ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 2 หน้า 12 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย
กำลังแสดงผล 1 ถึง 25 จากทั้งหมด 44
  1. #1
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Can't Hold Us

    เกม... การแข่งขันที่พรากชีวิตผู้เล่นทุกคนที่ต้องการชัยชนะ นำมาซึ่งการสูญเสียแปลกประหลาดและการทำลายโลกครั้งใหม่เนื่องจากความต้องการสิ้นคิดของใครบางคน


    ประการศให้ทั่วถึงกัน = ผมได้ทำการแต่งเรื่องใหม่ขึ้น โดยแนวเรื่องจะคงเดิมเพียงแค่ตัดทุกอย่างที่มีออกให้หมด แล้วผู้อ่านก็อ่านได้จากไฟล์ดาวน์โหลดที่ผมลงให้เท่านั้น ที่เหลือไม่เกี่ยวครับ


    Can’t Hold Us

    [The World of Games]

    ไกรศร ถูกปลุกขึ้นโดยโจรป่าหน้าตาพิลึกพิลั่นในแบบฉบับที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนพร้อมกับโลกใบใหม่ซึ่งเขาไม่เคยพบเจอมาก่อนเช่นกัน เขาไม่เข้าใจว่า... เหตุอะไรทำไมเขาจึงมาอยู่ในที่แบบนี้เพราะเพียงแค่การตามสืบเรื่องการตายปริศนาของน้อยชายเขาเท่านั้นเอง


    Download





    [/CENTER]
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 5th March 2014 เมื่อ 15:13

  2. รายชื่อสมาชิกจำนวน 9 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    บทนำ

    ตัวละคร

    -มนุษย์ปกติ

    1.อนาวิน (Anawin) ชายวัย 35 ปี ร่างใหญ่ สูงหกฟุตกว่า สังกัดกองทัพอาวุธหนักยิงระยะไกลที่ 69 Devastator แห่ง ‘Imperial of Men’ เป็นคนชอบอ่านหนังสือ มีความสามารถในการเล็งเป้าหมายจากแผนที่ยุทธการระยะไกลแบบโพรเจกไทล์ได้อย่างแม่นยำ โดยความแม่นยำนี้เถรตรงยิ่งกว่าคนทุกคนในหน่วย - by bankamania

    2.แคซซี่ หรือ Cassandra Alextrasza Sylvia เรือโทสาวสวยวัย 22 ปี ทุกคนเรียกเธอว่า ‘เทพธิดาสายฟ้า’ เธอประจำกองยานรบ ‘Thrud Walkure’ แห่ง Imperial of Men แคซซี่คือนักบินฝีมือยอดเยี่ยมผู้หนึ่งซึ่งเคยนำฝูงบินกว่า 50 ลำในการออกรบมาแล้ว เธอมักจะเช็คเครื่องบินและทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา ไม่ช้าไม่นาน เธอคงได้แต่งงานกับมันเป็นแน่
    แคซซี่เป็นสาวนักรบจึงมีนิสัยห้าว เธอสูง 165 เซนติเมตร มีผมหางม้าสีทองสดใสพร้อมกับนัยน์ตาสีเขียวอันชุ่มฉ่ำ อีกทั้งยังนำชื่อมังกรตัวที่เธอสยบลงได้ มาเป็นชื่อกลางของเธอด้วย – by bankamania

    3.เอดา แฮมเบล (Ada Hambel) นักวิจัยของ Imperial of Men อายุ 32 ปี สูง 170 เซนติเมตร มีผมซอยสั้นสีน้ำตาลเข้ม เอดาเป็นคนแรกๆที่เสนอให้มีการจับเป็นพญามังกรเพื่อการศึกษาวิจัยแก่สภา โดยได้อธิบายความเสี่ยงในรูปแบบต่างๆ รวมถึงวิเคราะห์องค์ประกอบทางกายภาพของมังกรรวมถึงทฤษฎีที่ใช้ และสติปัญญา – by bankamania

    4.โฮโจ เซย์กิ (Hojo Zeygi) ชายอายุ 29 ปี สูง 180 เซนติเมตร หน้าตาหล่อเหลา หลี่สาวเก่ง หลงตัวเอง ความสามรถอื่น ๆ คงจะเป็น วิ่งหนีและซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว วางกับดักอย่างชาญฉลาด โน้มน้าวใจคนเก่ง และรักความถูกต้อง
    ปัจจุบัน ทำหน้าที่ลาดตะเวนไปยังประเทศศัตรูเพื่อผูกมิตรกับเทพท้องถิ่น (เพื่อทำให้เทพท้องถิ่นจะมอบพลังให้ ทำให้ใช้ชิคิงามิที่มีพลังของเทพท้องถิ่นได้ด้วย) - by herosan

    5.ซายากะ โอกิริ (Sayaga Ogiri) เด็กสาวหน้าใสอายุ 19 ปี มีนิสัยร่าเริง รักเพื่อนและขี้เล่นเป็นอย่างมาก เธอไม่แบ่งแยกมนุษย์และชิคิงามิ อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะในด้านการใช้ชิคิงามิ เนื่องจากเธอสามารถควบคุมชิคิงามิจำนวนมากได้ เพราะเหตุผลนี้เธอจึงได้ถูกเลือกเป็นคู่หูกับยามาโมโต้ – by herosan

    6. Al-irgnahs 'อัล-เออน่าห์' เด็กสาวอายุ 19 ปี หน้าบอกบุญไม่รับมักไม่พูด แต่ก็มีใบหน้างดงามไม่น้อยเช่นกัน เธอเป็นสไนเปอร์ฉายา 'จุมพิตยมทูต' , Special force สังกัดโดยตรงต่อหัวหน้ารัฐบาลกลางอาณาจักร (Imperial) เป็นผู้เดียวที่มีสิทธิ์เสรีภาพที่ 5 (สิทธิ์ที่จะปกป้องความมั่นคงของอาณาจักร แม้ว่าการกระทำนั้นของเธอจะเป็นการขัดกับกฎหมายของอาณาจักรก็จะไม่ถูกกล่าวโทษ) – by MedGO

    7. DeathSweeper เด็กหนุ่มอายุ 19 สูง 175 เซนติเมตร เชี่ยวชาญด้านไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่าง และเชี่ยวชาญเรื่องชีวะเกี่ยวกับซากศพ มีถิ่นอาศัยทางตอนเหนือหลังเกาะ Electric Mine
    เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ถูกทิ้งอยู่ในกองขยะและศพที่อยู่ใต้เมืองเป็นเวลาอันยาวนาน – by nutsuki

    8.เสี้ยง โฉว ชายวัย 32 ปี ร่างใหญ่บึกบึนตัวหนาผิวสีแดงคล่านโลหิต มีรอยสักเต็มตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่ดวงตาคมคล้ายตาเหยี่ยว ไม่มีนัยน์ตา เผ่ามนุษย์ เกิดมาในชนเผ่านักฆ่า ฉาน ฉาซี ถูกฝึกให้ใช้อาวุธตั้งแต่ห้าขวบ ฆ่าคนเป็นงานอดิเรก ใครต่อต้านเขาจะกำจัดไม่ให้เหลือ อาวุธที่มักใช้บ่อย ๆ คือง้าว แต่เสี้ยงโฉวถนัดอาวุธทุกชนิดอยู่แล้ว - by otakuoz

    9.เฮลเลซ (Helles) ชายหนุ่มไร้หนวดรูปร่างสูงอายุ 25 ปี บุตรชายคนเดียวของจักรพรรดิวิลเลี่ยม เฮนเดลเซีย ที่ 1 แห่งอัสคราส์ค แต่ด้วยเหตุทางสงครามจึงทำให้เขาต้องพรัดออกจากราชวังมาอยู่กับพ่อแม่คู่หนึ่งซึ่งรับเลี้ยงเขาเป็นบุตรบุญธรรม
    เฮลเลซมักจะเข้าเล่นหมากรุกพนันเงินกับพวกทหารเก่าในบาร์ย่านคนจนอยู่บ่อยๆ มีนิสัยที่มักจะเห็นบทบาทและหน้าที่ของตนเองเป็นเรื่องเล่นๆไปซะหมด แต่เฮลเลซก็ยังทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมักจะพูดด้วยถ้อยคำที่ทำให้ผู้ฟังหรือศัตรูโกรธและเสียสมาธิอยู่เสมอ ความใฝ่ฝันสูงสุดของเขาก็คือการได้เป็นจักรพรรดิของอาณาจักรอัสคราส์คอย่างถูกต้อง – by portroyal111

    10.บาบาบะ อูบะ (Bababa Uba) เด็กหนุ่มผิวสีอายุ 16 ปีมีร่างกายใหญ่กำยำพร้อมกับผมเดดร็อค มีนิสัยร่าเริงสนุกสนานสร้างความหัวเราะได้ทุกยาม มีความฝันที่จะท่องไปในโลกอันกว้างใหญ่กับฉลามคู่ใจ อูบะมีพละกำลังมหาศาลผิดมนุษย์มะนา จับสัตว์ทะเลหรือปลาได้ด้วยมือเปล่า
    อูบะจะมีใบไม้หรือผ้าผืนเล็กปกคลุมส่วนสำคัญของเขา หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เขาสวมแต่กางเกงลิง – by theover

    11.ฮายา นาบุซ่า (Haya Nabusa) ชายหน้าคมอายุ 32 ปี เขาเป็นนักรบมือต้นๆของหน่วยแห่งชาโดว์อินดัสทรี เป็นพลซุ่มยิงระดับเทพ เขาเชื่อว่าสามารถยิงแมลงปอที่อยู่ไกลออกไป 500 เมตรได้ แต่เพราะมองไม่เห็นเขาจึงไม่ลองเสี่ยง
    นาบุซ่ามีพื้นเพเดิมมาจากบ้านไร่แถบตะวันออกไกล แต่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เขาเป็นคนที่เยือกเย็นจนถึงเย็นชามากเกินไป มีความอดทนสูง แต่ก็ทะเล้นในหลาย ๆ ยาม สิ่งอื่นที่เขาชมชอบมากก็คือ การทำอาหารและคิดค้นอาหารสูตรใหม่ ๆ – by black jack sdppd

    12.ลโอไดนัส (Laodinus) กษัตริย์แห่งสปาต้า ผู้มีความ*****มโหด แต่รักสงบ อายุ 29 ปี รูปร่างหน้าตาดูดีแต่มีแผลตามตัวในหลาย ๆ จุด เชี่ยวชาญการใช้หอกและโล่ของนักรบกรีกเป็นอย่างดี มีฝีมือการรบขั้นสูงหรืออาจจะสูงที่สุด ยากที่ผู้ใดจะต่อกรได้ เขามีคู่เคียงแล้ว และกำลังจะมีทายาทตัวน้อยด้วย – by Dreamm

    13.บาลอส (Balos) ชายนักพเนจรอายุ 76 ปี มีรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนแข็งแรง ผมยาวหนวดเครารุงรัง ชอบสวมฮู้ดปิดบังใบหน้า ถนัดการใช้ดาบโล่ ไม่แก่ไม่เฒ่าบาดแผลฟื้นฟูเร็วกว่าปกติบาลอสเป็นคนเงียบ ๆ รักเพื่อนพ้อง และชอบดื่มเหล้า มีงานประจำคือรับจ้างฆ่าคน – by lovelyseed

    14.ลาวานอส (Ravanos) อายุ 105 ปี กษัตริย์องค์ใหม่ที่สถาปนาตนขึ้นจากการกบฏ ใช้อาวุธได้อย่างเชี่ยวชาญทุกชนิด ไม่แก่ไม่เฒ่าบาดแผลฟื้นฟูเร็วกว่าปกติเช่นเดียวกับบาลอส แต่เขาทั้งสองเป็นศัตรูกัน – by lovelyseed



    มนุษย์พันธุ์ใหม่

    1.ชูร่าและเดว่า (Shura & Deva) พี่น้องฝาแผดชายหญิงจากไททาเนียอายุ 17 ปี ชูร่าแฝดพี่สาว หน้าตารูปร่างสวยปานเทพธิดา จนคนอื่นต้องหันมามอง เดว่า แฝดน้องชายหน้าตาโหดร้ายป่าเถื่อน ทั้ง2คนต้องใช้ผ่าคลุมตัวเองเพื่อไม่ให้คนรอบข้างหลงใหลและแตกตื่น
    ชูร่ามีพลังเยอะมากมีความสามารในการต่อสู้ ส่วนเดว่ามีพลังน้อยกว่าและการต่อสู้ด้อยกว่าพี่สาวฝาแฝด แต่มีความสามารในการช่างและการตีอาวุธ-สร้างเครื่องจักรเวทย์ในระดับสูง
    ชูร่าสวยแต่ทำอาหารไม่เป็นและมักควบคุมพละกำลังไม่ค่อยได้ เดว่ามักสนใจวิทยาการเผ่าพันธ์อื่นแต่มักจะทำพังแล้วซ่อมแซมในแบบของตัวเอง – by alucardxx

    2.เอเลน่า ครูเกอร์ (Alena Kruger) หรือ ‘ดอกลิลลี่สีเลือด’ อายุ 27 ปี สูง 175 เซนติเมตร มีแววตาเหมือนเหยี่ยว อดีตกองกำลังหน่วยรบพิเศษ Imperial Guard ที่ 105 ปัจจุบัน สังกัด Imperial Marine กองร้อยที่ 8 แห่ง Imperial of Men
    เอเลน่า จะติดพู่สีแดงไว้บินหมวกของตน เพื่อแสดงถึงความเป็นตัวเธอเอง ซึ่งในภูมิภาคที่เอเลน่าประจำการอยู่ จะรู้จักตัวเธอในฉายา "ดอกลิลลี่สีเลือด" ซึ่งเมื่อเธอเข้าไปในพื้นที่ พู่ที่หมวกจะเด่นเป็นตระหง่านในกลุ่มของนักรบร่างยักษ์ที่ตัวใหญ่กว่าหญิงสาวร่วม 1 เมตร และส่งผลต่อขวัญกำลังใจศัตรูเป็นอย่างมาก รวมถึงแสดงให้เห็นถึงหญิงสาวที่เป็นมนุษย์ปกติ
    เอเลน่ามักเล่นโยคะและยิมนาสติก เธอจึงมีหุ่นโค้งเว้าอันงดงาม อีกทั้งเป็นคนอ่อนโยน ค่อนข้างใจอ่อน ตั้งใจทำงาน แคร์ความรู้สึกคนอื่น ด้วยเหตุนี้ ชายนับร้อยนับพันจึงหมายปองต้องใจเธออยู่ไม่ขาด – by bankamania

    3.Havze Rassel (เฮฝซ์ รัซเซล) หญิงสาวนักรบอายุ 25 ปี สูง 189 เซนติเมตร นัยน์ตาของเธอจะมีสีที่เปลี่ยนไปตลอด เธอเกิดในป่าทางตอนเหนือของอาณาจักรสเวนที่เต็มไปด้วยหิมะ ก่อนที่จะร่อนเร่มาตามทางจนมาถึงอาณาจักรใหม่ นิ้วนางซ้ายของเธอขาดไปนิ้วหนึ่งเพราะต้องการอาหารในขณะที่เดินทางไปที่อาณาจักรใหม่จึงกัดกินนิ้วของตนเพื่อประทังชีพ

    ชอบดื่มเลือดของพวกสัตว์ที่ผสมกับเหล้าองุ่นและกินสัตว์ทั้งดิบๆ มีท่าทางยิ้มแย้มเมื่อได้ลิ้มรสเลือดที่คุ้นเคย รัซเซลมี Pain of Suffer เป็นเวทย์ประจำกาย – by lanzadel

    4.el que roza la luna(The one who slash the moon) หนึ่งใน The Moon Trinity ไม่สังกัดเผ่าไหนหรืออาณาจักรใดทั้งนั้น มีนิสัยขี้กลัวมาก จริงๆแล้วเธอกลัวความมืดด้วยเสียอีก ปรกติจะชอบเดินออกมาในตอนกลางวันเท่านั้น แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใคร มีงานอดิเรกคือการรักษาแผลให้คนอื่นโดยการดูดกลืนความเจ็บปวด

    โรซาเก่งวิชาดาบมากๆ และเธอก็เป็นผู้สอนวิชาดาบให้รัซเซลอีกด้วย ซึ่งตอนนี้รัซเซลก็ใช้ดาบได้ไม่ดีเท่าเธอเลย – by lanzadel

    5.quien reír a la luna (The one who laugh to the moon) เธอแข็งแกร่งเป็นที่สองใน The moon Trinity เป็นผู้คิดค้นการดัดแปลง suffering ให้กลายเป็น Pain of suffer ปรกติจะหมกตัวอยู่ในห้องครัวเพื่อทำอาหาร หากไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ pain of suffer จะไม่ค่อยเห็นเธอพูดเรื่องอื่นเท่าไร

    เรย์เป็นคนร่าเริงมาก แต่จะต้องหัวเราะใส่พระจันทร์ทุกๆคืนจนดูเหมือนกับคนบ้า มีอาวุธคู่ใจคือเคียวอันใหญ่ที่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อใช้ Pain of suffer ขึ้นที่หนึ่งหรือ suffering แล้วเท่านั้น เพียงฉับเดียบก็สามารถหั่นบ้านที่ทำจากปูนขาดได้ง่ายๆ – by lanzadel

    6.el que brilla como la luna(The one who shines like the moon) อันดับสามแห่ง The moon Trinity บุคคลหัวหมอและเจ้าเล่ห์สุดๆ เธอเป็นคนชั่วร้ายจนตรงข้ามกับใบหน้าและรอยยิ้ม เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยใช้พลังเวทแต่กลับมีสมองที่น่านับถือในกลโกงและความไม่เคยซื่อตรงของเธอ เธอมีวิธีจัดการกับกบฏที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม

    เธอเกิดขึ้นตอนที่ดวงจันทร์เต็มดวงพอดี ทำให้ได้รับการสาปแช่งให้ถูกคนมองเห็นในความมืดได้ตลอดเวลา แต่กระนั้นก็ได้รับพลังที่เรียกว่า Queen Luna มาด้วย จะทำให้หากเป็นตอนกลางคืนสัตว์ทุกชนิดจะไม่ทำอันตรายต่อเธอแต่อย่างใด มีนิสัยขี้โกง เจ้าเล่ห์ ร่าเริง อาวุธประจำกายคือเคียวที่ทำจากเลือดของใครก็ได้ – by lanzadel

    6.เรย์รอม บัลบัส (Reiyrom Bulbus) Leaders Of Company 4 สูงประมาณ 210 เซนติเมตร หนึ่งในเผ่าเควร์อันน้อยนิดที่ยังคงเหลือรอดอยู่ในแถบเอเชียซึ่งมีสภาพอากาศไม่เหมาะกับการอาศัยอยู่ของพวกเขา แต่กระนั้นเขาก็รอดมาได้โดยการปรับตัวไปตามธรรมชาติที่ค่อนข้างจะดูแปลกประหลาด

    เรย์รอมนั้นรู้จักกับรัซเซลเป็นการส่วนตัวในฐานะของผู้ที่เคยเจอหน้ากันเพียงหนึ่งครั้งในการร่อนเร่เพนจรไปตามอารมณ์ ผมของเขานั้นเคยเป็นสีขาวแต่มันกลับกลายเป็นสีดำเมื่อมาอยู่ที่อาณาจักร Shangri-la เป็นเวลานาน ส่วนดวงตาของเขานั้นไม่เคยเปลี่ยนสีตามเอกลักษณ์ของเผ่าเลย นับได้ว่าเขาแทบจะกลายพันธุ์ไปแล้วจริงๆ มีนิสัยป่าเถื่อนเนื่องจากพื้นฐานเดิมเป็นเผ่าที่ป่าเถื่อนอยู่แล้ว ส่วนมากจะชอบพูดคุยกับคนอื่นตามปรกติ แต่จะไม่ชอบพูดถึงเรื่องของตัวเองซักเท่าไร มีงานอดิเรกคือการนอนอยู่เฉยๆ
    เรย์รอมมีความสามารถในการบีบอัดวัตถุ ทุกๆสิ่งที่เขาสัมผัสจะถูกบีบอัดเข้าหาตรงส่วนที่เป็นจุดศูนย์กลางของมันในทันทีไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามหากเขาสามารถที่จะสัมผัสมันได้ก็จะบีบอัดมันได้อยู่ดี – by lanzadel

    7.สไตน์ เฮซ (Stien Hez) Leaders Of Company 4 สูง 187 เซนติเมตร เผ่าเควร์ที่มีรสนิยมอู้ฟู่เกินบรรยาย ตัวเธอนั้นต่างจากเผ่าเควร์คนอื่นตรงที่ไม่มีความป่าเถื่อนฝังอยู่ในหัวเลยซักนิด ตรงกันข้ามกลับมีบุคลิกเป็นสาวฮ็อตแทนพร้อมด้วยหน้าอกระดับประทับใจ

    ชอบทำตัวอ่อยผู้ชาย(โดยเฉพาะเรย์รอม) ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดผู้ชายและติดการพนัน เงินที่ได้มาส่วนใหญ่ของเธอนั้นหมดไปกับของที่กล่าวมา
    Perfect Aim พลังของเธอนั้นคือเควร์แบบดั้งเดิมที่แทบไม่มีการเอาพลังอย่างอื่นมาเจือปนนั้นก็คือการเล็งแบบไม่พลาดนั้นเอง ตราบใดที่ยังอยู่ในระยะสายตาและอาวุธที่ใช้มีประสิทธิภาพพอเธอจะสามารถยิงถูกศัตรู ณ จุดใดก็ได้ พูดง่ายๆก็คือ หากถูกเธอมองเห็นในระยะที่ปืนยิงถึงก็เหมือนกับถูกโปร Head Shot เล็งเอาไว้แล้วนั้นเอง – by lanzadel

    8.เรซเฟล โกรสท์ (Resfel Grost) Leaders Of Company สูง 181 เซนติเมตร ครึ่งหนึ่งของเธอนั้นเป็นมนุษย์ หรือพูดง่ายๆก็คือครึ่งเควร์ครึ่งมนุษย์นั้นเอง เธอเชี่ยวชาญในด้านการหาความผิดพลาดและแก้ปัญหา จึงทำให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องจักรไปในที่สุด เนื่องจากมีความเป็นเควร์อยู่น้อยจึงทำให้ค่อนข้างมีนิสัยอ่อนโยนและคล้ายมนุษย์ แต่ก็ยังคงมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดอยู่

    Synchronization เธอสามารถย้ายจิตใจของตนเองไปไว้ในวัตถุได้ การย้ายนั้นไม่จำเป็นต้องย้ายทั้งหมด หากไม่ใช่สิ่งที่ต้องการความซับซ้อนในการควบคุมเช่นเครื่องจักรเธอจะสามารถควบคุมมันได้เหมือนกับใช้พลังจิต แต่ถ้าหากเป็นเครื่องจักรจะกลายเป็นว่าเธอจะต้องย้ายจิตของตัวเองเข้าไปในมันแล้วควบคุมแทน ซึ่งพลังจิตของเธอนั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพเครื่องจักรด้วยเช่นกัน – by lanzadel

    9.อาเรส เงีย (Arres Ngeer) Leaders Of Company 4 เธอนั้นเป็นพวกผ่าเหล่า ไม่เหมือนกับเรย์รอม เธอไม่ได้เกิดจากการปรับตัวแต่เป็นการผ่าเหล่าแต่กำเนิด เธอมีพลังกายต่ำติดดินมากๆ แต่มีพลังเวทในระดับสูงและสมองที่ฉลาดปราดเปรื่องแทน สถานที่เกิดและประวัติของเธอนั้นไม่ทราบแน่ชัด รู้แค่ว่าเธอถูกทิ้งเพราะสาเหตุที่ว่าตัวเธอนั้นแปลกประหลาดกว่าพวกของตน

    มีนิสัยเป็นสโตล์เกอร์ ชอบทำตัวลับล่อๆเหมือนกับเป็นพวกมีเงื่อนงำเสมอ บุคลิคส่วนใหญ่ถือว่าน่ารัก
    มีพลังเวทในระดับ Nuke พูดง่ายๆคือ ระดับมากจนล้นนั้นเอง ความสามารถของเธอจริงๆนั้นก็คือการ Detect เธอสามารถตรวจจับสิ่งที่ผิดปรกติไปจากความคิดของเธอได้ เธอจะปล่อยพลังเวทออกมารอบๆตัวเนื่องจากมันมีมากเกินไปแล้วพลังเวทเหล่านั้นก็จะถูกใช้เป็นเหมือนกับเรดาร์ หากมีอะไรเคลื่อนที่อยู่รอบๆตัวเธอเธอจะรู้ไดในทันทีแล้วใส่ไม่เลี้ยงแน่ๆ – by lanzadel

    10.เบลซ เดอะ ซัน (Blaze the Sun) ทหารคนเดียวในอาณาจักรที่ไม่ได้มี Pain of suffer ติดไว้ ความหลังดั้งเดิมของเขานั้นก็แค่ถูกโรซาที่เป็นหนึ่งใน Moon Trinity เก็บมาเลี้ยงแล้วให้ที่พักพึงกับเขาเท่านั้นเอง

    เบลซ ถนัดในด้านการใช้ดาบที่ได้รับการสั่งสอนมาจาก Roza และมีความแข็งแกร่งในด้านวิญญาณพอๆกับ Brilla เนื่องจากได้ร่างเทียมที่ขึ้นตรงต่อเธอมา พูดง่ายๆก็คือเขาแทบจะมีพลังการรักษาร่างกายและความอมตะทางด้านวิญญาณที่ไร้เทียมทาน แต่กระนั้นก็ไม่มีพลังพิเศษเลยเนื่องด้วยเหตุผลจากร่างเทียม
    เบลซเป็นที่ดึงดูดจากสาวๆมากเกินไป ทำให้ถูกโรซาเดินตามมาคุมเสมอ หากอยู่ในร่างเทียมเขาจะต้องดื่มเลือดของเหล่า Moon Trinity อย่างน้อยเดือนละครั้งเพื่อให้มันใจว่าเขาจะไม่สามารถใช้ร่างเทียมนั้นฆ่าพวกเธอได้ – by lanzadel


    11.Varhelsyel Weixelbraunt (เวิร์ลซิเอล ไวเซลบรันท์) คาร์ดินัลวัย 22 ปีแห่งมหาวิหารอควาทิสส์ ผิวกายขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีผมสีขาวสลวยและยาวมากซึ่งทั้งหมดถูกปกคลุมไว้ด้วยชุดนักบวช มักปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากอยู่ตลอดเวลา มีอำนาจในด้านต่างๆมากถึงมากที่สุดโดยเฉพาะในด้านทางศาสนจักรในมหาวิหารรองจากพระประมุขเท่านั้น

    ไวเซลบรันท์ชอบเล่นดนตรี ผลิต/ปรุงเบียร์-เหล้าต่างๆ ศึกษาเวทย์มนตร์และการเทศน์ให้ความรู้แก่ประชาชนในอาณาจักร เขาเป็นนักบวชที่ชื่นชอบดนตรีและสุราเป็นอย่างมากรวมทั้งยังศึกษาศาสตร์เวทย์บริสุทธิ์ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานไปจนถึงศาสตร์ชั้นสูง มีความรู้ความเข้าใจในภาษาโบราณต่าง ๆ อยู่ค่อนข้างมาก ชอบเลี้ยงแมว สามารถพูดคุยกับสัตว์ได้
    มีนิสัย อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ ใจเย็น สุขุมนุ่มลึก พูดน้อย ชอบทำมากกว่าพูด และ รอบคอบเสมอ จากคำบอกเล่าของพระและพ่อมดชั้นสูงของมหาวิหารกล่าวว่า เวิร์ลซิเอล ศึกษาเวทย์มนตร์จนแตกฉานจนกระทั่งล่องหนหายตัวแยกร่างและถอดจิตได้ หรือ แม้กระทั่งถอดจิตมาคุยกับตัวเองก็ได้ – by nakiann123

    12. Magnifique (เมเนฟิค) หญิงสาวร่างเล็กผู้ถูกสาป มีอายุ 164 ปี แต่ดูจากภายนอกจะเห็นเธอมีอายุประมาณ 15 ปี ผมยาวเกือบถึงไหล่สีน้ำตาลอ่อน ตากลมใสดูไร้เดียงสา เนื้อตัวผิวขาวเนียนใส่ชุดเดรสสีขาวมีแจคเก็ตสีดำแขนยาวคลุมทับอีกที
    เธอพยายามค้นหาวิธีแก้คำสาปของตัวเอง เนื่องจากตอนเธอยังเด็กครอบครัวของเธอถูกฆาตกรรมจนหมดแม้แต่ตัวเธอเอง บังเอิญมีจอมเวทสูงอายุคนหนึ่งเดินทางผ่านมาเห็นและเกิดความสงสารว่าอายุยังน้อยอยู่เลย จึงได้ทำการชุบชีวิตเธอขึ้นมาโดยแลกกับชีวิตของเขาเอง หลังจากนั้น 3 ปีเธอพบความผิดปกติของตัวเองว่าไม่สามารถโตได้อีก คาดว่าคงเป็นผลจากการชุบชีวิตจึงเดินทางไปศึกษาที่ Biblio
    ปัจจุบันเป็นบรรณารักษ์เพราะรู้ที่อยู่ของหนังสือกว่าครึ่ง และยังรู้จักทุกเผ่าเพียงแต่รู้มาจากหนังสือเท่านั้น – by otakuoz

