เหรียญชัยสมรภูมิ (การรบที่เวียตนาม)
เหรียญชัยสมรภูมิ เป็นโลหะกลม ด้านหน้ามีพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกำลังทำยุทธหัตถีกับราชศัตรู มีอักษรย่อที่ริมขอบว่า "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กู้ชาติ" ด้านหลังเป็นรูปจักร กลางจักรมีอักษรว่า "เรารบเพื่อเ...กียรติศักดิ์ไทย" ซึ่งเหรียญชัยสมรภูมิการรบ ณ สาธารณรัฐเวียตนาม จะมีแพรแถบสีเหลือง มีริ้มสีแดงที่ขอบ และถัดจากริ้วสีแดงเข้าไปเป็นริ้วสีขาวทั้งสองข้าง ข้างบนมีเข็มโลหะรูปคทาจอมพลจารึกอักษรว่า "ชัยสมรภูิมิ"
ทหารไทยในสงครามเวียตนาม พ.ศ. 2506 - พ.ศ. 2516
หลังจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ พ.ศ. 2506 จอมพล ถนอม กิตติขจร รองนายกรัฐมนตรีเข้ารับตำแหน่งแทน ไทยผูกพันตนเองกับอเมริกา และสงครามเวียดนามมากยิ่งขึ้น ในต้นปี พ.ศ. 2507 หลังจากที่จอมพลถนอม กิตติขจร ขึ้นมาบริหารประเทศได้เพียงไม่กี่เดือน แผนยุทธศาสตร์ของอเมริกาที่จะบุกโจมตีเวียดนามเหนืออย่างรุนแรง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานทัพปฏิบัติการของอเมริกา เช่น ตาคลี อุดรธานี นครพนม อุบลราชธานี นครราชสีมา อู่ตะเภา น้ำพอง ดอนเมือง สัตหีบ กาญจนบุรี สกลนคร และพิษณุโลก ขณะที่อเมริกาทำสงครามในเวียดนามอย่างเต็มทีนั้น มีทหารอเมริกันประจำอยู่ในเมืองไทยถึง 49,000 คน และมีเครื่องบินประมาณ 600 ลำ
ลำดับเหตุการณ์
ปี พ.ศ. 2507
ประธานาธิบดี ตรันวันมินห์ แห่งเวียดนามใต้ได้ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย โดยขอให้ฝึกหัดนักบินของกองทัพอากาศเวียดนามใต้ ที่ส่งเข้ามาฝึกในประเทศไทย
ไทยเข้ารบในสงครามเวียดนาม โดยส่งทหารอากาศเข้าไปในเวียดนามใต้ และส่งทหารเรือในปีต่อมา ในที่สุดส่งทหารบกหน่วยจงอางศึก และหน่วยกองพลเสือดำ นอกจากนี้ยังมีทหารอาสาสมัครประเภทรับจ้างชั่วคราว คือ ทหารเสือพราน เข้าไปปฏิบัติการในลาวร่วมกับกองทัพลาวเผ่าแม้ว
ปี พ.ศ. 2509
รัฐบาลเวียดนามใต้ได้ขอความช่วยเหลือทางทหารจากไทยเพิ่มเติม โดยขอให้จัดส่งเรือไปช่วยปฏิบัติการลำเลียง และเฝ้าตรวจบริเวณชายฝั่ง ป้องกันการแทรกซึมทางทะเลให้แก่ เวียดนามใต้ และในปีเดียวกัน ก็ได้ขอกำลังจากกองทัพบกไทย เพื่อช่วยยับยั้งการคุกคามของเวียดนามเหนือ
รัฐบาลไทยให้ความช่วยเหลือเวียตนามใต้ โดยกองทัพอากาศทำการฝึกนักบินไอพ่นให้กับทหารอากาศเวียดนามใต้ ซึ่งเข้ามารับการฝึกในประเทศไทย ตั้งแต่กันยายน 2507 - กุมภาพันธ์ 2508 รวม 7 รุ่น ๆ ละ 4 คน รวม 28 คน
