ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 2 หน้า 12 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย
กำลังแสดงผล 1 ถึง 25 จากทั้งหมด 26
  1. #1
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888

    Post ..::กระทู้ REVIEW หนังของผม::..

    ***********___________ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ___________***********




    _______________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________



    ในบรรดาหนังที่ผมนำมา review ผมอาจมีความเห็นแตกต่างจากบางท่านนะครับ หนังที่ผมว่าดีบางท่านอาจจะไม่ชอบก็ได้ มันขึ้นอยู่กับ อายุ ประสบการณ์ จังหวะช่วงเวลาในการดูหนังก็เป็นตัวแปรที่อาจทำให้ได้รับอรรถรสต่างกันไปครับ

    ในการ review ของผมนั้นผมจะพยายาม spoil เนื้อหาสำคัญในหนังให้น้อยที่สุดนะครับ เพราะจากระสบการณ์ของผม(ที่เคยโดน spoil) ทำให้อรรถรสในการรับชมน้อยไปพอสมควรครับ แทนที่จะได้ลุ้นกับรู้อยู่แล้วว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น



    กระทู้นี้ผมกะจะว่างๆก็มา review ไปเรื่อยๆนะครับ และก็ไม่ได้จัดลำดับตามความชอบนะครับ




    _______________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________


    คะแนนและความหมายครับ

    1-3 trash
    4 bad
    5 fair
    6 moderate
    7 nice
    8 great
    9 superb
    10 Prime








    *****************************************************************************************************************************************************************



    1.) Gattaca [1997]





    Director: Andrew Niccol
    Writer: Andrew Niccol
    Stars: Ethan Hawke, Uma Thurman



    ในความเห็นผม Gattaca เป็นหนัง Sci-fi ที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่ง ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่หนัง sci-fi โลกอนาคตแบบ star trek หรือ blade runner มันก็คล้ายๆโลกมนุษย์ปัจจุบันนี่แหละ เพียงแต่มีบางอย่างที่ high tech กว่า

    หนังเสนอประเด็นเรื่องการแบ่งแยกชนชั้น ถ้าเป็นในปัจจุบันก็คือแบ่งแยกกันในเรื่อง ผิวสี ชนชาติ ศาสนา เพศ แต่ในหนังเป็นการแบ่งแยกชนชั้นโดย เลือด น้ำลาย ปัสสาวะ เส้นผม หรือ ผิวหนัง ซึ่งก็คือ พันธุกรรม นั่นเองครับ ซึ่งก็เป็นไอเดียที่ดี
    โดยที่สังคมในอนาคตนั้นจะแบ่งชนชั้นกันระหว่าง ผู้ที่เกิดตามธรรมชาติ กับ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกทางพันธุกรรมมาแล้ว(ซึ่งเสี่ยงต่อโรคทางพันธุกรรมน้อยกว่า) ผู้ที่คัดเลือกมาแล้วจะได้ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ผู้ที่เกิดตามธรรมชาติกลับต้องทำงานเป็นได้เพียงพนักงานทำความสะอาด

    ผมคิดว่าการที่หนังไม่อนาคตเกินไปนั้น ทำให้ตัวหนังดูสมจริงขึ้นมาก ดีกว่าไปเป็นอนาคตในจิตนาการอย่าง back to the future ทำให้แม้หนังจะผ่านไปสิบกว่าปีแต่ก็ยังดูดีอยู่

    สรุปได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็น sci fi แฝงข้อคิดที่ดีทีเดียวครับ ''โชคชะตาไม่ได้กำหนดชีวิตมนุษย์ การกระทำต่างหากที่ตัดสินชีวิตเรา''


    8/10 ครับผม


    นิดนึงครับ พระเอกกับ นางเอก เรื่องนี้แสดงเรื่องนี้จบแล้ว แต่งงานกันเลยนะเออ
    joker123
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย EviL ANgle : 9th March 2013 เมื่อ 13:21

  2. รายชื่อสมาชิกจำนวน 21 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Aug 2011
    กระทู้
    541
    กล่าวขอบคุณ
    62
    ได้รับคำขอบคุณ: 384
    แต่งเลยแล้วก้หย่าแล้วด้วยสิ

    เรื่องนี้ผมก้ชอบมากๆเหมือนกัน ครับ นิดนึงครับ มันเป็น sci-fi แบบ Blade Runner นี่แหละ แค่ไม่ได้เวอร์เท่า เขาเรียกว่า Sci-fi แบบ Cyberpunk ครับ

    ใครที่ชอบเรื่องนี้ก้หา Intime มาดูด้วยเลย กำกับและเขียนบทคนเดียวกันเนื้อหาสนุกเหมือนกันแจ่ม

