ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

กำลังแสดงผล 1 ถึง 4 จากทั้งหมด 4
  1. #1
    สมาชิกเต็มตัว
    วันที่สมัคร
    Nov 2011
    ที่อยู่
    comingsoon
    กระทู้
    6
    กล่าวขอบคุณ
    0
    ได้รับคำขอบคุณ: 10

    Act of Valor หนังสงครามที่ยกหน่วย SEAL มาทั้งเรื่อง ,พร้อมเบื้องหลัง




    เนื้อเรื่อง

    ภาพยนตร์เรื่องแรกของโลกที่ได้สมาชิกของหน่วย SEAL ตัวจริงเสียงจริงมาแสดงนำ Act of Valor ถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ก่อการร้ายข้ามชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ฉากสงครามที่ถ่ายทอดจากปฏิบัติการณ์ที่เคยเกิดขึ้น รวมถึงอาวุธยุธโธปกรณ์อันล้ำสมัยของกองทัพสหรัฐ เพื่อทำให้เป็นหนังแอ็คชั่นที่ตื่นเต้นเร้าใจที่สุดแห่งปี

    Act of Valor เริ่มต้นด้วยภารกิจการเข้าไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ CIA ซึ่งก็เชื่อมโยงไปถึงแผนการก่อการร้ายครั้งในประวัติศาสตร์ ที่จะคร่าชีวิตของผู้บริสุทธ์นับพัน เมื่อหน่วย SEAL ต้องออกตามล่าผู้ก่อการร้ายที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก พร้อมกับต้องสร้างสมดุลระหว่างความรักชาติ เพื่อนพ้อง และครอบครัวที่รอพวกเขาอยู่ที่บ้าน

    Act of Valor กำกับโดย ไมค์ แม็คคอย และ สก็อตต์ วอห์น จากบทภาพยนตร์ของ เคิร์ต จอห์นแสตท (300) นำแสดงโดย 9 นาวิกโยธินหน่วย SEAL ของสหรัฐ และนักแสดงฮอลลิวู้ดอย่าง โรซาลีน ซานเชส (Rush Hour 2, The Game Plan), อเล็ก เวดอฟ (Air Force One, Drag Me to Hell) และ เนสเตอร์ เซอร์ราโน (Ugly Betty, 90210) โดยยังมีทีมงานไม่ว่าจะเป็นผู้ตัดต่อภาพ ไมเคิล โทรนิค (Green Hornet, Iron Man), ผู้กำกับภาพ เช่น เฮิร์ลบัท (Terminator Salvation) และผู้ออกแบบงานสร้าง จอห์น แซ็คเคอรี่ย์ (Wonderland)

    จุดริ่มต้น


    ในปี 2007 โปรดักชั่นเฮ้าส์ Bandito Brothers รับหน้าที่ในการสร้างสารคดีขนาดสั้นให้กับกองทัพเรือ ซึ่งเกี่ยวกับหน่วยลำเลียงพิเศษของนาวิกโยธินสหรัฐ ที่พาหน่วย SEAL ไปรับและส่งในสถานที่ต่างๆในโลก ที่พวกเขาได้ทำภารกิจที่อันตรายและสุ่มเสี่ยงที่สุด

    แม๊กซ์ ไลท์แมน ผู้บริหารของ Bandito Brothers และหนึ่งในผู้อำนวยการสร้าง Act of Valor เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า "พวกเราทำสารคดีสั้น 7 นาที ซึ่งทำให้พวกเรารู้จักโลกของนาวิกโยธิน เรารับแรงบันดาลใจจากปฏิบัติการณ์ของพวกเขา งานชิ้นนี้จึงเป็นของขวัญสำหรับพวกเขา ที่กลับบ้านไปและให้ครอบครัวดูสารคดีตัวนี้ เพื่อให้เข้าใจการทำงานของพวกเขา"

    ในขณะเดียวกัน กองทัพเรือก็ได้เห็นสารคดีตัวนี้ และสนใจที่จะทำให้กลายเป็นภาพยนตร์ขนาดยาว ไมค์ แม็คคอย ที่ร่วมกำกับภาพยนตร์ร่วมกับ สก็อตต์ วอห์น เผยว่า "พวกเขาได้รับข้อเสนอหนังที่พูดถึงนาวิกโยธินจากสตูดิโอมากมาย แต่พวกเขาต้องการที่จะทำให้มันออกมาซื่อตรงที่สุด ซึ่งในที่สุดข้อเสนอของพวกเราก็ถูกเลือก"

    กัปตัน ดันแคน สมิธ นาวิกโยธินสหรัฐ วัย 27 ปี ปัจจุบันยังคงสังกัดกับหน่วย SEAL คือหนึ่งในตัวแปรสำคัญของการพัฒนา Act of Valor เขาเล่าว่า "พวกเราต้องการเรื่องราวที่จะทำให้ผู้ชมเข้าใจว่าพวกเราคือใคร ไอเดียของหนังต้องได้รับกาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะนี่คือหนังเรื่องแรกที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรืออย่างเต็มตัว โดยจุดมุ่งหมายก็คือการให้คนนอกเข้าใจถึงสิ่งที่พวกเราทำ เข้าใจในชีวิต และการเสียสละที่พวกเขาและครอบครัวต้องเผชิญหน้าอยู่ทุกวัน"


    ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความแตกต่างไม่เหมือนใคร โดยจับเอาวิถีชีวิตของสมาชิกหน่วย SEAL ในแบบที่ไม่มีใครเคยเห็นในหนังมาก่อน กัปตัน ดันแคน สมิธ เล่าต่อว่า "พวกเราใช้กระสุนจริง ใช้ทหารของนาวิกโยธิน ไม่ใช่เพียงแค่หน่วย SEAL แต่ยังรวมถึงนักบินและเจ้าหน้าที่ในส่วนอื่น บทภาพยนตร์ถูกเขียนจากปฏิบัติการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง มันไปไกลกว่าที่ทุกคนเคยเห็นในหนัง ไม่มีหนังเรื่องไหนที่จะจับเอา หัวใจ ทีมเวิร์ค และเทคโนโลยี ของกองทัพสหรัฐได้มากเท่ากับเรื่องนี้"

    ถูกคัดเลือกจากนาวิกโยธินฝีมือดีที่สุด หน่วย SEAL ต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อทำภารกิจบนบก ในน้ำ และอากาศ พวกเขาเป็นหน่วยที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา และสามารถเข้าไปในสถานที่ที่อันตรายที่สุดในโลก เพื่อทำภารกิจที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ โดยแต่ละปีทหารเรือกว่า 1,000 นายจะต้องถูกฝึกฝนอย่างหนัก และมีเพียง 200 ถึง 250 นายเท่านั้นที่เหลือรอดจากการฝึกสุดทรหดตลอด 1 ปีครึ่ง และหลังจากการถูกคัดเลือกเข้าทีม พวกเขาก็ยังต้องฝึกอีก 1 ปีก่อนที่จะได้เริ่มปฏิบัติงานจริง


    ด้วยการผสมผสานเรื่องจริงเข้ากับเรื่องแต่ง Act of Valor นำเอานาวิกโยธินหน่วย SEAL ตัวจริงเข้ามารับบทนำ และก็ได้สร้างเรื่องราวรอบตัวพวกเขา เพื่อให้เราเข้าใจถึงเบื้องหลังของพวกเขา โดยการรวบรวมข้อมูลสำหรับหนัง วอห์น, แม็คคอย และทีมงานจาก Bandito Brothers ก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ร่วมกับหน่วยทหารที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลก

    แม็คคอย และ วอห์น ใช้เวลาหลายเดือนเพื่อทำความรู้จักกับสมาชิกหน่วย SEAL ในฐานทัพที่ ซานดีเอโก แคลิฟอร์เนีย กัปตัน สมิธ เผยว่า "หนทางที่ดีที่สุดในการเล่าเรื่องของพวกเรา ก็คือการให้คนนอกเข้ามาสังเกตุการณ์ด้วยตัวเอง ให้มาดูว่าพวกเราใช้ชีวิตกันยังไง Bandito Brothers มีทีมงานที่เหมาะสมที่สุด เพราะพื้นฐานของพวกเขาก็มีความเป็นนักกีฬา ผู้กำกับเองก็เคยเป็นสตันท์แมน พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่เคยเจอสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นเดียวกัน"

    หลังจากได้ขลุกขลีกัน ทีมงานก็รู้สึกว่าตัวเองค้นพบนักรบสายพันธุ์ใหม่ ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกจากหลายหลากพื้นเพ ที่ผ่านการฝึกฝนอันแสนทรหดร่วมกัน มีความรักชาติและพวกพ้องเหนือสิ่งอื่นใด วอห์น เล่าว่า "การใช้ชีวิตของพวกเขาทำให้ผมต้องทึ่ง เพราะเมื่ออยู่ในฐานทัพพวกเขาก็ดูเป็นคนธรรมดา แต่เมื่อเวลาปฏิบัติการณ์พวกเขาก็มีความพร้อมที่สุด ผมเคยมีพื้นฐานการทำหนังแอ็คชั่น แต่เมื่อได้มากเห็น ผมก็พบว่าตัวเองไม่เคยรู้จักสังคมของนาวิกโยธินมาก่อนเลย"


    วอห์น เล่าต่อว่า "พวกเขาทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้... ให้เป็นไปได้ พวกเขามีสภาพร่างกายและจิตใจพร้อมกว่าคนทั่วไป ผมเองเคยเป็นสตันท์แมนมาก่อน ซึ่งหน้าที่ของผมก็คือการเสี่ยงตายอยู่แล้ว คุณต้องพร้อมที่จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้าหรือมอเตอร์ไซด์ จุดไฟเผาตัวเองหรือตกจากที่สูง สำหรับหน่วย SEAL ระเบียบวินัยก็อาจจะเหมือนกัน เพียงแต่พวกเขาต้องเก่งที่สุดในทุกๆอย่าง"

