เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นจริง ๆ ครับ แล้วก็ผ่านมาแล้วฉะนั้นไม่ต้องคิดมากนะครับผมผ่านมาได้แล้วถึงจะใช้เวลานานไปหน่อย
พอดีมีคนบอกว่าให้เอามาเล่าต่อ
ขอย้อนความอาจจะนานหน่อยนะครับ ตอนผมขึ้นชั้นมัธยมปลายใหม่ ๆ ตัวผมต้องย้ายโรงเรียนและ ต้องไปอยู่หอพักครับภายในหอพักนี้ มีระบบง่าย ๆ ครับ
ผู้ชายอยู่ชั้นล่าง ผู้หญิงอยู่ชั้นบน ผู้หญิงลงมาหาผู้ชายได้ แต่ผู้ชายห้ามขึ้นครับซึ่งผมมีเพื่อนที่อยู่หอพักเดียวกับผมเป็น ญ อยู่คนหนึ่ง เธอเป็นคนที่สวย ดูดี ผม
กับเธอก็คุยในหลาย ๆ เรื่อง บอกตามความจริงครับผมได้หลงรักเธอคนนั้นขึ้นมา
วันหนึ่งได้โอกาศ ผมจึงได้ตั้งสารภาพความในใจออกไป แต่เธอบอกผมมาว่าเราเป็นเพื่อนกันนะ ถามว่าผมเสียใจตอนนั้นไหม ก็นิดหน่อยแต่ความคิดที่ว่า
ยังไงผมก็ยังเป็นเพื่อนเธอทำให้ผมดีใจครับ ช่วงนี้ผมเข้าโรงเรียนมาใหม่ ๆ ตัวผมนั้น ก็เรียบ ๆ ครับ หน้าตาธรรมดา ผิวคล้ำ ๆจากการเล่นกีฬา สูง 160 ผม
เข้าใจว่าคนสวยแบบเธอก็คงเลือกได้ว่าจะคบกับใคร ซึ่งเรื่องมันน่าจะจบเท่านี้แต่ ....
เวลาผ่านไป ผมก็ยังเป็นเพื่อนกับเธอครับ คุยกันทั่วไป เรียกได้ว่าสนิทกันมาก ซึ่งผมก็ยังชอบเธออยู่นะ ถึงแม้ตอนนี้เธอจะมีแฟนแล้วก็ตามตอนนี้ผม
ค่อนข้างป๊อปปูล่าเลยละครับพออยู่ชั้น ม.5 เหตุเนื่องมาจาก ผมเล่นกีฬาจนอยู่ระดับนักกีฬาโรงเรียน เป็นรองประธานนักเรียน ผลการเรียนติดอันดับ 1 ใน 5
ของโรงเรียน และตอนนี้ผมสูง 175 หน้าตาผมเปลี่ยน สิวที่เคยมีก็หาย คนตามจีบเต็มเลยครับ(ไม่เคยคิดว่าผู้หญิงจะใจกล้าขนาดนั้น)เรื่องเริ่มต้นเมื่อประมาณ
ก่อนจบ ภาคการศึกษาที่ 1 เธอได้เข้ามาหาผมและคุยเหมือนปกติ จนกระทั่งผมได้คุยถึงแฟนเธอ (แฟนเธอก็เพื่อนผมนะครับ)พอขึ้นปัปเธอก็หน้าแทบ
เปลี่ยนสีเลยทีเดียว เธอได้เล่ามาว่า ตัวเธอและแฟนเธอกำลังมีปัญหาทำยังไงดี ผมไม่รู้นะครับว่าปัญหาอะไรแต่ก็ให้กำลังใจไปตามเรื่องตามราวไม่อยากสาว
ความให้มันเยอะ เธอก็ดีขึ้นละครับในระดับนึง ซึ่งจากนั้นก็กลายเป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์ครับว่าเธอจะลงจากห้องพักมาหาผมก่อนนอนที่ห้องเพื่อคุย
ประมาณ 30 นาที เกี่ยวกับแฟนของเธอและเกิดอะไรบ้าง (อารมณ์ตอนนั้นผมเหมือน สิราณี เลยครับ) เหตการณ์นี้ผ่านไปจนกระทั่งจบเทอมปลายและปิดเทอม
ครับ พอดีว่าตัวผมมีธุระก็เลยไม่ได้กลับบ้าน ซึ่งเพื่อนบางคนก็เหมือนกัน และแน่นอนเธอคนนั้นด้วยครับเราได้ไปเข้าค่ายด้วยกันในช่วงปิดเทอมครับ ใน
วันแรกที่เข้าค่ายนั้นผมคุยกับเพื่อนบางคนทำให้รู้ข่าวสำคัญครับ นั่นคือ เธอและแฟนของเธอตอนนี้ได้เลิกกันแล้ว ผมตกใจรีบถามต่อครับ เรื่องคือ มีวันนึง
