*** บทความนี้ ไม่เหมาะกับคนที่อ่านหนังสือวันละ 6-7บรรทัด
ถ้าไม่ อยากอ่านรบกวน ปิดไปเลยก็ได้ครับ เเต่ผมว่ามันเป็นเรื่องที่พวกคุณกำลังมองข้าม***
ไม่นานทุกคนก็จะตายอาจจะสักวันหนึ่งเเต่มันเเน่นอนเสมอ หรือใครจะเถียงว่าคุณจะอยู่ได้ตลอดไป
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี
1 ปี เท่ากับ 365 วัน
แต่ละคนมีเวลาประมาณบนพื้นโลกเพียง 21,900 วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้น มีเวลาเพียง 525,600 ชั่วโมงหรือ 31,536,000 นาที ไม่ลองคิดเล่นๆหรอครับว่าเวลาที่ฟังเพลงไปใช้ไปเท่าไหร่ในนั้น เวลาที่ขับถ่าย เวลานอน หมดไปเท่าไหร่ คนเรานอนอย่างน้อย8-10ชั่วโมง หรือ 480นาทีต่อวัน ถ้าเรานอนไปในเวลาของ 21,900 วัน จะหมดเวลาไปกับมันเท่าไหร่ ยังไม่รวมถึงกิจกรรมอื่นๆอีก
วินาที ทุกๆเวลาทุกๆขณะ มันกำลังลดลง
หรือคิดเป็น 3,120 สัปดาห์ ที่มีอยู่
----------------------
กฎของกระจก คือการสะท้อนกลับมา
แต่กฎของเวลา คือการไม่ย้อนกลับไป
----------------------
ผมขออนุญาติ ยกบทความของ - คุณ เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา
เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา
แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน
เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย
และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ
แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม
สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน
น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ
ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี
แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ
อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!
อุแม่เจ้าเทค 2
คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง
สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู
กางปฏิทินออกกว้าง ๆ
เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้
นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว
นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่
เราไม่ค่อยได้มองมัน
เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี
แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา (ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่
ผลลัพธ์ที่ได้
เราจะทำยังไงกับมันดี .....
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ
นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวันๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า 'เงินเดือน '
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน
เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่า เราจะเป็นอะไรดี
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น
ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ แน่ เราแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....บ้า
และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม 'ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด
ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย
บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี
----------------------
เวลา ไม่เคยพูดอะไรกับเรา แต่ กลับให้อะไรเรา ได้มากกว่าคำพูด (เมื่อถึงเวลาใกล้จบชีวิตคุณจะรู้เอง)
----------------------
อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ
ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว ....เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ
ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า
เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว
ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมัน
ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง
รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักGU ไม่สนว้อย ...เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว
ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้
กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล
คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด
ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น
แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก
ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ
เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่
ผมรู้สักพักพวกคุณก็ลืมหมด อาจในไม่ช้า ผมเองก็เช่นกัน เเต่สิ่งที่ผม นำมา มันไม่ใช่เรื่องตลก หรือบทความให้ข้อคิด
มันเป็นความจริง เเละ มันเกิดขึ้นเเล้วตอนนี้ พวกคุณมีสิทธิ์ ที่จะทำอะไรก็ได้ ผมไม่ได้ห้าม เพราะนั้นเป็น สิทธิ์ ของเเต่ละคน
เเต่คุณก็จะรู้เองเมื่อเวลานั้นมาถึง .....
-------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณ
blog.eduzones.com
dek-d.com
atcloud.com
เเละ คุณ เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ
กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ
kabukiput
เพราะอย่างนี้ไงผมถึงรักน้าเน็ก แกเป็นคนที่ปากแรง หยาบคายแต่มีมุมมองที่เรียกได้ว่านักวิชาการที่บอกว่าตัวเองฉลาดๆบางคนยังไม่มีเลย แกมีมุมมองที่หลากหลายมากจนนำมาทำเป้นบทเพลงได้
ปล.1 คุณ เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา เผื่อใครยังไม่รู้ว่าเค้าเป้นใคร เค้าคือ น้าเน็ก ครับผม
ฉะนั้นครับ จขกท.เชื่อมั๊ยว่าบทความของน้าที่ท่านยกมาให้เราๆได้อ่านกัน มันเป็นเนื้อหาของเพลงนึงที่น้าทำไว้แล้วให้น้าหนุ่มพี่ชายเค้าร้อง ลองฟังกันดูนะครับแล้วคิดตามหรือกลับไปอ่านใหม่ว่าตรงมั๊ย เพราะผมอ่านยังไงก็เป๊ะเลย
หากเธอจะลองคิดดูวันที่เธออยู่จะอยู่เพื่อใคร เมื่อวันที่ต้องจากไกล เวลาที่ใช้มันควรคุ้มกัน
ปล.2 จขกท.ครับ ช่วยเอาคลิปของผมขึ้นไปเป็นเพลงประกอบด้วยครับผม รบกวนแค่นี้ครับผม