ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 3 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 123 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย
กำลังแสดงผล 26 ถึง 50 จากทั้งหมด 59
  1. #26
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 18 เผชิญหน้ามหาบุรุษโจรสลัด[2]

    ตอนที่ 18 เผชิญหน้ามหาบุรุษโจรสลัด[2]



    ที่ห้องกัปตันเรือโจรสลัดแมรี่วิลเลี่ยม



    กัปตันคิดด์กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประจำของตน บนโต๊ะมีแผนที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบเต็มไปหมด แต่น่าแปลกคือไม่มีขวดเหล้าอยู่ในห้องนี้เลยแม้แต่ขวดเดียวซึ่งปกติแล้วโจรสลัดจะดื่มเหล้าจัดมากโดยเฉพาะกัปตันเรือ



    กัปตันคิดด์ค่อย ๆ หยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาม้วนเป็นแท่งแล้วโยนใส่ลังไม้ใกล้ ๆ จนหมด และยกลังนั้นเขาไปซ่อนอยู่หลังม่านสีแดงที่ปกปิดส่วนที่เหลือของห้องเอาไว้พอดีกับที่หนูส่งข่าวเดินเข้ามาในห้องโดยไม่เคาะประตูซึ่งกัปตันคิดด์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร



    เด็กหนุ่มมองหน้าของกัปตันเรือด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่าจะต้องการเรียบเรียงคำพูดที่จะเอ่ยปากออกมา



    "ว่าไง ไอ้หนู แขกของพวกเราว่ายังไงบ้าง" ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นว่าหนูส่งข่าวยังยืนนิ่งอยู่



    "กำลังเก็บของมาที่เรือของเราครับ ...เอ่อ" หนูส่งข่าวลังเลที่จะพูด แต่ถ้าหากไม่บอกล่ะก็ เขาอาจจะโดนคนที่ฝากข้อความเล่นงานเอาก็ได้ ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ "เจน.. คนที่ประดาบกับท่านเมื้อกี้ฝากมาบอกท่านว่าต้องการ เอ่อ..ค่าเสียหายที่มาโจมตีเรือลำนั้น....ครับ"



    แทนที่จะแสดงอารมณ์โมโหออกมา กัปตันคิดด์เพียงแค่ยิ้มแล้วตอบหนูส่งข่าวด้วยน้ำเสียงปกติ



    "โอเค เดี๋ยวนายออกไปรับพวกนั้นไปส่งห้องเก็บของที่ท้องเรือ จากนั้นก็พาขึ้นมาที่ห้องนี้ได้เลย"



    "เอ๋!? กัปตันไม่โมโหหรือครับ?" หนูส่งข่าวถามด้วยความแปลกใจ



    "เห็นหน้าของฉันกำลังแยกเขี้ยวอยู่หรือไง" กัปตันเรือตอบ



    "แล้วจะยืนบื้ออยู่อีกนานมั้ย ไอ้คุณหนู หรือว่าจะลืมที่ฉันคนนี้สั่งไปแล้ว"



    กัปตันคิดบอกพร้อมกับลุกขึ้นมาจากโต๊ะ หนูส่งข่าวเห็นแล้วจึงรีบตอบรับคำและวิ่งหนีออกไปจากห้องทันที ถึงเขาจะเป็นลูกเรือของเรือโจรสลัดลำนี้แล้วก็ตาม แต่เขาเองก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของกัปตันคิดด์อย่างเด็ดขาด ไม่จะแม้แต่คิดด้วยซ้ำ







    หลังจากที่พวกเจนเก็บสัมภาระของตนเสร็จแล้วก็พากันออกมาที่ดาดฟ้าเรืออีกครั้ง ในตอนนี้เจนอยู่ในชุดสีแดงครบเครื่องจึงทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมองออกว่าเธอเป็นผู้หญิงเพราะตรงนี้มีแต่เอไอโจรสลัด ถึงอย่างนั้นก็ตามคนที่เจนจะต้องกังวลก็มีเพียงแค่หนูส่งข่าวคนเดียวเท่านั้น



    พวกลูกเรือโจรสลัดในตอนนี้กำลังขนสัมภาระจากใต้ท้องเรือโดยสารที่เจนอยู่กลับไปยังเรือโจรสลัด ไม่ว่าจะเป็นเสบียงอาหารหรือของมีค่าที่ลูกเรือทิ้งเอาไว้



    ถึงเจนจะรู้สึกไม่ชอบใจนักที่คนพวกนี้จะปล้นข้าวของต่อหน้าต่อตา แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้เพราะยังต้องอาศัยเรือของคนเหล่านี้ไปถึงจุดหมายอยู่ และกัปตันคิดด์ที่มีความแข็งแกร่งเกินกว่าที่เธอจะสู้ด้วยได้ในตอนนี้



    รออยู่ไม่นานหนูส่งข่าวก็มารับพวกเจนไปยังที่พักที่จัดให้พวกเธอ



    "มีที่ว่างเป็นห้องเก็บของใต้ท้องเรือ นั่นดีที่สุดแล้วในตอนนี้ หวังว่าพวกนายคงจะพออยู่กันได้นะ" หนูส่งข่าวบอกขณะก้าวข้ามลงมาบนเรือโจรสลัด







    ทั้งสามคนไม่ตอบเพราะถึงทักท้วงไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ระหว่างทางเดินลงไปใต้ท้องเรือ เจนมองเห็นสถานที่ ๆ พวกลูกเรือโจรสลัดนอนกัน ซึ่งเป็นเพียงแค่เปลผ้าเท่านั้น รอบ ๆ ก็เป็นทั้งที่เก็บเสบียงและช่องปืนใหญ่ซึ่งส่งกลิ่นอับออกมาจนเธอแทบทนไม่ได้



    "ว่าแต่ตกลงนายขึ้นมาอยู่บนเรือลำนี้ได้ยังไงกัน ตอนอยู่บนเกาะไทริสนายก็ไม่ได้ขึ้นมาบนเรือกับพวกเรานี่นา เห็นว่านายจะไปทำภารกิจพิเศษอะไรก็ไม่รู้...ว่าแต่มันมีด้วยหรือ ภารกิจพิเศษบนเกาะเริ่มต้นเนี่ย" โจถามตอนที่เขากำลังเดินตามหนูส่งข่าว เด็กหนุ่มหันมามองก่อนที่จะตอบคำ







    "ความจริงมันก็ไม่ใช่ภารกิจของระบบอะไรหรอก ฉันแค่กำหนดขึ้นมาเองไม่ได้เกี่ยวกับเกม ประมาณว่าสิ่งที่ฉันต้องทำน่ะ ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้นพวกนายคงต้องจ่ายให้ฉันก่อนนะถึงจะได้รู้" หนูส่งข่าวพูดและใช้นิ้วถูกัน โจที่ตั้งใจจะถามต่อต้องเงียบปากลงโดยอัตโนมัติ



    เมื่อมาถึงที่จุดหมายก็พบว่าห้องที่จะกลายเป็นห้องพักของพวกเจนนั้นดูดีมากเมื่อเทียบกับพวกลูกเรือคนอื่น ๆ มีเตียงยาววางอยู่ถึงห้าตัว ถึงจะเป็นแค่เตียงไม้และมีผ้าปูรองเท่านั้นก็ตามแต่ก็ถือว่าดูสบายกว่านอนพื้น



    "วางสัมภาระเอาไว้ที่นี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครขโมย" หนูส่งข่าวพูด "กัปตันอยากจะเจอพวกนายหน่อยนะ ฉันรออยู่ข้างนอกนะ"



    พูดจบเจ้าตัวก็ปิดประตูห้องลง โจกับแจ็คนั้นจับจองเตียงสองชั้นที่อยู่ตรงริมห้อง ส่วนเจนก็วางสัมภาระของเธอเอาไว้ที่เตียงใกล้ ๆ



    "ทำไมถึงกัปตันคิดด์อยากจะเจอพวกเราด้วย ถ้าหากเกิดกว่าเป็นกับดักขึ้นมาจะทำยังไงดี" แจ็คพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกและเดินไปเดินมาด้วยความกังวล เจนรีบคว้าตัวเพื่อนของตนให้หยุดเดินแล้วดันให้เขานั่งลงบนเตียง



    "ไม่หรอกน่า ถ้าหากหมอนั่นจะทำอย่างนั้นจริงก็คงทำไปนานแล้ว นายเลิกกังวลซักทีเถอะ ถ้าหากนายไม่อยากไปล่ะก็ ฉันไปคนเดียวก็ได้"



    "โชคดีนะเจน เดี๋ยวฉันจะอยู่กับแจ็คเป็นเพื่อนเอง" โจพูดขึ้นมาอย่างทันท่วงที เด็กสาวหันมาจ้องเขม็งประมาณว่าจะคิดบัญชีทีหลังและเดินออกจากห้องไป



    เจนพบกับหนูส่งข่าวอยู่ด้านนอกห้อง เธอพยักหน้าให้เด็กหนุ่มแล้วทั้งคู่ก็ออกเดินขึ้นไปยังบนดาดฟ้าเรือโดยมีคิทซึเนะยังคงตามเจนไม่ห่าง



    "ฉันได้ยินว่านายบอกว่าตัวเองยังไม่ได้ทำภารกิจเปลี่ยนยศ หมายความว่ายังไงงั้นหรือ" เจนถามขึ้น หนูส่งข่าวหันหลังกลับมามองก่อนจะเดินขึ้นบันไดมายังดาดฟ้าเรืออีกครั้ง



    "ก็หลังจากที่เก็บเลเวลไปได้จนครบหนึ่งร้อยแล้วก็จะสามารถเปลี่ยนยศได้แต่ต้องไปขอภารกิจที่อาคารระบบไง”

    “หมายความว่านายมีเลเวลเต็มหนึ่งร้อยแล้วงั้นหรือ แต่นายออกมาจากเกาะเริ่มต้นทีหลังไม่ใช่หรือไง” เจนถามด้วยความสงสัย



    “ฉันเองก็นั่งเรือออกมาจากเกาะเริ่มต้นต่อจากพวกเธอนั่นแหละ แต่เรือของฉันโดนเรือโจรสลัดปล้นเข้า ตอนแรกฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่พอมาเจอกัปตันคิดด์ ฉันก็เลยมีความคิดอยากจะติดตามเขาไปด้วยก็เลยขอเป็นลูกเรือ อาจจะไม่ตลอดไปแต่ก็น่าจะคุ้มที่จะเสียเวลาอยู่กับเขา แล้วก็ดูสิว่าตอนนี้ฉันเป็นยังไง แล้วเธอจะตกใจว่าในท้องทะเลมีมอนสเตอร์ระดับสูง ๆ อยู่มากแค่ไหน" หนูส่งข่าวเล่า



    "แล้วไงต่อ นายขอเป็นลูกเรือ แล้วเขาก็รับนายเลยงั้นหรือ มันจะง่ายเกินไปหน่อยหรือเปล่า"



    "ก็ไม่หรอก เขาบอกให้ฉันหาทางพิสูจน์ว่าตัวเองมีค่าพอที่จะเป็นลูกเรือของเขา ฉันก็เลยเอาของที่ล้วงกระเป๋าพวกผู้เล่นคนอื่น ๆ บนเรือที่ฉันอยู่ออกมาให้กัปตันดู" เด็กหนุ่มพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่เจนตอนนี้กำลังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ



    "นี่! นายล้วงกระเป๋าผู้เล่นคนอื่นเนี่ยนะ นายทำได้ยังไงกัน จะล้วงกระเป๋าได้ต้องเป็นอาชีพที่เกี่ยวกับโจรไม่ใช่หรือ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ออกจากเกาะเริ่มต้นเลยแต่มีอาชีพแล้วเนี่ยนะ ฉันเคยฟังมาจากโจว่านายเป็นพวกนักข่าวรวบรวมข่าวสารไม่ใช่หรอ" เจนถาม



    "แล้วเธอจะตกใจว่าพวกโจรน่ะแลกเปลี่ยนข่าวสารได้ไวกว่าพวกสายสืบที่ขายข่าวสารอย่างกิลด์ปีกพิราบซะอีก เพราะโจรไม่เกี่ยงว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไอ ทุกคนต่างแลกเปลี่ยนข่าวสารกันทั้งนั้นด้วยราคาที่เหมาะสม ต่างจากกิลด์นั้นที่ได้ข่าวมาจากผู้เล่นของกิลด์เท่านั้นและทุกคนก็มีอาชีพเป็นพวกนักสืบ นายพรานหรือนักฆ่าเท่านั้น ไม่มีที่สำหรับพวกอาชีพโจรอย่างฉัน อ้อ ส่วนเรืองอาชีพที่ฉันมาได้ยังไง ถ้าหากนายอยากจะรู้ก็คงต้องจ่ายมาก่อนนะ" เจนไม่ถามต่อ เธอได้เรียนรู้แล้วว่าเพื่อนใหม่คนนี้มีนิสัยที่เหมาะจะเป็นพ่อค้ามากกว่าโจรซะอีก



    "ถ้านายบอกว่ากิลด์ปีกพิราบนั่นเป็นกิลด์ที่ให้บริการข่าวสารในเกมจริง แล้วทำไมกิลด์นั้นถึงไม่ซื้อข่าวสารจากพวกโจรล่ะ" เด็กสาวถามก่อนที่พวกเธอจะเข้าไปในห้องกัปตันพอดี



    หนูส่งข่าวหันมามองก่อนที่จะหันพิงราวบันไดที่ขึ้นไปสู่คันบังคับหางเสือเรือแล้วพูดขึ้น



    "เรื่องมันก็เกิดมานานแล้วนะ ฉันเองก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรอก แต่ในกระดานข่าวสารของพวกผู้เล่นโจรที่ไม่ได้อยู่ในเว็บไซด์เดียวกันกับของเกมเล่าเรื่องนี้เอาไว้อย่างระเอียดเลยล่ะ"



    จากนั้นหนูส่งข่าวก็เล่าเรื่องราวของกิลด์ปีกพิราบที่ขายข้อมูลในราคาที่แพงมาก และยังไม่มีความเป็นกลางในฐานะสื่ออีกด้วย โดยรับเงินในการปกปิดข่าวสารที่ควรจะเปิดเผย อย่างเช่นข้อมูลของกิลด์พิฆาตราชาเป็นต้น ดังนั้นกิลด์ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ใช้บริการข่าวสารของกิลด์ปีกพิราบนี้ แต่ไปดูข่าวที่อยู่บนกระดานข่าวสารของเว็บไซด์เกมถึงแม้บางครั้งจะมีข่าวที่ไม่ใช่เรืองจริงบ้าง หรือบางครั้งก็ไม่มีข่าวสารครบถ้วนแต่ก็เป็นข่าวสารที่ผู้เล่นเอามาแบ่งปันกันทำให้พอไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง ส่วนกิลด์ใหญ่ ๆ จะจัดตั้งหน่วยสืบข่าวของกิลด์ตัวเองขึ้นมาโดยเฉพาะแต่ก็ทำได้เพียงไม่กี่กิลด์เท่านั้นเพราะสิ้นเปลืองงบประมาณมาก



    เขาเล่าต่ออีกว่าครั้งหนึ่งกิลด์ปีกพิราบเคยขอซื้อข่าวสารจำนวนมากจากกลุ่มโจรใต้ดินซึ่งเป็นเพียงโจรธรรมดากลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่กิลด์ปีกพิราบกลับไม่ยอมจ่ายค่าข่าวสาร ครั้นพอกลุ่มโจรกระจายข่าวสารเรื่องนี้ไป กิลด์ปีกพิราบก็โต้กลับมาว่ากลุ่มโจรใส่ร้ายกิลด์ของตน ประกาศว่าข่าวสารทุกอย่างนั้นทางกิลด์เป็นคนหามาเองและกระจายข่าวสารต่าง ๆ ของเหล่าโจรเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นที่กบดาน ยศ ระดับ ทักษะจนหมดเปลือก มิหน้ำซ้ำยังตั้งค่าหัวพวกโจรเอาไว้สูงลิบจนพวกเขาหนีออกจากเมืองแทบไม่ทัน



    "พวกโจรทำใจเอาไว้แล้วล่ะว่าจะต้องมีเรื่องแอบอ้างวาเป็นคนหามาเอง แต่พวกโจรไม่พอใจเรื่องค่าหัวและเรื่องที่โดนเบี้ยวเงินนี่แหละ ทำให้โจรทุกคนในโลก ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์แห่งนี้ไม่ถูกกับกิลด์ปีกพิราบซักเท่าไหร่"



    "แล้วกลุ่มโจรพวกนั้นล่ะ พวกนั้นเลิกเล่นเกมนี้ไปแล้วงั้นหรือ" เจนถามเมื่อหนูส่งข่าวหันหลังจะไปเปิดประตูห้องกัปตัน



    เด็กหนุ่มใช้มือจับที่กลอนประตู เขาหันหลังมาตอบก่อนจะเปิดประตูเข้าไป "กลุ่มโจรพวกนั้นมีทั้งเอไอและผู้เล่น หลังจากเกิดเรื่องขึ้น พวกเขาแยกย้ายกันไปจนไม่มีใครได้ข่าวอีก แต่มีอยู่สองคนที่ฉันพอรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน...คนแรกเป็นผู้เล่น ตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในหัวหน้าของกิลด์อันดับหนึ่งของเกม ส่วนอีกคนเป็นเอไอ ว่ากันว่าเป็นโจรสลัดชื่อดังอยู่ในท้องทะเล บางทีนายอาจจะเคยเจอกับเขาแล้วก็ได้นะ"







    ภายในห้องกัปตันเป็นเหมือนกับห้องที่เจนเคยเห็นในภาพยนตร์ เว้นแต่ที่ด้านหนึ่งของห้องมีม่านสีแดงปิดเอาไว้ซึ่งเจนคิดว่าคงเป็นห้องนอนของกัปตันคิดด์อย่างแน่นอน ส่วนตัวกัปตันนั้นกำลังนั่งยกเท้าวางเอาไว้บนโต๊ะขณะที่กำลังฮัมเพลงอย่างสบายใจ



    "ยินดีต้อนรับสู่เรือแมรี่วิลเลี่ยม ไอ้หนู ฉันอยากจะคุยกับแขกของเราเป็นการส่วนตัว ออกไปรอข้างนอกก่อน" คิดด์พูดกับหนูส่งข่าว เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เจนยืนมองหน้ากัปตันโจรสลัด ด้านหลังของเธอมีคิทซึเนะที่ใช้ดวงตาสีเหลืองจ้องอยู่ไม่วางตา



    "หืม จิ้งจอกงั้นหรือ.. ถึงจะไม่ใช่จิ้งจอกธรรมดาแต่ก็เหมาะกับสาวน้อยแบบเธอดีนะ" เจนเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยินคิดด์เรียกเธอว่าเป็นผู้หญิง เจนคิดว่าเขาคงรู้ได้เพราะเธอยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยก็ตาม และถึงเขาจะไม่ได้เป็นผู้เล่นจึงไม่มีผลอะไรมากนักหากเขารู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง



    "ไม่ต้องทำหน้าตาเครียดขนาดนั้นหรอก" คิดด์พูด เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้



    "นายรู้ได้ยังไง" เด็กสาวถามเสียงห้วน



    "ไม่ต้องเป็นห่วงไป ฉันไม่คิดจะไปบอกคนอื่นหรอก อีกอย่าง ตอนนี้เธอแต่งตัวได้ดีอยู่แล้ว คนทั่วไปถ้าไม่คอยจับผิดก็ดูไม่ออกหรอกว่าเธอเป็นผู้หญิง ส่วนที่ถามว่าฉันรู้ได้ยังไงนั้น ตัวเธอเองน่าจะรู้ตัวดีนะว่าเล่นแต่งตัวอย่างนั้นออกไปสู้ ขยับนิดขยับหน่อยฉันก็รู้แล้วว่าเธอเป็นผู้หญิง แปลกที่ไอ้หนูนั่นยังไม่รู้" กัปตันคิดด์กล่าว ถึงอย่างนั้นเจนก็ยังไม่ไว้ใจชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ดี



    เจนนั่งลงบนเก้าอี้ที่คิดด์ลากมาให้ โดยเขาไม่ลืมที่ลากมาสองตัวเผื่อคิทซึเนะอีกด้วยหลังจากที่แน่ใจว่าทั้งคู่นั่งสบายแล้ว กัปตันคิดด์จึงนั่งลงบนเก้าอี้ของตนแล้วพูดต่อ



    "ฉันอยากจะคุยกับเธอเรื่องดาบที่เธอเป็นเจ้าของอยู่ เธอรู้ใช่มั้ยว่าดาบเล่มนั้นมันไม่ใช่ดาบธรรมดา ไม่ใช่ดาบที่นักผจญภัยอย่างพวกเธอควรจะถือครอง" กัปตันคิดด์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดต่างจากเดิมที่ฟังดูเหลาะแหละ ไม่เอาจริงเอาจัง



    "พวกนักผจญภัยมีความสามารถที่จะตรวจสอบดูรายระเอียดของสิ่งต่าง ๆ ได้ เธอคงจะรู้สินะว่าดาบเล่มนั้นมีพลังอะไรและผนึกตัวอะไรเอาไว้ขางใน" ฟังที่บุรุษตรงหน้าพูดเจนจึงทราบได้ทันทีว่าพวกเอไอนั้นไม่สามารถตรวจสอบสิ่งของหรือมีทักษะตรวจสอบมอนสเตอร์อย่างที่เหล่าผู้เล่นที่เขาเรียกว่านักผจญภัย



    เมื่อเจนตรวจสอบดาบของเธอดูอีกครั้งก็พบทักษะหนึ่งที่เจนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไหร่นักในตอนแรกเพราะเธอยังใช้ไม่ได้ แต่ในตอนนี้เธอเข้าใจดีเลยว่านี่คือทักษะที่เอาไว้อัญเชิญสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ในดาบออกมา 'ยามาตะ โนะ โอโรจิ'



    "อย่าไปฟังที่เจ้าคนตัวเหม็นคนนี้พูดนะคะพี่เจน ท่านบอกบอกเสมอว่าพลังขึ้นอยู่กับคน จะเกิดเรื่องดีหรือร้าย สิ่งที่ผิดไม่ใช่พลัง แต่เป็นคนที่จะควบคุมมันได้หรือเปล่าต่างหาก" คิทซึเนะพูดเสียงดังจนเจนและกัปตันคิดด์ต้องหันมามองตาม



    "หึ...ดูท่ามุมมองของฉันกับยัยหนูจะแตกต่างกันนะ แล้วตกลงเธอรู้มั้ยว่าดาบเล่มนั้นผนึกตัวอะไรเอาไว้" คิดด์ถามอีกครั้ง เจนไม่เห็นว่าเหตุใดจะต้องปกปิดจึงตอบไปอย่างง่ายดาย



    "นี่คือดาบคุซานางิ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าดาบเล่มนี้ผนึกตัวอะไรไว้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะเรียกยามาตะ โนะ โอโรจิ ออกมาได้"



    ไม่มีเสียงตอบจากบุรุษโจรสลัด เขามองนิ่งไปที่เด็กสาวไม่ละสายตาเหมือนกับว่าเจนพูดบางอย่างที่ผิดพลาดออกมา



    "ยามาตะ โนะ โอโรจิ...พูดจริงงั้นหรือ"



    "จริงสิ ทำไมต้องโกหกด้วยล่ะ ฉันพอรู้มาบ้างว่ามันคือตัวอะไร แต่ไม่รู้ว่าในเกม...ในโลกแห่งนี้มันทำอะไรได้บ้าง" เจนเกือบหลุดปากออกไป เธอนึกถึงคำพูดของหมิงเต๋อขึ้นมาได้ เกม ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ สำหรับเอไอทุกคนมันคือโลกของพวกเขาจริง ๆ ไม่ใช่แค่เกมสำหรับพวกผู้เล่นอย่างเจนและพวกโจ ดังนั้นเธอจึงให้ความเคารพว่าที่นี่เป็นโลกจริง ๆ ไม่ใช่เกมเช่นเดียวกัน



    "ก็พอรู้มาบ้าง ฉันไม่เคยเห็นตัวจริงหรอกนะ เคยฟังแค่ตำนานตอนที่ฉันไปเทียบท่าที่ทวีปอัลเทเชียเมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่นักผจญภัยยังไม่มาที่นี่เลยด้วยซ้ำ" ประโยคหลังที่คิดด์พูดทำให้เจนสงสัยจนเขาสังเกตได้จากสีหน้าของเธอจึงพูดเสริม



    "เธอไม่รู้เรื่องนี้หรอกหรือ จริงสิ...พวกนักผจญภัยอย่างเธอส่วนใหญ่เพิ่งปรากฏตัวบนทวีปทั้งสามเมื่อปีที่แล้วเองแต่ตอนนี้มีอิทธิพลยิ่งกว่าคนที่อยู่มาก่อนอย่างพวกเจ้าเมืองซะอีก"



    "เรื่องนั้นฉันก็รู้มาบ้าง แต่นั่นก็หมายความว่าดาบของฉันมีอยู่มาก่อนหน้าที่พวกคนอย่างฉันเข้ามาที่โลกแห่งนี้งั้นหรือ.... แล้วทำไมฉันถึงได้ดาบเล่มนี้มาจากอาจารย์หมิงได้ล่ะ" เด็กสาวพูดกับตัวเอง เมื่อเธอรู้สึกถึงสายตาของกัปตันคิดด์กำลังมองเธอด้วยความสงสัยจึงจ้องกลับไปเป็นนัยน์ให้เล่าต่อ



    "พูดถึงยามาตะ โนะ โอโรจิ ฉันเคยได้ยินมาว่าเป็นอสรพิษแปดหัวขนาดยักษ์ มีลำตัวยาวจนสามารถรัดภูเขาขนาดใหญ่ได้แปดรอบ แต่ละหัวเป็นตัวแทนของพลังแต่ละด้านของธรรมชาติเช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ความมืด แสงสว่าง สายฟ้าและพิษที่แสดงถึงความเป็นอสรพิษของตัวมันเอง ว่ากันว่าตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่ มันสร้างหายนะให้แก่โลกไว้มากมายจนเหล่าเทพต้องผนึกมันเอาไว้ลงในดาบซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นดาบที่อยู่กับเธอในตอนนี้ไง" กัปตันคิดด์กล่าว เขาเว้นช่วงแล้วเสริมขึ้นมาอีก



    "ฉันขอแนะนำให้เธอเอาดาบเล่มนั้นไปคืนใครก็ตามที่ให้เธอมาหรือทิ้งมันไปซะ อย่าเก็บเอาไว้ใกล้มือเธอหรือใครก็ตามจะเป็นดีที่สุด เพราะถ้าหากอสรพิษแปดหัวหลุดออกมาจริง ๆ ล่ะก็ ต่อให้มีตัวฉันซักร้อยคนก็ยังหยุดมันไม่ไหว"



    เจนได้ฟังถึงกับทำให้เธอต้องครุ่นคิดไปชั่วขณะ แต่เธอก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุดพร้อมกับลูบหัวคิทซึเนะที่จับแขนของเจนเอาไว้



    "อาจจะจริงอย่างที่นายพูด แต่ฉันก็เชื่อที่คิทซึเนะบอกเช่นกัน เวลาจะตัดสินว่าฉันจะสามารถคุมพลังของดาบเล่มนี้ได้หรือไม่เอง" เจนบอกแล้วหันไปมองรอบ ๆ ห้องก่อนจะไปหยุดที่ผ้าม่านสีแดง



    "แล้วเรื่องค่าเสียหาย..-"



    "รู้แล้วน่า... ตามฉันมา" กัปตันคิดพูดเหมือนไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ลุกขึ้นและเดินนำเจนไป เขาเลิกผ้าม่านออกเผยให้เห็นสิ่งที่ทำให้เด็กสาวต้องอ้าปากค้างด้วยความตะลึง



    ภูเขาเหรียญทองกองพะเนินอยู่ตรงหน้าของเจน ยังมีดาบเล่มงามมากมายที่สุมกองรวมกันอย่างไม่เป็นระเบียบ ยังไม่รวมถึงอาวุธอื่น ๆ มากมายที่ดูมีราคาแพงไม่ต่างกันเลย อีกด้านก็เป็นชุดเกราะทองที่สวมอยู่กับหุ่นตั้งแสดงอยู่ แต่ก็มีชุดเกราะอีกมากที่ถูกวางอยู่บนพื้นเพราะมีหุ่นสวมไม่พอ มหาสมบัติที่อลังการยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่เจนพบในสุสานผีดิบ เธอมั่นใจว่าแค่ชุดเกราะไม่กี่ตัวก็มีมูลค่ามากกว่าเสาทองคำที่เจนนำไปประมูลอย่างแน่นอน



    "ฉันไม่รู้ว่าจะทำให้ยังถึงจะชดเชยได้ เอาเป็นว่าเธอหยิบของไปอย่างละชิ้นสำหรับเพื่อน ๆ ของเธอก็แล้วกัน" กัปตันคิดด์บอกแล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตนโดยไม่มาเฝ้าราวกลับว่าเขาไม่กลัวว่าเจนจะหยิบของไปมากกว่าที่เขาให้



    แต่เธอเองก็มีศักดิ์ศรีมากพอ เธอไม่ยอมให้โจรสลัดคนนี้มาว่าเธอเป็นหัวขโมยอย่างเด็ดขาด เจนเริ่มครุ่นคิดทันทีว่าจะหยิบอะไรไปบ้าง ในเวลาไม่นานนักเธอก็ได้ปืนพกมาหนึ่งกระบอกซึ่งเธอตั้งใจจะเอาไปให้แจ็ค มันเป็นปืนที่ปิดผนึกอยู่เลยดูไม่ค่อยมีราคาเท่าไหร่นัก ส่วนของโจเป็นปลอกแขนกำไลข้อมือทองคำที่มีรูปสายฟ้าประดับอยู่ คิดว่ามันคงเหมาะกับเพื่อนของเธอที่ใช้เวทมนตร์สายฟ้าดี ส่วนเจนนั้นหยิบแผนที่ออกมาจากลังไม้โดยสุ่มหยิบขึ้นมา ส่วนคิทซึเนะก็หยิบไปเพียงแค่เหรียญทองเหรียญเดียวเท่านั้น



    เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วเธอก็นำของพวกนั้นไปวางบนโต๊ะของกัปตันคิดด์ เขามองสลับไปมาระหว่างของบนโต๊ะกับในหน้าของเด็กสาวแล้วพูดออกมา



    "แค่นี้เองงั้นหรือ ฉันคิดว่าเธอจะหยิบของมีค่ายิ่งกว่านี้ซะอีก"



    "ถ้านายอยากจะเสียของที่มีค่ามากกว่านี้ก็ได้นะ ฉันจะได้ไปเปลี่ยน" เจนว่า แต่ชายหนุ่มตรงหน้าเธอกลับยิ้มระรื่น ไม่ได้ห้ามเธอเลยแม้แต่น้อย เด็กสาวเก็บของลงกระเป๋าด้วยความรู้สึกเสียหน้า ชายคนนี้อ่านเธอออกทะลุปรุโปร่งเลยจริง ๆ



    "แล้วอีกนานมั้ยกว่าที่จะไปถึงทวีปไลเทเชีย" เจนถาม เธอพยายามเปลี่ยนเรื่อง กัปตันหนุ่มยิ้มแล้วตอบคำ



    "ถ้าไม่นับเวลาที่ใช้ลำเลียงของ ฉันขอรับลองได้เลยว่าเธอจะไปถึงทวีปไลเทเชียโดยไม่รู้ตัวเลยเชียวล่ะ"





    พวกโจรสลัดใช้เวลาเกือบทั้งวันในการยกข้าวของที่เหลือจากเรือโดยสารลำเก่าจนหมด พวกเขายังรื้อไม้บางส่วนที่ยังมีสภาพดีอยู่และปืนใหญ่ที่ใช้งานได้มาอีกด้วย เรียกได้ว่าการปล้นครั้งนี้ไม่มีอะไรเสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย



    เมื่อเจนกลับมาที่ห้องพัก พวกโจก็เข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง เจนเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกโจฟังไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่กัปตันคิดด์รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงและเรื่องที่ยามาตะ โนะ โอโรจิอยู่ในดาบของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนหนุ่มทั้งสองนั้นจะตกใจมาก แต่ก็ถือว่าควบคุมตัวเองไม่ให้โวยวายเหมือนปกติได้ดีทีเดียว



    "ให้ตายสิ ตอนแรกที่เธอได้ดาบนั่นมาฉันอิจฉาแทบตาย แต่มาตอนนี้ขอบอกเลยว่าฉันโล่งใจมากที่ไม่ได้ของระดับ S มาอย่างเธอ มีมอนสเตอร์ระดับนั้นอยู่ในดาบ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะหลุดออกมาฆ่าเธอหรือพวกเราล่ะเนี่ย" แจ็คว่า



    "ไม่หรอก ฉันทำสัญญากับดาบเล่มนี้เอาไว้แล้ว อย่างที่กัปตันคิดกลัวคือถ้าหากฉันเป็นเป็นอะไร ยามาตะ โนะ โอโรจิก็จะออกมาเพื่อปกป้องฉันที่เป็นคู่สัญญา แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถคุมมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าได้หรือเปล่านี่สิ"



    "เรื่องนั้นช่างไปก่อนเถอะ เอาไว้พวกเราขึ้นไปถึงทวีปไลเทเชียค่อยหาทางแก้เอาทีหลัง วันนี้ฉันเพลียเกินกว่าจะคิดอะไรได้แล้ว" โจพูดด้วยน้ำเสียงหมดแรง ทำให้เจนเองก็รู้สึกเหนื่อยเช่นกัน



    สองหนุ่มเข้าไปนอนบนเตียงของตน ส่วนเจนและคิทซึเนะขึ้นมานอนเตียงเดียวกันใกล้ ๆ กับเพื่อนของเธอ ถึงเจนยังไม่ไว้ใจพวกโจรสลัดและกลัวว่าจะเข้ามาปล้นข้าวของพวกเธอกลางดึก แต่ตอนนี้ความเหนื่อยอ่อนเป็นฝ่ายมีชัย ส่งเธอและคิทซึเนะเข้าสู่นิทราไปอย่างรวดเร็ว





    การเดินทางบนเรือโจรสลัดนั้นเร็วกว่าเรือโดยสารอย่างมากเลยทีเดียว เพียงแค่วันเดียวเท่านั้นหลังจากที่พวกเจนขึ้นมาบนเรือ ตอนนี้เธอเห็นแผ่นดินใหญ่ตรงหน้าแล้ว ทวีปไลเทเชีย



    ท่าเรือที่กัปตันคิดด์พาพวกเจนมาเทียบท่าไม่ใช่ท่าเรือขนาดใหญ่อย่างที่พวกเธอวางแผนเอาไว้แต่แรก โดยกัปตันคนเก่งให้เหตุผลว่าเขาไม่สามารถเข้าเทียบท่าในเมืองได้เพราะเขาเป็นโจรสลัด ถ้าทำอย่างนั้นเขาก็คงถูกยิงจนเรือจมก่อนจะได้คิดหนีอย่างแน่นอน ซึ่งเจนเองก็คิดว่าสมเหตุสมผลดี



    หลังจากกล่าวลากับพวกโจรสลัดแบบไม่ค่อยมีเยื่อใย ทั้งสี่คนตรงไปยังร้านอาหารประจำเมืองเป็นอย่างแรก เนื่องจากอาหารที่พวกเธอได้กินบนเรือโจรสลัดนั้นรสชาติไม่ได้ถูกปากคนธรรมดาเอาซะเลย



    เมืองแห่งนี้มีบรรยากาศแบบตะวันตก มีรถม้าทำมือกำลังขนลังไม้จำนวนมากออกไปจากท่าเรือ ผู้คนที่นี่ต่างแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตกับรองเท้าหนังและทุกคนต่างพกปืนกันไม่เว้นแม้แต่แม่ค้าขายของอยู่ข้างทาง



    ร้านอาหารของเมืองนี้มีเพียงอยู่ที่เดียวและมีขนาดไม่ใหญ่มากนักเพราะเป็นเมืองท่าเล็ก ๆ เท่านั้น นั่นทำให้ไม่มีทหารประจำอยู่และมีโจรอยู่ชุก ตัวร้านมีลักษณะคล้ายกับบาร์เหล้า ประตูทางเข้าบานเล็กเป็นแบบยกสูงที่สามารถเปิดได้ทั้งสองฝั่ง ด้านในมีโต๊ะไม้วางเรียงอยู่ อีกด้านเป็นบาร์เครื่องดื่ม ด้านในสุดเป็นเปียโนสีดำตัวใหญ่ซึ่งเจนคิดว่าคงจะมีเอาไว้สำหรับบรรเลงเพลงกล่อมคนที่เข้ามากินอาหารที่นี่ในเวลากลางคืน



    ทั้งสี่คนนั่งลงบนโต๊ะ ไม่นานนักก็มีบริกรเข้ามาถามว่าจะสั่งอาหารหรือเปล่า แต่ที่นี่มีเมนูเพียงแค่เมนูเดียวนั่นก็คือซุปและขนมปัง ตอนนี้พวกเจนหิวจนไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้นมากนักเลยพนักหน้ารับทันที บริกรคนนั้นเดินจากไปและยกชามซุปกับขนมปังมาให้พวกเธอคนละสามก้อนก่อนจะเก็บเงินค่าอาหารแล้วจากไป



    "ว่าแต่ตอนที่เธอเข้าไปหากัปตันคิดด์ได้ของอะไรมางั้นหรือ" โจถามขึ้นพร้อมกับกัดขนมปังคำใหญ่



    "จริงด้วย ฉันเกือบลืมไปแหนะ เอานี่ ของพวกนาย" เจนว่าแล้วหยิบปืนกับปลอกแขนกำไลข้อมือออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ ทั้งสองหยิบของของตัวเองไปทันที



    ของโจนั้นเป็นปลอกแขนกำไลข้อมือทองคำที่ปิดยาวตั้งแต้ข้อมือจนเกือบถึงศอก เมื่อเขาลองใส่ดูแล้วกลับดูไม่เทอะทะขยับลำบากอย่างที่เจนคิด







    "ใส่แล้วรู้สึกสบายกว่าที่คิดแฮะ ไหนลองดูหน่อยซิว่าเพิ่มพลังอะไรหรือเปล่า" ชายหนุ่มพูดแล้วทำการตรวจสอบ และทันใดนั้นเขาก็ต้องตาแทบถลนเมื่อเห็นคำอธิบายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า



    "หูยยย สุดยอดด!!"



    "ไหน ๆ ขอฉันดูหน่อยซิ" เด็กสาวพูดแล้วเคลื่อนตัวไปด้านหลังเพื่อนของเธอ



    ปลอกแขนเทพสายฟ้า [เซตชุดเทพสายฟ้า] ระดับ S

    ปลอกแขนแห่งเทพสายฟ้า ว่ากันว่าจะมอบพลังหมาศาลแก่ผู้สวมใส่

    - เพิ่มพลังโจมตีของเวทมนตร์สายฟ้าขึ้นสองเท่า

    - ลดการเสียพลังเวทจากเวทมนตร์สายฟ้าลง 50%

    *ไม่มีวันเสียหาย

    *จะได้สถานะพิเศษต่อเมื่อสวมใส่ครบเซตเทพเจ้าสายฟ้า



    "นี่มันของดีมากเลยนี่นา เหมือนกับมีเอาไว้ให้กับนายเลยนะเนี่ย" เจนบอก เพราะปลอกแขนนี้เสริมพลังเวทสายฟ้าโดยเฉพาะและไม่มีใครที่เหมาะกับของชิ้นนี้ไปกว่าโจอีกแล้ว



    "เฮ้ เจน ปืนที่เธอให้มามันเป็นของผนึกอยู่นี่ ช่วยปลดผนึกให้หน่อยสิ" แจ็คบอกแล้วยื่นปืนให้กับเด็กสาว เจนทำการปลดผนึกแล้วลองตรวจสอบดู



    ปืนกระสุนโลกันต์ ระดับ A

    พลังโจมตี 500

    เป็นอาวุธในตำนาน มีพลังที่สามารถสร้างกระสุนเพลิงนรกจากพลังเวทที่ว่ากันว่าทำลายได้แม้แต่เกล็ดมังกร

    - สามารถใช้ทักษะ กระสุนโลกันต์ ได้

    - สามารถใช้พลังเวทบรรจุลงปืนแทนกระสุนได้



    "นี่ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ ลองดูสิ" ว่าแล้วเธอก็ส่งปืนไปให้กับแจ็ค



    ตอนนี้จากปืนลูกโม่ธรรมดาที่เจนได้มาบนเรือโจรสลัด ตอนนี้กลายเป็นปืนพกลูกโม่สีแดงมีลวดลายสีทองขนาดใหญ่ จากที่เจนเห็นปืนกระบอกนี้สามารถบรรจุได้ทีละ 6 นัด แต่หัวกระสุนมีขนาดใหญ่มากเลยทีเดียว ถ้าหากโดนเข้าจังๆล่ะก็มีหวังไม่ตายก็กระอักแน่ ๆ



    "นี่มันเยี่ยมไปเลย ปืนแบบนี้แหละที่ฉันกำลังหาอยู่ ที่เหลือก็หาปืนดี ๆ แบบนี้มาอีกกระบอก ขอบใจมากนะเจน" แจ็คกล่าวตอบ เจนยิ้มให้แล้วก้มหน้าลงจัดการกับอาหารของเธอให้หมด







    ณ ที่แห่งหนึ่งในทวีปไลเทเชีย



    ชายผมยาวในชุดเกราะสีดำขนาดใหญ่กำลังอ่านข่าวที่เขาเพิ่งได้รับมาอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยเนื้อหาข่าวนั้นระบุชื่อของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่และจีโอเอาไว้เยอะมาก และอีกชื่อที่ปรากฏออกมาคือผู้เล่นหน้าใหม่ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน มันหมายถึงเจนนั่นเอง



    ในรายงานตรงหน้าของชายหนุ่มนั้นมีรูปของจีโอตอนที่ประกาศสงครามกับกิลด์พิฆาตราชาอยู่ ส่วนอีกรูปเป็นรูปของอามีร่าหรือที่มีฉายาว่า 'อีกา' กำลังสู้กับเจนที่ตอนนั้นสวมชุดคลุมสีขาวอยู่ ในรายงานบอกเอาไว้ว่าผู้เล่นคนนี้สามารถเอาชนะอามีร่าได้ แต่จากสายข่าวของเขานั้นกลับบอกอีกอย่างและเป็นเรื่องที่เขาไม่ชอบใจเอาซะเลย



    "คุณบิชอปครับ ถึงเวลาประชุมแล้วนะครับ" ชายคนหนึ่งเดินมาบอก บิชอปพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นก่อนจะกลายเป็นแสงหายไปด้วยทักษะ



    เขามาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอยู่ในห้องสีดำห้องหนึ่ง กลางห้องมีโต๊ะยาววางอยู่พร้อมกับเก้าอี้ข้างละสองตัวตั้งอยู่ เก้าอี้แต่ละตัวมีคนจับจองอยู่แล้ว เหลือแต่เก้าอี้อยู่หนึ่งตัวที่เป็นของเขาและเก้าอี้หัวโต๊ะซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าของจะยังไม่มาถึงในที่แห่งนี้



    "แหม ๆ พวกเรามาพร้อมหน้ากับอย่างนี้ไม่ได้เห็นมานานแล้วนะเนี่ย" เสียงหนึ่งดังขึ้น เจ้าของเป็นชายหนุ่มผมสั้นสีทองที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับบิชอป เขามีรูปร่างไม่ใหญ่มากนักดูแล้วไม่น่าเก่งกาจ แต่การที่เขามานั่งอยู่ตรงนี้ได้รับรองว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน



    "ที่พวกเราไม่ได้ประชุมอย่างนี้บ่อย ๆ นั่นก็เพราะว่ามันไม่จำเป็นต่างหาก หัดจำเอาไว้ด้วย ไวรัส" คนที่ตอบเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีผมยาวสีน้ำตาล ใบหน้าที่ดูน่ารักราวกับตุ๊กตาพร้อมกับร่างสูงโปร่งของเธอทำให้เธอตกเป็นเป้าสายตาของหนุ่ม ๆ ได้อย่างไม่ยาก แต่ชายหนุ่มทุกคนในห้องนี้กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นกับเธอเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะชายหนุ่มที่มีนามว่าไวรัสและบิชอป โดยไวรัสแค่หันไปยิ้มเยาะให้เท่านั้น ส่วนบิชอปแค่พยักหน้าให้เป็นการทักทายก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ของตนแล้วไม่พูดอะไร



    "อะไรกันหือ ไอวี่ แค่นี้ก็ต้องทำเป็นดุใส่กันด้วย มาอยู่ที่นี่แปบเดียวก็ทำท่าหงุดหงิดขนาดนั้นเลยหรอ วัน ๆ เอาแต่ปลูกต้นไม้สงสัยคงจะเก็บกดไม่ค่อยได้ออกแรงล่ะสิท่า" ไวรัสเอ่ย ถึงน้ำเสียงจะไม่ได้มีอะไรแอบแฝง แต่ใบหน้าของเขาที่ประดับด้วยรอยยิ้มยียวน นั้นทำให้อารมณ์ของเด็กสาวพลุกพล่านด้วยความโมโหยิ่งขึ้นไปอีก



    "คนปากเสียอย่างแกมันน่าจะโดนสั่งสอนซะให้เข็ด วันนี้ล่ะฉันจะทำให้ปากเน่า ๆ ของแกมันใช้ไม่ได้อีกเลย!" หญิงสาวนามไอวี่ตะโกนเสียงดังแล้วลุกขึ้นชี้นิ้วไปที่ไวรัส ชายหนุ่มเองก็ไม่น้อยหน้า ใบหน้าของเขายังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่ยิ่งดูน่ากลัวกว่าเดิม เขากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะและชักมีดออกมาจากด้านหลังเตรียมพร้อมสู้



    "เอาซี่ยัยบ้าต้นไม้! วันนี้เราจะได้รู้กันว่าใครจะมีพิษที่เหนือกว่ากันซักที!!"



    แต่ก่อนที่ทั้งสองจะพุ่งเข้าปะทะกัน ก็มีเสียงทุบโต๊ะดังสนั่นจนทั้งคู่ต้องหันไปมอง เป็นชายสูงวัยคนหนึ่งที่วางมือเอาไว้บนโต๊ะนั้น เขามีผมสีดำแซมด้วยผมหงอกสีขาว แสดงว่าเขามีอายุมากแล้ว บางทีอาจจะมากที่สุดในห้องนี้เลยด้วยซ้ำไป เขาอยู่ในชุดผ้าแขนยาวสีขาว กางเกงสีดำดูทะมัดทะแมง



    "พวกเธอนี่อยู่เงียบ ๆ ให้เหมือนกับบิชอปไม่ได้หรือยังไง นี่ไม่ใช่ลานประลอง ถ้าหากอยากจะสู้กันก็ออกไปข้างนอกโน้น!" เสียงใหญ่ฟังดูมีอำนาจของเขาดังลั่นห้อง คู่กรณีทั้งสองคนต่างยอมถอยคนละก้าวและกลับไปนั่งที่เดิมโดยไม่ปริปากออกมาอีก



    "ขอบคุณมากครับท่านหยาง" บิชอปเอ่ยขึ้น ชายสูงวัยตอบเพียงพยักหน้าให้เท่านั้น



    ชั่วขณะหนึ่งที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงกะเทาะจากคบเพลิงที่อยู่บนผนังเท่านั้นที่ดังท่ามกลางความเงียบงันนี้ แล้วทันใดนั้นเองบิชอปและหยางก็ลุกขึ้นทำให้อีกสองคนต้องลุกขึ้นตามเช่นกัน และเขาก็รู้ว่าทำไม



    "นั่งลงได้แล้ว... พวกเราจะได้เริ่มประชุมกันซักที" เสียงเย็นราบเรียบดั่งทะเลน้ำแข็งดังขึ้น ที่หัวโต๊ะในเวลานี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครทราบ ทั้ง ๆ ที่ห้องนี้มีแต่ยอดฝีมืออยู่แต่กลับจับไม่ได้เลยว่าเขามานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มีเพียงหยางและบิชอปเท่านั้นที่พอรู้ตัวก่อน แต่ทั้งคู่ก็มั่นใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะต้องมาปรากฏตัวก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวอย่างแน่นอน



    เด็กหนุ่มคนนี้มีผมสั้นสีดำถูกหวีเป็นทรงอย่างดี เขาสวมแค่ชุดผ้าธรรมดาสีดำเช่นเดียวกันแต่ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นชุดที่มีพลังป้องกันสูงหรือมีพลังพิเศษอะไรนัก แต่ก็เหมาะกับเด็กหนุ่มที่ดูมีอายุราว ๆ 24 ปีเลยทีเดียว



    "ก่อนที่จะคุยกันฉันขอออกคำสั่งให้กระจายคนของเราไปทั่วทุกทวีปก่อน บิชอป..คนของนายเป็นคนทำพลาดตั้งแต่แรก นายจัดการคุมทวีปไลเทเชียซะ" เด็กหนุ่มพูดโดยไม่สนใจเลยว่าคู่สนทนาด้วยจะมีอายุมากกว่าเขามากนัก แต่บิชอปกลับพยักหน้ารับคำ



    "ส่งแม่นั่นไปที่เมืองใหญ่ ๆ ถ้าหล่อนเจอไอ้ตัวผู้เล่นนั่นจะได้ชี้ตัวถูก"



    "ครับ ท่านคราวลี่ย์" บิชอปเอ่ย ถึงแม้ว่าเขาอยากจะสืบหาเองว่าผู้เล่นคนนั้นเป็นใคร แต่เมื่อเป็นคำสั่งของหัวหน้ากิลด์เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะเขาเองเป็นแค่หนึ่งในสี่รองหัวหน้ากิลด์พิฆาตราชา



    "พวกที่เหลือ คอยป้องกันเมืองจากกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่เอาไว้ แล้วพร้อมกันนั้นก็พยายามสอดส่องดูด้วยว่ามีข่าวเกี่ยวกับผู้เล่นคนนั้นด้วยหรือเปล่า ฉันฝากนายไปสั่งการกิลด์ปีกพิราบด้วยนะ ไวรัส" คราวลี่ย์พูดขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มผมทองยิ้มรับไม่ตอบอะไร



    "ฉันอยากได้ชื่อกับ ใบหน้าของไอ้คนนั้น หามาให้ได้ ฉันจะเชือดไก่ให้ลิงดูว่าคนที่มาหาเรื่องกิลด์ของฉันมันจะต้องเจออะไรบ้าง" คราวลี่ย์พูดเสียงเย็นแต่แฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยว คนอื่นๆในห้องต่างไม่กล้าสบตากับเขาเลยแม้แต่น้อยเพราะรู้ว่าเมื่อคน ๆ นี้โมโห ต่อให้ใครก็ไม่มีทางหยุดเขาได้ ไม่ว่าจะในเกมหรือนอกเกมก็ตาม "ฉันจะทำให้มันไม่ได้เข้ามาออนไลน์อีกเป็นครั้งที่สอง"







    จบตอนที่ 18 เผชิญหน้ามหาบุรุษโจรสลัด[2]
    -------------------------------------



    เชิญเลยครับคุณsantisook01 ยินดีมากเลยครับ

  2. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #27
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 19 เมืองคนบาป

    ตอนที่ 19 เมืองคนบาป





    หลัง จากที่กินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเจนก็ตรงไปยังรถม้าที่ให้บริการเดินทางข้ามเมือง ซึ่งที่นี่นั้นจะมีราคาค่าบริการถูกกว่ามากเพราะต่างจากทวีปอัลเทเชียที่แต่ ละเมืองจะอยู่ห่างกันมากและมีหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ไม่มากนัก ที่ทวีปแห่งนี้มีอากาศที่ร้อนมากจนคิทซึเนะถึงกับหอบแฮ่กจนเข้ามาขอให้เจนเก็บเธอเข้าไปอยู่ในดาบคุซานางิ เจนจึงถือโอกาสให้จิ้งจอกน้อยนำอาหารและน้ำเข้าไปให้ฟีบีที่ยังอยู่ในดาบด้วยเลย



    ที่ทวีปไลเทเชียนั้นมีหมู่บ้านตั้งอยู่เป็นจำนวนมากและตั้งอยู่ห่างกันเพียงไม่ถึงชั่วโมง ทำให้มีบริการรถด่วนไปส่งในแต่ละหมูบ้านอยู่เยอะ โดยรถม้าบริการนี้จะคล้าย ๆ กับแท็กซี่เพราะแค่จ่ายค่าโดยสารขึ้นไปเป็นรายคน โดยราคาจะถูกหรือแพงก็ขึ้นอยู่กับหมู่บ้านที่ต้องการจะไป ส่วนรถม้าอีกแบบที่พวกเสือซ่อนลายใช้ที่ทวีปอัลเทเชียนั้นจะใช้สำหรับเดินทางระยะไกลและเป็นแบบเหมาจ่าย ต้องรอคนไปจนครบจำนวนก่อนเท่านั้นถึงจะออกรถ ค่าโดยสารนั้นก็มีราคาแพงแต่ก็โอกาสน้อยที่จะมีมอนสเตอร์มารบกวนการเดินทาง ยกเว้นจะโดนโจรป่าดักปล้นและที่ในแถบนี้ก็ขึ้นชื่อซะด้วย



    ทั้งสี่ขึ้นรถม้าและวิ่งออกจากเมืองทันที ในระยะแรกนั้นการเดินทางค่อนข้างราบรื่น ไม่มีมอนสเตอร์หรือโจรโผล่มาเลยแม้แต่น้อย พวกเจนตอนนี้จะมีระดับ 59 และ 60 แต่มอนสเตอร์แถบนี้ก็ไม่ได้มีเลเวลมากไปกว่าไปกว่าพวกผีดิบที่สุสานซักเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเธอจึงตกลงกันว่าจะไปเก็บเลเวลหลังจากที่เปลี่ยนอาชีพให้กับแจ็คได้แล้ว



    "จะไปทำอะไรที่เมืองรีเด็มชั่นล่ะไอ้หนู จะไปหามือปืนรับจ้างงั้นหรือ" สารถีของพวกเจนเอ่ยถามขึ้น เขาเป็นชายสูงอายุ รูปร่างสูงผอม มีหนวดรุงรังประดับบนใบหน้า เขาแต่งตัวคล้ายชาวเมืองคนอื่น ๆ คือเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวกับรองเท้าบูทและ แน่นอนว่าเขามีปืนพกเอาไว้ที่เข็มขัด



    "เปล่าลุง พวกเราจะไปทำธุระอย่างอื่นน่ะ" เจนตอบ



    "ไม่ได้ไปจ้างมือปืนแล้วไปทำอะไรในเมืองแบบนั้นกัน เข้าไปให้ตัวเองโดนปล้นหรือไง ฮ่าฮ่าฮ่า!!" สารถีชราหัวเราะลั่น แต่เจนไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องที่น่าขำตรงไหน



    "ว่าแต่เมืองรีเด็มชั่นเป็นยังไงหรือลุง ทำไมลุงถึงคิดว่าพวกเราจะโดนปล้นได้ล่ะ" เจนถามอีกครั้ง เธออยากจะรู้เรื่องราวของเมืองที่เธอกำลังจะไปบ้าง โดยเมืองที่ดูท่าทางจะมีปัญหาเช่นนี้แล้วต้องยิ่งรู้ให้ได้เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้หาทางหนีทีไล่ทัน



    คุณลุงหันมามองเด็กสาวอย่างแปลกใจก่อนจะพูดขึ้น



    "นี่ไอ้หนู พวกนายไม่รู้ว่าเมืองที่กำลังเป็นเมืองแบบไหนหรือเนี่ย นี่มันฆ่าตัวตายชัด ๆ"



    "พวกเรารู้อยู่แล้วว่าเมืองนั้นเป็นยังไง มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละที่ไม่รู้เรื่อง" แจ็คบอก โจเองก็พยักหน้าเป็นนัยว่าเขาเองก็ทราบเช่นกัน



    "ลุงช่วยประหยัดเวลาของพวกเราแล้วบอกเพื่อนของเราหน่อยว่าที่เมืองนั้นมันเป็นยังไง"



    มันช่วยไม่ได้ที่เจนจะรู้สึกเหมือนโดนพวกโจล้อเลียน เพราะในตอนนี้ทั้งคู่ต่างส่งยิ้มหน้าระรื่นมาให้เธอเพื่อเยาะเย้ยโดยไม่กลัวหมัดของเธอแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นเจนก็ยังจะคิดจะฟังเรื่องราวของเมืองรีเด็มชั่นจากปากของคุณลุงสารถีอยู่ดีเพราะหากไปคาดคั้นเอาจากเพื่อน ๆ ของเธอคงจะเสียเวลาและเสียแรงไปไม่น้อยทีเดียว และเจนก็ยังไม่คิดอยากจะใช้กำลังในตอนนี้แต่แค้นต้องชำระอย่างแน่นอน



    "ก็ได้ไอ้หนู พวกแกจ่ายเงินนี่นะ" ลุงสารถีพูดแล้วหันกลับไปมองทางข้างหน้า



    "เมืองที่พวกแกกำลังจะไปน่ะไม่ต่างจากรังโจร เป็นแหล่งศูนย์รวมของพวกนอกกฏหมายเท่าที่ฉันคิดออก แต่ที่นั่นเองก็ยังเป็นแหล่งรวมมือปืนที่เก่งที่สุดในโลก ถ้าใครที่อยากจะเป็นมือปืนก็ต้องไปที่นั่นเท่านั้น แต่ตอนนี้คนธรรมดาอย่างฉันไม่มีใครไปที่นั่นกันแล้ว มีแค่พวกนักเดินทางอย่างพวกแกนั่นแหละที่ไปที่นั่น ได้ยินว่ามีกิลด์เป็นเจ้าถิ่นแทนพวกโจรแล้วด้วย ชื่อกิลด์อะไรน้า...พิฆาตอะไรนี่แหละ"



    "ใช่กิลด์พิฆาตราชาหรือเปล่า" เจนถามทันทีที่ได้ยินชื่อที่คุ้นหู



    "ใช่ กิลด์นั่นแหละ พอพวกเราไปถึงแล้วพวกแกจะไม่เชื่อเลยว่าคนพวกนั้นจะคุมทั้งเมืองได้ทั้ง ๆ ที่มีโจรชุมขนาดนั้นแท้ ๆ"



    ทั้งสามหันหน้ามามองกันทันทีที่ได้ยินว่ากิลด์ที่เจนไปมีเรื่องนั้นเป็นเจ้าของ เมืองที่พวกเธอกำลังเดินทางไปอยู่ ในตอนนี้พวกเธอชักเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่ดี



    "เอายังไงดีเจน เสี่ยงไปหรือเปล่าที่พวกเราจะไปเมืองรีเด็มชั่นตอนนี้ ถ้าหากมีคนจำเธอได้ล่ะก็ มีหวังได้หนีหัวซุกหัวซุนแน่" โจพูด



    "ถึงอย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็ต้องไปที่เมืองนั้นอยู่ดี ไม่ว่ายังไงก็พวกเราต้องเปลี่ยนอาชีพให้กับแจ็คก่อน แล้วฉันเองก็อยากจะสืบเรื่องของอามีร่าด้วย ถ้าหากเจอพวกนั้นอาจจะได้ข้อมูลอะไรมาบ้างก็ได้" เด็กสาวพูด ใบหน้าเปื้อนน้ำตาฉายขึ้นมาในหัวของเธออีกครั้ง เจนยังไม่ลืมใบหน้าของอามีร่าไปอย่างแน่นอน



    "ขอบใจมากนะ เจน" แจ็คกล่าวขอบคุณที่เธอยังคงนึกถึงเขาอยู่ ถึงแม้นั่นจะหมายถึงเธออาจจะตกอยู่ในอันตรายก็ตาม



    "ว่าแต่ทั้ง ๆ ที่อันตรายขนาดนี้แล้วทำไมลุงถึงยังคิดจะพาพวกเราไปที่เมืองนั้นอีกล่ะ" โจถามอย่างสงสัยเพราะถ้าหากสถานที่แห่งนั้นอันตรายจริง คนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นก็อาจจะเป็นอันตรายไปด้วยแน่ ไม่ควรจะมีใครที่จะอยากเข้าใกล้ที่แห่งนั้นอย่างแน่นอน



    ลุงสารถีหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับ "ก็ถ้าหากฉันไม่รับแล้วมันจะมีใครพาพวกแกไปหะ ไอ้หนู แล้วอีกอย่างฉันเองก็กำลังเงินขาดมืออยู่ด้วย ในยุคนี้ถ้าอยากจะกินข้าวครบทุกมื้อล่ะก็ไม่ว่าใครจะบอกให้พาไปไหนมันก็ต้อง รับหมดนั่นแหละ"



    ตอนนั้นเองก็มีจดหมายบินเข้ามาทางหน้าต่างรถ มันเป็นจดหมายสีชมพูติดปีกดูน่ารักพุ่งตรงมาที่ตักของเจนก่อนปีกคู่นั้นจะเป็นแสงหายไปเหลือแต่จดหมายตกอยู่ที่ตักของเธอ



    "นี่มันอะไรล่ะเนี่ย จดหมายงั้นหรือ" เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เธอหยิบจดหมายขึ้นมาแล้วลองเปิดดู ทันใดนั้นเสื้อผ้าสองสามชุดที่ดูคุ้นตาของเธอก็ปรากฏออกมา



    "นี่มันเสื้อผ้าของฉันนี่นา ซ่อมเสร็จแล้วด้วย... ไอ้จดหมายเมื่อกี้มัน...-"



    "ใช่แล้วเจน ระบบส่งข้อความอีกรูปแบบหนึ่งของเกมนี้ แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้เท่าไหร่เพราะผู้เล่นมักจะส่งข้อความผ่านทางหน้าต่างข้อความด่วนที่เร็วกว่าหรือคุยกันผ่านช่องสื่อสารกลุ่มเลย แต่ข้อดีของจดหมายนี่ก็คือสามารถส่งถึงพวกชาวเมืองได้และใช้ส่งพร้อมกับสิ่งของได้ด้วย" โจอธิบาย



    ถึงเจนจะได้ชุดเก่าตัวเก่งของเธอกลับมาแล้ว แต่ในตอนนี้เธอคิดว่าควรจะใส่ชุดเดิมที่ซินจูเลือกให้ไปก่อนเพราะเสื้อกับผ้าคลุมสีขาวในตอนนี้เป็นสัญลักษณ์ของผู้เล่นนิรนามที่คนทั่วไปกล่าวถึง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ดีที่เจนเก็บชุดเก่าของเธอเอาไว้



    "เฮ้ ขอแรงคนข้างในรถหน่อยได้หรือเปล่า!" เสียงของคุณลุงสารถีดังจากนอกรถทำให้ทั้งสามคนต่างหันไปหา ดูท่าทางของเขาตื่น ๆ ต่างจากปกติ



    "เกิดอะไรขึ้นหรือลุง?" แจ็คถาม แต่ไม่ทันที่ลุงสารถีจะตอบคำ ทั้งสามก็รู้แล้วว่าสิ่งใดที่กำลังทำให้เขาต้องตื่นตกใจเช่นนี้



    เจนเห็นกลุ่มคนกำลังควบม้าเข้ามาหารถม้าที่เธอกำลังนั่งอยู่ เท่าที่เธอเห็นนั้นมีอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบคนแน่นอน และในมือของพวกเขานั้นมีปืนอยู่ครบมือกำลังเล็งมาที่เธอบนรถม้าซึ่งกำลังวิ่งอยู่



    ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!



