เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา
|
|
|
|
|
|
|
ให้เช่า Colocation |
สติ๊กเกอร์ไลน์ |
|
|
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok เถื่อน |
Bitcoin |
เฟสบุ๊คเพจ |
-
23rd August 2011 22:33
#1
ภาพแห่งประวัติศาสตร์ที่ชาวโลกไม่เคยลืม (มีสาระไม่เหมือนอันก่อนๆ)
-
รายชื่อสมาชิกจำนวน 52 คนที่กล่าวขอบคุณ:
*(!JAY!)*, Akkawut, altar72, Anonymous, AT[m]-l3LADE, เช กูวาร่า, babymaster, bankcombo, basara69, BenzdezzS, boom12098, Bumblebee, cAlyX, chippie9009, Chopiiz, Emtry Mania, EvilSoul, EzioAuditoreDaFirenze, Finba001, fishdang, HISMAN, kankloaso, kerenut, Kiya-Karo, l2th38est, LeiTo, mnoiz, myarm, nokung, nontawat02, Notsosure, papangkron, pocoyo13, por 123, Poyo_ts, realmaya, Roach000, sarifboy, siamzone, simon0062, soldierof200, soul_zoro, SpaceRB, stealna, Tanawat0167, tatha5, ThunderZephyrus, titanoon, vabaras76, woaini, yoshi3416, zhezazee
-
23rd August 2011 23:06
#2
การประกาศชัยชนะสงครามของโซเวียต หรือเปล่าหว่า แต่คล้ายๆในเกมส์ COD ภาคแรกเลย ใครเล่นก็จะรู้ ฉากสุดท้ายอะ ^^.
-
รายชื่อสมาชิกจำนวน 5 คนที่กล่าวขอบคุณ:
-
23rd August 2011 23:07
#3
-
รายชื่อสมาชิกจำนวน 3 คนที่กล่าวขอบคุณ:
-
23rd August 2011 23:09
#4
เป็น ด่านสุดท้ายของ เกมส์ call of duty world at war
ใช่หรือเปล่า น่าจะจำไม่ผิดนะ
-
-
23rd August 2011 23:13
#5
กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ
myarm
เป็น ด่านสุดท้ายของ เกมส์ call of duty world at war
ใช่หรือเปล่า น่าจะจำไม่ผิดนะ
ใช่เลยครับ คิดถึงปู่ Reznov กะป๋า Dimitri จัง
-
-
23rd August 2011 23:15
#6
กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ
Instinger_Zone
ใช่เลยครับ คิดถึงปู่ Reznov กะป๋า Dimitri จัง
คิดเหมือนกันหมดเลย ฮาๆๆๆ
On Da EastSide Of Da LBC
-
-
24th August 2011 08:14
#7
RIP reznov ไปดีซะแล้ว *^*
-
-
7th October 2011 15:50
#8
-
-
7th October 2011 15:53
#9
ดูแล้วนึกถึง world at war เลย ตอนจะไปปักธง
-
-
7th October 2011 15:56
#10
ตอนนั้นจำได้ผมเล่นCODภาคแรกจนจบทำให้ใจอยากเป็นทหารเรยอะ
ปล.ภาคแรกหนุกมาก
-
-
7th October 2011 15:56
#11
ประวัติศาสตร์สงครามโลก อืมๆ น่าสนใจ น่ะครับ
-
-
7th October 2011 22:20
#12
อ่อ เป็นรูปที่ทหารโซเวียต โบกธงหน้า สภาเมืองเบอลิน ครับ หลังจากยึดเบอลินได้ ^^
-
-
7th October 2011 22:25
#13
เคยีวกับค้อนRED ALERTเป่าวะ555
-
-
7th October 2011 22:29
#14
Intel Core I5 2500k+ RAM KingstonHyberX 4gb 2*2 GTX 560 TI Top
-
-
7th October 2011 22:31
#15
เห็นเเล้วอยากกลับไปเล่นCOD -.,-
ขออนุญาติเซฟรูปนะคะ สวยดี *0*
-
-
7th October 2011 22:36
#16
งั้น! ชายที่โบกธงในภาพก็คือ Dimitri นะสิ!
