ผม โวติก ชื่อแปลก ๆ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้สับสน ในภาษาของเอวา หญิงสาวเนื้อตัวมอมแมมซึ่งเป็นคนตั้งให้
ม่านตาของผมเปิดออกอย่างเชื่องช้าพลางกระพริบไม่หยุด ภายในหอคอยอันคับแคบที่สร้างจากไม้หนาแปลกประหลาด ผมไม่สนเรื่องที่มาของไม้และชื่อของมันนักหรอก ที่ผมคิดในตอนนี้ก็คือ ผมคือใคร ผมเป็นอะไร ทำไมถึงได้มาอยู่ที่ตรงนี้ เกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ โลกที่ผมเคยอยู่เคยรู้จักมันหายไปไหนและมันเคยเป็นอย่างไรมาก่อน
อะไร ทำไม อย่างไร เมื่อไหร่ ผุดขึ้นในสมองของผมเพราะความสงสัยเรื่อย ๆ ยิ่งกว่านั้นมันไม่มีท่าทีว่าจะหยุดหลั่งไหลออกมาเลย ยิ่งผมคิดมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งปวดหัวมากเท่านั้น แต่มันก็ไม่ยากนักถ้าจะหยุดมัน ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจและนึกถึงบางสิ่งที่คิดไม่ออก
ตอนนี้ ผมอยู่ภาวะความทรงจำเลือนราง ไม่ถือว่าเป็นความจำเสื่อม เพียงแต่ว่า มันถูกกักเก็บไว้ก็เท่านั้น เอวา หญิงสาวผู้ดูแลทางออกของประตูรักษาชีวิตเคยพูดไว้ กาลเวลาจะนำพามันออกมาเอง ถึงแม้ว่ามันออกจะฟังดูหลุดโลกหรือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็ตามที แต่ดูเหมือนว่า ผมจะคุ้นเคยกับเรื่องราวแบบนี้อย่างน่าแปลกใจเลยล่ะ
ผมรู้สึกหิว ภายในท้องว่างเปล่า ราวกับว่าผมหลับไปเป็นเวลานาน หรืออาจจะยาวนานถึงหนึ่งวันเต็ม แต่เท่าที่รู้สึกตอนนี้คงจะเป็นสองวัน
ผมชายตามองไปรอบห้อง ประตูที่อยู่ด้านหน้าผมถูกปิด แสงของดวงอาทิตย์สีทองส่องลอดหน้าต่างบานเล็กที่อยู่ขวามือผม เมื่อมันได้ต้องกับแผ่นไม้ของห้องแล้ว ช่างสวยสดงดงามยิ่งกระไร
ผมค่อย ๆ โน้มตัวลุกขึ้นนั่ง แรงก็ไม่ค่อยจะมีซักเท่าไหร่ คงเป็นเพราะไม่ได้ขยับตัวนานเกินไปล่ะมั้ง
หือ? เสียงครางของอัตนันดังงัวเงียอยู่ด้านข้างผม ผ้าห่มขนสัตว์ผืนหนากลิ่นไม่พึงประสงค์ คลุมศีรษะเขาอยู่ เขาตะเกียกตะกายทำท่าอะไรบางอย่างเหมือนว่ายน้ำ ละเมอล่ะสิท่า ผมพ่นขำออกมาเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ดึงผ่าห่มออกแล้วปลุกอัตนันให้ตื่น
อัตนัน ชื่อเท่ ๆ ที่มีความหมายในภาษาของเอวาว่า ผู้โศกเศร้า ถูกตั้งโดยเอวาเช่นเดียวกับผม เหตุที่เอวาเรียกเด็กหนุ่มว่าผู้โศกเศร้านั้นก็เพราะ ครั้งแรกที่ผมได้พบกับเขา อัตนันมีคราบน้ำตาแห่งความโศกเศร้าดั่งสูญเสียสิ่งสำคัญไปหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ด้วยสาเหตุอะไรนั้น อัตนันก็ไม่ทราบได้ เพราะว่าเขาก็อยู่ในภาวะความทรงจำเลือนรางเช่นเดียวกัน
อัตนันเป็นเด็กหนุ่มอายุราว ๆ สิบแปดปี หน้าตาคม คิ้วเหลี่ยมเข้ม ร่างสูงเพรียว ผิวขาวอมน้ำตาล ผมดำขลับ ท่าทางคล้ายนักกีฬา แต่ถ้าดูให้ดีแล้ว เขาจะเหมือนนักปราชญ์ปัญญาสูงมากกว่า
อรุณสวัสดิ์ ผมกล่าวทักทาย