ให้กองทัพอากาศส่งหน่วยบิน ประกอบด้วยนักบินเครื่องบินลำเลียง 10 คน ช่างอากาศ 6 คน ไปสนับสนุนกองทัพอากาศ เวียดนามใต้ ทำการบินลำเลียงด้วยเครื่องบินลำเลียงแบบ C - 47 เมื่อกันยายน 2507 เรียกนามรหัสหน่วยนี้ว่า หน่วยบินวิคตอรี (Victory Wing Unit)
จัดตั้งกองบังคับการหน่วยช่วยเหลือทางทหารในสาธารณรัฐเวียดนามขึ้นในกรุงไซ่ง่อน เมื่อพฤศจิกายน 2508 เพื่อควบคุมการปฏิบัติงานของหน่วยบินวิคตอรี ร่วมกับฝูงบินลำเลียงที่ 415 เวียดนามใต้
ไทยส่งเรือหลวงพงัน ซึ่งเป็นเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ และเรือ ต. 12 ซึ่งเป็นเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งไปร่วมปฏิบัติการใน เวียดนามใต้ โดยขึ้นสมทบกับหน่วยบริการทางทะเล ทางทหารสหรัฐฯ ประจำกรุงไซ่ง่อน และกองเรือเฉพาะกิจที่ 115 ตามลำดับ เรียกนามรหัสว่า ซีฮอร์ส (Sea Horse Task Element)
ปี พ.ศ. 2510
ไทยจัดกำลังรบภาคพื้นดินในอัตรากรมทหารอาสาสมัคร ไปปฏิบัติการใน เวียดนามใต้ ภายหลังได้รับนามรหัสว่า จงอางศึก (Queen's Cobra Unit) นับเป็นกองกำลังหน่วยแรกของกองทัพบกที่ปฏิบัติการรบในสงครามเวียดนาม
ต่อมาเมื่อพฤษภาคม 2510 ก็ได้เพิ่มกำลังจากขนาดกรมเป็นกองพลในชื่อเดิม คือ กองพลทหารอาสาสมัคร จากนั้นก็ได้ปรับปรุงกองบังคับการหน่วยช่วยเหลือทางทหาร ในสาธารณรัฐเวียดนาม เป็นกองบัญชาการกองกำลังทหารไทย ในสาธารณรัฐ เวียดนาม คำย่อว่า บก.กกล. ไทย/วน. เป็นหน่วยขึ้นตรงกองบัญชาการทหารสูงสุด
บก.กกล.ทหารไทยในสงครามเวียตนามผลัดที่ 1
จัดตั้งขึ้นเมื่อ 28 มิถุนายน 2510 โดยมี พลตรี ยศ เทพหัสดินทร์ ณ อยุธยา เป็นผู้บัญชาการ มีที่ตั้งชั่วคราวอยู่ที่กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า เชิงสะพานเกษะโกมล ถนนอำนวยสงคราม กรุงเทพ ฯ กำลังพลในกองบัญชาการกองกำลังทหารไทย ฯ ผลัดที่ 1 ออกเดินทางตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงเดือนสิงหาคม 2510 จึงเข้าที่ตั้งเสร็จ ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจได้ครบถ้วน สมบูรณ์ตามที่ได้รับมอบหมายทุกประการ ตามสายการบังคับบัญชาของชาติซึ่งประกอบไปด้วย กองบัญชาการกองกำลังทหารไทย กรมทหารอาสาสมัคร หน่วยเรือซีฮอร์ส และหน่วยบินวิคตอรี
พ.ศ. 2511
เมื่อครบกำหนด 1 ปี และเมื่อกองบัญชาการกองกำลังทหารไทย ฯ ผลัดที่ 2 เดินทางไปรับหน้าที่ เมื่อ 25 กรกฎาคม 2511 แล้ว ก็เดินทางกลับประเทศไทยเป็นส่วน ๆ โดยเครื่องบินลำเลียงของสหรัฐฯ ดำเนินกรรมวิธีส่งกำลังพลคืนต้นสังกัด จนแล้วเสร็จเมื่อ 15 กันยายน 2511
