ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

กำลังแสดงผล 1 ถึง 18 จากทั้งหมด 18
  1. #1
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jun 2012
    กระทู้
    1,235
    กล่าวขอบคุณ
    1
    ได้รับคำขอบคุณ: 6,836

    มาย้อนรอย 2499 อันธพาล ครองเมือง และ ศึกสิบสามห้าง บางลำพู




    -ปุ๊ ระเบิดขวด เคยเป็นเพื่อนรักกับแดง ไบเลย์ บู๊เก่งดุดัน ตอนศึก 13 ห้างบางลำพู นั่นคนที่ตีกับแดงคือปุ๊ กรุงเกษม ไม่ใช่ปุ๊ ระเบิดขวดเพราะตอนนั้นเขายังรักกันดีอยู่ สุดท้ายต้องจบชีวิตลงเพราะดำ เอสโซ่ยิงตาย

    -ปวาฬ หรือจ่าวาฬ เป็นนักเลงรุ่นใหญ่กว่าพวกของแดง ไบเลย์ซึ่งปุ๊ ระเบิดขวดเคยไปลูบคมครั้งนึงเลยโดนลูกน้องจ่าวาฬไล่ยิงเอาแต่รอดมาได้ นักเลงในรุ่นนี้เท่าที่รู้จะมี เกชา เปลี่ยนวิถี และ ธาดา สู้ทุกทิศ

    -แหลมสิงห์ ไม่เชิงวัยรุ่นเสียทีเดียว เป็นผู้คุมในเรือนจำแต่มาเที่ยวผู้หญิงที่บ้านแดงบ่อยๆก็เลยสนิทกับแม่ของแดง(ซึ่งแม่ของแดงเป็นแม่เล้าไม่ได้ขายเอง) แม่ของแดงเลยฝากฝังแดงให้แหลมสิงห์ดูแล แหลมสิงห์จึงรักแดงเหมือนน้องแท้ๆ และก็ไม่ได้ตายในงานบวชแดงแบบในหนัง แต่ตายเพราะถูกปุ๊ ระเบิดขวดกับดำ เอสโซ่ตามมาคิดบัญชี เพราะโดนแหลมสิงห์นวดจนน่วมตอนที่ติดคุก

    -แดง ไบเล่ย์ ตอนอายุ13ไม่ได้แทงคนตายอย่างที่ในหนังบอก เป็นนักเลงแถวหน้าย่านบางลำพู ใจถึง รักเพื่อน ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ เจ้าตัวไม่เคยไปเมืองนอก แต่หลังจากมีการปราบปรามนักเลงอย่างหนัก เขาก็หันไปเที่ยวเฮฮากับกลุ่มนักเรียนนอกเท่านั้น

    -ดำ เอสโซ่ มือขวาของปุ๊ ระเบิดขวด เป็นคนที่เรียกว่ารักพวกพ้องมากๆ เป็นนักเลงคุมซ่องย่านสวนมะลิก่อนจะรู้จักกันกับปุ๊ พูดน้อย ต่อยหนัก หลังจากออกจากคุกพร้อมปุ๊ ระเบิดขวด ก็่ร่วมกันเปิดซ่องพร้อมกับเพื่อนสนิทคนอื่น แต่ปุ๊เกิดผิดใจกับเพื่อนของดำจึงยิงใส่เพื่อนของดำ ดำจึงยิงปุ๊ตาย หลังจากนั้นเจ้าตัวก็โดนอริยิงจนพิการและตายไป

    -ปุ๊ กรุงเกษม ปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่ เป็นตำนานมีชีวิต เป็นสามีของคุณแหวน ฐิติมา นักเลงดังจากฝั่งธนฯ คนนี้แหละที่ตีกับพวกของแดง ไบเลย์ในศึก 13ห้างบางลำพู และแต่งหนังสือชื่อ "เดินอย่างปุ๊" ซึ่งบอกเล่าเรื่องเท็จจริงของนักเลงยุคหลังวังทั้งหมด

    -จ๊อด เฮาดี้ เพื่อนซี้ของแดง ไบเลย์ ที่ได้ฉายาเฮาดี้เพราะสมัยนั้นน้ำอัดลมไบเลย์จะคู่กับเฮาดี้ เป็นนักเลงระดับแถวหน้าในยุคนั้นเช่นกัน ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่

    -พจน์ ช่างกล เป็นนักเลงรุ่นใหญ่ จากช่างกลพระนครเหนือที่ฝั่งธนฯ เป็นที่เคารพเกรงใจของพวกรุ่นน้องอย่างแดง ไบเลย์พอสมควร




    ศึกสิบสามห้าง บางลำพู
    เอาแต่ตัวเลขศักราช 2499 ก็ยังไม่ตรงกับเวลาที่เป็นจริง

    เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด การบิดเบือนประวัติศาสตร์หนนี้ จะด้วยความมักง่ายเห็นแก่ได้ หรือหลงใหลเพ้อเจ้อโง่เซ่อบ้าอะไรก็ตามที มันไม่เพียงแต่จะเป็นการป้อนข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสาธารณชนเท่านั้น มันยังทำลายภาพลักษณ์ของวัยรุ่นยุคหลังพุทธศักราช 2500 ให้ยับย่อยป่นปี้หนกกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ผู้ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ก็พลอยได้รรับผลกระทบต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปตามๆกัน

    บางส่วนก็ยังไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหนถึงกับตบะแตก ทั้งๆที่อุตส่าห์ถอดเขี้ยวเล็บ ปลดดาบวางทวนลงจากหลังม้าเร้นตัวอยู่อย่าง

    สมถะมาเนิ่นนานกว่าสามทศวรรษ และยังเผยโฉมหน้าออกมาโต้แย้งทั้งเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง ตลอดจนครอบครัว

    วงศาคณาญาติ และเพื่อยืนยันประวัติศาสร์หน้าเดิมที่เป็นจริง ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น คือ บรรเจิด กฤษณายุทธ ผู้เคยเดินเคียวไหล่

    กับปุ๊ระเบิดขวด แดง ไบร์เล่ย์ ดำ เอ๊สโซ่ และขุนรบระดับพระกาฬคนอื่นๆ กรำศึกกันมาอย่างโชกโชน ภายใต้ฉายา “ปุ๊ กรุงเกษม”

    และเมื่อเขายอมรื้อฟื้นอดีตที่พยายามเก็บฝัง แผ่ออกมาเพื่อเรียกร้องความถูกต้องชอบธรรม

    ศึกสิบสามห้าง

    พุทธศักราช 2502



    ถนนสิบสามห้างบางลำภูยุคนั้น เรียกได้ว่าเป็นศูนย์การค้าสำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯเป็นต้นทางของรถเมล์หลายสาย มากไปด้วยร้านรวงทั้งที่จำหน่ายข้าวของเครื่องใช้เสื้อผ้าแพรพรรณ ร้านขายอาหารประเภทข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว กาแฟ และสินค้าอื่นๆอีกสารพัด สิบสามห้าง จึงเป็นชุมทางของการจับจ่าย ใครอยากได้อะไรก็มักจะมาซื้อกันที่นี่แหละ ขณะเดียวกัน

    มันก็เป็นแหล่งชุมนุมอีกแห่งหนึ่งบรรดาวัยรุ่นที่ชอบมาเดินเตร็ดเตร่ดูโน่นดูนี่ และเลือกซื้อข่าวของที่ต้องการ

    บางพวกก็นิยมปักหลักจับกลุ่มกันตามร้านข้าวแกงหรือร้านกาแฟ สั่งโอเลี้ยงคนละแก้วแล้วนั่งละเลียดซะครึ่งค่อนวัน

    บ่ายจัด ปุ๊เจิด หรือปุ๊วงเวียนเล็ก เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดซึ่งทะมัดทะแมงอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนมัธยมวัดชิโนรส พร้อมด้วยเพื่อน

    รุ่นราวคราวเดียวกันอีกสามคนเดินเอ้อระเหยลอยชายข้ามไปยังเกาะกลางถนนบริเวณเกาะกลางถนนนั่นแหละคือจุดหมาย

    ของสี่วัยรุ่น เพราะมันแน่นไปด้วยร้านขายของกิน มีทั้งก๋วยเตี๋ยว กาแฟ โอเลี้ยง ข้าวราดแกง ขนูกขนมจิปาถะ แถมยังมี

    ตู้เพลงตั้งไว้ให้หยอดเหรียญเลือกเพลงยอดนิยมถล่มรูหูชาวบ้านอีกต่างหากหลังจากที่บางคนหาซื้อผ้าสำหรับตัดกางเกงขายาว

    ตัวเก่งตัวแรกในชีวิตสมใจ พวกเขาก็กะกันว่าจะกินข้าวซักจานแล้วขึ้นรถเมล์กลับบ้านย่านฝั่งธนบุรีพอก้าวหลุดเข้าไปในร้าน

    ข้าวแกงทั้งสี่ก็ตกเป็นเป้าสายตาของเด็กหนุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนั่งละเลียดอยู่ก่อนแล้วฝ่ายหลังมีเพียงสามหน่อและสองในสาม

    ก็คือ แดง จากตรอกไบร์เล่ย์ กับเปี๊ยก เจริญพาสน์ หรือที่ปัจจุบันคนทั้งประเทศรู้จักกันในนาม พิศาล อัครเศรณี ผู้สร้างภาพยนตร์

    และกำกับการแสดงชื่อดัง เปี๊ยกเป็นนักเรียนมัธยมวัดบวรนิเวศน์ ซึ่งมองเห็นกำแพงอยู่ตำตา และมักมานั่งที่นี่ประจำ พร้อมด้วยแดง ไบร์เลย์ กับปุ๊ ตรอกสาเก รวมทั้งพวกพ้องคนอื่นๆ อีกมากหน้า ซึ่งวันนี้ออกจะแปลกไปบ้างที่มากันแค่สามและไม่มีปุ๊จอมซ่าร่วมทีม

    แต่ถึงกำลังพลจะน้อยกว่า ทั้งสามซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าถิ่นบางลำภูก็ยังไม่วาย “เหล่” เด็กหนุ่มกลุ่มใหม่ด้วยสายตาที่หมิ่นเหม่ต่อการ

    มีเรื่องตามประสาวัยรุ่นคะนองกับการมองแบบนั้น ปุ๊เจิดและพรรคพวกซึ่งแสบอยู่ในย่านวงเวียนเล็ก ย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา

    และก็ “เหล่” ตอบเข้าให้มั่ง

    นั่นหมายถึงว่าศรศิลป์ไม่กินกันเข้าให้แล้ว ต่างฝ่ายต่างเหล่กวนอวัยวะเบื้องต่ำกันอยู่ไม่นาน เจตน์ หลังวัง หนึ่งในสี่วัยรุ่นต่างถิ่น

    ก็ลุกขึ้นเดินไปถามเอาดื้อๆ

    พวกนายสงสัยอะไรรึ”

    สามเจ้าถิ่นลุกพรึ่บ อะไรไม่ว่า อีกฝ่ายก็เด้งตัวพรวดพราดลุกขึ้นอย่างพร้อมเพียงเช่นกันผู้คนในร้านและบริเวณใกล้เคียง

    ต่างสะบัดหน้าเหลียวมองอย่างหวาดๆ เพราะสถานการณ์มันส่อชัดว่าความรุนแรงพร้อมที่จะระเบิดขึ้นได้ทุกกระพริบตา

    ทั้งสองฝ่าย นิ่งขึงคุมเชิงกันอยู่ชั่วขณะ นายรุ่นท่าทางกวนๆ ซึ่งอยู่ฝ่ายแดง ไบร์เล่ย์กับเปี๊ยกเจริญพาสน์ ก็ลอยหน้าถาม

    นายคงแน่ซีท่า ?

    เจตน์ยักไหล่

    ก็ไม่เชิงเพียงแต่เราไม่ชอบถูกมองแบบนี้”

    พวกนายก็มองเราเหมือนกัน”

    เฮ้ย อย่าพูดมากดีกว่า เสียเวลาเปล่า ถ้าข้องใจก็บอกมาเลย”

    แดง ไบร์เลย์ ยกมือปรามพรรคพวกให้สงบปากสงบคำ กวาดตามองกำลังรบฝ่ายตรงข้ามในลักษณะชั่งใจ ก่อนเอ่ยเสียงเคร่ง

    ข้องใจแน่ แต่วันนี้เราไม่พร้อม”

    อ๋อ เจตน์ลากเสียง....นายเห็นพวกเรามากกว่ากระมัง?

    เรามีเหตุผลอื่น นายมาวันหลังสิ”

    ขาดคำ ปุ๊วงเวียนเล็ก ร้องสวนขึ้นทันควัน

    เมื่อไหร่ ?

    วัยรุ่นห้าวจากตรอกไบร์เล่ย์ ฉวัดสายตาคมวาวมองเจ้าของเสียงถามแล้วตอบสั้นๆชัดคำ

    พรุ่งนี้”

    เวลาล่ะ”

    ก็แล้วแต่พวกนายจะสะดวก มาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น รับรองได้เจอกันแน่

    ดี…” ปุ๊เจิดแค่นคำรามกระหึ่ม “..นายจะให้เรามาเจอที่ไหน?”

