ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ Sticker Line ออกใหม่ โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin Joker Game Official Fanpage
ให้เช่า Colocation
สติ๊กเกอร์ไลน์
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin
เฟสบุ๊คเพจ

กำลังแสดงผล 1 ถึง 5 จากทั้งหมด 5
  1. #1
    ถูกระงับใช้งาน (Banned)
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    314
    กล่าวขอบคุณ
    111
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,012

    ประวัติความเป็นมาของ Internet






    1. ระบบอินเตอร์เน็ต
    2. อินเตอร์เน็ต ( Internet) คืออะไร อินเตอร์เน็ต คือ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเกิดจากระบบคอมพิวเตอร์เครือข่ายย่อย ๆ หลาย ๆ เครือข่ายรวมตัวกันเป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ ซึ่งขยายความได้ดังนี้ คือ การที่คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป สามารถติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันได้โดยผ่านสาย Cable หรือ สายโทรศัพท์ ดาวเทียม ฯลฯ การติดต่อนั้นจะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน หรือใช้อุปกรณ์ร่วมกัน เช่น ใช้ Printer หรือ CD-Rom ร่วมกัน เราเรียกพฤติกรรมของคอมพิวเตอร์ลักษณะนี้ว่า เครือข่าย ( Network) ซึ่งเมื่อมีจำนวนคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากขึ้น และมีการเชื่อมโยงกันไปทั่วโลก จนกลายเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ เราเรียกสิ่งนี้ว่า อินเตอร์เน็ต นั่นเอง
    3. ประวัติของอินเตอร์เน็ต อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นโครงการของ ARPAnet(Advanced Research Projects Agency Network) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัด กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้ง เมื่อประมาณ ปีค . ศ . 1960( พ . ศ . 2503) และ ได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา ค . ศ . 1969( พ . ศ . 2512) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝ่าย ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy และเปลี่ยนชื่อ จาก ARPA เป็น DARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง และในปีค . ศ . 1969( พ . ศ . 2512) นี้เองที่ได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละชนิด จาก 4 แห่ง เข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลอง ประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีค . ศ . 1975( พ . ศ . 2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่ง DARPA ได้โอนหน้าที่รับผิดชอบ โดยตรง ให้แก่ หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ ( Defense Communications Agency – ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหาร เครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก , IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติ มาตรฐานใหม่ใน Internet, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับ Internet ซึ่งเป็นการทำงานโดย อาสาสมัคร ทั้งสิ้น ค . ศ . 1983( พ . ศ . 2526) DARPA ตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่องในระบบ ทำให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่าย Internet จนกระทั่งปัจจุบัน จึงสังเกตได้ว่า ใน เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่ม TCP/IP ลงไปเสมอ เพราะ TCP/IP คือข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ ทั่วโลก ทุก platform คุยกันรู้เรื่อง และสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง
    4. อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย ประเทศไทยได้เริ่มติดต่อกับอินเตอร์เน็ตในปี พ . ศ . 2530 ในลักษณะการใช้บริการ จดหมายเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปลี่ยนถุงเมล์เป็นครั้งแรก โดยเริ่มที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (Prince of Songkla University) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียหรือสถาบันเอไอที ( AIT) ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย ( โครงการ IDP) ซึ่งเป็นการติดต่อเชื่อมโยงโดยสายโทรศัพท์ จนกระทั่งปี พ . ศ . 2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ได้ยื่นขอที่อยู่อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย โดยได้รับที่อยู่อินเตอร์เน็ต Sritrang.psu.th ซึ่งนับเป็นที่อยู่อินเตอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาปี พ . ศ . 2534 บริษัท DEC (Thailand) จำกัดได้ขอที่อยู่อินเตอร์เน็ตเพื่อใช้ประโยชน์ภายในของบริษัท โดยได้รับที่อยู่อินเตอร์เน็ตเป็น dect.co.th โดยที่คำ “ th” เป็นส่วนที่เรียกว่า โดเมน ( Domain) ซึ่งเป็นส่วนที่แสดงโซนของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในประเทศไทย โดยย่อมาจากคำว่า Thailand กล่าวได้ว่าการใช้งานอินเตอร์เน็ตชนิดเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง
