เหตุผลง่ายๆ เหตุใด Dark Souls ถึงยังถูกหยิบมาเล่นไม่รู้เบื่อ
Dark Souls เกมที่ขึ้นชื่อในเรื่องความยากมหาโหดที่เกมเมอร์หลายคนคงจะทราบกันดีหากเคยเล่นมาก่อน หรือบางท่านอาจจะยังไม่เคยเล่นแต่ได้ยินสรรพคุณความยากของเกมที่บอกต่อๆกันมาก็ขอโบกมือลากันไป แต่รู้หรือไม่ว่ามีเกมเมอร์อยู่กลุ่มหนึ่งที่ยังคงหยิบเกมนี้มาเล่นแล้วเล่นอีกโดยไม่รู้จักเบื่อ เหตุใดเกมถึงถูกหยิบมาเล่นเรื่อยๆทั้งที่เกมก็ออกมาเนิ่นนานแล้ว? อะไรคือเสน่ห์ของเกมนี้? บทความนี้ผมขอให้เหตุผลเป็นข้อๆจากที่ผมได้เล่นเกมนี้เป็นระยะเวลานานพอสมควร ไม่ฝีมือดักดานก็เล่นจนคุ้มนั่นแหละครับ ฮา
ยาก
เหตุง่ายๆสั้นๆแต่เมื่อถามทัศนคติต่อเกม Dark Souls จากที่เกมเมอร์ที่เคยเล่นเกือบทุกคนต้องให้เหตุผลนี้นำหน้าก่อนเสมอ เออ แล้วมันยังไงล่ะ? เกมอื่นยากๆก็มีถมเถไป หากเราลองมานับๆเกมที่เข้าสู่ยุค FPS เกร่อตลาดวีดิโอเกมหลายคนคงรู้ตัวดีว่ายุคนี้เกมมันสุดแสนจะง่ายแบบพร้อมเสริฟ เท่านั้นไม่พอยังมีไกด์สอนตลอดทาง แต่สำหรับ Dark Souls แล้วนอกจากศัตรูมากหน้าหลายตาความยากต่างระดับรวมไปถึงบอสแล้วนั้นเกมยังนำเสนอเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยการไม่แนะนำอะไรให้เราเลย! ปริศนาทุกอย่างภายในเกมจะเกิดจากคำใบ้ตามพื้น ,การคุยกับ NPC ,การเดา ,การใช้สัญชาตญาณ จากตรงนี้เองมันเลยกลายเป็นเสน่ห์ของเกมไปโดยปริยายที่ผู้เล่นนั้นต้องเดาสุ่มแทบทุกอย่าง สิ่งที่ตามมาคือการถามไถ่เพื่อนหรือการสืบหาข้อมูลคู่มือต่างๆที่หาได้จากอินเตอร์เน็ต ทำนองเดียวกันหากเป็นสมัยก่อนที่บ้านเราอินเตอร์เน็ตยังไม่เข้าถึงก็ต้องนึกถึงการที่พกคู่มือเกมไปนั่งคุยกับเพื่อนที่โรงเรียนถามตรงนั้นตรงนี้ผ่านยังไงและอวดกันว่า เฮ่ย เราเคลียร์เกมนี้พร้อมกับยืดอกอย่างภูมิใจ แต่หากเป็นเกมการเคลียร์ Call of Duty แล้วมายืดอกอวดชาวบ้านว่าเคลียร์แล้วนะ เชื่อว่าหลายคนที่ได้รับฟังก็คงรู้สึกเฉยๆธรรมดาเพราะใครๆก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ด้วยการที่เกม Dark Souls ยากชนิดที่ว่าแทบจะปาจอยทิ้งขณะเล่นแต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะยากแบบไร้เหตุผลเสมอไป ความยากทุกอย่างของเกมเราสามารถเอาชนะด้วยทักษะ การสังเกต และการตายแล้วตายอีกนั่นเอง
ปลุกความอยากเอาชนะ
การที่เกม Dark Souls มันยาก สิ่งที่ตามมาก็คือการตายแล้วตายอีก ด้วยนิสัยพื้นฐานของเกมเมอร์แล้วก็คือการอยากเอาชนะ แต่ด้วยสิ่งเหล่านี้มันมอดไหม้แทบจะหายไปแล้วจากเกมสมัยใหม่ทำให้ Dark Souls ดูเป็นเกมที่โดดเด่นและชูโรงเรื่องการปลุกความอยากเอาชนะขึ้นมาทันที ผู้เล่นจะได้รับรสชาติการอัดอั้นตันใจ การตายแบบไม่สมควรจะตาย การจะปราบบอสสักตัวแล้วทำให้มันใกล้ตายได้แต่เราดันตายก่อน สิ่งเหล่านี้แหละที่มันจะค่อยๆสะสมความอยากเอาชนะให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมรับประกันเลยว่าการเอาชนะบอสแต่ละตัวของเกม Dark Souls ได้มันเป็นอะไรที่ทำให้ผู้เล่นฟินยิ่งกว่าการทำ Killstreak ได้ติดต่อกันหลายๆตัวเป็นไหนๆ