    ทีมผู้สร้างใช้โอกาสในการได้ขลุกขลีกับหน่วย SEAL เพื่อมาเขียนบท ที่เกิดจากการสัมภาษณ์สมาชิกหน่วย SEAL และครอบครัวของพวกเขา ซึ่งทำให้ทีมงานภาพยนตร์และสมาชิกหน่วยมีความเชื่อใจกันมากขึ้น แม็คคอย เล่าว่า "พวกเราได้ทานอาหารร่วมกัน ดื่มเบียร์ร่วมกัน และออกไปนั่งเล่นบนชายหาด สุดท้ายแล้วมันก็ทำให้พวกเราได้ไอเดียว่า ช่วงเวลาแบบนี้จะต้องปรากฏยู่ในหนัง เพื่อทำให้คนดูได้เห็นสังคมของพวกเขาเมื่อกลับมาอยู่บ้าน"
    ในขณะเดียวกันสมาชิกหน่วย SEAL ก็ได้แชร์เรื่องราวของการต่อสู้ และการเสียสละที่จะทำให้คนทั่วไปต้องทึ่ง แม็คคอย เล่าว่า "จะมีใครในโลกที่ยอมรับกระสุนเพื่อช่วยชีวิตของใครอีกคน สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพวกเขา เรื่องราวเหล่านี้ช่วยยกระดับของความเป็นพี่น้องต่างสายเลือด สุดท้ายแล้วเรื่องราวที่พวกเราประทับใจ และได้ถูกเรียงร้อยเข้ามาในหนัง"


    แม้กระทั่ง กัปตัน สมิธ เองก็รู้สึกทึ่งไปกับเรื่องราวที่ทีมงานเขียนขึ้นมา "ฉากหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกจับใจที่สุดก็คือ ฉากที่ภรรยาของผู้หมวดร้องไห้ หลังจากที่เขาเดินออกจากประตูเพื่อไปปฏิบัติภารกิจ ผมไม่เคยรู้ถึงสิ่งนี้เลย ผมถามภรรยาของผม และเธอก็บอกว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ เธอบอกว่าวันที่ผมไปเป็นวันที่เธอทั้งโกรธ เหงา และเศร้า ผมคิดว่า Act of Valor เปิดโลกทัศน์ให้กับผม โดยเฉพาะเรื่องราวภายในครอบครัวของทหาร"

    หน่วย SEAL ตัวจริง

    เมื่อทีมงานได้เรียนรู้เรื่องราวของสมาชิกหน่วย SEAL ในซานดีเอโก สองผู้กำกับ ไมค์ แม็คคอย และ สก็อตต์ วอห์น ต้องการทิศทางใหม่ ที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อนในหนัง โดยแทนที่จะคัดเลือกนักแสดงเข้ามา พวกเขาต้องการสมาชิกหน่วย SEAL ตัวจริงในบทนำ แม็คคอย เผยว่า "มันกลายเป็นกฏเหล็กสำหรับเรา ที่จะต้องทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างออกมาเที่ยงตรงที่สุด พวกเราคิดว่านักแสดงอาจไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิดกับตัวตนที่แท้จริงของหน่วย SEAL"

    ยิ่งพวกเขาพูดคุยกันมากขึ้นเท่าไร แม็คคอย และ วอห์น ก็มั่นใจว่านี่คือหนทางเดียว ที่จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ วอห์น เผยว่า "เมื่อคุณพบกับสมาชิหน่วย SEAL ตัวจริง คุณก็จะรู้สึกเลยว่าพวกเขามีออร่าที่เลียนแบบไม่ได้ และพวกเขาก็มีการฝึกฝนและประจำการในกองทัพมากว่า 20 ปี ไม่มีนักแสดงคนไหนที่สามารถลอกเลียนแบบได้"

    ส่วนที่ยากที่สุดของสองผู้กำกับก็คือ การโน้มน้าวให้สมาชิกหน่วย SEAL เข้ามาแสดงหนัง แม็คคอย เล่าว่า ในตอนแรกพวกเขาทุกคนตอบปฏิเสธ พวกเขาบอกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองทำ มันยอดเยี่ยมในการช่วยเราค้นคว้าหาข้อมูล แต่พวกเขาก็ต้องทำงานของตัวเอง แต่ผมก็พยายามอธิบายถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการสร้างหนัง สุดท้ายแล้วพวกเขาก็รู้สึกว่า มันถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของหน่วย SEAL"

    จุดเด่นของหน่วย SEAL ก็คือการปฏิบัติภารกิจที่เด็ดขาดและรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครรู้ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสังคมของพวกเขา นาวาตรี โร้ก ที่รับบทเป็นหนึ่งในหน่วย SEAL เล่าว่า "มันเป็นก้าวที่สำคัญในการทดลองทำอะไรแบบนี้ แต่มันก็ถือเป็นโอกาสที่พิเศษในการเล่าเรื่องจากมุมมองของตัวเอง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"



    ถึงแม้ นายทหาร ฝ่ายปฏิบัติการณ์พิเศษชั้นหนึ่ง เอเจย์ เจมส์ จะได้รับการแนะนำโดยตรงจากผู้บังคับบัญชา ให้เข้ามาแสดงในหนังเรื่องนี้ แต่เขาก็ลังเลที่จะรับบท "ตอนแรกผมไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับโปรเจ็ค ผมไม่เคยสนใจในเรื่องแสงสี แต่ผมอยากช่วยในการถ่ายทอดภาพลักษณ์ของหน่วย SEAL นี่อาจเป็นการตีแผ่ชีวิตของพวกเราที่เที่ยงตรงที่สุด ผู้กำกับมอบพื้นที่ในการสร้างเรื่องราวตามที่พวกเรารู้สึก"