-
-
7th October 2011 22:38
#17
Ǥu Ja Pai Ħai Sud ₭ob ₣ah
-
-
7th October 2011 22:42
#18
รูปที่แฝงไปด้วยความหมายที่มากมาย
-
-
8th October 2011 20:10
#19
เมืองที่เป็นเเบ็คกราวน์ไม่เหลือ
-
-
8th October 2011 20:13
#20
-
-
8th October 2011 20:42
#21
Spetsnaz จงเจริญ ฮูๆๆๆ!!!
"IGNITE THE REVOLUTION"
-
-
8th October 2011 20:50
#22
-
-
8th October 2011 22:26
#23
ภาพนี้คือภาพในตำนานและคือภาพที่แสดงชัยชนะของโซเวียดในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ไม่ใช่ว่าสงครามจะจบ 100 % นะ
-
-
9th October 2011 00:03
#24
ภาพนี้ถือเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่สำคัญภาพหนึ่งของโลก มันเป็นภาพทหารกองทัพแดงของโซเวียตนำธงโซเวียตขึ้นไปปักที่เหนืออาคารรัฐสภาเยอรมนีในปี 1945 ซึ่งเป็นเสมือนสัญลักษณ์การปิดฉากของอาณาจักรที่ 3 ตามแนวคิดของฮิตเลอร์ หลังจากที่ทหารโซเวียตรุกเข้ากรุงเบอร์ลินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
แม้ในยุคนั้นจะไม่มีเทคนิคการตกแต่งภาพที่นำสมัยแบบในปัจจุบัน แต่เบื้องหลังการตกแต่งภาพนี้ ก็มีเบื้องหลังเบื้องลึกมากยิ่งกว่าการใช้โปรแกรมโฟโต้ช็อปแบบในยุคของเราหลายเท่านัก
ภาพเหล่านี้ถ่ายเอาไว้โดยเยฟเกนี่ คาลเดย์ ช่างภาพชาวโซเวียต และภาพนี้ก็เป็นภาพที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุดตลอดชีวิตการทำงานเป็นช่างภาพ มันได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกในนิตยสาร “ อากาหยก “ ของโซเวียตเมื่อ 13 พฤษภาคม 1945
เหตุการณ์ที่ทหารกองทัพแดงนำธงไปปักไว้ที่เหนืออาคารรัฐสภาเยอรมนีนั้นเกิดขึ้นจริง แต่ช่วงนั้นไม่มีธง มีแต่ผ้าขาดๆสีแดง และไม่มีใครเอากล้องไปถ่ายการนำธงไปปักไว้ด้วย
เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 30 เมษายน 1945 เมื่อทหารโซเวียตชื่อ มิคาอิล มินิน วัย 23 ปี ซึ่งเป็นทหารโซเวียตคนแรก ที่บุกเข้ามาในอาคารรัฐสภา สามารถขึ้นไปถึงรูปปั้นหักๆเหนืออาคาร และนำธงแดงไปเสียบไว้ที่รูปปั้นดังกล่าว เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตอนมืด เวลาประมาณ 4 ทุ่ม 40 นาที จากความมืด ประกอบกับการรบที่ติดพันจึงไม่สามารถถ่ายรูปออกมาได้
และในวันถัดมา ธงดังกล่าวก็ถูกทหารเยอรมันที่ยังปักหลักสู้อยู่ในอาคาร ปลดลงมา แต่ในที่สุด ฝ่ายโซเวียต ก็ยึดอาคารหลังนี้ และกรุงเบอร์ลินได้อย่างเด็ดขาด
