ประชาคมระหว่างประเทศ ไม่สามารถที่จะนั่งปิดปากเงียบงันได้ หลังจากรัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีโจมตีเข่นฆ่าประชาชนของตนเอง ในการเผชิญหน้ากับความโหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้ ประชาคมระหว่างประเทศคงนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ เพราะหากล้มเหลวในการตอบโต้ต่อการโจมตีครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้มีการโจมตีด้วยอาวุธเคมีมากขึ้น และมีความเป็นไปได้ว่าประเทศอื่น ๆ จะใช้อาวุธร้ายแรงอย่างนี้ตามรอยซีเรียเหมือนกัน นี่คือคำเตือนดัง ๆ ไปถึงประชาคมโลก จากปากของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ที่แถลงระหว่างเยือนกรุงสตอก โฮล์ม ประเทศสวีเดนเมื่อวันพุธที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา
ถึงวันนี้ โอบามา คือผู้ที่แบกรับความรับผิดชอบที่สำคัญเพียงคนเดียวในการเดินหน้าลงโทษซีเรีย ที่ใช้อาวุธเคมีโจมตีประชาชน จนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 ศพ ชานกรุงดามัสกัส เมืองหลวงซีเรียเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรงละเมิดกฎหมายห้ามใช้อาวุธเคมีในการทำสงคราม หากไม่มีมาตรการลงโทษต่อซีเรียแล้ว มันก็อาจจะเกิดขึ้นอีกและเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมในอนาคต
แท้จริงแล้ว โอบามามีอำนาจในการสั่งโจมตีซีเรียได้เลยโดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา แต่เพื่อป้องกันคำครหา เขาจึงโยนการตัดสินใจเรื่องการใช้กำลังโจมตีซีเรียไปให้รัฐสภาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด แม้หลายฝ่ายจะวิพากษ์วิจารณ์เขาว่า ไม่มีความเด็ดขาด
ขณะที่ผู้นำระดับสูงในรัฐบาล ทั้งนายโจ ไบเดน รองประธานาธิบดี และนายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ พยายามล็อบบี้อดีตเพื่อนสมาชิกรัฐสภา ให้เห็นดีเห็นงามกับมาตรการลงโทษซีเรียอยู่นั้น โอบามาก็กำลังเรียกร้องเป็นการส่วนตัวไปยังสมาชิกทั้งในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อกดดันให้ข้อเสนอของเขานำไปสู่การปฏิบัติ แต่สิ่งที่ประธานาธิบดีโอบามายังไม่ได้ทำ ตั้งแต่เขาประกาศให้รัฐสภาลงมติมอบอำนาจรัฐบาลใช้กำลังทหารต่อซีเรียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คือการเรียกร้องขอเสียงสนับสนุนจากประชาชนเจ้าของประเทศ ซึ่งทั้งพรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ขณะที่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน พบว่ามีความกระตือรือร้นน้อยมากในการสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารของรัฐบาล
เดิมพันสูงทีเดียวสำหรับโอบามา และหลายเหตุผลที่พรั่งพรูออกมาจากรัฐบาลเพื่อขอเสียงสนับสนุนจากรัฐสภา ก็กำลังทำให้เขาได้รับเสียงหนุนมากขึ้น หลายคนระบุว่า การลงมติคัดค้านการใช้กำลังทหารเพื่อลงโทษประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ตามข้อกล่าวหาว่าใช้อาวุธเคมีนั้นอาจบั่นทอนฐานะของโอบามาในตะวันออกกลาง ขณะที่รัฐบาลของเขาพยายามที่จะหยุดยั้งอิหร่านไม่ให้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์, เป็นตัวกลางผลักดันการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ และสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนวุ่นวายนี้
นายจอห์น แม็คเคน วุฒิสมาชิกคนดังจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ผ่านศึกสงครามมาอย่างโชกโชน ออกมากล่าวหลังจากประชุมร่วมกับโอบามาที่ทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ที่ 2 กันยายนที่ผ่านมาว่า การปฏิเสธมตินี้จะก่อให้เกิดหายนะอย่างใหญ่หลวง ไม่เพียงแต่ต่อตัวโอบามาเท่านั้น แต่ยังต่อสถาบันประธานาธิบดี และต่อความน่าเชื่อถือของสหรัฐด้วย