    เหมือนกับชีวิตจริง เมื่อสองสมาชิกในหน่วย SEAL นำทีมโดย นาวาตรี โร้ก มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ หัวหน้านายทหาร ฝ่ายปฏิบัติการณ์พิเศษ เดฟ โดย แม็คคอย เล่าว่า "มีความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสองคนที่สำคัญในหนัง ซึ่งพวกเขาก็เป็นเพื่อนสนิทกันในชีวิตจริงด้วย ถึงแม้ว่ายศของพวกเขาต่างกัน แต่พวกเขาก็มีความเคารพซึ่งกันและกัน การได้สำรวจความสัมพันธ์ของพวกเขาในชีวิตจริง และนำความรู้สึกนั้นมาใช้ในหนังเป็นอะไรที่น่าทึ่ง"

    นาวาตรี โร้ก เหมือนตัวเชื่อมระหว่างสมาชิกหน่วย SEAL กับนาวิกโยธิน วอห์น พูดถึงเขาว่า "ผมคิดว่าเขาเป็นที่สุดของทหาร เขาเป็นคนฉลาด มีการศึกษาระดับปริญญาโท เขาประจำการในรามาดี ปี 2006 และได้รับเหรียญกล้าหาญชั้น "บรอนซ์" เขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ และก็เป็นทหารที่ยิงปืนแม่นกว่าทุกคน ที่สำคัญคือเขาเอาใส่ใจสมาชิกทีมของเขาทุกคน"

    แม็คคอย พูดถึงต่อว่า "ในขณะเดียวกัน หัวหน้านายทหาร เดฟ ก็เป็นทหารอีกรูปแบบหนึ่ง เขาเป็นนักเล่นเซิร์ฟ พ่อที่ใจดี และเป็นบุคคลตัวอย่างของหน่วย SEAL เขาเป็นผู้ชายที่ตลกและรักครอบครัว แต่คุณไม่ต้องการอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาแน่นอน ด้วยความสูง 6 ฟุต 6 และร่างกายที่แข็งแรง เดฟ สามารถพลิกยางรถแทร็คเตอร์ได้เหมือนรถจักรยาน งานของเขาก็คือการติดต่อประสารงานระหว่างสมาชิกหน่วย SEAL กับกองทัพ"



    แม็คคอย และ วอห์น รู้สึกแปลกใจที่ เมื่อถอดชุดทหาร เดฟ และ โร้ก ก็กลายเป็นเพื่อนกันแบบไม่มียศ วอห์น เล่าว่า "พวกเขาพูดคุยเหมือนกับผมและ ไมค์ คุยกัน ในกองทัพอื่นทหารชั้นสัญญาบัตรและประทวนจะไม่สุงสิงกัน พวกเขาเป็นเพื่อนสนิท แต่วินาทีที่สวมใส่ชุดทหาร เดฟ ก็จะเป็นคนที่รับคำสั่ง โร้ก ผมคิดว่าวัฒนธรรมนี้มีความน่าสนใจ"

    ทีมงานสามารถรวบรวมสมาชิกหน่วย SEAL ที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลาย และความแตกต่างระหว่างนาวิกโยธินแต่ละคนที่ทำให้หน่วย SEAL เป็นทีมที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก เมื่อแต่ละคนต่างก็มีความสามารถพิเศษที่ช่วยส่งเสริมให้กับคนอื่นๆ

    แม็คคอย เล่าว่า "แต่ละคนต่างก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน พวกเขามีตั้งแต่คนที่สูง 5 ฟุต 8 หนัก 155 ปอนด์ จนไปถึง 6 ฟุต 6 หนัก 245 ปอนด์ โดยคนตัวเล็กก็จะสามารถลอดผ่านกระจกได้ ในขณะที่คนตัวใหญ่ก็จะสามารถทำลายประตูเข้าไปได้ ไม่มีสมาชิกทีมคนไหนที่เหมือนกันภายในหน่วย SEAL"
    วอห์น ยกตัวอย่างถึงความพิเศษของสมาชิกหน่วย SEAL แต่ละคน โดยพูดถึง นายทหาร เอเจย์ ที่เกณฑ์ทหารในปี 2001 ว่า "ถึงแม้ว่าเขาจะเกิดในทรินิแดด แต่ เอเจย์ ก็รักอเมริกามากกว่าใครหลายคนที่ผมรู้จัก เขาเป็นนักมวยไทย และก็เป็นคนตลกและมีสเหน่หNที่สุดที่คุณรู้จัก แต่คุณก็จะไม่อยากจะไปงัดข้อกับเขาแน่"


    นอกจากนั้นก็ยังมี ไวมี่ย์ นักแม่นปินประจำทีม วอห์น ที่เฝ้าสังเกตุเขาอยู่เล่าว่า "ความอดทนของ ไวมี่ย์ เป็นที่หนึ่งในโลก เขาสามารถอยู่บนดาดฟ้าได้ทั้งวัน เพื่อรอช่วงเวลาสองวินาทีที่ให้เขามีโอกาสในการยิง เขาเป็นคนมองโลกในแง่มุมของปฏิบัติการณ์ทั้งหมด เหมือนกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นสมาชิกหน่วย SEAL"

    สมาชิกที่รับผิดชอบในการสื่อสารก็คือ เรย์ โดย แม็คคอย พูดถึงบุคลิกของนาวิกโยธินคนนี้ว่า "ถึงแม้ว่าจะทำหน้าที่สื่อสาร แต่เขาเป็นคนพูดน้อย เรย์ มีความสามารถรอบด้าน และสามารถต่อสู้ได้ไม่ต่างจากสมาชิกทีมคนอื่น และเขาก็ยังเป็นคนที่ถ่อมตัวที่สุดอีกด้วย"