    Thank
    เรื่องเล็ก เม้นสิเรื่องใหญ่จะได้ครึกครื้นขอแค่สักเม้นเดียว ก็ชื่นใจและ

  4. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  5. #3
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    2.) The Good, The Bad and The Ugly [1966]





    Director: Sergio Leone
    Story: Luciano Vincenzoni, Sergio Leone
    Stars: Clint Eastwood, Eli Wallach and Lee Van Cleef



    ''นี่คือหนังคาวบอยที่ผมชอบมากที่สุดตลอดกาลครับ''

    เป็นผลงานกำกับของ Sergio Leone เป็นชาวอิตาลีครับ เขาจึงเรียกว่า Spaghetti Western และเรื่องนี้เป็นภาคสุดท้ายของ dollars trilogy(ซึ่งทุกภาคไม่ได้มีเนื้อเรื่องเกี่ยวเนื่องกันแค่ใช้นักแสดงกับทีมงานเดียวกันเฉยๆ) ซึ่งก็ดีทุกภาคครับ
    เนื้อเรื่องของภาคนี้เกี่ยวกับ ชายสามคน ในดินแดนตะวันตกอันป่าเถื่อน ออกเดินทางตามล่าขุมทรัพย์ ท่ามกลางฉากหลังอันเป็นสมรภูมิสงครามกลางเมืองสหรัฐ
    และชายทั้งสามคนนี้ก็คือชื่อเรื่องนั่นเองครับ

    the good (clint eastwood) มือปืนผู้เก่งกาจ
    the bad (lee van cleef) ทหารฝ่ายเหนือผู้รับจ๊อบเป็นมือปืนอันโหด*****ม
    the ugly (Eli Wallach) โจรกระจอกผู้หนึ่ง ผู้สนใจแต่สมบัติ

    แค่ส่วนของตัวละครหนังก็กินขาดแล้วครับ ปู่ clint เล่นได้เท่ตลอด แค่จุดไม้ขีด หรือ ยืนอยู่นิ่งๆก็เท่แล้ว(เวอร์) lee van cleef ก็ร้ายจริงๆเสียดายบทน้อยไปหน่อย
    และคนที่เด่นที่สุดในเรื่อง Eli Wallach ที่เป็นตัวปล่อยมุขตลก เล่นได้โจรๆ โง่ๆ ซื่อๆ ดีครับ น่ารักในบางตอนด้วย ทั้งสามคนเล่นได้มี character โดดเด่นเป็นของตัวเองดีครับ
    เนื้อเรื่องก็ผจญภัยไปต่างๆนาๆ สนุกดีครับ ตัวเอกไม่เก่งเทพ ไม่มีตอนน่าเบื่อเลย ใช้สงครามกลางเมืองมาเป็นฉากหลังได้สมบูรณ์แบบมาก ตอนจบก็จบสวยดีครับ แต่บางประเด็นที่ผมอยากให้เคลียร์หนังจะสมบูรณ์กว่านี้ครับ
    ฉากสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่านใต้ถือว่าดีมากในสมัยนั้น ผมชอบ soundtrack มากครับ ได้อารมณ์มากทั้ง ฉากตื่นเต้น ฉากกดดัน ที่สำคัญคือหนังมีอะไรให้เราจดจำเยอะครับ ทั้งฉาก เพลงประกอบ หรือ ประโยคเด็ดๆ
    และยังฝากข้อคิดไว้หลายอย่าง และจิกกัดสงครามได้แสบดีครับ แสดงให้เห็นว่าสงครามเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ(สมบัติสำคัญกว่า)


    ถ้ามีหนังเรื่องนึงที่ผู้กำกับชื่อดังอย่าง Quentin Tarantino ถึงขนาดกล่าวว่า "the best-directed film of all time" ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่หามาดูใช่ไหมครับ

    9/10 ครับ

  6. รายชื่อสมาชิกจำนวน 7 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  7. #4
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    3.) Platoon [1986]





    Director: Oliver Stone
    Writer: Oliver Stone
    Stars: Charlie Sheen, Tom Berenger, Willem Dafoe, Johnny Depp



    นี่คือหนังสงครามอีกเรื่องหนึ่งที่ผมประทับใจมากครับ...
    Platoon เป็นบทภาพยนต์จากประสบการณ์จริงของ Oliver Stone ที่ได้เสนอเรื่องราวของสงครามในอีกแง่หนึ่งที่ rambo ไม่ได้เล่าเอาไว้...