บก.กกล.ทหารไทยในสงครามเวียตนามผลัดที่ 2-5
ผลัดที่๒ พลโท ฉลาด หิรัญศิริ เป็นผู้บัญชาการ แบ่งการเดินทางโดยเครื่องบินลำเลียงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เสร็จสิ้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2511 นอกจากปฏิบัติการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายแล้ว ยังได้ทำการช่วยเหลือประชาชน โดยจัดชุดแพทย์ ทันตแพทย์ และเจ้าหน้าที่ผลัดกันออกไปปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเวียดนามใต้ ณ สถานพยาบาลตูดึ๊ก จังหวัดยาดินห์ เป็นประจำทุกวัน เพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนอีกด้วย เมื่อปฏิบัติหน้าที่ครบ 1 ปี และผลัดที่ 3 มารับหน้าที่แล้ว จึงเดินทางกลับโดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือส่วนที่ 1 จำนวน 89 คน ส่วนที่ 2 จำนวน 60 คน ส่วนที่ 3 จำนวน 60 คน ส่วนที่ 4 จำนวน 18 คน เดินทางโดยเครื่องบินกลับถึงประเทศไทยเสร็จสิ้นเมื่อ 31 กรกฎาคม 2512
ปี พ.ศ. 2513
ผลัดที่ 3 พลโท เชวง ยังเจริญ เป็นผู้บัญชาการ การเดินทางไปแบ่งออกเป็น 4 ส่วน เดินทางโดยเครื่องบินเสร็จสิ้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2513 การปฏิบัติการตามภารกิจที่ได้รับมอบคงเป็นเช่นเดียวกับผลัดที่ 2 เมื่อปฏิบัติการครบกำหนด 1 ปี และผลัดที่ 4 ไปรับหน้าที่แล้วจึงเดินทางกลับ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน เดินทางโดยเครื่องบิน เสร็จสิ้นเมื่อ 21 กรกฎาคม 2513
ผลัดที่ 4 พลโท เสริม ณ นคร เป็นผู้บัญชาการ การเดินทางไปแบ่งเป็น 4 ส่วน เดินทางโดยเครื่องบิน เสร็จสิ้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2513 การปฏิบัติการตามภารกิจที่ได้รับมอบคงเป็นเช่นเดียวกับผลัดที่ ๓ เมื่อปฏิบัติการครบ 1 ปี และผลัดที่ 5 มารับหน้าที่แล้วจึงเดินทางกลับ โดยแบ่งเป็น 4 ส่วน เดินทางโดยเครื่องบินเสร็จสิ้นเมื่อ 31 กรกฎาคม 2514
ปี พ.ศ. 2514
ผลัดที่ 5 พลตรี ทวิช บุญญาวัฒน์ เป็นผู้บัญชาการ การเดินทางไปแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เดินทางโดยเครื่องบินเสร็จสิ้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2514 ในปลายปี พ.