    13.สเตรลการ์ (Strelka) ชายแต่ร่างเตี้ยแต่แข็งแรงวัย 121 ปี มีถิ่นอาศัยที่ไม่ทราบแน่ชัด แต่ถิ่นกำเนิดจะอยู่บริเวณที่เผ่าของเขาเรียกมันว่า "Red Hole" สเตรลการ์มีนัยน์ตาสีทอง ไม่มีผมหรือหนวดหรือแม้แต่คิ้ว มีแผลเป็นที่เกิดจากกรงเล็บแมวตรงแก้มด้านซ้าย
    เขามักจะหาที่เงียบๆนั่งคิดแผนการของเขาถึงแม้ว่าจะไม่เป็นผลสำเร็จ แต่ก็สร้างความเสียหายได้อย่างมากมาย โดยเป้าหมายของแผนการก็จะมี
    -ชิงเอาหนังสือเวทย์มนต์ชื่อ "Juhanus Hii Yu" ในหอสมุดใต้ดินในอาณาจักร Hata
    -ชิงเอา"แหวนแห่งป่าและเทพ"จากหอสมุด"Lauri"ในหุบเขา Rocky
    -เก็บเอาตัวอย่างเลือดของมังกร
    -ชิงเอา"Crystal of Life"ซึ่งไม่รู้หายไปไหน
    -ชิงเอา"Sword of King Arthur"ที่ถูกเก็บรักษาอยู่ในพิพิธพรรณหลวงของอาณาจักรเอลิเรียม
    -ชิงเอาหัวรบนิวเคลียร์ที่ถูกเก็บอยู่ในโกดังหมายเลข 7 ใน"เรือยักษ์แห่งรัสเซีย"ที่ทอดสมอเป็นเวลาอันยาวนานในช่องแคบอังกฤษ
    ทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำการสังเวยสิ่งของทั้งหมดเพื่อปลดปล่อยเผ่าเดียวกันที่ถูกขังอยู่ใน "Red Hole" – by portroyal111

    14.Blunka (บลังค์ก้า) องค์หญิงวัย 16 ปี ลำดับที่ 26 แห่งเผ่าแมลง Qwadian เกิดจากมนุษย์ชาวเหนือกับราชินี Xenovia พ่อโดน****ับหัวขาดตั้งแต่คืนเข้าหอวันแรก
    หน้าตาซุกซนเหมือนเด็กสาวอายุ 16 ทั่วๆไป สูงประมาณ 160 รูปร่างบอบบาง ดวงตาสีเขียวกลมโต ผมสีเขียวยาวถึงเอว ผิวสีเหลืองนวลละเอียดนุ่มนิ่มแต่ทนทาน กลางหลังมีปีกแข็งๆสีเขียวสดเหมือนแมลงทับ
    บลังค์ก้าเป็นพวกกระเพาะสี่มิติเหมือนแม่ แต่เธอสวาปามได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ ผัก สมุนไพร เนื้อหนังยันกระดูก เรียกได้ว่า ถ้ามีวัวอบผลไม้ทั้งตัวมาเสิร์ฟ มันหายไปหมดจะเหลือแต่จานเปล่า
    บลังค์ก้ามีสมรรถภาพทางกายสูง พละกำลังมหาศาล ความทนทานเป็นเลิศ ความเร็วเยี่ยม ตามประสาเหล่าแมลงแล้วปีกที่เปรียบเสมือนแมลงทับด้วยหลังของเธอ มีความแข็งแกร่งและทนทานขนาดกันแรงระเบิดได้ – by sixout

    15.Xenovia (ซีโนเวีย) ราชินี ผู้ปกครองอาณาจักรแซนโดร่า อายุ 80 ปี รูปลักษณ์ภายนอกดูไม่ต่างจากสาวอายุ 16 ปี ผมสีทองยาวเหยียดตรง ดวงตาสีน้ำเงินส่องสว่าง หน้าตาสระสวยราวกับตุ๊กตา รูปร่างสมส่วน ผิวสีขาวอมชมพูต่างจาก คลีโอ เพราะอยู่แต่ในราชวัง ตรงกลางหลังมีปีกแมลงปอซึ่งจะทอประกายสีม่วงใสๆยามต้องแสง
    ซีโนเวียมีนิสัยสุภาพ อ่อนหวาน พูดจาเนิบๆ สบายๆ ใจเย็น ชอบทำอะไรแบบง่าย ๆ เข้าว่า เน้นผลลัพธ์ ไม่ชอบเจาะลึกอะไรมากมาย อย่างเช่น ศัตรูเดินทัพผ่านมา ก็พังเขื่อนสิ, เสบียงไม่พอ ก็ปล้นสิจ๊ะ, การป้องกันในกำแพงมันหนามาก บุกไม่ได้ แล้วจะบุกทำไมละ ขุดดินใต้ฐานให้กำแพงถล่มสิ นอกจากนิสัยมักง่าย- สบายๆแล้ว เธอยังเป็นพวกกินเนื้อสดเป็นอาหารหลักทั้งบนโต๊ะและบนเตียง เรียกว่า ไม่กินผักหรือเป็นฝ่ายรับเลยก็ว่าได้
    Wing Blade นอกจากสมรรถภาพทางกายที่สูงแล้ว ปีกใส ๆ ด้านหลังของเธอยังมีความคมกริบ สามารถตัดเหล็กได้ Sonar Scream เสียงกรีดร้องรุนแรงระดับราชสีห์คำราม กระจกแตก เยื้อแก้วหูทะลุ ด้วยความสามารถเหล่านี้จึงไม่มีใครกล้าหือหรือขึ้นเสียงกับเธอได้ – by sixout

    16.แม็กซ์เวล ดี ลาสต์ไวซ์ (Maxwell de Lastwise) ชายหนุ่มร่างผอมซีดคล้ายศพอายุ 20 ปีเก่งกาจในเรื่องการใช้อาวุธปืนและเทคโนโลยีต่างไม่ว่าจะเป็น Gun Master, Technology User
    งานอดิเรกของแมกซ์เวลคือ ฝึกซ้อมยิงปืน นั่งถกเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปหาของกินมาทางเล่น เขาเป็นคนเข้ากับเพื่อนได้ดีพอควร โดยเฉพาะพวกนิวไทป์ด้วยกัน – by thanatos123

    17.อาร์ท ลินด์เบิร์ก (Arth Lindburg) ชายวัย 22 ปี ลูกชายของทหารรับจ้างธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่พ่อเสียชีวิตในสงคราม แม่ป่วยตาย ก็เลยใช้ชีวิตแบบนักสู้พเนจร หางานทำไปวันๆ ต่อมาได้ไปรับใช้ SEMI-demon ตนหนึ่ง ทำให้ตนเองกลายไปเป็นพวกนั้นด้วย แต่หลังจากนั้น ผู้เป็นนายกลับถูกจอมเวทย์ระดับสูงสังหาร จึงร่อนเร่ไปทั่ว
    มีผมสีดำ ตาสีดำ ผิวสีน้ำตาล ตัวเตี้ยเล็ก ตาซ้ายบอด แขนซ้ายขาดจนถึงหัวไหล่ อีกทั้งยังเสียประสาทหูด้วย
    ผลจากการต่อสู้อย่างหนักมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ประสาทรับรู้ความเจ็บปวดของเขามันด้านชาและถูกทำลายลงในที่สุด ทำให้ต่อสู้ได้แบบไม่มีความกลัว – by thanatos123

    18.เวโรนิก้า อแควเรียส (Veroniga Aquarius) จากเป็นโครงการอาวุธมีชีวิตที่ถูกวิจัยขึ้นโดยนักวิจัยมนุษย์ ร่วมกับนักวิจัยนิวไทป์ อายุ 17 ปี มีผมสีดำ ผิวสีฟ้า ดวงตาเป็นสีทอง มีมือขวาที่เป็นกรงเล็บคมกริบ แขนซ้ายติดตั้งอาวุธขนาดใหญ่ที่ปล่อยไฟฟ้าได้ มีลักษณะคล้ายกระบองที่พันด้วยลวด
    สร้างกระแสไฟฟ้าได้ระดับ 20,000 โวลต์ และปริมาณมากถึง 300 แอมแปร์ สังหารคนธรรมดาได้ในทันที่มี พลังการสร้างสนามแม่เหล็กในระดับใช้ดึงดาบออกจากมือ หรือเปลื่ยนทิศทางลูกกระสุนปืนคาบศิลาได้ แต่ใช้เคลื่อนย้ายวัตถุขนาดใหญ่ เช่นรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ – by thanatos123

    19.ราสเฟียร์ ฮัสเซียเรย์ (Rasfeir Husciariey) นักรบของกลุ่ม INFERNO STAKER ซึ่งถูกเรียกว่าอดีตมนุษย์ เพราะความสามารถแต่ละคนนั้นไม่ธรรมดา อายุ 30 ปี ผมสีดำ ผิวคล้ำ หน้ามีรอยกรีดขนาดใหญ่ รูปร่างผอมเกร็ง กราบแคบ ไม่มีใบหู
    อวัยวะภายในของเขาได้เปลี่ยนไป จากผลของการละทิ้งความเป็นมนุษย์ ทำให้การโจมตีด้วยการทุบกระแทกให้ช้ำใน ใช้ไม่ได้ผลกับเขา และผลจากการยอมตกเป็นเครื่องมือทดลองเวทย์มนต์ ทำให้ร่างกายของเขามีความทนทานต่อเปลวเพลิงทั่วไปได้
    ราสเฟียร์ชอบอ่านหนังสือเวทย์มนต์ดำ เขาเป็นพวก EQ ต่ำมาก ๆ – by thanatos123

    20.คาลิค ชิเชส (Kalic Chichase) เจ้าชายแห่งเผ่าอามาเทล เป็นลูกชายคนโตของกษัตริย์ผู้ปกครองพื้นที่แห่งป่าเพลล์อา วัย 22ปี มีผิวเข้ม ตาคม สูงล่ำกล้ามใหญ่ ตาสีทอง ผมสั้นสีน้ำตาลเข้ม
    เป็นคนที่รักพ่อของตัวเองมาก และรักอาณาจักรของตนมาก พยายามปกป้องอาณาจักรของตนจากศัตรูทุกคน ไว้ใจคนยาก มีอาวุธคู่ใจคือ สนับมือหัวสิงโต สามารถยิงหัวสิงโตติดโซ่ออกไปได้ – by hiphopparadise

    21.พาลเลทท์ เซทเซเวตี (Palett Zetsevieti) สาวตาคมอายุ 20 ปี เธอกำพร้าตั้งแต่อายุแปดขวบ ต้องร่อนเร่ไปยังเมืองต่าง ๆ จนทำให้เธอกลายเป็นนักรบพเนจร ไม่ถูกชะตากับพวกเอลฟ์เลือดผสม พาลเลทท์เป็นนักสร้างสิ่งของใช้งานมือฉมังแต่ก็ยังต้องเรียนรู้อีกมาก แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจออกผจญภัยอีกครั้ง
    เธอสูง 170 เซนติเมตร มีใบหน้าทรงรี ตาคมนัยน์ตาสีเขียวประกายแดง อีกทั้งยังมีเส้นผมสีแดงสลวยด้วย เธอมีผิวสีขาวอมครามสดใส รูปร่างเพรียวแข่งแกร่งแต่ดูดี อาวุธประจำกายของเธอคือดาบคู่ - SilencerWT

    22.จูสติเทีย ฟอร์มา (Justitia Forma)หรือ “แบบอย่างของความยุติธรรม” วีระสตรีวัย 45 ปี ผมสีดำ ตาสีดำ มีหนวดเล็กน้อย เป็นคนเคร่งขรึม มีมาดความเป็นผู้นำสูง หน้าตาไม่ได้ดูแก่มากนัก ประมาณ สามสิบปลาย ๆ ความจำดีมาก เดาเหตุการณ์ได้เก่ง ตามหลักของตรรกะ และเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ง่าย บางทีไม่ต้องอธิบายละเอียด ก็เข้าใจ – by rosereds

    23. Elza de luke zeles harenes elflois arkinas den troisze kreul flast hest zanour : เอลซา ดี ลูค เซเลส ฮาเรเนส เอลฟลอยส์ อาร์ไคนาส เดน ทรอยส์เซ เครล เฟลสต์ เอสต์ เซนัวร์ ประธานสภาของสภาบริหาร(สว.)ของอานิเอล เป็นผู้สืบสายเลือดจากราชาองค์ก่อนๆของอานิเอลตั้งแต่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย ทำให้มีชื่อยาวเหยียด ซึ่งไม่ใช่ชื่อนามสกุลแต่กลับเป็นชื่อจริงของเธอทั้งหมดในแต่ละยุคมาเรียงๆต่อกัน

    เธอเป็นแวมไพร์ เอลซ่านั้นมีชีวิตยาวนานมากๆ ประมาณหนึ่งร้อยปีเธอจะแก่ขึ้นซักหนึ่งวัน ดังนั้นร่างกายของเธอจึงเหมือนถูกสาปให้โตช้าจนไม่มีหน้าอกกับเขาซักที เอลซ่ามีงานอดิเรกคือการทำงาน เนื่องจากเธอไม่ต้องการอาหารขอแค่มีเลือดของใครซักคนมาเสิร์ฟบนโต๊ะก็พอ แถมยังถูกบริลล่าเชิดเป็นหุ่นบ่อยๆทำให้เธอแทบจะไม่ได้ออกไปไหนและแทบไม่มีใครเห็นหน้าเธอ



    ครึ่งมนุษย์ – อมนุษย์

    1.เนฟิน ธิดาของราชินีพญานาคแห่งฮาตะ อายุ 36 ปี ในร่างพญานาค ลำตัวยาว 10 เมตร มีเกล็ดสีรุ้ง ส่วนร่างมนุษย์ประกฎเป็นเด็กสาวอายุ 18 ปี ผมสีน้ำเงินครามทรงโพลี่เทล มีนัยน์ตาสีอำพัน ผิวสีขาวนวล และมีเกล็ดนาคตามแก้ม
    เนฟินรักความอิสระ ชอบเอาตัวเองเป็นหลัก และมีไหวพริบในการต่อสู้มาก เธอสามารถควบคุมน้ำในอากาศได้ อีกอย่าง เธอก็มักสะสมตุ๊กตาหน้าตาขี้เร่ – by herosan

    2.เอ็กซ์คาลิเบอร์ ดาบใหญ่ทองคำรูปร่างสง่า และทรงพลัง หรือในร่างมนุษย์ เขาเป็นชายวัยกลางคน ผม หนวดเป็นสีทอง มักสวมชุดเกราะอัศวินอยู่เสมอ เอ็กซ์คาลิเบอร์มีนิสัยเนิบ ๆ สบาย ๆ แต่ก็เจ้าหัวงูไม่น้อย
    เขามีความสามารถในการต่อสู้อยู่ระดับหนึ่ง และสามารถจับกระแสเวทได้อย่างกว่างขวาง เขาคือเวน่อนตนแรกของโลก และในตอนนี้เขาคืออาวุธศักดิ์สิทธ์ที่ทรงพลังที่สุด – by herosan

    3.ยามาโมโต้ เวน่อนเรือรบหญิงที่มีร่างใหญ่ที่สุด มีอายุมากพอสมควร แต่เดิมเธอเคยถูกจมไปแล้วครั้งหนึ่งในสมัยที่ไม่ได้เป็นเวน่อน(สงครามโลกครั้ง ที่ 2) แต่ถูกมนุษย์สมัยก่อนได้เก็บกู้ซากและนำมาบูรณะประกอบใหม่เพื่อ เป็นอนุสาวรีย์ความยิ่งใหญ่ของประเทศของเขา ถูกเก็บในใต้ส่วนลึกที่สุดของประเทศญี่ปุ่น


    ผ่านไปหลายปีได้เกิดการณ์การทำลายของแสงส่องแห่งทมิฬเทพ ทำให้ประเทศญี่ปุ่นเหมือนคนตายไปแล้ว จึงทำให้เกิดเผ่าพันธุ์ใหม่นั่นคือ คามิ ที่มีความสามารถพูดคุยกับพวกวิญญาณและสามารถนำพลังของวิญญาณมาใช้งานได้หลาก หลาย ถึงเหล่าเทพชั้นสูงทรงพลังมากก็จริง แต่ก็มีขีดจำกัดในหลายอย่าง พวกเขาจึงจำเป็นต้องพึ่งเทพที่เกิดจากสิ่งของจึงทดสอบกับอาวุธโบราณมากมาย ทั้ง ดาบวิเศษคุซานางิ กระจกวิเศษยาตะ สร้อยลูกปัดยาซาคานิ ดาบมารมุรามาสะ ดาบมุราซาเมะ และอื่นๆอีกมากมาย แต่ส่วนใหญ่ล้มเหลววัตถุดิบเกิดระเบิดระหว่างทำพิธีเรียกเทพสิ่งของ สุดท้ายสิ่งที่ทำได้สำเร็จโดยบังเอิญคือ เรือรบยามาโมโต้ ได้กำเนิดขึ้นมา เนื่องจากเป็นเวน่อนจึงไม่สามารถแปลงเป็นกระดาษชิคิงามิได้ จึงจำเป็นต้องพึ่งพาคู่หูกับยามาโมโต้ เพื่อดึงประสิทธิภาพให้ได้มากที่สุด และยามาโมโต้ได้กลายเป็นผู้พิทักษ์น่านน้ำของประเทศนิปปอนจากภัยอันตราย – by herosan

    4.จอนนี ซี (Johnny C.) สิ่งมีชีวิตที่ติดอยู่ในแคปซูล ที่ตกลงมาจากนอกโลกหลายร้อยปีถูกแช่แข็งอยู่ในแคปซูลมาเป็นเวลานาน หลายร้อยปี จนถึงยุคปัจจุบัน หลังจากถูกค้นพบ โดยลิงสัตว์ป่าละแวกนั้นด้วยความบังเอิญ จึงทำให้ เขา เป็นหนึ่งในสมาชิกของ เหล่า ลิงทั้งหลาย ด้วยรูปร่างหน้าตาที่เป็นลิงอยู่แล้ว จึงสามารถใช้ชีวิตอยู่กับลิง เหมือนเป็นดั่งลิงทั่วไป อาศัยอยู่ในป่าของสาธารณรัฐซาจิเทีย

    เขาเป็นพวกม่อลิง ล่าสัตว์ ขโมยของในเมือง สร้างความเดือดร้อนให้กับ อาณาจักร และไม่มีอะไรแตกต่างจากลิงเพราะเกิดมาก็อยู่กับลิง แต่ที่เหนือกว่าคือ มีพลัง ความแข็งแกร่งความคิดที่เหนือกว่าลิงตัวอื่นๆ – by Msguzs

    5.เรย์ฟอน เซราเกียร์ บุตรชายเพียงคนเดียวของประมุขเผ่าไวเวิร์น มีอายุ 40 ปี ความยาวหัวถึงหาง 5 เมตร มีเกล็ดสีดำขึ้นคลุมทั่วร่างกาย ดวงตาสีฟ้าเกรี้ยวกราด ปีกแต่ละข้างมีความยาวถึงหกเมตร เท้ามีสามนิ้วเหมือนเท้าไดโนเสาร์ ไม่มีแขน ฟันคมกริบเต็มปาก
    เขามักคุยกับผู้มีความรู้ด้านแร่ธาตุ หาอาหารกิน ความสามารถอันร้ายกาจคือ พ่นไฟได้ไกลกว่า 3 กิโลเมตร และความรุนแรงระดับหลอมโลหะทิ้งได้สบายๆ เกล็ดมังกรที่ผิวหนังเป็นเส้นใยนาโนคาร์บอน สามารถป้องกันการฟันแทงจากดาบและหอกทั่วไป แม้แต่ระเบิดมือยังทำอะไรไม่ได้ มีสติปัญญาสูงกว่ามังกรปกติ จึงสามารถเรียนรู้การใช้แร่ธาตุต่างๆ ได้ - thanatos123

    6.เรนเต้ เอวาซารอส ลูกครึ่งราชันเอลฟ์และเทพน้ำแข็ง วัย 83 ปี ถ้าเป็นมนุษย์ล่ะก็ อยู่ประมาณ 18 ปี เป็นคนผิวขาวมากเหมือนเป็นโรคขาดโลหิต จึงต้องคุมผ้าไว้ และยังมีไม้เท้ายาวรูปร่างแปลกๆที่สะพายอยู่ด้านหลัง ทำให้ดูคล้ายจอมเวทย์ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่
    เรนเต้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 9 วันโดยไม่กินไม่นอน แต่ทุกๆวันที่พระจันทร์เต็มดวงจะเป็นวันที่เขาเปลี่ยนร่างเป็นอวตารโดยไม่สามารถควบคุมพลังให้กลับเป็นคนได้ โดยช่วงอยู่ในป่า เขาไม่สามารถคุมสติได้ แต่ปัจจุบันเขาสามารถรับรู้ทุกอย่างได้ปกติ เพียงแต่ร่างของเขาจะไม่ใช่มนุษย์เท่านั้น - misterbeerza

    7.อินิกม่า (ในภาษามังกรแปลว่า "ปริศนาลึกลับ") วัย 18 ปี เป็น 1 ใน 2 เมกิอาซึ่งกำเนิดขึ้นในยุคนี้ พร้อมทั้งมี “คุณสมบัติแห่งราชันย์” ติดตัวมา เขาได้รับการสั่งสอน อบรมศาสตร์และวิชาต่างๆ จากเหล่าผู้พิทักษ์
    ร่างมังกรนั้น มีผิวสีม่วง เขาสีทอง ปีก ปลายหาง เป็นสีทองเช่นกัน ส่วนร่างมนุษย์นั้นเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม ผมสีม่วงปลายสีทอง นัยน์ตาสีทอง
    ด้วยคุณสมบัติของ “ราชา”ทำให้ อินิกม่า มีความสามารถในการควบคุมธาตุต่างๆในธรรมชาติได้ดั่งใจนึก อีกทั้งเขายังเป็นคนง่ายๆ และไม่ถือตัว สามารถปรับตัว และเรียนรู้ได้เร็ว แม้จะยังเยาว์วัย เขาก็แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจแบบผู้ใหญ่ ภาวะของผู้นำและความรับผิดชอบ – by rawipart
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 29th November 2013 เมื่อ 17:00

  4. #3
    Bayou Country
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    New Orleans, LA, United States
    กระทู้
    5,932
    กล่าวขอบคุณ
    4,555
    ได้รับคำขอบคุณ: 8,950
    อ่านแล้วงงๆ ไม่รู้ใครพูดอะไรกันแน่

    แต่ผมไปครีตัวละครไว้แล้ว

  5. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  6. #4
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    พิษณุโลก
    กระทู้
    501
    กล่าวขอบคุณ
    521
    ได้รับคำขอบคุณ: 167
    งง? จะสื่อถึงอะไร - -

  7. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  8. #5
    Time To Fear !
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    in The World '
    กระทู้
    399
    กล่าวขอบคุณ
    49
    ได้รับคำขอบคุณ: 157
    ปรับบทพูดหน่อย ที่เหลือดีแล้วครับ

  9. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  10. #6
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ champ1780 อ่านกระทู้
    ปรับบทพูดหน่อย ที่เหลือดีแล้วครับ
    ปรับแล้วครับ

  11. #7
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    บทที่ --

    เขตอาคมล่มสลาย เหล่านักรบเวทย์มนต์แห่ง FRUE ต้องถอยร่นกลับฐานใหญ่ โลกทั้งโลกกลายเป็นดินแดนร้าง ผู้รอดชีวิตเรียนรู้การเอาตัวรอดจากบรรพบุรุษที่ตื่นขึ้น ยุดมืดครั้งใหม่ได้ถือกำเนิด ก่อเกิดสงครามทำลายล้าง ชายผู้แข็งแกร่งปรากฏกาย

    Can’t Hold US


    บทที่ 0 : ตื่นขึ้นพร้อมกับความว่างเปล่า

    “อืม~”

    ...

    ...

    “เฮ้ย!” ชายหนุ่มผู้หนึ่งลุกพรวดพราดขึ้นโดยอัตโนมัติ

    ...

    เขาหมุนเอียงคอมองไปมองมาภายในบ้านไม้สีน้ำตาลเข้มทะมึน พื้นที่นั้นคับแคบมาก มีขนาดเพียงพอแค่ให้เหยียดเท้านอนเท่านั้น ‘เหมือนคุกเลย’ เขาคิด ‘ทั้งยังกลิ่นเหนียว ๆ เค็ม ๆ นี้อีก ทะเลเหรอ ที่นี่ที่ไหนกัน’

    “โอ้ย!!”

    กระแสคลื่นบางอย่างวิ่งวนสอดส่ายไปมาในหัวของชายหนุ่ม เขาปวดแทบคลั่ง ชายหนุ่มกุมขมับแน่นเหมือนหัวมันจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เขาร้องครางเสียงแหบแห้งเพราะความเจ็บปวด หลังจากนั้นไม่นานมันก็คลายลง เขาถอนหายใจโล่งอก หัวใจยังคงเต้นรัว แต่... ทำไมเขากลับรู้สึกว่างเปล่าเหมือนไม่มีอะไรในหัวแบบนี้กัน

    แสงสีรุ้งแปลกประหลาดเปล่งประกายแววระยับพร่าพร่างไปทั่วห้องขนาดเล็กที่เขานั่งอยู่ เขาหันมองหาต้นกำเนิดของแสง และเมื่อมองลงมายังพื้น เขาก็พบว่า ตนกำลังนั่งทับมันอยู่ ชายหนุ่มตกใจมาก แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นและชวดชมกับความสวยงามของมันไปพร้อม ๆ กัน

    ชายหนุ่มขยับตัวเพื่อชมสิ่งที่ตนนั่งทับ เขาพยุงตัวลุกขึ้นแต่ก็ต้องล้มฟุบลงกับพื้นทันทีเพราะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่เคยมี ‘อะไรกัน แรงมันหายไปไหนหมด’

    เขาชายตาสำรวจห้องอีกครั้ง ไม่มีอะไรตกแต่ง ที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็คงเป็นผ้าห่มขนสัตว์ผืนใหญ่สองผืนวางอยู่ริมห้อง หรือก็คือ มันวางอยู่ติดลำตัวของชายหนุ่มเลยก็ว่าได้ “คงจะอยู่ในช่วงพลบค้ำสินะ” ชายหนุ่มพูด เขาเห็นแสงแดดสีส้มอันเจือจางส่องลอดหน้าต่างบานเล็กเข้ามา แต่แสงรุ้งปริศนาใต้ก้นเขานี้ มันกลับส่องสว่างสวยงามยิ่งกว่าแสงใดที่เขาเคยเห็น

    ‘มีคนกำลังมาทางนี้’ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินเตาะแตะเข้ามาใกล้ ถึงแม้ชายหนุ่มจะรู้อย่างนั้นก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะซ่อนหรือเตรียมรับมือจากผู้มาเยือนปริศนาได้ เสียงฮัมเพลงดังลอยมาแต่ไกล ‘ฟังดูแล้วคงจะเป็นผู้หญิง’ เสียงนั้นยังดังไม่หยุด เธอคงกำลังทำอะไรสักอย่างด้านนอกอยู่ ประตูห้องจึงยังปิดไม่ขยับ เขาพยายามมองหาที่และซ่อนตัวให้เร็วที่สุด แต่ให้ตายสิมันไม่มีซอกไหนให้หลบเลย มีก็แค่ห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ เหมือนคุกนี้เท่านั้น

    ‘เอาก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน’ เขาจำใจอยู่จุดเดิม เผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และจากนั้นก็...

    “ว้าย!! แสงอะไรกันน่ะ... หรือว่าจะเป็น...”

    เสียงอุทานของหญิงสาวดังขึ้นด้วยความตกใจ เหมือนจะรู้ตัวเข้าแล้ว

    ‘หรือว่าเธอจะเป็นคนที่จับเรามากัน แกล้งสลบเป็นตายดีกว่า’ ... ว่าแล้วเขาก็ผล็อยหลับไป

    ‘ปัง!’

    ประตูไม้ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง “น่ะ นะ น่ะเจ้าเป็นใครน่ะ เข้ามาในบ้านของข้าได้ยังไง ไม่สิ ไม่ใช่บ้านของข้าสักหน่อย... ใช่ เจ้าเป็นใคร เข้ามาในหอแห่งนี้ได้ยังไง” หญิงสาวลุกลี้ลุกลนถามชายหนุ่มที่กำลังนอนหันหลังให้เธอ

    ชายหนุ่มพยายามคิดและฟังว่า หญิงคนนั้นกล่าวอะไรออกมากันแน่ แต่แล้วเขาก็ฟังไม่ออก มันเป็นภาษาที่เขาฟังแล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง และไม่เคยได้ยินยลมาก่อน

    ชายหนุ่มยังคงปิดตาแน่นสนิท ร่างของเขาแน่นิ่งเหมือนที่คนตายไม่มีผิด

    พรึบ!!