อะ ครับ อรุณสวัสดิ์ อัตนันตอบกลับ แต่ก็ยังสลึมสลืออยู่ อันที่จริงแล้ว อัตนันพูดภาษาเดียวกันกับที่ผมใช้ได้ไม่ค่อยเก่งนัก คล้ายกับว่าเขาเป็นคนในแถบตะวันออก ส่วนผม- แน่นอน ใช้ภาษาอังกฤษก็ย่อมอยู่ในแถบตะวันตกอยู่แล้ว แล้วทำไมเรื่องแบบนี้ถึงจำได้นะ
ไหวไหม ผมพูดขณะที่พยุงร่างของอัตนันให้ลุกขึ้น ผ้าห่มขนสัตว์ก็ถอยร่นออกจากตัวอย่างช้า ๆ
ไม่เป็นไรแล้วครับ แค่นี้เอง อัตนันเอ่ยตอบ เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ก็พอที่จะเดินไปไหนมาไหนได้ เขาจึงตัดสินใจเดินไปเปิดประตูไม้ของห้องทันที
ในขณะที่เขาเปิดประตูห้องออก ลมทะเลจำนวนมหาศาลก็ตีแผ่เข้ามาภายในห้องขนาดเล็ก นี้อย่างรุนแรงอัตนันตะโกนบางอย่างออกมาแล้วยัดมือทั้งสองข้างเข้าซอกรักแร้ หลังจากนั้น เขาก็เดินออกไป ไม่ปิดประตูซะด้วย
หนาวชะมัด ผมรู้สึกว่าลมทะเลในตอนนี้มันออกจะแรงและอุณหภูมิต่ำเกินไป แต่ดูเหมือนว่าผมเคยสัมผัสกับอากาศแบบนี้มาก่อนแล้วจึงไม่เป็นปัญหาอะไรมาก ผมเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มขนสัตว์มาคลุมตัวแล้วลุกขึ้น กลิ่นฉุนชะมัด ผมเดินออกมาด้านนอกและก็พบกับทะเล มองไปที่ไหนก็มีแต่ทะเล สุดลูกหูลูกตาก็มีเพียงทะเลสีฟ้าเทาตัดกับเส้นขอบฟ้าสีครามพร้อมแสงแดดยามเช้าทอแสงระเรื่อ มันเป็นภาพที่สวยงามอยู่ไม่น้อย เสียอยู่อย่างเดียว... มันหนาวเกินไป
ผมเดินกอดอกตัวสั่นเทิ้มออกมาจากห้อง เมื่อเดินออกมาด้านนอกแล้วก็ได้พบกับทางลงซึ่งเป็นเนินลาดชันทำจากการทุบหินแกรนิตก้อนใหญ่ให้เป็นขั้นบันใด ผมหันหลังกลับไปมองก็รู้ว่าที่ที่ตนนอนอยู่นั้นคือหอคอยเตี้ย ขนาดเล็ก รูปทรงเหมือนบ้านเด็กเล่นแต่ผลงานการสร้างดูเป็นมืออาชีพมาก ผมเลิกสนใจแล้วออกเดินต่อ
ว่าแต่ ที่นี่ไม่มีที่ให้เดินเลยนี่หว่า ผมมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าที่นี่คือเกาะ เป็นเกาะที่มีขนาดเล็กมาก มีต้นไม้ต้นเล็กสองสามต้นแทรกสอดขึ้นตามซอกหินริมเกาะเท่านั้น
เสียงคลื่นทะเลสาดกระเซ็นเข้าหาฝั่งดังซัวไม่ขาด ผมหันไปมองอัตนันซึ่งอยู่อีกด้านของเกาะ เหมือนเขากำลังหาทางเดินที่ถูกตัดขาดอยู่ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ น้ำทะเลคงยังไม่ลดมาก รออีกซักหน่อยคงมีทางออกจากเกาะนี้แหละ ผมพูด อัตนันพยักหน้ารับแต่ไม่หันมอง
ผมเห็นชายฝั่งแล้วครับ อัตนันกวักมือเรียกผม ผมเดินเข้าไปหา ว้าว ผมไม่เคยเห็นอะไรที่สุดยอดเท่านี้มาก่อนเลย อัตนันตาวาว แต่หลังจากที่เขาเพ่งเล็งอีกครั้งก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน
มีอะไรเหรอ ผมถามขณะที่ยังเดินอยู่
ก็พวกคนพวกนั้นไงล่ะครับ ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นพวกสัตว์ป่ามีเขาอะไรแบบนี้ แต่ มันแปลกนะครับ เหมือนพวกมันกำลังจ้องมาทางนี้เลย ไม่เหมือนสัตว์ป่าด้วย อัตนันถอยหลังกลับไปก้าวหนึ่งเมื่อพบว่าคราวร้ายกำลังจะมา