มินินเล่าว่า สตาลินมีคำสั่งว่ากองทัพแดงจะต้องนำธงไปปักไว้ที่เหนืออาคารหลังนี้ไม่ช้าไปกว่าวันที่ 1 พฤษภาคม 1945 ซึ่งเป็นวันแรงงานสากล หนึ่งในวันที่โซเวียตให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ทางผู้บังคับบัญชาของมินิน ก็สั่งการมาว่าจะต้องเอาผ้าสีแดงไปปักไว้บนอาคาร เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะในสงคราม
แต่ช่วงที่จะต้องบุกเข้าไปข้างในอาคาร ขวัญกำลังใจของทหารโซเวียตไม่ค่อยดี เพราะช่วงนั้นโซเวียตชนะสงครามอย่างแน่นอนแล้ว ไม่มีใครอยากตายตอนที่กำลังจะชนะ แม้ว่าจะมีการเสนอตำแหน่งอันทรงเกียรติอย่างวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียตให้ก็ตาม ขณะที่อาคารหลังนี้ยังมีการป้องกันแน่นหนา และไม่น่าจะยึดได้ด้วยอาวุธขนาดเล็ก
เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ ทางผู้บังคับบัญชาจึงตัดสินใจให้บุกในช่วงกลางดึก และมินินต้องเป็นคนรับผิดชอบในการนำหมวดหมู่ของเขาทำการบุก
เมื่อพวกเขาบุกเข้าไปที่ประตู ก็เจอกับการตอบโต้อย่างหนักจากทหารที่อยู่ข้างใน ระหว่างนั้นมีทหารคนหนึ่งจำได้ว่ามีต้นไม้ล้มอยู่ต้นหนึ่งใกล้ๆกัน พวกเขาก็เลยไปนำมันมาใช้เป็นเกราะกำบัง จนสามารถเข้าไปในอาคาร และขึ้นไปถึงหลังคาอาคารได้ แต่พวกเขาไม่มีธง แต่พอดีแถวนั้นว่ามีเสาไม้อยู่ท่อนหนึ่งกับผ้าสีแดงขาดๆ ก็เลยนำมันมาทำเป็นธง และปักเข้ากับรูปปั้นที่พังเสียหาย
แต่ในที่สุด วันที่ 2 พฤษภาคม 1945 คาลเดย์ ยอดช่างภาพก็ปีนขึ้นไปบนหลังคาของอาคารรัฐสภาเพื่อถ่ายรูปทหารโซเวียตเอาธงมาปักไว้ที่เหนืออาคารรัฐสภาอีกครั้ง แต่งานนี้มินิน ผู้สร้างประวัติศาสตร์ไม่ได้ถูกเลือกมา แต่คนที่ถูกเลือกมาเป็นคนปักธงก็คือทหารชื่อเมลิตอน กันตาเรีย ซึ่งเป็นคนเชื้อสายจอร์เจีย เช่นเดียวกับสตาลิน ผู้นำโซเวียตในยุคนั้น (งานนี้เลือกมาเป็นพิเศษ เพื่อทำให้ผู้นำโซเวียตพอใจ) ส่วนอีกนายเป็นคนเชื้อสายรัสเซียชื่อ มิคาอิล เยกอรอฟ (ผมเข้าใจว่า ทั้งสองคงจะผลัดกันขึ้นไปเป็นนายแบบในการปักธง)
มีรายงานว่า หลังจากที่ถ่ายออกมาแล้ว มีการปรับแต่งภาพนี้เพื่อปกปิดหลักฐานเรื่องการลักขโมยทรัพย์สินของที่นี่โดยทหารโซเวียต และในเวอร์ชั่นต่อๆมา มีการเพิ่มควันไฟเข้าไปด้วย ขณะที่ธงชาติก็ถูกเปลี่ยนให้ดูดีขึ้นกว่าเดิม
และเรื่องนี้ก็ทำให้วีรกรรมของมินินไม่ได้รับการตอบแทน จนกระทั่งในอีก 50 ปีถัดมาเมื่อประธานาธิบดีบอริส เยลซิน ได้ประกาศเกียรติคุณของเขาอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
และเมื่อเยอรมนีทำภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 มินินก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในฉากด้วย มินินเสียชีวิตเมื่อต้นปีนี้นี่เอง