    ทันใดนั้น ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็โผล่พรวดออกมาจากไหนไม่ทราบ ทรุดลงข้าง ๆ ชายหนุ่มซึ่งกำลังแกล้งตบตาหญิงสาวปริศนาอยู่

    “เฮ้ย!” ชายหนุ่มตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นทันที ถ้าเขามองไม่ผิด เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าซีดยิ่งกว่าไก่ต้ม เขากำลังร้องไห้ คราบน้ำตาติดแก้มเด็กหนุ่มเป็นสาย ท่าทางก็ดูแปลกประหลาด เนื้อตัวเต็มก็ไปด้วยคราบเลือด แต่ความรู้สึกของชายหนุ่มที่มีต่อเด็กหนุ่มตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวหรือขยะแขยงเลยสักนิด กลับกันแล้ว ชายหนุ่มนั้นรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่

    “เอ๋?” เด็กหนุ่มเงยหน้ามองมายังชายหนุ่มและหญิงสาว “อะไรกัน แปลกจริง ๆ หัวก็ยังดี ๆ อยู่ ทำไมนึกอะไรไม่ออกเลย... ว่าแต่ ที่นี่ที่ไหนกัน” สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมานั้นก็เป็นภาษาที่ชายหนุ่มไม่เข้าใจเช่นกัน แต่เขาเคยได้ยินภาษาในลักษณะแบบนี้มาก่อน มันเป็นภาษาที่เขาคุ้นเคยแต่ไม่ใช่ภาษาที่เขาใช้สื่อสาร ชายหนุ่มตัดสินใจถามเป็นภาษาอังกฤษภาษาที่เขาใช้ ภาษากลางที่คนทั้งโลกใช้

    “คือ เข้าใจที่ผมพูดไหม” ทุกคนหันมาจ้องมองยังชายหนุ่ม หญิงสาวคนนั้นทำหน้าตื่น ตาเบิกโพลง ตั้งท่าพร้อมสู้ หน้าตาของเธอนั้นงดงามอยู่ไม่น้อย เธอสวมผ้าคลุมเก่า ๆ ขาดลิ่วทับกันหลายชั้นเพื่อป้องหนาว แต่เนื้อตัวเธอกลับมอมแมมไม่น่าชม บวกกับผมกระเซอะกระเซิงสีน้ำตาลนั่นอีก หากคนส่วนใหญ่พบเห็นคงคิดว่าเป็นคนบ้าหรือไม่ก็ขอทานแน่นอน

    “...” ไม่มีใครตอบชายหนุ่ม

    “คือว่า...” ชายหนุ่มกะจะถามออกไปอีกรอบเพื่อความแน่ใจ

    “ผมเข้าใจ ถึงจะพูดไม่เก่งก็เถอะ” เด็กหนุ่มตอบขึ้นมา สีหน้าเจื่อน ๆ ของเขาช่างดูโศกเศร้าเหลือเกิน คล้ายกับว่าเขาพึ่งเสียของสำคัญของชีวิตไป จากการสังเกตคร่าว ๆ อายุคงจะยังไม่ถึงยี่สิบปี เด็กกว่าเขาอยู่มาก

    “หา? หรือว่าจะเป็นพวกเจ้าที่...” หญิงสาวมอมแมมพูดภาษาแปลกประหลาดอีกคราว ทว่าท่าทีดีอกดีใจออกนอกหน้าของนางทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายลงไปมาก เธอวิ่งแจ้นออกไปอย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่า เรื่องน่ายินดีบางอย่างได้เกิดขึ้น

    ชายผู้มีอายุมากกว่าชำเลืองมองเด็กหนุ่มด้วยความสลด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มคนนี้ แต่หยดน้ำตาที่หลั่งออกมามันสื่อถึงความเจ็บปวดของเด็กหนุ่มอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาแล้วมองมาที่เขา

    “คุณเป็นใครเหรอครับ” ยังดีที่เด็กหนุ่มพูดภาษาที่เขาเข้าใจได้อยู่

    “ผมเหรอ... ผมชื่อ- ชื่อ... ชื่อ.... โอ้ย!” ชายหนุ่มกุมขมับอย่างเจ็บปวด ราวกับว่าสิ่งที่เขาเคยเจอ เคยจดจำมันถูกสลายไป กระแสบางอย่างมันกลับเข้ามาวิ่งวนในสมองของเขาอีกรอบ เด็กหนุ่มตกใจกับท่าทีของชายหนุ่ม แต่ผ่านไปครู่เดียวชายหนุ่มก็อาการทุเลา เขาหันไปมองยังประตูห้อง ที่ซึ่งหญิงสาวมอมแมมวิ่งหอบสิ่งของบางอย่างกลับเข้ามาอีกครั้ง ท่าทางของเธอเหนื่อยหอบหายใจถี่มาก แต่ใบหน้าของกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและปติยินดีเป็นที่สุด

    ในมือของหญิงสาวมอมแมมมีหนังสือเก่า ๆ เล่มใหญ่เล่มหนึ่ง เธอยกมันขึ้นอ่านอย่างตั้งใจ

    “สวัสดี” เธอแต้มรอยยิ้มส่งให้ชายทั้งสองอย่างสดใสแต่แลตลก พูดภาษาอังกฤษได้แล้ว “ข้ามีนามว่าเอวา เป็นคนดูแลทางออกของประตูรักษาชีวิต” สิ่งที่เธอพูดทำให้ชายทั้งสองงงและสับสนอยู่ไม่น้อย เธออ่านต่ออย่างฉะฉานแต่สำเนียงยังแข็งเกินไป

    “เป็นไปได้ว่า พวกท่านทั้งสองจำอะไรไม่ได้เลยในตอนนี้ นั่นเป็นผลมาจากประตูรักษาชีวิต ประตูรักษาชีวิตคือประตูที่ช่วยให้พวกท่านรอดจากการเสี่ยงตาย หรืออาจจะเรียกว่า ตอนที่พวกท่านเกือบสิ้นชีวิตเพราะเหตุบางอย่าง ร่างของพวกท่านก็จะถูกดึงเข้าสู่ประตูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เป็นแบบนี้ก็เพื่อรักษาชีวิตท่านเอาไว้ พวกท่านทั้งสองมีสร้อยมรกตคล้องคออยู่ในตอนนี้ใช่หรือไม่” ทั้งสองพยักหน้า

    “นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกท่านเข้าสู่ประตูรักษาชีวิต พวกท่านทั้งสองจะเห็นได้ว่ามรกตสีเขียวที่อยู่ในจี้นั้นได้แตกกระจายไปแล้ว หมายความว่า พวกท่านไม่มีสิทธิ์ใช้ประตูรักษาชีวิตอีกเป็นครั้งที่สอง การที่พวกท่านได้ใช้ประตูรักษาชีวิตนั้นก็หมายความว่าพวกท่านเป็นผู้สำคัญมาก ข้าซึ่งเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลทางออกจึงบอกไม่ได้ว่าพวกท่านคือใครและมาจากไหน แต่กาลเวลาจะนำความทรงจำของพวกท่านออกมาจากประตูรักษาชีวิตเอง ส่วนเรื่องข้อมูล ถ้าพวกท่านอยากจะรู้มากกว่านี้ก็เชิญถามได้เลย” แต่ก็ยังไม่มีใครถาม

    “เอ... ขั้นที่สาม ก็แสดงว่าพวกท่านหลับใหลอยู่ในประตูรักษาชีวิตมาแล้วประมาณหกสิบปี ถือว่าเป็นระดับปกติของการใช้งาน”

    “หา?” ชายทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน พวกเขาตาเหลือกอ้าปากค้าง ภาพที่เห็นทำให้หญิงสาวนามว่าเอวาอดหัวเราะไม่ได้ หลังจากที่เสียงหัวเราะเงียบไป แสงสีรุ้งอันงดงามก็หายลับไปด้วยเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้บุคคลทั้งสามตกใจอยู่ไม่น้อย

    “อะไรกัน? ...ทางออกถูกปิดแล้ว งั้นก็แสดงว่ามีแค่พวกท่านสองคนเท่านั้นที่ใช้ประตูรักษาชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์นี้ โธ่ ข้าอุตส่าห์ดูแลรักษากว่าสิบปี นึกว่าจะได้เห็นเหล่าเทพจุติหล่อเหลาออกมาจากประตูนี้ซะอีก หมดสิ้นกันความฝันของข้า” เอวาพูดภาษาแปลก ๆ แล้วก็ทิ้งตัวนั่งลงพิงสันประตูห้องอย่างเหนื่อยอ่อน เธอกอดหนังสือเล่มใหญ่แบบหลวม ๆ

    ชายหนุ่มมองหน้ากัน “คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม” เอวาพยักหน้า ‘แล้วทำไมไม่พูดตั้งแต่แรกฟระ!!!!’ เด็กหนุ่มสบถในใจ

    “อ้า!” เอวาตึงตังมองมายังเหล่าชายหนุ่มทั้งสอง “เอาอย่างนี้ พวกท่านทั้งสองจำชื่อของตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” ชายทั้งสองฟังเอวาแล้วนิ่งคิด เนิ่นนานพวกเขาทั้งสองก็ยังคิดไม่ออก

    “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เอง” แววตาของเอวาเปล่งประกายสุกใสเป็นอย่างมาก

    “ท่าน- คนที่ดูหนุ่ม ๆ อายุน้อยชื่อว่าอัตนัน มีความหมายในภาษาของข้าว่า ผู้โศกเศร้า”

    “ส่วนท่าน- คนที่อายุราว ๆ กับข้า ชื่อว่าโวติก ซึ่งหมายความว่า ผู้สับสน” เอวากอดอกอย่างพึงพอใจ แต่ชายทั้งสองซึ่งไม่พอใจกับชื่อและความหมายก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

    “เดี๋ยวก่อนครับ ถ้าหากว่าพวกผมเป็นผู้สำคัญแล้วทำไมคุณถึงมาตั้งชื่อให้พวกผมตามใจชอบแบบนี้ล่ะ” เด็กหนุ่มตัดสินใจถาม

    “ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจะตั้งชื่อเองเหรอคะ บอกไว้ก่อนเลยนะคะท่าน ว่า ชื่อที่แปลก ๆ ของโลกที่พวกท่านเคยอยู่มันทำให้ชาวเมืองแถวนี้เพ่งเล็งมาที่ท่าน ทำให้เป็นจุดเด่นจนเกินไปและอันตรายเกินไป ฉะนั้น จงรับชื่อที่ข้าแต่งให้นี้จะดีกว่านะเจ้าคะ นายท่าน”

    ทั้งสองไม่ตอบ

    อัตนันเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงเพรียว ผมสีดำสั้น ผิวขาวอมหน้าตาล นัยน์ตาก็สีน้ำตาล ใบหน้าเรียวทรงวงรี คิ้วทรงสามเหลี่ยมเข้ม ริมฝีปากหนาและโค้งลงเล็กน้อยแต่โดยรวมถือว่าดูดี อายุราว ๆ สิบแปดปี เขาก้มหน้าต่ำเพราะไม่มีอะไรจะโต้แย้ง
    โวติก มีรูปร่างสูงพอ ๆ กับอัตนัน แต่เตี้ยกว่าเล็กน้อย ผิวขาวคล้ายคนอาศัยอยู่ในเขตหนาว ผมสีดำสั้น นัยน์ตาสีเขียว มีใบหน้าทรงไข่ คิ้วโก่งเข้ม ริมฝีปากบาง สันจมูกตรง แววตาเฉียบคมดั่งคนมีสติปัญญาสูง อายุราว ๆ ยี่สิบห้าปี เขามองเอวาอย่างไม่ลดละ

    “หลังจากนี้พวกท่านทั้งสองต้องเรียนรู้เรื่องราวของโลกนี้ให้มาก ๆ เพราะว่าโลกที่ท่านรู้จัก ไม่สิ ท่านจำโลกเดิมไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่มันก็อาจจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี ขอบอกไว้ด้วยว่าชาวพื้นเมืองแถวนี้ไม่เข้าใจภาษาที่พวกท่านพูดหรอก พวกท่านก็ต้องเรียนรู้ภาษาอื่น ๆ บ้าง” เอวาจัดระเบียบข้าวของภายในห้อง ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีอะไรเลย

    “ตายจริง ไม่มีที่นอนพอเลย” เอวาเลิกหน้าไปมาอย่างเป็นกังวล

    “ผมขอออกไปดูด้านนอกนะครับ” อัตนันพูดขึ้น แต่เขาก็ไม่สามารถทำอย่างที่เอ่ยได้เพราะร่างกายของเขาไร้เรี่ยวแรง มันอ่อนเปลี้ยไปหมด อัตนันหายใจถี่รัวและแผ่ว เหมือนกับโวติกก่อนหน้าไม่มีผิด แต่คราวนี้มันรุนแรงกว่า

    “เป็นอะไรไปน่ะ” โวติกถามอย่างกังวล เอวาตาเหลือก เธอโผเข้ามาดูอาการของอัตนันอย่างรวดเร็ว

    “เช็ดคราบเลือดพวกนี้ออกที” โวติกบอกเอวา เธอรีบเช็ดคราบเลือดที่ติดตามเสื้อผ้าของอัตนันอย่างขมีขมัน

    “เป็นผลมากจากประตูรักษาชีวิต ในหนังสือบอกว่าอาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ของท่านโวติกน่าจะเป็นที่อาการปวดศีรษะ” เอวาอธิบาย “ส่วนของท่านอัตนันผู้น้อยนี้คงต้องรอดูอาการต่อไป ข้าอยากให้พวกท่านทั้งสองพักผ่อนก่อน ส่วนข้าจะคอยดูแลพวกท่านยามหลับเอง”
    ว่าแล้วสมองของโวติกก็เกิดกระแสบางอย่างวิ่งวนอย่างรุนแรงเป็นครั้งที่สาม เขาปวดเจียนตาย ‘ฉันจะฆ่ามัน... ฆ่าให้หมด... ฉันจะฆ่ามัน...ทั้งหมด!’ ชั่ววินาทีที่เขาได้ยินเสียงของตัวเองก้องอยู่ในหัว แต่หลังจากนั้นเขาก็สลบไปล้มลงนอนกับพื้นอีกเช่นเคย



    ณ หมู่บ้านท่ามกลางป่าใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีนามว่าเบธเอล

    ดวงตะวันสีแดงลาลับจากขอบฟ้า พระจันทร์ครึ่งดวงต้อนรับคืนใหม่ นกดุเหว่าร่างอ้วนโผปีกบินอย่างงดงามท่ามกลางความมืด ที่ขาของมันมีม้วนกระดาษเล็ก ๆ มัดด้วยด้ายสีแดง มันบินผ่านหมู่บ้านเบธเอลอย่างรวดเร็วแต่แลเชื่องช้า มุ่งตรงไปยังหอสังเกตการณ์เตี้ย ๆ ของหมู่บ้าน มีสลาจผู้ใหญ่บ้านร่างผอมสูงลูบเคราขาว ๆ ที่ย้อยลงมาพลางคิดเรื่องต่าง ๆ นานาอย่างเป็นกังวล

    นกดุเหว่าบินผลุบบินโผล่อยู่เหนือหมู่บ้านให้สลาจได้เห็นอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าดวงตาของเขาจะพร่าเลือนก็ตามที “หืม? ใครใช้นกดุเหว่าตอนนี้กัน” ชายชราจ้องไปที่นกตัวนั้นอย่างอดสงสัยไม่ได้ เพราะว่าที่ขาของมันเหมือนจะมีจดหมายสำคัญบางอย่าง ความจำที่เกือบจะหายไปเพราะอายุ ฉุดให้ชายชราโห่ร้องออกมาด้วยความยินดี

    ‘เกร้ง! เกร้ง! เกร้ง!’

    ค่ำคืนที่ควรจะเป็นยามพักผ่อนนอนหลับของชาวบ้านเบธเอล กลับมีเสียงฆ้องตีรัวดั่งเกิดศึก ชาวบ้านแตกตื่นออกมาจากบ้านของตนเพียงแต่ว่า พวกเขาไม่ได้หยิบอาวุธใด ๆ ออกมาด้วย ชาวบ้านต่างมุ่งตรงไปยังลานกว้างกลางบ้านทันที เสียงพูดคุยเพราะความสงสัยดังซัวไปทั่วบริเวณ บางจุดก็มีกลุ่มสนทนาในเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้ บางจุดก็พูดเรื่องสงคราม หรือไม่ก็การปรับเปลี่ยนแนวการเป็นอยู่ของหมู่บ้านอีกคราว

    “ฟังทางนี้!!!” สลาจตะโกนอย่างเข้มแข็งบนแท่นไม้ด้านหน้าสุดของลานกว้างมีคบเพลิงพร้อมไฟลุกโชนจำนวนมากวางเรียงแถวด้านหลังเขา มือทั้งสองของชายชราเหยียดตรงกุมไม้เท้าออกมาด้านหน้า ข้าง ๆ ก็มีชายหน้าเข้มร่างกำยำยืนมือไขว้หลังอยู่
    “พี่น้องและลูกหลานอันเป็นที่รักของข้าทั้งหลาย... บัดนี้เวลาแห่งแสงสว่างได้มาถึงแล้ว ประตูรักษาชีวิตได้ถูกเปิดออก และมีชายหนุ่มสองคนปรากฏกายออกมา!”

    เสียงพูดคุยของชาวบ้านนับร้อยดังก้องขึ้น หลายคนหันหน้าเข้าหากันและจับกลุ่มถกเถียงอย่างรวดเร็ว

    “ฟังก่อน ฟังก่อน พี่น้องที่รัก!” สลาจทุบไม้เท้าสองสามที “ถ้าหากว่าเรายังมัวโต้เถียงกันอยู่แบบนี้ ชายทั้งสองซึ่งเป็นจะคนชี้ชะตาของพวกเราอาจเป็นอันตรายก่อนแน่” ชาวบ้านเริ่มสงบ ชายชราพูดต่อ

    “คำพยากรณ์ของท่านยิระมันเป็นความจริง ข้าอยากให้เหล่าชายหนุ่มที่แข็งแรงทั้งหลายยืนหยัด สวมเกราะ และปกป้องชีวิตของผู้เป็นที่รัก โดยไปที่หอคอยกาลเวลาที่อยู่ทางเหนือ ที่ซึ่งความหวังของพวกเราคอยอยู่ที่นั่น ก่อนที่ทุกอย่างจะสาย ก่อนที่แบล็กไวกิ้งจะชิงไปก่อนเรา เวลามีน้อย ข้าไม่อยากสาธยายอะไรให้มากจนเกินไป ไปเถิด พี่น้อง จงไปปกป้องผู้กอบกู้ของพวกเรากัน” ชาวบ้านทำหน้าตาสงสัย บางคนที่รู้เรื่องนี้ดีก็อธิบายให้คนข้าง ๆ ฟัง

    “ได้ยินที่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านพูดแล้วใช่ไหม ไปเตรียมศึกกัน” เสียงแข็งกร้าวของอาร์กดอหัวหน้าครูฝึกด้านการต่อสู้ของหมู่บ้านที่ยืนมือไขว้หลังข้างสลาจเปล่งสะท้านออกมา ชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่ได้ยิน ก็โห่ร้องอย่างตื่นเต้น พวกเขารีบกลับเข้าบ้าน สวมชุดเกราะ ผ้าคลุมหนังสัตว์ และหมวกเล็กที่ด้านบนมีเขาแหลม ๆ ของไบซันเป็นจุดเด่น

    อาร์กดอออกนำขบวนทหารเพียงหยิบมือของหมู่บ้านเบธเอลตรงไปยังหอคอยกาลเวลา เขายกดาบชูขึ้นแสดงถึงสัญลักษณ์พร้อมรบพร้อมสู้ได้ทุกเมื่อ เหล่าทหารชูดาบตามแต่ไม่มีใครส่งเสียงอันใดออกมาเลยสักคน นั่นเป็นเพราะว่า ยามค่ำคืนของป่าโดยรอบนั้นมันอันตรายยิ่งกว่ากลางสนามรบตัดสินแผ่นดินถึงเท่าตัว

    เมื่อเหล่าชายชาญผู้กล้าหาญแห่งหมู่บ้านเบธเอลออกเดินได้ครึ่งทาง อาร์กดอพบกับม้าตัวหนึ่งวิ่งวนในความมืดด้านหน้า เขาชูกำปั้นขึ้น กองทหารหยุดนิ่ง อาร์กดอเพ่งเล็งไปยังม้าตัวนั้น แล้วก็พบว่า บนหลังม้ามีนักรบสวมเกราะ ศีรษะของนักรบเป็นรูปหัวกระทิงสะท้อนแสงอันน้อยนิดของดวงจันทร์ให้เห็นเป็นเงา “แบล็คไวกิ้ง”



    2 วันต่อมา ณ หอคอยกาลเวลาที่ซึ่งอัตนันและโวติกนอนสลบไสลอยู่

    โวติกค่อย ๆ ลืมตาขึ้นจากการหลับใหลติดต่อกันอันยาวนาน เขาลุกขึ้นพร้อม ๆ กับอัตนัน ผ้าห่มผืนใหญ่ที่คลุมพวกเขาทั้งสองถอยร่นออกจากตัว

    “หืม? ... เช้าแล้วเหรอ” โวติกเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นแสงแดดสีทองส่องเข้ามาภายใน กระทบให้เห็นเนื้อไม้สีน้ำตาลเข้มอันสวยงาม ทั้งสองพยุงตัวกันและกันให้ลุกขึ้น เอวาไปไหน...

    อัตนันประคองร่างอันไร้แรงของตนไปเปิดประตู ‘วือ’ ลมทะเลปะทะใบหน้าของเขา สุดลูกหูลูกตาก็มีแต่ทะเล “หนาวโคตร!!” อัตนันยัดมือทั้งสองข้างเข้าซอกรักแร้ทันที แต่เขากลับออกมาจากหอแทนที่จะปิดประตูกันหนาว อัตนันเดินไปตามทางลงลาดชันเล็กของก้อนหินแกรนิตก้อนใหญ่ที่อยู่ติดกับหอ และเมื่อเขาลงมาด้านล้างแล้วก็พบว่ามันคือเกาะ เกาะขนาดเล็กมากที่สุดที่เขาเคยเห็นมา มีเพียงแค่ต้นไม้เล็ก ๆ สองสามต้นขึ้นเพื่อเป็นร่มเงาอันน้อยนิดเท่านั้น

    โวติกเดินออกมาตามอัตนัน “ตอนนี้คงจะประมาณสองโมงเช้า น้ำทะเลยังไม่ลดมากเท่าไหร่ รออีกสักหน่อยอาจจะมีทางออกก็ได้” โวติกพูดขณะที่เดินกอดอกสำรวจไปรอบ ๆ เกาะ

    “ชายฝั่งอยู่ทางนี้ครับ” อัตนันกวักมือเรียกโวติกให้มาอีกด้านของเกาะ เขาเห็นแล้ว ป่าเขตหนาวขนาดใหญ่สีเขียวแก่ บ้างก็เป็นดำ ขึ้นตระหง่านเรียงรายตามชายฝั่งของทะเลอย่างยิ่งใหญ่ หมอกสีเทาครามล่องลอยอยู่เหนือผืนป่าอยู่เต็มไปหมด พร้อมกับชายหาดหน้าราบเรียบสีไข่ก็ยิ่งทำให้อัตนันทึ้งตกตะลึงเป็นอย่างมาก

    “ว้าว ผมไม่เคยเห็นอะไรที่สุดยอดเท่านี้มาก่อนเลย” อัตนันตาวาว แต่หลังจากที่เขาเพ่งเล็งอีกครั้งก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน

    “มีอะไรเหรอ” โวติกมองหาตามอัตนัน

    “ก็พวกคนพวกนั้นไงล่ะครับ ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นพวกสัตว์ป่ามีเขาอะไรแบบนี้ แต่ มันแปลกนะครับ เหมือนพวกมันกำลังจ้องมาทางนี้เลย ไม่เหมือนสัตว์ป่าด้วย” อัตนันถอยหลังกลับไปก้าวหนึ่งเมื่อพบว่าคราวร้ายกำลังจะมา

    เสียงแตรเขาสัตว์ปลุกก้องเหล่าทหารร่างใหญ่ทั้งหลายให้โห่ร้องก้องป่า นักรบผู้สวมหมวกหัวกระทิงซึ่งอยู่ด้านหน้าสุด ก้าวขาออกมาจากเขตป่าอย่างมั่นคง เขาหยุดยืนมองอัตนันและโวติกท่ามกลางแสงดวงอาทิตย์และอากาศเย็น ๆ ยามเช้าบนชายหาดไม่ใกล้ไม่ไกลจากอัตนัน เขาสวมหมวกเหล็กหนา มีเขาสีน้ำตาลแห้ง ๆ ติดไว้คล้ายหัวกระทิง ส่วนชุดเกราะนั้นแทบจะมองไม่เห็น เพราะว่าผ้าขนสัตว์ผืนหนาปกคลุมไว้จนหมด ท่าทางของเขาน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก

    “ว่าแล้ว มันต้องเป็นคน” อัตนันคลายความสงสัยของเขาได้แล้ว

    “จงยอมแพ้ซะ ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่ในแผ่นดินของพวกข้า” นักรบหัวกระทิงเอ่ยในภาษาของตนเองที่อัตนันและโวติกไม่รู้จัก ทั้งสองมองหน้ากันอย่างงุนงง

    “ข้าบอกว่าให้ยอมแพ้ซะ เท่าที่เห็นพวกเจ้ามีกันแค่สองคน แต่พวกข้ามีมากว่าร้อยเท่า พวกเจ้าคงไม่โง่คิดจะสู้กับพวกข้าหรอกนะ” เหล่านักรบหัวกระทิงภายในป่าชักดาบออกมาอย่างใจจดใจจ่อ เนิ่นนานหัวหน้านักรบหัวกระทิงก็ยังไม่ได้คำตอบ
    “ข้าจะบอกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย พวกเจ้าทั้งหมดจงยอมแพ้ซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” นักรบหัวกระทิงเริ่มฉุน

    อัตนันเหลือกตาค้าง “เอาไงดีครับ มันพูดมาซะเยอะเลย ถ้าไม่ตอบให้มากเท่ามันพวกเราอาจโดนเฉือนแน่” อัตนันกระซิบ เขาเริ่มรู้สึกกลัว แต่โวติกลับพ่นขำออกมา

    “ยกมือขึ้นไว้บนหัวแสดงท่าทีอ่อนน้อมดีกว่า พวกเรายังไม่รู้จักที่นี่ดีพอ ดูท่าพวกมันก็ไม่อยากจะสู้จนตัวตายสักเท่าไหร่” โวติกบอก

    “พี่มั่นใจไหมล่ะว่าพวกมันจะไม่ฆ่าเรา ถ้าเรายอมพวกมัน”

    “ไม่ แต่พี่มั่นใจว่าพวกมันทำอะไรพวกเราไม่ได้แน่” โวติกยิ้มให้อัตนัน

    อัตนันเชื่อแล้วยกมือทั้งสองข้างกุมที่ศีรษะเป็นการแสดงความศิโรราบต่อกองทัพหัวกระทิง นักรบคนนั้นเก็บดาบเข้าฝัก

    “ในนามแห่งอาณาจักร-”

    ‘พรึม พรึม พรึม ซ่า ซ่า ซ่า’

    เสียงบางอย่างดังรัวทะลุพุ่งขึ้นมาจากน้ำ ตัดบทหัวหน้านักรบหัวกระทิง

    “อควาทิค!!!!!!”