ผมหยุดยืนมองไปตามอัตนัน สิ่งที่ผมเห็นคือชายป่าขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นต้นสน ถัดออกมาจากป่าก็เป็นชายหาดหน้าราบเรียบสีไข่ มีหมอกสีเทาครามลอยอยู่เหนือผืนป่าปกคลุมทัศนวิสัยทำให้มองสิ่งที่อยู่ด้านในไม่ถนัด เหมือนอย่างที่อัตนันว่า เขาบนศรีษะของคนที่อยู่ในป่านั้นคล้ายสัตว์มากแต่ไม่ใช่ มันไม่เหมือนสัตว์เลยแม้แต่น้อย
เสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงโห่ร้องของกลุ่มคนซึ่งน่าจะอยู่ในป่า เสียงนั้นดังกึกก้องสะท้านไปทั่วบริเวณ ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว ของแบบนี้สามารถบั่นทอนจิตใจและสร้างความหวาดกลัวได้ไม่น้อย
นักรบผู้หนึ่งเดินออกมาจากป่าทะมึน ร่างสูงใหญ่ของเขาหยุดยืนมองผมและอัตนันท่ามกลางแสงดวงอาทิตย์และอากาศเย็น ๆ ยามเช้าบนชายหาดไม่ใกล้ไม่ไกลจากเกาะแห่งนี้ ผมเห็นเขาสวมหมวกเหล็กหนา มีเขาสีน้ำตาลแห้ง ๆ ติดไว้ด้านข้างคล้ายหัวกระทิง ส่วนชุดเกราะนั้นแทบจะมองไม่เห็น เพราะว่าผ้าขนสัตว์ผืนหนาปกคลุมไว้จนหมด ท่าทางของเขาน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
ว่าแล้ว มันต้องเป็นคน อัตนันคลายความสงสัยของเขาได้แล้ว
จงยอมแพ้ซะ ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่ในแผ่นดินของพวกข้า นักรบหัวกระทิงเอ่ยในภาษาของตนเองที่ผมไม่อาจเข้าใจได้ เราทั้งสองมองหน้ากันอย่างงุนงง
ข้าบอกว่าให้ยอมแพ้ซะ เท่าที่เห็นพวกเจ้ามีกันแค่สองคน แต่พวกข้ามีมากว่าร้อยเท่า พวกเจ้าคงไม่โง่คิดจะสู้กับพวกข้าหรอกนะ เหล่านักรบหัวกระทิงภายในป่าชักดาบออกมาอย่างใจจดใจจ่อ เนิ่นนานหัวหน้านักรบหัวกระทิงก็ยังไม่ได้คำตอบจากพวกเรา
ข้าจะบอกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย พวกเจ้าทั้งหมดจงยอมแพ้ซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า นักรบหัวกระทิงเริ่มฉุน ผมสังเกตเห็นได้ชัด
อัตนันเหลือกตาค้าง เอาไงดีครับ มันพูดมาซะเยอะเลย ถ้าไม่ตอบกลับให้มากเท่ามันพวกเราอาจโดนเฉือนแน่ อัตนันกระซิบ เขาเริ่มรู้สึกกลัว แต่ผมตลกกับคำพูดของอัตนันแล้วพ่นขำออกมา เขาทำหน้างง
ยกมือขึ้นไว้บนหัวแสดงท่าทีอ่อนน้อมดีกว่า พวกเรายังไม่รู้จักที่นี่ดีพอ ดูท่าพวกมันก็ไม่อยากจะสู้จนตัวตายสักเท่าไหร่ ผมบอก
พี่มั่นใจไหมล่ะว่าพวกมันจะไม่ฆ่าเรา ถ้าเรายอมพวกมัน
ไม่ แต่พี่มั่นใจว่าพวกมันทำอะไรพวกเราไม่ได้แน่ ผมยิ้มให้อัตนัน จากการวิเคราะห์และพิจารณาของผมแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมาที่นี่เพื่อต่อสู้อย่างเดียว เหมือนกับว่า สิ่งที่เขาต้องการจะทำจริง ๆ นั้นก็คือช่วยเหลือพวกเรา
อัตนันเชื่อแล้วยกมือทั้งสองข้างกุมที่ศีรษะเป็นการแสดงความศิโรราบต่อกองทัพหัวกระทิง นักรบคนนั้นเก็บดาบเข้าฝักอย่างสบายใจ
ในนามแห่งอาณาจักร-
พรึม พรึม พรึม ซ่า ซ่า ซ่า
เสียงบางอย่างดังรัวทะลุพุ่งขึ้นมาจากน้ำ ตัดบทหัวหน้านักรบหัวกระทิง
อควาทิค!!!!!!
