลียนอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่นา”อดัมพูดและดึงกระติกน้ำเข็งทรงสี่เหลียมออกมาจากใต้ที่นั่ง เขาเปิดฝากระติดและหยิบขวดเหล้าเย็นฉ่ำออกมาพร้อมแก้วพลาสติกสามใบ “อันที่จริงกะว่าจะเปิดบนเครื่องเจ็ทนะ แต่ว่า”เขาหยุดและแจกแก้วให้อโลนและเกอร์ริ่ง “เปิดตอนนี้เลยแล้วกัน” เขาเปิดขวดและรินเหล้า249ปีของตระกูลลงในแก้วของแต่ละคน “แด่อโลน อลองเกอร์”เกอร์ริ่งพูดและยกแก้วชูขึ้นเหนือหัว “ผู้ทำลายค่ายทหารช่าง” อดัมและอโลนขำออกมากับมุกตลกแดกดันของเกอร์ริ่ง ก่อนที่จะดื่มเหล่าดีกรีสูงเข้าไป

    “พี่”อโลนพูดและยื่นแก้วเหล้าให้อดัมรินให้อีกครั้ง “ผมสงสัยหลุมศพทหารสองคน ไม่ยักยิงปืน21นัด”

    “อ้อ สงใสจะลืม” เกอร์ริ่งตอบ “โดนกระสุนปืนใหญ่อากาศจนไม่เหลือศพให้เก็บ”

    “เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการดาบอัคคี”อดัมตอบและรินเหล้าใส่แก้วของอโลน “พลาดไปหน่อย เสียดายที่ไม่มีใครยิงปืนสดุดี”

    “พี่ก็รู้ว่าพี่โกหกไม่เนี่ยน” อโลนพูดและดื่มเหล้า ใบหน้าของเขาเริ่มแดงระเรื่อจนเห็นได้ชัด “บอกมาซะเถอะพี่”

    “ก็ได้ พวกเขาถูกย้ายไปบลัดออฟก๊อดหมวดสี่”อดัมดอบพร้อมดื่มเหล้าในแก้วจนหมด

    จาฟานิสถาน สามวันก่อน

    เสียงบางอย่างดังขึ้น มันเสียงกระสุนแหวกอากาศ ตามมาด้วยเสียงโลหะกระทบกัน แต่ไม่ เสียงมันดังห่างจากพวกเขามาก ตั้มลืมตาขึ้นและพบว่าเครื่องปีกหมุนจู่โจมกำลํงถูกระดมยิงจากด้านข้างด้วยอะไรบางอย่าง กระสุนเจาะทัลุและฉีกเกราะของเฮลิคอปเตอร์จู่โจมอย่างง่ายดาย เลือดสาดกระเว็นไปทั่วห้องนักบิน กระจกถูกกระสุนเจาะทะลุอย่างง่ายดาย ควันครุกรุ่นออกมาจากเครื่องยนนต์ มันเสียแรงยก หมุนควง และตกลงมาใส่ทหารจาฟานิสถานโชคร้ายที่อยู่ในทางตกพอดิบพอดี แก้มแหม่มไม่ปลอกโอกาศให้หลุดลอยไป เธอยิงปืนพกในมืออย่างบรรจงไปยังทหารจาฟานิสถานสามนายที่กำลังสับสนและงงงวย กระสุนเข้ากลางศรีษะของทั้งสามอย่างแม่นยำและส่งพวกเขาไปนอนหมดสภาพ เครื่องบินใบพัดลำหนึ่งบินผ่านเหนือเมืองไป ถึงแม้เครื่องลำนั้นจะบินเร็วมาก แต่ตั้มก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่านั้นคือเครื่อง พี-51 มัสแตง “ไฮแลนด์เดอร์เรียกไอซ์แมน คิดถึงฉันไหม เปลี่ยน”เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากวิทยุ
    “****ได้ดีเปลี่ยน” เร็กซ์พูดผ่านวิทยุ (****ได้ดีหรือGood FUCK! คือศัพท์สแลงของทหารอากาศ บีเอพีเอ็มซี สือความหมายว่ายิงได้ดี เมื่อใช้ปืนกลอากาศยิงเครื่องบินข้างศึกร่วง) “ตรงเวลาแบบบัตซบเลยว่ะ” เสียงเกอร์ริ่งดังขึ้นมาเหมือนกับตะโกนมส่วิทยุด้วยความสะใจอย่างไรอย่างนั้น “หุบปากไว้พ่อคนเถื่อน ไอซ์แมน เราจะเครียหมู่บ้านและกองกำลังข้าศึกให้ คุณกลับไปทำภารกิจและไปยังจุดถอนกำลังได้เลย เปลี่ยน”

    “ทราบแล้ว ระวังด้วย ในหมู้บ้านมีคนของเราสองคน หลบอยู่หลังรถบรรทุกสีขาว”

    “ทราบแล้ว พวกนายยังอยู่ข้างล้างนั่นไหมเปลี่ยน”

    “ยังอยู่เปลี่ยน ต้องการความช่วยเหลือด่วนมาก”

    “ก้มหัวต่ำๆนะสหาย ตะกั่วร้อนๆกำลังจะไปหานาย”

    “เรดาร์ถูกทำลายแล้ว เปลี่ยน”เสียควีนดังขึ้นจากวิทยุ “เตรียมการถอยได้”

    “เยี่ยมมากพี่สาว ไฮแลนเดอร์เรียกทุกราเว่น ใช้ขบวนกำแพงตะกั่ว” เครื่องบินอีกหลายลำบินผ่านหัวตั้มและแก้มแหม่มไปรวมกันอยู่ใกล้กับชายหาด พวกเขาแปรขบวนเป็นแถวยายแบบปีกต่อปีก บินเข้ามาหาหมู่บ้านที่ตั้มและแก้มแหม่มอยู่ก่อนจะกดหัวลง และกระหน่ำสารพัดปืนใส่หมู่บ้าน กระสุนตกลงไม่ห่างจากพวกเจามากนัก เศษฝุ่นและดินกระเด็นกระดอนขึ้นสูง ร่างของทหารจาฟานิสถานถูกฉีกด้วยกระสุนจากปืนใหญ่อากาศจนไม่เหลือชินดี แม้จะหลบอยู่ใต้หลังคาดินของบ้านหลังต่างๆ กระสุนก็ยังสามารถเจาะทลวงเครื่องกำบังเหล่านั้นลงไปฆ่าทหารจาฟานิสถานอยู่ดี เลือดและเนื้อกระเด็ดเปรอะตามผนังและถนน ฝุ่นควันลอยตลบไปทั่วทั้งหมู่บ้าน เว้นแต่เพียงถนนที่เข้าสู่หมู่บ้านจากทางทะเลเท่านั้นที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ฮู้เร่”เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากวิทยุ เครื่องพี-38 ไลท์นิ่งแปดลำบินโฉบเหนือหมู่บ้านด้วยความเร็วสูงและตรงเข้าหาขบวนรถของทหารจาฟานิสถานที่อยู่นอกหมู่บ้าน

    “จบแล้วสินะ” ตั้มพูดและมองดูซากศพที่ถูกฉีกด้วยกระสุนปืนกลอากาศ

    “คงงั้น”แก้มแหม่มพูดและพยายามลุกขึ้นยืนโดยมีตั้มช่วยพยุง “ว้าว”เธอร้องออกมาเบาๆหลังจากที่เห็นซากศพของทหารจาฟานิสถานที่เพ่งมองอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ว่าร่างของใครเป็นของใคร เธอโอบเอวสามีและซบอกของเขา รอยยิ้มเจือๆผุดขึ้นบนใบหน้าของทั้งคู่

    สองวันต่อมานับจากอโลนผ่านการฝึก

    ณ ชายหาดแห่งหนึ่ง อโลนในชุดเสื้อเชิร์ตสบายๆ กางเกงขาสามส่วน นั่งบนม้านั่งยาวทามกลางแสงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้า ข้างๆเขาคือเกอร์ริ่งและพ่อแม่ของอดัม ส่วนม้านั่งทางฝั่งขวาของทางเดินหินสีขาวเป็นของพ่อแม่ญาติพี่น้องในตระกูลอีลิแกน ถัดไปเบื่องหลังคือเหล่าที่นั่งของแขกผู้มีเกียรติ เพื่อนๆของอดัมและควีน รั้วไม้ถูกสร้างขึ้นล้อมรอบบริเวณ ด้านหน้าตรงกลางของม้านั่งทั้งสองฝั่งคือแทนประกอบพิธีซึ่งทำจากไม้ ขัดแต่งและเคลือบผิวมาอย่างดี ชายในเสื้อเชิร์ตสบายๆ และกางเกงขายาวยืนอยู่หลังแท่นนั่น เขาคือนักบวชในศาสนาพรีเดเตอร์โลจี่ที่อดัมและควีนนับถือ ศาสนาพระเดเตอร์โลจี่ เป็นศาสนาที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับบีเอพีเอ็มซี หลักคำสอนส่วนใหญ่เกี่ยวกับการปลูกฝั่งให้รักเพื่อน พวกพ้อง และสอนใหใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหา ศาสนานี้ไม่เคร่ง ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ ไม่มีพิธีกรรมอะไรมากมาย เป็นเหมือนศาสตร์แขนงหนึ่งมากกว่า แต่สาวกทุกคนก็ทำตามคำสอนอย่างเคร่งครัด แม้ศาสดายังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเป็นใคร แต่ตำนานกล่าวไว้ว่า ศาสดาได้รับพรจากเทพผู้สร้างและทำลาย อันมีนามว่า พรีเดเตอร์ ให้เปลี่ยนร่างเป็มนุษย์ และสอนให้ชาวโลกรู้จักหยิบยื่นความรักให้แก่กัน

    อดัมก็อยู่ในชุดที่ไม่ต่างจากนักบวชมากนัก เพียงแต่เขาใส่หมวกปีกสีทรายที่เข้ากับบรรยากาศเวลานี้ได้พอดี เสียงพูดคุยดังระงม เวลานี้เรื่องที่ทุกคนพูดกันคงจะหนีไม่พ้นเรื่องเจ้าสาวของงาน สายลมพัดโชยพร้อมกับเสียงคลื่นที่ซัดสาดหญิงสาวสองคนปรากษขึ้นเบื่องหลังของแขก ชุดกระโปรงสีแดงสดลายดอก ผมซอยสั้นสีน้ำตาล ดูเข้ากับมงกุฎดอกไม้สีเหลืองอร่าม สาวสวยอีกคนไม่ใช่ใครนอกจากน้องสาวของควีน เธอดูไม่ต่างจากพี่เลย หากแต่ตัวเล็กกว่า ผมยาวถึงและผมของเธอนั้นยาวสรวยถึงกลางหลัง ทั้งสองเดินไปตามทางเดิน จนควีนมายืนเคียงข้างกับอดัม น้องสาวของเธอก้มหัวให้นักบวชเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างกับพ่อแม่ของเธอ เสียงพูดคุยเงียบลงโดยพลัน

    “เอาล่ะเหมือนจะพร้อมกันแล้ว” นักบวชพูดพร้อมยิ้ม “เจ้าบ่าวเจ้าสาวพร้อมแล้วนะครับ”