ศ.2513 รัฐบาลไทยเริ่มคิดจะถอนกำลังทหารไทยในเวียดนามใต้กลับประเทศไทย ได้มีการปรึกษาหารือกับกองบัญชาการทหารสูงสุดเวียดนามใต้และรัฐบาลเวียดนามใต้ จนได้ข้อยุติในการถอนกำลังกลับ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกเริ่มถอนในเดือนกรกฎาคม 2514 ส่วนที่เหลือในเดือนกันยายน 2515 สำหรับหน่วยเรือซีฮอร์ส เรือ ต.12 จะกลับในเดือนพฤษภาคม 2514 เรือหลวงพงันจะกลับในเดือนเมษายน 2515 ส่วนหน่วยบินวิคตอรี จะถอนกำลังกลับหมดในเดือนธันวาคม 2514 กองบัญชาการทหารไทยฯ ผลัดที่ 5 จะไปปฏิบัติการเพื่อควบคุมการถอนกำลังทหารไทยกลับ อยู่จนถึงเดือนเมษายน 2515
หลังจากนั้นรัฐบาลไทยจะส่งหน่วยขนาดเล็กที่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือกับฝ่ายโลกเสรี ประจำในเวียดนามใต้ต่อไป การถอนกำลังกลับประเทศไทย ส่วนใหญ่เดินทางโดยเครื่องบินลำเลียงแบบ C -130 ของสหรัฐฯ ส่วนสิ่งของส่งไปกับเรือหลวงพงัน โดยแบ่งการเดินทางเป็น 3 ส่วน เสร็จสิ้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2515
เมื่อกองบัญชาการกองกำลังทหารไทย ฯ และกองกำลังทหารไทยทั้งหมด ต้องถอนกำลังกลับประเทศไทยในกลางเดือนพฤษภาคม 2515 กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า จึงได้ตั้งสำนักงานผู้แทนทหารไทยในสาธารณรัฐเวียดนาม (สน.ผทท.ไทย วน.) ขึ้น มีกำลังพล 38 คน มีพันเอก ชูวิทย์ ช.สรพงษ์ เป็นหัวหน้าสำนักงาน เดินทางไปปฏิบัติงานเมื่อ 1พฤษภาคม 2515 และรับมอบหน้าที่ในการติดต่อประสานงานกับกองกำลังฝ่ายโลกเสรี ที่ยังคงอยู่ในเวียดนามใต้
เมื่อปฏิบัติได้เกือบครบ 1 ปี สถานการณ์ในเวียดนามใต้ เข้าสู่สภาพคับขันยิ่งขึ้น กองบัญชาการทหารสูงสุด จึงได้มีคำสั่งให้ปิดสำนักงานนี้ แล้วส่งมอบงานการติดต่อประสานงานต่าง ๆ ให้กับสำนักงานผู้ช่วยทูตทหารไทย ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงไซ่ง่อน และให้กำลังพลเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อ 2 มีนาคม 2516 เป็นการยุติการปฏิบัติการรบของทหารไทยในเวียดนามใต้ตั้งแต่นั้นมา
เครดิตร http://www.oknation.net
แถม
วิญญาณทหารไทยในเวียดนาม
พอดีผมเปิดกูเกิ้ลหาการต่อสู้ในสงครามครั้งหลังๆของทหารไทย ก็ไปเจอ อันนี้อยู่ในเวปพลังจิต ยังงัยก็ใช้วิจารณญาณกันเองนะครับ
"..ผู้กองครับ..พาผมกลับบ้านที.."
*เรื่อง นี้ผมย่อมาจากบทเขียนเรื่องเล่าชีวิตส่วนตัวของ พล.ต ผู้ช่วยฑูตทหารไทยประจำต่างประเทศท่านหนึ่งในหนังสือศิทย์เก่าของเวสพอยท์ ภาคเอเชียแปซิฟิค ที่รวมเล่มอยู่ในหนังสือประจำปีของ ฟอร์ทลีเวนเวิร์ธ อ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนนะครับ ผมเห็นว่ามันแปลกดีก็เลยเอามาถ่ายทอดให้อ่านกัน ที่ไม่เขียนชื่อท่านเจ้าของเรื่องนั้นเพราะ ด้วยหน้าที่และฐานะที่ท่านดำรงอยู่นั้นไม่เหมาะที่จะแพร่ไปในแง่นี้* ***เริ่มเลยละกันนะ***