หัวหน้านักรบหัวกระทิงตะโกนร้องเสียงก้อง จากนั้นเขาก็เปลี่ยนใจชักดาบเล่มใหญ่ออกมาตั้งท่าพร้อมสู้ ส่วนผมและอัตนันก็ตาตี่ตาลานสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ผมผลักอัตนันให้วิ่งกลับเข้าไปในหอคอย แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ออกวิ่ง สายน้ำสีฟ้าใสคล้ายยางยืดเส้นหนึ่งก็ตรงดิ่งเข้ามาเกาะที่หน้าอกและฉุดเขาลงไปในทะเลอย่างรวดเร็ว แว่วเสียงขอความช่วยเหลือของอัตนันตะโกนออกมาอย่างแผ่วเบา
ผมตื่นตระหนกกับภาพที่ได้เห็น ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ใจผมเต้นถี่รัวทั้ง ๆ ที่ไม่ได้วิ่งหรือออกกำลังเลยสักนิด
มันมาแล้ว!
สายน้ำเส้นคล้าย ๆ กันกับที่ดึงอัตนันลงไปพุ่งตรงมายังผม ยังดีที่ผมรู้ตัวก่อนจึงกระโดดหลบได้ทัน เส้นยาแดงผ่าแปด ผมหมอบลงกับพื้นอยู่หลังก้อนหินสีเทาที่มีขนาดเพียงพอที่จะป้องกันผม อันที่จริงผมไม่ได้คิดที่จะหลบอะไรเพราะสมองยังสับสนอยู่ คงเป็นเพราะสัญชาตญาณที่ทำลงไปโดยไม่ต้องเสียเวลาตริตรองมากกว่า
ปุง! ปุง! ปุง!
เสียงคลื่นพลังบางอย่างถูกยิงออกมาจากผืนทะเล
ทุกคนหาที่กำบัง! นายทหารหัวกระทิงรีบสาวเท้ากลับเข้าไปในป่าสนอย่างรวดเร็ว ผมมองเห็นคลื่นพลังสีฟ้าประมาณเกือบห้าสิบลูกได้โค้งตกลงผืนชายหาดเหมือนลูกอุกาบาต ทันทีที่มันกระทบกับพื้นทราย มันก็ระเบิดออกดั่งภูเขาไฟปะทุ แต่ระเบิดในคราวนี้คือน้ำ มวลน้ำจำนวนมากหลั่งไหลลงสู่ทะเลเมื่อมันสลาย เฉียดฉิวไปเพียงแค่เล็กน้อย นายทหารหัวกระทิงผู้นั้นรอดจากคลื่นระเบิดน้ำไปได้ แต่คลื่นระเบิดยังคงถูกยิงออกมาเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าพิสัยของมันจะเคลื่อนที่ตามนายทหารหัวกระทิงนั้นคนเดียวซะด้วย
ยิง!!!!!