    “ครับ/ค่ะ”อดัมและควีนพูดเป็นเสียงเดียว

    “งั้นขอเริ่มล่ะนัครับ” เขาพูดและกระแอม ก่อนจะพูดอีกครั้งด้วยเสียงอันทรงพลัง “ขอต้องรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่ายที่มาในอยู่ณที่นี่ วันนี้เป็นวันดี เป็นวันที่หนุ่มสาวจะแสดงออกถึงความรัก ความซื่อสัตย์ ความไว้ใจ” เขาหยุดหายใจเล็กน้อง “คนเราเกิดมาพร้อมสองขา สองแขน สองตา และหลายๆอย่างในตัวของเราที่เกิดมาเป็นคู่ ยกแว้นสิ่งหนึ่ง”เขาหยุดและมองไปรอบๆ “หัวใจ” เขาเว้นช่วง “หัวใจเป็นสิ่งเดียวที่เกิดมาไม่มีคู่ เป็นสิ่งเดียวที่ต้องเดียวดาย แต่ไม่ ที่จริงแล้วหัวใจไม่ได้มีดวงเดียว” เขามองดูเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่บัดนี้กำลังกุมมือกัน มองดูและอบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง “หัวใจคนเรามีอีกดวง อยู่ไกลแสนไกล หัวใจต่างก็เฝ้ารอให้หัวใจ มาเติมเต็มกันและกัน เหมือนดั่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวในวันนี้” ทุกคนในงานยิ้มอย่างมีความสุขไปกับคำพูดของนักบวช พิธีกรรมและการจดทะเบียนสมรสเสร็จสิ้นลง ก็ถึงเวลาของงานเลี้ยง งานเลี่ยงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน อาหาร เครื่องดื่ม การเต้นรำ เจาบ่าวเจ้าสาวง่วนอยู่กับการเดินคุยกับแขกตามโต๊ะและขึ้นเวที ส่วนเกอร์ริ่งก็มัวแต่จีบน้องสาวของควีน งานรับแขกจึงตกเป็นของอโลนและหยก เพื่อนสนิดของเขาตั้งแต่สมันเรียนมัธยม หยกเป้นชายร่างใหญ่ ตัวท้วม ใจดีกับเด็กๆและผู้หญิง ส่วนผู้ชายน่ะหรอ มันไม่สน งานเลี้นงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเลยเข้าสองยาม เกอร์ริ่งหายไปตามอดัมอีกคน ส่วนอโลนทีเหนื่อยอ่อนจากงานรับส่งแขกก็นั่งพักที่บาร์เหล่าริมสระน้ำของโรงแรม “อลองเกอร์” อโลนเดินเข้าไปหลังบาร์เปิดตู้ต่างๆเพื่อหาเหล้าดื่ม แน่นอน นับตั้งแต่งานเริ่ม เขายังไม่ได้ดื่มอะไรสักแอะ ตู้แช่เย็นว่างแทบจะว่างเปล่า เหลือแต่เพียงน้ำเปล่าที่ถูกเปิดดื่มแล้ว อโลนฉวยขวดน้ำและเปิดดื่มหลายอึกก่อนจะเทน้ำที่เหลือราดใบหน้าเพื่อเรียกความสดชื่น เขามองดูฉลากก่อนจะโยนมันลงถังขยะที่เต็มไปด้วยขวนน้ำพลาสติก

    “เหล้าก็ไม่มีให้ดริงค์ เฮ้อ”เขาพูดตัดพ้อก่อนจะถอนหายใจยาว และทิ้งตัวลงบนเก้าอี้บาร์ เขาฟุบกับเคาท์เตอร์และกำลังจะเคลิ้มหลับ เสียงของบางอย่างวางลงบนเคาท์เตอร์ เขาพยายามชูคอขึ้นมอง ใบหน้าของหยกปรากฏขึ้นพร้อมกับถุงพลาสติกติดโลโก 7-11 “อะไรของแกวะ” อโลนถามแบบไม่สบอารมณ์

    “ก็เห็นนายจะหลับเลยหาอะไรมาให้ดริงค์” หยกพูดพร้อมยิ้ม ซึ่งอโลนก็ได้ยิ้มตอบก่อนจะล้วงเข้าไปเอากระป๋องเบียร์ออกจากถุง หยกนั่งลงตรงข้ามกัยอโลนและเปิดกระป๋องน้ำอัดลม “เหนื่อยรึเปล่าวะชิบ”หยกเริ่มถามทั้งๆที่คำตอบก็อยู่ตรงหน้าแล้ว

    “ไม่เหนื่อยกันจะน็อกแบบนี้หรอวะ” อโลนตอบและซดเบียร์ในกระป๋องอย่างเอร็ดอร่อย “พี่อดัมก็หนีไปทำการบ้านตั้งแต่สามทุ่ม พี่เกอร์รี่งก็หายหัวไปไหนไม่รู้”

    “ทำการบ้านอีกคนล่ะมั้ง”หยกพูดและซดน้ำอัดลม อโลนยิ่มเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มถามไถ่ความเป็นอยู่และเรื่องของเพื่อนที่อโลนเคยเรียนด้วยเมื่อครั้งยังอยู่มัธยม ไปจนถึงเรื่องเก่าๆในอดีต เวลาล่วงเลยไปครึ่งชั่วโมงก่อนที่เกอร์ริ่งจะโผล่ออกมาพร้อมหญิงไทยคนหนึ่ง ทั้งสองเดินโอบกันออกมาจากโรงแรม ทั้งสองจูบลากันบริเวณประตูกระจก ก่อนที่เกอร์ริ่งจะตรงมาทางพวกเขา

    “ไปไหนมา” อโลนถามทันทีที่เกอร์ริ่งนั่งลงบนเก้าอีบาร์

    “ทำการบ้าน”เขาตอบและรับเบียร์ที่หยกโยนให้

    “ฉันบอกนายแล้ว” หยกพูดและจิบน้ำอัดลม

    “ใครจะไปรักษาความบรุสุทธิ์ไว้แบบนายล่ะว่ะ”เกอร์ริ่งสวนทันควันทำเอาหยกและอโลนสำลัก ทางอโลนนั้นขำออกมาดังมาก ส่วนหยกมองหน้าเกอร์ริ่งที่ยิ้มแฉ่งล้อเลี่ยนเขา “ใช้ไหม จร” เขาหันไปถามอโลนที่กำลังพยายามกลั้นหัวเราะ

    “เออๆ ผมมันไม่ดี ไม่เหมือนพวกพี่กับจรนี่นา”หยกพูดตัดพ้อ เกอร์ริ่งหัวเราะร่าพร้อมตบหลังหยก

    “เอาน่า ไอ้น้อง สักวันนายจะเจอคนที่ใช่”เกอร์ริ่งปลอบหยกและซดเบียร์ต่อ

    “ผมว่ามันดึก ไม่สิ มันเช้ามากแล้วนะครับ ผมขอตัวก่อนดีกว่า” เขาพูดและมองดูนาฬิกาข้อมือ

    “ฉันก็ว่างั้นนะ เดี๋ยวฉันไปส่งนายแล้วกัน” อโลนพูดและลุกขึ้นพร้อมๆกับหยก

    “ขอบใจ” ทั้งสองล่ะจากบาร์แล้ะเดินไปตามทางที่โรยด้วยก้อนกรวดหลากสี ต้นลั่นทมสองข้างทางผลิบานและร่วงหล่นลงสู่พื้น ทั้งสองเดินไปในความเงียบจนถึงครึ่งทาง “เฮ้”ทั้งสองพูดและมองหน้ากัน แต่อโลนพยักหน้าให้หยกพูดก่อน หยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังเศร้าหมอง “ทำไมมีดอกลั่นทมทุกที่ที่ฉันไปเลยวะ” เขาพูดและเก็บดอกหนึ่งขึ้นมาจากพื้นเขาลูบไล้มันอย่างทนุถนอมเหมือนกับกำลังลูบไล้ใบหน้าของใครคนหนึ่งอยู่

    “เพราะเธอคือพลัง ที่ขับเคลื่อนนายให้ก้าวไปข้างหน้ายังไงล่ะ”อโลนพูด “เธอไม่ได้อยู่ในความทรงจำของนาย แต่เธออยู่ลึกในวิญญาณของนาย เป็นส่วนหนึ่งของนาย ถ้านายขาดเธอ นายคงอยู่ไม่ได้” เขาตบไหล่ของหยก ซึ่งหยกก็หันมามองหน้าเขาและพยักหน้าให้เขาถามเรื่องที่เขาอยากรู้ “จูนเป็นไงมั่ง”

    “สบายดี”หยกตอบและก้าวเดิน “น้องแกยังไม่มีแฟนใหม่ เหมือนจะยังลืมนายไม่ได้ว่ะ” หยกโยนดอกลั่นทมไปข้างทางและล่วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหาโทรศัพท์มือถือ

    “ฉันผิดรึเปล่าวะที่บอกเลิกไปแบบนั้นน่ะ” อโลนถามสีหน้าหมดความมั้นใจ “ฉันทำร้ายคนที่ฉันรักได้ไงวะ เฮ้อออ!”

    “นายทำถูกแล้วเพื่อน” หยกปลอนในขณะกดโทรศัพท์หาเบอร์คนขับรถของเขา “ถ้านายไม่ทำ แล้วนายโดนยิงตาย เธอจะเสียใจมากกว่านี้” หยกพูดเสียงเข้ม อโลนพยักหน้าและกำหมัดออก หยกกำหมดและกระแทกมันเข้ากับหมัดของอโลนเบาๆ “ASOG friendship forever” ทั้งสองพูดพร้อมกัน หยกคุยกับคนขับรถผ่านทางโทรศัพท์และนัดแนะคนขับรถให้มารับ ทั้งสองยืนเคียงข้างกันในความเงียบ จนแสงไฟหน้ารถของรถกระบะสี่ประตูจะเคลื่อนเข้ามา “โชคดี” อโลนบอกหยก

    “เช่นกัน”ทั้งสองโผเข้ากอดกันจนรถมาจอดเทียบ “แล้วเจอกัน” หยกผละจากอโลนและเปิดประตูรถ “อ้อ! เกือบลืมแนะ”หยกหยุดเมื่อก้าวข้าข้างหนึ่งขึ้นไปบนรถ หยกล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทและหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาให้อโลน “เพื่อนๆฝากมา” อโลนรับมันไว้ก่อนที่หยกจะขึ้นรถ เขารอจนรถหายลับไปจากสายตา จึงกลับเข้าไปในโรงแรม เขามาถึงสระน้ำหน้าโรแรมก็พบว่าอดัมและควีนมาพร้อมกันที่บาร์แล้ว อโลนขยับภาพถ่ายเข้าหาแสงไฟเพื่อที่จะได่มองได้ชัดๆ ในรูปนั้นมีอโลน หยก และเพื่อนๆกลุ่มแกงค์ASOG ไม่ว่าจะเป็นจัมพ์ ชายตัวผอมไม่ค่อยพูด ต่อ ชายร่างบางแต่มีความเป็นผู้นำสูง แชมป์ ไอ้อ้วนเอาแต่ใจ แต่ไม่เห็นแก่ตัว กระแต เด็กเรียนสุดบ๊อง เตย สาวผิวเข้มแฟนหยก และคนสุดท้าย จูน อดีตแฟนสาวของเขานั่นเอง ทุกคนต่างโพสต์ท่าต่างๆนาๆ สีหน้ามีความสุข จนทำให้อโลนอดยิ้มออกมาไม่ได้ ลายมือหวัดๆเอียงๆ เขียนไว้ที่มุมหนึ่งของรูปว่า ‘ASOG friendship forever’ อโลนพลิกไปดูข้างหลังรูป ตราของASOG รูปฟันเฟืองและหัวกะโหลกอยู่ที่มุมหนึ่งของด้านหลังภาพ ส่วนที่เหลือคือคำพูดที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ที่ดูแล้วน้าจะเป็นลายมือของจูน ‘อย่ากลัวที่จะต้องแพ้ อย่ากลัวที่จะต้องหนี อย่าลัวที่จะต้องเสียอะไรบางอย่างไป เพราะสุดท้าย ยังดีกว่าไม่ได้ทำ คิดถึงและห่วงใยจูน’ เขาอ่านและยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อสำนึกถึงความผิดที่เขาได้กระทำลงไป เขารีบเก็บรูปใส่กระเป๋าเสื้อสูทและรีบเดน้ำตาพลางพูดกับตัวเองเบาๆ “ฉันนี่มันไม่เข้มแข็งเลย” เขาเช็ดน้ำตาและรอจนมั่นใจว่าไม่มีใครจับได้ว่าเขาร้องให้ จึงเข้าไปร่วมวงกับพวกของอดัม “จาฟานิสถานเป็นไงมั่ง”อโลนเอ่ยถามและรับเบียร์จากควีน