    เสียงปืนดังรั่วสนั่น ห่ากระสุนพรุ่งมาจนเจนแทบหลบไม่ทัน แจ็คที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงรีบดึงตัวเพื่อนสาวหลบกระสุนก่อนที่มันจะเจาะรูบนหน้าของเธอ ทั้งสามต่างหมอบลงบนพื้นรถม้าทำให้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแต่ลุงสารถีไม่ได้โชคดีเช่นนั้น



    "คุณลุง!" เจนรีบเข้าไปหาทางประตูคนขับ เธอพบว่าเขาถูกยิงเข้าที่ท้องจนเลือดไหลออกมาอย่างน่ากลัว เธอรีบดึงเขาเข้ามาด้านในก่อนจะโดนยิงเข้าอีกนัด



    "แค่ก! แค่ก! หนอยแนะ! ไอ้พวกโจรกระจอก ถ้าหากฉันหนุ่มกว่านี้อีกซักสิบปีล่ะก็พวกแกไม่รอดแน่!" คุณลุงสารถีพยายามตะโกนโต้ โจที่กำลังควักขวดยาออกมารักษาแผลก็ต้องรีบห้ามเอาไว้



    "หยุดโม้ก่อนเถอะลุง แทนที่จะย้อนกลับไปสิบปี เดี๋ยวจะได้อดใช้ชีวิตต่ออีกสิบปีนะ"



    ระหว่างที่โจพยายามรักษาแผลของคุณลุงสารถีอยู่นั้นพวกโจรก็ไม่ได้หยุดรอ พวกมันระดมยิงใส่รถม้าโดยไม่ยั้ง พวกเจนได้แต่เพียงก้มตัวหลบเท่านั้นโดยมีแค่แจ็คที่สามารถโจมตีพวกโจรจากบนรถม้าได้เพียงคนเดียว



    ปัง! ปัง!



    แจ็คก้มหลบกระสุนได้อย่างเฉียดฉิวและหันกลับมาเห็นเพื่อนทั้งสองคนกำลังรักษาบาดแผลของสารถีที่ดูหนักพอสมควร แต่ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง



    "เดี๋ยวนะ พวกนายสองคนกำลังรักษาตาลุงนี่คนอยู่ในนี้ แล้วใครกำลังบังคับรถม้าอยู่?"



    ทั้งสามหันไปหาที่นั่งคนบังคับทันทีที่แจ็คพูดจบ ตำแหน่งที่เขาพูดถึงนั้นว่างอยู่แล้รถม้าคันนี้กำลังวิ่งตรงไปยังโขดหินขนาดใหญ่โดยเจ้าม้าสีน้ำตาลที่ทำหน้าที่ลากรถไม่คิดจะวิ่งหลบเลยแม้แต่น้อยเพราะมันตกใจเสียงปืนที่ยังคงดังลั่นตามมาอยู่เช่นนี้



    เจนที่อยู่ใกล้ที่นั่งคนขับที่สุดรีบพุ่งไปคว้าเชือกบังเหียนแล้วดึงหลบสุดแรงเกิด รถม้าหันกลบก้อนหินไปอย่างฉิวเฉียดแต่ปัญหาคือเจนไม่รู้ว่าจะควบคุมม้ายังไงดี ตอนนี้ที่เธอทำได้แค่จับเชือกเอาไว้ให้ม้าวิ่งตรงไปเท่านั้น



    "เฮ้ย! พวกนายมีใครบังคับม้าเป็นบ้าง ฉันทำไม่เป็นหรอกนะ!" เด็กสาวตะโกน



    "คิดว่าหน้าอย่างพวกฉันจะเคยขี่ม้างั้นหรือไง มีแต่พวกเราสองคนที่โจมตีระยะไกลได้ เธอก็แค่ดึงเชือกไปมาเท่านั้นแหละ ไม่น่ายากหรอก!" โจตะโกนตอบพลางปล่อยสายฟ้าใส่พวกโจรที่วิ่งมาตกม้าไป



    "ไม่ได้ช่วยเลย!!" เด็กสาวตะโกนตอบแล้วรีบดึงเชือกเพื่อให้ม้าหักหลบอีกครั้งเพราะคราวนี้เกือบจะวิ่งไปชนต้นกระบองเพชรเข้า



    เป็นการยากที่เจนจะบังคับให้ม้าวิ่งตรงเส้นทางเมื่อนี่เป็นครั้งแรกในการขี่ม้าถึงแม้จะเป็นรถม้าก็ตาม แล้วต่อให้เธอเป็นคนที่สามารถเรียนรู้ได้เร็วแค่ไหนก็ไม่มีทางที่เธอจะตั้งสมาธิได้ในเมื่อมีปืนไล่ยิงหลังอยู่แบบนี้ ยิ่งเส้นทางข้างหน้าทั้งคดเคี้ยวและขรุขระทำให้ยากมากขึ้นที่จะบังคับอยู่ใน ทิศทางที่ถูกต้อง



    โจรคนหนึ่งวิ่งนำขึ้นมาขนาบข้างเจนและเล็งปืนมาทางเธอ ถ้าเป็นปกติเจนคงจะสามารถหลบได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ตอนนี้มือทั้งสองข้างของเธอกำลังจับเชือกอยู่ทำให้เธอไม่อาจเคลื่อนตัวหลบได้



    ปัง!



    เสียงปืนดัง เจนหลับตาปี๋เพราะคิดว่าตัวเองคงโดนยิงเข้าแล้ว แต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย พอลืมตาขึ้นมาดูก็พบว่าโจรคนที่ยกปืนขึ้นมาเล็งที่เธอโดนปืนไรเฟิ่ลของแจ็คยิงร่วงลงไปแล้ว เด็กสาวจะหันไปขอบคุณแต่ใบหน้าของเพื่อนหนุ่มคนนี้กลับดูตื่นตระหนกและพยายามชี้ไปด้านหลังของเธอ



    "เฮ้ย!! เจน ข้างหน้า!! ดูทางข้างหน้า!"



    เมื่อเธอหันกลับไปดูก็ต้องดึงให้ม้าเลี้ยงหักศอกอีกครั้งเพราะไม่มีทางที่จะไปต่อ หน้าผาด้านหน้านั้นถึงจะไม่ลึกมากและเห็นก้นที่กลายเป็นทางผ่านใต้หุบเขา แต่ด้วยความสูงขนาดนั้นก็สามารถรับประกันได้เลยว่าสามารถฆ่าทุกคนบนรถได้อย่างแน่นอน โชคดีที่เจนหักเลี้ยวได้ทันเวลา รถม้าเลี้ยวตามแรงจนแทบจะแหกโค้งจนล้อรถทั้งสองล้อวิ่งอยู่บนขอบผา



    เจนพยายามพารถม้ากลับมาวิ่งบนทางปกติแต่พวกโจรที่ยังคงคอยยิงสกัดอยู่แบบนี้ทำให้เจนไม่สามารถบังคับให้รถวิ่งกลับไปที่ทางวิ่งได้ "พวกนายรีบทำอะไรเข้าซักอย่างสิ!! ถ้าขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้มีหวังได้ตกหน้าผาตายแน่"



    "ก็กำลังพยายามอยู่นี่ไงเล่า!!" โจตะโกนตอบพร้อมกับปล่อยสายฟ้าจัดการโจรให้ตกลงจากหลังม้าไปอีกราย



    ทางแจ็คเองก็พยายามยิงปืนใส่พวกโจรอยู่เช่นกันแต่ในขณะที่รถวิ่งอยู่บนเส้นทางที่ขรุขระเช่นนี้จึงทำให้เขาไม่สามารถใช้ทักษะเล็งจุดตายได้ แค่เล็งยิงธรรมดายังลำบากเลย โชคดีที่ปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นที่แจ็คใช้นั้นมีความรุนแรงอยู่มาก ถ้าหากเขาสามารถยิงโดนซักนัดล่ะก็สามารถทำให้พวกโจรเสียหลักจนตกจากหลังม้าและตามพวกเขาต่อไม่ได้แต่ก็ยังช้าเกินไปอยู่ดี



    "พวกมันมีมากเกินไป! แจ็ค นายมีทักษะอะไรหรือเปล่าที่ทำให้พวกนี้ตามพวกเรามาไม่ได้น่ะ!" เด็กหนุ่มว่าพร้อมกับยิงปืนของตนไปอีกนัดแต่พลาดเป้าไป



    โจรีบเปิดหน้าต่างทักษะดูอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็ทำท่าดีใจเหมือนกับพบอะไรซักอย่าง เขารีบหันไปหาเจนและตะโกนบอกเสียงดัง



    “ฉันมีหนทางที่พวกเราจะรอดแล้ว! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พยายามคุมม้านั่นให้อยู่นะเจน!"



    "ฉันก็กำลังทำอยู่นี่ไงเล่า!!" เสียงหวานตะโกนตอบย้อนคำของชายหนุ่มอย่างเสียอารมณ์



    เด็กหนุ่มหันกลับมาแล้วเริ่มร่ายบทเวทซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก ตอนนี้ในมือของเขามีก้อนพลังสายฟ้าดูท่าทางทรงอำนาจลอยอยู่ โจยกก้อนพลังนั้นขึ้นมาตรงหน้าแล้วโยนไปยังกลุ่มโจรที่ยังคงไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ



    ไลทนิ่ง วอร์เท็กส์!!



    ทันทีที่ก้อนพลังตกถึงพื้น ก็เกิดระเบิดสายฟ้าดังสนั่นฟ้าราวกับเกิดฟ้าผ่า คลื่นพลังกระแทกพวกโจรจนทำให้ตกจากม้าไม่เว้นแม้แต่คนเดียว เมื่อเจนเห็นดังนั้นจึงถือโอกาสรีบวิ่งไปที่สะพานข้ามหน้าผาแล้วข้ามไป เมื่อแน่ใจว่าไม่มีพวกโจรตามมาแล้วเธอจึงหันมาด้านหลังรถม้า



    "มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า" โจและแจ็คไม่ตอบคำ เพียงแค่ยกมือปัดบอกประมาณว่าสบาย ๆ มีแต่คุณลุงสารถีที่เบิกตากว้างอย่างตกใจและมองพวกเจนทั้งสามคนอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเธอเพิ่งพาเขารอดชีวิตมาได้



    "กะแล้วเชียวว่ารับพวกแกมามันรู้สึกลางไม่ค่อยดี คราวหลังอย่ามาขึ้นรถของฉันอีกนะ"







    ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่เพราะเนื่องจากถูกพวกโจรไล่ปล้นทำให้พวกเจนสามารถเดินทางได้เร็วกว่าเดิมมาก เพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้นจากที่ควรจะใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง ตอนนี้เจนมาถึงเมืองรีเด็มชั่นแล้ว



    เมืองแห่งนี้เองก็ไม่ได้แตกต่างจากเมืองอื่น ๆ บนทวีปไลเทเชียนัก บ้านเรือนส่วนมากทำจากไม้ เป็นตึกที่มีความสูงมากที่สุดสองชั้น แต่ที่ทำให้มีความแตกต่างคือเมืองนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มองครั้งเดียวก็รู้ว่าเป็นโจร ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไอต่างกำลังนั่งดื่มเหล้าอย่างสนุกสนานอยู่เต็ม ข้างทาง บ้างก็กำลังนั่งคุยกับหญิงสาวอยู่กระหนุงกระหนิง แต่เจนสังเกตเห็นว่ามือของหญิงสาวนั้นกำลังล้วงลงไปในกระเป๋าของชายหนุ่มโดยที่เขาไม่รู้ตัว ดูท่าทางเมืองนี้คงจะเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังของพวกโจรอย่างแท้จริง



    ในตอนนี้เจนคิดว่าที่ ๆ ควรจะไปเป็นที่แรกคือพาคุณลุงสารถีไปหาหมอก่อน ถึงน้ำยาเพิ่มพลังชีวิตจะช่วยพยุงชีวิตของลุงได้จนมาถึงที่เมือง แต่อย่างไรเขาก็เป็นเอไอ น้ำยาเพิ่มพลังชีวิตไม่ได้ช่วยรักษาบาดแผลเหมือนกับที่มีผลกับผู้เล่น ดังนั้นถ้าหากบาดเจ็บก็ต้องทำการรักษาตามปกติเช่นคนธรรมดาทั่วไปถึงจะหายเป็นปกติได้



    คลินิกของเมืองแห่งนี้ในตอนแรกเจนนึกว่าจะเป็นตึกเล็ก ๆ โทรม ๆ แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าที่แห่งนี้ถึงจะมีขนาดไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ที่นั่นก็สะอาดพอสมควรเลยทีเดียวและยังมีหมอที่ดูไว้ใจได้อีกด้วย



    "อืม...โดน ยิงเข้าที่ชายโครง แต่กระสุนทะลุ คงไม่ได้โดนจุดสำคัญอะไร เพราะถ้าโดนล่ะก็คงตายไปนานแล้ว ไม่ได้มานอนอยู่ตรงนี้หรอก ไม่ต้องเป็นห่วง เขารอดแน่" หมอตอบหลังจากตรวจดูอาการของคุณลุงสารถีเรียบร้อยแล้ว ทำให้เจนรู้สึกโล่งใจมากเลยทีเดียว



    เด็กสาวเดินเข้าไปหาลุงสารถีที่นอนอยู่บนเตียงแล้วพูดขึ้น "ขอบคุณมากเลยนะลุงที่พาพวกเรามาที่นี่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันอันตราย แล้วก็ต้องขอโทษเรื่องรถม้าของลุงด้วยนะ เดี๋ยวฉันจะจ่ายค่าพยาบาลเองก็แล้วกัน"



    ไม่ว่าเปล่า เธอหยิบเงินออกมากว่า 50,000 โกลด์แล้วยื่นให้กับหมอที่รักษาลุงสารถีอยู่ทันที



    "หวังว่านี่คงพอค่ารักษานะ แล้วก็นี่เอาให้ลุงเอาไว้ซ่อมรถม้านะ" เจนว่าแล้วควักเงินออกมาอีก 50,000 ให้กับลุงสารถี เขาถึงกับพูดไม่ออกเลยเมื่อจู่ ๆ มีคนยื่นเงินก้อนใหญ่มาให้เขา เพียงแค่หมื่นเดียวเท่านั้นก็สามารถซื้อรถม้าดีๆได้ซักคัน แต่เด็กตรงหน้ากลับยื่นเงินมาให้โดยไม่ได้รู้สึกอะไรเลยซักนิด



    "เฮ้ย...นี่ไอ้หนู เอาเงินเยอะขนาดนี้ให้ฉันคิดดีแล้วงั้นหรือ"



    "เอ...ก็ ไม่เห็นต้องคิดมากเลยนี่ลุง เรื่องแบบนี้มันก็ปกติอยู่แล้วนี่นา" เด็กสาวตอบด้วยใบหน้าไร้เดียงสา เธอพูดออกมาจากใจจริงทำให้ชายชราตรงหน้าถึงกับยิ้มออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยทีเดียว



    คุณลุงสารถียันตัวเองลุกขึ้นมาแล้วพูดขึ้น "ต่อจากนี้พวกแกจะไปไหนต่อล่ะไอ้หนู"



    "คงจะไปที่สำนักงานนายอำเภอก่อนล่ะ ในกระดานข่าวบอกเอาไว้ว่าที่นั่นจะมีภารกิจเปลี่ยนอาชีพเป็นมือปืน...ทำไม หรือลุง ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า" แจ็คถามเมื่อเห็นสีหน้าของลุงสารถีที่กำลังมองมาที่เขา



    "คิดดีแล้วหรือไอ้หนู ไปหานายอำเภอในเมืองที่เต็มไปด้วยโจรแบบนี้เนี่ยนะ" ลุงสารถีพูดทำให้พวกเจนเองก็คิดขึ้นมาได้เช่นกันว่าเมืองที่ไร้กฎหมายเช่นนี้จะมีนาย อำเภออยู่ได้ยังไงกัน



    "ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไปที่บาร์กระสุนดำ..."



    "หือ หมายความว่ายังไงกันลุง" แจ็คถามอีกครั้ง แต่คุณลุงสารถีกลับไม่ยอมตอบและหันไปหาหมอที่ยังยืนอึ่งกับเงินที่เพิ่งได้รับมาอยู่



    "หมอ! รีบ ๆ รักษาซักที ฉันง่วงจะแย่อยู่แล้ว"



    "หะ..หือ เข้าใจ เดี๋ยวจะเริ่มทำการรักษาแล้ว หลังจากทำการรักษาเสร็จต้องให้ผู้ป่วยได้พักผ่อน พวกเธอออกไปทำธุระของพวกเธอเถอะ" พูดจบเขาก็ดันทั้งสามออกไปจากคลินิกและปิดประตูใส่หลังมา



    พวกเจนยังไม่ทันตั้งสติได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ตอนนี้จะให้กลับเข้าไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาอยู่ดี



    "เอา ล่ะ ตกลงว่าพวกเราควรจะไปที่ไหนดี ไปที่สำนักงานนายอำเภอหรือจะไปที่บาร์อย่างที่ลุงนั่นบอก" โจพูดขึ้น เขาไม่ค่อยอยากจะอยู่ในที่แบบนี้นานซักเท่าไหร่ เพราะมันเสี่ยงที่จะเสียเงินในประเป๋าของเขาโดยใช่เหตุมากเลยทีเดียว



    "ฉันว่าพวกเราไปตามที่คุณลุงบอกดีกว่านะ นายล่ะว่ายังไง เลือกเอาเลย นี่เป็นทีของนาย" เจนพูดแล้วหันไปหาแจ็คที่อยู่ข้าง ๆ



    เด็กหนุ่มยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนแล้วตอบออกมาอย่างมั่นใจ "ไปตามที่ตาลุงนั่นบอกเถอะ บางทีพวกเราอาจจะเจอภารกิจพิเศษก็ได้นะ"



    "ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงว่าไปที่บาร์...อะไรนะ"



    "บาร์ กระสุนดำไงเล่า นายเนี่ยน้า.." เจนส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ แล้วรีบพาเพื่อนทั้งสองเดินจากไปทันที เพราะถ้าหากยังอยู่นานกว่านี้มีหวังอาจจะโดนปล้นเอาก็ได้







    ในระหว่างที่พวกเจนเดินทางไปยังบาร์กระสุนดำที่เป็นจุดหมายนั้น พวกเธอได้เจอโจรเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไอที่เข้ามาดักปล้น แต่เมื่อเจอกับทักษะการต่อสู้ของเจนกับพลังเวทของโจก็จัดการไล่พวกนั้นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทว่าสิ่งเจนรู้สึกกังวลตอนนี้คือพวกกิลด์พิฆาตราชามากกว่าเพราะถึงตอนนี้เธอจะยังไม่เห็นว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหน แต่ก็มั่นใจได้เลยว่าพวกกิลด์พิฆาตราชากำลังเฝ้ามองอยู่ที่ไหนซักแห่งอย่างแน่นอน หวังได้เพียงว่าคนของกิลด์พิฆาตราชาจะยังไม่รู้ว่าเธอเป็นผู้เล่นที่พวกมันกำลังตามหาอยู่



    "เฮ้ย ส่งของมีค่ามาให้หมดถ้ายังอยากมีชีวิตออกไปจากเมืองนี้!" โจรคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง ดูท่าทางเขาคงจะเป็นหัวหน้ากลุ่มของคนพวกนี้ ด้านหลังของเขามีลูกน้องอยู่นับสิบพร้อมอาวุธครบมือ



    "เฮ่อ... เอายังไงดีเจน นี่พวกเราโดนขู่แบบนี้เป็นรอบที่สิบแล้วนะตั้งแต่มาถึงเมืองนี้ มันชักจะหมดความตื่นเต้นแล้วสิ" โจพูดพร้อมกับชูมือที่มีกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านขึ้นอย่างน่ากลัวจนทำให้พวกโจรไม่กล้าเข้ามา



    "จะทำยังไงได้ล่ะ ลุงเขาก็บอกอยู่เมืองนี้มีแต่โจร พวกนายเองหาข้อมูลของเมืองนี้มาแล้วไม่ใช่หรือไง" เจนว่าแล้วชักดาบคุซานางิออกมา พวกโจรเห็นดาบถึงกับผงะเพราะไม่เคยเห็นดาบที่ดูทรงพลังขนาดนี้มาก่อน แต่ในเวลาเดียวกันความโลภก็ก่อตัวขึ้นจนไม่มีใครยอมถอย



    "ก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะโดนเจอแบบนี้แน่ แต่ไม่คิดว่าจะเจอบ่อยเป็นเซเว่นอีเลเว่นแบบนี้นี่หว่า" แจ็คพูดแล้วเก็บปืนเข้ากระเป๋า



    "นี่!! นายเก็บปืนไปทำไม" เจนถามอย่างตกใจ ถึงในตอนนี้แจ็คจะยังทำอะไรไม่ได้มาก การเก็บอาวุธไปแบบนี้ก็ไม่ใช่การกระทำที่ควรในตอนนี้แน่



    "ใครเขาจะบ้าใช้ปืนไรเฟิ่ลไปสู้ระยะประชิดกันเล่า หวังว่าปืนโลกันต์จะพอเอาอยู่นะ" ว่าแล้วเขาก็ชักปืนลูกโม่สีแดงออกมาเตรียมพร้อม



    "เฮ้ย!! ข้าคุยกับพวกแกอยู่นะเว้ย!! อย่าคิดว่าจะเมินกันได้แบบนี้นะ พวกเรา ฆ่ามัน!!!" หัวหน้าโจรผู้นั้นตะโกนเสียงดัง แล้วพวกโจรก็ดาหน้าเข้าใส่พวกเจนทันที







    โจรคนหนึ่งพุ่งเข้าใส่แจ็คก่อนใครเพื่อนเพราะเขามีแค่ปืนพกในมือจึงคิดว่าน่าจะจัดการได้ง่ายกว่า แต่เขาก็รู้ทันทีว่าตัวเองคิดผิดเพราะเมื่อพุ่งเข้ามาในระยะ แจ็คก็ยกปืนขึ้นชี้เป้าหมายอย่างรวดเร็วก่อนจะกดลั่นไก



    ตูม!!!



    แทนที่จะเป็นเสียงปืนปกติกลับกลายเป็นเสียงระเบิดดังลั่น ลูกไฟพุ่งออกมาจากปากกระบอกปืนโลกันต์เข้าใส่ร่างของโจรที่กำลังโจมตีใส่ แทนที่จะพุ่งเข้าถึงตัวแจ็คกลับโดนลูกไฟกระแทกใส่กระเด็นกลับไปหาพรรคพวกของตัวเอง ถึงแม้จะยังไม่ตายแต่ก็ทำให้โจรคนนั้นสลบเหมือดไป บนร่างของเขามีบาดแผลไฟไหม้ราวกับโดนเวทลูกไฟใส่



    เมื่อพวกโจรได้ยลพลังของปืนโลกันต์ก็รีบถอยห่างออกไปเพราะไม่อยากจะเป็นอย่างโจรคนนั้นที่กำลังโดนลากออกไปแล้ว



    "สุดยอด!!" เจนร้องตะโกน เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่ปืนกระบอกเล็ก ๆ เท่านั้นสามารถสร้างความเสียหายได้ขนาดนี้



    "แจ๋ว... ให้มันได้แบบนี้สิ ฮ่าฮ่า!" แจ็คหัวเราะอย่างสะใจ ตั้งแต่เริ่มเกมมาเขาเป็นคนที่มีพลังน้อยที่สุดในกลุ่ม ของที่ได้ก็ธรรมดาที่สุดเช่นกัน ทำให้ความสำคัญของเขาดูน้อยลงมาถ้าเทียบกับเพื่อนทั้งสองคน พอเขาได้อาวุธระดับสูงมาบ้างทำให้ตอนนี้เขาเพิ่มระดับขึ้นมาพอจะเทียบเท่ากับเพื่อนทั้งสองแล้ว



    "อย่าไปกลัวสิวะไอ้พวกบ้า! มันพวกมีแค่สามคน พวกเรามีกันเยอะกว่านะโว้ย รีบฆ่าพวกมันเซ่!!" โจรหัวหน้ากลุ่มออกคำสั่งอีกครั้ง พวกโจรคนอื่น ๆ ได้สติแล้วต่างก็พุ่งโจมตีทั้งสามอีกครั้งด้วยความระมัดระวังมากกว่าเดิม



    แทนที่จะตกใจเพราะศัตรูมีจำนวนมากกว่าและยังมีระดับที่สูงกว่าอีกด้วย แต่ว่าโจนั้นกลับแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายและชูมือขึ้นฟ้าพร้อมกับปล่อยพลังสายฟ้าออกมาอย่างรุนแรง



    ธันเดอร์บลาส!!!



    สายฟ้าระเบิดออกจากมือของโจและกระจายเป็นวงกว้างเสียงดังสนั่น แรงระเบิดกระแทกร่างของพวกโจรกระเด็นลอยไปไกลคนละทิศคนละทางไม่เว้นแม้แต่ตัวหัวหน้าเองที่ยืนอยู่ไกลที่สุดก็ตาม เจนและแจ็คที่รู้อยู่แล้วว่าโจจะทำอะไรจึงหมอบลงกับพื้นรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ว่าด้วยพลังขนาดนี้ที่ทำให้เกิดเสียงดังและแสงสว่างจ้าไปทั่วเมืองก็ทำให้ในตอนนี้ทั้งสามตกเป็นจุดสนใจของคนบริเวณโดยรอบเข้าซะแล้ว



    เจนที่เห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบดึงร่างของเพื่อนทั้งสองคนวิ่งออกไปจากที่แห่งนั้นก่อนจะมีคนมามากกว่านี้ ดีไม่ดีอาจจะพาพวกกิลด์พิฆาตราชามาหาโดยที่ไม่ได้เกี่ยวเรื่องผู้เล่นที่กำลังตามหาเลยก็เป็นได้



    หลังจากที่ทั้งสามหลบออกมาจากจุดเดิมแล้ว พวกเธอก็มาหลบอยู่ในตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครผ่านมาเห็นแล้วเจนก็รีบหันไปหาเจ้าตัวต้นเรื่องทันที



    "นี่ นายทำบ้าอะไรลงไปรู้ตัวมั้ยเนี่ย เล่นทำแสงสีเสียงไปขนาดนั้นถ้าหากพวกกิลด์พิฆาตราชามาเจอพวกเราเข้า นายจะว่ายังไงหือ!" เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ



    "อ้าว! ก็ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่าจะใช้เวทแบบที่สามารถจัดการพวกโจรที่มาปล้นพวกเราในครั้งเดียวไง" โจพูดขึ้นเหมือนกับเป็นคำถาม



    "ใครจะไปรู้เล่าว่ามันจะโจ่งแจ้งแบบนั้นล่ะ แบบนี้มีหวังคนทั้งเมืองได้พลิกแผ่นดินตามหาพวกเราแน่เลย"



    "ว่าแต่เมื่อกี่พวกนายสังเกตหรือเปล่าว่าพวกเราจัดการพวกโจรไปได้เท่าไหร่ ฉันไม่ได้ยินระบบรายงานว่าได้ค่าประสบการณ์จากโจรคนที่ฉันเพิ่งยิงไปเลยอ่ะ" แจ็คพูดขึ้น



    พอได้ยินเช่นนั้นเจนก็ลองมาเปิดดูหน้าต่างรายงานดูบ้าง เช่นเดียวกับโจที่ก้มลงมองหน้าต่างแสงตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ



    "จริงด้วย ไม่มีขึ้นบอกเลยว่าได้ค่าประสบการณ์จากพวกโจร ฉันเองยังมีเลเวลห้าสิบเก้าอยู่เลย" เจนว่า



    "ของฉันก็เหมือนกัน ลองย้อนดูไปตั้งแต่ตอนที่เราโดนโจรไล่บนรถม้าหรือจะย้อนไปตั้งแต่ตอนที่เราอยู่บนเรือก็ด้วย ดูท่าทางพวกเราจะไม่ได้จัดการไอเอไปเลยแม้แต่คนเดียวนะ" โจว่า ทั้ง ๆ ที่เขาทุ่มพลังลงไปเต็มที่ตั้งแต่ตอนที่สู้กับพวกโจรสลัดหรือจะเป็นโจร ไล่ตามบนรถม้า และล่าสุดคือเมื่อครู่นี้ด้วย



    "อย่างนี้ก็แปลว่าพวกเอไอเองก็ไม่ได้จัดการง่ายๆอย่างพวกมอนสเตอร์เลย ฉันลองใช้ทักษะตรวจสอบดูแล้ว พวกนั้นมีระดับยศขุนนางกันทุกคน ฉันว่าถ้าพวกเรายังมีระดับต่ำอยู่แบบนี้ล่ะก็คงมีปัญหาทีหลังแน่ ๆ"



    "เอาไว้พวกเราเปลี่ยนอาชีพให้แจ็คก่อนแล้วค่อยไปหาที่เก็บเลเวลก็แล้วกัน ตอนนี้พวกเราไปหาที่ซ่อนตัวก่อนดีกว่า" เจนแสดงความคิดเห็น เธอแอบมองออกไปข้างนอกตรอกที่เธอกำลังอยู่มีคนเดินผ่านไปมาอยู่ไม่มาก แต่ก็เพียงพอที่ทั้งสามจะออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว



    "เอ่อ...เจน เธอจำบาร์ที่ลุงนั่นบอกได้มั้ยว่ามันชื่ออะไร" แจ็คถามขึ้นระหว่างมองไปที่อะไรบางอย่าง โจเองก็กำลังมองอยู่เช่นกัน



    เจนที่มองไปอีกทางก็หันมาตอบอย่างไม่ค่อยพอใจ มีเธอแค่คนเดียวกันหรือยังไงที่ฟังลุงสารถีพูดเนี่ย "ลุงเขาบอกว่าบาร์กระสุนดำไงเล่า พวกนายเนี่ยช่วยหัดจำ...เอ๋"



    เจนค่อย ๆ เงียบเสียงไปเมื่อมองเห็นป้ายที่แขวนอยู่อาคารที่ตั้งอยู่ข้างตรอกที่ทั้งสามเคยหลบซ่อนอยู่ 'กระสุนดำ'



    "เอาจริงอ่ะ บทจะหาง่ายมันก็ง่ายแบบนี้เลยหรือเนี่ย"



    "คงจะอย่างนั้นพวกเราเข้าไปกันเถอะ" โจตอบเพื่อนของเขาแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน



    เรื่องราวเหมือนกับว่าจะเป็นไปด้วยดีสำหรับพวกเจน หากแต่มีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองพวกเธอกำลังเข้าไปในบาร์ตรงหน้าอยู่ ทันใดนั้นสายตาคู่นั้นก็หายไปในเงามืดโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้แต่นิดเดียว







    ภายในบาร์กระสุนดำที่พวกเจนเดินเข้ามาไม่ได้แตกต่างไปจากบาร์ธรรมดาเท่าไหร่นัก ที่นี่มีแค่คนอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นกำลังนั่งอยู่ที่มุมของร้าน และมีอีกหนึ่งคนกำลังดื่มเครื่องดื่มอยู่บนเคาน์เตอร์ซึ่งมีบาร์เทนเดอร์กำลังเช็ดแก้วตามประสา ทุกคนในร้านต่างแต่งตัวคล้ายกันคือเสื้อโค้ทหนังสีดำไม่ก็สีน้ำตาล กางเกงดำคล้ำกับรองเท้าบูทดำและหมวกคาวบอยอยู่บนหัวรวมถึงตัวบาร์เทนเดอร์ เองด้วย และก็เป็นที่แน่ใจสำหรับเจนแล้วทุก ๆ คนในเมืองต่างก็พกปืนเอาไวที่เข็มขัดไม่เว้นแม้แต่คนเดียว



    เมื่อทั้งสามเดินผ่านประตูมาสายตาทุกคู่ที่อยู่ในร้านต่างก็มองมาที่ทั้งสามเป็นตาเดียว ดวงตาเย็นชาของพวกเขาที่มองมาแทบทำให้เธอรู้สึกก้าวขาแทบไม่ออก พวกโจเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกันนัก พอพวกเจนไม่กล้าขยับกันแม้แต่คนเดียว บาร์เทนเดอร์ที่มองอยู่ก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งแบบยุคตะวันตก



    "ที่นี่ไม่ใช่ที่เที่ยวสำหรับเด็ก ๆ รีบออกไปซะ" บาร์เทนเดอร์พูด แล้วทันใดนั้นเจนก็รู้สึกได้ว่าสายตาที่เคยจ้องมองพวกเจนอยู่ได้หายไป คนอื่นๆที่อยู่ในร้านต่างก็หันกลับไปทำกิจของตนไม่สนใจผู้มาให้ทั้งสามอีกต่อไป



    แจ็ครู้ว่าเขาเป็นคนที่ขอให้ทุกคนมาที่นี่ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่นแล้วพูดขึ้น "คือมีคนบอกว่าถ้าอยากเป็นมือปืนก็ให้มาที่นี่น่ะครับ"



    พูดจบเจนก็รู้สึกได้ถึงดวงตาทุกดวงจ้องมาที่พวกเธออีกครั้ง ถ้าหากทุกครั้งที่เปิดปากพูดจะต้องเจอแบบนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ



    "มือปืนงั้นหรือ ได้ยินว่านักเดินทางอย่างพวกเธอจะกลายเป็นมือปืนได้ก็ต้องไปหานายอำเภอไม่ใช่หรอกหรือไง..." บาร์เทนเดอร๋ตอบ เขาสวมหมวกปีกกว้างปกปิดใบหน้าเอาไว้ ทำให้เจนมองไม่เห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนนัก แต่ก็พอมั่นใจว่าคงมีอายุไม่น้อยเลยจากน้ำเสียงและผมสีขาวยาวของเขา



    แจ็คไม่ตอบคำ เจนและโจก็ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี บาร์เทนเดอร์เห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเบาขึ้น "แต่ก็นะ ในเมืองแบบนี้จะไปมีนายอำเภอได้ยังไงจะเจอก็แต่มหาโจรซะมากกว่า หึหึ..."



    "แล้วพวกเธอไปรู้เรื่องนี้มาจากไหนกันหือ ไอ้หนู" บาร์เทนเดอร์ถามเสียงต่ำพลางวางแก้วที่เช็ดอยู่ลงและหันมาตั้งใจคุยกับพวกเจน



    "พวกเราเดินทางมาที่นี่กับคุณลุงคนหนึ่ง ระหว่างทางพวกเราถูกโจรดักปล้นแต่ก็หนีมาได้ พวกเราพาลุกแกไปส่งที่คลินิก พอรู้ว่าผมอยากเป็นมือปืนก็บอกให้ผมมาที่นี่น่ะครับ" แจ็คตอบอย่างสุภาพ เขาไม่อยากจะมีเรื่องกับคนพวกนี้ถ้าเป็นไปได้



    บาร์เทนเดอร์ได้ยินดังนั้นจึงเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ เขาหัวเราะเบาๆแล้วจึงกวักมือเรียกมาที่เคาน์เตอร์ ทั้งสามเดินเข้าไปต้อยๆอย่างว่าง่าย ดูไปก็น่าขันไม่น้อย



    "ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกว่ามีคนแนะนำมาล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องมากความ" บาร์เทนเดอร์พูดแล้วถอดหมวกปีกกว้างออก เจนมองเห็นใบหน้าของชายตรงหน้าที่ทำให้เธอถึงกลับกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ



    "ฉัน มีชื่อว่าไวแอท เอิร์ป ยินดีต้อนรับพวกเธอสู่บาร์กระสุนดำของฉัน..เอ่อ นั่นเพื่อนของเธอเป็นอะไรหรือเปล่า" บุรุษตรงหน้าพูดแนะนำตัวเอง ใบหน้าซีกขวาของเขานั้นเป็นเหมือนกับเทียนที่ถูกไฟลน มีผิวหนังส่วนหนึ่งบนใบหน้าเชื่อมติดกับริมฝีปากล่างดูน่ากลัวและยังปากแบะจนเห็นฟันสีเหลืองในปากของเขาเลยทีเดียว





    พวกเจนถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นใบหน้าของเอิร์ปแบบกระชั้นชิดเช่นนี้ ขนาดโจเองก็ถึงกับเป็นลมสลบไปในทันที ถึงเจนจะไม่เคยไดัรู้จักประวัติศาสตร์ของคนคนนี้มามากนัก แต่เธอก็มั่นใจว่าเขาเองก็คงเป็นมือปืนผู้เก่งกาจคนหนึ่งเช่นกันแต่เธอก็มั่นใจอยู่ว่าตามประวัติศาสตร์ใบหน้าของเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้แน่



    เมื่อเอิร์ปเห็นว่าเด็กทั้งสามไม่กล้าพูดอะไรตอบ เขารู้ว่ามีสาเหตุมาจากใบหน้าที่อัปลักษณ์ของเขา แต่เรื่องพรรณนั้นเขาเจอจนชินไปเมื่อนานมาแล้ว เพียงแค่เด็ก ๆ ตรงหน้าเขาไม่ตกใจจนวิ่งหนีออกจากร้านก็ถือว่าดีแล้ว



    "เอาล่ะ ใครที่อยากจะเป็นมือปืนลองเอาปืนที่ใช้อยู่ออกมาดูหน่อยซิ"



    แจ็คได้สติจากเสียงดังของเอิร์ป เขารีบนำปืนโลกันต์กับปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นออกมาให้ดูทันที เมื่อเอิร์ปเห็นปืนทั้งสองกระบอกก็ถึงกับพยักหน้าขึ้นลง เจนหวังว่านั่นคงเป็นพยักหน้าในแบบที่มีความหมายดีๆ



    "ไม่เลว...ปืนโลกันต์ ไม่ได้เห็นของดีแบบนี้มาหลายปีแล้ว น้ำหนักและระยะยิงเป็นเลิศ เสียอย่างเดียวแค่แรงดีดเยอะไปหน่อย ยิงต่อเนื่องไม่ได้" ชายชราพูดและลองยกปืนเช็คศูนย์เล็ง เป็นอย่างที่เอิร์ปพูดไม่มีผิดเพราะตอนนี้มือของโจยังรู้สึกชาจากแรงกระแทกของปืนโลกันต์อยู่เลย



    เอิร์ปมองไปที่ปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นที่วางอยู่แว่บหนึ่งก่อนจะเมินหันมามองพวกเจนอย่างรวดเร็วโดยที่ทั้งสามไม่รู้เลยว่าเขามองปืนไรเฟิ่ลที่วางอยู่ด้านหน้า



    "ปืนของนายดีมาก แต่จะให้เป็นมือปืนมันก็น่าเสียดายอยู่ เอาเป็นว่าฉันจะเสนออย่างอื่นที่ทำเงินได้มากกว่ามือปืน....สนใจมั้ยไอ้หนู" เอิร์ปพูด แจ็คได้ยินดังนั้นก็รีบหันหลังไปหาเพื่อนด้วยความตกใจแล้วรีบหันกลับมาพยัก หน้าตอบตกลงทันที



    "อาชีพอะไรหรือครับที่ดีกว่ามือปืน!?" เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงดีใจ เพราะจากที่ฟังดูท่าทางเขาจะได้อาชีพใหม่แบบโจที่เป็นอาชีพที่เก่งกว่าอาชีพธรรมดาปกติทั่วไปซะอีก



    "นักล่าเงินรางวัล..." เอิร์ปพูด



    "ถ้าอยากจะเป็นนักล่าเงินรางวัล แกคงต้องผ่านการทดสอบของฉันซะก่อน มากับฉันที่หลังร้านทิ้งเพื่อนของแกเอาไว้ที่นี่ ใช้เวลาไม่นานหรอก"



    "ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะอยู่เฝ้าโจเอง นายไปเถอะ" เจนพูดขณะที่เธอก้มลงไปดูอาการของโจ เขาไม่ได้เป็นอะไรมากนัก เจนจึงปล่อยเขานอนอยู่ที่เดิม



    แจ็คพยักหน้าแล้วเก็บปืนของเขาเข้าซองและสะพายปืนไรเฟิ่ลจากนั้นจึงเดินตาม เอิร์ปไปด้านหลังร้าน ทิ้งเอาไว้ให้เจนนั่งรออยู่ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ส่วนโจนั้นเจนก็ปล่อยให้นอนอยู่บนพื้นบาร์โดยไม่สนสายตาของคนในร้านที่กำลังมองอยู่เลยแม้แต่น้อย ดูท่าทางการถูกจ้องมองบ่อยๆแบบนี้ก็ทำให้เจนรู้สึกชินไปเหมือนกัน



    ระหว่างที่กำลังรอแจ็คอยู่นั้นเจนก็ลองค้นคว้าข้อมูลของไวแอท เอิร์ป ดู ปรากฏว่าเขาเป็นนายอำเภอของเมืองเล็กๆในสหรัฐอเมริกาในอดีต โดยเขานั้นมีประสบการณ์โชกโชนในการปราบโจรและพวกนอกกฎหมายมานับไม่ถ้วน จนได้ฉายาว่านายอำเภอชาติเพชรแห่งเมืองทูมสโตน เมื่อค้นลึกลงไปอีกก็พบว่าในประวัติศาสตร์จริงๆนั้นเขาไม่ได้มีแผลบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นมีความเป็นไปได้เพียงประการเดียวนั่นก็คือเขาได้แผลมาจากเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในเกมนี้ แต่เธอก็คิดว่าถ้าไม่รู้คงจะดีกว่า และต่อให้อยากรู้อดีตนายอำเภอที่ผันตัวมาเป็นบาร์เทนเดอร์คนนี้ก็ไม่น่าจะบอกคนอย่างพวกเธอ อย่างแน่นอน



    หลังจากเจนได้ยินเสียงปืนไปเกือบร้อยนัด ซึ่งเจนไม่แน่ใจว่ามันเป็นเสียงปืนของแจ็คเพียงคนเดียวหรือไม่ หรือว่าจะเป้าที่ยิงมันคืออะไร เพราะเสียงปืนนั้นเหมือนกับเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นในเมืองแห่งนี้ หลังจากเวลาผ่านไปได้เกือบสองชั่วโมง โจก็ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับที่แจ็คและเอิร์ปกลับเข้ามาในร้านพอดีซึ่งใบหน้าของแจ็คนั้นประดับไปด้วยรอยยิ้ม



    "เรียบร้อย! ฮ่าฮ่า!" เด็กหนุ่มตะโกนอย่างดีใจแล้วเข้าไปหาเพื่อน ๆ ของตน ในขณะที่เจนรีบตบหน้าเพื่อนของตัวเองให้ได้สติเพราะสลบไปอีกรอบจากการเห็นใบหน้าของไวแอท เอิร์ป



    "เดี๋ยว เอาไว้ฉันปลุกเจ้าอ้วนตาขาวนี่แล้วแล้วจะไปแสดงความยินดีด้วยนะ ว่าแต่ตอนนี้นายมีทักษะอะไรเพิ่มขึ้นมาบ้างล่ะ" เจนถาม มือของเธอนั้นยังพยายามเขย่าร่างของโจราวกับกำลังเขย่าตุ๊กตา



    "เจ๋งสุด ๆ ไปเลยล่ะ แต่ละทักษะช่วยให้ยิงปืนได้เข้าเป้าได้อย่างกับจับวางเลย มีทักษะทำให้ยิงปืนได้ทุกสถานการณ์ และก็ยังมีทักษะที่ช่วยตามตัวพวกคนที่มีค่าหัวได้อีกด้วย" แจ็คบอก แต่ละทักษะที่เขาพูดมานั้นก็เหมาะสมกับอาชีพนักล่าค่าหัวมากเลยทีเดียว



    "เฮ่ ไอ้หนู ไอ้ปืนไรเฟิ่ลนั่นน่ะ มันไม่ธรรมดาไปหน่อยหรือ ได้เวลาเปลี่ยนแล้วมั้ง" เอิร์ปพูดพลางมองไปที่ปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นอย่างไม่ละสายตา แจ็คเหลือบไปมองดูปืนของตนก่อนจะกล่าวปฏิเสธไป



    "ไม่ดีกว่าครับ ปืนกระบอกนี้มันยิงได้เรื่อย ๆ โดยไม่จำกัดกระสุน ผมไม่ค่อยชอบขนกระสุนไปเยอะ ๆ ให้หนักตัวอยู่แล้ว ตอนนี้ปืนทั้งสองประบอกของผมไม่จำเป็นต้องใช้กระสุนแบบนี้น่ะเหมาะกับผมอยู่ แล้ว"



    ปืนนั้นเป็นอาวุธที่ไม่สามารถเพิ่มพลังโจมตีได้เหมือนอาวุธอื่น ๆ อย่างเช่นดาบสามารถนำไปตีเสริมพลังได้ด้วยแร่เหล็กหลากหลายชนิด หรือใช้ไม้ชนิดพิเศษในการทำคันธนูที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับปืนนั้นใช้แบบนั้นไม่ได้เพราะการทำปืนนั้นไม่ว่าเหล็กจะแข็งแกร่ง เท่าไหร่ก็ไม่ทำให้ปืนนั้นสามารถยิงแรงยิ่งขึ้นได้จึงต้องตกเป็นหน้าที่ของกระสุนที่เพิ่มพลังโจมตีของปืนแต่ก็ไม่มากนักเมื่อ เทียบกับอาวุธอื่น ๆ ดังนั้นหลายๆคนจึงคิดกันว่าปืนเหมาะที่จะเป็นอาวุธรองมากกว่าอาวุธหลักจึงมีผู้คนไม่มากนักที่จะใช้ปืนเป็นอาวุธหลักอย่างแจ็ค

    ถึงจะมีปืนชนิดพิเศษอย่างปืนโลกันต์ก็ตาม แต่ปืนแบบนี้มีอยู่จำนวนอยู่น้อยมากในเกมดิ โอเพ่นเวิล์ด ออนไลน์ และยังเทียบกับอาวุธพิเศษอื่นๆไม่ได้ในของระดับเดียวกันอีกด้วย แต่สิ่งที่ปืนทำได้ในขณะที่อาวุธอื่นทำไม่ได้คือการเสริมอุปกรณ์อย่างที่เก็บเสียงหรือกล้องเล็งระยะไกลหรือเปลี่ยนกระสุนที่ใช้ยิง ดังนั้นการที่โจเก็บปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นที่มีพลังโจมตีสูงที่สุดในหมู่อาวุธเริ่มต้นคือ 100 และยังสามารถยิงได้ไม่จำกัดกระสุนจึงเป็นอาวุธที่ถือได้เป็นอาวุธระดับ S เลยทีเดียวถ้าหากถูกปรับแต่งดี ๆ



    อีกอย่างหนึ่งที่พิเศษเกี่ยวกับอาวุธปืนก็คือมีโอกาสที่จะจัดการศัตรูได้ในการยิงเพียงนัดเดียว แต่นั่นก็ต้องยิงไปที่จุดตายอย่างหัวใจหรือที่หัวเท่านั้นเช่นเดียวกับอาวุธอื่น ๆ แต่ปืนสามารถยิงได้ทั้งระยะใกล้และไกล เพียงแค่เหนี่ยวไกเท่านั้นไม่จำเป็นต้องออกแรงเหมือนดาบและธนู



    ไวแอท เอิร์ปยิ้มที่มุมปาก เด็กคนนี้นั้นหัวไวอยู่มากที่รู้จักการใช้ปืนเช่นนี้ ปกตินั้นปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นไม่ว่าใครจะหามาใช้ก็ได้ถ้าหากเลือกตั้งแต่ตอนเปิดกระเป๋าเริ่มต้น แต่สิ่งที่ทุกคนไม่นึกถึงคือความสามารถพิเศษของอาวุธประเภทปืนนั่นก็คือยิงกระสุนได้ไม่จำกัด ดังนั้นผู้เล่นที่เลือกอาวุธเริ่มต้นเป็นปืนหลังจากที่ได้อาวุธใหม่แล้วก็พากันทิ้งปืนเริ่มต้นกันเสียหมด ดังนั้นทำให้คนที่รู้เรื่องนี้มีแต่พวกเอไอระดับสูงกับเหล่าผู้เล่นไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้และเก็บเอาไว้เป็นความลับจากผู้เล่นคนอื่น ๆ เพราะกลัวจะทำให้ระบบของเกมแก้ไขในเรื่องนี้และทำให้อาวุธของตนกลายเป็นหมันไปซะ



    ชายชราเดินกลับเข้าไปที่เคาน์เตอร์บาร์แล้วก้มลงหยิบอะไรบางอย่างออกมาแล้ววางเอาไว้ด้านหน้าของแจ็ค มันเป็นกล้องเล็งประกอบสำหรับปืนสไนเปอร์ไรเฟิ่ลและปืนพกพิสตอลอีกหนึ่งกระบอกที่มีพลังโจมตีน้อยกว่าปืนลูกโม่แต่สามารถเติม กระสุนได้เร็วกว่าโดยการเปลี่ยนแม็กกาซีน



    "นี่เป็นของขวัญให้กับนักล่าเงินรางวัลที่ถูกต้องตามกฎหมายในรอบยี่สิบปีและที่ช่วยเอิร์ลเอาไว้....ขอบใจ" อดีตนายอำเภอกล่าวแล้วส่งของไปให้กับแจ็ค



    เด็กหนุ่มรับมาด้วยความยินดีจากนั้นทั้งคู่ก็จับมือกันก่อนทั้งสามจะกล่าวลาและจากออกมาอย่างสบายใจเพราะในตอนนี้เท่ากับว่าแจ็คได้ทั้งปืนกระบอกที่สามซึ่งกลายเป็นปืนคู่และอุปกรณ์ติดปืนไรเฟิ่ลซึ่งแจ็คก็ทำการติดตั้งในทันที ทำให้ปืนไรเฟิ่ลกลายเป็นปืนสไนเปอร์ไรเฟิ่ลกำหรับยิงระยะไกลไปเรียบร้อย ติดอยู่แค่ว่าแรงยิงยังไม่เท่ากับปืนยิงระยะไกลเท่านั้นเอง แต่ถ้าหากโจสามารถหาอุปกรณ์เสริมที่ทำให้ปืนยิงแรงยิ่งกว่าเดิมได้ล่ะก็ ปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นกระบอกนี้ก็จะเป็นปืนที่ยิงแรงได้อย่างไม่คาดฝันเลยทีเดียว



    แต่พอทั้งสามออกมาจากบาร์กระสุนดำแล้วก็พบเข้ากับเรื่องไม่คาดฝันอีกอย่าง เมื่อนอกอาคารนั้นถูกล้อมด้วยคนในชุดคลุมสีดำนับร้อยคนดูคุ้นตาเหมือนกับพวกที่เจนเคยพบก่อนหน้านี้



    พวกกิลด์พิฆาตราชา!!



    และในใจกลางวงล้อมนั้นมีร่างบางยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่โศกเศร้าและทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เจนที่เห็นใบหน้าของเธอถึงกับพูดออกอย่างแผ่วเบา



    "...อามีร่า"





    จบตอนที่ 19 เมืองคนบาป
    ----------------------------------------------



  4. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  5. #28
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 20 แสงสว่างของผู้หมดหนทาง

    ตอนที่ 20 แสงสว่างของผู้หมดหนทาง





    "เธอ...รู้ชื่อของฉันได้ยังไง" อามีร่าเอ่ยปากคุยกับเจนเป็นครั้งแรก สีหน้าของเธอดูตกใจมาก



    เจนทำท่าจะเดินเข้าไปหาอามีร่า แต่เพื่อนทั้งสองคนกลับรั้งตัวเธอเอาไว้ก่อน "เดี๋ยวก่อนเจน ตอนนี้พวกเรากำลังถูกล้อมอยู่นะ ถ้าขืนเดินเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าพวกเราเสร็จแน่"



    "ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คนอื่น ๆ ถูกสั่งแค่มากันไม่ให้พวกคุณหนีเท่านั้นเอง ฉันจะเป็นคนที่ลงมือเพียงแค่คนเดียว" อามีร่าพูดขึ้นเมื่อได้ยินที่โจกล่าว



    "นี่มันหมายความว่ายังไงกัน" แจ็คพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่เป็นมิตรอย่างชัดเจน ทำให้อามีร่ายิ่งมีสีหน้าหดหู่ลงเมื่อได้ยินเสียงเช่นนั้น แต่เธอกลับชินซะแล้วกับการกระทำแบบนี้ ตั้งแต่ที่เธอได้ฉายาที่เธอแสนเกลียดว่า 'อีกา'



    "....ฉันได้รับคำสั่งมาให้มายืนยันตัวผู้เล่นที่ต่อต้านกิลด์พิฆาตราชาประจำเมืองแห่งนี้" เมื่อพูดจบเธอก็มองตาของเจนคล้ายกับว่าจะขอโทษ



    "หลังจากยืนยันได้แล้ว ฉันก็ได้รับคำสั่งมาให้กำจัดพวกคุณค่ะ"



    โจและแจ็ครีบตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ทันทีที่อามีร่าพูดจบ แต่เจนกลับส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามแก่ทั้งสองคน


    "ฉันจัดการเรื่องนี้เอง พวกนายถอยไปเถอะ"



    "จะบ้าหรือไง! เจอเข้าไปคราวที่แล้วยังไม่เข็ดอีก ยัยนี่มีระดับยศขุนนางเชียวนะ เธอสู้คนเดียวไม่มีทางชนะหรอก" โจพูดด้วยน้ำเสียงดุดันแต่เจนก็ยังไม่ยอมและหันไปสบตากับแจ็ค



    เพียงแค่มองตากันครั้งเดียวแจ็คก็พอจะรู้ว่าเธอต้องการที่จะให้เขาทำอะไร ชายหนุ่มพยักหน้าตกลงแล้วส่งของบางอย่างให้ จากนั้นจึงดึงตัวเพื่อนของตนให้ถอยกลับออกมา


    "ฉันเข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ ถึงเธอจะมีทักษะนั้นอยู่แต่ฝั่งตรงข้ามก็มีฝีมือไม่ธรรมดาเหมือนกัน"



    เด็กสาวพยักหน้าแล้วรับสิ่งของนั้นเอาไว้แล้วจึงหันกลับไปหาอามีร่า เจนก้าวเดินเข้าไปหาเด็กสาวโดยไม่กลัวเหล่าคนชุดดำที่ยืนล้อมอยู่จะเข้ามาโจมตีเธอเลยแม้แต่น้อย สายตาของเธอในตอนนี้จับจ้องไปที่เด็กสาวผมดำตรงหน้าของเธอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น



    "ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังเจอปัญหาอะไรอยู่ แต่ตอนนี้เธอกำลังทำผิดอยู่นะ เธอมากับฉันสิ ฉันสัญญาจะหาทางช่วยเธอเอง"



    อามีร่ารู้สึกประหลาดใจที่เจนไม่ยอมแพ้และพยายามจะกล่อมเธอทั้ง ๆ ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเธอมาก่อน คนส่วนใหญ่ที่เจอเธอนั้นก็มีอยู่บ้างที่พยายามช่วยเหลือเธอ แต่ไม่ใช่เมื่อมันเป็นการเจอกันเป็นหนที่สองเช่นนี้ แล้วยิ่งเมื่อรู้ว่าตอนนี้เธอตกอยู่ในเงื้อมมือใครแล้วล่ะก็ยิ่งไม่มีใครอยากจะข้องเกี่ยวกับเธออีก บางคนถึงกับตราหน้าเธอว่าเป็นตัวกาลกิณีด้วยซ้ำไป



    แต่เมื่อเธอมาพบเจนที่ทำตัวต่างกันออกไป ครั้งแรกที่ทั้งสองได้เจอกันนั้นต่างคนต่างแทบจะไม่คิดจะสู้กันเลย แต่เป็นเพราะสถานการณ์บังคับจึงทำให้เด็กสาวต้องลงมือ เมื่อดาบสุดท้ายของอามีร่ากำลังจะบั่นคอของเจนแต่เจ้าตัวกลับไม่คิดจะยกดาบมาป้องกันเลยด้วยซ้ำ เจนทำเพียงแค่มองตาของอามีร่าด้วยความรู้สึกสงสารอย่างสุดหัวใจ



    แต่ไม่ว่ายังไง ก็ไม่มีใครช่วยเหลือเธอออกมาจากฝันร้ายได้



    "คุณช่วยฉันไม่ได้" เด็กสาวพูดย้ำคำในจิตใจออกมาให้คนตรงหน้าได้ยินพร้อมกับชักดาบคาตะนะออกมา


    "ขอโทษนะคะ..."



