จากที่ได้นำเสนอไปในกระทู้ที่แล้วเกี่ยวกับ APC รุ่นต่างๆที่มีประจำการในกองทัพไทย แต่ผมยังไม่ได้นำเสนอเจ้าน้องใหมในกองทัพไทย
หรือที่หลายๆคนก็รู้กันดี นั่นคือ BTR-3E1 ซึ่งตั้งแต่การเริ่มจัดหาเมื่อ 5 ปีที่ เราก็มักจะได้ยินข่าวด้านลบ หรือข่าวเท็จต่างๆเรื่อยๆ
ดังนั้น ผมจึงจะขอนำเสนอข้อมูลตั้งแต่การเริ่มต้นคัดเลือกยานเกราะล้อยางของกองทัพบกกันเลย
ว่าเจ้า BTR-3E1 นั้นต่อสู้ฝ่าฟันกับรถเกราะยี่ห้ออื่นๆจนได้รับการคัดเลือกได้อย่่างไร
ความพยายามจัดหายานเกราะล้อยางของกองทัพบก เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ในคราวนั้นมียานเกราะจากบริษัทต่างๆเข้าแข่งขันกันถึง 9 แบบ ตามตารางที่ปรากฏครับ
โดยในรอบนั้น APC ที่ชนะการแข่งขันคือ LAV's จากแคนนาดา ซึ่งคือ LAV-III เอาป้อมปืน 25 mm ออกไปเพื่อสามารถบรรทุกกำลังพลได้ 11 คนตามความต้องการของกองทัพ
ภาพของ LAV-III
ภาพของ Stryker ซึ่งน่าจะเหมือนๆกับ LAV's
แต่!!!ปัญหาก็เกิดขึ้น เพราะว่าเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจขึ้น ทำให้กองทัพไม่สามารถของอนุมัติงบประมาณมาจัดหาได้ เจ้า LAV's จึงชวดไป
แล้วต่อมา ในปี 2547 สมัยนายก ทักษิณ ได้มีการอนุมัติให้จัดหาอีกครั้ง ภายใต้กรอบที่ว่าประเทศคู่สัญญาต้องยอมรับการจัดหาแบบแลกเปลี่ยนสินค้า
ซึ่งประเทศจีนเป็นประเทศเดียวที่รับข้อเสนอนี้ โดยสินค้าที่ไทยเสนอแลกเปลี่ยนกับ รถเกราะ WZ-552(รุ่นขยายเป็น 8x8 ของ WZ-551) คือ ลำไย!!!
ซึ่งโครงการก็มีอันล้มไปอีกรอบ เนื่องจากมีการทุจริตลำไย ทำให้ไม่สามารถตกลงราคาต่อกิโลกรัมของลำไยที่แน่นอนกับจีนได้ เจ้า WZ-552 ก็ชวดไปอีกราย
ภาพของ WZ-551
ต่อมาในปี 2550 ทางกองทัพได้ทำการพิจารณาแบบรถอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มีบริษัทใหม่ยื่นแบบบมาเข้าร่วมแข่งขันเพิ่ม 1 บริษัท
นั่นคือ บริษัท KMDB ยื่นแบบเจ้า BTR-3E1 เข้าแข่งขันนั่นเอง ซึ่งด้วยราคา ประสิทธิภาพ ของมัน ทำให้ชนะการแข่งขันไปทันที
โดยกองทัพได้เซ็นสัญญาจัดซื้อ 96 คัน แล้วบริษัท ก็แถมมาอีก 5 คัน(แบบลำเลียง 4+ กู้ซ่อม 1) ทำให้ในล็อตนี้ กองทัพจะได้ทั้งสิ้น 101 คัน
ซึ่งหลังจากเซ็นสัญญาได้ไม่นาน ก็มีคนวิ่งไปฟ้อง สตง. ว่า BTR-3E1 นั้นบรรทุกได้แค่ 3+6 ไม่ใช้ 2หรือ3+11 คนต่างที่กองทัพบกต้องการ
แต่กองทัพก็ได้ชี้แจงกับ สตง.ว่า ข้อมูลที่ขึ้นโดนทั่วไปนั้นเป็นของ BTR-3U รุ่นเก่า ซึ่งแต่ต่างจากแบบ E1 ตรงที่ระบบป้อมปืนของ E1 ไม่ใช้ปืนที่ในตัวรถ
