ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ Sticker Line ออกใหม่ โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin Joker Game Official Fanpage
ให้เช่า Colocation
สติ๊กเกอร์ไลน์
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin
เฟสบุ๊คเพจ

หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 2 หน้า 12 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย
กำลังแสดงผล 1 ถึง 25 จากทั้งหมด 49
  1. #1
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1

    Heavy Rain The Novel วันฝนกระหน่ำ

    Heavy Rain The Novel วันฝนกระหน่ำ


    "คุณจะไปไกลแค่ไหนเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?"

    เมื่อคน 4 คนต้องมาพัวพันกับคดีนักฆ่าโอริกามิ (Origami Killer) ผู้ใช้น้ำฝนในการถ่วงเด็กให้จมน้ำตาย จะเกิดอะไรขึ้น?

    ชอน มาร์ส เด็กอายุ 10 ขวบถูกลักพาตัวโดยนักฆ่าโอริกามิ (Origamil Killer) อีธานผู้เป็นพ่อและคนอื่นๆจะสามารถช่วยเด็กคนนี้จากเงื้อมมือนักฆ่าได้หรือไม่?

    แปลเป็นนิยายจากเกม Playstation 3 Heavy Rain บริษัท Quantic Dream

    เรื่องนี้มี 4 ตัวละครหลักและอีกหลายตัวละครรอง แต่ละคนนั้นไม่รู้จักกันตอนเรื่องเริ่ม แต่พวกเขาก็เริ่มรู้จักกันเพราะทุกคนสนใจในนักฆ่าคนเดียวกัน

    แบบทดสอบสุดโหด 5 อย่างที่นักฆ่าโอริกามิทำมาให้อีธานเพื่อที่จะให้เขาสามารถเจอลูกของเขาได้ เขาจะมีใจทำมันหรือไม่?

    นักสืบลับอย่างสก๊อตผู้ที่ต้องการหาตัวตนของนักฆ่าโอริกามิ เขาและลอเรนจะสามารถหาตัวตนที่แท้จริงได้หรือไม่?

    FBI อย่างนอร์แมนซึ่งมีปัญหากับการเสพยาเสพติดอยู่บ่อยครั้ง มันจะขัดขวางไม่ให้เขาสามารถช่วยชอนได้หรือไม่?

    นักข่าวอย่างเมดิสันผู้เป็นโรคนอนไม่หลับที่ต้องการทำข่าวเกี่ยวกับคดีนี้ เธอจะสนใจข่าวหรือชีวิตของชอนมากกว่ากัน?


    Main Character List ตัวละครหลัก
    อีธาน มาร์ส ผู้เป็นพ่อ

    เพศชาย
    อายุ 38 ปี
    เกิดวันที่ 5 กันยายน 1973
    ผมสีน้ำตาล
    ตาสีฟ้า
    อาชีพ สถาปนิก
    อีธานเป็นคนร่าเริงและเป็นคนร่ำรวย เขามีภรรยา 1 คนและลูก 2 คน แต่ชีวิตของเขาก็ค่อยๆตกต่ำลงเมื่อลูกของเขาเสียชีวิตไป 1 คน เขาเป็นโรค Agoraphobia หรืออาการกลัวเมื่ออยู่ในสถานที่คนพลุกพล่าน


    สก๊อต เชลบี ผู้เป็นนักสืบคดีลับ

    เพศชาย
    อายุ 44 ปี
    เกิดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1967
    ผมสีเทา
    ตาสีน้ำตาล
    อาชีพ นักสืบคดีลับ อดีตร้อยโทตำรวจ
    สก๊อตเป็นคนที่สงบ ฉลาด กล้าหาญ และต่อสู้ได้เก่ง หน้าที่ของเขาคือการสืบหานักฆ่าโอริกามิโดยการสอบสวนพ่อแม่ของเหยื่อที่ถูกฆ่าทั้งหลาย เขาเป็นโรคหอบหืด (Asthma)


    นอร์แมน เจย์เดน ผู้เป็นสมาชิกของ FBI

    เพศชาย
    อายุ 34 ปี
    เกิดวันที่ 14 สิงหาคม 1977
    ผมสีน้ำตาล
    ตาสีเขียว
    อาชีพ นักสืบเอฟบีไอ
    นอร์แมนเป็นคนที่เคร่งต่อกฏมาก ถึงเขาจะมาทำงานร่วมกับตำรวจท้องถิ่นเพื่อที่จะจับนักฆ่าโอริกามิ แต่เขาก็พยายามทำวิธีให้สันติที่สุด เขาติดยาเสพติดทริปโตเคนอยู่ (Triptocaine)


    เมดิสัน เพจ ผู้เป็นนักเขียนข่าวอิสระ

    เพศหญิง
    อายุ 27 ปี
    เกิดวันที่ 3 พฤษภาคม 1984
    ผมสีน้ำตาล
    ตาสีน้ำตาล
    อาชีพ นักเขียนข่าวอิสระ
    เมดิสันอาศัยอยู่คนเดียวในอพาร์ตเม้นท์ เธอมีนิสัยชอบช่วยเหลือคนอื่น เธอมาเจอกับอีธานและตัดสินใจช่วยสืบหาคดีนักฆ่าโอริกามิ เธอเป็นโรคนอนไม่หลับมาตั้งแต่เด็ก (Insomnia)


    Supporting Character List ตัวละครรอง
    คาร์เทอร์ เบลค

    เพศชาย
    อายุ 48 ปี
    เกิดวันที่ 28 เมษายน 1963
    ผมสีน้ำตาล
    ตาสีน้ำตาล
    อาชีพ ร้อยโทตำรวจ
    คาร์เทอร์ เบลค เป็นคนหัวรุนแรง ทำทุกวิธีทางเพื่อที่จะได้ตัวนักฆ่าโอริกามิมา จึงมีปัญหากับนอร์แมนบ่อยครั้ง


    ลอเรน วินเทอร์

    เพศหญิง
    อายุ 35 ปี
    เกิดวันที่ 16 มีนาคม 1976
    ผมสีดำ
    ตาสีน้ำตาล
    อาชีพ ขายตัว
    ลอเรนเป็นหนึ่งในแม่ของเหยื่อที่โดนนักฆ่าโอริกามิฆ่าไป เธอมีความแค้นฝังใจกับนักฆ่าโอริกามิว่าเธอจะต้องฆ่าเขาให้ได้ เธอเลือกที่จะร่วมมือกับสก๊อตเพื่อที่จะสืบหาตัวจริงของนักฆ่าโอริกามิ



    Chapter List

    Chapter 01: Prologue ชีวิตสุขสันต์
    Chapter 02: The Mall ชีวิตแปรเปลี่ยน
    Chapter 03: Father and Son ชีวิตตกอับ
    Chapter 04: Sleazy Place ตามล่านักฆ่า
    Chapter 05: Crime Scene สืบหาโอริกามิ
    Chapter 06: The Shrink ชีวิตอับเฉา
    Chapter 07: The Park ชีวิตรันทด
    Chapter 08: Where is Shaun? ชีวิตบรรลัย
    Chapter 09: Welcome, Norman สวัสดีนอร์แมน
    Chapter 10: Meeting Point จุดนัดพบ
    Chapter 11: The Shop ร้านของฮัสซัน
    Chapter 12: Paparazzi นักข่าวหรรษา
    Chapter 13: Lexington Station สถานีเลคซิงตัน
    Chapter 14: The Motel หนึ่งชีวิตกับหนึ่งกล่องรองเท้าเก่า
    Chapter 15: Kick Off Meeting ประชุมล่านักฆ่า
    Chapter 16: Nathaniel พวกเจ้าคือซาตาน!
    Chapter 17: Suicide Baby เป็นเด็กดีนะเอมิลี่
    Chapter 18: The Bear โอริกามิหมายเลขหนึ่ง - หมี
    Chapter 19: First Encounter หลังภารกิจ
    Chapter 20: A Visitor เราคือคู่หูกันใช่ไหม?
    Chapter 21: The Party นักสืบจำเป็น
    Chapter 22: The Butterfly โอริกามิหมายเลขสอง - ผีเสื้อ
    Chapter 23: The Nurse ชีวิตหม่นหมอง
    Chapter 24: Shrink and Punches ตามล่าแพะ
    Chapter 25: The Golf Club นักฆ่าคือใครกัน
    Chapter 26: The Lizard โอริกามิหมายเลขสาม - กิ้งก่า
    Chapter 27: Fugitive ผู้หลบหนี
    Chapter 28: Under Arrest ผู้ต้องหา
    Chapter 29: Origami Blues สภาวะตกต่ำ
    Chapter 30: Manfred อยู่ใกล้แค่เอื้อม
    Chapter 31: The Shark โอริกามิหมายเลขสี่ - ฉลาม
    Chapter 32: The Doc จงใจกระทืบลุง
    Chapter 33: Mad Jack ชายคลั่งปราบดิน
    Chapter 34: Eureka สวรรค์แห่งความหวัง
    Chapter 35: Flower on the Grave ดอกไม้บนหลุมศพ
    Chapter 36: Sexy Girl ใครหรือจะยั่วใจปาโก้
    Chapter 37: Kill the Origami! ประจัญบานกับโอริกามิ!
    Chapter 38: SWAT vs. Ethan! หน่วยสวาทหรือจะสู้อีธาน!
    Chapter 39: Annihilation! สังหารล้างตระกูล!
    Chapter 40: Alzheimer! สูญสิ้นความจำ!
    Chapter 41: The Rat โอริกามิหมายเลขห้า - หนู
    Chapter 42: Hold My Hand! จับมือฉันไว้!
    Chapter 43: Fire Storm! เปลวไฟมรณะ!
    Chapter 44: Dead End หมดหนทาง
    Chapter 45: Tears in the Rain น้ำตาในสายฝน

    Trivia โอริกามิทั้ง 5 ชิ้น



    จาก Chapter 18 - ทำไมถึงต้อง "หมี"

    จาก Chapter 22 - ทำไมถึงต้อง "ผีเสื้อ"

    จาก Chapter 26 - ทำไมถึงต้อง "กิ้งก่า"

    จาก Chapter 31 - ทำไมถึงต้อง "ฉลาม"

    จาก Chapter 41 - ทำไมถึงต้อง "หนู"

    Max The Dog


    เรื่องนี้มาได้เกินครึ่งทางแล้วครับ หลังจากตอนที่ 26 เป็นต้นไปจะเริ่มเข้าสู่ช่วง CLIMAX แล้วนะครับ

    เรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะครับ ตั้งแต่ตอนที่ 37 เป็นต้นไปจะเป็นช่วง CLIMAX ไปจนจบเรื่องครับ

    จบแล้วนะครับสำหรับเรื่องนี้ ใช้เวลาแต่ง 2 เดือน จบใน 45 ตอนครับ

    http://my.dek-d.com/yuukuriuddo39/wr...php?id=1271192
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 15th February 2015 เมื่อ 16:05

  2. รายชื่อสมาชิกจำนวน 13 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 01: Prologue ชีวิตสุขสันต์

    Chapter 01: Prologue ชีวิตสุขสันต์

    ณ ท่ามกลางฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของชายคนหนึ่ง เขามีทรัพย์สินมากมายพร้อมด้วยบ้านหลังใหญ่โต ภรรยาและลูกสองคนของเขาก็ได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขาอย่างมีความสุข
    เข็มนาฬิกาข้างฝาผนังบอกเวลา 11 โมง 22 นาทีแล้ว และนั่นก็เป็นเวลาที่แสงอาทิตย์ยามสายได้ปลุก อีธาน มาร์ส ให้ตื่นขึ้น เขาลุกออกจากเตียงอย่างช้าๆ คงเป็นเพราะว่าเขาได้โบนัสวันหยุดจากที่ทำงานเยอะจึงไม่ต้องรีบร้อนนัก เผอิญว่าเขาเหลือบไปเห็นโน้ตกระดาษที่แนบไว้ข้างหมอนจึงหยิบออกมาดู

    อีธาน เราพาลูกๆไปซื้อเค้กนะ ระหว่างนั้นก็ช่วยจัดข้าวของให้ด้วยล่ะ

    ไม่ผิดแน่ โน้ตนี้เขียนโดยภรรยาของเขา เกรซ มาร์ส และวันนี้ก็เป็นวันเกิดของเจสัน ลูกคนแรกของเขา เจสันจะอายุ 10 ขวบวันนี้ หลังจากที่เขาอาบน้ำแต่งตัวแล้ว เขาก็เดินไปป้อนอาหารให้เมอลิน นกแก้วขนสีขาวสลับฟ้า สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของชอน ลูกคนสุดท้องของเขา จากนั้นเขาก็เดินลงไปชั้นล่างเพื่อไปทำความสะอาดบ้าน แต่ถึงอย่างไรบ้านหลังนี้ก็สะอาดมากอยู่แล้ว เพราะพื้นไม้อย่างดีผสมกับหน้าต่างแก้วบานใหญ่ที่เรียงรายล้อมรอบบ้านแห่งนี้ แน่นอนว่าเขาเองเป็นคนออกแบบมาอย่างดีทั้งหมด

    ใกล้เที่ยงวันแล้ว รถเก๋งสีดำราคาแพงก็ขับเคลื่อนเข้ามาจอดในใต้ระเบียงหน้าบ้าน เกรซ เจสัน และ ชอน ก็กลับมาจากการช้อปปิ้ง วันนี้เจสันดูท่าท่างจะมีความสุขเป็นพิเศษเพราะทุกคนช่วยกันจัดงานวันเกิดให้เขา อากาศวันนี้เหมาะมากที่จะฉลองงานวันเกิด สายลมอ่อนๆที่พัดโปรยปรายมาเบาๆทำให้เจสันกับอีธานออกไปวิ่งเล่นกันที่สวนสนามหญ้าข้างบ้าน ถึงแม้วันนี้จะไม่มีเมฆ และแสงอาทิตย์ก็สาดส่องลงมาอยู่ตลอด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกของทั้งสองคนนั้นลดลงเลย

    เมื่อทุกอย่างเสร็จ เกรซก็ชวนทุกคนมาเป่าเค้กวันเกิด แต่เธอเห็นว่าชอนหายไป เธอจึงเรียกให้อีธานไปตามชอนลงมา แต่เมื่ออีธานขึ้นไปก็พบชอนนอนกอดเมอลินอยู่อย่างเศร้าสร้อย

    “เกิดอะไรขึ้นหรอ”

    “พ่อ! เมอลินตายแล้ว... เป็นความผิดของผมเอง...”

    ชอนเริ่มร้องไห้ แต่อีธานก็เข้าไปปลอบหลัง พลางคิดในใจว่าไม่กี่ชั่วโมงมานี้มันยังดูมีสุขภาพดีอยู่เลย

    “ไม่ใช่หรอก... ความผิดของเธอหรอกชอน...”

    “ผมจะยอมทำทุกอย่างเลยถ้าเมอลินกลับมา…”

    “รู้ไหมชอน...” อีธานตบหลังชอนเบาๆ “บางอย่างน่ะ มันก็ต้องเกิดแม้ว่าเราไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นก็ตาม”

    “แต่มันไม่ยุติธรรมเลยพ่อ! ไม่ยุติธรรมเลย...”

    “พ่อรู้... พ่อรู้เสมอ”
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 16th December 2014 เมื่อ 17:05

  4. #3
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 02: The Mall ชีวิตแปรเปลี่ยน

    Chapter 02: The Mall ชีวิตแปรเปลี่ยน

    หนึ่งอาทิตย์หลังจากวันเกิดของเจสัน แสงอาทิตย์ท่ามกลางฤดูร้อนยังคงเปล่งแสงร้อนแรงอยู่ไม่ขาด อีธานกับเกรซเดินจูงมือกันเข้าห้างโดยมีเจสันกับชอนวิ่งเล่นอยู่รอบๆ ตัวห้างนั้นมีดอกไม้สีแดงบานอยู่ริมขอบถนน และผู้คนจำนวนมากก็ต่างทยอยเข้าห้างแห่งนี้

    ขณะที่ครอบครัวอีธานเดินชมห้างไปเรื่อยๆ เกรซก็เดินมาหยุดตรงหน้าร้านขายรองเท้าเด็กบนชั้นสองของห้าง

    “เออนี่อีธาน เราขอซื้อรองเท้าให้ชอนนะ ฝากดูเจสันให้ด้วย เราสัญญาเลยไม่นานหรอก”

    “เอาเลย ไม่มีปัญหา เราจะไม่ไปไหนกันใช่ไหมเจสัน” ประโยคหลังนี้อีธานพูดกับลูกของเขา จากนั้นอีธานก็ยืนพิงขอบรั้วของห้างพลางฮัมเพลงอยู่ช้าๆ

    หลังจากที่เกรซกับชอนเข้าร้านไปแล้วสักพัก อีธานก็หันมามองข้างๆเขา แต่น่าประหลาดใจยิ่งนักที่เห็นเจสันอันตรธานหายไปแล้ว!

    อีธานตกใจและชะงักอยู่สักพัก จากนั้นเขาจึงเริ่มเดินหาเจสันอย่างเร่งรีบพลางตะโกนชื่อเจสันอยู่เป็นจังหวะๆ

    “พ่อ!” เสียงเจสันเรียกชื่ออีธานทำให้เขาโล่งใจไปสักพักหนึ่ง

    “ให้ตายสิเจสัน ลูกไม่ควรเดินออกมาเองแบบนี้นะ ที่นี่คนก็เยอะด้วย ถ้าลูกหายไปทำไง”

    “พ่อ! ซื้อลูกโป่งให้ผมหน่อย นะ พ่อนะ ผมอยากได้มันมากเลยนะ พ่อนะ”

    หลังจากที่เจสันรบเร้าอีธานให้ซื้อลูกโป่งอยู่สักพัก อีธานจึงยอมซื้อให้

    “โอเคๆ” อีธานพยักหน้า “ไปซื้อลูกโป่งกัน”

    “เยี่ยมเลย!”

    เจสันเดินตรงเข้าไปหาคนที่สวมชุดตัวตลก ใบหน้าของเขานั้นยิ้มอยู่ตลอดเวลา หลังร่างกายของเขาก็มีลูกโป่งจำนวนมากวางเรียงรายอยู่ เขากล่าวทักเจสันอย่างสนิดสนม

    “อ้าว ว่าไงพวก ชื่ออะไรหรอ”

    “เจสัน”

    “อยากได้ลูกโป่งไหนหรอ เจสัน”

    “อ่า... สีแดงๆ” เจสันกระโดดและตะโกนออกมาอย่างสนุกสนาน

    หลังจากนั้นตัวตลกก็คว้าลูกโป่งสีแดงมาแล้วยื่นให้เจสัน แล้วจากนั้นเขาก็หันหน้าไปหาอีธาน

    “ลูกโป่งอันนั้นก็จะเป็น... 60 บาทครับ”

    เมื่ออีธานเห็นเจสันกำลังเดินไปอีกทางหนึ่งเขาก็หันหน้าไปทางเจสันแล้วพูดขึ้นมา

    “เจสัน! รอพ่อด้วย รอพ่อก่อน ที่นี่คนเยอะนะ”

    เมื่อเจสันไม่สนใจ อีธานจึงหันหน้าหนีจากตัวตลกแล้วเดินไปหาเจสัน แต่ก็ถูกตัวตลกขัดซะก่อน

    “เอ่อ... คุณครับ คุณติดหนี้ผม 60 บาทนะครับ”

    อีธานเขารีบล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างเพื่อที่จะหากระเป๋าตังแต่ก็ไม่มีสิ่งใดอยู่ ความกดดันเริ่มพุ่งเข้าถาโถมใส่อีธาน เขามองหน้าตัวตลกสักพัก แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเก็บกระเป๋าตังไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เขารีบคว้ามันมาแล้วควักแบงค์ 100 ส่งให้ตัวตลกไปหนึ่งใบ

    “ไม่ต้องทอน”

    ตอนนี้อีธานไม่ต้องการคำขอบคุณจากตัวตลกนั่น เขารีบผละหน้าหนีจากตัวตลกคนนั้นแล้วเริ่มออกฝีเท้าวิ่งหาเจสัน แต่ก็ถูกขัดจากภรรยาของเขาซะก่อน

    “เฮ้อ... คนต่อแถวซื้อรองเท้าเยอะมากเลย ไม่รู้วันนี้พวกคนมันเป็นอะไรกันหมด สงสัยจะมีลดราคาละมั้ง” เกรซพูดขึ้นมาหลังจากที่เธอและชอนพบอีธานที่กำลังลุกลี้ลุกลนอยู่

    “เจสันอยู่ไหนหรอ” เกรซถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

    “เมื่อกี้เขายังอยู่ตรงนี้อยู่เลย ผมซื้อลูกโป่งให้เขาแล้วเขาก็หายไปไหนไม่รู้”

    “หายไปหรอ หมายความว่าไงหายไปน่ะ!” เกรซยื่นมือมาจับแขนเขา

    “ใจเย็นๆก่อน อยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวผมรีบไปหา”

    ว่าแล้วอีธานก็รีบวิ่งหาเจสันทันที เขารีบลงบันไดเลื่อนแล้วมองหาลูกโป่งสีแดง แต่มันมีอยู่ประมาณ 4 ใบที่เขาเห็นท่ามกลางผู้คนที่คับคั่งเต็มห้าง

    เขารีบเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเมื่อพบเด็กที่ถือลูกโป่งสีแดงอยู่ เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดๆ

    “เจสัน... ลูกเกือบทำพ่อตกใจนะ!”

    น่าตะลึงที่เด็กที่หันมาไม่ใช่เจสัน เด็กคนนั้นทำท่างงๆเล็กน้อยก่อนที่พ่อของเด็กคนนั้นจะมองหน้ามาหาอีธาน

    “ขอโทษครับๆ” อีธานกล่าวอย่างเร่งรีบ

    อีธานหาเจสันไปได้สักพักก็รู้สึกตัวได้ว่าตัวของเขานั้นได้ออกมาอยู่นอกห้างแล้ว ผู้คนเริ่มที่จะจางลงบ้างแล้ว แต่วี่แววของเจสันยังคงไม่ปรากฏตัวให้เห็น

    “******! ******! ******! ******!”

    วินาทีนี้อีธานก็เริ่มพะว้าพะวง เขาพยายามกวาดตาไปรอบๆตึกแล้วก็เห็นเด็กคนหนึ่งถือลูกโป่งสีแดงอยู่อีกฟากถนน

    เด็กคนนั้นคือเจสันนั่นเอง อีธานไม่รอช้ารีบตะโกนชื่อเจสันอย่างไว

    “พ่อ!” เจสันตะโกนมาอย่างดีใจ และไม่รอช้าเจสันก็วิ่งข้ามถนนทันที

    “เจสัน อย่าเพิ่งข้ามมา!”

    เจสันไม่ฟังเสียง เขาวิ่งมาหาพ่อของเขา และทันใดนั้นก็มีรถคนหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง!

    “เจสัน อย่า!” อีธานตะโกนและวิ่งเข้าไปหาเจสันอย่างสุดฝีเท้า เขากระโดดกอดเจสันจนทั้งคู่ล้มลงตรงกลางถนน แล้วก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่รถคนนั้นขับมาพอดี

    ...

    เกรซและชอนออกมาเห็นเหตุการณ์พอดี และท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมากที่มองมา เกรซก็โผเข้าไปกอดเจสันแล้วร้องไห้อย่างหมดหวัง ทิ้งให้ชอนมองดูอีธานกับเจสันนอนสลบอยู่กลางถนนอย่างเงียบๆ

    ลูกโป่งสีแดงค่อยๆหลุดออกจากมือเจสัน และมันก็ค่อยๆลอยขึ้นฟ้าไปเรื่อยๆจนกระทั่งลับสายตาของผู้คนที่ไม่มีใครมองมัน
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 16th December 2014 เมื่อ 17:05

  5. #4
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 03: Father and Son ชีวิตตกอับ

    Chapter 03: Father and Son ชีวิตตกอับ

    หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น เจสันก็เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า ส่วนอีธานก็รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด แต่นั่นก็ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาวะโคม่านานถึงหกเดือน หลังจากนั้นไม่นาน เกรซก็หย่ากับเขาเพราะเธอยังรู้สึกโกรธเคืองเขาอยู่ที่เขาเป็นเหตุทำให้เจสันเสียชีวิต ทรัพย์สินเงินทองและบ้านของทั้งสองคนก็ตกไปอยู่กับเกรซหมด โดยอีธานได้รับส่วนแบ่งเพียงแค่ลูกอีกคนของเขา

    สองปีผ่านไป ฤดูฝนก็เข้ามาวนเวียน เมฆสีดำทะมึนที่ไม่มีเสียงฟ้าร้องในช่วงเวลาพลบค่ำนั้นปล่อยสายฝนลงมาอยู่ไม่ขาด แต่อีธานไม่สนใจฝนเหล่านั้นที่ตกลงมาบนตัวเขา เขายืนมาอยู่หน้าโรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเขตที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านกันสักเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ๆคนร่ำรวยชอบอาศัยอยู่กัน ทรัพย์สินของอีธานตอนนี้ก็ร่อยหรอลงเต็มที สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเขาคนนี้ก็เหลืออยู่แค่ลูกของเขาเท่านั้น

    ชอนเดินตากฝนออกมาจากโรงเรียนอย่างเงียบๆ หน้าตาของเขาไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก อาจจะเป็นเพราะว่าเขายังคงฝังใจอยู่กับเรื่องราวในวันนั้น อีธานเองก็เข้าใจดีแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้

    “สวัสดี ชอน” อีธานกล่าวทักทายเมื่อเห็นชอนเดินมาใกล้ๆ

    “สวัสดี” ชอนตอบอย่างห้วนๆและเดินขึ้นรถไป

    อีธานเข้าไปในรถของเขาและเริ่มสตาร์ทรถอย่างช้าๆ ภายในใจเขายังคงคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ลึกๆ รถนั้นค่อยๆผ่านบ้านคนและสวนต่างๆ เมื่อมองไปนอกหน้าต่างรถก็เห็นเด็กอายุเท่าชอนเล่นกันสนุกสนาน เมื่ออีธานหันหน้าไปมองชอนผ่านกระจกหลังก็เห็นชอนมองเด็กเหล่านั้นอยู่เหมือนกัน น้ำฝนนั้นได้ค่อยๆไหลผ่านกระจกหน้าต่างรถอย่างช้าๆ ชอนหันหน้ามองกระจกอยู่เรื่อยๆจนอีธานขับมาถึงบ้านของเขา

    บ้านของเขาไม่ใช่บ้านหรูหราอีกต่อไปแล้ว เขาต้องเช่าบ้านทาว์นเฮ้าส์สองชั้นราคาถูกข้างคลองที่ส่งกลิ่นเหม็นอยู่จางๆ เฟอร์นิเจอร์ราคาถูกต่างๆที่อยู่ภายในบ้านก็ถูกจัดวางอย่างเรียบง่าย ข้างๆผนังบ้านก็เต็มไปด้วยกล่องเปล่าที่ถูกทิ้งไว้จนฝุ่นจับ ก่อนหน้านั้นอีธานเคยทำงานเป็นสถาปนิก แต่ด้วยอาการโคม่าทำให้เขาต้องออกจากงานอย่างกระทันหัน และนั่นก็ทำให้สถานที่ทำงานอื่นๆปฏิเสธเขาที่จะรับเขาเข้าทำงาน ห้องทำงานสถาปนิกของเขาที่อยู่บนชั้นสองของบ้านก็เต็มไปด้วยฝุ่นและถูกทิ้งไว้เป็นเวลานาน แต่มีเพียงแค่ส่วนหนึ่งของห้องที่อีธานไปนั่งอยู่เป็นประจำ มันคือเทปวีซีดีที่บันทึกภาพวีดีโอตอนที่เขากำลังเล่นสนุกกับเจสัน เมื่ออีธานมีเวลาว่างเขาก็มานั่งดูเทปนี้ แล้วก็ร้องไห้อย่างน่าเวทนาหลังดูจบ

    วันนี้ก็เหมือนทุกๆวัน ฝนยังคงตกปรอยๆ ชอนก็เดินไปนั่งบนโซฟาประจำของเขาถึงแม้มันจะเก่าและสกปรกก็ตามที เขาเปิดทีวีและดูการ์ตูนไปเรื่อยๆคล้ายกับจะหวังว่าอยากให้วันนี้ผ่านไปเร็วๆ แต่ไม่ว่าวันไหน มันก็เหมือนกันทุกวัน...