    สิ้นคำ ร่างของอามีร่าก็หายไปในพริบตา เธอมาปรากฏตัวอีกทีต่อหน้าเจนพร้อมกับฟาดดาบใส่ แต่ตอนนี้เจนก็เตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว


    ร่างของเจนเปล่งแสงออกมาด้วยพลังของทักษะแล้วเธอก็ชักดาบคุซานางิออกมากันอย่างทันท่วงที เด็กสาวผมดำเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะว่าคนตรงหน้าสามารถรับดาบของเธอได้ในความเร็วระดับนี้ซึ่งน้อยคนนักจะทำได้ แต่อีกใจเธอก็รู้สึกโล่งใจเช่นกันที่เจนอาจจะมีโอกาสสู้กับเธอและหนีรอดไปได้



    เจนรีบปัดดาบของอามีร่าออกไปก่อนถอยออกมาตั้งหลัก ตอนนี้เธอไม่มีแผนอยู่ในหัวเลย ถึงระดับของเจนจะเพิ่มขึ้นมาจากครั้งก่อนที่เคยสู้กันแล้วก็ตามแต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เจนได้เปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้ได้



    ในตอนนี้ทางรอดทางเดียวคือต้องหวังใช้พลังสถิตร่างเพื่อจัดการอย่างรวดเร็วซึ่งเจนก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ แต่ต่อให้เจนสามารถชนะได้จริง ๆ เธอก็ไม่มีแผนที่จะพาทั้งตัวเองและอามีร่าออกไปจากที่แห่งนี้ได้เลย ทุก ๆ อย่างฝากไว้กับพวกโจหมดแล้วและหวังว่าสองคนนั้นจะทำสำเร็จทันเวลา



    ก่อนที่ทักษะเสริมพลังจะหมดเวลา เจนรีบพุ่งเข้าโจมตีใส่อามีร่าก่อน เธอไม่ได้คิดจะสู้จนตัวตาย แต่จะพยายามสู้ไปจนกว่าเด็กสาวผมสีดำตรงหน้าสู้ไม่ไหวเท่านั้น ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เจนคิด คราวนี้เจนพุ่งเข้าไปฟาดดาบอย่างเต็มกำลังแต่อามีร่ากลับสามารถก้าวหลบได้อย่างง่ายดายและฟันสวนกลับมา


    ทักษะเสริมพลังยังมีผลอยู่ เจนจึงฉีกตัวหลบดาบและถอยออกมาก่อนจะเสียเปรียบไปมากกว่านี้ ดาบที่อามีร่าฟันสวนมาเมื่อครู่นั้นเจนมองทันเพียงแค่แว่บเดียวเท่านั้น ถ้าหากพลาดไปแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวเธอก็คงจะหัวขาดไปแล้ว



    ทักษะเสริมพลังกายได้หมดเวลาลง เจนมองหน้าไปยังเด็กสาวตรงหน้าก่อนจะตั้งท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง แม้ว่าคราวนี้เธอจะไม่มีทักษะช่วยเหลือแต่ใช่ว่าเธอจะแพ้แล้วซักหน่อย



    "นี่! อามีร่า เธอมากับฉันเถอะ ไม่ว่าเธอจะมีปัญหาอะไร พวกเราจะช่วยแก้ไปด้วยกัน" เจนพยายามเกลี่ยกล่อมอีกครั้งและหวังว่าอย่างน้อยเด็กสาวคงจะยอมพูดอะไรบ้าง



    "ปัญหานี้มันใหญ่เกินตัวคุณ! คุณช่วยฉันไม่ได้ ไม่มีใครทำได้!" อามีร่าตะโกนก้องแล้วพุ่งเข้าใส่เจนด้วยความเร็วที่สูงกว่าเดิม ดาบคาตะนะเฉือนผ่านเรียวแขนบางจนเลือดสีแดงไหลออกมาบนเสื้อโค้ทสีแดงจนทำให้เป็นสีแดงยิ่งกว่า



    ดาบของอามีร่ายังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เธอพุ่งกลับเข้ามาปะทะเจนอีกครั้งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว คราวนี้เจนยกดาบขึ้นมากันเอาได้ทันด้วยสัญชาติญาณของเธอที่เตือนถึงอันตรายในวินาทีสุดท้าย แต่ก็ยังพลาดดาบที่สามที่ฟันปาดเอวของเจนไปจนได้แผลลึก ความเจ็บปวดพุ่งปรี๊ดจนแทบจะทำให้เธอร้องตะโกนออกมา แต่เจนพยายามกัดฟันทนเอาไว้ให้ได้เพราะเธอต้องตั้งสมาธิเพื่อรับมือดาบต่อไปของอามีร่า แต่เจนมั่นใจว่าอามีร่านั้นยังไม่ได้ตั้งใจจะปลิดชีวิตของเธอ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเธอคงหัวขาดไปตั้งแต่แรกแล้ว



    ตอนนี้เจนรู้ซึ้งแล้วว่าความแตกต่างของผู้เล่นระดับทหารอย่างเจนและระดับขุนนางอย่างอามีร่ามันยิ่งใหญ่ขนาดไหน ต่อให้เจนมีอาวุธหรือไอเท็มระดับสูงอยู่ก็ตาม แต่ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามมีพลังมากกว่า ต่อให้พยายามซักเท่าไหร่ เจนก็ไม่มีวันก้าวผ่านกำแพงที่เรียกว่าระดับไปได้



    ตอนนี้เจนมีบาดแผลอยู่ทั่วตัวที่ได้มาจากดาบของอามีร่า แม้ว่าเจนจะพอมองตามได้ทันแต่ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามได้อย่างทันท้วงที ทำได้แค่พยายามเคลื่อนตัวหลบและลดความเสียหายให้มากที่สุด แต่ดูท่าทางบาดแผลที่เอวนั้นสาหัสเอาการ เจนรู้ว่าถ้าหากยิ่งปล่อยเอาไว้นานเท่าไหร่ก็จะยิ่งเสียเปรียบ เธอต้องพยายามจัดการจบเรื่องให้เร็วที่สุดแต่ยังทำไม่ได้ถ้าหากยังตามความเร็วของอามีร่าไม่ทันเช่นนี้



    ในที่สุดอามีร่าก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง แต่ร่างของเธอนั้นเต็มไปด้วยรอยเลือดของเจน โดยเฉพาะที่ดาบนั้นโชกเลือดจนกลายเป็นสีแดงทั้งด้าม ของเหลวสีแดงหยดไหลจากตัวดาบเหมือนกับน้ำที่ไหลออกจากก๊อก สีหน้าของอามีร่านั้นเย็นชาแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องทำร้ายคนที่พยายามจะช่วยเหลือเธอ ไม่เพียงแค่ครั้งเดียว แต่เป็นถึงครั้งที่สอง



    ดาบคุซานางิส่องประกายวูบวาบจนทำให้เหล่าคนชุดดำเริ่มมีการเคลื่อนไหวเพราะไม่รู้ว่าดาบเล่มนั้นจะทำอะไรได้แต่พวกเขาได้รับคำสั่งมาอย่างชัดเจนจึงไม่กล้าลงมือเข้าแทรก เจนรู้ว่าสิ่งที่ทำให้เกิดแสงนั่นไม่ใช่ดาบแต่เป็นคิทซึเนะและฟีบีที่พยายามออกมาจากดาบเนื่องจากรับรู้ว่าเจนกำลังบาดเจ็บหนัก แต่ถึงทั้งสองตัวจะออกมาก็ยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้และอาจจะเป็นอันตรายต่อทั้งคู่ คงเป็นการปลอดภัยกว่าที่จะให้ทั้งสองอยู่ในดาบต่อไป



    ครั้นจะพยายามเคลื่อนไหวหนีแต่ในตอนนี้เจนกลับทำได้อย่างยากลำบาก แค่ใช้มือถือดาบได้ก็สุดแรงแล้ว ในตอนนี้เธอได้รับบาดเจ็บมากเกินไปจนสู้ต่อไปไม่ไหว หากเจนยังไม่คิดหาทางออกให้ได้ล่ะก็ เธอคงได้ตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน



    "ยอมซะเถอะค่ะ ฉันจะจัดการคุณในพริบตา คุณแทบไม่รู้สึกหรอกค่ะ.... หลังจากที่คุณเกิดใหม่แล้วถ้าไม่เลิกเล่นเกมนี้ไปซะก็อยู่ห่าง ๆ จากกิลด์พิฆาตราชานะคะ เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง" อามีร่ากล่าวแล้วค่อยๆย่างก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวตรงหน้าของเธออย่างช้า ๆ เธอไปหยุดอยู่ตรงหน้าและยกดาบทาบที่คอของเจน เตรียมพร้อมที่จะลงดาบเพื่อตัดขาดสายสัมพันธ์สุดท้ายที่แม้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่



    "นั่นเธอคิดจะทำอะไรของเธอ..." เสียงเย็นของเจนดังขึ้น อามีร่าที่ไม่เคยได้ยินน้ำเสียงแบบนี้มาก่อน น้ำเสียงของเจนไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าปองร้ายหรือเกลียดเลยแม้แต่น้อย



    "ค..คุณหมายความว่ายังไง" เด็กสาวเอ่ยถามเสียงสั่น



    "เธอบอกว่าจะจัดการฉัน... แต่คนที่คิดจะทำอย่างนั้นจริง ๆ ล่ะก็ ไม่ร้องไห้แบบนั้นหรอก!" เจนเปล่งเสียงออกมาดังก้อง เธอจ้องไปยังใบหน้าที่อาบน้ำตาของอามีร่า มือน้อย ๆ สั่นไหวเหมือนกับไม่มีแรงแต่ยังพยายามจับดาบให้มั่น



    น้ำตาของเด็กสาวร่วงลงสู่พื้น ไม่มีทางเลยที่อามีร่าจะลงมือกับคนที่ยอมเสียสละเพื่อเธอได้มากถึงขนาดนี้ได้ลงคอ นานมากแล้วที่อามีร่าได้พบแต่ความเกลียดชังจากผู้เล่นที่เธอถูกสั่งให้ไปฆ่า ความโหดร้ายที่เธอพบมาตลอดจากคนที่เธอทำงานด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นค่าของเธอไปมากกว่าเครื่องมือที่ไร้จิตใจจนตัวเธอเองก็เริ่มจะตายด้านไปแล้ว แต่แล้วก็มีแสงที่นำทางเธอกลับมา แสงที่ให้ความอบอุ่นที่เธอแทบจะลืมไปแล้วว่ารู้สึกอย่างไร แสงนั้นคือเจนนั่นเอง



    "ฉันบอกเธอแล้วว่าจะช่วยเธอให้ได้ คนอย่างฉันพูดอะไรแล้วไม่มีวันคืนคำง่าย ๆ แน่!!" เจนตะโกนก้อง แล้วทันใดนั้นร่างของเธอก็เปล่งแสงสีทองออกมาสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ



    พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!



    ทันทีที่ใช้ทักษะ ร่างกายของเจนก็ฟื้นฟูพลังขึ้นมาจนเกือบสมบรูณ์ ถึงจะไม่ได้มีพละกำลังเต็มร้อย แต่ก็เพียงพอที่จะต่อสู้ต่อไปได้แล้ว



    ผ่ามิติ!!



    เด็กสาวตวัดดาบอย่างรวดเร็วและคลื่นแสงก็พุ่งออกมาจากดาบเข้าใส่เป้าหมาย แต่แทนที่จะพุ่งใส่อามีร่า คลื่นทักษะผ่ามิติกลับพุ่งเข้าปะทะพวกคนชุดดำโดยที่พวกนั้นไม่ทันตั้งตัว



    ตูม!!!



    คลื่นดาบระเบิดออกอย่างรุนแรงทำให้พวกคนชุดดำถูกแรงกระแทกออกไปคนละทิศคนละทาง แต่มีเพียงคนที่โดนเข้าจัง ๆ เท่านั้นที่กลายเป็นแสงไป



    ปัง! ปัง! ปัง!



    พร้อมกันกับที่เจนโจมตีใส่กลุ่มคนชุดดำ เสียงปืนก็ดังรัวอย่างถี่ยิบ เหล่าโจรที่อยู่ในเมืองนับร้อยวิ่งออกมาจากอาคารใกล้เคียงและระดมยิงไปยังเหล่าคนชุดดำจนเกิดความวุ่นวายไปทั่ว



    เจนเห็นอดีตนายอำเภอไวแอท เอิร์ปกำลังนำกองโจรกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าปะทะกับกลุ่มคนในชุดดำที่กำลังเข้ามาทางนี้หวังจะจับตัวเจนเอาไว้ให้ได้ ทำให้พวกเขาต้องรีบหาที่หลบห่ากระสุนของพวกพวกเอิร์ปกันแทบไม่ทัน



    ดูท่าทางแผนที่โจไปจัดการจะลุล่วงไปได้ด้วยดี ดีเกินไปด้วยซ้ำ



    เมื่อย้อนไปตอนที่หลังจากที่พวกโจถอนตัวออกไป พวกเขาก็ไปขอความช่วยเหลือจากอดีตนายอำเภอ โดยเจนได้มารู้ทีหลังว่าเขานั้นเป็นผู้นำกองกำลังโจรที่รอคอยจะยึดเมืองกลับมาจากกิลด์พิฆาตราชาอยู่ ดังนั้นเมื่อได้โอกาสจัดการพวกกิลด์พิฆาตราชาที่ปกตินั้นจะหาตัวได้ยากภายในเมืองแห่งนี้ จะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อถึงเวลาเก็บภาษีที่สูงลิบเท่านั้น ดังนั้นจึงมีคนมากมายที่ยินดีจะเข้าร่วมเมื่อได้โอกาสจะได้เตะก้นคนของกิลด์พิฆาตราชาเช่นนี้



    "ตอนนี้แหละ รีบหนีเร็วเข้า!" เสียงของโจดังขึ้นพร้อมกับมือหนาพุ่งเข้ามาจับมือบางของเจน



    ตอนแรกเธอลังเลเพราะใจหนึ่งก็อยากจะอยู่ช่วยพวกไวแอท เอิร์ป เพราะเจนคิดว่าพวกกิลด์พิฆาตราชาต้องมีกำลังเสริมอย่างแน่นอน กองโจรที่เอิร์ปรวบรวมมานั้นมีจำนวนมากแต่คงไม่พอเมื่อเทียบกับกองทัพผู้เล่นระดับสูงของกิลด์พิฆาตราชา เหล่าโจรส่วนใหญ่ที่ยังไม่ออกมาเข้าร่วมเพราะส่วนหนึ่งยังคงคอยดูท่าทีอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่พวกเอิร์ปจะชนะได้ แต่เขาก็สามารถสร้างความวุ่นวายได้มากพอที่พวกเจนจะหนีไปได้โดยไม่มีใครคอยขัดขวาง



    ทันใดนั้นเองเจนก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาในหัว เธอรีบหันไปหาอามีร่าซึ่งในตอนนี้เธอกำลังสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้าจนไม่ทันรู้ตัวว่าเจนนั้นเข้ามาถึงตัวแล้ว



    "ตอนนี้ล่ะอามีร่า หนีไปกับพวกเราเถอะ!" เจนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและจับมือของอามีร่าอย่างนุ่มนวล



    เด็กสาวผมดำมองหน้าของเจนด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบในอกขึ้นมาถึงใบหน้า มันเป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน มันทำให้เธออยากจะแสดงความรู้สึกบนใบหน้าจนแทบจะปริยิ้มออกมาซึ่งเธอแทบจะลืมไปแล้วว่าทำยังไง แต่ทันใดนั้นเธอก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาหดหู่ลงอีกครั้งแล้วปล่อยมือออกจากมือของเจน



    "ไม่ได้หรอกค่ะ... ถึงฉันจะหนีไปได้ในเกม แต่นอกเกมฉันก็หนีไปไหนไม่ได้ คุณช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอกค่ะ" อามีร่ากล่าวปฏิเสธ น้ำเสียงของเธอดูเศร้าหมองลงดังเดิมอีกครั้ง แต่เจนก็รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่อยู่ในน้ำเสียง ต่างจากตอนแรกที่ฟังดูไร้วิญญาณ



    "เธอพูดอะไรของเธอ...-"



    "ไม่มีเวลาอธิบายแล้วค่ะ ตอนนี้กองกำลังหลักใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้ารีบหนีไปตอนนี้อาจจะหนีพ้นก็ได้" อามีร่าตัดบทแล้วรีบผลักไล่ให้พวกเจนหนี แต่เจนยังคงยืนกรานคำเดิมและไม่ยอมถอย เด็กสาวจึงหันไปหาโจและแจ็คเพื่อขอความช่วยเหลือ



    ทั้งสองต่างก็รู้สึกแปลกใจเมื่อจู่เด็กสาวที่เคยพยายามจะฆ่าเพื่อของพวกเขากลับมาขอร้องให้รีบพาเจนหนีไปแบบนี้ แต่ความคิดของพวกโจตรงกันกับเด็กสาว "เจน เชื่อที่เด็กคนนี้พูดเถอะ ถ้าหากพวกเราหนีไปตอนนี้ ก็ยังมีโอกาสที่จะช่วยเด็กคนนี้..อามีร่าได้อยู่นะ แต่ถ้าเธอโดนจับได้ล่ะก็ ทุกอย่างก็จบทันที"



    "ใช่แล้ว ถ้าอยู่ไปพวกเราก็สู้พวกนี้ไม่ได้อยู่ดี ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา ที่ลุงนายอำเภอมาช่วยเราก็เสียเปล่าน่ะสิ" แจ็คเสริม



    เมื่อเจนได้ยินดังนั้นจึงต้องว่าตาม แต่เธอก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอามีร่าอยู่ ทว่าทางเลือกนั้นมีอยู่ไม่มากนักและเวลาก็บีบกระชั้นเข้ามาเรื่อย ๆ



    "เจน! ไปเถอะ เร็วเข้า!" โจย้ำอีกครั้ง แต่เธอไม่อยากจะทิ้งอามีร่าไปจริง ๆ อย่างน้อยก็ไม่ไปโดยที่ทิ้งเด็กสาวตรงหน้าเอาไว้โดยที่ไม่บอกชื่อ



    "เอ่อ อย่างน้อยฉันก็อยากจะบอกชื่อให้เธอรู้เอาไว้ ฉันมีชื่อว่าเจน...แต่เธอคงจะรู้อยู่แล้วนี่เนอะ" เด็กสาวพูด จากนั้นเธอก็หยิบมีดขนแดงออกมาแล้วส่งไปให้อามีร่า

    "เก็บมีดนี่เอาไว้เป็นของค้ำประกันก็แล้วกัน ฉันจะกลับมาช่วยเธอแน่ ๆ ...ฉันให้สัญญา!"



    พูดจบเจนก็รีบพุ่งขึ้นฟ้าไปโดยพาเพื่อนทั้งสองคนไปด้วย เพียงพริบตาเดียวอามีร่าก็มองไม่เห็นพวกเจนอีก เธอก้มลงมองมีดในปลอกสีแดงดูน่ารัก พร้อมกับมีขนฟูสีแดงกระดับอยู่ตรงด้าม เธอเก็บมีดเข้าช่องเก็บของแล้วตอนนั้นเองที่ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านหลังของเธอ



    "รู้สึกว่าสามคนนั้นไปแล้วสินะ ยัยหนู" เสียงต่ำห้าวดังขึ้น อามีร่าเพียงหันไปสบตาเพียงครู่เดียวแล้วก็หันกลับไปมองทิศที่พวกเจนจากไป



    "ค่ะ....พวกเขาหนีพ้นแล้ว"



    "โอเค ถ้าอย่างนั้นงานของฉันก็จบลงเพียงเท่านี้..." เจ้าของเสียงห้าวนั้นพูดก่อนจะเก็บปืนลงซอง แต่เขากลับชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบมันออกมาอีกครั้ง



    "พวกนั้นไม่ได้ขอให้ฉันช่วยในเรื่องนี้หรอกนะ แต่ฉันคิดว่าเธอคงอยากได้ความช่วยเหลือนิดหน่อย จริงมั้ย?"



    อามีร่าไม่ตอบ เธอเพียงก้มหน้าลงแล้วยืนนิ่งก่อนที่จะพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ



    ปัง!!



    เสียงปืนดังหนึ่งนัด พร้อมกับร่างบางในชุดสีดำกลายเป็นแสงไปอย่างช้า ๆ เจ้าของเสียงควงปืนหนึ่งรอบก่อนจะเก็บเข้าซองปืน เขาขยับหมวกปีกกว้างเล็กน้อย เผยให้เห็นแผลบนใบหน้าอย่างชัดเจนขณะที่เขากำลังเดินตรงไปยังบาร์กระสุนดำที่อยู่ใกล้ ๆ เขาพูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวอาคาร



    "ฉันช่วยเท่าที่ช่วยให้แล้วนะ ...ไอ้หนู"





    เจนพาโจและแจ็คลงสู่พื้น ณ ที่ห่างจากเมืองรีเด็มชั่นอยู่พอสมควร เธอปลดทักษะพลังสถิตร่างออกแม้ความจริงเจนอยากไปไกลกว่านี้หน่อย แต่เพื่อนหนุ่มทั้งสองนั้นแหกปากร้องเสียงดังมาตลอดทางจึงจำต้องลงสู่พื้นอย่างช่วยไม่ได้



    "พวกนายนี่มันน่าหนวกหูจริง ๆ โวยวายอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่น่าจะไปได้ไกลกว่านี้อีก" เจนบ่นออกมาเพราะต้องฟังคนเสียงตะโกนของทั้งสองมาตลอดทาง ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนพาบินขึ้นฟ้ามาแท้ ๆ



    "คราวหลังก็ช่วยพาไปให้มันดีกว่านี้หน่อยได้มั้ย หา!! เล่นจับขาห้อยหัวมาแบบนี้ เป็นใครก็ต้องร้องกรี้ดแบบพวกเรานี่แหละ!" โจตะโกนว่า



    "หมุนติ้ว ๆ ด้วย" แจ็คเสริมอีกคนแล้วทำท่าจะคายของเก่าออกมาให้ได้



    พอเห็นเพื่อนของเธอเป็นอย่างนั้นไป เจนจึงไม่คิดจะเถียงต่อ เธอนั่งลงบนก้อนหินใกล้ ๆ พร้อมกับหันไปมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกลง ณ ขอบฟ้า



    "พวกเราตั้งแค้มป์ที่นี่ละกัน เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางกันต่อ" เด็กสาวพูด จากนั้นเธอจึงนำเต็นท์ออกมากาง เช่นเดียวกันกับพวกโจที่ทำตามอย่างว่าง่าย



    หลังจากกางเต็นท์เสร็จแล้ว เจนจึงออกไปเก็บฟืนเพื่อที่จะก่อไฟ เมื่อกลับมาถึงที่ตั้งแค้มป์ก็พบว่าพวกโจกางเต็นท์ของพวกตนเสร็จเรียบร้อยและกำลังนั่งคุยกันเสียงเบา เธอไม่ได้ยินว่าสองคนคุยอะไรกันบ้าง แต่เจนก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงจะเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน



    เจนวางท่อนฟืนลงแล้วปล่อยให้เพื่อนทั้งสองคนทำหน้าที่ก่อกองไฟ ส่วนเธอนั้นหันไปปล่อยสัตว์เลี้ยงของเธอออกมาจากดาบ หลังจากที่เก็บทั้งสองเอาไว้ทั้งวัน



    “ฟี้!!!”



    "เจ้านายยยยย!! เสียงร้องของฟีบีและคิทซึเนะดังพร้อมกับทั้งคู่กระโจนออกมาจากดาบและพุ่งเข้าใส่เจนจนล้มกระแทกไปบนพื้น มังกรน้อยนั้นยังคงตัวเล็กเท่าเก่าวิ่งมาที่ข้างตัวและเลียใบหน้าของเจนอย่างกับลูกสุนัข ส่วนจิ้งจอกสาวน้อยนั้นกอดตัวเธอแน่น ปากก็พลามพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา



    "โอเค โอเค พอได้แล้วทั้งสองคน ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว" เด็กสาวพูดและพยายามจะดันทั้งสองออกไป ฟีบีนั้นนั่งส่ายหางไปมาอย่างว่าง่าย แต่สัตว์เลี้ยงอีกตัวของเธอนั้นยังไม่ยอมหยุด



    "ไม่ยอมหรอก! คราวนี้หนูโกรธเจ้านายจริง ๆ ด้วย! ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยให้พวกเราออกมาล่ะ! ทำไมถึงไม่ยอมให้พวกเราช่วย!"



    เจนถึงกับตกใจกับคำพูดของจิ้งจอกน้อยตรงหน้าเจนซึ่งตะโกนออกมาด้วยอารมณ์รุนแรงมากที่สุดเท่าที่เจนเคยได้ยินจิ้งจอกน้อยพูดกับเธอ ยิ่งแล้วเมื่อเจนรู้สึกเหมือนกับว่าคิทซึเนะใช้คำพูดที่เจนพูดกับอามีร่ากลับมาที่ตัวเธอเอง ใบหน้าของจิ้งจอกน้อยเลอะไปด้วยคราบน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นของเด็กสาวทำให้เจนอดรู้สึกผิดอย่างช่วยไม่ได้



    เธอยกมือบางขึ้นบาดน้ำตาของจิ้งจอกน้อยแล้วจึงลูบหัวเบาๆ "ฉันขอโทษ จะไม่มีคราวหน้าอีก ต่อไปนี้ถ้าเกิดเรื่องขึ้นพวกเราจะสู้ไปด้วยกัน"



    "สัญญานะ..ฮึก" คิทซึเนะสะอึกจากการร้องไห้ เธอยกมือน้อยๆขึ้นปาดน้ำตาของตัวเอง



    "สัญญาสิ ถ้าหากเธอสัญญาว่าอย่าเรียกฉันว่าเจ้านายอีก.. สัญญานะ" เจนพูดแล้วยกนิ้วก้อยขึ้นมาให้กับคิทซึเนะ จิ้งจอกน้อยดูสับสนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยกนิ้วก้อยเกี่ยวสัญญาตามเจ้านายของเธอ



    "อื้อ!"







    หลังจากที่เจนกล่อมคิทซึเนะและฟีบีให้สงบลงได้แล้ว ทั้งสามก็เข้ามาสมทบกับพวกโจซึ่งพวกเขาก่อกองไฟเรียบร้อยแล้วและกำลังนำอุปกรณ์ทำอาหารออกมาเตรียมพร้อมให้เจนลงมือทำ เนื่องจากในกลุ่มนี้มีเพียงแค่เจนเท่านั้นที่เคยลงมือทำอาหารจริง ๆ อยู่เพียงแค่คนเดียว อย่างโจและแจ็คนั้นอย่างมากก็ได้แค่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น



    เจนจัดการย่างเนื้อที่ซื้อเก็บเอาไว้ตั้งแต่อยู่ที่เมืองซีโป คราวนี้เธอไม่พลาดเหมือนตอนที่เธออยู่ที่เกาะเริ่มต้นเพราะครั้งนี้เจนมีเครื่องปรุงใช้หมักเนื้อไว้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นเกลือ พริกป่น หรือน้ำตาล นอกจากนี้เจนยังได้น้ำซอสชนิดพิเศษซึ่งมีอยู่ในเกมเท่านั้น ถึงเจนจะรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่แต่แม่ค้าที่ขายน้ำปรุงนี้มาก็ยืนยันว่าจะทำให้อาหารมีรสอร่อยอย่างแน่นอน และราคาของมันเองก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลยด้วย



    ไม่นานจากที่นำเนื้อไปย่างไฟโดยเจนเสียบไม้เหมือนกับทำบาร์บีคิว กลิ่นหอมละมุนก็ลอยเตะปากทุกคนจนรู้สึกน้ำลายสอ ท้องของพวกโจและสัตว์เลี้ยงทั้งสองร้องออกมาคล้ายกับเพลงบรรเลงจนทำให้เจนรู้สึกขำขึ้นในใจเล็ก ๆ



    "หอมจังเลย แบบนี้กินได้แล้วมั้งเนี่ย" โจพูดพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากพลางเข้าหาเนื้อเสียบไม้ที่กำลังย่างอยู่



    "รีบถอยออกไปเลยนะ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาหน่อยสิถึงจะอร่อย" เจนพูดแล้วใช้ไม้เสียบที่เหลืออยู่แทงให้ชายหนุ่มให้ถอยออกไป



    "แต่กลิ่นมันก็หอมจริงๆนะเนี่ย เธอใช้เครื่องปรุงอะไรเนี่ยถึงออกมาเป็นแบบนี้ได้เนี่ย" แจ็คถามขึ้นบ้าง เจนไม่ตอบแต่ส่งยิ้มไปให้ราวกับจะบอกว่าเป็นความลับของพ่อครัว หรือจะต้องพูดให้ถูกว่าเป็นแม่ครัวแล้วในตอนนี้



    ไม่นานเนื้อย่างก็เสร็จเรียบร้อยเจนก็จัดการส่งเนื้อย่างไปให้ทุกคนและจัดการหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆและนำไปให้ฟีบีที่กำลังคอยอยู่ใกล้ ๆ จากนั้นเจนจึงหยิบเนื้อส่วนของตนขึ้นมาทานบ้าง



    ง่ำ



    "อื้ม!!" สี่เสียงดังประสานกันเมื่อได้ลิ้มรสของเนื้อย่างที่ถูกปรุงแต่งรสมาอย่างดี เจ้ามังกรน้อยเองก็ดูท่าทางจะชอบเหมือนกันเพราะฟีบีก้มหน้าลงกินเนื้อของตัวเองอย่างมูมมาม บอกกันตามตรงเจนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะทำอาหารออกมาได้รสชาติอร่อยถึงขนาดนี้ ดูท่าทางน้ำซอสปรุงรสที่เธอซื้อมาคงจะคุ้มไม่ใช่น้อย



    ท่านได้รับทักษะ คนครัวมืออาชีพ จากการปรุงอาหารรสเลิศ



    เจนได้ยินเสียงในหัวของเธอแล้วจึงเปิดหน้าต่างดู พบว่าทักษะใหม่ที่ได้มานี้นั้นไม่ได้เพิ่มความสามารถในการทำอาหารหรือการต่อสู้ใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นทักษะที่ทำให้เจนสามารถเข้าร่วมอยู่ในการจัดระดับกุ๊กของโลก ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์แห่งนี้ ซึ่งจากเท่าที่ดูแล้วเธอนั้นอยู่ในระดับล้านกว่า ๆ เลยทีเดียว ดูถ้าหากเธอต้องการจะไต่ระดับขึ้นมาก็คงต้องหาวิธีทำอาหารให้อร่อยกว่านี้ซะแล้ว



    "แล้วเธอจะทำยังไงต่อล่ะเจน.... เรื่องเด็กอามีร่าคนนั้นน่ะ" โจถามขึ้นระหว่างที่กำลังยกเนื้อย่างขึ้นมากิน



    ความจริงแล้วเจนก็กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ตั้งแต่ที่เธอหนีออกมาจากเมืองรีเด็มชั่นเธอนั้นก็หยุดคิดถึงเรื่องของอามีร่าไม่ได้ซักที แม้ครั้งนี้เด็กสาวจะยอมคุยกับเธอและเปิดใจให้มากขึ้น แต่อย่างนั้นเจนก็ยังไม่ได้รู้เรื่องราวของอามีร่ามากเท่าที่ควรเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เลยว่าเธอจะต้องช่วยเด็กสาวจากใครและจากอะไร



    "ฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันให้คำสัญญากับอามีร่าเอาไว้แล้วว่าฉันจะต้องหาทางช่วยเธอให้ได้" เจนพูดออกมาจากใจจริง เธออยากจะช่วยเด็กสาวคนนั้นมากเหลือเกิน มันน่าแปลกเพราะเจนเคนคุยกันเพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ในครั้งแรกที่คุยกันยังไม่แน่ใจว่าจะควรนับหรือเปล่าเพราะเธอไม่ได้เอ่ยปากเลยแม้แต่คำเดียว



    "แล้วจะช่วยยังไงล่ะ ถึงตอนนี้ฉันจะพอเห็นแล้วว่าเด็กคนนั้นกำลังเดือดร้อนอยู่ แต่เธอต้องให้ฉันเตือนความจำหรือเปล่าว่าตอนนี้เรากำลังพูดถึงกิลด์พิฆาตราชาเดียวนะ กิลด์ที่ต่อกรกับกิลด์อันดับสองและอันดับสามได้สบาย ๆ แล้วก็ยังเป็นกิลด์ที่เพิ่งไล่เตะก้นพวกเราออกมาจากเมืองอีกต่างหาก ยังไม่รวมถึงที่พวกเรายังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอามีร่านอกจากชื่อของเธอเลย"



    "ฉัน!!...ฉันรู้แล้วล่ะน่า" เจนพยายามจะโต้แย้ง แต่ก็จริงอย่างที่โจพูด เธอยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวอามีร่ามากพอที่จะช่วยเธอได้



    "มันต้องมีทางไหนซักทางสิ ที่เราจะรู้เรื่องราวนี้ให้ได้...จริงสิ! ให้หนูส่งข่าวลองไปสืบดูจะได้มั้ย"



    "ถ้าเป็นข่าวในเกมน่ะพอได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องนอกเกมล่ะก็ลืมไปได้เลย พวกเรากำลังเล่นเกมอยู่นะ" แจ็คพูดแย้งขึ้นมาบ้าง



    นั่นทำให้เจนรู้สึกผิดหวังอย่างมาก แต่ยังไงนี่ก็ยังเป็นแค่เกม สิ่งเธอที่ได้นั้นถูกจำกัดเพียงแค่อยู่ในเกม เธอไม่สามารถช่วยแก้ไขหรือรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากนอกเกมได้อยู่ดี



    "มีทางเดียวที่พวกเราจะรู้ได้ก็คือต้องเข้าไปถามเจ้าตัวเองนั่นล่ะ แต่ไม่มีทางเลยว่าพวกเราจะรู้ได้ว่าหลังจากนี้อามีร่าจะไปอยู่ที่ไหน" แจ็คบอก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเจนที่ดูซึมเศร้าลงจึงพูดเสริมขึ้นมาอีก



    "พวกเราลองให้ไอ้เจ้าหนูไปสืบว่าอามีร่าอยู่ที่ไหนดูก็ได้...พอพวกเรารู้ข่าวแล้วค่อยไปถามเธอต่อหน้าก็ยังไม่สาย"



    "แต่แบบนั้นพวกเราก็อาจจะเข้าไปหาพวกกิลด์พิฆาตราชาเลยนะ ยิ่งตอนนี้พวกนั้นคงรู้ชื่อเธอแล้วด้วย" โจรีบพูดขึ้นมา แต่แจ็คและเจนกลับส่งยิ้มให้กันก่อนเจนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาให้เพื่อนของเธอให้เห็น



    "พวกนั้นไม่รู้หรอก ตราบใดที่ฉันยังมีเครื่องรางชิ้นนี้อยู่" เจนว่า ในมือของเธอมีตราที่ทำจากเหล็กสีเงินชิ้นหนึ่ง ตรงกลางมีสัญลักษณ์เป็นรูปดาวห้าแฉกคล้ายกับตรานายอำเภอ



    "นี่เป็นเครื่องรางแห่งกลุ่มผู้ลึกลับ จะทำให้ผู้เล่นคนอื่นไม่สามารถตรวจสอบชื่อและสถานะคนที่พกเครื่องรางนี้ได้ แจ็คได้เครื่องรางนี่มาจากตอนที่เปลี่ยนอาชีพกับลุงเอิร์ปน่ะ" เจนว่าแล้วส่งเครื่องรางคืนไปให้เพื่อนของเธอ แต่เขาส่ายหน้าแล้วตอบกลับ



    "เธอเก็บเอาไว้เถอะ ในตอนนี้มันมีประโยชน์กับเธอมากกว่าฉัน"



    "ขอบใจนะ" เจนตอบแล้วเก็บเครื่องรางในมือลงกระเป๋าแล้วพูดต่อ



    "ถึงตอนนี้พวกนั้นยังไม่รู้ชื่อของฉัน แต่พวกเราก็ยังสู้พวกนั้นไม่ได้เพราะระดับและเลเวลต่างกันมากเกินไป ฉันจึงคิดว่าพวกเราก็ควรจะเก่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะได้รับมือกับพวกกิลด์พิฆาตราชาและคนอื่น ๆ ที่จะมาหาเรื่องกับพวกเราได้"



    "งั้นก็แปลว่าพวกเราจะไปหาที่เก็บเลเวลใช่มั้ย" แจ็คถาม พอเห็นเด็กสาวพยักหน้ารับแล้วเขาจึงพูดขึ้นต่อ



    "แล้วพวกเราจะไปที่ไหนดีล่ะ"



    "ที่แน่ ๆ ฉันคิดว่าพวกเราคงจะอยู่ในทวีปนี้นานไม่ได้ กิลด์พิฆาตราชารู้แล้วว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน คงได้พลิกแผ่นดินตามหาเรากันล่ะ" เจนบอก



    "นายมีความคิดเห็นอะไรมั้ยโจ"



    ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนสาวแล้วทำท่าครุ่นคิดประกอบกับมือคว้าแผนที่ทวีปนี้ที่ซื้อมาตั้งแต่ที่เขามาถึงทวีปนี้ขึ้นมาดู "เฮ้อ...ตอนนี้ที่ ๆ พวกเราควรจะทำก่อนก็คือหาทางออกไปจากเกาะแห่งนี้ ฉันพนันเลยว่าท่าเรือทุกท่าคงโดนเฝ้าเอาไว้หมดแล้ว ถ้าเกิดพวกเราไปก็เท่ากับว่าเดินเข้ากับดักของพวกนั้นพอดี"



    "แล้วจะทำยังไงดีล่ะ แบบนี้พวกเราก็หนีไปไหนไม่ได้น่ะสิ" เจนพูดอย่างกังวลใจเพราะยิ่งพวกเธออยู่ในทวีปแห่งนี้นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่กิลด์พิฆาตราชาจะหาเธอพบมากขึ้นเท่านั้น



    "มีอยู่ทางหนึ่ง.." โจพูด แต่ดูเขาท่าทางจะไม่ค่อยชอบทางนี้ซักเท่าไหร่ มันแสดงออกมาทางสีหน้าของเขาอย่างชัดเจน



    "มีทางออกไปจากทวีปแห่งนี้อยู่อีกทางหนึ่งนอกจากข้ามทะเลนั่นก็คือขึ้นเรือเหาะไป"



    "เรือเหาะ!? ในเกมนี้..- ทำไมนายถึงมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ" เจนรีบถามเพราะตอนนี้เพื่อนหนุ่มทั้งสองกำลังรี่ตามองเธอจนทำให้เจนรู้สึกเหมือนกำลังโดนหมิ่นน้อย ๆ



    "แล้วมันมีปัญหาอะไรล่ะ เรือเหาะก็ไม่น่ามีอะไรมากนี่ หรือว่าจะมีสลัดอากาศด้วย" เจนรีบเปลี่ยนเรื่อง



    "ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก..แค่ในตอนนี้น่ะนะ ที่เป็นปัญหาคือเมืองที่เราต้องไปนั้นมีชื่อว่าเมืองคริสตัลเบล มันตั้งอยู่ไกลจากจุดที่เราอยู่ในตอนนี้มากและผ่านเมืองที่กิลด์พิฆาตราชายึดครองอยู่ด้วย มีความเสี่ยงสูงที่พวกเราจะโดนจับได้" โจพูดด้วยน้ำเสียงเครียด



    "แล้วพวกเราจะทำยังไงดีล่ะ มันไม่มีทางเลี่ยงหรือทางที่จะทำให้พวกเราเข้าใกล้เมืองคริสตัลเบลได้ไวกว่านั้นแล้วหรอ" เจนว่า เพราะถ้าหากยิ่งใช้เวลาจนถึงมากจนถึงช่วงที่พวกเธอต้องออฟไลน์ไปล่ะก็ มันก็ยิ่งทำให้เสี่ยงที่จะโดนตามจับไดัมากตามขึ้นไปอีก ถ้าเป็นไปได้เจนก็ต้องการที่จะออกไปจากทวีปแห่งนี้ก่อนที่จะหมดเวลาออนไลนหรืออีก 6 วันในเกม



    "ความจริงมันก็สีทางอยู่อีกทางหนึ่งนะ" แจ็คพูด



    "เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าผ่านภูเขา ไม่เอานะเว้ยไอ้แจ็ค ถ้าเกิดเข้าไปทางนั้นมีหวังตายลูกเดียวแน่" โจหันไปแย้งอย่างรวดเร็ว



    "แต่ถ้าพวกเราขืนมัวแต่ค่อยหลบพวกกิลด์พิฆาตราชาไปแบบนี้ อีกหน่อยก็โดนจับอยู่ดี สู้เสี่ยงไปทางผ่านภูเขาจะไม่ดีกว่าหรือ" แจ็คว่า ถึงเจนจะยังไม่เข้าใจแต่ที่เพื่อนมือปืนของเธอพูดก็ดูสมเหตุสมผลดี



    "ถ้ามันเคยมีคนรอดมาได้มันก็น่าเสี่ยงอยู่ แต่นายเคยยินหรือเปล่าว่าเคยมีใครรอดมาจากถ้ำแห่งนั้นบ้าง"



    'โอเค มันเริ่มชักไม่สมเหตุสมผลแล้วสิ' หญิงสาวคิด



    "เดี๋ยว ๆ นี่พวกนายพูดถึงอะไรกันเนี่ย" เจนถามขึ้นท่ามกลางการสนทนาของพวกโจ



    "ที่แจ็คมันพยายามจะบอก็คือมีทางอีกทางหนึ่งที่จะทำให้พวกเราไปถึงเมืองคริสตัลเบลได้เร็วขึ้นและยังไม่มีพวกกิลด์พิฆาตราชามาตามหาเราที่นั่นด้วย นั่นก็คือทางผ่านเขาเหมืองทองโบรดี้" โจเล่า



    "มันก็ฟังดูดีนี่นา ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว...ไม่สิ สามตัวเลย" เจนว่า แต่ท่าทางของโจยังบอกเธอว่านั่นเป็นความคิดที่ไม่ดีนัก



    "แล้วเธอรู้มั้ยว่าทำไมกิลด์พิฆาตราชาไม่ไปตามหาพวกเราที่นั่น" เจนส่ายหน้าเป็นคำตอบ



    "นั่นก็เพราะที่นั่นต้องสาปยังไงล่ะ!"



    "ต้องสาป!" เจนอุทานขึ้นมาเสียงดัง



    "ของจริงงั้นหรือเนี่ย"



    "ในกระดานข่าวสารมีเรืองเล่าถึงเจ็ดสิ่งอาถรรพ์ของเกมนี้ที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เหมืองโบรดี้เองก็เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งอาถรรพ์เช่นกัน ว่ากันว่าเคยมีผู้เล่นระดับสูงเคยเข้าไปในเหมืองนั้นเพราะต้องการที่จะขุดทอง แต่เขากลับขาดการติดต่อไปเป็นสัปดาห์เลย กว่าที่เขากลับมาก็เกือบจะถึงเวลาออฟไลน์อยู่แล้ว เขาดูตัวซีดท่าทางตื่นกลัวมาก ชุดเกราะขั้นสูงที่เขาสวมอยู่ก็ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี ไม่ทันที่ใครจะได้ถามอะไรเขาก็รีบออกจากเกมไปทันที จากนั้นเขาก็ประกาศออกกระดานข่าวเลยว่าเหมืองทองโบรดี้เป็นสถานที่ที่มีวิญญาณอาถรรพ์สถิตอยู่ ห้ามใครเข้าไปอย่างเด็ดขาด"



    เจนฟังถึงกับลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ใจหนึ่งของเธอเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เป็นเพราะไม่ถูกโรคกับพวกผีนักจึงทำให้เธอรู้สึกกลัวออกนอกหน้าถึงขนาดนี้



    "ล..แล้วไงล่ะ ฉันว่านั่นคงจะเป็นแค่ข้ออ้างไม่ให้มีใครเข้าไปในเหมืองมากกว่าล่ะมั้ง จะได้ขุดทองได้เพียงคนเดียวไง ว่าแต่หมอนั่นเป็นใครกัน เลิกเล่นเกมนี้ไปแล้วงั้นหรือ" เจนพูดเสียงสั่นจนฟีบีเข้ามาหาด้วยความสงสัยและโดนคว้าไปกอดเป็นตุ๊กตาทันที



    "ยังไม่ได้เลิกไปไหนหรอก หมอนั่นตอนนี้เป็นหัวหน้ากิลด์อันดับสิบของเกม มีชื่อว่าไซก้า แล้วก็ในตอนแรกก็มีคนคิดแบบเธอเหมือนกัน ก็เลยคิดจะลองดีเข้าไปในเหมืองกัน ไซก้าพยายามเตือนเท่าไหร่ก็ไม่มีใครฟังก็เลยปล่อยไปแล้วไม่สนใจอีก ส่วนคนที่ลองดีก็หายตัวไปและกลับมาในสภาพไม่ต่างจากไซก้าตอนที่เพิ่งกลับมาจากเหมืองเลย ฉันถึงได้บอกอยู่นี่ไงว่าพวกเราผ่านทางนั้นไม่ได้" โจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แถมเรื่องราวของเขาก็เริ่มโน้มน้าวใจของเจนไปไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะตรงเรื่องวิญญาณอาถรรพ์



    "แต่พวกเราไปเพราะแค่ต้องการผ่านทาง ไม่ได้ไปขุดทองหรืออะไรซักหน่อยนี่นา ฉันว่าความจริงอาจจะเป็นเพราะในเหมืองมีมอนสเตอร์ระดับสูงอาศัยอยู่ก็ได้ พวกเราจะได้ทำการเก็บเลเวลไปในตัวด้วยไง" แจ็คบอกด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ จากความรู้สึกของคนที่ไม่กลัวผี เจนรู้สึกอิจฉาที่เขาเป็นคนที่ไม่เชื่อและไม่กลัวเรื่องผีเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่เจนอิจฉาในตัวเพื่อนคนนี้ของเธอ



    "แล้วก็ใช่ว่าพวกเราจะมีทางเลือกซะเมื่อไหร่ ถ้าหากพวกเราอ้อมภูเขาไปก็มีจะโดนกิลด์พิฆาตดักทางเอาไว้เปล่า ๆ คิดหรือว่าพวกเรานึกเรื่องเรือเหาะออกแล้วพวกนั้นจะนึกไม่ออก ถ้าหากช้าไม่ว่าพวกเราจะไปทางไหนก็มีค่าเท่ากัน" แจ็คเสริมอีก ทำให้โจและเจนเริ่มคล้อยตาม ทั้งสองมองหน้ากันแล้วจึงหันไปพยักหน้าตกลงอย่างจนใจ



    "ฉันมีความรู้สึกไม่ค่อยดีกับเรื่องนี้เลย" โจพูด



    "แต่ฉันสงสัยอยู่อย่าง ทำไมกิลด์พิฆาตราชาถึงไม่ไปยึดเมืองคริสตัลเบลซะเลยล่ะ ถ้าทำอย่างนั้นการเดินทางด้วยเรือเหาะและเรือของทวีปแห่งนี้ก็ถูกกิลด์พิฆาตราชายึดครองเอาไว้หมดเลยแท้ ๆ" เจนถามขึ้น โจและแจ็คหันมามองตากันก่อนจะหันกลับมาตอบเจนด้วยคำตอบที่ทำให้เธอกระจ่างแจ้ง



    "เพราะว่าเมืองคริสตัลเบลเป็นเมืองหลักของกิลด์หกราชันย์ กิลด์อันดับหนึ่งของเกมนี้น่ะสิ"



    จบตอนที่ 20 แสงสว่างของผู้หมดหนทาง
    ------------------------------------



  6. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  7. #29
    Bayou Country
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    New Orleans, LA, United States
    กระทู้
    5,932
    กล่าวขอบคุณ
    4,555
    ได้รับคำขอบคุณ: 8,950
    แหม่ อัพเดททุกวันเลยนะครับเรื่องนี้

  8. #30
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    กระทู้
    224
    กล่าวขอบคุณ
    2,872
    ได้รับคำขอบคุณ: 170
    ติดตามผลงานครับ สนุกจริง ๆ อ่านเพลินเลย

  9. #31
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 21 เผชิญหน้ากับความกลัว

    ตอนที่ 21 เผชิญหน้ากับความกลัว



    เช้าวันถัดมา เจนตื่นขึ้นมาเป็นคนแรกพร้อมกับฟีบีและคิทซึเนะที่นอนอยู่ข้างกาย เธอลุกขึ้นมาเตรียมคำกับข้าวโดยไม่ไปดูสองหน่อซึ่งเจนมั่นใจว่าคงกำลังหลับสนิทอยู่อย่างแน่นอน



    แย่หน่อยที่เมื่อวานเจนลองทดสอบปรุงอาหารในเกมทำให้เครื่องปรุงส่วนใหญ่ที่เธอซื้อมาไม่มากนักถูกใช้ไปเกือบหมด โดยเฉพาะน้ำซอสปรุงรสที่เจนซื้อมาในราคา 10,000 โกลด์นั้นถูกใช้ไปจนเหลือเพียงก้นขวด แถมยังย่างเนื้อส่วนมากไปแล้วด้วยทำให้เช้านี้เหลือวัตถุดิบอยู่ไม่มากนัก ดูท่าทางอาหารเที่ยงจะต้องล่าเนื้อสัตว์กินระหว่างทางซะแล้ว



    เจนขอให้คิทซึเนะช่วยจุดไฟให้แล้วจึงตั้งหม้อต้มน้ำที่ยังมีอยู่เหลือเฟือ ด้วยเครื่องปรุงและเนื้อที่เหลืออยู่ไม่มากนี้ เจนจึงจะทำแค่ซุบเนื้อในแก้วสำหรับดื่ม กลิ่นของน้ำซุบที่เจนบรรจงปรุงแต่งอย่างพิถีพิถันหอมโชยไปทั่วบริเวณและช่วยประหยัดแรงของเธอไม่ต้องไปปลุกเพื่อนทั้งสองของเธอจากในเต็นท์



    สองหนุ่มตื่นขึ้นมาไม่พูดพล่ามทำเพลงก็ตรงเข้าหาแก้วซุปที่เจนเตรียมไว้ให้ทั้ง ๆ ที่ยังตาปรือเหมือนยังไม่ตื่นเลยแท้ ๆ เจนจึงจัดการไล่ทั้งสองให้ไปล้างหน้าโดยบอกว่าให้ใช้น้ำดื่มของตัวเองแทนน้ำล้างหน้าเพราะในแถบนี้เป็นทะเลทราย ไม่ถึงกับแห้งแล้งมากจนไม่มีต้นไม้ทำให้การหาน้ำเป็นไปได้ยาก คิทซึเนะบอกว่าได้กลิ่นของน้ำอยู่ห่างไปยังทิศทางที่พวกเจนกำลังจะมุ่งหน้าไปพอดี ดังนั้นเธอจึงเชื่อจมูกของจิ้งจอกน้อยหวังว่าคงจะได้ไปเติมน้ำยังทางข้างหน้า



    หลังจากที่จัดการอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเจนก็เก็บข้าวของแล้วออกเดินทางกันต่อ โจบอกเอาไว้ว่าเหมืองทองโบรดี้อยู่ในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อเจนมองไปยังทิศที่กำลังมุ่งหน้าไปก็พบกับภูเขาสูงตระหง่านตั้งอยู่ตรงหน้า ยอดของภูเขาลูกนี้พุ่งทะลุเหนือกลุ่มเมฆขึ้นไปจนไม่อาจมองเห็นได้และขนาดของมันก็ใหญ่มากจนต้องใช้เวลานานหากจะต้องอ้อมไปอย่างที่แจ็คบอก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องปีนเขาเลย



    หลังจากเดินทางมาได้อยู่พักหนึ่งทิวทัศน์รอบข้างก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นมาบนพื้นดินปนทรายสีเหลืองให้เห็นไปทั่ว พุ่มไม้สีเขียวก็เริ่มมีมากขึ้นเช่นเดียวกับสัตว์ป่าอย่างตัวไคโยตี้ที่มีลักษณะคล้ายกับจิ้งจอกแต่มีตัวใหญ่กว่าจนดูคล้ายกับหมาป่า หรือจะเป็นงูหางกระดิ่งที่คอยสั่นหางเพื่อเตือนไม่ให้ใครเข้าใกล้มันแต่ทั้งหมดนั่นเป็นสัญญาณให้เจนรู้ว่าเธอใกล้ถึงแหล่งน้ำที่คิทซึเนะบอกแล้ว







    เมื่อพักซักพักเจนก็เจอแหล่งน้ำที่ว่า เพียงแค่มันไม่ใช่โอเอซิสอย่างที่เจนคิดเอาไว้ ตรงหน้าเจนคือแม่น้ำกว้างไหลเชี่ยวที่เป็นเหมือนดั่งทองคำในทะเลทรายแห่งนี้ ดูจากแผนที่แล้วแม่น้ำไหลมาจากภูเขาลูกใหญ่ตรงหน้าของเจน ถ้าหากเดินเลียบไปตามแม่น้ำจนไปสุดสายก็จะไปถึงทะเลสาบซึ่งเป็นที่ตั้งของเป้าหมายของเจน นั่นก็คือเมืองคริสตัลเบลนั่นเอง



    แต่สาเหตุที่เลือกจะไม่ไปก็เพราะว่ามันเดาได้ง่ายสำหรับกิลด์พิฆาตราชาและตลอดทางสายนี้ก็มีแต่เมืองที่กิลด์พิฆาตราชาครอบครองอยู่ทั้งนั้น



    "พวกเราควรเก็บตุนน้ำที่นี่ให้มากที่สุด ถ้าพวกนายมีอะไรใส่น้ำเก็บเอาไว้ได้ก็เอาออกมาเลยนะ" โจพูดแล้วจึงนำกระบอกใส่น้ำของตัวเองมาเติมน้ำให้เต็มเช่นเดียวกับแจ็คที่ตอนนี้นำกระบอกน้ำขวดที่สองมาเติมแล้ว





    "จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยหรอ" เจนถามขึ้นอย่างสงสัย





    "ทางที่เราจะเดินทางไปต่อไม่มีแหล่งน้ำจะให้เติมเสบียงแบบนี้อีกแล้ว หลังจากผ่านเหมืองโบรดี้ไปได้...'ถ้า' ผ่านมาได้นะ พวกเราก็จะไปโผล่ที่ตรงนี้ ด้านหลังของภูเขาที่ไม่มีแหล่งน้ำใกล้เคียงอื่นอีกนอกจากทะเลสาบใกล้กับเมืองคริสตัลเบล แถมระยะทางจากที่นี่จนไปถึงเมืองก็อาจจะกินเวลาหลายวันเชียวล่ะ" โจอธิบายระหว่างใช้กล่องข้าวเติมน้ำจนเต็มแล้วจึงเก็บเข้าช่องเก็บของส่วนตัวเพื่อกันหก โดยเขาเน้นพิเศษไปที่คำว่าถ้า สงสัยเขาจะเชื่อเรื่องเล่าของเหมืองทองโบรดี้จริง ๆ



    เมื่อเห็นเพื่อน ๆ ของตัวเองทำถึงขนาดนั้นเจนก็ไม่คิดจะขัดศรัทธา เธอเติมน้ำจนเต็มกระติกของเธอแล้วก็ทำตามทั้งสองคนเช่นกัน เพราะเจนก็ไม่รู้ว่าระยะทางข้างหน้าจะไกลซักเพียงไหนและเธอก็ต้องตักน้ำไปเผื่อฟีบีและคิทซึเนะอีกด้วย ยังไม่รวมถึงเผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดอย่างสองหน่อกินน้ำเยอะเกินไปอีกต่างหาก



    ในระหว่างที่เจนกำลังจะเตรียมพร้อมออกเดินทางนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างที่มีปีกบินเข้ามาหา พอมองชัด ๆ ก็พบว่านั่นเป็นจดหมายติดปีกนี่เอง มันร่อนลงมาที่มือของเธอและปีกก็กลายเป็นแสงหายไป เจนเปิดจดหมายขึ้นมาอ่านดูก็ต้องทำตาโตเป็นไข่ห่าน เพราะสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมายเป็นตัวเลขที่มากกว่าหกหลักและเธอก็แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ตัวเลขที่ไม่มีความหมายแน่ ๆ



    "เป็นอะไรไปน่ะเจน จดหมายนั่นเขียนว่ายังไงหรอ?" แจ็คถามขึ้นเมื่อเห็นเด็กสาวยืนนิ่งไป แต่พอเขาเดินเข้าไปดูว่าเธอกำลังอ่านอะไรอยู่ก็ถึงกับอุทานออกมาเสียงดังลั่น



    "โอ้แม่เจ้าโว้ยยย!! ร้อยแปดสิบล้าน!!"