เธอได้ไปเดินเล่นที่ห้างหนึ่ง แล้วได้เจอะเจอกับแฟนของเธอกับ ญ อื่น ซึ่ง ญ อื่นนั้นคือแฟนเก่าของแฟนเธอนั่นเอง ผมไร้คำพูดครับ ณ เวลานั้น
ผมก็ทำได้แค่พยายามชวนเธอคุยบ้าง เล่นนั่นนี่บ้างเพื่อให้เธอรู้สึกดีขึ้นอะครับไม่ได้คิดอะไร
เปิดเทอมครับ ผมยังพยายามคุยกับเธออยู่นะครับ ไม่อยากให้เธอคิดมาก เมื่อผ่านไป 1 เดือน แฟนของเธอมาขอให้กลับไปคบกันใหม่ เธอมา
ถามผมครับ ผมตอบว่า ดูที่หัวใจของเรา ถ้าหัวใจเรายังเรียกร้อง ทำตามหัวใจเพราะนั่นคือความจริง ตัวเธอก็หายไปประมาณ 1 อาทิตย์ ผมได้ทราบ
ข่าวจากไอ้เพื่อนคนเดิมของผมว่า เธอกลับไปคบแฟนเก่าแล้ว หลังจากนั้น เธอยังคงลงมาหาผมตามปกตินะครับ คุยกันเหมือนปกติที่ผ่านมา ไปกินข้าวไป
ดูหนัง ทำอะไรเหมือนเดิม จนมาวันหนึ่ง เพื่อนผม (คนที่เป็นแฟนเธออะคับ) เข้าเฝือกที่มือมา ผมเข้าไปถามตามปกติ เค้าไม่ตอบครับ ผมก็เลยไปถาม
เพื่อนสายข่าวตัวดีของผม เค้าบอกว่างี้นะครับ "มันไปชกปูนจนกระดูกมือร้าว เพราะว่า***" อ้าวทำไมเหตุผลเป็นผมละ คิดไปคิดมาหรือว่าเป็นเพราะผม
ไปไหนสองต่อสองกับเธอมากเกินไป เพื่อนตัวดีผมก็บอกต่อว่า "มันมีข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้ว่า พวก****สองคนแอบคบกันอยู่" เวนของกระผม
จากที่ผมได้รับทราบดังนี้แล้วผมอยู่ไม่สุขครับ ไม่รู้จะทำไง คนนึงเราก็รู้สึกดีด้วย อีกคนมันก็เพื่อนเรา แล้วจะให้มันแตกกันเรอะ ความรู้สึกผิดประเดประดังครับ
แบบว่าถ้าสองคนนี้เลิกกันเป็นเพราะผมแน่นอน ว่าแล้วดังนั้นผมก็รีบไปคุยกับเธอเลยครับ เธอคุยกับผมครับ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมไม่ได้พูดอะไรไปตรง ๆ นะครับ
แบบว่าตะล่อมถามเอา ก็ได้เรื่องครับว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์คือ เพื่อนผม(แฟนเค้าอะคับ) ได้ข่าวว่าผมกะเธอแอบคบกัน แต่ตอนนั้นยังไม่เชื่ออะไร แค่คิดว่า
ข่าวลือก็ปล่อยมันไป แต่หลังจากนั้นก็เห็นผมไปกินข้าวไปดูหนังกันสองต่อสอง เค้าก็เริ่มเอะใจ จากนั้นมันมีเหตุการณ์ครับ คือ เพื่อนผมมันไปทำอะไรไม่รู้ไม่ถูกใจ
เธอเข้า เธอก็พูดออกมาว่า "อยู่กับ....(ผมเอง)ไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย" ................. เท่านั้นละครับ เพื่อนผมคนนี้มันก็ออกไปข้างนอกแล้วก็ชกกำแพงจนมือแตก
ทำยังไงดีทำไรไม่ถูก สุดท้ายหลังจากผมกลับมาที่ห้องพักของผม ผมก็เอาโทรศัพท์มือถือนิละครับโทรหาเพื่อนของผม โดยทำทีเป็นถามเรื่องการบ้าน เรื่องวิชานั้นวิชานี้