    ตัวหนัง สื่อให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงคราม ทั้งด้านนอกซึ่งก็คือการสู้รบกับศัตรูทหารเวียดกง และด้านในคือความขัดแย้งกันเองของทหารอเมริกัน ภายในกองร้อย
    หนังเล่าเรื่องผ่านทหารหนุ่มผู้ยังอ่อนประสบการณ์ ที่ต้องต่อสู้อย่างแสนสาหัส ไม่เพียงแต่กับทหารศัตรูเท่านั้น ความเหนื่อยล้า การหวาดระแวงกันเอง ความหวาดกลัวที่คอยกัดกินจิตใจ การที่ต้องสูญเสียเพื่อนไปทีละคน
    เป็นความทุกข์ทรมานที่เขาเกินจะรับไหว ภาพสงครามอันโหดร้ายกลายเป็นบาดแผลที่ทำร้ายจิตใจคนให้จดจำไปไม่รู้ลืม

    ฉากการรบในหนังทำได้ดีครับ ทั้งฉากการปะทะกันประปราย และฉากการรบอันดุเดือดทำได้สมจริงสมจัง กดดัน และได้อารมณ์มาก
    ฉากแต่ละฉากแสดงได้ถึงชีวิตประจำวันของทหาร ทั้งการลาดตระเวนรอบป่า ขุดสนามเพลาะ กิจกรรมต่างๆ ฝนตก ดินโคลน ได้อารมณ์สงครามเวียดนามมาก
    เรื่องราวต่างๆของทหารที่ว่าไม่ได้มีใครอยากมารบก็ทำได้ดีครับ เนื้อเรื่องไม่เป็นอเมริกันฮีโร่ เวียดกงเลวตลอด แต่แสดงให้เห็นด้านมืดของทั้งสองฝ่าย(อเมริกันเลวกว่าด้วยซ้ำ)

    หนังได้แฝงข้อคิดดีๆไว้มากมายครับ ''เราไม่ได้สู้กับศัตรู เราสู้กับตัวเราเอง และศัตรูอยู่ในตัวเรา'' ผู้ที่ชื่นชอบหนังสงครามอยู่แล้วก็ไม่ควรพลาดครับ
    หนังเรื่องนี้ดูแล้วอิ่มอย่างบอกไม่ถูกครับ

    9/10

  8. รายชื่อสมาชิกจำนวน 8 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  9. #5
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Oct 2012
    กระทู้
    1,061
    กล่าวขอบคุณ
    45
    ได้รับคำขอบคุณ: 6,869
    หนังแบบนี้บ่งบอกถึงอายุ

  10. รายชื่อสมาชิกจำนวน 3 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  11. #6
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    4.) Star Trek IV : Voyage Home [1986]




    Director: Leonard Nimoy
    Story: Gene Roddenberry, Leonard Nimoy, Harve Bennett
    Stars: William Shatner, Leonard Nimoy, DeForest Kelley



    ภาพยนตร์ series Star Trek เท่าที่ผมเคยดูและจำได้ก็มีแค่ 2 ภาคครับคือ voyage home และภาคที่นำมา reboot ใหม่ ซึ่งแม้ว่าไม่ใครเคยดูภาคก่อนหน้า ก็ดูภาคนี้ได้สบายครับ

    ถ้าจะบอกว่าลูกเรือยานเอนเทอร์ไพร์สจาก 2200s ได้ย้อนเวลากลับมาในอดีตราวปี 1986 เพื่อนำปลาวาฬกลับไปยังอนาคต อาจจะฟังดู แหม่งๆชอบกล ใช่ไหมละครับ
    แต่มันมีเหตุจำเป็นต่อโลก จึงต้องย้อนเวลากลับไป นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดครับ

    !!!Spoil นิดๆ!!! ใครไม่อยากรู้ไปติดตามในหนังดีกว่าครับ
    คือในโลกอนาคตนั้นนะครับ จู่ๆก็มีวัตถุลึกลับจากไหนไม่รู้เดินทางมายังโลก ทีนี้นักวิทาศาสตร์วิเคราห์ได้ว่ามันมา ตรวจวัดความสมบูรณ์ของดาวโดยใช้วาฬเป็นเกณฑ์ แต่ในอนาคตวาฬได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว วัตถุประหลาดจึงจะทำลายโลก