    "เฮ้ย ไหน ๆ !" โจได้ยินที่แจ็คพูดก็รีบเข้ามาดูด้วยอีกคนแล้วก็ทำตาโตเช่นเดียวกัน คิทซึเนะและฟีบีต่างนั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัย พวกเธอไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ความจริงทั้งสองไม่รู้ว่าเงินคืออะไรด้วยซ้ำไป



    ในตอนนี้เจนพยายามถือแผ่นกระดาษตรงหน้าอย่างแผ่วเบาราวกับว่ามันมีค่ามหาศาล เธอค่อย ๆ วางมันลงบนก้อนหินอย่างเบามือแล้วจึงพยายามอ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง



    "จดหมายนี่ส่งมาจากแมกส์ เทรดดิ้งคอมพานี...ฉันจำได้แล้ว หมอนี่คือพ่อค้าที่พวกเราเอาเสาทองคำไปให้ประมูลขายไง"



    "อ้า! หมอนั่นน่ะเอง ถ้าอย่างนี้ก็แสดงว่าเสาทองคำพวกนี้ก็ขายได้ราคาดีมากเลยน่ะสิ! ...แต่เดี๋ยวก่อนนะ หมอนั่นบอกว่าจะขอส่วนแบ่งหนึ่งเปอร์เซ็นต์นี่นา" แจ็คพูดออกมาแล้วพยายามคิดเลขในหัว แต่แค่รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่หัวไปขนาดนั้น



    "ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวไปหรอก ในนี้บอกว่าหักส่วนแบ่งออกไปแล้วเงินทั้งหมดเป็นของพวกเราโดยสมบรูณ์แล้ว ตอนนี้เงินถูกโอนเข้าบัญชีของฉันเรียบร้อยแล้ว" เจนพูดแล้วก็เปิดหน้าต่างผู้เล่นออกมาดูเพื่อให้แน่ใจว่าเงินเข้าบัญชีของเธอแล้วจริง ๆ



    ในหน้าต่างผู้เล่นนั้นมีฟังชั่นอยู่หลากหลายแบบมาก การตรวจสอบบัญชีธนาคารเองก็เป็นหนึ่งในนั้นถ้าหากผู้เล่นมี แต่การทำธุรกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝากถอนหรือโอนเงินจะต้องเข้าไปทำที่อาคารระบบเท่านั้นซึ่งเป็นสถานที่ ๆ จะใช้ฝากเงินสำหรับผู้เล่นโดยเฉพาะและมีความปลอดภัยสูงที่สุด



    สำหรับธนาคารธรรมดาก็มีเช่นเดียวกัน แต่ที่นั่นจะรับฝากเงินของชาวเมืองด้วยและมีโอกาสที่จะถูกปล้น นอกจากนั้นยังไม่สามารถตรวจสอบจากหน้าต่างผู้เล่นได้อีกด้วย แต่ข้อดีของการฝากเงินในธนาคารแบบนี้คือจะไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียนในราคาสูงเหมือนธนาคารระบบ แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็ยังคงยอมไปฝากเงินที่ธนาคารระบบซะมากกว่าเพราะให้จ่ายเงินไปจำนวนมากก็ยังดีกว่าสูญไปทั้งหมดอยู่ดี



    "ได้มาตั้งร้อยแปดสิบล้านแบบนี้ ถ้าแบ่งให้พวกเสือด้วยก็จะได้คนละเท่าไหร่กันนะ.." แจ็คพูดลอย ๆ พลางพยายามคิดทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหัวของตัวเองไม่ได้ชอบคณิตศาสตร์เลย แต่ทำตอบออกออกมาเร็วจนน่าตกใจจากปากคนที่ไม่น่าจะพูดออกมาได้



    "ร้อยแปดสิบล้านแบ่งกันเจ็ดคน ก็เท่ากับคนละยี่สิบห้าล้านกับเจ็ดแสนกว่า ๆ ..." โจพูดพลางทำสีหน้าครุ่นคิด เจนและแจ็คต่างมองหน้าของเขายังไม่เชื่อหูของตัวเอง



    "ทำไม เด็กติดเกมอย่างฉันจะหัวไวไม่ได้หรือไง หา"



    "นายหัวไวอย่างนี้ก็น่าจะไปเรียนพวกคณะอื่นที่ไม่ใช่คณะมนุษยศาสตร์สิ ทำไมถึงมาอยู่กับพวกเราได้" เจนถามอย่างแปลกใจ



    "ทำได้มันก็ไม่ได้หมายความว่าชอบซักหน่อย แล้วเรื่องนั้นมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้พวกเรามาสนใจกับเรื่องในตอนนี้ก่อนจะดีกว่ามั้ย"



    จริงอย่างที่โจบอก และเจนเองก็ไม่ควรจะไปยุ่มย่ามในเรื่องส่วนของคนอื่นให้มากนักเพราะขนาดเธอเองก็ยังไม่ชอบเลย ดังนั้นเจนจึงสลัดความคิดนั้นไปแล้วหันมาสนใจกับกระดาษอันล้ำค่าตรงหน้าต่อ



    "เดี๋ยวฉันจะส่งจดหมายไปหาพวกพี่เสือหน่อยดีกว่า จะได้บอกพวกนั้นให้รู้ว่าได้เงินมาแล้ว ว่าแต่ฉันจะเขียนจดหมายยังไง.. อ๊ะ คิดปุ้บก็มาปั้บ" เจนพูดพร้อมกับกระดาษหนึ่งแผ่นและปากกาขนนกแบบโบราณก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ทุก ๆ อย่างที่เป็นระบบอัตโนมัติ เพียงแค่คิดก็ออกมาแบบนี้มันช่างสบายเสียจริง ๆ น่าเสียดายที่เจนยังต้องเขียนจดหมายด้วยตัวเองอยู่ แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร ถ้าระบบทำให้หมดทุกอย่าง เกมนี้ก็คงจะเสียจุดขายไปที่ว่า 'เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทำทุก ๆ อย่างได้อย่างอิสระ'



    เมื่อเขียนเสร็จเจนก็พับกระดาษและสอดเข้าซองจดหมายก่อนที่จะปิดผนึก เธอโยนจดหมายขึ้นเหมือนกับรู้ว่าต้องทำยังไง ทันใดนั้นก็มีเสียง เปาะ เบา ๆ แล้วจดหมายก็มีปีกสีขาวปรากฏขึ้นมาจากนั้นมันก็บินขึ้นฟ้าก่อนจะหายไปในพริบตา



    "เอาล่ะ พวกเราเองก็รีบไปกันต่อเถอะ ขืนชักช้าจะเสียเวลา" เจนว่าแล้วทั้งสามคนกับสองตัวก็เริ่มออกเดินทางต่อ





    ตลอดการเดินทางช่วงเช้าแจ็คก็ฝึกใช้ปืนไรเฟิ่ลของตนยิงไคโยตี้และหาอาหารไปในตัวด้วย แต่ก็ถูกเจนห้ามเอาไว้ก่อนเพราะคิทซึเนะเองก็ถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์สุนัขเหมือนกัน จะให้สุนัขมากินสุนัขก็คงจะไม่ดี แจ็คจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นกวางหรือกระต่ายป่าแทน โดยมีฟีบีเป็นผู้ช่วยคอยบินไล่ต้อน



    เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะเที่ยงแล้ว เจนจัดการเอาฟีบีเก็บเข้าไปในดาบเพราะไม่อยากให้เจอกับความร้อนจากแสงแดดแต่พอจะให้คิทซึเนะเข้าไปด้วย เจ้าตัวกลับไม่ยอมซะอย่างนั้นเพราะกลัวว่าเจนจะโดนทำร้ายแล้วไม่ยอมเรียกตนออกมาช่วยดังนั้นจึงจะเดินไปเองพร้อมกับเจนถึงแม้ตนจะรู้สึกร้อนจนลิ้นห้อยก็ตาม



    เจนไม่ลืมที่จะปรับแบ่งค่าประสบการณ์ไปให้ฟีบีโดยแบ่งกับตัวเจนเอง 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคิทซึเนะนั้นเจนปรับให้แบ่งค่าประสบการณ์จากเธอไปอีก 25 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะเก็บเลเวลได้ช้าไปบ้างแต่เธอก็ยังอยากให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองของเธอเก่งขึ้นจนสามารถปกป้องตัวเองจากพวกกิลด์พิฆาตราชาได้หน่อยก็ยังดี



    ตรงหน้าเด็กสาวมองเห็นต้นไม้ต้นใหญ่พอที่จะบังร่มได้เพียงพอสำหรับทุกคน ดังนั้นทั้งสามจึงตกลงว่าจะพักทานมื้อเที่ยงกันก่อนแล้วค่อยจึงเดินทางไปต่อ เจนจัดแจงย่างเนื้อกระต่ายให้จนครบทุกคนแล้วจึงหันไปดูสถานะตัวละครของเธอเองและสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัว





    ชื่อ:เจน

    อาชีพ นักผจญภัยฝึกหัด ชั้นทหาร ระดับ 63

    สถานะตัวละคร

    พลังชีวิต 3179/3179 พลังเวทมนตร์ 6315/6315

    ค่าความอิ่ม 48/100 ค่าความเหนื่อย 61/100





    [สัตว์เลี้ยง] จิ้งจอกขาว คิทซึเนะ

    ยศ ทหาร ระดับ 63



    [สัตว์เลี้ยง] มังกรฟ้า ฟีบี

    ยศ ทหาร ระดับ 18



    เรื่องที่ระดับของฟีบีเพิ่มขึ้นนั้นเจนยังไม่แปลกใจนักเพราะการที่มังกรน้อยได้ช่วยเพื่อนของเธอล่าสัตว์ก็ถือว่าเป็นการเก็บเลเวลไปในตัวเพราะพวกสัตว์ป่าธรรมดาส่วนมากนั้นก็มีระดับอยู่ที่ 10 เป็นอย่างน้อย ส่วนที่ทำให้เจนแปลกใจจริง ๆ คือระดับของเธอและคิทซึเนะที่พุ่งขึ้นมาเช่นนี้ แต่พอลองตรวจสอบย้อนหลังไปก็พบว่าเธอได้จัดการผู้เล่นของกิลด์พิฆาตราชาไปจำนวนหนึ่งทำให้ระดับของเธอเพิ่มขึ้นมานั่นเอง



    "ดูนี่สิ เลเวลของฉันกับแจ็คเพิ่มมาเป็นหกสิบห้าแล้ว ของเธอเพิ่มขึ้นมาหรือเปล่า เจน" โจเอ่ยปากถาม เด็กสาวพยักหน้าตอบ



    "ของฉันเพิ่มเป็นหกสิบสามเหมือนกับคิทซึเนะ คงเป็นตอนนั้นที่ฉันใช้พลังสถิตร่างจัดการกับพวกกิลด์พิฆาตราชาแน่เลย ไม่รู้ว่าจัดการไปกี่คนถึงระดับเพิ่มมาขนาดนี้นะเนี่ย" เจนพูดพลางคิดว่าถ้าหากในอนาคตเธอคงต้องพบกับคนจากกิลด์พิฆาตราชาอีกมากแน่ ๆ แบบนี้คงไม่ต้องไปเก็บเลเวลกับพวกมอนสเตอร์เลย



    "ถ้าเธอกำลังคิดว่าจะจัดการพวกนั้นแทนเก็บเลเวลจากมอนสเตอร์ล่ะก็ เธอคิดผิดแล้วล่ะสาวน้อย" โจพูดขึ้นทำให้เจนหันไปมองด้วยความสงสัยทันที



    "ทำไมล่ะ?"



    "จำที่ฉันเคยบอกไม่ได้หรือยังไงล่ะ ถ้าหากเธอยิ่งมีระดับสูงขึ้นเท่าไหร่ก็จะยิ่งเก็บเลเวลยากขึ้นไปเท่านั้น ความจริงเธอเองก็น่าจะพอรู้สึกตัวแล้วนะว่าเธอจัดการคนของกิลด์พิฆาตราชาที่มีเลเวลและระดับยศสูงกว่าเธอแต่เลเวลกลับเพิ่มขึ้นมาไม่มาก อย่างพวกฉันเองที่แบ่งค่าประสบการณ์มาจากเธอยังเพิ่มเลเวลมาแค่ห้าระดับเอง เธอคงจะใช้ทักษะนั้นของเธอทุกครั้งที่เจอกับพวกนี้ไม่ได้หรอกนะ"



    พอโจพูดถึงก็ทำให้เจนนึกขึ้นมาได้ คนในชุดดำจากกิลด์พิฆาตราชานั้นมีระดับยศขุนนางกันทุกคน หมายความว่าอย่างน้อยพวกนั้นจะต้องมีเลเวลสูงกว่าเจน 40 ระดับเป็นอย่างน้อย แต่ค่าประสบการณ์ที่เจนได้มานั้นต่อให้แบ่งกันในกลุ่มและแบ่งให้คิทซึเนะอีกครึ่งหนึ่งก็ควรจะเพิ่มระดับของเจนมากกว่านี้ซึ่งกลายเป็นคำยืนยันของโจได้อย่างดี



    "ถ้าอย่างนี้กว่าจะเก็บเลเวลได้สูง ๆ ก็ลำบากมากเลยน่ะสิ" เจนพูดขึ้นด้วยความกังวล ตอนนี้เป้าหมายของเธอคือจะเก่งขึ้นเพื่อที่จะไปหาอามีร่าอีกครั้ง ถ้าเธอเพิ่มระดับได้ช้าก็เป็นเหตุให้เด็กสาวต้องรอเธอนานขึ้นไปอีกและนั่นเป็นสิ่งที่เจนยอมไม่ได้อย่างแน่นอน



    "ไม่ต้องรีบกังวลไปตอนนี้หรอก ถึงยังไงของแบบนี้มันก็ต้องใช้เวลา ยิ่งเร่งมันก็ยิ่งช้า" เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงระรื่นแล้วยกกระบอกน้ำของตนขึ้นดื่ม



    ถึงเพื่อนของเธอจะบอกให้ใจเย็นแต่เจนทำอย่างนั้นไม่ได้ ตอนนี้ใจของเธอมันร้อนรนยิ่งกว่าแสงแดดที่ส่องลงมาซะอีก เด็กสาวดื่มน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นและหันไปพูดกับเพื่อนของเธอ



    "เอาล่ะ! พวกเรารีบไปกันได้แล้ว!"



    "หา! นี่พวกเราเพิ่งพักไปได้แปบเดียวเองนะ กว่าจะถึงภูเขาก็อีกตั้งไกล แถมยังต้องใช้เวลาทั้งวันกว่าจะเดินทะลุเหมืองได้..-"



    "ก็เพราะอย่างนั้นแหละ วันนี้พวกเราจะไปนอนพักกันที่หน้าเหมืองจากนั้นพรุ่งนี้เช้าก็จะออกเดินทางให้พ้นเขตภูเขา เอ้า! รีบ ๆ ลุกกันได้แล้ว!" เด็กสาวไม่สนใจเสียงบ่นของเพื่อนทั้งสองเลยแม้แต่น้อย เธอลากพวกเขาให้ลุกขึ้นมาแล้วออกเดินนำไปโดยมีพวกโจเดินตามต้อย ๆ โดยมีคิทซึเนะเดินตามไม่ห่าง







    พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงมา แสงแดดก็เริ่มน้อยลงจนเจนรู้สึกได้ถึงอากาศที่เริ่มเย็นขึ้น กอปรกับที่พวกเธอเห็นทางเข้าเหมืองที่ถูกทิ้งร้างอยู่ตรงหน้าทำให้มีขวัญกำลังใจขึ้นมาไม่มากก็น้อย



    บริเวณทางเข้าเมืองนั้นเป็นพื้นราบเรียบ มีอุปกรณ์ทำเหมืองอย่างเสียม จอบ พลั่วเจาะหินวางทิ้งเอาไว้อยู่เป็นจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่ของเหล่านั้นก็ถูกสนิมกินจนใช้การไม่ได้แล้ว อีกด้านเจนเห็นรถเลื่อนที่ดูจากสภาพแล้วน่าจะยังใช้การได้แต่เธอไม่ค่อยมั่นใจว่ารางจะพาเธอไปไหน



    พวกเจนตั้งเต็นท์ห่างออกมาจากทางเข้าเล็กน้อย กองไฟถูกก่อขึ้นมาอย่างรวดเร็วโดยคราวนี้ใช้ไฟของคิทซึเนะซึ่งเจ้าตัวเสนอมาเองเพราะเธอรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณบริเวณโดยรอบ เฉพาะอย่างยิ่งมาจากด้านในเหมืองทำให้ร่างบางต้องคว้าตัวจิ้งจอกน้อยมาอยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ยอมให้ห่างไปไหนเลย



    "อะไรกัน เจน ขนาดเจอพวกผีดิบเป็นกองทัพยังไม่มีสั่น แค่ผีธรรมดาดันกลัวซะงั้น" แจ็คแกล้งถามแล้วทำเสียงผีออกมาจากปากของตน



    "ก็พวกซอมบี้ พวกผีดิบฉันใช้ดาบสู้มันได้นี่นา แต่ผีแบบพวกนี้ฉันไม่รู้ว่าจะสู้ยังไง บ้าจริง ทำไมต้องเป็นผีด้วยนะ" เด็กสาวบ่นพึมพำ อาหารเย็นที่เธอเป็นคนลงมือทำแทบไม่พร่องลงเลย ขณะที่คิทซึเนะซึ่งนั่งอยู่บนตักของเจนนั้นกลับเจริญอาหารอย่างดีเยี่ยม



    "ไม่ต้องกลัวไปหรอกน่าเจน ผีพวกนี้ก็คงเป็นมอนสเตอร์ชนิดหนึ่งเท่านั้นแหละ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่พวกเราจะสู้หรอก ความจริงมันก็คล้ายกับพวกลูกไฟวิญญาณที่เราเคยเจอ เธอแค่ใช้ดาบเล่มนั้นทุกอย่างก็เรียบร้อย" โจพยายามปลอบใจของเจนซึ่งก็ทำให้เธอรู้สึกใจชื้นขึ้นมามากเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดีและได้แต่หวังว่าคืนนี้คงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี





    เด็กสาวลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะความรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว เจนพบว่าตอนนี้ตัวเธอนั้นไม่ได้อยู่ในเต็นท์อีกต่อไปแล้ว บริเวณรอบข้างตัวเธอในตอนนี้มืดมิดไปหมดจนแทบมองไม่เห็นมือของตังเองและยังได้กลิ่นอับเหม็นหึ่งอีกด้วย



    'ที่นี่มันที่ไหนกัน เรากำลังฝันอยู่งั้นหรือ' เด็กสาวคิดแต่พอลองยิกแก้มตัวเองดูก็พบว่ารู้สึกเจ็บจริง แสดงว่าเธอไม่ได้กำลังฝันไป



    ถึงยังไม่มั่นใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น สิ่งแรกที่เจนทำคือตรวจสอบว่าเธอยังมีอาวุธเตรียมพร้อมอยู่หรือไม่ โชคดีที่เธอเก็บดาบคุซานางิเอาไว้ในช่องเก็บของส่วนตัว ถ้าหากเธอวางเอาไว้ในเต็นท์หรือเก็บไว้ในกระเป๋าเริ่มต้นล่ะก็คงแย่แน่ แต่ถึงอย่างไรกระเป๋าเริ่มต้นก็เต็มไปด้วยของที่ตกจากมอนสเตอร์จนไม่มีที่ยัดลงไปอยู่ดี



    สิ่งที่พอใช้ได้อยู่ติดตัวนอกจากดาบแล้วก็เป็นชุดเก่าที่เพิ่งได้คืนมาไม่นาน ตอนนี้เจนถอดเสื้อนอกทิ้งเอาไว้ในเต็นท์เหลือแต่เสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงขายาวเท่านั้น ทำให้ตอนนี้เธอสัมผัสถึงลมเย็นยะเยือกได้แบบถึงพริกถึงขิง เด็กสาวคว้าชุดเดิมมาใส่ในทันที โดยในใจเริ่มจะกังวลว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนและมาที่นี่ได้ยังไง



    "นี่ฉันมาที่นี่ได้ยังไงกันล่ะเนี่ย ไม่มีแผนที่...ช่วยไม่ได้แฮะ คงต้องลองติดต่อไปหาพวกโจดูก่อน" เจนพูดกับตัวเองแล้วก็หันไปพูดทางช่องพูดคุยกลุ่มแต่เจนสังหรณ์ใจว่ามันคงไม่เวิร์ค



    "โจ..แจ็ค นี่เจนนะ ตอนนี้พวกนายอยู่ที่ไหนน่ะ"



    เงียบฉี่ ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมา ดูท่าทางคงจะหลับสนิทไปแล้วแน่ ๆ คงจะไม่ตื่นง่าย ๆ อย่างแน่นอน



    'ช่วยไม่ได้แฮะ สงสัยคงต้องหาทางออกไปจากที่นี่เองซะแล้ว' เจนคิดในใจและนำดาบคุซานางิออกมาเตรียมพร้อมเอาไว้เผื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน







    หลังจากคลำทางเดินมาได้ซักพัก เจนก็เริ่มรู้สึกกลัวนิดหน่อยเพราะเธอไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อยว่าตนนั้นมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ยังไง อีกใจก็รู้สึกเป็นห่วงพวกคิทซึเนะที่อยู่ในเต็นท์ว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะถ้าหากมีใครหรืออะไรทำให้เธอออกมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่พวกคิทซึเนะจะโดนเข้าไปด้วยเช่นเดียวกัน



    แสงสว่างมีอยู่ไม่มากแต่ก็พอที่จะมองเห็นเส้นทางด้านหน้าได้เพียงเล็กน้อย เจนค่อย ๆ ก้าวไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้า ในใจพลางนึกไปถึงหลุมกับดักที่เคยเห็นในหนังผีแล้วจัดการฆ่าตัวเอกของเรื่องอย่างน่าสยดสยอง เธอได้แต่โทษพวกโจที่บังคับให้เธอดูหนังพรรณนี้ทำให้เธอจำภาพติดตาจนทำให้เธอไม่กล้านอนคนเดียวไปหลายคืน



    เจนใช้หลังพิงกำแพงและเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ เธอรู้ว่ากำแพงที่เธอพิงอยู่เป็นกำแพงหินที่มีไม้เป็นคานรับน้ำหนักอยู่เป็นระยะ ๆ ทำให้เจนรู้ว่าที่นี่คงจะเป็นถ้าอะไรซักอย่างและไม้คานนั่นคงจะเป็นเสริมความแข็งแรงของถ้ำไม่ให้ถล่มลงมา ความคิดที่แว่บเข้ามาในหัวของเจนเป็นอย่างแรกก็คือเหมืองทองโบรดี้



    ทันใดนั้นเองเจนก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากข้างหน้าพร้อมกับเสียงเหล็กกำลังเสียดสีกับพื้นเหมือนกับว่ากำลังถูกลากอยู่ เธอรีบหยุดแล้วพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจจึงพบว่าเสียงนั่นกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัวเจนขึ้นเรื่อย ๆ เจนไม่รู้ว่าควรจะส่งเสียงเรียกไปดีหรือไม่เพราะถ้าหากเจ้าสิ่งที่ทำเสียงนี้เป็นศัตรูล่ะก็เท่ากับว่าเป็นการบอกที่อยู่ของตัวเองให้รู้



    “นั่นใครน่ะ!” เด็กสาวตะโกนเรียกเพราะอยากจะออกไปจากที่นี่เร็ว ๆ แต่กลับไม่มีเสียงดังตอบกลับมา มีเพียงเสียงเหล็กกำลังเคลื่อนที่ตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว



    เด็กสาวพยายามเพ่งมองเข้าไปในความมืดตรงหน้าเพื่อระบุตัวของเจ้าของเสียงว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่ทันใดนั้นเสียงก็เงียบลง เจนพยายามเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้อะไรนอกจากเสียงลมที่พัดผ่าน เมื่อแน่ใจว่าเจ้าตัวที่ทำเสียงนั้นหายไปแล้วจึงเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง แต่เธอก็ไปชนเข้ากับอะไรบางอย่างจังจนล้มก้นกระแทกลงไปกับพื้น



    "อู้ยยย...เจ็บ ๆ" เด็กสาวพูดขึ้นพลางใช้มือบางลูบก้นที่ระบบจากการล้มกระแทก เธอพยายามเพ่งมองไปข้างหน้าอีกครั้งแต่ก็เห็นเพียงแค่เงาสีดำเท่านั้นเอง



    โออออออออ!!



    เสียงร้องตะโกนดังก้องสะท้อนผนังถ้ำจนเจนต้องยกมือปิดหูของตนแทบไม่ทัน และตอนนั้นเองก็มีแสงไฟส่องสว่างขึ้นที่ด้านหน้าของเธอ



    "เฮ้่ย!!! นี่มันตัวอะไรเนี่ย!" เจนร้องเสียงหลง เพราะตรงหน้าของเธอเป็นร่างโครงกระดูกสูงเกือบสองเมตรกำลังยืนอยู่ตรงหน้าและที่น่ากลัวคือร่างนั้นถือพลั่วเจาะหินอันใหญ่อยู่ในมือ แสงสว่างที่เกิดขึ้นนั้นมากจากหมวกนิรภัยติดไฟที่อยู่บนหัวของมัน



    โครงกระดูกคนเหมือง

    ยศทหาร ระดับ 80

    ร่างของคนงานเหมืองที่ถูกคำสาป ทำให้วิญญาณติดอยู่ในโครงกระดูกไม่ไปผุดไปเกิด คอยล่าผู้ที่บุกรุกเข้ามายังในที่ของมัน

    มีพลังโจมตีสูง แพ้ธาตุแสง



    โครงกระดูกคนเหมืองยกพลั่วเจาะหินขึ้นสูงราวกับว่าไร้น้ำหนักแล้วฟาดลงมาที่เจน เธอรีบกลิ้งตัวหลบอย่างรวดเร็วและใช้ดาบฟันสวนกลับไป แต่ว่าร่างโครงกระดูกขนาดใหญ่นั้นไม่ได้นิยามการเคลื่อนไหวของมันเลยแม้แต่น้อย ปีศาจโครงกระดูกเคลื่อนตัวหลบอย่างผิดธรรมชาติและหวดพลั่วเจาะหินเข้าใส่เธออีกครั้ง



    แต่คราวนี้เจนเตรียมพร้อมสู้ สติถูกปลุกให้ตื่นตัวเต็มที่ ร่างของเธอส่องสว่างจากผลของทักษะเสริมพลัง จากนั้นเธอจึงฉีกตัวหลบแล้วฟาดดาบไปที่ลำคอของโครงกระดูก



    ฟึ้บ! แกร้ก! ก้อง!



    เสียงของหัวกะโหลกหลุดจากร่างใหญ่และหล่นลงสู่พื้นพร้อมกับหมวกนิรภัยที่ตกอยู่ออกไปไม่ไกลฉายแสงมาที่ตัวของเจน เด็กสาวนึกว่าจบเรื่องแล้วจึงลดดาบลง แต่ทันใดนั้นเองเสียงเหล็กครูดกับพื้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง มือกระดูกก้มลงหยิบหัวกะโหลกบนพื้นไปใส่ที่เดิมและก้าวเท้าเข้ามาหาเจนโดยดวงตาที่กลวงโบ๋จ้องมาที่เธอจนรู้สึกขนลุกซู่



    'ขนาดหัวหลุดแต่ก็ยังฆ่าไม่ตายอีก แบบนี้จะจัดการมันได้ยังไงกัน' เด็กสาวคิดพร้อมยกดาบขึ้นเตรียมพร้อม ตอนนั้นเองที่ดวงตาสีแดงเหลือบไปเห็นกลุ่มก้อนพลังสีดำที่อยู่ใต้ทรวงอกของโครงกระดูกคนเหมือง



    เจนมั่นใจอย่างมากว่านั่นต้องเป็นจุดอ่อนของเจ้าโครงกระดูกนี่แน่ ๆ เธอพุ่งเข้าไปหาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอพกความมั่นใจเอาไว้เต็มกระเป๋า



    โครงกระดูกเห็นเจนกำลังพุ่งเข้ามาหาตนจึงตะโกนร้องเสียงดังและฟาดพลั่วเข้าใสอีกครั้ง เจนฉีกตัวหลบได้อย่างง่ายดายทำให้พลั่วฟาดใส่พื้นอย่างแรงจนเศษหินแตกกระจายเหมือนกับโดนระเบิด ถ้าหากเจนโดนเข้าไปซักทีล่ะก็ถ้าไม่ตายก็สู้ต่อไม่ได้แน่



    แต่ถึงพลังจะมากเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าโจมตีไม่โดนก็เปล่าประโยชน์ เจนมีความเร็วที่เหนือกว่าโครงกระดูกคนเหมืองมากนัก ต่อให้เธอจะไม่ใช้ทักษะเสริมพลังก็ไม่มีทางที่จะถูกโจมตีง่าย ๆ แน่ เธอพุ่งเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็วแล้วแทงดาบทะลุอกของปีศาจโครงกระดูกในดาบเดียว



    อ้าาาาาาาาา!



    โครงกระดูกคนเหมืองร้องคำรามลั่น ร่างของมันส่ายไปส่ายมาพยายามจะสลัดให้เจนหลุดออก แต่เด็กสาวยึดดาบเอาไว้แน่น แล้วในที่สุดร่างของมันก็หยุดเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิงพร้อมกับก้อนพลังใต้อกที่ถูกดาบคุซานางิแทงทะลุก็เริ่มมีปฏิกิริยาส่องแสงแลบออกมาอย่างน่ากลัว เจนที่เห็นดังนั้นจึงรีบใช้เท้ายันกับร่างของโครงกระดูกคนเหมืองแล้วออกแรงให้ดาบหลุดออกมา



    ร่างบางร่วงลงพื้นอย่างแรงเพราะความสูงแต่เธอไม่มีเวลามาโอดครวญในตอนนี้ เพราะร่างโครงกระดูกกำลังส่องแสงกระพริบออกมาถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นไม่ใช่สัญญาณดีแน่ เจนคิดได้เพียงแค่ต้องรีบถอยห่างออกมาจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุดถึงจะมองไม่เห็นทางด้านหน้าเลยก็ตาม



    ตูมมม!



    เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว แรงระเบิดนั้นรุนแรงจนสามารถยกร่างของเจนลอยขึ้นไปกระแทกกำแพงอย่างแรง เจนรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งตัวจนไม่รู้ว่าส่วนไหนโดนกระแทกไปบ้าง เธอนอนคุ้ดคู้พยายามป้องกันร่างตัวเองจากก้อนหินที่ร่วงหลนลงมาเอาไว้ให้มากที่สุดเนื่องจากแรงระเบิดขนาดนี้บางทีอาจจะทำให้เหมืองถล่มลงมาก็ได้



    หลังจากเวลาผ่านไปและมั่นใจว่าเหมืองจะไม่ถล่มลงมาแล้ว เจนก็ลุกขึ้นยืนแล้วสำรวจไปบริเวณรอบ ๆ เธอเห็นเพียงแสงเล็ก ๆ ส่องลอดผ่านอยู่ใต้กองก้อนหินที่ร่วงมาจากเพดานถ้ำจากแรงระเบิด พอลองเข้าไปค้นดูก็พบว่าเป็นแสงจากหมวกนิรภัยของโครงกระดูกคนเหมืองเมื่อครู่นี้ แต่คงจะใช้ต่อไม่ได้แล้วเพราะตัวหมวกนั้นแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เหลือแต่ส่วนที่ให้แสงสว่างที่ยังคงทำงานดีอยู่



    เจนหยิบขึ้นมาดูก็พบว่านั่นไม่ใช่ไฟฉายอย่างที่เจนเข้าใจ แต่มันเป็นอัญมณีสีเหลืองที่เรืองแสงที่ส่องสว่างออกมาด้วยตัวเอง พอหันมามองที่เหมวกก็พบว่ามีตัวเปิดเปิดทำให้สามารถใช้ได้เหมือนไฟฉาย



    อัญมณีหิ่งห้อย ระดับ B

    เป็นอัญมณีที่ส่องแสงสว่างออกมาเมื่ออยู่ในความมืด สามารถใช้ได้โดยไม่มีวันดับแสง



    เจนยิ้มออกมาทันที อัญมณีนี้เป็นสิ่งที่เธอกำลังอยากได้อยู่พอดีเพราะถ้าหากเธอพบกับโครงกระดูกคนเมืองอีกครั้งหรือมอนสเตอร์ตัวอื่นอีกล่ะก็ อย่างน้อยเธอก็มองเห็นพวกมันก่อนและสามารถสู้ตอบได้อย่างไม่เสียเปรียบนัก



    "เจน..เจน!" เสียงของแจ็คดังขึ้น เธอรีบหันมองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่มาของเสียง แต่ก็พบว่าเสียงนั่นมาจากช่องสนทนากลุ่ม



    "แจ็ค! นี่พวกนายปลอดภัยดีหรือเปล่า" เจนถาม



    "ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอ พวกเราอยู่ที่เต็นท์กันครบ มีแต่เธอนั่นแหละที่หายไปอยู่คนเดียว ตอนนี้โจกำลังไปดูพวกคิทซึเนะอยู่ ตอนนี้เธออยู่ไหนกันเนี่ย" เด็กหนุ่มถามอย่างร้อนรน



    "เอ่อ...ฉันว่าตอนนี้ฉันคงอยู่ในเหมืองโบรดี้..ล่ะมั้ง"



    "หา!! นี่เข้าไปทำอะไรไม่ทราบหะแม่คุณ!" เสียงร้องตะโกนของแจ็คดังลั่นจนทำให้เจนอยากจะอุดหู แต่เสียงนี่มันดังอยู่ในหัวเลยไม่รู้ว่าจะไปอุดตรงไหน



    "จะไปรู้ได้ยังไงเล่า ฉันตื่นมาก็อยู่ที่นี่แล้ว ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง" เจนตอบตามความจริง



    "เดี๋ยวก่อนนะ.... ตายล่ะ นี่เธอไปโผล่อยู่อีกฟากของภูเขาได้ยังไงกันเนี่ย" ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูท่าทางเธอคงจะออกมาไกลจากพวกแจ็คมากทีเดียว ทำให้เจนยิ่งสงสัยขึ้นไปอีกว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง



    "แล้วจะเอายังไงดี จะให้ฉันเดินกลับไปหรือเปล่า"



    "อะไรนะ? ไม่ต้อง ๆ " เด็กหนุ่มรีบตอบปฏิเสธ "ตอนนี้เธออยู่ไกลมากจากทางเข้ามากกว่าทางนี้ ให้พวกเราเข้าไปหาเธอดีกว่า รออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวพวกเราเก็บของตรงนี้เสร็จแล้วจะรีบตามไปหา"



    "เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ เมื่อกี้ฉันเจอโครงกระดูกดูท่าทางเหมือนเป็นคนงานเหมืองอยู่ด้วย มันมีจุดอ่อนอยู่ที่กลางอกนะ แต่ถ้าทำลายจุดอ่อนมันแล้วมันจะเกิดระเบิดรุนแรงมาก พยายามอยู่ห่าง ๆ เอาไว้ล่ะ" เจนเตือน



    "อืม แบบเสียงระเบิดเมื่อกี้ล่ะสิ ขนาดอยู่หน้าทางเข้ายังได้ยินเลยนะเนี่ย" แจ็คว่า "เอาเป็นว่าอีกเดี๋ยวเจอกัน ตอนนี้คิทซึเนะและฟีบีแทบจะพุ่งเข้าไปในเหมืองแล้ว"



    "ฮะ ฮะ เข้าใจแล้ว ฝากดูแลพวกนั้นด้วยนะ" เจนตอบแล้วตัดการติดต่อไป



    หลังจากใช้เวลาอยู่ครึ่งชั่วโมงสำรวจบริเวณรอบ ๆ ดูอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าบริเวณที่เธออยู่นี่เป็นทางเดินยาวของคนงานเหมือง ดูจากสภาพไม้ค้ำเพดานแล้วคงถูกสร้างมานานแล้วเลยทีเดียว เจนยังรู้สึกแปลกใจอยู่ว่าเหมืองแห่งนี้ยังอยู่มาได้ยังไงทั้ง ๆ ที่เจอแรงระเบิดไปขนาดนั้นแท้ ๆ แต่คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ขึ้นมาจึงเลิกสนใจเรื่องนั้นไป



    การรอคอยกับเจนนั้นไม่ได้เป็นของคู่กันเลย ถึงแจ็คจะบอกว่าให้รออยู่เฉย ๆ แต่แค่ 10 นาทีก็สุด ๆ แล้วสำหรับเจน



    "ขอล่วงหน้าไปดูหน่อยก็แล้วกันว่ามีอะไรบ้าง เรามีแสงไฟแล้วคงไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรหรอก" เจนพูดกับตัวเองแล้วเริ่มออกเดินทางไปด้านหน้า



    การเดินทางของเจนนั้นพบเจอพวกโครงกระดูกคนเหมืองอยู่บ้าง โชคดีที่เธอเจอเพียงแค่ทีละตัวจึงสามารถค่อย ๆ ลอบจัดการทีละตัวได้ ยิ่งแล้วที่ตอนนี้เจนรู้จุดอ่อนของมันทำให้ฆ่าง่ายยิ่งกว่าหมาป่าที่เจนเคยเจอบนเกาะเริ่มต้นซะอีก



    เจนใช้วิธีค่อย ๆ ย่องเข้าไปด้านหลังโดยพยายามก้าวเท้าให้เงียบเชียบที่สุด จากนั้นจึงแทงดาบทะลุหน้าอกจากนั้นก็รีบวิ่งรีบออกมาโดยทิ้งให้มันระเบิดตัวเอง ถึงวิธีนี้จะสามารถจัดการโครงกระดูกเหล่านี้ได้ง่ายแต่เธอก็ไม่ได้ของตกจากตัวมันเลยนอกจากอัญมณีหิ่งห้อยที่ได้จากซากหมวกของโครงกระดูกคนเหมืองซึ่งบางครั้งก็ได้มา บางครั้งก็โดนทำลายไปเพราะแรงระเบิด



    ในตอนนี้ระดับของเจนนั้นเพิ่มขึ้นมาเป็น 64 แล้วจากการลุยกับโครงกระดูกพวกนี้ ถึงจะมีเลเวลมากกว่าเจน 17 เลเวลก็ยังต้องจัดการตั้งหลายตัวกว่าที่เจนจะเพิ่มระดับขึ้นมาได้ แต่อย่างน้อยค่าประสบการณ์อีกครึ่งหนึ่งก็จะถูกแบ่งไปให้กับฟีบีซึ่งในตอนนี้น่าจะมีเลเวลเพิ่มขึ้นมากทะลุ 20 ขึ้นไปแล้ว



    หลังจากพักจนหายเหนื่อยเจนก็เริ่มออกเดินทางต่อไป ถึงตอนนี้พลังชีวิตของเธอจะยังเพิ่มขึ้นมาไม่ถึงครึ่งจากตอนที่โครงกระดูกคนเหมืองระเบิดในครั้งแรกเลยก็ตาม แล้วตอนนี้เธอเองก็ไม่มีน้ำยาเพิ่มพลังชีวิตติดตัวเลยซักขวดบวกกับเธอรู้สึกใจร้อนเกินกว่าจะนั่งรอให้พลังเพิ่มขึ้นมาจนเต็มทำให้เธอต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นอีก



    เมื่อเดินลึกเข้าไปเจนก็เริ่มพบกับทางแยกมากมาย แต่ละทางมีรางเลื่อนแยกไปแสดงว่าต้องเป็นส่วนที่ใช้ขุดทองอย่างแน่นอน เพราะอย่างไรก็ตามที่เหมืองแห่งนี้ก็เป็นเหมืองทองอยู่แล้ว รางเลื่อนคงเป็นรางที่เอาไว้ใช้ให้รถเลื่อนขนทองออกจากเหมือง เจนไม่คิดจะเดินแยกไปทางเหล่านั้นเด็ดขาดเพราะเธอยังจำที่โจเล่าได้เป็นอย่างดี



    มาถึงตอนนี้เธอนั้นตัวแข็งทื่อจนเป็นหุ่นกระบอก ความกลัวของเธอพุ่งขึ้นสูงจนแทบก้าวขาไม่ออกจนต้องก่นด่าตัวเองในใจว่าทำไมถึงต้องมาคิดเรื่องนั้นในตอนนี้ด้วยก็ไม่รู้



    เธอทำตามคำบอกของแจ็คเป็นอย่างดี ถ้าหาเธอไม่ไปยุ่งกับทองพวกนั้นก็คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ อีกอย่างก็คือตอนนี้เธอเองก็มีเงินอยู่มหาศาลอยู่แล้วไม่มีความจำเป็นต้องหาเงินเพิ่มในตอนนี้ ความคิดของเด็กสาวที่เคยเป็นคนตระหนี่ถึงขั้นขี้เหนียวคิดออกมาได้ ถ้าเป็นธรรมดาเธอคงจะแว่บเข้าไปดูซักหน่อยแล้วเชียว



    ในที่สุดเจนก็มีถึงในกลางของเหมืองทองโบรดี้ ที่เธอรู้ได้เพราะเส้นทางทุกเส้นมาบรรจบกันในที่แห่งนี้ ทำให้บริเวณนี้เต็มไปด้วยรถรางเลื่อนอยู่หลายคันและอุปกรณ์ทำเหมืองมากมาย เพดานถ้าที่ยกสูงเป็นพิเศษโดยมีโคมไฟที่เป็นอัญมณีหิ่งห้อยให้แสงสว่างแก่พื้นที่แห่งนี้อยู่จนทำให้เจนไม่ต้องใช้อัญมณีของเธอเลย



    แสงสว่างควรจะทำให้ใจกลางของเหมืองแห่งนี้ดูน่ากลัวน้อยลง แต่อากาศที่เย็นทะลุเสื้อคลุมของเธอกลับทำให้เธอยิ่งรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ตั้งแต่เธอเข้ามาในเหมืองแห่งนี้แล้วเธอยังไม่เจอสิ่งที่ทำให้ผู้เล่นระดับสูงอย่างไซก้าซึ่งเป็นถึงหัวหน้ากิลด์อันดับ 10 ของเกมขนหัวลุกได้ขนาดนั้น เจนมั่นใจว่าไม่ใช่พวกโครงกระดูกพวกนี้อย่างแน่นอนเพราะถ้าเธอจัดการได้จะมีหรือที่ไซก้าจะทำไม่ได้



    'รีบ ๆ ไปดีกว่า อยู่แถวนี้แล้วรู้ถึงหนาว ๆ ยังไงก็ไม่รู้' เจนคิด แต่ว่าจู่ๆเธอกลับก้าวขาไม่ออก เหมือนกับว่ามีใครมาจับขาเอาไว้ เสียงหวานแทบจะหลุดร้องกรี้ดออกมาเพราะในตอนนี้สติกระเจิงไปหมดแล้ว



    พอก้มลงไปดูก็พบว่าเท้าของเธอนั้นถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยมือที่ผุดออกมาจากพื้นดิน เจนพยายามสลัดให้หลุดสุดชีวิตแต่ยิ่งออกแรงมากเท่าไหร่ มือนั่นก็ยิ่งจับแรงมากขึ้นจนเธอรู้สึกเจ็บ ตอนนั้นเองที่หมอกจำนวนมหาศาลเริ่มเทเข้ามาจากทุก ๆ ด้านเหมือนกับคลื่นที่โถมเข้าใส่ จนในที่สุดเจนก็มองอะไรไม่เห็นอีก



    ตอนนี้เจนรู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่ากำลังฝันอยู่ แต่บางส่วนของเธอนั้นกลับรู้สึกเหมือนจริงมาก ท่ามกลางหมอกควันเจนได้ยินเสียงประหลาดขึ้นรอบ ๆ ตัว เสียงกรีดร้องที่ทำให้เธอต้องขวัญผวาเหมือนกับที่เธอเคยได้ยินในหนังผีหรือบ้านผีสิง แต่เมื่อเธอหันไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงกลับพบแต่หมอกสีขาวเพียงเท่านั้น



    หัวใจของเจนเต้นถี่ยิบราวกับกำลังจะระเบิดออกมา ทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวแต่เหงื่อกลับโทรมกาย ทันใดนั้นเองเธอก็เหลือบไปเห็นสุนัขสีน้ำตาลตัวใหญ่กำลังตั้งท่าขู่เหมือนจะเข้ามากัดเธออยู่ตรงหน้า เจนจำสุนัขตัวนี้ได้เพราะมันเป็นสุนัขที่กัดเธอในตอนที่เธอยังเด็ก ถึงมันจะตายไปนานแล้วแต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกเลิกผวาเวลาที่เดินผ่านซอยแถวบ้านไม่ได้ซักที



    ไม่ทันที่เจนจะได้ทำอะไร หมอกสีขาวก็เข้ามาบดบังร่างของสุนัขตัวนั้นให้หายไปจากสายตา แต่เสียงของมันยังคงอยู่และวนเวียนรอบ ๆ ตัวของเจน



    แฮ่!!



    เสียงของสุนัขเห่าจากด้านหลังพร้อมกับร่างขนสีน้ำตาลกระโดดเข้าใส่หมายจะขย้ำร่างบางอย่างที่มันเคยทำในอดีต เจนที่ไม่ทันตั้งตัวจึงหลบไม่ทันและโดนมันกระแทกจนล้มลงไป เด็กสาวลืมตาขึ้นมาเห็นเขี้ยวสีขาวกำลังจะขย้ำคอของเธอจึงรีบยกแขนขึ้นกันเอาไว้ให้สุนัขตัวนั้นกัดแทน



    เจนรู้สึกเจ็บบริเวณที่โดนกัดทำให้เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่ภาพภาพลวงตา เธอรีบสะบัดร่างของมันให้ออกไปจากตัวเธอแล้วรีบคว้าดาบคุซานางิขึ้นมาเพื่อเตรียมจะสู้ ครั้งก่อนที่เธอพบกับสุนัขตัวนี้เธอยังเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ แต่ตอนนี้เธอเติบโตจากตอนนั้นมามากแล้ว ถึงแม้ร่างกายจะกลายเป็นผู้หญิงก็จะไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน



    ทว่าร่างของสุนัขตัวนั้นกลับหายไปในกลีบเมฆ ม่านหมอกบดบังสายตาของเจนอีกครั้งแต่เธอก็ยังคงมั่นใจว่ามันยังคงอยู่ใกล้ๆคอยรอจังหวะกลับมาโจมตีเธออยู่



    ตอนนั้นเองที่เจนรู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองเจนอยู่จากด้านหลัง เธอจึงรีบหันหลังไปเพราะคิดว่าเป็นสายตาของเจ้าสุนัขตัวนั้น แต่กลับพบกว่าคนที่เธอไม่คาดคิดจะมาอยู่ที่ตรงนั้นได้



    "แจ็ค! โจ!" เด็กสาวตะโกนเรียก แต่ทั้งสองไม่ตอบคำและเดินหายเข้าไปในม่านหมอก เจนพยายามวิ่งตามแต่สองนั้นได้หายตัวไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าเธอจะพยายามเรียกหาเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบจากโจหรือแจ็คเลยแม้แต่น้อย



    ความรู้สึกโหวงในอกแปลก ๆ นี้ทำให้เจนรู้สึกหมดเรี่ยวแรง แรงใจที่มีอยู่ค่อย ๆ ลดลง ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่เจนอยู่โดดเดี่ยวไม่มีใครคอยอยู่เคียงข้าง และนั่นเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดในชีวิตของเธอ



    แต่ก่อนจะได้ทำอะไรต่อ เธอก็เหลือบไปเห็นร่างของคิทซึเนะและฟีบีนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น



    เจนรู้สึกเจ็บแปรบขึ้นมาที่หน้าอก น้ำตาที่พยายามอดกลั้นก็เริ่มรินไหลออกอย่างหยุดไม่อยู่ เจนพยายามจะเรียกหาคิทซึเนะและฟีบีแต่เสียงของเธอกลับไม่ยอมเปล่งออกมา สิ่งที่ดังอยู่มีเพียงแค่เสียงสะอื้นของเธอเท่านั้น



    เด็กสาวเงยหน้าขึ้นก็ต้องเบิกตากว้างเพราะด้านหลังกองเลือดนั้นคืออามีร่าในชุดสีดำที่เปื้อนคราบเลือดและดาบเล่มยาวที่กลายเป็นสีแดง เจนอ้าปากค้าง เธอทำได้เพียงแค่นั้นเพราะจะความเศร้ามันถาโถมเข้ามามากเกินจนรับความโกรธไม่ไหว ในหัวได้เพียงแค่คิดว่าทำไมอามีร่าถึงต้องทำแบนี้ ทั้ง ๆ ที่เธอพยายามจะช่วยเหลือเธอแท้ ๆ แต่เด็กสาวตรงหน้ากลับพรากสิ่งสำคัญไปจากเธอได้



    ม่านหมอกเริ่มเข้ามาบดบังร่างทั้งสามอีกครั้ง เวลานี้มีเพียงเสียงสะอื้นจากลำคอของเจนที่เธอหยุดมันไม่ได้ ความรู้สึกกลัว โกรธ เหงาและความโศกเศร้ามันพุ่งเข้าใส่เธอคิดต่อกันจนจิตใจที่เคยเริ่มเข้มแข็งเริ่มจะพังทลาย แล้วทันใดนั้นเองภาพที่ปรากฏตรงหน้าของเจนกลายเป็นภาพที่เธอวิงวอนเหลือเกินว่าไม่ใช้ปรากฏออกมาให้เห็นอีก เป็นหญิงสาวร่างสูงซึ่งมีศักดิ์เป็นแม่ของเจน กำลังยืนร้องไห้อยู่บนเตียงซึ่งผู้ที่นอนอยู่บนนั่นเป็นชายหนุ่มผมสีดำในชุดทหารอากาศแต่งตัวเต็มยศ...ศิลา พ่อของเจน



    "....คุณพ่อ" เสียงเอื้อนเอ่ยพร้อมทั้งเด็กสาวค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหา แต่ก่อนที่เธอจะเข้าไปถึงกลับมีหมอกเข้ามาบดบังเธอเสียก่อน



    "ไม่นะ!! อย่าเพิ่ง! ขอให้ฉันเห็นหน้าพ่อของฉันก่อน เอาพ่อของฉันกลับมา!!" เด็กสาวร้องตะโกนสุดเสียง มีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ตอบเธอกลับมา



    ศิลาเป็นทหารอากาศของกองทัพไทย เจนเองก็ไม่ได้รู้เกี่ยวกับพ่อของเธอมากนักเพราะเขาเสียไปตั้งแต่ที่เจนยังเล็ก ๆ แต่ตลอดช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ เจนและศิลานั้นตัวติดกันอย่างกับเป็นคน ๆ เดียวกัน ไม่ว่าจะนอนหรือกินข้าวต่างก็ไม่ออกห่างจากกันเลย เว้นแต่ช่วงที่ศิลาต้องเข้าไปประจำการซึ่งเขาจะต้องแยกจากลูกของตนไป แต่เขาก็ติดต่อกลับมาหาเจนอยู่เสมอ



    แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้น เธอยังไงเหตุการณ์ในวันนั้นได้อย่างดี มันเป็นวันที่ฝนตกหนัก มีเสียงกริ่งดังมาจากหน้าบ้านในขณะที่เจนกำลังดูโทรทัศน์อยู่ จริยาที่กำลังทำข้าวเย็นเดินเข้าไปเปิดประตูนั้นซึ่งถ้าหากกลับไปเปลี่ยนได้เจนก็ไม่อยากให้แม่ของเธอเป็นคนไปเปิดประตูบ้านเลยด้วยซ้ำ



    เจนไม่ได้สงสัยเลยว่าใครมาอยู่ที่หน้าประตูจนกระทั่งจริยาก็ส่งเสียงสะอื้นดังออกมา ทำให้เจนซึ่งอยู่ในวัย 8 ขวบปิดโทรทัศน์และเข้ามาหาด้วยความสงสัย จริยากำลังนั่งทรุดลงบนพื้นบ้านกำลังพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ออกมาจนตัวสั่น ที่ประตูบ้านเป็นชายชราในชุดทหารคล้ายกับพ่อของเธอ โดยสีหน้าของเขาดูเศร้าหมอง เขาถอกหมวกออกและถือมันเอาไว้บนอกเหมือนกับแสดงความเคารพ เจนได้ยินเขาพูดว่า 'เสียใจด้วย' อยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้จริยาหยุดร้องไห้เลยแม้แต่น้อย จนในที่สุดเจนก็พลอยร้องไห้ตามแม่ของเธอไปอีกคน



    หลังจากนั้นเจนก็ขึ้นรถไปพร้อมกับจริยาและชายชราคนนั้นมุ่งหน้าที่สถานที่ซึ่งเหมือนกับเป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เจนจำเหตุการณ์ในตอนที่เธอเข้าไปยังโรงพยาบาลไม่ได้มากนัก แต่ภาพหนึ่งที่จำได้ติดตาคือร่างไร้วิญญาณของศิลาในชุดทหารที่เขาภาคภูมิใจกำลังนอนสงบอยู่บนเตียง



    ในขณะที่มีคนจำนวนหนึ่งในชุดทหารเช่นเดียวกันกำลังยืนล้อมศิลาเอาไว้และจริยาร้องไห้เสียงดังอยู่ข้าง ๆ ร่างของสามี ในตอนนั้นเองที่เจนรู้ตัวแล้วว่าเธอเพิ่งเสียพ่อของเธอไป...ตลอดกาล



    เจนทรุดร่างลงไปบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง สิ่งที่เธอเพิ่งเจอไปนั้นมันรู้สึกมากเกินไปสำหรับเด็กสาวอย่างเธอหรือต่อใครก็ตาม ความรู้สึกต่างๆที่ผสมปนเปกันจนกลายเป็นความสิ้นหวัง เจนไม่อยากจะขยับไปไหนอีกแล้วเพราะกลัวที่จะเจอกับสิ่งที่เธอเพิ่งพบมาอีกครั้ง



    "ไม่เอา.. ไม่เอาแล้ว...ฮึก ไม่อยากจะเจอความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว" เด็กสาวคร่ำครวญ น้ำตาไหลหยดลงปลายดาบคุซานางิที่อยู่บนพื้นแต่เจนไม่มีกำลังพอที่จะหยิบมาขึ้นมาอีก



    'ถ้าเช่นนั้นก็จงหยุดพักเถอะ....เจน' เสียงกระซิบลอยเข้าหู เป็นเสียงที่ไร้เจ้าของแต่กลับมีพลังโน้มน้าวจิตใจอย่างมหาศาล เรี่ยวแรงที่มีอยู่เริ่มเหือดแห้งไป ดวงตาที่มองเห็นกลับเริ่มพร่ามัว ทว่าจิตใจที่ฟุ้งซ่านนั้นกลับเริ่มสงบลงตามเสียงกระซิบปริศนา



    'จงพักซะ ปล่อยวางทุกอย่างไป ละทิ้งความเศร้า ความเจ็บปวด ความทรมานไปซะ แล้วจงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง...ของความมืด' เสียงกระซิบยังคงลอยมาเรื่อยๆ จิตใจของเจนคล้อยตามไปอย่างง่ายดาย ดวงตาของเธอพร้ามัว เด็กสาวทิ้งร่างของตนลงบนพื้นพร้อมกับสติที่เริ่มจะเลือนรางไปอย่างช้า ๆ



    ซูมมม!!!



    เหมือนกับมีคลื่นพลังกระแทกพัดให้กลุ่มหมอกกระจายออกไปอย่างรุนแรง สายลมพัดปั่นป่วนไปมาอย่างรุนแรงอย่างน่าพิศวง เมื่อหมอกสีขาวหายไปเปิดเผยให้เห็นถึงร่างโครงกระดูคนเหมืองจำนวนนับร้อยตัวกำลังยืนล้อมรอบตัวของเจนอยู่ และตรงหน้าของเธอคืออสูรตัวใหญ่ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน



    เทพแห่งความมืด เซอร์โนบอท

    ยศ เทพเจ้า ระดับ 90



    เทพอสูรตนนี้ระดับสูงยิ่งกว่ามอนสเตอร์ตัวไหนที่เจนเคยพบมา ไอเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างในชุดเกราะสีดำขนาดใหญ่แทบจะทำให้เธอแข็งไปทั้งตัว ผ้าคลุมสีดำยาวแผ่สยายดูน่าเกรงขาม ส่วนหัวของเทพอสูรนั้นสวมหมวกเกราะเอาไว้ทำให้ไม่เห็นใบหน้าแต่ดวงตาสีแดงสดเรืองแสงทะลุออกมาและจ้องมองมาที่ร่างของเจนอย่างใจเย็น มือข้างซ้ายไม่ได้ถืออาวุธแต่เป็นกรงเล็บคมกริบ มืออีกข้างถือดาบสีดำขนาดใหญ่กว่าร่างของเทพอสูรที่สูงกว่าสิบห้าเมตรซึ่งสูงเกือบพอๆกับตึกห้าชั้นเลยทีเดียว โชคดีที่เซอร์โนบอทสูงเพียงเท่านี้เพราะถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็คงพุ่งทะเลเพดานเหมืองไปแล้ว



    'ถ้าหากเจ้าต้องการพลังที่จะยึดเหนี่ยวสิ่งที่เจ้าต้องการจะปกป้องล่ะก็ จงเรียกข้าออกมา' เสียงคำรามราวกับเสียงของสัตว์อสูรดังก้องไปทั่วบริเวณ เจนที่ได้ยินเสียงนั้นก็ได้สติขึ้นมา เรี่ยวแรงค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้นหลังจากที่ม่านหมอกหายไป เด็กสาวมองซ้ายมองขวาหาต้นเสียงและในที่สุดเธอก็พบว่าเสียงนั่นมาจากดาบคุซานางิที่ลอยอยู่ด้านหน้าเธอ



    เธอยกมือขึ้นจับดาบและรู้สึกได้ถึงพลังที่วิ่งเข้ามาที่ร่างของเธอเหมือนกับตอนที่เธอทำพันธสัญญาอาวุธเป็นครั้งแรก เจนรู้สึกร้อนวาบตั้งแต่ปลายนิ้วจนไปทั่วทั้งร่าง พละกำลังของเธอกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งและความคิดของเธอก็กลับมากระจ่างชัดขึ้น



    เหมือนกับเจนรู้ว่าเธอต้องทำอะไร ราวกับมันเป็นสิ่งที่เธอเคยทำมาแล้ว เด็กสาวยกดาบขึ้นสูงและตะโกนเสียงดังลั่น



    อัญเชิญเทพอสรพิษแปดหัว ยามาตะ โนะ โอโรจิ!!