อาจารย์คนนั้นคนนี้ แล้วพอก่อนวางสาย ผมก็บอกว่า "เฮ้ย ....(เพื่อนผม) กูขอโทษวะ" มันก็อืม แล้วก็วางสายคับ ไม่รู้ว่าจะเป็นไงวันนั้น แต่ผมนอนไม่หลับคับ
วันรุ่งขึ้น ตามผลสิครับ เดินไปทักกับ เพื่อน มันตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วก็คุยเล่นด้วยแล้วครับ รอดตัวไป หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์
เธอ ลงมาหาผมที่ห้องแบบวันเว้นวันเลยครับ บ่นเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง ไม่ใช่แค่แฟนนะครับทุกเรื่องจริง ๆ อารมณ์ว่ากินข้าวร้านไหนอร่อยไม่อร่อยก็เอามาบอก
ซึ่งมันก็ร้านในโรงเรียนทำไมผมจะไม่รู้ แต่ก็...... นั่งฟังครับ จะว่าช่วงนี้มีความสุขก็สุขอะคับ จะทุกข์ก็ทุกข์ อธิบายลำบากครับ ใครเคยอยู่ตรงนี้จะเข้าใจ
นั่งกินข้าวในโรงอาหาร ที่ว่างยาวเป็นเบือมานั่งเบียดกินข้าวจานเดียวกะผม เดินเล่นด้วยกันบางทีก็โดนคล้องแขน เอ่อ เริ่มเลยเถิดแล้วครับ ณ จุดนี้
ผมก็ไม่สามารถห้ามอะไรได้ คุณเพื่อนของผม ก็ไม่คิดอะไร ปล่อยผ่านมาเรื่อย
จนกระทั่ง ม.6 เวลาที่ผ่านมาผมบอกเลยนะครับว่า ความสัมพันธ์ของผมกับเค้ามันเกินเพื่อนไปแล้ว ในเทอมที่สองนี่เองที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนครับ นั่นคือ ตัวเธอทะเลาะกับ
เพื่อนผมอย่างรุนแรง ที่ผ่านมาก็มีบ้างแต่ไม่รุนแรง คราวนี้รุนแรงมาก เรื่องคือ ไอ้เพื่อนผมคนนั้นมันดันไปเที่ยวกับแฟนเก่ามัน(อีกแล้ว) ตอนที่ผมกับเธอไปเข้าค่ายเตรียมตัว
เรียนต่อ ไม่ต้องบอกนะครับว่าในค่ายเป็นอย่างไร ทั้งทุกข์และสุขปน ๆ กันไป กลับมาที่เรื่องทะเลาะนะครับ ผมกลายเป็นที่ปรึกษาจำเป็นอีกแล้วครับ คราวนี้ต่างกับคราวแรก
เธอคุยกับทุกคนด้วยว่าจะคบต่อหรือเอายังไงดี (เรื่องของผมกับเธอไม่มีใครรู้ครับ) ทุกคนพูดเหมือนกันว่าเลิกไปซะ เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ครับ ผมเพียงคนเดียวที่พูดกับเค้าว่า
คนจะรักกันมันยากนะ ถ้าไม่รู้สึกอะไรจริง ๆ ก็เลิก แต่ถ้าคำตอบที่เราถามตัวเองคำตอบแรกมันไม่ใช่ละก็ อย่าเลิกเลย และก็ไม่น่าเชื่อครับ ว่าเธอไม่เลิกจริง ๆ แต่เธอบอกว่า
ก็เรื่อย ๆ ปล่อยมันไปอะไรจะเป็นยังไงไม่สนใจละ
เวลาผ่านมาผมตั้งใจกับการสอบมหาลัยครับ เลยไม่ได้อะไรมากมายเท่าไหร่ พอเข้ามหาลัยได้ แน่นอนครับ ผมและเธออยู่คณะเดียวกันมหาลัยเดียวกันแค่ต่างเอก ผมกับเธอ
คนในคณะทุกคนเข้าใจว่าเราคบกันอยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่ ช่วงนี้ผมรู้สึกแย่มากครับ เรียกได้ว่าแย่จนบางทีนอนไม่หลับเลยทีเดียว จนกระทั่งปีสอง ได้มีรุ่นน้องคนนึงครับเป็น
