ผลสำรวจไอคิวนักเรียนไทยทั่วประเทศ พบค่าเฉลี่ยไอคิวนักเรียนไทยต่ำกว่ามาตรฐานสากล อีสาน-ใต้ ต่ำสุด นนทบุรี ฉลาดสุด เด็กหญิงไอคิวสูงกว่าเด็กชาย
"ผลสำรวจ IQ นักเรียนไทยทั่วประเทศ" จากการสำรวจสถิติค่าเฉลี่ยไอคิวเด็กนักเรียนไทยจาก 787 โรงเรียนทั่วประเทศ ประกอบด้วย
โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 612 โรงเรียน, โรงเรียนสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน (สช.) 152 โรงเรียน,
โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) 16 โรงเรียน และสังกัดกทม. 6 โรงเรียน
พร้อมทั้งสำรวจจำนวนกลุ่มตัวอย่างแต่ละจังหวัดประมาณ 851-1,163 คน
โดยใช้วิธีการสำรวจตามมาตรฐานสากล พบว่าค่าเฉลี่ยของไอคิวนักเรียนไทยทั่วประเทศ อยู่ที่ 98.59 ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐานสากลที่ต้องอยู่ที่ไอคิว 100
จากการสำรวจแยกออกตามประเภทต่าง ๆ โดยแยกตามส่วนของสังกัดการศึกษาพบว่า เด็กในสังกัดอุดมศึกษาค่าเฉลี่ยไอคิวสูงสุดที่ 113.70
รองลงมาคือ สังกัดเอกชน 106.35 กทม. 101.96 และสพฐ. 97.59 เมื่อแยกตามภาคพบว่า กทม.มีค่าเฉลี่ยไอคิวสูงสุด 104.5
รองลงมาเป็นภาคกลาง 101.29 ภาคเหนือ 100.11 ภาคใต้ 96.85 และภาคอีสานต่ำที่สุด 95.99 ทั้งนี้ พบว่า เด็กหญิงมีไอคิวมากกว่าเด็กชาย
100 อยู่ 18 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยไอคิวสูงสุดเรียงตามลำดับ คือ นนทบุรี ระยอง ลำปาง กทม. ชลบุรี สมุทรสาคร
ตราด ปทุมธานี พะเยา และประจวบคีรีขันธ์ ส่วนจังหวัดที่มีไอคิวปกติ มี 20 จังหวัด และจังหวัดที่มีไอคิวต่ำกว่าปกติ (IQ<100)
38 จังหวัด ส่วนจังหวัดที่มีไอคิวน้อยที่สุดในประเทศเรียงตามลำดับ คือ นราธิวาส ปัตตานี ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี สกลนคร
กาฬสินธุ์ กระบี่ หนองบัวลำพู กำแพงเพชร และมหาสารคาม
(iQ>130) ถึงร้อยละ 9.5 กับจังหวัดนราธิวาสที่มีค่าเฉลี่ยไอคิวต่ำที่สุดในประเทศ พบว่า ค่าเฉลี่ยไอคิวของเด็กนักเรียนจะเอียงไปทางต่ำกว่ามาตรฐาน
โดยมีเด็กที่ไอคิวต่ำกว่า 70 ถึงร้อยละ 22 ซึ่งถือว่าสูงมาก
*****************************************************************************************
Credit : http://blog.eduzones.com/rangsit/81760
กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ
clubzaxxx
มีเเต่คนมอง IQ
ไม่มีคนเคยสนใจ EQ
ถ้าฉลาดเเล้วเป็นคนเลว ผมยอมโง่เพื่อเป็นคนดี
ถ้าให้พูดถึง EQ ก็พอมีการประเมิณอยู่นิดหน่อยครับ เป็นข่าวของเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็จะนำมาโพสให้ละกันครับ
*****************************************************************************************
เด็กไทย"อีคิว"ต่ำลง
กรมสุขภาพจิต เผยผลสำรวจเด็กไทยอีคิวต่ำลง ทำให้เกิดปัญหาสังคม ขณะที่เด็กตจว.จิตใจเข้มแข็ง แต่ขาดแรงหนุนจากครอบครัวและชุมชน
นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัจจุบันเด็กไทยมีความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ ต่ำลง ทำให้เห็นปรากฏการณ์ปัญหาของเด็กไทยในสังคมตอนนี้