    “หาดสวย สาวงาม น่าเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง”เกอร์ริ่งพูดน้ำเสียงประชดประชัน “นายน่าจะลองวิ่งหนีลูกปืนของทหารจาฟาสดูนะ พวกนี้ยิ่งแม่นโคตร”

    “ใช่”อดัมเสริม “พวกนี้ไม่เหมือนทหารในประเทศที่ล้าหลังอื่นๆ พวกนี้เก่ง ดีมีวินัย ถ้าได้เทคโนโลยีใหม่ๆล่ะก็ ใครๆก็เอาไม่อยู่”

    “แล้วลุกแซมจะไปหาเรื่องแลกหมัดกับเข้าทำไมล่ะ”อโลนยิงคำถามที่สอง

    “อาวุธเคมีเอย ชีวภาพเอย สุดท้ายคงหนีไม่พ้นน้ำมันล่ะมั้ง”อดัมตอบ “ฉันว่านายระวังตัวหน่อยก็ดีนะ พวกนี้ไม่ธรรมดาเลย” อดัมกล่าวเตื่อนน้องชายก่อนจะดื่มเบียร์จดหมดกระป๋อง “แล้วก็ โชคดี อย่ากลับมาพร้อมธงประจำกองพันแล้วกัน” เขาพูดและหันไปยิ้มให้น้องชายคนเล็ก

    อโลนเดินไปตามถนนแผ่นวัสดุบางอย่างของฐานปฏิบัติการส่วนหน้า ไวท์เฮาส์ ซึ่งเป็นฐานในการฝึกภาคสนามจริงของเขา เขาสะพายปืนไรเฟิลคู่กายไว้บนบ่า ในขณะที่ในมือหิ้วกระเป๋าผ้าที่เต็มไปด้วยของใช้ส่วนตัว ชุดพรางะเลทรายของเขานั้นเข้ากับสภาพภูมิประเทศที่เป็นทะเลทรายได้อย่างดี เขาสวมเสื้อเกราะทับเสือแจ็กเก็ท ซองแม็กกาซีนเต็มไปด้วยแม็กกาซีนของเอเอ็น-94 หมวกไฟเบอร์คลุมผ้าลายพรางทะเลทรายถูกหนีบไว้ไต้วงแขนข้างหนึ่ง เขาเดินผ่านไปตามแนวรถฮัมวีที่จอดรอการปฏิบัติการ ผ่านทหารประจำการที่กำลังวางถนนสำเร็จรูป ผ่านทหารใหม่ที่ขุดแนวหลุมเพาะรอบๆฐาน อโลนเดินไปจนหมู่เต็นท์กลุ่มหนึ่ง อโลนมองหาเต็นท์ของกองร้อยบี

    กองพันที่2 กรมอำนวยการฝึกภาคสนามที่ 1 จนในที่สุด เขาก็มาอยู่หน้าเตนท์หลังใหญ่หลังหนึ่ง ป้ายพลาสติกสีซีดๆถูกขีดเขียนด้วยสีดำว่า บี/2/1 อโลนเดินเข้าไปภายในและมองหาห้องของหมวดของเขา เต็นท์ของ บีเอพีเอ็มซี ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ นอกจากจะแข็งแรง ทนทาง ภายในของแต่ละเตนท์ยังถูกแบ่งเป็นสี่ห้อง ถึงแม้จะเปลืองงบประมาณในการผลิตและเปลืองพื้นที่ในการขนส่ง แต่ก็นับว่าเป็นเต็นท์ที่มีประโยชน์ใช้สอยสูงมาก อโลนเข้าไปในห้องของหมวดที่3 ภายในห้องไม่มีอะไรไปมากกว่าสัมภาระและเตียงผ้าใบของทหารแต่ละนาย ทหารแต่ละคนถอดเครื่องแบบออกเพื่อคลายร้อน พวกเขาแทบทุกคนอยู่ประจำเตียงของตน อ่านหนังสือบ้าง คุยกับเพื่อนบ้าง และหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวเพื่อประหยัดพลังงาน เสียงเจอแจ้วหยุดลงแทบจะทันทีที่อโลนเข้าไปในห้อง สายตาแทบทุกคู่มองมาทางเขาโดยพร้อมเพรียง ทั้งสองฝ่ายจดจ้องกันอย่พักใหญ่ก่อนที่อโลนจะพูดออกมา

    “เวลาเจอนายทหารแล้วจ้องหน้าเฉยๆรึไงวะ” ทหารทุกนายกระโจนลุกขึ้นยืนตรงและทำความเคารพแทบจะทันทีทันได้ที่อโลนพูดจบ อโลนทำความเคารพตอบก่อนจะพยักหน้าเชิงบอกว่าตามสบาย ทหารทุกคนลดมือลงและเปลี่ยนไปอยู่ในท่าตามระเบียบพักอย่างแข็งขัน “เตียงว่างอยู่ไหน” อโลนถามต่อ ทหารหันมามองหน้ากันเล็กน้อยเหมือนจะปรึกษากันด้วยโทรจิตอย่างไรอย่างนั้น ทหารคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าและเดินตรงมาหาอโลน

    “ผมจ่าสิบตรี แฟรงคลิน เรด ดอร์สัน” เขาพูดพร้อมทำความเคารพ “จ่าประจำหมวด ห้องของผู้หมวดอยู่ข้างนอก เป็นบังเกอร์ใต้ดินครับ ผบ.ร้อยรออยู่ที่นั่นแล้ว” อโลนโยนกระเป๋าเข้ามือของจ่าประจำหมวด ตามด้วยเฮดเกียร์และปืนของเขา

    “หาที่นอนให้ด้วย ฉันจะนอนในเต็นท์นี่” อโลนพูดก่อนจะเดินออกไปจากห้องทิ้งให้เรดและเหล่าทหารยื่นสับสนงงงวยกับสิ่งที่พวกเขาสมควรจะทำต่อไป

    “เอาไงจ่า”คนหนึงถามขึ้น

    “กางที่นอน”

    อโลนเดินผ่านทะเลทรายอันร้อนระอุ เพื่อมองหาบังเกอร์ของนายทหาร จนในที่สุดเขาก็มถึงบังเกอร์นั้น มันเป็นบังเกอร์ใต้ดิน สร่างจากกระสอบทราย ไม้ มีทางลาดลงไปเบื่องล่าง สามในสี่ของมันอยู่ใต้ผืนทรายอันระอุ ส่วนที่เหลือนั้นโผล่พ้นขึ้นมา อโลนไม่รอช้า เขาลงไปในบังเกอร์นั้นโดยทันที เสียงเครื่องปรับอากาศและเรื่องปั่นไฟดังอื้ออึงอยู่ที่มุมหนึ่ง อุณหภูมิในห้องนี้ แม้จะยังคงร้อยอยู่ แต่ก็เย็นกว่าอากาศภายนอกมาก ในห้องโถงของบังเกอร์มีประตูแยกย่อยไปอีกหลายห้องดูแล้วคิดว่าจะเป็นห้องพักนายทหารย่างพวกเขา โต๊ะแผนที่จำลองตั้งอยู่กลางห้อง รายล้อมด้วยนายทหารคนต่างๆ จากกรมอำนวยการฝึกภาคสนาม เสียงวิทยุดังระงม ทหารฝ่ายสื่อสารต่างทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขันไม่ว่าจะเป็นการรับข่าวสาร ขยับตัวหุ่นกองทหารบนแผนที่ อโลนเข้าร่วมวงในโต๊ะวางแผน วันทยาหัตถ์ และกล่าวรายงานตัว

    “ผม ร้อยตรี อโลน อลองเกอร์ รายงานตัวพร้อมเข้าทำหน้าที่ครับ” อโลนพูด ทนายทหารคนอื่นๆ วันทยาหัตถ์ตอบเขา ก่อนที่คนหนึ่งในนั้นจะเริ่มพูด อโลนจำได้ดีว่านั้นคือพลจัตวา แม็ก เอส. วาเลนซ์ ผบ.กรมอำนวยการฝึกภาคสนาม

    “คุณคงรู้ว่าผมเป็นใคร” เขาพูดและเงยหน้าขึ้นมองอโลน “นี่พันเอก เฟลท ผบ.กองพันที่2ของคุณ ส่วนนั่นก็ร้อยโท จอห์น อเล็กซ์ ผบ.ร้อยของคุณ” อโลนยื่นมือสัมผัสกับผบ.ร้อยของตน ทั้งสองสบตากัยครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือกัน “ส่วนคนที่เหลือ คุณจะรู้จักทีหลัง โชคดีที่คุณมาฟังแผนการพอดิบพอดี” เขาพูดและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

    “ครับผม”

    “งั้นผมขอเริ่มเลยนะ” เขาพูดและก้มลงมองแผนที่ “กองทัพภาคของเราได้รับหน้าที่ให้โจมตีทิศเหนือของจาฟานิสถานโดยที่กรม 19 จะโจมตีทางฝั่งตะวันออกและกรม 77 จะโจมตีฝั่งตะวันตก” เขาชี้แนวชายแดนทางตอนเหนือก่อนจะย้ายไปชี้ที่ทิศตะวันออก “ทหารอเมริกันจะบุกจากทิศตะวันออก ส่วนทหารนานาชาติและยูเอ็นจากอีกฝั่ง โชคดีที่จาฟาสไม่มีกองทัพเรือ” นายผลวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมามองอโลน “หน้าที่ของกองร้อยบีคือสนับสนุนการโจมตีของกองร้อยเค กองพันที่ 3 กรม 77 และส่งยุทธปัจจัย ไม่ว่าจะกระสุน น้ำ หรืออาหารให้กองร้อยเค” เขามอง ผบ.ร้อย อโลน และคนอื่นๆ ก่อนจะมองกลับลงไปที่แผนที่ “อ้อ! ร้อยตรีอโลน” เขาเงยหน้าขึ้นมามองอโลนและชี้จุดหนึ่งบนแผนที่ซึ่งมีโมเดลปืนใหญ่สนามตั้งอยู่ ข้างๆกันก็มีโมเดลของทหารราบ 2-3 ตัวอยู่เป็นกลุ่ม มีโมลเดลแบบนี้มากมายในแผนที่ มีทั้งเรือ เครื่องบิน ทหาร รถหุ้มเกราะ และปืนใหญ่ พวกนี้เป็นโมลเดลที่ทำการแสดงดำแหน่งทหารหน่วยต่างๆ เนื่องจากอุปกรร์อิเล็คทรอนิคต้องการการซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในทะเลทรายที่มีฝุ่นทรายมากมายเหมือนในจาฟานิสถาน ทางผู้นำระดับสูงจึงแนะนำให้ใช้โต๊ะวางแผนแบบคลาสสิคซึ่งมั้นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับโต๊ะวางแผนจอแอลซีดี หรือ โต๊ะฮาโลกราฟ หากแต่มันไม่สามารถอัพเดทข้อมูลแบบเวลาจริงได้เท่านั้นเอง “กองร้อยทหารปืนใหญ่ที่ 1 อยู่ด้านหลังที่ตั้งของคุณ ดูแลพวกเขาด้วย”