    อีธานเดินไปหยิบจดหมายที่ถูกดองไว้ในกล่องจดหมายหลายวันมาแล้ว เขาเปิดผ่านดูอย่างช้าๆ จนกระทั่งพบซองจดหมายอันหนึ่ง ภายนอกนั้นไม่มีผู้จ่าหน้าและซองก็ถูกปิดผนึกอย่างไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก อีธานใช้เล็บแคะเทปให้หลุดแล้วนำกระดาษที่พับอยู่ภายในซองออกมาอ่าน

    เมื่อพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นออกมาจากโบสถ์

    เด็กๆเหล่านั้นก็หายไปแล้ว

    พวกเขาออกตามหาเด็กเหล่านั้น

    พวกเขาร้องไห้และขอความหวัง

    แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ


    อีธานรู้สึกตกใจนิดๆที่เขาได้รับจดหมายที่คล้ายกับจดหมายขู่ แต่เขาก็นำจดหมายอันนั้นใส่เข้าซองกระดาษเหมือนเดิม

    นาฬิกาบอกเวลา 6 โมงกว่าแล้ว หลังจากที่ชอนทำการบ้านเสร็จ อีธานก็ทำอาหารให้ชอนทาน อาหารเย็นนั้นเรียบง่าย เพียงแค่นำพิซซ่าที่แช่ไว้ในตู้เย็นมาใส่ในเตาไมโครเวฟก็เป็นอันเสร็จ

    ระหว่างที่ชอนนั่งทานอาหาร อีธานก็นำหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขึ้นมาอ่าน เขาอ่านหัวข้อข่าวอย่างซีเรียส

    นักฆ่าโอริกามิเอาอีกแล้ว! ศพที่เจ็ดของนักฆ่าโอริกามิ! ตำรวจได้ค้นพบศพเด็กอายุประมาณ 10 ขวบวันนี้และเชื่อว่าเด็กคนนั้นถูกลงมือจากนักฆ่าโอริกามิ

    “อีกแล้วหรอ...” อีธานบ่นพึมพำขึ้นมา

    “มีอะไรหรอพ่อ”

    “เปล่าหรอก... แค่ข่าวฆาตกรรมน่ะ”

    หลังจากที่ชอนกินข้าวเย็นเสร็จไม่นาน ชอนและอีธานก็เตรียมตัวที่จะเข้านอน สายฝนยังคงโปรยลงมาอยู่อย่างต่อเนื่อง อีธานเข้าไปในห้องของชอนและปิดม่านหน้าต่างข้างเตียงลง ชอนซึ่งนอนกอดตุ๊กตาหมีสีฟ้าตัวโปรดของเขาก็ถามพ่อขึ้นมา

    “พ่อ”

    “อะไรหรอ”

    “ทำไมพ่อดูเศร้าจัง...”

    “พ่อแค่คิดว่าพ่อต้องการเวลาอีกสักพัก... ที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นเหมือนที่เคยเป็น”

    “พ่อรู้ไหม” เจสันกล่าวต่อ “สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจสันไม่ใช่ความผิดพ่อหรอก”

    เมื่ออีธานได้ยินเขาก็ยิ้มออกมานิดๆ

    “ฝันดีนะ ชอน...”

    “ฝันดี พ่อ...”

    ระหว่างที่อีธานกำลังจะออกจากห้อง เขาก็เหลือบไปเห็นภาพวาดของชอน เขาวาดภาพตอนที่เจสันกับพ่อนอนสลบอยู่กลางถนน เขายังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี อีธานเริ่มรู้สึกผิดนิดๆก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ชอนนอนหลับอยู่ท่ามกลางเสียงฝนที่กระทบหน้าต่างและหลังคา

    หลังจากที่เขาปิดประตูห้องนอนของชอนแล้ว ภายในหัวเขาก็เริ่มรู้สึกมึนๆ เขาเริ่มเสียการทรงตัวจนทำให้เขาต้องไปพิงผนัง เขาเอามือก่ายหน้าผาก สภาพแวดล้อมรอบตัวเขาก็เริ่มถูกมองเห็นเป็นสีดำ และดำขึ้นมากเรื่อยๆจนเขาหมดสติ

    ...

    เมื่ออีธานรู้สึกตัว เขาก็ยืนอยู่ตรงกลางถนนใกล้บ้านเขาแล้ว ฝนก็ยังคงตกลงมาเรื่อยๆ เขาเริ่มงงกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น เขาคิดว่าเขาเองคงเดินละเมอมาถึงที่นี่ แต่เขาพบสิ่งหนึ่งที่อยู่ในมือของเขา มันคือโอริกามิ (กระดาษพับแบบญี่ปุ่น) รูปหมา เขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้มาอยู่ในมือเขาได้อย่างไร แต่ยังไงก็ตาม เขาก็รีบเดินกลับบ้านท่ามกลางความสับสน
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 16th December 2014 เมื่อ 17:05

  6. #5
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 04: Sleazy Place ตามล่านักฆ่า

    Chapter 04: Sleazy Place ตามล่านักฆ่า

    วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2011

    เวลา 0.06 น.

    ปริมาณน้ำฝน 0.272 นิ้ว


    ณ วันอังคาร เที่ยงคืนหกนาที ก็มีชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายฝนจากรถของเขา เขายืนหยุดอยู่หน้าโรงแรมเก่าๆแห่งหนึ่ง ป้ายไฟสีส้มๆสลักชื่อโรงแรมไว้ที่กะพริบๆไปมาบ่งบอกได้ถึงความไม่หรูหราของโรงแรมแห่งนี้ ชายคนนั้นปัดน้ำฝนออกจากเสื้อคลุมเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในนั้น

    “ลอเรน วินเทอร์ พักอยู่ห้องไหน” ชายคนนั้นถามคนในล้อบบี้ที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่

    “ไม่รู้สิ...” คนในนั้นตอบอย่างไม่ค่อยสนใจ

    เขาเห็นดังนั้นจึงควักแบงค์ 100 บาทมาจากกระเป๋าตังของเขา แล้ววางไว้บนโต๊ะ

    “อ๋อ ลอเรน วินเทอร์ นั้นหรอ... อยู่ชั้นสามน่ะ ห้องของเธออยู่สุดทางเดินทางซ้าย”

    ว่าแล้ว ชายคนนั้นก็เดินขึ้นไปบนชั้นสาม ผิววอลล์เปเปอร์สีครีมอ่อนๆก็หลุดร่วงอยู่เป็นระยะๆ ทางเดินนั้นถึงแม้จะทำด้วยไม้ที่สกปรกแต่ก็ยังมีพรมคอยปูอยู่ตลอดทาง เมื่อเขาเดินไปถึงห้องที่ได้กล่าวถึงแล้วเขาก็เคาะประตูไปสามครั้ง

    หลังจากนั้นสักพักก็มีหญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 30 กว่าๆ เปิดประตูแง้มออกมาเล็กน้อย

    “ลอเรน วินเทอร์ หรือเปล่าครับ”

    “โทษที ฉันรับแต่ลูกค้าที่จองไว้ล่วงหน้า” เมื่อพูดจบ ลอเรนก็พยายามจะปิดประตูลง

    “เดี๋ยว!” เขาเอามือขัดประตูไว้

    ลอเรนยืนพิงประตูและเริ่มทำหน้าไม่พอใจ

    “เอามา 2000 บาท ฉันไม่จูบหรือทำอะไรแปลกๆหรอกนะ”

    “เอางั้นก็ได้” เขายักไหล่

    ภายในห้องของลอเรนนั้นกว้างและสะอาด ต่างกับภายนอกลิบลับ

    “เอาเงินวางไว้ที่โต๊ะ คุณมีเวลา 10 นาที ถ้ากริ่งดังเมื่อไหร่ก็คือจบ โอเคไหม” ลอเรนบอกกับชายคนนั้นระหว่างที่เธอเดินไปที่เตียงและเริ่มปลดกระดุมเสื้อของเธอออก

    เขานำเงินวางไว้ที่โต๊ะอย่างว่าง่าย และเดินไปหาลอเรน

    “แล้วทำไมคุณไม่ถอดเสื้อออกละ ฉันไม่มีเวลาว่างทั้งวันนะ...” ลอเรนถามอย่างสับสนเมื่อเห็นเขายืนนิ่ง

    “เอ่อ... ที่จริงแล้วผมไม่ใช่ลูกค้า...”

    “เฮ้อ… ให้ตายสิวะ! เป็นตำรวจสินะ อยากได้อะไรงั้นหรอ หรืออยากจ่ายฟรี? แค่นั้นสินะ” ลอเรนเริ่มโมโห

    “ผมชื่อว่า สก๊อต เชลบี เป็นนักสืบคดีลับครับ ที่จริงแล้วครอบครัวของเหยื่อที่โดนฆ่าจากนักฆ่าโอริกามิได้เรียกร้องผมให้มาสืบสวนคดีนี้” สก๊อตเล่าเกี่ยวกับอาชีพของตนให้ลอเรนฟัง แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก “ผมมาที่นี่เพื่อที่จะถามคำถามบางอย่างเกี่ยวกับจอห์นนี่น่ะครับ”

    “ฉันบอกกับตำรวจไปหมดแล้วและฉันก็ไม่มีอะไรจะเพิ่ม ออกไปซะ!” ลอเรนไล่ตะเพิดเขา

    “ในอนาคตน่ะอาจจะมีเหยื่อรายต่อไปอีกถ้าเราไม่หยุดนักฆ่าคนนั้น คุณต้องช่วยผมนะลอเรน คุณอาจรู้อะไรบางอย่างที่สำคัญต่อการสืบสวนก็ได้”

    ลอเรนมองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนที่จะต่อว่าด้วยความโมโห

    “ช่วยคุณหรอ? ไม่มีอะไรที่คุณทำได้หรอก! ลูกของฉันตายไปแล้วนะ! ได้ยินไหม? เขาตายแล้ว!”

    “ผมเข้าใจ... ผมรู้ดีว่าคุณรู้สึกอย่างไร...” สก๊อตพยายามปลอบ

    “รู้ดีหรอ? คนอย่างคุณมันจะไปรู้อะไร! รู้หรอว่ามันรู้สึกยังไงที่เห็นลูกของตัวเองตายในคลองน้ำเน่าๆน่ะ ฉันขอโทษนะ แต่ฉันไม่เชื่อว่าคุณเข้าใจหรอกว่าคนเป็นแม่น่ะมันรู้สึกยังไง คุณสก๊อต”

    “เออ! ถ้าคุณไม่ช่วย มันก็จะมีแม่คนอื่นๆที่เห็นลูกของตัวเองตายในที่แบบนั้นน่ะ แต่คุณก็ถูก!” เขาเริ่มขึ้นเสียง “คุณจะสนใจมันทำไมล่ะ! มันไม่ใช่ปัญหาของคุณแล้วหนิ…”

    ลอเรนเริ่มรู้สึกผิด เธอนั่งลงบนเตียงและหยิบรูปจอห์นนี่ขึ้นมาดู

    “คุณ... อยากจะรู้อะไรหรอ” ลอเรนเริ่มให้ความช่วยเหลือ

    สก๊อตเดินเข้ามาใกล้ๆและนั่งลงบนเตียงข้างๆลอเรน

    “จอห์นนี่อาศัยอยู่กับคุณหรือเปล่าครับ”

    “ค่ะ...” ลอเรนพยักหน้า “แต่ฉันพยายามไม่ให้เขาเจอลูกค้าของฉันน่ะค่ะ รู้ไหม... ฉันอยากหยุดมากเลยอาชีพนี่น่ะ แต่ทำไงได้ เราต้องการเงิน ฉันเพียงแค่อยากได้เงินพอที่จะพาเราทั้งคู่หนีออกจากตรงนี้...”

    “จอห์นนี่เขาเป็นคนยังไงหรอ”

    “เขา... ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วๆไปน่ะค่ะ เขาก็เป็นคนดี แต่บางครั้งก็มีเด็กบางคนที่เรียกแม่ของเขาว่า... แบบที่เขาเข้าใจกันน่ะค่ะ” ลอเรนหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ “เขาเลยมีการทะเลาะกับพวกนั้นบ้าง”

    “แล้วลูกของคุณหายไปได้ยังไง”

    “เขาเคยไปเล่นกับเพื่อนๆหลังโรงเรียนเลิก วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักมาก ฉันยังไม่ลืมเลย เพื่อนๆของเขากลับบ้านประมาณ 5 โมงเย็น ยกเว้นเขาคนเดียวที่ไม่กลับมา...”

    “คุณแจ้งตำรวจเมื่อไหร่ครับ”

    “หลังจากนั้นประมาณ 2 ทุ่มฉันก็เริ่มกังวล ฉันออกจากบ้าน... เพื่อไปหาเขาทุกที่ที่เขาอาจจะอยู่ ฉันวิ่งไปที่สนามเด็กเล่นที่เขาชอบเล่นกัน แต่ก็ไม่เจอใครเลย... ฉันโทรเรียกตำรวจประมาณ 4 ทุ่มน่ะค่ะ”

    “แล้วพยานต่างๆล่ะ”

    “พวกนั้น... บอกว่าเขาวิ่งหนีไปและเขาน่าจะกลับมาทีหลัง แต่ตำรวจก็พบศพเขา 5 วันหลังจากนั้น ตอนนั้น... มีโอริกามิอยู่ในมือเขา แล้วก็มีดอกกล้วยไม้วางทาบอยู่บนหน้าอกของเขา...”

    ลอเรนเริ่มร้องไห้ สก๊อตเห็นดังนั้นจึงค่อยๆไปลูบหลังเธอ แต่เธอกลับสะบัดมือเขาออกอย่างไม่ไยดี

    “อย่ามาแตะฉัน! ลูกของฉันน่ะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน ไม่มีเหตุผลเลยที่เขาต้องตาย ไม่มีเลย...”

    กริ๊งๆ

    เสียงกริ่งดังบ่งบอกว่าพวกเขาพูดกันมา 10 นาทีแล้ว

    “ออกไปเถอะ คุณได้ทุกอย่างที่คุณอยากแล้วหนิ”

    สก๊อตเห็นดังนั้นจึงลุกออกไปจากเตียงและเดินไปที่ประตู แต่ก่อนไปเขาก็ทิ้งนามบัตรไว้บนโต๊ะ

    “ยังไงก็ตาม ถ้าคุณมีอะไรจะบอกผมอีก ถึงแม้จะเป็นแค่ข้อมูลเล็กๆก็เถอะ ก็ติดต่อผมได้ตลอดเวลานะ”

    เมื่อพูดจบเขาก็เดินออกจากห้องลอเรนไป แต่ยังเดินไม่พ้นบันไดเขาก็เริ่มหายใจไม่ออก เขาเอามือกุมคอเอาไว้แล้วหายใจอย่างทุรนทุราย มือของเขาพยายามล้วงยาแก้หอบหืดซึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่ขณะนี้มีชายคนหนึ่งเดินผ่านหน้าเขาไป และเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องของลอเรน สก๊อตได้ยินเสียงของทั้งคู่สนทนากัน

    “ลอเรน ลอเรน เปิดสิจ๊ะ นี่พี่เอง” เสียงชายคนนั้นพูดออกมา

    “ทรอยหรอ นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ! ฉันบอกแล้วไงว่าไม่อยากเจอนายอีก”

    “โทษที แต่เราอยากเจอเธออีกน่ะ”

    จากนั้นทรอยก็เข้าห้องลอเรนไป แล้วก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของลอเรนดังเล็ดออกมาจากในห้อง ตอนนั้นอาการหอบหืดได้หายไปชั่วขณะ สก๊อตเห็นท่าไม่ดีจึงเข้าไปเคาะประตูอีกครั้ง

    ประตูได้ถูกเปิดออกจากผู้ชายหัวล้านหนวดสีแดงรุงรัง “อยากได้อะไร ไอ้งั่ง!”

    “ลอเรน ไม่เป็นไรใช่ไหม” สก๊อตถามแล้วมองเข้าไปในห้อง เห็นลอเรนนอนอยู่กับพื้น

    “ออกไปซะ!”

    ปัง!

    ทรอยปิดประตูลงต่อหน้าสก๊อต เขาเห็นดังนั้นจึงเคาะประตูแรงๆอีกสามรอบ

    “อะไรของมึ*งอีกวะ? ถ้ามึ*งอยากจะมีปัญหา...”

    ปึง!

    สก๊อตเอาหัวเขาโขกกับหัวทรอย แล้วทั้งคู่ก็สู้กันโดยมีลอเรนคอยห้ามไว้ สักพักโคมไฟที่อยู่รอบๆห้องของลอเรนก็ล้มพังระเนระนาด กระจกห้องน้ำกับจานชามก็แตก เมื่อสู้ไปสักพักทรอยก็เสียหลักล้มเข้าไปพิงเตาอบ

    “ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้งั่ง!” ทรอยเห็นท่าไม่ดีจึงพยุงตัวหนีออกจากห้องไป

    เมื่อทรอยออกไปแล้วลอเรนจึงถามสก๊อต

    “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

    “ก็นะ... เก่งกว่าเขาละมั้ง เขาเป็นใครหรอ”

    “ลูกค้าคนเก่าน่ะ... เขาคงคิดว่าเขาเป็นเจ้าของฉันอยู่มั้ง ฉันบอกเขาไปแล้วว่าไม่ต้องการเขาอีก”

    “คุณก็... ระวังตัวไว้หน่อยละกัน เขาอาจจะกลับมาอีก แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำบ้านเธอเละ”

    “อืม ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณนะ”

    สก๊อตพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เขาจะค่อยๆออกจากห้องไป
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 16th December 2014 เมื่อ 17:04

  7. #6
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 05: Crime Scene สืบหาโอริกามิ

    Chapter 05: Crime Scene สืบหาโอริกามิ

    วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2011

    เวลา 8.05 น.

    ปริมาณน้ำฝน 0.680 นิ้ว


    แปดโมงเช้าแล้ว แต่เมฆฝนสีดำครึ้มยังคงปล่อยเม็ดฝนลงมาอย่างไม่ขาดสาย เมฆนั้นหนาคับคั่งจนไม่เห็นแสงอาทิตย์รอดออกมา นอร์แมน เจย์เดน ขับรถเก๋งสีดำเข้ามาจอดหน้าตำรวจที่คอยคุมสถานการณ์อยู่ รถตำรวจข้างหน้าเขายังคงเปิดไฟสีน้ำเงินกับสีแดงทิ้งไว้ ข้างๆเขามีรถตู้ผู้สื่อข่าวสีขาวจอดรอไว้อยู่แล้ว

    “เฮ้อ... นักข่าวสมัยนี้ชอบมาเร็วกันจริง” เขาพึมพำ แต่หลังจากนั้นมือของเขาก็เริ่มสั่น เขาค่อยๆนำขวดแก้วเล็กๆอันหนึ่งที่มีสารสกัดสีฟ้าอ่อนขึ้นมาสูดสักพัก ร่างกายเขาถึงจะปกติเหมือนเดิม

    สิ่งนี้คือทริปโตเคน ยาเสพติดที่เจย์เดนต้องใช้อยู่เป็นประจำ เขาก็พยายามที่จะเลิกมันมานานแล้ว แต่ถ้าเขาขาดมันไปเมื่อไหร่ ร่างกายเขาก็เริ่มที่จะไม่ตอบสนอง เขามองขวดยานี้สักพักก่อนที่จะเก็บมันลงไปในกระเป๋ากางเกง

    นอร์แมนในชุดสูทเดินออกมาจากรถ ตรงไปที่ตำรวจที่กำลังขวางทางเขาไว้อยู่

    “บริเวณนี้ถูกปิดกั้นครับ โปรดถอยไปด้านหลัง” เป็นเสียงของตำรวจคนหนึ่งที่คุยกับเขา

    “นอร์แมน เจย์เดน... เอฟบีไอ” เขาพูดด้วยความมั่นใจและหยิ่งในอาชีพของเขา แต่ตำรวจคนนั้นหน้าตาเย็นชาและไม่รู้สึกปลื้มเขาเท่าไหร่

    “คุณมีบัตรหรืออะไรไหมครับ”

    “มีสิ มีอยู่แล้ว” เขายื่นบัตรเอฟบีไอให้ตำรวจดู จากนั้นเขาจึงผ่านเข้าไปได้

    “เชิญครับ”

    นอร์แมนมุดตัวลอดใต้ไม้กั้นแล้วเดินเข้าไปข้างใน มีแอ่งน้ำขังอยู่เป็นหย่อมๆ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทุรกันดาร มีคลองไหลผ่านอยู่ใกล้ๆ ด้านบนมีทางรถไฟอยู่ซึ่งทุกอย่างในตอนนั้นมืดมาก

    เขาหยิบถุงมือสีดำขึ้นมาสวม และแว่นสีดำประจำกายของเขาขึ้นมาใส่ แว่นนี้ถือเป็นนวัตกรรมชิ้นล่าสุดของเอฟบีไอ เป็นแว่นที่สามารถบันทึกภาพและวีดีโอ หรือใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้เป็นอย่างดี เมื่อสวมแล้วก็จะมีแสงสีฟ้าอ่อนๆประกายขึ้นมาจากตาของเขา

    “บูทเอ.อาร์.ไอ. ซิงค์ข้อมูล บันทึกวีดีโอ บุคคลรายที่ 47023 นอร์แมน เจย์เดน วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2011 เวลาในตอนนี้ 8 นาฬิกา 14 นาที” เขาพูดกับแว่นของเขา

    มีระบบคอมพิวเตอร์มากมายปรากฏขึ้นมาในแว่นของเขาระหว่างที่มันกำลังบูท แต่สักพักทุกอย่างก็ค่อยๆหายไป เหลือไว้เพียงคำว่า เอ.อาร์.ไอ ออนไลน์ กำลังบันทึกวีดีโอ... ตัวอักษรสีส้มๆ ไว้ตรงมุมขวาบนเล็กๆ

    “ปรับแสงเป็น 70 เปอร์เซนต์”

    แสงเพิ่มเป็น 70 เปอร์เซนต์

    “เปิดระบบ เอ.อาร์.ไอ. สแกน”

    เอ.อาร์.ไอ. กำลังสแกน...

    แสงที่ได้ถูกเพิ่มเข้ามาในแว่นของเขาช่วยทำให้วิสัยทัศน์ซึ่งกำลังถูกปกคลุมไปด้วยฝนให้ดียิ่งขึ้น สีแสงสีขาวๆที่เอาไว้ใช้ในการสแกนก็ออกมาจากพื้นดินที่เขายืนอยู่เป็นรูปวงกลมและกระจายออกห่างจากตัว เมื่อแสงนั้นไปกระทบกับหลักฐานสำคัญ มันจะโผล่ขึ้นมาภายในแว่นตาที่เขาสวมอยู่

    “โทษนะครับ” เขาถามกับตำรวจอีกคน “ผมกำลังหาร้อยโท คาร์เทอร์ เบลค”

    ตำรวจคนนั้นไม่พูดอะไรและชี้นิ้วไปที่คนๆหนึ่งซึ่งมีหนวดสีดำรอบๆปาก หน้าตาเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา

    “ขอบใจ” นอร์แมนกล่าวขอบคุณแล้วเดินไปหาชายคนนั้น

    “ร้อยโท เบลค ผมนอร์แมน เจย์เดน จากเอฟบีไอ ผมไปหาคุณที่ออฟฟิศเมื่อเช้านี้แต่พวกเขาบอกว่าคุณอยู่ที่นี่”

    เบลคมองหน้านอร์แมนสักพักก่อนตอบ “ก็ถ้าคุณกำลังหาฝน ศพ หรือทางด่วนคุณมาถูกที่แล้วล่ะ” เบลคพูดกับเขาก่อนที่จะหันหน้าไปหาตำรวจคนหนึ่ง “ไมค์ ไปบอกไอ้คนขับรถปราบดินให้หยุดสัก 5 นาทีได้ไหม เสียงแบบนี้กูคิดอะไรไม่ออกเลย”

    “รับทราบครับ ท่าน”

    หลังจากนั้นเบลคกับนอร์แมนก็พูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

    “คืองี้ เราได้รับแจ้งจากชายคนหนึ่งว่าพบศพตอน 6 โมงเช้า ก็ไม่ค่อยมีข้อมูลอะไรนักหรอก แต่ดูจากสภาพศพแล้ว คงเป็นผลงานของนักฆ่าโอริกามินั่นแหละ” เบลคกล่าว

    “ศพตายเมื่อไหร่ครับ”

    “ดูจากสภาพแล้วคงตายไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงที่แล้ว ยังไงก็ต้องรอหน่วยชันสูตรศพพิสูจน์อีกที”

    “สภาพของศพล่ะเป็นยังไงบ้าง”

    “ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน คิดว่าคงถูกถ่วงให้จมน้ำตายน่ะแหละ เหมือนกับเหยื่อรายอื่นๆ”

    “แล้วมีพยานไหม”

    “คนของเราพยายามไปหาอยู่ ถ้านักฆ่านั่นทิ้งอะไรไว้ เราคงรู้เมื่อนั้น” หลังพูดจบเบลคก็มายืนอยู่ตรงหน้าตำรวจอีกคนหนึ่ง “โทนี่ คอยจับตาดูพวกนั้นไว้ กูไม่อยากเห็นนักข่าวที่ไหนมาอยู่แถวนี้”

    “ครับผม” โทนี่รับขานเสียงดัง

    “เฮ้อ... คนพวกนี้น่ะมาไว้จังเลยนะครับ” นอร์แมนกล่าวต่อไป

    “ใช่ ไอ้พวกบ้าเงิน ชื่อเสียงพวกนั้นน่ะ ถ้าพวกนั้นทำลงข่าวหน้าหนึ่งก็คงทำความเสียหายให้กับพ่อแม่เหยื่ออยู่ไม่น้อย”

    “แล้ว...”

    “นี่ฟังนะ ผมยุ่งๆอยู่ ทำไมไม่ไปคุยกันต่อที่ออฟฟิศล่ะ” เบลคเริ่มหมดความอดทนเมื่อเห็นเขาเซ้าซี้เรื่อยๆ

    “ได้เลย ไม่มีปัญหา แต่ขอผมสำรวจแถวๆนี้ได้ไหม”

    “เชิญ แล้วก็เจย์เดน ถ้าเจออะไรก็เอามาที่ออฟฟิศนะ เราอยู่ทีมเดียวกันแล้ว” เบลคยกมือขึ้นแล้วก็เดินจากไป

    ฝนเริ่มซาลงเล็กน้อย นอร์แมนก็มุ่งหน้าไปที่เต้นท์เล็กๆขนาดเท่าร่างกายมนุษย์ บริเวณนั้นมีน้ำขังค่อนข้างมาก เขาเดินย่ำน้ำไปก่อนที่เขาจะเปิดซิปที่ปิดเต้นท์ไว้อยู่

    “บันทึกเสียง เอ.อาร์.ไอ. ผู้ตายอายุประมาณสิบขวบอยู่ในสภาพนอนหงาย ไม่มีร่องรอยของการโจมตีใดๆ” นอร์แมนพยายามระบุข้อมูลของผู้ตาย “เอ.อาร์.ไอ. เปิดระบบสแกนผู้ตาย”

    เอ.อาร์.ไอ. กำลังสแกน...

    การสแกนเสร็จสมบูรณ์


    “มีละอองเกสรดอกไม้โปรยอยู่บนศพผู้ตายเป็นเวลาน้อยกว่า 12 ชั่วโมง ไม่มีร่องรอยการได้รับบาดเจ็บ มีโคลนปะอยู่บนหน้าผู้ตาย และมีโอริกามิอยู่ในกำมือของผู้ตายด้วย นิ้วมือน่าจะถูกทำให้กำไว้หลักจากที่เขาตายแล้ว” นอร์แมนบันทึกข้อมูลลงในแว่นตาของเขา “เอ.อาร์.ไอ. วิเคราะห์ผู้ตาย”

    ผู้ตายกำลังถูกวิเคราะห์...

    “ชื่อของผู้ตายคือ เจรามี่ โบวส์ ถูกประกาศว่าหายไปเมื่อ 5 วันที่แล้ว สาเหตุในการตายน่าจะมาจากการจมน้ำ เหมือนกับเหยื่อรายอื่นๆ...”

    เมื่อนอร์แมนสืบสวนไปได้สักพักเขาก็เดินกลับมาหาเบลค

    “นี่นอร์แมน ผมจะกลับแล้ว คุณจะอยู่ที่นี่ต่อไหม” เบลคกล่าวถาม

    “ไม่ล่ะ ผมเห็นมามากพอแล้ว”

    เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นนอร์แมนก็เดินไปที่รถของเขา พลางนึกถึงสิ่งที่เกี่ยวข้อง เขานึกขึ้นได้ว่าสถานที่ๆทุกๆเหยื่อของโอริกามิตายจะเป็นที่แอ่งน้ำใกล้กับทางด่วนหรือทางรถไฟ

    “เอ.อาร์.ไอ. ชัทดาวน์”

    ระบบกำลังปิดการทำงาน...

    นอร์แมนถอดแว่นของเขาออก เขาเดินตรงไปที่รถของเขาและสตาร์ทรถออกไปท่ามกลางสายฝนที่ค่อยๆจางหายไป
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 16th December 2014 เมื่อ 17:04

  8. #7
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 06: The Shrink ชีวิตอับเฉา

    Chapter 06: The Shrink ชีวิตอับเฉา

    วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2011

    เวลา 13.00 น.

    ปริมาณน้ำฝน 0.765 นิ้ว


    ภายในห้องๆหนึ่งซึ่งหน้าต่างทุกบานถูกปกคลุมไปด้วยม่านชั้นดี มีแสงอาทิตย์โผล่ออกมาเล็กน้อย แต่ภายในห้องยังคงได้ยินเสียงฝนตกกระทบหน้าต่างอยู่เป็นระยะๆ อีธานนอนอยู่บนเตียงซึ่งมีอุปกรณ์แพทย์ชนิดหนึ่งวางทับไว้อยู่บนหน้าผากของเขา ข้างหน้าเขามีจอ LCD แปะติดไว้กับแขนกลที่ห้อยลงมาจากเพดาน ข้างๆเขามีชายผู้หนึ่งซึ่งกำลังดูข้อมูลในจอคอมพิวเตอร์อยู่

    “ภาพต่อไป” เป็นเสียงของชายผู้นั้น

    “ผีเสื้อ” อีธานกล่าวเมื่อเห็นภาพในจอนั้น

    “ต่อไป”

    “หัวของหมาป่า”

    “ต่อไป”

    “ปู”

    “ต่อไป”

    อีธานมองและคิดเล็กน้อยก่อนที่จะตอบในสิ่งที่ตัวเองเห็น

    “ความตาย... ความตาย...”