    สมาชิกที่เป็นพลกำลังของหน่วยก็คือ ซอนนี่ โดย วอห์น พูดถึงเขาว่า "เขาเป็นผู้ชายที่เจ๋งและอันตรายที่สุดเท่าที่ผมเคยพบ เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่ที่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ซอนนี่ เป็นคนติดดินและพร้อมที่จะมีช่วงเวลาที่ดีตลอดเวลา ช่วงเวลาปกติเขาจะดูผ่อนคลาย ยิ้ม และหัวเราะตลอดเวลา แต่เมื่อถึงเวลารบเขาก็จะเป็นคนที่คุณไว้ใจได้มากที่สุด"


    สมาชิกคนสุดท้ายก็คือ ไมกี้ ที่ แม็คคอย ไม่เคยนึกเลยว่าจะเป็นสมาชิกหน่วย SEAL "เขาเป็นนักขี่จักรยานภูเขาระดับโลก เขาเป็นนักโต้คลื่น และเป็นกะลาสี เขาเป็นผู้ชายที่อยู่นอกร่มตลอดเวลา เขายังสะสมของเล่นจากทั่วโลกในโรงรถ และเป็นสมาชิกหน่วย SEAL มานานกว่า 21 ปีแล้ว"

    สมาชิกหน่วย SEAL ทุกคนที่นำแสดง ไม่ต้องการที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นนักแสดง พวกเขาเผยว่าสิ่งที่ทำในหนังส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งที่พวกเขาทำในชีวิตประจำวัน เอเจย์ เล่าว่า "ส่วนที่ยากที่สุดก็คือการจำบทพูด การวิ่ง ยิง เคลื่อนพล สื่อสาร ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เราทำกันจนชิน แต่การนั่งคุยกับคนอื่นและทำให้ป็นธรรมชาติ นั้นแหละคือความท้าทายสำหรับผม"

    การได้เห็นตัวเองในหนัง โร้ก ต้องใช้เวลาสักพักก่อนที่จะรู้สึกชิน "เมื่อคุณได้ยินเสียงตัวเองในเครื่องตอบรับ คุณก็จะไม่ชอบน้ำเสียงของตัวเอง ผมคิดว่าทุกคนก็คงรู้สึกแบบนั้น และยิ่งคุณได้เห็นตัวเองบนจอขนาด 50 ฟุต ทุกอย่างก็จะต้องออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ท้ายที่สุดแล้ว ผมคิดว่าพวกเราได้ทำเต็มความสามารถ และก็ตื่นเต้นกับทุกอย่างที่ออกมา"

    ตัวละครที่ไม่ได้รับบทเป็นสมาชิกหน่วย SEAL ก็ได้นักแสดงฮอลลิวู้ดเข้ามารับบท ซึ่งก็รวมถึง โรซาลีน ซานเชส ที่มีผลงานในหนังบล็อคบัสเตอร์อย่าง Rush Hour 2, The Game Plan รวมถึงซีรี่ย์ชื่อดัง Without a Trace โดย วอห์น ได้พูดถึงการตัดสินใจนี้ว่า "พวกเราพยายามหานักแสดงที่เหมาะสมกับบทมากที่สุด โดยเขาหรือเธอจะต้องสามารถเข้าไปในโลกของนาวิกโยธินให้ได้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นต้องรับบทเป็นตัวเอง"


    เบื้องหลังการถ่ายทำ

    การมีนาวิกโยธิน สังกัดหน่วย SEAL เข้ามาเป็นที่ปรึกษา ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าที่สุดของทีมงาน เพื่อใช้ในการพัฒนาบทภาพยนตร์ของ Act of Valor ผู้อำนวยการสร้าง แม๊กซ์ ไลท์แมน เผยว่า "สมัยก่อนหน่วย SEAL ไม่ได้อยู่ในความสนใจของประชาชนเท่ากับทุกวันนี้ พวกเราพยายามหาว่าอะไรคืออันตรายที่แท้จริง พวกเราได้พบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเม็กซิโกเหนือและเชชเนีย พวกเราพบว่าฐานที่มั่นของผู้ก่อการร้ายมักอยู่นอกอเมริกา นั้นทำให้ใครหลายคนอาจไม่รู้ว่ามีกลุ่มคนที่กำลังทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเรา"

    การได้แหล่งข่าวทางทหารและหน่วยงานในภาครัฐ ทำให้ทีมงานได้แรงบันดาลใจในการสร้างแผนก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในเรื่อง ผู้กำกับ ไมค์ แม็คคอย เล่าว่า "พวกเราตัดสินใจใช้แผนการที่อันตรายต่อความมั่นคงของชาติ พวกเรามองถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สถานที่ปฏิบัติการณ์น่าจะเป็นที่ไหนบ้าง ภารกิจที่พวกเขาต้องทำอะไรกันบ้าง และอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ต้องใช้ในแต่ภารกิจมีอะไรบ้าง เป็นต้น"