    ผมคิดว่าแนวคิดพล็อตหลักของเรื่องดีและเป็นอะไรที่สร้างสรรค์มากครับ การดำเนินเรื่องก็สนุก ปนตลก น่าติดตาม การทำตัวเปิ่นๆ แปลกๆของคนในอนาคตเมื่อมาอยู่ในอดีต มองดูตลกและเพิ่มสีสันให้เรื่องได้มากครับ
    ตัวละครที่ผู้คนจดจำมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น Spock เอเลี่ยนจากดาว Vulcan ซึ่งเอเลี่ยนจากดาวนี้เขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกครับ ใช้ชีวิตตามหลักเหตุ-ผลอย่างเดียว ฉากตลกหลายๆฉากมาจากการพูดแบบขวานผ่าซากนี่แหละครับ
    ผมชอบดนตรีประกอบของเรื่องนี้มาก ไพเราะ อลังการ มีพลังมากครับ โดยรวมแล้วถึงแม้หนังจะไม่มีอะไรมากแค่นำวาฬกลับไปยังอนาคตแต่ก็สนุกและครบรสมากครับชอบๆ

    สรุปแล้ว star trek : voyage home เป็นหนัง sci-fi ที่สนุก ครบรส และแฝงข้อคิดที่ดีมากครับ ''มนุษย์นั่นแหละคือตัวทำลายธรรมชาติ''

    8/10
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย EviL ANgle : 8th March 2013 เมื่อ 22:13

  12. รายชื่อสมาชิกจำนวน 5 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  13. #7
    .:: MCR HELENA ::.
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    The Walking Dead
    กระทู้
    1,615
    กล่าวขอบคุณ
    1,260
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,020
    ดันกระทู้ขึ้นไปล่ะกัน ... ช่วยๆกัน
    Facebook :: Buddy Lord

  14. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  15. #8
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    176
    กล่าวขอบคุณ
    126
    ได้รับคำขอบคุณ: 260
    Blog Entries
    1
    กระทู้นี้ดีมากครับ ผมชอบสะสมหนังเก่าๆครับ
    AMD FX-6300 : RAM 4GB : SAPPHIRE HD7850 2GB OC

  16. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  17. #9
    ไอ้บ้าห้าร้อย
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    Bangkok
    กระทู้
    571
    กล่าวขอบคุณ
    848
    ได้รับคำขอบคุณ: 96
    ผมมาติดตามกระทู้นี้^^

  18. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  19. #10
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    พอดีช่วงวันหยุดไม่อยู่บ้านครับ เพิ่งกลับมา(ไปภูกระดึงเมื่อยขามาก)

    ขอบคุณทุกท่าน ที่เข้ามาอ่านนะครับ ผมไม่ใช่มืออาชีพ แต่ก็พยายามเขียนๆไปสนุกๆครับ : )

  20. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  21. #11
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    5.)Top Secret! (1984)




    Director:Jim Abrahams, David Zucker, Jerry Zucker
    Story:Jim Abrahams, David Zucker, Jerry Zucker
    Stars:Val Kilmer



    ปกติแล้วผมไม่ค่อยดูหนังตลกเท่าไร แต่เรื่องนี้ทำให้ผมประทับใจครับ...
    Top Secret! (ไม่ใช่วัยรุ่นพันล้านนะ) เป็นหนังตลกแนวหาสาระไม่ค่อยจะได้ นำแสดงโดย Val Kilmer สมัยยังหนุ่มเฟี้ยวเลยครับ

    หนังตลกแบบนี้ผมถือว่าเป็นหนังคุณภาพเพราะว่า มันตลกอย่างเป็นธรรมชาติ คล้าย mr.bean(ถึงแม้เรื่องนี้จะเน้นความโอเวอร์เหนือความคาดหมาย)
    ไม่เหมือนกับหนังไทยที่ออกมาด่าๆกันให้คนดูตลก

    ตัวหนังผมคิดว่าทำได้ดีและไม่คิดว่ามีจุดบกพร่องร้ายแรง เนื้อเรื่องก็ปานกลางตามปกติของหนังตลกทั่วไป แต่มุขตลกนี่สิเป็นสิ่งที่ผมชอบมากครับ
    เพราะมันเป็นมุขตลกแบบ อยากจะให้ตลกก็ตลก ฉากที่คิดว่าเป็นฉากธรรมดาดันใส่มุขมาเฉยเลย ทำให้คาดเดามุขได้ยาก
    หนังเต็มไปด้วยมุขหลายๆรูปแบบ ทั้งมุขคำพูดซึ่งจะเป็นแบบอังกฤษ คนที่ดูเป็นภาษาไทยจะไม่เข้าใจมุข การจิกกัดสังคมอเมริกัน มุขสถาณการณ์ต่างๆที่เหนือความคาดหมาย
    เพลงประกอบหนังก็ไพเราะใช้ได้ทีเดียวครับ เข้ากับหนังได้เป็นอย่างดี

    หนังมี ฉาก-มุข ที่น่าจดจำอยู่มากครับ จึงมีคุณค่าควรแก่การหามารับชม

    7/10

  22. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  23. #12
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    6.) Raiders of the Lost Ark (1981)




    Director:Steven Spielberg
    Writers:Lawrence Kasdan , George Lucas , Philip Kaufman
    Stars:Harrison Ford, Karen Allen



    raider of the lost ark เป็นหนังแนวไหนน่ะหรอ?