ผู้หญิงเธอเข้ามาคุยเล่นกับผม ซึ่งผมก็เป็นพี่ใจดีอยู่แล้วเลยคุยกันครับ คุยไปคุยมา น้องเค้าก็มาคุยกับผมตลอด ผมโทรหาเค้า เค้าโทรหาผม เรียกได้ว่าคุยกันแทบทุกวัน
ผมเล่าเรื่องพวกนี้ให้เธอฟังด้วยครับ ซึ่งน้องเค้าก็ปลอบใจผม ใจช่วงนี้ผมก็คุยกับเธอ(คนนั้น)น้อยลงครับ เพราะคุยด้วยก็สุขแค่นั้นหลังจากนั้นไม่มีความสุขเลย แต่ผมคุยกับน้องคนนี้
เค้าจะพยายามทำให้ผมมีความสุขตลอดครับ หัวเราะอมยิ้มได้ตลอด จบปี 2 เทอมแรก เธอได้โทรมาหาผมครับ และบอกกับผมว่า "เรามีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกใครเลยจะมาบอก
เราเลิกกับ ..... แล้วนะ" เราต่างคนต่างเงียบครับ ผมไม่มีอะไรจะพูด สุดท้ายผมได้บอกเธอไปว่า "ถ้าเลิกกันแล้วก็อย่าเสียใจมากนะ ยังไงก็ขอให้เจอคนที่ดีกว่าแล้วกัน" แล้วผมก็
บอกลาแล้ววางสายครับ ผมนั่งคิดเรื่องนี้เป็นสัปดาห์ ระหว่างที่เกิดขึ้นนี้เอง น้องคนนั้นเค้าเห็นผมซึม ๆ ผมบอกเค้าว่ามีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย เค้าเลยชวนผมไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ
แล้วเรื่องก็บังเกิดขึ้นครับ นั่นคือ ระหว่างที่เราเที่ยวกันไป น้อง ก็ชวนผมคุย แต่ผมไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะคุยเท่าไหร่ น้องพาผมไปดูหนังระหว่างที่ดูหนังอยู่ เธอพูดมาแบบนี้ครับ
"พี่..... พี่อยู่กับหนูแล้วมีความสุขรึเปล่า " ผม "มีมั้ง" น้อง "ถ้าพี่มีความสุขพี่ก็ลืมผู้หญิงคนนั้นเถอะ หนูจะทำให้พี่มีความสุขเอง" แล้วเธอก็ยิ้มให้ผมแล้วกุมมือผม จังหวะนี้ผม...
ทำอะไรไม่ถูกครับ
คืนนั้น ผมไม่ได้นอน นั่งคิดนอนคิด จนถึงเช้า จนได้ข้อสรุปครับว่า ทำไมเราต้องอยู่กับความทุกข์ด้วย ในเมื่อความสุขอยู่ข้าง ๆ เราเสมอ วันรุ่งขึ้นผม ตัดสินใจเด็ดขาดเลิกติดต่อ
กับเธอครับ และขอเริ่มชีวิตใหม่ที่ทำให้รู้สึกดีกับตัวเอง กับน้อง ซึ่งหลังจากนั้น ผมก็คิดว่าผมคิดถูกแล้วจิง ๆ คับ น้องทำให้ผมรู้สึกดีได้จริง ๆ ผมรู้สึกและสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า
เค้าคือคนของผม ผมคบกับน้องตลอดช่วงมหาลัยครับและไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลย จนเวลาล่วงเลยผมกำลังจะจบ ผมรับปริญญา ผมได้ทำงาน ชีวิตผมราบรื่นจนกระทั่งเวลาผลิกผันชีวิต
เกิดขึ้นอีก
ภาคแรกของชีวิตผมจบตรงนี้นะครับ
ภาคสองนี่เป็นตอนที่ผมทำงานได้ประมาณ ปีนึงแล้วนะครับ
ตอนนี้ตัวละครมันจะเริ่มเยอะมาก ผมขอเริ่มที่ประวัติตัวละครย่อ ๆ นะครับ ผมจะใช้ชื่อสมมตินะครับ
A คือ เธอในภาคแรกนะครับ
B คือ น้อง ครับ
C คือ คนที่เข้ามาฝึกงานใหม่นะครับ
D คือ เพื่อนสนิทคนนึงในมหาลัยของผมครับ