    แดง ไบร์เล่ย์ เหยียดนิ้วชี้ปักลงพื้น

    ที่นี่แหละ

    ตกลงเตรียมตัวรับก็แล้วกัน”

    ไม่ต้องห่วง ขอให้มาจริงเถอะ”

    นายคอยดูเอาเอง แล้วจะรู้ว่านายปุ๊น่ะของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์”

    เราก็อยากเห็นอยู่เหมือนกัน”

    นายได้เห็นแน่นอน เอาละ พวกเรากลับ หมดอารมณ์จะกินซะแล้วว่ะ”

    ตอนท้าย เขาร้องบอกพรรคพวกร่วมทีมแล้วหมุนตัวก้าวนำกลุ่มผละออกจากร้าน

    ส่วนสามวัยรุ่นเจ้าถิ่นก็ทรุดนั่งลงที่เดิม

    บรรยากาศตรึงเครียดผ่อนคลาย และกลับคืนเข้าสู่ความสงบอีกครา

    ทว่า มันเป็นความสงบก่อนพายุกล้าที่รุนแรงร้ายกาจสุดยอด

    เพราะพรุ่งนี้ อีกไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมง คือ

    บ่ายวันต่อมา

    เปลวแดดกำลังเริงแรงเต้นเป็นตัวระยิบขณะที่รถประจำทางซึ่งข้ามมาจากฝั่งธนบุรี เบี่ยงลำเข้าจอดป้ายริมถนนสิบสามห้าง

    ล้อยางใหญ่เทอะทะยังไม่ทันหยุดสนิทด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งก็กรูเกรียวตามกันลงจากรถอย่างกระเ!้ยนกระหือฮีก นับจำนวนได้ถึงสิบสองนายและนั่น….......คือกำลังพลฝ่ายปุ๊ วงเวียนเล็ก ซึ่งบางครั้งก็ถูกเรียกว่า ปุ๊ วัดมอญ ที่รวบรวมระดมกัน

    มาตามคำท้าทายวันวาน แน่นอนมาเพื่อรบ อาวุธที่พกพาติดตัวส่วนใหญ่จะเป็นมีดสนับมือ และท่อนไม้ ปีนไม่ต้องพูดถึง

    มันเกินขีดความสามารถของวัยรุ่นระดับนี้ ที่จะซื้อหามาใช้เป็นเครื่องทุ่นแรง ทันทีที่ลงจากรถครบคน ปุ๊ วัดมอญ พร้อมด้วยคู่หู

    เจตน์ หลังวัง และ แมว หลังวัง ผู้น้องก็นำทีมเคลื่อนขบวนข้ามถนนตรงไปยังร้านขายของกินบนเกาะกลางอย่างไม่รอช้า

    ซึ่งความเคลื่อนไหวทุกระยะนับตั้งแต่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ปรากฎตัว ไม่ได้คลาดไปจากสายตาของ แดง ไบร์เล่ย์ กับ เปี๊ยก เจริญพาสน์ และบรรดาพลพรรคจำนวนทัดเทียมกัน ฝ่ายหลังนั่งละเลียดโอเลี้ยงรอยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะใกล้ๆ ตู้เพลงในร้านและก็เช่นเดียวกับวันก่อน

    ตรงที่ไม่มีปุ๊ ตรอกสาเก หนึ่งในจำนวนเจ้าถิ่นบางลำภูอยู่ร่วมทีม พอฝ่ายแรกก้าวล่วงเข้าใต้ชายคา ทุกคนก็ลุกพรึ่บ อากาศร้อนระอุ

    ราวจะร้อนคลั่งขึ้น อีกเป็นทวีคูณ พ่อค้าแม่ขายในร้านรวงข้างเคียงที่พอจะรู้เรื่องราวการนัดหมายวันก่อนอยู่บ้าง ต่างเหลียวซ้ายแลขวา

    กันเลิ่กลั่ก แน่นอน ย่อมหวาดฟวากันไปทั้งเทือก เพราะรูปการณ์มันบอกชัดว่าที่จะอุบัติขึ้นในอีกไม่นานเกินรอคือความรุนแรงสุดยอด

    เพียงชั่วไม่กี่กระพริบตา นักสู้วัยคะนองทั้งสองกลุ่มก็ประจัญหน้ากันในระยะที่พร้อมจะโลดเข้าห้ำหั่นฝ่ายตรงข้าม แต่ยังไม่ทัน

    ได้เปิดฉากตะลุมบอน แดง ไบร์เล่ย์ ก็ยกมือขึ้นร้องบอก

    เดี๋ยว ขอคุยกันก่อน”

    กองทัพรบวัยรุ่นจากคนละฟากฝั่งเจ้าพระยาชะงักหยุดกึก

    เจตน์ หลังวัง หันมาเลิกคิ้วกับปุ๊ วัดมอญ ซึ่งอยู่ในฐานะแม่ทัพ

    ว่าไง”

    จอม!วแห่งย่านวงเวียนเล็กยักไหล่พรืด

    เอ็งคุยกะมันเซ่ะ ข้าพูดไม่เป็น และก็ไม่มีอะไรจะพูดด้วย”

    เจตน์ไหวตัวสืบเท้าล้ำแถวไปข้างหน้า ขณะที่แดงก้าวออกมาจากกลุ่มเพื่อเจรจากัน ปุ๊ วัดมอญ เชิดหน้าเมินมองไปทางอื่น

    อย่างไม่แยแสและไม่สบอารมณ์ หากเปรียบกับตัวละครในเรื่องสามก๊กเขาก็เป็นคนประเภทเตียวหุย ไม่เคยใช้การฑูตนำทัพ

    ลงได้ผิดหัวใจแล้วก็ไม่หวังจะประนีประนอม

    ผมจะรบมันลูกเดียว

    แต่ทั้งๆที่ไม่อยากใส่ใจกับการพูดคุยสองหูของปุ๊ก็ได้ยินคำสนทนาโต้ตอบอย่างชัดเจนมันเริ่มจะมีแนวโน้มเอนเอียงไปในทางไกล่เกลี่ย

    รอมชอมและอย่าศึก เรียกว่าจะไม่หักกันละ ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดกับเป้าประสงค์และความรู้สึกของเขาอย่างแรงอุตส่าห์ระดมพลช้ามเจ้าพระยา

    บุกมาถึงบางลำภู จะเลิกราถอยกลับง่ายๆ ได้ยังไง? เพราะมันไม่เพียงแต่จะเสียความตั้งและเสียเวลาเท่านั้น เสียดายค่ารถเมล์ด้วยว่ะ

    ประการสำคัญ เขาเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอง้างนกแล้วต้องยิง ดังนั้น พอเห็นท่าว่าจะตกลงปรองดองกันได้ ปุ๊ วัดมอญก็ร้องขัดจขึ้น

    เลิกพูดกันดีกว่าเจตน์ถอยออกมาก่อน”

    เจตน์ หลังวัง ลากก้าวถอยกลับเข้ากลุ่มตามคำ แล้วนิ่งหน้าตวัดเสียงกังขา

    ทำไมรึ”

    พูดกันยืดยาวเสียเวลาเปล่า ข้าจะสรุปให้เอง”

    ก็เอาซี”

    ข้าขอพูดคำเดียวสั้นๆ”

    ว่าไงล่ะ”

    หน่วยตาของจอม!วจากฝั่งธนบุรี วาบประกายวาวจ้าพร้อมกับการทิ้งเสียงเฉียบ

    ตี”

    ขาดคำ แดง ไบร์เล่ย์ กระชากเสียงสวนอย่างดาลเดือด

    นายว่าไงนะ”

    แทบไม่ทันขาดเสียงถาม ทั้งวัยรุ่นจากฝั่งธนบุรีและเจ้าถิ่นบางลำภู กระตุกอาวุธประจำกายกระชับมือทะยานเข้าหาปรปักษ์อย่าง

    ไม่สะทกสะท้านพรั่นพรึง ความชุลมุนวุ่นวายโกลาหลอลหม่านระเบิดขึ้นในฉับพลันทันใดบรรดาพ่อค้าแม่ขายรวมทั้งผู้คนที่แวะเข้ามา

    นั่งสั่งของดื่มกินแก้หิว ต่างเผ่นกระเจิงหนีลูกหลงกันจ้าละหวั่นเสียงเอะอะมะเทิ่ง เสียงอุทานตื่นตระหนกและเสียงผู้หญิง

    ขวัญอ่อนกรีดร้องหวีดว้ายประสานกันแซ่แซ่ว คละเค้าไปกับเสียงฝีเท้าสับสนและเสียงโต๊ะถูกชนกระแทกล้มโครมครามตึงตังสนั่นหู

    ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มนกบู๊กว่ายี่สิบก็ตีรันฟันแทงกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านไม่มีใครยอมใคร เสียงสบถด่าโกรธเกรี้ยว เสียงผัวะตุ้บตั้บสลับกับเสียงไม้และเก้าอี้ที่หวดพลาดเป้า กระหน่ำเอาหม้อชามรามไห แผงขายข้างแกงและกระจกในปริมณฑล

    ของการโรมรันพันตู ดังเปรื่องปร่างฉ่างโฉ่งไม่ขาดระยะ ตู้เพลงที่เคยหยอดเหรียญฟังกันประจำ ก็เจอเข้าเต็มๆ ถึงกับแหลกวินาศยับเยิน

    หลายคน ฝลัดกันร่อนออกจากวงอย่างไม่เป็นท่า และแล้วก็โลดกลับเข้ามาใหม่ด้วยหัวใจเกินร้อยบางรายที่เจอเข้าหนักๆ

    และถอดใจเปิดหนีก็มีเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ยังนัวเนียชุลมุนหวดซ้ายป่ายขวาอยู่จนกระทั่งมีเสียงใครไม่รู้แผดตะโกนลั่น

    เฮ้ย ! ตำรวจมา

    นั่นแหละทั้งสองฝ่ายถึงได้หยุดมือผละแยกจากกันโดยอัตโนมัติ แดง ไบร์เล่ย์ ซึ่งมีร่องรอยถลอกปอกเปิกฟกช้ำดำเขียวหลายแห่ง หอบหายใจหนักๆพลางแฉลบตามองผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในเครื่องแบบสองสามนายที่ห้อเหยียดตามกันมาไกลลิบ แล้วแค่นเสียงบอกฝ่ายตรงข้าม

    พอก่อน ถ้าแน่จริงพรุ่งนี้พวกนายมาใหม่ก็แล้วกัน

    ปุ๊ วัดมอญ จอม!วจากฝั่งธนบุรีซึ่งเจ็บตัวไม่แพ้กันดีดปลายคิ้วซ้ายขึ้นเล็กน้อย

    ที่นี่รึ ?

    ใช่ ที่เก่าเวลาเดิม”

    ได้

    จบคำ ทั้งเจ้าถิ่นและฝ่ายบุกรุกต่างก็แยกย้ายสลายตัวออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วกว่าโปลิศจะมาถึง เหล่าวัยรุ่นอันตราย

    ก็วิ่งปะปนกับผู้คนหายหน้าไปเรียบวุธ ที่เหลือไว้ดูต่างหน้าก็คือความพินาศแหลกรานของทรัพย์สินร้านรวงบริเวณนั้น ซึ่งเจ้าของผู้เคราะห์ร้ายไม่รู้จะไปเรียกร้องเอาค่าเสียหายได้จากใครและที่ยิ่งไปกว่านั้น ศึกสิบสามห้างยังไม่จบมันยังมีต่อ



    วันที่สอง

    ปุ๊ วัดมอญ หรือปุ๊ เจิดก็คุมสมัคพรรคพวกนักบู๊ชุดเก่ามาตามคำท้าทายโดยไม่บิดพลิ้ว

    ก็ใจมันรักซะอย่าง

    ทางด้านเจ้าถิ่นก็ใช้กำลังพลชุดเดิม ซึ่งไม่มีปุ๊ ตรอกสาเก ที่เคยเป็นหัวหอกทุกงานวัยรุ่นเลือดเดือดทั้งสองกลุ่ม ระเบิดศึกตึกันสนั่นบางลำภูอีกเช่นเคยและก็ลงเอยด้วยการเผ่นหลบผู้รักษากฎหมายเอาตัวรอดไปคนละทิศละทางเหมือนวันก่อน

    แต่ก็ไม่ลืมนัดหมายห้ำหั่นกันให้เห็นดีเห็นแดงเป็น

    วันที่สาม

    ทว่า หนนี้ตำรวจรู้แกวและวางกำลังไว้เตรียมรับมือพร้อมพรักพอเปิดฉากตะลุมบอน โปลิศก็กรูเกรียวเข้าระงับเหตุและไล่จับกันอลหม่าน

    หลายคนถูกจับบางคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่ส่วนใหญ่เผ่นหนีเอาตัวรอดแคล้วคลาดไปได้ศึกสิบสามห้างก็เป็นอันยุติ

    แต่เรื่องร้ายก็ใช่ว่าจะจบสิ้นลงตรงนี้



    มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง



    หลังจากศึกสิบสามห้างผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ปุ๊ ตรอกสาเก เพื่อนซี้ของแดง ไปร์เล่ย์ก็ออกโรงตามคิดบัญชีกับปุ๊ วัดมอญ หรือปุ๊เจิด ที่อาหาญไปอาละวาดถึงในถิ่นบางลำภู ค่ำวันหนึ่ง ปุ๊ ตรอกสาเก ก็พา หล่อสะพานขาว นายรุ่นหน้าจือแต่หัวใจไม่เป็นรองใคร

    พร้อมด้วยลิ่วล้ออีกสามสี่คน ข้ามสะพานพุทธไปยังฝั่งธนบุรี อันเป็นพื้นที่ของปุ๊เจิด จุดหมายของวัยรุ่นกลุ่มนี้ คือร้านสัมพันธ์ใกล้ๆ โรงเรียนศึกษานารี ซึ่งเป็นร้านที่ขายทั้งก๋วยเตี๋ยวลิ้นและไอศกรีม เพราะที่นั่น ปุ๊ วัดมอญ มักจะแวะเวียนไปนั่งบ่อยครั้ง จนเรียกได้ว่าเป็นขาประจำ เจ้าถิ่นบางลำภู พาพรรคพวกแวะเข้าร้านจูซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน สั่งโอเลี้ยงมากลั้วคอแล้วใช้ลิ่วล้อคนหนึ่งไปดูลาดเลา

    หมอนั่นหายไปพักเดียวก็กลับมารายงาน

    ไม่เห็นมีนี่พี่ปุ๊เจิดไม่ได้อยู่ร้านสัมพันธ์

    ขาใหญ่ จากตรอกสาเกทำหน้านิ่ว

    เอ็งแน่ใจ?

    ผมดูจนทั่วแล้ว ลิ่วล้อยืนยัน “…ในร้านมีแต่นายเบี๊ยกบ้านแขก นายไท กะเพื่อนอีกคนนึงนั่งอยู่ด้วยกัน”

    ปุ๊หันไปทางหนุ่มหน้าจืด

    รอมั๊ย?

    หล่อสะพานขาวเลิกคิ้ว

    เผื่อมันไม่โผล่มาทั้งคนล่ะ?