    หัวหน้านักรบหัวกระทิงตะโกนร้องเสียงก้อง จากนั้นเขาก็เปลี่ยนใจชักดาบเล่มใหญ่ออกมาตั้งท่าพร้อมสู้ เหล่านักรับหัวกระทิงที่เหลือผงะกับภาพที่ปรากฏ



    บทที่ 0.5 : ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำอันเจ็บปวด

    ผม “โวติก” ชื่อแปลก ๆ ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้สับสน” ในภาษาของเอวา หญิงสาวเนื้อตัวมอมแมมซึ่งเป็นคนตั้งให้

    ม่านตาของผมเปิดออกอย่างเชื่องช้าพลางกระพริบไม่หยุด ภายในหอคอยอันคับแคบที่สร้างจากไม้หนาแปลกประหลาด ผมไม่สนเรื่องที่มาของไม้และชื่อของมันนักหรอก ที่ผมคิดในตอนนี้ก็คือ ผมคือใคร ผมเป็นอะไร ทำไมถึงได้มาอยู่ที่ตรงนี้ เกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ โลกที่ผมเคยอยู่เคยรู้จักมันหายไปไหนและมันเคยเป็นอย่างไรมาก่อน

    อะไร ทำไม อย่างไร เมื่อไหร่ ผุดขึ้นในสมองของผมเพราะความสงสัยเรื่อย ๆ ยิ่งกว่านั้นมันไม่มีท่าทีว่าจะหยุดหลั่งไหลออกมาเลย ยิ่งผมคิดมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งปวดหัวมากเท่านั้น แต่มันก็ไม่ยากนักถ้าจะหยุดมัน ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจและนึกถึงบางสิ่งที่คิดไม่ออก

    ตอนนี้ ผมอยู่ภาวะความทรงจำเลือนราง ไม่ถือว่าเป็นความจำเสื่อม เพียงแต่ว่า มันถูกกักเก็บไว้ก็เท่านั้น เอวา หญิงสาวผู้ดูแลทางออกของประตูรักษาชีวิตเคยพูดไว้ “กาลเวลาจะนำพามันออกมาเอง” ถึงแม้ว่ามันออกจะฟังดูหลุดโลกหรือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็ตามที แต่ดูเหมือนว่า ผมจะคุ้นเคยกับเรื่องราวแบบนี้อย่างน่าแปลกใจเลยล่ะ

    ผมรู้สึกหิว ภายในท้องว่างเปล่า ราวกับว่าผมหลับไปเป็นเวลานาน หรืออาจจะยาวนานถึงหนึ่งวันเต็ม แต่เท่าที่รู้สึกตอนนี้คงจะเป็นสองวัน

    ผมชายตามองไปรอบห้อง ประตูที่อยู่ด้านหน้าผมถูกปิด แสงของดวงอาทิตย์สีทองส่องลอดหน้าต่างบานเล็กที่อยู่ขวามือผม เมื่อมันได้ต้องกับแผ่นไม้ของห้องแล้ว ช่างสวยสดงดงามยิ่งกระไร

    ผมค่อย ๆ โน้มตัวลุกขึ้นนั่ง แรงก็ไม่ค่อยจะมีซักเท่าไหร่ คงเป็นเพราะไม่ได้ขยับตัวนานเกินไปล่ะมั้ง

    “หือ?” เสียงครางของอัตนันดังงัวเงียอยู่ด้านข้างผม ผ้าห่มขนสัตว์ผืนหนากลิ่นไม่พึงประสงค์ คลุมศีรษะเขาอยู่ เขาตะเกียกตะกายทำท่าอะไรบางอย่างเหมือนว่ายน้ำ “ละเมอล่ะสิท่า” ผมพ่นขำออกมาเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ดึงผ่าห่มออกแล้วปลุกอัตนันให้ตื่น

    อัตนัน ชื่อเท่ ๆ ที่มีความหมายในภาษาของเอวาว่า “ผู้โศกเศร้า” ถูกตั้งโดยเอวาเช่นเดียวกับผม เหตุที่เอวาเรียกเด็กหนุ่มว่าผู้โศกเศร้านั้นก็เพราะ ครั้งแรกที่ผมได้พบกับเขา อัตนันมีคราบน้ำตาแห่งความโศกเศร้าดั่งสูญเสียสิ่งสำคัญไปหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ด้วยสาเหตุอะไรนั้น อัตนันก็ไม่ทราบได้ เพราะว่าเขาก็อยู่ในภาวะความทรงจำเลือนรางเช่นเดียวกัน

    อัตนันเป็นเด็กหนุ่มอายุราว ๆ สิบแปดปี หน้าตาคม คิ้วเหลี่ยมเข้ม ร่างสูงเพรียว ผิวขาวอมน้ำตาล ผมดำขลับ ท่าทางคล้ายนักกีฬา แต่ถ้าดูให้ดีแล้ว เขาจะเหมือนนักปราชญ์ปัญญาสูงมากกว่า

    “อรุณสวัสดิ์” ผมกล่าวทักทาย

    “อะ ครับ อรุณสวัสดิ์” อัตนันตอบกลับ แต่ก็ยังสลึมสลืออยู่ อันที่จริงแล้ว อัตนันพูดภาษาเดียวกันกับที่ผมใช้ได้ไม่ค่อยเก่งนัก คล้ายกับว่าเขาเป็นคนในแถบตะวันออก ส่วนผม- แน่นอน ใช้ภาษาอังกฤษก็ย่อมอยู่ในแถบตะวันตกอยู่แล้ว แล้วทำไมเรื่องแบบนี้ถึงจำได้นะ

    “ไหวไหม” ผมพูดขณะที่พยุงร่างของอัตนันให้ลุกขึ้น ผ้าห่มขนสัตว์ก็ถอยร่นออกจากตัวอย่างช้า ๆ

    “ไม่เป็นไรแล้วครับ แค่นี้เอง” อัตนันเอ่ยตอบ เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ก็พอที่จะเดินไปไหนมาไหนได้ เขาจึงตัดสินใจเดินไปเปิดประตูไม้ของห้องทันที

    ในขณะที่เขาเปิดประตูห้องออก ลมทะเลจำนวนมหาศาลก็ตีแผ่เข้ามาภายในห้องขนาดเล็ก นี้อย่างรุนแรงอัตนันตะโกนบางอย่างออกมาแล้วยัดมือทั้งสองข้างเข้าซอกรักแร้ หลังจากนั้น เขาก็เดินออกไป ไม่ปิดประตูซะด้วย

    “หนาวชะมัด” ผมรู้สึกว่าลมทะเลในตอนนี้มันออกจะแรงและอุณหภูมิต่ำเกินไป แต่ดูเหมือนว่าผมเคยสัมผัสกับอากาศแบบนี้มาก่อนแล้วจึงไม่เป็นปัญหาอะไรมาก ผมเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มขนสัตว์มาคลุมตัวแล้วลุกขึ้น “กลิ่นฉุนชะมัด” ผมเดินออกมาด้านนอกและก็พบกับทะเล มองไปที่ไหนก็มีแต่ทะเล สุดลูกหูลูกตาก็มีเพียงทะเลสีฟ้าเทาตัดกับเส้นขอบฟ้าสีครามพร้อมแสงแดดยามเช้าทอแสงระเรื่อ มันเป็นภาพที่สวยงามอยู่ไม่น้อย เสียอยู่อย่างเดียว... มันหนาวเกินไป

    ผมเดินกอดอกตัวสั่นเทิ้มออกมาจากห้อง เมื่อเดินออกมาด้านนอกแล้วก็ได้พบกับทางลงซึ่งเป็นเนินลาดชันทำจากการทุบหินแกรนิตก้อนใหญ่ให้เป็นขั้นบันใด ผมหันหลังกลับไปมองก็รู้ว่าที่ที่ตนนอนอยู่นั้นคือหอคอยเตี้ย ขนาดเล็ก รูปทรงเหมือนบ้านเด็กเล่นแต่ผลงานการสร้างดูเป็นมืออาชีพมาก ผมเลิกสนใจแล้วออกเดินต่อ

    ว่าแต่ ที่นี่ไม่มีที่ให้เดินเลยนี่หว่า ผมมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าที่นี่คือเกาะ เป็นเกาะที่มีขนาดเล็กมาก มีต้นไม้ต้นเล็กสองสามต้นแทรกสอดขึ้นตามซอกหินริมเกาะเท่านั้น

    เสียงคลื่นทะเลสาดกระเซ็นเข้าหาฝั่งดังซัวไม่ขาด ผมหันไปมองอัตนันซึ่งอยู่อีกด้านของเกาะ เหมือนเขากำลังหาทางเดินที่ถูกตัดขาดอยู่ “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ น้ำทะเลคงยังไม่ลดมาก รออีกซักหน่อยคงมีทางออกจากเกาะนี้แหละ” ผมพูด อัตนันพยักหน้ารับแต่ไม่หันมอง

    “ผมเห็นชายฝั่งแล้วครับ” อัตนันกวักมือเรียกผม ผมเดินเข้าไปหา “ว้าว ผมไม่เคยเห็นอะไรที่สุดยอดเท่านี้มาก่อนเลย” อัตนันตาวาว แต่หลังจากที่เขาเพ่งเล็งอีกครั้งก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน

    “มีอะไรเหรอ” ผมถามขณะที่ยังเดินอยู่

    “ก็พวกคนพวกนั้นไงล่ะครับ ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นพวกสัตว์ป่ามีเขาอะไรแบบนี้ แต่ มันแปลกนะครับ เหมือนพวกมันกำลังจ้องมาทางนี้เลย ไม่เหมือนสัตว์ป่าด้วย” อัตนันถอยหลังกลับไปก้าวหนึ่งเมื่อพบว่าคราวร้ายกำลังจะมา

    ผมหยุดยืนมองไปตามอัตนัน สิ่งที่ผมเห็นคือชายป่าขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นต้นสน ถัดออกมาจากป่าก็เป็นชายหาดหน้าราบเรียบสีไข่ มีหมอกสีเทาครามลอยอยู่เหนือผืนป่าปกคลุมทัศนวิสัยทำให้มองสิ่งที่อยู่ด้านในไม่ถนัด เหมือนอย่างที่อัตนันว่า เขาบนศรีษะของคนที่อยู่ในป่านั้นคล้ายสัตว์มากแต่ไม่ใช่ มันไม่เหมือนสัตว์เลยแม้แต่น้อย

    เสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงโห่ร้องของกลุ่มคนซึ่งน่าจะอยู่ในป่า เสียงนั้นดังกึกก้องสะท้านไปทั่วบริเวณ ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว ของแบบนี้สามารถบั่นทอนจิตใจและสร้างความหวาดกลัวได้ไม่น้อย

    นักรบผู้หนึ่งเดินออกมาจากป่าทะมึน ร่างสูงใหญ่ของเขาหยุดยืนมองผมและอัตนันท่ามกลางแสงดวงอาทิตย์และอากาศเย็น ๆ ยามเช้าบนชายหาดไม่ใกล้ไม่ไกลจากเกาะแห่งนี้ ผมเห็นเขาสวมหมวกเหล็กหนา มีเขาสีน้ำตาลแห้ง ๆ ติดไว้ด้านข้างคล้ายหัวกระทิง ส่วนชุดเกราะนั้นแทบจะมองไม่เห็น เพราะว่าผ้าขนสัตว์ผืนหนาปกคลุมไว้จนหมด ท่าทางของเขาน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก

    “ว่าแล้ว มันต้องเป็นคน” อัตนันคลายความสงสัยของเขาได้แล้ว

    “จงยอมแพ้ซะ ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่ในแผ่นดินของพวกข้า” นักรบหัวกระทิงเอ่ยในภาษาของตนเองที่ผมไม่อาจเข้าใจได้ เราทั้งสองมองหน้ากันอย่างงุนงง

    “ข้าบอกว่าให้ยอมแพ้ซะ เท่าที่เห็นพวกเจ้ามีกันแค่สองคน แต่พวกข้ามีมากว่าร้อยเท่า พวกเจ้าคงไม่โง่คิดจะสู้กับพวกข้าหรอกนะ” เหล่านักรบหัวกระทิงภายในป่าชักดาบออกมาอย่างใจจดใจจ่อ เนิ่นนานหัวหน้านักรบหัวกระทิงก็ยังไม่ได้คำตอบจากพวกเรา
    “ข้าจะบอกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย พวกเจ้าทั้งหมดจงยอมแพ้ซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” นักรบหัวกระทิงเริ่มฉุน ผมสังเกตเห็นได้ชัด

    อัตนันเหลือกตาค้าง “เอาไงดีครับ มันพูดมาซะเยอะเลย ถ้าไม่ตอบกลับให้มากเท่ามันพวกเราอาจโดนเฉือนแน่” อัตนันกระซิบ เขาเริ่มรู้สึกกลัว แต่ผมตลกกับคำพูดของอัตนันแล้วพ่นขำออกมา เขาทำหน้างง

    “ยกมือขึ้นไว้บนหัวแสดงท่าทีอ่อนน้อมดีกว่า พวกเรายังไม่รู้จักที่นี่ดีพอ ดูท่าพวกมันก็ไม่อยากจะสู้จนตัวตายสักเท่าไหร่” ผมบอก

    “พี่มั่นใจไหมล่ะว่าพวกมันจะไม่ฆ่าเรา ถ้าเรายอมพวกมัน”

    “ไม่ แต่พี่มั่นใจว่าพวกมันทำอะไรพวกเราไม่ได้แน่” ผมยิ้มให้อัตนัน จากการวิเคราะห์และพิจารณาของผมแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมาที่นี่เพื่อต่อสู้อย่างเดียว เหมือนกับว่า สิ่งที่เขาต้องการจะทำจริง ๆ นั้นก็คือช่วยเหลือพวกเรา
    อัตนันเชื่อแล้วยกมือทั้งสองข้างกุมที่ศีรษะเป็นการแสดงความศิโรราบต่อกองทัพหัวกระทิง นักรบคนนั้นเก็บดาบเข้าฝักอย่างสบายใจ

    “ในนามแห่งอาณาจักร-”

    ‘พรึม พรึม พรึม ซ่า ซ่า ซ่า’

    เสียงบางอย่างดังรัวทะลุพุ่งขึ้นมาจากน้ำ ตัดบทหัวหน้านักรบหัวกระทิง

    “อควาทิค!!!!!!”

    หัวหน้านักรบหัวกระทิงตะโกนร้องเสียงก้อง จากนั้นเขาก็เปลี่ยนใจชักดาบเล่มใหญ่ออกมาตั้งท่าพร้อมสู้ ส่วนผมและอัตนันก็ตาตี่ตาลานสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ผมผลักอัตนันให้วิ่งกลับเข้าไปในหอคอย แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ออกวิ่ง สายน้ำสีฟ้าใสคล้ายยางยืดเส้นหนึ่งก็ตรงดิ่งเข้ามาเกาะที่หน้าอกและฉุดเขาลงไปในทะเลอย่างรวดเร็ว แว่วเสียงขอความช่วยเหลือของอัตนันตะโกนออกมาอย่างแผ่วเบา

    ผมตื่นตระหนกกับภาพที่ได้เห็น ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ใจผมเต้นถี่รัวทั้ง ๆ ที่ไม่ได้วิ่งหรือออกกำลังเลยสักนิด

    มันมาแล้ว!

    สายน้ำเส้นคล้าย ๆ กันกับที่ดึงอัตนันลงไปพุ่งตรงมายังผม ยังดีที่ผมรู้ตัวก่อนจึงกระโดดหลบได้ทัน เส้นยาแดงผ่าแปด ผมหมอบลงกับพื้นอยู่หลังก้อนหินสีเทาที่มีขนาดเพียงพอที่จะป้องกันผม อันที่จริงผมไม่ได้คิดที่จะหลบอะไรเพราะสมองยังสับสนอยู่ คงเป็นเพราะสัญชาตญาณที่ทำลงไปโดยไม่ต้องเสียเวลาตริตรองมากกว่า

    ‘ปุง! ปุง! ปุง!’

    เสียงคลื่นพลังบางอย่างถูกยิงออกมาจากผืนทะเล

    “ทุกคนหาที่กำบัง!” นายทหารหัวกระทิงรีบสาวเท้ากลับเข้าไปในป่าสนอย่างรวดเร็ว ผมมองเห็นคลื่นพลังสีฟ้าประมาณเกือบห้าสิบลูกได้โค้งตกลงผืนชายหาดเหมือนลูกอุกาบาต ทันทีที่มันกระทบกับพื้นทราย มันก็ระเบิดออกดั่งภูเขาไฟปะทุ แต่ระเบิดในคราวนี้คือน้ำ มวลน้ำจำนวนมากหลั่งไหลลงสู่ทะเลเมื่อมันสลาย เฉียดฉิวไปเพียงแค่เล็กน้อย นายทหารหัวกระทิงผู้นั้นรอดจากคลื่นระเบิดน้ำไปได้ แต่คลื่นระเบิดยังคงถูกยิงออกมาเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าพิสัยของมันจะเคลื่อนที่ตามนายทหารหัวกระทิงนั้นคนเดียวซะด้วย

    “ยิง!!!!!”

    เสียงแหบห้าวของชายผู้หนึ่งดังขึ้น ผมหันไปมองอีกด้านของก้อนหินที่ผมหลบอยู่ เรือไม้ลำใหญ่ทรงโค้งยาวมีธงสีดำตั้งตระหง่านอยู่กลางลำเรือ ทหารที่อยู่บนเรือนั้นแต่งตัวเหมือนกับนักรบหัวกระทิงในป่าไม่มีผิด

    ชายผู้ออกคำสั่งชี้ดาบไปยังผืนทะเล ทันใดนั้น ทหารกว่าห้าสิบนายบนลำเรือก็ระดมยิงธนูไฟแปลกประหลาดลงไปในน้ำ สิ่งนั้นทำให้คลื่นระเบิดน้ำที่เคยยิงรัวออกมาจากเบื้องล่างผืนน้ำหยุดชะงักไปในทันที ชายคนเดิมนั้นรับวัตถุก้อนกลมสีส้มมาจากทหารอีกนาย เขาชูมันขึ้นเหนือฟ้า หลับตาพูดอะไรบางอย่าง พลันปรากฏแสงแวบวาบสีแสดภายในก้อนกลมนั้น หลังจากนั้น เขาก็ทิ้งมันลงไป วัตถุก้อนนั้นเรืองแสงใต้ทะเล ส่องให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ซ่อนอยู่ด้านล่างนั่น

    “โอ้ให้ตายสิ” ผมอุทานออกมา สิ่งที่ผมเห็นถ้าผมไม่ได้ตาฝาดไปล่ะก็ มันคือมนุษย์เปลือยเปล่า แหวกว่ายหลบหลีกคันศรเพลิงของนักรบหัวกระทิงไปมาใต้ทะเลอย่างชุลมุน ถึงแม้ว่ามันจะสัมผัสเข้ากับผิวน้ำแล้ว เพลิงที่อยู่ปลายลูกศร ก็ยังคงลุกโชติช่วงและเผาผลาญทุกอย่างใต้น้ำที่มันกระทบได้ ราว ๆ ห้าสิบคนที่อยู่เบื้องล่างนั่น มันช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าสิ่งไหนที่ผมเคยเห็นมา ในมือของมนุษย์ใต้น้ำมีหอกสามง้ามด้ามยาวกันทุกคนคล้ายองค์เทพอะไรซักอย่าง ผมพยายามมองหาอัตนัน

    “นั่นไง” แล้วผมจะทำยังไงดี สถานการณ์ตอนนี้ไม่น่าไว้ใจทั้งนักรบหัวกระทิง ทั้งมนุษย์เปลือยเปล่าใต้น้ำ ผมมองร่างของอัตนันที่ถูกห่อหุ่มด้วยเยื่อสีขาวใสบางอย่าง ร่างของเขาแน่นิ่งไม่ไหวตีง พวกมันพาตัวเขาไป “นี่เราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ ให้ตายสิ” ผมนั่งทุบอกตัวเองอยู่หลังก้อนหิน “แล้วคราวนี้จะเอาไงต่อดี” ผมนั่งพิงกับก้อนหินอย่างเหนื่อยล้าแล้วมองดูเหล่านักรบหัวกระทิงเดินออกมาจากป่า น้อยกว่าที่คิด พวกเขามีกันแค่ยี่สิบกว่าคนเอง

    ท่าทางพวกเขาก็ไม่ไว้ใจผมเช่นเดียวกัน ทั้งที่ผมตัวคนเดียวแท้ ๆ แต่กลับชูดาบใหญ่ ๆ ชี้มาตรงมาหาผมกันทุกคนเนี่ยนะ ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้น ยอมจำนนอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ

    “พวกมันไปหมดแล้ว” ชายหัวกระทิงบนเรือตะโกนบางอย่าง ทหารที่อยู่ตรงหน้าผมเก็บดาบเข้าฝักอีกครา

    “เจ้า นามว่าอัตนันใช่หรือไม่” นักรบหัวกระทิงคนเดิมถามผม ผมไม่เข้าใจในคำพูดของเขา แต่คำว่าอัตนันคงไม่ใช่ ผมส่ายหน้า

    “โวติก” ผมกล่าวออกไป

    “ข้าเสียใจด้วยเรื่องเพื่อนของเจ้า อันที่จริงแล้วพวกข้าไม่ได้ต้องการที่จะทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ แต่เป็นเพราะประตูรักษาชีวิต มันมีผลหลายอย่างตามมาถ้าหากว่าไม่เตรียมป้องกัน-” ก่อนที่นักรบหัวกระทิงจะพูดต่อ นายทหารคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ ก็กระซิบข้างหูของเขา

    “อะ โทษที โทษที เชิญมากับพวกเราด้วย” นักรบหัวกระทิงทำท่าทางเลิกลักแล้วพูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษ พึ่งจะรู้ตัวสินะว่าผมฟังไม่ออก

    ตามพวกเขาไปเหรอ เป็นไงเป็นกัน ท่าทางเป็นมิตรน่าดู ลองเชื่อใจดูสักครั้งก็ได้ ถึงแม้ว่าความไว้วางใจที่ผมมีต่อเหล่านักรบโบราณหัวกระทิงเหล่านี้น้อยนิด แต่มันอาจจะเป็นเพียงทางเดียงที่ผมจะตามหาเอวาและหาวิธีช่วยอัตนันได้ ผมออกเดินตามนายทหารหัวกระทิง มีทหารราว ๆ สิบกว่านายเดินล้อมผมไว้โดยทิ้งระยะห่างจากตัวผมอย่างน่าประหลาดใจ

    “ส่งนกออกไป บอกว่าพวกเรากำลังจะกลับ” หัวหน้านักรบหัวกระทิงกล่าวกับทหารคนหนึ่ง ทหารนายนั้นนำนกดุเหว่าที่เกาะอยู่บนหัวไหล่เขาลงมาบนอุ้งมือ แล้วนำแผ่นกระดาษสีดินผูกติดด้วยด้ายสีน้ำตาลเข้าต้นขาของมัน เขากระซิบกระซาบบางอย่างกับนกนั่นแล้วชูแขนขึ้นปล่อยให้มันกางปีกโผบินออกไป

    “พวกเจ้ากลับเข้าไปก่อน ส่วนพวกข้าจะอยู่ลาดตระเวนชายหาดนี้ให้แน่ใจซะก่อน” ทหารผู้ที่ยืนอยู่บนเรือตะโกนบอก แน่นอน ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอก



    ขบวนของพวกเราออกเดินลัดเลาะตัดผ่านป่าสนขนาดเล็ก อากาศเย็นมาก ต้นสนที่นี่ก็สูงมากเช่นเดียวกัน ผมต้องแหงนหน้าขึ้นตั้งในแนวนอนจนปวดคอถึงมองจะเห็นยอดของต้นสนเหล่านี้ได้ กลุ่มหมอกสีเทาครามที่ล่องลอยเหนือพื้นดินภายในป่าใหญ่นี้ ถือว่าเจือจางเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ก็เพียงพอที่จะซ้อนตัวในระยะห้าสิบเมตรได้ ถ้าหากผมจะหนีล่ะก็นะ

    “อ้ากกกก!!” ผมครางออกมาด้วยความเจ็บปวด กระแสคลื่นบ้านั่นมันกลับมาอีกแล้ว ผมทรุดลงไปดิ้นพล่านทรุนทุรายกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้เปียก ผมกุมหัวของตัวเองไว้แน่น ทหารรอบข้างผมผงะ และตั้งท่าพร้อมสู้

    “ทุกคนระวังตัวด้วย!” นายทหารตะโกนบางอย่างกับลูกน้อง ทำไมถึงไม่เข้ามาช่วยผมกันล่ะ ทำไมทุกคนถึงต้องมีท่าทีเกรงกลัวผมมากขนาดนั้น ผมสงสัยเป็นอย่างมาก คำถามมากมายกลับเข้ามารุมล้อมผมอีกครั้ง ดูเหมือนว่ามันจะมีอะไรบางอย่างเข้ามาเพิ่มด้วย

    ‘คอนเนอร์ คอนเนอร์ มากอดแม่หน่อย’ เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นในสมองผม

    ‘คอนเนอร์ ลูกรู้ไหมว่าลูกทำอะไรลงไป’ เสียงทุ้มต่ำสั่นเครือถามขึ้น

    ‘ไง ไอ้ตัวประหลาด คอนเนอร์ไอ้ตัวประหลาด คอนเนอร์ไอ้หมาบ้า คอนเนอร์ได้เด็กเหลือขอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า’ เสียงแจ้วจ้าวของกลุ่มเด็กตัวแสบเยาะเย้ยดูถูกอย่างเฮฮา

    ‘บ้าเอ๋ย คอนเนอร์ แกเป็นตัวอะไรกันแน่วะ แกมัน แกมัน บัดซบ แกมันปีศาจชัด ๆ ไอ้ปีศาจ แกออกไปให้พ้นฉันเลยนะ ไอ้ปีศาจ’ เสียงห้าว ๆ ของเด็กหนุ่มตะคอกด่า

    ‘อยู่ไปก็ไร้ค่าเปล่า คอนเนอร์ นายควรจะมอบวิญญาณให้ฉันนะ ถ้าแกทำแบบนั้นแล้วชีวิตของแกจะดีขึ้น’ เสียงของชายหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา


    นี่น่ะเหรอความจำของผม นี่น่ะเหรอชีวิตของผม นี่น่ะเหรอชื่อของผม... เปลือกตาของผมค่อย ๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า

    “แกมันไม่ใช่มนุษย์ แกมันเป็นปีศาจ ปีศาจจากขุมนรกโลกันตร์ชั้นที่ชั่วร้ายที่สุด แกมันไม่ควรที่จะอยู่บนโลกใบนี้”


    ‘กรรรรร!!!!’

    ผมรู้สึกถึงพลังมหาศาลที่หลั่งไหลภายในร่างกายสีดำทมิฬยิ่งกว่าท้องฟ้ายามรัตติกาลนี้

    “ใช่ ข้ามันเป็นปีศาจ ปีศาจ ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดยังไงล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า - ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวร่อของข้าดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณของผืนป่าแห่งนี้ คลื่นแห่งการกู่ร้องคำรามของข้าก่อให้เกิดลมพายุรุนแรงรอบกายข้า

    “ใช่ ข้ากลับมาแล้ว!”

    “อ้ากกกกกก!!!” ข้าเปล่งเสียงร้องคำรามออกมาอีกครั้ง พื้นดินที่ข้าย่ำยืนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เพียงแต่ความรู้สึกเบื้องลึกของข้าในยามนี้มันปฏิเสธตัวตนอันแข็งแกร่งนี้ ข้าไม่สมควรที่จะทำสิ่งนี้ ข้าไม่ควรที่จะปล่อยให้มันเกิดขึ้น ทว่า ข้ากลับทำไม่ได้ ศัตรูแค้นศัตรูร้ายของข้ายังอยู่ เพื่อสิ่งนั้น ข้าจึงต้องกลับกลายมาอยู่ในร่างอันอัปลักษณ์และน่ากลัวนี้อีกครา

    “ข้าจะฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามันให้หมด ข้าจะฆ่ามัน... ทั้งหมด!”





    ณ หมู่บ้านเบธเอล

    “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ แล้วแบบนี้พี่น้องลูกหลานของข้าจะเป็นเป็นอย่างไรกัน เป็นไม่ได้ เป็นไม่ได้...” สลาจพูดพร่ำคำเดียวไปมาหลายสิบรอบ ใบหน้าเขาซีดยิ่งกว่าหิมะ ปากของเขาสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง พร้อมกับมือที่กุมหน้าอกเพราะความเจ็บปวดเป็นที่สุด เอวาซึ่งยืนหน้าซีดเซียวอยู่ไม่ไกลโผเข้าไปประคองร่างของชายชราอย่างรวดเร็ว

    “ไม่ มันต้องไม่เป็นอย่างนี้ ไม่ ไม่” สลาจบ่นพึมพำออกมาอีกครั้ง

    “ทำใจดี ๆ ไว้ก่อนท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าเชื่อว่าคำพยากรณ์ของท่านยิระมันต้องไม่ผิดพลาดแน่ ท่านทำให้ข้าได้เชื่อ ท่านทำให้ชาวบ้านได้เชื่อ แล้วเหตุฉะไหนท่านจึงลังเลในความศรัทธาของท่านที่มีมายาวนานเล่า” คำพูดของเอวาทำให้สลาจคิดได้



    ณ หอคอยกาลเวลา

    ลมทะเลยังคงกระหน่ำพัดพาคลื่นน้ำเข้าหาชายหาดไม่หยุด เรือลำรบลำนั้นหายไปแล้ว ภายในหอคอยเตี้ยป้อม เล็ก ๆ แคบ ๆ บนเกาะอันน้อยนิด มีแสงสีรุ้งทอประกายแววระยับอย่างเจิดจ้า ทันใดนั้น

    ‘บึม!’

    หอคอยไม้ระเบิดออกแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนนิ่งคล้ายคนตายอยู่บนหอคอย


    ติดตามต่อใน Can’t Hold Us
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 11th December 2013 เมื่อ 18:30

  12. รายชื่อสมาชิกจำนวน 3 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  13. #8
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    สำหรับบทที่ 0 ผมแก้ใหม่แล้วนะครับ ปรับเปลี่ยนไปหลายอย่างทั้งบทสนทนาและการบรรยาย แต่เนื้อเรื่องยังคงเดิม ผู้ที่อ่านบทที่ 0 ไปก่อนหน้าแล้วยังสงสัยหรือติดใจอะไรก็อยากให้อ่านดูใหม่นะครับ ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่านก็ไม่เป็นไรครับ อ่านบทที่ 0.5 และรออ่านบทที่ 1 ได้โดยไม่อ่านบทที่ 0 และบทที่ 0.5 เลยก็ได้ครับ

    ส่วนบทที่ 0.5 นั้นจะเป็นเรื่องราวต่อจากบทที่ 0 กล่าวในมุมมองของโวติกครับ

    การดำเนินเรื่องนั้น หลัก ๆ ผมจะเขียนให้เป็นมุมมองบุคคลที่ 1 (ตัวเอกหรือตัวละครเล่าเรื่อง) และในบางครั้งก็จะเป็นมุมมองบุคคลที่สามครับ(เหมือนบทนำและบทที่ 0)

    ส่วนบทที่ 1 นั้นผมจะรอรวบรวมตัวละคร ชนเผ่า และอาณาจักรให้ดีและครบถ้วนจนสรุปออกมาเป็นรูปลักษณ์ที่อ่านง่ายซะก่อนถึงเริ่มเรื่องได้อย่างเป็นทางการครับ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ

  14. #9
    mami>.Channn 
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    .: Tokyo' :.
    กระทู้
    955
    กล่าวขอบคุณ
    182
    ได้รับคำขอบคุณ: 3,183
    ปูเสื่อรออ่าน ครีตัวละครแปบ
    ** กรุณาเปลี่ยนขนาดของภาพในลายเซ็น **

  15. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  16. #10
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Forgotten Kingdom

    Can’t Hold Us : Forgotten Kingdom

    แสงพร่างอโณทัยเคยสาดส่อง เลือนลับกลับหายเพราะเมฆหมอกซึ่งลอยล่องอยู่เหนือนภา

    ข้าและเหล่าอัศวินปีกเหล็กแห่งอีลีเซียม ยืนมั่นคงหนักแน่นเตรียมกายทั้งใจ พร้อมรับพุ่งรบฟาดข้าศึกให้หงายล้มแทบพื้นปฐพี

    แต่ในยามนี้ พวกข้ากลับถูกพุ่งซัด พวกมันตีกลับโต้รุกอย่างหนักหน่วง โรมรันโหมผลักเข้ามายิ่งกว่าห่าฝนอัสนีฟาด พวกมันนิ่งงันคอยรอเวลาที่แม่ทัพใหญ่ผู้อำมหิตมาถึง

    ข้า “อีเลียด” แม่ทัพใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่สามารถยืนหยัดมีชีวิตอยู่ได้ภายในสงครามฆ่าล้างของเหล่า “แสงส่องแห่งทมิฬเทพ” พวกมันทำลายกองทัพอันเกรียงไกรและแข็งแกร่งของอาณาจักรไปอย่างมากมาย

    พวกมันได้ย่างกรายเหยียบย่ำพื้นดินถิ่นเกิดของข้าและเข้าตีทำลายเมืองใหญ่น้อยกว่าสี่เมืองได้ในเวลาเพียงแค่สิบวัน สิบวันเท่านั้นที่ผู้คนนับสิบหมื่นต้องล้มตายลงอย่างอนาถ พวกมันเข่นฆ่าทุกคน ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดลองดีกับมัน ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดแปรพักตร์ศิโรราบต่อมัน ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดเกรงกลัวมัน ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดหลีกหนีหลบซ่อนมัน มันจะทำลายให้หมดสิ้น ไร้ความปราณี ไร้ความเห็นใจใด ๆ

    ทั้งซาซีส เอลิเลียด การ์ราจ ขุนศึกผู้เคยสู้รบเคียงบ้าพร้อมกับข้า และเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรอิลิเซียม กลับต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบเพียงเวลากระชั้นสั้น พวกมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าสิงห์ราช พวกมันรวดเร็วยิ่งกว่าอินทรีถลาล่าเหยื่อ พวกมันโหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน พวกมันน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าผีพรายไหน ๆ ไม่มีใครต่อกรกับพวกมันได้ ไม่มีใครขวางทางพวกมันได้ ไม่มีใครหลีกหนีจากมันได้ หยุดพวกมันไม่ได้ มากกว่าสามอาณาจักรแล้วที่ไม่สามารถกระทำได้

    เปลวฝุ่นล่องลอยตามลมกรรโชกอย่างรุนแรง สายอัสนีฟาดผ่านเมฆาอย่างเร่งรวด

    ข้ายืนมั่นอยู่หน้าสุดของเหล่าทหารหาญทั้งสองร้อยนาย ชุดเกราะเหล็กหนาอันหนักหน่วงสีเงินเหล่านี้คือเครื่องป้องกันที่ดีที่สุดของกองอัศวินปีกเหล็ก หมวกเหล็กกล้าสีเงินถูกสลักอย่างประณีตบรรจงด้วยช่างตีดาบวิจิตรศิลป์ที่มีฝีมือเยี่ยมยอดที่สุด รังสรรค์ลวดลายความยิ่งใหญ่ อาจหาญ เก่งกล้าออกมาได้สมกับผู้ที่ได้สวมใส่มัน
    ใช่แล้ว พวกข้ากองอัศวินปีกเหล็กนี่แหละจะเป็นผู้ต่อกรกับมันเอง

    ‘ปึม!!!! ปึม!!!! ปึม!!!’

