มันเป็นความคิดอิงจากปรัชญาโบราณคับ อริสโตเติลหรือเพลโต นี้หละ อ้างว่าจนเนี้ยวมัยก่อนจะคำนึงถึงแต่ปากท้องตัวเองเป็นหลักทำให้ไม่สนใจผลกระทบต่อบ้านเมือง ส่วนคนรวยในสมัยก่อน มีเวลาศึกษาปรัชญาและมีเวลาขบคิดวิเคราห์ปัญหาต่างๆทำให้มีความคิดดีกว่าคนจน
แต่เวอร์ชั่นหลังๆพอมีชนชั้นกลางก็กลายเป็นว่า พวกคนรวยพอรวยแล้วก็ขี้เกียจไม่สนใจบ้านเมือง(ยุคศัทวรรตที่16พวกนั้น คนรวยก็ดีแต่จัดปาร์ตี้ไปวันๆ) ชนชั้นกลางเองดีที่สุดคือมีทั้งวิชาความรู้ ทั้งสนใจบ้านเมืองพอตัว
ในไทยมันเป็นปัญหามานานแล้วหละ เค้าเรียกทฤษฎี2นครา คือคนจน คนชนบทเลือกนักการเมืองที่เป็นประชานิยมหรือมีความสนิทชิดเชื้อกันแบบระบบอุปถัมม์ซึ่งบางครั้งก็ขาดความรู้ความสามารถและขาดการยอมรับ ส่วนคนเมืองพวกชนชั้นกลางก็ไม่พอใจ ก่อม๊อปไล่หรือรัฐประหาร
(หนังสืออาจารย์อเนกไปหาอ่านเอา มันอธิบายสถานะกาณ์ตอนนี้ได้เปะเลย)
เราต้องเข้าใจคับประเทศไทยเนี้ยมันมีปัญฆาอย่างหนึ่งก็คือความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูงมาก คนจนเนี้ยพอโดนนโยบายประชานิยมหรือระบบอุปถัมป์ก็โดนลากไปง่ายๆ แต่คนในเมืองไม่เหมือนกันกัน คนในเมืองนักการเมืองแถบไม่เอื้อประโยชย์อะไรเลยหน้ำซ้ำยังรีดภาษีอีก พวกนี้ถ้าเกิดนโยบายอะไรที่มันขัดกับผลประโยชย์หรือทำให้เสียผลประโยชย์บางอย่างก็พร้อมก่อม๊อปไล่ไดทุกเมื่อ
อ่านเพิ่มเติมได้
http://share.psu.ac.th/blog/pisan-surat/2681
ส่วนเรื่อง1เสียงเท่ากัน มันก็มาเทียบกับเรื่องนี้ไม่ได้หรอกนะ เพราะเราเสียภาษีไม่เท่ากันไอ้ที่ออกมาประท้วงกันส่วนใหญ่คือคนที่ต้องเสียภาษี ภาษีนิติบุคคล ภาษีเงินได้ พอพวกนี้เห็นรัฐบาลเอาเงินมาใช้จ่ายกับนโยบายประชานิยม หรือเอามาคอรัปชั่นกันพวกนี้มันไม่ยอมหรอก แต่คนจนเนี้ยนอกจาก VAT7%ภาษีอย่างอื่นก็แทบไม่เสีย แถมยังได้ส่วนบุญ(เพราะมันโกงเยอะมันก็เลยเหลือแต่เศษๆอาทิแทปเล็ตจีนแดง2000กว่าบาท แต่ราคาจัดซื้อมานี้รู้สึกจะเครื่องละ40000)จากนโยบายประชานิยมชนชั้นกลางเค้าเลยไม่ยอมยังไงคับ