    “ครับ”

    “ตรงนี้มีหมูบ้านชื่อว่า อัลลาจาห์ ถึงกรม 77 จะตรวจค้นหมู่บ้านนี้ไปแล้วก็ตาม ผมก็ยังอยากจะให้คุณจัดทหารสักหมู่ไปดูแลพื้นที่ตรงนี้” เขาชี้โมเดลบ้านหลังหนึ่งบนแผนที่ “มันเป็นทางผ่านของขบวนส่งกำลังบำรุง ถ้าหากทหารจาฟาสยึดไปได้ล่ะก็ เส่นทางเสบียงระหว่างเรากับกรม 77 จะถูกตัดขาดลงไป อีกทั้งมันยังเปิดทางให้ทหารจาฟาสบุกตีโอบปีกของเราได้อีกด้วย”เขามองที่อโลน “ผมมอบหน้าที่นี้ให้คุณ ฝากด้วยนะ”

    ทหารสิบสี่นายในเครื่องแบบพรางดิจิตัลสีโทนทะเลทรายกำลังจัดสัมพาระใส่กระเป๋า ไม่ว่าจะเป็นกล้องมองกลางคืนแบบตาเดียว น้ำ ของใช้ส่วนตัว และกระสุนปืน “มาถึงแค่ 5 นาทีก็งานเข้าแล้วรึไงเนี่ย” อเล็ก เจมส์ คาวาโย บ่นอย่างหัวเสียขณะที่กำลังยัดแม็กมาซีนเข้าไปในซองแม็กกาซินบนเสื้อกั๊กกันกระสุน

    “อย่าบนน่าสหาย เดี๋ยวนายก็ชินกับระบบเอง” เสียงสำเนียงรัสเซียพูดปลอบเขา ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาร่วมวงการจัดสัมภาระข้างๆเจมส์ “ไงเกย์” ผู้ชายทุกคนพูดเสียงเดียว ชายหนุ่มร่างเล็กมองไปรอบๆแต่ก็ไม่พูดอะไร หากแต่ก้มหน้าก้มตาโหลดกระสุนใส่แม็กกาซีนต่อไป

    “สิบตรีมาริโอ โลโปซ โกบาซ” เสียงที่คุ้นหูดังมาจากเบื่องหลัง เจมส์หันกลับไปมองต้นเสียงโดยทันที เป็นใครไปไม่ได้นอกจากอตีดหัวหน้าหมวดของเขานั่นเอง เจมส์ทำความเคารพเขาโดยทันใดซึ่งอโลนก็ได้พยกหน้าให้เขา

    “สวัสดีเจมส์” เขาพูด ในมือของเขาถือปืนเล็กยาวเอ็ม4เอ1และแม็กกาซีนในอีกมือหนี่ง “คนไหนคือ สิบตรีมาริโอ โลโปซ โกบาซ” ชายร่างเล็กข้างๆเจมส์ยกมือขึ้นในระดับหัวและหันกลับมาหาอโลน

    “มีอะไรให้รับใช้ครับ ผู้หมวด” เขาพูดเสียงเรียบๆ อโลนไม่พูดพร่ำทำเพลงเขายื่นปืนเล็กยาวให้เชมาโดยทันที “หมายความว่าอย่างไรครับ”

    “ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดอย่างไรวถึงจะเอาปืนกลมือไปรบในพื้นที่โล่งกว้างแบบนี้ แต่ผมขอสั่งให้คุณนำปืนกระบอกนี้ติดตัวไปด้วย” เชมารับปืนและสะพายไว้บนหลังอย่างว่าง่ายก่อนจะรับซองกระสุนสำรอง

    “หัวหน้าทุกท่าน ทางนี้” อโลนพูดและล้วงเอาภาพถ่ายทางอากาศออกมาจากช่องระหว่างเสื้อกันกระสุนกับเครื่องแบบของเขาก่อนเดินไปยังรถฮัมวีโดยมีชายห้าคนตามไปติดๆ

    “เฮ้ สวัสดี” เจมส์ทักชายร่างเล็ก “ฉันเจมส์”

    “ฉันเชมา” เขาพูดและยัดซองกระสุนปืนใส่กระเป๋าหลังที่ติดกับเสื้อกันกระสุน “นายรู้จักหมอนั่นรึเปล่า” เขามองไปทางอโลน

    “รู้สิ หัวหน้าหมวดฉันเอง” เจมส์ตอบพลางนำลูกระเบิด 40 มม. ใส่กระเป๋าเก็บกระสุนระเบิด “เขาเป็นคนดี เชื่อฉัน” เจมส์พูดและยิ้มให้เชมา หมู่ 2 หมวด3 กองร้อยบี คือบ้านใหม่ของเจมส์หมู่ 2ประกอบด้วยทหาร 13นายรวมถึงเขาด้วยทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นทหารใหม่เหมือนกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเหล่าทหารรัสเซีย สาวชาวอังกฤษ หนุ่มท่าทางเป็นผู้ดีจากฝรั่งเศษ รถฮัมวีสามคันใช้เวลาชั่วโมงเต็มๆในการเดินทางจากฐานปฏิบัติการส่วนหน้าไปจนถึงบริเวณรอบนอกหมู่บ้านเป้าหมาย รถฮัมวีทั้งสามจอดลงห่างจากหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยแสงไฟราวๆครึ่งกิโล ชุดยิงทั่งสามลงจากรถของตนและ ย่อตัวเดินเข้าหาที่กำบังที่ใกล้ที่สุด “เอาล่ะทุกท่าน” เรดพูดในขณะที่ทั้งสิบสี่คนใช้ก้อนหินขนาดใหญ่เป็นที่กำบัง “หมู่บ้านข้างหน้าจะมีกลุ่มบ้านเล็กๆอยู่ทางเหนือและใต้” เขาวางภาพถ่ายทางอากาศลงบนพื้น “สามคอมพาวด์ทางเหนือ สองท่านใต้ สามทีมแยกกันไป เครียแล้วจะเข้าสู่เป้าหมายที่สอง แอลฟ่านายยึดศูนย์กลางหมู่บ้าน ชาลียึดโรงเรียน บราโว่ นายยึดบ้านที่อยู่ใต้สุด จากนั้นแอลฟ่าและชาลีจะไปยึดคอมพาวด์ทางใต้”

    “เฮลล์เย้ห์”ทุกคนรับเบาๆ

    “ไปได้ ฉันจะอยู่กับบราโว้”

    “เบอร์เซิร์ค 3-2 นี่เบอร์เซิร์คแอทชวล” เสียงจากวิทยุตั้งขึ้นจากเฮดเซ็ทของเจมส์ “ขอให้เบอร์เซิร์ค 3-2 ถอนกำลังออกจากพื้นที่ปฏิบัติการทันที เลิกการติดต่อ”

    “ถอยหาพ่อสิ เพิ่งมาถึงเองนะ”เรดพูดก่อนจะกดปุ่มบนวิทยุ “ทวนคำสั่งใหม่ด้วยเปลี่ยน” เขาพูดใส่ไมโครโฟนที่ติดอยู่กับชุดเฮดเซ็ท “เบอร์เซิร์ค 3-2 ส่งไอซ์แมนผ่านอุปกรณ์สื่อสารของคุณ”

    “นี่ไอซ์แมน เบอร์เซิร์ค 3-2 คุณเป็นหน่วยที่อยู่หน้าสุดของแนวรบ มีรายงานจากพรีเดเตอร์ว่าทหารจาฟาสขนาดกองร้อยกำลังเคลื่อนตัวมาตามถนนฟาลาจิ ซึ่งจะผ่านหมู่บ้านใกล้ตำแหน่งของคุณ ผมอยากให้คุณยึดและตั้งรับจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ไอซ์แมน เลิกการติดต่อ”

    “เจ๊ง” เจมส์ร้องออกมาเบาๆ “ให้เราถอย แล้วอยู่ดีๆเปลี่ยนใจให้เราฟัดกับทหารทั้งกองร้อยเสียอย่างนั้น”

    “เอาน่าทหาร ได้เวลาเตะตูดแล้วก็สร้างชื่อกันแล้ว” เรดพูดและออกเดิน พวกเขาใช้เวลาไม่นานนักในการเดินจากจุดที่จอดรถเข้าสู่กลุ่มบ้านเล็กๆ ทั้งสามทีมเขาเครียพื้นที่อย่างรวดเร็ว พวกเขาพบกันชาวบ้านสองสามคนที่ยังไม่ยอมย้ายออกไป แม้ว่าส่วนใหญ่จะหนีไปแล้วก็ตาม บราโว่เข้าเครียกลุ่มบ้านเสร็จพร้อมๆกับทีมอื่นๆ พวกเขาเคลื่อนตัวต่อไปยังหมู่บ้าน ทีมชาลีเลือกใช่วิธีอ้อมหมู่บ้านเพื่อเข้ายึดโรงเรียน ในขณะที่ทีมอื่นไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากเข้าไปเสี่ยงต่อการซุ่มโจมตีในเขตเมือง เจมส์มองทุกหน้าต่างอย่างระมัดระวัง ที่นี่เป็นเขตของทหารจาฟานิสถาน พวกเขาเป็นทหารที่เก่ง ฉลาด มีวินัย ขาดเพียงอุปกรณ์อันทันสมัย แต่สำหรับพื้นที่เมืองแบบนี้ และ ด้วยความแตกต่างของขนาดกองกำลังเช่นนี้ พวกเขาถูกบนขยี่ได้อย่างง่ายดาย


    “แอลฟ่ายึดศูนย์กลาหมู่บ้านแล้ว ไม่มีการต่อต้าน” เสียงจากวิทยุดังขึ้นในเฮดเซ็ทของเจมส์ พวกเขาเดินอย่างระแวดระวังจนมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่ปิดหน้าต่างและประตูไว้อย่างแน่นหนา บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ระหว่างลานกลางหมู่บ้านและโรงเรียน พวกเขาต้องหลบอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของบ้านหลังนี้ในระหว่างที่ชาลีกำลังยึดโรงเรียน เนื่องจากว่าถัดจากบ้านหลังนี้ไปจะเป็นพื้นที่โล่งยาวเกื่อบๆ 20 เมตร หากมีทหารจาฟาสอยู่ที่โรงเรียน พวกเขาจะเป็นเป้าซ้อมยิงโดยทันที เรดอยู่หน้าสุดของทีม ถัดมาคือเชมาพร้อมปืนกลมือคริส เอส วี หัวหน้าชุดยิงชาวฝรั่งเศษอยู่ด้านหลังเขา เจมส์ และพลปืนยิงเร็วจากแดนหมีขาวคอยคุมท้าย ทุกคนหลังชนผนังบ้าน หันปืนไปคนละทิศทาง