เสียงแหบห้าวของชายผู้หนึ่งดังขึ้น ผมหันไปมองอีกด้านของก้อนหินที่ผมหลบอยู่ เรือไม้ลำใหญ่ทรงโค้งยาวมีธงสีดำตั้งตระหง่านอยู่กลางลำเรือ ทหารที่อยู่บนเรือนั้นแต่งตัวเหมือนกับนักรบหัวกระทิงในป่าไม่มีผิด
ชายผู้ออกคำสั่งชี้ดาบไปยังผืนทะเล ทันใดนั้น ทหารกว่าห้าสิบนายบนลำเรือก็ระดมยิงธนูไฟแปลกประหลาดลงไปในน้ำ สิ่งนั้นทำให้คลื่นระเบิดน้ำที่เคยยิงรัวออกมาจากเบื้องล่างผืนน้ำหยุดชะงักไปในทันที ชายคนเดิมนั้นรับวัตถุก้อนกลมสีส้มมาจากทหารอีกนาย เขาชูมันขึ้นเหนือฟ้า หลับตาพูดอะไรบางอย่าง พลันปรากฏแสงแวบวาบสีแสดภายในก้อนกลมนั้น หลังจากนั้น เขาก็ทิ้งมันลงไป วัตถุก้อนนั้นเรืองแสงใต้ทะเล ส่องให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ซ่อนอยู่ด้านล่างนั่น
โอ้ให้ตายสิ ผมอุทานออกมา สิ่งที่ผมเห็นถ้าผมไม่ได้ตาฝาดไปล่ะก็ มันคือมนุษย์เปลือยเปล่า แหวกว่ายหลบหลีกคันศรเพลิงของนักรบหัวกระทิงไปมาใต้ทะเลอย่างชุลมุน ถึงแม้ว่ามันจะสัมผัสเข้ากับผิวน้ำแล้ว เพลิงที่อยู่ปลายลูกศร ก็ยังคงลุกโชติช่วงและเผาผลาญทุกอย่างใต้น้ำที่มันกระทบได้ ราว ๆ ห้าสิบคนที่อยู่เบื้องล่างนั่น มันช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าสิ่งไหนที่ผมเคยเห็นมา ในมือของมนุษย์ใต้น้ำมีหอกสามง้ามด้ามยาวกันทุกคนคล้ายองค์เทพอะไรซักอย่าง ผมพยายามมองหาอัตนัน
นั่นไง แล้วผมจะทำยังไงดี สถานการณ์ตอนนี้ไม่น่าไว้ใจทั้งนักรบหัวกระทิง ทั้งมนุษย์เปลือยเปล่าใต้น้ำ ผมมองร่างของอัตนันที่ถูกห่อหุ่มด้วยเยื่อสีขาวใสบางอย่าง ร่างของเขาแน่นิ่งไม่ไหวตีง พวกมันพาตัวเขาไป นี่เราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ ให้ตายสิ ผมนั่งทุบอกตัวเองอยู่หลังก้อนหิน แล้วคราวนี้จะเอาไงต่อดี ผมนั่งพิงกับก้อนหินอย่างเหนื่อยล้าแล้วมองดูเหล่านักรบหัวกระทิงเดินออกมาจากป่า น้อยกว่าที่คิด พวกเขามีกันแค่ยี่สิบกว่าคนเอง
ท่าทางพวกเขาก็ไม่ไว้ใจผมเช่นเดียวกัน ทั้งที่ผมตัวคนเดียวแท้ ๆ แต่กลับชูดาบใหญ่ ๆ ชี้มาตรงมาหาผมกันทุกคนเนี่ยนะ ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้น ยอมจำนนอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ
พวกมันไปหมดแล้ว ชายหัวกระทิงบนเรือตะโกนบางอย่าง ทหารที่อยู่ตรงหน้าผมเก็บดาบเข้าฝักอีกครา
เจ้า นามว่าอัตนันใช่หรือไม่ นักรบหัวกระทิงคนเดิมถามผม ผมไม่เข้าใจในคำพูดของเขา แต่คำว่าอัตนันคงไม่ใช่ ผมส่ายหน้า
โวติก ผมกล่าวออกไป
ข้าเสียใจด้วยเรื่องเพื่อนของเจ้า อันที่จริงแล้วพวกข้าไม่ได้ต้องการที่จะทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ แต่เป็นเพราะประตูรักษาชีวิต มันมีผลหลายอย่างตามมาถ้าหากว่าไม่เตรียมป้องกัน- ก่อนที่นักรบหัวกระทิงจะพูดต่อ นายทหารคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ ก็กระซิบข้างหูของเขา
อะ โทษที โทษที เชิญมากับพวกเราด้วย นักรบหัวกระทิงทำท่าทางเลิกลักแล้วพูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษ พึ่งจะรู้ตัวสินะว่าผมฟังไม่ออก