    เมื่อได้พวกเขาเข้ามารับบท สมาชิกหน่วย SEAL จึงได้รับอนุญาตอย่างเต็มที่ ในการตัดสินใจว่าอะไรเป็นคือการกระทำที่สมจริงที่สุด วอห์น เล่าว่า "ยกตัวอย่างเช่น วิธีการสื่อสารของพวกเขาในหนัง ก็คือวิธีการสื่อสารที่หน่วย SEAL ใช้กันจริงๆพวกเขามีการสื่อสารด้วยตัวย่อที่รู้กันแค่เฉพาะหน่วย พวกเราพยายามทำให้มันสมจริง เพราะว่าเราต้องการให้คนดูสัมผัสได้ว่า การใช้สัญญาณเหล่านั้นในสถานการณ์จริง มันสำคัญต่อการปฏิบัติานและเอาตัวรอดแค่ไหน"

    มันสำคัญสำหรับหน่วย SEAL ในการสื่อสารโดยไม่ใช่เสียง เมื่อพวกเขากำลังปฏิบัติการณ์ การสื่อสารส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปของสัญญาณมือและการสัมผัส วอห์น อธิบายว่า "ภาษากายและภาษามือของพวกเขา บางทีมีความละเอียดกว่าคำพูดซะอีก มันช่วยเพิ่มความกดดันและสมจริง เพราะผู้ชมจะได้เห็นตอนที่พวกเขาสื่อสารกัน คุณอาจได้ยินเสียงลมพัดใบไม้ หรือเสียงร้องของนกฮูก ซึ่งบางทีดังกว่าการปรากฏตัวของหน่วย SEAL เสียอีก พวกเราพยายามจับเอาช่วงเวลาเหล่านั้นมาใช้ในหนัง"


    ฉากแอ็คชั่นต่างๆที่เกิดขึ้นใน Act of Valor ถูกออกแบบโดยสมาชิกหน่วย SEAL แม็คคอย เล่าว่า "ปฏิบัติการณ์ทุกครั้งที่เกิดขึ้นมาจากประสบการณ์ของพวกเขา ไม่มีทางที่นักเขียนฮอลลิวู้ดจะเขียนปฏิบัติการณ์เหล่านี้ขึ้นมาจากอากาศได้ ทุกขั้นตอนรวมถึงเหตุการณ์ต่างๆเคยเกิดขึ้นกับพวกเขามาแล้วทั้งสิ้น"


    เพื่อที่จะจับภาพฉากแอ็คชั่นที่สมจริงและละเอียดที่สุด ผู้กำกับทั้งสองก็ใช้กล้องถึง 12 ตัวในการถ่ายทำในแต่ละฉาก โดยแบ่งออกเป็นสองกอง แต่ล่ะกองก็ทำงานอย่างเป็นอิสระภายในทีมของตัวเอง โดยพวกเขาถ่ายทำฉากเดียวกันตามมุมมองของตัวเอง เจคอบ โรเซนเบิร์ก ผู้ควบคุมการทำโพสโปรดักชั่น อธิบายถึงการถ่ายทำที่พิเศษแบบนี้ว่า "สก็อตต์ อาจมีทีมของเขาที่ถ่ายทำด้านในอาคาร ในขณะที่ ไมค์ อาจมีทีมของเขาอยู่ด้านนอก เขาทำแม้กระทั่งกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซด์ โดยมีตากกล้องซ้อนท้าย ซึ่งก็ทำให้เราจับภาพปฏิบัติการณ์ของหน่วย SEAL ได้อย่างสร้างสรรค์ที่สุด"

    ในฐานะผู้กำกับร่วม ทั้งคู่เคยทำงานร่วมกันมาในสารคดีสงคราม และก็สามารถพึ่งกันและกันได้อย่างเต็มที่ที่สุด วอห์น เล่าว่า "ส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ การทำงานร่วมกับคนที่คุณรู้จักมาทั้งชีวิต ผมรู้ว่าเขาต้องการอะไร ไมค์ และผมรู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ตรงไหนในการถ่ายทำ พวกเราต้องการให้หนังเรื่องนี้เป็นความบันเทิงขั้นสูงสุด ผมไม่ต้องการใช้ลูกเล่นตัดต่อหรือสเปเชี่ยลเอฟเฟ็ค การต่อสู้ที่เกิดขึ้นล้วนเกิดขึ้นจริงในกองถ่ายทั้งสิ้น"


    แรงใจของสองผู้กำกับ ทำให้นาวิกโยธินก็มอบยุทโธปกรณ์ทุกชนิดตามที่ต้องการ ซึ่ง กัปตัน สมิธ ก็เผยว่านี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่นาวิกโยธินทำอะไรแบบนี้ให้ภาพยนตร์ โรเซนเบิร์ก เล่าว่า "ในหนังสงครามทั่วไป คุณอาจมีเพียงแค่ที่ปรึกษาจากกองทัพ แต่สิ่งที่เราต้องการทำก็คือให้ทุกคนเข้าใจถึงภารกิจของหน่วย SEAL พวกเขาต้องพบกับความท้าทายทั้งในน้ำ บนบก และกลางอากาศ พวกเขามีอุปกรณ์มากมาย ซึ่งนาวิกโยธินก็เข้าใจและอนุญาตให้เราใช้ทุกสิ่งทุกอย่างในแบบที่ไม่มีหนังเรื่องนี้เคยได้รับมาก่อน"