ขณะนี้ ทำเนียบขาวใช้ยุทธศาสตร์แยกกันทำงาน ด้วยการส่งเจ้าหน้าที่คนสำคัญจู่โจมในช่วงสั้น ๆ คือทั้งโทรศัพท์พูดคุย และตั้งวงสนทนาร่วมกับสมาชิกรัฐสภาจากทั้ง 2 พรรคการเมือง เพื่อชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ ในการโน้มน้าวหาเสียงสนับสนุน เช่นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซูซาน ไรซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ, นายแคร์รี, เจมส์ แคลปเปอร์ ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรอง หรือซีไอเอ และมาร์ติน เดมป์ซี เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพสหรัฐ จัดประชุมลับเพื่อชี้แจงต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเดโมแครต ขณะที่อีกด้านหนึ่ง โอบามาก็ประชุมร่วมกับนายแม็คเคน และลินด์ซี เกรแฮม เพื่อนวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งก็ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
ถัดมาวันอังคาร โอบามาก็ประชุมกับประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งชาติในรัฐสภา และนายแคร์รี เดมป์ซี และนายชัค ฮาเกล รัฐมนตรีกลาโหม ก็เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์วุฒิสภา ซึ่งในการพูดคุยแต่ละครั้ง บุคคลระดับผู้นำเหล่านี้ ก็จะให้เหตุผลบนพื้นฐานเดียวกัน คือหากล้มเหลวที่จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อนายอัสซาด มันจะส่งผลกระทบอย่างเลวร้ายต่อบรรทัดฐานระหว่างประเทศในการต่อต้านการใช้อาวุธเคมี อีกทั้งยังเป็นการเสี่ยงที่จะทำให้อัสซาดและเฮซบอลลาห์และอิหร่าน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญ เกิดความฮึกเหิมขึ้น เพราะพวกเขาจะมองว่า ไม่มีผลลัพธ์เลวร้ายใด ๆ เกิดขึ้นจากการละเมิดบรรทัดฐานระหว่างประเทศนี้ ใครก็ตามที่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับอิหร่าน และความพยายามของอิหร่านในภูมิภาค ควรจะสนับสนุนการใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อซีเรีย เพื่อเป็นการกำราบและปรามไปในตัว
คาดว่าประธานาธิบดีโอบามา น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี ได้รับเสียงสนับสนุนจากทั้งภายในประเทศ และผู้นำต่างประเทศด้วย สำหรับการลงโทษนายอัสซาด ทั้งนี้การใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชน ซึ่งรวมทั้งเด็กจำนวนมาก มันโหดร้ายและป่าเถื่อนเกินกว่าที่โลกจะยอมรับได้ แน่นอนว่าสงครามไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ก็ปล่อยไปไม่ได้เช่นกันที่จะให้มีการใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่ากันเช่นนี้ หากข้อเท็จจริงปรากฏตามข้อกล่าวหานี้ จึงไม่มีเหตุผลที่โลกจะปล่อยให้อัสซาดลอยนวล แม้ซีเรียออกมาประกาศกร้าวแล้วว่า จะไม่ยอมอ่อนข้อ และยอมจำนนต่อการโจมตีของสหรัฐแน่ แม้จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นก็ตาม
ในอนาคตอันใกล้นี้ อัสซาดอาจมีชะตากรรมเดียวกับซัดดัม ฮุสเซน อดีตผู้นำเผด็จการโหดของอิรักที่ถูกลงโทษแขวนคอตายอย่างน่าอนาถ หรือไม่ก็เหมือนพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี อดีตผู้นำเผด็จการของลิเบีย ที่ถูกกบฏจับตัวได้ จัดการสังหารทันที สันติภาพท่ามกลางเลือดและน้ำตาบนแผ่นดินซีเรีย คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะเกิดขึ้น.