    ปิ๊ด

    ชายผู้นั้น หรือคนที่อีธานเรียกเขาว่า ‘หมอ’ กดรีโมทเพื่อยกม่านที่มืดทึบเหล่านั้นขึ้น

    “ผมทำการสแกนร่างกายคุณเสร็จแล้วครับ คุณปลอดภัยดี ไม่มีความเสียหายในส่วนของร่างกาย แต่ผมกลับห่วงคุณในส่วนของจิตใจเสียมากกว่า หมอรู้ว่ามันไม่ง่ายนัก แต่คุณต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรอก”

    “ไม่หรอก... มันเป็นความผิดผมเองที่เจสันตาย” อีธานกล่าว “ถ้าผมหาเขาให้เจอได้ไวขึ้น หรือจับตาดูเขาตลอด เขาก็คงไม่ตายหรอก”

    “นี่อีธาน... มันเป็นอุบัติเหตุนะ อุบัติเหตุน่ะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกวัน คุณโทษตัวเองไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”

    หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เงียบไปสักระยะหนึ่ง เสียงฝนภายนอกนั้นจึงได้ยินชัดเจน จนกระทั่งหมอทำลายความเงียบ

    “ชอนเป็นไงบ้างล่ะ” หมอถาม

    “เขา... ชอบอยู่คนเดียวน่ะ เก็บตัว... อยู่แต่ในห้อง... กับแม่แล้วเขาดูเป็นเด็กที่ร่าเริงมาก แต่กับผมแล้ว เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเราจะเริ่มห่างขึ้นทุกๆที”

    “แล้วคุณล่ะอีธาน คุณรู้สึกยังไง”

    “บางครั้ง... ผมก็เคยคิดว่าทั้งหมดนี่น่ะมันเป็นแค่ความฝัน ผมเคยเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่านี่คือฝันร้ายและเราก็สามารถตื่นออกจากมันได้อยู่ทุกเมื่อ...”

    อีธานถอดอุปกรณ์นั้นออกจากหัวของเขาและลุกขึ้นมาจากเตียง เดินมานั่งที่โซฟาข้างๆหมอ

    “มีอะไรอยากจะบอกผมไหม อีธาน” หมอเอียงหน้ามาหาอีธานเล็กน้อย

    อีธานคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้น ตอนที่เขาคิดว่าเขาละเมอออกจากบ้านโดยมีโอริกามิอยู่ในมือ แต่เขากลับไม่บอกสิ่งเหล่านั้นกับหมอ เขาเลือกที่จะถามอ้อมๆแทน

    “เคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหมครับ คือเมื่อเราทำอะไรบางอย่างลงไป แต่เรากลับจำสิ่งนั้นไม่ได้ ความรู้สึกมันเหมือนว่า มีใครสักคนมาทำสิ่งนั้นแทนเรา” อีธานถาม

    “ก็หมอรู้ว่าเคยมีบางคนที่สมองถูกกระทบกระเทือน ทำให้สูญเสียความจำไปชั่วขณะนึงน่ะ”

    อีธานพยักหน้า

    “เอาล่ะ วันนี้หมอคงมีแค่นี้แหละไว้เจอกันครั้งต่อไปแล้วกันนะ อีธาน”

    อีธานยืนอุปกรณ์ชิ้นนั้นส่งให้หมอ ก่อนที่เขาจะเปิดประตูห้องออกไป หมอก็พูดกับอีธานต่อเล็กน้อย

    “คุณโชคดีมากนะอีธาน มันมีโอกาสน้อยมากๆเลยที่คุณจะรอดจากอุบัติเหตุในวันนั้น”

    อีธานมองหน้าหมอสักพักแล้วพูดขึ้นมา “แต่ผม... ไม่ค่อยรู้สึกว่าผมโชคดีเท่าไหร่เลย”

    หลักจากนั้นอีธานก็เดินออกจากห้องบำบัดสุขภาพจิตแห่งหนึ่งใกล้ๆบ้านเขาไป ระหว่างนั้นฝนก็เริ่มหยุดลงเม็ดแล้ว เขาเข้าไปในรถและตรงไปที่โรงเรียนของชอน

    โรงเรียนของชอนนั้นเลิก 15.40 น. เมื่อถึงเวลา ชอนก็เดินออกมาโดยสะพายกระเป๋าเรียนไว้ด้านหลัง อีธานอยากที่จะทำให้ชอนใกล้ชิดกับเขามากขึ้น เขาเลยตั้งใจที่จะชวนชอนไปเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ๆรางรถไฟเก่าๆ

    “ไปสวนสาธารณะกันไหมชอน เราไม่ได้ไปที่นั่นมานานมากแล้วนะ” อีธานเอ่ยปากชวน

    “ไปก็ได้ พ่อ” ชอนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆโดยไม่มองหน้าพ่อของเขา ทั้งสองเดินขึ้นรถ จากนั้นอีธานก็สตาร์ทเครื่องยนต์และนำลูกของเขาไปยังสวนที่เขาตั้งใจไว้
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 16th December 2014 เมื่อ 17:04

  9. #8
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Oct 2012
    กระทู้
    2,089
    กล่าวขอบคุณ
    1,952
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,658
    อยากให้ลง PC
    ชอบเกมนี้โดยส่วนตัว

  10. #9
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 07: The Park ชีวิตรันทด

    Chapter 07: The Park ชีวิตรันทด

    วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2011

    เวลา 16.15 น.

    ปริมาณน้ำฝน 0.986 นิ้ว


    สวนสาธารณะขนาดเล็กที่อีธานกับชอนไปนั้นมีลมพัดแรงอยู่พอสมควร ฝนหยุดตกแล้วแต่เมฆนั้นยังครึ้มอยู่ มีโอกาสสูงที่ฝนจะตกลงมาอีกรอบ ที่นั่นมีเด็กรุ่นเดียวกับชอนค่อนข้างเยอะ แต่ชอนกลับไม่สนใจเด็กพวกนั้นและนั่งลงบนม้านั่งอย่างเดียวดาย อีธานเห็นดังนั้นจึงเข้าไปนั่งใกล้ๆ

    ชอนสวมชุดเสื้อคลุมสีขาว เขาวางกระเป๋านักเรียนไว้ข้างๆม้านั่ง มองไปยังเด็กหลายๆคนที่กำลังเล่นอยู่บนเครื่องเล่นในสวนอย่างสนุกสนาน

    “โรงเรียนเป็นยังไงมั่งลูก” อีธานพยายามหาหัวข้อคุยกับลูกของเขา

    “ครูด่าผมอีกแล้วที่ผมมาสาย” ชอนก้มหน้า “ครูบอกว่าถ้าครั้งหน้ามันเกิดขึ้นอีก เขาจะส่งผมกลับบ้าน”

    “พ่อเสียใจด้วยจริงๆชอน คราวหน้าเราทั้งคู่จะพยายามให้ดีกว่านี้ โอเคไหม”

    ชอนไม่ตอบ เขาหันหน้าเบี่ยงไปจากพ่อของเขา

    “อยากกินอะไรไหมล่ะ”

    ชอนยักไหล่ สายตาเขายังคงเหม่อลอยอยู่เช่นเดิม แสดงถึงความเบื่อหน่ายกับทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้น

    “เป็นอะไรหรือเปล่า ชอน”

    ชอนเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง

    “ไม่... ผมไม่เป็นไร”

    ...

    “ทำไมลูกไม่ไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นๆล่ะ”

    “ผมไม่รู้สึกอยากน่ะ”

    ชอนแสดงสีหน้าน่าเบื่อมาได้ดีจริงๆ สมัยก่อนชอนเคยมาที่สวนแห่งนี้ สวนนี้เคยเป็นสถานที่โปรดของเขา เขามีความสุขมากตอนนั้น แต่นั่นเป็นแค่ตอนที่เขาอยู่กับเจสัน...

    อีธานลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วเดินตรงไปที่ไม้กระดานหกข้างหน้าเขา เขาเอามือจับด้ามยางที่เปื้อนรอยมือเด็กนับร้อยคน

    “พ่อไม่ได้เล่นอันนี้มานานแล้วนะ สนใจมั้ย”

    “ก็ได้”

    ชอนลุกมาจากม้านั่งแล้วตรงไปนั่งที่แท่นไม้ อีธานไม่นั่งด้วย แต่เขาเอามือกดลงไปตรงด้ามจับอีกข้าง หลังจากนั้นแท่นไม้ก็ยกขึ้น แล้วก็ยกลง ชอนเริ่มยิ้มและหัวเราะชอบใจ

    นี่เป็นเวลานานมากที่อีธานเห็นลูกตัวเองยิ้ม เมื่อชอนเล่นจนสนุกแล้วอีธานก็เดินไปที่เครื่องเล่นอันอื่น

    รอบๆตัวเขามีใบไม้สีน้ำตาลเข้มปลิวเป็นระยะๆตามแรงลม เขาเดินไปที่ชิงช้าสีเขียวอันหนึ่งซึ่งมีสนิมเกาะอยู่ประปราย

    “อยากเล่นชิงช้าไหม เดี๋ยวพ่อผลักให้”

    “โอเค”

    แรงผลักชิงช้าจากอีธานทำให้ชิงช้าที่ชอนนั่งแกว่งไปมา นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาเห็นชอนมีความสุขยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เมื่อชอนเล่นไปสักพักลมเริ่มพัดแรงขึ้น อีธานเริ่มรู้สึกได้ถึงเม็ดฝนที่ค่อยๆสาดเข้ามาใส่เขา ถ้าจะน่าเสียดาย แต่เขาคงต้องหยุดเล่นกับชอนไว้เพียงเท่านี้

    “เหมือนฝนจะตกแล้วนะชอน... กลับกันเถอะ” เขาชวน

    ชอนเดินไปเอากระเป๋าของเขาที่ม้านั่ง

    “รู้ไหมพ่อ สมัยก่อนที่ผมยังจำได้ หมายถึง... สมัยที่เจสันยังอยู่น่ะ บางครั้งผมก็คิดว่าอยากจะทำให้ทุกสิ่งเป็นอยู่ตอนนี้เป็นเหมือนเก่า” ชอนเริ่มรำลึกความหลัง

    “พ่อก็เหมือนกัน...”

    ฝนเริ่มลงเม็ดมาเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่หนักมาก ชอนกับอีธานเดินตรงไปที่รถของเขาที่จอดไว้ข้างสวนสาธารณะ แต่ชอนก็เหลือบไปเห็นม้าหมุนตรงทางเข้าสวนพอดี

    “พ่อ ขอขึ้นม้าหมุนอันนี้ได้มั้ย ได้มั้ย” ชอนเซ้าซี้

    ถึงฝนจะเริ่มตก แต่อีธานก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่เพราะนี่เป็นโอกาสน้อยที่เขาจะได้มีความสุขกับลูกอยู่แบบนี้

    “ได้สิ ไปเลือกม้าเลยลูก เดี๋ยวพ่อจะไปเอาตั๋ว”

    ชอนวิ่งไปที่ม้าตัวสีขาวอย่างดีใจ ด้านบนนั้นมีเสื่อสีแดงเล็กๆปูพรมอยู่ ชอนขึ้นไปนั่งบนนั้นแล้วพยายามโยกตัวขึ้นลงๆถึงแม้จะมีตัวล็อคใส่อยู่ก็ตาม

    “ขอตั๋วใบนึงครับ” อีธานพูดกับพนักงานขาย

    “30 บาทครับ”

    อีธานยื่นเงินให้แล้วเดินออกมาอยู่ข้างหน้าชอน ชอนมองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนที่ม้าหมุนจะเริ่มออกตัว อีธานโบกมือให้เล็กน้อยก่อนที่ม้าหมุนจะเคลื่อนไหวไปอีกฝั่ง

    ม้าหมุนเริ่มหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ อีธานมองตามจนเขาเริ่มมึนศีรษะ ตาของเขาเริ่มเบลอ เขาหันหน้าหนีไปจากม้าหมุนนั้น ทันใดนั้นก็มีเศษฝุ่นจากแรงลมพัดเขาตาของอีธาน เขารีบหลับตาแล้วใช้มือปัดหน้าเล็กน้อย แต่เมื่อเขาลืมตา เขาก็เห็นสวนสาธารณะกลายเป็นสีโทนดำ และดำขึ้นเรื่อยๆ สวนนั้นเริ่มเอียงไปทางซ้าย ต้นไม้ที่เขาเห็นเริ่มแบ่งเป็นสองฝั่ง ความดำค่อยๆคืบคลานวิสัยทัศน์ของเขาจนทุกอย่างดำสนิท
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 16th December 2014 เมื่อ 17:04

  11. #10
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 08: Where is Shaun? ชีวิตบรรลัย

    Chapter 08: Where is Shaun? ชีวิตบรรลัย

    วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2011

    เวลา 19.15 น.

    ปริมาณน้ำฝน ไม่แสดง


    จากแสงสีดำที่อีธานเพิ่งเห็นมาชั่วครู่ กลายเป็นแสงสีขาวที่สว่างจ้า และแสงนั้นก็ใกล้ตัวเขาขึ้นมาเรื่อยๆ เขาขยี้ตาสักพักแล้วเพ่งตาไปตรงที่มาของแสงนั่น และในระยะเผาขน เขาก็เริ่มมองเห็นสิ่งที่อยู่รอบกายเขา และสิ่งที่อยู่ข้างหน้าของเขาคือรถบรรทุกสิบล้อที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง! เขารีบเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้ายแต่ก็ไม่พ้นนัก กระจกข้างของรถบรรทุกได้กระทบกับสีข้างของเขาจนทำให้เกิดแผลเล็กน้อย

    เขามองไปรอบๆ และพบว่าที่นี่ไม่ใช่สวนสาธารณะอย่างที่เขาเข้าใจ มันกลายเป็นถนนคอนกรีตที่ปล่าวเปลี่ยว และที่สำคัญกว่านั้น ชอนได้หายไป! เขารีบมองนาฬิกาตรงข้อมือของเขาแล้วก็พบว่าตอนนี้มันเลยเวลาที่เขาพบชอนครั้งล่าสุดมาสามชั่วโมงแล้ว

    ในตอนนี้ฝนตกแรงมาก ผสานกับลมที่ยังคงพัดแรงทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆตัวเขาไม่สู้ดีนัก เขารีบตั้งสติแล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขานึกขึ้นได้ว่าอาการที่เขาหมดสติไปนั้นคล้ายคลึงกับตอนที่เขาหมดสติหน้าห้องของชอนเมื่อวันก่อน

    อีธานวิ่งสุดฝีเท้าไปที่สวนสาธารณะ เสื้อผ้าของเขาเปียกไปทั้งตัว ปากก็พลางตะโกนเรียกหาชื่อลูกชายอย่างสิ้นหวัง เมื่อเขามาถึงสวนเขาก็ไม่พบผู้ใด ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นร้างไปเหมือนกับการเล่นมายากล ณ ตอนนั้นสิ่งที่ให้แสงสว่างก็เหลือแต่โคมไฟข้างถนน และเมื่อเขารี่ไปตรงที่ม้าหมุน เขาก็เจอกระเป๋านักเรียนของชอนที่ถูกทิ้งไว้ข้างๆ เขาหยิบมันขึ้นมา แล้วก็แน่ใจได้เลยว่านี่คือกระเป๋าของชอนจริงๆ แต่ชอนอยู่ไหนล่ะ!?

    เมื่อเขาหันซ้ายหันขวาไม่เจอผู้ใดเขาก็นึกขึ้นได้ว่าชอนอาจจะกลับบ้านไปแล้ว เขาวิ่งไปที่ลานจอดรถ ยังคงเห็นรถจอดอยู่ที่เดิม เขาล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงและรีบเสียบมันเข้าไปเปิดประตู ก่อนที่เขาจะออกรถเขาก็มองไปที่สวนสาธารณะอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าชอนไม่ได้อยู่ที่นั่นจริงๆ

    หลายนาทีผ่านไป อีธานก็ขับรถมาถึงบ้านของเขา เขารีบจอดจนมุมด้านหนึ่งของรถชนเข้ากับถังขยะหน้าบ้านอย่างจัง แต่ยังไงก็ตามเขาก็รีบเปิดประตูออกจากรถแล้ววิ่งเข้าบ้านไป ในบ้านนั้นมืดสนิท เขารีบยกมือเปิดไฟข้างๆประตูแล้วก็ยังไม่พบใครเลย

    “ชอน!” เขาตะโกนเรียกอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับ ณ วินาทีนี้อีธานคิดอยู่อย่างเดียวว่าเขาต้องหาชอนให้เจอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เขาก็ต้องหาลูกของเขาให้เจออย่างแน่นอน! เขาวิ่งไปในทุกที่ของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ หรือแม้กระทั่งห้องเก็บของ แต่ก็ยังคงไม่มีวี่แววของลูกของเขา

    เขารีบวิ่งขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง ตรงดิ่งไปที่ห้องของชอน มีโคมไฟเปิดอยู่ข้างๆเตียงของชอน แต่ตัวชอนเองนั้นกลับไม่อยู่ เมื่อเขาหาจนทั่วบ้านแล้วเขาก็วิ่งออกมานอกบ้าน น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากเบ้าตาของเขา ปากก็พลางหอบจากอาการเหนื่อยจากการวิ่ง เขาหันซ้ายหันขวาตรงหน้าบ้านของเขา ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากสายฝนที่ตกลงมาอย่างโหมกระหน่ำ

    เขาเริ่มอ่อนล้า เขาคุกเข่าลงด้วยความอ่อนแรงทั้งในร่างกายและจิตใจ เขาก้มหน้าลงมองถนนที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ในตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรอยู่ในมือเขา และเมื่อเขาแบมือออกมา เขาก็พบโอริกามิอยู่ในมือ เขาโยนมันทิ้งมันไปข้างๆกายและตะโกนเรียกชื่อลูกของเขาอย่างรุนแรง

    “ชอนนนนนนนนนนนนน!”

    เขาร้องตะโกนจนเสียงของเขาเริ่มแหบ น้ำตาของเขาไหลพรากเป็นสาย ผสานกับน้ำฝนที่ตกลงมาบนหน้าเขาอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เขาไม่มีแรงที่จะเงยหน้าขึ้นต่อไป

    สายฝนยังคงพัดกระหน่ำลงมาและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ชายผู้เป็นพ่อก็ยังคงคุกเข่าอยู่กลางถนน โดยยังมีโอริกามิที่ถูกทิ้งไว้ข้างๆเขา...

  12. #11
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 09: Welcome, Norman สวัสดีนอร์แมน

    Chapter 09: Welcome, Norman สวัสดีนอร์แมน

    วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2011

    เวลา 19.55 น.

    ปริมาณน้ำฝน 1.326 นิ้ว


    พายุฝนได้พัดมาเป็นเวลาเกือบชั่วโมงแล้ว ถึงแม้ว่าภายนอกจะมีเสียงพายุฝนที่ดัง แต่ภายในสถานีตำรวจของกัปตัน เลย์ตัน เพอร์รี่ ก็ไม่มีเสียงดังเช่นนั้นเลย แต่กลับกัน เสียงที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการทำงานและการคุยกันเจี๊ยวจ๊าวของตำรวจมากมายในสถานที่แห่งนี้ เสียงเหล่านั้นเริ่มทำให้นอร์แมนปวดหัวเพราะเขานั่งรอกัปตัน เพอร์รี่ อยู่หน้าห้องทำงานของเขามาเป็นเวลานานมากแล้ว

    ภายในสถานีตำรวจนั้นกว้างใหญ่ แต่ละคนก็มีโต๊ะของทำงานตัวเองโดยมีคอมพิวเตอร์คนละหนึ่งเครื่อง นอร์แมนนั้นเพิ่งจะมาทำงานร่วมกับตำรวจเป็นเวลาชั่วคราวเพื่อสืบหานักฆ่าโอริกามิ แต่เขาก็เริ่มหงุดหงิดที่เบลคสั่งให้เขานั่งรอเป็นเวลาหลายชั่วโมง

    “คุณคิดว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะเสร็จ” นอร์แมนหันหน้าไปถามผู้ช่วยของกัปตัน ชาร์ลีน ซึ่งกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่บนโต๊ะ

    ชาร์ลีนหยุดพิมพ์งานและหันหน้ามาหาเขาเล็กน้อย

    “ไม่นานหรอกค่ะ เดี๋ยวเขาก็เสร็จแล้ว”

    นอร์แมนหันหน้ากลับไปที่เดิม สีหน้าเขาเริ่มเบื่อหน่ายที่นี่อย่างสุดๆ แต่เขาก็ต้องยอมทนเพราะการทำงานร่วมกับกัปตัน เพอร์รี่ จะทำให้งานสืบหานักฆ่าโอริกามิราบรื่นขึ้นอย่างดีทีเดียว

    อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่เขานั่งรอนั้นเขาก็มีเครื่องเล่นพกพาประจำกาย แว่นตา เอ.อาร์.ไอ. นั่นเอง ถึงแม้ว่าจุดประสงค์ของมันจะเอาไว้สืบหาข้อมูล แต่ยามที่ผู้ใช้เบื่อหน่ายกับโลกภายนอกก็สามารถมาใช้อุปกรณ์นี้ได้ แว่นตานี้ยังมีความสามารถจำลองภาพสามมิติรอบตัวเขา และทำให้ผู้ใช้สนุกไปกับมันได้

    เมื่อนอร์แมนรอไปประมาณ 10 นาที กัปตันเพอร์รี่ก็ออกมาจากห้อง เขารีบถอดแว่นตาของเขาและลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่กัปตันเพอร์รี่กลับไม่เห็นเขาและเดินตรงไปคุยกับผู้ช่วยของเขาแทน

    “ผมไปและนะชาร์ลีน เดี๋ยวผมจะกลับมาดูรายงาน และก็ยกเลิกการประชุมพรุ่งนี้ด้วย” เสียงของกัปตันเพอร์รี่ อายุ 60 ปี ดูคล้ายกับว่าเขากำลังเร่งรีบอยู่ทีเดียว

    “ค่ะกัปตัน อ้อ! นักสืบจากเอฟบีไอ นอร์แมน เจย์เดน อยู่นี่แล้วค่ะ”

    กัปตันเพอร์รี่หันหน้าไปด้านหลัง แล้วก็เจอนอร์แมนยืนพยักหน้าอย่างทะนง

    “เจย์เดน... แน่นอนสิ เรากำลังรอคุณอยู่” กัปตัวเพอร์รี่จับมือเขา “เรากำลังรีบอยู่ ทำไมเราไม่เดินไปคุยล่ะ”

    “ได้ แน่นอนอยู่แล้ว เออแล้วก็... ผมอยากจะแนะนำตัวเองก่อนน่ะครับ แต่ว่าเวลานี้อาจจะไม่เหมาะ...” นอร์แมนเดินตามกัปตันซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการผูกเนคไท

    “ไม่ๆ ตอนนี้ก็ได้ ตอนนี้ผมต้องรีบไปพูดที่หน้าสถานี ช่วงนี้พอมีข่าวอะไรก็แห่กันมาตรึมเลยนะ พวกนี้นี่ จริงๆแล้วผมก็ต้องไปพูดทุกๆวัน แต่เชื่อไหม มันยากมากเลยนะที่จะหาหัวข้อดีๆให้นักข่าวเก็บไปกัน โชคดีจริงที่วันนี้เราได้ข่าวมาบางอัน”

    กัปตันหยุดเดินและมองหน้ามาที่เขา “คุณเจอ... ร้อยโทเบลคยังล่ะ”

    “เจอแล้วครับ ผมเจอเขาเมื่อเช้านี้”

    “ถึงแม้เขาจะมีวิธีการของเขา แต่เขาก็เป็นตำรวจดี ผมเชื่อเลยว่าคุณกับเขาต้องไปด้วยกันได้เป็นอย่างดีแน่นอน”

    กัปตันดูเหมือนจะมีปัญหากับการผูกเนคไท เขาเห็นดังนั้นจึงอาสาเข้าไปช่วย

    “ช่วยผูกนะครับ”

    “อืม ขอบใจ”

    ระหว่างที่เขากำลังผูกเนคไทให้กัปตันเพอร์รี่ กัปตันก็ชวนเขาคุยไปเรื่อย

    “จริงๆแล้วงานส่วนใหญ่ไม่ต้องพึ่งเอฟบีไอหรอก แต่งานนี้น่ะมีนักข่าวมาเยอะมากเลย ไอ้พวกคดีของโอริกามิอะไรนั่นน่ะก็โด่งดังมาก เมืองนี้น่ะมีนักฆ่าเป็นร้อยคน แต่เชื่อไหม นักฆ่าโอริกามิคนนี้น่ะ เขา... ค่อนข้างแปลก... เขาเลือกแต่เหยื่อที่เป็นเด็ก แล้วก็ฆ่าพวกนั้นโดยการถ่วงน้ำให้ตาย จากนั้นเขาก็ทิ้งดอกกล้วยไม้ไว้บนศพของเหยื่อ แล้วก็ยังมีโอริกามิเสียบอยู่ในมือของเหยื่ออีกด้วย ถ้าเราได้ตัวนักฆ่านั่นมา เราจะโด่งดังไปทั่วประเทศเลยคอยดูสิ”

    เมื่อนอร์แมนผูกเนคไทเสร็จ เขาก็พูดขึ้นมา “ผมมาที่นี่เพื่อที่จะจับกุมนักฆ่านั่น แล้วก็ด้วยความเคารพนะครับกัปตัน เรื่องอื่นๆน่ะ ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวเลย”

    “อืม... ไม่หรอก สิ่งที่เราอยากให้คุณทำก็แค่ให้งานเดินหน้าเร็วขึ้น” กัปตันจับเนคไทของเขาและบิดมันไปมาเล็กน้อย “ไม่เลวหนิ”

    “ถ้างั้น...”

    “อ้อใช่ เรื่องห้องทำงานของคุณน่ะ คุณไปหาชาร์ลีนเลย เธอจะนำคุณไปที่ห้องเอง ผมไปละนะ”

    “ครับ...”

    จากนั้นนอร์แมนก็เดินสวนทางจากที่เขาเดินมา เขามุ่งหน้าตรงไปหาชาร์ลีน แต่ก่อนนั้นเขาก็กดน้ำจากแท้งค์เพื่อดับกระหายสักแก้ว

    “กัปตันเพอร์รี่บอกให้คุณโชว์ห้องทำงานให้ผมน่ะครับ”

    “อ้อได้ค่ะ ทางนี้ค่ะ”

    เขาเดินตามชาร์ลีนไป เธอเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงห้องหนึ่งซึ่งอยู่ท้ายมุมข้องทางเดิน

    นอร์แมนเปิดประตูเข้าไป และเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสภาพของห้องนั้นไม่ต่างจากห้องเก็บของเท่าไหร่นัก ภายในมีฝุ่นค่อนข้างเยอะ มีพัดลมติดอยู่บนผนังสองตัว หน้าต่างนั้นเล็กมาก ถ้าเกิดว่าตอนนี้เป็นตอนกลางวันก็คงมองเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาเป็นสาย แต่ตอนนี้มีแต่ความมืดมิดกับสายฝนที่โปรยปรายเมื่อนอร์แมนแง้มหน้ามองออกไป มีกล่องวางเรียงรายอยู่ข้างๆ และก็มีโต๊ะทำงานอยู่ตัวหนึ่งซึ่งดูเหมือนกับว่ามันถูกทิ้งมานานปีแล้ว

    “เอ่อ... นี่คือ... ห้องของผมหรือครับ” เขาถามอย่างไม่แน่ใจ

    “ที่นี่เป็นที่ๆกัปตันบอกฉันให้ส่งคุณมาค่ะ ถ้าอยากได้อะไรก็มาที่โต๊ะของฉันได้ทุกเมื่อนะคะ”

    เมื่อชาร์ลีนเดินจากไปแล้ว เขาก็เดินไปปิดประตู พลางหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะเขารู้สึกว่าเหมือนเขากำลังถูกแกล้งโดยการส่งเขามาในห้องเก่าๆนี้ มีโทรศัพท์อยู่เครื่องหนึ่งและเอกสารเก่าๆบางอย่างอยู่บนโต๊ะ แต่มันก็ถูกปัดทิ้งไปหมด เขาต้องการให้โต๊ะตัวนี้ว่างที่สุด

    นอร์แมนไม่พูดมาก เขานั่งลงบนเก้าอี้และสวมแว่นของเขาอย่างคล่องแคล่วเพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์จากมันในการเปลี่ยนสถานที่นี้ให้ดูดียิ่งขึ้น

    “เอ.อาร์.ไอ. เปลี่ยนสภาพแวดล้อม”

    วิสัยทัศน์รอบตัวกำลังถูกเปลี่ยน... โปรดเลือกวิสัยทัศน์ที่ต้องการ

    - ใต้มหาสมุทร

    - บนยอดเขาสูง

    - ในดาวอังคาร

    - ในป่าสน


    เขานำถุงมือสีดำที่สวมอยู่กดเข้าไปตรงปุ่มที่ปรากฏออกมาอยู่ข้างหน้าเขาในรูปแบบโฮโลแกรมสามมิติ เขาตัดสินใจว่าหากจะทำงานได้รวดเร็วก็ต้องใช้ภูมิประเทศที่เรียบง่ายที่สุด

    เขาเลือก... ดาวอังคาร

    ปิ๊บ!