ตามพวกเขาไปเหรอ เป็นไงเป็นกัน ท่าทางเป็นมิตรน่าดู ลองเชื่อใจดูสักครั้งก็ได้ ถึงแม้ว่าความไว้วางใจที่ผมมีต่อเหล่านักรบโบราณหัวกระทิงเหล่านี้น้อยนิด แต่มันอาจจะเป็นเพียงทางเดียงที่ผมจะตามหาเอวาและหาวิธีช่วยอัตนันได้ ผมออกเดินตามนายทหารหัวกระทิง มีทหารราว ๆ สิบกว่านายเดินล้อมผมไว้โดยทิ้งระยะห่างจากตัวผมอย่างน่าประหลาดใจ
ส่งนกออกไป บอกว่าพวกเรากำลังจะกลับ หัวหน้านักรบหัวกระทิงกล่าวกับทหารคนหนึ่ง ทหารนายนั้นนำนกดุเหว่าที่เกาะอยู่บนหัวไหล่เขาลงมาบนอุ้งมือ แล้วนำแผ่นกระดาษสีดินผูกติดด้วยด้ายสีน้ำตาลเข้าต้นขาของมัน เขากระซิบกระซาบบางอย่างกับนกนั่นแล้วชูแขนขึ้นปล่อยให้มันกางปีกโผบินออกไป
พวกเจ้ากลับเข้าไปก่อน ส่วนพวกข้าจะอยู่ลาดตระเวนชายหาดนี้ให้แน่ใจซะก่อน ทหารผู้ที่ยืนอยู่บนเรือตะโกนบอก แน่นอน ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอก
ขบวนของพวกเราออกเดินลัดเลาะตัดผ่านป่าสนขนาดเล็ก อากาศเย็นมาก ต้นสนที่นี่ก็สูงมากเช่นเดียวกัน ผมต้องแหงนหน้าขึ้นตั้งในแนวนอนจนปวดคอถึงมองจะเห็นยอดของต้นสนเหล่านี้ได้ กลุ่มหมอกสีเทาครามที่ล่องลอยเหนือพื้นดินภายในป่าใหญ่นี้ ถือว่าเจือจางเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ก็เพียงพอที่จะซ้อนตัวในระยะห้าสิบเมตรได้ ถ้าหากผมจะหนีล่ะก็นะ
อ้ากกกก!! ผมครางออกมาด้วยความเจ็บปวด กระแสคลื่นบ้านั่นมันกลับมาอีกแล้ว ผมทรุดลงไปดิ้นพล่านทรุนทุรายกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้เปียก ผมกุมหัวของตัวเองไว้แน่น ทหารรอบข้างผมผงะ และตั้งท่าพร้อมสู้
ทุกคนระวังตัวด้วย! นายทหารตะโกนบางอย่างกับลูกน้อง ทำไมถึงไม่เข้ามาช่วยผมกันล่ะ ทำไมทุกคนถึงต้องมีท่าทีเกรงกลัวผมมากขนาดนั้น ผมสงสัยเป็นอย่างมาก คำถามมากมายกลับเข้ามารุมล้อมผมอีกครั้ง ดูเหมือนว่ามันจะมีอะไรบางอย่างเข้ามาเพิ่มด้วย
คอนเนอร์ คอนเนอร์ มากอดแม่หน่อย เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นในสมองผม
คอนเนอร์ ลูกรู้ไหมว่าลูกทำอะไรลงไป เสียงทุ้มต่ำสั่นเครือถามขึ้น
ไง ไอ้ตัวประหลาด คอนเนอร์ไอ้ตัวประหลาด คอนเนอร์ไอ้หมาบ้า คอนเนอร์ได้เด็กเหลือขอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสียงแจ้วจ้าวของกลุ่มเด็กตัวแสบเยาะเย้ยดูถูกอย่างเฮฮา
บ้าเอ๋ย คอนเนอร์ แกเป็นตัวอะไรกันแน่วะ แกมัน แกมัน บัดซบ แกมันปีศาจชัด ๆ ไอ้ปีศาจ แกออกไปให้พ้นฉันเลยนะ ไอ้ปีศาจ เสียงห้าว ๆ ของเด็กหนุ่มตะคอกด่า
อยู่ไปก็ไร้ค่าเปล่า คอนเนอร์ นายควรจะมอบวิญญาณให้ฉันนะ ถ้าแกทำแบบนั้นแล้วชีวิตของแกจะดีขึ้น เสียงของชายหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา
นี่น่ะเหรอความจำของผม นี่น่ะเหรอชีวิตของผม นี่น่ะเหรอชื่อของผม... เปลือกตาของผมค่อย ๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า
แกมันไม่ใช่มนุษย์ แกมันเป็นปีศาจ ปีศาจจากขุมนรกโลกันตร์ชั้นที่ชั่วร้ายที่สุด แกมันไม่ควรที่จะอยู่บนโลกใบนี้
กรรรรร!!!!
