ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

กำลังแสดงผล 1 ถึง 21 จากทั้งหมด 21
  1. #1
    .:ช่างตัดหญ้าที่ "ANFIELD
    วันที่สมัคร
    Oct 2011
    กระทู้
    502
    กล่าวขอบคุณ
    772
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,585

    มันเกิดมาได้อย่างไร???ใครรู้บ้าง




    แม่ผมตายตั้งแต่ผมยังไม่เกิด มันเกิดมาจากกอไผ่สินะ

    ใครไม่เก็ทเดี๋ยวจะมาบอก
    Sub Man!!


  2. รายชื่อสมาชิกจำนวน 21 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    I'm a N.E.E.T
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    นครราชสีมา
    กระทู้
    1,535
    กล่าวขอบคุณ
    393
    ได้รับคำขอบคุณ: 981
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    อย่ากดนะ
    บอกว่าอย่าไง
    แน่ะ
    ไม่ฟังกันเลย
    อิอิ
    ยอมและ
    บอกว่ายอมและยังจะกดอีก
    ต้องการอะไรอี๊ก
    เอิบ..
    ^


  4. #3
    -AnU3IZ-
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    พิษณุโลก/เชียงใหม่
    กระทู้
    1,959
    กล่าวขอบคุณ
    106
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,063
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    มาเต็มเลย - -''

  5. #4
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    643
    กล่าวขอบคุณ
    500
    ได้รับคำขอบคุณ: 272
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย

    บรรลุแล้วครับ

  6. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  7. #5
    ★★★★★
    วันที่สมัคร
    Oct 2011
    ที่อยู่
    jokergame[12448123742]
    กระทู้
    711
    กล่าวขอบคุณ
    342
    ได้รับคำขอบคุณ: 644
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    น่าสนใจมาก

  8. #6
    .::[`CANDY—•(Group)~•]::.
    วันที่สมัคร
    Sep 2011
    ที่อยู่
    [Thailand - Bangkok - My House...~•~•~•]
    กระทู้
    1,937
    กล่าวขอบคุณ
    1,020
    ได้รับคำขอบคุณ: 4,829
    Blog Entries
    1
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    ไว้ว่างๆ จะเอาไปให้ Google อ่านให้ฟัง...
    Toradora!

  9. #7
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    ในครัวที่มี "เนย"
    กระทู้
    32
    กล่าวขอบคุณ
    35
    ได้รับคำขอบคุณ: 11
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    สาระเน้นๆครับ

  10. #8
    BRS
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    962
    กล่าวขอบคุณ
    543
    ได้รับคำขอบคุณ: 3,480
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    สาระๆ(เยอะโครต)

  11. #9
    One shot, One kill
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    Fortuna City
    กระทู้
    588
    กล่าวขอบคุณ
    682
    ได้รับคำขอบคุณ: 725
    Blog Entries
    1
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    นี่เล่นอะไรกันเนี่ย?

  12. #10
    I'm a N.E.E.T
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    นครราชสีมา
    กระทู้
    1,535
    กล่าวขอบคุณ
    393
    ได้รับคำขอบคุณ: 981
    ก็ตอบกระทู้ไม่กี่คนน้า ทำไมกระทู้นี่ดูยาวจัง 5555+
    อย่ากดนะ
    บอกว่าอย่าไง
    แน่ะ
    ไม่ฟังกันเลย
    อิอิ
    ยอมและ
    บอกว่ายอมและยังจะกดอีก
    ต้องการอะไรอี๊ก
    เอิบ..
    ^

  13. #11
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    กระทู้
    1,073
    กล่าวขอบคุณ
    14
    ได้รับคำขอบคุณ: 437
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    เน้นๆหัวแตกคับ
    ส่องเวปนี้มา้เกือบ1ปี วันนี้เพิ่งมาสมัครเป็นสมาชิก 05/01/2012

  14. #12
    .: Taylor Gang :.
    วันที่สมัคร
    Mar 2012
    กระทู้
    602
    กล่าวขอบคุณ
    3,367
    ได้รับคำขอบคุณ: 214
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย

    จัดเต็ม กันเลยทีเดียว

  15. #13
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    Bangkok
    กระทู้
    561
    กล่าวขอบคุณ
    410
    ได้รับคำขอบคุณ: 78
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    สาระจริงๆ

  16. #14
    TAMe.Taylor Swift
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    Pantip.com
    กระทู้
    784
    กล่าวขอบคุณ
    207
    ได้รับคำขอบคุณ: 386
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    เต็มไปด้วยสาระและความรู้ ไบรอันนายซวยจริงก็เจอเม้นนี่แหละ

  17. #15
    •:•:• Anime Addict •:•:•
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    เพโคปอง
    กระทู้
    4,640
    กล่าวขอบคุณ
    6,661
    ได้รับคำขอบคุณ: 7,813
    แล้วทำไมจะต้อง quote กันทุก comment เลยอ่ะ -*-

    แต่รูปปบักนี่ ยังไม่เลิกฮิตกันอีกเหรอ - -a

  18. #16
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Dec 2011
    กระทู้
    95
    กล่าวขอบคุณ
    22
    ได้รับคำขอบคุณ: 29
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    ไม่ต้องมีใครตอบล่ะ

  19. #17
    Me From Another Dimension
    วันที่สมัคร
    Aug 2011
    ที่อยู่
    อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    2,409
    ได้รับคำขอบคุณ: 170
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    ดันให้คับ จะได้มีคนมาอ่านเยอะ สาระ เน้นๆ

  20. #18
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Mar 2012
    ที่อยู่
    กทม.
    กระทู้
    83
    กล่าวขอบคุณ
    48
    ได้รับคำขอบคุณ: 36
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    ทำให้กระทู้ไร้สาระ มีสาระขึ้นมาทันที

  21. #19
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    502
    กล่าวขอบคุณ
    1,838
    ได้รับคำขอบคุณ: 180
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tonza อ่านกระทู้
    การเกิดเป็นมนุษย์
    การเกิดเป็นมนุษย์
    องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

    การเกิด ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

    ๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

    ๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

    ๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

    ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

    จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยาก ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

    หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์ เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

    ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

    อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญ เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

    กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใคร เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์
    ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

    การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

    พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

    การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

    สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    Credit : http://www.weneedbaby.com/index.php?...icle&Id=370087

    ถ้าหากไม่มีแม่ก็เกิดไม่ได้ กรณีไบรอั้นอาจจะจำแม่ผิดคนก็ได้นะครับ แม่ที่แท้จริงของไบรอันน่าจะยังไม่ตาย
    ท่านเล่นมุขนี้ทำผมฮา

  22. #20
    .::[ GG = Good Gamer ]::.
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    ที่ไหนก็ได้ที่มีเธอ xD
    กระทู้
    2,900
    กล่าวขอบคุณ
    868
    ได้รับคำขอบคุณ: 5,023
    ลึกซึ้งเนอะ เรปเเรก เอาผมขำตกเก้าอี้เลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    SUCK JKG !!!!

  23. #21
    BATMAW
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    Nakhonpathom
    กระทู้
    1,321
    กล่าวขอบคุณ
    2,019
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,263
    กว่าจะเลื่อนลงมาดูจนครบได้


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top