    โชคดีที่กล้องมองกลางคืนแบบตาเดียวซึ่งติดอยู่กับหมวกเหนือตาที่ไม่ได้ใช้เล็งอาวุธ และ สโค๊ปแบบมองกลางคืนที่ติดอยู่กับปืนช่วยให้พวกเขามองเห็นได้แม้ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ “ชาลี เร็วหน่อยไอ้หนู” เรดพูดใส่ไมโครโฟน เจมส์ที่อยู่หลังสุดชะโงกหน้าออกไปมองดูโรงเรียน แผ่นพลาสติกเคลือบสารเคมีเรืองแสงอินฟาเรดอยู่บนหมวกของทีมชาลี พวกเขากำลังเคลื่อนเที่เข้าสู่โรงเรียนอย่างรวดเร็ว “จ่า ผมเห็นชาลีแล้ว” เจมส์พูดและเล็งผ่านสโค๊ปมองกลางคืนไปยังหน้าต่างชั้นสองของโรงเรียน ทีมชาลีเครียชั้นแรกและชั้นที่สองอย่างรวดเร็ว พวกเขาทำทุกขั้นตอนเหมือนอย่างที่ถูกฝึกให้ทำ “เครีย” เรดสะกิดเชมาก่อนจะเดินก้มตัวต่ำออกไปจากทีกำบัง ทุกคนทำแบบเดียวกันคือสะกิดคนถัดไปและออกเดิน ทั้งห้าก้มตัวต่ำผ่านที่โล่ง บบ้านอีกสองสามหลัง ไปจนถึงหน้าประตูบ้านเป้าหมาย เจมส์และเชมาเข้าประจำประตูเตรียมจะบุกในขณะที่อีกสามคนกำลังอ้อมไปอีกฝั่ง

    “บุก” เสียงเรดดังขึ้นจากเฮดเซ็ท เจมส์ผละออกจากผนังและถีบประตูไม้อย่างแรง ประตูเปิดออกพร้อมเชมาที่โผเข้าไปภายในตามด้วยเจมส์ เสียงตะโกน “หมอบลง”เป็นภาษาจาฟานิสถานดังระงม แต่ดังมาจากอีกฝั่งของบ้าน เหมือนกับว่าเรดและสมาชิกทีมที่เหลือจะเจอใครบางคนเข้าแล้ว เชมาและเจมส์สองดส่ายปากกระบอกปืนไปตามมุมต่างๆของห้อง พวกเขาเครียห้องทีล่ะห้องตามที่ถูกฝึกมาจนไปพบสมาชิกที่เหลือของทีม ปืนกลเบาอาร์พีดีส่ายไปมาบนหลังของพลปืนยิงเร็วในมือของเขามีปืนพกเอ็มพี 446 ขนาดเก้ามิลลิเมตร ซึ่งปากกระบอกปืนกำลังหันไปทางชายชาวจาฟาสคนหนึ่ง พลปืนยิงเร็วร่างใหญ่ใช้ขนาดและน้ำหนักตัวกดชายคนนั้นไว้โดยการนั้นทับในขณะที่หัวหน้าชุดยิงเล็งปืนไปยังครอบครัวของชายคนนี้ ซึ่งมีเพียง ผู้หญิง คนแก่ และเด็ก เรดพูดอะไรบางอย่างออกมาเป็นภาษาจาฟาสก่อนที่จะหันมาสั่งเจมส์และเชมาให้ขึ้นไปตรวจชั้นสอง พวกเขาเดินขึ้นบันใดดินเหนียวอย่างช้าๆโดยการนำของเชมา ชั้นสองไม่มีอะไรนอกจากดาดฟ้า ที่ล้อมด้วยกำแพงดินเหนียว กองฟืนแห้งๆ กองอยู่ที่มุมหนึ่ง “เครีย” เจมส์พูดเบาๆใส่ไมโครโฟน

    “ตรึงไว้บราโว่ ปล่อยให้แอลฟ่าและชาลีจัดการที่เหลือ” เสียงของเรดดังขึ้นจากวิทยุ หลังจากนั้นไม่นานนัก ทีมแอลฟ่าและชาลีก็เข้ายึดกลุ่มบ้านสองกลุ่มทางใต้ได้สำเร็จ พลปืนกลเบาขึ้นมาสมทบกับพวกเจมส์หลังจากที่เรดสามารถกล่อมให้ครอบครัวชาวจาฟาสหนีไปทางใต้ได้สำเร็จ

    “ข้างล่างเป็นไงบ้าง” เจมส์เอ่ยถามในขณะที่มองผ่านสโคปมองกลางคืนไปยังที่ตั้งของชาลี

    “วุ่นวายใช่เล่น” พลปืนกลตอบด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียก่อนจะพาดปืนกลอาร์พีดีกับกำแพงดินเหนียว และสอดส่ายสายตามองดูพื้นที่โล่งเบื่องหน้า “คืนนี้ยังอีกยาวไกลสหาย”

    “ฉันเจอบางอย่าง” เชมาพูดขณะเล็งผ่านสโคปที่ติดตั้งอยู่บนปืนคริสเอสวีของเขา “หกร้อยเมตร ทางใต้” พลปืนกลเบาหยิบเอากล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวออกมา เปิดโหมดจับความร้อนและส่องไปทางที่เชมาบอก

    “พลปืนเล็กสี่นาย หนึ่งในนั้นมีวิทยุ” เขาพูด “จ่าเหมือนเราจะงานเข้าแล้วครับ”

    “พวกสอดแนม” เรดพูดขณะเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงจนทำเอาเจมส์สะดุ้งโหยง “เดี๋ยวคงมีลูกปืนครกตามมา” เสียงของกระสุนปืนครกระเบิดดังขึ้นทันทีที่เรดพูดจบ กระสุนปืนครกหกนัดระเบิดขึ้นทางใต้ของแอลฟ่าและชาลีไปประมาณสองร้อยเมตร “ขอต้อนรับสู่สงคราม” กระสุนอีกชุดระเบิดขึ้น แต่ครั้งนี้มันห่างจากตำแหน่งของแอลฟ่าและชาลีเพียงห้าสิมเมตร

    จบบทที่5

    นิยาย:การทหาร พจญภัย วิทยาศาสตร์

  2. #52
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    413
    กล่าวขอบคุณ
    115
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    บทที่ 6 แนวป้องกันไร้พ่าย
    ไมเคิลดันปรตูไม้ของร้านเหล้า ‘เมายันเช้า’ มันส่งเสียงเอียดอาดเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดออก เขาและมอริสเดินเข้ามาภายในร้านเหล้าเล็กๆ ร้านเหล้าแห่งนี้ตั้งอยู่ในแหล่งเสื่อโทรมของเมือง ‘เวเลนเซีย’ บ้านซึ่งสร้างจากดินและฟางถูกสร้างขึ้นติดๆกันในย่านนี้ แทรกด้วยร้านเหล้าและแหล่งเริงรมณ์ เหล่าโจรคอยดักปล้นชิงทรัพย์อยู่แทบทุกตรอกซอกซอย หญิงชายขายบริการเลือกมุมมืดคอยหาลูกค้าทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนนี้ของเมืองถูกเรียกว่า ‘มุมมืด’ บ้าง เรียกว่า “เบื่องล่าง” บ้าง ไมเคิลเดินผ่านโต๊ะที่เต็มไปด้วยชายในเสื้อคลุมยาวและไม้ท้าว พวกเขามองมาที่ไม่เคิลและมอริสเป็นตาเดียว นั่นอาจเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขามองดูทหารรับจ้างจากเมือง ‘เบื้องบน’ ลงมายัง ‘เบื้องล่าง’ เช่นนี้ นอกจากถูกว่าจ้างให้มาล่าจอมเวทแล้ว พวกเขายังต้องดูแลแหล่งเสือมโทรมแห่งนี้อีกด้วย ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทหารฮูดดำของไมเคิลได้จัการโจรไปเป็นจำนวนมาก แต่ปัญหาการว่างงานก็ยังคงทำให้เกิดอาชญกรรมอยู่ดี นอกจากนั้นเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทำให้ไมเคิลรู้ว่า เหล่าจอมเวทเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งเสื่อมโทร ร้านเหล้า ร้านค้า หรือแม้แต่ซ่อง ก็มักจะมีจอมเวทอยู่อย่างน้อยร้านล่ะ 1 คน ซึ่งเหล่าจอมเวททั้งหลายก็พยายามหลบสายตาของเหล่าฮูดดำ แต่วันนี้ผิดปรกติ ร้าน ‘เมายันเช้า’ เป็นร้านประจำของไมเคิลและมอริส ทุกครั้งที่ก้าวเข้ามามันจะมีเสียงพูดคุยจอแจและบาร์เทนเดอร์ก็มันจะตะโกนต้อนรับแขกที่มาเสมอ และที่แปลกที่สุด วันนี้ทุกคนในร้านล้วนเป็นจอมเวทย์ ซึ่งรับรู้ไม้ท้าวรูปทรงแปลกตา และรอยสักตามมือ หรือใบหน้า

    “รับอะไรดีครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มหน้าใหม่ถามขึ้นในขระที่ไมเคิลและมอริสเดินมาถึงเคาท์เตอร์

    “เหล้า” มอริสตอบห้วนๆ และหันหลังพิงเคาท์เตอร์ บาร์เทนเดอร์หายไปหลังเคาท์เตอร์ครู่หนึ่งก่อนจะโผล่มาพร้อมกับขวดเหล้าสองขวด ไมเคิลสังเกตุพิรุทมากมายได้บนใบหน้าของบาร์เทนเดอร์ เขาเลียริมฝีปากบ่อย ส่งรอยยิ้มที่มองออกได้ทันทีว่าเสแสรง เหงื่อเป็นเม็ดผุดขึ้นบนใบหน้า ผิวซีดเผือกเหมือนไม่มีเลือดอย่างไรอย่างนั้น ไม่เคิลละสายตาจากใบหน้ามามองที่ขวดเหล้า แต่สายตาของเขาก็หยุดลงที่มือของบาร์เทนเดอร์ รอยสักรูปดวงตา นั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มคนนนี้เป็นนักเวท มอริสพลิกตัวกลับมาหันหน้าให้เคาท์เตอร์อีกครั้ง ก่อนจะเปิดขวดเหล้าทั้งสองใบ นั่นเป็นวิทีการส่งสัญญาณของมอริสให้ไมเคิลรับรู้ว่า ‘ผิดปรกติ’

    “บุหรี่ไหม” ไมเคิลถามและล้วงเข้าไปในผ้าคลุม แต่สิ่งที่เขานำออกมาไม่ใช่บุหรี่แต่มีดขนาดยาวเกือบฟุตเขาใช้มือซ้ายรวบคอของนักเวทหนุ่มและแทงลงไปบริเวณซอกคอ ด้วยความยาวใบมีดขนาดเจ็ดนิว ใบมีดต้องตัดผ่านหลอดลมอย่างแน่นอน นัยน์ตาของจอมเวทหนุ่มเปิดกว้าง ริมฝีปากเปิดออกเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง แต่มีเพียงเลือดเท่านั้นที่ไหลออกมาจากปาก ไมเคิลดึงใบมีดกลับออกมาจากร่างของชายหนุ่มก่อนจะแทงซ้ำเข้าไปที่กลางอก นักเวททั้งหลายที่นั่งอยู่ตามโต๊ะไม้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าแผนการลอบสังหารของพวกเขาผิดพลาด ต่างคนต่างฉวยไม่เท้าและเตียมตั้งท่าโจมตี้ทหารทั้งสอง แต่ไมเคิลและมอริสเร็วกว่ามาก พวกเขากระโดดข้ามไปหลบหลังเคาท์เตอร์ก่อนที่ลูกไฟ ผลึกน้ำแข็ง และใบมีดลมจะเข้าปะทะกับผนังของร้าน ผนังดินมีคาบเขม่าสองสามจุดจากการถูกลูกไฟ รอยบากเป็นทางยาวจากใบมีดลม ผลึกน้ำแข็งผลึกหนึ่งปักอยุ่บนพนังขณะที่ผลึกอื่นๆแตกกระจายเป็นผลึกน้ำแข็งเล็กๆ ไมเคิลล้วงเข้าไปเอากระป๋องบางอย่างออกมาจากกระเป๋าใสเสื้อคลุม การโจมตีระลอกที่สองปะทะเข้ากับเคาท์เตอร์และผนัง แรงปะทะขอใบมีดลมตัดเคาท์เตอร์ไม้ผุๆออกเป็นสองส่วน ลมพัดผ่านหลังของไมเคิลและมอริส ชายผ้าคลุมของทั้งโผกพริ้วไปตามแรงลม ใบมีดลมที่ความคมหายไปแล้วปะทะกับร่างไร้วิญญาณของจมเวทหนุ่มจนร่างขยับไปตามแรงลม