    นั่นน่ะสิ”

    เราว่าอย่าเสียเวลารอดีกว่า”

    กลับกันเลยงั้นรึ”

    ไม่หรอกอุตส่าห์ข้ามฝั่งมาทั้งที จะกลับเฉยๆก็เสียเที่ยวแย่”

    ปุ๊ ตรอกสาเก กระพริบตางุนงง

    เมื่อไม่รอแต่ก็ไม่กลับนายจะเอายังไง วัยรุ่นหน้าจืดเหยียดยิ้มเล็กๆ ก่อนเย็น

    คนในถิ่นนี้ ก็เท่ากับพรรคพวกของปุ๊ วัด มอญ เมื่อไม่เจอตัวใหญ่ เล่นนายตัวเล็กฝากไว้มันก็ไม่เลวนี่นา”

    นายคงหมายถึง...

    พวกนายไทกะนายเปี๊ยก นายเห็นด้วยมั้ย?

    เต็มร้อยเลยละ เป็นไอเดียที่เยี่ยมมาก

    เจ้าถิ่นบางลำภูเอ่ยเสียงรื่น ควักเงินวางไว้เป็นค่าโอเลี้ยงแล้วลุกขึ้นพาพรรคพวกออกจากร้าน

    แน่อน ที่หมายย่อมเป็น ร้านสัมพันธ ์ ซึ่งเหยื่อเคราะห์ร้ายกำลังนั่งรอโดยไม่สำเนียกถึงภยันตรายแม้แต่น้อยนิด

    >ตอนที่2<{ปุ๊ ระเบิดขวด ฉายาที่ได้มาทั้ง ๆ ที่ไม่เคยใช้ระเบิดขวดเลยสักครั้งในชีวิต}

    ไท ตรอกงิ้ว ปรายตาผ่านบุหรี่สี่มวนพร้อมทั้งกล่องไม้ขีดในจานสังกะสีใบเล็ก ที่เด็กเสริ์ฟยกมาวางลงบนโต๊ะอย่างไม่แยแส ขณะที่เปี๊ยกบ้านแขกกับเพื่อนหยิบไปจุดสูบโรยควันกรุ่น ช่วงเวลาเดียวกัน วัยรุ่นหนุ่มสาวหกเจ็ดคนที่เพิ่งเข้ามาในร้าน

    และนั่งล้อมโต๊ะอยู่อีกมุมหนึ่งก็แย่งกันคุยเรื่องเพลงใหม่ของเฟเปี้ยนกับแฟรงกี้ อะวาล่อน ดังจ๊อกแจ๊กจอแจแซ่แซ่ว

    ทันทำให้ไทออกจะหงุดหงิดรำคาญหูอยู่ไม่น้อย เขาขยับจะก้มลงดูดโอเลี้ยงในแก้วตรงหน้าตัวเองแก้เซ็งแต่ก็ต้องชะงักและ

    สะดุ้งยึก เมื่อเหลือบเห็นหนุ่มทีนเอจอีกกลุ่มก้าวผ่านหน้าร้านเข้ามาโขยงบะเร่อ อะไรไม่ว่าคนนำหน้าเป็นหัวโจกคือ ปุ๊ ตรอกสาเก ตัวแสบที่ไม่มีใครอยากตอแย เพียงเห็นแว่บเดียวเขาก็รู้ได้ในฉับพลันด้วยสัญชาตญาณว่าคนกลุ่มนี้มาด้วยจุดประสงค์ใด

    นายปุ๊….”

    ไทหลุดอุทานตื่นเพริดได้คำเดียว เจ้าถิ่นบางลำภูกับคู่ซี้หล่อ สะพานขาว ก็ทะยานนำเหล่าลิ่วล้อพราดมาถึงโต๊ะ

    เปี๊ยก บ้านแขก ซึ่งนั่งตรงข้ามกันเพียงแต่ทันได้หันขวับไปมองหลังมือขวาของปุ๊ก็ตะบันเข้าเต็มกราน

    ผัว?…

    เปี๊ยกถึงกับหน้าสะพัดหงายเริ่ด บุหรี่หลุดจากปากปลิวคว้างก่อนที่เจ้าตัวจะพลัดหล่นจากเก้าอี้เอียงสีข้างลงตบพื้นดังพลั่ก

    กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวที่นั่งจ้อกันเรื่องเพลงอยู่อีกโต๊ะแตกฮือ และแล้วก็ตามด้วยเสียงผู้หญิงหวีดร้องกรี๊ดกร๊าดแสบแก้วหู

    ไทย ตรอกงิ้ว เด้งผึงออกจากโต๊ะโดยมีเก้าอี้ตัวหนึ่งติดมือกระชับมั่น แต่เพื่อนที่เหลืออีกคนไม่ทันได้ไปไหนไกล

    แค่ทะลี่งลุกขึ้นก็เจอกำปั้นของเจ้าถิ่น บางลำพู จ้วงเจ้าตรงปากครึ่งจมูกเต็มเงี่ยงเต็มงา

    โชะ.....

    บุหรี่ปลิวหวือพร้อมกับเลือดปนน้ำลายกระเซ็นว่อน

    พี่แกโครนตึงลงไปหงายเก๋งกับพื้นใกล้ๆ เปี๊ยก บ้านแขก ก่อนที่ทั้งสองจะถูกรวบบาทารุมกระทืบเตะถีบอย่างเมามัน

    ทว่า ทันได้ยำกันไม่กี่ตีน ไท ตรอกงิ้ว ก็โลดเข้าไปประเคนเก้าอี้ลงบนหลงไหล่หนึ่งในกลุ่มสุดแรง

    โครม

    หมอนั่นทำอาการกระตุกทะลึ่งพรวด หลังแอ้หลังแอ่นเซถลา ไทหมุนขวับไปหาอีกคนที่อยู่ใกล้สุด ไม่ใช่ใครอื่น

    วัยรุ่นหน้าจืด หล่อ สะพานขาว เก้าอี้ทีเงือดเงื้อขึ้นสูง เหนี่ยวขวับลงไปสุดลิ่มทิ่มประตู

    โครม

    มันกระหน่ำลงบนท่อนแขนซ้ายของนายรุ่นหน้าจืดที่ตวัดขึ้นรับดังสนั่น เสี่ยววินาทีติดต่อกัน หล่อ สะพานขาว ก็ สะอีกสวนเข้าประชิดพร้อมด้วยมีดสั้น อาวุธประจำกายซึ่งฉกออกมาจากที่ซ่อนเขากระแทกปลายมีดแหลมเฉียบ

    เข้าตรงชายโครงคนใช้เก้าอี้เป็นเครื่องทุ่นแรงอย่างดุดัน ไทย ตรอกงิ้ว สะดุ้ง เฮือก

    โอ๊ยย์ ผมถูกแทง

    เขาร้องลั่น ก่อนจะปล่อยเก้าอี้หลุดมือล้มลงไปนอนกุมชายโครงซ้ายดิ้นเร่า เลือดแดงฉาดที่ทะลักออกมาชุ่มโชก

    ทำให้เสียงหวีดร้องกรี๊ดกร๊าดระเบ็งลั่นขึ้นอีกคำรบหนึ่ง หล่อ สะพานขาว ซึ่งยังกำมีดติดมือหมุนตัวเผ่นอ้าวออกจาก

    ร้านสัมพันธ์อย่างไม่รอช้า และโดยมีปุ๊ ตรอกสาเกกับเหล่าลิ้วล้อกรูเกรียวตามหลังเป็นพรวนวัยรุ่นอันตรายทั้งกลุ่ม หายลับไปจากที่เกิดเหตุในชั่วพริบตา

    วังบูรพาภิรมย์

    ยุคนั้น ย่านนี้ซึ่งเรียกกันสั้นๆว่า “วังบูรพา” เป็นสถานที่เที่ยวเตร่พักผ่อนหย่อนใจและช้อปปิ้งหนึ่งในจำนวนไม่กี่แห่งของคนกรุง รวมทั้งเหล่าทีนเอจโก๋กี๋ออร์เหลนทุกระดับ เพราะวังบูรพามากมายไปด้วยร้านรวงขายของสารพันห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล

    ก็ก่อตั้งขึ้นที่นี่เป็นแห่งแรก แถมยังมีโรงภาพยนต์ชั้นหนึ่ง คือ คิงส์แกรนด์ และควีนส์ รวมกันเป็นกระจุกอยู่ถึงสามโรง

    และเมื่ออ้อมไปด้านหลังหรือที่เรียกกันว่า “หลังวัง” นี่เองเป็นที่ตั้งของ ร้าน “หรดี” แหล่งมั่วสุมสิงสู่ที่บรรดาวัยรุ่นหนุ่มคะนอง มักจะแวะเวียนมาพบปะนั่งละเลียดโอเลี้ยงกันทุกเมื่อเชื่อวัน

    บ่ายมากแล้ว ขณะที่ปุ๊ ตรอกสาเก แดง ไบร์เล่ย์ กับนายรุ่นหน้าจืด หล่อ สะพานขาว ก้าวลอดใต้กันสาดเข้าไปในร้านซึ่งกำลังว่างคน

    หลังจากข้ามสะพานพุทธฯ ไปอาละวาดที่ร้านสัมพันธ์ เล่นงานวัยรุ่นฝั่งธนฯ ซะอ่วมอรทัยทั้งยังเจ็บสาหัสด้วยมีดของหล่ออีกหนึ่ง

    หน่อคราวนั้น เจ้าถิ่นบางลำภูก็เลิกคิดที่จะตามราวี ปุ๊ วัดมอญ เขาถือว่าสามารถ “เอาคืน” ได้ในระดับที่น่าพอใจและก็เตร็ดเตร่

    สร้างบารมีอยู่แต่ในฝั่งพระนคร ทั้งสามเลือกนั่งโต๊ะตัวเก่าเจ้าประจำสั่งโอเลี้ยงและบุหรี่ปลีกซึ่งใส่จานสังกะสีมาพร้อมด้วยไม้ขีด

    ตามสูตร

    แดง ไบร์เล่ย์ ไม่ใช่คนชอบสูบบุหรี่แต่เมื่อปุ๊จุดส่งให้เขาก็รับมาอัดควันเล่นไปเรื่อยเปี่อยสามเกลอนั่งคุยกันเงียบๆอยู่ไม่นานนัก

    หนุ่มรุ่นอีกนายหนึ่ง ซึ่งเป็นสมาชิกร่วมแก๊งระดับลูกแถว ก็เดินเลี้ยวเข้าร้านปราดมาจ่อมก้นลงร่วมโต๊ะและพอเจอหน้า หมอก็มี “เรื่อง” มาให้

    ปุ๊ เมื่อวานเราโดนพวกนายเหล็งไล่กระทืบ”

    เจ้าถิ่นบางลำภูหูผึ่ง ตาลุกวาว ลักษณะนิสัยเขาเป็นหยั่งงี้เอง รู้ว่าสมัครพรรคพวกถูกรังแกเมื่อไหร่เป็นต้องร้อนขึ้นมาเมื่อนั้น

    ฝ่ายใดจะผิดถูกยังไงไม่สำคัญ เขาต้องเอาเพื่อนไว้ก่อนทุกงาน ปุ๊ ตรอกสาเก อัดบุหรี่อีกพรืดแล้วทิ้งลงกับพื้นใช้ส้นเกือกขยี้ดับพลาง

    แค่นเสียงถาม

    นายเหล็งไหนวะ ?

    นายเหล็ง นมเย็น เด็กพานขาว”

    ปุ๊หันขวับมาทางหนุ่มหน้าจืด

    พวกนายรึเปล่าวะ?

    หล่อสะพานขาวสั่นศรีษะ

    ไม่ แค่เคยเห็นหน้ากัน

    แปลว่าเล่นได้...

    แน่นอน

    เจ้าถิ่นบางลำภูหันไปเลิกคิ้วกับนายรุ่นคนมาฟ้อง

    เอ็งไปถูกไล่กระทืบที่ไหน ?

    หมอนั่นทำตาแซ่ว

    ก็สะพานขาว มันอยู่กันแถวนั้น

    หมายความว่าถ้าจะแก้คืน....

    ก็ต้องไปลุยที่นั่? หล่อเอ่ยสอ? พวกนายเหล็งมักสุมหัวกันอยู่แถวร้านนาฬิกาข้างๆ นารายณ์ภัณฑ์”

    พวกมันมีซักเท่าไหร่?

    ที่ไล่เหยียบเรามีแค่สามสี่คน .... ลิ่วล้อชั้นลูกแถวตอบอ่อยๆ

    แต่ถ้าจะนับรวมทั้งหมดก็เป็นสิบ”

    งั้น.เอ็งไปตามพวกวัดมหรรณพ์มา ซักเจ็ดแปดคน บอกว่าข้ามีงาน”

    แค่เจ็ดแปดคน มันจะไหวรื้ออ ?

    ไหวสิ ข้า...แดง กะหล่อจะระดมพวกมหานาคมาสมทบอีกส่วนหนึ่ง

    อ้อ

    เอ็งรีบไปรวบรวมคนก็แล้วกัน ใครมีของอะไรเตรียมมาให้พร้อม”

    จะเอาด่วนรึเปล่า ?

    ด่วนที่สุด

    เดี๋ยว ปุ๊กะจะถล่มพวกนายเหล็งวันไหน?

