[::The Elder Scrolls::]
[::ผ่านเวลาสิบเจ็ดปี กว่าจะถึงวันที่ ธนูปักหัวเข่า !!!::]
[::ตอนที่สาม::]
ครึ่งทางกับบทความย้อนตำนาน The Elder Scrolls กับภาคที่จะเปลี่ยนทุกสิ่งที่เคยเข้าใจเกี่ยวกับซีรีส์นี้ไปตลอดกาล!
ผงาดง้ำ ล้ำท้าโลก
ภายหลังจากความสำเร็จของ The Elder Scrolls II : Daggerfall ในปี 1996 เป็นที่แน่นอนแล้วว่า Bethesda Softworks เองก็ไม่รอช้าที่จะวางโครงการสำหรับภาคที่สามแห่งซีรีส์จารึกโบราณม้วนนี้ แทบจะทันที ด้วยสโคปของการสร้างที่มากกว่า ใหญ่กว่า ลุ่มลึกและซับซ้อนกว่าอย่างที่เกมสองภาคก่อนหน้าไม่อาจจะเทียบติด ด้วยพื้นหลังแห่งอาณาจักรที่เป็นต้นกำเนิดแห่งเหล่าเอล์ฟมืด และวิกฤติการณ์แห่งหายนะที่จะส่งผลต่อเกมการเล่นในภาพกว้าง
อย่างไรก็ดี โปรเจกต์จัดเต็มของพวกเขาก็จำต้องหยุดพักลงเป็นการชั่วคราวด้วยข้อจำกัดทาง เทคโนโลยีในยุคสมัยนั้นในช่วงเริ่มต้นกับเอนจิ้น Xngine , การแสดงผลกราฟิกแบบ Super VGA และเทคนิคการเขียนโปรแกรมที่ยังไม่สามารถตามความทะเยอทะยานของสุดยอดงาน สร้างที่พวกเขาใฝ่ฝันเอาไว้ และเริ่มต้นทดลองวิชากับสองผลงานเบา ๆ ที่ไม่ดังเปรี้ยงปร้างมากนักกับ The Elder Scrolls : Battlespire และ The Elder Scrolls : Redguard ในปี 1998 ที่เกมหลัง เป็นเพียงเกมแอ็คชันจากซีรีส์นี้เพียงหนึ่งเดียวที่มีมาจนถึงปัจจุบัน
นี่คือ The Elder Scrolls : Battlespire และ The Elder Scrolls : Redguard โปรเจกต์ทดลองงานของทีม Bethesda ในช่วงเวลานั้น
กระนั้น การออกเถลไถลนอกลู่นอกทางของพวกเขาก็ไม่ได้สูญเปล่า เพราะทีมพัฒนาสามารถเรียนรู้สิ่งดี ๆ ระหว่างการทำงานเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในอนาคตได้อย่างมากมาย อาทิการทิ้งระบบสุ่มสร้างฉาก และทุ่มเทสร้างพื้นที่กับสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง , การลงทุนสร้าง The Elder Scrolls Construction Sets เพื่อเป็นเครื่องมือให้นักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่จะต้องใช้เวลานานให้ ย่นย่อลงเหลือเพียง 1/3 ของเวลาทั้งหมด บวกกับการก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งหัวหน้าโปรเจกต์ของ Todd Howard ที่อ้าแขนรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตั้งแต่ทิ้ง Xngine เพื่อใช้ Direct3D , เลือกใช้การแสดงแสงและเงาแบบ Dynamic Lightning ของ Nvidia Geforce 4 ที่ทันสมัยมาก ๆ ในช่วงนั้น จนถึงการสร้างโลกที่เป็นเอกลักษณ์ ภูมิประเทศงดงาม และการเคลื่อนไหวตัวละครสุดสมจริง แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวคิดขั้นพื้นฐานของการพัฒนาตัวเกมที่ก้าวล้ำขีดจำกัดของเกมร่วมสมัย ความเป็นพลวัตผลัดเปลี่ยนของโลกพื้นหลัง และการปฏิสัมพันธ์เสมือนจริงที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ผลงานลำดับที่สามที่ยังไม่ถูกประกาศชื่อของ The Elder Scrolls ถูกเฝ้าระวังจากสื่อหลายสำนักอย่างเข้มงวด บ้างก็ว่าเป็นไปไม่ได้ บ้างก็ว่ายากเกินกว่ากำลัง และเมื่อเทียบกับยอดขายและความนิยมของสองเกมก่อนหน้านั้นที่เรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ไม่เปรี้ยงปร้างเท่า Dagger ด้วยนั้น บางคนก็ถึงกับฟันธงเลยว่านี่ต้องเป็นจุดจบของ Bethesda อย่างแน่นอน