    ไมเคิลเปิดกล่องทรงกระบอกและหยิบบางอย่างออกมา วัตถุทรงกระบอกสี่กรมทาก พร้อมกระเดื่องและสลัก เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากระเบิดแสง มอริสขยับปืนเล็กยาวอัตโนมัติที่สพายซ่อนไว้ในผ้าคลุมออกมาอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมจะโผล่ขึ้นไปยิง ไมเคิลดึงสลักระเบิด ปล่อยกระเดื่อง และโยนข้ามเคาท์เตอร์ที่เหลือเพียงครึ่งเดียวออกไป มันระเบิดขึ้น แสงกว่าล้างแรงเทียนและเสียงที่ดังพอจะทำให้หูดับได้ เกิดขึ้นพร้อมกัน เหล่าจอมแวททุกคนหลับตาหยีพร้อมกันที่ยกมือขึ้นมาปิดหูตามสัญชาติญาณ มอริสไม่รอให้เวลานี้ผ่านไป เขาโผล่ขึ้นจากที่กำบัง กระสุนจากปืน เอ็ม4เอ1ออกจากลำกล้องและเข้าปะทะร่างของจอมเวททุกคนอย่างแม่นยำ บ้างที่กลางอก บ้างที่ศรีษะ แต่ทุกคนล้วงถูกยิงจนสิ้นใจในนัดเดียว หลังจากที่เหนียวไกเก้านัดติดกันมอริสก็หมอบลงไปหลังเคาท์เตอร์อีกครั้ง เสียงตะโกนและกรีดร้องดังมาจากภายนอกร้าน เสียงระเบิดและเสียงตะโกนดังคลอเค้ากันเหมือนจะยรรเลงบทเพลงแห่งความสับสน ทหารทังสองค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากที่กำบังและสอดส่ายสายตามองดูร่างของจอมเวท ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวนอกจากแมลงวันที่บินตอมอาหารบนโต๊ะ

    “เคลีย” มอริสพูดเบาๆ ไมเคิลเหวี่ยงปืนที่สะพายหลังอยู่มาข้างหน้าและปรับสายสะพายให้เข้าที่เข้าทาง “วันนี้มันบ้าอะไรนักหนาครับเนี่ย เพิ่งเคยเจอพวกมันรวมตัวกันมากขนานี้เป็นครั้งแรก”

    “วันนี้ยังอีกยาว” ไมเคิลพูดและประทับพาทท้ายกับร่องไหล่ในท่าพร้อมยิงและเดินไปยังประตู มอริสตามเขาไปติดๆ ไมเคิลพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนที่จะเปิดประตู มอริสพุ่งผ่านประตูออกไปทันทีที่ในถูกเปิด ปืนประทับในท่าพร้อมยิง สายตาสอดส่ายไปรอบๆ ร่างไร้วิญญาณนับสิบ นอนทอดร่างอยู่ในจัตุรัสกลางเมือง ‘เบื่องล่าง’ ร่างทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นทหารประจำเมืองทั้งสิ้น บางคนมีน้ำแข็งปักคาอก บางคนถูกไปคลอก บางคนก็ตัวขาดครึ่ง มีศพหนึ่งดูน่าสยดสยองมาก ร่างนั้นอยู่ใต้ต้นไม้ที่อาบไปด้วยเลือด กล้ามเนื้อถูกระเบิดออกไปคนละทิศทาง เหลือเพียงโครงกระดูกและเครื่องในเท่านั้น จัตุรัสถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือด เศษเนื้อ คราบเขม่าควัน แผงขายของไฟลุกท่วม ดาบและโล่ของทหารประจำเมืองถูกฉีกเป็นชิ้นๆด้วยพลังเวทขั้นสูง ไมเคิลลดปืนลงและล้วงเอาวิทยุสือสารออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “นี่ไมเคิล รายงานด่วนด้วย”

    “ท่านนายพล” เสียงหนึ่งตอบกลับมาจากวิทยุคลอด้วยเสียงปืนที่กระหน่ำรัวและเสียงระเบิด “จอมเวทก่อการปฏิวัติครับ ตอนนี้เรายังยันพวกเขาไว้ได้ที่สะพานอาเรียน่าต้องการกำลังสนับสนุนด่วนมากครับผม”

    “รับทราบ” ไมเคิลตอบกลับและออกวิ่งโดยมีมอริสตามมาติดๆ พวกเขาวิ่งไปตามตรอกที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ศพของทหารประจำเมืองและเหล่าจอมเวทกระจายเกลื่อนกลาด ต่างก็ถูกศาตราวุธของอีกฝ่ายฟาดฟันจนสิ้นใจ ความเสียหายจากเวทมนต์ยังคงความสยดสยองได้อย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นร่างของทหารยามที่ช่องว่างภายในร่างกายระเบิดออกมา กระดูกซี่โครงถูกแรงดันจนบิดเบี้ยวผิดรูป ตับใตใส้พุงกระจัดกระจาย เลือดย้อมตามพื้น กำแพง ผนังดินเหนียว และต้นไม้ แทบสองข้างทางถูกย้อมไปด้วยเลือด เสียงการสาดกระสุนปืนกลและเสียงระเบิดดังมาจากไกลๆ นั่นหมายความว่าเหล่านักเวทได้โหมบุกหนักจนฮูดดำต้องใช้อาวุธประเภทปืนเข้าสู้

    “ดูท่าจะไม่ค่อยดีแล้วสิคครับ” มอริสพูดพลางสอดสายสายตาและปากกระบอกปืนไปรอบๆ

    “มันไม่เคยดีเลยตางหาก” ไมเคิลพูดน้ำเสียงเรียบเฉย และก้าวเดินไปอย่างช้าๆ สายตาสอดส่องระแวดระวังการซุ่มโจมตีจากเหล่าจอมเวท “เราต้องไปที่อาเรียน่าก่อนที่แนวรบจะแตก” สะพานอาเรียน่า คือสะพานขนาดเท่าถนนสี่ช่องทางการจราจร เป็นจุดตรวจคนจากเมื่องเบื้องล่างที่จะไปยังเมืองเบื้องบน ไมเคิลและมอริสชลอฝีเท้าลงและเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น จากการวิ่ง เป็นเดินเร็ว และจากการเดินเร็ว เป็นการเดิน จนเวลานี้ ทั้งคู่ก้มตัวต่ำและเคลื่อนไปอย่างช้าๆ สายตาและปากกระบอกปืนสอดส่ายไปตามหน้าต่าง ตรอก และทุกหัวมุมที่น่าจะเป็นจุดนักเวทสามารถโผล่ออกมาโจมตีพวกเขาได้ พวกเขาเริ่มเข้าไกล้สะพานมากขึ้น เสียงปืนและเสียงระเบิดดังมากขึ้น กลิ่นของควันและกำมะถันลอยเข้ามาแตะจมูกของทังสอง พวกเขายังคงคืบคลานต่อไปอย่างช้าๆ คอสะพานอยู่ห่างพวกเขาไปราวๆหนึ่งร้อยเมตร จอมเวทอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง ทหารฮูดดำอยู่อีกฝั่งโดยมีแม่น้ำคั่นอยู่ตรงกลาง ทั้งสองฝ่ายต่างก็สาดอาวุธทุกประเภทเข้าใส่กันอย่างเต็มที ซากศพนับร้อยนอนเกลื่อนกลาดทั่วทั้งสะพาน ทั้งนักเวท ทหารประจำเมือง และฮูดดำ แม่น้ำเบื่องล่างถูกย้อมด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดง

    แสงจากลูกไฟเวทมนต์สว่างขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง เสียงปืนนานาชนิดและเสียงระเบิดดังคลอกับเสียร้องตะโกน กระสุนส่องวิธีสองสามนัดลอยข้ามหัวของไมเคิลไป นักเวทจำนวนมากพรั่งพรูออกมาจากตรอกเล็กๆ และเข้าเสริมกำลังของแนวรบอย่างต่อเนื่อง ทหารทั้งสองเคลื่อนไปอย่างเงียบเชียบสู่แนวกำแพงเตี้ยๆซึ่งห่างจากคอสะพานไม่ถึงสี่สิบเมตร ไมเคิลและมอริสมองหน้ากันก่อนจะล้วงเอากระป๋องสีดำจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า พวกเขาเปิดกระป๋องและหยิบเอาระเบิดทรงกลมสีเทาออกมา พวกเขากองระเบิดเพลิงครึ่งโหลไว้หลังกำแพงเตี้ยๆระดับเอวซึ่งเป็นที่กำบังของเขา “นายไล่มาจากทางขวา ฉันจะไล่จากทางซ้าย ลูกสุดท้ายปาไปที่ตรอก” ไมเคิลพูดและเปิดกระป๋องสุดท้าย ระเบิดในกระป๋องนี้ไม่เหมือนกระป๋องอื่น เพราะมันมีสีเขียว มันเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากระเบิดมือ “รอฉันนับสามนะ” ไมเคิลพูดพร้อมมองหน้ามอริส

    “สาม” ทั้งสองแกะสลักระเบิดเพลงแทบจะพร้อมกัน พวกเขาโผล่จากที่กำบังและเควียงระเบิดออกไป ตามด้วยลูกที่ถัดไป และลูกถัดไป ประกายไฟเกิดขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ระเบิดจะระเบิดขึ้นและทำให้เกิดเพลิงมรณะ เผาทุกคนที่อยู่ในระยะทำลายล้าง นักเวทที่โดนเข้าไปลงไปดินทุรนทุรายกับพื้นทันที ไฟลามจากเสื้อคลุมไปติดเสื้อผ้าชันในอย่างรวดเร็ว และไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ลามไปติดผิวหนังของเหลานักเวท มอริสแกะสลักระเบิดมือและโยนไปยังตรอกที่จอมเวทกลุ่มหนึ่งกำลังออกมา สะเก็ดระเบิดพุ่งเข้าสู่ร่างของจอมเวท จนผิวหนังของพวกเขาฉีกขาด สะเก็ดระเบิดพุ่งทะลุผ่านผิวหนังและเข้าไปจนถึงเครื่องใน นักเวทสามในห้าสิ้นใจในทันที ในขณะที่อีกสองคนทรุดลงไปอยู่บนพื้น ไมเคิลและมอริสออกจากที่กำบังพร้อมไรเฟิลในมือ ส่งกระสุนใส่นักเวทที่ไม่ได้รับอันตรายจากระเบิด การยิงจากอีกฝั่งหยุดลงไปแล้ว คงเป็นเพราะนายทหารอีกฝั่งเห็นเขาจากภาพวิดิทัศน์มุมสูงที่ส่งตรงลงมาจากยานเฮลล์ฟอกซ์ “สถานการณ์”ไมเคิลถามและหลบหลังแนวกำแพงที่เต็มไปด้วยเหล่าทหารฮูดดำ