    การผจญภัย - อืม

    การผจญภัยล่าสมบัติ - อืม...ดี

    การผจญภัยล่าสมบัติ + นาซี - ห่ะ ยอดไปเลย!

    ความจริงแล้วผมเคยดู indiana jones 3 ภาคแรก ตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่มันนานมากจนจำไม่ได้
    เมื่อมีโอกาสดูผมจึงเอามาดูทั้ง 3 ภาคเลย ด้วยความที่ชอบหนังที่เกี่ยวกับนาซีอยู่แล้ว เลยยิ่งอยากดูไปอีก

    หนังว่าด้วยการค้นหาหีบในตำนาน ของฝ่ายพระเอก แล้วบังเอิญมาเจอะเจอกับนาซีซึ่งกำลังหาหีบนี้อยู่เหมือนกัน จึงเกิดเรื่องขึ้น
    ซึ่งหนังก็ไม่ได้บอกอีกต่างหากว่าในหีบมันมีอะไรอยู่ ปล่อยให้คนดูสงสัยไปตลอดทั้งเรื่อง แต่แล้วก็เฉลยได้สุดยอดมากๆครับ

    ตัวหนังสนุกครับ! ฉาก action เวอร์ๆ ฮาๆ ดี กับดักต่างๆ ในสไตล์ การล่าสมบัติการที่หนังจะเวอร์นิดๆผมว่าเป็นเรื่องดีครับ
    ฉากการต่อสู้ หรือ ฉากไล่ล่าที่น่าติดตาม สอดแทรกด้วยบทสนทนาและฉาก ชวนหัวตลอดทั้งเรื่อง

    ตัวละครแทบทุกตัวใน raider of the lost ark มี charactor ที่ เจ๋ง และ โดดเด่น เป็นของตัวเองมาก แถมยังเข้ากันได้ดีอีกด้วย
    และเพลงประกอบขั้นสุดยอด ที่ฟังติดหูไปหลายวัน ของหนังเรื่องนี้ก็ช่วยเน้น theme ผจญภัยของหนังได้มากทีเดียวครับ

    สำหรับคนที่ชอบดูหนังก็ไม่ควรพลาด Indiana Jones อยู่แล้วนี่ครับ?

    8/10
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย EviL ANgle : 12th December 2012 เมื่อ 16:56

  24. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  25. #13
    อากินจางงง..!!!
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    ร้านสารพัดรับจ้างกินจัง(ทำได้ทุกอย่างแต่หมู่นี้ทำแล้วไม่เห็นจะได้ตัง??)
    กระทู้
    1,653
    กล่าวขอบคุณ
    128
    ได้รับคำขอบคุณ: 868
    เอออ เกิดไม่ทันสักเรื่อง .....5555 แต่อย่ากให้ review
    เรื่องนี้ครับ One Flew Over the Cuckoo's Nest
    ไม่ค่อยจะเคยเห็น Jack Nicholson เล่นแนวนี้เลยหาดูก็ยาก แต่ก็น่าดูมาก

  26. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  27. #14
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Oct 2012
    กระทู้
    973
    กล่าวขอบคุณ
    54
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,509
    ขอ เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย กะ เชอร์รี่ สามโคกครับ ติดใจเรื่องนี้มาก เเบบอยากให้รวิวสักครั้งครับ

    .
    .
    .
    .
    ..
    ..
    ....
    ผมมาผิดที่ใช่ไหม 555+

  28. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  29. #15
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ gintoki อ่านกระทู้
    เอออ เกิดไม่ทันสักเรื่อง .....5555 แต่อย่ากให้ review
    เรื่องนี้ครับ One Flew Over the Cuckoo's Nest
    ไม่ค่อยจะเคยเห็น Jack Nicholson เล่นแนวนี้เลยหาดูก็ยาก แต่ก็น่าดูมาก
    เห็นเขาบอกเหมือนกันว่าเป็นหนังดี แต่ไม่ได้หาดูสักทีครับ

  30. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  31. #16
    ~Sleeping With Sirens~
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ~มหาสมุทร~
    กระทู้
    951
    กล่าวขอบคุณ
    2,038
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,014
    ทำไมไม่โพสอีกละครับคุณ Evil_ANgel ผมอ่านเพลินดี