    5. อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย ( ต่อ ) ในปีเดียวกัน ได้มีหน่วยงานที่เชื่อมต่อแบบออนไลน์กับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายแห่งด้วยกัน ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ( AIT) มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ โดยเรียกเครือข่ายนี้ว่าเครือข่าย “ ไทยเน็ต ” (THAInet) ซึ่งนับเป็นเครือข่ายที่มี “ เกตเวย์ “ (Gateway) หรือประตูสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ( ปัจจุบันเครือข่ายไทยเน็ตประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 4 แห่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ย้ายการเชื่อมโยงอินเตอร์เน็ตโดยผ่านเนคเทค ( NECTEC) หรือศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ )
    6. ปี พ . ศ . 2535 เช่นกัน เป็นปีเริ่มต้นของการจัดตั้งกลุ่มจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษาและวิจัยโดยมีชื่อว่า " เอ็นดับเบิลยูจี " ( NWG : NECTEC E-mail Working Group) โดยการดูแลของเนคเทค และได้จัดตั้งเครือข่ายชื่อว่า " ไทยสาร“ ( ThaiSarn : Thai Social/Scientific Academic and Research Network) เพื่อการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน โดยเริ่มแรก ประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 8 แห่ง อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย ( ต่อ )
    7. เหตุผลสำคัญที่ทำให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมแพร่หลาย 1. การสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต ไม่จำกัดระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่ต่างระบบปฏิบัติการกันก็สามารถติดต่อ สื่อสารกันได้ เช่น คอมพิวเตอร์ที่มีระบบปฏิบัติการแบบ Windows สามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ ที่มีระบบปฏิบัติการแบบ Macintosh ได้ 2. อินเตอร์เน็ตไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะทาง ไม่ว่าจะอยู่ภายในอาคารเดียวกัน หรือห่างกันคนละทวีป ข้อมูลก็สามารถส่งผ่านถึง กันได้ 3 . อินเตอร์เน็ตไม่จำกัดรูปแบบของข้อมูล ซึ่งมีได้ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความอย่างเดียว หรืออาจมีภาพประกอบ รวมไปถึงข้อมูลชนิด มัลติมีเดีย คือมีทั้งภาพเคลื่อนไหวและมีเสียงประกอบด้วยได้
    8. คำศัพท์ที่เกี่ยวกับ WWW ( ต่อ ) Browser หรือ WEB Browser เป็นโปรแกรมที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้กับผู้อื่นบนระบบ Internet ซึ่งสามารถเรียกดู WebSite ต่างๆได้ทั่วโลก และยังสามารถใช้บริการต่างๆ ได้อีกมากมายเช่นบริการ E-mail รับส่งข้อมูลภายทาง Browser เช่นที่ Geocities และในปัจจุบันยังสามารถ ที่จะฟังเพลง หรือชมภาพยนตร์ตัวอย่าง ฟังวิทยุหรือแม้แต่การชมการถ่ายทอดสด ผ่านทางระบบ Internet โดยอาศัย Browser และโปรแกรมเสริมหรือ Plug-in ต่างๆ ซึ่ง Browser นั้นมีทั้งแบบที่เป็น Text โหมดเช่นในระบบ UNIX หรือ Lenux หรือแบบที่เป็นกราฟฟิก โหมดเช่นในปัจจุบัน Browser ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันก็เช่น โปรแกรม Microsoft Internet Explorer เป็นต้น URL นั้นก็ย่อมาจาก Uniform Resource Location คือที่อยู่หน้าเว็บเพจ สามารถดูได้จากแถบที่อยู่ทุกครั้งที่เปิดหน้าเว็บปกติแล้ว URL จะเป็นกลุ่ม ของตัวอักษร เช่น http://wbac.wimol.ac.th/ แต่เราสามารถใส่ตัวเลขลงไปได้ และใน URL นั้นจะใช้ " / " จะไม่ใช่ " " เหมือน พาร์ทในเครื่องของ เช่น C:windows ทำให้อาจจะพิมพ์ผิดได้ และ URL นั้นจะแยกตัวอักษรใหญ่ และเล็กของชื่อไฟล์ เช่น INDEX.htm กลับ index.htm นั้น ก็จะเป็นคนละไฟล์กัน
    9. คำศัพท์ที่เกี่ยวกับ WWW ( ต่อ ) Homepage นั้นก็คือ เอกสาร HTML หน้าแรกที่เราสามารถจะเข้าถึงได้ในแต่ละ Website ดังนั้น Homepage นั้นก็เสมือนเป็นประตูที่จะเข้า ไปสู่ Website ต่างๆ Website นั้นเป็นคำที่ถูกเรียกเป็นตำแหน่งที่อยู่ของผู้ที่มีเว็บเป็นของตัวเองบน Internet หรือก็คือ webpage ทั้งหมดที่มีอยู่ใน site ของเรานั้นเอง ซึ่งจะได้จากการที่ เราลงทะเบียนกับผู้ให้เช่าบริการพื้นที่ บนอินเตอร์เน็ตหรือ Free Homepage ต่างๆ จากนั้นก็ทำการ Upload ไฟล์ของเว็บเพจ
    10. ชื่อโดเมน ( ชื่อบนอินเตอร์เน็ต ) ชื่อโดเมน ( ชื่อบนอินเตอร์เน็ต ) ในทางปฏิบัติ คือ ชื่อที่เป็นตัวแทนแสดงถึงตัวของเราบนอินเตอร์เน็ต ควรจะเป็นชื่อบริษัท , เครื่องหมายการค้า , บริการที่ทำให้กับลูกค้า ลูกค้าจะจำชื่อนี้และใช้มันที่จะหาสินค้าหรือบริการของเราบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ชื่อโดเมนจะไม่สามารถซ้ำกันได้ นั่นย่อมแสดงว่าชื่อโดเมนของเรา มีเราคนเดียวในโลกนี้
    11. ชื่อโดเมน ( ชื่อบนอินเตอร์เน็ต ) .com ใช้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางธุรกิจเป็นชื่อโดเมนชั้นสูงที่นิยมใช้กันทุกคนสามารถยื่นขอจดทะเบียนได้ .net ในเบื้องต้นต้องการให้ใช้สำหรับ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย ( Network) เช่น ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ผู้ดูแลเรื่องการติดต่อสื่อสารแต่ในปัจจุบัน บริษัท ที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตก็เริ่มใช้ชื่อโดเมนชั้นสูงนี้มากขึ้น .org ใช้สำหรับ องค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรของรัฐบาล เอกชน , หรือ องค์กรการกุศลต่าง ๆ