หลังจากการทำงานผ่านมาหนึ่งปี ขอบอกครับว่า สนุกมากกับชีวิตอะไรก็ดี วันหนึ่งผมได้เข้าพอกับหัวหน้าครับ เค้าบอกให้ผมเป็นคนทำหน้าที่อบรมและฝึกสอนพนักงานเข้าใหม่คนหนึ่ง
ผมก็ต้องรับละครับเค้าสั่งมาแล้วนิ ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนะครับ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องทำงานให้สำเร็จ หลังจากผมเตรียมตัวเสร็จ วันรุ่งขึ้นผมก็เดินเข้าไปหาเจ้านายโดยที่เตรียม
พร้อมสำหรับฝึกงานครับ C เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารัก หลังจากแนะนำตัวกันเรียบร้อย ผมก็ได้เวลาทำงานครับ ผมพาเค้าไปนั่งที่โต๊ะทำงานของผมก่อนครับ แล้วก็เริ่ม
คุยกันให้รู้ก่อนว่าเค้าเป็นคนยังไง ทำงานอย่างไร คิดอย่างไร พอคุยกันพอรู้เรื่องผมก็ ให้เค้าลองใช้โปรแกรมต่าง ๆ ว่าสามารถใช้ได้หรือไม่ หลังจากนั้นผมก็ให้เค้าลองทำงานง่าย ๆ ก่อน
ครับ โดยที่ตัวผมได้นั่งดูข้อมูลส่วนตัวของเขาที่เจ้านายให้มา ข้อมูล C ก็ใช้ได้เลยละครับ เรียนได้ดี ทำกิจกรรมต่าง ๆ หลังจากดูจบ ผมก็ไปดูที่เค้าทำงานว่าเป็นอย่างไรบ้างก้าวหน้า
มากน้อย แล้วก็จบวันครับ ผมเข้าไปหาเจ้านายเพื่อบอกผลพนักงานใหม่ว่าเป็นอย่างไร เจ้านายก็รับฟังผลโดยดี เป็นแบบนี้ไป 1 สัปดาห์ครับ ไม่มีอะไรมากมาย ผมก็ต้องคอยดูแลทุกอย่าง
ทำผิดผมแก้ เค้าทำพลาดผมรับ เพราะผมเป็นคนอบรมเค้าอยู่ อาทิตย์ต่อมามีวันนึงผมก็นั่งจัดการงานของผมและงานของ C ที่เค้าทำมา C เค้าก็เข้ามาแล้วก็ซื้อพวกขนมอาหารอะไรพวกนี้
มาให้ผมครับเค้าบอกว่าเค้าอยากจะขอบคุณที่ช่วยดูแล (ผมต้องกลับประมาณ 3-4 ทุ่มทุกวันเพราะต้องตรวจงานของ C นี่ละครับ) ผมก็รับไว้ด้วยดีครับ กว่าจะถึงบ้านกว่าจะหาของกินได้คงอีกนาน
หลังจากนั้นเป็นงานออกพื้นที่ครับ มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าตกลงตำแหน่งงานมันเป็นอะไร คือตำแหน่งงานผมเรียกได้ว่า มือขวา CEO นะครับ ส่วนที่ C เค้าเข้ามาเค้าจะมาเป็นผู้จัดการ
กลับมาที่งานออกพื้นที่นะครับ เราต้องเข้าไปพบลูกค้า แล้วก็ร้านค้าต่าง ๆ ที่อยู่ในเขตที่กำหนดนะครับ เพื่อทราบปัญหาแท้จริงและจะได้แก้ได้ทันท่วงที ต้องทำอยู่แล้วเป็นประจำ ผมก็ให้เค้าลอง
ทำหมดอะครับ ตั้งแต่ทำแบบสอบถามไปถามลูกค้า แบบสอบถามไปร้านค้า หรือแม้กระทั่งออกไปยืนขายสินค้าครับ อาจจะดูโหดไปนิดแต่ตอนผมเข้ามา ผมก็ทำแบบนี้ละครับ การฝึกนี้ใช้เวลา
3 อาทิตย์ครับ แน่นอนว่า C ไปไหนผมต้องไปด้วยตลอด ถ้าเค้าเริ่มพลาดหรือเริ่มแย่ผมจะได้เข้าไปแทรกแล้วก็จัดการแทนได้น่ะครับ พอเสร็จผมต้องกลับมาสำนักงานทำงานของผมแล้วก็บางวัน