    เสียงสั่นสะเทือนดั่งแตกหักของประตูเมืองใหญ่ดังสะท้านเข้าสู่ห่วงแห่งความรู้สึกของข้า ความกลัวประหวั่นว่าจะมีเพศภัยร้ายแรงแล่นพล่านไปทั่วร่างพร้อมกับกระแสแห่งความอาจองที่มั่นคงของข้า

    “เหล่าขุนศึก อัศวิน นักรบ นักสู้ปีกเหล็กแห่งอีลีเซียมทั้งหลายเอ๋ย!” ข้าตะโกนก้องเพื่อให้เสียงนี้เข้าถึงโสตประสาตและจิตราเบื้องลึกของเหล่าชายผู้กล้าหาญผู้เสียสละทุกนาย

    “วันนี้คือวันตัดสิน! วันนี้คือวันพิพากษา! อาจเป็นวันสุดท้ายที่ข้าและพวกเจ้าได้ยินหน้ามองหากัน พวกเจ้าและข้ามาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร!” ข้ากู่ร้องถามเสียงสะท้าน

    ‘กรึบ!’

    ขุนศึกทุบโล่เหล็กมหึมาลงพื้นพร้อมกัน

    “เพื่ออีลีเซียม!!!!” ขุนศึกขานรับเสียงดัง

    “พวกเจ้าและข้าสวมเกราะปีกเหล็กอันทรงเกียตรินี้เพื่ออะไร!” ผมกรีดถามเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น

    ‘ตรึก!’

    อัศวินเคาะดาบปะทะโล่เหล็กพร้อมเพรียง

    “เพื่ออีลีเซียม!!!!” อัศวินตอบกลับเสียงดังลั่น

    “พวกเจ้าและข้ามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้เพื่ออะไร!!!!” ข้าร้องถามเสียงดังก้อง

    ‘พรึบ!’

    นักรบปีกเหล็กชูดาบเล่มหนาขึ้นพร้อมกับตะโกนเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณว่า

    “เพื่ออีลีเซียม!!!!!”

    ‘ตูม!!!’
    ทันใดนั้น ประตูเหล็กหนาของเมืองถูกพังทลายลง เส้นทางแห่งความตายถูกเปิดออก เหล่าแสงสองแห่งทมิฬเทพวิ่งกรูกันเข้ามาอย่างมากมายมหาศาล พวกมันมีรูปร่างที่ไม่ซ้ำเหมือนเลยแม้แต่ตนเดียว บ้างก็เป็นเสือโคร่งสองหัว บ้างก็เป็นอสรพิษตัวยักษ์ บ้างก็เป็นมนุษย์ผมแดง บ้างก็เป็นโครงกระดูกไร้เนื้อหนัง

    ศัตรูของเรามาอยู่ตรงหน้าแล้ว ไหนเลยจะต้องกริ่งเกรงกังวลถอยหนีเล่า

    “ฆ่ามัน~!!!!!!!” ข้าให้สัญญาณออกศึกแก่เหล่านักรบปีกเหล็กในบันดล

    “ย่าห์!!!!!!!!” เสียงโห่ร้องก้องศึกปลุกกำลังของนักรบดังสะท้าน ทำลายรังสีอำมหิตและความหวาดกลัวจนสิ้นสลาย

    กองทหารเพียงหน่อยนิดแต่ความแข็งแกร่งนั้นยิ่งใหญ่วิ่งถาโถมโรมศึกกับเหล่าศัตรูอย่างบ้าคลั่ง ข้ากระโจนร่างอันหนักอึ้งเพราะชุดเกราะเข้าหาข้าศึกอย่างกระหายหมายปองที่จะกำจัดมันให้สิ้นแผ่นดิน
    ข้าฟาดฟันร่างแข็ง ๆ เหนียว ๆ ของมัน ข้าจ้วงแทงและถอดถอนดาบออกจากทรวงออกของมัน เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นราวน้ำพุแตก ข้าจู่โจมด้วยท่วงท่าที่ข้าภูมิใจยิ่ง ฆ่าฟันศัตรูให้สะบั้นเยี่ยงเฉือนเนื้อสัตว์ พวกมันไม่สมควรที่จะมีศักดิ์สูงกว่าสัตว์ พวกมันต่ำช้ามากยิ่งกว่าพื้นธุลีที่ข้าย่ำเหยียบเป็นไหน ๆ ข้าย่างสามขุมเข้าตรงเข้าหายักษ์สองหัว ข้างกายข้ามีขุนศึกผู้แกร่งกร้านกล้าหาญสองบุรุษเดินตามติดมาหมายจะร่วมกำลังกำจัดมัน

    ยักษ์สองหัวซึ่งสูงกว่าคนปกติถึงสามเท่าอาเจียนโลหิตมนุษย์ที่มันดูดดื่มเข้าไปออกมาเป็นสายยาว มันยกดาบหัวตัดยักษ์พร้อมชูแขนอีกข้างกู่ร้องเสียงสะท้าน พวกข้าทั้งสามหยุดยืน โล่เหล็กขนาดใหญ่ถูกนำมากระกบติดกัน พวกเราออกเดินไปอย่างสง่า แข็งแกร่งยิ่งกว่ากำแพงเมืองใหญ่ ยักษ์สองหัวสาวเท้ามุ่งตรงพุ่งชนมายังพวกเรา

    ข้าและนักรับหยุดยืนอย่างเข้มแข็งพลางเอนตัวมาด้านหลังเล็กน้อยเพื่อลดแรงปะทะ

    ‘เพล้ง!!!’

    เสียงดาบใหญ่ของมันกระทบเข้ากับโล่เหล็กทั้งสาม แรงปะทะสั่นสะเทือนทำให้แขนของมันสั่นกระตุกจนต้องถอยออกในทันที เมื่อนั้นแล้ว นักรบข้างกายข้าก็แยกห่างแล้วเข้าโอบล้อมร่างมันในทันใด พวกเรากระโจนเข้าจู่โจม ฟาดฟัน เชือดเฉือน ตัดลำตัวของมันอย่าง*****มโหด แต่มันสมควรแล้ว ข้าใช้ดาบใหญ่คู่ใจ จ้วงแทงเข้าที่ทรวงอกหนา ๆ ของมัน ร่างขนาดยักษ์ไม่อาจเทียมเทียมต่อสู้กับพวกเราได้ เสียงล้มดัง ‘ตึง!’ ไปทั่วบริเวณ สร้างแรงฮึกเหิมปลุกใจเป็นอย่างมากแก่นักรบที่เหลือ พวกแกคิดผิดแล้วที่จะดูถูกและย่ำเหยียบพวกเรา

    ข้าใช้โล่เหล็กป้องกันคมเคี่ยวอสรพิษยักษ์สีเขียวคล้ำได้ทันควัน ข้าเอี่ยวร่างเหวี่ยงดาบเหล็กกล้าใบหนาอันหนักหน่วงเข้าตัดลำตัวของมันอย่างรวดเร็วและรุนแรง เจ้าปีศาจนั้นเอนกายทรุดลงซบพื้นในทันที

    บาแบเรี่ยนตนหนึ่งหมายจะปองยามข้าเลินเล่อ เขวี่ยงขวานสั้นอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ตรงดิ่งมายังศีรษะข้า ข้าเอนร่างไปด้านข้าง ยกโล่คู่กายขึ้นปัดป้องความตายได้อย่างเฉียดฉิว นักรบปีกเหล็กนายหนึ่งถลาเข้าใส่บาแบเรี่ยนตนนั้นและจบชีวิตมันในทันใด

    “กรรรรรร!!!” ข้าร้องคำรามดั่งมังกรร้าย เสียงนั้นดังสะเทือนเลื่องลั่นไปไกลกว่าสามหมู่บ้าน ปฐพีที่ข้ายืนเหยียบรวดร้าวแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ คลื่นเสียงอันรุนแรงผลักเหล่าข้าศึกให้ล้มทับกันเองอย่างง่ายดาย บางตัวถึงกับเสียชีวิตเพราะเส้นประสาทแตก

    ‘ฉึก!’

    ในชั่วพริบตา คันศรสีดำมะเมื่อมดอกหนึ่งพุ่งเข้าทะลวงทำลายเกราะเหล็กให้แตกกระจายแล้วปักเข้าที่สีข้างของข้า ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างแต่มันกลับกลายเป็นเย็นชากระด้างไร้ความรู้สึกใด ๆ ข้าพลิกหน้าเฟ้นหาศัตรูร้ายผู้ชั่วช้า ข้าพบแล้ว ข้าพบแล้ว ในที่สุดข้าก็พบมัน อ้ายสัตว์นรกชั่วร้าย แม่ทัพของกองรบแสงส่องแห่งทมิฬเทพ “อีลีนอร์ด” น้องชายแท้ ๆ ของข้า

    มันแสยะยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ คราวนี้มันใช้วิธีสกปรก คันศรนั้นอาบยาพิษเข้มข้น ชีวิตดับได้ภายในคำเขี้ยวอาหารหนึ่งคำ กายของข้าทรุดฮวบลงกับพื้น เปลือกตาค่อย ๆ พริ้มลง จบสิ้นชีวิตนี้ จบสิ้นอาณาจักรนี้ ทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว เว้นเพียงแต่ว่า คำพยากรณ์ของยิระมันจะเป็นจริง เมื่อนั้นแล้ว พวกมันจะต้องชดใช้กับกรรมร้ายที่มันได้ก่อลงไป

    “จงหลับตาและนอนพักให้สบายเถิด พี่ข้า ท่านเหนื่อยมามากพอแล้ว”



    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 11th November 2013 เมื่อ 19:27

  17. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  18. #11
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    The Beginning of Black World

    The Beginning of Black World


    ในกาลเวลาที่ผันผ่าน เหล่ามนุษย์โลกได้ทำการปฏิวัติ พัฒนา เปลี่ยนแปลง บุกยึด ทำลาย และจับมือกัน จนในทุกวันนี้เราได้รับความรู้ทั้งหลายที่เราอุตสาห์สืบค้นมาสร้าง พัฒนา และเปลี่ยนแปลง ทำให้พวกเราเหล่ามนุษย์สามารถเดินทางไปเหยียบพื้นดวงจันทร์ได้ ต่อมา เราก็สามารถเดินทางใต้น้ำในระดับที่ลึกลงได้ เราสามารถสื่อสารหากันได้อย่างไร้ขอบเขต เรามีอาวุธนิวเคลียร์เป็นจำนวนมากเพื่อใช้ขู่ขวัญผู้อื่น เราสามารถคำนวณและหยั่งรู้ถึงอายุของโครงกระดูกและวัตถุโบราณได้ หลาย ๆ อย่างมาจากสิ่งที่เราประดิษฐ์ มันล้ำยุคมากถ้าหากว่าเราหันกลับไปเมื่อ 2000 ปีก่อน

    ในตอนนั้นเรายังเดินทางด้วยอูฐ ม้า ลา หรือรถลาก เราสื่อสารกันด้วยสัตว์ส่งสารในระยะไกล หรือแม้แต่คิดว่าโลกใบนี้มันคล้ายกับไม้กระดานแผ่นหนึ่ง ถ้าหากว่าเราเดินทางไปถึงจุดสิ้นสุดของโลกแล้วเราก็จะพบหุบเหวสีดำลึกที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของก้นเหว

    หลาย ๆ คนบอกว่าวัฒนธรรมสมัยใหม่ทำให้เราเปลี่ยนไป บ้างก็ว่าทำให้พวกเราเสียประสาทสัมผัสที่หก หรือไม่ก็ทำให้พวกเราไม่สามารถใช้พลังจิตหรือพลังเวทย์ได้เหมือนแต่ก่อน อย่างไรก็ตาม ในบันทึกนั้นก็ไม่เคยระบุเลยว่า มนุษย์นั้นสามารถที่จะให้พลังจิตหรือพลังเวทมนต์ได้ มีก็เพียงแต่ศาสดาของศาสนา องค์เทพ ปีศาจ ผีพราย สัตว์ในตำนาน หรือสิ่งที่เรียกว่าตำนานเท่านั้นที่มีพลังอันแปลกประหลาดอยู่ในตัว
    ใช่แล้ว มนุษย์เราไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้เลย พวกเราต่างเป็นสายพันธุ์ธรรมดาสายพันธุ์หนึ่ง ซึ่งบังเอิญฉลาดมากกว่าใครเพื่อนก็เท่านั้น แล้วถ้าหากว่ายังมีสายพันธุ์ที่แข็งแกร่ง ฉลาด และใช้เวทมนต์ได้ล่ะ พวกเราจะทำอย่างไรกัน
    ผลลัพธ์นั้นได้ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วในตอนนี้

    ปี 2014 เกิดเหตุการณ์ที่ถูกเรียกว่า “หมื่นปีศาจครั้งที่ 2” จุดเริ่มต้นของมันอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งยุคของ “Federation Resists Universe Evil : FRUE”(ฟรู) ทั้งหกคนต้องเสียชีวิตไปบ้างก็ว่าหายสาบสูญเพราะเหล่าปีศาจนับร้อยนับพัน ในครั้งนั้นมันคือสงครามขนาดย่อมที่มีระยะเวลาในการสู้รบสั้นที่สุดเท่าที่ปรากฏในบันทึกของฟรู

    ปีศาจนับร้อยนับหมื่นถูกสั่งการให้เข้าจู่โจมเสาหลักแห่งฟรู และหลังจากนั้นพวกมันก็บุกเข้าทำลายจุดยุทศาสตร์สำคัญทั้งหลายของฟรูไปเรื่อย ๆ เนื่องด้วยคนที่มีอย่างจำกัดและหาเพิ่มเสริมทัพไม่ได้ จึงทำให้ฟรูทั้งหลายต้องถอยร่นกลับเข้าสำนักงานใหญ่ของแต่ละเขตและคอยป้องกันเท่าที่จะทำได้เท่านั้น

    เหตุการณ์ที่พวกเขาไม่คาดฝันมาก่อนได้ปรากฏขึ้น ปีศาจและอสูรกายในตำนาน ไม่ว่าจะเป็น ไกอา ลาดอน ไซคลอปส์ ไคเมร่า ไฮดรา หรืออื่น ๆ นับไม่ถ้วน จำนวนมากมายมหาศาล เข้ามาเสริมกำลังให้เหล่าศัตรูจนกลายกองทัพอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรไร้ผู้ใดต่อกร

    แต่ก็ใช่ว่าจะแข็งแกร่งไปตลอด เหล่าชนเผ่า ผู้พิทักษ์ นักรบ อัศวิน กษัตริย์ในตำนานซึ่งครั้งหนึ่งเคยดับชีวิตลงไป ได้ถูกปลุกขึ้นให้สถิตอยู่ในร่างมนุษย์ บ้างก็สถิตอยู่ในร่างของสัตว์แล้วสับร่างเปลี่ยนกายให้เป็น เอลฟ์ มนุษย์หมาป่า เซนทอร์ ฟอนส์ มันติคอร์ และอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่มนุษย์

    พวกเขาเหล่านี้คือผู้ต่อต้านเหล่าศัตรูที่แท้จริง แล้วแต่ว่าพวกเขาจะทำมันหรือไม่ แต่ชนเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดก็ได้เริ่มทำการบุกยึดอาณาเขตและทำลายพวกเขาอย่างสนุกสนาน “Light of Black God หรือ แสงส่องแห่งทมิฬเทพ” คือนามของพวกเขา

    อย่างไรก็ตาม โลกใบนี้ก็มีสุมดุลอยู่ภายในตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว “Dark of Brightest หรือ ทมิฬแห่งความเจิดจ้า” ได้ถือกำเนิดขึ้นหลังจากนั้น พวกเขารวบรวมผู้ที่แกร่งกล้าและดีเยี่ยมที่สุดจากทั้งหมดของชนเผ่าที่มีอยู่ สร้างกองกำลังอันเป็นปึกแผ่นและยิ่งใหญ่ขึ้นมา เพื่อกำจัดเหล่าแสงส่องแห่งทมิฬโดยเฉพาะ

    ห้านักรบผู้กล้าหาญคือหัวใจของทมิฬแห่งความเจิดจ้า พวกเหล่านี้คือผู้ที่ผนึกและต่อสู้เหล่าแสงส่องแห่งทมิฬเทพ ช่วยโลกให้รอดจากการทำลายไปได้

    ถึงแม้ว่าศัตรูผู้สำคัญจะสิ้นสลายไป เหล่าชาวโลกก็ยังไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ดี เกิดการแก่งแย่งอำนาจและอาณาจักรกันอย่างต่อเนื่อง มีผู้คนล้มตายไม่เว้นแต่ละวันผู้ที่แข็งแกร่งกว่าขึ้นปกครอง ผู้ที่อ่อนแอกลายเป็นข้ารับใช้ สัจธรรมของโลกเปลี่ยนไปตามผู้ยิ่งใหญ่ โลกมืดมนลงเรื่อย ๆ ไร้หนทางหรือแสงสว่างใด ๆ

    ยิระมัน นักพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ทำนายไว้ว่า “โลกจะดับสูญและถูกทำลายโดยพระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ยังทรงรักพวกเรา พระองค์จึงทรงส่งผู้กอบกู้ซึ่งเคยล่วงลับไปกว่าร้อยปีให้มาหาพวกเรา ช่วยเหลือพวกเรา เกื้อหนุนพวกเรา นำทางพวกเรา ให้พ้นจากยุควิปลาสอันดำมืดสู่แสงสว่างที่เจิดจ้าและถูกต้อง”

    อย่างไรก็ตาม คำพยากรณ์เหล่านี้กลับถูกลืมเลือนหายลับไปเพราะกาลเวลาและกำลังศรัทธา ผ่านไปเนิ่นนานกว่าสามร้อยก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนในที่สุด เหล่าผู้ศรัทธาก็ตัดใจ หันไปพึ่งลัทธิศาสตร์มืดแทน

    หนึ่งเดียวที่ยังคงหลงเหลือความเชื่อนี้อยู่คือเหล่าหมู่บ้านทั้งหลายทางตอนเหนือของอาณาจักรเสวน ที่ซึ่งเหล่าแบล็คไวกิ้งชนเผ่าแห่งความปริศนาอาศัยอยู่ และในที่สุด ความเชื่อนั้นก็ปรากฏ เมื่อมีบุรุษสองผู้ออกมาจากหอคอยกาลเวลาอันศักดิ์สิทธ์ของหมู่บ้านเบธเอล ราวกับว่าความหวังครั้งยิ่งใหญ่ได้จุติลงมาหาพวกเขา แต่สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านลังเลในคำพยากรณ์ของยิระมันคือ บุรุษทั้งสองใช้เวทย์มนต์ไม่เป็นและไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่อย่างเดียวเลย

    ไม่นานหลังจากนั้น ณ บริเวณที่ซึ่งเคยเป็นจุดกำเนิดของเหล่าแสงส่องแห่งทมิฬเทพก็ได้เกิดแผ่นดินไหวขั้นรุนแรง อาณาจักรและบ้านเมืองต้องพังทลายกันไปทั่วบริเวณ มีข่าวลือว่า ผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหวครั้งนั้นเห็นถ้ำหินแห่งภูเขาหิมะลูกใหญ่ถูกแหวกออก มองไปด้านในมีเพียงแค่ความมืด และที่น่ากลัวมากกว่านั้นคือ ร่างสีแดงดำของอสูรกายแปลกประหลาดอันใหญ่ยักษ์ได้ก้าวข้ามช่องของถ้ำอันดำมืดนั้นออกมาพร้อมกับกองทัพแสงส่องแห่งทมิฬเทพนับไม่ถ้วน ว่ากันว่าชายคนที่รอดมาได้เสียสติและป่าวประกาศแต่เรื่องวันสิ้นโลกไปทั่วเมืองต่าง ๆ ไม่นาน ชายคนนั้นก็ตายลงเพราะอดอาหารมากว่าสิบวัน เนื่องจากเขาพูดและเดินอยู่อย่างเดียว ไม่ทำอะไรเลยนอกจากพูดว่า

    “พวกมันกลับมาแล้ว! แสงส่องแห่งทมิฬเทพมันกลับมาล้างแค้นแล้ว! พวกมันไม่ปล่อยพวกเราแน่ พวกมันกลับมาแล้ว! พวกมันกลับแล้ว! ไม่มีทางที่ใครจะต่อกรกับมันได้ ทมิฬแห่งความเจิดจ้าก็ทำไม่ได้ ไม่มีใครสู้มันได้! โลกต้องตกอยู่ในมือของพวกมันแน่!”


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 14th November 2013 เมื่อ 16:48

  19. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  20. #12
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    บทพิเศษ : Dragon Slayer 01

    ท้องฟ้าในยามรุ่งสางนี้ช่างงดงามหายามใดเหมือน ข้า คู่หู และเด็กฝึกหัดซึ่งมีนามว่า ‘นาบุซ่า’ และ ‘อูบะ’ เดินมาถึงหุบเขาหิมะที่ซึ่ง ชาวเมืองโรเซตตี้ตีโพยตีพายว่ามีมังกรชั่วร้ายอาละวาดในแถบนี้อยู่บ่อย ๆ

    ข้า นักฆ่ามังกร ของขุนพลทั้งห้าแห่ง ‘ทมิฬแห่งความเจิดจ้า’ มีนามว่า ‘เอลฟริสตอส’ มนุษย์เลือดผสมซึ่งหาไม่ค่อยจะมีในยุคนี้ ข้าเกิดจากสายเลือดที่ยังหาตัวตนของผู้ให้กำเนิดไม่พบ แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าข้าคือมนุษย์เลือดผสม

    หลังจากที่สิ้นสุดสงครามระหว่าง แสงส่องแห่งทมิฬเทพ กับทมิฬแห่งความเจิดจ้า ข้าซึ่งเคยเป็นนายทหารชั้นสูงของทมิฬแห่งความเจิดจ้าก็หาสิ่งใหม่เข้าตัวโดยการใช้ชีวิตที่เหลือด้วยการเป็นนักฆ่ามังกร

    ข้าเคยออกล่ามังกรไปหลายอาณาจักร กว่าห้าตัวแล้วที่ข้าได้สังหารมัน ไม่เคยมีมังกรตัวใดที่หนีรอดข้าไปได้

    นักฆ่ามังกรอย่างข้าก็ใช่กว่าจะฆ่ามังกรอยู่อย่างเดียว หน้าที่อีกอย่างของข้าก็คือ ‘ผู้คุ้มครองมังกร’ แต่ชื่อเสียงของข้าจะออกไปทางการสังหารมังกรซะมากกว่า ใช่ สิ่งที่สองนี้มันตรงข้ามกันกับการฆ่ามังกรโดยสิ้นเชิง หากจะถามว่าทำไม เพราะว่าในโลกนี้มังกรก็เหมือนกับมนุษย์ มีจิตใจและปัญญา แต่มันไม่อาจจะเทียบกับพวกเราในเรื่องบางอย่างได้ก็เท่านั้น

    ข้อมูลจากปากต่อปากของชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายที่ได้เห็นมันบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า มันเป็นนักล่า ตามประสบการณ์ที่ข้าเคยต่อสู้และเจอกับเหล่ามังกรมา มังกรนักล่าจะมีอยู่สองชนิด นั่นคือ มังกรธาตุลม ‘อาเนมัส’ และมังกรธาตุไฟ ‘ฟลอก้า’ แต่ที่แข็งแกร่งในเรื่องนักล่าตัวฉกาจจะเป็นมังกรลมมากกว่า

    “เจ้าว่าวันนี้เราจะได้เจอมันบ้างไหม” นาบุซ่าชายหน้าคมเอ่ยถามข้าขณะเดินตีข้างกับข้าไปตามทางเดินเล็ก ๆ ที่ตัดลัดเลาะพงหญ้าสีเขียวอ่อนเตี้ย ๆ ด้านหน้าของหุบเขาหิมะ รอบบริเวณของพวกเราเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่จรดผืนป่าอีกด้านจนถึงเนินเขาหินซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ

    “อย่ามาถามข้าจะดีกว่า เป็นเพราะเจ้ามัวแต่เร่าสุราอยู่นั่นแหละ ข้าจึงต้องพลอยออกงานล่าช้าแบบนี้” ข้าตินาบุซ่าพลางอมเคี้ยวต้นหญ้าอ่อนไปมาแล้วเอามือมากุมปากกันหาว

    “เอาเถอะน่า ยังไงเจ้าก็มาดื่มอยู่ไม่ใช่รึ ถ้าหากว่าจะปฏิเสธก็คงจะยากหน่อยเพราะเมื่อคืนเจ้าระบายอะไรออกมาบ้างข้าผู้นี้จำได้ทั้งหมดแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า” นาบุซ่ากล่าวพลางหัวเราะเสียงทุ้มในลำคออย่างพึงพอใจ ก็จริงอย่างที่มันพูด

    “เอลฟริสตอส” นาบุซ่าเอ่ยเรียก

    “ว่าไง” ข้าตอบ

    “เจ้าเชื่อเรื่องคำพยากรณ์ของยิระมันรึ ข้าไม่เห็นว่ามันจะเกิดขึ้นเลยสักครั้งนะ ในตอนแรกข้าก็ไม่ได้เชื่อหรืออะไรนักหรอก ข้าสับสนกับความคิดของตัวเองที่ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีอะไรเลยแต่ข้ากลับเชื่อมัน ไม่รู้สึกสับสนลังเลเหมือนแต่ก่อนด้วย มันแปลกนะเจ้าว่าไหม” นาบุซ่าเริ่มถามด้วยหัวข้อที่ข้าก็กำลังให้ความสนใจอยู่พอดี จริงอยู่ที่ว่าคำพยากรณ์นั้นมันมีความน่าเชื่อถือสูง และจะมีอิทธิพลต่อเหล่าผู้เคยศรัทธาศาสนาคริสต์หรือผู้ที่กำลังนับถืออยู่ในตอนนี้

    “นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเจ้าเป็นคนที่ยึดมั่นและเข็มแข็งยังไงล่ะ ข้าว่ามันมีเป็นไปได้สูงอยู่แล้วที่จะมีผู้กอบกู้ลงมา แต่... ก่อนที่จะมีผู้กอบกู้กำเนิดขึ้นมาย่อมต้องมีการทำลายก่อนไม่ใช่เหรอ ตั้งแต่จบสงครามทวิภาคีลง โลกก็สงบสุขมาตลอดเลยนี่” ข้ากล่าวออกไปเช่นนั้น

    “สงบสุขเหรอ ข้าฟังผิดไปรึเปล่า ที่ผ่านมาเกือบร้อยปีนี้ก็มีแต่การฆ่าฟันและทำลายตลอดเลยไม่ใช่รึ?” นาบุซ่าหันมาขมวดคิ้วใส่ข้า

    “เปล่า ข้าหมายถึงพวกเรา ทมิฬแห่งความเจิดจ้าน่ะ” ข้าตอบ นาบุซ่าจึงคลายความสงสัยไปได้

    “ว่าไงอูบะ วันนี้ไม่หือไม่อืออะไรเลยนะ ทั้งที่ปกติจะต้องเต้นระบำให้พวกข้าได้หัวเราะสักท่าสองท่าแท้ ๆ” ข้าหันไปทักอูบะ เด็กหนุ่มผิวสี ผมทรงเด็ดร็อคร่างใหญ่ซึ่งกำลังเดินเหม่อคิดถึงอะไรบางอย่าง

    “คือ ข้ารู้สึกลางสังหรณ์แปลก ๆ น่ะครับ” อูบะกล่าวพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย

    “หยุดก่อน” ข้ายกมือให้สัญญาณนาบุซ่าและอุบะ พวกเราหยุดอยู่ตรงจุดหนึ่งก่อนจึงถึงเนินเขา “แถบนี้เคยมีการต่อสู้ของมังกร”

    “ว่าไงนะ?” นาบุซ่ายก WTF 300 ไรเฟิลดัดแปลงรูปร่างแปลกรุ่นล่าสุดของเขาออกมาจากแผ่นหลังขึ้น “แล้วเป็นมังกรแบบไหน?”