  32. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  33. #17
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2012
    กระทู้
    1,342
    กล่าวขอบคุณ
    1,772
    ได้รับคำขอบคุณ: 825
    ขอบคุณมากครับกำลังหาหนังเก่าๆดูอยู่พอดี :]

  34. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  35. #18
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ ddc[TH] อ่านกระทู้
    ทำไมไม่โพสอีกละครับคุณ Evil_ANgel ผมอ่านเพลินดี
    ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างครับ ฮ่า ฮ่า งานเยอะ

  36. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  37. #19
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    7.) Avatar (2009)





    Director:James Cameron
    Writer:James Cameron
    Stars:Sam Worthington, Zoe Saldana



    หนังที่กระแสแรงที่สุดแห่งปี 2009 กำกับโดย James Cameron หลังจากที่ได้สร้าง Titanic ไว้ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน

    เป็นการทุ่มทุนทำ CG เกือบทั้งเรื่อง (คล้าย StarWars สามภาคแรก)
    มีการใส่จิตนาการเข้ามามาก ทำให้ดาว Pandora ดูอลังการ และสมจริงสมจัง ทั้งเกาะลอยได้ สิ่งมีชีวิตคล้ายไดโนเสาร์ ยุทโธปกรณ์ต่างๆ ดูสวย สมจริง
    แนวคิดการควบคุมร่างกายผ่านจิตจากต่างสถานที่ แนวๆ the Matrix และการติดต่อถึงธรรมชาติของเอเลี่ยน Na'Vi ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว
    การดำเนินเรื่องนี้ทำผมผิดหวังมาก มันเป็นหนังตลาดชัดๆ! เนื้อเรื่องที่แสนเชย บทแบบสูตรสำเร็จ Hollywood เนื้อเรื่องค่อนข้างบังคับคนดูให้เลือกข้างอย่างชัดเจน
    บทบางอย่างดูขัดๆ ไม่ค่อยสมจริง ซึ่งก็เหมือนกับหนังตลาดทั่วๆไป ที่นิยมให้ตัวร้ายตาย พระเอกชนะ เพื่อนพระเอกตาย หรือ สาหัส
    แต่ยังมีประเด็นอยู่ในหนังบ้าง พอให้ได้ขบคิด แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้หนังดีขึ้นมามากนัก อาจเป็นเพราะยังทำให้ประเด็นหนังไม่หนักพอ

    หนังประสบความสำเร็จในด้านรายได้ และการให้ความบันเทิงแก่คนดู และสะท้อนความแนวคิด แบบดูได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่่งก็ถือว่าหนังบรรลุวัตถุประสงค์ของมันแล้ว
    สำหรับผม Avatar เป็นเพียงหนังภาพสวย ที่มีบทธรรมดาๆเท่านั้นเอง

    7/10

  38. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  39. #20
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    8.) Shaun of the Dead (2004)






    Director: Edgar Wright
    Writers: Simon Pegg, Edgar Wright
    Stars: Simon Pegg, Nick Frost, Kate Ashfield



    ชอว์น ออฟ เดอะ เดด เป็นภาพยนตร์แนว โรแมนติก คอมเมดี้ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของนายชอว์น ที่อยู่ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ที่ทำให้คนทั้งเมืองกลายเป็นซอมบี้ และเขายังต้องช่วยชีวิตคนที่เขารักพร้อมๆกับแก้ปัญหาชีวิตอันยุ่งเหยิงของเขา

    การดำเนินเรื่องทำได้รวดเร็วฉับไวดีครับ ทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉงดี มุขตลกที่ใส่เข้ามาไม่อั้น (แต่ก็ใส่เข้ามาอย่างชาญฉลาด มีความเป็นธรรมชาติ และเข้ากับจังหวะอารมณ์ของหนังเป็นอย่างดี)
    หนังเรื่องนี้เป็นหนังอังกฤษครับ คนในเรื่องจึงมีสำเนียงและภาษาทางการพูดในแบบอังกฤษ เรื่องเพลงประกอบออกแนว pop rock ได้อารมณ์กระตือรือร้นดี
    และที่ไม่กล่าวไม่ได้คือมีเพลงของวง rock รุ่นแรกๆอย่าง Queen อยู่ถึงสองเพลงเลยครับ ฮ่าๆๆ (หนึ่งในวงโปรดผม )
    หนังมีการผูกเรื่องราวที่ได้กล่าวไว้ ณ ฉากนึงไปอีกฉากนึงได้ดีมาก หรือบางทีก็มีบทพูดประโยคเดิมหลายๆครั้งในหลายๆฉาก เป็นสเน่ห์ที่ดีอีกอย่างนึงครับ เสียดายที่หนังสั้นไปหน่อยนะครับ

    ในความเห็นผม ผมว่าหนังสื่อถึงความรักได้ดีมากๆเลยครับ ทั้งความรักระหว่างเพื่อน ความรักระหว่างแฟน ความรักระหว่างพ่อ-แม่ ซึ่งทำได้ดีกว่าหนังดราม่าเน้นๆบางเรื่องอีกครับ เป็นหนังซอมบี้ที่ทำให้ผมน้ำตาซึมเลยครับ.