    วัยรุ่นอันตรายจากตรอกสาเก ก้มลงดูดโอเลี้ยงกลั้วคอเต็มอีกก่อนทิ้งเสียงเฉียบ

    วันนี้แหละ

    พลบค่ำ

    รถประจำทางคันหนึ่งซึ่งวิ่งมาจากทางด้านผ่านฟ้า เคลื่อนเข้าป้ายริมถนนหลานหลวงก่อนถึงย่านสะพานขาวแล้วเบรกเอียด

    เด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่กว่าสิบนาย กระจายกันลงทางประตูหน้าหลังอย่างรวดเร็ว หัวโจกคนนำทีมไม่ใช่ใครที่ไหน ปุ๊ ตรอกสาเก ซึ่งเคียงข้างด้วยแดง ไบร์เล่ย์ กับนักสู้หน้าจืด หล่อ สะพานขาวพอรถเมล์เร่งเครื่องออกจากป้ายตะบึงผละไปเจ้าถิ่นบางลำภูก็

    กวาดตา มองพลพรรคที่ยืนรายเรียงกันสลอนพลางเอ่ยลอยๆ

    หวังว่าคงเตรียมของกันมาพร้อมนะ

    หลังเสียงเปรยของพี่เอี้อยใหญ่ หลายคนงัดเอาดาบและมีดที่ซุกซ่อนไว้ออกมาโชว์ บางรายมีไม้ดุ้นเหมาะมือหรือไม่ก็สนับทองเหลือ

    แต่นายรุ่นนายหนึ่งจากย่านวัดมหรรณพ์แสบกว่าใคร เพราะนอกจากจะพกอีดาบยาวหวิดศอกหมอยังบอกด้วยสีหน้าฉาบรอยยิ้ม

    กระหยิ่มลำพอง

    เรายังมีของดีอีกอย่างนึง

    เอ่ยจบ พ่อยอดชายค่อยๆ ล้วงเอาสิ่งหนึ่งจากในย่ามที่สะพายไหล่ขึ้นมาชูอวด ปรากฏว่ามันเป็นขวดสีชาใบย่อมปิดฝาแน่นสนิท

    ปุ๊ ตรอกสาเก ฉวัดตามองแล้วเลิกคิ้ว

    ระเบิดขวด ?

    นายรุ่นจากวัดมหรรณพ์พยักหน้าหงึก

    ใช่ ปุ๊เคยเห็นฤทธิ์เดชของมันรึเปล่าล่ะ

    ยังเลย

    งั้น..วันนี้ได้ดูแน่

    มันร้ายกาจซักแค่ไหนว่ะ?

    ไม่รู้เหมือนกัน

    อ้าก

    เราเองก็ไม่เคยใช้ ได้ยินแต่พรรคพวกมันคุยว่าเด็ดสะระตี๋ยิ่งกว่าปืนซะอีก

    เออ ขอให้สามราคาคุยเถอะ เก็บไว้ก่อนเดี๋ยวเกิดระเบิดเปรี้ยงปร้างซะตรงนี้จะซวยกันเปล่า

    หมอนั่นบรรจงหย่อนขวดหลับคืนลงในย่ามตามคำสั่งโดยไม่อิดเอื้อน ส่วนขาใหญ่เจ้าถิ่นบางลำภู หันไปขมวดคิ้วกับหนุ่มรุ่นหน้าจืด

    ร้านนาฬิกาที่ว่าอยู่อีกไกลมั้ย?

    หล่อ สะพานขาว วาดมือชี้ป้ายรถเมล์ถัดไปซึ่งอยู่ไกลพอประมาณ แต่ก็มองเห็นได้จากแสงไฟที่สาดออกมาจากร้านค้าตรงนั้น ว่ามีเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งยืนสุมกันอยู่เป็นโขยง

    โน่นไง

    ปุ๊ ตรอกสาเก หรี่คาดคะเน

    ที่เห็นยืนออกันหน้าร้าน คงเป็นพวกนายเหล็ง

    ก็น่าจะใช่”

    งั้นไป กันเลย ลุย

    พร้อมกับการกระแทกเสียงดุดันคำท้าย นายหนุ่มอันตรายจากตรอกสาเกไหวตัวก้าวพรวดออกนำทันควัน พรพรรคทั้งกลุ่มตบเท้า

    ตามติดอย่างกระเ!้ยนกระหือฮีกเหิม เพราะที่เห็นเบื้องหน้าคือสมรภูมิและทุกคนไม่ผิดอะไรกับนักรบคะนองศึก อเวจีเป็นพยาน

    วินาทีเลือดหลั่งกำลังจะมาถึงในอีกไม่นานเกินรอวัยรุ่นย่านสะพานขาวหกเจ็ดคนที่ยืนจับกลุ่มกันตรงป้ายรถประจำทางหน้า

    ร้านนาฬิกา ก็ใช่ว่าจะไม่สำเหนียกภัยความเคลื่อนไหวของหนุ่มทีนเอจโขยงใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ยกขบวนล่องมาตามบาทวิถี

    ฝั่งทิศเหนือของถนนหลานหลวง แม้จะยังมองไม่เห็นถนัดชัดเจนเนื่องจากเป็นช่วงหัวค่ำกำลังขมุกขมัวเข้าไต้เข้าไฟแต่มันก็

    ทำให้บางคนเริ่มเอะใจไหวระแวงหนึ่งในกลุ่มซึ่งใส่กางเกงขาสั้นสะกิดคนไว้ผมสไตล์เอลวิสปาดชโลมด้วยน้ำมันเหนียว

    ยี่ห้อตันโจติ้กหนาเตอะ พลางเอ่ยอย่างหวาดๆ

    ข้าว่านายพวกนั้นจะไม่มาดีนะเหล็ง

    หมอนั่นแฉลบตามองแผงกองกำลังดำตะคุ่มที่รุกคืบใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วพยักหน้า

    ข้าก็รู้สึกแปลกๆ แต่หวังว่าคงไม่เกี่ยวกะเรา

    ไม่แน่นะ.งข้าสังหรณ์ชอบกล

    ยังไงล่ะ ?

    เอ็งลืมซะแล้วเรอะ ?

    เมื่อวานเราตบโก๋หลังวังคนหนึ่งสะหัวทิ่ม แถมยังไล่กระทืบมันวิ่งเตลิดเปิดโปงรอดตีนไปได้หวุดหวิด นายหมอนั่นข้าคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นเดินกะปุ๊ ตรอกสาเก เจ้าของทรงผมเลียนแบบราชาร็อคแอนด์โรล ผงกศรีษะเนิบช้าพลางพึมพำ

    ตัวดังนี่หว่า ข้าไม่เคยเห็นหน้าค่าตา แต่ก็รู้ว่ามันซ่าอยู่แถวบางลำภู

    วัยรุ่นขาสั้นกลอกตามองเด็กหนุ่มกลุ่มนั่นซึ่งยังอยู่ห่างกันไม่กี่สิบเมตร แล้วตวัดเสียงกับคู่สนทนาข้าของฉายา เหล็ง นมเย็น”

    ไม่ใช่ซ่าธรรมดา มันขาใหญ่เลยละ

    อีกฝ่ายเลิกคิ้ว

    เอ็งกลัวว่าจะเป็นนายปุ๊จะยกพวกมาแก้คืน ?

    ใช่”

    สะพานขาวถิ่นเรานะ เป็นไปได้รึที่มันจะกล้าล้ำแดน ?

    เหล็ง คนใส่ขาสั้นทอดเสียง เอ็งคงไม่รู้ว่านายปุ๊เคยข้ามไปคิดบัญชีกะคู่อริถึงฝั่งธนฯสะพานขาวใกล้แค่นี้ทำไมมันจะมาไม่ได้ ?

    ถ้างั้น

    กันไว้ดีกว่าแก้ เชื่อเถอะ เกิดมันเป็นอย่างที่ข้าว่าเข้าจริงๆ เดี๋ยวจะแก้ไม่ทัน

    เหล็ง นมเย็น เหลียวมองในร้านนาฬิกาซึ่งมีสมมชิกร่วมแก๊งนั่งสุมกันอยู่อีกชุดหนึ่ง ก่อนหันมาเอ่ยเครียดๆ

    เอ็งเข้าไปบอำกพวกข้างในให้เตรียมของไว้ผิดนักก็ได็โซ้ยกันแหลกไปข้างนึงละวะ

    นายรุ่นขาสั้นไม่ปริปากโต้แย้ง มันหมุนตัวเผ่นเข้าร้านนาฬิกาอย่างไม่โอ้เอ้ และเพียงชั่วอึดใจต่อจากนั้น ปุ๊ ตรอกสาเก แดง ไบร์เล่ย์ และหล่อ สะพานขาว ก็นำขบวนนักสู้วัยคะนอรุกมาถึง พอประจันหน้ากันกลางแสงสว่างที่สาดออกมาจากร้านรวงบริเวณนั้น หล่อก็เหยียดนิ้วชี้หัวโจกวัยรุ่นคุมถิ่นโดยไม่ลังเล

    นายนี่แหละ

    แทบไม่ทันขาดคำท้าย แดง ไบร์เลย์ ก็โลดผึงออกหน้าโผนเข้าใส่พี่เอื้อยประจำถิ่นชนิดที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามได้ตั้งตัว

    กำปั้นขวาติดสนับทองเหลืองสี่เงี่ยงแข็งปั๋งเหวี่ยงขวับเข้าหาปากครึ่งจมูกหมายเลาะฟันทั้งแผงให้กระจุย

    ???

    เหล็ง นมเย็น หลุดอุทานตื่นๆ พร้อมทั้งพงะยืดคางหลบด้วยสัญชาตญาณสนับมือเลยพลาดเป้าแต่ก็ไม่ไร้ผล

    มันโขกตูมเข้าตรงยอดอก เต็มดอกเต็มดวง

    บั่ก.~..

    อักก....

    คนถูกชกสำลักเสียงสั้นๆ แยกเขี้ยวเบี้ยวปากกระเด้งถอยกรูด พริบตานั้น บรรดานักสู้จากต่างถิ่นภายใต้การนำของ

    สามหนุ่มอันตราย ก็ดาหน้าทะยานเข้าลุยปรปักษ์อย่างฮึกเหิม วัยรุ่นสะพานขาวจากในร้านนาฬิกาก็ฉวยมีดไม้

    เครื่องทุนแรงประดามี กรูเกรียวออกสมทบกับพวกข้างนอกทันๆกัน ชาวประชาผู้ไม่รู้อิโหนอิเหน่ที่ยืนรอรถเมล์อยู่ใกล้ๆป้ายสี่ห้าคน กระเจิงหนีกันจ้าละหวั่นด้วยความตื่นตระหนกพรั่นพรึง พร้อมทั้งส่งเสียงเอะอะโวยวายกรี๊ดกร๊าดลั่น ขณะเดียวกัน นักบู๊รุ่นเยาว์ทั้ง

    สองฝ่ายต่างก็สัประยุทธ์ห้ำหั่นกันด้วยอาวุธของใครของมันอย่างดุเดือดเลือดพล่านทั้งมีดไม้เงื้องัดกวัดแกว่ง ตีแทงปิดป้องโต้ตอบ

    ฟาดฟันกันโดยไม่คำนึงถึงเป็นตาย เสียงอาวุธกระทบเป้าผัวะผะบึ้กบั้กเสียงสบถเกรี้ยวกราดและเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

    ดังคละเคล้ากันฟังไม่ได้ศัพท์ รถประจำทางสองคันซึ่งตะบึงข้ามสะพานมาจากยมราชพากันเบรกพรึดเมื่อผ่านที่เกิดเหตุ

    แล้วจอดแช่อยู่คนละฟากถนน ผู้โดยสารในรถเฮละโลมาออกันทางแถบขวาชะเง้อชะแง้มองลอดหน้าต่าง สอดส่ายตาจับภาพการต่อสู้ชนิดถึงเลือดถึงเนื้อที่อุบัติขึ้นริมถนนฝั่งตรงข้ามอย่างตื่นระทึกและสนใจใคร่รู้วิสัยไทยแท้

    ชอบแห่ดูมันซะทุกเรื่อง บางครั้งขนาดต้องเสี่ยงกะลูกหลงก็ยังยอม ใจรักซะไม่มี ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายสับสนอลหม่าน และบรรยากาศอันดุดันเ!้ยมเกรียม วัยรุ่นเจ้าถิ่นสะพานขาวซึ่งมีการเตรียมพร้อมน้อยกว่า ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเห็นได้ชัด

    บางคนถูกตีล้มลุกคลุกคลาน บางรายก็หัวร้างข้างแตก ถูกมีดถูกไม้ได้เลือดกันเป็นระนาวและขณะที่ส่วนใหญ่ทะยอยถอยร่น

    เข้าไปในร้านนาฬิกานายรุ่นตัวดีจากย่านวัดมหรรณพ์ก็เงื้อง้าอีดาบไล่ตามอย่างไม่ลดละซึ่งก็คงได้ฟันใครอีกซักฉัวะหากไม่ผลีผลาม

    พลาดท่าไปเจอไม้พลองเหวี่ยงสกัดเข้าใต้ข้อศอกไม่จังนักกระนั้นก็ทำเอาดาบหลุดกระเด็นเมื่อไม่มีดาบเป็นอาวุธเด็กหนุ่มก็จำต้องหยุด

    รุกไล่แต่ยังไม่เลิกรา เขาล้วงมือลงไปในย่านที่สะพายติดตัว กำเอาขวดสีชาแก่ขึ้นมาแล้วร้องบอกพรรคพวก

    เฮ้ย ถอยออกมาก่อน ถอยโว้ย

    ขาดคำ ขวดใบย่อมถูกโยนลอยละลิ่วเข้าไปในร้านอย่างไม่รั้งรอ พริบตาติดต่อกัน เสียงแตกตัวของระเบิดเคมีก็แผดกัมปนาทกึกก้อง

    ตู้ม!

    กลุ่มควันสีขาวหนาทึบ สาดพรวดออกมาจากในร้านนาฬิกา ตามด้วยเสียงแผดร้องด้วยความเจ็บปวดสาหัสประสานกันระงม

    และพอควันจาง ภาพที่ปรากฏในร้านก็คือร่างโชกเลือดของเจ้าถิ่นสะพานขาวหลายนายทอดกายระเกะระกะอยู่กับพื้นที่ซึ่งเกลื่อน

    ไปด้วยเศษวัสดุสารพันบิดทุรนทุรายและโอดโอยแข่งกันอึงคะนึงไม่แต่เพียงเท่านั้นหนึ่งในจำนวนพลรบฝ่ายรุกรานก็ยังเจอสะเก็ด

    ระเบิดพวกเดียวกันเองบาดเจ็บไม่น้อย ปุ๊ ตรอกสาเก แดง ไบร์เล่ย์ หล่อ สะพานขาวรวมทั้งเหล่าพวกพ้องบริวารถึงกับ

    ตะลึงเซ่อไปทั้งเทือก ทุกคนไม่เคยใช้ระเบิดขวด ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าอานุภาพของมันจะรุนแรงร้ายกาจขนาดนี้

    เพราะรูปลักษณ์ภายนอกมันเป็นเพียงขวดใบเล็กๆ ไม่น่าจะมีพิษสงอะไรสักเท่าไหร่ที่ไหนได้ตูมเดียวร่วงระเนเป็นโขยง และไม่รู้จะมีใครถึงตายมั่งรึเปล่า? ปุ๊ ตรอกสาเก ตะลึงขึงขังจังงังกับฤทธิ์เดชของระเบิดขวดอยู่ร่วมอึดใจถึงได้สติ

    และพร้อมกันนั้นสมองก็สั่งการให้ฉับพลัน

    หนี..