    ทันใดนั้น ภูมิประเทศรอบตัวเขาก็กลายเป็นทะเลทรายมีโขดหินสีแดงอยู่ประปรายไปจนสุดลูกหูลูกตา มีก้อนเมฆสีแดงอ่อนๆลอยพัดอยู่เหนือตัวเขาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เริ่มลงมือสืบหาแหล่งที่มาของนักฆ่าโอริกามิจากหลักฐานที่เขาเพิ่งได้เมื่อเช้านี้

    เอ.อาร์.ไอ. กำลังเปิดเคสไฟล์ 087 นักฆ่าโอริกามิ...

    นอร์แมนเปิดเคสไฟล์ย่อยแรก เหยื่อของนักฆ่าโอริกามิ

    “มีเหยื่อแปดคนในสามปีที่ผ่านมา ทั้งหมดเป็นเด็กผู้ชาย อายุระหว่าง 9 ถึง 13 ปี ทั้งหมดไม่มีร่องรอยการทำร้ายร่างกาย เหยื่อหายไปในตอนกลางวัน แต่ไม่มีใครรู้สึกตัวเลย ศพถูกพบ 3 ถึง 5 วันหลังจากนั้น ทุกคนจมน้ำตายในน้ำฝน จากนั้นศพถึงถูกลากไปไว้ในสถานที่เปลี่ยว”

    จากนั้นนอร์แมนก็เปิดเคสไฟล์ย่อยอันที่สอง วิธีการทำงาน

    “เหมือนกับทุกๆคน... มีโอริกามิสอดไว้ในกำมือ และมีดอกกล้วยไม้วางทาบไว้บนหน้าอก เหยื่อตายไม่มากกว่า 6 ชั่วโมงหลังจากถูกพบ แสดงว่าเหยื่อที่ถูกจับไปมีชีวิตต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะจมน้ำตาย มีคนถูกถามมากกว่า 3500 คน มีผู้ต้องสงสัยมากกว่า 100 คน แต่ไม่มีอะไรที่ทำให้คดีนี้คืบหน้าได้เลย”

    เคสไฟล์ย่อยอันที่สาม สถานที่ๆเหยื่อถูกค้นพบ

    “เหยื่อทั้งหมดถูกพบในสถานที่ๆแตกต่างกัน แต่ถ้ารวมอาณาเขตแล้ว พื้นที่ทั้งหมดที่นักฆ่าใช้มีประมาณ 16 ตารางกิโลเมตร มีรางรถไฟอยู่ใกล้ๆศพตลอด และศพทั้งหมดถูกฆ่าในฤดูฝน”

    อันที่สี่ ลักษณะร่างกายและบุคลิกภาพ

    “นักฆ่าเป็นคนผิวขาว อายุระหว่าง 30 ถึง 45 ปี เป็นคนสงบ ฉลาด และรอบคอบ มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะมีอาชีพอยู่ แต่งานของเขามีเวลาว่างเยอะ”

    เอ.อาร์.ไอ. กำลังสแกนหลักฐาน...

    “มีความเป็นไปได้ 96 เปอร์เซนต์ที่รถของนักฆ่าจะเป็นเชฟโรเล็ต มาลิบู 83 ในเมืองที่นักฆ่าอยู่มีร้านขายโอริกามิแค่แห่งเดียว แต่ร้านขายกล้วยไม้นั้นมีเยอะมาก”

    “เฮ้อ... เอาล่ะได้ข้อมูลมาเยอะละ เอ.อาร์.ไอ. ชัทดาวน์” เขาบ่นพึมพำ

    เอ.อาร์.ไอ. กำลังปิดการทำงาน...

  13. #12
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 10: Meeting Point จุดนัดพบ

    Chapter 10: Meeting Point จุดนัดพบ

    วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2011

    เวลา 20.40 น.

    ปริมาณน้ำฝน ไม่แสดง


    เมื่อนอร์แมนได้ข้อมูลของนักฆ่าโอริกามิมามากพอแล้ว เขาก็ถอดแว่นของเขาออกและเหน็บไว้กับกระเป๋าเสื้อ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้ เขามองไปที่ถุงมือสีดำที่สวมไว้ในมือเขาก่อนที่จะถอดมันออก และก็เห็นมือของเขาสั่นไปมาอย่างควบคุบไม่ได้ ทุกอย่างได้เริ่มเบลอไปหมด ตาของเขาเบิกโพลง เหงื่อเขาก็เริ่มออก เขาเอามือที่สั่นอยู่เรื่อยๆนั้นก่ายหน้าผาก ขยี้ตา บีบจมูก และลูบหน้าไปทั่วๆ

    “อีกแล้วสินะ... ไปล้างหน้า... ต้องไป... ล้างหน้า...” เขาเริ่มกระวนกระวาย

    เขาลุกออกจากเก้าอี้ แต่เขามึนหัวจนแทบยืนไม่ได้ เขารู้ดีว่านี่คืออาการที่เกิดจากการขาดทริปโตเคน แต่ครั้งนี้ เขาจะพยายามเลิกมัน

    เขาเดินต้วมเตี้ยมออกห่างจากโต๊ะทำงานของเขาและเตรียมตัวที่จะยื่นมือไปเปิดลูกบิดประตู แต่มือนั้นกลับกำอะไรบางอย่างอยู่ เขาพลิกมือขึ้นและเห็นทริปโตเคนอันเป็นที่รักอยู่ในมือ

    เขาใช้เวลาคิดสักพัก แต่แล้วเขาก็เก็บทริปโตเคนไว้ข้างตัวแล้วเปิดประตูออกอย่างไว หน้าของเขาซีดเผือก วิสัยทัศน์ที่เขามองเห็นก็เริ่มแคบลงเรื่อยๆ เขาพยายามใช้สายตาอันน้อยนิดนั้นกวาดหาห้องน้ำชาย

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ คุณ...” ยามคนหนึ่งถามมาที่เขาเมื่อเห็นเขาทำท่าทางแปลกๆ

    เขาไม่ตอบ พลางพยายามแอบมือทั้งสองข้างที่สั่นอย่างไม่เป็นจังหวะไว้ด้านหลัง ถ้ามีใครสักคนในนี้รู้ว่าเขาติดยาเสพติดละก็ เขาคงถูกไล่ออกจากงานที่เป็นแน่

    เมื่อเขาเจอห้องน้ำแล้ว เขาก็รีบเดินเข้าไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เปิดประตู อาการของมือของเขาก็เริ่มสั่นมากขึ้นจนยกมือไม่ได้

    โชคดีที่มีคนเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี เขารีบซุกมือไว้ในกระเป๋ากางเกงและรีบเดินเข้าไปในนั้น ตาพยายามมองหาอ่างล้างหน้า เขารีบตะเกียกตะกายชะโงกหน้าไปใต้ก๊อกน้ำ แต่มือที่สั่นนั้นไม่มีแรงพอที่จะกดก๊อกน้ำให้ทำงานได้ เขาเลยใช้มือทั้งสองข้างทุบก๊อกนั้นอย่างรุนแรงจนน้ำไหลออกมา นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดของการรักษาอาการเฉพาะหน้าจากการขาดทริปโตเคน

    ในเวลาเดียวกัน อีธาน มาร์ส ก็เข้ามาแจ้งความในสถานี้ตำรวจแห่งนี้ ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนนำพาเขาเข้ามานั่งข้างๆเขาและพร้อมที่จะถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ร้อยโท เบลค ก็เข้ามาด้วย เขานั่งบนโต๊ะอย่างที่เคยชินและมองหน้าอีธานอย่างจริงจัง

    “คนนี้คือร้อยโทเบลค คุณอีธาน คุณช่วยบอกกับเขาได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

    อีธานหันหน้าไปหาเบลค

    “คือ... เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันนี้ครับ ผมไปสวนสาธารณะหลังโรงเรียนเลิกกับชอน ลูกชายของผม เราเล่นกันไปซักพักหนึ่ง แล้วเขาก็อยากขึ้นม้าหมุนน่ะครับ ผมก็เลยให้เขานั่งบนม้าหมุนนั้น แล้วพอผมหันกลับมา ชอน... ชอนก็... หายไปแล้ว” อีธานเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใจร้อน

    “ลูกคุณหายตอนกี่โมงครับคุณอีธาน ช่วยนึกให้ดีๆด้วยนะครับ ข้อมูลทุกอย่าง ถึงแม้มันจะเล็กนิดเดียวก็ตาม มันก็อาจจะสำคัญมากก็ได้” เบลคพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

    “ก็คงจะประมาณ... 5 โมง 15 น่ะครับ ผมคิดว่านะ ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่”

    “ลูกคุณสวมอะไรครับตอนเขาหายไป”

    “เขาสวมเสื้อคลุมน่ะครับ... เอ่อ... เสื้อคลุมสีน้ำตาลกับกางเกงสีดำ”

    เบลคพยักไหล่อย่างไม่เข้าใจ “ลูกของคุณจะหายไปได้ยังไงทั้งๆที่คุณก็อยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว”

    “ผมก็... ผมก็ไม่ได้ไปไหนเลยนะ ผมยืนอยู่ตรงนั้น แล้วก็...”

    “ชอนจะหายไปได้ยังไงถ้าคุณกำลังดูม้าหมุนอยู่” ชายอีกคนกล่าวขึ้นมา

    อีธานเริ่มสับสน “ผมก็ไม่รู้... ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน”

    เบลคและชายคนนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ และระหว่างนั้นนอร์แมนก็หายจากอาการที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อเขาเหลือบไปเห็นคนที่กำลังแจ้งความเด็กหายอยู่ เขาก็เข้าไปร่วมฟังด้วย

    สักพักเบลคกล่าวขึ้นมา “คุณบอกว่าคุณพาลูกชายของคุณไปสวนสาธารณะหลังโรงเรียนเลิก แต่คุณกลับมาแจ้งความเกือบสามทุ่ม อะไรทำให้คุณถึงชักช้านักล่ะ”

    “ก็ผม... ผมไปวิ่งหาลูกชายของผมไง แต่เมื่อไม่เจอใครผมก็กลับบ้าน ผมคิดว่าเขาคงจะไปเล่นกลับเพื่อนแล้วจะกลับบ้านทีหลัง แต่นี่ก็ดึกแล้วผมก็เลยตัดสินใจมาที่นี่”

    “ลูกของคุณมี... ปัญหาอะไรไหมครับคุณอีธาน อะไรบางอย่างที่อาจทำให้ลูกของคุณวิ่งหนีไปเองก็ได้” นอร์แมนซึ่งฟังอยู่นานแล้วกล่าวขึ้นมาบ้าง

    “ชอน... ชอนเขาเป็นเด็กที่ค่อนข้าง... เอ่อ... อ่อนต่อโลกน่ะ ช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ไม่ถือว่าดีมากนัก”

    “แล้วภรรยาของคุณล่ะครับ ทั้งสองคนมีปัญหาอะไรไหม” นอร์แมนกล่าวต่อ

    “จริงๆแล้วผมเลิกกับภรรยาของผมไปหกเดือนแล้วล่ะครับ แต่ชอนคงไปหนีไปไหนเองหรอกถ้าเขาไม่บอกพ่อแม่ของเขาก่อนน่ะ”

    “อืม... โอเค แค่นี้แหละคุณอีธาน” เบลคกล่าว “คุณไปได้แล้ว คืนนี้ทางเราจะพยายามหาชอนเอง เราจะติดต่อคุณถ้าหากเราต้องการอะไรเพิ่มเติม”

    เมื่อเห็นเบลคกำลังเดินออกไปอีธานก็รีบลุกขึ้น

    “เอ่อ...” อีธานพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “คุณคิดว่านักฆ่าโอริกามิ...”

    เบลคหันกลับมา “นี่ฟังนะ... ลูกของคุณคงวิ่งหนีไปเองแหละ เขาคงจะกลับมาอีกไม่กี่ชั่วใงนี้” เขาพูดอย่างไม่ค่อยสนใจ

    “แล้วถ้าเกิดมันเป็นนักฆ่าโอริกามิล่ะ...” อีธานเริ่มจริงจังมากขึ้น

    “ถ้ามันเป็นแบบนั้น... เราก็มีเวลาประมาณสี่วันก่อนที่เขาจะตาย...”

    สีหน้าของอีธานเครียดมากขึ้น และนอร์แมนก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่ออีธานหมดธุระแล้วเขาก็เดินออกจากสถานีตำรวจและเดินตรงไปหาเกรซ อดีตภรรยาของเขาที่รอเขาอยู่หน้าสถานีตำรวจอยู่แล้ว

    เกรซรีบลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นอีธานเดินออกมาจากคนมากมายที่อยู่ภายในนั้น

    “พวกเขาเจออะไรบ้างไหม” เกรซเอ่ยปากถาม

    อีธานพยักไหล่ “ยัง... ยังเลย แต่เขารับปากว่าเขาจะพยายามหาชอนคืนนี้”

    เกรซถอดหายใจเล็กน้อยพลางเอามือกอดอก “พวกนั้น... คิดว่ามันเป็นฝีมือของนักฆ่าโอริกมิหรือเปล่า”

    อีธานเริ่มกระสับกระส่าย “มะ... มันก็ยังเร็วไปหน่อยนะที่จะพูด แต่... มันก็มีโอกาสอยู่แหละ”

    เกรซซึ่งยืนฟังไม่รู้จะทำเช่นไรจึงเดินไปเดินมาพลางเอามือกุมหน้าด้วยความเครียดและเศร้า จากนั้นเธอก็หันหน้ากลับมาหาเขาและตวาดใส่เขา

    “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะอีธาน!?” เกรซพูดทั้งน้ำตา “คุณทำลูกหายแบบนั้นได้ยังไง! คุณไม่น่าที่จะละสายตาออกจากเขาเลย!”

    อีธานเริ่มถอนหายใจและหันหน้าหนีเกรซระหว่างที่เธอกำลังบ่น

    “ให้ตายสิ!” เธอบ่นต่อ “มันจะยากแค่ไหนกันที่จะดูแลลูกไม่ให้หายในสวนสาธารณะน่ะ คุณทิ้งเขาทำไม!? อีธาน! ทำไม!? เสียเจสันยังไม่พออีกใช่ไหม!?” เกรซตะคอกเสียงดังด้วยความโมโหจนตำรวจบางคนหันมามอง

    อีธานไม่ได้ตอบอะไรเธอ เขามองหน้าออกไปที่หน้าต่างอย่างเงียบๆ

    “ขอโทษนะอีธาน ฉันไม่น่าพูดแบบนั้นเลย” เกรซขอโทษเขา “ฉันคิดถึงเขามากเลยนะ... คิดถึงมากเลย”

    เกรซเริ่มร้องไห้หนักขึ้นกว่าเก่า อีธานเห็นดังนั้นจึงจะเข้าไปกอด แต่นึกขึ้นได้ว่าเขากับเธอนั้นหย่ากันแล้ว เขาจึงได้แต่ยืนมองเธออยู่ข้างๆ ได้แต่ยืนมองดูอดีตภรรยาของเขาร้องไห้ถึงลูกของเธอที่อาจจะไม่ได้มีวันกลับคืนมา

  14. #13
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 11: The Shop ร้านของฮัสซัน

    Chapter 11: The Shop ร้านของฮัสซัน

    วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2011

    เวลา 21.52 น.

    ปริมาณน้ำฝน 1.394 นิ้ว


    ดึกแล้ว พายุฝนที่เพิ่งกระหน่ำไปก็เริ่มที่จะจางลง บนถนนสายหนึ่งใกล้ๆกับสถานีตำรวจของกัปตันเพอร์รี่ก็มีร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งซึ่งเจ้าของร้านชื่อว่า ฮัสซัน ก็ใกล้จะปิดแล้ว ในร้านนั้นมีแต่เจ้าของร้านคนเดียวซึ่งเขาก็กำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของสินค้าเป็นครั้งสุดท้าย

    กริ้งๆ

    เสียงกริ่งข้างประตูได้ดังขึ้น ชายรูปร่างอ้วน สูงใหญ่ หรือ สก๊อต เชลบี ก็เดินเข้ามาภายในร้าน

    “สวัสดี” สก๊อตกล่าวอย่างเป็นมิตร

    “สวัสดีครับ ท่าน”

    สก๊อตเอามือของเขาพาดไว้บนเคาน์เตอร์

    “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” ฮัสซันถามอย่างสงสัย

    “ก็... ผมก็หวังว่านะ ผมชื่อ สก๊อต เชลบี เป็นนักสืบลับที่กำลังสืบสวนเรื่องนักฆ่าโอริกามิอยู่ จริงๆผมก็มีคำถามบางข้อที่อยากจะถามคุณน่ะ”

    สายตาของฮัสซันเริ่มก้มต่ำลงเรื่อยๆ

    “ลูก ผม ตาย แล้ว คุณสก๊อต” ฮัสซันเน้นคำ “ผมไม่มีอะไรจะพูดต่อ”

    สก๊อตเห็นดังนั้นจึงพยายามยื้อบทสนทนาต่อ

    “คุณอาจรู้ข้อมูลบางอย่างที่อาจจะช่วยเด็กคนอื่นไม่ให้...”

    สก๊อตพูดยังไม่ทันจบฮัสซันก็กล่าวขัดก่อน “ขนาดผมยังไม่สามารถช่วยชีวิตลูกของผมได้เลย แล้วผมจะสามารถช่วยเด็กคนอื่นได้อย่างไร”

    “คุณครับ นักฆ่านั่นได้ลักพาเด็กอีกคนไปแล้ว เป็นเด็กสิบขวบ เหมือนเรซ่า ลูกของคุณน่ะ” สก๊อตพยายามเกลี้ยกล่อมให้ฮัสซันร่วมมือ “ผมมีเวลาแค่สี่วันที่จะช่วยไม่ให้เด็กคนนั้นถูกฆ่าเพิ่มอีกรายนะ”

    “เหอะ! ไม่มีใคร... ที่คิดจะช่วยลูกของผมเลย แล้วทำไมผมถึงต้องไปช่วยลูกของคนอื่นด้วย” ฮัสซันเริ่มขึ้นเสียง “กรุณาเถอะครับ ออกไปจากร้านเถอะ”

    สก๊อตเห็นดังนั้นจึงก้มหัวพยักหน้าด้วยความเสียใจและก้าวขาเดินออกไปจากร้าน แต่ยังไม่พ้นจากตัวร้านดีนักสก๊อตก็กลับเข้ามา

    “อ้อ! ร้านคุณขายยาแก้หอบหืดไหม พอดีของผมมันหมดพอดีน่ะ และก็อย่างน้อยผมก็คงไม่ต้องกลับบ้านมือเปล่าด้วย”

    ฮัสซันชี้นิ้วไปที่มุมหลังสุดของร้าน “อยู่ตรงหลังร้านน่ะครับ เดินตรงไปจนสุดแล้วก็เลี้ยวขวา”

    “ขอบใจ”

    จากนั้นสก๊อตก็เดินตรงไปที่หลังร้าน พลางคิดในใจว่าเจ้าของร้านนี้ทำไมไม่ให้ความร่วมมือ เขาอาจจะรู้บางอย่างที่สำคัญในการช่วยชอนก็ได้

    กริ้งๆ

    เสียงกริ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง ชายรูปร่างผอมก็เดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางหวาดระแวง

    “สวัสดีครับ ท่าน” ฮัสซันกล่าวต้อนรับลูกค้า

    ชายคนนั้นมองซ้ายมองขวาราวกับว่าจะหาสิ่งของอะไรบางอย่าง

    “คุณ... กำลังหาสินค้าอะไรอยู่หรือครับ”

    เมื่อชายคนนั้นมองซ้ายมองขวาไม่เจอผู้ได้เขาก็ชักปืนพกข้างตัวเขามาจ่อหน้าตัวฮัสซัน

    “ปะ... เปิดแคชเชียร์และเอาตังมา! อย่าทำอะไรแปลกๆนะ” เสียงของชายผู้นั้นพูดอย่างตะกุกตะกัก

    ฮัสซันรีบยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณ เขาดูค่อนข้างที่จะตกใจอยู่พอสมควร

    “เปิดแคชเชียร์สิวะ หูหนวกหรือไง”

    เมื่อฮัสซันยืนนิ่งชายคนนั้นก็เริ่มที่จะทำอะไรไม่ถูก

    “ชิบหา* จะเปิดแคชเชียร์ได้ยังวะ!”

    “ไม่ครับ นี่เป็นเงินของผม ผมทำงานหนักมากเพื่อที่จะได้เงินเหล่านี้” ฮัสซันพยายามตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

    สก๊อตซึ่งแอบดูเงียบๆอยู่หลังตู้มานานแล้วก็พยายามที่จะเข้าไปช่วยขัดขวาง เขาค่อยๆย่องเดินเข้าไปข้างหลังช้าๆ

    “นี่นายมันโง่หรือไงวะ! เอาเงินมาไม่งั้นกระสุนได้ยิงใส่นายแน่”

    “คุณไม่ควรที่จะมาปล้นผู้อื่นนะครับ”

    “โธ่เว้ย!” ชายคนนั้นเคาะปืนใส่กะโหลกของฮัสซัน เขาล้มนอนลงไปกับพื้นก่อนที่จะพยุงตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ

    ชายคนนั้นพยายามที่จะใช้มือแงะให้แคชเชียร์เด้งออกแต่ก็ไม่เป็นผล

    “ฉันจะนับถึงสาม ถ้านับถึงสามเมื่อไหร่ แกตาย!” ชายคนนั้นพูดทั้งๆที่มือก็สั่นอยู่ เขาคงที่จะลองทำอะไรแบบนี้อยู่ครั้งแรก

    “หนึ่ง! เร็วๆ เอาเงินมา”

    สก๊อตเริ่มเดินย่องเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ส่วนฮัสซันเองก็ลุกขึ้นยืนแล้วพิงตัวเองไปกับผนังด้านหลัง มือทั้งสองข้างยังคงชูมือไว้อยู่

    “ไม่ได้ครับ คุณทำอย่างนี้มันไม่ถูก” ฮัสซันพูดออกมา

    “สอง! อย่าทำให้ต้องยิงนะ”

    สก๊อตเห็นท่าไม่ดีจึงรีบย่องให้เร็วขึ้น แต่ทันใดนั้นเขาก็เผลอไปชนขวดแก้วไวน์ข้างๆเขา

    เพล้ง!

    ปัง!

    เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดหลังจากเสียงแก้วแตก ชายคนนั้นคงตกใจจึงเผลอลั่นไกโดยไม่รู้ตัว กระสุนนั้นได้ทะลุเข้าไปในคอของฮัสซันและเขาก็ล้มลงไปอย่างน่าเวทนา ชายผู้นั้นหันหน้ามาเจอสก๊อตแล้วก็ตกใจ จึงรีบหนีออกจากร้านไป

    สก๊อตเห็นท่าไม่ดี เมื่อชายผู้นั้นออกไปแล้ว เขาก็รี่ตรงไปที่ร่างของฮัสซัน

    เขายังคงตะเกียกตะกายอยู่...

    สก๊อตเอามือไปทาบที่หน้าอกของเขาเพื่อตรวจหาชีพจร ระหว่างนั้นฮัสซันก็พูดขึ้นมาอย่างช้าๆ

    “ฉะ... ฉันหวังว่า.. จะได้มีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้... เพื่อที่จะได้เห็นหน้าของคนที่พรากชีวิตของลูกผมไป...” ตาของฮัสซันมองลอยขึ้นไปบนเพดาน เลือดของเขาไหลพรากออกมาจากลำคอ “มัน... มีความโกรธเกินไป... ตอนนี้...”

    ฮัสซันยกมือขึ้นชี้ไปที่กล่องๆหนึ่งซึ่งถูกวางไว้ใต้เคาน์เตอร์

    “นั่น... เป็นกล่อง... ที่นักฆ่านั้นมอบให้กับผม... กรุณา...” เมื่อสิ้นสุดคำพูด ฮัสซันก็เสียชีวิตลง มือของเขาที่กุมคอไว้อยู่ก็ค่อยๆไถลลงมากับพื้น สก๊อตมองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนที่จะใช้มือปิดตาของเขาทั้งสองข้าง

    เขาเดินหยิบไปเอากล่องขึ้นมาเปิดดู ภายในนั้นมีโอริกามิสีเขียวรูปกิ้งก่าอยู่หนึ่งอัน เขาหยิบมันขึ้นมาดูภายใต้แสงไฟจากหลอดไฟด้านบน จากนั้นเขาก็เก็บมันลงกล่องและยกกล่องออกจากร้านไป

  15. #14
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 12: Paparazzi นักข่าวหรรษา

    Chapter 12: Paparazzi นักข่าวหรรษา

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 02.44 น.

    ปริมาณน้ำฝน 1.564 นิ้ว


    ณ ท่ามกลางดึกคืนวันหลังจากที่ชอนหายไป ยังคงมีอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่ง ภายในห้องของสาววัย 27 ปีนามว่า เมดิสัน เพจ ก็เต็มไปด้วยเสียงฝนที่ยังคงตกกระทบลงบนหน้าต่างอย่างไม่ขาดสาย ภายในห้องนั้นกว้างขวางและหรูหรา พร้อมเพรียงไปด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์นสลับกับจานชามที่มีลวดลายวัฒนธรรมเอเชียวางเรียงซ้อนกันไป ข้างๆมีโทรทัศน์จอแบนที่เปิดทิ้งไว้อยู่

    “เฮือก!”

    เมดิสันลุกขึ้นมาจากโซฟาอย่างกระทันหัน เธอคงเพิ่งตื่นจากฝันร้ายอยู่เป็นแน่แท้ เมดิสันในชุดลำลองสีขาวก็ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมาจากโซฟาด้วยความเหนื่อยที่เธอต้องมาตื่นกลางดึกอีกครั้ง

    เธอหยิบรีโมทโทรทัศน์ขึ้นมาแล้วกดปิดมัน พลางชำเลืองมองนาฬิกาที่แขวนไว้ข้างผนัง

    02.44 น.

    “อีกแล้วหรอ... ทำไมฉันต้องตื่นมาเวลานี้ทุกทีเลย”

    เมดิสันรู้ดีว่าเธอนอนหลับยาก และอาการนอนไม่หลับของเธอก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอเดินไปที่โต๊ะกาแฟที่มีเครื่องทำกาแฟวางอยู่ และข้างบนนั้นก็ห้อยรูปภาพลวดลายต่างๆที่เป็นผลงานของเธอเอง แต่ดูเหมือนว่าสิ่งประดับหรูหรารอบๆตัวเธอไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขขึ้นเลย

    เธอหยิบกาแฟมาถ้วยหนึ่งซึ่งเพิ่งชงเสร็จพอดีมาซดดื่มอย่างช้าๆจนหมด

    “วันนี้... ต้องไม่กินยานั้นอีก” เมดิสันคิดในใจ

    ยานั้นคือยานอนหลับ ซึ่งเธอก็กินมันเป็นประจำเกือบทุกวันเพราะไม่เช่นนั้นเธอก็ไม่มีวันนอนหลับอย่างสบายใจได้เลย

    เมดิสันทำงานเป็นนักข่าว ซึ่งตอนนี้เธอก็พยายามที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับนักฆ่าโอริกามิอยู่เหมือนกัน แต่การทำงานที่หนักโหมไปนั้นทำให้อาการนอนไม่หลับของเธอเริ่มกำเริบขึ้นเรื่อยๆ

    เธอเดินวนไปวนมาในห้องพักของเธอเนื่องจากเธอพยายามหาอะไรทำแก้เบื่ออยู่ ซึ่งในตอนนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงประหลาดมาจากประตูหน้า

    แกร๊ก!

    เมดิสันหันหน้าไปโดยไวแต่ก็ไม่พบผู้ใด

    “ฉัน... สาบานได้เลยว่าเมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง...” เมดิสันเริ่มสงสัย แต่เธอก็พยายามที่จะไม่สนใจเสียงนั้นเพราะคิดว่ามันคงเป็นภาพหลอนจากอาการนอนไม่หลับของเธอ

    เธอเดินตรงไปที่เตียงใหญ่หลังจากที่การนอนบนโซฟานั้นไม่ค่อยช่วยอะไร

    “ฉันเหนื่อยมาก... ต้องนอน... ไม่ว่ายังไงก็ต้องนอน...”

    เมดิสันค่อยๆเอนตัวลงไปบนเตียง แต่ตาของเธอยังคงมองเพดานอยู่

    ตึบ! ตึบ! ตึบ! ตึบ!

    เงาสีดำเพิ่งผ่านหน้าเมดิสันไปด้วยความเร็ว

    “เฮือก!”

    เมดิสันรีบลุกออกจากเตียงอีกครั้งพลางหันหน้าไปมาอย่างระหวาดระแวง

    “เมื่อกี้... เหมือนเงาใครบางคน ทำใจไว้ดีๆสิเรา ไม่มีใครในนี้หรอก ประตูก็ปิดแน่นและเราก็อยู่ในบ้านคนเดียว”

    เธอเดินขึ้นไปเปิดโคมไฟข้างๆหน้าต่างบานใหญ่ จากนั้นเธอก็ใช้แขนพิงหน้าต่างและมองออกไปอย่างน่าเบื่อ

    ย่านที่เมดิสันพักอาศัยอยู่เป็นย่านคนร่ำรวย มีตึกระฟ้าสูงใหญ่อยู่ไม่ขาดซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงใจกลางเมือง ห้องที่เธอพักอาศัยอยู่ก็อยู่ในหนึ่งในตึกเหล่านั้น แสงไฟซึ่งส่องออกมาจากตึกท่ามกลางฝนที่ตกลงมานั้นช่างงดงามเหลือเกิน

    แกร๊ก!