    เขาว่ากันว่าเป็นหนึ่งในหนังซอมบี้ที่ดีที่สุดเลยละครับ ผมว่ามันได้อารมณ์ประมาณซอมบี้แลนด์นะ แต่แอบชอบเรื่องนี้มากกว่านิดนึง...

    8.5/10

  40. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  41. #21
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    9.) The Thing (1982)






    Director: John Carpenter
    Writers: Bill Lancaster , John W. Campbell Jr.
    Stars: Kurt Russell, Wilford Brimley, Keith David



    มาดูหนังสยองขวัญ รุ่นคลาสสิกกันบ้าง

    The Thing เป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญ โดยมีฉากหลังเป็นดินแดนหิมะอันหนาวเหน็บ เนื้อเรื่องว่าด้วยเอเลี่ยนรุกรานโลก แต่มันไม่ใช่เอเลี่ยนในแบบหนังเรื่องอื่นๆที่เราเห็นกันอย่างคุ้นตา. . .
    ตัวละครในเรื่องต้องพยายามเอาชีวิตรอดจากการจู่โจมของพวกเอเลี่ยน ทั้งๆที่พวกเขาก็ยังไม่รู้ดีนักว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และจะเผชิญกับอะไร

    การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างนิ่งๆเรื่อยๆ มีบรรยากาศเงียบๆที่ชวนขนหัวลุก สามารถแสดงอารมณ์กดดันสับสนและหวาดกลัว ของตัวละครในเรื่องได้อย่างสมจริง และทำให้ผู้ชมรู้สึกกดดันและลุ้นไปด้วย
    อย่างไรก็ตามยังมีบางฉากที่ผมคิดว่ามันแปลกๆ คือไม่รู้ว่า ผกก เขาตั้งใจใส่มารึเปล่าหรือเขาแค่อยากใส่มาเล่นๆ เช่น ฉากแรกๆที่ตัวละครคนนึงเล่นเกมคอมพิวเตอร์แพ้จึงเอาน้ำสาดใส่คอม
    ดนตรีประกอบของเรื่องนี้ผมว่ามันเท่ดี เป็นดนตรีอย่างง่ายๆ ที่เข้ากับบรรยากาศในหนัง จุดขายจริงๆของเรื่องนี้อาจจะเป็นตัวเอเลี่ยนที่ทำออกมาได้อย่างน่ากลัว(หรือน่าขยะแขยง?) จนเป็นที่กล่าวขวัญกันมาจนถึงทุกวันนี้

    8/10

  42. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  43. #22
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    10.)Cloverfield (2008)




    Director: Matt Reeves
    Producer: J.J. Abrams
    Writer: Drew Goddard
    Stars: Mike Vogel, Jessica Lucas, Lizzy Caplan


    Cloverfield เป็นหนังเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดบุกเมือง ซึ่งจู่ๆมันก็บุกมาแบบทั้งคนดูและตัวละครก็ไม่รู้อะไรเลย และตอนจบก็จบเอาแบบประมาณว่าอยากจบก็จบ
    ไม่มีการบอกที่มาที่ไป ไม่มีการบอกข้อมูลที่แน่นอนอะไรเลย ทั้งเรื่องคนดูต้องเดากันเอาเอง ทำให้ได้อารมณ์เหมือนกับเป็นตัวละครในเรื่องนั้นจริงๆ