    12. ชื่อโดเมน ( ชื่อบนอินเตอร์เน็ต ) การจดทะเบียนชื่อโดเมนชั้นสูงของประเทศไทย ( Country Code Domain Names) ได้ที่ THNIC.net ให้บริการจดทะเบียนชื่อโดเมน ภายใต้ชื่อโดเมนชั้นสูงของประเทศ ได้แก่ .co.th สำหรับการพาณิชย์และธุรกิจผู้สมัครขอจดทะเบียน ชื่อโดเมนภายใต้หมวดหมู่นี้จะต้องเป็นองค์กรพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย หรือ บริษัทต่างประเทศที่มีตัวแทนอยู่ในประเทศไทย และตัวแทนนั้น จะต้องจดทะเบียนในประเทศไทย และได้รับการโอนสิทธิ ในการจดทะเบียนชื่อโดเมนจากบริษัทแม่ในต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว .ac.th สำหรับสถาบันการศึกษา ผู้สมัครขอจดทะเบียนชื่อโดเมนภายใต้หมวดหมู่นี้จะต้องเป็นสถาบันการศึกษา ที่จดทะเบียนในประเทศไทย
    13. ชื่อโดเมน ( ชื่อบนอินเตอร์เน็ต ) go.th สำหรับการใช้ของภาครัฐบาล เช่น กระทรวงหรือหน่วยงานของรัฐบาล ผู้สมัครขอจดทะเบียนโดเมนภายใต้หมวดหมู่นี้จะต้องเป็นหน่วยงานของรัฐบาลไทย .net.th สำหรับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตหรือเครือข่ายโดยจะต้องมีการยืนยันจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย .or.th สำหรับองค์กรที่ไม่ได้แสวงหาผลกำไร .mi.th สำหรับหน่วยงานทางทหาร
    14. เครือข่าย ( Network) เครือข่าย ( Network) หมายถึง 1. การที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป เชื่อมต่อเข้าด้วยกันสายเคเบิล ( ทางตรง ) และหรือสายโทรศัพท์ ( ทางอ้อม ) 2. มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 3. มีการถ่ายเทข้อมูลระหว่างกัน สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้
    15. วัตถุประสงค์ของการใช้ระบบเครือข่าย วัตถุประสงค์ของการใช้ระบบเครือข่าย 1. สามารถใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกันได้ 2. เพื่อความประหยัด 3. เพื่อความเชื่อถือได้ของระบบงาน 4. ประหยัดเวลา ค่าเดินทาง
    16. รูปแบบการเชื่อมต่อ ( Topology) 1. Star Topology แบบดาว เป็นแบบการต่อสายเชื่อมโยง โดยการนำสถานีต่างๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกับศูนย์กลางของการติดต่อวงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานีต่างๆ ที่ต้องการติดต่อกัน
    17. รูปแบบการเชื่อมต่อ ( Topology) 2. Ring Topology แบบวงแหวน เป็นแบบที่สถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเชื่อมต่อกับเครื่องขยายสัญญาณของตัวเอง โดยจะมีการเชื่อมโยงเครื่องขยายสัญญาณของทุกสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน เครื่องขยายสัญญาณเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองหรือจากเครื่องขยายสัญญาณตัวก่อนหน้าและส่งข้อมูลต่อไปยังเครื่องขยายสัญญาณตัวถัดไปเรื่อย ๆ เป็นวง หากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใด เครื่องขยายสัญญาณของสถานีนั้นก็รับ และส่งให้กับสถานีนั้น เครื่องขยายสัญญาณจะต้องมีการ ตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับว่าเป็นของตนเองหรือไม่ด้วย ถ้าใช่ก็รับไว้ ถ้าไม่ใช่ก็ส่งต่อไป
    18. รูปแบบการเชื่อมต่อ ( Topology) 3. Bus Topology แบบบัสและต้นไม้ เป็นรูปแบบที่มีผู้นิยมใช้มากแบบหนึ่ง เพราะมีโครงสร้างไม่ยุ่งยากและไม่ต้องใช้เครื่องขยายสัญญาณหรืออุปกรณ์สลับสาย เหมือนแบบวงแหวนหรือแบบดาว สถานีต่างๆ จะเชื่อมต่อเข้าหาบัสโดยผ่านทางอุปกรณ์เชื่อมต่อที่เป็นฮาร์ดแวร์ การจัดส่งข้อมูลบนบัสจึงสามารถทำให้การส่งข้อมูลไปถึงทุกสถานีได้ การจัดส่งวิธีนี้จึงต้องกำหนดวิธีการที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกันเพราะจะทำให้ข้อมูลชนกัน โดยวิธีการที่ใช้อาจเป็นการ แบ่งช่วงเวลา หรือให้แต่ละสถานีใช้ความ ถี่สัญญาณที่แตกต่างกัน
    19. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 1. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะใกล้ ( Local Area Network หรือ LAN ) 2. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะกลาง ( Metropolitan Area Network หรือ MAN) 3. ระบบเครือข่ายระยะไกล ( Wide Area Network หรือ WAN)
    20. ข้อดีของอินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการสื่อสารสารสนเทศ เปรียบเสมือนชุมชนแห่งใหม่ของโลก ซึ่งรวมคนทั่วทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน จึงทำให้มีบริการต่างๆ เกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา ซึ่งมีทั้งข้อดีที่เป็นประโยชน์ ดังนี้ 1. ค้นคว้าข้อมูลในลักษณะต่างๆ เช่น งานวิจัย บทความในหนังสือพิมพ์ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ฯลฯ ได้จากแหล่งข้อมูลทั่วโลก เช่น ห้องสมุด สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาในการ เดินทางและสามารถสืบค้นได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 2. ติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจากการรายงานข่าวของ สำนักข่าวต่างๆ อยู่ รวมทั้งอ่านบทความเรื่องราวที่ลงในนิตยสารหรือวารสาร ต่างๆ ได้ฟรีโดยมีทั้งข้อความและภาพประกอบด้วย