    เพราะหามีคนตาย ใครก็ตามที่พลาดพลั้งให้ตำรวจจับได้ต้องรับโทษทัณฑ์ขั้นอุกฤษฏ์แน่นอนเขาหันขวับไปทางเพื่อนร่วมแก๊งที่ยัง

    พากันยืนเงอะงะ ทำอะรไม่ถูกและตวัดเสียงร้อนรน ทุกคนหนีเร็ว แยกย้ายกันไป ไม่มีใครรอให้เตือนซ้ำเด็กหนุ่มคะนองเลือดทั้ง

    กลุ่มกระจายพรึ่บไปคนละทิศ เสียงฝีเท้าควบสุดฤทธิ์เตลิดออกจากที่เกิดเหตุ ดังระรัวแข่งกันสับสนบางส่วนกระโจนลงถนน สับตีนตะบึงตัดข้ามไปยังอีกฟากฝั่งอย่างไม่กริ่งเกรงว่ารถราจะพุ่งชน คนขับเสียอีกที่ต้องตาลีตาเหลือกกระทืบเบรกกันให้วุ่น

    ไม่ถึงครึ่งนาที วัยรุ่นฝ่ายรุกรานก็สลายตัวไปจากบริเวณนั้นเรียบวุธ ที่เหลือทิ้งไว้ข้างหลังก็คือซากปลักพังแตกหักแหลกวินาศของ

    วัสดุอุปรณ์สารพัดในร้านนาฬิกาซึ่งถูกถล่มทลายด้วยระเบิดเสียหายับเยิน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีร่างโชกเลือดของบรรดาเจ้าถิ่น

    สะพานขาวหลายนายนอนดินทุรนทุรายกลิ้งเกลื่อน และมันแย่หนักเข้าไปอีกตรงที่ส่วนใหญ่บาดเจ็บสาหัส

    คืนนั้น หล่อ สะพานขาว เผ่นหนีไปกับแดง และอาศัยหลบซ่อนที่บ้านของฝ่ายหลงในตรอกไบร์เล่ย์ ส่วนปุ๊ ตรอกสาเก กับลูกทีมจำนวนหนึ่งแห่กันไปค้างที่บ้านเพื่อนย่านถนนบุญศิริ ซึ่งหากหล่อกับแดง ติดกลุ่มไปด้วยก็เป็นอันว่าเสร็จ

    ไม่พ้นมือกฎหมายเด็ดขาด เพราะก่อนรุ่งสางคืนเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจก็กระจายกำลังเข้ารายล้อมบ้านหลังที่

    เหล่าวัยรุ่นอันตรายสุมหัวกันซ่อนตัวอยู่ และจับกุมได้ โดยละม่อมทั้งชุด และแน่ละว่าพวกที่ถูกจับทุกคน ย่อมต้องเย็บปากตัวเองแน่นสนิทตามวิสัยลูกผู้ชายเต็มร้อย จะไม่มีการซัดทอดหรือแม้แต่ให้เบาะแสสืบสาวไปถึงตัวเพี่อนฝูงที่ยังไม่ได้โดนรวบมันเป็นกฎเกณฑ์ข้อปฎิบัติที่พวกเขายึดถือกัน

    อย่างเหนียวแน่น มั่นคง

    แดง ไบร์เล่ย์ หล่อ สะพานขาว กับพวกพ้องร่วมขบวนการอีกส่วนหนึ่ง จึงแคล้วคลาดลอยนวลอยู่ได้โดยปลอดภัย

    เช้าวันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์รายวันต่างพาดหัวหน้าหนึ่งเสนอข่าวกันอย่างอึกทึกครึกโครมทุกฉบับรายงานข่าวละเอียดยิบเกี่ยวกับกรณี

    วัยรุ่นสองกลุ่ม ก่อเหตุรุนแรงขั้นจราจลเข้าประจัญบานกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านที่สะพานขาวและปิดท้ายด้วยระเบิดขวดซึ่ง

    สำแดงอานุภาพร้ายกาจน่าพรั่น และขาดไม่ได้ก็คือภาพถ่ายจองบรรดาเด็กหนุ่มคะนองเลือดที่จนมุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ

    มันถูกตีพิมพ์หราปรากฎโฉมหน้าเป็นที่รู้จักไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปุ๊ ตรอกสาเก หรือที่ชื่อจริงตามทะเบียนสำมะโนครัวว่า

    จำเริญ บุญยดิษฐ์ ในฐานะที่เป็นหัวโจกนำขบวนนักบู้ฝ่ายรุกแม้จะไม่ใช่คนใช้ระเบิดร้ายแรงถล่มคู่อริแต่เขาก็ได้ฉายาใหม

    จากหนังสือพิมพ์แทนของเดิม นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา

    ไม่ว่าฉบับใดก็เรียกเขาด้วยฉายาเดียวกัน

    ปุ๊ ระเบิดขวด

    และมันก็กลายเป็นฉายาติดตัวจนกระทั่งวาระสุดท้าย

    ทั้งๆที่ปุ๊ไม่เคยใช้ระเบิดขวดแม้แต่ครั้งเดียว


    credit : jedi & pramool

    ภาพเพิ่มเติม

    ปุ๊ กรุงเกษม


    จ๊อด เฮาดี

    ข้อมูลเพิ่มเติม
    แดง ไบเล่ มีชื่อจริงว่า บัญชา สีสุกใส เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2483 ที่ ตรอกสลักหิน หรือที่นิยมเรียกว่า ตรอกไบเล่ (เป็นที่ตั้งโรงงานผลิตน้ำอัดลมไบเล่) ข้างหัวลำโพง เขตปทุมวัน กรุงเทพ ฯ โดยเป็นลูกของนางโฉม เจ้าของร้านซักอบรีดและห้องเช่าในย่านนั้น โดยพ่อเสียชีวิตไปก่อนที่แดงจะเกิด

    แดง เมื่อเติบใหญ่เป็นวัยรุ่นเป็นหัวโจกของบรรดาวัยรุ่นทั้งหลายในยุคนั้น จนมีชื่อเสียงโด่งดังว่า แดง ไบเล่ เนื่องด้วยบรรดานักเลงอันธพาลในยุคก่อนพุทธศักราช 2500 นั้น ล้วนแต่มีชื่อเรียกขานต่าง ๆ เช่น พจน์ เจริญพาศน์, พัน หลังวัง, ปุ๊ ระเบิดขวด, ดำ เอสโซ่, แหลมสิงห์, จ๊อด เฮาดี้, แอ๊ด เสือเผ่น, พล ตรอกทวาย, เหลา สวนมะลิ เป็นต้น แต่ แดง ไบเล่ ถือเป็นขวัญใจของเหล่าวัยรุ่นตัวจริง เนื่องจากเป็นบุคคลหน้าตาดี กล่าวกันว่า แดง ไบเล่ สามารถกอดคอกับ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้นได้เลยทีเดียว

    เรื่องราวของแดง ไบเล่ ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งหนึ่งในชื่อ 2499 อันธพาลครองเมือง โดยมีแดงเป็นตัวเอก แต่หลังจากภาพยนตร์ออกฉายแล้ว เกิดเป็นกระแสพูดคุยกันอย่างกว้างในสังคมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับภาพยนตร์ ซึ่งเหล่าบุคคลร่วมสมัยหรือที่เคยรู้จักกับแดง ต่างบอกว่า แดงตัวจริงนั้นไม่เคยฆ่าคน ไม่ถึงขั้นเป็นโจร แต่เป็นนักเลงวัยรุ่นธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง ไม่มีใครเคยเห็นแดงกินเหล้า แต่เครื่องดื่มของแดงที่ชื่นชอบคือ มิลค์เชค ซึ่งต่างจากตัวตนในภาพยนตร์โดยสิ้นเชิง อีกทั้งหลายอย่างก็เพี้ยนจากความจริง เช่น แดงตัวจริงได้บวช หรือการยกพวกตีกันของวัยรุ่นที่เรียกว่า "ศึก 13 ห้าง" นั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงการไล่ตีกันของวัยรุ่นฝั่งพระนครเจ้าถิ่นกับนักเรียนขาสั้นที่ข้ามฟากมาจากฝั่งธน ฯ เพื่อมาหาซื้อผ้าเสิร์ตตัดกางเกงที่บางลำพู โดยฝ่ายที่ถูกไล่ตีวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนชนหม้อข้าว หม้อแกงของแม่ค้าข้างถนนล้มระเนระนาด เท่านั้น

    แดง ไบเล่ เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2504 ด้วยวัยเพียง 24 ปี ด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำ ที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่โดยเป็นผู้นั่ง

    แล้วนี่คือรายชืิ่่อนักเลงสมัยนั้นที่ผมได้ฟังมาจากลุงแถวบ้านผมที่เป็นเพือนรุ่นน้องของแดงไบเล่คือเขารู้จักกับแดงไบเล่สมัยเชายังเด็ก

    แดง ไบเล่ ขวัญใจอันดับ 1 หัวหน้าแก๊งไบเล่ หน้าตาดี

    ปุ๊ ระเบิดขวด เพื่อนซี้ตามจริงไม่เคยทะเลาะกันเหมือนในหนังนะ แต่ตายเพราะโดนปืนของดำยิงน่าจะใช่นะ

    ดำ เอสโซ่ เพื่อนของปุ๊ เจ้าของฉายาผู้เงียบขรึม

    จ๊อด เฮาดี้ มีดีกรีสูงว่าเป็นเพื่อนสนิทของแดงที่สุดปัจจุบันยังอยู่เป็นศิษย์เก่าปทุมวัน ปัจจุบันก็ยังแวะเวียนมา

    แหลม สิงห์ เพื่อนสนิทของแดงเคยเป็นผู้คุมในเรือนจำมาและรู็จักกับแดงตอนแดงติดอยู่ในเรือนจำนี่ตาบเพราะน่าจะโดนดำหรือปุ๊แทง

    พัน หลังวัง หัวโจกของเด็กหลังวัง แดงมักเรียกว่า โต้ โผ๋ใหญ่

    เอ็ม หลังวัง เคยตีกับแก๊งไบเล่เกือบตาย

    อ๊อต หลังวัง

    จบ หลังวัง

    ดิน เชื้อเพลิง

    พล ตรอกทวาย

    แอ๊ด เสือเผ่น

    เก๋า ม้าเก๊ง

    ล้อ วงเวียน



    หนอง บ้านบาตร

    ชัยขาว

    จ่าวาฬ

    เปี๊ยก จักรวรรดิ

    มัด บ้านแขก

    ปุ๊ กรุงเกษม

    พจน์ ช่างกล

    เล็ก โพธิ์ดำ

    อู๊ด บางกระบือ

    หล่อ สะพานขาว

    เปี๊ยก เจริญพาสน์ เพื่อน ของแดง

    ปุ๊ วงเวียนเล็ก หรือ ปุ๊ วัดมอญ

    เจตน์ หลังวัง

    แมว หลังวัง

    แดน ตีนโต

    เจมส์ ขาม้า

    อาร์ม ขาเดฟ

    อ้น เฉาก๊วย อาศัยอยุ่กับปู่ทีร้านขายเฉาก๊วยเป็นอาชีพเลยได้ฉายามา

    บอล สปาต้า ไม่ใช่ว่าใช้มีดนะบ้านเขาขายมีดเลยเป็นฉายา

    เบล หมาใน ได้ฉายาหมาในเพราะเวลาโมโหทำได้ทุกอย่าง

    เฮีย เหลา สวนมะลิ หรือ แคล้ว ธนิกุล พ่อแม่คนไหนดูมวยเมื่อ20-30ปีก่อนคงรู้จักเขาเป็นคนสำคัญของวงการมวยไทยครับ แต่ตายเพราะโดนฆ่าทางรถยนต์



    เหลาสวนมะลิ
    เหลา สวนมะลิ {แคล้ว ธนิกุล}
    มีคดีดังที่น่าสนใจอีก 1 คดี เกิดประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา คือคดีลอบสังหาร ถล่ม เจ้าพ่อแคล้ว ธนิกุล ตายคารถ ที่สนใจกันมากขณะนั้น คือนายแคล้ว ธนิกุล มีพระเครื่องสมเด็จฯ ของแท้ ราคาแพงมาก คล้องคอประจำ แต่ก็ไม่อาจรอดคมกระสุนปืนห่าใหญ่ได้ ซึ่งมีหลายทัศนะ เกี่ยวกับพระเครื่องดังกล่าว บ้างก็ว่า มีการทำคาถาอาคมกับกระสุนปืนก่อนยิง บ้างก็ว่าเป็นเรื่องของความดีด้วย ฯลฯ ผมก็จะพยายามค้นหาข้อมูลมาบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลัง ๆ ได้ศึกษากัน และขอบขอบคุณเจ้าของบทความ ข้อเขียน ที่ผมไปคัดลอกมาด้วยนะครับ


    แคล้ว ธนิกุล อดีตผู้กว้างขวางในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และอดีตโปรโมเตอร์และผู้จัดการในวงการมวยไทยและมวยสากลและมวยสากลสมัครเล่นในประเทศไทย



    แคล้ว ธนิกุล เกิดที่ตำบลดอนมะโนรา อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน ที่ได้ชื่อว่าแคล้ว เพราะตอนที่เกิดมีคู่แฝดด้วย แต่ว่าคู่แฝดได้เสียชีวิตไปหลังจากคลอดไม่นาน จึงได้ชื่อว่า "แคล้ว" ซึ่งหมายถึง การแคล้วคลาดจากอันตราย

