สวัสดีครับ.. จะช้ำใจและอายแค่ไหน หากเราสอบได้ที่โหล่ของห้อง เพราะนอกจากจะโดนเพื่อนล้อ ครูมองติดลบ
ยังอาจถูกพ่อแม่สวดถึงเช้าเลยก็เป็นได้ แต่เชื่อไหมครับว่าเหตุการณ์น่าอายแบบนี้ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทยแล้ว ???
ล่าสุดมีข้อมูลการประชุมของ World Economic Forum (WEF) - The Global Information Technology Report 2013
ได้จัดอันดับคุณภาพการศึกษาในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งประเทศไทยของเราถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 8 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีคะแนนต่ำที่สุด
รองจากประเทศเวียดนามที่ได้อันดับ 7 และประเทศกัมพูชาอันดับ 6 O_O"
โดยประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาดีที่สุดในกลุ่มอาเซียน เรียงตามลำดับที่ดีที่สุด ดังนี้ อันดับ 1 สิงคโปร์,
อันดับ 2 มาเลเซีย, อันดับ 3 บรูไน ดารุสซาลาม, อันดับ 4 ฟิลิปปินส์, อันดับ 5 อินโดนีเซีย, อันดับ 6 กัมพูชา, อันดับ 7 เวียดนาม และอันดับ 8 ประเทศไทย
เกิดอะไรขึ้นกับการศึกษาของประเทศไทย เห็นทีประโยคที่ถูกปลูกฝังว่า "การศึกษาบ้านเราไม่เป็นสองรองใครในอาเซียน"
คงจะพูดได้ไม่เต็มปากซะแล้ว วันนี้เว็บ Dek-D เลยขอรวบรวม 7 เหตุผล(โลกไม่สวย) ที่ทำให้การศึกษาไทยเดินทางมาถึงวันนี้
วันที่ถูกจัดอันดับเป็นที่ "โหล่" ของอาเซียน มาจากเหตุผลอะไรได้บ้างไปดูกัน
1.คนเก่งไม่ชอบเรียนครู
เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยทุกวันนี้ เด็กเก่งจะไปกองอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์
หรือคณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนทางด้านคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะที่ปั้นคนไปเป็นครู ผู้ที่เป็นรากฐานของการศึกษาไทยนั้น
กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร พี่ลาเต้ กล้าพูดได้เลยว่า 100% ของคนเรียนครู 30% คือคนที่อยากเรียนจริงๆ ส่วนอีก 70% คือคนตกหล่นจากคณะอื่นแล้วมาติดที่คณะครู
พิสูจน์ได้แล้วจากแอดมิชชั่นแต่ละปีที่ผ่านมา
2.สอบมากสุด 28 วิชาเพื่อเข้ามหา'ลัย
O-NET 8 วิชา , GAT PAT 13 วิชา, วิชาสามัญ 7 วิชา นี่เป็นข้อสอบพื้นฐานที่เด็ก ม.6 ต้องขวนขวายสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย นี่ยังไม่นับสอบกลางภาค
ปลายภาค สอบเก็บคะแนน หรือการบ้านที่ต้องทำอีก เมื่อกฏเกณฑ์ทำให้เด็กต้องรับผิดชอบเยอะ เด็กหลายคนจึงต้องตัดใจทิ้งความรับผิดชอบบางอย่างไปเพื่อประคองตัวเองให้
อยู่รอด พอถึงตรงนี้ก็คงตอบได้ว่า คงไม่มีเด็กคนไหนเลือกทิ้งการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เป็นอนาคตของตัวเอง และความหวังของพ่อแม่ ดังนั้นการที่เด็ก ม.6
หนึ่งคนต้องสอบมากสุดถึง 28 วิชาเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย คงเดาได้ไม่ยากว่าจะส่งผลต่อการเรียนในโรงเรียนขนาดไหน และการจัดอันดับดังกล่าวก็เอาผลคะแนนจากการเรียนในโรงเรียนเป็นตัวชี้วัดซะ ด้วย อิอิ
3.ครูไทย นักเรียนไทย คนละ GEN กัน
จะเกิดอะไรขึ้น ??? เมื่อวัยรุ่นสมัยนี้ผู้ที่โตมาพร้อมกับความอิสระและเทคโนโลยี ต้องมาอยู่ในกรอบของผู้เป็นวัยรุ่นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว
นอกจากการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป รูปแบบความสนใจก็เปลี่ยนตามด้วย ยกตัวอย่าง หากต้องการค้นหางาน 1 ชิ้น อาจารย์หลายท่านอาจจะวิ่งไปห้องสมุด
แต่นักเรียนหลายคนอาจจะวิ่งกลับบ้านไปเปิดอินเทอร์เน็ต หรือมีคำสั่งให้ทำพานไหว้ครูประกวด นักเรียนหลายเลือกยึดเอาความคิดสร้างสรรค์แต่งพานเข้าสู้