ส่วนทหาร 2 นายที่ขึ้นไปปักธงในภาพ ได้รับการเชิดชูเกียรติในระดับสูงสุดของประเทศหลังจบสงครามไม่นาน โดยพวกเขาได้รับตำแหน่งวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต
สำหรับชะตากรรมของตัวช่างภาพเองก็พลิกผันไม่น้อยหน้าทหารทั้ง 3 นาย
คาลเดย์ เกิดเมื่อปี 1917 ในครอบครัวชาวยิวยูเครน เขาชอบการถ่ายภาพมาตั้งแต่เล็กๆ และกล้องถ่ายรูปตัวแรก เขาก็ทำมันขึ้นมาเองตอนอายุ 13 โดยใช้เลนส์จากแว่นตาของยาย พออายุ 19 เขาก็ทำงานเป็นช่างภาพให้กับสำนักข่าวทาสส์ของทางการโซเวียต คาลเดย์ได้เป็นประจักษ์พยานเหตุการณ์สำคัญของศตวรษที่ 20 มากมาย และเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้ทำหน้าที่เป็นช่างภาพสงคราม เขาออกไปยังแนวหน้ากับทหารเพื่อถ่ายภาพ เขาไปถ่ายภาพทั้งที่โรมาเนีย ยูโกสลาเวีย ฮังการี ออสเตรีย และเยอรมนี เมื่อทหารโซเวียตเข้าไปปลดปล่อยประเทศเหล่านี้จากนาซี
เขาจบชีวิตช่างภาพสงครามด้วยการไปถ่ายภาพการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามที่นูเรมแบร์ก คาลเดย์บอกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า “ ผมเคยถ่ายภาพความชั่วร้ายที่พวกฟาสต์ซิสต์นำมายังสหภาพโซเวียต และตอนนี้ผมก็กำลังถ่ายการแก้แค้น “
หลังสงครามเลิก เขายังทำงานอยู่กับทาสส์จนปี 1949 ก็ถูกให้ออกเพราะกระแสต่อต้านยิว ทำให้เขาต้องไปทำงานเป็นช่างภาพอิสระนานหลายปี พอถึงปี 1959 ก็ได้เข้ามาทำงานกับหนังสือพิมพ์ ปราฟด้า ของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต แต่ก็ทำมาจนถึงปี 1970 ก็ถูกให้ออกอีกเพราะภูมิหลังด้านการเป็นยิวของเขา
ภาพของคาลเดย์ เป็นการผสมผสานที่ลงตัวของความเป็นสารคดีและศิลปะ คาลเดย์บอกว่าเขาชอบตกแต่งภาพถ่ายเพื่อเสริมความสำคัญและความแข็งแกร่งของเหตุการณ์ในภาพ ขณะเดียวกันเขาก็ยังชอบใส่ความเห็นส่วนตัวของเขาลงไปในคำบรรยายใต้ภาพหลายภาพด้วย ซึ่งข้อความมากมายก็ได้บอกเล่าความเกี่ยวข้องของเขากับภาพนั้น และความเห็นเหล่านั้นหลายความเห็น ก็แสดงถึงอารมณ์ขันของเขา
คาลเดย์เสียชีวิตในปี 1997
เครดิต http://www.oknation.net/blog/print.php?id=341024
-
รายชื่อสมาชิกจำนวน 4 คนที่กล่าวขอบคุณ:
-
9th October 2011 04:13
#25
ภาพนะสาระ แต่น้าเช สาระกว่าแย่งซีนกันเห็นๆ 555
-
กฎการส่งข้อความ
- You may not post new threads
- You may not post replies
- You may not post attachments
- You may not edit your posts
-
Forum Rules