หลังจากที่ปล่อยให้เพื่อบ้านเดินล่วงหน้า อาทิ มาเลเซียไปแล้วตั้งแต่เมื่อ 7 ปีก่อน อินโดนีเซีย 6 ปีก่อน ฟิลิปปินส์ 5 ปีก่อน และลาวตั้งแต่ 4 ปีก่อน
16 ตุลาคม 2555 จึงได้ฤกษ์ที่ประเทศไทย โดยคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมและการสื่อสารแห่งชาติ (กสทช.) จัดให้มีการประมูล 3จี บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์
ผู้เข้าร่วมและผลการประมูลไม่นอกเหนือความคาดหมาย
3 รายที่เข้าประมูล ประกอบด้วย 1.เรียล ฟิวเจอร์ ในเครือทรู คอร์ปอเรชั่น 2.ดีแทค เนคเวอร์ค จำกัด ในเครือโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค 3.แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ตเวิร์ก ในเครือแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส
ราคาตั้งต้นการประมูลเริ่มต้นที่ 4,500 ล้านบาทต่อ 5 เมกะเฮิรตซ์ แบ่งเป็น 9 ส่วน
บริษัทหนึ่งจะประมูลได้มากที่สุดเพียง 3 ส่วน
ผลการประมูลจบที่ 6 ส่วน ยืนราคาที่ 4,500 ล้านบาท เพราะทรูและดีแทคไม่เคาะราคาเพิ่ม
อีก 3 ส่วนที่เอไอเอสเคาะราคาเพิ่มขึ้นเป็น 4,950 ล้านบาท สองส่วน และ 4,725 ล้านบาท หนึ่งส่วน
จึงมีสิทธิเลือกช่วงคลื่นความถี่ดีที่สุดก่อน
รายได้รวมที่เป็นเงินเข้ารัฐคือ 41,625 ล้านบาท
ขณะที่คนส่วนหนึ่งเห็นว่ากิจการโทรคมนาคมไทยควรจะเดินหน้าได้เสียที หลังการประมูล 3จี ชะงักและยืดเยื้อมาหลายปี
ก็ยังมีเสียงวิพากษ์ตามหลังทันควัน จากผู้จับจ้องการประมูลครั้งนี้
ด้านนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การประมูลครั้งนี้แม้จะทำให้ประชาชนมีบริการ 3จี ใช้อย่างเต็มรูปแบบในปีหน้า แต่เกิดความเสียหายต่อรัฐและประชาชนในฐานะผู้เสียภาษี
เพราะรายได้นั้นต่ำกว่าราคาประเมินถึง 16,335 ล้านบาท เหมือนเป็นลาภลอยของผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย ที่จะมีกำไรเพิ่มขึ้น
ขอเรียกร้องให้ กสทช.รับผิดชอบต่อความเสียหายต่อรัฐและประชาชนที่เกิดขึ้น โดยให้แถลงต่อประชาชนว่าจะรับผิดชอบอย่างไร
และขอเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ
ยืนยันทันทีเช่นกันจากนายสุทธิพล ทวีชัยการ กสทช.ด้านกฎหมายในกิจการโทรคมนาคม ว่า การประมูลครั้งนี้ถูกต้องตามกฎหมายในทุกขั้นตอน
และสิ่งที่ กสทช.เน้น คือการจะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชาติและประชาชน รวมทั้งมีกำหนดขั้นตอนการดูแลผู้บริโภคไว้อย่างชัดเจน
เช่น อัตราค่าบริการต้องไม่เกิน 99 สตางค์ต่อนาที หรือต้องเปิดใช้บริการทันทีภายใน 6 เดือน
กรณีที่นายสมเกียรติตั้งคำถามมายัง กสทช.กรณีทำรัฐเสียหายนั้น ตนเห็นว่าความเสียหายที่แท้จริงคือ การที่ไม่สามารถนำคลื่นประมูลออกไปได้ เพราะทุกวันนี้เรามีคลื่นอยู่เฉยๆ ไม่ได้ใช้งาน
แต่ราคาตั้งต้นมีมากขึ้นหรือลดลง กสทช.ไม่สามารถกำกับได้ ต้องให้กลไกตลาดเป็นตัวตัดสิน
สิ่งที่ กสทช.ทำได้คือการสร้างกฎที่เป็นธรรม
และหากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะเรียกตรวจสอบ
ก็ยินดีให้ตรวจสอบอย่างโปร่งใส
เสียงจากคนกลางอย่างนายวีระพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ เห็นว่า ราคาประมูลครั้งนี้ไม่สูงตามความคาดหวัง แต่ก็ไม่ผิดกฎหมาย หากจะบอกว่ามีการฮั้ว ทำไมเอไอเอสจึงเสนอราคาที่สูงกว่าบริษัทที่เหลือ
ส่วนที่บอกว่ารัฐและประชาชนเสียประโยชน์ถือว่าเร็วเกินไป ต้องวัดจากการแข่งขันในการให้บริการของทั้ง 3 บริษัทนับจากนี้ว่า ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันมากน้อยเพียงใด
หากผลออกมาประชาชนเสียประโยชน์ กสทช.ก็ต้องออกมารับผิดชอบ
ประโยชน์ของประชาชนจากกรณี 3จี ก็คือคุณภาพของบริการและราคา ที่ตามหลักการแล้วจะต้องสวนทางกัน
อย่างแรกสูงขึ้น อย่างหลังต่ำลง
หวังว่าขบวนการคัดการหรือตรวจสอบการประมูล 3จี ที่คึกคักเข้มแข็งมาก่อนหน้า จะไม่โรยราลงไปง่ายๆ
และไม่ทำให้กรณีนี้เป็นปัญหาการเมืองหรือเรื่องกฎหมายเท่านั้น
แต่ให้เป็นเรื่องของความรู้ ของข้อเท็จจริง แก่สังคมด้วย
(ที่มา:มติชนรายวัน 18 ต.ค.2555)