*เมื่อห้าปีที่แล้ว ผมมีโอกาสได้ไปประเทศเวียดนาม จากคำเชิญของนายทหารระดับสูงของเวียดนามการไปครั้งนี้เป็นการไปแบบส่วนตัว เป็นการตอบแทนที่ครั้งนายทหารเวียดนามผู้นั้นมาประเทศไทยและผมก็คอยอำนวย ความสะดวกให ้กับเขา เขาเลยอยากชวนผมไปเที่ยวบ้านเขาบ้าง*
**เมื่อไปถึงนั้น เขาพาผมเที่ยมชมสถานที่ต่างๆในหลายๆเมือง โดยเฉพาะเมืองที่ทหารไทยเคยมารบในสมัยสงครามเวียดนาม เช่น ลองถั่น โนนทรัค ฟุคโถ ฯลฯ รวมทั้งพาชมมิวเซี่ยมทางทหารต่างๆสถาพหมู่บ้าน อำเภอ ที่ทหารไทยเคยมาอยู่ ท่านนายพลท่านนั้นบอกกับผมว่า ยังคงสภาพเหมือนสมัยสงครามแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย เมื่อมาชมแล้วก็พาให้นึกถึงฉากการรบต่างๆที่ทหารรุ่นหลังอย่างผมได้เพียงแค่ อ่า นจากตำราและหนังสือต่างๆ ในใจคิดไปว่า ทหารไทยไม่น่าจะต้องมาตายที่นี่ ทั้งนายทหาร ทั้งนายสิบ ก็หลายร้อยคนอยู่ เกิดเมืองไทยแต่ต้องมาตายเพื่อบ้านอื่นเมืองอื่นแท้ๆ น่าสงสารจริงๆ *ป่านนี้ดวงวิญญาณจะอยู่ที่ไหนหนอ ไทยหรือเวียดนาม* พอคิดได้เท่านี้ก็เกิดลมพัดเย็นซู่แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ท่านนายพลหันมามองหน้าผมแล้วบอกว่า วิญญาณทหารไทยคงดีใจที่มีทหารไทยเหมือนกันมาเยี่ยมพวกเขา**
***คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายก่อนที่พรุ่งนี้ผมจะกลับเมืองไทยผมพักที่บ้าน รับรองที่ทางท่านนายพลจัดเตรียมไว้ให้ อยู่ในอำเภอลองถั่น จังหวัดเบียนหว่า ไม่ไกลจากสมรภูมิเดือดฟุคโถ เท่าไรนัก(ห่างประมาณ ๑๕-๒๕ กม.)คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับ จึงออกมายืนบริเวณนอกชานบ้านพักชั้นสอง เวลาประมาณ ตี ๑ กว่าๆได้มั้ง จู่ๆอากาศที่เย็นสบายกลับมีลมแรงเหมือนฝนจะตก ผมรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างประหลาด หันหลังกลับจะเดินเข้าห้อง พลันในหูแว่วได้ยินเสียงปืน เหมือนมีการยิงกันแว่วๆอยู่ไกล เสียงปืนดังเป็นชุดๆสลับด้วยเสียงวี๊ดของลูกระเบิด นาทีนั้นผมขาแข็ง ตัวชา ใจอยากเดินกลับเข้าห้อง แต่ขามันไม่ยอมเดิน แล้วสายตาที่มองเข้าไปในบ้านก็มองเห็นภาพสะท้อนจากกระจกเงาบานใหญ่ในห้อง ภาพทหารในชุดสนามสีเขียวจางๆนับได้ ๖ คนยืนถือปืนทำท่าวันทยาวุธหน้ากระดานเรียงหกมองมาทางผม ทั้งหกยืนอยู่บนเนินสนามหญ้าหน้าบ้านพัก ผมหันหลังขวับหันไปมองทันที ไม่มี ไม่มีอะไรเลย มีแต่เนินสนามหญ้าว่างเปล่า ลมก็สงบบรรยากาศเงียบสนิท ไม่มีเสียงแมลงกลางคืน