ญี่ปุ่นแสดงศักยภาพในฐานะเจ้าแห่งเทคโนโลยีระบุอีก 7 ปีตั้งสถานีอวกาศดูดพลังงานแสงอาทิตย์ป้อนโลก พร้อมจับมือฝรั่งเศสตั้งฐานเจาะธาตุฮีเลียมบนดวงจันทร์ สร้างความหวังดึงพลังงานนอกโลกมาใช้ประโยชน์ ไม่ส่งผลกระทบต่อคนและสิ่งแวดล้อม
ศ.โยชิกาวา คิโยชิ หัวหน้าฝ่ายสนับสนุนและส่งเสริมการวิจัย มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เพิ่มโอกาส ที่จะดึงแหล่งพลังงานจากนอกโลกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานบนพื้นโลก โดยในปี 2558 รัฐบาลญี่ปุ่นมีโครงการจัดตั้งสถานีอวกาศพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อจะมีอุปกรณ์รับแสงอาทิตย์ความเข้มข้นสูง ก่อนที่จะส่งผ่านคลื่นไมโครเวฟมายังสถานีภาคพื้นดินบนโลก ในการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
รัฐบาลญี่ปุ่นยังมีโครงการร่วมกับประเทศฝรั่งเศสจัดตั้งสถานีบนดวงจันทร์เพื่อสำรวจพลังงานฮีเลียม ก่อนหน้านี้ประเทศรัสเซียก็มีแผนงานที่จะตั้งสถานีขุดเจาะแร่ฮีเลียมบนดวงจันทร์เช่นกัน ทั้งนี้ จากการคำนวณเบื้องต้นคาดว่า บนดวงจันทร์มีฮีเลียม-3 อยู่มากกว่า 1 ล้านตัน ถ้านำมาใช้เพียง 25 ตัน จะสามารถผลิตพลังงานป้อนประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา ได้นาน 1 ปีเต็ม
นอกจากแหล่งพลังงานจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์แล้วมหาวิทยาลัยเกียวโตยังวิจัยเลียนแบบปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น ที่เกิดบนดวงอาทิตย์ โดยใช้ดิวโทเรียมจากพลังน้ำ พบว่าพลังงานที่ได้มีประสิทธิภาพสูงเหมือนกับปฏิกิริยาจากปรมาณู แต่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานนอกโลกรวมถึงพลังน้ำต้องอาศัยความพร้อมของความรู้ทางวิศวกรรม สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 15 ปีในการศึกษา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกียวโต กล่าวภายในงานสัมมนามหาวิทยาลัยโตเกียว-เอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ 2 หัวข้อ นวัตกรรมวิทยาการเพื่อสังคมยั่งยืน ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ
ศ.ดร.วิวัฒน์ตัณฑะพานิชกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ในฐานะประธานสมาคมเกียวโตสัมพันธ์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเกียวโตมีความแข็งแกร่งในงานวิจัยพลังงาน โดยมีนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล ที่ศึกษาด้านพลังงานนิวเคลียร์ อีกทั้งมีสถาบันวิจัยพลังงานปรมาณูอายุกว่า 10 ปี ทำให้มีความพร้อมทั้งอุปกรณ์และองค์ความรู้
ส่วนแหล่งพลังงานจากนอกโลกที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีนำเสนอนี้ ต้องอาศัยทุนวิจัยก้อนใหญ่จึงจะสำเร็จ ฉะนั้น หากประเทศมหาอำนาจร่วมมือร่วมใจให้การสนับสนุน เชื่อว่าประเทศขนาดเล็กอย่างไทย ก็มีโอกาสเข้าถึงองค์ความรู้ดังกล่าว