จะ ทำเกมสวมบทบาทที่เปิดกว้างอย่างไร้ขีดจำกัด ตัวละครสมจริงเหมือนมีชีวิต พร้อมเนื้อเรื่อง กราฟิก และเสียงประกอบสุดอลังการในปี 2002 งั้นเรอะ Impossibruuuuuuuu~~~
แต่เช่นเดียวกับผู้สำเร็จและคิดการใหญ่ที่ผ่าน ๆ มาในแวดวงอื่น ทีมงาน Bethesda ไม่ได้ย่ำตามในสิ่งที่คนอื่นเป็น หากแต่ต่อยอด ปรับปรุง สร้างสรรค์ จนผลสำเร็จที่ได้ คือชิ้นงานที่ก้าวข้ามขีดจำกัดที่เคยถูกบัญญัติโดยช่วงเวลา เพื่อนำพาแวดวงวิดีโอเกมให้ทะลวงไปสู่อีกระดับขั้นที่เหนือกว่า ผลงานที่ว่านั้นคือ The Elder Scrolls III : Morrowind
เมื่อก้าวข้ามความเป็นไปไม่ได้ นี่คือสิ่งสุดท้ายที่แวดวงเกมได้ประจักษ์ The Elder Scrolls III : Morrowind
สำหรับพื้นหลังเรื่องราวของ Morrowind นี้ ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นนักโทษที่ถูกส่งมายังดินแดน Vvardenfell พื้นที่ส่วนหนึ่งของอาณาจักรแห่งเอล์ฟมืด Morrowind หนึ่งในเก้าทวีปของ Tamriel ก่อนจะต้องออกผจญภัยเพื่อเติมเต็มคำทำนายของถึงการกลับชาติมาเกิดใหม่ของ Indoril Nerevar หรือที่ชนพื้นเมืองขนานนามว่า Nerevarine (Nerevar ผู้กลับมาอีกครั้ง) อดีตวีรบุรุษเอล์ฟมืดที่จะรวบรวมเผ่าพันธุ์ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อเข้าต่อกร กับ Dagoth Ur อสูรร้ายในหุบเขา Red Mountain ที่สร้างความระส่ำระสายในช่วงเวลาดังกล่าว
ถ้าจะถามว่าสิ่งใดที่มีใน Morrowind อาจจะต้องเปลี่ยนคำถามใหม่เป็นว่า มีสิ่งใดที่ไม่มีใน Morrowind บ้าง เพราะคำสัญญาและคำประกาศที่ทาง Bethesda ได้กล่าวไว้ก่อนตัวเกมวางจำหน่ายในปี 2002 พวกเขารักษามันได้ครบทุกข้อในระดับที่ดีเยี่ยม ทั้งกราฟิกที่สวยงามล้ำยุค (มีเอฟเฟกต์น้ำสวยที่สุดในบรรดาเกมยุคเดียวกัน) , ความเป็นพลวัตของโลกและตัวละครที่อยู่รอบ ๆ ผู้เล่น การแบ่งฝักฝ่ายที่ชัดเจนแต่ทบซ้อนด้วยเกมกลการเมืองและสังคม สถาปัตยกรรม สิ่งปลูกสร้าง กับวัฒนธรรมของผู้คนในพื้นที่ของ Vvardenfell ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างไม่มีใครเหมือน เพลงประกอบแสนอลังการ ระบบการต่อสู้ที่พัฒนาขึ้นมาจาก Daggerfall ให้เหมาะสมใช้งานง่าย ภารกิจที่หลากหลาย และการพัฒนาตัวละครที่เปิดกว้างให้ผู้เล่นสามารถ ไป และเป็น ในสิ่งใดก็ได้ที่ต้องการ Morrowind คือทุกสิ่งในทุกนิยามที่เหนือกว่า Daggerfall หลายสิบเท่า แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับว่านี่คือเกม Computer Role Playing Game (CRPG) จากซีรีส์ The Elder Scrolls เกมแรกที่ไปผงาดในโลกแห่งคอนโซลบนระบบ Xbox ของ Microsoft ที่สามารถเรียกเสียงกังขาและความสงสัยในทิศทางการตัดสินใจของทีมพัฒนาจาก เหล่าแฟน ๆ และสื่อได้ไม่น้อย