    “เสียงนี้อีกแล้วหรอ...”

    ความหวาดระแวงของเมดิสันเริ่มพุ่งถาโถมมากขึ้นเต็มที เธอค่อยๆเดินไปที่โต๊ะกินข้าวและมองไปที่ห้องครัว เห็นตู้เย็นเปิดทิ้งไว้อยู่ เธอเดินไปที่ตู้เย็นและปิดมันไว้อย่างเก่า

    ตึบ! ตึบ! ตึบ! ตึบ!

    “มีใคร... บางคนอยู่ในห้องฉัน!”

    เมดิสันเบี่ยงตัวหลบไปอยู่ข้างตู้เย็น สายตาเธอมองเห็นใครบางคนสวมชุดสีดำสนิททั้งตัวอยู่ และเขาผู้นั้นก็เดินเข้าใกล้มาเรื่อยๆ เมดิสันรีบวิ่งหนีแต่ไม่พ้นเงื้อมมือของชายชุดดำคนนั้น เขากระชากคอเสื้อเธอจนขาดและโยนเธอลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรง จากนั้นเมื่อเธอตั้งสติได้ทันเธอก็พยายามกลิ้งตัวหนีออกและวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ จนเมื่อล็อคกลอนประตูเสร็จแล้ว เธอก็ค่อยๆเดินออกห่างจากประตูนั้นด้วยความเหนื่อย แต่สายตาเธอก็ได้เหลือบมองไปในกระจก และมันก็มีเงาของชายชุดดำอีกคนอยู่

    เมดิสันร้องตะโกนอย่างกระวนกระวาย ชายชุดดำนั้นก็ตรงรี่เข้ามาจับคอเสื้อเธอจากข้างหลังและนำมีดพกเล็กๆมาทาบลงบนคอของเธอ จากนั้นเขาก็กระชากมีดนั้นอย่างรุนแรง

    เอื้อก!

    “เฮือก!”

    เมดิสันตื่นขึ้นมาจากโซฟา มองซ้ายมองขวาเห็นสภาพห้องยังคงสมบูรณ์ก็คิดได้ว่าอาการนอนไม่หลับของเธอนั้นเริ่มที่จะกำเริบใหญ่แล้ว เมดิสันเอามือกุมหน้าผาก พลางโทษตัวเองที่อาการนอนไม่หลับนั้นทำเธอไม่ได้นอนสักที

    ***

    เวลา 07.31 น.

    ปริมาณน้ำฝน 1.700 นิ้ว


    ฝนได้หยุดตกหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง อีธานยังคงนั่งเงียบๆอยู่ในบ้านเพียงคนเดียว พลางคิดในใจว่าเพราะเหตุใดลูกของเขาถึงได้หายไปโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลย

    เขาเอนหลังไปบนเก้าอี้ “หรือว่าฉันจะเป็นนักฆ่าโอริกามิ... เมื่อฉันหมดสติ... ชอนก็หายไป... หายไปตอนเวลานั้นเลย” เขาคิดในใจ

    เมื่อหาทางออกไม่ได้เขาก็หยิบจดหมายที่เขาเพิ่งได้รับเมื่อเช้านี้ขึ้นมาอ่าน จดหมายนั้นจ่าหน้าชื่อของเขา แต่กลับไม่มีชื่อของผู้ที่ส่งมา

    ภายในจดหมายนั้นมีกระดาษอยู่หนึ่งแผ่น เขาคลี่มันและเปิดอ่าน ตัวอักษรที่ใช้เขียนนั้นมาจากเครื่องพิมพ์ดีดรุ่นโบราณมากเลยทีเดียว

    เมื่อพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นออกมาจากโบสถ์

    เด็กๆเหล่านั้นก็หายไปแล้ว

    พวกเขาออกตามหาเด็กเหล่านั้น

    พวกเขาร้องไห้และขอความหวัง

    แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ


    เขาเริ่มพิจารณาข้อความเหล่านั้นอย่างเคร่งเครียด ไม่ผิดแน่ จดหมายนี้ถูกส่งมาจากนักฆ่าโอริกามิ ดูเหมือนว่าเขาต้องการที่จะทดสอบอีธานด้วยอะไรบางอย่าง

    อีธานพบว่าภายในจดหมายมีตั๋วอยู่หนึ่งใบ

    สถานีรถไฟเลคซิงตัน บัตรผ่านเปิดล็อกเกอร์ แถว 18 ช่องที่ 3

    สถานีรถไฟ!? บัตรผ่านเปิดล็อกเกอร์!?

    ฉันต้องไปที่นั่นแหละ...

    ที่นี่เป็นที่ๆเดียวที่เป็นเบาะแสในการหาลูกของเขา อีธานไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ส่งจดหมายนี้มา ไม่แน่ เมื่อเขาหมดสติเขาอาจจะส่งจดหมายนี้หาตัวเองก็เป็นได้ เป็นเพราะอีธานเริ่มไม่เชื่อในอาการหมดสติของเขา เมื่อเขาหมดสติเขาอาจที่จะทำอะไรโดยที่เขาไม่รู้ตัวก็ได้

    อีธานนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น ตอนที่เขาออกมาจากห้องชอนแล้วเขาก็หมดสติ เมื่อเขาตื่นขึ้นมาเขาก็อยู่กลางถนนแล้ว ในมือเขายังมีโอริกามิอยู่ด้วย ซึ่งมันเป็นก็แบบเดียวกันกับที่ถูกวางบนมือของเหยื่อเลย

    อีธานเดินไปที่หน้าบ้านและเปิดประตูบ้านออก แต่ก็ต้องตกใจกับนักข่าวจำนวนนับไม่ถ้วนที่มารอดักหน้าบ้านเขาตั้งแต่เช้า แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปและคำถามของนักข่าวก็โปรยเข้ามาใส่เขาอย่างไม่ทันตั้งตัว

    “พูดอะไรหน่อยครับคุณอีธาน!”

    “คุณอีธาน! เกิดอะไรขึ้น!”

    “คุณอีธาน! คุณอีธาน!”

    ปัง!

    เขาปิดประตูอย่างรวดเร็วและเริ่มหงุดหงิด “ให้ตายสินักข่าวพวกนี้ มันมาอออยู่หน้าบ้านฉันทั้งวัน”

    แต่เขาหยุดอยู่แค่นี้ไม่ได้ เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้วว่าต้องออกตามหาชอน เขาก็ทำใจกล้าเปิดประตูหน้าบ้านอีกครั้ง และเดินไปยังรถของเขาอย่างช้าๆท่ามกลางนักข่าวที่กระหิวกระหายข่าวอย่างบ้าเลือดอยู่

    “คุณอีธาน! โปรดยืนยันหน่อยครับว่าลูกของคุณหายไป!”

    “คุณคิดว่านักฆ่าโอริกามิมีส่วนร่วมในเคสนี้ไหมคะ!”

    “คุณอีธาน! คุณอีธาน!”

    “คุณอีธาน! ขอร้องเถอะครับ! จากสำนักข่าวไอซีเอ็น!”

    “มีใครน่าสงสัยไหมครับคุณอีธาน!”

    “คุณทำลูกหายในสวนสาธารณะ คุณรู้สึกอย่างไรบ้างครับคุณอีธาน!”

    “คุณคิดว่าลูกของคุณยังมีชีวิตไหมครับ!”

    อีธานไม่ตอบคำถามใคร เขาเปิดประตูรถและสตาร์ทรถทันที เมื่อนักข่าวไม่ยอมถอยที่ให้รถออกเขาก็เริ่มกดคันเร่งเตือนจนพวกนั้นถอยออกไปอย่างช้าๆ

    เสียงนักข่าวเหล่านั้นค่อยๆหายไปเมื่อรถได้ออกตัวมาสักระยะหนึ่งแล้ว เขามุ่งหน้าไปยังเบาะแสเดียวที่เขามีอยู่... สถานีรถไฟเลคซิงตัน

  16. #15
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 13: Lexington Station สถานีเลคซิงตัน

    Chapter 13: Lexington Station สถานีเลคซิงตัน

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 8.17 น.

    ปริมาณน้ำฝน 1.721 นิ้ว


    สถานีรถไฟเลคซิงตัน... ผู้คนจำนวนมากต่างก็ทยอยกันเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ มันช่างแออัดมากไม่ต่างกับเมื่อตอนที่อีธานไปในห้างเมื่อ 2 ปีก่อนเลย

    เขายืนอยู่กับที่แล้วค่อยๆกุมสติกลับมาเมื่อเห็นภาพรอบตัวเขาค่อยๆบิดเบี้ยว เขาเริ่มหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆพลางพยายามมองหาห้องล็อกเกอร์ที่อยู่ในนี้

    หลังจากเหตุการณ์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว นักบำบัดสุขภาพจิตที่อีธานไปหาบ่อยๆก็บอกกับเขาว่าเขาเป็นโรคกลัวคนเยอะ เมื่อเขาไปอยู่ในกลุ่มฝูงชนจำนวนมากจะทำให้เขาเห็นภาพหลอนและหมดสติ อีธานรู้ดีแต่เขาก็ต้องฝ่ากลุ่มคนนั้นไปเพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่เขาจะช่วยเหลือลูกของเขาได้

    เอื้อก!

    เขาเริ่มหายใจไม่ออก ภาพที่มองเห็นค่อยๆเปลี่ยนเป็นโทนสีขาวดำ ผู้คนรอบตัวเขาเริ่มเดินช้าลง เขารีบเอามือสองข้างกุมคอและค่อยๆเดินไปข้างหน้าอย่างทุรนทุราย

    ทันใดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดลงอย่างกระทันหัน ผู้คนรอบๆตัวเขาก็ต่างหยุดนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง โทนสีทุกอย่างกลายเป็นสีขาวดำ แต่ตัวอักษรดิจิตอลที่เขียนไว้บนกระดานขาเข้าขาออกของรถไฟยังคงเปลี่ยนไปมาอยู่

    อีธานหันหน้าไปมองรอบทิศ เห็นผู้ชายคนหนึ่งสวมแว่นที่กำลังยืนค้างอยู่ เขาค่อยๆยกมือไปแตะหัวไหล่คนนั้น

    แกร๊ก!

    ร่างกายของคนๆนั้นหลุดร่วงอย่างไม่มีชิ้นดีหลังจากที่อีธานเอามือไปแตะเขา อีธานตกใจอย่างมาก เขาทดลองแบบนี้กับคนอีกสองคนแต่มันกลับทำให้สภาพแวดล้อมตอนนี้น่าหดหู่ยิ่งขึ้น

    ประกาศ... ผู้โดยสารขาเข้ารอบพิเศษ โปรดรับสัมภาระได้ที่ช่อง 7 ค่ะ

    เสียงประกาศของผู้หญิงนั้นได้แว่วเข้าหูเขาขึ้นมา เขาหันไปอีกด้านหนึ่ง จากนั้นเขาก็เห็นลูกโป่งสีแดงที่เหมือนกับอันที่เจสันถือเลย

    “พ่อ... พ่ออยู่ที่ไหน...”

    เสียงเจสันดังแว่วขึ้นมา เจสันในชุดสีเขียวมือถือลูกโป่งก็วิ่งตามหาคุณพ่อของเขาอย่างสะเปะสะปะ

    เจสัน!?

    ผู้คนจำนวนมากได้ล้มลงหลังจากที่อีธานชนไป แต่อีธานก็ไม่คิดอะไรทั้งนั้น เมื่อเขาเห็นภาพของเจสันกำลังเดินหาพ่อของเขาอยู่เขาก็เดินไปที่ลูกของเขาทันที

    “เจสัน!” เขาตะโกนเรียกอย่างแน่วแน่ ไม่ผิดแน่ นั่นคือเจสัน ลูกของเขาที่ควรจะตายไปเมื่อสองปีก่อน

    “ลูกโป่ง... ต้องเดินไปที่ลูกโป่ง”

    ไม่ว่าอีธานจะทำอย่างไร ยิ่งเขาเข้าใกล้เจสันเท่าไหร่ สภาพแวดล้อมรอบตัวเขาก็เหมือนถูกยืดให้ห่างจากกันขึ้นเท่านั้น

    “พ่อ...”

    เสียงเจสันร้องขึ้นมาในภวังค์ยิ่งเร่งเร้าให้อีธานเดินเร็วขึ้น

    แกร๊ก!

    อีธานสะดุดขาของผู้โดยสารคนหนึ่งจนเขาล้มลงไปทาบกับคนๆนั้น แต่เมื่อเขาลุกขึ้นมาเขาก็พบว่าคนทุกคนที่อยู่ในนี้นอนสลบกันหมด เหลือเพียงเขาคนเดียว แต่เมื่อเขามองไปยังด้านหน้า เขาก็เห็นเจสันกำลังเดินออกห่างจากเขาอยู่

    “เจสัน... รอเดี๋ยว พ่ออยู่ตรงนี้ หันหน้ามาสิเจสัน”

    “พ่อ... พ่ออยู่ที่ไหน”

    ดูเหมือนว่าเจสันจะได้ยินเสียงเขา แต่เจสันกลับไม่หันหน้ามาหาเขาเลย ทั้งคู่ต่างก็เดินละล่องละลอยอยู่ในสถานีอยู่เพียงแค่สองคน เขาเริ่มเร่งฝีเท้าให้ทันเจสันมากขึ้น จนตัวเขาใกล้เจสันมากขึ้นเรื่อยๆ

    เมื่ออยู่ในระยะเผาขนเขาก็ยื่นมือไปหวังจะคว้าตัวเจสัน แต่ตัวเขากลับถูกแรงจากด้านหน้าผลักจนเขาล้มไปด้านหลัง

    “ทำอะไรน่ะคุณ นี่มันห้องน้ำหญิงนะคะ”

    อีธานลืมตาขึ้น แล้วก็พบว่าภวังค์ทั้งหลายนั้นหายไปแล้ว เขามองไปด้านหลัง เห็นผู้คนจำนวนมากเดินไปมาอย่างปกติ เขารีบเดินออกมาจากห้องน้ำหญิงที่เขาเผลอเข้าไปโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่ข้างๆห้องน้ำนั้นมีห้องเก็บล็อกเกอร์อยู่

    จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในนั้น...

    “ขอโทษนะครับ ขอดูบัตรด้วยครับ” เสียงยามที่เฝ้าประตูไว้เอ่ยขึ้นมา

    อีธานยื่นบัตรเปิดล็อกเกอร์ให้ดู จากนั้นยามก็อนุญาติเขาให้เข้าไปในนั้น เขาเดินตรงไปที่ล็อกเกอร์ซึ่งอยู่ตรงแถวที่ 18 ช่องที่ 3

    เขาเอามือเปิดล็อกเกอร์แต่ก็พบว่ามันถูกล็อคโดยระบบดิจิตอล อีธานพลิกหลังบัตรนั้น มอฃเห็นรหัสผ่านอยู่ 6 ตัว

    1 3 0 5 0 9

    แอ๊ด!

    ล็อกเกอร์ได้เด้งออกมา จากนั้นอีธานก็ค่อยๆเหลือบเข้าไปมองข้างใน มองเห็นกล่องรองเท้าเก่าๆอยู่หนึ่งกล่อง

    อีธานหยิบกล่องรองเท้านั้นมาอย่างระมัดระวัง เขายังไม่เปิดดูว่าข้างในนั้นมีอะไร แต่เขาก็ตรงรี่ไปที่รถของเขาซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ

    “ไปที่บ้านไม่ได้แล้วสินะ... นักข่าวเยอะขนาดนั้น” เขาพยายามคิดถึงความเป็นไปได้ “คงต้องไปพักที่ห้องเช่า...”

    เมื่ออีธานก้าวขาออกจากสถานีรถไฟก็เห็นฝนจำนวนมากหลั่งไหลออกมาจากท้องฟ้า สภาพแวดล้อมทั้งหมดนั้นเปียกชื้น อีธานรู้สึกหงุดหงิดนิดๆที่แสงอาทิตย์นั้นโผล่ออกมาแค่ไม่กี่ชั่วโมง เขาเดินไปที่รถและขับไปยังโรงแรมเก่าๆซึ่งอยู่ใกล้ๆพลางคิดว่าจะพักอยู่ที่นี่จนกว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะจบลง

  17. #16
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 14: The Motel หนึ่งชีวิตกับหนึ่งกล่องรองเท้าเก่า

    Chapter 14: The Motel หนึ่งชีวิตกับหนึ่งกล่องรองเท้าเก่า

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 9.31 น.

    ปริมาณน้ำฝน 1.721 นิ้ว


    อากาศมืดครึ้มกับสายฝนตกกระหน่ำ มันเป็นเช่นนี้ทุกวัน น้อยนักที่ใครจะเห็นแสงอาทิตย์เล็ดลอดออกมาจากสภาพอากาศแบบนี้ หลายคนก็คงจะหวังว่าอยากให้ฤดูฝนนี้หายไปเร็วๆ อีธานก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้สิ่งแรกที่เขาต้องคิดถึงก่อนก็คือลูกของเขา เขาพักอาศัยอยู่บนชั้น 2 ห้อง 207 ในโรงแรมเก่าๆที่ชื่อว่า ครอสโร้ด โมเท็ล

    อีธานนั่งเงียบๆอยู่บนเตียง สายตาพลางเหลือบมองกล่องรองเท้าที่เขาเพิ่งได้รับมาเมื่อเช้านี้ เขาไม่แน่ใจว่าในกล่องนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน และทำไมมันต้องส่งมาหาเขาด้วย

    เขาลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปยังกล่องนั้นที่ถูกวางบนโต๊ะไม้เก่าๆ เขานั่งลงบนเก้าอี้มือกุมขมับอย่างเคร่งเครียด สายตาเขาจ้องมองไปที่กล่องนั่นอย่างไม่ลดละ แต่เขาก็ยอมแพ้

    เขาลุกออกจากเก้าอี้ด้วยใจที่ไม่อยากเปิดมัน เขาซดน้ำดื่มที่อยู่ในตู้เย็นเล็กๆใต้เคาน์เตอร์ซักอึกนึงก่อนที่จะทำใจเปิดกล่องนั่นอีกรอบ

    เขาค่อยๆใช้มือดันปากกล่องให้เปิด สายตาเขาชะแง้มมองเข้าไปข้างใน เห็นกระดาษสีเขียวๆอยู่ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นเขาก็โยนฝากล่องทิ้งไปและคว่ำกล่องนั้นอย่างรวดเร็ว เสียงกระทบจากสิ่งของที่อยู่ข้างในก็ทำให้เขาสงสัยอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

    เขายกกล่องออก มองเห็นสิ่งของหลายอย่างกระจัดกระจายอยู่ ภายในนั้นมีโอริกามิอยู่ 5 อัน ซึ่งแต่ละอันมีสีไม่เหมือนกันและมันถูกพับเป็นสัตว์ 5 ชนิด หมี ผีเสื้อ กิ้งก่า ฉลาม และหนู ซึ่งแต่ละอันมีตัวเลขเขียนไว้อยู่ 1 ถึง 5 บนแต่ละอัน นอกจากนี้ยังมีปืนพกที่ทำจากสแตนเลสสตีล โทรศัพท์มือถือ และเมมโมรี่การ์ด

    ของพวกนี้มันอะไรกันเนี่ย!?

    เขาหยิบปืนพกขึ้นมาส่องดูก่อนที่จะวางมันลงไป ในนั้นมีกระสุนอยู่ครบและมันก็เป็นปืนจริงๆ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือเล็กๆนั้นมาและเสียบเมมโมรี่การ์ดเข้าไป

    ติ๊ด!

    กำลังโหลด...

    ...

    โหลดเสร็จสิ้น กำลังเล่นวีดีโอ...

    ภาพของฝนที่โหมกระหน่ำได้ถูกฉายมายังโทรศัพท์นี้ จากนั้นกล้องก็ค่อยๆเลื่อนลงมาตรงตะแกรงเหล็กที่เอาไว้ระบายน้ำ กล้องนั้นค่อยๆซูมเข้าไปจนเขาสามารถมองเห็นลูกของเขาได้

    “ชอน... ชอน... นั่นมันชอนไม่ผิดแน่!”

    ชอนในวีดีโอกำลังเอามือขึ้นจับตะแกรงเหล็ก ตรงสะโพกเขามีน้ำขังอยู่และฝนก็กำลังเทลงมาเรื่อยๆ อีธานรู้ได้ในทันทีว่าชอนจะจมน้ำตายแน่นอนหากเขาถูกทิ้งไว้อย่างนั้น

    “พ่อ...”

    เสียงชอนกล่าวขึ้นมาอย่างน่าเวทนา น้ำตาก็เริ่มไหลออกมาจากเบ้าตาอีธาน

    “พ่อ... พ่ออยู่ที่ไหน... ผมหนาวมากเลย... พ่อ...”

    วีดีโอก็ถูกตัดไปหลังสิ้นสุดเสียง จากนั้นก็มีตัวอักษรบางอย่างโผล่ขึ้นมากลางหน้าจอโทรศัพท์

    "คุณเตรียมใจไว้แค่ไหนเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?"

    โอริกามิ 5 ชิ้น แต่ละชิ้นคือแบบทดสอบ แต่ละแบบทดสอบจะให้เงื่อนงำบางอย่าง หากคุณทำครบ 5 แบบทดสอบ คุณจะได้ที่อยู่ ซึ่งคุณจะได้พบกับลูกของคุณที่นั่น

    อีธานวางโทรศัพท์ลงไปบนโต๊ะทันทีหลังเขาอ่านจบ จากนั้นเขาก็หยิบโอริกามิสีน้ำตาลรูปหมีที่เขียนเลข 1 ไว้ขึ้นมา

    ตัวอักษรโบราณสีดำถูกพิมพ์บนกระดาษยับที่ยู่ยี่ที่เขาเพิ่งคลายออกมา

    "คุณพร้อมหรือยังที่จะแสดงความกล้าหาญเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?"

    โจ. อินดัสทรีส์ โรงรถและลานจอดรถ 4988 ถนนรูซเวลท์ เลคซิงตัน

    เมื่อเขาอ่านจบเขาก็ขยำโอริกามิอันนั้นและเอาใส่กระเป๋ากางเกง แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะเอาโทรศัพท์กับปืนพกนั้นไปด้วย เขาเอาฝากล่องมาปิดไว้ดังเดิมจากนั้นก็วิ่งออกจากห้องของเขาอย่างรวดเร็ว ตรงไปที่รถยนต์ก่อนที่จะออกตัวไปยังสถานที่ๆเขาเพิ่งได้รับมา
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 27th December 2014 เมื่อ 20:36

  18. #17
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 15: Kick Off Meeting ประชุมล่านักฆ่า

    Chapter 15: Kick Off Meeting ประชุมล่านักฆ่า

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 9.31 น.

    ปริมาณน้ำฝน 1.836 นิ้ว


    “นักฆ่าเป็นคนผิวขาว มีอายุระหว่าง 30 ถึง 45 ปี เขาวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างดีก่อนที่จะลงมือฆ่าเหยื่อ เขาไม่มีเรื่องอะไรฝังใจกับเหยื่อเพราะฉะนั้นเขาจึงโปะหน้าเหยื่อแต่ละคนด้วยโคลนเพื่อที่จะให้พวกนั้นไม่เป็นที่รู้จัก”

    นอร์แมนเดินบรรยายในห้องประชุมเล็กๆภายในสถานีตำรวจของกัปตันเพอร์รี่ ในห้องนั้นมีคนฟังอยู่สามคนซึ่งได้แก่กัปตันเพอร์รี่ ร้อยโทเบลค และแอช เพื่อนสนิทของเบลค

    ภายในห้องมีเครื่องฉายโปรเจคเตอร์อยู่หนึ่งเครื่องซึ่งนอร์แมนกำลังใช้มันอยู่ เขาค่อยๆโชว์สไลด์โชว์ไปเรื่อยๆเพื่อแจกจ่ายข้อมูลที่เข้าได้รับมาให้คนอื่นดู แต่ดูเหมือนเบลคจะไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่นัก

    “ทำไมนักฆ่าถึงต้องฆ่าเหยื่อทั้งๆที่เขาไม่มีเรื่องอะไรฝังใจกับเหยื่อเลยล่ะ” แอชถามขึ้นมา

    “เป็นคำถามที่ดี” นอร์แมนกล่าว “สำหรับนักฆ่าแล้วมันก็เหมือนกับ... เอ่อ... สัญลักษณ์ว่าเขาคือนักฆ่าโอริกามิอะไรประมาณนี้ นั่นก็เป็นเหตุผลนึงที่เขาวางโอริกามิไว้ในมือและดอกกล้วยไม้ไว้บนหน้าอกของเหยื่อ มันอาจจะเป็นการขอโทษต่อศพเหล่านั้นก็ได้”

    “น่าสนใจนะ...” เบลคที่นั่งไขว้ห้างอยู่ข้างๆกัปตันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “และมันช่วยอะไรเกี่ยวกับคดีนี้ได้บ้างล่ะ”

    “มันก็ช่วยปูพื้นฐานเกี่ยวกับนักฆ่าว่าเขาเป็นคนอะไรยังไง และมันก็ยังทำให้เราเข้าใจในตัวนักฆ่ามากขึ้นด้วย น่าเสียดายนะแต่มันคงจะมีประโยชน์มากถ้ามันถูกใช้ในการสืบสวนตอนแรกๆ”นอร์แมนเดินหน้ามาหาเบลคเล็กน้อย

    “ต่อเลยนอร์แมน” กัปตันเพอร์รี่ซึ่งนั่งฟังอยู่นานแล้วกล่าวขึ้น

    นอร์แมนคลิกเมาส์ที่วางอยู่บนโต๊ะเพื่อเลื่อนสไลด์โชว์และอธิบายต่อ

    “มีข้อมูลจุดนึงน่าสนใจมาก เวลาระหว่างที่เด็กถูกประกาศว่าหายถึงเวลาที่ศพถูกพบนั้นมีช่วงระยะเวลาประมาณ 3 ถึง 5 วันเท่านั้นเอง แต่ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา ถ้าบวกลบแล้วก็อยู่ประมาณ 6 นิ้วตลอด”

    “แล้วนั่นมันหมายความว่าอย่างไร” กัปตันเพอร์รี่กล่าวเมื่อเห็นนอร์แมนอธิบายไม่ค่อยกระจ่าง

    “เพราะเหยื่อทุกคนจมน้ำในน้ำฝน นักฆ่าถึงสามารถฆ่าเหยื่อในฤดูฝนเท่านั้นไง นักฆ่าอาจจะลากเหยื่อไปขังไว้ใน... แท้งค์น้ำหรืออาจะเป็นบ่อน้ำบางชนิดก็ได้ แล้วเขาก็อาจจะเอาตะแกรงหรืออะไรสักอย่างปิดไม่ให้เหยื่อออกมา แล้วเขาก็จะเลือกสถานที่ๆท้องฟ้าเปิดเพื่อให้ฝนเทลงมาได้อย่างสะดวก ยิ่งฝนตกหนักมากเท่าไหร่ เหยื่อก็จะยิ่งตายเร็วขึ้นมากเท่านั้น”

    กัปตันเพอร์รี่และแอชพยักหน้าเล็กน้อย แต่เบลคซึ่งนั่งเงียบๆอยู่ก็หันมองไปทางอื่นราวกับว่าไม่สนใจในสิ่งที่นอร์แมนพูดเลย

    “ต่อเลย” กัปตันเพอร์รี่พูดขึ้นเมื่อเห็นนอร์แมนยืนเงียบไปสักพักหนึ่ง

    “จากนั้นผมก็ศึกษาเกี่ยวกับอาณาเขตการล่าของนักฆ่า ถ้ามองจากในความเป็นไปได้แล้ว มีโอกาสสูงที่บ้านของนักฆ่าจะอยู่ใกล้ๆกับเหยื่อรายแรกของเขา เพราะถ้าหากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นเขาก็จะสามารถหนีได้อย่างทันท่วงที หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมั่นใจขึ้นเรื่อยๆและเลือกที่จะฆ่าเหยื่อรายต่อไปในสถานที่ๆไกลขึ้น ถ้าวิเคราะห์จากศพแปดศพที่ถูกพบในเมืองนี้แล้ว ผมก็จะสามารถกะอาณาเขตได้ว่านักฆ่าอาศัยอยู่ที่ไหน...”

    “แล้ว...” เบลคถามขึ้นด้วยสายตาหยิ่งทะนง “อาณาเขตนี้มันมีขนาดเท่าไหร่กันล่ะ” เบลคถามนอร์แมนจากนั้นก็หันหน้าไปหาแอชพลางยิ้มน้อยๆ แอชพยักไหล่อย่างไม่รู้คำตอบ

    “เท่าที่ผมได้ข้อมูลมาในตอนนี้ มันก็คงจะประมาณ... 20 ตารางกิโลเมตร” นอร์แมนพูดขึ้น

    “เออ! เยี่ยม!” เบลคเอนหลังไปพิงเบาะหลัง “มันคงมีคนประมาณหมื่นคนละมั้งที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตนั้นน่ะ แล้วคุณจะทำอย่างไง นอร์แมน จะถามพวกนั้นทีละคนหรือไง”

    นอร์แมนยืนขึ้นมาทันทีหลังจากที่เขาพิงผนังในตอนที่เบลคกำลังสาธยายอยู่

    “มันอาจจะไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่ของนักฆ่าแต่อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์หน่อยนึงละวะ! เบลค! ถ้าคุณมีไอเดียดีกว่านี้ละก็บอกมาเลย! ผมยินดีรับฟังเสมอนะ ไม่ต้องอายหรอก ผมตั้งใจฟังคุณอยู่เสมอ!”