ต้องรายงานผลการฝึกของ C ด้วยครับ ทุกคนคงจะพอนึกภาพออกว่ายังไงมันก็ต้องสนิทกันแน่นอน ช่วงที่ผมฝึกงานผมได้อยู่กับ B น้อยลงครับเรียกว่าน้อยมากเลย
และแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มจากตรงนี้ครับ มีอยู่วันนึงขณะที่ผมกำลังเดินทางกลับบ้าน (ผมไม่ใช้รถนะครับทุกคนคงรู้ว่าการหาที่จอดรถมันยากขนาดไหน และราคาน้ำมันอีก) ผมโดนปล้นครับ
ไม่เชิงปล้นน่าจะเรียกว่าชิงทรัพย์มากกว่า คือมีรถมอเตอไซต์วิ่งสวนมาตามปกตินะครับ แล้วมันก็ไต่ขึ้นมาบนฟุตบาต จากนั้นมันก็ตรงขับตรงปรี่มาหาผมและเอากระเป๋าถือของผมไป
ทั้งหมดในนั้นคืองานครับ พระเจ้าช่วยด้วย ผมแจ้งตำรวจครับ ซึ่งกว่าจะมาก็ผ่านไปประมาณ 30 นาที ไม่รู้ว่าเค้าทำอะไรอยู่ ก็ลงบันทึกประจำวันและสอบถามข้อมูลครับ ผมเคว้งครับหลังจากนั้น
ไม่รู้จะทำไงกับงานดี ผมนั่งอยู่หน้า สน. ครับ ขอทำใจก่อน จังหวะนั้น C โทรมาครับ เค้าโทรมาถามว่างานที่ผมสอนให้เค้าไปทำวันนี้จะทำยังไงต่อดี ผมแบบว่าอารมณ์อยากระบายอะครับ ใครก็ได้
เลยเล่าให้ C ฟัง C ก็เลยถามผมว่าอยู่ที่ไหน แล้วเค้าก็บอกให้อยู่ตรงนั้นก่อน 15 นาทีต่อมา C ขับรถมารับผมครับ ผมก็นั่งรถตามเค้าไป เค้าพาผมไปบาร์แห่งหนึ่งครับ เพลงเบา ๆ ช้า ๆ สบายอารมณ์
C บอกว่า พี่จะเอาอะไรสั่งเลยวันนี้หนูเลี้ยงเอง ไม่ขัดครับ ผมก็สั่งนั่นสั่งนี่มากิน ครั้งสุดท้ายที่ผมรู้ตัวคือตอนมองนาฬิกาและมันคือเวลาห้าทุ่มกว่า จากนั้นไม่ปะติดปะต่อครับ
วันรุ่งขึ้น ผม นอนอยู่บนเตียง ที่ไหนซักที่ ผมเลยลองเดิน ๆ ดู ก็งงคับว่าที่ไหนหว่าไม่คุ้นเลย แล้ว C ก็เดินเข้ามาครับ เค้าบอกว่าที่นี่เป็นห้องของเค้าเอง ผมก็เลยถามว่ามันเป็นมายังไงเล่าให้ฟังหน่อย
C บอกว่าผมเมาแล้วหลับ แล้วร้านกำลังจะปิดก็เลยต้องพาผมกลับ แต่เค้าไม่รู้ว่าผมพักที่ไหน เลยพามาที่ห้องเค้าเลย พอมาถึงจะทิ้งผมให้นอนที่พื้นเค้าก็ลำบากใจ เค้าเลยนอนที่พื้นแล้วให้ผมนอนบนเตียง
เค้าบอกว่าเค้าออกไปหาข้าวเช้ามา แล้วก็ซื้อข้าวเช้ามาให้ ผมเหลือบไปเห็นนาฬิกา ขณะนี้เวลา 10 โมง ผมตกใจมากครับ ถามเค้าว่าที่นี่ที่ไหนต้องรีบเข้าสำนักงานแล้ว C บอกว่า โทรไปลาให้แล้วคะ ไม่ต้องห่วง
ผมโล่งใจแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่างานเราโดนขโมยไปแล้วนี่หว่า ผมก็จัดแจงโทรหาตำรวจที่รับเรื่องผมไว้ แต่เรื่องไม่คืบหน้าครับ (มันก็สมควรจะไม่คืบหน้าเพิ่งผ่านไปคืนเดียว) ผมเลยต้องใช้แผนสอง นั่นคือ ทำใหม่ครับ
ไหน ๆ ก็ได้หยุดแล้วทำงานมันอย่างเดียวเอาให้เสร็จไปเลยผมหันไปมอง C ด้วยสายตามึนงง แล้วถามเค้าว่าแล้วเราไม่ไปทำงานเหรอ เค้าบอกว่า เค้าก็ลามาดูแลผมไง หาเรื่องโดดงานเต็ม ๆ แล้วคุณเธอ