    สิ้นเสียง ดาบคุซานางิก็ส่องแสงประกายจ้า แล้วร่างของอสรพิษขนาดใหญ่พลันปรากฏตัวออกมาจากดาบ หัวทั้งแปดร้องคำรามดังสนั่นขู่เซอร์โนบอทอย่างไม่เกรงกลัวโดยร่างของหัวทั้งแปดนั้นเป็นลำตัวยาวเหมือนกับงูโดยใช้เป็นลำตัวเดียวกัน



    เทพอสรพิษแปดหัว ยามาตะ โนะ โอโรจิ

    ยศ เทพเจ้า ระดับ 90



    เจนเบิกตากว้าง เพราะต่อไปนี้เธอกำลังจะได้เป็นพยานของการต่อสู้ระหว่างมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าทั้งสองที่จะเปลี่ยนอนาคตของโลกดิ โอเพ่นเวิลด์ไปตลอดกาล





    จบตอนที่ 21 เผชิญหน้ากับความกลัว
    ---------------------------------------------



    ขอบคุณที่ติดตามครับ พอดีผมเอาจากเว็บเด็กดีมาลงน่ะครับ ลงวันละตอนจนกว่าจะเท่ากับตอนปัจจุบันล่ะครับ จากนั้นคงจะเป็นสัปดาห์ละตอนหรือมากกว่านั้น

  10. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  11. #32
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 22 ตำนานปะทะตำนาน

    ตอนที่ 22 ตำนานปะทะตำนาน



    หัวทั้งแปดของยามาตะ โนะ โอโรจิร้องคำรามขู่เซอร์โนบอทเสียงดังสนั่นแต่เทพอสูรแห่งความมืดกลับไม่ได้แสดงท่าทางเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย กลับยกดาบขึ้นเตรียมพร้อมจะสู้กับเทพอสรพิษซะด้วยซ้ำไป หัวหนึ่งของยามาตะ โนะ โอโรจิก้มลงมาหาเจนแล้วพูดด้วยเสียงคำรามฟังดูทรงอำนาจยิ่ง



    "รีบไปหาที่ปลอดภัย เดี๋ยวข้าจะเปิดทางให้" ไม่พูดเปล่า หัวนั้นก็อ้าปากปล่อยพลังแสงใส่กองทัพโครงกระดูกให้หายไปแบบไม่เหลือซากในพริบตา เจนได้ยินเสียงรายงานว่าเธอเพิ่งจัดการฆ่าโครงกระดูกคนเหมืองไปจำนวนมากแต่ในตอนนี้เธอไม่สนใจที่จะฟังรายระเอียดและรีบวิ่งตรงไปยังทางที่หนึ่งในแปดหัวของยามาตะ โนะ โอโรจิเพิ่งสร้างให้ก่อนที่เธอจะโดนหนึ่งในสองเทพตรงหน้ากระทืบจมดิน



    เด็กสาววิ่งผ่านขี้เถ้าของโครงกระดูกคนเหมืองเข้าไปหลบยังทางแยกทางหนึ่งของถ้ำ เธอแนบร่างชิดกำแพงแล้วพยายามทบทวนความทรงจำของเธอเพราะเรื่องต่าง ๆ มันเกิดขึ้นเร็วมากจนเธอตามไม่ทัน



    เธอจำได้ว่ามีหมอกมาล้อมรอบตัวเธอจากนั้นเธอก็เห็นภาพต่าง ๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกแย่ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เธอไม่อยากจะเห็นเช่นการที่โจและแจ็คเลิกคบเธอเป็นเพื่อนหรืออามีร่าลงมือฆ่าคิทซึเนะและฟีบี หรือจะเป็นความทรงจำในอดีตอย่างเจ้าสุนัขสีน้ำตาลกับภาพของจริยากำลังร้องไห้อยู่เหนือศพของพ่อเธอ



    ถึงความทรงจำในตอนนั้นจะเลือนลางเหมือนกับว่าเธอแค่ฝันไป แต่ความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่ในอกมันเป็นของจริงและเจนก็มั่นใจอย่างมากว่าจะต้องเป็นพลังของเซอร์โนบอทที่ทำให้เธอเห็นภาพเหล่านั้น



    เสียงคำรามของยามาตะ โนะ โอโรจิดังคำรามขึ้นอีกครั้งทำให้เจนต้องโผล่หัวจากที่กำบังออกไปดู เทพอสูรทั้งสองยังคงดูเชิงกันอยู่ ไม่ยอมเข้าปะทะกัน



    เซอร์โนบอทนั้นมีรูปร่างเหมือนมนุษย์สวมชุดเกราะทั้งตัวและยังมีอาวุธระยะกลางอย่างดาบเล่มยักษ์และอาวุธระยะประชิดอย่างกรงเล็บขนาดใหญ่ทำให้มันได้เปรียบกว่ายามาตะ โนะ โอโรจิมากในการต่อสู้ในพื้นที่แคบเช่นนี้



    ถึงเซอร์โนบอทจะมีรูปร่างที่สามารถสู้ในระยะประชิดได้ดีกว่าแต่มันก็ไม่มีทางป้องกันจากการโจมตีจากหัวทั้งแปดพร้อมกันได้เช่นกัน ระดับของทั้งสองพอ ๆ ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ผู้แพ้คือผู้ที่พลาดพลั้งก่อนเท่านั้น



    พญาอสรพิษเริ่มจู่โจมก่อนด้วยลำแสงสีขาวที่ใช้กำจัดโครงกระดูกคนเหมือนเมื่อครู่แต่ครั้งนี้ลำแสงมีขนาดใหญ่และเข้มข้นกว่ามาก



    เซอร์โนบอทเห็นดังนั้นก็เอนตัวหลบอย่างว่องไวต่างจากขนาดตัว แต่ก็ไม่ไวพอที่จะหลบลูกไฟที่พุ่งเข้าใส่จากปากของอีกหัวของยามาตะ โนะ โอโรจิได้



    ตูม!!!



    เสียงระเบิดดังสนั่น ลูกบอลเพลิงเข้าปะทะร่างของเทพอสูรเข้าอย่างจัง เทพอสรพิษไม่หยุดเพียงแค่นั้น หัวที่เหลืออยู่ต่างปล่อยพลังต่างชนิดออกมานับไม่ถ้วน เสียงระเบิดดังอย่างต่อเนื่องจนร่างของเทพอสูรถูกพลังดันติดกำแพงถ้ำด้วยแรงกระแทก ควันจากระเบิดฟุ้งกระจายไปทั่วจนมองไม่เห็นร่างยักษ์ของเซอร์โนบอทแต่ยามาตะ โนะ โอโรจิก็ไม่ประมาท สายตาทั้ง16คู่ยังคงจับจ้องไปที่กลุ่มควัน



    ทันใดนั้นเองที่กรงเล็บสีดำก็พุ่งออกมาพร้อมกับเกราะทมิฬที่ไร้ซึ่งรอยขีดข่วน ดาบเล่มยักษ์ฟาดใส่หัวหนึ่งที่อยู่ในระยะดาบของเซอร์โนบอท ตัวดาบถูกหุ้มดัวยพลังสีดำมะเมื่อมดูน่ากลัวและทรงพลังจนทำให้บรรยากาศรอบตัวดาบถึงกับบิดเบี้ยว เจนอ้าปากค้างด้วยความตะลึงงันเพราะเธอไม่คิดกว่าเกล็ดสีดำของยามาตะ โนะ โอโรจิจะป้องกันพลังทำลายของดาบเล่มนี้ได้



    แต่ก่อนที่ดาบจะตัดหัวพญาอสรพิษลงก็มีกำแพงน้ำแข็งขึ้นมากั้นเอาไว้ระหว่างดาบและหัวของพญางู ถึงกำแพงน้ำแข็งจะไม่สามารถป้องกันการโจมตีของดาบได้แต่ก็ทำให้ดาบช้าลงจนยามาตะ โนะ โอโรจิหันหัวของตนหลบคมดาบอย่างฉิวเฉียด ในพร้อมกันนั้นเองที่อีกเจ็ดหัวที่เหลือทำการโจมตีกลับไปดัวยพลังหลากชนิดซึ่งดูแล้วก็มีความรุนแรงไม่น้อยไปกว่าพลังดาบของเทพอสูรเลย



    เจนมองการต่อสู้ของมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าอย่างตื่นเต้นจนลืมเรื่องอื่นไปเสียสิ้น พลังมหาศาลของทั้งยามาตะ โนะ โอโรจิและเซอร์โนบอทนั้นอยู่คนละชั้นกับมอนสเตอร์ที่เคยเจอมาเป็นไหน ๆ ขนาดที่มาเอะซึ่งเป็นจิ้งจอกเก้าหาง มอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าเช่นเดียวกันก็มีพลังเทียบเสี้ยวของหนึ่งในมอนสเตอร์ตรงหน้านี้ไม่ติด



    โครงกระดูกคนเหมืองที่อยู่รอบ ๆ ถูกเทพทั้งสองป่นจนไม่ต่างราวกับมดปลวก เพราะไม่ว่าทั้งสองจะเคลื่อนไหวไปที่ใด ก็เป็นอันทำให้ร่างของเหล่าโครงกระดูกต้องกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปทุกครา ไม่ต้องพูดถึงการโจมตีของทั้งคู่เลยที่แค่เฉียด ร่างของเหล่าโครงกระดูกก็สลายไปจนไม่เหลือซาก พลังที่ต่างระดับชั้นกันราวกับฟ้ากับเหวทำให้เจนเริ่มหวั่นใจว่าเหมืองแห่งนี้อาจจะไม่สามารถรองรับความคลั่งนี้ได้



    ยามาตะ โนะ โอโรจินั้นสามารถโจมตีได้ถึงแปดครั้งติดต่อกันจากหัวทั้งแปด ในแต่ละหัวนั้นมีพลังแตกต่างกันไป โดยสองหัวแรกมีพลังในการควบคุมหินและสายลมที่อยู่รอบตัวได้ สามหัวถัดมามีพลังที่จะปล่อยพลังสายฟ้า เพลิงและน้ำออกจากปากรวมถึงควบคุมได้ตามใจนึกอย่างการทำให้น้ำเป็นน้ำแข็งเป็นต้น



    สองหัวสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดมีพลังที่พิเศษกว่าหัวอื่นนั่นคือแสงสว่างและความมืด ซึ่งเป็นพลังเฉพาะที่จะแฝงอยู่ในพลังอื่น ๆ เช่นเพลิงจิ้งจอกของคิทซึเนะที่เป็นธาตุไฟแฝงธาตุแสงทำให้เปลวเพลิงมีพลังที่มอนสเตอร์ประเภทวิญญาณขยาด ดังนั้นพลังของหัวทั้งสองนี้จึงรุนแรงและอันตรายมากทีเดียว



    สุดท้ายก็คือถ้าหากพูดถึงพญางูก็คงต้องนึกถึงพิษงู ดังนั้นหัวที่แปดจึงมีอาวุธที่ขาดไม่ได้สำหรับงูนั่นก็คือพิษและยังเป็นพิษร้ายที่อันตรายถึงชีวิตโดยเพียงแค่หยดเดียวก็อาจจะฆ่ามอนสเตอร์ระดับราชาได้ไม่ยาก ถ้าหากโดนกัดจนพิษเข้าสู่ร่างกายโดยตรงต่อให้เป็นเซอร์โนบอทเองก็ล้มได้ และแต่ละหัวแทบแยกกันไม่ออกว่าหัวใดมีพลังโจมตีอะไร ทำให้คาดเดายากต่อการป้องกัน



    ทางเซอร์โนบอทนั้นใช่ว่าจะมีพลังด้อยกว่าพญาอสรพิษ ตัวมันของจากจะมีอาวุธและเกราะที่แข็งแกร่งแล้วยังมีพลังแห่งความมืดที่ทรงพลังยิ่งกว่าใคร ๆ พลังแห่งแสงสว่างของยามาตะ โนะ โอโรจินั้นมีพลังด้อยกว่าพลังความมืดของมันมาก ถึงพญาอสรพิษจะใส่พลังเต็มที่จนอาจจะทำให้มันบาดเจ็บสาหัสได้ก็ตาม แต่ไม่มีทางที่พลังแห่งแสงในตัวของยามาตะ โนะ โอโรจิจะฆ่าเทพอสูรตนนี้ได้อย่างแน่นอน



    เหมือนกับว่าทั้งคู่รู้จุดแข็งของอีกฝ่าย ทำให้การโจมตีที่ทั้งสองห้ำหั่นใส่กันนั้นถึงจะดูรุนแรงในสายตาของเจนแต่ก็เป็นเพียงแค่การลองเชิงเท่านั้น ทั้งสองต่างไม่ใช้พลังของตนอย่างเต็มที่แต่ความจริงแล้วทั้งสองเองก็ไม่ได้ใช้พลังออกมาไม่ถึงครึ่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นก็ตามแรงจากการปะทะระดับเทพเจ้าก็ทำให้ถ้ำสั่นสะเทือนจนแทบจะถล่มลงมาอยู่รอมร่อ



    เสียงของแรงสั่นสะเทือนดังสนั่นพร้อมกับก้อนหินที่ตกลงมาจากเพดานถ้ำบอกให้เจนรู้ว่าเหมืองแห่งนี้เริ่มไม่มั่นคงเสียแล้ว และการที่เธอจะอยู่แถว ๆ นี้ที่เป็นจุดศูนย์กลางของของการต่อสู้ก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก



    เด็กสาวรีบวิ่งหนีออกมาจากบริเวณนั้นก่อนเพราะการต่อสู้ของเทพทั้งสองนั้นรุนแรงยิ่งขึ้นทุกวินาที เจนเก็บดาบแล้วรีบสับเท้าอย่างรวดเร็วไปตามทางตรงหน้าที่ควรจะเต็มไปด้วยมอนสเตอร์กลับว่างเปล่า เหมือนกับว่าโครงกระดูกทุกตัวจะถูกเรียกไปยังในกลางเหมืองทำให้เจนวิ่งหนีออกมาโดยไร้สิ่งกีดขวาง เว้นเพียงแต่ก้อนหินที่คอยหล่นใส่ตามเสียงการต่อสู้ด้านหลัง



    ตอนนั้นเองเจนก็รู้สึกได้ว่ามีตัวอะไรบางอย่างพุ่งเข้าใส่เธอจากด้านล่างโดยที่เธอไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย พอก้มลงไปดูเธอก็เห็นใบหน้าแป๋วแหววกับดวงตาสีเหลืองที่ดูคุ้นตา



    "คิทซึเนะ!" เจนร้องชื่อจิ้งจอกน้อยเมื่อเห็นเจ้าตัวกำลังกอดร่างของเธอแน่นไม่ยอมปล่อย ส่วนฟีบีนั้นก็บินวนอยู่รอบ ๆ ด้วยท่าทางดีใจโดยมีสองหนุ่มที่เพิ่งวิ่งมาตามมาถึง



    "เฮ่อ.. เจอตัวซักที! เอ้า นี่ของ ๆ เธอ ...ตกลงมันเกิดเรื่องบ้าอะไรเนี่ยเจน" โจกล่าวพร้อมกับโยนกระเป๋าเริ่มต้นไปให้เด็กสาว



    เธอยกมือรับได้อย่างแม่นยำแล้วนำไปคาดที่เอวทันที ถึงตอนนี้เธอจะมีน้ำยาเพิ่มพลังชีวิตเตรียมพร้อมและอยู่กับเพื่อน ๆ กันพร้อมหน้า แต่เจนกลับไม่รู้สึกอุ่นใจเลยแม้แต่น้อย



    "เอาไว้เล่าทีหลัง ตอนนี้ถ้ำกำลังจะถล่มลงมาแล้ว พวกเรารีบหนีออกจากถ้ำกันก่อนดีกว่า" เจนบอกพลางแกะมือของคิทซึเนะที่เกาะแน่นอย่างกับตุ๊กแก



    "ทางข้างหน้าตอนนี้อันตรายเกินไป กลับไปทางที่พวกนายมาจะปลอดภัยกว่า"



    "จะบ้าหรือไง พวกเราวิ่งกว่าจะมาถึงตรงนี้ก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง ให้ถอยกลับไปไม่ทันแน่ ๆ อีกอย่างแรงสะเทือนขนาดนี้มีหินถล่มปิดทางไปหรือยังก็ไม่รู้" แจ็คแย้งขึ้นมา ท่าทางของเขาดูเหนื่อยหอบและเหงื่อซึมเต็มออกจากเสื้อจนชุ่มไปทั้งตัว



    เด็กสาวเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของแจ็ค แต่ถ้าหากไปด้านหน้าก็เจอสองเทพปะทะกันก็ไม่ต่างจากเข้าไปหาที่ตาย การจะไปอยู่ตรงกลางระหว่างศึกของยักษ์แบบนั้นมีหวังได้โดนเหยียบไม่ก็เจอลูกหลงแบบโครงกระดูกคนเหมืองแน่ ๆ



    ทางรอดก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย หนึ่งในนั้นคือให้กลับไปทางเก่าแต่มีหวังถ้ำได้ถล่มลงมาก่อนอย่างที่เพื่อนหนุ่มของเธอพูด หรือไม่ก็โดนทำลายไปพร้อมกับภูเขาลูกนี้จากพลังของยามาตะ โนะ โอโรจิไม่ก็เซอร์โนบอท หรืออีกทางคือใช้ความเร็วของพลังสถิตร่างพาทุกคนหนีออกจากถ้ำแต่ด้วยพลังเวทที่เหลืออยู่ไม่มากและเวลาก็คงมีไม่พอที่จะใช้น้ำยาฟื้นพลังเวทได้ทันก็เลยต้องตกไป



    ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่ ตอนนั้นเองดวงตาสีแดงก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่ทำให้ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาบนหัวเจน ทางออกจากที่นี่แบบติดราง!



    "รถรางไง! พวกเรานั่งไปบนรถรางก็อาจจะไวพอที่จะหนีทันก็ได้ แต่.." เจนรีบเปลี่ยนความคิดเพราะเมื่อพอนึกเห็นภาพพวกเธอผ่านเข้าไปใกล้บริเวณที่ยามาตะ โนะ โอโรจิกำลังต่อสู้อยู่จะเป็นยังไง ถึงจะใช้ความเร็วของรถรางแต่ภาพในหัวที่เจนเห็นนั้นก็ไม่ได้ออกมาดีนัก สงสัยเธอจะต้องหาทางอื่นซะแล้ว



    แต่ทันใดนั้นเอง เสียงของพญาอสรพิษควรจะอยู่ห่างออกไปกลับดังขึ้นในหัวของเจนเหมือนกลับอยู่ใกล้ ๆ



    'ไมต้องเป็นห่วง ข้าจะดึงตัวอสูรตนนี้ให้ห่างออกจากพวกเจ้าเอง ขอให้หนีออกไปจากที่นี่ไปได้ก็พอ'



    "เอ๊ะ เสียงนี้ ยามาตะ โนะ โอโรจิงั้นหรือ" เจนพูดขึ้นเสียงดังจนพวกโจหันมามองอย่างสงสัยว่าเธอกำลังพูดกับใคร



    'ข้าคุยกับเจ้าผ่านทางจิต มีเจ้าซึ่งเป็นคู่พันธะสัญญาของข้าสามารถที่ได้ยินข้าพูดเพียงคนเดียวเท่านั้น' เสียงคำรามขึ้นในหัวของเธออีกครั้ง



    "ตอนนี้เจ้ารีบพาเพื่อนหนีออกไปก่อนเถอะ ดูเหมือนเจ้าอสูรนี่ไม่คิดจะเก็บภูเขาลูกนี้เอาไว้แล้ว"



    "อะ เอ่อ..เข้าใจแล้ว" เจนรีบตอบเพราะรู้สึกเหมือนกำลังโดนสั่ง ถึงรู้ว่าตัวเองควรจะทำตัวเป็นนายแต่มาเจอเสียงที่ฟังดูน่ากลัวขนาดนี้คงจะทำไม่ไหว



    เจนรีบพาทุกคนกระโดดขึ้นไปบนรถรางอย่างรวดเร็วและไม่ลืมเก็บฟีบีเอาไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย ทั้งสี่พาตัวเองยัดลงไปในรถรางคันเล็กอย่างแน่นขนัดโดยมีเจนและคิทซึแนะนั่งอยู่ด้านหน้าและสองหนุ่มจอจานอยู่ด้านหลัง



    "เฮ้ย! นั่นมือของใครจับก้นฉันอยู่ รีบเอาออกไปเลยนะ" เจนร้องโวยวาย เธอพยายามดิ้นแต่พื้นที่นั้นช่างไม่อำนวยเอาเสียเลย



    "ก็ที่มันมีอยู่แค่นี้จะให้เอามือไปไว้ตรงไหนกัน หา" เด็กหนุ่มตอบและพยายามจะขยับตัวหามุมที่นั่งให้สบายขึ้น แต่กลายเป็นว่าไปจับตัวของเจนเข้าอีกจนโดนเพื่อนสาวใช้มือตบหน้าโดยไร้ทางป้องกัน



    "ทั้งสองคนมัวแต่เล่นอะไรกันอยู่เนี่ย ถ้าไม่รีบมีหวังโดนหินถล่มใส่ตายกันอยู่ตรงนี้แหละ" แจ็คว่า ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่ลำบากมากเพราะมีขนาดตัวใหญ่ที่สุดจากทั้งสามคน



    เขาหันหลังให้เพื่อนทั้งสองโดยมือข้างซ้ายติดอยู่จนขยับไปไหนไม่ได้ ส่วนมือข้างขวายังเป็นอิสระเพราะไม่มีที่จะให้ยัดจึงต้องเอาออกมาห้อยอยู่ข้างตัวรถราง จากท่านั่งของเขานั้นทำให้คนตัวใหญ่อย่างแจ็ครู้สึกอึดอัดมากจนหายใจแทบไม่ออก ถ้าหากไม่รีบไปล่ะก็ แจ็คอาจจะขาดอากาศหายใจตายแทนโดนหินถล่มใส่ก็ได้



    ส่วนจิ้งจอกน้อยนั้นนั่งหูตกอยู่ข้าง ๆ เจนก็รู้สึกอึดอัดด้วยเช่นกัน ในใจก็พลางนึกอิจฉาฟีบีที่ได้เข้าไปหลบอยู่ในดาบอย่างสบาย ๆ ทว่าจิตใต้สำนึกของเธอนั้นบอกให้เธอปกป้องเจ้านายของตนถึงแม้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม และคิทซึเนะเองก็มีบทเรียนในเรื่องนี้อยู่หลายรอบจนไม่คิดจะทำผิดอีกซ้ำสอง



    "เอาล่ะฉันว่าพวกเราออกไปก่อนดีกว่า ไว้จัดท่านั่งให้สบาย ๆ แล้วค่อย..-"



    ครืนนนน!!



    เสียงของหินถล่มดังมาพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนจนทำให้ทั้งสี่หันมามองหน้ากันเหมือนกับนัดเอาไว้ แจ็ครีบเอื้อมมือไปยังคันโยกเบรกที่อยู่ท้ายรถอย่างยากลำบากเพื่อปล่อยให้รถรางไหลไปตามเส้นทาง ล้อเหล็กค่อย ๆ หมุนไปด้านหน้าเมื่อตัวหยุดที่อยู่เหนือล้อถูกปลดออก รางด้านหน้าเป็นทางลาดลงทำให้ความเร็วของรถรางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองเห็นกำแพงหินแค่เพียงแว่บเดียวเท่านั้น



    เมื่อความเร็วของรถรางเพิ่มสูงขึ้นจนคล้ายกับรถไฟเหาะตีลังกา เจนรู้สึกเหมือนกับหัวใจของเธอตกอยู่ไปที่ท้องน้อย เด็กสาวใช้มือจับขอบของรถรางเอาไว้ไม่ปล่อย ริมฝีปากบางขบกันแน่นด้วยความกลัวจนเธอรู้สึกชา ความจริงแล้วเจนก็ไม่ได้เกลียดหรือกลัวรถไฟเหาะนัก ยิ่งชอบด้วยซ้ำถ้าหาได้ขึ้นไปพร้อมกับเพื่อน ๆ เช่นนี้ แต่ด้วยสถานการณ์ถ้ำกำลังใกล้ที่จะถล่มใส่หัวพวกเธอและรถรางมันก็ไม่ได้มีความปลอดภัยอย่างรถไฟเหาะเลยแม้แต่น้อย



    ยิ่งรถรางเคลื่อนเข้าใกล้ไปเท่าไหร่ เจนก็ยิ่งรู้สึกกังวลใจมากขึ้นเพราะพวกเธอกำลังเข้าใกล้เซอร์โนบอทขึ้นทุกที ถึงยามาตะ โนะ โอโรจิจะบอกว่าจะรั้งตัวอสูรชุดเกราะเอาไว้แต่เธอก็ยังอดหวั่นใจไม่ไหวถ้าหาเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา ไม่มีอะไรเลยที่ทั้งสี่จะทำได้ถ้าหากอยู่ต่อหน้าเซอร์โนบอท



    "โจ พอจะมีวิธีเปลี่ยนเส้นทางของรางนี้บ้างมั้ย?" เด็กสาวถามขึ้นเพราะไม่อยากจะไปเจอเซอร์โนบอทอีก



    "ก็อาจจะมี ทำไมงั้นหรือ ทางข้างหน้ามีอะไร" โจถามสวนกลับไป



    "เอาเป็นว่าฉันไม่อยากให้พวกนายสติแตกกันตอนนี้ก็แล้วกัน" เจนพูดพลางนึกภาพตาม



    เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่เรื่องขนาดที่ทำให้เขากับแจ็คสติแตกได้แบบนี้แสดงว่าต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ ถึงอยากรู้ว่ามันคืออะไรแต่โจก็ตัดสินใจรอจนกว่าเพื่อนสาวจะบอกเองทีหลังดีกว่า



    จอมเวทหนุ่มเบือนสายตาจากเพื่อนสาวและมองทางข้างหน้าเพื่อจะหาอะไรบางอย่างที่ช่วยเปลี่ยนให้รถรางคันนี้วิ่งไปทางอื่นได้ ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นป้ายเหล็กสีเหลืองด้านหน้าติดอยู่บนผนังกำแพงหิน โจรู้ว่ามันคืออะไรเขาจึงพยายามยกมือเพื่อยิงเวทใส่แต่มือทั้งสองข้างของเขาติดจนขยับตัวไม่ได้ และป้ายเหล็กอันนั้นก็กำลังจะผ่านไปแล้ว



    "แจ็คโว้ย! ยิงไอ้ป้ายสีเหลืองนั่นเร็วเข้า!" โจตะโกนเสียงดังแข่งกับเสียงลมที่พัดผ่าน



    "หา ทำไมอ่ะ" แจ็คตะโกนถามกลับไป



    "บอกให้ยิงก็ยิงไปเถอะน่า! เฮ้ย! จะเลยแล้ว!"



    เมื่อได้ยินเสียงตะโกนอย่างร้อนรนของโจ แจ็คจึงรีบหยิบปืนออกมาแล้วเล็งไปยังเป้าหมายก่อนที่จะเหนี่ยวไก



    ปัง!



    เสียงระเบิดของกระสุนที่ถูกส่งออกมาจากรังเพลิงดังคำรามราวกับสัตว์ร้าย ปืนโลกันต์ปล่อยกระสุนไฟพุ่งใส่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว



    แต่ต่อให้มีปืนที่ยิงได้รุนแรงแค่ไหนถ้ายิงไม่โดนก็ไร้ความหมาย กระสุนไฟพุ่งเข้าปะทะกำแพงแต่ไม่เฉียดใกล้ป้ายสีเหลืองเลยแม้แต่น้อย ทิ้งให้ทั้งสี่มองมันผ่านไปจนลับสายตา



    การยิงปืนนั้นแค่แม่นอย่างเดียวไม่พอ จะยิงให้โดนเป้าหมายได้ต้องอาศัยประสบการณ์และความเยือกเย็น อดทนรอจนเวลาเหมาะสมที่จะลั่นไก แจ็คเองก็ไม่เคยจับปืนมาก่อนในโลกแห่งความจริง ตลอดเวลาที่เขาเล่นเกมมาก็ถือได้ว่าตัวเองฝึกยิงปืนมาเยอะแต่ทุกครั้งไม่มีครั้งไหนเลยที่เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ที่ต้องใช้สมาธิและความแม่นยำในเวลาเสี้ยววินาที ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ต้องใช้ประสบการณ์และการฝึกฝนหลายปี จึงไม่แปลกนักที่เขาจะยิงพลาด แต่เพื่อนของเขาไม่ได้รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย



    "โถ่เอ้ย! ฉันบอกให้รีบ ๆ ยิงตั้งแต่แรกดันมามัวถามอยู่นั่นล่ะ ยิงพลาดเลยเห็นมั้ยเล่า" โจส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ พลอยทำให้คนถูกว่าเริ่มอารมณ์เสียไปด้วย



    "เอ้า! จู่ๆก็มาบอกให้ยิงโน้นยิงนี่แบบนี้ใครจะไปทำได้ล่ะ แถมตัวมาติดอยู่แบบนี้มันไม่ใช่ว่าจะยิงได้ง่าย ๆ นะ" เด็กหนุ่มแก้ตัว



    เด็กสาวที่นั่งตัวติดอยู่ด้านหน้าของทั้งสองคนนั้นไม่ได้อยากจะฟังด้วยเลยและเธอเองก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะมาห้ามศึกของทั้งคู่ในตอนนี้ แต่ถ้าหากทั้งสองคนมาทะเลาะกันในตอนนี้คงจะลำบาก เธอจึงพูดปรามทั้งสองโดยไม่หันหัวกลับไปเพราะขยับไม่ได้



    "พวกนายเลิกทะเลาะกันซักทีเถอะ ขนาดสถาน..- เฮ้ย! นั่น รีบยิงเร็วเข้า!!" เจนร้องตะโกนเมื่อเห็นป้ายสีเหลืองอีกอันโผล่ขึ้นมา



    คราวนี้แจ็คไม่ยอมโดนว่าอย่างคราวที่แล้วแน่ เขาต้องลบคำปรามาสของเพื่อนของเขาออกไปให้ได้ แต่การที่จะยิงเป้าหมายในขณะที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเช่นนี้นั้นยังเป็นเรื่องที่ยากเกินไปสำหรับเขา แต่ในโลกออนไลน์ยังมีสิ่งที่โลกแห่งความจริงทำไม่ได้อยู่ นั่นก็คือการใช้ทักษะนั่นเอง



    อะดรีนาลีนบูธ!



    เด็กหนุ่มใช้ทักษะที่เพิ่งได้มาจากการเปลี่ยนอาชีพเมื่อไม่ถึงหนึ่งวันก่อน ทักษะอะดรีนาลีนบูธจะทำให้ผู้ใช้ทักษะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวช้าลงเหมือนกับสโลว์โมชั่น โดยช่วยให้แจ็คมีเวลาเล็งปืนเพิ่มอีกนิดแต่ทักษะนี้ไม่ได้ทำให้เขาเคลื่อนไหวเร็วขึ้นกว่าเดิมหรือมีพละกำลังเพิ่มขึ้น ทำให้เด็กหนุ่มจำเป็นต้องยกปืนขึ้นเล็งไปล่วงหน้าพร้อมกับที่ตาจับจ้องไปที่เป้าหมาย



    ทักษะนี้ไม่ได้เป็นทักษะเฉพาะของอาชีพนักล่าค่าหัวเท่านั้น มีหลายอาชีพที่มีทักษะเดียวกันแต่ส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพที่ใช้อาวุธโจมตีระยะไกลเป็นหลัก ซึ่งมีประโยชน์มากในยามฉุกเฉินเพราะไม่เพียงแค่จะใช้เล็งยิงอาวุธระยะไกลได้ แต่ยังสามารถใช้เพื่อวางแผนในช่วงเวลาคับขันอีกด้วย จึงเป็นสาเหตุที่ผู้เล่นจำนวนมากพยายามหาอาชีพที่มีทักษะนี้มาครอบครอง แต่การที่จะได้ทักษะนี้มาใช้นั้นก็ยากมากเพราะต้องใช้อาวุธโจมตีระยะไกลจนกว่าจะได้ทักษะพื้นฐานจนเต็มหรือมีทักษะพื้นฐานอื่น ๆ เต็มด้วย และนั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยทีเดียว



    แจ็ครู้สึกได้ถึงแรงลมที่กระแทกเข้าใบหน้าอย่างละเอียดจนขนาดถึงกะได้ว่าลมพัดแรงแค่ไหน เขามองเห็นสิ่งรอบ ๆ เคลื่อนที่ได้ช้าลงจนเหมือนกับว่าเขาแยกมาอยู่ในโลกอีกใบ มือหนาค่อย ๆ เลื่อนปืนเล็งไปที่เป้าหมายอย่างแม่นยำ แต่ทว่าในหัวของแจ็คในตอนนี้กลับมีบางอย่างบอกว่าถ้าเขายิงไปในตอนนี้ก็ยังไม่โดนเป้าอยู่ดี ซึ่งนี่คือผลของอีกหนึ่งทักษะของแจ็คที่ได้มาหลังจากเปลี่ยนอาชีพ



    ลางสังหรณ์มือปืน



    ทักษะนี้เป็นทักษะติดตัวที่เขาได้มาหลังจากเปลี่ยนอาชีพ ซึ่งเป็นทักษะพิเศษสำหรับอาชีพที่ใช้ปืนระดับสูงเท่านั้น ความสามารถของทักษะคือทำให้ผู้ที่มีทักษะนี้สามารถรู้สึกได้ว่าจะยิงได้ที่ตรงไหน เวลาใดถึงจะถูกเป้า แต่มันเป็นแค่ความรู้สึกจึงไม่สามารถใช้ได้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ไม่มีเวลามาตัดสินใจ แต่เมื่อใช้ร่วมกับทักษะอะดรีนาลีนบูธแล้วทำให้ทักษะนี้สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์จนเป็นการผสานทักษะที่เยี่ยมยอดเลยทีเดียว



    เด็กหนุ่มเคลื่อนปืนออกไปด้านข้างแล้วลั่นไกโดยทันทีทั้ง ๆ ที่ตรงหน้าของปืนในเวลานี้คือกำแพงหินไม่ใช่ป้ายสีเหลืองที่เพื่อนของเขาต้องการให้ยิง แต่ทันใดนั้นก็เหมือนกับว่าเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ด้วยความเร็วของรถรางวิ่งทำให้ช่วงที่แจ็คลั่นไกตรงกับเวลาที่รถรางวิ่งผ่านป้ายสีเหลืองพอดิบพอดี



    ตูม!!



    เสียงของกระสุนพุ่งกระแทกใส่ป้ายอย่างแรงและระเบิดออกเพราะเป็นกระสุนจากปืนโลกันต์ เวลาเดียวนั้นเองที่รางด้านหน้าก็ถูกสับทำให้รถรางวิ่งในทางแยกอีกทางแทนที่จะวิ่งตรงไปหาสองเทพที่ยังคงปะทะกันจนถ้ำสั่นสะเทือน



    ท่ามกลางสายตาของเพื่อนทั้งสองคน แจ็คที่เห็นว่าเขายิงได้ถูกเป้าหมายจึงยกปืนกระบอกแดงของตนมาจรดปากและเป่าเบา ๆ เหมือนกับคาวบอยแต่ควันที่ควรมีนั้นถูกลมแรงพัดหายไปหมดแล้ว



    "โว้ว! สุดยอดไปเลยแจ็ค แม่นอย่างกับจับวางเลย" เจนตะโกนบอกทั้งๆที่หันหลังให้ ถึงเธอไม่เห็นว่าเพื่อนของเธอทำได้ยังไงแต่สำหรับเจนแล้วเธอทำแบบนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน



    "ฝีมือระดับนี้แล้ว.. แถมทักษะอีกสองสามอย่าง ไม่โดนก็แย่แล้ว" แจ็คพูดเสียงสบาย ๆ เขาจะเก็บปืนลงในแต่ถูกโจบอกห้ามเอาไว้ก่อน



    "อย่าเพิ่งเก็บปืนนะแจ็ค เดี๋ยวนายต้องยิงป้ายสลับรางอีกรอบให้พวกเรากลับไปยังรางที่จะพาออกไปนอกเหมือง" เพื่อนมือปืนพยักหน้าเข้าใจและหันกลับมามองทางด้านหน้าเตรียมพร้อมที่จะยิงอีกครั้ง



    "ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่าป้ายนั้นจะสับรางให้ไปทางอื่น" เจนถาม



    "ตลอดทางที่เดินผ่านมาฉันไม่ได้แค่ก้มหน้าก้มตาเดินอย่างเดียวนี่ ฉันสังเกตเห็นป้ายสีเหลืองแบบนั้นทุกครั้งก่อนที่จะเจอทางแยก พอฉันเข้าไปดูใกล้ ๆ ถึงจะรู้ว่าเป็นป้ายที่คนงานเหมืองเอาไว้ใช้พลั่วขุดตีเพื่อเปลี่ยนเส้นทางรถราง" ชายหนุ่มอธิบายราวกับเป็นผู้รอบรู้ ใครจะไปรู้ว่าชายที่กำลังพูดอยู่ในตอนนี้ซึ่งชอบเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจจะช่างสังเกตขนาดนี้



    เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งส่งผลให้ถ้ำเหมืองสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว ทั้งสี่จับรถรางที่ตนอยู่แน่นโดยสองหนุ่มก็นึกสงสัยว่ามันเกิดจากอะไรแต่มีทางเดียวที่จะรู้ได้ก็คือรอให้เพื่อนสาวเป็นคนอธิบายเอง



    เจนมองเห็นป้ายสีเหลืองอีกครั้งแต่คราวนี้อยู่คนละฝั่งจากครั้งที่แล้วจึงรีบตะโกนบอกเพื่อนให้ได้รู้ ไม่นานนักเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้งและตามมาด้วยเสียงระเบิด จากนั้นรางก็ถูกสับให้รถรางแล่นเลี้ยวไปด้วยความเร็วสูงกลับเข้าสู่ทางออกไปจากเหมืองทองต้องสาปแห่งนี้



    ครืน!!



    เสียงของถ้ำสั่นสะเทือนแรงขึ้น เสียงฟังเหมือนกับกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนเจนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัว ตอนนี้พวกเธอคงกำลังเข้าใกล้จุดที่ยามาตะ โนะ โอโรจิสู้กับเซอร์โนบอทเต็มทีแล้ว



    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ยเจน ทำไมจู่ ๆ เธอถึงเข้ามาในเหมืองนี่ได้ แล้วยังมาบอกว่าไม่รู้ตัวอีก ถ้าบอกว่าละเมอล่ะก็คราวหน้าเห็นทีจะต้องมัดเธอเอาไว้ติดกับเตียงแล้วล่ะ" แจ็คพูดขึ้น



    เจนเองก็สงสัยในเรื่องนั้นเช่นกัน แต่เธอก็พอจะเดาได้ว่าต้องเป็นฝีมือของเซอร์โนบอทอีกอย่างแน่นอน ถึงไม่รู้ว่าทำได้ยังไงก็ตาม



    "ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ฉันคิดว่าฉันรู้จักคนที่จะช่วยอธิบายให้ได้...อันที่จริงก็ไม่ใช่คนหรอกนะ" เจนตอบ เพราะเธอกำลังพูดถึงยามาตะ โนะ โอโรจิ ถ้าหากเป็นมอนสเตอร์ระดับเทพเช่นเดียวกันล่ะก็ คงสามารถช่วยให้คำตอบที่เธออยากรู้ได้อย่างแน่นอน



    ตูม!!!



    เสียงระเบิดดังพร้อมกับก้อนหินแตกกระจายไปทั่วบริเวณ เจนรีบหันโอบตัวคิทซึเนะ ป้องกันไม่ให้หินกระเด็นใส่ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองด้านหลังต่างก้มตัวหลบให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้



    เมื่อเงยหน้าขึ้นมาทั้งสี่ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เพราะกำแพงหินด้านข้างนั้นหายไปทั้งแถบ เผยให้เห็นเทพอสูรทั้งสองที่เด็กสาวไม่คิดอยากจะเข้าใกล้มากที่สุด แต่ตอนนี้เธอกลับเข้ามาเจอในระยะเผาขนจนแทบจะได้ยินเสียงหายใจของพญางูกำลังต่อสู้พัวพันจนดูเหมือนว่าจะไม่ทันสังเกตถึงรถรางที่กำลังวิ่งอยู่



    ทางที่เจนอยู่ในตอนนี้เป็นทางแล่นขึ้นขนาบข้างใจกลางเหมืองโดยเป็นทางเลี่ยงเพื่อที่จะตรงไปยังทางออกเหมืองโดยตรง และมีเมื่อการต่อสู้มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนทำลายผนังหินทางที่พวกเจนผ่านมาพอดีจนทำให้เธอมองเห็นการต่อสู้ของเทพอสูรได้อย่างถนัดตา



    หัวหนึ่งของยามาตะ โนะ โอโรจิถูกกรงเล็บของเซอร์โนบอทจับคอเอาไว้จนเคลื่อนไปไหนไม่ได้ มือซ้ายของมันยกดาบขึ้นสูงเตรียมจะฟันลงมาแต่ถูกอีกหัวของพญางูพ่นน้ำแข็งใส่หยุดการเคลื่อนไหวอย่างชะงัก ส่วนหัวอื่น ๆ นั้นก็เข้าพันร่างเหมือนกับงูรัดเหยื่อด้วยแรงมหาศาลที่รัดชุดเกราะแน่นจนเกิดเสียงร้าวแสบแก้วหู



    โจและแจ็คต่างอ้าปากค้างไม่ยอมหุบ ตามองเหลือกจนแทบจะหลุดจากเบ้า เพียงแค่เวลาไม่กี่วินาทีที่รถรางแล่นผ่านไปก็เกินพอที่จะทำให้ชายหนุ่มทั้งสองสติกระเจิดกระเจิงไปเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวก้มลงมามองคิทซึเนะก็พบว่าร่างของจิ้งจอกน้อยสั่นเทิ้มไปทั้งตัวด้วยความกลัว ดูท่าทางพลังระดับเทพเจ้าจะมีผลกับมอนสเตอร์อย่างคิทซึเนะมากกว่าผู้เล่นกว่ามากนัก



    "เป็นอะไรหรือเปล่าคิทซึเนะ จะเข้าไปอยู่ในดาบกับฟีบีก่อนมั้ย" เจนถามด้วยความเป็นห่วงแต่คิทซึเนะยังคงดื้อดึงส่ายหน้าปฏิเสธ ถึงแม้ใบหน้าของเธอจะซีดไปด้วยความกลัวแล้วก็ตาม



    เห็นดังนั้นเจนก็ไม่คิดจะขัดใจจิ้งจอกน้อย แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะก็ เธอก็จะเก็บคิทซึนะเอาไว้ในดาบทันทีโดยไม่สนใจเสียงแย้งของตัวคิทซึเนะเลย เจนคิดเอาไว้ในใจโดยไม่พูดออกมา



    "พวกนายสองคนล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า" เด็กสาวถามขึ้นเพราะเธอไม่เห็นใบหน้าของเพื่อนทั้งสองคน แต่ถ้าหากเธอเห็นคงไม่คิดจะเอ่ยปากถามแน่นอน



    "มะ..เมื้อกี้ตัวอะไรกันเนี่ย! อย่าบอกนะว่าเธอโดนไอ้สองตัวนั้นมาเข้ามาในนี้" แจ็คตะโกนโวยวายเสียงดัง ส่วนโจนั้นไม่ปริปากซักแอะเพราะยังไม่หายจากอาการช็อก



    "ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ฉันมั่นใจว่าตัวที่มีหลาย ๆ หัวอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา ส่วนไอ้ตัวใส่ชุดเกราะนั่นก็เป็นศัตรูอย่างแน่นอน"



    "นั่นเธอรู้ได้ยังไง...อ่า อย่าบอกนะว่า.." แจ็คพูดเสียงสูงแต่ก็เงียบไปเมื่อเห็นทางด้านหน้าที่ทำให้ใจของเขาตกไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง



    ตรงหน้าของทั้งที่นั้นคือทางออกไปสู่นอกเหมืองที่เป็นปลายทางของรถรางคันนี้ แต่รางเหล็กที่จะนำพวกเจนลงสู่พื้นกลับขาดลงโดยทางตรงหน้านั้นกลายเป็นว่าทำหน้าที่เป็นแท่นกระโดดสู่พื้นเบื้องล่าง ถ้ายังคงฝืนแล่นไปต่อมีหวังได้พากันบินตกภูเขาแน่ ๆ เพราะจากที่เห็นเมื่อครู่ ตอนนี้พวกเจนอยู่ระดับที่สูงกว่าพื้นดินมากนัก



    มีเวลาไม่ถึงสิบวินาทีที่จะหาทางทำอะไรซักอย่าง แต่ด้วยความเร็วที่สูงมากจนไม่สามารถทำอะไรได้ และรถรางก็พุ่งทะยานออกไปกลางอากาศอย่างไม่มีอะไรหยุดยั้ง



    ทันทีที่รถวิ่งหลุดออกจากราง รถที่กลายสภาพเป็นกล่องเหล็กทิ่มหัวไปด้านหน้าลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วง ร่างทั้งสี่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศเพราะถูกเหวี่ยงออกมาและกำลังร่วงลงสู่พื้นดินเบื้องล่างที่อยู่สูงจนเจนอนุมานได้ทันทีเลยว่าถ้าตกลงไปล่ะก็คงไม่มีทางรอดแน่ แต่ในตอนนี้พวกเธอเองก็กำลังร่วงตามสิ่งที่ในอนาคตจะเป็นเศษเหล็กลงไปติด ๆ



    ในหัวของเจนคิดหาทางให้ทุกคนรอดไปจากสถานการณ์ตรงนี้ให้ได้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มีทางเลือกเดียวเท่านั้น ถึงเจนจะไม่รู้ว่าตัวเองจะมีพลังเวทเพียงพอที่จะทำมันได้หรือเปล่าก็ตาม แต่ใช่ว่าเธอจะมีทางเลือกอื่นเสียเมื่อไหร่



    เจนหันไปมองเพื่อนสองคนที่ร้องตะโกนโหยหวนอยู่ไม่ไกลและรีบคว้าคิทซึเนะเข้าชิดตัว ร่างของเธอเข้าใกล้พื้นหญ้าสีเขียวดูนุ่มสบายเข้าทุกที แต่เวลากระแทกลงสู่พื้นมันคงไม่รู้สึกนุ่มสบายอย่างที่เห็นแน่



    "คิทซึเนะ เกาะหลังฉันเอาไว้แน่น ๆ นะ" เจนพูด



    จิ้งจอกน้อยเหมือนกับจะรู้ว่าจะเกิดอะไรต่อจึงทำตามอย่างว่าง่ายและใช้มือน้อยๆกอดคอของเจ้านายของเธอแน่น



    พอมาถึงระยะที่เจนกะเอาไว้แล้ว เจนก็เตรียมใจให้พร้อมและใช้ทักษะทันที



    พลังสถิตร่าง จิ้งจอกเก้าหาง!



    ร่างของหญิงสาวส่องประกายสีทอง เจนรู้สึกทันทีว่าพลังของเธอเพิ่มสูงขึ้นมากจากครั้งล่าสุดที่เธอใช้พลังนี้มาก แต่พลังเวทของเธอเองก็เหือดแห้งลงไปแทบหมดตัวเช่นกัน บ่งบอกให้รู้ว่าเวลาของพลังสถิตร่างยังคงอยู่อีกไม่นานนัก เจนรีบหันไปคว้าตัวเพื่อนทั้งสองคนแล้วพุ่งสู่พื้นอย่างเร็วที่สุด



    พอเจนพุ่งตัวลงไปใกล้จะถึงพื้นหญ้าก็รีบเบรกสุดตัว แต่ทันใดนั้นเองแสงสีทองก็จางหายไปพร้อมกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ เจนปล่อยร่างของพวกโจออกจากมือแล้วรีบหันไปโอบร่างของจิ้งจอกน้อยเพื่อป้องกันแรงกระแทก แต่มันสายเกินไป



    เด็กสาวพยายามเชิดหัวขึ้นเพื่อที่จะไม่ให้ร่างของตัวเองลงไปโหม่งโลก ร่างของเจนกระแทกพื้นอย่างแรงจนเธอรู้สึกเจ็บจนแทบจะสิ้นสติแต่ก็ยังประคองลมหายใจเรียกสติกลับมาได้ พวกโจและคิทซึเนะกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง แขนและขาของเด็กสาวที่ไถลไปตามพื้นหญ้ารู้สึกปวดจนแทบขยับไม่ได้ เมื่อเจนพยุงตัวขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือคิทซึเนะที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงหน้า



    เจนพยุงร่างที่บอบช้ำเข้าไปหาอย่างยากลำบาก แขนซ้ายของเธอยกไม่ขึ้นเช่นเดียวกับขาที่เจ็บจนต้องเดินกระเผกจนไปถึงร่างของจิ้งจอกน้อย เจนรีบประคองหัวของคิทซึเนะขึ้นมาดูด้วยความเป็นห่วงและยิ่งร้อนรนเมื่อภาพร่างคิทซึเนะในกองเลือดกลับมาฉายซ้ำในหัวของเธออีกครั้ง แต่ความรู้สึกนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าคิทซึเนะแค่สลบไปเท่านั้น



    เด็กสาวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีบาดแผลอื่น ๆ แล้วก็ใช้ดาบเก็บร่างของคิทซึเนะเข้าไปสมทบกับฟีบีก่อนเพื่อความปลอดภัยสองหนุ่มที่มีสภาพไม่ต่างจากเธอเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ



    เจนใช้หลังของแจ็คเป็นที่พิง ดวงตาทั้งสามคู่ต่างจ้องมองไปยังภูเขาขนาดยักษ์ที่ส่งเสียงระเบิดดังสนั่นออกมาไม่หยุด และยังมีก้อนหินขนาดเล็กหล่นลงมาอย่างต่อเนื่อง



    "ทำไมพวกเราถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ตลอดเลยด้วยเนี่ย..." เสียงหวานเอ่ยอย่างอ่อนแรง ตอนนี้พวกเธออยู่ห่างจากภูเขามากพอสมควรเพราะรถรางพุ่งออกมาจากทางเหมืองด้วยความเร็วสูง ทำให้ตอนนี้พวกเจนอยู่นอกระยะอันตรายของก้อนหินที่กำลังตกลงมา



    "แบบนี้มันก็ตื่นเต้นดีไม่ใช่หรือไง มีอะไรให้ทำตลอดเวลา" โจพูดตอบ น้ำเสียงของเขาฟังดูแหบแห้งเหมือนคนอดนอน แต่ถ้าหากมาลองคิดดูแล้วทั้งคืนที่ผ่านมาพวกเขาได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง



    "แต่ถ้าให้เจอทั้งวันทั้งคืนแบบนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ" แจ็คบอก เขาปล่อยให้เพื่อนสาวใช้เขาเป็นที่พิงโดยไม่ปริปากอะไร



    ถึงทั้งสามคนจะตกลงมาบาดเจ็บพอ ๆ กัน แต่รูปร่างของผู้ชายและผู้หญิงนั้นต่างกันมากนัก อาการบาดเจ็บของสองหนุ่มดูเบาไปเลยเมื่อเทียบกับอาการของเจน เจนเธอเองก็นึกอิจฉาโจและแจ็คไม่ได้ที่มีร่างกายที่แข็งแรง ต่างจากเธอที่มีร่างกายบอบบางมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว



    "ว่าแต่ไอ้มังกรแปดหัวนั่น มันต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเธอแน่ ๆ ใช่มั้ยเจน" แจ็คที่นึกขึ้นได้แล้วจึงถามออกมา



    เจนคิดเอาไว้แล้วว่าจะบอกให้ทั้งสองคนรู้เรื่อง แต่ในตอนแรกเธอคิดจะให้พวกเขาฟังจากปากของยามาตะ โนะ โอโรจิเลยจะดีกว่า แต่ในเมื่อเจ้าตัวถามมาแบบนี้เธอก็คงตอบให้เท่าที่มั่นใจ



    "ใช่... จำที่ฉันเคยบอกได้มั้ยว่ามีทักษะอีกทักษะหนึ่งที่ฉันไม่เคยใช้ มันคือทักษะอัญเชิญสัตว์อสูรอย่างยามาตะ โนะ โอโรจิเนี่ยแหละ.. แล้วอีกอย่าง ยามาตะ โนะ โอโรจิเป็นงูต่างหาก ไม่ใช่มังกร"



    "อะไรนะ! ฉันว่าแล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างเพราะเธอแน่ ๆ" โจพูดเสียงดังขึ้นมา



    "ว่าแต่ทั้งสองตัวเป็นมอนสเตอร์ระดับเทพเลยนะ พวกเรามานั่งอยู่ตรงนี้จะไม่เป็นอะไรงั้นหรือ แถมเสียงที่สองตัวนั้นสู้กันดังแบบนี้มีหวังพวกผู้เล่นคนอื่น ๆ ในเมืองคริสตัลเบลได้แห่กันมาดูแน่"



    ฟังที่โจพูดแล้วก็ทำให้เจนคิดได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอยังอยู่ในเหมือง ถึงการต่อสู้ของทั้งคู่จะดูรุนแรงแต่เจนคิดว่าพลังของมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าจะรุนแรงยิ่งกว่านี้อย่างแน่นอน พอเจนมาเจอยามาตะ โนะ โอโรจิอีกครั้งก่อนที่จะออกมาจากเหมืองเมื่อครู่ เธอก็พบว่าการต่อสู้ดูรุนแรงยิ่งกว่าเดิมอีกเธอจึงคิดได้เลยว่างูแปดหัวจะต้องออมแรงเพื่อซื้อเวลาให้เธอออกไปจากถ้ำอย่างแน่นอน



    ทั้งคู่ไม่ได้สู้กันด้วยพลังอำนาจเท่านั้น แต่เป็นการสู้กันด้วยพละกำลัง ในตอนนี้พวกเจนออกมาจากเหมืองได้แล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่พญางูจะออมแรงเอาไว้อีกต่อไป





    ตูม!!!!



    เสียงระเบิดดังลั่นราวกับเสียงฟ้าฝ่า แผ่นดินสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว ดวงตาของเจนเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อมองเห็นภูเขาที่เธอเพิ่งออกมาถล่มลงราวกับเป็นเพียงแค่ก้อนทราย ยอดเขาค่อย ๆ ลดความสูงลงเหมือนกับลูกโป่งถูกสูบลมออกจากก้น เพียงพริบตาเดียว ภูเขาสูงตระหง่านกลับกลายเป็นแค่เนินเขาสูงที่เต็มไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่จำนวนมากเท่านั้น



    กลุ่มควันกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ เจนรีบยกน้ำยาเพิ่มพลังชีวิตและพลังเวทมนตร์ขึ้นดื่มอย่างรวดเร็วเตรียมพร้อมที่จะหนีทุกเมื่อ พลังเวทค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาอย่างช้า ๆ แต่พลังชีวิตของเธอนั้นเป็นปัญหาหลักในตอนนี้เลยทีเดียว ถึงแถบพลังชีวิตจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทว่าอาการบาดเจ็บนั้นยังไม่ทุเลาลงเลย โดยเฉพาะที่แขนของเธอนั้นยังระบมจนขยับไม่ได้ ถ้าหากการต่อสู้ยังคงมีต่อล่ะก็เป็นการยากที่เธอจะหนีรอด



    "ฉันว่า...ทุกคนในเมืองคงรู้เรื่องแล้วล่ะว่ามีเรื่องขึ้นที่นี่ บางทีอาจจะเป็นทั้งทวีปเลยด้วยซ้ำ" โจว่า และคงเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ เพราะจู่ ๆ ภูเขาลูกใหญ่มาหายไปในเวลาช่วงข้ามคืนแบบนี้ ไม่มีทางที่จะไม่ตกเป็นข่าวอย่างแน่นอน



    ทันใดนั้นเอง ก้อนแสงสีขาวก็พุ่งทะลุกลุ่มควันออกมาและตรงมายังพวกเจน โจและแจ็ครีบเตรียมพร้อมต่อสู้ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีทางชนะก็ตาม แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร ก้อนแสงนั้นก็พุ่งเข้าใส่ดาบคุซานางิแล้วจางหายไป



    "น...นั่นนายงั้นหรือ?" เจนพูดขึ้นอย่างกล้าๆ กลัว ๆ และแน่นอนว่าเธอกำลังหมายถึงยามาตะ โนะ โอโรจิ



    "ถ้าหากพวกเจ้าไม่อยากจะเจอคนอื่นมาถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นล่ะก็ ข้าแนะนำให้เจ้ารีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่จะมีใครมาดีกว่า" เสียงทรงอำนาจของพญางูดังขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่เสียงภายในหัวของเจนอีกต่อไป แต่เป็นเสียงที่ดังออกมาจากดาบของเจน



    "เฮ้ย! นั่นเสียงตัวอะไรน่ะ!" โจพูดเสียงดัง



    ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวตอนนี้นัก แต่เจนเองก็พอจะนึกภาพตามที่ยามาโตะ โนะ โอโรจิออกได้ การออกไปให้ไกลจากที่นี่ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้



    "ฉันว่าพวกเรารีบไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า ภูเขาถล่มอย่างต้องเรียกความสนใจคนทั้งทวีปมาหาแน่ ถ้าเกิดพวกกิลด์พิฆาตราชามาเจอพวกเราล่ะก็พวกเราจบเห่แน่" เจนว่าแล้วจึงลุกขึ้นพลางหันมองหาทางที่จะไปต่อ



    "เดี๋ยว เธอรู้ใช่มั้ยว่าไอ้แสงเมื่อกี้มันคืออะไร เจน" แจ็คพูดแล้วรีบลุกขึ้น เช่นเดียวกับโจ ดูท่าทางทั้งสองคนจะมีคำถามมากมายเลยทีเดียวที่จะถามเธอแต่เวลานั้นกำลังกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ ถ้าเธอไม่ออกไปจากที่นี่เร็ว ๆ นี้ คงจะไม่ใช่คำถามของพวกโจเท่านั้นที่เธอจะต้องตอบ



    "เดินไปคุยไปเถอะ คนที่จะตอบคำถามของพวกนายได้อยู่ตรงนี้แล้ว ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนัก" เจนว่าและยกดาบให้ทั้งสองเห็น เธอหันไปมองแสงที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้าประชันกับแสงดาว ไม่ใช่พระจันทร์ มันคือระฆังแก้วที่ลอยอยู่เหนือเมืองคริสตัลเบล





    จบตอนที่ 22 ตำนานปะทะตำนาน


  12. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  13. #33
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    นี่ครับ ตามคำสัญญา ไม่ค่อยมีเวลาวาด ภาพก็เลยไม่สวยเท่าไหร่ แฮะ ๆ


  14. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  15. #34
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 23 เมืองแห่งเสียงดนตรี

    ตอนที่ 23 เมืองแห่งเสียงดนตรี





    ฝุ่นควันลอยฟุ้งเหมือนกับหมอกกำลังลงบดบังภูเขาที่เหลือเพียงแต่กองหินเท่านั้น คงต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าที่ฝุ่นควันเหล่านี้จะจางลงได้



    ตอนนี้มีผู้คนเป็นจำนวนมากกำลังยืนมองอย่างทึ่งระคนสงสัย พวกเขาทุกคนอาศัยอยู่ในแถบนี้ของทวีปมานานและทุกคนก็ทราบเรื่องราวของภูเขาขนาดมหึมาแห่งนี้ดี โดยเฉพาะเหมืองที่อยู่ใต้มัน ความอาถรรพ์ของเหมืองที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แม้แต่เอไอชาวเมืองเองยังไม่กล้าแม้แต่จะพูดถึง



    ชายผิวดำร่างสูงคนหนึ่งกำลังยืนมองซากภูเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย เขาอยู่ในชุดเกราะสีเงินแนบเนื้อทั้งตัวดูราวกับเป็นหุ่นยนต์หลุดออกมาจากภาพยนตร์ซักเรื่อง ยิ่งกล้ามเนื้อส่วนแขนที่เป็นมัด ๆ บ่งบอกได้ว่าเขามีพละกำลังแบบไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน



    ผู้คนโดยรอบที่สังเกตเห็นเขาก็พากันกระซิบคุยกันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ถึงชายหนุ่มผิวสีผู้นี้ไม่ได้เป็นคนหน้าหล่อเหลานักแต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนพากันพูดถึงเขาเช่นนี้ก็คือตำแหน่งและวีรกรรมที่เขาเคยทำเอาไว้ในอดีตจนได้รับการขนานนามว่ากำปั้นเหล็ก ไรรี่ย์ และเขายังเป็นถึงหนึ่งในผู้นำแห่งกิลด์หกราชันย์!