    “หมวดสองกองร้อยเอครับ เราเพิ่งเสียหมู่ที่สามไปครับผม เสียชีวิตสองนาย สาหัสเจ็ดนาย สามนายบาทเจ็บเล็กน้อยครับท่าน” ไมเคิลหันไปมองดูทหารฮูดดำที่นอนอยู่หลังป้อมของทหารประจำเมือง บ้างก็สั่น บ้างก็กำลังสวดมนต์ ถุงห่อศพห้าถุงถูกเรียนอย่างเป็นระเบียบที่อีกฟากของถนน ไมเคิลเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาหา ผบ.หมวด

    “ให้เฮลล์ฟอกซ์บีมพวกเขาขึ้นไป” เขาออกคำสั่ง

    “มันมาอีกแล้ว” เสียงของทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้นก่อนจะตามด้วยเสียงปืนที่ดังระงม คละเคล้าด้วยเสียงระเบิด ลูกไฟจำนวนหนึ่งลอยข้ามที่กำบังของพวกเขาไปปะทะกับบ้านที่อยู่อีกฟากของถนน ทหรฮูดดำโผล่จากที่กำบังและยิงใส่นักเวทอย่างแม่นยำ แต่บางคนก็ถูกลูกไฟไม่ก็นำแข็งยิงสวนเข้ามาจนล้มลงไปอยู่ที่พื้น ไมเคิลมองดูสถานการณ์รอบข้างก่อนจะล้วงเอาเครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมา “นี่ไมเคิล ขอการยิงสนับสนุน ห้าสิมเมตรตะวันตกจากตำแหน่งของผม”

    “รับทราบ ปืนโปรตรอนกำลังล็อกเป้าหมาย โปรดรอ” เสียงจากอุปกรร์สื่อส่ารตอบกลับมา “ยิงแล้ว ถึงเป้าหมายในห้าวินาที” ไม่กี่อึดใจต่อมาลำแสงสีฟ้าก็พุ่งลงมาจากเบื้องบน ทันทีที่มันแสงนั้สัมผัสกับพื้นก็เกิดเสียงดังกัมปนาท แผนดินสั่นไหว น้ำในแม่น้ำลอยขึ้นสูงตามแรงสั่นสะเทือน ฝุ่นผงและเศษเนื้อลอยขึ้นบนอากาศ ลำแสงที่สองตกลงมาในเวลาที่ใกล้เคียงกับครั้งแรก ผมของมันก็คล้ายๆกัน ร่างของจอมเวทมากมายลอยขึ้นจากพื้น บ้างก็ตกลงน้ำ บ้างก็ถูกยิงซ้ำโดยทหารฮูดดำ

    “หมวด หนึ่งและสาม รายงานด้วย” ไมเคิลพูดผ่านอุปกรณ์สื่อสาร

    “หมวดหนึ่ง เราอยู่ที่ประตูเมืองครับ เรากับทหารประจำเมืองกำลังพยายามยันพวกมันไว้ แต่คงได้ไม่นาน เปลี่ยน”

    “หมวดสาม กำลังยิงสนับสนุนหมวดหนึ่งอยู่บนประตูเมืองชั้นที่2เปลี่ยน”

    “หมวดสามตรึงพื้นที่เอาไว้ ผมจะพาหมวดสองไปสมทบ” ไมเคิลพูดและเปลี่ยนช่องสัญญาณ “เรียกเฮลล์ฟอกซ์ ขอการยิง ทำลายล้าง เป้าหมาย สะพาน สามสิบเมตรตะวันตกจากตำแหน่งของผม”

    “ทราบแล้วท่านนายพล กระสุนกำลังไป” กระสุนปืนโปรตรอนสองนัดพุ่งเข้ากลางสะพานอย่างแม่นยำจนหักเป็นสองท่อน น้ำและเศษวัสดุนานาชนิดลอยสูงขึ้นไปบนอากาศก่อนจะร่วงลงสู้ผืนน้ำ ไมเคิลและทหารคนอื่นๆยืนขึ้นเพื่อมองสภาพความเสียหายที่เกิดกับสะพานและฝั่งตรงข้าม ตัวสะพานข้างหนึ่งแหลกเป็นผุยผง เศษหินที่ใช่สร้างสะพานจมลงไปในก้นแม่น้ำที่เชี่ยวกราด รู้ขนาดใหญ่สองรูถุกขุดขึ้นจากพลังของปืนโปรตรอน เศษหินและดินกระจายไปทั่ว เลือดและเศษเนื้อเปรอะตามบ้าน ร่างไร้วิญญาณถูกฉีกด้วยพลังของปืนจนไม่ร็ว่าร่างไหนคือร่างไหน น้ำในแม่น้ำถูกย้อมเป็นสีแดง “บีมพวกเขาขึนยานได้แล้ว”
    ไมเคิลสั่ง “เรายังมีงานต้องทำ”



    “เก็บไอ้พวกสอดแนมซะ” เรดสั่งเสียงเรียบๆ พลปืนกลสนองคำสั่งอย่างรวดเร็วด้วยการกระหน่ำกระสุนกดหัวทหารสี่นายที่อยู่ห่างออกไป กระสุนวิ่งไปตามแนวยิงก่อนจะเข้าปะทะกับพื้นดินห่างจากทหารจาฟาสเพียงสิบเมตร ทหารจาฟาสหมอบลงกับพื้นโดยทันที เชมาเล็งปืนกลมือ และเหนี่ยวไก แน่นอน ระยะมันไกลเกินไปที่กระสุนจะสงผลต่อเป้าหมาย หรือแม้แต่บินไปให้ถึงก็ยังลำบาก กระสุนของเชมาร่วงลงตามแรงดึงดูดและกระทบพื้นก่อนที่จะไปได้ครึ่งทางเสียด้วยซ้ำ เชมาถอนหายใจด้วยท่าทีไม่พอใจก่อนจะนำปืนเล็กยาวที่สะพายอยู่ออกมาเล็งยิงไปยังทหารจาฟาส เจมส์เปลี่ยนจากระบบมองกลางคืนของสโคปบนปืนเป็นระบบจับความร้อน ตามด้วยการปรับระยะ ก่อนที่จะทาบจุดแดงลงบนเป้าหมายและเหนี่ยวไก กระสุนลอยออกจากระบอกปืน พุ่งขึ้นก่อนจะโค้งเข้าเป้าหมายเหมือนโค้งของสายรุ้ง “เก็บได้หนึ่ง” เขาตโกนแข่งกับเสียงของปืนกลเบา กระสุนนัดต่อมาก็แม่นยำไม่แตกต่างจากนัดก่อนหน้า เจมส์ยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเหนี่ยวไกนัดที่สาม มันตรงไปยังเป้าหมายเหมือนเคยแต่ทว่า อาจเป็นเพราะความโชคดีของทหารจาฟาส หรือความโชคร้ายของเจมส์ ลมที่ไม่ทราบที่มาได้พัดเอากระสุนออกจาวิถีและปะทะกับวิทยุของทหารอีกนาย “เวร” เจมส์สบถออกมาเบาๆ

    “ยิงได้ดี”เรดพูด “ฉลาดมากที่ยิงใส่วิทยุ”เรดพูดและลุกยืน “หยุดยิงได้แล้วพ่อหมีขาว มันชี้เป้าให้ปืนครกอีกไม่ได้แล้วล่ะ” เป็นอย่างที่เรดพูด หลังจากที่เจมส์จัดการวิทยุของทหารจาฟาสได้ไม่นานเสียงปืนครกก็เงียบลง

    “ฮู้เร่” ชายชาติหมีขาวร้องออกมาเบาๆ

    “ทำไมมันไม่เรียกปืนใหญ่ยิงถล่มเราซะเลยล่ะ” เชมาพูดออกมาลอยๆด้วยความสงสัย

    “แถวนี้ประชาชนเยอะไป”เรดตอบข้อสงสัยของเชมาผ่านเครื่องส่งระยะสั่นที่ติดกับเฮดเกียร์ “ทหารจาฟาสไม่ทำร้ายประชาชน”

    “โอ้ โล่มนุษย์”พลปืนกลพูด “แล้วเอาไงต่อครับจ่า”

    “อีกหน่อยทั้งกองร้อยพวกมันคงจะมาถึง ฉันต้องเรียกกำลังเสริม” เรดกดปุ่มพูดบนวิทยุ “นี่เบอร์เซิร์ก 3-2 เบอร์เซืร์กแอทชวล ทราบแล้วเปลี่ยน”

    “ทราบแล้ว ว่ามาเลยเปลี่ยน”

    “เราพบทีบลาดตระเวณของทหารจาฟานิสถาน และคาดว่าอาจมีกองกำลังข้าศึกขนาดกองร้อยตั้งอยู่ไกลจากรามากนัก ต้องการคำแนะนำเปลี่ยน”

    “รับทราบ โปรดรอ”เสียงจากวิทยุเริ่มแตกพร่าและขาดหายไปเป็ยช่วง “กำลัง” เสียงขาดหายไปและเสียงรบกวนบางอย่างเริ่มเข้าแทนที่ “เปลี่ยน”

    “เบอร์เซิร์กแอทชวล เราไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายเปลี่ยน” ไม่มีเสียงไดตอบกลับมาจากวิทยุนอกจากเสียงดัง ‘ปิ๊ป’ เป็นจังหวะห่างๆ “เบอร์เซิร์กแอทชวล”

    “เหมือนว่าเราจะเสียการติดต่อนะครับ”

    “แอลฟ่า เช็ควิทยุ” เรดพูดผ่านวิทยุคลื่นสั้นที่ติดกับชุดเฮดกียร์

    “ดังและชัดเปลี่ยน”

    “ชาลี เช็ควิทยุ”

    “ทุกอย่างชัดเจนเปลี่ยน” เรดมองดูทีมบราโว่รอบๆก่อนจะพูดกับไมโครโฟนที่ติดกับเฮดเกียร์ “ระวังตัวทุกท่าน เราต้องพึ่งตัวเองแล้ว” เจมส์ขำในลำคอและประทับปืนเล็งออกไปยังพื้นที่โล่ง

    “ทหารหมู่เดียว จะหยุดทหารทั้งกองร้อยได้ยังไง” ทหารพลปืนกลเบาเอ่ยขึ้นในขณะเปลี่ยนแม็กกาซีนแบบตลับเป็นแบบสายกระสุน เขานั้นลงที่มุมกำแพงของดาดฟ้า ปืนกลอาร์พีดีวางพาดอยู่บนตัก สายกระสุนมากมายวางอย่างเป็นระเบียบรอบๆตัวเขา

    “เราไม่ได้หยุดพวกนั้น” เรดพูดและโยนตลับกระสุนให้เชมา “เราแค่ซื้อเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้” เขาโยนอีกตลับให้เจมส์ “เช็กอาวุธ พวกมันจะมาในอีกไม่กี่นาที”

    “บางอย่าง สิบสองนาฬิกา” เสียงของหัวหน้าทีมแอลฟ่าดังขึ้นจากเฮทเซ็ทของทุกคน พลปืนกลชาวหมีขาวเปลียนอิริยาบทอย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นย่อตัวต่ำ หันออกไปยังพื้นที่โล่ง พาดปืนบนแนวกำแพงและกระชากคันรั้งปืน “สองคลิก จำนวนหกสิบบวก” เจมส์และเชมาเข้าประจำตำแหน่งที่ตำแหน่งของคนเอง