    “แล้วไงต่อ” กัปตันเพอร์รี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโหนิดๆ

    “ตอนนี้ผมมีผู้ต้องสงสัยอยู่สองคนซึ่งอาศัยอยู่ในอาณาเขตที่ว่านี้ ผมอยากจะที่สอบสวนพวกนั้นน่ะ แล้วก็...”

    นอร์แมนพูดยังไม่ทันจบเบลคก็เข้ามาขัดซะก่อน

    “ให้ตายสิวะ... เรากำลังมาเสียเวลามานั่งฟังไอ้ห่านี่อยู่นะ” เบลคหันหน้าไปหากัปตันเพอร์รี่และแอช “นักฆ่ามันอยู่ในนั้นซักแห่งแหละวะ สิ่งที่เราต้องทำก็แค่ออกจากที่นี่แล้วก็ไปตามล่ามันไม่ใช่มานั่งฟังการบรรยายทุเรศๆแบบนี้!”

    “ไอ้เบลค!” นอร์แมนขึ้นเสียง “บอกมาสิว่าถ้าไม่มีไอ้การบรรยายทุเรศๆแบบเนี้ยมันจะทำให้การทำงานทุเรศๆของคุณดีขึ้นไหม คุณตามจับไอ้นักฆ่านี่มากี่ปีแล้วนะ? สองปี!? แล้วคุณจับอะไรได้หะ? ไม่มีอะไรเลย! ไม่-มี-ห่า-อะ-ไร-เลย!”

    “เดี๋ยวนะ! มึ*คิดว่ามึ*สามารถทำงานห่าไรของมึ*ได้ดีกว่ากูเพราะว่ามึ*เป็นเอฟบีไอและเพราะมึ*มีแว่นบ้าบอไรของมึ*แค่นั้นหรอวะ! กูจะบอกอะไรให้นะ ไม่ใช่เพราะมึ*ทำอะไรได้แค่นั่งวิเคราะห์กับแว่นตาของมึ*นะ แต่มึ*มันก็แค่สายลับคนหนึ่งที่แหกกฏไม่เป็น!”

    “หรอครับ? แล้วไอ้ยศร้อยโทที่คุณภูมิใจนักหนากับประสบการณ์การเป็นตำรวจสามปีของคุณที่ยังไม่สามารถช่วยไม่ให้เหยื่อแปดคนถูกฆ่าได้เลยเนี่ยมันหมายความว่าอะไร”

    โครม!

    “ไอ้ห่า!” เบลคโมโหจัดถึงกับถีบเก้าอี้ที่อยู่ข้างหน้าเขากระเด็นไปชนโต๊ะที่มีโปรเจคเตอร์ฉายอยู่

    “พอได้แล้ว!” กัปตันเพอร์รี่ยกมือห้ามเบลคหลังจากที่เขายืนขึ้นมาด้วยความโมโห จากนั้นเขาก็หันหน้าไปหานอร์แมน “คุณบอกว่าเหยื่อจะตายถ้าหากปริมาณน้ำฝนสูงขึ้นถึง 6 นิ้ว เรามีเวลาเท่าไหร่กันล่ะตอนนี้”

    “ถ้าหากพยากรณ์อากาศถูกนะ... มันก็คงจะน้อยกว่า 72 ชั่วโมง...”

    “เอาล่ะ... แล้วใครคือผู้ต้องสงสัยสองคนนั้นล่ะ” กัปตันเพอร์รี่ถามเขาหลังจากที่เบลคนั่งลงไปแล้ว

    นอร์แมนเปิดไฟล์ผู้ต้องสงสัยลงบนโปรเจคเตอร์

    “คนแรก... ชื่อนาธานเนียล วิลเลี่ยม อายุ 39 ปี ไม่มีอาชีพ อาศัยอยู่ใกล้ๆที่นี่เอง คนที่สองชื่อว่ามิโรสลาฟ คอร์ดา อายุ 41 ปี ไม่มีอาชีพเช่นกัน”

    “นาธานเนียล...” แอชพูดขึ้นมา “เขาเคยมีประวัติว่าเคยก่อการรบกวนผู้อื่นที่สวนสาธารณะ เขาเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาแบบเคร่งมากเลยน่ะ คุณได้ที่อยู่เขามาหรือเปล่าล่ะนอร์แมน”

    “เรียบร้อย” นอร์แมนกล่าว

    “เอาล่ะๆ” กัปตันเพอร์รี่ตัดบท “ถ้างั้นไปสอบสวนนาธานเนียลตอนนี้เลย... คุณ” กัปตันเพอร์รี่ชี้นิ้วมาที่นอร์แมน “ไปกับเบลคสองคน”

    เมื่อสิ้นสุดเสียง นอร์แมนและเบลคต่างก็จ้องหน้าซึ่งกันและกัน สายตาของระหว่างชายทั้งสองไม่มีร่องรอยของการอยู่ร่วมกันได้แม้แต่น้อย จากนั้นเบลคก็หันหน้าไปด้านหลังและเดินออกจากห้องไปอย่างหงุดหงิด

    กัปตันเพอร์รี่ตบไหล่นอร์แมนเบาๆสองทีก่อนที่นอร์แมนจะเดินออกไป
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 23rd December 2014 เมื่อ 15:32

  19. #18
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 16: Nathaniel พวกเจ้าคือซาตาน!

    Chapter 16: Nathaniel พวกเจ้าคือซาตาน!

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 9.59 น.

    ปริมาณน้ำฝน 1.871 นิ้ว


    บ้านของนาธานเนียลอยู่ในชั้นบนสุดของอพาร์ตเม้นท์หลังหนึ่ง ตัวตึกที่เก่าบ่งบอกได้ว่าที่นี่ถูกสร้างมาหลายปีแล้ว ภายในตึกนั้นไม่ค่อยสะอาดดูได้จากคราบพื้นไม้ที่สกปรกกับใยแมงมุมที่เกาะอยู่ตามมุมผนังห้อง ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่ค่อยมีคนอยู่เยอะนัก

    ก๊อกๆๆ

    นอร์แมนเคาะประตู เมื่อไม่มีเสียงตอบรับเขาจึงเคาะประตูอีกที

    ก๊อกๆๆ

    “ไม่มีคนอยู่... เราเสียเวลามาที่นี่แล้ว” นอร์แมนหันหน้าไปหาเบลคซึ่งกำลังยืนพิงผนังอยู่ข้างๆ

    “ถึงยังไงเราก็ควรที่จะเข้าไปดูข้างในบ้านนิดหน่อยอยู่แล้ว”

    “แต่มันไม่มีคนอยู่นะ...” นอร์แมนบอกเขา

    เบลคเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูและออกแรงถีบมันจนประตูเปิดออกอย่างเร็วไว

    “เอ่อ...” นอร์แมนชะงัก “ผมไม่รู้นะว่านั่นมันถูกกฏหมายหรือเปล่า...”

    “เรียกตำรวจสิ” เบลคชะแง้มหน้ามามองนอร์แมนด้วยสายตากวนประสาท จากนั้นเบลคก็เดินเข้าไปในห้องนั้นโดยที่มีนอร์แมนตามมาติดๆ

    ทันทีที่นอร์แมนเดินเข้ามาในห้อง เขาก็ต้องตะลึงกับไม้กางเขนจำนวนมหาศาลที่ห้อยมาจากหลังคาและที่แขวนไว้ตามผนังห้อง ภายในห้องไม่มีไฟเปิดแต่มีเทียนสีเหลืองจำนวนมากถูกจุดอยู่บนพื้น ม่านหน้าต่างถูกรูดลงไว้หมด ในห้องจึงแทบไม่มีแสงอาทิตย์จากภายนอกเลย

    นอร์แมนมองไปรอบๆห้องเขาและกล่าวขึ้นมา “ดูเหมือนว่านาธานเนียลจะเป็นคนเคร่งศาสนาคริสต์นะ...”

    “เขาเป็นคนโครตบ้าพระเจ้าที่รอวันพิพากษามาอย่างเดียว เมื่อหลายเดือนก่อนเขาเคยถูกส่งมาที่สถานีตำรวจเพราะเขาไปทำกิจกรรมบ้าๆแบบนี้ที่สวนสาธารณะ เขาป่าวประกาศว่าถูกคนต้องกลัวพระเจ้าเพราะเขาอ้างว่าเขาได้ยินเสียงมาจากพระเจ้า แต่สุดท้ายเขาก็โดนจับข้อหาป่วนประชาชน”

    ระหว่างที่เบลคกำลังสาธยายอยู่นั้นนอร์แมนก็เดินไปรอบบ้าน เบลคยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ

    “ตอนที่เขามาสถานีตำรวจเขาก็ชี้นิ้วมาที่ผมบอกว่าผมเป็นคน “ต่อต้านคริสต์” เขาบอกว่าผมได้จุติมาที่โลกใบนี้เพื่อที่จะฆ่าเขา *****... โครตบ้าเลยว่ะ”

    นอร์แมนเดินไปที่แผงวางรูปปั้นตรงมุมห้อง เห็นเทียนไขจำนวนมากก็รู้ดีว่ามันเพิ่งถูกจุด นาธานเนียลอาจจะกลับบ้านมาในเร็วๆนี้

    “คนๆนี้เขาปลีกตัวจากชีวิตภายนอกและเข้ามาหมกตัวอยู่ในอพาร์ตเม้นท์บ้าๆนี้” นอร์แมนพูดขึ้นมา

    “เออ คงงั้นแหละ”

    “ดูจากสภาพห้องแบบนี้คงรู้ได้เลยว่าเขาคงไม่ใช่นักฆ่าโอริกามิแน่นอน เราเสียเวลามาที่นี่แล้ว...”

    “อืม... แต่อากาศที่นี่โครตอบอ้าวเลย...” เบลคพูดขึ้นมา “หน้าต่างพวกนี้คงไม่ได้เปิดมาเป็นปีแล้ว”

    เมื่อนอร์แมนกับเบลคเดินสำรวจทั่วบ้านนาธานเนียลเป็นเวลาสักพักหนึ่งแล้ว นาธานเนียลก็กลับมา

    “อ้าวนาธานเนียล มาได้จังหวะพอดีเลย เป็นคนที่เรากำลังตามหาอยู่พอดี” เสียงเบลคกล่าวขึ้นมา

    นอร์แมนหันไปด้านหลัง มองเห็นนาธานเนียลยืนเก้งๆกังๆอยู่

    “ทะ... เทพธิดาและองครักษ์ทั้งหลาย... ปกป้องข้าด้วย” นาธานเนียลพูดอย่างตะกุกตะกัก เหมือนเขากำลังกลัวอยู่ไม่ใช่น้อย

    “ผมชื่อว่านอร์แมน เจย์เดน เอฟบีไอ” นอร์แมนคุยกับเขา “ผมแค่อยากจะมาถามคุณเกี่ยวกับบางอย่าง”

    “ดะ... ด้วยพระเจ้าเป็นพยาน ข้าไม่ได้ทำสิ่งใด ข้าเป็นคนบริสุทธิ์”

    “ใจเย็นๆ” นอร์แมนพยายามสงบสติอารมณ์เขา ผมายังไม่ได้กล่าวหาอะไรคุณเลย แล้วก็... ทำไมบ้านคุณถึงติดไม้กางเขนเยอะแบบนี้ล่ะ คุณกลัวอะไรบางอย่างหรอ”

    “เวลาที่มีอยู่ใกล้หมดลงแล้ว... ความโกรธเกรี้ยวของพระเจ้าก็ใกล้ที่จะถาโถมเข้ามา... ข้ากำลังเตรียมตัวที่จะถึงวันพิพากษานี้”

    “คุณทำงานอะไรหรอนาธานเนียล คุณมีอาชีพอะไรไหม”

    “งานอย่างเดียวของข้าคือการบูชาพระเจ้าที่มีเมตตาเพื่อมนุษยชาติในโลกใบนี้”

    “นาธานเนียล... คุณจำได้ไหมว่าเมื่อวานตอนประมาณ 5 โมงเย็นคุณอยู่ที่ไหน”

    “ที่นี่... ข้าอยู่ที่นี่... ข้ากำลังสวนมนต์อยู่ตอนนั้น...”

    “แล้วมีใครอยู่กับคุณบ้างไหม”

    “ไม่... ข้าอยู่คนเดียว...”

    “แล้วเสียงล่ะนาธานเนียล” เบลคซึ่งนั่งฟังอยู่นานแล้วก็ลุกขึ้นมา “คุณยังได้ยินเสียงอยู่หรือเปล่า เราสองคนรู้ว่าใครคุยกับคุณ เรารู้ดี”

    “ยะ... อย่า-พูด-ชื่อ-นั้น-นะ”

    “เขาคุยอะไรกับคุณหรอนาธานเนียล” เบลคเดินไปรอบๆตัวเขาและกดดันเขาไปเรื่อยๆ

    “ข้า... พูดเรื่องนั้นไม่ได้... คุณก็พูดเรื่องนั้นไม่ได้...”

    “คนที่คุยกับคุณบอกให้คุณไปล่าเหยื่อตัวใหม่ใช่ไหม! เขาต้องการมันมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ!” เบลคตะโกนใส่หูของนาธานเนียล

    “มะ... ไม่... คุณ... อ้างเขาไม่ได้... คุณจะพาเขามาที่นี่...”

    “เสียงนั้นบอกให้คุณลากเด็กคนนั้นมาจากสวนสาธารณะมาและฆ่าเขาใช่ไหมล่ะ! เสียงนั้นมันทำร้ายคุณทุกวันทุกคืน คุณอยากให้เสียงนั้นหยุด ใช่ไหมล่ะนาธานเนียล!”

    “หยุด... หยุด! อย่ากล่าวถึงเขา... พอแล้ว!”

    “และคุณก็เชื่อฟังเสียงนั้นเพราะคุณหวังว่าเสียงนั้นจะหยุดลงและคุณก็จะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงนั้นอีก คุณเอาเด็กคนนั้นมาและคุณก็ทำให้เด็กคนนั้นจมน้ำตาย ถูกไหมนาธานเนียล!” เบลคกระชากคอเสื้อนาธานเนียลขึ้นมา

    “ไม่... หยุด... หยุดดดดดดด!”

    เบลคโยนนาธานเนียลลงไปกับพื้นและเตะเข้าให้อย่างไม่ยั้ง

    “คุณฆ่าเด็กพวกนั้นใช่ไหมนาธานเนียล! จะสารภาพได้ยังวะ!”

    นาธานเนียลค่อยๆยันตัวขึ้นมาและรีบควักปืนพกสีดำออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างทันควัน เขาเล็งปืนนั้นไปที่เบลคจนเบลคเริ่มเดินถอยหลังทำอะไรไม่ถูก ส่วนนอร์แมนก็ควักปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อเช่นกันและเล็งมันไปที่นาธานเนียล

    “คุณมันเป็นตัวต่อต้านตริสต์!” นาธานเนียลเริ่มข่มขู่เบลค

    “วางปืนลงซะนาธานเนียล!” นอร์แมนเตือนเขา

    “ข้าจะปลดปล่อยเจ้าให้อยู่ในนรกกับพ่อของเจ้า!” นาธานเนียลมองไปที่เบลค สายตาเขามีความกลัวอยู่ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะสู้กับตำรวจทั้งสองคน “เขาเป็นลูกชายของซาตาน เขาถูกส่งมายังโลกใบนี้เพื่อที่จะทำลายมนุษย์ทุกคน!”

    “ให้ตายสิวะนอร์แมน!” เบลคหันหน้าไปหาเขา “ยิงสักทีสิวะ! ให้ตายสิยิงมันเลย!”

    นอร์แมนซึ่งถือปืนเล็งนาธานเนียลอยู่ก็ยังไม่ลั่นไก เขาพยายามสงบสติอารมณ์ของนาธานเนียลก่อน

    “คุณจะไม่ฆ่าตัว “ต่อต้านคริสต์” ด้วยปืนพกหรอกนะนาธานเนียล เขาแข็งแกร่งเกินกว่านั้น”

    “ตัว “ต่อต้านคริสต์” พ่อมึ*สินอร์แมน!” เบลคเริ่มอารมณ์เสีย “ยิงมันสักทีสิวะ!”

    นอร์แมนกล่าวต่อไปอย่างหน้าตาเฉย “ร้อยโทเบลคจะกลับไปยังโลกที่เขาได้ถูกส่งมา จากนั้น...”

    “อะไรนะ!?”

    “พระเจ้าก็จะหยุดทำร้ายและปล่อยนาธานเนียลให้อยู่อย่างสันติ” นอร์แมนบอกนาธานเนียล

    “สันติห่าอะไรล่ะนอร์แมน!” เบลคโวย “แล้วมึ*เอาปืนออกไปจากหน้ากูได้ยังนาธานเนียล!”

    เมื่อนาธานเนียลไม่พูดอะไรนอร์แมนจึงให้เขาวางปืนลง

    “เอาล่ะ... ค่อยๆวางปืนลงบนพื้น และถอยไปด้านหลัง”

    “ไอ้พวกปีศาจ” นาธานเนียลยังคงเล็งปืนไปที่เบลค “พวกคุณจะต้องเสียใจเมื่อวันพิพากษามาถึง พวกคุณจะต้องรู้ซึ้งถึงพลังของพระเจ้า!”

    “ผมมาเพื่อช่วยคุณนะนาธานเนียล” นอร์แมนเกลี้ยกล่อมเขา “แต่คุณต้องเชื่อใจผม”

    “พระเจ้าทรงแข็งแกร่งมาก” นาธานเนียลพูดต่อ “ทรงปกป้องมนุษย์จากความโหดร้ายของซาตาน ขอให้พระเจ้าทรงกำจัดซาตานทุกตัวในโลกใบนี้และส่งพวกมันไปยังจุดลึกสุดของนรกอันโหดร้ายและ...”

    “หยุดพล่ามได้แล้วนาธานเนียล! วางปืนลงซะ!” นอร์แมนเริ่มขึ้นเสียง “ถอยไปข้างหลัง!”

    เมื่อนาธานเนียลเริ่มถอยหลังนอร์แมนจึงเริ่มเดินเข้าไปใกล้ๆเขา

    “วางปืนลงนาธานเนียล! วางปืนลงเดี๋ยวนี้เลย!”

    นาธานเนียลค่อยๆวางปืนลงอย่างช้าๆ สายตาเขายังคงมองไปที่เบลคอยู่ จากนั้นเขาก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนและเอามือไขว้หลังตามคำสั่งของนอร์แมน แต่เมื่อเบลคกำลังพยายามจะใส่กุญแจมือให้เขา นาธานเนียลก็หันตัวมาอย่างไวและคว้าอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้ออีกทีนึง

    “ชิบห*ย!” เบลคอุทานด้วยความตกใจ แต่สิ่งที่นาธานเนียลคว้ามาคือไม้กางเขนสีทองเล็กๆ

    “ในนามของพระเจ้า ข้าของสาปแช่งเจ้า! ซาตาน!”

    นอร์แมนกับเบลคโล่งอกเพราะคิดว่าเขาคงจะควักปืนอีกอันของเขามา

    “พอแล้ว” เบลคกล่าว “คุณถูกจับแล้วนาธานเนียล! ข้อหาเล็งปืนใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ” เบลคใส่กุญแจมือให้เขาและลากตัวเขาไปใส่ในรถตำรวจ แต่ก่อนที่เบลคจะเข้าไปในรถเขาก็หยามนอร์แมนเล็กน้อย

    “สงบสติอารมณ์ได้ดีมากเลยนอร์แมน เป็นผมคงจะยิงเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่เขายืนขึ้นมาแล้ว”

    “ปืนแก้ไขปัญหาทุกอย่างไม่ได้หรอกนะเบลค”

    “อาจจะไม่ก็ได้... แต่ส่วนใหญ่แล้วมันก็ช่วยอยู่ดีแหละ”

  20. #19
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 17: Suicide Baby เป็นเด็กดีนะเอมิลี่

    Chapter 17: Suicide Baby เป็นเด็กดีนะเอมิลี่

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 10.37 น.

    ปริมาณน้ำฝน 1.904 นิ้ว


    ถึงแม้นาฬิกาจะบอกเวลา 10 โมงเช้าแต่เมฆฝนก็ยังคงหนาคับคั่งจนคล้ายเวลาพลบค่ำ ฝนที่ตกลงมาเป็นระยะๆทำให้ส่วนหนึ่งของหมู่บ้านของแม่ของเหยื่อรายล่าสุดที่ชื่อว่า ซูซาน โบวส์ เกิดน้ำท่วมขึ้นมา

    ซูซานเป็นแม่ของเหยื่อรายที่ 8 ของนักฆ่าโอริกามิ ส่วนเด็กที่เป็นเหยื่อนั้นชื่อว่า เจเรมี่ โบวส์ ซูซานมีฐานะค่อนข้างยากจนและอาศัยอยู่ตามชานเมือง นอกเขตเจริญรุ่งเรือง

    เหมือนกับพ่อแม่ของเหยื่อสองรายที่ผ่านมา สก๊อตก็จะเข้ามาพูดคุยกับแม่ของเหยื่อรายนี้ด้วย เขาขับรถเก๋งเก่าๆเข้ามาและจอดหน้าบ้านของเธอซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวและค่อนข้างเก่าอยู่พอสมควร

    ก่อนที่สก๊อตจะเคาะประตูเขาก็ชะโงกหน้ามองผ่านหน้าต่างเนื่องจากเขาได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จากในบ้าน มีเด็กอายุประมาณ 1 ขวบนอนอยู่ในเปลและดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ดูแลเด็กคนนั้นเลย

    เขากดกริ่งและเคาะประตูแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ เขาจึงเดินไปยังประตูหลังบ้านตรงห้องครัวและเปิดมัน

    ปรากฏว่ามันเปิดออกได้อย่างง่ายดาย

    ภายในบ้านนั้นค่อนข้างมืดเนื่องจากฝนตก เขาเดินตรงไปที่ห้องนั่งเล่นและมองหาผู้คนรอบๆบ้านแต่ก็ไม่พบผู้ใดยกเว้นเด็กคนนั้นที่นอนอยู่ในเปลอยู่

    “มีใครอยู่บ้านไหม?… คุณซูซาน?”

    เมื่อไม่มีเสียงขานรับเขาจึงเดินไปที่เด็กคนนั้นที่กำลังร้องไห้อยู่เรื่อยๆ

    “สวัสดีเด็กน้อย... มองหาคุณแม่อยู่หรอ” สก๊อตพูดยิ้มๆพลางจะปลอบเด็กคนนั้นแต่ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไหร่

    ข้างๆเด็กมีจดหมายสีขาวซึ่งถูกเขียนด้วยปากกาอยู่ สก๊อตหยิบมันขึ้นมาอ่าน

    มันยากเกินไป ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฝากดูแลลูกของฉันด้วยนะ

    “ให้ตายสิ... แปปนะ”

    สก๊อตรีบเดินเข้าไปในห้องนอนของซูซานและหาเธอทุกที่

    “คุณซูซาน! อยู่ไหมครับ!” เขาตะโกน

    กริ๊กๆ

    ประตูห้องน้ำถูกล็อค เขาเคาะประตูห้องน้ำหลายๆรอบแต่ก็ยังไม่มีเสียงขานรับอยู่ดี

    ปัง!

    สก๊อตออกแรงถีบประตูห้องน้ำจนพัง มองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเลือดไหลนองเต็มอ่างอาบน้ำ

    “ให้ตายสิ... คุณซูซาน! คุณซูซาน!” สก๊อตรีบเข้าไปเขย่าตัวเธอและวัดหาชีพจร เธอยังคงหายใจอยู่ “คุณซูซานตื่น! ตื่นครับ!”

    สก๊อตเห็นรอยกรีดที่เต็มไปด้วยเลือดตรงข้อมือของเธอ ร่างกายของเธอก็ซีดเผือก สก๊อตไม่มีทางเลือกนอกจากอุ้มเธอไปไว้บนเตียง

    “ผมจะเรียกรถพยาบาล” สก๊อตพูดกับเธอเมื่อเธอเริ่มรู้สึกตัว

    “อย่า... อย่าเรียกรถพยาบาล... ฉันไม่อยากไปโรงพยาบาล”

    “ก็ได้... ที่บ้านคุณมีผ้าพันแผลหรืออะไรไหม ผมจะได้เอามารักษาแผลคุณได้นิดหน่อย”

    “ฉะ... ฉันคิดว่ามีนะ”

    “โอเค... อย่าขยับไปไหนนะ เดี๋ยวผมรีบมา”

    ...

    สักพักสก๊อตก็กลับมากับอุปกรณ์รักษาแผลต่างๆ เขาวางมันลงข้างๆซูซานและนำผ้าพันแผลออกมากดแผลไว้

    “โอ้ยยยยยย!” ซูซานร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

    “เจ็บหน่อยนะซูซาน” เขาพยายามปลอบ เขานำยาฆ่าเชื้อมาทารอบๆแผลและนำผ้าก๊อตมาพันรอบๆแขน เลือดของเธอหลั่งออกมามากทีเดียว

    “นี่... ดูแล... เอมิลี่ให้หน่อยสิ...” ซูซานจับแขนสก๊อต

    “ครับ?”

    “เอมิลี่น่ะ เธอร้องไห้อยู่... ดูแลเธอให้ทีสิ ได้โปรด”

    “ถ้างั้น... คุณนอนพักก่อนนะ อย่าเพิ่งลุกไปไหน เดี๋ยวผมจะไปดูแลลูกคุณเอง”

    การดูแลเด็กทารกไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องมีความอดทน สก๊อตซึ่งไม่ค่อยชอบการดูแลเด็กนี่อยู่แล้วก็เลยต้องฝืนใจทำ เขาเริ่มด้วยการหยอกล้อเด็กแต่มันกลับทำให้เด็กร้องไห้หนักขึ้นไปอีก

    “คุณ... เอ่อ... นมอยู่ในตู้เย็นนะ” ซูซานบอกเขา

    สก๊อตหยิบขวดนมจากในตู้เย็นมาจากนั้นเขาก็ใส่ไมโครเวฟเพื่อที่จะทำให้มันอุ่นขึ้น เขาหยิบมันมาป้อนใส่เอมิลี่

    “เป็นเด็กดีนะเอมิลี่” สก๊อตบอกเธอด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร สักพักเอมิลี่ก็หยุดร้องไห้และหลับไป

    ซูซานเริ่มประคองตัวเธอเองให้ลุกออกจากเตียง

    “คุณซูซานครับ ไม่ต้องรีบนะครับ” สก๊อตรีบเข้าไปประคองเธอ

    “ฉัน... ไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณนะ”

    ซูซานนั่งอยู่ตรงขอบเตียงและบอกกับสก๊อตเกี่ยวกับลูกของเธอ

    “จริงๆฉันก็ไม่ได้อยากจะฆ่าตัวตายหรอกนะ ไม่ได้อยากจะทิ้งเอมิลี่ แต่มันไม่ไหวจริงๆ เพียงเพราะว่าฉันขาดเจเรมี่ลูกชายของฉันไป เขาเป็นเด็กที่ดีมากเลย ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมถึงมีคนอยากทำร้ายเขา” ซูซานกล่าวทั้งน้ำตา

    “คุณดูแลเอมิลี่คนเดียวหรอ สามีคุณไม่อยู่กับคุณแล้วหรอ”

    “เขาหายตัวไปหลังจากวันที่เจเรมี่หายตัวไป... ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา... บางที... บางทีเขาอาจจะทนกับสิ่งรอบข้างแบบนี้ไม่ได้ก็ได้... หลังจากวันนั้นฉันก็ดูแลเอมิลี่คนเดียว... ฉันทำไม่ไหวจริงๆ...”

    “ผมเข้าใจครับคุณซูซาน... แล้วสามีคุณพูดอะไรกับคุณก่อนที่เขาจะหายตัวไปไหมครับ” สก๊อตเดินเข้ามานั่งข้างๆเธอ

    “ไม่... ไม่เลย... เขาออกจากบ้านไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ... แต่เขาทิ้งโทรศัพท์ไว้ในบ้าน”

    “โทรศัพท์?”

    “ใช่... ฉันเจอโทรศัพท์ในลิ้นชักของเขา แต่ฉันคิดว่ามันคงไม่ใช่ของเขาน่ะ... เพราะฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย อีกอย่างโทรศัพท์นั้นมันก็เปิดไม่ได้ด้วย...”

    “คุณยังเก็บมันไว้อยู่หรือเปล่าครับ”

    “มันอยู่ในลิ้นชักใกล้ๆเอมิลี่น่ะ... ถ้าคุณอยากได้มันฉันก็ยินดีจะให้... ฉันคิดว่ามันคงมีประโยชน์กับคุณมากกว่าฉันแน่นอน...”

    “เอาเป็นว่ายังไงก็ดูแลสุขภาพคุณด้วยนะครับคุณซูซาน ดูแลเอมิลี่ให้ดีๆด้วย” สก๊อตกล่าวลา

    “ฉันจะทำ... ฉันสัญญาเลย... แล้วก็ขอบคุณนะที่ดูแลลูกของฉัน...”