ทำให้มีที่ว่างเพิ่มขึ้น จนบรรทุกกำลังพลได้ครบตามความต้องการ
ลักษณะป้อม Shturm
แต่!!!เนื่องด้วย ตอนนั้นรัฐบาลของเราเป็นรัฐบาลทหารที่มาจากการปฏิวัติ ทำให้เยอรมัน งดขายเครื่องยนต์ Deutz BF6M 1015
อันเป็นเครื่องยนต์ตามสัญญาการซื้อ ทำให้ไทยและยูเครน ต้องตั้งกรรมการพิจารณาหาเครื่องแบบใหม่มาใช้แทนเครื่องยนต์เจ้าปัญหาตัวนี้
แน่นอนว่า การจัดหาเครื่องยนต์จากแหล่งใหม่ นั้นโดนโจมตีจากหลายฝ่ายว่า ทุกจริตบ้างหละ เข้าเครื่องเรือมาใส่แทนบ้างหละ(จาก astv)
แต่สุดท้าย จากการที่ สตง. ได้ไปตรวจสอบ รถ BTR จำนวน 22 คันที่มาถึงไทย เครื่องยนต์ที่ปรากฏออกมาต่อหน้าคือ
เครื่อง mercedes MTU 6R106TD21 จัดหาจากอเมริกา ให้แรงม้าได้สูงสุด 325 แรงม้า ซึ่งน้อยกว่าของ Deutz แต่ให้รอบเยอะกว่า+กินน้ำมันน้อยกว่าแทน(2 km/L)
หลังจากผ่านวิกฤตเครื่องยนต์ไปเรามาดูว่าอะไรทำให้เจ้า BTR-3E1 ชนะรถเกราะจากเจ้าอื่นดีกว่า
1. ระบบอาวุธที่เทียบชั้นได้กับพวก IFV อย่าง M2 Bradley หรือ BMP-3
ภาพกระสุน 30 mm ลูกระเบิด 30 mm กับ กระสุน 7.62(สองอันหลังพาดอยู่ที่พี่ทหาร)
2.ราคาต่อคัน ที่ถือว่าถูกมาก ประมาณคันละ 1.2ล้าน$ เทียบกับ BTR-80A ราคาประมาณ 1.4ล้าน$ หรือ LAV-300 ที่ราคาสูงถึง 3.5ล้าน$(ไอ้บ้านี่คันนึง ซื้อ BTR-3 ได้ 3 คัน)
3.ความสามารถในการกันกระสุน ด้านหน้า กันกระสุนขนาด 20 mm ที่ระยะ 100 เมตร ด้านข้างกัน 7.62 ได้ถึงระยะจ่อยิงก็ยังไม่เข้า(แต่ .50 เขาไม่ได้ระบุระยะไว้น่าจะประมาณ 100เมตร)
แต่ทั้งนี่ BTR-3E1 สามารถติดตั้งเกราะเสริม Kevlar กันกระสุนเพิ่มได้อีก
4.ความน่าเชื่อถือของบริษัท หลายคนอาจสงสัยว่า บริษัท KMDB ยูเครนประเทศที่ไม่ค่อยได้ยินชื่อเนี้ย ทำไมถึงมีความน่าเชื่อถือนักละ
คำตอบคือ ในสมัยโซเวียต ยูเครนคือแหล่งวิจัยและผลิตรถถังหลักๆของโซเวียตเลยหละ ทั้ง T-34 T-44 T-54 T-64 T-80 รวมถึง BTR อีกหลายรุ่น ต่างเกิดที่นี่
ดังนั้น บริษัท KMDB จึงถือว่าเชื่อถือได้
ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาคือสิ่งที่ทำให้ BTR-3E1 เข้ามาเป็นยานเกราะ ประจำกรมทหารราบยานเกราะ ของกองทัพไทย
สุดท้ายภาพ เจ้าหน้าที่กองทัพ ไปตรวจสอบการผลิตถึงยูเครน
credit: thaiarmedforce.com
http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...oup=1&gblog=58
http://thaidefense-news.blogspot.com...tr-3e1-22.html
http://topicstock.pantip.com/wahkor/...X12735611.html