    “ใจเย็น” เรดพูดนิ่งๆพร้อมนำซองกระสุนสองซองมามัดติดกันด้วยเทบกาวสีดำ “อย่าตระหนกไป” เขาเดินไปยังแนวกำแพง วางซองกระสุนที่ถูกมันรวมกันไว้บนสันกำแพง “แอลฟ่าและชาลี ดูปีกซ้ายขวาไว้ด้วย ทหารพวกนี้ชำนาญพื้นที่มาก บราโว่ พื้นที่ตรงกลางเป็นของนาย ยิงให้ดี ยิงให้แม่น ประหยัดกระสุน พวกมันจะไม่กระหน่ำมาทีเดียว แต่จะโจมตีตลอดคืน ทหารจาฟาสจะเล่นสงครามประสาท โจมตีแล้วหายไป จากนั้นโจมตีใหม่”

    “พวกเราจะไม่ได้พักผ่อน แล้วก็สติแตกไป” หัวหน้าทีมยิงพูดขณะขึ้นมาร่วมวงกับคนอื่นๆ

    “โดยเฉพาะพวกทหารไร้ประสบการร์อย่างพวกเรา” เรดจบประโยค และใช้กล้องส่องทางไกลมองดูทหารจาฟานิสถานที่กำลังเคลื่อนเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว ไม่กี่นาทีต่อมา กระสุนปืนครกก็ระเบิดขึ้นห่างจากพวกเขาไปไม่มาก กลุ่มควันหนาทึบกระจายไปในอากาศ ทหารจาฟานิสถานพยายามที่จะบดบังทัศนวิสัย แต่พวกเขาลืมไปเสียแล้วว่า ทหารของแบล๊กอคาเดมี คือทหารที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เงินซื้อได้ ทุกคนบนดาดฟ้ารู้หน้าทีโดยที่เรดไม่ต้องสั่ง พวกเขาเปลี่ยนโหมดการมองบนสโคปปืนเป็นโหมดจับความร้อน

    “เยี่ยม” เจมส์ร้องออกมาเบาๆ น้ำเสียงประชดประชัน กล้องจับความร้อนของพวกเขาเป็นกล้องแบบขาวดำ ซึ่งจะแสดงความร้อนด้วยสีขาว และสิ่งที่เจมส์มองเห็นนั่นก็คือความร้อนจากม่านควัน บดบังการมองเห็นของกล้องทุกชนิด

    “ได้เวลาที่เราต้องประเมินทหารจาฟานิสถานใหม่แล้วสินะ” เรดพูดเสียงเรียบๆและกระชากคันรั้งปืน วิทยุระยยะไกลยังคงส่งเสียง “ปิ๊ป” เป็นระยะ เหมือนกับว่า มีคลื่นบางอย่างถูกส่งเข้ามาแทนที่ช่องทางสื่อสารปรกติ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงหายใจของทหารแบล๊กอาร์มี่ ในที่สุด ความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงปืนเอเค แสงสว่างเกิดขึ้นตลอดแนว กระสุนส่องวิถีจำนวนมากลอยเข้าปะทะกับอาคารและบ้านหลังต่างๆ หมู่ของเรดตอบสนองโดยทันที พลปืนกลของแอลฟ่าและชาลี ทำการสาดกระสุนออกไปยังจุดที่คิดว่าเป็นทหารจาฟานิสถาน นั่นเป็นกระทำที่ผิด

    “ปืนขัดลำกล้อง” พลปืนกลชาวหมีขาวตะโกนพร้อมกับเสียงเรดที่ตะคอกใส่วิทยุว่า “หยุดยิง ทุกคนหยุดยิง” มันช้าไปแล้วที่พลปืนกลจะหยุดยิง ทหารจาฟาสกระหน่ำอาวุธทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นปืนเล็ก ปืนกล รวมทั้งเครื่องยิงลูกระเบิด ใส่ที่ตั้งของแอลฟ่าและชาลี จนทั้งสองทีมต้องรีบหลบลงหลังที่กำบัง

    “เวร” เจมส์สบด “เอาไงต่อล่ะจ่า”

    “แอลฟ่าและชาลี ถอยไปแนวรบที่สอง เดี๋ยวนี้”เรดออกคำสั่ง และเล็งยิงอย่างประณีตใส่ที่ตั้งปืนกลของทหารจาฟาส “บราโว่ ยิงคุ่มกัน” ทุกคนบนดาดฟ้าตอบสนองต่อคำสั่งในทันใด พวกเขาบรรจงยิงปืนเป็นชุดๆ ใส่ที่ตั้งของปืนกล เพื่อทำการกดไม่ใช่ปืนกลกระบอกนั้นๆยิงใส่ทีมที่กำลังถอนกำลังได้ แด่ด้วยความต่างของขนาดกองกำลัง จะยิงกดอย่างไรก็ไม่สามารถต้านทานทหารจาฟาสที่ยกกันมาทั้งหมวดได้ กระสุนปืนเปลี่ยนทิศทางจากตำแหน่งของแอลฟ่าและชาลี มาเป็นพวกเขา กระสุนของทหารจาฟาสปะทะกับกำแพงดิน บ้างก็ทะลุ บ้างก็ถูกกำแพงดินหยุดไว้ บ้างก็แฉลบเอาดินออกไปจากกำแพง เชมาเป็นคนแรกที่ลงมาหลบบรรจุกระสุนหลังแนวกำแพง ตามด้วยเจมส์ หัวหน้าทีม เหลือเพียงเรดและพลปืนกลที่ยังคงกระหน่ำยิงใส่ทหารจาฟาส เมื่อทหารจาฟาสเห็นว่าพลังการยิงของทีมลดลงไปก็ทำการรุกคืบขึ้นมา

    “ทหารจาฟาส ยี่สิบ หนึ่งร้อยหาสิบเมตร” เรดร้องพร้อมดึงแม็กกาซีนออกจากปืน โยนมันให้ลอยหมุนเหนือมือ เพื่อเปลี่ยนเอาแม็กกาซีที่อยู่ด้านล่างขึ้นมาด้านบน ก่อนจะใส่เข้าไปในปืน และดันตัวค้างโบว์ทเพื่อปล่อยโบว์ทให้เข้าที่และพร้อมยิง เรดและชาวรัสเซียคุมสติได้ตีมากในขณะที่คนอื่นๆ กำลังสติแตกและบรรจุกระสุนกันอย่างลนลาน ทั้งเชมาที่ทำแม็กกาซีนตก เจมส์ที่ใส่แม็กกาซีนผิดด้าน และหัวหน้าชุดที่กำลังนำแม็กกาซีนเปล่าจากถุงทิ้มแกกาซีนกลับมาใช้ใหม่ เรดเริ่มยิงเป็นชุดๆ ใส่หทารที่กำลังตรงเข้ามาหาพวกเขา ทำให้ทหารจาฟาสล้มลงไปหลายนาย ส่วนทางทหารชาวหมีขาวเอกก็ใช่จะไร้พิษสง เขาสาดกระสุนสามสิบนัดสุดท้ายใส่กลุ่มของทหารจาฟานิสถานดวงกุดที่ดันเดิมจับกลุ่มกัน ทำให้ทหารจาฟาสห้าคนถูกยิงลงไปนอนกองที่พื้น ทหารชาวหมีขาวปล่อยไกหลังจากที่กระสุนปืนหมด และกำลังย่อตัวลงหลบหลังที่กำบัง กระสุนของทหารจาฟาสนัดหนึ่งเฉือนลำคอของทหารรัสเซียผู้โชคร้าย เลือดพุ่งออกไปตามแรงของกระสุน เขาทรุดลงไปนอนพร้อมปืนกลคู่กาย นัยน์ตาเลือนล่อยด้วยอาการตกใจ เจมส์คลานเข้าหาเขา พร้อมดึงเอาชุดปฐมพยาบาลออกมาจากกระเป๋าที่ติดเวส เขาฉีกซองและนำผ้าปิดแผลออกมารอบคอของทหารชาวรัสเซีย

    “นายต้องไม่เป็นไร” เจมส์พูด พลปืนกลจับมือของเขาก่อนจะมองเข้าไปในตาของเจมส์


    “ฉันไม่เป็นไร” เขาพูดและจัดการพันผ้าพันแผลรอบคอ เรดมองดูเขาเหมือนอยากจะถามว่าเป็นอะไรมากไหม แต่ว่าทหารล่ำบึกชาวหมีขาวผู้นี้เพียงแต่พยักหน้าตอบกลับไป ก่อนจะง่วนกับการบรรจุกระสุนปืน เมื่อตั้งสติได้ เจมส์บรรจุกระสุนจนเสร็จ และกลับไปประจำตำแหน่งของตน ตามด้วบเชมาและหัวหน้าชุด

    “หยุดยิง” เรดสั่งหลังจากที่การกระหน่ำยิงของทหารจาฟานิสถานหยุดลง “ทุกทีมรายงาน”

    “แอลฟ่า ไม่มีความเสียหาย” เสียงของหัวหน้าทีมแอลฟ่าดังมาจากวิทยุ

    “ชาลี ถูกยิงบาทเจ็บหนึ่ง แต่เลือดหยุดไหลแล้วเปลี่ยน”

    “ทุกทีม เปิดหูเปิดตาเอาไว้ ทหารจาฟาสอาจจะโผล่มาเหมื่อไหร่ก็ได้”เรดสั่งและทรุดตัวลงนั่ง “เช็คกระสุน”

    ทุกสิงเงียบสนิดเหมือนไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆบนดาดฟ้าบ้าน ทหารหมีขาวร่างใหญ่ยืนมองดูที่โล่งตรงหน้าด้วยความเงียบ ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกจากปากของทหารทีมบราโว่ จนเจมส์ได้ทำลายความเงียบลง “นายชื่ออะไร” เขาถามทหารร่างใหญ่

    “แอนโทนอฟ อามโบรวิช” เขาละสายตาจากที่โล่งมามองเจมส์ “เพื่อนๆเรียกฉัน ทอฟ”

    “ทอฟ” เจมส์พูดและนั่งลงพิงกับกำแพง

    “ใช่”

    “นายจะทำอะไรถ้าสงครามจบ” แอนโทนอฟเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปยังที่โล่ง และตอบเจมส์ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

    “พ่อฉันมีฟาร์มม้า อยู่แถวๆ นอวอซิเบิร์ก”

    “เยี่ยม” เจมส์พูดและยิ้มให้กับแอนโทนอฟ และนี่เป็นครั้งแรกที่ชายชาวหมีขาวยิ้มออกมาในใบหน้าที่มีความสุข “แล้วจ่าล่ะครับ จะทำอะไรถ้าสงครามจบ”

    “ฉันว่าเราพอแค่นี้ก่อนดีกว่า” แอนโทนอฟขัดขึ้น “ยานยนต์หุ้มเกราะข้าศึก สามคันกำลังตรงมาหาเรา”

    “เยี่ยม” เจมส์ลุกขึ้นและใช้กล้องส่องทางไกลมองไปยังลานกว้าง ยานยนต์หุ้มกราะรุ่น บีเอ็มพี-1 ของสหภาพโซเวียต กำลังวิ่งเข้ามาหาพวกเขาด้วยความเร็วต่ำ รอบๆยานยนต์ทั้งสามคันเต็มไปด้วยทหารราบราวๆ สามสิบนาย

    “นายถามว่าถ้าสงครามจบฉันจะทำอะไรใช่รึเปล่า” เรดพูดพร้อมเดินมาหาเจมส์อย่างช้าๆ “สงครามไม่มีวันจบหรอก” เรดพูดและกระชากคันรั้งปืน “เตรียมตัวโดนของหนักได้”


    จบ ปี1 ครึ่งแรก

    นิยาย:การทหาร พจญภัย วิทยาศาสตร์

  3. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:



 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top