ตัวอย่างภาพจาก The Elder Scrolls III : Morrowind ในเวอร์ชัน Xbox ที่ยังคงความงดงามได้ไม่แพ้เวอร์ชันต้นทางอย่าง PC
อย่าง ไรก็ตาม เช่นเดียวกับผลงานก่อนหน้านั้น Bethesda ก็ยังคงซื่อตรงกับปัญหาทางด้านเทคนิคอันสม่ำเสมอที่กระจายตัวอยู่ในชิ้นงาน จนต้องออกแพทช์และภาคเสริมอีกสองตัว (Tribunal , Bloodmoon) มาช่วยอุดรูโหว่ที่ขาดเกินเหล่านี้ให้ลุล่วงไป แต่ปัญหาทั้งหลาย ก็ไม่ได้หยุดยั้งความแรงของ The Elder Scrolls III : Morrowind ในปีที่มันวางจำหน่าย ด้วยยอดขายถล่มทลาย และขึ้นมาแข่งรัศมีกับผลงานเกม RPG ที่เป็นที่จับตามองในปีนั้นของ Bioware อย่าง Neverwinter Night ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่นอกเหนือจากรางวัลจากสื่อเพียงไม่กี่สถาบัน นี่กลับไม่ใช่ปีของ Bethesda เพราะสามารถทำได้แค่ขึ้นชิง แต่ไม่อาจคว้ารางวัลใหญ่อย่าง Game of the Year กลับบ้านไปได้
เป็นที่น่าเสียดายที่ The Elder Scrolls III : Morrowind ต้องเสียตำแหน่งให้กับ Neverwinter Night จากทีม Bioware ในปีนั้น
มาถึงตรงนี้ กับการทุ่มเทความพยายามอย่างแรงกล้า แต่ไม่อาจก้าวไปสู่เกียรติยศในปลายทาง อาจจะจบด้วยความท้อแท้ของทีมพัฒนา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา เพราะผลสำเร็จที่เกิดขึ้นกับ The Elder Scrolls III : Morrowind นั้น ทำให้ทีม Bethesda Softworks ได้เติบโต มั่นใจ และสลัดคราบของค่ายพัฒนาเล็ก ๆ ที่ทำแต่เกมแอ็คชันและกีฬา มาสู่อีกชื่อในแถวหน้าที่แวดวง RPG ต้องจับตามอง และด้วยกลุ่มผู้เล่นที่เหนียวแน่น เกมที่ได้รับความนิยม แนวคิดการสร้างที่ชัดเจนเคลียร์ใจได้ขาด และฐานตลาดใหม่ในระบบคอนโซล พวกเขาก็เชื่อว่าตนเองพร้อมแล้ว
สำหรับการปิดฉาก ยุคสมัยที่สามที่จะเดินทางมาถึงในอีกไม่ช้านี้ (โปรดติดตามต่อในตอนถัดไป)
[::เกร็ดน่ารู้::]
-แต่เดิมนั้น The Elder Scrolls III จะถูกวางเรื่องราวไว้ที่ Summerset Isle หมู่เกาะทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีป Tamriel บ้านเกิดของเหล่า High Elf แต่ไอเดียเหล่านี้ถูกปัดตกไป และนำเอาไอเดียดั้งเดิมที่เคยเกือบจะเป็น The Elder Scrolls II คือดินแดน Morrowind มาใช้แทน
-จริง ๆ แล้วพื้นที่ของดินแดน Vvardenfell ที่เป็นฉากหลังของ The Elder Scrolls III : Morrowind นั้น มีขนาดเพียงแค่ 0.01% ของพื้นที่ทั้งหมดใน Daggerfall (เฉลี่ยแล้วมีพื้นที่ประมาณ 6 ตารางไมล์) หากแต่ความหลากหลายทางสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ที่ถูกสร้างอย่างละเอียด นั้นมีมากกว่ากันหลายเท่าตัว และ Morrowind ก็ยังถือครองตำแหน่งเกมที่โดดเด่นในแง่งานศิลป์เป็นลำดับต้น ๆ ของแวดวงจนถึงปัจจุบัน