    21. ข้อดีของอินเตอร์เน็ต ( ต่อ ) 3. รับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเงินค่า ตราไปรษณียากร ถึงแม้จะเป็นการส่งข้อความไปต่างประเทศก็ไม่ต้องเสียเงิน เพิ่มขึ้นเหมือนการส่งจดหมาย การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์นี้นอกจากจะ ส่งข้อความตัวอักษรแบบจดหมายธรรมดาแล้ว ยังสามารถส่งแฟ้มภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงพร้อมกันไปได้ด้วย 4. สนทนากับผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลได้ทั้งในลักษณะการพิมพ์ข้อความและเสียง 5. ร่วมกลุ่มอภิปรายหรือกลุ่มข่าวเพื่อแสดงความคิดเห็น หรือพูดคุยถกปัญหากับ ผู้ที่สนใจใน
    22. ข้อดีของอินเตอร์เน็ต ( ต่อ ) 6. ถ่ายโอนแฟ้มข้อความ ภาพ และเสียงจากที่อื่นๆ รวมทั้งโปรแกรมต่างๆ ได้จากแหล่งที่มีผู้ให้บริการ 7. ตรวจดูราคาสินค้าและสั่งซื้อสินค้ารวมทั้งบริการต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปห้างสรรพสินค้า 8. ให้ความบันเทิงหลายรูปแบบ เช่น การฟังเพลง รายการวิทยุ การชมรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ รวมไปถึงการแข่งขันเกมกับผู้อื่นได้ทั่วโลก 9. ติดประกาศข้อความที่ต้องการให้ผู้อื่นทราบได้อย่างทั่วถึง 10. ให้เสรีภาพในการสื่อสารทุกรูปแบบแก่บุคคลทุกคน
    23. ข้อเสียของระบบอินเตอร์เน็ต 1. นักเรียน นักศึกษา และเยาวชนอาจเข้าไปในเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก และไม่เป็น ประโยชน์หรือยั่วยุทางอารมณ์ทำให้เป็นอันตรายต่อตนเองและทางสังคมได้ เช่น ดูเว็บลามก สร้างโปรแกรมโจมตีผู้อื่นเช่นไวรัส 2. เว็บไซต์บางอย่างชักจูงผู้อ่านไปในทางไม่ดี หรือมีการล่อลวงทำให้เสื่อมเสียหรือ อาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เว็บไซต์การแทงพนันบอล ซื้อขายบริการทาง เพศ ภาพลามกอนาจาร เกมส์ ฯลฯ 3. เมื่อเราใช้อินเตอร์เน็ตติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะมีผลกระทบ ต่อร่างกาย และจิตใจ ได้ 4. สิ้นเปลืองงบประมาณในการซื้อคอมพิวเตอร์ 5. ทำให้พฤติกรรมของวัยรุ่นก้าวร้าวและหมกมุ่นในกิจกรรมบางอย่างมากเกินไป จะ เสียการเรียน
    24. ข้อจำกัดของอินเตอร์เน็ต 1. อินเตอร์เน็ตเป็นข่ายงานขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทุกคนจึงสามารถสร้างเว็บไซด์หรือติดประกาศข้อความได้ทุกเรื่อง บางครั้งข้อความนั้นอาจจะเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับการรับรอง เช่น ข้อมูลด้านการแพทย์หรือผลการทดลองต่างๆ จึงเป็นวิจารณญาณของผู้อ่านที่จะต้องไตร่ตรองข้อความที่อ่านนั้นด้วยว่าควรจะเชื่อถือได้หรือไม่ 2. นักเรียนและเยาวชนอาจติดต่อเข้าไปในเว็บไซด์ที่ไม่เป็นประโยชน์หรืออาจยั่วยุอารมณ์ ทำให้เป็นอันตรายตัวตัวเองและสังคม
    25. ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ตในด้านต่าง ๆ ด้านการศึกษา ด้านธุรกิจและการพาณิชย์ ด้านการบันเทิง
    26. ด้านการศึกษา สามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลด้านการบันเทิง ด้านการแพทย์ และอื่นๆ ที่น่าสนใจ ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จะทำหน้าที่เสมือนเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ นักศึกษาในมหาวิทยาลัย สามารถใช้อินเตอร์เน็ต ติดต่อกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เพื่อค้นหาข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่ได้ ทั้งที่ข้อมูลที่เป็น ข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นต้น
    27. ด้านธุรกิจและการพาณิชย์ ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ สามารถซื้อขายสินค้า ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ผู้ใช้ที่เป็นบริษัท หรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้บริการ และสนับสนุนลูกค้าของตน ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ เช่น การให้คำแนะนำ สอบถามปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้า แจกจ่ายตัวโปรแกรม ทดลองใช้ ( Shareware) หรือโปรแกรมแจกฟรี ( Freeware) เป็นต้น
    28. ด้านการบันเทิง การพักผ่อนหย่อนใจ สันทนาการ เช่น การค้นหาวารสารต่าง ๆ ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่เรียกว่า Magazine online รวมทั้งหนังสือพิมพ์และข่าวสารอื่นๆ โดยมีภาพประกอบ ที่จอคอมพิวเตอร์เหมือนกับวารสาร ตามร้านหนังสือทั่ว ๆ ไป สามารถฟังวิทยุผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ สามารถดึงข้อมูล ( Download) ภาพยนตร์ตัวอย่างทั้งภาพยนตร์ใหม่ และ เก่า มาดูได้
    แหล่งข้อมูล : http://www.slideshare.net/pirapong/internet-2953181

  2. รายชื่อสมาชิกจำนวน 12 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    อยู่ใน ITHardware บ่อยๆ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    503
    กล่าวขอบคุณ
    202
    ได้รับคำขอบคุณ: 121
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ titan888 อ่านกระทู้