    แคล้ว ธนิกุล ได้เดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯครั้งแรกด้วยการตามพี่สาวมาอยู่ที่ย่านสวนมะลิ ต่อมาไปดูการซ้อมมวยเลยรู้จักนักมวยรุ่นพี่ ชื่อ หมึก ตรอกทวาย และก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่นั้นมา

    จากนั้น แคล้ว ธนิกุล ก็สร้างชื่อด้วยการเป็นผู้กว้างขวางในย่านสวนมะลิ ในชื่อ "เหลา สวนมะลิ" หรือ "เฮียเหลา" มีผู้กว้างขวางเป็นเพื่อนสนิทสนมกันมากมายและมีลูกน้องอีกจำนวนมากด้วยเช่นกัน จนได้รับฉายาว่า "เจ้าพ่อนครบาล" หรือ "เจ้าพ่อเบอร์ 1"

    ในแวดวงมวย แคล้ว ธนิกุล เป็นเจ้าของค่ายมวยของตัวเองที่มีชื่อว่า "ส.ธนิกุล" มีนักมวยที่มีชื่อเสียง อาทิ สมบัติ ส.ธนิกุล เป็นต้น และยังเคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมมวยสากลสมัครแห่งประเทศไทยด้วย

    ชีวิตครอบครัว แคล้ว ธนิกุล มีภรรยา 2 คน กับคนแรกมีบุตรชายและบุตรสาวด้วยกันทั้งหมด 2 คน และภรรยาคนที่ 2 คือ นางเขมพร ต่างใจเย็น มีบุตรด้วยกันทั้งหมด 5 คน เป็นชาย 3 หญิง 1 (ปัจจุบันนางเขมพรเป็นภรรยาของนายประชา โพธิพิพิธ อดีต ส.ส.จังหวัดกาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์)

    แคล้ว ธนิกุล เสียชีวิตในเวลาหัวค่ำของวันที่ 5 เมษายน 2534 ที่ถนนสายปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จากการถูกลอบสังหารด้วยอาวุธสงคราม อาทิ ปืนเอ็ม 16 ปืนอาก้า เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 อย่างอุกอาจ ขณะที่โดยสารไปในรถยนต์กระบะ ยี่ห้อนิสสสันสีดำขณะกำลังเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมด้วยลูกน้องคู่ใจ คือ นายสกุลยุทธ ทองสายพาน หรือฉายา "ตี๋ ดำเนิน" หรือ "มือปืนร้อยศพ" สภาพรถทั้งคันพรุนไปด้วยรูกระสุน และศพของทั้งคู่ก็ถูกยิงเลือดโชก โดยเฉพาะนายแคล้วที่นั่งอยู่เบาะหลัง ที่ภายในปากยังอมพระเครื่องอยู่ ด้วยหวังว่าจะช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัย ซึ่งสาเหตุการลอบสังหารครั้งนี้ จนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นแคล้วเคยถูกลอบสังหารด้วยกระสุนและระเบิดมาแล้วถึง 2 ครั้ง จนกลายเป็นคำร่ำลือกันต่าง ๆ นานา ด้วยในขณะนั้น ทางคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งได้กระทำการรัฐประหารไปก่อนหน้านั้นไม่นาน มีนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ ซึ่งเชื่อกันว่า แคล้ว ธนิกุล เองก็เป็นหนึ่งในรายชื่อเหล่านั้น



    รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 บางครั้งเรียกว่า เหตุการณ์ รสช. เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ในเวลาบ่าย โดย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. (National Peace Keeping Council - NPKC) ยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ


    ปิดฉากบัลลังก์เจ้าพ่อเมืองกรุงสยอง

    ยุทธจักรผู้กว้างขวาง เมืองหลวง ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของ “แคล้ว ธนิกุล” ผู้สามารถกุมกลไกได้ แทบครบวงจรสมบูรณ์แบบ ตามฉบับแห่ง “ก็อดฟาเธอร์” อย่างแท้จริง เพราะเขาคือ...เจ้าพ่อเมืองกรุงหมายเลข 1 ตัวจริงเสียงจริงในสมัยเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา..แต่ในที่สุดต้องมาจบชีวิตตามวิถีเส้นทางโคจรของผู้กว้างขวางเหมือน อดีตบรรดาเจ้าพ่อรายอื่น ๆ

    รายการปิดฉากเจ้าพ่อเมืองหลวง “แคล้ว ธนิกุล” อุบัติขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 5 เม.ย. 2534 เมื่อตำรวจ สภ.อ.สามพราน จ.นครปฐม รับแจ้งมีเหตุยิงกันตาย 2 ศพบริเวณหลัก กม.ที่ 54-55 ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี หมู่ 1 ต.ทรงคะนอง อ.สามพราน จ.นครปฐม โดยผู้บังคับบัญชาสมัยนั้นมี พ.ต.อ.สุรัตน์ ยุทธโยธินผกก.ภ.นครปฐม พ.ต.ท.มาโนช จรดล สวญ. พ.ต.ท.มนต์ชัย ตั้งมั่น สวป.รีบออกไปสอบสวน

    ที่เกิดเหตุพบรถปิกอัพอีซูซุสีดำ ทะเบียน 1ณ-5228 กรุงเทพมหานคร ข้างรถเขียนว่า “สมาคมมวยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย” ด้วยแรงอานุภาพของกระสุนอาวุธสงครามทั้ง เอ็ม 16, อาก้า และเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ทำให้รถพรุนเป็นรูโหว่ไป ทั้งคัน ภายในที่นั่งคนขับพบศพนายสกุลยุทธ ทองสายพาน หรือ “ตี๋ ดำเนิน” ฉายาในวงการรับจ้างฆ่าคน “มือปืนร้อยศพ” นอนตายในสภาพหัวพิงพวงมาลัยถูกกระสุนปืนกะโหลกเปิดมันสมองไหลนอง มือขวากำปืนขนาด 11 มม. กระสุนเต็มแมกกาซีน

    ส่วนที่นั่งเบาะหลังพบศพ นายแคล้ว ธนิกุล หรือ “เฮียเหลา” นายกสมาคมมวยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ผู้เป็น “เสาหลัก” ของวงการหมัดมวยถูกกระสุนปืนพรุนไปทั้งร่าง นอนเสียชีวิตซุกอยู่กับเบาะเลือดโชกไปทั่วตัว จากการตรวจสอบภายในรถของเหยื่อกระสุนปืนบริเวณท้ายรถพบกองเลือดนองพื้น น่าเชื่อว่ามีผู้บาดเจ็บอีก 1 คน แต่หายตัวไปอย่างปมปริศนามีพิรุธ ซึ่งตำรวจเชื่อว่า น่าจะเป็น กุญแจไข ไปสู่คดี

    ทันทีที่เจ้าพ่อคนดังถูกปลิดชีพ ทาง พล.ต.อ. สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อ.ตร.ในสมัยนั้น ส่งมือสอบสวน พล.ต.ท.สนั่น ตู้จินดา ผู้ช่วย อ.ตร.พร้อมทีมสีกากีฝีมือดีลงพื้นที่สอบพยานแวดล้อม-พยานปากในที่เกิดเหตุ เพื่อติดตามแกะรอยหาเบาะแสของทีมนักฆ่าทมิฬ ที่ปฏิบัติการโจมตีเหยื่อเหมือนกับการถูกฝึกฝนมาจากหน่วยรบบางหน่วย ด้วยการติดตามไล่ล่าเป้าหมาย เมื่อถึงพื้นที่ที่ลงมือสังหาร ก็จะจัดการเก็บเหยื่อทันควันหรือภาษาทหาร “คิลลิ่งโซน”

    ตามแนวทางการสอบสวนของตำรวจ พบว่าก่อน “เฮียเหลา” จะมาพบจุดจบอย่างสยองขวัญ ได้เดินทางไปร่วมพิธีเปิดการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นชิงถ้วยพระราชทานคิงสคัพ อาคารกีฬาเวสน์ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง หลังเสร็จสิ้น นายแคล้วเดินออกจากสนามขึ้นนั่งรถมุ่ง หน้าไป จ.สมุทรสงคราม

    พยานปากเอกให้การกับทีมคลี่คลายคดี ว่ารถของทีมนักฆ่าที่ไล่ล่าชีวิตปลิดชีพ “เฮียเหลา” เป็นรถปิกอัพสีดำ 2 คัน ไล่ติดตามรถปิกอัพของเหยื่อทันที ที่รถวิ่งเข้าประกบ มือปืนที่นั่งอยู่ในกระบะหลังเป็นชายวัยฉกรรจ์ มีผ้าคลุมหน้า “สีแดงคล้ายไอ้โม่ง” คว้าปืนสงครามออกสาดกระสุนถล่มใส่เป้าหมายจนตายด่าวดิ้นดังกล่าว

    อย่างไรก็ตามช่วงที่นายแคล้วถูกล่าสังหาร เป็นช่วงตรงกับที่ สภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) กุมอำนาจรัฐอยู่ โดยมี พล.อ.สุนทร

    คงสมพงษ์ ผบ.ทหารสูงสุด นั่งเป็นประธาน รสช. มีนโยบายให้กรมตำรวจ “สยบ เจ้าพ่อ” จัดการกับพวกมาเฟียอิทธิพลและบรรดานายบ่อนมีคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน จัดทำรายงานสถานภาพทางการเงินของผู้มีอิทธิพลใน ขั้นต้นจำนวน 7 คน ซึ่ง 1 ใน 7 คน มี นายแคล้ว ติดร่างแห อยู่ใน “บัญชีดำ” ด้วย



    เค้า ร่ำลือกันว่า ไอ้คนที่รอดตาย หน่ะ เป็นสายให้กะ รสช. เองด้วย
    เอ้อ... ลืม คุยไป วันนั้น เฮียแคล้ว ก่อนจะออกจาก นิมิบุตร เพราะมีมวยคิงส์คัพ แกยังเดินมายืนเยี่ยว ในห้องน้ำ ข้างๆ กระพ้ม เลยครับ
    ก่อนแก จะออกเดินทางไปต่อไป สมุทรสงคราม ซึ่งมีโปรแกรม เขาทราย จะขึ้นชกหน่ะ
    ระหว่าง ทางมาถึงจุดเกิดเหตุ ก็เข้าโซนสังหาร หรือ ที่ภาษาทหาร เค้าเรียก "คิลลิ่ง โซน" นั่นแหละ
    การ ทำงาน แบบ มืออาชีพ ก็ฝึกมาอย่างดี เพราะใช้หน่วยคอมมานโด นี่ครับ รสช. สั่งมา ให้ปิดบัญชีดำ ซะ เนื่องจาก เฮียแคล้ว กะลังจะล้างมือ จากวงการนักเลง เพื่อโจนเข้าเล่นการเมือง
    ปืนกลนับสิบ รัวกระสุนนับร้อย เอ็ม-79 ซัดก่อนตูมแรก เข้าหน้ารถ ถูกคนขับคู่ใจ หัวหายไปแถบนึง ที่เหลือรถเข้ากระกบ มือสังหารคนหนึ่งโดดขึ้นหลังคา เพื่อยิงกราดลงมาจากด้านบน เพราะข่าวว่า
    เฮียแคล้ว แกหนังเหนียว โดนระเบิดที่ลุมพินี มาแล้ว ยังรอดเลย
    เฮียแคล้ว ก็นักเลงพอตัว กัดฟันอดพระสมเด็จฯ ใส่ปาก
    แต่ คนถึงคราว คราวจะถึงฆาต และพระท่าน ก็ไม่ช่วย นักเลงมือเปื้อนเลือด ตลอดไป
    ในที่สุด เฮียฯ ก่อนจะสิ้นใจ ก็บอกลูกน้องว่า "กู... ไม่ ... ไหว แล้ว"
    จากนั้น ก็สิ้นลม อยู่ในรถนั่นแหละ
    เหตุการณ์นั้น มีเพียงลูกน้องคนสนิทอีกคน นั่นแหละ ที่นั่งท้ายรถ โดดหนีเข้าป่าหญ้า รอดตายไปได้ราวปาฏิหาริย์
    จริงๆ ก็ไม่น่าเป็น ปาร์ฏิหาริย์ อะไรหรอก ถ้าไม่เป็นสาย.. ให้ เจ้าหน้าที่ หน่ะ



    แคล้วเคยโดนเต็งโก้ ขอนแก่น ลอบยิง และวางระเบิด ที่สนามมวย 2 ครั้ง ซึ่งครั้งนึงคนที่ถูกลูกหลงเสียชีวิต คือ คนนามสกุล โลหะชาละ เป็นที่ฮือฮาในหมู่นักเลงสมัยนั้นอย่างมาก เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจ มีรัฐมนตรี และ นายตำรวจหลายท่านอยู่ในเหตุการณ์ แต่เต็งโก้ก็ยังกล้าลงมือ แต่แคล้วรอดมาได้ทุกครั้ง สุดท้ายกลับเป็นไอเต็งโก้ ที่โดนแคล้วเอาคืนถึงตายที่ขอนแก่นบ้านเกิด

    ส่วนเรื่องพระที่แคล้วห้อย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ถ้าใครเห็นศพของตี๋ดำเนิน กับศพเฮียเหลา จะเห็นได้ชัดว่าต่างกันราวฟ้ากะเหว ตี๋ดำเนิน หัวสมองแบะเป็น 2 ซีก เหมือนลูกแตงโม สมองเละกระจาย แต่แคล้วมีแค่เลือดท่วมตัว

    ก่อนตายมีลูกน้องอีกคนที่ไม่โดนยิง (ว่ากันว่าเป็นสาย) บอกให้แคล้วหนีไป แต่เฮียเหลาหนีไม่ไหว เอาพระมาอมในปาก บอกว่ากูไม่ไหวแล้ว (คุณ)ไปเหอะ