ผมรู้สึกถึงพลังมหาศาลที่หลั่งไหลภายในร่างกายสีดำทมิฬยิ่งกว่าท้องฟ้ายามรัตติกาลนี้
ใช่ ข้ามันเป็นปีศาจ ปีศาจ ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดยังไงล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า - ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสียงหัวร่อของข้าดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณของผืนป่าแห่งนี้ คลื่นแห่งการกู่ร้องคำรามของข้าก่อให้เกิดลมพายุรุนแรงรอบกายข้า
ใช่ ข้ากลับมาแล้ว!
อ้ากกกกกก!!! ข้าเปล่งเสียงร้องคำรามออกมาอีกครั้ง พื้นดินที่ข้าย่ำยืนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เพียงแต่ความรู้สึกเบื้องลึกของข้าในยามนี้มันปฏิเสธตัวตนอันแข็งแกร่งนี้ ข้าไม่สมควรที่จะทำสิ่งนี้ ข้าไม่ควรที่จะปล่อยให้มันเกิดขึ้น ทว่า ข้ากลับทำไม่ได้ ศัตรูแค้นศัตรูร้ายของข้ายังอยู่ เพื่อสิ่งนั้น ข้าจึงต้องกลับกลายมาอยู่ในร่างอันอัปลักษณ์และน่ากลัวนี้อีกครา
ข้าจะฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามันให้หมด ข้าจะฆ่ามัน... ทั้งหมด!
ณ หมู่บ้านเบธเอล
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ แล้วแบบนี้พี่น้องลูกหลานของข้าจะเป็นเป็นอย่างไรกัน เป็นไม่ได้ เป็นไม่ได้... สลาจพูดพร่ำคำเดียวไปมาหลายสิบรอบ ใบหน้าเขาซีดยิ่งกว่าหิมะ ปากของเขาสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง พร้อมกับมือที่กุมหน้าอกเพราะความเจ็บปวดเป็นที่สุด เอวาซึ่งยืนหน้าซีดเซียวอยู่ไม่ไกลโผเข้าไปประคองร่างของชายชราอย่างรวดเร็ว
ไม่ มันต้องไม่เป็นอย่างนี้ ไม่ ไม่ สลาจบ่นพึมพำออกมาอีกครั้ง
ทำใจดี ๆ ไว้ก่อนท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าเชื่อว่าคำพยากรณ์ของท่านยิระมันต้องไม่ผิดพลาดแน่ ท่านทำให้ข้าได้เชื่อ ท่านทำให้ชาวบ้านได้เชื่อ แล้วเหตุฉะไหนท่านจึงลังเลในความศรัทธาของท่านที่มีมายาวนานเล่า คำพูดของเอวาทำให้สลาจคิดได้
ณ หอคอยกาลเวลา
ลมทะเลยังคงกระหน่ำพัดพาคลื่นน้ำเข้าหาชายหาดไม่หยุด เรือลำรบลำนั้นหายไปแล้ว ภายในหอคอยเตี้ยป้อม เล็ก ๆ แคบ ๆ บนเกาะอันน้อยนิด มีแสงสีรุ้งทอประกายแววระยับอย่างเจิดจ้า ทันใดนั้น
บึม!
หอคอยไม้ระเบิดออกแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนนิ่งคล้ายคนตายอยู่บนหอคอย