    1. ระบบอินเตอร์เน็ต
    2. อินเตอร์เน็ต ( Internet) คืออะไร อินเตอร์เน็ต คือ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเกิดจากระบบคอมพิวเตอร์เครือข่ายย่อย ๆ หลาย ๆ เครือข่ายรวมตัวกันเป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ ซึ่งขยายความได้ดังนี้ คือ การที่คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป สามารถติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันได้โดยผ่านสาย Cable หรือ สายโทรศัพท์ ดาวเทียม ฯลฯ การติดต่อนั้นจะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน หรือใช้อุปกรณ์ร่วมกัน เช่น ใช้ Printer หรือ CD-Rom ร่วมกัน เราเรียกพฤติกรรมของคอมพิวเตอร์ลักษณะนี้ว่า เครือข่าย ( Network) ซึ่งเมื่อมีจำนวนคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากขึ้น และมีการเชื่อมโยงกันไปทั่วโลก จนกลายเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ เราเรียกสิ่งนี้ว่า อินเตอร์เน็ต นั่นเอง
    3. ประวัติของอินเตอร์เน็ต อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นโครงการของ ARPAnet(Advanced Research Projects Agency Network) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัด กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้ง เมื่อประมาณ ปีค . ศ . 1960( พ . ศ . 2503) และ ได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา ค . ศ . 1969( พ . ศ . 2512) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝ่าย ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy และเปลี่ยนชื่อ จาก ARPA เป็น DARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง และในปีค . ศ . 1969( พ . ศ . 2512) นี้เองที่ได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละชนิด จาก 4 แห่ง เข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลอง ประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีค . ศ . 1975( พ . ศ . 2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่ง DARPA ได้โอนหน้าที่รับผิดชอบ โดยตรง ให้แก่ หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ ( Defense Communications Agency – ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหาร เครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก , IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติ มาตรฐานใหม่ใน Internet, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับ Internet ซึ่งเป็นการทำงานโดย อาสาสมัคร ทั้งสิ้น ค . ศ . 1983( พ . ศ . 2526) DARPA ตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่องในระบบ ทำให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่าย Internet จนกระทั่งปัจจุบัน จึงสังเกตได้ว่า ใน เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่ม TCP/IP ลงไปเสมอ เพราะ TCP/IP คือข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ ทั่วโลก ทุก platform คุยกันรู้เรื่อง และสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง
    4. อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย ประเทศไทยได้เริ่มติดต่อกับอินเตอร์เน็ตในปี พ . ศ . 2530 ในลักษณะการใช้บริการ จดหมายเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปลี่ยนถุงเมล์เป็นครั้งแรก โดยเริ่มที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (Prince of Songkla University) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียหรือสถาบันเอไอที ( AIT) ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย ( โครงการ IDP) ซึ่งเป็นการติดต่อเชื่อมโยงโดยสายโทรศัพท์ จนกระทั่งปี พ . ศ . 2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ได้ยื่นขอที่อยู่อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย โดยได้รับที่อยู่อินเตอร์เน็ต Sritrang.psu.th ซึ่งนับเป็นที่อยู่อินเตอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาปี พ . ศ . 2534 บริษัท DEC (Thailand) จำกัดได้ขอที่อยู่อินเตอร์เน็ตเพื่อใช้ประโยชน์ภายในของบริษัท โดยได้รับที่อยู่อินเตอร์เน็ตเป็น dect.co.th โดยที่คำ “ th” เป็นส่วนที่เรียกว่า โดเมน ( Domain) ซึ่งเป็นส่วนที่แสดงโซนของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในประเทศไทย โดยย่อมาจากคำว่า Thailand กล่าวได้ว่าการใช้งานอินเตอร์เน็ตชนิดเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง
    5. อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย ( ต่อ ) ในปีเดียวกัน ได้มีหน่วยงานที่เชื่อมต่อแบบออนไลน์กับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายแห่งด้วยกัน ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ( AIT) มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ โดยเรียกเครือข่ายนี้ว่าเครือข่าย “ ไทยเน็ต ” (THAInet) ซึ่งนับเป็นเครือข่ายที่มี “ เกตเวย์ “ (Gateway) หรือประตูสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ( ปัจจุบันเครือข่ายไทยเน็ตประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 4 แห่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ย้ายการเชื่อมโยงอินเตอร์เน็ตโดยผ่านเนคเทค ( NECTEC) หรือศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ )
    6. ปี พ . ศ . 2535 เช่นกัน เป็นปีเริ่มต้นของการจัดตั้งกลุ่มจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษาและวิจัยโดยมีชื่อว่า " เอ็นดับเบิลยูจี " ( NWG : NECTEC E-mail Working Group) โดยการดูแลของเนคเทค และได้จัดตั้งเครือข่ายชื่อว่า " ไทยสาร“ ( ThaiSarn : Thai Social/Scientific Academic and Research Network) เพื่อการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน โดยเริ่มแรก ประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 8 แห่ง อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย ( ต่อ )
    7. เหตุผลสำคัญที่ทำให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมแพร่หลาย 1. การสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต ไม่จำกัดระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่ต่างระบบปฏิบัติการกันก็สามารถติดต่อ สื่อสารกันได้ เช่น คอมพิวเตอร์ที่มีระบบปฏิบัติการแบบ Windows สามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ ที่มีระบบปฏิบัติการแบบ Macintosh ได้ 2. อินเตอร์เน็ตไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะทาง ไม่ว่าจะอยู่ภายในอาคารเดียวกัน หรือห่างกันคนละทวีป ข้อมูลก็สามารถส่งผ่านถึง กันได้ 3 . อินเตอร์เน็ตไม่จำกัดรูปแบบของข้อมูล ซึ่งมีได้ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความอย่างเดียว หรืออาจมีภาพประกอบ รวมไปถึงข้อมูลชนิด มัลติมีเดีย คือมีทั้งภาพเคลื่อนไหวและมีเสียงประกอบด้วยได้
    8. คำศัพท์ที่เกี่ยวกับ WWW ( ต่อ ) Browser หรือ WEB Browser เป็นโปรแกรมที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้กับผู้อื่นบนระบบ Internet ซึ่งสามารถเรียกดู WebSite ต่างๆได้ทั่วโลก และยังสามารถใช้บริการต่างๆ ได้อีกมากมายเช่นบริการ E-mail รับส่งข้อมูลภายทาง Browser เช่นที่ Geocities และในปัจจุบันยังสามารถ ที่จะฟังเพลง หรือชมภาพยนตร์ตัวอย่าง ฟังวิทยุหรือแม้แต่การชมการถ่ายทอดสด ผ่านทางระบบ Internet โดยอาศัย Browser และโปรแกรมเสริมหรือ Plug-in ต่างๆ ซึ่ง Browser นั้นมีทั้งแบบที่เป็น Text โหมดเช่นในระบบ UNIX หรือ Lenux หรือแบบที่เป็นกราฟฟิก โหมดเช่นในปัจจุบัน Browser ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันก็เช่น โปรแกรม Microsoft Internet Explorer เป็นต้น URL นั้นก็ย่อมาจาก Uniform Resource Location คือที่อยู่หน้าเว็บเพจ สามารถดูได้จากแถบที่อยู่ทุกครั้งที่เปิดหน้าเว็บปกติแล้ว URL จะเป็นกลุ่ม ของตัวอักษร เช่น http://wbac.wimol.ac.th/ แต่เราสามารถใส่ตัวเลขลงไปได้ และใน URL นั้นจะใช้ " / " จะไม่ใช่ " " เหมือน พาร์ทในเครื่องของ เช่น C:windows ทำให้อาจจะพิมพ์ผิดได้ และ URL นั้นจะแยกตัวอักษรใหญ่ และเล็กของชื่อไฟล์ เช่น INDEX.htm กลับ index.htm นั้น ก็จะเป็นคนละไฟล์กัน
    9. คำศัพท์ที่เกี่ยวกับ WWW ( ต่อ ) Homepage นั้นก็คือ เอกสาร HTML หน้าแรกที่เราสามารถจะเข้าถึงได้ในแต่ละ Website ดังนั้น Homepage นั้นก็เสมือนเป็นประตูที่จะเข้า ไปสู่ Website ต่างๆ Website นั้นเป็นคำที่ถูกเรียกเป็นตำแหน่งที่อยู่ของผู้ที่มีเว็บเป็นของตัวเองบน Internet หรือก็คือ webpage ทั้งหมดที่มีอยู่ใน site ของเรานั้นเอง ซึ่งจะได้จากการที่ เราลงทะเบียนกับผู้ให้เช่าบริการพื้นที่ บนอินเตอร์เน็ตหรือ Free Homepage ต่างๆ จากนั้นก็ทำการ Upload ไฟล์ของเว็บเพจ
    10. ชื่อโดเมน ( ชื่อบนอินเตอร์เน็ต ) ชื่อโดเมน ( ชื่อบนอินเตอร์เน็ต ) ในทางปฏิบัติ คือ ชื่อที่เป็นตัวแทนแสดงถึงตัวของเราบนอินเตอร์เน็ต ควรจะเป็นชื่อบริษัท , เครื่องหมายการค้า , บริการที่ทำให้กับลูกค้า ลูกค้าจะจำชื่อนี้และใช้มันที่จะหาสินค้าหรือบริการของเราบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ชื่อโดเมนจะไม่สามารถซ้ำกันได้ นั่นย่อมแสดงว่าชื่อโดเมนของเรา มีเราคนเดียวในโลกนี้
    11. ชื่อโดเมน ( ชื่อบนอินเตอร์เน็ต ) .com ใช้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางธุรกิจเป็นชื่อโดเมนชั้นสูงที่นิยมใช้กันทุกคนสามารถยื่นขอจดทะเบียนได้ .net ในเบื้องต้นต้องการให้ใช้สำหรับ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย ( Network) เช่น ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ผู้ดูแลเรื่องการติดต่อสื่อสารแต่ในปัจจุบัน บริษัท ที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตก็เริ่มใช้ชื่อโดเมนชั้นสูงนี้มากขึ้น .org ใช้สำหรับ องค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรของรัฐบาล เอกชน , หรือ องค์กรการกุศลต่าง ๆ