    อาชญากรรมจากมือปืนรับจ้าง เป็นอาชญากรรมที่มีความรุนแรง เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำลายความสงบสุข ทำให้สังคมขาดความมั่นคงในด้านชีวิต ทรัพย์สินของบุคคล ส่วนรวม ตลอดจนประเทศชาติ มือปืนรับจ้างส่วนใหญ่ มักมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลัง โดยให้การช่วยเหลือในเรื่องการ หลบซ่อน ให้ความคุ้มครองในการหลบหนี เพื่อให้หลุดพ้นจากการจับกุมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อหลบหนีคู่อริ รวมทั้งญาติพี่น้องของเหยื่อที่ติดตามล้างแค้น (พงษ์ศักดิ์ ขำเพชร, 2540:150) นับว่าปัญหาจากอาชญากรรมมือปืนรับจ้างเป็นปัญหาหนึ่งที่ยากที่จะกำจัดให้หมดสิ้นไป เนื่องจากมีการโยงใยไปถึงผู้มีอิทธิพลในวงการต่าง ๆ ทั้งวงการธุรกิจ วงการการเมือง รวมทั้งวงการหมัดมวย ดังเช่น กรณีนายแคล้ว ธนิกุล หรือ “เฮียเหลา” ซึ่งเกิดจากฝีมือของมือปืนรับจ้าง เมื่อค่ำวันที่ 5 เมษายน 2534 เกิดเหตุยิงกันตาย 2 ศพ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 54-55 ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี หมู่ 1 ตำบลทรงคะนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ที่เกิดเหตุ พบศพ 2 ศพ ในรถปิกอัพอีซูซุ สีดำ ทะเบียน 1 ณ-5228 กรุงเทพมหานคร หนึ่งในจำนวน 2 ศพนั้นคือ นายแคล้ว ธนิกุล หรือ “เฮียเหลา”

    นายกสมาคมมวยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ผู้เป็น “เสาหลัก” ของวงการหมัดมวย ซึ่งเมื่อพลิกแฟ้มประวัติของ “แคล้ว ธนิกุล” แล้ว จะพบว่า เขาถูกปองร้ายหมายชีวิตจากคู่อริ ถึง 2 ครั้ง 2 ครา คือ ในปี 2524 และปี 2525 (เดลินิวส์ : 12 มิ.ย. 2547)

    เพิ่มเติม

    ค่ำวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๓๔ นายแคล้ว ธนิกุล เจ้าพ่อผู้มากด้วยบารมี และอิทธิพล ในวงการนักเลงเมืองกรุง และ

    วงการมวย โดยมีฐานะเป็นนายกสมาคมมวยสมัครเล่น แห่งประเทศไทย พร้อมกับสมุนมือขวา สกุลยุทธ ทองสายพาน

    หรือ “ตี๋ ดำเนิน” นักรับจ้างฆ่าคนมือฉกาจ ผู้มีสมญานามสมกับพฤติกรรมชั่วโฉดว่า “มือปืนร้อยศพ” ได้ขับรถปิกอัพ อีซูซุ สีดำ

    หมายเลขทะเบียน ๑ ณ –๕๒๒๘ กรุงเทพมหานคร ออกจากกรุงเทพมหานคร ไปตามเส้นทางถนนปิ่นเกล้า - นครชัยศรี

    โดยมีจุดหมายปลายทาง อยู่ที่จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นภูมิลำเนาถิ่นกำเนิด


    ในเส้นทางที่รถปิกอัพ อีซูซุสีดำ แล่นผ่านไปได้ไม่นาน ถนนสายนั้นก็กลายเป็นถนนสายมรณะโดยฉับพลัน... คำสั่งจากอเวจีไล่ล่า เหมือนคำสั่งจากนรกอเวจี เมื่อรถของเจ้าพ่อแคล้วและสมุนมือปืนคู่ใจ แล่นไปถึง กม.ที่ ๕๔–๕๕ ถนนปิ่นเกล้า นครชัยศรี๑ ตำบลทรงคะนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม มีรถปิกอัพสีดำ ๒ คัน ซึ่งบรรทุกทีมนักฆ่ามหากาฬ วิ่งไล่หลังมา โดยที่เจ้าพ่อวงการมวย มิได้เฉลียวใจ


    ทันทีทันใดนั้น รถของคนร้าย ก็วิ่งปราดเข้าประกบข้าง แบบกระชับพื้นที่ นักฆ่ามหากาฬซึ่งเป็นมือปืน ที่นั่งอยู่กระบะหลัง

    มีผ้าคลุมหน้าเป็นไอ้โม่งแดง ปิดบังอำพรางโฉมหน้าที่แท้จริง สาดกระสุนปืนสงคราม ใส่รถของเจ้าพ่อแคล้วดังสนั่นหวั่นไหว

    เป็นชุด ประหนึ่งตกอยู่ในภาวะสงคราม จนรถที่วิ่งผ่านไปมา ต้องหลบภัยอย่างจ้าละหวั่น ด้วยเกรงว่าจะเจอลูกหลง


    เสร็จสิ้นการฆ่าแบบอำมหิตแล้ว รถที่บรรทุกทีมนักฆ่ามหากาฬ ก็พุ่งหลบหนีไปด้วยความเร็วสูง


    เหตุระทึกเขย่าขวัญ ชวนสยดสยองอย่างอุกอาจผ่านไปไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ ได้รับแจ้งเหตุ จึงได้รายงานให้

    ผู้บังคับบัญชาระดับสูง ทราบ


    ต่อมา พ.ต.อ. สุรัตน์ ยุทธโยธิน ผกก.ตำรวจภูธร จ.นครปฐม ในยุคนั้น พ.ต.ท. มาโนช จรดล สารวัตรใหญ่ และ

    พ.ต.ท. มนต์ชัย ตั้งมั่น สารวัตรปราบปราม จึงไปสอบสวน ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ยิงถล่มด้วยอาวุธสงคราม


    สถานที่พบคือ รถปิกอัพ อีซูซุ สีดำ หมายเลขทะเบียน ๑ณ – ๕๒๒๘ กรุงเทพมหานคร ที่ด้านข้างรถพ่นข้อความ

    “สมาคมมวยสมัครเล่น แห่งประเทศไทย” เจอกับอานุภาพของกระสุน จากอาวุธสงคราม เอ็ม ๑๖ อาก้า และ เครื่องยิง

    ลูกระเบิดเอ็ม ๗๙ เจาะทะลุทะลวงพรุนแทบทั้งคัน


    เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรวจสภาพภายในรถเหยื่อมรณะ พบศพของนายสกุลยุทธ ทองสายพาน หรือ “ตี๋ ดำเนิน” สมุนคู่กาย

    คู่ใจ ของเจ้าพ่อแคล้ว ธนิกุล นอนตายอยู่ตรงที่นั่งคนขับ ในสภาพหัวพิงพวงมาลัย มือขวากำปืน ๑๑ ม.ม.บรรจุกระสุนเต็มแม็กกาซีน แต่ไม่มีโอกาสที่จะยิงสู้หรือป้องกันตัว


    พบร่องรอย กระสุนปืนสงคราม เจาะกะโหลกจนเปิดมันสมองและเลือด ไหลทะลักออกมา แดงฉานอาบเบาะที่นั่งและพื้นรถ


    การตรวจสภาพรถที่เบาะหลัง พบศพของนายแคล้ว ธนิกุล หรือ “เฮียเหลา” นายกสมาคมมวยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ถูก

    กระสุนปืน แทบจะพรุนไปทั้งร่าง นอนตายซุกอยู่กับเบาะ เลือดไหลอาบเบาะและพื้นรถ


    จากการที่มือปืนอำมหิต เด็ดชีพเจ้าพ่อเมืองกรุง ด้วยการยิงอาวุธสงครามถล่ม พล.ต.อ. สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อ.ตร.

    ในสมัยนั้น ได้ส่งทีมพนักงานสอบสวน ฝีมือดีออกไปสืบสวนสอบสวน เก็บหลักฐาน และสอบปากคำพยานที่ประสบเหตุ

    เพื่อประกอบคดี และแกะรอยนักฆ่าอำมหิตกลุ่มนั้น


    แต่ก็เป็นเรื่องหนักใจ เพราะการปฏิบัติการของทีมนักฆ่า มีวิธีการประหนึ่งกับการได้รับการอบรมฝึกฝนยุทธวิธี มาจาก

    หน่วยรบบางหน่วย โดยมีเป้าหมายวิธีการไล่ล่า พออยู่ในพื้นที่ ที่เหมาะสม และสภาพทั่วไปอำนวยให้ ก็จะลงมือจัดการโดยฉับพลัน

    ตามแผนที่ได้วางไว้อย่างแยบยล


    ในฐานะนายกสมาคมมวยสมัคเล่นแห่งประเทศไทย เจ้าพ่อเมืองกรุง แคล้ว ธนิกุล หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “เฮียเหลา” หรือ

    เหลาสวนมะลิ ได้ปฏิบัติภารกิจ ในด้านการเปิดแข่งขัน มวยสากลสมัครเล่น ชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ เป็นภารกิจสุดท้าย

    ก่อนจะเดินทางไปตกเป็นเหยื่อมัจจุราช โดยเปิดการแข่งขัน ณ อาคารกีฬาเวสน์ สนามกีฬาไทย – ญี่ปุ่นดินแดง เสร็จสิ้นภารกิจ

    แล้ว จึงขึ้นรถพร้อมกับลูกน้องมือปืน เดินทางไปทำธุรกิจส่วนตัว ที่จังหวัดสมุทรสงคราม จนกระทั่งถูกมือปืนทมิฬ ตามล่าเด็ดชีพ

    ในที่สุด


    ช่วงที่นายแคล้ว ธนิกุล เจ้าพ่อเมืองกรุงถูกสังหาร เป็นช่วงที่สภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)กุมอำนาจรัฐอยู่

    และมุ่งหวังที่จะจัดระเบียบทางสังคม ขจัดเหล่าเจ้าพ่อมาเฟีย ที่สร้างปัญหาโดยละเมิดกฎหมาย รวมทั้งพฤติการณ์หารายได้นอกระบบ ด้วยวิธีการฟอกเงิน


    ประธาน รสช.สั่งล้างอิทธิพล ในช่วงเวลาดังกล่าว มี พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ปฏิบัติหน้าที่ประธาน รสช. และมีตำแหน่ง เป็น ผบ.ทหารสูงสุดประธาน รสช. ได้มอบนโยบาย ให้กรมตำรวจ สยบบรรดาเจ้าพ่อมาเฟียอิทธิพล และบรรดานายบ่อน ที่ตั้งบ่อนการพนัน เพื่อการฟอกเงิน


    นโยบายดังกล่าว ประธาน รสช. ได้สั่งให้ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงิน ทำรายงานสถานภาพทางการเงินของ

    เหล่ามาเฟีย ผู้มีอิทธิพล ที่บริหารกิจการทางการเงินนอกระบบ ประเภทฟอกเงิน โดยเบื้องต้น มีผู้อยู่ในบัญชี ๗ คน ซึ่ง ๑ ใน ๗ ที่อยู่

    ในบัญชีดำ มีนายแคล้ว ธนิกุล รวมอยู่ด้วย สุดท้ายเขาก็ถูกเด็ดหัว โดยกลุ่มมือปืนคลุมหน้า เป็นไอ้โม่งแดง ติดตามล่าสังหารบนเส้น ทางสายมรณะดังกล่าว เป็นที่น่าสังเกตว่า สัญญาณมรณะ ที่สื่อสารถึงเจ้าพ่อนครบาล “แคล้ว ธนิกุล” นั้น เขาถูกหมายปองเอาชีวิตด้วยปืน และ ระเบิด มาแล้ว ๒ ครั้งก่อนหน้านั้น แต่รอดตายมาได้ราวปาฏิหาริย์


    สัญญาณอันตราย ที่เกิดขึ้น ๒ ครั้ง ๒ ครา ทำให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่เมื่อดวงถึงฆาต ก็ถูกตามล่าสังหารจนตาย ทั้งๆ ที่ขณะถูกมือปืนยิงถล่มตายคารถ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ไปสืบสวนสอบสวน และชันสูติศพพบว่า เจ้าพ่อนครบาล อมพระเครื่องราคา แพงอยู่ในปาก เพื่อให้บารมีพระเครื่องคุ้มครอง ขณะที่ยังมีสติอยู่ แต่สุดท้าย พระก็ไม่คุ้มครองคนไม่ดี ที่ผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่ บนเส้น ทางเถื่อน บนเส้นทางสู่บัลลังก์เจ้าพ่อ บนถนนแห่งชีวิต ก่อนที่จะก้าวมาสู่ความเป็นเจ้าพ่อนครบาล “แคล้ว ธนิกุล ” เกิดที่ตำบลดอน มโหรา อำเภอบางคณฑี จังหวัดสมุทรสงคราม ในครอบครัวของคนไทย เชื้อสายจีน


    พอเริ่มเติบโตเป็นหนุ่ม เขาก็เดินทางเข้ากรุงเทพ เหมือนนักแสวงโชค ที่ไขว่คว้าหาความหวัง ในชีวิตตามประสาคนหนุ่ม

    โดยไปอาศัยอยู่กับพี่สาวที่สวนมะลิ ซึ่งเมื่ออยู่ที่บ้านพี่สาว เขาคบกับวัยรุ่น รุ่นราวคราวเดียวกัน จนมีเพื่อนสนิทหลายคน และเมื่อไปดู การซ้อมมวย ของนักมวยที่ค่ายสวนมะลิ ก็มีโอกาสได้รู้จักกับนักมวย หลายคน จนเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกัน ในเวลาต่อมา


    การเป็นผู้กว้างขวาง ในย่านสวนมะลิ ของแคล้ว ธนิกุล ส่อแววการเป็นหัวโจก เมื่อชีวิตของเขา แวดล้อมด้วยเพื่อนฝูง

    และลูกน้องหลายรูปแบบ มีทั้งนักมวย นักเลงใจถึงในพื้นที่


    จนกระทั่งต่อมา เขาได้รับฉายาว่า “เหลา สวนมะลิ” โดยบางครั้ง หรือทั่วๆ ไป มักจะเรียกชื่อเล่นของเขาว่า“เฮียเหลา”

    หรือเหลา สวนมะลิที่โด่งดัง


    ขณะที่เขาเริ่มฉายรังสีเจิดจ้า แวดล้อมด้วยสมุน และบริวารจำนวนมาก แคล้ว ธนิกุล ซึ่งปกติเป็นคนใจถึง ใจกว้าง