    ถึงไรรี่ย์จะเคยเห็นผู้เล่นหลายคนที่สามารถถล่มภูเขามามากต่อมากแล้วก็ตาม แต่คนที่มีพลังที่สามารถทำให้ภูเขาขนาดใหญ่ที่ขวางกันเมืองคริสตัลเบลกับเขตทะเลทรายกึ่งทุ่งหญ้าซะวันนาซึ่งเป็นดินแดนของกิลด์พิฆาตราชาเอาไว้ถูกทำลายจนพินาศเช่นนี้ถือได้ว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะพลังที่สามารถทำลายภูเขาอาถรรพ์แห่งนี้ได้ภายในพริบตา แม้แต่เขาเองที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เล่นที่มีพลังโจมตีสูงที่สุดในเกมก็ยังมีพลังทำอย่างนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ



    "นายว่ายังไง คิดว่าเป็นฝีมือของพวกกิลด์พิฆาตราชาหรือเปล่า?" เสียงหวานดังขึ้นด้านหลังของชายหนุ่ม เขาไม่แม้แต่จะหันไปมองเพราะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าของเสียงคือใคร



    "ไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าเป็นฝีมือของพวกมันจริง ๆ ล่ะก็ คงไม่ส่งให้คนมาประกบพวกเราแบบนี้หรอก" ไรรี่ย์เอ่ยเสียงเย็นพลางเผยอหน้าไปด้านหลัง เมื่อหันมองตามไปก็พบว่ามีคนในชุดคลุมอยู่หลายกลุ่มอยู่ทั่วบริเวณ และกำลังจับจ้องมายังเขาและหญิงสาวที่อยู่ไม่ละสายตา



    "แหม นายไม่ได้มีฉายาตาเหยี่ยวซักหน่อย ทำตัวช่างสังเกตซะจนน่าจะได้สมญานามอีกซักชื่อจริง ๆ" หญิงสาวแกล้งยอ



    เธอเป็นคนที่มีหน้าตาสวยหยดจนไม่ว่าใครก็ต้องใจในความงาม ดวงตาสีฟ้าราวกับท้องสมุทรเข้ากับผมสีทองยาวเป็นประกาย ชุดที่เธอสวมใส่เป็นผ้าคลุมจอมเวทสีแดงพร้อมกับลวดลายดอกไม้สีทองดูมีราคาไม่น้อย ใต้ผ้าคลุมเป็นเสื้อเกาะอกที่ทำจากผ้ากำมะหยี่สีเลือดหมูเผยให้เห็นร่องอกสีขาวนวลดึงดูดสายตา ยังไม่นับส่วนล่างซึ่งเป็นกระโปรงยาวที่แหวกจนไปถึงต้นขาดูเซ็กซี่จนทำให้หลายต่อหลายคนต้องน้ำลายหกกันเป็นแถว



    แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่กล้าจะเข้าไปตอแยกับเธอเพราะคทายาวที่อยู่ในมือเรียว ขนาดของคทาเรียวเล็กแต่มีความยาวเกือบสองเมตร บนหัวประดับด้วยอัญมณีเม็ดใหญ่ที่แผ่ออร่าของพลังเวทเข้มข้นออกมาจนมองเห็นเป็นแสงสีแดงอย่างชัดเจน ถ้าหากเข้าไปใกล้คงไม่แคล้วโดนเวทของหล่อนฆ่าตายแน่



    "ชื่อแบบนั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว และฉันก็ไม่อยากจะมีชื่ออื่นหรอกนะ โรซ่า แต่ถ้าเธออยากฉันก็.."



    "แหม หยอกนิดหยอกหน่อยก็ทำเป็นเอาจริงเอาจังไปได้ ทำตัวอย่างกับหุ่นยนต์แบบนี้เมื่อไหร่จะมีแฟนกับเขาบ้างซักทีล่ะจ๊ะ" หญิงสาวนามโรซ่ารีบเอ่ยขัด เธอหันหน้าหลบฉากวูบหนึ่งมาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกลับไปยิ้มหวานให้ชายหนุ่มดังเดิม



    ไรรี่ย์ไม่ตอบคำในทันที เขายืนเงียบราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดอะไรออกไป เพราะหญิงสาวตรงหน้าของเขานี่มีทักษะการแปลงข่าวสารขั้นสูง หากเขาพูดอะไรออกไปโดยไม่ระมัดระวังล่ะก็ มีหวังถูกเจ้าหล่อนเอาไปโพทะนาจนเสียหายแน่ ๆ



    “นั่นมันเรื่องของฉัน..." ชายหนุ่มร่างสูงพูดคำตอบในหัวที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด พูดเพียงคำสั้น ๆ ได้ใจความแบบนี้คงจะให้คิดอย่างอื่นไปไม่ได้แน่ แต่หารู้ไม่ว่าเขาเพิ่งประมาทความสามารถนึกคิดของเธอไปซะสนิท



    "ตายจริง ฉันนี่แย่จริง ๆ อยู่ด้วยกันมาตั้งนานเพิ่งมารู้ตัววันนี้ว่าเพื่อนตัวเองไม่ได้ชอบผู้หญิงซักหน่อย ขอโทษนะไรรี่ย์ ถ้านายไม่บอกฉันเองก็ไม่รู้จริง ๆ นะเนี่ย อุ้ย จากนี้ไปต้องเรียกว่าตัวเองสิเนอะ"



    "เฮ้ย! นั่นเธอพูดบ้าอะไรออกมาน่ะ รีบถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ!" ชายหนุ่มรีบพูดแย้งออกมาเสียงดังซะหมดมาดขรึม



    จอมเวทสาวที่เห็นเพื่อนหนุ่มของเธอหลุดมาดขี้เก๊กได้ก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ผู้คนรอบข้างเองก็มองตามอย่างละเหี่ยใจกับความขี้เล่นของหญิงสาว ถ้าหากไม่รู้มาก่อนหน้าล่ะก็คงไม่มีใครจะไปคิดว่าเธอเองก็เป็นหัวหน้ากิลด์หกราชันย์เช่นเดียวกับไรรี่ย์อย่างแน่นอน



    "เธอนี่ทำตัวให้สมกับที่เป็นผู้นำของกิลด์ซักหน่อยได้มั้ย ถ้ามีใครมาเห็นเธอตอนนี้มีหวังชื่อ 'กุหลาบเพลิง' ของเธอได้ป่นปี้หมด" ไรรี่ย์พูดเสริม แต่เขาก็ทราบอยู่แล้วว่าตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้าของสมยานามกุหลาบแดงเป็นเช่นไร



    "อย่างกับฉันจะสนอย่างนั้นแหละ นั่นมันก็แค่ชื่อที่คนอื่นมาตั้งให้ ไม่ใช่ชื่อที่พ่อแม่ของเราซักหน่อย...ว่าแต่นายจะปล่อยให้เจ้าพวกนั้นมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้จะดีหรือ นี่มันพื้นที่เขตของพวกเรานะ" ที่โรซ่าพูดถึงก็คือพวกกิลด์พิฆาตราชา ถ้าหากเธออยู่ตรงนี้เพียงคนเดียวล่ะก็ พื้นที่แถบนี้คงกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว



    "ถ้าพวกมันไม่ยุ่งกับผู้เล่นคนอื่นหรือพวกชาวเมืองก็ยังไม่ใช่หน้าที่ของพวกเรา แต่ตอนนี้พวกมันอยู่ในพื้นที่ของกิลด์หกราชันย์ ถือได้ว่าพวกมันรุกล้ำเขตแดน..."



    ครืน!!!



    เสียงของพลังเวทระเบิดออกมาจากร่างของจอมเวทสาว ตัวของเธอเปล่งแสงสีแดงออกมาอย่างน่ากลัวพร้อมกับปล่อยไอร้อนจนหญ้าบนพื้นเริ่มมีควันลอยขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าดูน่ากลัวขึ้นมาเมื่อประดับด้วยรอยยิ้ม*****มบนใบหน้า โดยเฉพาะกลุ่มคนชุดดำทั้งหลายที่โดนดวงตาคู่นี้จับจ้องก็ต่างก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว



    "จะไปดี ๆ หรือจะเป็นศพกลับไป!!" เสียงตะโกนของโรซ่าดังขึ้นต่างจากน้ำเสียงขี้เล่นเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน



    กลุ่มคนชุดดำทั้งหลายที่ได้ยินคำขู่ต่างพากันใช้ใบวาปกลับเมืองกันแทบไม่ทัน เสียงฉีกกระดาษดังขึ้นพร้อมกับแสงจากการเคลื่อนย้ายกลับเมืองสว่างไปทั่ว ผู้เล่นบางคนก็ตกใจพากันวิ่งหนีแต่ก็ถูกผู้เล่นที่เคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนรั้งตัวเอาไว้เพราะรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่เป้าหมายของกุหลาบเพลิง



    หลังจากที่เห็นว่าไม่มีคนของกิลด์พิฆาตราชาอยู่แถวนี้แล้ว โรซ่าจึงคลายพลังเวทลงจนบรรยากาศกลับมาสงบเหมือนเดิม หญิงสาวหันมาส่งยิ้มให้ไรรี่ย์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น บรรยากาศโดยรอบยังคงร้อนระอุเพราะแค่พลังเวทของเธอและผืนหญ้าใต้เท้ามีร่องรอยถูกเพลิงไหม้เป็นหลักฐานอย่างดีถึงพลังเวทย์ที่เข้มข้นของเธอ



    "ทีนี้พวกจุ้นจ้านก็หมดไปแล้ว นายคิดว่ายังไงกันแน่ หือ? ถ้าหากไม่ใช่ฝีมือของพวกนั้น แล้วจะเป็นฝีมือของใคร" หญิงสาวถาม



    ชายผิวเข้มมีสีหน้าครุ่นคิด เขาเหลือบไปมองซากก้อนหินแล้วหันกลับมาก่อนจะพูด "อาจจะเป็นฝีมือของเอไอพิเศษระดับสูงหรือไม่ก็มอนสเตอร์ ถ้าเป็นฝีมือของมอนสเตอร์จริง ๆ ต้องมีระดับยศไม่ต่ำกว่าราชาหรือบางทีอาจจะสูงถึงระดับเทพเจ้าด้วย แต่ถ้าเป็นฝีมือของผู้เล่นก็หมายความว่าตอนนี้มีผู้เล่นอิสระที่มีความสามารถเหนือกว่าพวกเราอยู่ข้างนอกนั่น"



    "แต่ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุไหนก็ตาม เหตุการณ์ในครั้งจะต้องทำให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของโลกดิ โอเพ่นเวิร์ด ออนไลน์อย่างแน่นอน"







    อีกด้านหนึ่ง เจนและพวกโจเดินห่างออกมาจากบริเวณภูเขาได้โดยไม่มีคนพบเห็น เมื่อสังเกตเห็นเงาคนได้ทั้งสามก็รีบเดินหนีออกห่างก่อนจะถูกพบ แถมมียามาตะ โนะ โอโรจิคอยบอกว่ามีคนอยู่ในทิศทางไหนอยู่ตลอดเวลาทำให้พวกเธอสามารถหลบพวกไรรี่ย์ได้อย่างเฉียดฉิว ที่ทำเช่นนี้เพราะเจนไมอยากจะตอบคำถามของคนอื่นว่าเกิดอะไรขึ้น แถมพญาอสรพิษก็เตือนเธอว่าถ้าหากถูกจับได้ ความวุ่นวายคงตามมาอย่างแน่นอน



    "แถวนี้ไม่มีใครแล้ว จะเล่าได้หรือยังว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่" โจกระซิบเสียงค่อย ถึงปากจะบอกว่าไม่มีใครแต่ตัวเองก็ยังคงระมัดระวังอย่างเต็มที่



    "จริงด้วย ยามาตะ โนะ โอโรจิ เริ่มจากเรื่องที่ฉันไปโผล่อยู่ในเหมืองได้ยังไงก่อนเลย" เจนเอ่ยขึ้นกับดาบของเธอ ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมาจนเจนคิดไปว่ายามาตะ โนะ โอโรจิจะไม่ตอบเพราะศักดิ์ศรีของสัตวอสูรระดับสูงที่จะไม่ยอมให้ใครมาสั่ง



    ระหว่างที่กำลังคิดหาทางให้พญางูพูดอยู่นั้นเองที่เสียงคำรามก็ดังออกมาจากดาบคุซานางิอีกครั้ง



    "สิ่งที่เจ้าคิดอยู่ก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว เป็นฝีมือของอสูรในชุดเกราะที่เป็นนำร่างของเจ้าไปอยู่ในที่แห่งนั้น"



    "อสูรในชุดเกราะ? อ้อ หมายถึงเซอร์โนบอทใช่มั้ย" แจ็คเอ่ยถาม แต่มีแค่เสียงแค่นลมหายใจเป็นคำตอบเท่านั้น



    "ทำไมงั้นหรือ ชื่อของเจ้านั่นมันมีอะไร" เจนถาม



    "การขานนามสำหรับมนุษย์อย่างเจ้าเป็นแค่เรื่องธรรมดา แต่สำหรับเทพอสูรอย่างข้ามันหมายถึงการให้ความเคารพแก่กัน การยอมรับและการยกย่อง นั่นคือสาเหตุที่ข้าไม่เอ่ยนามของมัน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เทพอสูรเท่านั้นที่จะเข้าใจ เช่นเดียวกับพวกข้าเพิกเฉยต่อคำด่าถากถางใด ๆ ที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าถือกัน"



    เจนพยักหน้าเข้าใจถึงแม้จะยังสับสนอยู่บ้าง เธอรู้สึกแปลก ๆ กับยามาตะ โนะ โอโรจิมากเพราะวิธีคิดและพูดออกมานั้นแสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดเลยว่าแตกต่างจากมนุษย์แค่ไหน ถึงอย่างนั้นเธอเองก็ยังรู้สึกทึ่งด้วยเช่นกัน



    "แต่เมื่อกี้ก็เห็นแล้วว่าเจ้าเซอร์โนบอทนั่นมีพลังมหาศาลขนาดไหน จะฆ่ายัยเจนไปง่ายนิดเดียว ทำไมต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนั้นด้วย" โจถาม



    "ที่พูดมานั้นถูกต้อง แต่อสูรในชุดเกราะนั้นอยู่ได้ด้วยพลังชีวิตที่นักผจญภัยอย่างพวกเจ้ามีอยู่จนเหลือล้น มันจึงต้องพาร่างของเจ้าเข้าไปในถ้ำเพื่อดูดพลังชีวิตออกมาจากร่าง"



    พอได้ยินที่พญาอสรพิษพูดเจนก็นึกเสียวพร้อมทั้งโล่งใจที่ตัวเองรอดมาได้ หากไม่ได้ยามาตะ โนะ โอโรจิช่วยเอาไว้มีหวังเธอคงมีสภาพไม่ต่างไปจากโครงกระดูกคนเหมืองแน่ ๆ



    "แต่นั่นยังไม่อธิบายเรื่อง...สิ่งที่ฉันเห็น" เจนกล่าวด้วยเสียงที่ค่อยลงมา เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของเพื่อนทั้งสองคนที่มุ่งตรงมาที่ตัวเธอ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สองคนนั้นเป็นห่วง



    "การดูดพลังชีวิตมีหลากหลายรูปแบบ สิ่งที่เจ้าเจอเป็นอีกวิธีหนึ่งที่อสูรในชุดเกราะใช้ดูดพลังชีวิต แค่การแทรกแซงจิตใจ พลังแห่งความมืดระดับที่ข้ามีอยู่ก็สามารถทำให้คนนับพันเจอกับฝันร้ายได้ อสูรในชุดเกราะมีพลังแห่งความมืดสูงกว่าข้ามากนัก ไม่มีทางที่มนุษย์เช่นเจ้าจะป้องกันได้แน่นอน" ยามาตะ โนะ โอโรจิบอก



    ถึงจะเป็นแค่ภาพหลอนแต่สิ่งที่เธอเห็นก็สามารถเปิดแผลในใจของเธอที่ปิดไปเมื่อนานมาแล้วได้ พลังที่นำความทรงจำที่ขมขื่นมาทำร้ายศัตรูเช่นนี้ช่างน่ากลัวและชั่วร้ายนัก ในใจของเจนคิดจะหาวิธีป้องกันพลังแบบนี้ให้ได้ เพราะในอนาคตเธออาจจะเจอกับมอนสเตอร์ที่มีพลังคล้ายกันนี้ หรือบางทีอาจจะเป็นผู้เล่นคนอื่นที่ใช้พลังนี้ใส่ผู้เล่นด้วยกันเอง!



    "แต่ดีนะเนี่ยที่ภูเขาถล่มไปแบบนั้น เจ้านั่งคงไม่มีทางรอดแหง ๆ" แจ็คกล่าว แต่เจนที่ได้ยินกลับมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีและพูดขึ้นมา



    "มันยังไม่ตายหรอกนะ แจ็ค"



    เพื่อนหนุ่มทั้งสองอดที่จะหันมามองเด็กสาวด้วยความตกใจอีกครั้งไม่ได้ เพราะพลังระเบิดที่รุนแรงขนาดที่ทำให้ภูเขาสูงนับพัน ๆ เมตรกลายเป็นกองหินได้ขนาดนั้นย่อมทำให้คิดว่าไม่มีอะไรที่จะรอดมาจากพลังนั้นอย่างแน่นอน แต่เทพอสูรที่รอดมาได้กลับไม่โต้แย้งอะไรเช่นนี้ก็แสดงว่าที่เจนพูดเป็นความจริง!



    "ถึงภูเขาจะถล่มจนทำให้มันบาดเจ็บไปบ้าง แต่แค่นี้ไม่สามารถทำให้มันตายได้หรอก ถ้าหากข้ารอดมาได้ มันก็ต้องยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน" ยามาตะ โนะ โอโรจิกล่าวเสริม



    "ต..แต่ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ ทำไมมันถึงไม่ตามออกมาฆ่าพวกเราล่ะ" คราวนี้โจเป็นคนถาม



    "สัตว์อสูรที่มีพลังสูงส่งหรือมีพลังอันตรายบางตนนั้นจะถูกผนึกให้อยู่กับอะไรบางอย่าง บ้างก็เป็นฝีมือของเทพ บ้างก็เป็นฝีมือของอสูร บ้างก็เป็นฝีมือของมนุษย์ เทพอสูรอย่างตัวข้านั้นก็ถูกผนึกอยู่ในตัวดาบเล่มนี้ ตราบใดที่เจ้ายังเป็นคู่สัญญาของข้า ข้าก็มีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องเจ้า เช่นเดียวกับเจ้าอสูรในชุดเกราะ มันถูกผนึกอยู่ในภูเขาแห่งนั้นทำให้มันไม่สามารถออกมาได้"



    ถึงจะตกใจที่เซอร์โนบอทจะยังไม่ตาย แต่พอได้ยินว่ามันออกมาตามฆ่าพวกตนไม่ได้ ทั้งสามก็พากันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ต่อจากนี้จะให้หัวเด็ดตีนขาดยังไงเจนก็ไม่มีทางจะเฉียดเข้าไปในที่แห่งนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ยังไม่วายที่พญาอสรพิษจะทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเงียบไป



    "แต่ถึงจะอยู่ได้แค่ในภูเขา มันก็คงจะไม่อยู่เฉย ๆ แน่ มันเองก็เป็นถึงเทพอสูร ข้าว่าจะต้องมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นต่อจากนี้อย่างแน่นอน"





    หลังจากที่พวกเจนเดินต่อไปได้อีกพักหนึ่งก็พบกับต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ทั้งสามจึงตัดสินใจที่จะนอนพักกันที่นี่ก่อน ความเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวันแล้วยังจะมาเจอเรื่องวุ่นๆแบบเมื่อกี้อีก ในตอนนี้ดวงตาของเจนก็แทบจะปิดลงมาแล้ว เธอนำถุงนอนออกมาแล้วปูรองพื้นโดยไม่กางเต็นท์เพราะเหนื่อยเกินไป เด็กสาวล้มตัวลงนอนและผล่อยหลับไปในทันทีที่หัวตกถึงหมอน





    "พี่เจน! ตื่นได้แล้วนะพี่เจน ตอนนี้เที่ยงแล้วนะ หนูกับฟีบีหิวแล้วนะ" เสียงเล็ก ๆ ของคิทซึเนะดังขึ้นที่ข้างหู เมื่อเจนลืมตาตื่นขึ้นมาก็ต้องยี้ตาอย่างรวดเร็วเพราะเจอเข้ากับแสงแดดจ้า เมื่อปรับสายตาก็พบว่าตอนนี้สว่างแล้ว แดดก็แรงได้ทีสมกับเป็นตอนเที่ยงวันตามที่จิ้งจอกน้อยบอก โชคดีที่ใต้ต้นไม้ที่เจนนอนอยู่นั้นมีร่มไม้ใหญ่พอที่จะเป็นร่มเงาบังแดดได้



    ตอนนี้เจนรู้สึกได้ถึงเหงื่อเพราะอากาศร้อนจนเหนียวตัวไปหมด ในใจนึกถึงฝักบัวอาบน้ำแต่ในตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้อย่างมากก็คือล้างหน้าหน้าเท่านั้นเอง ทันทีที่เธอลุกขึ้นมาก็รู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัวเพราะการผจญภัยเล็ก ๆ ที่เจอมาเมื่อคืน เจนหันไปใช้เท้าเขี่ยโจและแจ็คข้าง ๆ แล้วจึงยกกระติกน้ำขึ้นดื่มและใช้ล้างหน้า



    ความรู้สึกเย็นฉ่ำของน้ำช่วยให้ร่างกายของเจนกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เธอหันไปมองให้แน่ใจว่าเพื่อนของเธอจะไม่กลับไปนอนอีกครั้งแล้วจึงมองหากระเป๋าของเธอ แต่เธอกลับเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กผมสีฟ้ากำลังนั่งเคี้ยวผลซีลักแก้มตุ่ย เธอสวมชุดผ้าบางสีฟ้าเช่นเดียวกันแถมมีขนาดตัวเล็กน่ารักจนทำให้เธอแอบกู่ร้องในใจ ดูท่าทางเด็กคนนี้จะมีอายุประมาณ 5 - 6 ขวบ



    เอ่อ...คิทซึเนะ เด็กคนนี้เป็นใครนะ" เจนหันไปถามจิ้งจอกน้อยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แต่เธอกลับได้สายตาที่แสดงถึงความแปลกใจมาแทน



    "ถามอะไรน่ะพี่เจน นี่ฟีบีไง"



    เจนแทบจะตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อได้ยินที่คิทซึเนะพูด ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง เป็นตอนที่เธอเห็นคิทซึเนะกลายร่างเป็นมนุษย์นั่นเอง



    "นี่...ฟีบีงั้นหรือ" เจนก้มลงถามเด็กน้อย เธอจ้องตาของเจนตอบพร้อมกับยิ้มร่าแล้วกระโดดเข้าโผกอด



    "แม่จ๋า!" เสียงใสตะโกนเสียงดังที่เรียกความสนใจของสองหนุ่มให้ตื่นขึ้นมาในทันที เจนเองที่ได้ยินเองก็รู้สึกแปลกใจไม่แพ้กัน



    "แม่จ๋า! แม่จ๋า! แม่จ๋า!.." ฟีบียังคงร้องเสียงดังไม่เลิก ถึงเจนอยากจะให้เด็กน้อยคนนี้หยุดพูดแล้วมาคุยให้รู้เรื่องแต่พอเห็นสีหน้ายิ้มแย้มและน้ำเสียงที่ฟังดูมีความสุขของเด็กคนนี้แล้วก็ห้ามไม่ลง ได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามาหาแต่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเช่นกัน



    "ทำไมเด็กคนนี้ถึงมาเรียกเจนว่าแม่ได้ล่ะเนี่ย" โจพูดขึ้นอย่างสงสาย สายตาของเขายังคงมองไปที่ฟีบีในร่างของเด็กน้อยอยู่ด้วยความสงสัย



    "ถ้าเด็กคนนี้เป็นฟีบีในร่างมนุษย์แบบคิทซึเนะจริง ๆ ล่ะก็ คงเป็นเพราะสัญชาติญาณแรกเกิดที่เห็นเจนคนแรกเป็นแม่ แบบเด็กอ่อนหรือสัตว์ที่เพิ่งออกจากไข่แบบนั้นไง" แจ็คตอบ



    ในขณะเดียวกันเจนก็รีบเปิดหน้าต่างระบบขึ้นมาตรวจสอบดูทันที พบว่ามีรายงานบอกว่าเธอได้จัดการโครงกระดูกคนเหมือนหลายพันตัวจนทำให้เลเวลของทั้งเธอ คิทซึเนะและฟีบีพุ่งไปที่ 100 โดยทันที ถ้าหากเกมนี้สามารถเพิ่มระดับได้มากกว่านี้โดยไม่ต้องทำภารกิจเปลี่ยนยศล่ะก็ ทั้งสามรวมไปถึงพวกโจด้วยคงจะมีเลเวลพุ่งไปอยู่ระดับกลาง ๆ ของยศขุนนางแล้ว



    ความจริงแล้วถ้าหากยึดตามแบบที่คิทซึเนะเจอ ฟีบีคงจะสามารถพูดได้และแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ตั้งแต่เลเวล 50 แล้ว แม้ความความจริงนั้นเผ่าพันธุ์มังกรจะมีความสามารถเช่นนั้นได้จะต้องมีระดับถึง 90 เลยทีเดียว การที่ได้เพิ่มเลเวลก้าวกระโดดเช่นนี้ทำให้เจนไม่รู้ถึงข้อนั้นไป แต่นั่นก็ไม่ได้มีประโยชน์กันเจนซักเท่าไหร่นัก ถ้าหากเธอเป็นอาชีพสายผู้ฝึกสัตว์อสูรล่ะก็ นี้จะเป็นข้อมูลที่สำคัญมากเลยทีเดียว



    เมื่อเจนได้พิจารณาดูตัวของฟีบีใกล้ ๆ ก็พบว่าเธอมีร่างที่เล็กมากและยังมีน้ำหนักน้อยกว่าเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่คงจะใช้หลักการของคนธรรมดากับฟีบีไม่ได้ เพราะเธอเองนั้นไม่ใช่มนุษย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว



    พอหันไปหาคิทซึเนะ เจนก็สังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงไปของเด็กสาวผมขาว ในตอนนี้คิทซึเนะมีความสูงมากขึ้นจนเกือบจะถึงไหล่ของเจนแล้ว ดูราวกับเด็กอายุ 13 - 14 ปี หน้าตาก็ดูคม สวยขึ้นกว่าเดิมที่จะออกดูน่ารักสมวัย ทำให้เจนรู้ว่าการเพิ่มระดับเป็นการทำให้เหล่ามอนสเตอร์เติบโตขึ้นนั่นเอง



    หลังจากพยายามแกะมือของฟีบีออกอยู่นานเจนก็ทำให้เด็กน้อยตรงหน้าใจเย็นลงได้แต่ก็ยังไม่ยอมออกไปอยู่ห่างจากเจนซักที



    "เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมทั้งสองคนถึงออกมาจากดาบได้ล่ะเนี่ย" เจนนึกขึ้นได้แล้วเอ่ยปากถาม



    "ข้าเป็นคนปล่อยเด็กทั้งสองคนออกมาเอง" เสียงต่ำดังออกมาจากดาบคุซานางิที่เธอไม่ได้เก็บเข้าช่องเก็บของตัวละครไปเมื่อคืน แน่ล่ะ ต้องเป็นฝีมือของยามาตะ โนะ โอโรจิอยู่แล้ว เพราะถ้าทั้งสองออกมาจากดาบได้เองจริง ๆ คงจะออกมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในเมืองรีเด็มชั่นแล้ว ถึงยามาตะ โนะ โอโรจิจะทำลงไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจน แต่เรื่องนี้ถ้าเป็นเธอแทนที่ของยามาตะ โนะ โอโรจิก็คงจะทำเช่นเดียวกัน



    "แม่จ๋า แม่จ๋า ตอนที่อยู่ในดาบหนูเห็นงูแปดหัวด้วยล่ะ ตัวหย่ายม้ากกกกมากเลยด้วย" เด็กสาวทำท่าทางประกอบจนเจนอดยิ้มไปกับท่าทางของเธอไม่ได้



    "จริงด้วย ก่อนหน้านี้ที่พวกเราอยู่ในดาบยังไม่เห็นอยู่ด้านในเลย แต่เมื่อคืนหลังจากที่หนูตื่นขึ้นมาก็เจองูตัวนั้นมาอยู่กับพวกเราแล้ว" คิทซึเนะเสริม



    "อย่างนั้นเองหรอกหรือเนี่ย.. แต่ว่านะฟีบี ช่วยเรียกฉันว่าพี่เจนเหมือนกับพี่คิทซึเนะได้มั้ย?" เจนนั่งลงคุยกับฟีบี



    "ทำไมล่ะ แม่จ๋าเป็นแม่ของฟีบีไม่ใช่หรือ ฟีบีก็ต้องเรียกแม่ว่าแม่จ๋าสิ พี่คิทซึเนะก็เป็นพี่ของฟีบีถึงเรียกพี่ได้นะ" มังกรน้อยตอบด้วยสีหน้าสงสัย แต่เจนกลับมีสีหน้าหนักใจเพราะไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้ฟีบีเข้าใจ ถ้าหากมีคนได้ยินฟีบีเรียกเธอว่า****ีหวังโดยรู้กันหมดแน่ว่าเธอเป็นผู้หญิง ถึงแม้มันจะไม่มีความจำเป็นที่ต้องปิดบังเลยก็ตาม



    "เรื่องนั้นช่างมันเถอะเจน เล่นเกมไปตามปกติก็พอแล้ว ไม่ต้องไปปิดบังให้มันยุ่งยากไปหรอก เดี๋ยวถ้าหมอเกอร์ทูธกับแม่จริยารู้เข้าเธอก็มีหวังโดนเล่นเอาหรอก" เสียงของโจดังขึ้นมาโดยมีแจ็คพูดสนับสนุน แต่เพียงแค่เจนหันไปมองด้วยดวงตาพิฆาตเพียงครั้งเดียว ทั้งคู่ก็หุบปากลงแต่โดยดี





    "ปล่อยให้ฉันจัดการเองค่ะพี่เจน" คิทซึนะพูดขึ้นแล้วดึงตัวฟีบีไปคุยกันที่ข้างต้นไม้ เพียงครู่เดียวทั้งสองก็เดินกลับมาด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มบาน



    "พี่เจน! หนูหิวแล้วค่า!" เสียงร้องร่าเริงของฟีบีดังขึ้นอีกครั้ง เจนพยายามหาทางกล่อมให้ฟีบีมาเรียกเธอว่าพี่จนหัวหมุน แต่คิทซึเนะพาตัวไปคุยเพียงครั้งเดียวกลับเปลี่ยนใจของมังกรน้อยได้ ดูท่าจิ้งจอกน้อยตนนี้เติบโตขึ้นมาแล้วเช่นกัน



    หลังจากเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่ก็ออกเดินทางต่อไปยังเมืองคริสตัลเบลโดยที่ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าหรือแม้แต่อาหารเที่ยง ถึงแม้จะมีเนื้อกวางที่เก็บเอาไว้อยู่แต่โจคิดว่าน่าจะไปกินมื้อเที่ยงในเมืองทีเดียวจะดีกว่า โดยที่ไม่เสียเวลากล่อมให้ฟีบียอมอดทนไปกินอาหารในเมือง เพียงแค่บอกว่าจะได้กินของอร่อย ๆ เท่านั้นก็ตอบตกลงทันที



    การเดินทางจากจุดที่พวกเจนอยู่ไปยังเมืองคริสตัลเบลนั้นใช้เวลาไม่นานนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการเดินทางที่ทำให้เจนสบายใจมากที่สุดในการออนไลน์รอบนี้เลยทีเดียว ตั้งแต่เธอออนไลน์มาก็เจอกับโจรสลัดมาดกวน เจอพวกกิลด์พิฆาตราชาไล่ล่า แถมไปเจอเข้ากับเซอร์โนบอทที่ทำให้เธอเจอภาพที่ไม่อยากจะเห็นอีกครั้ง



    แต่เมื่อผ่านมาอีกด้านของภูเขากลับต่างกันราวกับฟ้ากับเหว ทัศนียภาพรอบ ๆ ที่แห่งนี้เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี มีต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายอยูตามทางทำให้รู้สึกรื่นรมมาก เมื่อเดินไปอีกก็พบกับทะเลสาบกว้างขวางที่อยู่ติดกับกำแพงเมืองคริสตัลเบล มองออกไปมีเรือลำเล็กแล่นอยู่กลางทะเลสาบดูเหมือนว่ากำลังมีคนนั่งตกปลาอยู่บนนั้น ในขณะเดียวกันที่บริเวณโดยรอบมีคนจำนวนมากกำลังพักผ่อนหย่อนใจอยู่ บรรยากาศต่างจากการเดินทางเมื่อวานแบบสุดขั้วจริง ๆ



    เมื่อเข้าใกล้เมืองก็ยิ่งเจอกันผู้คนมากขึ้น หลายคนเป็นผู้เล่นที่ดูท่าทางจะมีฝีมืออยู่พอตัวทีเดียว แต่ที่น่าแปลกสำหรับเจนคือทุก ๆ คนมีเครื่องดนตรีติดตัวกันทั้งนั้น เธอได้แต่เก็บความสงสัยนี้เอาไว้ในใจ แต่พอเธอเข้ามาในเมืองก็เข้าใจทันทีว่าทำไม



    เสียงดนตรีหลากหลายชนิดถูกบรรเลงจากผู้เล่นและชาวเมืองประสานกันอย่างไพเราะเสนาะหู บริเวณทางเข้าเมืองตรงทางเดินทั้งสองข้างทางต่างเต็มไปด้วยนักดนตรีนับร้อยคนกำลังเล่นดนตรีอยู่ โจพูดเกี่ยวกับเมืองคริสตัลเบลว่ามันมีอีกชื่อหนึ่งนั่นก็คือเมืองแห่งเสียงเพลง เป็นเมืองที่นักดนตรีไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไออยากจะมาให้ได้ เพราะเมืองแห่งนี้เปิดให้นักดนตรีได้บรรเลงเพลงของตนได้ทุกที่ในเมือง



    ถึงเรื่องแบบนี้จะไม่ใช่ของแปลก แต่การที่ได้มาเล่นดนตรีในเมืองแห่งนี้ถือว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดของอาชีพในโลกแห่งนี้เหมือนกับนักกีฬาได้จารึกชื่อลงในหอเกียรติยศและแน่นอนว่ามีเงินจำนวนมหาศาลเป็นค่าตอบแทนถ้าหากได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดที่มีอยู่ทุก ๆ เดือน แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหลักของคนที่จะมาที่แห่งนี้อย่างแน่นอน



    เดินเลยจากวงออเครสต้าข้างประตูเมืองไปเจนก็พบกับกลุ่มผู้เล่นที่มีเครื่องดนตรีทันสมัยอย่างกีตาร์ไฟฟ้า เบส กลองชุด มิหน่ำซ้ำยังมีลำโพงตั้งส่งเสียงอยู่ข้าง ๆ อีกด้วย



    "พี่เจน นั่นมันคืออะไรหรอ" ฟีบีชี้นิ้วไปยังกลุ่มผู้เล่นที่เริ่มบรรเลงเพลงแนวป็อปร็อคที่มีผู้หญิงคนหนึ่งทำหน้าที่ร้องนำ เสียงของเธอเพราะใช้ได้เลยทีเดียว มือของเธอก็ดีดสายกีตาร์เร่งจังหวะให้เพลงเร้ามากยิ่งขึ้น



    "อ๋อ.. นั่นคือกีตาร์น่ะ ว่าแต่มีของอย่างนั้นในเกมด้วยหรือเนี่ย" เจนเองก็สงสัยเหมือนกัน เพราะเครื่องดนตรีที่ผู้เล่นกลุ่มนั้นใช้อยู่ทันสมัยเกินกว่าที่จะมีในเกม



    "ของแบบนั้นไม่มีในเกมหรอก แต่เป็นของที่ผู้เล่นทำขึ้นเองภายในเกม ไม่ได้เป็นฝีมือของเอไอ" โจอธิบายขณะที่กำลังเดินผ่านวงดนตรีไปในช่วงท่อนฮุคของเพลง เขาขยับหัวตามจังหวะพลางฮัมเพลงตาม



    น่าแปลกที่เมืองแห่งนี้น่าจะเป็นเมืองที่มีความวุ่นวายเพราะมีนักดนตรีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ทุกคนต่างมีน้ำใจเล่นตามคิวโดยแบ่งเป็นส่วน ๆ ของเมือง ในแต่ละส่วนจะมีวงดนตรีหรือนักดนตรีเล่นได้เพียงแค่เพลงเดียว เมื่อเพลงจบวงต่อไปที่ต่อคิวรออยู่จะเริ่มเล่นเพลงของตนทันที ทำให้ทั้งเมืองมีแต่เสียงเพลงดังไปทั่วและไม่ตีกันจนน่ารำคาญ



    เมืองแห่งนี้มีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามมาก ตึกขนาดใหญ่แบบยุโรปสีขาวเรียงรายกันเป็นแถบอย่างเป็นระเบียบ ทั้งห้าเดินตรงไปยังที่ร้านอาหารก่อนเพราะท้องร้องมาตั้งแต่ก่อนที่ได้เข้ามาในเมือง เจนเลือกร้านอาหารดูท่าทางราคาไม่แพงมากนักและเดินนำไปทันที ถึงตอนนี้จะมีเงินอยู่เหลือเฟือแต่เธอก็ไม่อยากจะใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยจนเกินไป ถึงแม้จะเป็นเงินในเกมก็ตาม



    พวกโจในตอนนี้ก็หิวเกินกว่าจะมาโต้แย้งเรื่องร้านอาหาร ทั้งสองสั่งอาหารเน้นเฉพาะเนื้อจำนวนมากทันทีที่หย่อนก้นถึงเก้าอี้ ส่วนคิทซึเนะและฟีบียังไม่เคยมากินร้านอาหารแบบนี้มาก่อน จึงเป็นหน้าที่ของเจนที่ต้องสอนให้ทั้งสองสั่งอาหารให้ตัวเอง ส่วนเธอนั้นก็สั่งอาหารประจำวันมาก่อนเลยเมื่อจานอาหารมาถึงโต๊ะ ทั้งห้าก็เริ่มลงมือทานอย่างรวดเร็ว สองหนุ่มกับหนึ่งมังกรนั้นรีบทานอย่างมูมมามจนเจนต้องรีบปราม ต่างจากเธอและคิทซึเนะที่ค่อย ๆ กินอย่างเรียบร้อย ถึงอย่างนั้นอาหารจำนวนมากบนโต๊ะก็ถูกจัดการจนหายเรียบไปในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น



    "หลังจากนี้พวกเราจะไปไหนต่อกันดีล่ะ" เจนถามขึ้นแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม เธอรีบยกผ้าไปเช็ดปากของฟีบีที่กินไอศกรีมจนเลอะเต็มหน้า



    "ตอนนี้พวกเรามีเลเวลเต็มร้อยกันทุกคนแล้ว ก็คงต้องไปที่อาคารระบบก่อนจะได้ไปรับภารกิจเปลี่ยนยศ" โจตอบ



    "ถ้าไปที่อาคารระบบเธอก็ไปโอนเงินให้พวกพี่เสือก่อนด้วยนะ ถ้าหาก พวกนั้นต้องการเงินตอนที่พวกเราอยู่นอกเมืองล่ะก็คงลำบากแน่" แจ็คพูดเตือน



    "จริงด้วย ถ้าอย่างนั้นพวกนายไปซื้อเสบียงเพิ่มก่อนแล้วกัน ไว้ฟีบีกินของหวานเสร็จแล้วจะถามไป"



    "โอเค พวกเราไปก่อนแล้วกัน จากนั้นจะเลยไปดูเที่ยวบินของเรือเหาะด้วย พอได้รับภารกิจแล้วก็จะได้รีบออกเดินทางเลย แล้วเจอกันที่อาคารระบบนะ" โจพูดแล้วลุกขึ้นยืนโดยมีแจ็คเดินตามไป ส่วนเจนนั้นต้องรอให้ฟีบีกินของหวานให้เสร็จก่อน ซึ่งในตอนนี้เธอถูกคิทซึเนะดูแลเป็นอย่างดีสมกับที่เป็นพี่สาว



    หลังจากที่ฟีบีกินเสร็จ เจนก็จัดการจ่ายเงินโดยเธอไม่ลืมที่จะซื้ออาหารกล่องเอาไว้สำหรับเดินทางไว้เผื่อสัตว์เลี้ยงทั้งสองและเทพอสูรในดาบด้วย แต่ช่องเก็บของในกระเป๋าเริ่มต้นในตอนนี้ไม่พอที่จะใส่ได้อีก เจนจึงจำเป็นต้องเก็บก่องอาหารเข้าในช่องเก็บของส่วนตัวซึ่งจะทำให้อาหารเสียเร็วขึ้น ในใจพลางคิดว่าคงถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนกระเป๋าใหม่ซะแล้ว



    ทั้งสามเดินเข้าไปยังส่วนการค้าของเมืองที่มีคนเดินซื้อของอยู่มากมายและนักดนตรีที่ยังคงบรรเลงเพลงอยู่ไม่ขาด เจนมองเข้าไปในร้านตีเหล็กเห็นเป็นดาบเล่มงามวางอยู่ในตู้กระจกหน้าร้าน ป้ายราคาแปะเอาไว้อยู่เกือบแสนโกลด์แต่ตอนนี้เธอมีดาบใช้อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นความสวยของมันก็ต้องตาคนเจนทำให้อดเหลียวมองไปไม่ได้



    เจนรีบตั้งสติก่อนที่จะเผลอไปซื้อของอย่างอื่นที่ไม่ได้ต้องการ ในใจก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะปกติแล้วเธอไม่ได้เป็นคนที่ชอบใช้เงินฟุ่มเฟือยแบบนี้ เธอรีบพาคิทซึแนะและฟีบีตรงไปยังร้านขายอุปกรณ์ที่ใกล้ที่สุดทันที ภายในร้านขายของมีอุปกรณ์ต่าง ๆ วางอยู่เต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นใบวาปกลับเมืองที่เธอเคยใช้วางเรียงเป็นแผ่นอย่างระเบียบเรียบร้อย เสื้อผ้าหนาสำหรับนักเดินทางถูกแขวนเอาไว้ที่มุมห้องมีป้ายราคาติดอยู่ อีกด้านเป็นของจำพวกเต็นท์และถุงนอนวางเรียงกันหลายแบบและหลายขนาด ใกล้ ๆ กันเป็นเครื่องครัวสนามกับขวดเครื่องปรุงวางเป็นชุดดูน่าสนใจไม่น้อย



    "ยินดีต้อนรับครับ คุณลูกค้าสนใจเกี่ยวกับการทำอาหารครือครับ ทางร้านมีโปรโมชั่นพิเศษถ้าหากคุณลูกค้าซื้อเซตเครื่องครัวจะแถมตำราปรุงอาหารให้ฟรีนะครับ" เจนหันไปมองเป็นชายคนหนึ่งที่กำลังมองเธออยู่จากด้านในเคาท์เตอร์ทำให้รู้ทันทีว่าต้องเป็นพนักงานของร้านนี้แน่



    "สนใจมั้ยครับคุณลูกค้า หรือว่ากำลังมองหาอย่างอื่นอยู่" คนขายถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจนไม่ตอบ



    "ฉันอยากได้กระเป๋าสำหรับไว้เดินทางน่ะ ขอขนาดเล็ก ๆ แบบใบนี้แต่ใส่ของเข้าไปได้เยอะ ๆ มีหรือเปล่า" เจนถาม คนขายส่งยิ้มกลับมาแล้วจึงตอบคำ



    "กระเป๋าใบเล็กแต่จุของได้เยอะถ้าเป็นกระเป๋าธรรมดาไม่มีหรอกครับ ต้องเป็นกระเป๋าระดับ A ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะจุของได้เยอะแต่ก็ไม่เท่ากับกระเป๋าเดินทางทั่วไปหรอกนะครับ" คนขายหนุ่มบอกแล้วยกกระเป๋าออกมาสองใบจากใต้เคาท์เตอร์



    ใบแรกเป็นกระเป๋าใบใหญ่ดูเทอะทะ แต่พอตรวจสอบดูก็พบว่าสามารถใส่ของได้เป็นร้อย ๆ อย่างเลยทีเดียว อีกใบเป็นกระเป๋าคาดเอวแบบเดียวคล้ายกับที่เจนใช้อยู่แต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย เมื่อตรวจสอบดูก็พบว่าสามารถใส่ของได้ราว ๆ สี่สิบอย่าง ถึงจะมากกว่ากระเป๋าเริ่มต้นของเจนแต่ก็ไม่มากเท่ากระเป๋าเดินทางใบที่แล้ว พอไปดูราคากลับพบว่ากระเป๋าใบเล็กมีราคาสูงกว่าถึงสองเท่าของกระเป๋าเดินทางทีเดียว



    "ที่มีราคามากกว่าเพราะคนส่วนใหญ่ก็นิยมใช้กระเป๋าใบเล็กเหมือนกันครับ ทำให้ผลิตออกมาไม่ค่อยทันขายจึงมีราคาสูง กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไม่ค่อยมีคนซื้อจึงราคาตกครับ" คนขายเห็นใบหน้าของเจนก็รีบอธิบาย



    ตอนนี้เจนสองจิตสองใจว่าจะเอากระเป๋าใบไหนดี เอาใบใหญ่นอกจากจะมีราคาถูกแล้วยังใส่ของได้มากกว่ามาก แต่ก็ไม่สะดวกเวลาที่จะต้องสู้ ในขณะเดียวกันกระเป๋าใบเล็กนั้นสามารถพกพาสะดวกสบาย แถมยังสามารถเข้าต่อสู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องวางของก่อนอีกด้วย เจนยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหันไปถามคนขายอีกครั้ง



    "กระเป๋าใบเล็กมีแบบที่จุของได้เยอะกว่านี้อีกมั้ย" เจนตัดสินใจเลือกใช้กระเป๋าใบเล็กเพราะเน้นไปที่ความสะดวกมากกว่าใช้เก็บของ ถึงยังไงก็ตามเจนก็ไม่ค่อยเก็บของอะไรมากมายอยู่แล้ว



    คนขายที่ได้ยินหญิงสาวถามหาของเพิ่มก็ยิ้มหน้าบาน เขารีบเดินไปที่หลังร้านและกลับออกมาพร้อมกับกระเป๋าผ้าคาดเอวสีขาว เขาค่อย ๆ วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะแล้วรีบนำเสนอสินค้าทันที



    "นี่เป็นกระเป๋าผ้าระดับ Aอย่างดีเลยครับ มีน้ำหนักเบาแถมฉีกขาดยาก มีความจุอยู่ที่แปดสิบช่องครับ สนนราคาอยู่ที่หนึ่งแสนโกลด์เท่านั้นเองครับ" เมื่อได้ยินราคาก็ทำให้เจนถึงกับกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แต่ราคานี้ก็อาจจะดูสมเหตุสมผลเพราะกระเป๋าใบเล็กเมื่อครู่เองก็มีราคาเกือบห้าหมื่นโกลด์เลยทีเดียว



    หลังจากที่คิดอยู่นานเจนก็ตัดสินใจซื้อและเพิ่มอุปกรณ์ครัวสนามอีกชุดด้วยโดยไม่ลืมเซตเครื่องปรุงและตำราอาหารที่เป็นของแถมจาดนั้นจึงเดินออกมาจากร้าน เจนรีบย้ายสัมภาระจากกระเป๋าใบเก่าไปที่กระเป๋าใบใหม่ทันทีรวมถึงข้าวกล่องและของอื่น ๆ ที่อยูในช่องเก็บของส่วนตัว เหลือเอาไว้แต่เมล็ดบ้านต้นไม้ที่เก็บเอาไว้ในช่องเก็บของส่วนตัวไปเหมือนเดิม





    จากนั้นทั้งสามก็พากันไปซื้อเสบียงมาเพิ่มโดนเจนคิดว่าเมื่อได้เครื่องปรุงมาเพิ่มเช่นนี้คงจะทำอาหารได้อร่อยขึ้นแน่ ๆ ก่อนจะไปต่อ คิทซึเนะก็ไปเจอเข้ากับร้านขายเสื้อผ้า จิ้งจอกสาวกระตุกเสื้อของเจนและขอเข้าไปดูของในร้านซึ่งเจนเองก็ไม่ได้ขัดข้องจึงพาทั้งสองเข้าไปด้านใน



    เมื่อครั้งก่อนที่คิทซึเนะได้แต่เล่นสนุกกับเสื่อผ้าในร้านเหมือนกับฟีบีตอนนี้ แต่ภาพที่เจนเห็นตรงหน้าคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าที่แทบจะไม่ต่างไปจากผู้หญิงคนอื่น ๆ ในร้านเลย เวลาผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วันแต่ตอนนี้คิทซึเนะโตขึ้นมากจนต้องเรียกว่าเป็นจิ้งจอกสาวแทนที่จะเป็นจิ้งจอกน้อยซะแล้ว



    คิทซึเนะเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าโดยเดินพาฟีบีไปเลือกซื้อด้วย ส่วนเจนนั้นนั่งรออยู่บริเวณหน้าร้าน ไม่ได้คิดจะซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่แต่อย่างใด แต่เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก ดวงตาสีแดงก็กวาดมองไปรอบ ๆ ก็สะดุดกับชุดเดรสสีขาวตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมแต่ตอนนี้เจนละสายตาจากชุดนั้นไม่ได้เลย เธอลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปลองจับชุดดูก็พบว่าเนื้อผ้านุ่มมากแถมยังสะท้อนเงาเป็นประกายอีกด้วย



    'สวยจังเลย...อย่างเราจะใส่ได้มั้ยนะ ..หือ!' เจนรีบหยุดความคิดของตัวเองทันที เธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองเพิ่งคิดว่าจะอยากได้เสื้อผ้าผู้หญิงแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเจนแทบไม่มีความคิดที่จะซื้อเสื้อผ้าใหม่เลยด้วยซ้ำ ชุดที่ใส่อยู่เป็นชุดที่จริยาซื่อมาให้ทั้งนั้น นี่หรือว่าเธอกำลังเริ่มที่จะมีความคิดแบบผู้หญิง!