จากนั้นผมเริ่มตั้งต้นทำงานครับ นั่งทำมันที่ห้อง C นิละไม่อยากเสียเวลาเดินทางไปมา C เห็นก็ถามผมเรื่องนั้นเรื่องนี้ในงานที่ผมกำลังทำ สุดท้ายก็กลายเป็นช่วยกันทำ ตัวผมก็ตั้งใจทำงานครับเวลาผ่านไปจนฟ้ามืด
จนสุดท้าย ผมก็ต้องนอนค้างที่ห้อง C อีกคืน แต่คืนนี้ ผมบอกว่าผมนอนพื้นเอง ผมก็ลงไปนอนครับ เค้าก็นอนที่เตียง ผมนอนได้ซักพัก เค้าก็มาหาผมแล้วบอกว่า เค้ารับไม่ได้ถ้าจะต้องให้แขกนอนที่พื้น
แล้วเราก็ถกปัญหานี้กันประมาณ 30 นาที (ยังกับเรื่องคอขาดบาดตาย) สุดท้ายได้ข้อสรุป คือนอนบนเตียงด้วยกันทั้งคู่เลย ผมก็นอนครับ แล้วก็หลับไป ตื่นมาตอนเช้า ผมรีบกลับที่พักตัวเองเพื่อเปลี่ยนชุด
โดยที่ C ไปส่ง แล้วก็ขึ้นรถไปทำงานด้วยกันครับ แน่นอนว่าผมก็ยังคงต้องสอนงานเค้าต่อและยังต้องคอยตรวจสอบงาน เพียงแต่น้อยลง ส่วนงานของผมเองนั้นอะไรใช้ก่อนผมก็ทำเสร็จครับ เอาตัวรอดพอไปได้
ระหว่างที่ผมทำงานไป C เค้าก็หาวตลอดครับ ผมถามเค้าว่างานน่าเบื่อเหรอ เค้าบอกว่าเมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลย ผมก็งงว่าทำไมไม่ได้นอน แต่ไม่ได้ถามนะครับ เห็นว่าไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่
ผมก็เลยไปหาซื้อพวกเครื่องดื่มจำพวกน้ำตาล แล้วก็หมากฝรั่งมาให้ C เค้าก็รับไปโดยดีครับ หลังจากนั้นวันไหนที่ผมอยู่ดึกมาก ๆ C เค้าจะคอยไปส่งผมที่บ้านครับ โดยบอกว่ากลับไปคนเดียวแบบนี้
โดนอีกจะทำยังไง แล้วตัวCก็เป็นผู้หญิงจะให้กลับคนเดียวค่ำมืดดึกดื่นมันไม่ดีนะ เถียงไม่ออกครับ บางวันเราก็ไปนั่งกินข้าวกันแถวร้านข้างทางที่มันเปิดตอนดึก ๆ
หลังจากได้คุยกับเค้าก็คุยกันถูกคอครับ ผมและ C เป็นคนที่มีอะไรเหมือน ๆ กัน ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน ทำอะไรคล้าย ๆ กัน ณ เวลานี้ถามตัวผมว่ามีปัญหาอะไรกับ B หรือเปล่านั่นคือไม่มีครับ
ยังไปกันด้วยดีไหม ก็ยังคบและยังไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุด แต่ไม่ได้เจอกันตลอดเวลาเหมือนตอนเรียนมหาลัยเท่านั้นเอง เพราะต่างคนก็ต่างต้องทำงาน ตอนนี้ผมยังไม่แต่งงานนะครับ
เรียกได้ว่ายังครองสภานะโสดอยู่ตามกฏหมาย จากนี้เรื่องของ C จะขอพักไว้ก่อน ขอย้อนเวลาไปประมาณ 1 เดือนนะครับช่วงเวลาที่ผมโดนขโมยงานนั่นละ ผมได้เอาสิ่งเหล่านี้ไปโพสในเฟสบุคครับ
ไม่ได้เล่าละเอียดแต่แค่คร่าว ๆ ว่าโดนอะไรที่ไหนเมื่อไหร่ หลังจากโพสไปผมก็ปล่อยผ่านครับ ไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่ในนั้นกลับมีบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่รู้ครับ นั่นคือ A เธอกลับมา ไม่รู้เธอกลับมาจากไหน