    12. ชื่อโดเมน ( ชื่อบนอินเตอร์เน็ต ) การจดทะเบียนชื่อโดเมนชั้นสูงของประเทศไทย ( Country Code Domain Names) ได้ที่ THNIC.net ให้บริการจดทะเบียนชื่อโดเมน ภายใต้ชื่อโดเมนชั้นสูงของประเทศ ได้แก่ .co.th สำหรับการพาณิชย์และธุรกิจผู้สมัครขอจดทะเบียน ชื่อโดเมนภายใต้หมวดหมู่นี้จะต้องเป็นองค์กรพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย หรือ บริษัทต่างประเทศที่มีตัวแทนอยู่ในประเทศไทย และตัวแทนนั้น จะต้องจดทะเบียนในประเทศไทย และได้รับการโอนสิทธิ ในการจดทะเบียนชื่อโดเมนจากบริษัทแม่ในต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว .ac.th สำหรับสถาบันการศึกษา ผู้สมัครขอจดทะเบียนชื่อโดเมนภายใต้หมวดหมู่นี้จะต้องเป็นสถาบันการศึกษา ที่จดทะเบียนในประเทศไทย
    13. ชื่อโดเมน ( ชื่อบนอินเตอร์เน็ต ) go.th สำหรับการใช้ของภาครัฐบาล เช่น กระทรวงหรือหน่วยงานของรัฐบาล ผู้สมัครขอจดทะเบียนโดเมนภายใต้หมวดหมู่นี้จะต้องเป็นหน่วยงานของรัฐบาลไทย .net.th สำหรับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตหรือเครือข่ายโดยจะต้องมีการยืนยันจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย .or.th สำหรับองค์กรที่ไม่ได้แสวงหาผลกำไร .mi.th สำหรับหน่วยงานทางทหาร
    14. เครือข่าย ( Network) เครือข่าย ( Network) หมายถึง 1. การที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป เชื่อมต่อเข้าด้วยกันสายเคเบิล ( ทางตรง ) และหรือสายโทรศัพท์ ( ทางอ้อม ) 2. มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 3. มีการถ่ายเทข้อมูลระหว่างกัน สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้
    15. วัตถุประสงค์ของการใช้ระบบเครือข่าย วัตถุประสงค์ของการใช้ระบบเครือข่าย 1. สามารถใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกันได้ 2. เพื่อความประหยัด 3. เพื่อความเชื่อถือได้ของระบบงาน 4. ประหยัดเวลา ค่าเดินทาง
    16. รูปแบบการเชื่อมต่อ ( Topology) 1. Star Topology แบบดาว เป็นแบบการต่อสายเชื่อมโยง โดยการนำสถานีต่างๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกับศูนย์กลางของการติดต่อวงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานีต่างๆ ที่ต้องการติดต่อกัน
    17. รูปแบบการเชื่อมต่อ ( Topology) 2. Ring Topology แบบวงแหวน เป็นแบบที่สถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเชื่อมต่อกับเครื่องขยายสัญญาณของตัวเอง โดยจะมีการเชื่อมโยงเครื่องขยายสัญญาณของทุกสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน เครื่องขยายสัญญาณเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองหรือจากเครื่องขยายสัญญาณตัวก่อนหน้าและส่งข้อมูลต่อไปยังเครื่องขยายสัญญาณตัวถัดไปเรื่อย ๆ เป็นวง หากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใด เครื่องขยายสัญญาณของสถานีนั้นก็รับ และส่งให้กับสถานีนั้น เครื่องขยายสัญญาณจะต้องมีการ ตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับว่าเป็นของตนเองหรือไม่ด้วย ถ้าใช่ก็รับไว้ ถ้าไม่ใช่ก็ส่งต่อไป
    18. รูปแบบการเชื่อมต่อ ( Topology) 3. Bus Topology แบบบัสและต้นไม้ เป็นรูปแบบที่มีผู้นิยมใช้มากแบบหนึ่ง เพราะมีโครงสร้างไม่ยุ่งยากและไม่ต้องใช้เครื่องขยายสัญญาณหรืออุปกรณ์สลับสาย เหมือนแบบวงแหวนหรือแบบดาว สถานีต่างๆ จะเชื่อมต่อเข้าหาบัสโดยผ่านทางอุปกรณ์เชื่อมต่อที่เป็นฮาร์ดแวร์ การจัดส่งข้อมูลบนบัสจึงสามารถทำให้การส่งข้อมูลไปถึงทุกสถานีได้ การจัดส่งวิธีนี้จึงต้องกำหนดวิธีการที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกันเพราะจะทำให้ข้อมูลชนกัน โดยวิธีการที่ใช้อาจเป็นการ แบ่งช่วงเวลา หรือให้แต่ละสถานีใช้ความ ถี่สัญญาณที่แตกต่างกัน
    19. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 1. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะใกล้ ( Local Area Network หรือ LAN ) 2. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะกลาง ( Metropolitan Area Network หรือ MAN) 3. ระบบเครือข่ายระยะไกล ( Wide Area Network หรือ WAN)
    20. ข้อดีของอินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการสื่อสารสารสนเทศ เปรียบเสมือนชุมชนแห่งใหม่ของโลก ซึ่งรวมคนทั่วทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน จึงทำให้มีบริการต่างๆ เกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา ซึ่งมีทั้งข้อดีที่เป็นประโยชน์ ดังนี้ 1. ค้นคว้าข้อมูลในลักษณะต่างๆ เช่น งานวิจัย บทความในหนังสือพิมพ์ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ฯลฯ ได้จากแหล่งข้อมูลทั่วโลก เช่น ห้องสมุด สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาในการ เดินทางและสามารถสืบค้นได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 2. ติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจากการรายงานข่าวของ สำนักข่าวต่างๆ อยู่ รวมทั้งอ่านบทความเรื่องราวที่ลงในนิตยสารหรือวารสาร ต่างๆ ได้ฟรีโดยมีทั้งข้อความและภาพประกอบด้วย
    21. ข้อดีของอินเตอร์เน็ต ( ต่อ ) 3. รับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเงินค่า ตราไปรษณียากร ถึงแม้จะเป็นการส่งข้อความไปต่างประเทศก็ไม่ต้องเสียเงิน เพิ่มขึ้นเหมือนการส่งจดหมาย การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์นี้นอกจากจะ ส่งข้อความตัวอักษรแบบจดหมายธรรมดาแล้ว ยังสามารถส่งแฟ้มภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงพร้อมกันไปได้ด้วย 4. สนทนากับผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลได้ทั้งในลักษณะการพิมพ์ข้อความและเสียง 5. ร่วมกลุ่มอภิปรายหรือกลุ่มข่าวเพื่อแสดงความคิดเห็น หรือพูดคุยถกปัญหากับ ผู้ที่สนใจใน