    “เท่าที่เห็น มีร่องรอยของการปั่นไปมาของต้นหญ้าเป็นสายคล้ายลมใต้ฝุ่นของอาเนมัสที่อยู่ตรงนั้น” ข้าชี้ให้นาบุซ่าและอูบะดู มันอยู่ด้านหน้าของพวกเราไม่ไกลมากนัก อันที่จริงถ้านาบุซ่าและอุบะมองผ่าน ๆ ตาไปไม่เห็นหรอก แต่เพราะว่าข้าได้รับการฝึกในการสะกดรอยมาก่อนจึงต้องเป็นนักสังเกตที่ดี

    “ส่วนคู่ต่อสู้ของมันคือฟลอก้า”

    “หา?” นาบุซ่าโพล้งออกมาด้วยความตกใจ แต่อุบะกลับนิ่งงัน “ถ้าอย่างนั้นอาเนมัสก็ต้องแพ้อย่างเดียวน่ะสิ”

    “ก็จริงอยู่ที่ว่าฟลอก้ามักอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม แต่จากร่องอันรุนแรงนี้แล้วเป็นไปได้ว่าอาเนมัสตนนี้จะแข็งแกร่งพอที่จะต้านฟลอก้าไม่ต่ำกว่าห้าตัวได้” ข้าอธิบาย

    “อย่าบอกนะว่า อาเนมัสตนนี้จะเป็น...” นาบุซ่าทำตาโต

    “ใช่ ข้าว่าไม่ผิดแน่” ด้วยเหตุนี้ข้าจึงถอดกระเป๋าเป้ออกมาจากแผ่นหลังแล้วค้นหาสิ่งของบางอย่าง “อยู่ไหนนะ อยู่ไหนนะ !” ข้าพบแล้ว นกหวีดเคี้ยวมังกรสีฟ้าดำขนาดเล็ก

    …

    “มีมังกรกำลังมาทางนี้… สองตัว!” นาบุซ่าหันไปบนท้องฟ้าด้านหลังของเขา “อินิกม่ากับไนเทร่าเหรอ!” เขาขานสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    “พวกเขามาทำอะไรที่นี่ อีกอย่าง มาในร่างของมังกรอีก!” ข้าโพล้งออกไปพลางหันหลังไปมอง มีมังกรสีทองและเงินบินเคียงคู่มาด้วยกันอย่างรีบเร่ง เรื่องไม่ดีแน่ที่จะเห็นทั้งสองมีท่าทีเดือดดาลมากขนาดนี้ ปีกขนาดกว้างโผกระพืออย่างรุนแรงดั่งลมพายุกรรโชก

    “เฮ้” ข้าตะโกนเรียกอินิกม่า ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเราจะตกต่ำก็ตามที เพราะว่าข้าเป็นนักฆ่ามังกรนี่นะ แต่ก็ใช่ว่าจะสื่อสารกันด้วยคำพูดไม่เป็น ทั้งสองบินโฉบลงมาอย่างรวดเร็ว ร่างกายพวกเขาค่อย ๆ หดลงเรื่อย ๆ สลายเนื้อหยาบแข็งดั่งเหล็กกล้าเผาไหม้ละลายลงกลายเป็นผิวของมนุษย์ขาวผ่อง ปรากฏเป็นหนุ่มสาวรูปงามคู่หนึ่ง

    “บ้าจริง! ลืมนึกถึงเรื่องเสื้อผ้าไปซะสนิทเลย” อินิกม่าหน้าแดงก่ำพลางปิดท่อนล่างของตนเอง พอหันหลังไปหาไนเทร่าเพราะความเป็นห่วงกลับโดนหมัดหน้าของเธอชกเข้าที่แก้มทันที
    “อินิกม่า ไอ้ลามก! โรคจิต!” เธอตะโกนลั่นทุ่งหญ้า พวกเราทั้งสามจึงต้องรีบหันไปทางอื่น หลังจากนั้นข้าก็นำเสื้อผ้าที่ข้าพึ่งซื้อมาจากเซเทร่าให้พวกเขาทั้งสอง ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจสักเท่าใดก็ตาม

    “แล้ว... เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ข้าถามออกขณะที่อินิกม่าและไนเทร่าเดินเข้ามาหาเราหลังจากสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จ

    “ผมต่างหากที่ต้องถามพวกคุณ พวกคุณสองมาทำอะไรที่นี่” อนิกม่าถามข้าด้วยถ้าทางหงุดหงิด เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้นัก “แล้ว ไอ้ที่อยู่ในมือคุณ ...คุณถือมันเพื่อที่จะทำการอะไรอยู่” อินิกมาชี้มายังนกหวีดเคี้ยวมังกรสีฟ้าดำที่อยู่ในอุ้งมือข้า

    “หึ ที่ข้าถามไปเจ้ายังไม่ตอบ ไหนทีข้าจะต้องตอบเจ้าด้วย” ได้พูดแบบนี้แล้วช่างสะใจชะมัด

    “เอางั้นก็ได้ แต่เพราะเคยร่วมรบมาด้วยกัน ผมจึงขอเตือนคุณไว้ ว่าอย่ามายุ่งในย่านนี้อีก” อินิกม่ายืนกล่าว

    “ถ้าข้าบอกว่า ขอปฏิเสธล่ะ”

    “ก็ไม่อะไรทั้งนั้น ผมก็แค่เตือน พวกเราไม่ได้เป็นเจ้าเป็นนายกันสักหน่อย อีกอย่าง ผมยังอายุน้อยไปสั่งอะไรคนแก่ก็คงไม่ได้” พูดได้ดีนี่อินิกม่า ถึงแม้ว่าข้าจะอายุ 36 แล้วก็ตามที แต่ข้ายังไม่แก่สักหน่อย!

    ‘กรรรรรรรร!!!!!!’

    เสียงคำรามโห่ร้องของมังกรดังสนั่นไปทั่วขุนเขา ลมกรรโชกโบกพัดไปทั่วบริเวณ

    “เซเฟอร์?” พวกเราทั้งสี่ขานขึ้นพร้อมกัน แต่อูบะกลับอุทานหลังจากนั้น

    “มาเร็วไนเทร่า” อินิกม่ากวักมือเรียกไนเทร่า ผิวของทั้งสองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในขณะที่พวกเขาออกวิ่งไปทางต้นเสียง ไม่นานร่างทั้งร่างก็กลับกลายเป็นมังกรคู่ขนาดมหึมาในชั่วพริบตา

    “หา? เดี๋ยว เสื้อผ้าข้า ม่ายยยย” ข้าเห็นเศษเสื้อที่ข้าพึ่งซื้อขาดสลายไปกับการแปลงกายของอินิกม่าและไนเทร่า เพราะอย่างนี้ไงล่ะข้าถึงได้เกลียดมังกร

    ติดตามตอนต่อไป



    เครดิต
    ฮายา นาบุซ่า - black jack sdppd
    บาบาบะ อูบะ – theover
    อินิกม่า, ไนเทร่า, เซเฟอร์, อาเนมัส, ฟลอก้า – rawipart
    เซเทร่า - thanatos123

    สำหรับบทนี้จะเกิดขึ้นก่อนหน้าที่อัตนันและโวติกปรากฎตัวออกมาหนึ่งเดือนนะครับ ที่เกิดเหตุคือ เหนืออาณาจักรเซเทร่า หรือก็คือที่อยู่เก่าของเหล่าแสงส่องแห่งทมิฬเทพนั่นเอง
    ส่วนตอนที่สองนั้นอาจจะออมาหลังจากบทที่ 1 ของเรื่องหลักหรือไม่ก็อาจจะออกมาก่อนก็ได้ ยังก็ช่วยติชมกันด้วยนะครับ ถ้าหากว่าข้อมูลอะไรตกไปก็ขออภัยด้วย – SilencerWT
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 26th November 2013 เมื่อ 16:42

  21. รายชื่อสมาชิกจำนวน 4 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  22. #13
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    บทพิเศษ 02 : Dragon Force

    ‘บึม!!!’

    เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วขุนเขาหิมะพลางส่งเสียงสะท้อนตามมาเป็นระยะ ๆ ข้า อูบะและนาบูซ่ากำลังออกวิ่งไปตามเสียงคำรามแปลกประหลาดของเซเฟอร์ อดีตเพื่อนเก่าเพื่อนยากของข้า

    “นาบุซ่า หาทำเลได้รึยัง” ข้าแลหลังถาม

    “ด้านหน้านี้... ไม่ไกลนักหรอก” เขาตอบกลับมาพลางอุ้ม WTF 300 ของเขาอย่างเหนื่อยหอบ พวกเราทั้งสามก็วิ่งมากันไกลมากแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงง่าย ๆ เลยสักที

    “ดี ถ้าอย่างนั้น อูบะ บินไปเลย” ข้าหยุดยืนปล่อยให้นาบูซ่าวิ่งตัดผ่านไปก่อน ส่วนข้าและอูบะจะเตรียมการบางอย่าง

    “หมายความว่าไงให้ข้าบิน ข้าไม่ใช่นกที่ร้องก้าบ ก้าบซักหน่อย” อูบะยืนงง

    “ข้ารู้เจ้าทำได้ ไม่ใช่เวลาต้องปกปิดความสามารถอะไรแล้ว ถือว่าช่วยข้าก็แล้วกัน” ข้ายืนตบไหล่อูบะ อายุแค่สิบหกปีแต่กลับมีร่างกายที่ใหญ่กำยำจริง ๆ

    “หืม?...” อูบะเอียงคอนิ่งคิด “ได้”

    “เยี่ยม!” ข้าชูกำปั้นปลื้มใจ “หน้าที่ของเจ้า... คอยปกป้องนาบุซ่า อย่าให้ใครหรืออะไรย่างกรายเข้าใกล้ได้เป็นอันขาด ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลล่ะก็ เจ้าก็พาเขาบินหนีไปได้เลย เข้าใจนะ” อูบะพยักหน้าอย่างแข็งขัน “ไปได้”

    ‘กรรร!!!... พรึบ! พรึบ!’

    เสียงคำรามอันกู่ก้องและเสียงกระพือพร้อมกับลมกรรโชกแบบนี้มัน... ไวเวิร์น!

    “เฮ้!!! เจ้ามาทำอะไรที่นี่!” ข้าเอามือแนบปากแล้วตะโกนออกไปท่ามกลางลมพายุอันหนาวเหน็บที่พัดกระหน่ำด้านบนภูเขาลูกนี้ ร่างของมันใหญ่มาก สำหรับอินิกม่าก็ร่างใหญ่อยู่แล้วแต่ไวเวิร์นตนนี้มันใหญ่กว่า ถ้าให้เทียบ คงเป็นสองเท่าของอินิกม่าแน่นอน มันแลมามองข้าเล็กน้อย มีสีหน้าคล้ายรำคาญแล้วก็ออกบินต่อไป “ผายลม!”

    “นี่มันงานรวมญาตินักบินรึไง แม้แต่ไวเวิร์นผู้ครองเวหาก็ยังมา ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน!” ข้าสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ อูบะมองข้าคราวหนึ่งแล้วเกาศีรษะ

    “ไปได้แล้ว” ข้าสั่ง

    “อะ อืม” หลังจากที่อูบะตอบรับก็หยิบตุ๊กตาฟางรูปร่างคล้ายกล้วยออกมาจากผมเด็ดร็อคฟูของเขา อูบะทำปากมุบมิบบ่นบางอย่างที่ข้าไม่ได้ยินออกมา จากนั้นเขาก็โยนตุ๊กตาฟางขึ้นเหนือท้องฟ้า ‘พรึบ!’ พลันปรากฏเป็นฉลามร่างมโหฬารสีฟ้าครามเป็นประกายตนหนึ่งแหวกว่ายอยู่กลางอากาศดั่งวิหคตัวหนึ่งก็ไม่ปาน

    ข้าก็พึ่งเคยเห็นใกล้ ๆ ครั้งแรกนี่แหละ แต่ไม่คิดว่ามันจะตัวใหญ่และสวยงามมากขนาดนี้ ข้ายิ้มให้อูบะ เขากระโจนขึ้นค่อมหลังฉลามตนนั้นราวกับอาชาตัวหนึ่ง “ทาร์ นี่คือสหายของข้า หรือจะเรียกมันว่าทาอาก็ได้ ว่าแต่ท่านรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน ข้าว่าข้าปิดความลับไว้มิดชิดยิ่งกว่างับปากจระเข้แล้วนะ” อูบะถามข้าพลางควบทาร์ถลาไปรอบ ๆ ข้ายิ้มให้แล้วตอบว่า “รีบไปเถอะ”

    เอาล่ะ คงต้องแถเรื่องให้รู้สักหน่อยแล้ว ข้านั่งคุกเข่ากับพื้นหินสีดำน้ำตาล พริ้มตาลง กางแขนทั้งสองข้างออก “อะ! ลืมเสื้อผ้า” ข้ารีบถอดท่อนล่างออกให้หมดทันที

    คราวนี้แหละ ข้านั่งคุกเข่าลงกับพื้น หลังยืดตรง กางแขนทั้งสองออกด้านข้างเป็นแนวตั้งฉาก ลมพายุสีเงินพลันก่อตัวขึ้นรอบบริเวณ ร่างของข้าลอยขึ้นไปตามลมนั้น

    “อ้ากกกก!” ข้าร้องครางออกมา ไม่มีคราวใดเลยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดเจียนตายที่ต้องทำแบบนี้ แต่ยังดีที่มันเป็นแค่เสี้ยวของเวลาอันน้อยนิดเท่านั้น

    ในชั่วพริบตา ร่างของข้าก็มีท่อนล่างอันแปลกประหลาดงอกออกมาคล้ายลำตัวของม้าเผือกตนหนึ่ง ผิวของข้าเริ่มแข็งกระด้างเป็นเกร็ดดั่งเหล็กกล้า ตรงปลายผมที่ติดกับหน้าผากกลางศีรษะพลันมีแท่งสีเงินทะลุออกมา เกิดเป็นเขาแหลมอันงดงาม ไอสีขาวกรุ่นล่องลอยรายรอบกายข้าราวกับหมอกแห่งความเหน็บหนาวและความโศกเศร้าแห่งป่าเพลอา จากนั้นไม่นาน ผมทุกเส้นของข้าก็กลายเป็นสีฟ้า

    ทุกยามเมื่อข้าอยู่ในร่างนี้ก็จะมีศาสตราตามออกมาด้วย มันคือหอกสายฟ้ารูปทรงงดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ มันคืออาวุธของข้า และมันก็แข็งแกร่งมากพอที่ข้าจะใช้มัน

    “เทพผู้ครอบครองท้องนภา” ใคร ๆ ก็เรียกข้าแบบนั้น หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ครึ่งเปกาซัส”

    ข้าก้าวขาหน้าสลับขาหลังอย่างพร้อมเพรียงและสง่างามมุ่งไปข้างหน้า ร่างของข้าค่อย ๆ ล่องลอยเหินฟ้าขึ้นกลางอากาศดั่งองค์เทพ ข้าไม่มีปีกแต่ข้าบินได้

    ข้าถลาตัดผ่านม่านเมฆลงต่ำไปตามพื้นระดับของขุนเขา

    ‘บึม!!! ครืน!!!’

    เสียงระเบิดดังพร้อมกับเสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของผืนธรณี ด้านหน้าข้าเป็นปากถ้ำของภูเขาหิมะขนาดมหึมา มันใหญ่พอที่ไวเวิร์นตัวใหญ่ที่สุดจะบินเข้าไปได้ ข้างหน้าปากถ้ำดูเหมือนว่าจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น เหล่านักบินทั้งหลายกำลังทำอะไรอยู่ ข้าต้องเข้าไปให้ใกล้มากกว่านี้

    มังกรทองผู้ลึกลับ อินิกม่ากำลังโฉบเข้าตะครุบบางอย่าง มังกรเงิน- ไนเทร่าเธอกำลังบินวนรอบปากถ้ำ ราวกับลาดตระเวนหาอะไรบางอย่าง ไวเวิร์นยักษ์ อาจเป็นขั้นระดับหัวหน้า มันกำลังยืนคุมปากถ้ำเคียงคู่กับเซเฟอร์... เซเฟอร์จริง ๆ ด้วย

    “กรรรรร!!!!!!!” เซเฟอร์คำรามส่งคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปยังถ้ำ ไวเวิร์นตนนั้นก็พ่นไฟสีแดงฉานตามเข้าไปเป็นระยะ ข้าบินเข้าไปใกล้มากแล้ว เห็นทุกอย่างชัดเจนแล้ว นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ เลวร้ายยิ่งกว่าทุกคราวที่ผ่านมา

    “ฮี่!”

    จิ้งจอกอสรพิษทมิฬตนหนึ่งกระโจนเข้าหาข้าจากด้านหลัง มันรวดเร็วมากจนข้าตั้งตัวไม่ทัน เจ้าจิ้งจอกนั่นใช้กรงเล็บพิษข่วนเข้าที่แผ่นหลังข้า ลึกเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง ข้าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

    “ฉึก!”

    มีบางอย่างแหลม ๆ ทิ่มเข้าที่สีข้างของข้า ร่างข้านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่สะบัดหอกสายฟ้าไปรอบบริเวณ ประจุของไฟฟ้าส่งให้จิ้งจอกทมิฬและปีศาจปริศนารูปร่างคล้ายออคลงไปนอนชักดิ้นชักงอบนพื้น

    ข้าใช้หอกค้ำยันร่างของข้า

    “อ้ากกก!!!”

    เสียงกู่ร้องคำรามของอสูรกายร่างยักษ์ภายในถ้ำดังสนั่นสั่นสะเทือนจนแผ่นดินเคลื่อนแตกเป็นเสี่ยง

    “อ้ากกกกกกก!!!!!!”

    มันคำรามอีกครั้งส่งผลให้ปากถ้ำเกิดพังทลายลงแต่กลับกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเดิม

    “กรรรรรร!!!!!”

    คราวนี้ทั้งอินิม่า ไนเทร่า เซเฟอร์ และไวเวิร์นเข้าคุมปากถ้ำหมดแล้ว พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อปิดปากถ้ำนั้นให้ได้ ทว่ามันตรงกันข้ามหมดทุกอย่าง

    ข้าเห็นบางอย่างสีทองประกายเป็นทรงกลมขนาดเล็กลอยล่องออกมาด้านนอกถ้ำ มังกรทั้งสี่ไม่มีใครสนใจ แย่ล่ะ นั่นมัน...ซีเลอร์!

    “รีบออกจากที่นี่เร็ว” ข้าตะโกนสุดแรง แต่พวกเขาก็ไม่สน ข้ารู้ว่าพวกเขาได้ยิน เพราะเสียงของข้าก็ไม่ต่างอะไรจากการร้องคำรามของมังกรเลยแม้แต่น้อย เตือนแล้วไม่ฟังกันมันก็คงต้องเจอแบบนี้สินะ

    “พรึบ!”

    ในชั่วพริบตา ทุกสิ่งทุกอย่างรอบบริเวณของขุนเขาพลันกลับกลายเป็นแท่งผลึกทองคำอันสวยงามและส่องประกายเรืองรองดั่งงานประณีตอันวิจิตร เจ้าอสูรกายร่างยักษ์นั้นก้าวขาออกมาจากถ้ำ มันไม่สนร่างที่ถูกผนึกของมังกรทั้งสี่ มันเดินข้ามออกมา ร่างของมันใหญ่ยิ่งกว่าขุนเขา มันมีเรือนร่างเป็นมนุษย์แทบทั้งสิ้น อีกทั้งใบหน้านั้นที่มีดวงตาสีแดงฉานเปล่งประกายดั่งสัตว์นรกพร้อมกับเขาแหลมดั่งวัวกระทิงบนศีรษะนั่น รอบกายของมันมีไอความร้อนและควันสี่ขุ่นลอยล่องอยู่ตลอด ผิวกายของมันสร้างความมืดมิดไปรอบภูเขา ถึงแม้ว่ายามนี้แสงแดดจะเจิดจ้ามากก็ตาม

    ข้ามองเห็นทุกอย่าง รับรู้ทุกอย่าง แต่ข้าไม่สามารถขยับกายได้ ร่างของข้าก็ถูกผนึกไปเช่นกัน ข้าหวังเพียงแค่ว่านาบุซ่าและอูบะจะปลอดภัย

    พวกมันกลับมาแล้ว ถึงจะรู้อยู่แก่ใจก็ตามว่ามันจะกลับมาแต่ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วมากเพียงนี้ คงทำอะไรไม่ได้แล้วสินะ ที่เหลือก็คือคำพยากรณ์ปากต่อปากนั่น ถ้าเชื่อถือได้จริงข้าก็ขอฝากด้วย... เหล่าผู้กอบกู้... ของยิระมัน


    Credit
    ไวเวิร์น - thanatos123


    สิ่งที่หน้าสงสัยจากบทนำและบทพิเศษทั้งสี่ห้าตอนนี้คือยิระมันสินะ มันก็แหงล่ะ เพราะทุกตอนมันปรากฏชื่อขึ้นมาทุกครั้งเลย ตกลงแล้วมันคือใครกันแน่ ติดตามได้ใน Can’t Hold Us เลยครับ

    ความลับ รู้แค่คนที่อ่านตอนนี้ก็พอ

    -ตัวเอกคือหนึ่งในสมาชิกของ FRUE (Federation Resists Universe Evil)
    -โวติกและอัตนัน คือสมาชิกของ FRUE
    -โวติกและอัตนันเป็นมนุษย์เลือดผสม
    คำถาม - ใครคือตัวเอก
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 1st December 2013 เมื่อ 18:28

  23. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  24. #14
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    EPISODE 01 WOLF FANG

    EPISODE 01 WOLF FANG

    01 : One night in Magneton

    “อาก~” บรุษหนุ่มนามว่า ‘คอนเนอร์’ หรือ ‘โวติก’ ในชุดนักบวชสีขาวสะอาดหาวหวอดเป็นเสียงงัดดัง ‘เอี้ยดอ้าด’ ในลำคอดั่งหน้าต่างไม้เก่า ๆ บานหนึ่ง ดวงตาอันคมเข้มของเขาก็พลอยม่อยลงเรื่อย ๆ ภารกิจฉายเดี่ยวใช่ว่าจะดีเสมอไป “ฮ้าว~” เขาอ้าปากหาวกว้างยิ่งท้องทะเลอีกครั้ง พลางเก็บเสียงให้เงียบเข้าไว้

    คอนเนอร์นั่งค่อมอยู่ข้างหน้าตึกหินเก่า ๆ สูงสามชั้นมาได้สองชั่วโมงแล้ว ถ้าจะเข้าไปด้านในก็เป็นการเสี่ยงเกินไป เขาจึงตัดสินใจนั่งรอเป้าหมายอยู่บนต้นโอ๊คต้นใหญ่ท่ามกลางรัตติกาลที่มืดมนนี้

    ที่นี่คือเมืองแมกเนตัน ในเขตการปกครองของกรุงไมล์สโตเลนเบิร์กแห่งอาณาจักรสเวนเซิร์ช มีประชากรราว ๆ สี่หมื่นคน เป็นเมืองท่าที่สำคัญและมีกองเรือนาวีที่แข็งแกร่ง ส่วนเรื่องการดำรงชีวิตหรือความเป็นอยู่ของประชาชนก็ไม่ร่ำรวยไม่ลำบากมากน้อยจนเกินไป ผู้คนของโดยส่วนใหญ่จะเป็นชนมนุษย์กับเอลฟ์เลือดผสม แต่กลับมีชนพื้นเมืองอย่างลาสไมว์ฟเตอร์ซึ่งมีจุดเด่นที่นัยน์ตาพวกของเขาซึ่งเป็นรูปไม้กางเขน อาศัยอยู่เพียงน้อยนิด

    ยามนี้ไม่ใคร่มีผู้คนมากนัก แสงไฟจากตะเกียงเก่าข้างถนนบนเสาเหล็กสนิมเกรอะสาดแสงสีเหลืองสลัว ๆ ต้องพื้นสะท้อนให้เห็นดินที่เปียกแฉะสีน้ำตาลดำอันเละเทะของมัน มีชายแก่ในชุดคลุมสีดำมอมแมมเปิดศีรษะคนหนึ่ง เดินงนงกผ่านด้านล่างต้นไม้ที่คอนเนอร์ซุ่มอยู่อย่างเชื่องช้า เขาภาวนาให้ชายแก่เดินผ่านไปให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเขาจะอดกลั้นหัวเราะออกมาไม่ไหว เพราะวิธีการก้าวขาของแกยังกับตั๊กแตนสามขาร่ำสุราไม่มีผิด

    คอนเนอร์มั่นใจในการพรางตัวของเขา มันไม่เคยพลาด ในชั้นเรียนเขาก็ทำได้อันดับหนึ่งเสมอ เขาสามารถเบี่ยงบ่ายกลิ่นกายและลมหายใจซึ่งทำให้ทุกสรรพสิ่งไม่สามารถรับรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ และมันก็ทำให้เขาทำงานสำเร็จโดยมาตลอด

    คอนเนอร์เคยผ่านเหตุเฉียดตายมามากมายยิ่งกว่าจ้องใบหน้าหญิงสาวซะอีก มันทำให้จิตใจที่เคยเย็นชาแข็งกระด่างของเขายิ่งเยือกเย็นไร้ความรู้สึกมากขึ้นอย่างที่สุด แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีชีวิตหรือความนึกคิดเหมือนคนทั่ว ๆ ไป คอนเนอร์มักอยู่คนเดียวเสมอ ตั้งแต่เด็กแล้ว เขารู้สึกว่าการอยู่รวมกลุ่มมันทำให้เกิดความยุ่งยาก รังแต่จะสร้างแต่ความหงุดหงิดน่ารำคาญใจอยู่ตลอด ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ใช่คนไร้เพื่อนมิตรซะทีเดียว

    เป้าหมายในครั้งนี้คือชายสูงศักดิ์ผู้ลึกลับมากแก่การค้นหาของเสวนเซิร์ช อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ศูนย์รวมของศาสนาและความเชื่อที่มากหลาย เขามีนามว่า ‘เวิร์ลซิเอล ไวเซลบรันท์’ แต่คอนเนอร์ชอบเรียกสั้น ๆ ว่า ‘บรันท์’ มันอาจจะไม่เป็นการดีและเสียมารยาทเกินไปแต่เขาก็ไม่สน

    ภารกิจของคอนเนอร์คือ จับตาสังเกตการณ์และคอยปกป้อง แต่เท่าที่ด่อม ๆ มอง ๆ มาตลอดสองวันแล้ว มันเป็นไม่ได้เลยที่บรันท์ผู้นี้จะมีภัยอันตรายเกิดขึ้นกับตัวเขา ทุก ๆ วันจะมีลูกสมุนองครักษ์สัตว์เลี้ยงสามตัวติดตามเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นนกฮูกชรา แมวสาว และกวางเผือกโบราณ พวกมันเหล่านี้ต่างร้ายกาจกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะเจ้านกฮูก มันมักจะบินรอบ ๆ บริเวณเพื่อสำรวจความปลอดภัยของบรันท์ในทุก ๆ สิบนาทีหรือไม่ก็อาจเป็นการบินเที่ยวซะมากกว่า... ช่างขยันเสียนี่กระไร

    ‘พอเห็นว่าตัวเองแข็งแกร่งก็ไม่หือไม่อืออะไรเลยสินะ ให้ตายสิ เป็นกันไปหมดทุกคนไม่ว่าหน้าไหนหน้าไหนก็คิดแต่เรื่องตื้นตันทุกที เพราะอย่างนี้ไงล่ะมันถึงได้น่าเบื่อ’ คอนเนอร์คิดในใจ เพราะเมื่อไม่กี่เดือนก่อนมีข่าวหนาหูว่า เหล่า ‘LOB’ (Light of Black God) ได้รวมกำลังสร้างกองทัพ เริ่มกำจัดและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อยู่เรื่อย ๆ ข่าวนี้มีความน่าเชื่อถือสูงมากในหมู่นักเดินทางหรือพ่อค้าเร่ด้วยกัน แต่สำหรับประชาชนผู้เฉื่อยชากลับคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ข่าวโคมลอยที่ถูกกุขึ้นเพื่อสร้างสถานการณ์เท่านั้น
    ชายหนุ่มรู้ดีว่าข่าวนี้มันเป็นเรื่องจริงหรือแค่ล้อเล่น เขากำนิ้วมือทั้งสองข้างสองสามทีเพื่อไม่ให้มันแข็งจนปวดชา อากาศยามนี้ก็หนาวใช่เล่น ยังดีที่ชุดนักบวชช่วยเขาไว้ได้มากไม่อย่างนั้นคงต้องนั่งรอตัวสั่นระริกคล้ายคนป่วยเป็นแน่

    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าว่ามันก็โชคดีมากอยู่นะครับ การที่พวกเราได้กลับมาอยู่ร่วมกันแบบนี้ หรืออาจจะเรียกว่าโชคชะตาก็ได้ ข้าล่ะปลื้มใจจริง ๆ” เสียงหัวเราะแหบแห้งดังออกมาจากด้านในของตึกหิน ก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวตรงประตูไม้ด้านหน้า ปรากฏเป็นบรันท์ในชุดนักบวชสีขาวแบบเดียวกับคอนเนอร์สวมเปิดประตูออกมา เขาปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิด เผยให้เห็นแค่ดวงตาแสนวิเศษซึ่งเป็นนัยน์ตารูปไม้กางเขนสีทองเท่านั้น คนที่เดินตามหลังเขาออกมาเป็นมนุษย์ชายในวัยกลางคนมีเส้นผมหงอกขึ้นเล็กน้อยตามจุดต่าง ๆ ของศีรษะคาดว่าคงจะเป็นเจ้าของตึกแห่งนี้

    “ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องกล่าวลากลับแล้วล่ะครับ ไม่เสียเที่ยวจริง ๆ ที่ได้มาหาท่าน ท่านเกรย์” บรันท์โค้งคำนับอย่างนอบน้อมต่อเกรย์

    “โอ้ ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ครับ กลับกันเลย ข้าถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่ท่านไวเซลบรันท์มาเยี่ยมพวกเราเหล่าคนต่ำต้อยถึงที่นี่” เกรย์มีสีหน้าเกรงใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าบรันท์ก้มศีรษะคำนับเขา แต่พอชายหนุ่มสังเกตสีหน้าของเกรย์สักพักก็รู้ว่าเป็นเพียงแค่การเสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น ถ้าจะให้พูดตามตรง ชายนาวว่าเกรย์นี้คงจะเป็นคนที่มีเหล่เหลี่ยมเพทุบายอยู่ไม่น้อย

    “ไว้คราวหน้าเราคงต้องเจอกันอีก ข้าอาจมีอะไรให้ท่านช่วยแน่ เมื่อถึงเวลานั้นอย่าลืมกันล่ะ...” บรันท์กล่าว คอนเนอร์ไม่รู้เลยว่าบรันท์มีสีหน้าแบบใดขณะสนทนา เพราะผ้าที่ปกปิดใบหน้าเขาไว้มันเป็นตัวกักเก็บการแสดงความรู้สึกทางสีหน้าได้ดีทีเดียว
    “แน่นอนครับท่าน พวกเราจะลืมไปได้อย่างไรกัน ท่านมีพระคุณกับเรามาก ไหนเลยจะกล้าเป็นคนไร้ความรู้คุณได้ ถ้าไม่มีท่านช่วยไว้คงไม่มีพวกเราในวันนี้หรอกครับ” เกรย์ยิ้มจนปากจะฉีก