ไม่มีหมาหอน เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น***
****คืนนั้นผมสับสน ใจคิดถึงแต่เรื่องภาพที่เห็นในกระจก คิดไป เราเครียดรึเปล่า เราคิดถึงแต่เรื่องสงครามในอดีตมากไปรึเปล่า ตาเลยฝาด แต่บอกตรงๆว่าภาพมันชัดเจน ชัดมากจนเห็นสีหน้าของทหารทั้ง ๖ คนนั้นได้ทั้งที่ระยะไกลประมาณนั้น และยังสะท้อนจากกระจกอีก สีหน้าทุกคนเศร้าหมอง แต่ทุกคนท่าทางเข้มแข็ง ที่สำคัญคือ ทหารเวียดนามไม่ได้ใช้ปืนเอ็ม ๑๖ ผมนอนคิดพิจารณาจนหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แล้วก็ฝัน ในความฝันนั้น ผมรู้สึกว่ามันชัดเจนจนเหมือนตื่นอยู่ ในฝันนั้นผมแต่งชุดสนามเขียวสะพายปืนเฉียง ยืนอยู่ใต้ต้นตาล มีทหาร ๖ คนยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ตรงหน้าผม คนหัวแถวพูดกับผมว่า "..ผู้กองครับ พาพวกเรากลับบ้านที.. พวกเราอยู่ที่นี่มานานเหลือเกิน พวกเราหิวโหย ต้องต่อสู้กับพวกอื่นเพื่อรักษาฐานไว้ พวกเราต้องสู้กับมันทุกวันทุกคืน พวกเราไม่ยอมแพ้ แต่พวกเราอยากกลับบ้าน ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเรา เรารอผู้กองมานานแล้ว.. ผู้กองเคยบอกพวกเราว่าผู้กองจะไม่ทิ้งพวกเรา.." จากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีก ในฝันนั้นผมน้ำตาไหลรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า เมื่อรู้สึกตัวตื่นมา น้ำตายังเปียกหน้าอยู่เลย****
*****ตื่นมา ๗ โมงกว่า นั่งทบทวนความฝันเมื่อคืน ยิ่งสับสนหนัก เพราะสงสัยทำไมในฝันทหารพวกนั้นเรียกผมว่าผู้กอง ทั้งที่ตอนนั้นผมเป็นพันเอก แต่ก็เริ่มเอ่ะใจ รู่สึกไม่ชอบมาพากลบางอย่าง จนกระทั่งท่านนายพลมารับเพื่อเลี้ยงอาหารเช้าและเพื่อไปส่งผมกลับที่สนามบิน ผมบอกท่านว่า เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ ฝันก็แปลก ท่านนายพลตอบผมว่า ผมเตรียมทุกอย่างไว้ให้คุณพาพวกเขากลับบ้านแล้ว ผมงี้ตกใจแทบตกเก้าอี้ ท่านพูดต่อว่า นายทหารที่นี่โดนกันจนไม่มีใครกล้ามาพัก ผมเองก็เคย เขามาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า เขาอยากกลับบ้าน ผมเลยคิดว่าถ้าคุณมาเวียดนาม ผมจะให้คุณมาพักที่นี่ เพื่อให้คุณซึ่งเป็นทหารไทยเหมือนพวกเขาได้สัมผัสและช่วยเหลือพวกเขา เราลองมาแล้วทุกวิธีก่อนที่คุณจะมา แต่พวกเขาก็ไปไม่ได้ ซินแสอาจารย์ของผมท่านบอกว่า ดวงวิญญาณทหารไทยเหล่านี้จิตยึดติดอยู่กับสัญญา ต้องให้พวกพ้องเขาเท่านั้นที่จะปลดปล่อยเขาได้*****
******สิ่งที่ท่านนายพลเตรียมไว้ให้คือ ธูปเทียน