    Act of Valor ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ที่นาวิกโยธินอนุญาตให้ใช้เรือดำน้ำ SSGN ในการถ่ายทำ ซึ่งถือเป็นยุทโธปกรณ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดของนาวิกโยธิน โดย SSGN เป็นเรือดำน้ำหนึ่งในสี่ลำในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ วอห์น เล่าว่า "การถ่ายทำบนเรือดำน้ำมีความซับซ้อน พวกเขาได้รับตำแหน่ง GPS ที่อยู่ใจกลางมหาสมุทร โดยเราต้องพาทีมงานนั่งคอปเตอร์และเรือเพื่อเข้าไปถ่ายทำ ในขณะที่เรือดำน้ำผุดขึ้นมาหาเรา มันเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุด"


    เรือดำน้ำ SSGN ใช้เวลาส่วนใหญ่ในน้ำ แม็คคอย เล่าต่อว่า "สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาต้องการก็คือ การโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำนานเกินไป เพราะมันอาจทำให้ผู้ไม่หวังดีรู้ตำแหน่ง นาวิกโยธินบอกว่าเรามีเวลาแค่ 45 นาทีในการถ่ายทำ ดังนั้นพวกเราจึงต้องทำเหมือนภารกิจกลางมหาสมุทร โดยผมซ่อนตัวและถือกล้องอยู่บนเรือ ในขณะที่ สก็อตต์ อยู่บนเฮลิคอปเตอร์เก็บภาพมุมสูง และเมื่อเรือดำน้ำโผล่ขึ้นมา เราก็พยายามเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ภายในครั้งเดียว"

    ผู้กำกับภาพหลักของ Act of Valor ก็คือ เชน เฮิร์ลบัท ที่เพิ่งมีผลงานในหนังบล็อคบัสเตอร์เรื่อง Terminator Salvation ก็เห็นด้วยกับสองผู้กำกับ หลังจากได้รับการแนะนำให้ใช้กล้อง แคนนอน 5D กล้องดิจิตัลไฮเดฟขนาดพกพา ที่เพิ่งออกมาใหม่ วอห์น เล่าว่า "ผมนับถือ เชน มาก เขาเป็นคนหนังที่พยายามผลักดันตัวเอง ด้วยการทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ๆตลอดเวลา พวกเรากลายเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว ผมและ ไมค์ ก็เป็นตากล้องเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงมีคนที่เข้าใจว่าภาพในหนังจะออกมาเป็นยังไงถึงสามคน"

    เฮิร์ลบัท พูดถึงการใช้กล้องไฮเดฟขนาดเล็กในการถ่ายทำว่า "มันช่วยให้พวกเราสามารถวางกล้องไว้ในตำแหน่งที่ต้องการได้ ในขณะที่เรามีกล้อง 35 มม.เป็นกล้องหลัก เราก็ใช้กล้อง 5D ในการถ่ายทำมุมมองใหม่ๆ เช่นการตั้งไว้ในรถแล้วให้มันพุ่งเข้าชนบ้าน การติดตั้งเอาไว้บนต้นไม้ หรือว่าจะเป็นการถ่ายใต้น้ำ"

    เฮิร์ลบัท เล่าต่อว่า "ท้ายที่สุดแล้ว การสร้างสรรค์มุมมองใหม่ๆ ก็สำคัญไม่เท่ากับการทำให้ผู้ชมนั่งจิกพนักแขนแล้วร้องว่า "โว้ว" เมื่อทีมงานของเรากระโดดออกจากเครื่องบินพร้อมหน่วย SEAL บนความสูง 18,000 ฟุต คุณจะรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกระโดดออกมาด้วยกันเลย"


    อุปกรณ์พิเศษที่ เฮิร์ลบัท สร้างขึ้นมาก็คือกล้องติดหมวก ที่จะทำให้คนดูเหมือนเป็นหน่วย SEAL ขณะที่กำลังปฏิบัติภารกิจ เขาเล่าว่า "มันช่วยให้เราเข้าใจสภาวะของสมชิกหน่วย SEAL โดยการมองผ่านสายตาของเขา กล้องติดหมวกเคยมีการใช้มาแล้ว แต่ด้วยกล้องที่มีน้ำหนักเพียง 25 ปอนด์ ที่ให้ความคมชัดมากกว่ากล้องขนาดใหญ่ มันจึงมีประโยชน์กับเราสูงสุด กล้อง 5D เล็กพอที่จะเสริมสร้างประสบการณ์ที่น่าดึงดูดมากที่สุด"

    อีกสิ่งหนึ่งที่ แม็คคอย และ วอห์น ต้องการก็คือ ทำให้มันเป็นประสมการณ์ที่สมจริงที่สุด โดยเฉพาะการใช้กระสุนจริง วอห์น เล่าว่า "นี่เป็นครั้งแรกที่นาวิกโยธินอนุญาตให้ทีมงานใช้กระสุนจริงกับยุทโธปกรณ์ของพวกเขา การใช้กระสุนจริงในหนังเลิกไปตั้งแต่ปี 1920 หลังจากที่พวกเราได้ดูสารคดีและหนังจากยุคนั้น เราก็คิดว่าต้องใช้กระสุนจริงถ่ายทำให้ได้"