    “ข้าคงต้องไปแล้ว รักษาตัวด้วยนะท่านเกรย์” บรันท์โค้งคำนับอีกที เกรย์ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีเพื่อให้นิสัยแบบนี้ของบรันท์หายไป

    “พระเจ้าคุ้มครอง...ท่านไวเซลบรันท์” เกรย์กล่าวพลางยิ้มไม่หุบ

    “เช่นกันพระเจ้าคุ้มครอง...ท่านเกรย์” บรันท์โค้งคำนับอีกที กวางเผือก หนึ่งในองครักษ์ของบรันท์ พลันเดินออกมาจากด้านหลังตึก มันมีร่างที่สูงใหญ่และสง่างามสมเป็นกวางชั้นสูงของรางวงศ์ เขาของมันเป็นสีน้ำตาลอมทองดั่งเนื้อไม้อีเกิลแห่งป่าไพรม์ อีกทั้งยังมีกล้ามเนื้อที่กำยำแลเห็นเป็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจน

    บรันท์เดินผ่านหน้าคอนเนอร์ไปโดยไม่มีท่าทีแปลกใจหรือสงสัย กวางโบราณก็ตามไปติด ๆ

    ชายหนุ่มเห็นแมวร่างเพรียวสีขาวลายครามเป็นจุด ๆ ตามตัวตนหนึ่ง วิ่งออกมาจากประตูหน้าตึกของเกรย์พลันออกตามบรันท์ไปอย่างรวดเร็ว ใช่ นั่นก็อีกหนึ่งองครักษ์ของบรันท์ แต่นกฮูกซึ่งเป็นองครักษ์สัตว์เลี้ยงตัวที่สามนั้นคาดว่าน่าจะบินหาอาหารอยู่รอบ ๆ นี้ ด้วยเหตุนี้คอนเนอร์จึงต้องรักษาระยะห่างและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ‘ได้เวลาลุกแล้วสิ’ ชายหนุ่มบิดขี้เกียจไปมา เขาเอามือมากุมปากขณะหาวออกมาคำใหญ่ คงเป็นครั้งสุดท้าย

    ‘พรึบ’ คอนเนอร์กระโจนลงพื้นหินเรียบข้างถนนอย่างนิ่มนวลแล้วออกเดินตามบรันท์ในระยะยี่สิบก้าว เขาเดินในท่าทางของคนไม่สมประกอบเล็กน้อย มันคงจะไม่ใช่งานจิบ ๆ แน่ถ้าหากว่าบรันท์ต้องมาเดินสายงานต่าง ๆ ด้วยตัวเองแบบนี้ เพราะจากการที่ชายหนุ่มถามชาวเมืองแบบบ่ายเบี่ยงที่รู้จักบรันท์ดีก็ตอบเขาว่า บรันท์ไม่เคยมีท่าทีร้อนรนและกลายเป็นคนเดินเร็วเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าเขามีอะไรบางอย่างที่สำคัญในหัวและทำให้เขาต้องรู้สึกเคร่งเครียดเป็นกังวลขึ้นมาก็ได้ แน่นอนว่าคอนเนอร์ก็รู้ว่าเหตุอะไรจึงทำให้บรันท์ผู้นี้ต้องกลายเป็นพวกอยู่เฉย ๆ ไม่เป็น

    ‘เอาล่ะ คงถึงเวลาที่ต้องเปิดโปงแล้วสินะ ในที่สุดเวลาที่เรารอคอยก็มาถึง จะได้กลับไปนั่งจิบชาร้อน ๆ ซักที’ ชายหนุ่มหมุนหัวไหล่สองรอบแล้วเร่งฝีเท้าเข้าหาบรันท์ แต่หยุดต้องชะงักเพราะมีเหล่าทหารในชุดเกราะอัศวินสีเงินราวยี่สิบคนนั่งตระหง่านบนหลังกวางตัวใหญ่ขวางหน้าบรันท์ไว้ ตรงกลางหน้าอกของชุดเกราะมีรูปกวางโบราณและไม้กางเขนด้านบน พวกเขาสวมหมวกเหล็กประดับด้วยเขากวางเทียมที่ทำมาจากไม้เฟอร์ อีกทั้งยังมีนัยน์ตาซึ่งเป็นจุดบ่งบอกถึงรากเง้าของชนเผ่า มันคือนัยน์ตาที่แปลกประหลาด มีรูปร่างเป็นไม้กางเขนสีแดงฉานต่างจากคนในเผ่าพันธุ์เดียวกันเป็นอย่างมาก นั่นก็สื่อให้คอนเนอร์รู้ว่าพวกเขาเหล่านี้คือกองทหารของเมืองหลวง

    “นี่พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาขวางทางข้า” บรันท์ถามหัวหน้ากองทหารที่ไม่ได้สวมหมวกเพียงคนเดียวของทหารทั้งหมด หัวกองคนนั้นมีหน้าตาเข่งขรึมและน่าหวั่นกลัวเป็นอย่างมากถ้าหากว่าเขาจ้องมาหา ที่หน้าผากเขามีรอยแผลเป็นของอาวุธแหลมคมสลักเป็นเส้นเล็ก ๆ ไว้ “หลีกออกไปจากทางข้าเดี๋ยวนี้!” บรันท์ตะคอกด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองและไม่สบอารมณ์

    เมื่อเหตุเป็นเช่นนี้แล้วคอนเนอร์จึงต้องทำทีเดินไปคนละทาง ไม่อย่างนั้นเรื่องยุ่งยากคงได้เกิดขึ้นแน่ ก็ใช่ล่ะเพราะเขาเกลียดความยุ่งยากมากกว่าความน่าเบื่อซะอีก

    “ขอประทานโทษครับ ท่านนักบวชชุดขาวผู้นั้นมีกิจการที่ต้องไปไหนในยามมืดค่ำอันตรายเช่นนี้หรือ” หัวหน้ากองตะโกนถามคอนเนอร์ เขาหยุดยืนหันหลังให้กองทหารแล้วนิ่งคิด ‘หึ... ซวยจริง ๆ’ คอนเนอร์ก้าวขาออกวิ่งในบันดล
    “ตามมันไป!” หัวหน้ากองชี้ดาบสั่งให้ทหารครึ่งหนึ่งไล่ตาม เหล่าทหารทั้งสิบจึงควบกวางตัวใหญ่ออกไล่ล่าทันที




    ‘อะไรกัน นี่มีตามเรามาตั้งแต่เมื่อไหร่’ บรันท์กล่าวถามตัวเองในใจ เพราะว่าเขามีคนสะกดรอยตามเขาโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่มันควรจะถูกพัสทาลัส นกฮูกชราตรวจจับได้ตั้งนานแล้ว แต่บรันท์ไม่อยากคิดให้เปลืองกำลัง ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าที่เขาต้องรีบไปทำ
    บรันท์ชายตามองหัวหน้ากองหน้าเข้มแวบหนึ่ง... แต่แล้วเขาก็หาทางหนีเจอ เมื่อบรันท์รู้สึกได้ว่ามีการเคลื่อนไหวรอบ ๆ บริเวณนี้ ในลักษณะที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ‘อยู่เฉย ๆ แล้วค่อยตามข้ามา อย่าทำอะไรกับคนชุดดำไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเด็จขาด’ บรันท์ส่งสัญญาณจิตหาเหล่าองครักษ์สัตว์เทพทั้งสามของเขา

    เขามองไปยังหลังคากระเบื้องของบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ มีการเคลื่อนไหวเป็นเงาตะคุ่ม ๆ สีดำบนนั้นอย่างเชื่องช้าดั่งนักล่าจ้องตะครุบเหยื่อ

    ‘พรึบ!’

    ร่าง ๆ นั้นในชุดรัดรูปสีดำตัวสูงใหญ่พลันกระโดดเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างเหล่าทหารอัศวินและบรันท์ เขาขว้างก้อนระเบิดควันประดิษฐ์ลงพื้น เสียงระเบิดดัง ‘ตูม!’ ไม่แรงนักแต่ควันสีขาวขุ่นกลับกระจายตัวอย่างรวดเร็ว และทำให้ดวงตาของเหล่าทหารต้องปิดลง

    บรันท์หลับตาปิดจมูกก่อนหน้านั้นไว้แล้วจึงไม่มีปัญหาใด ๆ ร่างสีดำนั้นกระโจนเข้ามาอุ้มเขาขึ้นบ่าแล้ววิ่งเข้าไปในความมืดของซอกตึกหินที่ขึ้นเรียงรายตามถนนอันสกปรกนี้ ถึงแม้ว่าจะมีของหนักอยู่บนตัวแต่ร่างนั้นกลับวิ่งได้อย่างรวดเร็วแบบไม่น่าเชื่อ เหล่าองครักษ์ของบรันท์ก็ตามไปติด ๆ



    “บ้าจริง! มันหายไปไหนแล้ว” ทหารนายหนึ่งสบถขึ้นหลังจากที่เขาตามชายในชุดนักบวชหรือคอนเนอร์แล้วคว้าน้ำเหลว

    “ทำไมมันเร็วอย่างนี้กัน” ทหารนายอีกนายกล่าว

    “นี่ เมื่อกี้มีใครได้ยินเสียงคล้ายระเบิดไหม ข้าว่าพวกเราควรกลับไปหาหัวหน้าก่อนนะ” ทหารคนรั้งท้ายถาม

    “หามันให้ได้ก่อนค่อยกลับไป เจ้าอยากโดนลงโทษนักหรือไง!” ทหารคนที่อยู่อีกฟากของกลุ่มตะโกนใส่เสียงแข็ง

    “ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรแยกกันหาเป็นกลุ่ม กลุ่มละสามคน เพราะจากที่ข้าดูท่าทางและหน่วยก้านตอนวิ่งของมันแล้วคงมีฝีมือไม่น้อย” ทหารร่างสูงบอก

    “แบบนั้นก็ดี... เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว” ทหารคนที่อยู่หน้าสุดสั่งการให้เหล่าอัศวินไม้กางเขนแยกและรวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลามาเลือกว่าใครจะไปกับใคร หนึ่งกลุ่มไปทางซ้ายเพราะด้านขวาเป็นทางตัน หนึ่งกลุ่มไปด้านหน้า ส่วนอีกกลุ่มคอยตระเวนที่จุดเดิม

    ‘บัดซบ! ทำไมมันถึงต้องยุ่งยากแบบนี้นะ นี่มันเรื่องอะไรกันทำไมทหารของเมืองหลวงถึงมาขวางทางบรันท์แบบนี้’ คอนเนอร์ซึ่งยืนพรางกายไปกับความมืดของผนังกำแพงหินไม่ไกลจากกลุ่มทหารก่นด่าในใจ เขาไม่ละสายตาจากทหารชุดอัศวินสามคนนั้นเลยสักวินาทีเดียว มีนายหนึ่งลงมาจากหลังกวางเพื่อเดินสำรวจในจุดที่เขาไม่สามารถควบกวางเข้าไปได้

    “ข้ารู้สึกว่าช่วงนี้ท่านบรันท์ออกจะทำตัวตีห่างจากวังแลวิหารเกินไปนะ” ทหารคนที่เดินลงมาสำรวจกล่าวพลางเดินยื่นคอชะเง้อชะแง้มองจุดนั้นจุดนี้ไปมา “หรือว่าจะเป็นอย่างที่เขาพูดกันจริง ที่ว่าท่านกำลังรวบรวมพลเพื่อก่อการปฏิวัติยึดราชสมบัติ-”

    “อย่าพูดแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สองนะ” ทหารคนที่อยู่บนหลังกวางกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “หัวเจ้าคงไม่มีวันได้อยู่บนบ่าตลอดไปแน่ถ้าหากว่าปากของเจ้ายังคงเสาะหาคมดาบอยู่แบบนี้”

    “โทษที ๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้แตกแยกนี่ หรือว่าเจ้าไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้บ้าง เป็นทหารประชาชนย่อมมีสิ่งสงสัยเป็นปกติอยู่แล้วไม่ใช่รึ” เขาถามกลับจนทหารที่อยู่บนหลังกวางพูดไม่ออก

    “ข้าว่าพวกเจ้าควรหุบปากแล้วรีบหาเจ้านักบวชนั่นดีกว่า ข้าไม่อยากเสียเวลามาฟังเรื่องพวกนี้จากคนอย่างพวกเจ้า ยิ่งในยามนี้บ้านเมืองก็ระส่ำระสายอยู่แล้วยังจะมาโต้เถียงเรื่องแบบนี้อีก ท่านไวเซลบรันท์ย่อมมีเหตุผลดีพอที่ต้องทำแบบนี้แน่”
    ชายบนหลังกวางอีกคนซึ่งไม่เคยเอ่ยปากเลยตั้งแต่แรกพูดขึ้น คอนเนอร์ก็ยังคงยืนพรางกายอยู่อย่างนั้น เขาจะขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้เลยตราบเท่าที่เขายังใช้วิชาพรางตัวนี้อยู่ ในใจก็ถอนหายใจและก่นด่าทหารพวกนี้ไม่หยุดที่ทำให้การปฏิบัติภารกิจล้มเหลวไม่เป็นท่าแบบนี้ คนอย่างไวเซลบรันท์ยิ่งเป็นคนที่ตามตัวได้ยากยิ่งกว่าอัญมณีแห่งอัลฟ่าอีก

    ‘ปึม!’

    เสียงระเบิดอันแผ่วเบาดังขึ้นกลางอากาศมาแต่ไกล ทหารทั้งสามตกใจเล็กน้อยแล้วมองไปยังท้องฟ้าสีดำมืดพร้อมกัน

    “นั่นมันอะไร” ทหารคนหนึ่งโพล้งถามขึ้น พลางจ้องมองด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

    “ข้ารู้จัก มันเป็นพลุที่พวกมนุษย์ในยุคโบราณใช้กัน มันจะบ่งบอกสถานการณ์ แผนงาน หรือสถานที่ให้คนฝ่ายเดียวกันในระยะไกลได้รับรู้” ทหารนายที่อยู่บนหลังกวางอธิบาย

    “แล้วพลุสีแดงมันมีความหมายอะไรไหม” ทหารนายที่อยู่ข้าง ๆ ถาม

    “ไม่มีความหมายอะไรมาก เพราะสีแดงคือพลุที่ถูกใช้โดยทั่วไปอยู่แล้ว” เขาตอบ คอนเนอร์ยืนนิ่งรอฟังพวกทหารคุยเรื่องพลุ เพราะว่าเขาอยู่ในมุมอับไม่สามารถมองเห็นสัญญาณพลุที่พึ่งถูกจุดได้

    “แสดงว่าเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะสิ” ทหารคนที่อยู่ด้านล่างหัวเราะพลางปีนขึ้นหลังกวาง “จะว่าไปมันก็สว่างเจิดจ้าจริง ๆ นะ พลุเนี่ย ชนโบราณก็มีแต่ของแปลกประหลาดชวนตกใจอยู่เรื่อย”

    ‘พลุสีแดง...สว่างเหรอ’ คอนเนอร์คิดในใจ ‘เกิดอะไรขึ้นกันนะ ถ้าจะว่าโจรบุกก็ไม่ใช่ ถูกลอบโจมตีก็ไม่ใช่อีก... อาจเป็นไปได้ หรือว่าจะเป็นพวกบรันท์’ เขาเริ่มร้อนรุ่ม ‘ออกไปตอนนี้ก็ไม่เห็นเป็นไร ยังไงมันก็ตามไม่ทันอยู่แล้ว’ คอนเนอร์มองไปยังผนังของตึกหินด้านตรงข้ามสีเขียวทึบผสมเทา มีรอยแตกหักของก้อนหินเป็นร่องพอที่จะเหยียบและเกาะจับเพื่อปีนป่ายได้

    ‘ห้าวินาทีพร้อมกับฝ่าเท้าสายลม’ ว่าแล้วร่างเขาก็พลันโพล่พรวดออกมาจากความมืดด้วยความเงียบงัน วิ่งย่ำพื้นดินอย่างแผ่วเบาตัดผ่านด้านหลังเหล่าทหารทั้งสามแล้วกระโดดขึ้นเกาะตามช่องของหินและส่งตัวเองขึ้นไปอยู่บนหลังคาของตึกอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่พวกทหารจะหันกลับมามอง

    “เมื่อกี้มันอะไรกัน” ทหารทั้งสามควบกวางหันมามองด้านหลังและพบกับความว่างเปล่า

    “ข้าว่าเรารีบกลับไปหาหัวหน้าดีกว่า ข้าไม่ชอบที่นี่เอาซะเลย” ทหารอีกนายพูดด้วยน้ำเสียงติดขัด “รู้สึกไม่ดีมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” มีเสียงถอนหายใจเพราะความเอื่อมระอาออกมาจากทหารอีกนาย แต่สุดท้ายพวกเขาทั้งสามก็เคลื่อนที่ออกไป
    พลุถูกจุดขึ้น แล้วระเบิดเปล่งแสงสีแดงจ้ากลางอากาศอีกครั้ง คอนเนอร์ตัดสินใจออกวิ่งไปตามสัญญาณนั้นโดยไม่ลังเล ถ้าหากว่ามีเรื่องร้ายจนต้องจุดพลุครั้งที่สองแบบนี้ล่ะก็ เขาคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่ เพราะพวกเดียวที่ใช้พลุแบบนี้ก็คือเหล่า “นักล่าเคี้ยวหมาป่า” แห่งสหพันธ์ต่อต้านสิ่งชั่วร้ายแห่งจักรวาลที่เขาสังกัดอยู่ตั้งแต่โลกก่อนและหลังล่มสลายนั่นเอง
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 16th December 2013 เมื่อ 15:58

  25. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  26. #15
    Bayou Country
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    New Orleans, LA, United States
    กระทู้
    5,932
    กล่าวขอบคุณ
    4,555
    ได้รับคำขอบคุณ: 8,950
    ขอบคุณสำหรับบทแรกครับ ไม่ผิดหวังที่รอจริงๆ

    ผมอ่านตั้งสองรอบแหนะ บางจุดอ่านพลาดหรืออ่านผิดไป

    ตามเก็บอ่านทีหลังจะได้เข้าใจมากขึ้น

  27. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  28. #16
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ nakiann123 อ่านกระทู้
    ขอบคุณสำหรับบทแรกครับ ไม่ผิดหวังที่รอจริงๆ

    ผมอ่านตั้งสองรอบแหนะ บางจุดอ่านพลาดหรืออ่านผิดไป

    ตามเก็บอ่านทีหลังจะได้เข้าใจมากขึ้น

    ถ้าผมผิดพลาดเรื่องข้อมูลตรงไหนก็บอกด้วยนะครับ

  29. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  30. #17
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    02 : Begins to the War

    02 : Begins to the War

    ณ หอสังเกตการณ์ซึ่งยื่นออกมาจากกำแพงหินสูงของเมืองแมกเนตัน

    ทหารในชุดเกราะเหล็กน้ำหนักเบาเก่ากรังหน้าเด็กผู้หนึ่งเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว เขาขยี้ตาซักพัก ก่อนจะรู้สึกคล้ายมีบางอย่างกำลังปีนหอขึ้นมา เพราะมันมีเสียงดังครืดคราดนอกหอนี่ ด้วยฉะนี้เด็กหนุ่มจึงเดินไปยังหน้าต่างแล้วก้มลงมอง สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงแต่แสงสีเหลืองส้มของคบเพลิงซึ่งวางในช่องคบเพลิงเหนือสันกำแพงกำลังลุกโชติช่วงส่องกระทบผนังด้านนอกของหอเท่านั้น

    เขาเดินมาชะเง้อมองที่หน้าต่างอีกด้าน ‘หึ!’ หอกยาวสีดำมะเมื่อมพลันพุ่งขึ้นมาจากด้านล่างซึ่งเป็นกลุ่มหินโสโครกริมทะเล เขาแหงนหน้าหลบได้ทันควัน หอกนั่นถอดเอาหมวกฟางเก่า ๆ ของเขาออกไปจากศีรษะแล้วนำขึ้นสู่ท้องฟ้าจากนั้นมันก็หายลับไป เด็กหนุ่มตาเหลือกใจเต้น เขาตระตุกร่างตัวเองให้ตั่งสติแล้วรีบวิ่งไปตีกลองศึกที่อยู่มุมหอ

    เขาหยิบไม้กลองด้ามใหญ่ขึ้นมาแล้วทุบมันลงไปที่กลางหนังกลองได้เพียงแค่คราวเดียว เพราะสิ่งที่หยุดการรัวกลองศึกของเด็กหนุ่มคือมีดสั้นอันคมกริบของก็อบบลินร่างพลิ้ว มันได้ปักมีดนั่นเข้ากลางหลังของเด็กหนุ่ม ก็อบบลินดึงมีดออกเลือดไหลออกเป็นทางยาวตามมีด แล้วแทงมันเข้าไปที่ท้ายทอย มันถอดมีดออกอีกทีแล้วแทงเข้าไปยังสีข้างของเด็กหนุ่ม

    “เจ้าตายละยัง ถ้ายังไม่ตายข้าจะได้แทงเจ้าอีกที... หือ? ตายแล้วเหรอ” เสียงเล็ก ๆ แหลม ๆ ของเจ้าก็อบบลินถามเด็กหนุ่มไร้วิญญาณอย่างเปี่ยมสุข

    ‘พรุบ!’

    พลุสีแดงถูกจุดขึ้นกลางอากาศเหนือเมืองแมกเนตัน เมื่อก็อบบลินตนนั้นเห็นก็กระโดดโลดเต้นพลางปรบมือให้กับความงดงามของพลุ มันลืมงานของมันไป ก็อบบลินตนอื่น ๆ ราวสิบตัวที่ปีนหอขึ้นมาภายหลังก็มีท่าทางไม่ต่างกันนัก พวกมันล้วนลืมหน้าที่สำคัญไปสนิท

    ก็อบบลินตนที่แทงเด็กหนุ่มเรียกสติกลับคืนมาได้เร็วกว่าใครเพื่อน มันเดินไปยังหน้าต่างหอแล้วปีนขึ้นไปบนหลังคาอย่างรวดเร็ว ทว่าพลุนั่นกลับถูกจุดขึ้นอีกครั้ง มันอยู่ไม่เป็นสุขลังเลว่าจะเลือกงานหรือว่าชมพลุ สุดท้ายก็หันกลับมาชื่นชมแสงสีแดงอันสว่างเจิดจ้าของพลุสัญญาณนั่นจนได้


    ในขณะเดียวกัน

    คอนเนอร์กำลังวิ่งถลาอย่างรวดเร็วแต่แผ่วเบาไปตามหลังคาไม้แข็ง ดาดฟ้าเตี้ย ๆ และสันกำแพงสลับกันไปมาของเมืองแมกเนตันราวนักกายกรรมผู้มากฝีมือ

    พลุสัญญาณถูกจุดขึ้นครั้งที่สาม สว่างเจิดจ้ากลางเวหายามรัตติกาล มันทำให้เขาสามารถมองเห็นพื้นที่โดยรอบประหนึ่งรุ่งฟ้าสว่าง มีเสียงแว่วเซ็งแซ่ถกเถียงของผู้คนจำนวนมากใต้จุดที่พลุส่องแสงนั่น

    “ชู่! คอนเนอร์!” เสียงกระซิบดังก้องอยู่ในหัวของเขาทำให้ต้องหยุดยืนบนดาดฟ้าของตึกดินร้างแห่งหนึ่งไม่ไกลจากสัญญาณพลุ เขารู้ว่าสิ่งนี้คือการส่งโทรจิตลับ ซึ่งถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่นินจา นักลอบสังหาร หรือหน่วยลาดตระเวนที่มีฝีมือสูง แต่ข้อจำกัดของมันคือ สามารถสื่อสารกันได้ในระยะไม่เกินห้าสิบเมตรเท่านั้น อีกทั้งผู้ส่งต้องตั้งสมาธิและสติที่มั่นคงแน่วแน่ด้วย

    “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่”

    เสียงของ ‘โอมิว’ นิวไทป์หนุ่มวัยไล่เลี่ยกันกับคอนเนอร์ ดังขึ้นตามร่างของเขาขณะกระโจนกายออกมาจากมุมมืดของอีกซอกตึก โอมิวเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์นิวไทป์ที่เข้าร่วมกับกองกำลังสอดแนมสังกัดกลุ่มนักล่าเขี้ยวหมาป่า ในการฝึกซ้อม เขามักจะแย่งอันดับหนึ่งสองสามกับคอนเนอร์และเอลลีน่าซึ่งเป็นเอลฟ์เลือดผสมอยู่เสมอ จึงไม่ต้องคิดเรื่องฝีมือความเก่งกาจให้ยาก

    “แล้วเป้าหมายกับแผนที่วางไว้ล่ะ” โอมิวถามเสียงเข้ม

    “ทำไมไม่มีใครพูดเรื่องทหารของเมืองหลวงเลย ภารกิจของฉันใกล้จะสำเร็จแล้วแต่กลับต้องมาพังทลายไม่เป็นท่าก็เพราะพวกทหารนี่แหละ” คอนเนอร์แถอย่างไม่สบอารมณ์

    “หมายความว่าไง ทหารเมืองหลวง?” โอมิวถามกลับอย่างสงสัย เขาสวมชุดภาคสนามและมีผ้าพรางปกคลุมเสื้อเกราะโลหะน้ำหนักเบาไว้ โอมิวเปิดผ้าปิดหน้าออก เผยให้เห็นรูปโฉมอันหล่อเหลา ตรงแก้มขวามีรอยแผลเป็นที่เกิดจากการฝึกซ้อมการต่อสู้ระยะประชิด ฝีมือของคอนเนอร์นั่นเอง “นายแน่ใจแล้วเหรอ ว่าเป็นทหารของเมืองหลวงจริง”

    “หึ ไม่งั้นเป้าหมายฉันคงไม่คลายสายตาแล้วตามสัญญาณพลุมาแบบนี้หรอก” คอนเนอร์แค่นหัวเราะอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วว่าไง เกิดอะไรขึ้น ถึงได้จุดพลุมากถึงขนาดนี้”

    “ฉันว่า ทางที่ดีนายควรกลับไปหาเป้าหมายของนายดีกว่า ยูจียืนยันแล้วว่าพวกมันโจมตีเมืองนี้แน่ และพวกมันก็มาเร็วกว่าที่เราคิด ตอนนี้โฟรอนกับคิลลิน่ากำลังหาจุดลอบเข้าเมืองของพวกมันอยู่” โอมิวกล่าวพลางเดินไปยังขอบดาดฟ้าของตึก ผ้าคลุมเขาพลิ้วไสวไปตามสายลมยามค่ำคืนกลางเมืองแมกเนตันอย่างสง่างาม “ที่จุดพลุขึ้นแบบนี้แค่ต้องการให้พวกมันเบนความสนใจจากภารกิจของมันเท่านั้น ถือว่าซื้อเวลาได้อึดใจหนึ่ง”

    “แบบนี้ก็เรื่องสิ” คอนเนอร์คิ้วขมวด “แล้วพวกมันที่ว่านั่นแข็งแกร่งมากแค่ไหน”

    “จากที่ยูจีนวิเคราะห์มา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเมืองนี้คงได้แตกแน่ นายรีบกลับไปหาเวิร์ลซิเอลดีกว่า อย่าลืมว่าภารกิจหลักของเราคืออะไร”

    “แล้วเรื่องกองเสริมของอาณาจักรล่ะ” คอนเนอร์ถาม

    “คอนดอร์บอกสายทูตของที่นี่แล้ว แต่ฉันว่าไม่ทัน ส่วนพวกเอลลีน่าที่เมืองนิวไวท์ก็พึ่งออกมาเมื่อได้ข่าวว่าเป็นเมืองนี้ที่จะถูกโจมตี ยังก็ต้องฝากความหวังไว้ที่โฟรอนกับคิลลิน่าอย่างเดียว ส่วนนายนั่นแหละ ปล่อยให้เป้าหมายหลุดมือไปแบบนี้ช่างไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ” โอมิวอธิบายพร้อมตำหนิ

    “รู้น่า รู้น่า ฉันจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก” คอนเนอร์ก้มหน้ารับผิด

    “รีบไปทำภารกิจต่อซะ เวิร์ลซิเอลคือกุญแจสำคัญของเรา ปล่อยให้หายไปง่าย ๆ ไม่ได้” โอมิวกล่าวจบก็กระโดดลงจากดาดฟ้าราวอินทรีถลาลมทันที

    “ให้ตายสิ” คอนเนอร์สบถพลางออกวิ่ง เขาผิวปากเป็นท่วงทำนองแปลกประหลาดซ้ำกันสามครั้ง ปรากฏเป็นกริฟฟ่อนร่างใหญ่บินโฉบลงจากท้องฟ้าสีดำ มาตะครุบร่างของคอนเนอร์อย่างนุ่มนวล กริฟฟ่อนตัวนี้คือสหายร่วมทุกข์ของคอนเนอร์ รู้จักกันมาราวสองปีแล้ว จนกริฟฟ่อนมีชื่อเรียกของมันเองว่า ‘ไอกีรอน’ ในหมู่นักล่าเคี้ยวหมาป่าของสหพันธ์มีเพียงแค่สี่คนเท่านั้นที่มีพาหนะประจำตัวเป็นสัตว์บินได้แบบนี้


    ใต้อุ้งเท้าของไอกีรอน ซึ่งมีคอนเนอร์ในชุดนักบวชพันเทลัสกำลังชะเง้อชะแง้มองหาเวิร์ลซิเอลด้วยความกังวล ไอกีรอนก็พาเขาบินมาเนิ่นนานแล้ว แต่เป้าหมายสำคัญของเขากลับไร้ตัวตนไปหน้าตาเฉย

    “บินต่ำไป บินต่ำไป!” คอนเนอร์ตะโกนบอกไอกีรอนท่ามกลางลมกรรโชก หัวเขาเกือบกระแทกเข้ากับปลายแหลมของหอระฆังโบสถ์ “อย่าฆ่าฉันทางอ้อมสิ!” ไอกีรอนร้อง “แกร้ก” ตอบ แต่คอนเนอร์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันต้องการจะสื่อถึงอะไร
    ‘ไม่อย่างนั้นก็คงอยู่ในสิ่งปลูกสร้าง... ถ้าจำไม่ผิด เจ้าบรันท์มันก็ไม่เคยอยู่ที่ไหนเป็นหลักแหล่งเลยสักที แล้วมันนอนพักที่ไหนกัน’ คอนเนอร์คิด



    ข้างกำแพงใหญ่ด้านในของเมืองแมกเนตัน

    “หาพวกมันเจอรึยัง” โฟรอนในชุดคลุมสีดินกระซิบถามคิลลิน่าหญิงสาวสวยหน้าผ่องในชุดเดียวกัน พวกเขาพึ่งวิ่งมาปะกันเมื่อครู่ ทั้งสองเป็นเอลฟ์เลือดผสมและอยู่ในกลุ่มนักล่าเคี้ยวหมาป่า

    “หาจนทั่วกำแพงแล้วเหลือแต่จุดที่นายยืนอยู่นั่นแหละ” คิลลิน่ากล่าวพลางควบคุมการเต้นของหัวใจให้สงบ เพราะเธอก็วิ่งมาตลอดเช่นเดียวกับโฟรอน

    “ฉันก็พึ่งมาถึงนี่แหละ ถ้าอย่างนั้นก็ไปพร้อมกัน” โฟรอนกระโจนขึ้นเกาะกำแพงเมือง คิลลิน่าตามติด เมื่อปีนขึ้นมาถึง ก็พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่มีทหารยามสองสามคนยืนคุยกันอยู่ตรงมุมสุดของกำแพง ไกลเกินกว่าที่จะสังเกตเห็นว่ามีคนลักลอบปีนกำแพงขึ้นมา

    ‘เฮ!’ เสียงปรบมือพลางกู่ร้องคล้ายมีงานเลี้ยงสังสรรค์ดังเซ็งแซ่เหนือหัวพวกเขาทั้งสอง

    “ข้างบนนั่น ไม่ผิดแน่!” โฟรอนไม่รีรอ เขาปีนขึ้นไปบนหอที่อยู่ไม่ไกลในทันที อาจต้องใช้เวลาไม่น้อยถ้าจะปีนไปถึงปลายหอคอยนั่น แต่โฟรอนก็ทำได้ดีและรวดเร็ว ส่วนคิลลิน่า เธอใช้ทางที่ง่ายกว่า เธอลักลอบเข้าหอคอยโดยตรง แน่นอนว่าเธอเข้ามาได้โดยไม่มีปัญหา จากนั้นเธอก็รีบจ้ำขาขึ้นไปตามบันใดหินของหอทันที

    เสียงเฮฮาดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อโฟรอนปีนสูงขึ้น เขาเร่งความเร็วสุดขีด พลุตัวที่สามก็ถูกจุดแล้ว นั่นก็หมายความว่าเวลาเขาใกล้หมดลง ถ้าหากว่าเขาหยุดการในครั้งนี้ของศัตรูได้ล่ะก็ เมืองก็รอด


    คิลลิน่าซึ่งขึ้นมาถึงส่วนของหอก่อน เธอไม่พบอะไร นอกจากศพของเด็กหนุ่มชุดเกราะของทหารเมืองแมกเนตันนอนจมกองเลือดอยู่หน้ากลองใหญ่ และก็เก้าอี้ไม้สองสามตัวเท่านั้น

    “ด้วยฤทธิ์เดจของอามารอสผู้ยิ่งใหญ่” คิลลิน่าได้ยินเสียงเล็กแหลมคล้ายก็อบบลินเหนือศีรษะเธอ ‘บนหลังคา!’