งานศิลป์ระดับขึ้นหิ้ง
ด้วยผลงานของ Hidetaka Miyazaki ไดเรคเตอร์ของเกมพร้อมกับเหล่าดีไซน์เนอร์อีกหลายชีวิตได้นำเสนองานศิลป์ระดับยกขึ้นหิ้งในโลก Dark Fantasy ได้อย่างสวยงามสุดๆ ตัวผู้เล่นจะได้สัมผัสสถานที่ภายในเกมหลากหลายบรรยกาศตั้งแต่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีต้นไม้ขนาดยักษ์แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุม คุกร้างที่ออกแบบมาได้น่ากลัวและชวนหดหู่ เมืองขนาดใหญ่ Anor Londo ที่ออกแบบมาได้หรูหราสง่างามลงไปถึงนรกห้วงที่มืดมิดที่สุด ทุกอย่างออกแบบมาได้อย่างน่าทึ่งล้ำจินตนการจนผมเองอดใจไม่ไหวซื้อหนังสือ Artbook ของเกมมาเก็บไว้ประดับชั้นหนังสือ ไม่ใช่แค่งานสถานที่ แต่เกมยังนำเสนอการออกแบบศัตรูโดยเฉพาะบอสที่ออกแบบได้ดูน่าเกรงขาม มังกรที่ดูใหญ่สมจริงและดูเป็นมังกรสุดแข็งแกร่งในแบบที่มันควรจะเป็น ศัตรูอัศวินขนาดยักษ์ที่มีชุดเกราะดูแตกต่างกันเข้ากับสภาพแวดล้อมภายในเกม นอกจากนั้นแล้วดนตรีออเคสตร้าประกอบของเกมโดยเฉพาะตอนสู้กับศัตรูระดับบอสก็ทำออกมาได้น่าประทับใจและอลังการสร้างอารมณ์ร่วมขณะต่อสู้ แม้เราจะตายแล้วตายอีกก็ตามทีมันก็ยังฟังดูตื่นเต้นเสมอ
เนื้อเรื่องที่ลึกลับ
สำหรับเกมทั่วไปส่วนใหญ่แล้วเราคงจะคุ้นและชินกับการผูกพันธ์กับตัวละครหลัก บทสนทนา ตลอดจนการพูดดำเนินเรื่องที่ค่อยๆเปิดปมจนคลี่คลายในที่สุด แต่สำหรับเกม Dark Souls แล้วผมบอกได้เต็มปากว่าหากเล่นเกมนี้ให้มันพ้นๆไปผู้เล่นอาจไม่ได้ซึมซับสิ่งที่แทบจะเรียกว่าลึกซึ้งที่สุดของเกมนี้เลยก็ได้ เปรียบกับภาพยนตร์ก็คงเหมือนดูหนังของ Martin Scorsese ที่ทิ้งปมให้ขบคิดไปจนจบภาพยนตร์แล้วยังต้องมานั่งประชุมเพลิงตีความให้ตกผลึก แน่นอนว่าเกม Dark Souls เองก็เช่นกัน โดยเกมนั้นจะนำเสนอเนื้อเรื่องคร่าวๆด้วยวีดิโอคัตซีนก่อนเริ่มเกมเท่านั้น ส่วนเรื่องราวอื่นๆต้องมาตีความจากการสนทนากับเหล่า NPC แทบทั้งสิ้น นอกจากนั้นระหว่างเล่นเกมเกมนั้นก็ได้แฝงความลับต่างๆไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นประตูลับ สถานที่ปริศนาที่ไม่ได้อยู่ในเนื้อเรื่องหลักของเกมแต่ถูกนำมาผูกกับตัวเกมได้อย่างลงตัว ตรงนี้ถือว่าเป็นสิ่งอันทรงเสน่ห์ของเกมนี้ที่เหล่าแฟนเกมได้ยกย่องว่าเป็นเกมที่มีเนื้อหาและเนื้อเรื่องลึกซึ้งเอามากๆ .ทั้งๆที่เกมแทบจะไม่บอกอะไรนั่นแหละ(นั่งตีความกันต่อ) หากใครสนใจเนื้อเรื่องของเกมสามารถเข้าไปชมที่ชาแนลบน YouTube ของ ขอรบกวนทั้งชุดนอน ในส่วนของเกม Dark Souls กันได้เลย ถือว่าอธิบายรายละเอียดได้ดีสุดๆเลยล่ะครับ นี่โฆษณาให้เลยนะเนี่ย ฮา