    สก๊อตเดินไปหยิบโทรศัพท์ในลิ้นชัก มันมีช่องเสียบเมมโมรี่การ์ดขนาดใหญ่อยู่ข้างใต้ แต่เมื่อสก๊อตลองกดปุ่มตรงหน้าโทรศัพท์ก็ไม่สามารถเปิดมันได้อยู่ดี

    “ไปแล้วนะเจ้าหนู” สก๊อตกล่าวลาเอมิลี่และเดินออกจากบ้านซูซานไป

  21. #20
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 18: The Bear โอริกามิหมายเลขหนึ่ง - หมี

    "คุณพร้อมหรือยังที่จะแสดงความกล้าหาญเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?"
    Chapter 18: The Bear โอริกามิหมายเลขหนึ่ง - หมี

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 11.03 น.

    ปริมาณน้ำฝน 1.938 นิ้ว


    "คุณพร้อมหรือยังที่จะแสดงความกล้าหาญเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?"

    โอริกามิหมายเลขหนึ่ง – หมี


    เสียงเดินของผู้คนตามทางเท้าผสานกับเสียงฝนที่โปรยลงมาจากฟ้านั้นช่างน่าฟังยิ่งนัก ถึงฝนจะตกแต่ผู้คนแถวนี้ก็ไม่ยักที่จะถือร่มกัน... เพราะต่างคนก็มีเป้าหมายของตนเอง บางคนก็แน่วแน่ไปที่เป้าหมายนั้นมากจนเกินไปจนไม่สนใจสิ่งรอบข้างถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกเขาปล่อยเลยเถิดนั้นอาจจะมีอันตรายบ้างก็ตาม บางคนก็ไม่สนใจสิ่งใดและปล่อยให้ชีวิตของตนถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย แต่ถึงยังไงก็ตามโชคชะตาก็ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็มีเพียงแค่เลือกที่จะเดินหน้าตามเส้นทางนั้นหรือหยุดอยู่กับที่ก็เท่านั้นเอง

    โจ. อินดัสทรีส์ โรงรถและลานจอดรถ 4988 ถนนรูซเวลท์ เลคซิงตัน

    อีธานเดินมาหยุดอยู่หน้าอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมถนนรูซเวลท์ เขาหยุดยืนมองดูมันสักพักก่อนที่จะเดินเข้าไป

    เมื่อมาคิดๆดูแล้ว จากที่อีธานเห็นชอนในภาพถ่ายวีดีโอนั้นทำให้เขาฉุกคิดได้ว่าเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยลูกของเขาให้ได้ ถึงแม้ว่าชอนจะดูอ่อนเพลียและหมดเรี่ยวแรง แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่นะ!

    “ขอโทษครับ” อีธานเรียกคนๆหนึ่งซึ่งกำลังนอนซ่อมรถอยู่ใต้ท้องรถ

    “เฮ้ย!” อีธานเรียกเขาอีกครั้งเมื่อคนๆนั้นไม่สนใจเขา

    “อ้อ! โทษครับ... ผมไม่ได้ยินคุณน่ะ” ชายคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวเหมือนช่างซ่อมรถก็คลานออกมาจากที่ตรงนั้นและลุกขึ้นยืน “เอ่อ... คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ”

    อีธานยื่นบัตรจอดรถที่เขาได้มาจากโอริกามิหมายเลขหนึ่งให้เขา

    “โอ้! มาเอาแล้วสินะ” ชายคนนั้นเดินไปที่แผงควบคุม “ผมดูแลมันอย่างดีเลยแหละ อย่างที่คุณเคยกล่าวไว้ ผมตรวจสอบมันทุกเดือนเลย เช็คระบบน้ำมัน แบตเตอรี่ ทุกอย่างมันดีหมด”

    อีธานเริ่มสงสัย เขาไม่เคยเจอชายคนนี้มาก่อนเลย ทำไมชายคนนี้ถึงพูดจาเหมือนกับว่าเขาเคยมาสถานที่นี้แล้วยังไงยังงั้น

    “เอ้านี่! เสร็จแล้ว” ชายคนนั้นกดปุ่มประตูลิฟท์และยื่นกุญแจรถให้ “รถอยู่ที่ชั้นชั้นสามใต้ดินนะ อยู่สุดทางเดินเลย ได้รถแล้วก็ขับมันขึ้นมาบนลิฟท์นี่เลยนะ โชคดี”

    อีธานรับกุญแจมาและเดินตรงไปที่ลิฟท์ขนาดใหญ่ซึ่งเอาไว้ขนรถยนต์ เขาลงไปชั้นล่างแล้วก็พบรถหลายคนอยู่ เขาเดินตรงไปที่รถซึ่งอยู่ท้ายสุดของทางเดิน

    เขาเริ่มสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องถูกส่งมาที่รถด้วย แต่ถึงยังไงเขาก็ไขกุญแจรถและเปิดประตูเข้าไป รถนั้นเป็นรถสปอร์ตสีน้ำตาลทอง ภายในรถก็ดูโก้หรูทีเดียว

    เขาเช็คภายในรถเพื่อหาสิ่งของที่จำเป็น แต่นอกจากจีพีเอสที่มีอยู่หนึ่งเครื่องแล้ว ภายในรถก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาดอีกเลย

    เขานำจีพีเอสขึ้นมาแปะไว้ตรงคอนโซลรถยนต์และเปิดมัน มีเสียงพูดดังออกมาจากจีพีเอสทันที

    เป้าหมายของคุณอยู่ห่างจากที่นี่ไป 6 กิโลเมตร กรุณาออกจากโรงรถและเลี้ยวขวาที่แยกแรก

    เมื่อสิ้นสุดเสียงก็มีแผนที่และลูกศรนำทางเขาไปยังจุดหมาย อีธานสตาร์ทเครื่องยนต์ รัดเข็มขัด และเร่งเครื่องออกไปทันที

    ...

    10 นาทีผ่านไปอีธานก็ขับรถมาจอดอยู่หน้าทางขึ้นทางด่วนแห่งหนึ่ง สายฝนที่ตกปรอยๆก็เริ่มโหมกระหน่ำขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ หมอกก็เริ่มลงมาเป็นระยะๆ เสียงจากจีพีเอสก็ดังขึ้นอีกครั้ง

    คุณถึงเป้าหมายที่กำหนดแล้ว

    “คุณพร้อมหรือยังที่จะแสดงความกล้าหาญเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?”

    กรุณาฟังให้ดี

    คุณจะต้องขึ้นทางด่วนและขับสวนทางเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร

    หากคุณไม่สามารถไปถึงจุดหมายได้ภายใน 5 นาที

    คุณจะล้มเหลว


    เมื่อสิ้นสุดเสียงมืออีธานก็เริ่มสั่น สั่นจนกระทั่งเขาจับพวงมาลัยไม่ได้ เขารีบสะบัดมือและกำพวงมาลัยไว้แน่น

    “ถ้าเราตายที่นี่...” เขาคิดในใจ “เราก็จะช่วยชอนไม่ได้... แต่ถ้าเราล้มเหลว เราก็จะช่วยชอนไม่ได้อยู่ดี... ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องผ่านภารกิจนี้ให้ได้... มันเป็นทางเดียวที่จะพาเราไปหาชอน ถอยหลังไม่ได้แล้ว... เราต้องทำได้... เพื่อชอน... เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว...”

    เขาปลดเบรคมือ เปลี่ยนเกียร์ และเหยียบคันเร่ง

    แบบทดสอบแรกได้เริ่มขึ้นแล้ว...

    อีธานเลี้ยวเข้าไปตรงทางออกของทางด่วน จากนั้นเขาก็เหยียบคันเร่งจดมิดเท้าทันที!

    สายฝนและลมได้ต้านรถอย่างแรงเนื่องจากเขาขับรถที่เขาเพิ่งได้มาด้วยความเร็วเกือบสูงสุด เขาหวังว่าจะไปถึงจุดหมายได้ในทันเวลา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องคอยหลบรถที่ขับสวนทางมาอีกด้วย! แถมหมอกที่ลงมานั้นยิ่งทำให้งานนี้ยากขึ้นไปอีก!

    “ต้องสำเร็จโว้ยยยยยย!”

    อีธานหักพวงมาลัยทันทีเมื่อเขาเห็นรถผ่านมาในเลนเดียวกับเขา

    ปัง!

    มีเสียงประหลาดดังขึ้นมาจากท้ายรถ

    ล้อหลุด?!?

    ล้อหลังซ้ายของรถหลุดออกไปแล้ว! อีธานเริ่มเสียหลักการควบคุมและชนกับกรวยเข้าให้ รถเขาหลุดเข้าไปในงานก่อสร้างที่กำลังซ่อมแซมทางด่วนอยู่

    ปี้นๆ

    “เฮ้ย! เฮ้ย! หลบไป!” อีธานกระแทกแตรรถและตะโกนแหกปากเมื่อเห็นช่างก่อสร้างนับสิบคนกำลังสร้างทางอยู่ เขารีบหักพวกมาลัยรถให้กลับเข้าไปที่ทางปกติ

    “เฮ้อ! เกือบไป... อุ้ย******!” อีธานอุทานขึ้นเมื่อรถเขาทรงตัวให้นิ่งไม่ได้ รถจะเอนไปทางซ้ายตลอดทำให้อีธานต้องหักพวงมาลัยต้านเอาไว้อยู่เรื่อยๆ

    อีก 4 กิโลเมตรจะถึงจุดหมาย

    อีธานมาได้ครึ่งทางแล้ว แต่ล้อหลังที่หลุดไปตอนแรกก็ทำให้เขาลำบากอยู่ไม่น้อย รถได้สวนทางเขามาเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาขับมาถึงด่านเก็บเงินซึ่งมีไม้กั้นอยู่

    “โธ่เว้ยยยยยยย!” อีธานเหยียบคันเร่งขึ้นอีกและกระแทกเข้าให้กับไม้กั้นนั้นอย่างจัง

    เสียงไซเรนดังขึ้น อีธานชะแง้มหน้ามองกระจกหลังก็เห็นรถตำรวจประมาณ 3 คันตามเขามาอยู่

    รถตำรวจคันหนึ่งขับมาเร็วจนเทียบเท่ากับรถของอีธาน อีธานมองไปด้านซ้ายและหักพวงมาลัยไปด้านซ้ายทันที!

    เอี้ยดๆ

    เสียงเสียดสีระหว่างรถตำรวจกับรถอีธานก็เกิดขึ้นเป็นระยะๆ อีธานเบียดรถตำรวจมาเรื่อยๆจนถึงอุโมงค์

    อีก 2 กิโลเมตรจะถึงจุดหมาย

    ทันใดนั้นก็มีรถพ่วงขนน้ำมันขนาดใหญ่ผ่านมา และดูเหมือนว่าคนขับจะตกใจกับการกระทำของอีธานจนเขาหักหลบไปด้านซ้าย อีธานรีบเร่งคันเร่งจนพ้นรถคันนั้น แต่โชคร้ายหน่อยที่รถตำรวจนั่นโดนรถขนน้ำมันชนเข้าให้แล้ว!

    บึ้ม!

    เสียงระเบิดดังขึ้นมาจากข้างหลังแต่อีธานไม่สนใจ แต่เขาขับไปได้หน่อยเดียวก็เจอด่านกั้นของตำรวจเข้าให้ มีรถตำรวจ 3 คันอยู่ข้างหน้าผสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนับสิบนาย

    อีธานขับทะลุด่านกั้นของตำรวจจนพังพินาศ! รถของเขาเริ่มไหม้แล้ว!

    ปัง! ปัง!

    เสียงปืนดังขึ้น ตำรวจหลายนายได้ยิงใส่รถอีธานจนกระสุดนัดหนึ่งโดนล้อรถ

    ล้อรถที่เหลืออยู่อีกข้างของเขาพังไปในทันที...

    เมื่อไม่เหลือล้อให้คอยประคอง และมีรถคันหนึ่งพุ่งมาจากข้างหน้าเขาอย่างเร็ว เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากหักหลบไปด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว!

    โครม!

    รถได้พุ่งออกนอกทางเข้าให้ มันตกทางด่วนแต่โชคดีหน่อยที่แถวนั้นมีดินโคลนทำให้รถนั้นไม่กระแทกมาก แต่ยังไงก็ตามสภาพรถนั้นก็พังยับเยินและหงายท้องอยู่ และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นไฟก็ลุกท่วมรถอย่างรวดเร็ว

    คุณถึงจุดหมายแล้ว โปรดแตะหน้าจอ คุณถึงจุดหมายแล้ว โปรดแตะหน้าจอ คุณถึง...

    จีพีเอสร้องซ้ำไปมาเรื่อยๆ อีธานซึ่งอยู่ในสภาพกลับหัวและถูกรัดด้วยเข็มขัดจนแน่นก็ทำอะไรไม่ถูก เขาพยายามคลายเข็มขัดออกก่อนแต่มันกลับติดอะไรสักอย่าง เขาจึงยื่นมือไปแตะที่จีพีเอส

    รางวัลของคุณอยู่ในที่เก็บของใต้คอนโซล กุญแจอยู่ในจีพีเอส

    จีพีเอสร้องซ้ำไปมาอีกครั้ง อีธานคว้าจีพีเอสอันนั้นและกระแทกมันขึ้นลงๆกับเพดานรถซึ่งมันกลับหัวอยู่

    เปรี้ยะ!

    หน้าจอจีพีเอสเกิดรอยร้าว เขาเคาะมันอีกรอบจนชิพและกุญแจที่อยู่ด้านในหลุดออกมา อีธานรีบคว้ากุญแจนั่นมาและเปิดที่เก็บของตรงใต้คอนโซลโดยไว

    มีเมมโมรี่การ์ดอันนึงหล่นลงมา

    “แค่กๆ”

    อีธานเริ่มสำลักควันที่โพยพุ่งออกมาจากกองไฟแล้ว เขารีบเก็บเมมโมรี่การ์ดอันนั้นมาและออกแรงถีบไปที่ประตูจนมันเปิดออก เขากระชากที่รัดเข็มขัดด้วยความแรงจนมันหลุดออกจากกันจากนั้นเขาก็คลานออกมาจากรถที่กำลังลุกไหม้อย่างทุรนทุราย

    อีธานพยายามประคับประคองตัวเองออกมาจากรถและหลบตัวเข้าไปอยู่ใต้ทางด่วน ร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผลที่เกิดจากการกระแทก แต่ไม่วายเขาก็พยายามหยิบโทรศัพท์ที่เขาได้รับมาออกมาจากกระเป๋ากางเกง

    เขาเสียบเมมโมรี่การ์ดเข้าไปข้างใต้โทรศัพท์

    ติ๊ด!

    กำลังโหลด...

    ...

    โหลดเสร็จสิ้น กำลังเล่นวีดีโอ...


    มีภาพชอนถูกฉายขึ้นมาอีกครั้ง มีน้ำขังเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชอนซึ่งอยู่ในนั้นก็ไม่พูดอะไรเลย ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มอ่อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นภาพก็ถูกตัดไป

    _ 5 _ _ ท _ _ _ _ _ ถ _ _ _ ซ _ _ ล _

    มีตัวอักษรบางตัวถูกฉายขึ้นมา

    บึ้ม!

    รถสปอร์ตที่อีธานเพิ่งได้มาไม่กี่นาทีนี้ก็ระเบิด อีธานยืนมองอย่างหมดหวังไปที่รถคนนั้น มองดูไฟค่อยๆกัดกินชิ้นส่วนรถไปทีละน้อยๆ

    “อย่างน้อย... เราก็ไม่ได้ล้มเหลว...” อีธานปลอบโยนตัวเอง “รอพ่อนะชอน... พ่อกำลังมา” จากนั้นเขาก็ค่อยๆรีบพยุงตัวเดินกลับบ้านไปยังโรงแรมก่อนที่ตำรวจทั้งหลายจะแห่กันมา


    เกล็ดความรู้เล็กน้อยนะครับ - ทำไมถึงต้อง "หมี"

    หมีเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างขี้อายและขี้กลัว แต่ถ้าหมีผู้เป็นแม่เห็นลูกของตัวเองถูกทำร้ายแล้วล่ะก็ หมีตัวนั้นจะดุร้ายและน่ากลัวอย่างมาก แน่นอนว่าอีธานจะต้องดุร้ายพอสมควรถ้าเขาอยากที่จะช่วยลูกของเขา การขับรถสวนทางด้วยความเร็วจะถือว่าเป็นพฤติกรรมที่บ้าระห่ำ เช่นเดียวกับแม่หมีเมื่อเห็นลูกของตนถูกทำร้าย ลักษณะนิสัยของหมีก็จะเปลี่ยนโดยทันที ความกล้าหาญ (ในแบบทดสอบนี้) ก็เป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกันสำหรับการต่อสู้กับหมี
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 27th December 2014 เมื่อ 20:58

  22. #21
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2012
    กระทู้
    102
    กล่าวขอบคุณ
    17
    ได้รับคำขอบคุณ: 14
    เคยดูเกมนี้ใน Youtube อยู่หน้าเล่นมากครับ พอดีไม่มี PS3 เลยไม่ได้เล่น
    เดี๋ยวลองอ่านดูครับ ขอบคุณมากนะ จขกท.

  23. #22
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 19: First Encounter หลังภารกิจ

    Chapter 19: First Encounter หลังภารกิจ

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 15.15 น.

    ปริมาณน้ำฝน 2.006 นิ้ว


    ฝนตกมาติดต่อกันเป็นเวลาเกือบ 7 ชั่วโมงแล้วและก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เมดิสัน เพจ ซึ่งกำลังทรมานจากโรคนอนไม่หลับของเธอก็ตัดสินใจเข้ามาพักในโรงแรม ครอสโร้ด โมเท็ล เผื่อว่ามันอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง

    เธอเดินเข้าไปในล้อบบี้เล็กๆแต่มันกลับไม่มีคน เธอนั่งลงรอเจ้าของโรงแรมบนม้านั่งข้างๆหน้าต่างแล้วมองดูโทรทัศน์ที่กำลังประกาศข่าวอยู่

    ...ยังไม่มีข่าวความคืบหน้าของเด็กอายุ 10 ขวบ ชอน มาร์ส ซึ่งหายตัวไปเมื่อวาน ส่วนกัปตันเพอร์รี่ก็บอกนะครับว่ากำลังสืบหาคดีนี้อยู่อย่างเต็มที่ โดยเชื่อว่านี่คือฝีมือของนักฆ่าโอริกามิ อีกประเด็นนะครับ มีการ...

    “สวัสดี” เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาจากทางขวา เมดิสันยืนขึ้นและเดินไปหาเขาตรงเคาน์เตอร์

    “ฉันอยากได้ห้องน่ะค่ะ” เมดิสันกล่าว

    ชายคนนั้นซึ่งมองเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ปากเคี้ยวหมากฝรั่งก็ยื่นหนังสือและปากกาให้

    “สำหรับเธอแล้ว... อะไรก็ได้... เซ็นชื่อด้วย”

    เมื่อเมดิสันเซ็นชื่อเสร็จแล้วชายคนนั้นก็ยกสมุดนั่นขึ้นมาอ่าน

    “อืม... เมดิสัน เพจ... อายุ 27... โสด... อืม... คุณจะอยู่กับเรานานแค่ไหนคุณเมดิสัน”

    “ยังไม่รู้เลย...”

    “ห้อง 201 ชั้นบนสุด” ชายคนนั้นยื่นกุญแจให้ “โชคดี”

    “ขอบใจ”

    จากนั้นเมดิสันก็เดินออกจากล้อบบี้และเดินขึ้นบันไดไปตรงชั้นสาม ครั้นจะเสียบกุญแจเพื่อที่จะเข้าห้องไปก็เห็นชายผู้หนึ่งกำลังยืนเกาะขอบรั้วบนชั้นเดียวกันอย่างทุรนทุรายอยู่

    “เอ่อ... คุณ... เป็นอะไรไหมคะ” เมดิสันถามเขาอย่างเป็นห่วง

    อีธานหันมามองเธอสักพักแต่ก็ไม่พูดอะไร

    “ฉันจะโทรเรียกรถพยาบาลนะคะ” เธอพูดพลางล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกง

    “ไม่ต้อง...”

    “แต่.. คุณดูบาดเจ็บมากนะคะ คุณควรที่จะไปหาหมอนะ” เมดิสันจับไหล่เขาเพื่อมองหาบาดแผล

    “ถ้างั้น... ช่วยพาผมไปที่ห้องหน่อยได้มั้ย... ผมอยู่ห้อง 207”

    เมดิสันค่อยๆเอามืออีธานมาเกาะไว้ข้างหลังและค่อยๆพยุงตัวเขาไปจนถึงห้องของเขา

    “มีกุญแจไหมคะ”

    อีธานซึ่งมือกำลังสั่นอยู่ก็ค่อยๆล้วงมันมาจากกระเป๋ากางเกงและส่งให้กับเมดิสัน เธอรีบเสียบมันเข้าไปอย่างเร็วไว

    เธอวางอีธานไว้บนเตียงและถอดเสื้อคลุมของเขาออก

    “คุณดูแย่มากเลย... คุณควรที่จะหาหมอนะ”

    “คงมี... กระดูกซี่โครงหักไม่หนึ่งก็สองซี่น่ะ...” อีธานพูดพลางกุมสีข้างของตัวเอง “มันไม่ร้ายแรงอะไรมากหรอก แต่มันปวดชะมัด”

    เมดิสันเอามือไปแตะที่หน้าผากเขาซึ่งมีเลือดจำนวนมากไหลออกมาอยู่

    “หน้าผากคุณเลือดออกอยู่นะ แผลดูลึกมากด้วย.. ในห้องนี้น่าจะมียาเดี๋ยวเราไปเอามาให้นะ”

    สักพักเธอก็กลับมาพร้อมกับขวดยาและสำลี เธอค่อยๆเทยาใส่สำลีและปาดแผลบนหน้าผากของเขาอย่างช้าๆ

    “อ่ะ... อย่างน้อยแผลก็ไม่ได้ติดเชื้อนะ... เลือดหยุดแล้ว” เธอบอกเขา

    “ขอบใจ”

    เมดิสันยื่นยาแก้ปวดให้กับเขา

    “อะไรน่ะ”

    “มันเป็นยาแก้ปวดน่ะ... มันช่วยทำให้หายปวดได้” เมดิสันเทยาลงมาบนมือหนึ่งเม็ด อีธานรีบคว้ามันและกลืนมันลงไปทันที จากนั้นเขาก็คว้าขวดยามาและกินมันเข้าไปอีก 4 เม็ด

    “มันเขียนอยู่บนกล่องนะว่าอย่ากินเกินวันละเม็ด” เมดิสันเตือนเขา

    “ผมรอขนาดนั้นไม่ได้หรอก...”

    เมดิสันนั่งลงบนเตียงข้างๆเขา “ถ้าฉันเป็นคุณฉันจะนอนพักสักสองสามวันนะ”

    “ผมจะไปอาบน้ำ” อีธานบอกขณะที่เขากำลังพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น

    “ให้เราช่วยนะ” เมดิสันบอกกับเขาและเอาแขนเขามาพาดหัวไหล่ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปที่ห้องน้ำ “เอาล่ะ... เราจะรออยู่ตรงนี้นะ ถ้ามีอะไรก็บอกเราได้”

    อีธานเข้าไปในห้องน้ำและเปิดประตูแง้มๆเอาไว้ ทิ้งให้เมดิสันอยู่นอกห้องน้ำอยู่คนเดียว

    “คุยกับเราไว้นะ เผื่อคุณจะหมดสติ...”

    “คุณชื่ออะไร”

    “...เมดิสัน”

    “คุณพักอยู่ในโรงแรมนี้หรือเปล่า”

    “จริงๆแล้วไม่หรอก เราพักอยู่ในตัวเมืองแต่ว่าเราเป็นโรคนอนไม่หลับน่ะ ดูเหมือนว่าเราจะพักได้แค่ในโรงแรมเท่านั้น... อย่าถามว่าทำไมนะเพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกัน เวลาเหนื่อยๆเราก็จะมาพักที่นี่ด้วยเหมือนกัน”

    “ผม... ผมแค่ผ่านมาน่ะ... แล้วคุณทำอาชีพอะไรอีกหรอหรอเมดิสัน... นอกจากมาช่วยคนแปลกหน้าแบบนี้น่ะ”

    “เราเป็นช่างถ่ายภาพน่ะ เราถ่ายพวกเฟอร์นิเจอร์พวกแฟชั่นอะไรพวกนี้น่ะ แล้วคุณล่ะ”

    “ผม... เป็นสถาปนิกน่ะ”

    สักพักอีธานก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

    “ขอบคุณที่มาอยู่ด้วยนะ ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”

    “โอเค... ถ้างั้น... เราก็ควรจะไปแล้วล่ะนะ... จริงด้วยสิ เรายังไม่รู้ชื่อคุณเลย”

    “อีธาน...”

    “ดูแลตัวเองด้วยนะอีธาน”

    หลังจากที่เมดิสันออกจากห้องไปแล้ว อีธานก็มานั่งบนโต๊ะและเปิดกล่องรองเท้าที่เขาได้รับมาเมื่อเช้านี้อีกครั้ง

    เขาหยิบโอริกามิรูปผีเสื้อที่เขียนหมายเลข 2 ขึ้นมาจากนั้นก็ค่อยๆคลี่มันออก ตัวโอริกามินั้นทำด้วยธนบัตรหลายๆอันมาแปะติดกัน ภายในนั้นมีกระดาษซึ่งแปะอยู่บนธนบัตรอีกทีนึง

    "คุณพร้อมหรือยังที่จะเจ็บปวดเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?"

    โรงไฟฟ้าเก่าบนถนนเอ็มบาคาเดโร เลคซิงตัน


    เมื่อเขารู้สถานที่แล้วเขาก็ปิดกล่องไว้ดังเดิมและนำโอริกามิรูปผีเสื้อมาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง เขาเดินไปหยิบเสื้อคลุมที่วางพาดไว้บนเตียงจากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไป

  24. #23
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 20: A Visitor เราคือคู่หูกันใช่ไหม?

    Chapter 20: A Visitor เราคือคู่หูกันใช่ไหม?

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 16.46 น.

    ปริมาณน้ำฝน 2.074 นิ้ว


    นอร์แมนและเบลคนั่งรออยู่ในรถสีดำคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ริมถนน พวกเขากำลังรอนายมิโรสลาฟ คอร์ดาอยู่ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขสองของคดีนักฆ่าโอริกามิ อากาศบริเวณนั้นยังคงมืดครึ้มและมีฝนตกปรอยลงมาเหมือนทุกๆวัน

    “ทำไมคุณไม่ยิง” เบลคซึ่งนั่งอยู่ตรงที่คนขับหันมามองนอร์แมนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ

    “อะไรนะ” นอร์แมนหันหน้าไปหาเขา

    “ก็ตอนนั้นไง... นาธานเนียลอาจจะมีปืนก็ได้ เขาอาจจะยิงผม... ทำ-ไม-คุณ-ถึง-ไม่-ยิง-เขา”

    “ก่อนที่ผมจะตัดสินใจทำอะไรผมจะหาข้อมูลก่อนเสมอ ผมพยายามทำให้มันยุติธรรมที่สุดแล้วนะ”

    “นี่! คุณมีเวลาแค่เสี้ยววินาทีเอง เขาอาจจะฆ่าผมก่อนที่คุณยังไม่ทันทำอะไรเลยก็ได้” เบลคเริ่มขึ้นเสียงกับเขาเมื่อเห็นเขามองออกไปนอกหน้าต่างอยู่

    นอร์แมนหันมาและยิ้มน้อยๆ “ถ้างั้นผมก็ขอโทษนะ ผมก็คิดว่าคุณแค่เก่งเท่านั้นแหละ เป็นตำรวจที่ทำงานมาหลายปีแล้วนี่ ผมก็ไม่คิดหรอกนะว่าคุณจะกลัวกับสิ่งอะไรแบบนี้น่ะ หึหึ...”

    เบลคซึ่งไม่ขำด้วยหันหน้ามามองเขาด้วยความหงุดหงิด แต่นอร์แมนกลับมองไปข้างหน้า เห็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งสวมชุดสีส้มอยู่กำลังเดินมา

    “นั่นเขาล่ะ” นอร์แมนกล่าว

    ทั้งคู่เดินออกจากรถและเดินตรงไปที่ชายคนนั้น เขาเดินมาคนเดียว มือข้างหนึ่งถือถ้วยกาแฟอยู่

    “มิโรสลาฟ คอร์ดา ใช่ไหม” นอร์แมนทักเขาพร้อมโชว์บัตรเอฟบีไอ

    “อะไร” เขาตอบมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ

    “ร้อยโทคาร์เตอร์ เบลค ผมมีคำถามอยากจะถามคุณ” เบลคมองหน้าเขา

    มิโรสลาฟมองหน้าทั้งคู่สักพักจากนั้นเขาก็สาดกาแฟร้อนๆใส่หน้าเบลคเข้าให้อย่างจังพร้อมพลักตัวนอร์แมนออกจนตัวเขาล้มลงไปแช่ในน้ำขัง

    “โธ่เว้ย! อย่ายืนบื้อสิวะ!” นอร์แมนรีบลุกขึ้นและมองไปที่เบลคซึ่งกำลังมีปัญหากับหน้าของเขาอยู่ จากนั้นนอร์แมนก็รีบวิ่งตามมิโรสลาฟที่วิ่งหนีไป

    “หยุดนะ ไม่งั้นผมยิง!” นอร์แมนหยุดวิ่งและเล็งปืนไปที่เขา แต่เขากลับวิ่งหนีต่อไปเข้าไปในโรงเชือดหมู

    “อ้าวแล้วทำไมไม่ยิงมันวะ” เบลคเข้ามาพอดี

    “ทางนั้นมันทางตัน” นอร์แมนกล่าวอย่างใจเย็นพลางควักปืนพกออกมาจากกระเป๋า “เข้าไปกันเถอะ”

    “คุณเข้าไปคนเดียวเหอะ! ผมจะคอยดูต้นทางให้”

    “เออเอางั้นก็ได้”

    นอร์แมนเดินเข้าไปในโรงเชือดหมู มองเห็นศพหมูห้อยอยู่บนตะแกรงหลายสิบตัวในห้องแช่แข็ง

    “มิโรสลาฟ! คุณหนีไปไหนไม่ได้แล้ว โผล่ตัวออกมา!” นอร์แมนพยายามหาเขา ความเย็นในห้องแช่แข็งเริ่มทำให้มือของเขารู้สึกชา เขาควักแว่นตาของเขาออกมาจากกระเป๋าและใส่มัน

    “เปิดระบบตรวจจับความร้อน”

    เอ.อาร์.ไอ. กำลังตรวจจับความร้อน...