    แต่หลังจากที่เธอออกวิ่งได้แค่สามก้าวก็เกิดคลื่นเสียงความถี่สูงในระดับที่มนุษย์ทนไม่ไหว มันทำให้คิลลิน่าต้องอยู่ในภาวะหูอื้อชั่วขณะและก็

    ‘บึม!’

    เหนือหลังคา จุดที่เหล่าก็อบบลินทำภารกิจลุล่วงแล้ว พลันปรากฏเป็นช่องว่างทรงกลมสีม่วงดำคล้ายประตูมิติ สิ่งนั้นมีขนาดใหญ่มากพอที่จะผละพวกก็อบบลินให้ตกจากหลังคาตายได้หมด

    ประตูนั่นมีสีกลมกลืนไปกับท้องฟ้าจึงไม่เป็นจุดสังเกตของใครแต่อย่างใด

    “ต้องระเบิดหอนี่!” โฟรอนกล่าวหลังจากที่เขาปีนหอขึ้นมาได้ซักพัก

    “ไม่ทันหรอก! เราต้องรีบออกจากหอนี่มากกว่า ไม่อย่างนั้นเราทั้งสองคงได้ติดกลางกองทัพนรกแน่” คิลลิน่าตัดพ้อง หน้าเธอซีดยิ่งกว่าหิมะ ถึงแม้ว่าเธอจะหน้าขาวจนคล้ายซีดอยู่แล้วก็ตาม แต่นี่มันกลับเลวร้ายและซีดยิ่งกว่า

    “ถ้ากลัวตายนักก็รีบหนีไป ฉันจะระเบิดหอนี่เอง!” โฟรอนตะคอกใส่เธอจนผงะ “รีบออกไปซะ!” เขาผลักไหล่เธอสุดแรงจนเธอกระเด็นออกนอกหน้าต่างหอไป เสียงเรียก ‘โฟรอน!’ ของคิลลิน่าดังแว่วมาภายหลัง โฟรอนรู้ว่าคิลลิน่าไม่ตายเพราะตกจากที่สูงแน่ เพราะว่าเธอตัวเบาซะยิ่งกว่าอะไร อีกทั้งเธอยังเก่งกาจเรื่องการล่องเวหาด้วยปีกยางแบบพิเศษอีกด้วย

    “หึ นึกแล้วว่าต้องใช้มัน” โฟรอนเอาห่อกระดาษออกมาจากกระเป๋าใบเล็กที่ถูกมัดไว้กับเข็มขัด มันคือระเบิดเวลา เขาตั้งไว้ที่สามสิบวินาที นานพอที่เขาจะไม่กลายเป็นจุลเพราะระเบิดของตัวเอง

    โฟรอนวิ่งทะลุออกจากหน้าต่างประหนึ่งโจรปล้นบ้านเศรษฐี แต่เขาไม่ใช่คิลลิน่าที่จะสามารถลอยตัวกลางอากาศได้เพราะปีกยางของเขาพังระหว่างทำภารกิจ เขาไม่ใช่ผู้ครอบครองสัตว์บินได้อย่างคอนเนอร์ โอมิวหรืออีกสองคนในกลุ่มนักล่าเขี้ยวหมาป่าที่จะพอช่วยเขาให้รอดพ้นจากการดิ่งพสุธาสู่ความตายนี้

    แต่เพราะเขามีสหายร่วมตายอย่างพวกนี้จึงทำให้เขารอด ‘ฮึบ!’ ยูจีน นิกคอม เควร์สาวร่างสูงใหญ่ในชุดนักล่าวับแวม กระโจนเข้ารับร่างของโฟรอน มันง่ายยิ่งกว่ารับลูกบอลจากคอนเนอร์ซะอีก น่าอายจริง ๆ ที่ต้องให้ผู้หญิงช่วย

    “ทำอะไรไม่คิด โง่ดักดานจริง ๆ ไม่รู้ว่าคิลลิน่ารักนายเข้าไปได้ไง” ยูจีนกล่าวพลางทิ้งร่างของโฟรอนลงพื้น ดวงตาเธอเป็นประกายหลากสีสัน สัญลักษณ์บอกตัวตนของเผ่าพันธุ์เควร์ ซึ่งนัยน์ตาที่มักเปลี่ยนสีอยู่เสมอ

    ‘บึม!’

    เสียงระเบิดดังขึ้นเหนือศีรษะพวกเขา มันดังสนั่นจนเกิดเป็นเสียงสะท้อนตามมาหลายระลอก เศษอิฐเศษปูนแตกกระจายทั่วบริเวณ ผู้คนที่เคยแหงนหน้ามองพลุเมื่อก่อนหน้าก็พากันชี้ไปยังการระเบิดหอคอยติดทะเลของเมืองพลางพูดร้ายถกเถียงไปต่าง ๆ นา ๆ

    ควันสีเทาพวยพุ่งเหนือหอ ล่องลอยกลบประตูมิติที่ไม่รู้ว่าพังแล้วหรือยังให้มิด โฟรอนเพ่งเล็งไปยังกลุ่มควันตาไม่กะพริบ

    “สำเร็จ!” พอโฟรอนเห็นว่าประตูนั่นหายไปแล้วก็อุทานออกมาทันที

    “เกือบไปแล้ว สินะ” ยูจีนพูดแล้วเอามือกอดอกอย่างสบายใจ

    “ต้องรีบไปจากที่นี่แล้ว ไม่งั้นงานเข้าแน่ถ้าทหารของเมืองมาเจอ” โฟรอนบอก

    “ไม่ต้องบอกก็จะไปอยู่แล้วน่า” พูดจบ ยูจีนก็ออกวิ่งเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็วจนโฟรอนตามไม่ทัน



    กลางทะเลใกล้ชายฝั่งเมืองแมกเนตัน บุรุษวัยกลางคนเคราเฟื้อยสีน้ำตาลผู้หนึ่งใช้ดาบเล่มใหญ่ทุบพื้นไม้ของเรือรบสีดำอย่างโมโหโกรธา ดวงตาของเขาแดงก่ำเพราะเหล้าดองสามขวดใหญ่ ใบหน้ามีรอยแผลเป็นพาดตัดขวางเป็นทางยาวแสดงความอำมหิต รอบ ๆ มีเรือรบสีดำลำใหญ่อีกห้าลำทอดสมอไว้ รอคอยเวลาออกเรือสู่ศึกภาคพื้น

    เขาพ่นไอเหม็นเน่าออกมาจากรูจมูกทั้งสองแล้วเดินไปยังปลายหัวเรือ เขาคิดผิดมหันต์ที่ใช้ก็อบบลินมาร่วมวงการศึกครั้งนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเขาก็ไม่มีตัวเลือกอื่น พวกก็อบบลินทำให้แผนของเขาพังทลายไม่เป็นท่า ทว่ายังเหลืออีกหนึ่งที่เขายังเก็บไว้ คงจะเรียกว่าแผนสำรองคงไม่ได้ เพราะยังไง ๆ เขาก็ใช้มันอยู่ดี

    “ไม่ต้องไปสนเรื่องประตูถูกทำลาย ใช้แค่กำลังของพวกเราก็ตีเมืองได้แล้ว เรียกหมา ๆ ให้ลุกขึ้นมาซะ! คืนนี้ต้องเป็นคืนที่ยอดเยี่ยมแน่!” เขาสั่งมนุษย์ผอมไร้สิ่งคลุมกายเสียงแข็ง

    “เริ่มทำลายโลกได้แล้ว หึหึหึ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เขาหัวเราะเสียงต่ำดั่งก้นทะเลลึกไร้ชีวิต
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 16th December 2013 เมื่อ 15:55

  31. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  32. #18
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    ขอพูดอะไรซักหน่อยนะครับ

    เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมวางโครงเรื่องล่วงหน้าไว้(บางครั้งก็ไม่วาง) และเนื่องจากเป็นเรื่องที่มีข้อมูลมากมายมหาศาลจึงทำให้ผมต้องใช้เวลาในการศึกษาและตรวจทานอยู่เสมอ อาจทำให้ล่าช้าไปหน่อยแต่ผมจะลงอย่างสม่ำเสมอครับ ประมาณวันอาทิตย์หรือไม่ก็วันจันทร์ของแต่ละสัปดาห์ครับที่ผมจะลง หรือก็คือ หนึ่งสัปดาห์ต่อหนึ่งตอนครับ

  33. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  34. #19
    Bayou Country
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    New Orleans, LA, United States
    กระทู้
    5,932
    กล่าวขอบคุณ
    4,555
    ได้รับคำขอบคุณ: 8,950
    เอลลิน่า นี่ใช่น้องสาวของเวิร์ลซิเอลหรือเปล่าครับ

    พอดีผมครีรายระเอียดย่อยไว้ว่าน้องสาวของเวิร์ลซิเอลชื่อว่าเอลลิน่า

    ขนาดผมครีเอง ผมยังงงเลยว่าตัวผมถูกอุ้มไปไหน นึกว่าคอนเนอร์อุ้มซะอีก นี่ขนาดอ่านตั้งสองรอบนะ

    สงสัยคงต้องกลับไปอ่านใหม่หมด แต่รวมๆดีแล้วครับ ผมชอบ

    ปล. เขี้ยวหมาป่านะครับ

  35. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  36. #20
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    เปล่าครับ ไม่ใช่คนนี้ เอลลิน่าในตอนที่สองนี้คือ เอลลิน่า พีนันท์ เป็นเอลฟ์เลือดผสม ไม่ใช่เอลลิน่า ไวเซลบรันท์ น้องสาวของเวิร์ลซเอลครับ ผมยังสับสนระหว่างคิลลิน่ากับเอลลิน่าเลย

    และก็เรื่องเคี้ยวกับเขี้ยวผมพึ่งมารู้ว่าเขียนผิดตอนที่ 2 นี่แหละครับ ขอบคุณมากครับ

  37. #21
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    03 : Utnun’s Return

    03 : Utnun’s Return

    “ปล่อยฉันลงที่นี่” คอนเนอร์ตะโกนสวนทางกระแสลม ร่างของเขาอยู่ในอุ้งเท้าของไอกีรอน กริฟฟ่อนเศียรอินทรีกายสิงโต ร่างของเขาพลันถลาล่องลอยกลางอากาศเมื่อหลุดออกจากกรงเล็บขนาดใหญ่และแหลมคมของไอกีรอนในระดับความสูงพอที่จะใช้เท้าทั้งสองรองรับน้ำหนักตนเองเมื่อลงถึงพื้นได้ จากนั้นไอกีรอนก็บินทะยานขึ้นสู่ก้อนเมฆยามราตรีทันที

    เขาพบบรันท์แล้ว ไม่ไกลจากที่นี่ สิ่งที่เขาต้องทำคือ รีบพาบรันท์ออกไปจากเมืองนี้ ก่อนที่เมืองจะถูกทำลาย ศัตรูไม่ทราบสังกัดอาณาจักรได้เริ่มอาละวาดไปหลายแห่งของเมืองท่า ครั้งนี้ไม่ใช่กองทัพนรกของอามารอสหรือ Light of Black God(LOB) ที่เขาลือกัน สายข่าวพิเศษของกองเขี้ยวหมาป่าเพ่งเล็งไปยังพวกโจรสลัดทะเลใหญ่นามว่า ‘วาฬเพชฌฆาตสีแดง’ พวกมันครอบครองตั้งแต่เขตน่านน้ำของเอริลเรียม นิวบริทเทน สเวนเซิรซ์ ไปจนถึงแอลฟาแลน ส่วนกลุ่มที่ต้องสงสัยนอกจากนั้นก็คงหนีไม่พ้น ‘นิวบริทเทน(New Britten)’ อาณาจักรรุ่นใหม่ซึ่งขยายเขตอาณานิคมได้อย่างรวดเร็วตลอดห้าปีที่ผ่านมา

    แต่ถ้าจะพูดกองโจรสลัดวาฬเพชฌฆาตสีแดงนั้นมีหลากหลายชนเผ่าเข้าร่วมกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ผีดิบ อควาทิค(มนุษย์ธาตุน้ำ) ก็อบบลิน หรือที่มากที่สุดคือ อความารีน

    ‘ถ้าเป็นเจ้าพวกวาฬเพชฌฆาตสีแดงจริง ๆ มันจะเป็นยังไงกันนะ เมืองนี้ก็ไม่ใช่ย่อยเรื่องการรบทางเรือด้วย แล้วทำไมยูจีนถึงบอกว่าเมืองจะแตกในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง’ คอนเนอร์ครุ่นคิดพลางเดินไปด้านหลังอู้ต่อเรือประมงหลังใหญ่ห่างจากอู้ต่อเรือสำเภาขนส่งสินค้าไม่มากนัก

    ที่นี่มืดมาก ถึงแม้ว่าเขาจะฝึกเรื่องใช้สายตาการมองกลางคืนในทุกสภาพแล้วล้อมมาแล้วก็ตาม แต่นี่มันมืดเกินไป ไม่มีแสงไฟ ไม่มีแสงจันทร์ ‘ถ้าเป็นที่ออร์บันคงได้เห็นก้นสาวสักคน’ เขาคิดถึง ‘ออร์บัน’ อาณาจักรอีกฟากของโลกซึ่งยังคงความเจริญและเทคโนโลยียุคเดิมไว้ หรือก็คือดินแดนเดิมของทวีปออสเตรเลีย ปันจุบัน มันกลายเป็นศูนย์รวมเทคโนโลยีตามแบบฉบับของโลกดั่งเดิม

    คอนเนอร์เดินหลังแนบผนังของอู้ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยไม้อัดชั้นดี เขาเดินเข้าหาเป้าหมายอย่างเงียบเชียบ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องทำลับ ๆ ล่อ ๆ แบบนี้ ลมทะเลคืนนี้สงบผิดปกติ ส่วนรอบ ๆ นี้ก็มีกลิ่นคาวปลาคละคลุ้งพร้อมกับเศษไม้อัดเต็มไปหมด

    ‘ตูม!’ เสียงระเบิดดังขึ้นที่หอสังเกตการณ์ มันทำให้เขาสะดุ้ง ‘เกิดบ้าอะไรกัน’ เขาไม่สน เป้าหมายของเขาอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาต้องทำให้สำเร็จ ‘เลิกเป็นโจรผู้ร้ายดีกว่า’ เขาปัดฝุ่นออกจากชุดนักบวชสีขาวงามสง่าแล้วก้าวขาเดินออกมาจากความมืดอย่างมาดเท่

    “เจ้าเป็นใครน่ะ!” เสียงเข้มครึมของชายในชุดรัดรูปสีดดำร่างใหญ่ ผู้ซึ่งอุ้มบรันท์หนีทหารเมืองหลวงถามคอนเนอร์ “นักบวชเหรอ” เขาลดความระแวงลงเล็กน้อยแต่ก็ยังระวังตัวแจ

    “หืม นึกว่าใครซะอีก ที่แท้ก็ ‘บาบาบะ อูบะ’ เด็กติ๋งต๋องอดีตลูกน้องของฮาบุซ่านั่นเอง” คอนเนอร์กล่าวเสียงใส เขาเดินเข้ามาใกล้ “คนที่มีเสียงทุ้มต่ำและรูปร่างสูงใหญ่แบบนี้ เป็นเจ้าไม่ผิดแน่” เขาเน้นย้ำอีกที

    “คนเดียวที่รู้จักว่าผมเคยเป็นลูกน้องใครและรู้ว่าผมเคยมีชื่อจริงว่าอะไร มีแค่คนเดียวเท่านั้น”

    “เขี้ยวหมาป่า!” คอนเนอร์เอามือขวาเข้าประกบกับฝ่ามือซ้ายของอูบะอย่างสะใจ จากนั้นทั้งสองก็โพล้งขึ้นพร้อมกัน

    “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ยังอยู่ดีอยู่สินะ จะว่าไปเจ้านี่ก็ได้ไปล่องรอบโลกตามความฝันได้จริง ๆ ด้วย” คอนเนอร์กล่าวพลางเปิดฮู้ดออกเผยให้เห็นใบหน้าอันคมเข้มและหล่อเหลา ดวงตาเขาเป็นสีฟ้าจาง ส่องแสงเรื่อประกายงดงามกลางแสงคบเพลิงเหนือรั้วไม้กั้นทะเล

    “มันก็... สนุกอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดแหละ” อูบะกล่าวพลางเกาคางไปมาด้วยท่าทีเขินอาย

    “สรุปแล้ว นักบวชที่ตามข้ามาตลอดสองวันคือคนของฟรูเองสินะ” น้ำเสียงสดใสและอบอุ่นดังออกมาจากด้านหลังของกล่องไม้บรรจุสินค้ากองทับกันสูงกว่าศีรษะของคอนเนอร์และอูบะไปอีกครึ่งเมตร “ข้าพลาดไปจริง ๆ ที่มองไม่ออกว่ามีคนสะกดรอยตาม ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก” เสียงนั้นคือบรันท์ หรือชื่อเต็ม ‘เวิร์ลซิเอล ไวเซลบรันท์’ เป้าหมายของคอนเนอร์นั่นเอง

    บรันท์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคอนเนอร์ เขาสวมชุดนักบวชและยังคงมีผ้าปิดใบหน้าอยู่ “ช่างน่าเจ็บใจจริง ๆ”

    “จะว่างั้นก็ไม่ผิด ไม่เคยมีใครที่รู้สึกตัวว่าฉันกำลังสะกดรอยอยู่ นอกซะจากว่าฉันจงใจจะให้รู้ตัว แต่ก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ติดตามคนอย่างคุณ คุณบรันท์” คำกล่าวห้วน ๆ ของคอนเนอร์ทำให้บรันท์ต้องผงะ

    “ข้าก็พึ่งได้ยินคนเรียกข้าด้วยชื่อนี้แหละ หึหึ” บรันท์แค่นหัวเราะออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

    “เอาล่ะครับ คุณบรันท์ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” คอนเนอร์สวมฮู้ด “เมืองของคุณกำลังจะแตกในไม่ช้านี้แล้ว และคุณไม่มีทางที่จะหยุดมันได้ ฉะนั้น ก็จงอย่าทำอะไร ปล่อยให้ผมเป็นคนจัดการซะ”



    ภายในป่าโปร่งกว้างใหญ่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองแมกเนตัน

    “มากันได้แล้ว มัวแต่โอ้เอ้อยู่นั่น” บุรุษในชุดเกราะหนักซึ่งทำจากโลหะผสม มีลายมังกรสองเศียรเคี้ยวฟันขู่คำรามประทับตราตรงหน้าอก เขากล่าวเสียงแผ่วบอกลูกน้องอีกสามคนในชุดเกราะมังกรสามเศียร ให้ออกทำงานตามแผนที่วางไว้ พวกเขาทั้งสี่สวมหมวกเหล็กโล้นหนาปกปิดใบหน้าพร้อมลายเขี้ยวมังกรสีแดงฉานตรงมุมปากของหมวก สามารถสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้พบเห็นได้ไม่น้อย

    หนึ่งในกองกำลังสอดแนมของฟรู ‘กองนักล่าเศียรมังกร’ ถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือกองนักล่าเขี้ยวหมาป่า ไม่ได้มาเพื่อช่วยเมือง กองนักล่าเศียรมังกรคือกองนักล่าอันดับสามของกองนักล่าทั้งหมดของสหพันธ์ มีสมาชิกในสังกัดเพียงแค่สี่คน แต่กลับแข่งแกร่งเยี่ยงหนึ่งกองทัพนับร้อย

    “กางบาเรียเสร็จรึยัง” บุรุษมังกรสองเศียรหันกลับไปถาม

    “กางไว้ทั่วป่าเรียบร้อยแล้วครับ” “ไม่มีปัญหาครับ เรียบร้อยแล้ว” บุรุษมังกรสามเศียรสองคนตอบแย่งกันตอบ

    “เยี่ยม ถ้าเราจะต้องมาเสียกำลังครึ่งหนึ่งของเขี้ยวหมาป่าไปล่ะก็ งานของพวกเราคงมีมากขึ้นเป็นเท่าตัวแน่” บุรุษมังกรสองเศียรกล่าว พวกเขาทั้งหมดยืนจังก้าถือธงสลักตราสัญลักษณ์ของฟรูเหนือก้อนหินก้อนใหญ่ด้านหน้าป่าโปร่ง สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือ จุดพลุสัญญาณรวมพลเท่านั้น


    ‘พรุบ!’

    พลุสีทองระเบิดสว่างจ้างดงามกลางท้องฟ้าสีดำด้านนอกกำแพงเมืองแมกเนตัน ดึงความสนใจของโอมิว โฟรอน คิลลิน่า ยูจีนและทหารยามของเมืองแมกเนตันให้หันมามอง ยกเว้นคอนเนอร์ซึ่งอยู่ย่านท่าเรือ เขาถูกบดบังโดยกำแพงใหญ่อีกฟากของเมือง

    “อะไรกัน ฉันก็ระเบิดประตูมิตินั่นไปแล้วนี่นา ยังจะมาจุดพลุสัญญาณหลบหนีอีก” โฟรอนสบถขณะยืนเคี้ยวขนมปังแข็งอยู่กับคิลลิน่า โอมิว และยูจีน เขากลืนมันลงไปด้วยความยากเย็นแต่ก็กัดคำต่อไป

    “สัญญาณถอยทัพ แสดงว่าพวกศัตรูไม่ได้มีแผนเล็กน้อยโง่เง่าอย่างที่เราคิดไว้แน่” คิลลิน่ากล่าวพลางเดินวนไปวนมา พวกเขาทั้งสี่อยู่บนดาดฟ้าของตึกหินแถบชานเมืองของแมกเนตัน

    “ไม่มีทางอื่นนอกจากถอยออกจากที่นี่ เมืองนี้คงไม่รอดแล้วจริง ๆ” โอมิวเอ่ยพลางเคี้ยวขนมปังพลาง “โฟรอน เรื่องตาข่ายกันปีศาจว่าไง ทำได้ไหม” เขาหันมาถามโฟรอนซึ่งยืนอยู่ติดกัน

    “ไอ้เรื่องได้ก็ได้อยู่หรอก แต่เมืองมันใหญ่เกินไปน่ะสิ ฉันก็ทำได้แค่กางไว้แค่ผนังกำแพงบางจุดเท่านั้น คงช่วยอะไรไม่ได้มาก” โฟรอนหน้าละห้อย แต่ก็จำใจกัดขนมปังชิ้นแข็งเข้าไปอีกคำ

    “แล้วกับดักล่ะ” โอมิวหันไปถามคิลลิน่าซึ่งยืนตรงข้ามกับเขา

    “เรียบร้อย ทั้งทางเข้า ทางอากาศ ท่อระบายน้ำ และก็ทางลับใต้กำแพง” คิลลิน่ากล่าวด้วยความภูมิใจ “อะ แต่ฉันก็ยังเหลือทางให้พวกเราออกไปได้อยู่นะ” เธอหัวเราะ

    “ตอนนี้ทหารของเมืองคงตื่นตัวกันมากขึ้นเพราะพลุที่ถูกจุดทั้งในเมืองและนอกเมือง อีกอย่าง เจ้าเมืองคงได้รับสาสน์ศึกในนามของฟรูแล้ว คงได้เวลาไปได้แล้วล่ะ” โอมิวตบไหล่โฟรอนเสียงดัง ‘ตึบ’

    “ยังไงเราก็เป็นคนนอก ต้องปล่อยให้อาณาจักรเขาจัดการกันไปเองสินะ” โฟรอนกล่าว เขาวางขนมปังลงบนพื้นโต๊ะไม้เก่า ๆ

    “ไม่ทราบว่า จะไปไหนกันเหรอครับ คุณนักล่าทั้งหลายแหล่” เสียงแหลมสูงของชายร่างผอมผู้หนึ่งกล่าวขึ้นด้านหน้าของพวกเขาทั้งสี่ ชายผู้นั้นมีรูปร่างผอมสูง ผิวสีเทาซีด หน้าเรียวยาว นัยน์ตาสีดำ ฟันสีขาวเล็กแหลมดั่งฟันปลาฉลามนับร้อยซี่เรืองแสงความมืดเมื่อเคยกล่า เขาถือเคียวใหญ่ซึ่งถูกเคลือบไว้ด้วยเมือกใสของหมึกนักล่า กลิ่นเหม็นหืนของเขาโชยมากระทบจมูกโอมิว โฟรอน คิลลิน่า และยูจีนจนต้องเบือนหน้าหนี

    “ยังทานขนมปังไม่หมดเลย” เขากล่าวน้ำเสียงกระดี๊กระด๊าเปี่ยมสุข พลางมองไปยังขนมปังครึ่งก้อนของโฟรอน “โชคร้ายหน่อยนะครับที่พวกคุณต้องสลายไปพร้อมกับเมืองนี้” เขาแสยะยิ้มอย่างน่ารังเกลียด “อะ ลืมแนะนำตัวไป เสียมารยาทจริงเล้ย” เขาลูบศีรษะไร้ผมไปมา

    “ผมอัตนัน อดีตสมาชิกสหพันธ์อันยิ่งใหญ่ที่พวกคุณสังกัดอยู่ยังไงล่ะ” เขาแสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่เมื่อเขากล่าวจบ กายของเขากลับกลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารูปร่างสมส่วน ผิดกับร่างเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 3rd January 2014 เมื่อ 14:24

  38. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  39. #22
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

  40. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  41. #23
    ชอบโพสไม่ชอบดู
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    2,134
    กล่าวขอบคุณ
    2,368
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,846
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ santisook01 อ่านกระทู้
    แผนที่ท่านนี้สุดยอดจิงๆ
    "เมื่อผมกลับไปถึงบ้าน แล้วพวกเค้าถามผมว่านี้นาย นายทำไปเพืออะไร นายบ้าสงครามมากหรือไง ฉันจะไม่ตอบพวกเค้าสักคำ เพราะพวกเค้าจะไม่วันเข้าใจว่ามิตรร่วมรบคืออะไร"

  42. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  43. #24
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ manshinoda อ่านกระทู้
    แผนที่ท่านนี้สุดยอดจิงๆ
    มันเป็นแผนที่แบบรีบเร่งน่ะครับ 555

  44. #25
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    ประกาศครับ เนื่องจากงานเข้า ผมคงต้องพักงานยาวแบบไม่มีกำหนด ต้องขออภัยจริง ๆ ทุกงานที่ผมแต่ง จะพักไว้ครับ


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top