    และรักพวกพ้อง เมื่อขาดเงินอันเป็นปัจจัย เสริมบารมี จึงมองแนวทางหาเงิน ด้วยการเปิดบ่อนการพนัน อันเป็นวิธีการที่เรียกกัน

    ในยุคต่อมาว่า เป็นการ “ฟอกเงิน” เหมือนนำเงินจากใต้ดินขึ้นมา เพื่อการใช้จ่าย ดูเหมือนว่ากิจการดังกล่าว เป็นการท้าทายต่อ

    กฎหมายบ้านเมือง


    ชื่อเสียงของแคล้ว ธนิกุล หรือ “เหลา สวนมะลิ” จึงผงาดขึ้นมาในระดับแนวหน้า ของสังคมเมืองหลวง และ

    ทอรัศมีเจิดจ้าขึ้นไป อย่างไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้


    ความเป็นแคล้ว ธนิกุล เฮียเหลา หรือเหลา สวนมะลิ แผ่รัศมีเจิดจ้าร้อนแรงขึ้นต่อไป เมื่อเขาเข้าไปคลุกคลีในวงการมวย

    มีค่ายมวย “ส.ธนิกุล” เป็นของตนเอง และสร้างนักมวยแม่เหล็กขึ้นมาหลายคน


    ความน่าเชื่อถือ ในวงสังคมทั่วไป และวงการกีฬามวย ในตัวของเขาเพิ่มสูงขึ้น เมื่อได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมมวย

    สมัครเล่นแห่งประเทศไทย อันเป็นเสาหลักในวงการมวย ประกอบกับ แคล้ว ธนิกุล เป็นคนใจถึง ใจกว้าง ทุ่มเทและเสียสละ ทำให้

    วงการมวยสมัครเล่นของไทย ประสบกับความรุ่งโรจน์อย่างสูง เพราะบารมีของนายกสมาคมฯ


    พญาอินทรีสยายปีก

    ไม่เพียงแต่เท่านั้น บารมีของแคล้ว ธนิกุล ยังแผ่ขยาย เหมือนอินทรีสยายปีกไปยังวงการธุรกิจบันเทิงอันเป็นแหล่งผล

    ประโยชน์ ถึงขนาดว่าธุรกิจบันเทิงใด ที่ขัดแย้งและเป็นปรปักษ์ต่อกัน ส่อว่าจะเกิดความรุนแรง ในลักษณะหักล้างด้วยการใช้งานมือ ปืน เพื่อทำลายล้าง ก็มีบ่อยครั้ง ที่แคล้ว ธนิกุล เจ้าพ่อเมืองกรุงที่สูงส่งด้วยบารมี จะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยระงับศึกเลือดไม่ให้ปะทุขึ้น ซึ่งก็ได้ผลและนับเป็นผลดี แก่คนในวงการธุรกิจบันเทิง


    แล้วสุดท้ายของเส้นทางชีวิต ที่โลดแล่นอย่างกว้างขวาง แวดล้อมด้วยคนจงรักภักดี แม้แต่ลูกน้องที่เป็นมือปืนประจำตัว

    ที่พร้อมจะแลกชีวิตเพื่อลูกพี่ ก็ต้องพบจุดจบพร้อมกับอวสาน ปิดฉากชีวิตลง ของเจ้าพ่อเมืองกรุง นามว่า “แคล้ว ธนิกุล” โดยถูกยิง ถล่มด้วยอาวุธสงคราม ซึ่งไม่สามารถ เอาตัวผู้กระทำความผิด กลุ่มมือปืนไอ้โม่งแดง มาลงโทษได้


    ทุกอย่างจึงเหลือไว้เพียงตำนานชีวิต ของอดีตเจ้าพ่อเมืองกรุงหมายเลข ๑ “แคล้ว ธนิกุล” ให้เป็นอุทาหรณ์ สำหรับคนรุ่นหลัง ที่คิดจะใช้ชีวิตโลดแล่น บนเส้นทางสู่ความเป็นเจ้าพ่อผู้กว้างขวาง และมือปืน ซึ่งที่ผ่านมา จุดจบของชีวิตผู้โลดแล่นอยู่บนเส้นทาง ดังกล่าว ล้วนจบลงในลักษณะที่ไม่แตกต่างกันนัก


    หลายชนวนเหตุถูกฆ่า

    ในวงจรอุบาทก์ ของวงการเจ้าพ่อ นักเลงและมือปืนรับจ้าง แม้จะยิ่งใหญ่ด้วยอำนาจที่อยู่นอกระบบของกฎหมายบ้าน เมือง แต่ทุกย่างก้าวของชีวิต ที่เคลื่อนไหวนั้น ล้วนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ระหว่างความตายกับการประคองให้ชีวิตอยู่รอด โดยไม่ทราบว่าเมื่อไหร่กฎแห่งกรรม ตามหลัก ของศาสนา จะย้อนรอยสนองตอบ


    ชีวิตที่โลดแล่น อยู่ในอาณาจักรเจ้าพ่อ มาเฟียเมืองกรุงที่มากด้วยบารมี ของ แคล้ว ธนิกุล ก็ย่อมขึ้นอยู่กับการเสี่ยงเป็น

    เสี่ยงตาย อยู่ตลอดเวลา และประเด็นการถูกเด็ดหัว ก็มาจากปมประเด็นหลายด้าน ที่ล้วนแล้วแต่น่าเชื่อว่า เป็นชนวนเลือด ที่เนื่องด้วย พฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากล การหักล้างกัน ในยุทธจักรนักเลงและมือปืน


    ตัวอย่างที่เกิดขึ้น ที่เช่นกรณีความผยองฮึกเหิมของสมุน ที่เคยสังกัดในกลุ่ม อันธพาลครองเมือง ชุดจ๊อด เฮาดี้, ปุ๊ ระเบิดขวด เหลิงในอำนาจบนเส้นทางเถื่อนของเจ้านาย แสดงความฮึกเหิม ทำร้ายร่างกายบุตรชายนักการเมืองใหญ่รายหนึ่ง จนในที่สุดต้องระเห็จ หนีภัยไปอยู่ต่างประเทศ


    ชนวนเลือดล้างเลือด ประการต่อมา น่าจะมีเหตุจากการเบี้ยวการพนัน หนี้สินทางการพนันหลายสิบล้านที่ไม่ยอมจ่าย

    โดยหวังว่า คนที่คิดจะทวง ย่อมเกรงใจในบารมีอันเหลือล้นของเจ้าพ่อ อาจจะเป็นที่มาของการทวงหนี้ด้วยชีวิต ด้วยการลอบวาง

    ระเบิดในสนามมวยลุมพินี ทั้งการช่วงชิงความเป็นใหญ่ ในวงการเจ้าพ่อนักเลง จากคนกลุ่มอื่น ที่ลงขันกันเพื่อกำจัด ให้พ้นเส้นทาง

    ของพวกเขา


    ส่วนหนึ่ง มาจากต้องการเลื่อนอันดับตนเอง ของนักเลงรุ่นใหม่ ที่ต้องการผงาดขึ้นมาจึงแข็งเมือง ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติ

    ของเจ้าพ่อรุ่นใหญ่ ในที่สุด ก็ถูกเด็ดหัวตามธรรมเนียม ซึ่งมีการสันนิษฐานว่า การตายของเขา เกิดจากประกาศิตของเจ้าพ่อ จึงนำมาสู่การล้างแค้น


    เมื่อประมวลจากกรณีแวดล้อม หลายด้านจึงมีน้ำหนักไม่น้อย ที่ล้วนเป็นสาเหตุ ให้เจ้าพ่อเมืองหลวง คือ แคล้ว ธนิกุล

    พร้อมกับลูกน้องคนสนิท ด้วยฝีมือของกลุ่มมือปืน ที่ช่ำชองในการใช้อาวุธสงคราม.
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย HeLinHeaVx : 11th December 2012 เมื่อ 23:13


  2. #2
    — The Twilight Saga —
    วันที่สมัคร
    Aug 2011
    ที่อยู่
    # Bangkok,Thailand
    กระทู้
    1,319
    กล่าวขอบคุณ
    823
    ได้รับคำขอบคุณ: 3,591
    มาเป็นนิยายเลยแหะ ! เดี๋ยวมาอ่านละกัน

  3. #3
    ถูกระงับใช้งาน (Banned)
    วันที่สมัคร
    Jun 2012
    ที่อยู่
    อยู่เเม่งทุกที่
    กระทู้
    400
    กล่าวขอบคุณ
    107
    ได้รับคำขอบคุณ: 360
    อยากเห็นหน้า จอร์จ

  4. #4
    Bayou Country
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    New Orleans, LA, United States
    กระทู้
    5,932
    กล่าวขอบคุณ
    4,555
    ได้รับคำขอบคุณ: 8,950
    ตั้งชื่อ หยั่งกับ สามก๊ก =w=

  5. #5
    Mokona^Modoki
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    Alexsandia
    กระทู้
    640
    กล่าวขอบคุณ
    548
    ได้รับคำขอบคุณ: 658
    คืมผมอ่านยากมากเลยอ่าครับ ช่วยทำตัวใหญ่อีกหน่อยได้มั้ยอ่าครับ ขอบคุณครับ

    edit : ไม่มีอะไรแล้วครับเป็นที่ IE ผมเอง

  6. #6
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Aug 2011
    กระทู้
    1,710
    กล่าวขอบคุณ
    152
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,034
    อ่านจนจบเสียที มันเป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็คนล่ะเรื่องเลย
    0000000000000000000000

  7. #7
    Fabulous
    วันที่สมัคร
    Sep 2012
    ที่อยู่
    Earth
    กระทู้
    1,217
    กล่าวขอบคุณ
    188
    ได้รับคำขอบคุณ: 763
    อยากเห็นหน้าพี่จ๊อดตัวจริงจังเลยครับ -////-

    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ arada_vivi อ่านกระทู้
    คืมผมอ่านยากมากเลยอ่าครับ ช่วยทำตัวใหญ่อีกหน่อยได้มั้ยอ่าครับ ขอบคุณครับ

    edit : ไม่มีอะไรแล้วครับเป็นที่ IE ผมเอง
    IE

  8. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  9. #8
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Aug 2011
    กระทู้
    203
    กล่าวขอบคุณ
    70
    ได้รับคำขอบคุณ: 45
    ไม่เข้าใจ ทำไมนักเลงพวกนี้ถึงดังอะคับ เกิดไม่ทันยุคนั้น

    นักเลงมันก้มีมาทุกยุคทุกสมัย แต่ทำไมถึงดังเฉพาะพวกนี้ -*-

  10. #9
    ถูกระงับใช้งาน (Banned)
    วันที่สมัคร
    Jul 2012
    ที่อยู่
    GpS Cosplay Ganji Suzuran
    กระทู้
    1,596
    กล่าวขอบคุณ
    215
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,079
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ airgear อ่านกระทู้
    ไม่เข้าใจ ทำไมนักเลงพวกนี้ถึงดังอะคับ เกิดไม่ทันยุคนั้น

    นักเลงมันก้มีมาทุกยุคทุกสมัย แต่ทำไมถึงดังเฉพาะพวกนี้ -*-
    ชื่อก็บอกอยุ่อัธพาลครองเมือง เหมือนกับว่ากฏหมายเอาผิดไม่ได้ไงครับมันเลยดัง สมัยนี้เด็กตีกันตำรวจยังไล่จับได้ แต่สมัยโน้นมันยากไงครับ กว่าจะจับได้ตำรวจต้องตายไปหลายคน หรือมีการประทะกันหลายครั้งต่อครั้งและหลบหนีไปได้ทุกครั้ง จึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงดังในยุคนั้นเพราะมันเป็นยุคมีอิทธิพลไงครับ อัธพาลครองเมืองอ่ะน่ะ




    โฉมหน้าปุ๊ กรุงเกษม ครับ สามีคุณ แหวน ฐิติมา

  11. #10
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Mar 2012
    ที่อยู่
    Liverpool
    กระทู้
    1,399
    กล่าวขอบคุณ
    1,072
    ได้รับคำขอบคุณ: 3,670
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ theza2589 อ่านกระทู้
    อยากเห็นหน้า จอร์จ
    น้อย วงพรู ไงครับ

  12. #11
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    82
    กล่าวขอบคุณ
    37
    ได้รับคำขอบคุณ: 203
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ theza2589 อ่านกระทู้
    อยากเห็นหน้า จอร์จ

  13. #12
    You're like a Dead Sea!
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    Ram'53
    กระทู้
    1,837
    กล่าวขอบคุณ
    2,595
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,114
    อ่านสนุกดีครับ เอาซะเห็นภาพเลย
    Intel Core i5-2500 CPU @3.30GHz, 8.0GB RAM, NVIDIA GeForce GT 750

  14. #13
    「Kurumi Tokisaki」
    วันที่สมัคร
    Aug 2011
    ที่อยู่
    くるみ Kurumi !!!!!!
    กระทู้
    3,194
    กล่าวขอบคุณ
    1,912
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,832
    พูดตรงๆ น่ะแถวนี้****เถื่อนถ้าไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้ >>>>>//โดนถีบ

  15. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  16. #14
    ของแรง อย่าแซงทางเรียบ.
    วันที่สมัคร
    Oct 2012
    ที่อยู่
    มหสารคาม :)
    กระทู้
    1,050
    กล่าวขอบคุณ
    3,114
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,840
    แถวนี้แม่มยาว -_____- ไม่ชอบจริงมิงอ่านไม่ได้
    Fb : เซอร์บอย ไม่เผ็ด.

  17. #15
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    280
    กล่าวขอบคุณ
    205
    ได้รับคำขอบคุณ: 70
    มันส์มากๆครับ ใช้เวลาพอสมควรเลย

    อยากอ่านอีกครับ

  18. #16
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jun 2012
    กระทู้
    1,235
    กล่าวขอบคุณ
    1
    ได้รับคำขอบคุณ: 6,836
    ดันครับ ^^'

  19. #17
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    144
    กล่าวขอบคุณ
    343
    ได้รับคำขอบคุณ: 17
    นี่คือหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์เมืองไทยครับผม


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top