อย่างไรแต่เธอกลับมาครับ ในเฟสบุคผมมี A เป็นเพื่อนอยู่แล้ว เพราะไอ้การไม่รับมันก็ยังไงอยู่เพราะก็เป็นเพื่อนกันแต่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นในตอนที่รับเป็นเพื่อนนะครับ เกิดตอนนี้นี่ละ A ได้เข้ามาทำการ
คอมเมนผมในเรื่องนี้ และอีกหลาย ๆ เรื่องที่ผมได้ทำการโพสไปในเฟสบุค ซึ่งผมไม่รู้นะครับ ไม่ได้สนใจจริง ๆ แต่ B เธอสนครับ และเกิดการตอบโต้กันระหว่าง B และ A ในเฟสบุค โดยตอบโต้กัน
รุนแรงพอสมควรครับ ไม่ถึงกับด่ากันหยาบคาย แต่ด่าแบบผู้ดี ใส่กันน่ะครับ หลายคนคงเหมือนผมที่มีเฟสบุคเอาไว้ใส่รูป บอกว่าเราไปไหน และเล่นเกม แต่ไม่ได้คิดจะเข้าไปยุ่งอะไรกับเฟสของคนอื่น
ผ่านไปหนึ่งเดือนครับโดยที่ผมไม่รู้อะไรเลย และมันก็ระเบิดครับ B มาหาผม เล่านั่นนี่โน่นให้ผมฟัง ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมก็บอกให้ใจเย็นสงบอารมณ์ก่อน หลังจากนั้นผมก็เข้าไปดูย้อนหลังครับ
ไม่น่าเชื่อว่าที่ผ่านมาทั้งเดือนมีข้อความ หรือการกด like แทบทุกอันที่เป็นของผม ว่าแล้วก็เลยเข้าไปดูในเฟสของ A ต่อ โอ้รุนแรงมากครับ อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด เรื่องคร่าว ๆ คือ B บอกว่า A ทำอะไร
เข้ามายุ่งกับผม กะแย่งผมไปหรือไง A ตอบว่า ก็เป็นเพื่อนกันทำไมจะคุยกันไม่ได้ หลัก ๆ ก็ประมาณนี้ครับ สิ่งที่ผมคิดคือถ้าจะให้ B หยุดคงยาก เลยเริ่มที่ A ก่อนละกัน รุ่งขึ้นผมอาศัยเวลาว่างโทรหา A
ผมก็คุยเหมือนเพื่อนครับ แบบประมาณว่าเป็นไงมั่ง ทำอะไรอยู่ ได้สักพักผมก็เข้าเรื่องเลยครับ ผมบอก A ว่าอย่าไปสนสิ่งที่ B ทำเลยปล่อย ๆ ไปยังไงเค้าก็รุ่นน้อง อยู่กันอย่างสงบเถอะ ถ้าไม่ตอบโต้
เค้าก็ไม่ตอบโต้ A ก็รับฟังครับ ผมก็รู้สึกสบายใจไปเปลาะนึง คราวนี้ปัญหาใหญ่คือ B จะทำอย่างไรให้ B วางใจได้ดี ผมเลยไปหา D ครับ เพื่อนที่รักของผม D เป็นผู้หญิงนะครับเพราะผมคิดว่าคงไม่มีใคร
เข้าใจผู้หญิงได้ดีกว่าผู้หญิง เค้าก็ให้คำแนะนำมาครับบอกง่าย ๆ ชัดเจน คือ ลบเฟสเค้าออกไปดิ ผมก็บอกว่า เค้าก็เพื่อนผมเหมือนกันมันจะไม่ดีมั้ง D เลยบอกว่างั้นเอาวิธีอ้อม ๆ ไป นั่นคือไปทำให้เค้า
รู้สึกว่าแกเป็นคนที่ไว้ใจได้ และทำให้เค้าพอใจไม่รู้สึกขาด ผมรับฟังแต่โดยดีครับแล้วก็สรรหาวิธีต่าง ๆ นานา ใช้เวลาไปอีกเป็นเดือนกว่าที่ B จะสงบ
**** ขอบคุณที่ติดตามครับ บางเหตุการณ์อาจดูไม่ปะติดปะต่อคือผมไม่อยากเอามาให้มันเสียหายไปหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งครับ แต่ถ้าสงสัยตรงไหนก็ถามได้นะครับ ****