บอสน่าจดจำ
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเกม Action RPG โดยถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดนั่นก็คือบอส ยิ่งเกมสัญชาติญี่ปุ่นแล้วถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และถูกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ภายในเกม Dark Souls นั้นมีบอสมากมาย นับกันคร่าวๆก็ราว 27 ตัวไม่รวมเหล่ามินิบอสที่น่าปวดหัวระหว่างเกม ในเรื่องการดีไซน์ผมจะไม่ขอพูดถึง สิ่งที่ผมจะพูดถึงคือความยากชวนน่าปวดหัวของบอสภายในเกมแต่ไม่ได้เป็นลักษณะนี้ทุกตัวหรอกนะ บอสที่เข้าข่ายในที่นี้ผมขอยกตัวอย่างเช่น Dragon Slayer Ornstein & Executioner Smough สองบอสอ้วนผอมที่เหล่าผู้เล่นยกให้เป็นหนึ่งในบอสที่น่าปวดหัวที่สุดของเกม ,หรือจะเป็น Manus, Father of the Abyss ที่มาในสไตล์จัดเต็มตบเราไม่ยั้ง รวมไปถึงมังกร Black Dragon Kalameet ที่สามารถฆ่าเราให้ตายได้เพียงการตบเราแค่สองครั้ง แต่ในความยากของบอสเหล่านี้เราสามารถเรียนรู้จากการตายแล้วตายอีกของเราจนสามารถเอาชนะมันได้ที่สุด ซึ่งฟังแล้วก็ดูสมเหตุสมผลดี ด้วยการที่มันยากจนคนพูดถึงมากมายแบบนี้จึงทำให้เกิดการวาดภาพแฟนอาร์ตมากมาย การสืบหาภูมิหลังของบอสตัวนั้นๆว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร อย่างเช่น Knight Artorias และ Sif, the Great Grey Wolf เรื่องราวสายสมพันธ์ระหว่างอัศวินแขนเดี้ยงกับหมาแสนซื่อสัตย์ที่หากผู้เล่นได้ทราบที่มาที่ไปน้ำตาอาจจะซึมกันไปเลย สิ่งเหล่านี้จึงทำให้บอสภายในเกม Dark Souls นั้นน่าจดจำและถูกหยิบมาพูดโดยตลอดครับ
สรุป
ว่ากันง่ายๆในมุมมองของผมเลย Dark Souls ไม่ใช่เป็นแค่วีดิโอเกม แต่มันคืองานศิลปะชั้นยอดที่ถูกทำให้อยู่ในรูปแบบของวีดิโอเกม ตัวเกมได้ขัดเกลาใส่ใจในทุกรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นการดำเนินเรื่อง การออกแบบฉาก ตัวละคร ดนตรีประกอบ การกระตุ้นอารมณ์ผู้เล่นให้เกิดการเอาชนะและนำไปต่อยอดตีความได้อีกหลายเรื่อง หากใครได้ลองเล่นเกมนี้แล้วจะทราบโดยอัตโนมัติว่าสิ่งที่เกมเมอร์หลายคนกลัวก่อนที่จะได้เริ่มเล่นมันในเรื่องการตายภายในเกม ความยากของเกม ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เป็นเสน่ห์ให้หยิบเกมนี้มาเล่นแล้วเล่นอีกทั้งสิ้น สุดท้ายนี้ขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดสุดคลาสสิคของเกม Dark Souls
มันไม่ได้เกี่ยวกับความตาย แต่มันคือการที่เราได้เรียนรู้อะไรจากความตายต่างหากล่ะ
เครดิตhttp://www.juropy.com/2014/03/%e0%b9...8%b6%e0%b8%87/