และรูปของทหารไทยทุกคนในหนังสือที่มาประจำที่ฐานนี้ โดยให้ผมตั้งจิตและเอ่ยเรียกชื่อทหารทุกคนในหนังสือ(เพราะเราไม่รู้ว่าคน ไหน)ซึ่่งมีรายชื่อทหารทั้งหมด ๑๐๕ คน แต่ผมคัดเพราะผมจำได้จากในฝันว่า เป็นเป็นจ่าสิบเอก ๑ คน(คนนี้แหล่ะที่พูดกับผมในฝัน)สิบเอก ๒คน พลทหาร๓ คน ก็เลยเอ่ยแต่ชื่อ จ่าสิบเอก สิบเอก พลทหาร ซึ่งก็น้อยลงไปแยะ ระหว่างตั้งจิตอฐิษฐานอยู่นั้น ลมแบบเมื่อคืนมาอีกแล้วพัดเหมือนฝนจะตก สักพักก็สงบ ผมเห็นสีหน้าท่านนายพล และนายทหารเวียดนามท่านอื่นพออกพอใจกันถ้วนหน้า แล้วสิ่งที่เหมือนปาฎิหารย์ก็เกิดจนได้ อฐิษฐานเสร็จ ปักธูปลงบนดินปุ๊บ พอผมวางหนังสือ(เล่มขนาดสมุดโทรศัพท์)ลงบนโต๊ะ ลมพัดกรรโชกอย่างแรง หนังสือเปิดพรึบๆๆๆ พอลมสงบ ปรากฎว่าหน้าที่ลมพัดเปิดค้างอยู่นั้น คือหน้าที่บรรยายการรบในคืนที่ทั้ง๖เสียชีวิตไว้เป็นภาษาเวียดนามว่า *เวลา ๗ โมงเช้า กำลังทหารไทย-อเมริกัน เข้าเคลียร์พื้นที่บริเวณปะทะ พบศพทหารไทย ๖ นาย เป็นเป็นจ่าสิบเอก ๑ นาย สิบเอก ๒ นายพลทหาร ๓ นาย บาดเจ็บสาหัส ๙ คน ศพเวียดกง ๙๕ ศพ และได้ทำการเคลื่อนย้ายศพทหารไทยทั้ง ๖ นาย มายังจุดบราโว่ ๑(ที่ๆผมยืนอยู่นี่เอง โอ้ว แทบช๊อคตอนนั้น) เพื่อเตรียมส่งขึ้น ฮ.ชีนุค ของอเมริกันกลับฐานแบร์แคท******
*******เมื่อกลับเมืองไทยวันแรก ผมรีบค้นคว้าเรื่องการรบที่ฟุคโถอย่างละเอียด ผลคือ ใน ๙ คนที่บาดเจ็บสาหัสในการรบมาราธอนกว่า ๘ ชั่วโมงนั้น(เวียดกงประมาณ ๖๐๐ คนเข้าโจมตีฐานทหารไทยซึ่งมีกำลังเพียง ๘๕ นายตั้งแต่ ๔ ทุ่ม จนถึงตี ๕ ครึ่งจึงล่าถอยไป)มาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก ๑ คนคือ ผบ.ร้อย ซึ่งมียศเป็นร้อยเอก และยิ่งค้นลงไปลึกๆแล้ว การนำศพทหารไทยทั้ง ๖ ออกจากเวียดนามนั้น ทำโดยทหารอเมริกันเพราะอเมริกันมอบเหรียญเชิดชูให้เป็นพิเศษเพราะเขายกย่อง และทึ่งในความกล้าหาญ เลยตอบแทนด้วยการจัดส่งให้เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งต่างจากทหารไทยทำเองเพราะจะมีพิธีเชิญดวงวิญญาณกลับประเทศด้วยพระสงฆ์ แต่อเมริกันหวังดีเลยไม่ได้ทำ กรรมแท้ๆ นี่แหล่ะคงเป็นสาเหตุให้ดวง วิญญาณทหารหาญทั้ง ๖ ต้องทนทุกข์ติดอยู่ในสมรภูมิรบนานหลายสิบปี ตัวร้อยเอก ผบ.ร้อยนั้น มาตายทีหลังจึงได้ทำพิธีเชิญวิญญาณโดยพระสงฆ์ไทย ส่วนจะเกี่ยวข้องยังไงกับผมนั้น ผมคงไม่อยากคิดแล้ว คิดแค่ได้มารับเพื่อนกลับบ้านก็รู้สึกเป็นเกียรติเป็นสุขในใจเป็นล้นพ้น แล้ว*** ****
เครดิตร http://www.thailandsusu.com
ปล.รูปบางรูปอาจไม่เกี่ยวกับเนื้อหา