แต่อาจารย์เน้นยึดความเป็นเอกลักษณ์สื่อความหมายในการตัดสิน ตราบใดที่ครูและนักเรียนยังพูดคนละภาษากันอยู่ การศึกษาไทยซึ่งเป็นตัวกลางของบุคคลทั้งสองก็คงยัง งง ไม่ต่างกัน
4.ภาษาที่ 2-3 ของเด็กไทยแพ้ราบคาบ
เหตุผลนี้อาจเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ เลยที่ทำให้การศึกษาไทยเรารั้งอันดับท้ายสุด เพราะต้องยอมรับว่าภาษาอังกฤษ หรือภาษาที่ 3
เด็กไทยเราความสามารถในการสื่อสารแพ้ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนอยู่ หลายช่วงตัว หลายปีผ่านมาประเทศไทยเรามักจะเอาการศึกษาบ้านเราไปเปรียบเทียบกับประเทศ
สิงค์โปร์ หรือมาเลเซีย แต่ความจริงแล้วผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านภาษาอังกฤษของ 3 ปีล่าสุด เราเป็นรองประเทศลาวอยู่ ซึ่งในการจัดอันดับคุณภาพการศึกษาของ WEF
ในครั้งนี้ ประเทศลาว และพม่า ไม่ได้เข้าร่วมในการจัดอันดับ
5.เรียนหนัก เน้นท่องจำ
สมัยก่อนเด็กไทยเรียน 8 โมง - บ่าย 3 โมงครึ่ง แต่สมัยนี้มันไม่ใช่แบบนั้นซะแล้ว ยิ่ง ม.ปลาย บางแผนการเรียนเริ่มเรียน 7 โมง บางวันเลิกเรียน 5 โมง
การเรียนเยอะไปของบางโรงเรียนเลยส่งผลให้นักเรียนล้าจนเกิดภาพติดลบในการ เรียนในที่สุด ขณะที่การเรียนวิชาต่างๆ ก็จะเน้นการท่องจำ ท่องแล้วจำไปเรื่อยๆ
ครูเคยจำมาแบบไหนก็ให้นักเรียนจำแบบนั้น ทั้งๆ ที่ความจริงนักเรียนอาจมีวิธีสร้างความเข้าใจในเรื่องนั้นได้ดีกว่า การท่องจำยังอยู่กับเด็กไทยเสมอวัดได้จากข้อสอบที่ออกมา
ทั้งข้อสอบในชั้นเรียน และข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่หากใครเคยสอบจะบอกได้คำเดียวเลยว่า "ต่อให้มีความเข้าใจที่ดีเพียงใด ก็ต้องอาศัยการท่องจำอยู่ดี"
6.นักเรียนเร่งทำเกรด ครูเร่งทำผลงานวิชาการ
เป็นเรื่องจริงปฏิเสธไม่ได้ เมื่อนักเรียนต่างเร่งทำเกรดทุกวิถีทางให้ได้มากที่สุด ขณะที่ครูอาจารย์ต่างก็ต้องเร่งทำผลงานทางวิชาการเพื่อปรับฐานวิทยาฐานะของ
ตนเอง เมื่อทั้งคู่มีเป้าหมายส่วนตัว จนลืมหรือละเลยการศึกษาที่เป็นส่วนกลาง บางโรงเรียนถึงขั้น คาบแรกอาจารย์พูดทักทายอยู่ 2 ประโยค คือ 1.ไปทำงานชิ้นนี้มา และ
2.เจอกันอีกทีคาบสุดท้ายนะ พร้อมส่งเก็บคะแนน = ="
เด็กไทยคิดเห็นยังไงกับข่าวนี้ ?
สัมภาษณ์ : ปราญชลี บุญสงเคราะห์ หรือ เอิน
นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร
"การศึกษาไทยยัดความรู้ให้เด็กมากเกินไป อย่างน้องของหนูเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ ที่นั้นเรียนกำลังพอดี นักเรียนแบ่งเวลาได้สบายๆ มีทั้งช่วงเรียน และช่วงเล่น
ทำให้น้องเอินทั้งจัดเวลาเป็น แต่น้องคนเล็กเรียนที่ไทย ทุกวันเรียนเสร็จ เรียนพิเศษต่อ เรียนจนบางทีเบลอ กลายเป็นคนแบ่งเวลาไม่เป็น เพราะวันทุกวันมีแต่เรียน
ทุกๆช่วงเวลามีเรียนเรียน เด็กกลายเป็นนกแก้วนกขุนทอง เพราะเรียนแบบท่องจำ วิเคราะห์และประยุกต์ใช้ไม่เป็น อีกอย่างเด็กได้รับความรู้ไม่เท่าเทียมกัน หรือไม่ได้มาตรฐาน
บางโรงเรียนครูก็เก่งมากกก ขณะที่บางโรงเรียนนักเรียนเก่งกว่าครูอีก อาจารย์บางท่านก็สอนไม่ได้มาตรฐานไม่มีจรรยาบรรความเป็นครู สอนเพียงตามหน้าที่เท่านั้น"
เอาล่ะครับ ทั้งหมดนี้เป็นความจริงที่พูดออกมาแบบตรงๆ คงสะท้อนการศึกษาไทยได้ในระดับหนึ่งนะครับ ถึงแม้ ณ ปัจจุบันการศึกษาเราจะอยู่อันดับสุดท้ายของอาเซียน
แต่ประเทศไทยเราก็มีข่าวดีให้น่าชื่นใจเกี่ยวกับการศึกษาอยูบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นน้องๆ ที่ได้ Top O-NET เต็ม 100 คะแนน , เด็กไทยที่ได้รางวัลชิงชนะเลิศวงโยธวาธิตระดับโลก
หรือกลุ่มเด็กไทยคว้าเหรียญทองโอลิมปิกกลับมาแต่ปีละ ส่วนในระดับอาเซียนคงต้องให้เวลาแก้ไขซักนิด ช่วงนี้ก็เชียร์กีฬาไปก่อนแล้วกัน ประเภทนี้บ้านเรามือหนึ่งของจริงครับ ฮ่าฮา 555
ที่มาhttp://www.dek-d.com/education/32734/