    การนำเสนอภาพในเรื่องทำมาให้เหมือนถ่ายจากกล้องบันทึกภาพขนาดพกพาที่ตัวละครในเรื่องถืออยู่ ซึ่งบ่อยครั้งที่มีการส่ายกล้องอย่างรุนแรง
    แรกๆอาจจะรู้สึกไม่ชินหรือคลื่นไส้ อะไรก็ตามแต่ แต่หลังจากปรับตัวได้แล้ว ผมว่าเป็นเทคนิกที่ดีที่ทำให้คนดูรู้สึกมีส่วนอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ
    การดำเนินเรื่องชวนกดดัน แม้จะมีบางฉากดูแปลกๆเวอร์ๆ แต่ก็ยังอยู่ในขั้นที่รับได้ เรื่องเสียงนี่กระหึ่มครับ เวลาระเบิดลง ตึกถล่มนี่ เล่นเอาสั่นได้เลย
    ข้อเสียที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็คือ เรื่องราวในตอนใกล้ๆจบ มันอ่อนมาก เหมือนไม่มีอะไรจะเล่าแล้ว ยืดเรื่องไปให้ถึงฉากจบเท่านั้นเอง

    เนื้อเรื่องหลักๆในหนังอยู่ในขั้นแค่พอใช้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจก็คือ side-story ของหนัง ที่J.J. Abrams สร้างขึ้นมา ซึ่งมีเยอะมาก แบบว่าให้คนดูหนังจบ
    แล้วมาไขปริศนาจาก side-story ต่อว่าเหตุการณ์ในหนังมีความเป็นมายังไง เกิดอะไรขึ้น แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้อย่าง 100% ว่าตกลงมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่

    8/10

  44. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  45. #23
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    547
    กล่าวขอบคุณ
    1,937
    ได้รับคำขอบคุณ: 95
    ดันครับดันๆ ชอบๆๆๆ
    ความพยายามอยู่ที่นี่ ความสำเร็จอยู่ที่ไหน?

  46. #24
    you're no good to me dead
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    กทม
    กระทู้
    504
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 888
    11.)Iron Man 3 (2013)




    Director: Shane Black
    Writers: Drew Pearce , Shane Black
    Stars: Robert Downey Jr., Gwyneth Paltrow, Don Cheadle



    Iron Man ภาคนี้ค่อนข้างเปลี่ยนไปจาก สองภาคก่อนอย่างมาก ทั้งนิสัยของตัว Tony Stark เอง บรรยากาศและอารมณ์ของหนัง และชุดเกราะที่มีบทบาทน้อยลง
    เนื้อเรื่องของ Iron Man 3 เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ใน The Avenger และมีการกล่าวถึงเหตุการณ์ในเรื่องเป็นบางส่วน แต่ถึงจะไม่เคยดู Avenger มาก่อนก็ยังสามารถ เข้าใจเรื่องราวได้อย่างไม่มีปัญหา

    หลังจากที่ทำให้ผิดหวังกับภาคสอง สำหรับผมแล้ว Iron Man 3 เป็นหนัง Hero ที่ดีอันดับต้นๆเลยทีเดียว ทั้งเนื้อเรื่องที่เข้มข้นกว่าเดิม ประเด็นของหนังที่หนักแน่น มุกตลกที่เป็นอีกหนึ่งจุดขายของหนัง ก็ทำได้ดี
    แต่สิ่งที่ทำร้ายจิตใจหลายๆคนก็คือ มุขหักหน้าคนดู(ขอไม่สปอยแล้วกัน) ทำให้คนที่คาดหวังไว้มากๆถึงกับเงิบคาโรงเลยทีเดียว แต่สำหรับผมไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่รู้สึกเสียดาย ถ้าปรับบทให้ยาวอีกสีกหน่อยคงจะอิ่มกว่านี้

    ตัวร้ายภาคนี้ผมไม่ค่อยประทับใจเลย คือมันเก่งก็จริง แต่มันเหมือนไม่มีอะไร แถมตอนตายก็ตายเลย สองภาคแรกตัวร้ายไม่ค่อยเก่งแต่ก็สู้กันสูสี
    อีกสิ่งที่ผมผิดหวังเล็กๆก็คือ ภาคนี้มันไม่มี sound track ของ AC/DC หรือ Black Sabbath เลย (ถ้ามีนี่เท่เลย)
    บทบางอย่าง ผมว่ามันแปลกๆ ทั้งการอธิบายเรื่องราวแบบไม่ละเอียด(หรือว่าผมฟังไม่ทันเอง) รายละเอียดไม่สมเหตุสมผลต่างๆ

    Iron Man ภาคนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า Tony Stark เขาไม่ต้องการชุดเกราะเพื่อจะเป็น Iron Man เพราะตัวของเขาเองนั่นแหละคือ Iron Man

    7/10

  47. รายชื่อสมาชิกจำนวน 3 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  48. #25
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    กระทู้
    1,352
    กล่าวขอบคุณ
    89
    ได้รับคำขอบคุณ: 465
    ผมว่าภาคสองตัวร้ายตายง่ายกว่านี้อีกนะ แบบเก่งแทบตายตูมเดียวจบ


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top