    หญิงสาวรีบสลัดความคิดออกไปแล้วรีบหันหลังให้ชุดเดรสนั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเธอก็ยังหันหลังเหลือบมามองชุดด้วยสายตาโหยหาอย่างอดไม่ได้



    "พี่เจน มีอะไรหรือคะ เห็นมองชุดที่แขวนอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว" เสียงของคิทซึเนะดังขึ้นทำเอาเจนแทบสะดุ้ง



    เมื่อหันไปมองก็พบว่าทั้งสองถือเสื้อผ้ามาคนละสองสามชุดดูท่าทางจะเลือกชุดที่จะซื้อได้แล้ว เจนรีบหยิบเงินให้คิทซึเนะแล้วบอกให้ไปจ่ายเงินจากนั้นจึงรีบวิ่งออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้สองสาวหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัยเพราะใบหน้าของเจ้านายของพวกเธอนั้นแดงก่ำอย่างกับลูกมะเขือเทศ



    หลังจากที่เจนออกมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ที่หน้าร้านได้พักหนึ่ง พวกคิทซึเนะก็ออกมาจากหน้าร้านด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง เธอไม่ถามอะไรทั้งสองเพราะอยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เจนรีบเดินนำคิทซึเนะและฟีบีออกจากย่านการค้าและตรงไปที่อาคารระบบโดยไม่แวะไปที่อื่นเลย



    เมื่อมาถึงที่หน้าอาคารระบบก็พบว่าพวกโจได้มาถึงก่อนแล้ว ทั้งคู่เองก็ซื้อกระเป๋าใหม่มาเหมือนกันโดยโจเป็นถุงผ้าเล็ก ๆ ที่มีเชือกเอาไว้รัดปากและถือได้ ส่วนแจ็คนั้นเป็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ดูเหมาะกับเขาดีที่ต้องขนกระสุนไปมาก ๆ ถึงแม้ตอนนี้เขามีปืนกระบอกเดียวที่ต้องใช้กระสุนก็ตาม



    "ทางนี้! มาเถอะ รีบเข้าไปรับภารกิจกัน....ว่าแต่เธอเป็นอะไรล่ะนั่น หน้าแดงมาเชียว" โจถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของเจน หญิงสาวเดินผ่านไปโดยไม่สนใจคำพูดของเพื่อนหนุ่มเลย



    "ช่างฉันเถอะน่า รีบเข้าไปได้แล้ว!" เจนว่าแล้วเดินเข้าไปด้านในอาคารระบบทันที



    อาคารระบบทุกที่จะออกแบบเหมือนกันหมดทำให้ผู้เล่นรู้ว่าส่วนไหนทำอะไรบ้าง อย่างเช่นเคาท์เตอร์สอบถามจะมีหน้าที่ตอบคำถามเกี่ยวกับการเล่นเกมและระบบของเกมรวมไปจนถึงรับแจ้งข้อผิดพลาดของเกมซึ่งยังไม่เคยพบมาก่อนในเกมนี้ ส่วนที่สองคือบริการสอบถามเกี่ยวกับภารกิจต่าง ๆ ไม่ว่าเป็นภารกิจที่เป็นของระบบหรือภารกิจของผู้เล่นที่นำขึ้นกระดานภารกิจด้วย นั่นรวมไปถึงภารกิจเปลี่ยนยศที่พวกเจนจะต้องมาสอบถาม



    ส่วนที่สามนั่นก็คือส่วนของธนาคารที่บริการทำธุรกรรมการเงินของผู้เล่นทุกอย่าง เช่นการโอนเงินที่เจนจะทำ เธอเข้าไปที่เคาท์เตอร์แล้วแจ้งความต้องการให้กับพนักงาน หลังจากพนักงานตรวจสอบเพียงครู่เดียวก็ถามถึงชื่อของหลายทางที่จะให้โอนไปถึง ซึ่งถ้าหากเป็นคนที่อยู่ในรายชื่อเพื่อนหรือคนในกิลด์เดียวกันก็สามารถโอนเงินได้เลยโดยไม่ต้องการเลขบัญชีของปลายทาง ยกเว้นถ้าหากคนที่ต้องการโอนเงินไปให้ไม่ได้เปิดบัญชีธนาคาร แต่พวกเสือซ่อนลายเปิดบัญชีธนาคารเอาไว้แล้วอย่างแน่นอนตามที่เจนแนะนำ พนักงานถามเพื่อความชัดเจนอีกครั้งว่าต้องการจะโอนเงินไปให้พวกโจและพวกเสือซ่อนลายอีกครั้ง เพราะเงินจำนวน 25,700,000 กับเศษอีกนิดหน่อยสำหรับคนเจ็ดคนนั้นเป็นเงินไม่ใช่น้อย ๆ เลย



    เจนตอบตกลงทันทีอย่างไม่ลังเล แล้วเงินจำนวนมากก็ถูกส่งแจกจ่ายไปให้ทุกคน สรุปแล้วในตอนนี้พวกเจนรวมไปถึงพวกเสือซ่อนลายนั้นมีเงินอยู่คนละยี่สิบหกล้านโกลด์ เงินจำนวนขนาดนี้สามารถตั้งกิลด์ได้ด้วยตัวเองได้อย่างสบาย ๆ เลย



    หลังจากเสร็จธุระตรงจุดนี้แล้ว ทั้งห้าก็เดินตรงไปยังเคาท์เตอร์บริการสอบถามภารกิจต่อ โดยพวกเจนไปออรวมอยู่ในที่เคาท์เตอร์เดียว ส่วนคิทซึเนะนั้นพาฟีบีไปนั่งรอที่เก้าอี้ใกล้ ๆ



    "ยินดีต้อนรับสู่อาคารระบบค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการทราบเกี่ยวกับภารกิจอะไรดีคะ" พนักงานสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ



    "พวกเรามารับภารกิจเปลี่ยนยศครับ" โจตอบไป พนักงานสาวก้มหน้าลงดูที่จอแสงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วข้าง ๆ เคาท์เตอร์ก็มีรูปใบหน้าของโจกับแจ็คปรากฏขึ้นมา



    "ยืนยันว่าเป็นคุณโจกับคุณแจ็คนะคะ ภารกิจเปลี่ยนยศของคุณตอนนี้ได้ถูกส่งเข้าไปในหน้าต่างภารกิจเรียบร้อยแล้วนะคะ ส่วนคุณเจนกรุณารออีกซักครู่นะคะ" พนักงานสาวพูดแล้วขมวดคิ้วอย่างสงสัยเพราะหน้าต่างแสงของเธอนั้นบอกว่ากำลังประมวลผลภารกิจของเจนอยู่



    เวลาผ่านไปได้ซักพักในที่สุดก็ได้ผลลัพธ์ออกมา แต่คำตอบที่ได้ก็ยิ่งทำให้พนักงานสาวต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอีกครั้ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นอะไรแบบนี้ บางทีอาจจะเป็นครั้งแรกของเกมนี้ด้วยซ้ำ



    "มีอะไรงั้นหรือ" เจนถามขึ้นเมื่อเห็นว่าภารกิจของเธอยังไม่มาซักที พนักงานสาวได้แค่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้แล้วหันหน้าไปคุยคนเดียวเหมือนกับกำลังโทรศัพท์ปรึกษาใครอยู่ เธอพยักหน้าอยู่สองสามครั้งจึงหันกลับมาหาเจน



    "ขออภัยที่ให้รอนานนะคะ เนื่องจากคุณเจนยังไม่ได้เปลี่ยนอาชีพมาตั้งแต่เริ่มเกมทำให้ระบบคำนวณให้ภารกิจเลื่อนยศของคุณเจนเป็นภารกิจอาชีพพิเศษนะคะ ดังนั้นหลังจากที่คุณเจนทำภารกิจนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเลื่อนยศขึ้นไปให้อยู่ยศขุนนางพร้อมกับจะได้อาชีพพิเศษมาด้วยค่ะ"



    "อาชีพพิเศษ!?" เจนหลุดปากถามออกไปด้วยความสงสัย จะว่าไปเธอก็เล่นเกมนี้มาได้ซักพักหนึ่งแล้วจนลืมว่าตัวเองยังไม่ได้เปลี่ยนอาชีพ คงต้องขอบคุณที่ยามาตะ โนะ โอโรจิช่วยจัดการโครงกระดูกคนเหมืองจนทำให้เลเวลพุ่งมาจนเต็ม ถ้าไม่อย่างนั้นเจนคงต้องเสียเวลาเก็บค่าประสบการณ์อีกนานเลยทีเดียว



    "ค่ะ ถ้าหากมีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับอาชีพพิเศษ กรุณาติดต่อเคาท์เตอร์สอบถามนะคะ ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ" พนักงานสาวพูดแล้วเรียกคิวต่อไป ทิ้งให้เจนเดินออกมาอย่างสงสัยว่าเธอได้ภารกิจอะไร



    เมื่อเจนเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นมาดูก็พบว่ามีภารกิจใหม่อยู่บนนั้น และตัวหนังสือที่บอกเธอก็ทำให้เธอต้องแปลกใจ



    'ภารกิจผู้กล้า'





    จบตอนที่ 23 เมืองแห่งเสียงดนตรี
    --------------------------------------------------




    ----------------------
    ขอบคุณคุณsantisook01มากเลยครับ วาดภาพสวยมาก ๆ เลย ผมชอบมากเลยครับ
    ผมขออนุญาตนำไปเผยแพร่ได้มั้ยครับ

  16. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  17. #35
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 24 Be Your Self

    ตอนที่ 24 Be Your Self



    ภารกิจผู้กล้า



    ให้ความช่วยเหลือชาวเมืองจำนวน 0/1000



    เจนอ่านคำอธิบาย และก็ต้องกลับไปอ่านซ้ำอีกรอบเพราะนั่นเป็นคำอธิบายภารกิจทั้งหมดของเจน สั้นกะทัดรัดและได้ใจความ แต่คนอ่านกลับไม่เข้าใจเลยว่าจะทำได้ยังไง



    "นี่มันอะไรกันเนี่ย โจ ขอดูภารกิจเลื่อนยศของนายหน่อยได้มั้ย" เจนหันไปถามเพื่อนของเธอ เมื่อก้มลงดูคำอธิบายภารกิจของเพื่อนหนุ่มนั้นให้ไปจัดการมอนสเตอร์ระดับบอสสายเวทมนตร์ด้วยตัวคนเดียว ถึงจะดูยากแต่ก็เข้าใจว่าให้ทำอะไร



    "แบบนี้ก็แย่น่ะสิ ให้ไปจัดการมอนสเตอร์บอสสายเวทมนตร์คนเดียวเนี่ยนะ ไอ้บอสแบบนั้นมันมีตัวกระจอก ๆ ซะที่ไหนล่ะเนี่ย" โจบ่น การให้ผู้เล่นคนเดียวไปจัดการกับมอนสเตอร์ระดับบอสเพียงคนเดียวถือว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากแสนสาหัสเลยทีเดียว ถ้าหากไม่ใช่ยอดฝีมือจริง ๆ คงเป็นไปได้ยาก



    "ของฉันก็เหมือนกัน ให้ไปล่าค่าหัวคนที่มีเงินรางวัลมากกว่าห้าแสนโกลด์ขึ้นไป ให้คนที่มียศทหารไปล่าค่าหัวเนี่ยนะ พวกที่มีค่าหัวขนาดนั้นจะมีระดับขุนนางปลาย ๆ แล้วไม่ใช่หรือไงเนี่ยแถมยังต้องทำคนเดียวอีกต่างหาก" แจ็คเกาหัวอย่างหนักใจ จะให้คนที่ยังมีระดับยศเพียงแค่ยศทหารไปฆ่าคนที่มียศสูงกว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากไม่มีพลังที่แข็งแกร่งอย่างดาบของเจน เขามีเพียงแต่ปืนสองกระบอกที่ยิงกระสุนได้ไม่จำกัดและปืนอีกกระบอกที่ไม่ได้ดีเด่นอะไรนัก



    "ของพวกนายรู้ว่าให้ไปทำอะไร แต่ของฉันสิ บอกให้ไปช่วยคนพันคน ไม่บอกอะไรอย่างอื่นอีกแบบนี้จะรู้มั้ยว่าจะต้องไปทำอะไร" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ ถ้าหากบอกให้ไปสู้กับพวกมอนสเตอร์มือเปล่ายังจะดีซะกว่า



    "แบบนั้นเธอก็ลองไปถามที่เคาท์เตอร์สอบถามดูก็แล้วกัน เผื่อจะรู้ว่าภารกิจของเธอตกลงว่าให้ทำอะไรกันแน่" โจบอก เจนได้ยินก็พยักหน้าตกลงเพราะไม่มีทางอื่นแล้ว



    เจนเดินไปกดบัตรคิวแล้วมานั่งรอคิวกับพวกโจและคิทซึเนะ ระหว่างที่รอเจนก็ถามเรื่องเรือเหาะที่พวกเขาไปดูเที่ยวเรือมาก็ได้ความว่าเรือเหาะเที่ยวที่เร็วที่สุดจะออกเวลาตีสี่ของวันพรุ่งนี้ โดยจะมีจุดหมายบินไปที่ทวีปอัลเทเชีย จากนั้นจึงไปทีทวีปยูโรปาและกลับมาที่เมืองคริสตัลเบลอีกครั้ง โดยทั้งหมดใช้เวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้น การเดินทางด้วยเรือเหาะจึงเป็นการเดินทางที่เร็วและปลอดภัยที่สุดในตอนนี้



    แน่นอนว่าการเดินทางด้วยวาร์ปจะปลอดภัยและรวดเร็วกว่า แต่ไม่มีบริการในส่วนนั้นอยู่ทุก ๆ เมือง นอกจากนั้นยังมีแค่จอมเวทเท่านั้นที่จะมีทักษะนั้นได้ ทำให้การวาร์ปจึงเป็นการเดินทางที่มีราคาแพงและตัวเลือกไม่มากนัก



    โจจองตั๋วเรือเผื่อเอาไว้สำหรับทุกคนเรียบร้อยแล้วเพราะไม่ว่าภารกิจจะเป็นอะไรก็ตาม ทั้งสามต่างตกลงกันว่าจะไปจากทวีปไลเทเชียเพื่อหนีการตามล่าของกิลด์พิฆาตราชาเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยมาคิดว่าจะทำยังไงกับภารกิจเลื่อนยศทีหลัง



    ในที่สุดก็มาถึงคิวของเจน เธอเดินเข้าไปในช่องที่เรียกหมายเลขบนบัตรคิวของเธอ ด้านหลังเคาท์เตอร์เป็นพนักงานหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มให้เธอ



    "สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าต้องการสอบถามเกี่ยวกับอะไรดีครับ" พนักงานหนุ่มคนนั้นพูด



    "เอ่อ คือฉันอยากสอบถามเรื่องภารกิจที่ได้รับมาหน่อย คือฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าภารกิจต้องการให้ฉันทำอะไรกันแน่" เจนว่าแล้วทำท่าจะแสดงหน้าต่างภารกิจของเธอให้ดูแต่พนักงานหนุ่มกับพูดขึ้นมาเสียก่อน



    "ภารกิจที่คุณเจนพูดถึงคือภารกิจผู้กล้าใช่มั้ยครับ"



    เจนพยักหน้า มันไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่เขาจะรู้เพราะยังไงเขาก็เป็นพนักงานที่เกี่ยวกับเกมนี้อยู่แล้ว ถ้าเขาเข้าไปดูภารกิจของเธอไม่ได้สิถึงแปลก



    พนักงานหนุ่มเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาจ้องหน้าต่างแสงที่แสดงคำอธิบายอันน้อยนิดของภารกิจของเจน เขาพูดพึมพำกับตัวเองซึ่งเจนได้ยินประมาณว่าทำไมถึงส่งให้คนถามเรื่องภารกิจมาที่เคาท์เตอร์สอบถาม จากนั้นเขาก็ทำท่าเหมือนกับกำลังติดต่อกับใครซักคนเหมือนกับพนักงานหญิงที่ให้ภารกิจของเจนมาเมื่อครู่ เขาพยักหน้าสองสามทีจากนั้นกล่าวอะไรบางอย่างกับปลายทางที่กำลังคุยดัวยแล้วหันมาหาเจนอีกครัั้ง



    "ภารกิจผู้กล้าของคุณเจนนะครับ คำอธิบายบอกให้คุณช่วยเหลือชาวเมืองจำนวนหนึ่งพันคน ในที่นี้ชาวเมืองที่พูดถึงคือเอไอนะครับ ไม่นับผู้เล่นแต่รวมพวกมอนสเตอร์ได้นะครับ ส่วนการที่จะช่วยคนหนึ่งพันคนนี้คุณเจนอาจจะต้องไปหาอีเวนท์พิเศษทำอย่างพวกอีเวนท์สัตว์อสูรบุกเมืองหรือปกป้องเมืองจากโจรป่าครับ" พนักงานหนุ่มอธิบาย เจนถึงกับร้องอ๋อขึ้นมาทันที ความจริงพอฟังดูแล้วมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่เธอคิด เพียงแค่ต้องหาอีเวนท์ที่ว่าให้เจอเท่านั้น



    "ถ้าหากมีคนช่วยทำภารกิจก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย" เจนถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ



    "ไม่มีปัญหาแน่นอนครับ" พนักงานหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม



    ในตอนนี้เจนพอจะรู้แล้วว่าเธอจะต้องทำอะไรถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหนต่อ แต่เจนรู้ว่าจะต้องมีโอกาสที่เธอจะได้ทำภารกิจอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาพวกเธอเจอแต่เรื่องวุ่นวายมาตลอด คงไม่มีเหตุผลที่มันจะมาหยุดตอนนี้



    เจนเดินกลับมาสมทบพวกโจแล้วพากันเดินออกมาจากอาคารระบบ เมื่อหันไปมองดูที่นาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เพิ่งบ่ายสามโมงเท่านั้นเอง



    "อีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาที่เรือเหาะจะออกจากท่า เธอซื้อของเตรียมพร้อมเอาไว้หมดแล้วหรือยัง" โจหันไปถามเจนและเธอพยักหน้ารับ



    "ฉันอยากจะไปเดินดูของที่ตลาดของเมืองนี้อยู่เหมือนกัน ฉันเบื่อชุดเก่าจะแย่ อยากลองไปหาซื้อชุดใหม่ดู" แจ็คพูดขึ้นมาทำให้เจนเห็นภาพตัวเองในร้านขายเสื้อผ้าขึ้นมาในหัวอีกครั้ง



    "ไม่! ฉันจะไม่เข้าไปในตลาดนั่นเด็ดขาด!" ใบหน้านวลที่เริ่มมีสีแดงระเรื่อรีบเอ่ยปฏิเสธทันที สองหนุ่มหันมามองเพื่อนของตนด้วยความสงสัย คิทซึเนะและฟีบีเองก็เช่นกัน



    "ทำไมอ่ะ ฉันแค่จะไปซื้อชุดใหม่เอง ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยหรอกน่า" แจ็คบอก เขาคิดว่าเจนไม่อยากให้เขาใช้เงินมากเกินไปจึงพูดแบบนั้นออกมา แต่เจนกลับทำท่าอิดออดไม่ยอมตอบคำแถมพยายามหลบสายตาของทุกคนเช่นนี้แสดงว่าไม่ใช่สาเหตุที่เขาคิดอย่างแน่นอน



    โจสังเกตท่าทางของเพื่อนสาวก็พอจะรู้ว่าสาเหตุที่เจนทำตัวแปลกไปต้องเป็นสาเหตุที่เธอเองก็ยังอธิบายไม่ได้แน่ ๆ เพราะตลอดหลายปีที่รู้จักกันมาเขารู้ว่าเจนเป็นคนที่มีอะไรก็จะพูดตรง ๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนก็จะปิดปากไม่พูดเลยแม้แต่คำเดียว อาการหน้าแดงเช่นนี้ถ้าหากเป็นเจนเมื่อก่อนล่ะก็ไม่มีทางที่จะแสดงออกมาได้อย่างเด็ดขาด



    ชายหนุ่มทั้งสองหันมามองหน้ากันแว่บหนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้กัน ทันใดนั้นทั้งคู่ก็พุ่งเข้าล็อกแขนเจนด้วยความเร็วจนไม่ทันตั้งตัว โจหันหน้ามาพูดกับเธอด้วยสีหน้าจริงจังจากที่จะลากตัวเธอไป



    "ฉันว่าเธอต้องมาหาที่นั่งคุยกันแล้วล่ะ"





    เมืองคริสตัลเบลนั้นแบ่งเมืองออกเป็นสามส่วนด้วยกัน โดยสองส่วนแรกนั้นคล้ายกับเมืองซีโปนั่นก็คือส่วนการค้าและส่วนที่อยู่อาศัยของชาวเมือง อีกหนึ่งส่วนที่เมืองซีโปไม่มีคือปราการที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ที่ต่างจากซีโปที่แยกออกมาอีกส่วนนอกเมือง แต่นั่นก็ทำให้เมืองคริสตัลเบลมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า รวมทั้งระฆังคริสตัลที่ลอยอยู่เหนือปราสาทเป็นจุดเด่นของเมืองจนหลายคนอยากที่จะมาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้



    บริเวณด้านหน้าปราสาทเป็นลานกว้าง พื้นเป็นก้อนหินเรียงเป็นลวดลายสวยงามและมีสีเขียวของหญ้าแทรกดูสบายตา ซึ่งจุดนี้จะถูกใช้ในการจัดแสดงในงานใหญ่ ๆ อย่างงานประกวดดนตรีประจำเมือง และในยามสงครามก็จะเป็นที่รวมกำลังพลของกิลด์หกราชันย์ ในยามปกติลานแห่งนี้จึงกลายเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองและผู้เล่นที่ต้องการพักจากการเดินทางและต่อสู้ ดังนั้นนักดนตรีทั้งหลายต่างมาแสดงดนตรีกันอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน



    มีเพียงแค่ส่วนหน้าปราการเท่านั้นที่ทางกิลด์หกราชันย์เปิดให้ผู้คนใช้ได้สาธารณะ ส่วนในปราการเป็นเขตหวงห้ามสำหรับคนทั่วไปจึงถูกป้องกันเอาไว้อย่างแน่นหนา ถึงแม้ตรงทางเข้าจะมีแค่ชุดเกราะอัศวินยืนเฝ้าอยู่สองตัวเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นที่ปราการนี้ก็ยังไม่เคยมีใครกล้าอ้างว่าเคยบุกเข้าไปได้แม้แต่คนเดียว



    เจนถูกโจและแจ็คลากมานั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้บริเวณลานกว้างแห่งนั้นโดยสองสาวจิ้งจอกและมังกรนั้นพากันไปเดินเล่นที่อื่น คิทซึเนะตอนนี้ที่โตจนน่าจะดูแลตัวเองได้แล้วเจนจึงไว้ใจให้เธอไปเที่ยวภายในเมืองกับฟีบี และเมืองแห่งนี้ก็มีการคุ้มครองคนในเมืองได้ในระดับที่ดีมาก ถึงจะมีเรื่องอะไรขึ้นก็คงจะมีคนมาช่วยทันเวลาอย่างแน่นอน



    เสียงเพลงทำนองน่ารักสดใสดังขึ้นไปทั่วบริเวณ ณ ใจกลางลานกว้าง เป็นคิวของเด็กผู้หญิงสองคนที่ขึ้นร้องเพลงต่อจากนักร้องชายประสานเสียงกลุ่มหนึ่งที่ร้องได้ไพเราะไม่เลว เสียงเล็ก ๆ ของเด็กสาวทั้งสองคนร้องประสานอย่างเข้ากัน คนหนึ่งมีเส้นผมสีขาวและอีกคนมีผมสีแดงประกายต่างร้องเพลงด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม ต่างจากเจนในตอนนี้ที่โดนสองหนุ่มนั่งประกบโดยทั้งสามคนไม่พูดอะไรกันมาพักหนึ่งแล้ว



    "ฉันขอโทษ" เจนตัดสินใจที่จะพูดขึ้นมาก่อน เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอทำลงไปนั้นถึงจะเป็นเพราะอารมณ์และความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไปตวาดใส่พวกโจแบบนั้น หลายอยู่หลายครั้งที่เจนตะโกนเสียงดังใส่เพื่อนทั้งสองคนแต่ทุกครั้งเป็นเพราะสิ่งที่ทั้งคู่กระทำครั้งนี้เธอเป็นฝ่ายที่ผิด



    "บางทีเธอควรจะอธิบายมาตั้งแต่แรกว่าเกิดอะไรขึ้นนะ" โจพูด แจ็คไม่ได้เอ่ยปากแต่ก็พยักหน้าสนับสนุน ทำให้เจนต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกมา



    "เรื่องมันเกิดขึ้นที่ร้านขายเสื้อผ้า พวกคิทซึเนะอยากจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ ฉันก็เลยให้สองคนนั้นไปเลือกกันเอง แต่พอฉันไปเห็นชุดเดรสชุดหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทำไมแต่ฉันรู้สึกอยากจะใส่ชุดนั้นมาก ถึงขนาดที่ฉันจิตนาการภาพตัวเองกำลังใส่ชุดนั้นอยู่เลย!" เจนพูดออกมาเสียงดัง ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอาย โจและแจ็คหันหน้ามามองกันก่อนที่แจ็คจะพูดขึ้น



    "ก็ไม่เห็นแปลกนี่ เวลาใครเห็นเสื้อผ้าที่ตัวเองชอบก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ขนาดฉันกับโจยังเป็นเลย"



    "แต่นั่นมันเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงนะ! ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นผู้ชาย..-"



    "เธอเป็นผู้หญิง!!" เสียงของสองหนุ่มประสานกันเสียงดังจนหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางสะดุ้ง



    "จะให้บอกอีกกี่ครั้งกันว่าเธอตอนนี้น่ะกลายเป็นผู้หญิงไปแล้ว ด็อกเตอร์เกอร์ธูทก็บอกอยู่ว่าเปลี่ยนให้เธอกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้ ถึงให้เธอเข้ามาเล่นเกมนี้ที่จะได้ชินกับการเป็นผู้หญิงไง" โจว่า



    ในใจลึก ๆ แล้วเจนเองก็รู้ดีว่ามันกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงกลัวการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ ตั้งแต่ที่เจนกลายมาเป็นผู้หญิงก็มีเรื่องต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาในชีวิต บางสิ่งก็ดี บางอย่างก็ร้าย และนั่นก่อให้เกิดคำถามในใจว่าหากเธอไม่ได้กลายเป็นผู้หญิง สิ่งต่าง ๆ จะเกิดขึ้นกับเธอมั้ย และนั่นทำให้เจนกลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยิ่งเมื่อภาพที่ทั้งสองคนทิ้งเธอเอาไว้ในเหมืองทำให้ความกลัวนี้เริ่มเข้ามาอิทธิพลในจิตใจของเธออย่างที่เจนไม่เคยคิดมาก่อน



    "ต..แต่ว่าพวกนายไม่รู้สึกแปลก ๆ บ้างหรือไงที่จู่ ๆ ฉันกลายมาเป็นผู้หญิงแบบนี้"



    "ถ้าเธอคิดว่าพวกเราสองคนจะเกลียดเธอเพราะเรื่องแบบนี้ล่ะก็ พวกเราสองคนคงไม่มายุ่งกับเธอตั้งแต่แรกแล้วล่ะ" แจ็คบอกแล้วเอียงตัวพิงเพื่อนสาว แขนใหญ่คล้องคอของเจนเหมือนเมื่อก่อนที่เด็กทั้งสามคนกอดคอกันไปมาอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ



    "ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนความเป็นตัวของเธอเองไปทั้งหมดหรอกนะ เอาเป็นว่าตอนนี้เธอเชื่อในสัญชาติญาณของผู้หญิงของเธอก็พอ" โจบอกแล้วหันมายิ้มให้เหมือนทุกครั้ง



    "ถ้าอย่างนั้นสัญชาติญาณผู้หญิงของฉันควรจะบอกฉันว่าอะไรดีล่ะ" หญิงสาวเอ่ยปากถาม ครั้งนี้น้ำเสียงของเธอนิ่งเรียบเหมือนสายน้ำไหล ไม่ฟังดูสับสนเหมือนเมื่อครู่เพราะในตอนนี้เธอรู้แล้วว่าต่อจากนี้พวกโจจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอต่อให้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น และเจนเองก็จะไม่มีวันทิ้งพวกเขาไปเช่นกัน



    "จ่ายเรื่องกินน้อยลง เอาเงินส่วนใหญ่ไปซื้อเสื้อผ้าแพง ๆ ให้มากขึ้นล่ะมั้ง" แจ็คทำท่าครุ่นคิดและพูดขึ้น สำหรับเขาคงจะยากที่จะคิดเรื่องแบบนี้เพราะแม่ของเขาเองก็เป็นนักกีฬา ไม่ได้ทำตัวคล้ายกับผู้หญิงทั่วไปซักเท่าไหร่



    เจนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงมั่นคงดังเดิม เหมือนปกติที่เธอพูดกับเพื่อนของสองสองคนนี้



    "ไม่มีทาง ของแพง ๆ อย่างนั้นฉันไม่จ่ายเงินซื้อด้วยหรอก" ได้ยินที่เพื่อนสาวพูดออกมาพวกโจก็ยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเจอไปเจออะไรเข้าในเหมืองโบรดี้ แต่จากที่ฟังดูเธอและยามาตะ โนะ โอโรจิคุยกันแล้วก็บอกได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน พวกเขารู้ว่าการที่จู่ ๆ ร่างกายของตนเองเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกเพศหนึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องที่จะปรับตัวได้ง่าย ๆ ถ้าหากมีอะไรที่รบกวนจิตใจของเจนในเวลานี้พวกเขาก็อยากจะแบ่งเบามาจากเธอและช่วยเธอให้พ้นไปจากช่วงเวลานี้ให้ได้



    สองหนุ่มมองหน้ากันและคิดในใจ 'นั่นล่ะ ยัยเจนตัวแสบที่พวกเรารู้จัก'







    ต่อจากนั้นทั้งสามก็นั่งคุยกันอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนที่จะพากันไปตามที่นัดกับพวกคิทซึเนะเอาไว้ ก่อนที่สองสาวจะพากันไปเดินเล่น เจนได้กำชับเอาไว้ว่าให้มาเจอกันที่หน้าอาคารระบบดังนั้นเธอจึงไม่ต้องกลัวว่าทั้งสองจะหลงทาง อีกทั้งจมูกของคิทซึเนะสามารถดมตามกลิ่นของเจนได้อีกด้วย และไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงอะไรมากนักเพราะในตอนนี้คิทซึเนะมีความรับผิดชอบขึ้นมากทีเดียว



    ทั้งสามค่อย ๆ เดินผ่านลานกว้างตัดไปยังอาคารระบบโดยค่อนข้างใช้เวลาในการฟังเพลงที่บรรเลงอยู่รอบ ๆ เพลงที่เด็กสาวสองคนร้องไปนั้นเพิ่งจบลงไป ผู้ชมที่ยืนดูอยู่ปรบมือให้รวมทั้งพวกเจน ถึงแม้ทั้งสองจะแค่ใช้หน้าต่างระบบเปิดเพลงจากนอกเกมแล้วร้องตาม แต่ทั้งคู่นั้นร้องได้ไพเราะมากจริง ๆ จึงทำให้ผู้คนที่ยืนชมรวมไปถึงพวกเจนและนักดนตรีคนอื่นที่กำลังรอคิวอยู่ยอมรับในน้ำเสียงของพวกเธอ



    พวกเจนเดินผละออกมาจากลานกว้างในขณะที่วงดนตรีวงต่อไปกำลังเริ่มบรรเลง เจนเริ่มมองเห็นมุมที่สวยงามของเมืองแห่งนี้มากขึ้นเมื่อได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมา ครั้งนี้เธอเริ่มที่จะยอมรับตัวเองมากขึ้นในสิ่งที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้ แล้วเธอก็นึกไปถึงอาจารย์หมิงเต๋อที่เคยบอกกับเจนเอาไว้ให้ยอมรับตัวเองให้ได้ ในตอนนั้นเธอยังไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำว่าเธอกลัวการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่อาจารย์กลับสามารถมองเห็นถึงความรู้สึกของเจนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจนตั้งมั่นเอาไว้ในใจกับตัวเองว่าหลังจากช่วยอามีร่าได้แล้วอยากจะกลับไปเยี่ยมอาจารย์หมิงซักครั้ง ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะไอเจอตัวจริงของเขาด้วย



    พวกเจนตรงกลับไปที่อาคารระบบที่อยู่ในส่วนที่ธุรกิจ แต่เนื่องจากยังมีเวลาเหลืออยู่มากเจนจึงตัดสินใจที่จะเดินอ้อมไปยังส่วนของที่พักอาศัยของชาวเมืองดูเพราะเธอไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วว่าที่แห่งนี้เป็นยังไง



    ส่วนที่พักของชาวเมืองนั้นคล้ายกับหมู่บ้านธรรมดาที่อยู่นอกเกมมาก บ้านแต่ละหลังถูกแบ่งเป็นตรอกเป็นซอยอย่างเป็นระเบียบ บ้านบางหลังก็ตั้งแยกออกมาจากบ้านหลังอื่นทำให้มองเห็นเลยว่าบ้านนี้ต้องมีเงินอยู่พอสมควร นอกจากนั้นในที่แห่งนี้ยังมีร้านค้าขายของต่าง ๆ อาทิเช่นอาหารสด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหรือพืชผัก หรือจะเป็นร้านขายเสื้อผ้าที่จะเน้นไปที่ความสบายและความถูกมากกว่าร้านเสื้อผ้าในส่วนธุรกิจ และแน่นอนเสื้อผ้าแบบนี้มีแต่เสื้อธรรมดาเท่านั้น ไม่มีชุดเกราะแต่อย่างใด



    "ที่นี่ดูร่มรื่นดีจัง ถึงจะไม่ใหญ่เท่าลานกว้างหน้าปราการก็เถอะ แต่ก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายไม่ต่างกันเลย" เจนว่า เธอมองดูเด็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ ชาวเมืองหลายคนต่างมาพักผ่อนหลังเลิกงานพร้อมกับครอบครัว ภาพตรงหน้านี่แทบไม่ต่างไปจากโลกภายนอกเลย



    ตั้งแต่ที่เจนเริ่มเล่นเกมนี้มา มีหลายต่อหลายสิ่งที่ทำให้เธอต้องแปลกใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความอลังการสมจริงของพลังที่ผู้เล่นทำได้ ยังเป็นความสมจริงของเอไอที่แยกไม่ออกไปจากคนจริง ๆ ดูตัวอย่างจากคิทซึเนะจิ้งจอกสาวที่เติบโตขึ้นตามเลเวลของเธอ แถมนิสัยก็ยังพัฒนาขึ้นอย่างเหมือนเด็กสาวจริง ๆ เพียงเวลาแค่เกือบหนึ่งเดือนในเกมที่อยู่ด้วยกันมา เจนมองเด็กสาวคนนี้ไปไม่ต่างจากน้องสาวจริง ๆ ไปแล้ว



    หมิงเต๋อเคยพูดกับพวกเจนว่าเอไอในโลกในเกมดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์แห่งนี้มีจิตใจเหมือนกัน มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองไม่ต่างจากคนทั่วไป ทำให้ในแต่ละเมืองและหมู่บ้านถึงมีส่วนที่อยู่อาศัยแยกออกมาโดยเฉพาะเลยทีเดียว



    แต่ว่าความสงบเช่นนี้มักมีอยู่ไม่ได้นาน เสียงดังเอะอะโวยวายมาจากอีกด้านของสวนสาธารณะเรียกความสนใจของเจน ในหมู่บ้านที่เจนอาศัยอยู่ การส่งเสียงดังแบบนี้หมายความได้อยู่อย่างเดียวนั่นก็คือปัญหา เธอรู้ว่าในเกมนี้ก็คงไม่แตกต่างกันนัก



    ทั้งสามคนหันมาสบตากันอย่างรู้ใจและพุ่งไปยังที่มาของเสียงทันที เมื่อไปถึงเจนเห็นชายหลายคนกำลังยืนล้อมเด็กสาววัยรุ่นสองคนอยู่ แต่ที่น่าแปลกก็คือชายเหล่านั้นเจนบอกได้ทันทีจากการแต่งตัวว่าเป็นชาวเมืองเช่นเดียวกับเด็กสาวทั้งสอง แต่ทำไมถึงมาทำตัวเป็นอันธพาลแบบนี้ได้



    "ดูสิ เจ้าลาซาสเอาเข้าอีกแล้ว เสียทีที่เป็นผู้ชายกลับทำตัวเป็นนักเลงชอบรังแกผู้หญิง" เสียงของหญิงชาวเมืองคนหนึ่งที่กำลังยืนมองเหตุการณ์พูดขึ้น



    เจนหันไปมองก็พบว่าไม่ได้มีแค่พวกเธอเท่านั้น มีชาวเมืองอีกหลายคนต่างมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะพวกนักเลงมีจำนวนคนอยู่มาก แถมยังมีอาวุธกันครบมือ ชาวเมืองรอบ ๆ มีแค่ผู้หญิงและเด็กเท่านั้น ส่วนผู้ชายก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งเพราะสู้กำลังของพวกนั้นไม่ได้



    "คราวนี้เป็นลูกสาวของตาดาริอุสงั้นหรือเนี่ย ถ้าทั้งสองคนถูกเอาตัวไป ตาแกก็ไม่มีคนดูแลน่ะสิ" อีกเสียงด้านหลังของเจนดึง



    "คราวก่อนที่โดนจับไปก็เป็นลูกสาวบ้านคีลี พอกลับมาก็เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมพูดอะไรเลย"



    เสียงคุยดังไปมาด้านหลังของเจนทำให้รู้ว่ากลุ่มของนักเลงที่ชื่อว่าลาซาสเป็นคนในเมืองนี้เช่นกันและมีอิทธิพลอยู่มากพอสมควร มีลูกน้องอยู่หลายร้อยคนภายในเมืองนี้ทำให้ไม่มีใครกล้าไปยุ่ง เมื่อก่อนเคยมีคนไปแจ้งให้กับทางการแล้วแต่ไม่มีการดำเนินเรื่องเพราะมีคนในของแก็งค์กันไม่ให้เรื่องไปถึงเบื้องบน แถมพวกนักเลงก็กลับมาเล่นงานคนที่แจ้งเรื่องจนปางตาย



    แค่นี้ก็เกินพอที่จะทำให้เจนตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้นักเลงพวกนี้ได้ทำชั่วต่อไปอย่างแน่นอน เธอยกมือขึ้นจับดาบทำท่าจะเดินออกไปแต่ถูกแจ็คจับรั้งไว้เสียก่อน



    "จะทำอะไรของเธอน่ะ" เพื่อนหนุ่มมือปืนกระซิบถาม



    "จะออกไปจัดการพวกนั้นไง นายก็เห็นแล้วไม่ใช่หรอ จะปล่อยให้พวกนี้เหลิงต่อไปไม่ได้แล้ว" เจนตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจที่ถูกรั้งเอาไว้



    "แค่นี้ฉันรู้แล้วน่า แต่ว่าถึงออกไปเธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ"



    "นายหมายความว่ายังไง" หญิงสาวถามกลับ ดวงตาสีแดงจ้องไปที่เพื่อนของเธอด้วยความไม่พอใจ



    "กฎของผู้เล่นไงเจน พวกเราทำร้ายเอไอไม่ได้ ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกยังไงแต่พวกเราออกไปก็ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นมาหรอก" โจพูดและเดินเข้ามาขนาบข้างตัวของเจน สีหน้าของเขาเองก็ดูไม่พอใจเช่นเดียวกันแต่กลับทำอะไรไม่ได้เพราะกฎที่ออกขึ้นเพื่อเอาไว้ปกป้องเอไอแท้ ๆ



    "เฮ้ย ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้นะไอ้พวกเลว!!" เสียงตะโกนแหบแห้งไร้กำลังดังขึ้น เจนหันไปมองเจ้าของเสียงเป็นชายชราคนหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามา เขามีดวงตาสีฟ้าเหมือนกับเด็กสาวสองคนที่โดนจับยืนยันคำพูดเขาได้ว่าเขาเป็นพ่อผู้บังเกิดเกล้าของเด็กสาวทั้งสองอย่างแน่นอน



    หัวศีรษะล้านไร้เส้นผมและรอยย่นบนใบหน้าบ่งบอกได้ถึงอายุที่มากแล้ว แต่ดวงตาและรอบแผลที่แขนของเขามันบอกได้อีกอย่างว่าเขายังคงเป็นนักสู้ที่มีไฟอยู่ เมื่อเขามาถึงก็ใช้ไม้เท้าที่คอยค้ำพยุงร่างฟาดเข้าใส่นักเลงที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที



    แต่ไม้เท้าย่อมไม่อาจสู้ดาบได้ นักเลงคนนั้นใช้ดาบปัดไม้เท้ากระเด็นหลุดจากมือชายชราออกไปอย่างง่ายดาย ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงล้มลงไปบนพื้นเพราะขาดที่ค้ำยัน เด็กสาวทั้งสองร้องตะโกนเรียกชื่อพ่อของตนเสียงดังและสลัดร่างหลุดออกจากมือที่รั้งตัวพวกเธออยู่ ทั้งสองเข้าสวมกอดพ่อของตัวเองที่ล้มอยู่บนพื้น เขาใช้มือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงโอบตัวลูกสาวของเขาเอาไว้และพยายามพูดปลอบ ทั้ง ๆ ที่ในใจเขารู้ดีว่าไม่มีทางรอด เด็กสาวทั้งสองด้วยเช่นกัน



    เจนที่เห็นภาพตรงหน้าก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้า เธอสลัดมือของแจ็คออกมาและพุ่งเข้าหาพ่อลูกที่นอนอยู่บนพื้นทันที มือบางชักดาบออกจากฝักและชี้ไปยังพวกนักเลงก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง



    "พวกแกจะได้ทำเลวครั้งสุดท้ายแค่นั้นแหละ!!" เจนต้องแปลกใจเพราะเสียงที่เปล่งออกมาไม่ได้เป็นเสียงของเธอคนเดียว เมื่อหันไปข้าง ๆ ก็พบกับผู้เล่นอีกคนหนึ่งกำลังยกศรธนูเล็งไปที่พวกโจรเช่นกัน



    ผู้เล่นที่ยืนอยู่ข้างเจนเป็นหญิงสาวอายุพอ ๆ กันกับเธอ ผมสั้นเพียงประบ่าทรงบ๊อบเทสีดำเข้ากับดวงตาสีฟ้าเข็มแข็ง แววตาของเธอนั้นดูคล้ายกับเจนมากจนน่าแปลกใจ เธอสวมเสื้อคลุมสีดำที่มีปกคอสีแดงทับเสื้อเชิ้ตสีแดงอีกที สวมด้านล่างเธอสวมกางเกงหนังสีดำแลพรางเท้าบูทดูทะมัดทะแมง



    "เธอ..." ทั้งสองหลุดปากออกมาคำเดียวกันอีกเป็นครั้งที่สอง ดวงตาทั้งสองสบกันก่อนจะยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ ถึงจะยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม แค่การกระทำก็เพียงพอแล้วสำหรับเจนและหญิงสาวผมสั้นผู้นี้



    "ฮ่า ๆ ๆ! ดูซิวะ วันนี้พวกเรามีแขกจากนอกเขตด้วยโว้ย พวกนักผจญภัยอย่างพวกแกหลงทางเข้ามากันหรือไงเนี่ย" ลาซาสพูดขึ้นพร้อมกับค่อย ๆ เดินเข้ามาหาพวกเจน เขาสวมเสื้อผ้าหรูหราดูมีราคา ดาบที่ถืออยู่ก็น่าเป็นดาบชั้นสูงเลยทีเดียว



    "ลูกพี่ ระวัง ดูอาวุธที่พวกมันถืออยู่น่ากลัวออกนะ" ลูกน้องนักเลงคนหนึ่งพูดขึ้น แต่ลาซาสยังคงประดับรอยยิ้มบนใบหน้า



    "เฮ้ย! อย่าไปกลัวสิวะ ไอ้พวกนักผจญภัยพวกนี้มันทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอกโว้ย! เจ้าดีไนน์บอกข้าว่าถ้าหากพวกมันลงมือกับคนอย่างพวกเราล่ะก็จะโดนลงโทษหนัก แค่นี้พวกมันก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเราแล้วโว้ย" ลาซาสพูดแล้วหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ



    เจนถึงกับตะลึงเมื่อชายตรงหนารู้ว่าผู้เล่นอย่างพวกเธอจะโดนลงโทษหากทำร้ายเอไอ ดูท่าทางคนที่ชื่อดีไนน์คงจะเป็นคนให้ข่าวนี้แน่ การที่เขาบอกข้อมูลนี้ได้แปลว่าเขาต้องเป็นผู้เล่นอย่างแน่นอนแต่ทำไมถึงมาร่วมมือกับพวกนักเลง



    ในขณะที่กำลังหมดหนทางอยู่นั้นเอง ตรงหน้าของเจนก็มีหน้าต่างแสงเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นมา ไม่ใช่เพียงแค่เจนคนเดียว เมื่อเธอหันไปมองดูหญิงสาวผมสั้นที่อยู่ข้าง ๆ และพวกโจที่อยู่ไม่ไกลก็เห็นหน้าต่างแสงด้วยเช่นกัน เจนหันกลับมามองหน้าต่างแสงตรงหน้าที่ยังไม่มีข้อความขึ้นมา เพียงครู่เดียว ข้อความสั้น ๆ ที่ทำให้เจนถึงกับยิ้มออกมาได้ก็ปรากฏขึ้น



    'คุณกำลังเข้าสู่อีเวนท์ขับไล่อันธพาล ต่อจากนี้คุณจะสามารถทำร้ายเอไอที่เป็นศัตรูได้ แต่ห้ามลงมือจนถึงแก่ชีวิต ทำให้นักเลงทุกคนไม่สามารถสู้ต่อหรือไม่มีนักเลงอยู่ในพื้นที่แล้วอีเวนท์ถึงจะจบลง ขอให้โชคดี'



    เจนแสยะยิ้มออกมาแล้วก้าวเท้าออกไปด้านหน้าอย่างไม่เกรงกลัวเช่นเดียวกับหญิงสาวข้าง ๆ พวกโจเองตอนนี้ก็เดินออกมาจากกลุ่มคนเข้ามาสมทบกับพวกเจนโดยถืออาวุธอยู่ในมือพร้อมสู้



    "มาได้จังหวะดีจริง ๆ นะ กว่าจะประกาศก็เล่นเอาเกือบไม่ทันเหมือนกันนะเนี่ย" หญิงสาวผมสั้นพูดขึ้น เหมือนว่าเธอจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอคงเป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์มากกว่าเจนไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะเรื่องประกาศเช่นนี้แม้แต่โจเองก็ยังไม่รู้เพราะไม่มีอยู่บนกระดานข่าวหรือในคู่มือ



    "เธอรู้หรอว่าจะมีอีเวนท์แบบนั้นเกิดขึ้น" เจนหันไปถามด้วยความสงสัย หญิงสาวผมสั้นหันมายิ้มให้แล้วตอบคำ



    "อื้ม! มีคนอยู่ไม่มากหรอกนะที่รู้เรื่องนี้ การที่ผู้เล่นจะลงมือกับเอไอได้มีอยู่แค่กรณีเดียวคือในอีเวนท์ที่มีเอไอเป็นศัตรู ส่วนมากจะเป็นเอไอที่เป็นโจรป่าหรือนักเลงอะไรพวกนี้ที่พบบ่อย ถ้าลองเล่นเกมนี้ไปซักพักก็จะรู้เองล่ะว่าตอนไหนจะมีอีเวนท์ จะว่าไปแล้วเรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ฉันชื่อริน ยินดีที่ได้รู้จัก" หญิงสาวผมสั้นแนะนำตัวเองแล้วยื่นมือเข้ามาหาเจน เธอยิ้มรับแล้วยื่นแขนออกไปจับ



    "ฉันเจน ส่วนนี่โจกับแจ็คเป็นเพื่อนของฉันเอง ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน" เจนแนะนำตัวเองกับพวกโจให้เพื่อนใหม่ จากนั้นทั้งสองก็หันมาหาลาซาสที่ตอนนี้เขาก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัวเพราะบรรยากาศที่ผิดปกติ



    "พวกแกจะทำอะไรน่ะ ลืมไปแล้วหรือไงว่าถ้าทำร้ายพวกข้าจะโดนลงโทษนะโว้ย!" ลาซาสตะโกนเสียงดัง แต่ในตอนนี้คำพูดของเขากลับไม่มีผลต่อพวกเจนเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามกลับยิ่งเป็นการเชื้อเชิญพวกเจนเข้ามาหาด้วยซ้ำไป



    "แจ็ค นายช่วยคุ้มครองสามคนนั้นที ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยสนับสนุนด้วย แต่อย่าให้ถึงตายนะ" เจนว่า



    แจ็คควงปืนหนึ่งรอบก่อนจะลั่นไก กระสุนพุ่งตรงไปยังนักเลงที่อยู่ข้าง ๆ ลาซาส โดนกระสุนพุ่งเข้าไปที่ขาจนล้มลงไปบนพื้นท่ามกลางความตกตะลึงของพวกนักเลงและชาวเมืองคนอื่น ๆ



    "โทษที นำหน้าไปก้าวหนึ่งแล้วพรรคพวก" ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ จากตรงที่เขายืนอยู่สามารถปกป้องดาริอุสและลูก ๆ ไปพร้อมกับจัดการพวกนักเลงด้วยปืนพกในมือ



    เจนเห็นดังนั้นจึงยิ้มอย่างพอใจและหันกลับมาหาลาซาส ดาบคุซานางิในมือขยับเตรียมพร้อมลงมือทุกเมื่อ



    "ใช้ธนูแบบนั้นจะสู้ระยะประชิดได้หรือ ถอยออกไปยืนกับไอ้แจ็คดีกว่ามั้ง" โจเดินขึ้นมาขนาบข้างเจนหันไปมองอาวุธในมือของรินและพูดขึ้น



    หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาแล้วตอบกลับไป



    "ฉันสู้ได้ก็แล้วกันน่า ว่าแต่นายเถอะ เป็นนักเวทตัวบาง ๆ ไปยืนอยู่แนวหลังดีกว่ามั้ง"



    ชายหนุ่มที่ได้ยินคำปรามาสก็เร่งพลังสายฟ้าขึ้นทันที ร่างกายของเขาตอนนี้มีประกายไฟฟ้าพุ่งออกมาไม่หยุด เสียงระเบิดของสายฟ้าดังน่ากลัวจนชาวเมืองและพวกนักเลงต้องก้าวถอยหลังออกไป รินที่เห็นดังนั้นก็ยิ้มเยาะจากนั้นจึงยกศรขึ้นคันธนูเตรียมพร้อมที่จะยิง เช่นเดียวกับเจนที่ตั้งท่าดาบรออยู่แล้ว



    เร็วดั่งสายฟ้า ลูกธนูของรินพุ่งออกจาแล่งเข้าใส่ขาของลาซาสล้มลงไปกับพื้นจากนั้นก็ยิงนักเลงอีกคนที่ไหล่เข้าอย่างแม่นยำโดยที่เจนและโจยังไม่ทันได้ขยับตัวเลยด้วยซ้ำ



    "อ้ากกกก! มัวทำอะไรอยู่วะ! มันมีกันแค่สี่คน รีบไปจัดการพวกมันซี่!!" ลาซาสตะโกนสุดเสียงพร้อมทั้งพาร่างของตัวเองออกไปจากที่ตรงนั้น



    พวกนักเลงถึงจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เมื่อหัวหน้าสั่งมาก็ต้องทำตาม อีกอย่าง พวกเขามีอยู่กันร่วมเกือบยี่สิบคน แค่จัดการคนสี่คนมันคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร



    แต่นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดไปผิดถนัด สายฟ้าพุ่งออกจากมือของชายหนุ่มเข้าใส่พวกนักเลงห้าคนในทีเดียว ร่างทั้งห้าสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ก่อนจะล้มลงไปนอนบนพื้นโดยมีควันลอยฉุยขึ้นมา



    "โจ! เบามือหน่อย ถึงพวกเราจะสู้กับพวกนี้ได้แต่ห้ามฆ่านะ" เจนร้องเสียงดังเพราะสายฟ้าที่โจปล่อยออกมาดูรุนแรงมาก เธอเข้าไปจับชีพจรของผู้โชคร้ายทั้งห้าก็โล่งอกเพราะแค่สลบไปเท่านั้น



    "นี่ล่ะเบาสุดแล้ว แค่เร่งพลังฉันยังใช้พลังเวทมากกวานี้เลย" โจบอก เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้มันไม่พอที่จะสู้ได้เลย แค่ลงมือนิดหน่อยก็ล้มซะแล้ว



    เจนลุกขึ้นยืนประจันหน้าพวกนักเลงที่เหลืออยู่ไม่กี่คน ส่วนใหญ่เมื่อเห็นสายฟ้าของโจก็พากันวิ่งหนีไปไกลหมดแล้ว ที่เหลืออยู่นั้นแค่ทำใจดีสู้เสือเท่านั้น ไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดหนีไปหรือไม่เมื่อรู้ว่าหัวหน้าที่พวกเขาสู้เพื่อนั้นหายตัวไปนานแล้ว



    เจนพุ่งเขาใส่นักเลงตรงหน้า ดาบยาวตวัดขึ้นด้วยความเร็วสูง เพียงครั้งเดียวก็ตัดดาบหนาที่นักเลงถือให้ขาดเป็นสองท่อนได้ เจนมองผลงานของตัวเองอย่างชื่นใจก่อนที่จะใช้หมัดตะบันหน้าของชายตรงหน้าให้สลบไป



    พลังและความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นของเจนในตอนนี้ทำให้เธอรู้สึกแข็งแกร่งและมั่นใจมากขึ้น ถ้าหากเธอใช้ทักษะเสริมพลังคงจะทรงพลังและเร็วมากกว่านี้อีก เจนอดใจรอแทบไม่ไหวที่จะใช้ทักษะพลังสถิตร่างเพื่อที่จะดูว่าตอนนี้เธอจะเก่งขึ้นอีกซักแค่ไหน



    แต่ในตอนนี้เจนต้องตั้งสติอยู่กับการต่อสู้ตรงหน้า เธอสลัดความคิดในหัวทิ้งไปก่อน ถึงยังไงเธอก็ต้องมีโอกาสที่ได้ใช้ทักษะพลังสถิตร่างอีกอย่างแน่นอน ตรงหน้าของเจนเหลือนักเลงอยู่สองสามคนที่ตัวสั่นเมื่อเห็นเจนย่างเท้าเข้าไปหา เพียงพริบตาเดียวเจนก็พุ่งตัวเข้าใส่พร้อมกับใช้หมัดซัดหน้าของนักเลงคนหนึ่งจากนั้นก็จับแขนของนักเลงอีกคนที่อยู่ใกล้ ๆ ล็อกแขนและหักเสียงดังลั่นแล้วชกให้สลบก่อนที่นักเลงคนนั้นจะส่งเสียงร้องซะอีก



    นักเลงคนสุดท้ายเห็นว่าเพื่อนของตัวเองไม่หนีไปก็โดนเล่นงานจนหมดแล้ว แถมหัวหน้าของตนดันเผ่นไปก่อนใครเพื่อนจึงรีบวิ่งตามไป เจนปล่อยให้นักเลงคนนั้นหนีไปเพราะยังไงก็ตามเธอก็คิดจะไปลุยถึงรังพวกนั้นอยู่แล้ว เจนหันกลับมาหาพวกโจที่ตอนนี้กำลังพยาบาลชายชราอยู่



    เมื่อเจนและรินเดินเข้ามาหาทั้งสามพ่อลูกต่างก็เข้ามาขอบคุณพวกเจนกันยกใหญ่ ชาวเมืองที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เข้ามาหาพวกเธอราวกับเป็นคนดัง หน้าต่างแสงกระพริบที่หน้าของเจน พอเธอเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นมาดูก็พบว่าภารกิจที่แสดงอยู่ว่า 3/1000 ทำให้เจนรู้ว่าภารกิจที่เธอทำนั้นจะต้องช่วยเหลือชาวเมืองที่เป็นเอไอเช่นนี้นี่เอง



    "ถ้าหากหมอนั่นหนีรอดไปได้ล่ะก็คนในหมู่บ้านต้องเดือนร้อนแน่ ฉันว่าพวกเรารีบตามไปกันดีกว่า" เจนพูดหลังจากที่ทุกคนผละออกจากกลุ่มคนได้ โดยเฉพาะดาริอุสและลูกสาวทั้งสองยืนยันว่าจะตอบแทนให้ได้ถึงขนาดจะพาไปเลี้ยงข้าวที่บ้าน ดีที่หาข้ออ้างว่ามีธุระจึงรอดมาได้



    "ทิศที่หมอนั่นหนีไปเป็นสลัม มีตรอกซอกซอยเยอะมากเหมือนกับรังมด พวกเราเข้าไปมีโอกาสหลงกันได้ง่าย ๆ อีกอย่างป่านนี้หมอนั่นคงวางกับดักเอาไว้รอพวกเราแล้วล่ะ" รินบอก



    "ฉันสงสัยว่าทำไมหมอนั่นถึงได้กล้าลงมือแบบนี้ทั้ง ๆ ที่เมืองนี้มีกิลด์หกราชันย์ปกครองอยู่แท้ ๆ แถมยังเป็นคนในเมืองเหมือนกันด้วย สงสัยเอไอก็มีทั้งนิสัยดี นิสัยเลวไม่ต่างจากคนทั่วไปสินะเนี่ย" แจ็คเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย



    "ฉันคิดว่าต้องมีผู้เล่นคอยชักใยเรื่องนี้อยู่เบื้องหลังแน่ ถึงจะเป็นนักเลงแต่คงไม่กล้าทำอะไรถึงขนาดนี้หรอกถ้าหากไม่มีคนคอยให้ท้าย" โจบอกให้เห็นถึงความคิดของเขา



    "ฉันได้ยินหมอนั่นหลุดปากชื่อดีไนน์ออกมา อาจจะเป็นคนกุมอำนาจของกลุ่มหรือไม่ก็อาจจะเป็นเบาะแสให้ลองสืบต่อ" เจนว่า ถึงเธอจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นซักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องตามหาลาซาสและคนที่ชื่อดีไนน์ให้เจอให้ได้



    "แต่พวกเราคงไปไหนต่อไม่ได้ถ้าหากไม่รู้ว่าที่กบดานของพวกมันอยู่ไหน" รินเอ่ยแล้วจึงพยายามมองหาเบาะแสที่จะชี้ว่าทั้งสองคนที่พวกเธอกำลังตามหาอยู่ที่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย



    ทันใดนั้นเองร่างสองร่างก็ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า ทั้งสองร่อนตัวลงบนพื้นตรงหน้าเจนท่ามกลางความตื่นตะลึงของชาวเมืองและรินที่เบิกตากว้างเมื่อเห็นทั้งคู่



    "พี่เจน เมื่อกี้หนูรู้สึกได้ว่าพี่กำลังต่อสู้อยู่ พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ" คิทซึเนะพูดขึ้นและวิ่งเข้าไปหาเจนทันที



    "ฉันไม่เป็นอะไรหรอก....จริงสิ คิทซึเนะตามกลิ่นของคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันได้มั้ย" จิ้งจอกสาวได้ยินที่เจนพูดก็มองหน้าของเธอด้วยความสงสัยก่อนจะพยักหน้ารับ



    เจนแสยะยิ้มแล้วหันไปหาเพื่อนทั้งสาม ในตอนนี้เธอหาทางตามหารังที่ลาซาสกำลังอยู่ได้ คราวนี้แหละที่ผู้ล่าทั้งหกจะเข้าไปหาถึงรังมด ต่อให้มดมีจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม คราวนี้คงถูกกระทืบจนแบนติดดินแน่ ๆ



    จบตอนที่ 24 Be Your Self



    ------------------------





  18. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  19. #36
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 25 บุกรังหนู

    ตอนที่ 25 บุกรังหนู



    เขตย่านที่อยู่อาศัยของเมืองคริสตัลเบลแบ่งออกเป็นหลายส่วน ตั้งแต่ที่อยู่ของชนชั้นสูงและพวกที่มีรายได้ค่อนข้างมาก จนไปถึงสลัมที่รวมผู้คนที่เป็นชนชั้นแรงงานเอาไว้อย่างชัดเจน ทำให้เขตนี้กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งของเมืองหรือมีขนาดพอ ๆ กับเมืองซีโปเลยทีเดียว



    ในแต่ละส่วนต่างมีสังคมและแหล่งการค้าเป็นของตัวเองไม่ต่างจากส่วนธุรกิจที่รวบรวมสินค้าที่ผู้เล่นต้องใช้เอาไว้ เพียงแค่แหล่งการค้าของเขตที่อยู่อาศัยนี้จะเน้นขายของจำพวกปัจจัยสี่ ส่วนของพวกชุดเกราะหรืออาวุธนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่ระดับของอาวุธและราคาจะต่ำกว่าร้านที่อยู่ในเขตธุรกิจมากจนไม่เป็นที่นิยมของผู้คนทั่วไปเว้นแต่จะไม่มีเงินจริง ๆ แต่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จึงจะเข้ามาซื้อ



    สถานที่เริงรมย์อย่างบาร์เหล้าเองก็ไม่แตกต่างเช่นกัน ในเขตสลัมแห่งนี้มีร้านเหล้าอยู่หลายสิบร้านแต่ส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่ร้านเล็ก ๆ ที่เปิดแย่งลูกค้ากันเองในบริเวณใกล้ ๆ เท่านั้น



    มีเพียงแห่งเดียวที่เป็นบาร์ขนาดใหญ่และยังตั้งอยู่เดี่ยว ๆ ไม่ถูกแย่งลูกค้าอีกด้วย ความจริงแล้วไม่มีใครกล้าไปเปิดร้านใกล้ที่บาร์แห่งนั้นต่างหาก เพราะทุกคนต่างรู้ว่าบาร์แห่งนั้นมีเจ้าของที่เป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในสลัมแห่งนี้ หากมีใครขืนกล้าเฉียดเข้าไปแย่งลูกค้า วันต่อมาจะพบว่าร้านเหล้าแห่งนั้นจะถูกพังจนไม่เหลือซากอย่างไร้สาเหตุ แต่ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าเป็นเพราะ 'บาร์แฮงแมน'



    ชายหนุ่มในชุดผ้าสีขาวกำลังวิ่งขากระเผกตรงยังบาร์แห่งนั้นด้วยความเร่งรีบ ที่ขาขวาของเขามีลูกธนูปักอยู่จนเลือดสีแดงไหลออกมาจนกางเกงสีอ่อนกลายเป็นสีแดงเลือดดูน่ากลัว ใจของลาซาสเต้นรัวด้วยความกลัวตาย เหงื่อไหลโซมกายแต่เขารู้สึกหนาวไปทั้งตัวเป็นสิ่งที่ทำให้เขาพยายามวิ่งไปถึงจุดหมายแม้ว่าขาจะเจ็บเท่าไรก็ตาม เพราะทางรอดเดียวของเขาตอนนี้คือการวิ่งต่อไป



    เมื่อมาถึงหน้าประตูบาร์ที่มีชายร่างใหญ่ยืนเฝ้าอยู่ เขาเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นเลือดที่ขาของลาซาส แม้ใจอยากจะเอ่ยปากถามแต่เมื่อเห็นสายตาของบุรุษตรงหน้ามองมาเขาก็รีบเปิดประตูให้อย่างรวดเร็ว ลาซาสวิ่งขากะเผลกเข้าไปในบาร์โดยไม่เหลียวไปมองชายร่างใหญ่ที่เปิดประตูให้เลยแม้แต่น้อย



    ด้านในบาร์ตกแต่งเหมือนกับบาร์ทั่ว ๆ ไปแต่ฉากหลังของที่แห่งนี้เป็นฐานหลักของกลุ่มนักเลงที่คุมสลัมแห่งนี้อยู่ แถมยังเป็นสถานที่เก็บตัวของชาวบ้านที่โดนลักพาตัวมาอีกด้วย จึงไม่แปลกที่สถานที่แห่งนี้จะมีคนเฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา



    ในตอนนี้เป็นเวลาเย็นตะวันใกล้จะตกดิน ทำให้ภายในบาร์เริ่มจะมีคนเข้ามาดื่มอยู่ด้านในบ้างแล้ว แต่ส่วนมากก็เป็นคนของลาซาสเองที่มาดื่มที่นี่ แต่เมื่อเห็นหัวหน้าของตนวิ่งหน้าตื่นมา ทุกคนต่างวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว



    "ไอ้ดีไนน์มันไปหดหัวอยู่ที่ไหน! เรียกมันออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!" ลาซาสตะโกนเสียงดังแล้วลงไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับลูกน้องคนหนึ่งเอาขวดเหล้าและขวดยาเพิ่มพลังชีวิตพร้อมผ้าพันแผลมาให้



    ชายหนุ่มจับยกขวดสุราขึ้นดื่มอย่างรวดเร็วเพื่อดับความเจ็บปวด สายตามองอยู่ที่แผลและลูกธนูที่ขาของเขาซึ่งเริ่มรู้สึกเจ็บมากขึ้นทุกที ลูกน้องของเขาใช้มีดตัดขากางเกงเผยให้เห็นแผลฉกรรจ์ที่หากไม่ทำการรักษาอาจอันตรายถึงตายได้ เขาหันไปพยักหน้าให้กับลูกน้องที่นั่งอยู่ตรงหน้า เขาหยิบผ้ามากัดแน่นพร้อมกับกลั้นหายใจเตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น



    ความเจ็บปวดพุ่งเข้ามาที่สมองของลาซาสจนอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เขาส่งเสียงร้องออกมาอย่างทรมานพร้อมกับสูดลมหายใจเสียงดัง ลูกน้องของเขาเพิ่งดึงลูกธนูออกมาจากขาของเขา เลือดที่กำลังไหลอยู่ก็ไหลออกมาเหมือนกับเปิดก๊อกน้ำทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าต้องรีบเทน้ำยาสีแดงลงไปที่แผลก่อนที่เขาจะตายจากการเสียเลือด



    แผลที่สัมผัสกับน้ำยาเพิ่มพลังชั้นสูงก็เริ่มฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ลาซาสยกขวดขึ้นดื่มน้ำยาที่เหลือจนหมดตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นมากแล้วถึงแม้แผลจะยังไม่ปิดก็ตาม เขาปล่อยให้ลูกน้องใช้ผ้าพันแผลให้เสร็จขณะที่เขามองเห็นคนที่เขากำลังตามตัวอยู่กำลังเดินเข้ามาหา



    "ว่าไงลาซาส สภาพดูไม่ได้เลยนะ" เสียงดังมาจากด้านหน้าของลาซาส ชายร่างสูงคนหนึ่งยืนอยู่ เขาสวมชุดคลุมสีดำยาวทั้งตัว ดาบเล่มยาวพาดเอาไว้บนหลังท่าทางจะมีพลังทำลายไม่น้อย ข้างหลังของเขามีพรรคพวกอีกสามคนยืนอยู่ ทุกคนต่างแสดงอาวุธบ่งบอกถึงอาชีพของตนอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นธนู โล่กับขวาน และสุดท้ายคือคทาเวท ทุกคนต่างสวมชุดคลุมดำจนเรียกได้ว่าไม่ต้องถามถึงกิลด์ที่สังกัดเลย



    "ว่าแต่แกไปโดนอะไรมากันล่ะเนี่ย" ดีไนน์ถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเสแสร้งอย่างจัดเจน



    ลาซาสได้ยินดังนั้นถึงกับเลือดขึ้นหน้า เขาจะลุกขึ้นไปโวยใส่แต่ความเจ็บปวดที่ขาของเขายังคงเหลืออยู่ทำให้ต้องกลับลงไปนั่งทีเดิมอีก ทำได้เพียงแค่หันไปมองอย่างแค้นใจ



    "ไหนเจ้าบอกว่าพวกนักผจญภัยแตะต้องพวกข้าไม่ได้ ดูที่ข้านี่! ดูว่าข้าโดนอะไรมา!" ลาซาสตะโกนเสียงดังแล้วโยนลูกธนูใส่ แต่ดีไนน์สามารถยกมือขึ้นรับได้อย่างสบาย ๆ



    เมื่อยกลูกศรขึ้นมาดูก็พบว่านั่นเป็นแค่ลูกธนูธรรมดา ราคาถูกที่หาซื้อได้ตามร้านขายอาวุธทั่วไป ถึงลักษณะของอาวุธจะบอกอะไรไม่ได้มากเกี่ยวกับตัวเจ้าของ แต่ดีไนน์ก็ฟันธงไปแล้วว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่เขาต้องกังวล



    "แกมันเป็นคนโชคร้ายเอง ลาซาส เล่นขนคนไปเยอะขนานนั้นคงทำให้เกิดอีเวนท์อะไรเข้าแน่ บางทีถ้าแกพากันไปไม่กี่คนตามที่ฉันบอก เรื่องแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้" ดีไนน์บอกคณะใบหน้าของเขายิ้มกริ่ม



    ในตอนแรกเขาก็ตกใจอยู่เหมือนกันที่มีผู้เล่นทำร้ายเอไอได้โดยไม่มีความผิด แต่เขาก็คิดได้ทันทีว่านี่อาจจะเป็นข้อมูลที่มีค่ามหาศาล หากเขานำไปแจ้งให้พวกระดับสูงของกิลด์ล่ะก็ เขาจะต้องได้เลื่อนขั้นอย่างแน่นอน แต่พอคิดไปคิดหา หรือว่าเขาจะเอาข้อมูลไปขายเอาเงินดี ไม่ว่าทางไหน เส้นทางของเขาก็มีแต่กลีบกุหลาบทั้งนั้น



    "เรื่องนั้นช่างมันก่อน พวกนั้นกำลังตามข้ามา เจ้ากับคนของเจ้ารอดักจัดการพวกมันซะ พวกมันเองก็มีอยู่สี่คนแต่อาจจะพาพวกชาวบ้านมาด้วยก็ได้ ระวังให้ดี" ลาซาสบอกแล้วกวักมือเรียกให้พยุงตนเองก่อนที่จะเดินไปด้านหลัง



    ไม่มีเสียงตอบจากดีไนน์ เขายืนอยู่ที่เดิมจนกระทั่งลาซาสเดินหายลับไปแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาที่ลาซาสนั่งอยู่เมื่อครู่ คนในกลุ่มของเขาคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหู



    "เอายังไงดีหัวหน้า พวกผู้เล่นที่กำลังมาอาจจะเป็นพวกกิลด์หกราชันย์ก็ได้นะ"



    ดีไนน์แค่หัวเราะเบา ๆ ในลำคอก่อนจะหันไปพูดกับลูกน้องคนนั้น



    "ไม่ต้องกลัวไปหรอก ดูจากลูกธนูที่ใช้ก็รู้แล้วว่าเพิ่งออกมาจากเกาะเริ่มต้นได้ไม่นาน แถมคนไร้ฝีมืออย่างลาซาสยังหนีมาได้แบบนี้คงมีระดับไม่ได้สูงมาก ขนาดมันเองก็น่าจะมีระดับไม่มากไปกว่าหกสิบหรือเจ็ดสิบเลย พวกเราเลเวลเก้าสิบกันทุกคนแล้วนะโว้ย จะไปกลัวอะไร"



    "โอ้โห ดูแค่อาวุธก็บอกได้ถึงขนาดนี้ สมกับที่เป็นหัวหน้าจริง ๆ" ลูกน้องอีกคนหนึ่งพูด ดีไนน์ยิ้มกว้างแล้วยกขวดเหล้าของลาซาสที่วางอยู่ขึ้นดื่ม



    "ให้พวกมันมา! งานนี้ฉันจะปิดประตูตีแมวให้ดิ้น!"