    แต่การใช้กระสุนจริงของหน่วย SEAL ถือเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน โดย เดนเวอร์ หนึ่งในสมาชิกของทีมเผยว่า "สำหรับพวกเราแล้วมันเป็นเรื่องง่าย มันเหมือนการซ้อมในปฏิบัติการณ์ของพวกเรา ที่ทำให้เหมือนกับสถานการณ์จริงทุกอย่าง ผมจำได้ว่ามันมีฉากที่เรือท้องแบนเข้ามาช่วยยิงใส่ศัตรู ที่กำลังไล่ตามพวกเรามาติดๆ ผมมีความเชื่อมั่นในพี่น้องที่อยู่บนเรือ ที่จะยิงในแนวทางที่พวกเราทุกคนจะปลอดภัย และพวกเขาเองก็เชื่อมั่นว่าพวกเราจะหลบทัน เพื่อให้พวกเขาทำหน้าที่ของตัวเอง มันเป็นการร่วมมือกันที่น่าทึ่งที่สุด"

    ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์ในการเป็นสตันท์แมน แต่ วอห์น และ แม็คคอย ก็ค้นพบว่าการใช้กระสุนจริงเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนกับอะไรที่พวกเขาเคยทำมาก่อน แม็คคอย เล่าว่า "มันช่วยเพิ่มความสมจริงและระดับของความเชื่อใจกันของทีมงานทุกคน พวกเรามีปืนที่ยิงได้ 3,000 นัดต่อนาที มันเพิ่มพลังงานและเปลี่ยนบรรยากาศภายในกองถ่าย ทุกคนต่างมีความตั้งใจ เพราะถ้าคุณพลาดมันก็อาจหมายถึงความตาย"


    ผู้กำกับภาพอย่าง เฮิร์ลบัท ก็พบว่าการใช้กระสุนจริงในฉากแอ็คขั่น เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากการใช้กระสุนเปล่าอย่างสิ้นเชิง "คุณจะได้เห็นเลยว่ากระสุนกำลังบินเข้าสู่เป้าหมาย มันมีความสมจริงมากกว่าหนังสงครามเรื่องไหนๆ และมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่เราได้เห็นการยิงที่แม่นยำที่สุดจากหน่วย SEAL"

    การมองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลา 4 ปีในการพัฒนาจนกลายเป็นหนัง ผู้กำกับทั้งสองต่างรู้สึกดีใจและขอบคุณกับประสบการณ์ที่ได้รับ แม็คคอย เล่าว่า "พวกเราถูกเชื้อเชิญเข้าไปในสังคมที่มีเอกลักษณ์ พวกเราได้รับอนุญาตให้ผสานตัวเองเข้าไปในโลกของพวกเขา พวกเราค้นพบความหมายของการเป็นพี่น้องต่างสายเลือด และการเสียสละอันน่าทึ่ง"

    สำหรับ วอห์น แล้วการทำหนังเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของเขา "มันทำให้คุณรู้สึกซาบซึ้งในชีวิตของผู้หญิงและผู้ชาย ที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อรักษาชีวิตของพวกเราทุกคน หนังเรื่องนี้จะไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีการเลือกข้าง สิ่งที่มันทำก็คือการสนับสนุนและเทิดทูนทหารทุกคนที่ช่วยป้องกันประเทศชาติ"


    Act of Valor ยังทำให้คนในเครื่องแบบรู้สึกประทับใจ เอเจย์ เผยว่า "เมื่อได้ดูหนังเป็นครั้งแรก ผมก็รู้สึกขนลุก มันสร้างความประทับใจและสะเทือนใจ นี่คือเรื่องราวที่ควรค่าแกการเล่า มันพูดถึงความหมายที่แท้จริงของการเป็นวีรบุรุษ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเรา ถูกเรียงร้อยกลายเป็นหนังเรื่องนี้ พวกเราหวังว่า Act of Valor จะทำให้ทุกคนเข้าใจชีวิตของพวกเรามากขึ้น"

    โร้ก สรุปว่า "พวกเราใช้เวลานับสิบปีในการรับมือกับผู้ก่อการร้าย และมันก็ยังคงดำเนินต่อไป สมาชิกหน่วย SEAL ที่คุณเห็นในหนัง ปัจจุบันหลายคนก็กำลังปฏิบัติงานอยู่สักแห่งบนโลก เกียรติ ความจงรักภักดี ทีมเวิร์ค ความตั้งใจ และความรักที่เรามีให้แก่กันและกัน นั่นคือจุดประสงค์ของการสร้าง Act of Valor มันไม่ได้เกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยปืนเพียงอย่างเดียว ผมคิดว่าถ้าทุกคนได้รับความรู้สึกเหล่านั้นหลังจากดูหนัง มันก็น่าจะเป็นอะไรที่พิเศษที่สุด"


  2. รายชื่อสมาชิกจำนวน 8 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    คิดถึงวันวาน
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กรุงเทพฯ
    กระทู้
    769
    กล่าวขอบคุณ
    870
    ได้รับคำขอบคุณ: 500
    สอบเสร็จพอดีเดี่ยวจะไปดู

  4. #3
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    187
    กล่าวขอบคุณ
    50
    ได้รับคำขอบคุณ: 30
    มีหนังแนวนี้มาดูย้างก็ดี ดูหนังรักจนเบื่อแล้วช่วงนี้

  5. #4
    ֍ ۞ ֍ ۞ ֍ ۞
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    Maehongson
    กระทู้
    421
    กล่าวขอบคุณ
    1,285
    ได้รับคำขอบคุณ: 390
    คนไหนเล่น BF3 อย่าลืมไปเอา Dog Tag จากหนังเรื่องนี้นะ แจกตั้งห้าอัน ^^


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top