ซีเรียประกาศสู้! ไม่หวั่น อเมริกา โจมตี บานปลายเป็นสงครามโลก
สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับ ซีเรีย กำลังกลายเป็นประเด็นที่คนทั่วโลกจับจ้องสนใจ หลายฝ่ายเริ่มหวั่นวิตกว่า ปมเหตุดังกล่าวอาจจะก่อให้เกิดเป็นสงครามโลกครั้ง 3 หลัง ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ ประกาศตัดสินใจเข้าสู่สงครามใช้ความรุนแรงทางทหาร เพื่อกำจัดอาวุธทางเคมีที่ใช้ฆ่าประชาชนนับพันคน
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้นำทุกฝ่ายในสภาคองเกรสในการโจมตีทางทหารต่อซีเรียที่กำลังจะมีขึ้นได้ออกมากล่าวว่า เส้นตายในการลงโทษซีเรียนั้นตนมิได้เป็นผู้กำหนดขึ้น แต่เป็นมติของนานาประเทศทั่วโลกซึ่งสหรัฐมีหน้าที่ต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ให้ได้ คำกล่าวของผู้นำสหรัฐมีขึ้นหลังจากคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์วุฒิสภาลงมติ 10 ต่อ 7 สนับสนุนการใช้มาตรการทางทหารกับซีเรีย
ทางด้าน ฝรั่งเศส ซึ่งประกาศตัวสนับสนุนสหรัฐอย่างแข็งขันในการโจมตีซีเรีย หลัง อังกฤษ ได้ระงับท่าทีไปเนื่องจากรัฐสภาลงมติไม่สนับสนุนนั้น นายชอง มาร์ค แอร์โรลท์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสได้เรียกร้องต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ร่วมกันสนับสนุนรัฐบาลในการเข้าร่วมกับสหรัฐลงโทษซีเรียที่ใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือนของตนถึงเกือบ 1,500 คน เพราะการโจมตีซีเรียจะเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังอิหร่าน และเกาหลีเหนือให้ดูไว้เป็นตัวอย่างว่า หากไม่เคารพมติของประชาคมโลกแล้ว จะประสบชะตากรรมเดียวกัน
นายจอหน์ แคร์รี่ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้ชี้แจงว่า หากสหรัฐไม่ดำเนินการลงโทษรัฐบาลซีเรียที่นำอาวุธเคมีมาเข่นฆ่าประชาชน สหรัฐก็จะสูญเสียความน่าเชื่อถือ และโลกก็จะเต็มไปด้วยความเสี่ยงจากภัยคุกคามจากอาวุธที่มีอำนาจในการทำลายล้างสูง ส่วน นายพลเดมป์ซีย์ กล่าวว่า สงครามซีเรียจะเป็นไปอย่างจำกัด เพื่อมุ่งทำลายคลังอาวุธเคมีของซีเรียเท่านั้น
ส่วนความเคลื่อนไหวของทางด้านรัฐบาลซีเรีย นายไฟซาล มุกดัด รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศซีเรียได้ประกาศพร้อมตอบโต้ผู้รุกรานไม่ว่าจะเป็นใคร และไม่หวั่นแม้อาจจะลุกลามจนกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้มีเพียง ฝรั่งเศส เป็นชาติเดียวที่ให้การสนับสนุนการโจมตีครั้งนี้ ซึ่ง สหรัฐอเมริกา กำลังพยายามเดินหน้าเจรจาหาแนวร่วมกับ สวีเดน และ ญี่ปุ่น หลังจากที่ อังกฤษ ไม่ขอสนับสนุนการโจมตีทางการทหารดังกล่าว
ที่มา http://www.dailynews.co.th/article/84/231391 และ http://news.sanook.com
ใครได้ดูข่าวพวกนี้กันบ้าง