    22. ข้อดีของอินเตอร์เน็ต ( ต่อ ) 6. ถ่ายโอนแฟ้มข้อความ ภาพ และเสียงจากที่อื่นๆ รวมทั้งโปรแกรมต่างๆ ได้จากแหล่งที่มีผู้ให้บริการ 7. ตรวจดูราคาสินค้าและสั่งซื้อสินค้ารวมทั้งบริการต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปห้างสรรพสินค้า 8. ให้ความบันเทิงหลายรูปแบบ เช่น การฟังเพลง รายการวิทยุ การชมรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ รวมไปถึงการแข่งขันเกมกับผู้อื่นได้ทั่วโลก 9. ติดประกาศข้อความที่ต้องการให้ผู้อื่นทราบได้อย่างทั่วถึง 10. ให้เสรีภาพในการสื่อสารทุกรูปแบบแก่บุคคลทุกคน
    23. ข้อเสียของระบบอินเตอร์เน็ต 1. นักเรียน นักศึกษา และเยาวชนอาจเข้าไปในเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก และไม่เป็น ประโยชน์หรือยั่วยุทางอารมณ์ทำให้เป็นอันตรายต่อตนเองและทางสังคมได้ เช่น ดูเว็บลามก สร้างโปรแกรมโจมตีผู้อื่นเช่นไวรัส 2. เว็บไซต์บางอย่างชักจูงผู้อ่านไปในทางไม่ดี หรือมีการล่อลวงทำให้เสื่อมเสียหรือ อาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เว็บไซต์การแทงพนันบอล ซื้อขายบริการทาง เพศ ภาพลามกอนาจาร เกมส์ ฯลฯ 3. เมื่อเราใช้อินเตอร์เน็ตติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะมีผลกระทบ ต่อร่างกาย และจิตใจ ได้ 4. สิ้นเปลืองงบประมาณในการซื้อคอมพิวเตอร์ 5. ทำให้พฤติกรรมของวัยรุ่นก้าวร้าวและหมกมุ่นในกิจกรรมบางอย่างมากเกินไป จะ เสียการเรียน
    24. ข้อจำกัดของอินเตอร์เน็ต 1. อินเตอร์เน็ตเป็นข่ายงานขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทุกคนจึงสามารถสร้างเว็บไซด์หรือติดประกาศข้อความได้ทุกเรื่อง บางครั้งข้อความนั้นอาจจะเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับการรับรอง เช่น ข้อมูลด้านการแพทย์หรือผลการทดลองต่างๆ จึงเป็นวิจารณญาณของผู้อ่านที่จะต้องไตร่ตรองข้อความที่อ่านนั้นด้วยว่าควรจะเชื่อถือได้หรือไม่ 2. นักเรียนและเยาวชนอาจติดต่อเข้าไปในเว็บไซด์ที่ไม่เป็นประโยชน์หรืออาจยั่วยุอารมณ์ ทำให้เป็นอันตรายตัวตัวเองและสังคม
    25. ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ตในด้านต่าง ๆ ด้านการศึกษา ด้านธุรกิจและการพาณิชย์ ด้านการบันเทิง
    26. ด้านการศึกษา สามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลด้านการบันเทิง ด้านการแพทย์ และอื่นๆ ที่น่าสนใจ ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จะทำหน้าที่เสมือนเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ นักศึกษาในมหาวิทยาลัย สามารถใช้อินเตอร์เน็ต ติดต่อกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เพื่อค้นหาข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่ได้ ทั้งที่ข้อมูลที่เป็น ข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นต้น
    27. ด้านธุรกิจและการพาณิชย์ ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ สามารถซื้อขายสินค้า ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ผู้ใช้ที่เป็นบริษัท หรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้บริการ และสนับสนุนลูกค้าของตน ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ เช่น การให้คำแนะนำ สอบถามปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้า แจกจ่ายตัวโปรแกรม ทดลองใช้ ( Shareware) หรือโปรแกรมแจกฟรี ( Freeware) เป็นต้น
    28. ด้านการบันเทิง การพักผ่อนหย่อนใจ สันทนาการ เช่น การค้นหาวารสารต่าง ๆ ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่เรียกว่า Magazine online รวมทั้งหนังสือพิมพ์และข่าวสารอื่นๆ โดยมีภาพประกอบ ที่จอคอมพิวเตอร์เหมือนกับวารสาร ตามร้านหนังสือทั่ว ๆ ไป สามารถฟังวิทยุผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ สามารถดึงข้อมูล ( Download) ภาพยนตร์ตัวอย่างทั้งภาพยนตร์ใหม่ และ เก่า มาดูได้
    แหล่งข้อมูล : http://www.slideshare.net/pirapong/internet-2953181
    เป็นประโยชน์แต่ไม่ได้อ่าน 555+

    ยุยน่ารัก

  4. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  5. #3
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    กระทู้
    171
    กล่าวขอบคุณ
    3,416
    ได้รับคำขอบคุณ: 53
    สาระเน้นๆเลยนะเนี่ย

  6. #4
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    122
    กล่าวขอบคุณ
    134
    ได้รับคำขอบคุณ: 100
    สาระเน้นๆ แต่ผมไม่ได้อ่านเลย = =
    ทำตัวให้มีค่า ดีกว่าทำหน้าตาให้ดูดี


  7. #5
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    เชียงใหม่ All Zone
    กระทู้
    1,101
    กล่าวขอบคุณ
    1,828
    ได้รับคำขอบคุณ: 766
    ยาว จับ ใจ ข้าม ไป อ่าน อันสุด ท้าย แหล่งข้อมูล : http://www.slideshare.net/pirapong/internet-2953181

    จบ เลย


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top