-Morrowind เป็นภาคแรกของซีรีส์ The Elder Scrolls ที่เปลี่ยนจากดนตรีสังเคราะห์ระบบ Midi มาใช้ระบบ Stereo และเครื่องดนตรีซิมโฟนีออเคสตร้า โดยผู้รับหน้าที่เป็นประพันธกรสำหรับงานใหญ่ครั้งนี้คือ Jeremy Soule นักประพันธ์ชั้นครูผู้เคยผ่านผลงานเพลงในวิดีโอเกมส์อย่าง Total Annihilation และ Icewind Dale มาแล้ว โดยเพลง Nerevarine ที่เขาแต่งขึ้นให้กับภาคนี้ ก็ถูกนำมาปรับใช้อีกครั้งในสไตล์ถิ่นเหนือและกลายเป็น Sons of Skyrim ใน The Elder Scrolls V : Skyrim
(คุณสามารถดูผลงานเพลงในวิดีโอเกมส์ทั้งหมดของเขาได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Jeremy_Soule#Discography)
-สิ่งหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นความเปลี่ยน แปลงครั้งใหญ่สำหรับซีรีส์ The Elder Scrolls ที่เกิดขึ้นในภาค Morrowind นั้น คือการที่ทีมพัฒนาเลือกที่จะสร้างอุปกรณ์อย่าง The Elder Scrolls Construction Set เพื่อย่นระยะเวลาในการพัฒนาเกมลงและมีความง่ายในการฝึกสอนทีมงาน แน่นอนว่านั่นคือจุดประสงค์เบื้องต้น แต่ผลตอบรับที่ได้หลังจากที่ตัวโปรแกรมถูกปล่อยสู่มือผู้เล่น คือการมาถึงของวัฒนธรรม Modding หรือการปรับแก้ที่ตัวโปรแกรมเปิดกว้างอิสระให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่ง เพิ่มเติม แก้ไข และสร้างเนื้อหาเสริมใหม่ ๆ เข้าไปในตัวเกมหลักได้โดยอิสระ ในปัจจุบัน มี Mod ของเกม Morrowind และ Oblivion อยู่นับหมื่น ๆ ชิ้น และกลุ่มผู้พัฒนาสมัครเล่นก็ยังคงสร้างสรรค์ผลงานของตนเองอย่างต่อเนื่องจน ถึงปัจจุบัน (คุณสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้จากแหล่งใหญ่สุดอย่าง http://www.tesnexus.com และ planetelderscrolls.ign.com)
-ซีรีส์ The Elder Scrolls III มาพร้อมกับภาคเสริมอีกสองตัวคือ The Elder Scrolls III : Tribunal และ The Elder Scrolls III : Bloodmoon ที่แม้จะต่อยอดในส่วนของเนื้อหา ปรับปรุงระบบการเล่น และแก้ไขข้อผิดพลาดทางเทคนิค แต่ก็ได้รับเสียงติติงเรื่องความยากที่สูงถึงสูงมากจนเป็นที่เลื่องลือ ซึ่งภายหลังทาง Bethesda เองก็มัดรวมทั้งภาคหลักและเสริมวางจำหน่ายในชื่อ The Elder Scrolls III : Morrowind Game of the Year Editions ในปี 2003
-Morrowind เป็นเกมในซีรีส์ The Elder Scrolls ภาคแรก ที่ความเกี่ยวข้องของเหล่าเทพปิศาจ (Daedra) นั้นชัดเจนและมีลักษณะเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ต่างจาก Daggerfall ที่ยืนพื้นในฐานะผู้ให้ภารกิจอย่างผ่าน ๆ โดย Morrowind และ Tribunal จะเกี่ยวข้องกับ Azura เทพแห่งดวงดาว และ Bloodmoon จะเกี่ยวข้องกับเทศกาลไล่ล่าโลหิตของเทพนักล่า Hircine แต่นอกเหนือจากทั้งสององค์แล้ว ยังมีภารกิจอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับเหล่าเทพปิศาจที่กระจายตัวในโลกแห่ง Vvardenfell แห่งนี้
[::แหล่งข่าวสาร:Arang!::]
[::My Facebook::]