เช่น ปัญหาความรุนแรง เด็กติดยา ติดเกม เรื่องเพศ และปัญหาเรื่องครอบครัวเพิ่มมากขึ้น วันเด็กปีนี้กรมสุขภาพจิตอยากจะเห็นเด็กไทยหัวใจเข้มแข็ง
ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ด้วยปัจจัย 2 ด้าน คือ 1.ปัจจัยที่ตัวเด็กเอง คือ ต้องให้เด็กไทยมีความเข้มแข็ง โดยให้วัคซีนแก่เด็กให้มีเกราะป้องกันจากสิ่งแวดล้อมที่ถูกชักจูงได้ง่าย
และ 2.เด็กต้องมีตัวช่วย คือ ครอบครัว ชุมชน และบริบทของสังคม
ด้าน พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ผอ.สถาบันราชานุกูล กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตได้ดำเนินการพัฒนาสติปัญญาเด็กไทยผ่านกลไกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และได้ติดตามสถานการณ์ความเข้มแข็งด้านจิตใจของเด็ก ดูแลช่วยเหลือเด็กไทยที่มีความเสี่ยงปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ
โดยการใช้แบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน (SDQ) คัดกรองเด็กกลุ่มเสี่ยง และให้การดูแลช่วยเหลือ พบว่า เด็กเข้าร่วมโครงการ 1,732 คน
พบ 4 ปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจของเด็ก คือ 1.ร้อยละ 73.9 ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน , 2.ร้อยละ 29.6 ปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าว ,
3.ร้อยละ 27.8 ปัญหาสมาธิสั้นและอยู่ไม่นิ่ง และ 4.ร้อยละ 13.9 ปัญหาด้านอารมณ์
ทั้งนี้ จากการสำรวจเด็กวัยเรียน จำนวน 1,080 คน ใน 4 ภาค 9 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ จ.อุตรดิตถ์ จ.เชียงราย , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.สุรินทร์ อำนาจเจริญ ,
ภาคกลาง จ.ลพบุรี สมุทรปราการ , ภาคตะวันออก จ.ตราด และภาคใต้ จ.กระบี่ และ จ.สุราษฎร์ธานี พบว่าเด็กไทยมีความเข้มแข็งภายในตนเองในระดับมากร้อยละ 59.1
ขณะที่ปัจจัยเสริมความเข้มแข็งของเด็กจากภายนอกคือ ประสบการณ์ที่ดีจากครอบครัว เพื่อน โรงเรียน ชุมชน ส่วนใหญ่อยู่ระดับปานกลางร้อยละ 52.8
นอกจากนี้ ยังพบ 5 อันดับปัจจัยเสริมความเข้มแข็งด้านจิตใจที่เด็กประเมินว่าเขามีมากที่สุด ได้แก่
1.การสนับสนุนจากสมาชิกในครอบครัว
2.การถูกสอนเรื่องความซื่อสัตย์
3.การถูกสอนให้เชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง มีจุดยืนที่ชัดเจน
4.การถูกสอนเรื่องความรับผิดชอบ
5.การมีเป้าหมายชีวิตและมองโลกในแง่ดี
ขณะที่ปัจจัยเสริมความเข้มแข็งด้านจิตใจที่เด็กประเมินว่ามีน้อยและต้องการได้รับมากขึ้น ได้แก่
1.การได้แสดงความคิดเห็นและตัดสินใจในสิ่งที่ต้องการทั้งที่บ้านและในชุมชน
2.การมีกิจกรรมสันทนาการนอกหลักสูตร
3.การมีส่วนร่วมทำกิจกรรมทางศาสนาหรือสาธารณบำเพ็ญ
4.การมีส่วนร่วมทำกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียน
5.ครอบครัวมีระเบียบกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน มีเหตุผล และมีการติดตามจากครอบครัว
*****************************************************************************************
Credit : http://archive.voicetv.co.th/content/6917