    นอร์แมนใช้แว่นตาของเขาสอดส่องไปข้างหน้ารอบๆแต่ก็ไม่พบอะไร เขาจึงหันไปด้านหลังและพบกับไม้หน้าสามอันหนึ่งอยู่ข้างหน้าเขา

    เพล้ง!

    มิโรสลาฟฟาดปืนกับแว่นตาของเขาหลุดออกจากหน้านอร์แมนจากนั้นเขาก็ระยำไม้หน้าสามใส่นอร์แมนไปสองสามที นอร์แมนยังได้สติรีบหมุนตัวถีบขามิโรสลาฟจนเขาเสียหลัก แย่งไม้หน้าสามมาจากมือเขาและเขวี้ยงมันไปที่ใบหน้าเขาอย่างจัง

    เบลคเดินเข้ามา มองเห็นมิโรสลาฟกำลังนอนแน่นิ่งอยู่

    “เขายังไม่ตายหรอก แค่สลบไปก็เท่านั้นเอง” นอร์แมนบอกเบลค

    “ดีละ... ครั้งนี้ดูเหมือนว่าเราจะได้ตัวนักฆ่าโอริกามิมาแล้วสินะ...”

    ***

    เวลา 19.28 น.

    ปริมาณน้ำฝน 2.244 นิ้ว


    บ้านของสก๊อตอยู่ในอพาร์ทเม้นท์เก่าๆแห่งหนึ่งบนชั้นสี่ ในขณะที่เขากำลังง่วนอยู่กับการรวบรวมหลักฐานของนักฆ่าโอริกามิอยู่ก็มีเสียงกริ่งดังขึ้นมา

    กริ้งๆ

    สก๊อตเดินไปเปิดประตู แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นลอเรนยืนอยู่ข้างหน้าห้องของเขา

    “ลอเรน!?”

    “คุณบอกฉันนะคะว่าให้ฉันมาหาคุณถ้าหากฉันจำอะไรบางอย่างได้” ลอเรนก้มหน้า

    สก๊อตยักคิ้วอย่างแปลกใจ

    “ฉันเข้าไปได้ไหมคะ” ลอเรนถามเขา

    สก๊อตมองหน้าเธอสักพักจากนั้นเขาก็หลีกทางให้เธอเดินเข้ามา

    “มา... ผมถอดเสื้อคลุมให้” สก๊อตยื่นมือเข้าไปช่วยจากนั้นเขาก็นำเสื้อคลุมของลอเรนไปแขวนไว้ข้างๆประตู

    “น้ำไหมครับ”

    “ไม่ล่ะค่ะ”

    “ถ้างั้นเชิญนั่งก่อนครับ”

    ลอเรนเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของสก๊อตอย่างว่าง่าย สก๊อตเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามกับเธอ

    “คือฉัน... ฉันเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้น่ะค่ะ มันอาจจะไม่สำคัญมาก แต่ว่ามีจดหมายฉบับนึงถูกส่งเข้ามาในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ลูกของฉันจอห์นนี่หายไปน่ะค่ะ”

    “จดหมาย!? จดหมายแบบไหนหรอครับ”

    “มันจ่าหน้าชื่อพ่อของจอห์นนี่น่ะค่ะ ฉันไม่รู้ว่าข้างในมันมีอะไร แต่เมื่อเขาอ่านมันแล้วเขาก็เดินออกจากบ้านไปทันที... นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เจอเขา”

    “คุณคิดว่าจดหมายนั่นมีส่วนอะไรเกี่ยวข้องกับนักฆ่าโอริกามิใช่ไหม... คุณจำอะไรเกี่ยวกับจดหมายนั่นได้บ้าง”

    ลอเรนควักจดหมายฉบับนึงออกมาจากกระเป๋าใบเล็กของเธอและยื่นส่งไปให้สก๊อต “คือฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมหรอกนะคะแต่ว่าฉันเก็บมันไว้”

    “อืม... ไม่มีอะไรแปลกเป็นพิเศษ... ยกเว้นที่อยู่จ่าหน้า” สก๊อตหยิบจดหมายนั้นขึ้นมาดู

    “ที่อยู่!?”

    “มันถูกเขียนด้วยเครื่องพิมพ์ดีดเก่าๆน่ะ... อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญก็ได้ ยังไงก็ตาม ขอบคุณมากลอเรน ผมจะติดต่อคุณไปเองถ้ามีผมมีความก้าวหน้าอะไร...”

    “เดี๋ยว!” ลอเรนขัด “คือฉัน... ฉันนั่งเฉยๆและรอคุณหานักฆ่าไม่ได้นะ เขาฆ่าลูกชายฉัน ฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเขาคือใคร และจากวันที่ผ่านมาฉันก็มาคิดว่า... ฉันอยากช่วยคุณน่ะ ช่วยในการสืบสวนของคุณ”

    “โทษทีลอเรน... แต่นั้นไม่อยู่ในคำถามนะ” สก๊อตรีบปฏิเสธ

    “ถ้าคุณไม่ช่วยฉัน ฉันจะไม่ให้จดหมายนี้กับคุณ” ลอเรนหยิบจดหมายนั้นมาเก็บไว้กับตัว

    “นี่! ฟังนะ! งานแบบนี้มันอันตราย แล้วผมไม่มีเวลามาเล่นเป็นบอดี้การ์ดหรอกนะ”

    “ถามจริงเหอะ! คุณมีอะไรบ้างที่สามารถสืบหานักฆ่าโอริกามิได้น่ะ จดหมายนี้อาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่อาจจะช่วยคุณหาตัวนักฆ่าเจอได้ก็ได้นะ... ไม่เป็นไร! ฉันเข้าใจ ยังไงซะมันเป็นความคิดโง่ๆของฉัน โทษนะที่มาทำให้คุณเสียเวลา” ลอเรนลุกออกจากเก้าอี้และเดินตรงไปที่ประตู

    “เดี๋ยว!” สก๊อตลุกขึ้นและเดินไปหาเธอ “เอางั้นก็ได้”

    “ฉันมันก็แค่คนเป็นแม่... แม่ที่อยากรู้ว่าใครเป็นฆ่าลูกของฉัน... เราเป็นคู่หูกันใช่ไหม?” ลอเรนยื่นมือมาหาเขา

    สก๊อตถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะยื่นมือออกไปจับมือของเธอ “ใช่... เราคือคู่หู...”

  25. #24
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 21: The Party นักสืบจำเป็น

    Chapter 21: The Party นักสืบจำเป็น

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 19.39 น.

    ปริมาณน้ำฝน 2.267 นิ้ว


    สก๊อตพาลอเรนออกมาจากบ้านของเขาและขับรถมาจนถึงบ้านของคนๆหนึ่งซึ่งอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โต ถึงแม้ว่าตอนนี้จะค่ำแล้ว แต่แสงไฟที่ส่องออกมาจากคฤหาสน์ของเขาก็เปล่งประกายสวยงามอยู่ไม่ใช่น้อย

    “ที่นี่แหละ บ้านของกอร์ดี เครเมอร์” สก๊อตบอกลอเรนพลางขยับตัวลงจากรถ “แต่คุณควรจะอยู่ในรถดีกว่านะ”

    “เราเป็นคู่หูกันนะ! คุณไปไหนฉันก็จะไปด้วย”

    สก๊อตกับลอเรนเดินมาหยุดตรงหน้ายามสองคนซึ่งกำลังรักษาความปลอดภัยอยู่ เขามองหน้ายามทั้งสองคนนั้นและเดินเข้าไปในสวนหน้าคฤหาสน์อย่างงงๆ

    “นึกว่าจะต้องใช้บัตรเชิญซะอีก” สก๊อตขยับเสื้อคลุมให้ดูเรียบร้อยก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในคฤหาสน์

    “แล้วตกลงเรามาทำอะไรกันที่นี่แน่เนี่ย” ลอเรนถามเขา

    “มาหากอร์ดีน่ะ”

    “กอร์ดี เครเมอร์นั่นน่ะนะ ลูกชายของเจ้าพ่อบริษัทก่อสร้าง เครเมอร์ คอนสตรัคชั่นน่ะหรอ”

    “ใช่”

    “คุณคิดว่าเขาคือนักฆ่าโอริกามิหรอ”

    “ก็นะ... ตอนนี้ผมแค่มีคำถามเล็กน้อยที่อยากจะถามเขา”

    ภายในคฤหาสน์นั้นเต็มไปด้วยสาวที่แต่งตัวไม่มิดชิดจำนวนมากพร้อมทั้งผู้ชายหลายๆคนกำลังเต้นมึนเมาอยู่ มีเสียงเพลงดังลอยขึ้นมาเป็นจังหวะ

    “โห... กอร์ดีคงจ่ายเยอะแน่สำหรับงานนี้ คุณคิดว่าไง” ลอเรนอ้าปากค้าง

    “เราจะคุยกันเรื่องคฤหาสน์เขาวันหลังนะ”

    “แล้วเราต้องทำไงล่ะ”

    “อืม...” สก๊อตยืนคิด “เอางี้... คุณรออยู่ที่นี่ก่อน ผมจะเข้าไปคุยกับกอร์ดี เสร็จแล้วผมจะลงมารับคุณ”

    “โอเค... ไปไวๆนะ อยู่แถวนี้แล้วฉันเริ่มขนลุก” ลอเรนกอดแขนตัวเอง

    สก๊อตเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งดื่มสุราอยู่บนโซฟา

    “เห็นกอร์ดีไหมครับ”

    “กอร์ดีน่ะหรอ เขาอยู่ข้างบนน่ะ คุณจะโชคดีมากเลยถ้าเจอเขา เขาไม่ค่อยชอบออกมารับแขกเท่าไหร่น่ะ”

    “แล้วทำไมเขาถึงจัดปาร์ตี้ล่ะ”

    “ไปถามเขาเองสิ”

    สก๊อตเดินเข้าไปตรงห้องโถงหน้าบันได มียามสองคนยืนเฝ้าประตูอยู่

    “มีอะไร” ยามคนนึงถามเมื่อเห็นสก๊อตจ้องหน้า “กอร์ดีบอกว่าไม่ต้องการแขกอยู่ข้างบนตอนนี้”

    “นี่... เอางี้นะ” สก๊อตควักแบงค์ 1000 ออกมาจากกระเป๋า “คุณกอร์ดีป็นคนบอกผมเองว่าให้ผมผ่านมาทางนี้”

    “นี่นายหูหนวกหรือไงวะ กลับไป! ผมไม่ได้มีไว้ขาย!”

    สก๊อตเดินกลับไปหาลอเรนซึ่งกำลังยืนเต้นอยู่บนเวทีเล็กๆอยู่

    “เฮ้ย! ไหนบอกไม่ชอบที่นี่ไง” สก๊อตมองหน้าลอเรน

    “พอดีนั่งเฉยๆแล้วมันน่าเบื่อน่ะ แล้วเป็นไง ได้คุยกับเขาหรือยัง”

    “พวกยามมันไม่ให้ขึ้นไปน่ะ คุณช่วยหน่อยสิ”

    “แหม... ทีงี้ละมาพึ่งฉันเลยนะ คอยดูฝีมือฉันก็แล้วกัน”

    สก๊อตมองตามลอเรนไป เห็นเธอกำลังเต้นท่าฟรีสไตล์อยู่หน้ายามทั้งสอง จากนั้นยามทั้งสองก็เดินตามเธอมาออกห่างจากบันไดอย่างง่ายดาย

    สก๊อตไม่รอช้ารีบโกยเท้าขึ้นไปบนบันไดทันทีหลังจากที่ลอเรนแอบขยิบตาให้ เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องๆหนึ่งซึ่งภายในตกแต่งค่อนข้างหรูหรา เห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งดูการ์ตูนในโทรทัศน์อยู่จึงเดินเข้าไปหา มีผู้หญิงสามคนใส่ชุดค่อนข้างเปลือยนั่งอยู่ข้างๆเขา

    “คุณกอร์ดี” สก๊อตทักเขา

    “ชู่ววว” กอร์ดีนิ้วขึ้นมาปิดปากตัวเอง “แปปนึง ตอนนี้กำลังสนุกเลย”

    สก๊อตมองไปที่โทรทัศน์ จากนั้นก็หันหน้ากลับมาหากอร์ดีซึ่งกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานอยู่

    “ผมชื่อว่าสก๊อต เชลบี เป็นนักสืบคดีลับ ผมกำลังสืบสวนคดีเกี่ยวกับนักฆ่าโอริกามิอยู่ ผมมีคำถามบางอย่างที่อยากจะถามคุณ”

    เหมือนว่ากอร์ดีจะไม่ได้ยินเขา เขายังคงนั่งมองการ์ตูนและหัวเราะไปเรื่อยๆ

    “ผมอยากรู้ครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับโจเซฟ บราวน์” สก๊อตบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงข่มขู่เล็กน้อย

    “นี่... ออกไปก่อน” กอร์ดีหันหน้าไปบอกกับสาวสามคนที่นั่งอยู่ทางขวาของเขา จากนั้นเขาก็ค่อยๆหันหน้ามาหาสก๊อต “คุณอยากได้อะไร”

    “มีพยานบางคนบอกว่าโจเซฟ บราวน์ได้เข้าไปในลีมูซีนของคุณก่อนที่เขาจะหายตัวไป ผมรู้ว่าคุณเคยถูกจับแล้วครั้งหนึ่งด้วยข้อหานี้ แต่คุณก็รอดออกมาได้เมื่อพ่อของคุณโทรมาแจ้งกับพวกตำรวจแล้วคดีก็ถูกปิดลง แต่สิ่งที่ผมอยากจะรู้ก็คือ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แค่อยากให้หายสงสัยน่ะว่าคุณไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนักฆ่าโอริกามิ ผมพูดเคลียร์มั้ย”

    “เด็กก็แค่หลงทางน่ะ ผมช่วยเหลือเขาโดยขับรถไปส่งเขาที่บ้าน ตำรวจก็เข้ามา ผมอธิบายถึงเรื่องที่เข้าใจผิดกันแล้วผมก็ถูกปล่อยตัว ก็แค่นั้นเอง เรียบง่ายใช่มั้ยล่ะ”

    “สรุปคือคุณก็แค่พาเด็กที่หลงทางมาไว้ในลิมูซีนของคุณก่อนที่เขาจะหายตัวไปงั้นหรอ เหอะ... เป็นคนดีหน่อยเถอะแล้วบอกผมมา สิ่งที่ผมจะสามารถเชื่อคุณได้...”

    กอร์ดีลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างใจเย็น “โอเค... ผมคือนักฆ่าโอริกามิ ผมพาเด็กมาไว้ในรถ จากนั้นก็ถ่วงเด็กพวกนั้นในน้ำฝน ผมทิ้งร่างเด็กเหล่านั้นใกล้ๆกับรางรถไฟ ยัดโอริกามิอันนึงไว้ในมือของพวกนั้น แล้วก็วางดอกกล้วยไม้ไว้บนหน้าอกด้วย ที่ผมทำอย่างนั้นเพราะว่าผมเบื่อ... มันเป็นวิธีเดียวที่สามารถทำให้ผมสนุกได้ ผมตอบคำถามคุณเคลียร์ไหมหรือคุณต้องการอะไรอีก”

    สก๊อตไม่พูดอะไร เขาเชิดหน้าขึ้นเมื่อกอร์ดีเดินเข้ามาหาเขา

    “การสัมภาษณ์จบลงแล้ว” กอร์ดียื่นหน้าไปใกล้ๆเขา “เอาตัวมันออกไป!”

    ยามสองคนเดินเข้ามาในห้องและล็อคแขนเขาทั้งสองข้างเอาไว้ สก๊อตได้ทีรีบถีบขาใส่ยามทั้งสองและชกหน้ายามคนหนึ่งจนสลบไป ยามอีกคนปล่อยหมัดข้างนึงมาแต่สก๊อตก็หลบได้ทัน เขาได้ทีรีบฮุคขวาใส่คอของยามอีกคนจนสลบไป

    สก๊อคก้มลงด้วยความเหนื่อย “มันเป็นเกมที่ค่อนข้างเสี่ยงนะ คุณกอร์ดี”

    “คุณรู้จักพ่อของผมไหม” กอร์ดียืนถามเขา “เพียงแค่เขากระดิกนิ้วคุณก็หลับไม่ตื่นแล้ว คุณต่างหากล่ะที่ควรกลัว ไม่ใช่ผม” หน้าตาเขาเริ่มเคร่งขรึม “ลาก่อนคุณสก๊อต ออกไปจากที่นี่ซะ”

    เมื่อไม่ได้ข้อมูลอะไรสก๊อตก็ออกมาจากห้องนั้นและเดินลงไปชั้นล่าง

    “ได้อะไรไหม” ลอเรนถามเขาเมื่อเห็นเขาเดินลงมาจากบันได

    “ไม่... เรากลับกันเถอะ”

    “โอเค...”

  26. #25
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 22: The Butterfly โอริกามิหมายเลขสอง - ผีเสื้อ


    "คุณพร้อมหรือยังที่จะเจ็บปวดเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?"
    Chapter 22: The Butterfly โอริกามิหมายเลขสอง - ผีเสื้อ

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 19.42 น.

    ปริมาณน้ำฝน 2.278 นิ้ว


    "คุณพร้อมหรือยังที่จะเจ็บปวดเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?"

    โอริกามิหมายเลขหนึ่ง – ผีเสื้อ


    อีธานก้าวเท้าลงมาจากรถหน้าโรงไฟฟ้าเก่าที่ถูกทิ้งร้างไว้ กลิ่นเหม็นคละคลุ้งบริเวณนั้นมีมากจนทำให้อีธานอยากจะอาเจียน เขานำผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากไว้แล้วเดินไปที่ประตูใหญ่ซึ่งประกอบด้วยเหล็กที่มีสนิมเกาะเกรอะกรังอยู่

    เขาออกแรงผลักประตูไปทางซ้ายแต่กลับพบว่ามันถูกล็อค เขานำโอริกามิขึ้นมาดูอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขามาถูกที่จริงๆ

    ทันใดนั้นอีธานก็เหลือบไปเห็นรอยบากรูปผีเสื้อบนกำแพง เขาจึงเดินตามมันไปและพบกับลวดหนามจุดหนึ่งซึ่งถูกตัดไปจนกลายเป็นรูขนาดเล็ก

    ยังคงมีประกายไฟสีฟ้ากับสีส้มแลบออกมาจากเครื่องจ่ายไฟฟ้าบนเสาอยู่เล็กน้อย โรงไฟฟ้าเก่าแห่งนี้อีธานรู้ดีว่ามันถูกทิ้งไปเมื่อหลายปีที่แล้วด้วยเหตุไฟไหม้ แต่เขาก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมสถานที่นี้ยังคงถูกเปิดใช้งานอยู่ซึ่งดูได้จากกระแสไฟฟ้าที่ไหลออกมาจากตัวตึก แต่ก็ไม่ยักจะมีคนทำงานอยู่ข้างในเลย ยังไงก็ตามที่นี่ก็คงอันตรายมากที่เดียว

    “โอ้ย!” อีธานสะดุ้งเมื่อนิ้วเขาเผลอไปเกี่ยวกับลวดหนามเมื่อเขาพยายามจะลอดใต้มัน เขารีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือดที่ค่อยๆไหลอย่างรวดเร็ว

    เมื่อเขาเข้ามาในบริเวณโรงไฟฟ้าได้แล้ว เขาก็ไม่รอช้าที่จะตรงดิ่งไปที่ประตูบานหนึ่งซึ่งข้างๆมีรอยบากรูปผีเสื้อเอาไว้

    คำว่า บุคคลภายนอกห้ามเข้า ได้ถูกแปะไว้บนประตูแต่อีธานไม่สนใจมัน เขาเปิดประตูเข้าไปข้างในและเดินไปเจอกับท่อระบายน้ำซึ่งไม่มีน้ำไหลผ่าน ขนาดนั้นค่อนข้างแคบและเหม็น ในนั้นมีรอยบากรูปผีเสื้อข้างๆท่ออีกแล้ว ทั้งยังมีไม้ขีดไฟอยู่หนึ่งกล่องด้วย

    อีธานหยิบไม้ขีดไฟมาหนึ่งก้านขึ้นมาจุดและก้มตัวมุดลงไปในท่อนั้น เขาค่อยๆคลานเข้าไปข้างในเรื่อยๆโดยอาศัยแสงไฟจากไม้ขีด อากาศภายในที่ค่อนข้างน้อยทำให้เขาหายใจค่อนข้างลำบาก

    แกร๊บ!

    อีธานร้องอุทานเมื่อตัวเขาเผลอคลานเข้าไปทับเศษกระจกที่กระจายอยู่ทั่วท่อน้ำ เขาจุดไม้ขีดขึ้นมาอีกครั้ง เศษกระจกจำนวนมากที่กระจัดกระจายอยู่มีเศษเลือดติดอยู่ประปราย มันบ่งบอกว่ามีคนเคยผ่านมาทางนี้แล้ว

    เขาสูดหายใจเข้าลึกๆจากนั้นก็คลานต่อไป

    แกร๊บ! แกร๊บ!

    อีธานกัดฟันทนเมื่อเศษกระจกทีละชิ้นๆได้แทงเข้าไปในร่างกายเขาทีละน้อยๆ

    ทันใดนั้น เมื่อเขาคลานเข้าไปในมุมอับและหันหน้าไป เขาก็พบกับสิ่งที่เขาไม่ควรจะเห็น

    “หน้าคน!?!”

    อีธานสะดุ้งเมื่อเห็นศพนอนขดอยู่ในท่อ สภาพศพนั้นไม่เน่า สันนิษฐานว่าเขาน่าจะเพิ่งเสียชีวิต อนิจจา นี่คงเป็นพ่อของเหยื่อของนักฆ่าโอริกามิที่ต้องมารับกรรมอะไรแบบนี้

    มีนามบัตรหล่นอยู่ข้างๆตัวเขา อีธานจุดไฟแช็กอีกรอบและหยิบมันขึ้นมาดู

    ไมเคิล โบวส์

    เขาเริ่มร้องไห้ แต่รูปชอนซึ่งอยู่ในบ่อน้ำก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา ผลักดันเขาให้คลานต่อไป ไม่ใช่ให้เขามาไว้อาลัยกับผู้ตายในที่แห่งนี้

    เมื่อศพขวางทางเขาอยู่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะคลานข้ามตัวเขาไป

    เขาใช้ประโยชน์จากลมที่พัดมาจากด้านหน้าเป็นตัวช่วยบอกให้เขาคลานไปทางไหน ซึ่งภายในนั้นมีทางแยกเยอะ โอกาสที่เขาจะหลงและติดอยู่ข้างในเหมือนกับ ไมเคิล โบวส์ ก็มีมาก

    ในตอนนี้สภาพร่างกายเขาดูค่อนข้างแย่มากๆแล้ว ทั้งแขนทั้งขาของเขาเปรอะไปด้วยเศษแก้ว กลิ่นคาวเลือดจากตัวของเขาเองก็เริ่มทำให้เขารู้สึกอาเจียน แล้วเขาก็อาเจียนออกมา! แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาหลงอยู่ในความมืดมิดนานอยู่ถึง 7 นาที แสงไฟสีเหลืองๆก็เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างจางๆ

    “เอาล่ะ...”

    อีธานไม่สงสัยอะไรทั้งสิ้น เขาคลานอย่างเต็มที่ไปที่ต้นตอของแสงนั้น ในใจเขาไม่ได้คิดอะไรว่าแสงนั้นมันคืออะไร มันอาจจะเป็นกับดัก... หรืออะไรสักอย่าง แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าที่นี่แหละนะ

    อีธานหล่นลงมาจากท่อด้วยสภาพร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เสื้อผ้าเขาขาดวิ่นและเปรอะไปด้วยเลือด เขาพยุงตัวขึ้นและมองไปรอบๆ มีไฟในหลอดบนเพดานเปิดค้างไว้อยู่ แต่รอบๆตัวเขาก็ไม่มีอะไรเลย มีเพียงห้องเปล่าๆ กับท่อน้ำอีกอันอยู่ข้างหน้า

    ท่อน้ำอันนี้ไม่เหมือนอันเก่า เพราะเขาต้องสไลด์ลงไป เขาสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆจากนั้นก็ย่อตัวเข้าไปในท่อนั้น

    ตัวท่อนั้นค่อนข้างชันและเลี้ยวไปเลี้ยวมา อีธานซึ่งสไลด์ลงไปอยู่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากจะยอมรับชะตากรรมที่เขาอาจจะต้องเจออีกข้างหน้านี้

    กร๊อบ!

    ในที่สุดเขาก็ร่วงลงมาจากท่อ แต่ด้วยความที่เขาลงมาเร็วเกินไปก็ส่งผลให้กระดูกขาข้างขวาของเขาหักไปเลยภายในทันที! เขาเอามือกุมขาและมองไปด้านหน้า มีรูปผีเสื้อแปะไว้บนผนังอีกฟากหนึ่ง อีธานเพ่งสายตามองไปที่โต๊ะเล็กๆข้างหน้าก็เห็นเมมโมรี่การ์ดวางอยู่บนนั้น แต่สิ่งที่ขวางระหว่างเขากับมันก็รุนแรงเกินกว่าที่เขาจะกล้าเข้าไป

    มันคือสายลวดที่เต็มไปด้วยไฟฟ้าและประกายไฟ อีธานลุกขึ้นและพยายามจะลอดเข้าไปอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ด้วยความที่เขาขาหักจนทำให้เขาไม่คล่องแคล่วเกินพอที่จะลอดเข้าไปได้ แน่นอนว่าเขากลับถูกไฟฟ้าช็อตจนตัวเขาไม่กล้าสัมผัสมันอีก

    อีธานเหลือบมองไปทางซ้าย มองเห็นประตูบ้านหนึ่งที่ไม่มีอะไรแฟนซีมาก นอกจากคำว่า “ขี้ขลาด”

    เขาค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ประตูนั้นเรื่อยๆ สายตาก็พลางมองไปที่ลวดไฟฟ้า มีอยู่หลายครั้งที่เขาทำท่าว่าจะหันหลังกลับไป แต่สุดท้ายความอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจของเขาก็พาเขาไปสู่จุดหมายจนได้

    กริ๊ก!

    อีธานบิดลูกบิดประตูและเปิดมันออกไป เขาหันกลับไปมองด้านหลังเป็นครั้งสุดท้าย

    “รอพ่อก่อนนะชอน พ่อจะหาวิธีอื่นเอง”

    เขาค่อยๆก้าวเท้าลงบันไดหลังประตูอย่างช้าๆ เขาเดินไปเรื่อยๆจนตัวเขาออกมานอกเขตโรงไฟฟ้านั้น จากนั้นเขาก็คุกเข่าอย่างอ่อนแรง

    “พ่อขอโทษ... แต่พ่อพยายามที่สุดแล้ว... พ่อไม่ไหว... ไม่ไหวแล้ว...”

    ข้างหน้าเขามีแต่ความมืดมิดและความอ่อนล้า นี่คือครั้งแรกที่เขาไม่ผ่านบททดสอบปริศนานี้ แต่เขาก็เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


    เกล็ดความรู้เล็กน้อยนะครับ - ทำไมถึงต้อง "ผีเสื้อ"

    โอริกามิชิ้นนี้แสดงถึงความอ่อนแอของผีเสื้อว่าทำไมมันถึงบาดเจ็บง่าย สัตว์จำพวกผีเสื้อหรือแมลงก็เป็นสัตว์ที่ "บินเข้าหาแสงไฟ" อย่างเช่นที่อีธานกำลังทำอยู่ ในบางศาสนา ผีเสื้อนั้นจะถูกเชื่อว่าเป็นวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วซึ่งกำลังถูกส่งไปยังสวรรค์ เปรียบเทียบได้จากการที่อีธานทำแบบทดสอบที่ยากทรหดเพื่อเป้าหมายในการปลดปล่อยลูกชายเขา อีกเหตุผลนึงก็คือ อีธานนั้นต้องพยายามเอาตัวรอดในที่แคบๆ ซึ่งผีเสื้อนั้นก็ทำแบบเดียวกัน
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 18th January 2015 เมื่อ 17:13


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top