    "อยู่ในรูลึกแบบนี้หาตัวยากอย่างกับหนูจริง ๆ ถ้าหากไม่ได้จมูกของคิทซึเนะช่วยคงอีกนานแน่กว่าจะหาเจอ" เสียงของรินดังขึ้น ตอนนี้เธอและพวกเจนอยู่นอกหน้าต่างในตรอกด้านนอกบาร์ ในเวลายามโพล้เพล้อาทิตย์จะใกล้ตก การที่คนหกคนรวมกลุ่มกันอยู่เช่นนี้ดูไม่น่าแปลกเท่าไหร่ พวกเธอจึงไม่ได้เป็นจุดสนใจของคนทั่วไปนัก



    คิทซึเนะที่ได้ยินคำชมก็ยิ้มเผยฟันขาว หางของเธอส่ายไปมาบอกให้รู้ว่าดีใจกับคำชมแค่ไหน ครั้งนี้เธอดูกระตือรือร้นที่จะสู้มากเลยทีเดียว ในตอนแรกที่คิทซึเนะหาแหล่งกบดานของลาซาสพบก็เกือบจะใช้เพลิงจิ้งจอกเผาอาคารทั้งหลังไปแล้วหากจนไม่ห้ามเอาไว้ก่อน ซึ่งมั่นใจแน่นอนเลยว่าคงไม่ได้มีแค่บาร์แฮงแมนอย่างเดียวแน่ที่จะโดนเผา



    "แต่นี่มันเหมือนกับในหนังเลยนะ พวกเราตามโจรมาที่กบดานอยู่ในบาร์ ไอ้เจ้าพวกนี้ทำตามแบบฉบับสมกับเป็นตัวร้ายจริง ๆ" แจ็คพูด



    "ขมวดคิ้วจนจะพันกันแบบนั้นมีอะไรงั้นหรือ เจน" โจถามเมื่อเห็นเพื่อนสาวเพ่งมองเข้าไปด้านในบาร์จนแทบจะเอาหน้าไปแนบกับหน้าต่าง เมื่อมองตามไปเขาก็เห็นเพียงแค่ชายสี่คนจากกิลด์พิฆาตราชาที่อยู่ในชุดคลุมสีดำกำลังคุยกันอยู่



    "ฉันว่าฉันเคยเห็นไอ้พวกนี้ที่ไหนน้า...โดยเฉพาะคนที่สะพานดาบยาวคนนั้น ฉันรู้สึกคุ้นตามากเลย แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก" เจนบอก เธอพยายามคิดทบทวนความจำแต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็เห็นแค่ภาพลาง ๆ จนสุดท้ายเจนก็เลิกสนใจเพราะคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องสำคัญ



    "พวกเราตามมาเจอพวกนี้แล้วพวกเราจะเอายังไงต่อ" แจ็คถามแล้วหันไปมองเจน



    "ฉันว่าพวกนี้คงต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือพวกเราอยู่ ขืนเข้าไปโต้ง ๆ แบบนี้คงได้แลกหมัดกันวุ่นวายแน่" เจนพูดแล้วหันไปหารินที่อยู่ข้าง ๆ



    "ไอ้เจ้าพวกนี้ฉันว่าไม่น่าจะเกินฝีมือพวกเราหรอก ฉันว่าพวกเรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะรับมือพวกนักเลงที่อยู่ด้านในยังไง" รินพูดแล้วหันไปหาคิทซึเนะ



    "หนูได้กลิ่นของมนุษย์อยู่หลายคนข้างใน แต่พี่เจนบอกว่าห้ามทำอันตรายพวกนั้นถึงตายแบบนี้จะลำบากนะ สู้ทำให้พวกนั้นสลบไปเลยไม่ดีกว่าหรือคะ" จิ้งจอกสาวว่าแล้วหันกลับไปหาโจที่ในตอนนี้ทุกคนต่างมองไปที่เขาเป็นสายตาเดียว



    "ถ้าหากพวกนั้นคิดจะใช้บ้านของตัวเองเป็นกับดักแล้วล่ะก็ พวกเราก็มาทำให้แน่ใจว่าเจ้าพวกนั้นคิดผิดแล้วว่าบ้านของมันปลอดภัย ให้มันรู้กันไปว่าใครมันจะแน่ไปกว่ากัน" โจเอ่ยพร้อมกับแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์จากนั้นก็ก้มลงไปมองฟีบีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ



    "หนูหิวแล้วอ่ะ เมื่อไหร่จะถึงเวลากินข้าวหรอ"







    พระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ตอนนี้พวกเจนเตรียมพร้อมที่จะบุกเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ตามแผนที่โจวางเอาไว้ เจนและรินจะบุกเข้าไปด้านหน้าตรง ๆ ซึ่งเท่ากับว่าทั้งสองจะต้องเจอเข้ากับกับดักถ้าหากว่ามี



    ตอนแรกโจคิดจะเป็นคนที่เข้าไปประตูหน้าพร้อมกับเจนแต่รินยืนยันว่าตัวเธอเองนั้นมีระดับสูงกว่าทุกคนแต่ไม่ได้บอกว่าเท่าไหร่ พอเจนลองใช้ทักษะตรวจสอบดูกลับบอกว่าไม่สามารถตรวจสอบได้ พอลองถามนักธนูสาวดูก็จึงได้รู้ว่าเธอเองก็มีไอเท็มปกปิดสถานะเช่นเดียวกับที่แจ็คให้กับเจนเอาไว้ แต่เป็นอะไรนั้นเธอไม่ได้พูดออกมา



    เมื่อเห็นว่ารินยืนยันที่จะบุกทางประตูหน้าโจจึงไม่ได้คัดค้าน แม้ทุกคนเพิ่งจะรู้จักกันได้มาแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็สามารถเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้พวกเจนปกติจะเป็นพวกที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายอยู่แล้วถ้าไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝงมาก่อน เหมือนกับที่เจนสนิทกับพวกเสือซ่อนลายภายในเวลาอันรวดเร็ว ทว่ากับรินนั้นมันต่างออกไป



    เพียงแค่แรกสบตากัน เจนรู้สึกได้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างที่ตัวเธอมีเหมือนกับริน และสิ่งนั้นทำให้เจนรู้สึกได้ทันทีว่าสามารถเชื่อในตัวของหญิงสาวคนนี้ได้



    ทั้งสองคนยืนรอเวลาที่โจได้บอกเอาไว้ ในอีกไม่กี่นาทีทุกคนจะเข้าประจำตำแหน่งและเริ่มดำเนินแผนการทันที หน้าต่างแสงเด้งขึ้นมาที่หน้าของเจนและรินเพื่อเตือนว่าถึงเวลาที่ได้ตั้งเอาไว้แล้ว ทั้งสองพยักหน้าให้กันก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปที่บาร์แฮงแมนทันที







    ชายร่างใหญ่มองเห็นร่างของหญิงสาวผมสั้นกับชายหนุ่มร่างเล็กคล้ายกับผู้หญิงกำลังเดินตรงเข้ามาหา เขาเป็นคนยืนเฝ้าประตูมาหลายปี จำหน้าทุก ๆ คนที่ผ่านประตูนี้ไปได้หมดและรู้กฎว่าคนที่จะผ่านเข้าไปด้านในต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้าของเขาหรือลาซาสซะก่อน



    จากเครื่องแต่งกายแล้วเขารู้ทันทีว่าทั้งสองคนเป็นนักผจญภัย และมีนักผจญภัยแค่สี่คนเท่านั้นที่ลาซาสอนุญาตให้ผ่านเข้าไปได้ซึ่งทุกคนต่างก็อยู่ข้างในเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ทั้งสองคนอาจจะเป็นกำลังเสริมที่นักผจญภัยด้านในเรียกเข้ามา แต่เขาก็ไม่มีวันที่จะปล่อยให้เข้าไปโดยไม่มีคำอนุญาตจากหัวหน้าของเขาอย่างเด็ดขาด ถึงแม้มันอาจจะทำให้เขาถูกตำหนิก็ตาม



    "ไง พี่ชายตัวโต ขอให้พวกเราผ่านทางเข้าไปด้านในหน่อยได้มั้ย" ชายหนุ่มถาม เสียงของเขาเล็กซะจนคล้ายกับผู้หญิงแต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่คนเฝ้าประตูอย่างเขาจะต้องไปสนใจ



    "ไม่มีคำอนุญาตจากท่านลาซาส ไม่ว่าใครก็ผ่านตรงนี้ไปไม่ได้" ชายร่างใหญ่พูดเสียงดังพร้อมกับเดินหน้าเขามาขว้างประตูเอาไว้ แต่หนุ่มสาวทั้งสองคนยังคงเดินหน้าเข้ามาเหมือนกับไม่ได้ยินที่เขาพูด



    "บอกแล้วไงว่าพวกเจ้าผ่านเข้าไปไม่ดะ-"



    โครม!!



    ร่างยักษ์ของชายตรงหน้าลอยกระเด็นเข้าไปชนกับประตูบานใหญ่เข้าอย่างแรงจนพังจากพลังหมัดของเจน ร่างของเธอเปล่งประกายแสงสว่างออกมาก่อนจะค่อย ๆดับไประหว่างที่ทั้งสองคนกำลังก้าวผ่านร่างใหญ่ของคนเฝ้าประตูที่สลบเหมือดอยู่บนพื้น



    "โห หมัดแรงน่าดูเลยนี่นา ว่าแต่ท่าทางดูทะมัดทะแมงเหมือนกับว่าเคยมีประสบการณ์เลยนะ" รินถามน้ำเสียงแสดงความตื่นเต้นเล็กน้อย



    "ตอนอยู่นอกเกมฉันเคยโดนหาเรื่องบ่อย ๆ ทำให้พอรู้รับมือเรื่องพวกนี้ได้น่ะ แล้วไอ้เมื่อกี้ถ้าฉันไม่ได้ใช้ทักษะเสริมพลังก็คงทำไม่ได้หรอก ตัวใหญ่ขนาดนี้" เจนกล่าวอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก



    เมื่อทั้งคู่เดินเขามาด้านในอาคารก็ถูกล้อมแทบจะในทันที นักเลงหลายสิบคนต่างดาหน้าเข้ามาด้วยอาวุธครบมือ บนชั้นลอยมีปืนและธนูอย่างละสองคนเล็งมาที่เจนและริน แต่ทว่าทั้งคู่กลับยืนเฉย ไม่แสดงออกใด ๆ ทั้งสิ้น สายตาของเจนจ้องมองไปยังชายทั้งสี่ในชุดคลุมสีดำตรงหน้าตาไม่ขยับ



    "มาถึงกันจนได้นะ ปล่อยให้รอจนจะเป็นง่อยแล้วนะเนี่ย" ชายผู้สะพายดาบยาวที่กลางหลังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความเบื่อหน่าย ทั้งสีหน้าและท่าทางทำให้เจนมั่นใจว่าชายคนนี้ต้องเป็นดีไนน์อย่างแน่นอน



    "พวกแกเองสินะที่เป็นคนเล่นงานเจ้าลาซาสซะขาเดี๋ยงแบบนั้น แต่ว่าหมอนั่นก็มีระดับเท่ากับผู้เล่นเลเวลห้าสิบเท่านั้นเอง จะแพ้ให้พวกแกมันก็ไม่แปลกเท่าไหร่" ดีไนน์เอ่ยพลางค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามาหาพวกเจน



    รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของหมอนี่ทำให้เจนรู้สึกไม่ชอบใจเอาซะเลย แต่ทั้งเสียงและท่าทางกลับทำให้เจนรู้สึกคุ้นหูคุ้นตายิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็ยังทำให้เจนนึกออกไม่ได้ว่าเคยเจอดีไนน์ที่ไหนมาก่อน



    "ยอมแพ้ซะแล้วออกไปจากเมืองนี้ด้วย ไม่ว่าพวกกิลด์พิฆาตราชาอย่างแกวางแผนอะไรเอาไว้ก็ตาม ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัวก็ล้มเลิกแผนนั้นลงซะ" เจนพูดเสียงนิ่ง สิ่งหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้จากการต่อยตีก็คือ หากจะเป็นฝ่ายมีชัย จะต้องเป็นคนที่กุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ในมือให้ได้!



    สิ่งที่เจนทำลงไปแม้จะดูห่ามไปบ้าง แต่นั่นจะสร้างความสงสัยให้แก่ฝ่ายตรงข้ามไม่น้อย ไม่ว่าพวกดีไนน์จะมีกับดักหรือทีเด็ดอะไรซ่อนอยู่อีกหรือไม่ เขาจะระวังตัวมากขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเห็นท่าทีของเธอที่เข้ามาด้วยจำนวนคนที่น้อยกวาแล้วยังพูดได้อย่างไร้ความลังเลเช่นนี้ แล้วไม่ว่าเขาจะวางแผนอะไรอยู่ ทุกอย่างก็จะถูกชะลอลงจากเหตุการณ์นี้



    ท่าทางของดีไนน์ยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นหายไปแล้ว แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เจนทำลงไปนั้นได้ผล พวกนักเลงคนอื่น ๆ เองก็มองเลิ่กลั่กกันไปมาไม่กล้าเข้าไปโจมตี ชายในชุดคลุมอีกสามคนด้านหลังเองก็เอียงหัวปรึกษากันว่าจะทำยังไงกันต่อไปดี



    "แล้วถ้าหากยังไม่ยอมล่ะก็ พวกเราคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะไปบอกให้กิลด์เจ้าถิ่นที่นี่รู้ว่าพวกแกกำลังวางแผนอะไรกันอยู่ตรงนี้ พวกแกคงไม่อยากให้กิลด์หกราชันย์มาไล่กระทืบแกที่นี่ใช่มั้ยล่ะ" รินพูดด้วยน้ำเสียงสูง ส่อเป็นนัยว่าพวกเธอนั้นเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าเพราะต่อให้พวกดีไนน์ฆ่าพวกเจนได้ ก็ไม่สามารถตามไปจัดการพวกเจนที่จุดเกิดได้ นั่นก็เพราะที่เมืองคริสตัลเบลแห่งนี้มีการวางยามรักษาความปลอดภัยที่จุดเกิดของเมืองเอาไว้อย่างดี เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาดักฆ่าผู้เล่นตอนเกิดในเมืองแห่งนี้



    เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวเท่านั้นสีหน้าของดีไนน์ก็เปลี่ยนไปทันที แววตาของเขาจ้องเขม็งมาที่พวกเจนอย่างมุ่งร้าย ดาบที่อยู่กลางหลังถูกชักออกมาและชี้ไปที่รินที่ยังคงตีหน้ายิ้มกวนโมโหโดยไม่ทะทกสะท้านกับท่าทีของดีไนน์เลยแม้แต่น้อย



    "พูดจาระวังปากหน่อย ถ้าแค่ทำให้พวกแกนอนหมอบอยู่ที่นี่แล้วค่อยลอบพาออกจากเมืองมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับกิลด์พิฆาตราชาหรอกนะ แต่กับแค่คนสองคน ฉันคนนี้เพียงคนเดียวก็จัดการอยู่แล้ว"



    แววตาของดีไนน์กลับมาฉายแววประกายเจ้าเล่ห์อีกครั้ง คราวนี้เขาหันไปสั่งให้พวกนักเลงเข้ามาจัดการพวกเธอแทน ถึงตอนนี้พวกเจนจะสามารถจู่โจมพวกนักเลงที่เป็นเอไอได้ แต่พวกเธอไม่สามารถฆ่าคนพวกนี้ได้และทำให้ต้องละความสนใจที่ตอนนี้เพ่งไปที่พวกดีไนน์เพื่อต่อสู้ และนั่นจะเป็นการเปิดโอกาสที่จะให้ดีไนน์ลงมือจัดการกับเธอ ทว่านั่นก็เป็นสิ่งที่อยู่ในแผนของโจมาตั้งแต่แรกแล้ว



    ปัง!!



    เสียงปืนดังลั่นอย่างไม่รู้ที่มา แต่เจนและรินยังคงยืนหยัดอย่างมั่นใจขณะที่กระสุนพุ่งเข้ามาจากด้านหลังของทั้งสองเข้าใส่ขาของนักเลงคนหนึ่งลงไปนอนบนพื้นพร้อมกับพวกนักเลงต่างวิ่งหนีกันอย่างอลหม่าน



    รอยยิ้มของดีไนน์หายไป แทนที่สีหน้าตื่นตะลึงเมื่อรู้ว่าผู้ที่มาเยือนไม่ได้มีเพียงแค่สอง



    ปัง!!



    เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด คราวนี้มันไม่ได้มีเป้าหมายไปที่นักเลงคนไหนเพราะพวกนักทุกคนต่างพากันวิ่งอุตลุดไม่สนใจพวกเจนอีกต่อไป แต่เป้าหมายของกระสุนคราวนี้คือหัวของผู้สะพายดาบยาวไว้ที่กลางหลัง!



    แก้ง!



    เจนกำหมัดแน่นอย่างน่าเสียดายเพราะกระสุนที่แจ็คยิงมานั้นยิงถูกโล่ขนาดใหญ่จากชายร่างยักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังที่ยกเข้ามากันเอาไว้อย่างทันท่วงที และเธอก็มั่นใจว่าพรรคพวกของเธอที่กำลังแอบซุ่มอยู่ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวยืนอยู่เฉย ๆ เพราะชายชุดดำตรงหน้าทั้งสี่คนเตรียมพร้อมที่จะเข้าต่อสู้แล้ว



    "แกไปตามล่าไอ้มือปืนนั่น รีบฆ่ามันให้ได้ก่อนที่มันจะมีโอกาสยิงปืนนัดต่อไปอีก!" ดีไนน์หันไปสั่งชายชุดดำที่ใช้ธนูเป็นอาวุธ เขาพยักหน้ารับก่อนที่จะวิ่งกระโดดพุ่งทะลุหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว



    เมื่อเห็นว่าหนึ่งในเป้าหมายหนีหลุดรอดไปได้ เจนก็รีบติดต่อไปยังเพื่อนของเธอผ่านช่องสื่อสารกลุ่มทันที



    "แจ็ค! กำลังมีคนเข้าไปหานายแล้ว ท่าทางฝีมือจะไม่เบาเลย"



    "รับทราบแล้ว จากนี้ต่อไปคงจะช่วยยิงสนับสนุนไม่ได้แล้ว ระวังตัวด้วยนะ" เสียงของแจ็คตอบกลับมา



    "ฝากบอกคิทซึเนะให้เพลา ๆ มือหน่อยล่ะ อย่าให้เธอพลั้งมือเผาเมืองซะนะ" เจนว่า ในตอนนี้เธอเก็บฟีบีเข้าไปไว้ในดาบก่อนเพราะมังกรน้อยยังไม่มีประสบการณ์การต่อสู้แบบจริง ๆ จัง ๆ อย่างคิทซึเนะ ถ้าหากออกมาตอนนี้อาจจะบาดเจ็บได้



    ส่วนคิทซึเนะนั้นก็เข้าไปประจำที่อยู่กับแจ็คเพื่อคุ้มกันหากมีคนลอบทำร้ายเขาระหว่างที่กำลังซุ่มยิงอยู่ ดังนั้นเมื่อชายนักธนูในชุดดำได้ออกไปหาตัวมือปืนซุ่มยิงจึงไม่ค่อยทำให้เจนกังวลมากนัก เพราะยังไงก็สองรุมหนึ่ง แจ็คและคิทซึเนะคงเอาชนะได้ไม่ยาก



    ทันใดนั้นเองบอลไฟลูกใหญ่ก็พุ่งตรงเข้ามาหาเจนโดยที่เธอยังไม่ทันตั้งตัว รินทำท่าจะควักธนูออกมายิงสกัดแต่เธอก็ยั้งมือเอาไว้ก่อนแล้วใช้นิ้วขึ้นมาอุดที่หูทั้งสองข้างเมื่อเหลือบไปเห็นว่าใครกำลังยืนอยู่ด้านนอกหน้าต่าง



    ธันเดอร์บลาส!!



    ตูม!!!



    เสียงตะโกนของโจดังขึ้นแทบจะพร้อมกับเสียงระเบิดรุนแรงจนทำให้ลูกเพลิงที่กำลังพุ่งเช้าใส่เจนกระจายหายไปแทบจะทันที เจนรีบก้มตัวหลบเศษไม้ที่ปลิวว่อนไปทั่วอย่างกับกระสุนปืน เช่นเดียวกับพวกดีไนน์ที่เข้าไปหลบอยู่หลังโล่ของชายร่างใหญ่ได้ทันเวลา มีเพียงรินเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่เฉย ๆ เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเธอเองก็ยังไม่ถูกลูกหลงจากพลังเวทของโจอย่างน่าพิศวง



    "ไอ้โจ! ทำอะไรอย่าให้มันโอเวอร์เสียงดังแบบนี้จะได้มั้ยหา! ขืนอยู่กับนายไปนาน ๆ มีหวังแก้วหูได้แตกหมดพอดี" หญิงสาวในคราบชายหนุ่มตะโกนบ่นเสียงดัง หูของเธอลั่นเอี๊ยดได้ยินเพียงแค่เสียงวิ้ง ๆ เหมือนมีแมลงบินอยู่ในหัว



    ชายหนุ่มผู้ที่ถูกกล่าวถึงค่อย ๆ ลอยเข้ามาจากรูระเบิดทำเอาไว้อย่างช้า ๆ ผ้าคลุมสีดำสะบัดไปตามลมอย่างพลิ้วไหวซึ่งโจพยายามลอยตัวอยู่อีกพักใหญ่ถ้าหากเจนไม่บอกให้เขารีบลงมาล่ะก็คงจะลอยอยู่แบบนั้นอีกพักใหญ่แน่เพราะเขาคิดว่ามันเท่ห์



    "แหม ตั้งแต่ฉันเปลี่ยนอาชีพมายังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ซักที ไหน ๆ ก็จะสู้กันแล้วก็ขอลุยให้เต็มพิกัดหน่อยเถอะ" โจพูดพร้อมกับร่อนตัวลงพื้น



    "แต่ถ้าพลังของนายมันทำให้เมืองพังไปครึ่งหนึ่งแล้วจะคุ้มกันมั้ยหะ" เจนโต้หลังจากที่สะบัดหัวให้หายมึนแล้ว



    โจยักไหล่ตอบแล้วจึงหันไปหาพวกดีไนน์ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยความระมัดระวังเมื่อเห็นพลังเวทที่ไม่ธรรมดาของคนที่เพิ่งมาใหม่ ในตอนนี้พวกเขานั้นเริ่มหวาดหวั่นเพราะนักเวทของพวกเขาเองก็มีพลังที่เทียบกับระเบิดเมื่อครู่นี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงอีกสองคนที่เขามองว่าเป็นพวกไร้ฝีมือในตอนแรก บางทีอาจจะมีฝีมือยิ่งกว่าด้วยซ้ำไป



    "ย..แย่แล้วหัวหน้า ผมนึกออกแล้ว ไอ้หมอนั่นมันที่อยู่ในประกาศตามล่าตัวของกิลด์เรานี่! ชายผมยาวในชุดสีขาวกับดาบคาตะนะสีดำ ผู้เล่นหน้าใหม่ที่จัดการยัยอีกานั่นไง!" นักเวทในชุดคลุมโพล่งออกมาเสียงดัง



    ดีไนน์ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว คนที่มีฝีมือเอาชนะนักฆ่าระดับตำนานของกิลด์ได้นั้นไม่ใช่คนที่เขาควรจะตอแยด้วยเลย



    "เอาล่ะ สามต่อสามพอดี แบ่งจัดการทีละคนดีมั้ย" รินเดินเข้ามาสมทบแล้วพูดขึ้น เธอมองชายหนุ่มทั้งสามอย่างชั่งใจราวกับกำลังเลือกซื้อของอยู่ยังไงอย่างนั้น



    "ฉันขอเจ้านักเวทละกัน อยากจะลองดูว่าเวลาสู้กับนักเวทคนอื่นฉันจะสู้ได้ซักแค่ไหน" ไม่พูดพร่ำทำเพลงโจก็ปล่อยสายฟ้าพุ่งเข้าใส่ร่างของนักเวทในชุดคลุมกระเด็นไปอีกห้อง แล้วเขาก็พุ่งตามไปทันที



    "ส่วนฉันจัดการเจ้านักดาบนั่นเอง ฉันมีเรื่องที่อยากจะถามหมอนั่นซักหน่อย" เจนบอก จากนั้นเธอก็พุ่งเข้าหาดีไนน์แล้วฟาดดาบใส่



    ชายหนุ่มกัดฟันกรอดแล้วชักดาบออกมากันอย่างรวดเร็ว เสียงดาบปะทะกันดังลั่นแสบหู มือของเขารู้สึกชาแทบจะถือดาบต่อไปไม่ได้แสดงให้เห็นว่าพลังของดาบที่ฟาดมานั้นรุนแรงมาก



    ดีไนน์รีบดันดาบของเจนกลับไปอย่างยากลำบากแล้ววิ่งหนีไปทันที แต่แน่นอนว่าเจนไม่มีทางที่จะปล่อยให้เขารอดไปจากเงื้อมมือของเธอได้



    รินยืนมองดูเจนวิ่งตามดีไนน์ไปจนลับตาแล้วหันกลับมามองชายร่างใหญ่ที่ยังคงถือโล่ยักษ์และชี้ขวานมาที่เธอเหมือนกับว่าพร้อมที่จะต่อสู้



    แม้ว่าเขาจะมีร่างกายที่ใหญ่โตเป็นอาวุธและแทบไม่เคยพ่ายให้แก่ใคร แต่พอมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวคนนี้กลับทำให้เลือดในตัวของเขาเย็นเฉียบราวกับกำลังเป็นเหยื่อที่ถูกจ้องจากสัตว์นักล่า ทั้ง ๆ ที่เธอยืนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ตั้งท่าป้องกันอะไรเลยแม้แต่น้อย ทว่าเขากลับรู้สึกได้เลยว่าหากเข้าไปโจมตีในตอนนี้ล่ะก็ เขาเองจะเป็นฝ่ายที่ถูกจัดการซะเอง



    "สุดท้ายก็เหลือแต่นายสินะ เอาเป็นว่าฉันจะพูดก่อนตรงนี้ก็แล้วกัน ถ้านายยอมตอบคำถามฉันแล้วถอนตัวออกจากกิลด์พิฆาตราชาไปอย่างโดยดีล่ะก็ ฉันจะปล่อยนายไปอย่างไร้รอยขีดข่วน...." หญิงสาวกล่าวพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่มที่ไม่กล้าแม้แต่จะเดินถอยหลัง ที่น่าแปลกก็คือตอนนี้เธอกำลังทิ้งธนูที่เป็นอาวุธของเธอลงกับพื้น



    "แต่ถ้าไม่ล่ะก็...ฉันก็ขอรับรองเลยว่าสิ่งที่แกจะเจอต่อจากนี้มันจะค่อนข้างช้าและเจ็บปวดทีเดียวล่ะ"





    แจ็คยกปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นที่เสริมกล้องเล็งระยะไกลขึ้นจากพื้นและชันเข่าเตรียมพร้อมกับศัตรูที่กำลังตรงเข้ามาหาเขา ถึงกระสุนของปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นจะไม่มีวันหมดแต่ก็ยิงไม่รุนแรงเท่ากับปืนไรเฟิ่ลทั่วไป เขาจึงตัดสินใจเก็บปืนไรเฟิ่ลลงแล้วควักปืนพกทั้งสองกระบอกที่เหน็บอยู่ในซองข้างตัวขึ้นมา



    "นี่คิทซึเนะ เจนฝากมาบอกให้สั่งลุยได้ ลงมือได้เต็มที่ไปเลยแต่อย่าพลาดไปเผาเมืองเข้าล่ะ" เขาตัดสินใจที่จะพูดโกหกนิดหน่อยเพราดูจากท่าทางของคิทซึเนะแว่บเดียวก็รู้ว่าอยากจะสู้ขนาดไหน ในลักษณะนี้ต่อให้บอกออมมือก็คงไม่ฟังแล้ว เขาจึงตัดสินใจให้จิ้งจอกสาวลงมือได้เต็มที่ไปเลยดีกว่า เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง...และเขาด้วย



    คิทซึเนะพยักหน้าขึ้นลงอย่างแข็งขัน เธอกำหมัดแน่นอย่างตื่นเต้น ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ต่อสู้อย่างจริง ๆ จัง ๆ ถึงแม้เจนจะไม่ได้อยู่ดูเธอแต่นี่คือการต่อสู้ที่จะวัดฝีมือของตัวเองและเรียกความมั่นใจให้กลับมาเพื่อที่คิทซึเนะจะสามารถอยู่เคียงข้างกับเจนได้



    หลังจากที่เธอเป็นผ่านมาเธอเป็นฝ่ายที่ถูกปกป้องมาตลอดตั้งแต่ที่พบกันครั้งแรก ถึงแม้มาเอะ..แม่ของเธอ จะไม่ได้ขอให้เจนพาเธอมา คิทซึเนะก็จะหนีตามมาอยู่ดี เธอติดตามเจนมาเพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้จากเจ้าหมาป่าขนแดง ทว่าหลังจากที่เธอมาถึงเกาะเริ่มต้น หลายต่อหลายครั้งเธอกลับไม่สามารถทำตามความต้องการได้ ซ้ำยังพลาดท่าจนทำให้เจนเป็นฝ่ายที่ถูกช่วยซะเองจนรู้สึกน้อยใจตัวเองที่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะอยู่เคียงข้างเจนได้



    มาครั้งนี้คิทซึเนะมีพลังสูงขึ้นมากกว่าแต่ก่อนจนเทียบไม่ติด แต่เธอก็ไม่ประมาท เตรียมเร่งพลังเต็มที่โดยไม่สนใจคำเตือนที่แจ็คพูดทิ้งท้ายเอาไว้เลย



    ทันใดนั้นเองกลิ่นหนึ่งลอยมาตามลมเข้าจมูกของจิ้งจอกสาว มันเป็นกลิ่นที่คุ้นจมูกของเธอมากเพราะมันเป็นกลิ่นของเผ่าพันธุ์สุนัขเช่นเดียวกัน แต่เธอบอกได้ว่านี่คือศัตรูเพราะมันคือกลิ่นของหมาป่าขนแดง!



    "ศัตรูค่ะพี่แจ็ค กำลังตรงมาจากทางด้านหลังของเราสองตัว" คิทซึเนะลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วเอ่ยเสียงดัง ทำให้แจ็คเหลียวหลังกลับไปดูแต่ไม่พบอะไร



    "ตัวงั้นหรือ?" ชายหนุ่มถามเพราะเขาแน่ใจว่าที่เจนบอกว่ากำลังมาหาเป็นคนแน่นอน หรือบางทีอาจจะเป็นอาชีพที่สามารถแปลงเป็นสัตว์ได้



    "ค่ะ เป็นหมาป่าขนแดงกำลังวิ่งตรงมาหาพวกเราเดี๋ยวหนูจัดกะ..- ระวัง!!" จิ้งจอกสาวตะโกนร้องเสียงดังลั่นเมื่อหันไปหาแจ็ค แต่เธอกลับไปเห็นชายในชุดดำโผล่มาจากไหนไม่รู้กำลังเล็งธนูที่มีลูกศรคมกริบไปที่พี่ชายของเธอ



    แจ็คได้ยินเสียงร้องของคิทซึเนะก็รู้ทันทีว่าตนกำลังถูกลอบโจมตี เขาใช้ทักษะอะดรีนาลีน บูธพยายามเคลื่อนตัวหลบแต่ทักษะนี้ทำได้เพียงแค่มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ช้าลงเท่านั้น ไม่ได้เพิ่มความเร็วของตัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว แจ็คต้องการเพียงแค่หลบให้ลูกธนูไม่โดนจุดสำคัญเท่านั้น เขาเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมที่จะรับความเจ็บปวดโทษฐานที่ประมาทเกินไปเอาไว้แล้ว



    ลูกศรหลุดจากแล่งและพุ่งเข้าหาตัวของเขาอย่างช้า ๆ แจ็คมองเห็นลูกธนูเคลื่อนตัวเข้าหาเขาทุก ๆ ช็อตแต่ทำได้เพียงเอี้ยวตัวหลบจากกลางอกเป็นแขนขวาเท่านั้น ทันทีที่ลูกศรพุ่งเข้าเนื้อ ความรู้สึกเจ็บปวดก็พุ่งเข้ามาแทบจะในทันที แต่แทนที่ความรู้สึกนี้จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว มันกลับดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้าเพราะทักษะอะดรีนาลีน บูธที่ยังคงส่งผลอยู่ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ตาย แจ็คคิดปลอบใจตัวเอง



    ในที่สุดทักษะก็หมดเวลาลง แจ็คพุ่งถอยหลังตามแรงธนูของชายในชุดคลุมแต่เขาก็ไม่ยอมโดนยิงเฉย ๆ แน่ ทักษะลางสังหรณ์มือปืนถูกใช้งานอีกครั้ง มือข้างซ้ายที่ถือปืนพกอยู่เคลื่อนเล็งไปที่ชายในชุดดำโดยอัตโนมัติแล้วลั่นไกจนหมดแมกกาซีนทันทีโดยไม่สนใจว่าจะโดนหรือไม่



    โชคร้ายที่กระสุนของแจ็คพลาดเป้าไปทั้งหมดเพราะเมื่อชายในชุดดำปล่อยลูกศรออกไป เขาก็กลิ้งตัวหลบฉากออกไปอย่างทันท่วงทีแล้วหายตัวไปอีกครั้งโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้แต่นิดเดียว



    แจ็คเก็บแมกกาซีนเก่าแล้วรีบหยิบแมกกาซีนอันใหม่ขึ้นมาเติมเพราะตอนนี้เขาเหลือแขนอยู่เพียงข้างเดียวที่ใช้การได้ และไม่สามารถใช้ปืนโลกันต์ได้อีกด้วยเพราะแขนซ้ายของเขาไม่มีแรงมากพอที่จะถือปืนที่มีแรงสะท้อนมหาศาลได้ จึงเหลือปืนพกเพียงกระบอกเดียวที่เขาใช้ได้ แต่เป็นยากที่เขาจะจัดการกับศัตรูที่มีทักษะการพรางตัวเช่นนี้



    ทางคิทซึเนะเองก็ตกใจกับการปรากฏตัวของชายชุดดำเช่นเดียวกัน เธอได้กลิ่นของหมาป่าขนแดงสองจุดที่กำลังเข้ามาเรื่อย ๆ ได้อย่างแม่นยำแต่กลิ่นของผู้ชายคนนั้นเธอกลับไม่ได้กลิ่นเลยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งเขามาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าของแจ็คก็ยังไม่ได้กลิ่นเหมือนกับว่าเขาไม่อยู่ที่ตรงนั้น แสดงว่าเขามีทักษะพรางตัวอยู่ในระดับที่สูงมากจนจิ้งจอกสาวจับไม่ได้



    ตอนนี้คิทซึเนะไม่สนใจเรื่องที่ว่าทำไมเธอถึงจับกลิ่นของชายชุดดำไม่ได้ แต่กลับไปพยายามหาว่าตอนนี้ชายคนนั้นไปอยู่ที่ไหนมากกว่า เพราะถ้าหากหมาป่าขนแดงทั้งสองตัวมาถึงที่นี่ล่ะก็คงเกิดเรื่องยุ่งแน่ ๆ



    "คิทซึเนะ เธอรีบไปจัดการกับหมาป่าสองตัวนั้นซะ เดี๋ยวฉันจะลุยกับเจ้าหมาลอบกัดนี่เอง" แจ็คบอก คิทซึเนะรีบหันกลับไปมองพี่ชายร่างใหญ่ของเธอทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น



    "แต่ว่าพี่บาดเจ็บอยู่นะ! จะให้หนูทิ้งพี่ไปตอนนี้..-"



    ปัง! แกร้ง!



    เสียงปืนดังโดยที่จิ้งจอกสาวไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นเสียงจากปืนพกของแจ็คยิงใส่ธนูของชายชุดดำที่หลบหายไปอีกครั้ง แจ็ครู้ว่าชายคนนี้กำลังหาจังหวะที่พวกเขาเผลอเพื่อที่จะยิงสังหาร เพราะถ้าสู้กันตรง ๆ พวกแจ็คเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยอย่างแน่นอน แจ็คยกปืนขึ้นเตรียมพร้อมยิงอีกครั้งแล้วหันไปพูดกับคิทซึเนะด้วยความมั่นใจ



    "รีบไปเถอะน่า หมอนี่ฉันแค่ใช้แขนข้างเดียวก็จัดการมันได้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง" แจ็คส่งยิ้มให้เพื่อให้คิทซึเนะรู้สึกอุ่นใจ



    เมื่อเห็นรอยยิ้มของแจ็คและสิ่งที่เขาทำได้เมื่อครู่ก็ทำให้รู้ว่าถึงอยู่ไปตอนนี้ก็รังจะเป็นตัวถ่วงซะเปล่า ๆ ดังนั้นคิทซึเนะจึงตัดสินใจทำตามที่พี่ชายมือปืนของเธอบอกแล้วพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสูง



    แจ็คมองดูร่างสีขาวพุ่งตัวจากไป ทิ้งให้เขาต้องรับมือกับชายชุดดำเพียงคนเดียว ถึงแม้เขาจะพูดไปเหมือนกับว่าจะสู้ได้ แต่ในสภาพที่บาดเจ็บอยู่เช่นนี้มันแทบไม่มีโอกาสเลยที่จะเอาชนะ



    "แกไม่น่าไล่ยัยนั่นไปเลย ไอ้มือปืน ถ้าหากอยู่ด้วยก็มีเพื่อนตายด้วยแท้ ๆ" เสียงเย็นของชายชุดดำดังขึ้นด้านหลังของแจ็ค เขารีบหันหลังไปและยกปืนขึ้นยิงสวนลูกธนูที่พุ่งเข้ามา กระสุนและลูกศรปะทะกันกลางอากาศก่อนที่จะร่วงลงพื้น



    แจ็คมองเห็นใบหน้าแสยะยิ้มของชายชุดดำอย่างชัดเจน ถึงอยากจะยิงใส่เท่าไหร่แต่เดี๋ยวก็คงหลบได้อยู่ดี ในตอนนี้อาวุธในมือของเขานั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย



    "เดี๋ยวพอยัยหนูนั่นจัดการหมาป่าทั้งสองตัวของแกเดี๋ยวก็กลับมาช่วยฉันกระทืบแกเองนั่นแหละ" แจ็คตอบ ปืนยังคงเล็งไปที่ชายชุดดำ ในหัวพยายามคิดหาทางออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้



    แทนที่ชายชุดดำจะพูดโต้หรือเงียบไม่ตอบ เขากลับหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างน่าสงสัยจนทำแจ็คอดไม่ได้ที่จะต้องถามออกไป



    "นั่นแกหัวเราะหาอะไรวะ!"



    ชายหนุ่มยืนมองชายในชุดดำพยายามที่จะทำให้ตัวเองหยุดหัวเราะอย่างช้า ๆ และหันกลับมาจ้องหน้าด้วยสายตาเหยียดหยามและรอยยิ้ม*****มที่ทำเอาแจ็คถึงกับรู้สึกหนาวอย่างที่ไม่เคยพบมานาน



    "ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกแกไปรู้เรื่องหมาป่าของฉันมาจากไหน แต่ถ้าหากแกคิดว่าหมาป่าของอาชีพนายพรานจะเป็นแค่หมาป่าขนแดงธรรมดา ๆ แล้วล่ะก็ ยัยหนูนั่นคงตายไปแล้วล่ะ ไอ้โง่เอ้ย! ฮ่าฮ่าฮ่า!" เสียงหัวเราะของชายในชุดดำดังขึ้นอีกครั้ง คำพูดของเขาเกือบจะทำให้แจ็ครู้สึกเป็นห่วงคิทซึเนะขึ้นมา...แค่เกือบน่ะนะ







    จิ้งจอกสาวพุ่งตัวตรงไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูงไปยังทิศทางที่เธอได้กลิ่นของหมาป่าแดงทั้งสองตัว ด้วยความเร็วระดับนี้และพวกหมาป่าเองก็กำลังตรงเข้ามาหาเธอเช่นกัน คงอีกไม่ไกลแล้วที่เธอจะได้แสดงฝีมือ



    ในใจของคิทซึเนะเองก็นึกเป็นห่วงแจ็คอยู่ไม่น้อย ความรู้สึกผิดที่ทำให้แจ็คได้รับบาดเจ็บกำลังรบกวนจิตใจของเธอ ถ้าหากเธอจับกลิ่นของชายในชุดดำได้คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นด้วยซ้ำ จิ้งจอกสาวได้แต่โทษความอ่อนหัดของตนเองโดยที่ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะทักษะของอาชีพนายพรานที่ชายในชุดดำมีอยู่ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อพวกมอนสเตอร์ทำให้คิทซึเนะไม่สามารถจับกลิ่นได้ แต่นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของนักล่าสังหารผู้ที่ไม่เคยพลาดเหยื่อของตนที่ผู้เล่นและเหล่าโจรที่มีค่าหัวต่างหวาดกลัว



    ทันใดนั้นเองคิทซึเนะก็หยุดลงบนหลังคาของบ้านหลังหนึ่ง กลิ่นของหมาป่าขนแดงที่กำลังมาคู่กันตอนนี้แยกออกเป็นสองทางแถมยังเร่งความเร็วขึ้นอีก แสดงว่าว่าหมาป่าขนแดงต้องได้กลิ่นเธอแล้วแต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เพราะตอนนี้เธออยู่เหนือลม กลิ่นของพวกหมาป่าขนแดงลอยเข้ามาหาเธอเต็มที่ทำให้คิทซึเนะรู้ตำแหน่งคร่าว ๆ ของหมาป่าขอแดงทั้งสองตัวได้เป็นอย่างดี แต่ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นและยังรู้ตำแหน่งของเธอทั้ง ๆ ที่อยู่เหนือลมเช่นนี้แปลว่าเธอกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



    ดวงตาสีเหลืองกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระแวงระไว พลางมองหาจุดที่จะมองให้เห็นศัตรูได้อย่างถนัดตา บนหลังคาบ้านที่เธออยู่ในตอนนี้ก็สามารถมองเห็นได้แต่เป็นพื้นที่เปิดโล่งมากเกินไป สามารถถูกโจมตีจากทางใดก็ได้ทำให้ยากต่อการป้องกัน จิ้งจอกสาวเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจและเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีที่จะมาได้ทุกเมื่อ



    ทว่าเธอคิดช้าเกินไป กลิ่นที่คุ้นจมูกกลับมาอีกครั้ง ร่างที่มีขนสีแดงดูคุ้นตาปรากฏขึ้นมาด้านหน้าของเธอแต่มันกลับมีรูปร่างแตกต่างไป หัวที่เป็นหัวของหมาป่าขนแดงยังอยู่คงเดิม แต่ร่างของมันเป็นมนุษย์คล้ายกับเสือสมิงที่เธอเคยเจอตอนที่อยู่บนเกาะเริ่มต้น มือขนาดใหญ่พร้อมด้วยเล็บสีดำยาวกำลังพุ่งเข้าตะปบร่างบางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง



    จะขยับตัวหลบตอนนี้ก็ช้าเกินไปและถูกโจมตีจากทั้งสองด้านเช่นนี้ก็ไม่มีทางป้องกันได้แน่ ในหัวของจิ้งจอกสาวตอนนี้มีเพียงอยู่ความคิดเดียวที่ดูจะเข้าท่า โจมตีสวนกลับ!



    มือไวเท่าความคิด ก่อนที่กรงเล็บจะมาถึงตัวของคิทซึเนะ ร่างของเธอก็เปล่งแสงสีฟ้าสว่างจ้าก่อนที่แรงระเบิดจะดันให้หมาป่าขนแดงรูปร่างมนุษย์ทั้งสองตัวกระเด็นไปคนละทิศละทาง

    คิทซึเนะเงยหน้ามองพื้นที่รอบ ๆ ที่เสียหายจากระเบิดเพลิงจิ้งจอกที่เธอใช้ได้โดยบังเอิญ นอกจากตอนนี้จะควบคุมได้หลากหลายพิศดาลมากขึ้นแล้ว พลังทำลายยังสูงมากขึ้นตามอีกด้วย แต่ถ้าเจนมาเห็นภาพบริเวณรอบ ๆ ในตอนนี้คงจะช็อกจนทำอะไรไม่ถูกแน่เพราะบ้านในพื้นที่รอบ ๆ กำลังลุกเป็นไฟ!



    ก่อนที่เพลิงจะลุกลามไปมากกว่านี้ จิ้งจอกสาวก็บังคับให้เปลวเพลิงดับลงอย่างง่ายดาย ที่ทำลงไปเพราะไม่ได้นึกถึงคำพูดของแจ็คแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเธอรู้ว่าหมาป่าทั้งสองตัวนั้นยังไม่ตาย



    เพียงแค่ไฟดับลงเพียงครู่เดียว ร่างของมหาป่าขนแดงทั้งสองตัวก็กระโดดขึ้นมาบนหลังคาอีกครั้ง ถึงตัวมันจะส่งกลิ่นเหม็นไหม้และควันลอยอุตุก็ตาม แต่ก็ไร้ซึ่งบาดแผลฉกรรจ์ใด ๆ ขนาดเพลิงธรรมดายังทำให้เสือสมิงดิ้นพล่านถึงตายได้ แต่เพลิงที่เพิ่มระดับขึ้นมาขนาดนี้กลับทำให้เกิดบาดแผลบนร่างกายของมนุษย์หมาป่าขนแดงสองตัวนี้ไม่ได้เลย



    แต่นั่นก็ไม่ทำให้คิทซึเนะกังวลเลยแม้แต่น้อย จิ้งจอกสาวยิ้มที่มุมปากแล้วเสกลูกไฟขึ้นมาแปดลูกเตรียมพร้อมสู้เต็มอัตราศึก ถึงจะยังไม่รูว่าเพลิงจิ้งจอกของเธอจะทำอะไรใหม่ ๆ ได้บ้างหรือเจ้าหมาป่าขนแดงนี่กลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่คิทซึเนะก็มั่นใจว่าเธอจะต้องชนะอย่างแน่นอน



    "เข้ามาเลย คราวนี้ล่ะฉันจะแก้แค้นกับที่พรรคพวกของแกทำกับฉันเอาไว้ให้สาสม!" คิทซึเนะพูดแล้วจึงเริ่มจูโจมทันที



    ลูกไฟสีฟ้าสองลูกพุ่งเข้าใส่หมาป่าทั้งสองด้วยความเร็วสูง แต่ยังช้ากว้าความเร็วของเจ้าหมาป่าที่หลบได้ทันควัน ทว่าแทนที่ลูกเพลิงจะกระทบลงสู่พื้นกลับบินวนกลับเข้ามาโจมตีมนุษย์หมาป่าขนแดงจากด้านหลัง

    ตูม!



    เอ๋ง! เอ๋ง!



    เสียงร้องโหยหวนของสุนัขทั้งสองดังไปทั่วบริเวณ แต่การโจมตีของคิทซึเนะยังไม่หมดแค่นั้น ลูกไฟที่เหลือต่างก็วิ่งเข้าใส่หมาป่าทั้งสองอย่างต่อเนื่องจนเกิดบาดแผลไฟไหม้ทั่วตัวของพวกหมาป่า เมื่อลูกบอกทั้งแปดลูกหมดลงการโจมตีก็ไม่มีต่อ แต่พอมนุษย์หมาป่าเงยหน้าขึ้นมาดูก็พบกับลูกเพลิงสีฟ้าจำนวนมหาศาลและลูกใหญ่กว่าเมื่อก่อนหน้านี้ซะอีกกำลังรอโจมตีระรอกต่อไป



    รอยยิ้มเผยให้เขี้ยวเล็ก ๆ บนใบหน้าหวานแฝงความซุกซนอยู่บนใบหน้าของจิ้งจอกสาว หมาป่าทั้งสองจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างรู้ถึงโชคชะตาของตัวเองในอนาคตได้ในทันที แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็จะไม่แพ้โดยที่ยังไม่สู้ถึงอย่างที่สุดแน่ และนั้นหมายความว่ามันพร้อมที่สู้แบบไม่สนใจชีวิตของตัวเองแล้ว



    ว่ากันว่าเวลาหมาจนตรอกนั้นอันตรายที่สุด และนี่เป็นบทเรียนที่คิทซึเนะยังไม่เคยได้สัมผัส สภาพของพวกหมาป่าทั้งสองในตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรเธอได้อีกแล้วในสายตาของจิ้งจอกสาว แต่เธอกำลังจะเรียนรู้ความผิดพลาดของเธอที่ประมาทเกินไป



    ในตอนที่คิทซึเนะกำลังชื่นชมกับชัยชนะของตนอยู่นั้นเอง มนุษย์หมาป่าทั้งสองก็พุ่งเข้าใส่ร่างของเธอด้วยระดับความเร็วที่มันไม่คิดจะยั้งเอาไว้อีกต่อไป ไม่มีแบบแผน ไม่มีการล้อมกรอบ เป็นการบุกเข้าปะทะตรง ๆ แบบเลือดแลกเลือด



    คิทซึเนะที่ไม่ทันระวังตัวก็ถูกกรงเล็บยาวข่วนที่ต้นแขนและใบหน้า เมื่อรู้ว่าตัวเองประมาทก็สายเกินไปแล้วเพราะการโจมตีระรอกต่อไปของมนุษย์หมาป่าขนแดงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง



    จิ้งจอกสาวรีบยกแขนขึ้นกันทันที เธอเร่งพลังเพลิงขึ้นมาป้องกันแบบเมื่อตอนทีระเบิดพลังออกไปครั้งแรกแต่กลับรวบรวมพลังขึ้นมาได้น้อยมาก ยิ่งรีบก็ยิ่งทำให้เธอลนลาน การหายใจเริ่มผิดจังหวะ ในหัวของเธอขาวโพลนไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดีในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงคำ ๆ เดียวที่ผุดขึ้นมาในหัว 'ไม่อยากตาย'



    ถึงแม้พลังที่คิทซึเนะรวบรวมมาได้จะไม่มาก แต่ก็พอจะป้องกันการโจมตีส่วนมากจากกรงเล็บของมนุษย์หมาป่าขนแดงได้ เมื่อพวกมันเห็นดังนั้นจึงเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีเป็นใช้เขี้ยวขนาดใหญ่ที่เป็นอาวธที่ทรงพลังที่สุดของพวกมันเตรียมที่จะขย้ำเหยื่อตรงหน้า



    กรามที่มีเขี้ยวสีขาวขนาดพอ ๆ กับมือของคิทซึเนะกำลังเข้ามาเตรียมที่จะปลิดชีวิตของเธอ ดวงตาสีเหลืองทองเบิกกว้างด้วยความตกใจ น้ำตาไหลออกมาเพราะความกลัวที่กำลังเข้าจับที่ขั้วหัวใจ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอพบกับคมเขี้ยวเช่นนี้ ครั้งแรกคือที่ป่าผลิใบซึ่งก็รอดมาได้เพราะได้เจนช่วยเหลือเอาไว้ แต่ในครั้งนี้แม้แต่เจนก็ไม่อาจจะช่วยเธอได้



    "ไม่นะ!!" เสียงหวานตะโกนดังลั่น ทันใดนั้นเองก็เหมือนกับว่าเกิดปาฏิหาริย์ ร่างของจิ้งจอกสาวเรืองแสงสีฟ้าขึ้นมาอีกครั้งและครั้งนี้สว่างยิ่งกว่าครั้งก่อนจนเทียบไม่ติด



    ตูม!!



    เสียงระเบิดดังราวกับฟ้าลั่น แต่รัศมีของแรกระเบิดกลับไม่ไกลไปกว่าบริเวณรอบตัวของคิทซึเนะเลย ร่างของมนุษย์หมาป่าทั้งสองถูกแรงระเบิดอัดกระเด็นไปอย่างรุนแรงจนหมาป่าขนแดงตัวหนึ่งถึงกับระเบิดเป็นชิ้น ๆ



    คิทซึเนะนั่งทรุดลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง พลังที่เธอใช้นั้นเป็นพลังที่เธอเองก็เพิ่งรู้ตัวว่ามีอยู่แต่ไม่สามารถควบคุมมันได้ ทั้งสองครั้งที่ใช้ออกมาเป็นเพราะตกใจสุดขีด มันคือพลังที่สืบทอดผ่านทางสายเลือดของนางพญาจิ้งจอกเก้าหาง มาเอะ ผู้เป็นมารดา และจะไม่มีจิ้งจอกตนใดจะมีพลังเทียบเท่าคิทซึเนะได้ซึ่งถ้าหากเธอต้องการจะใช้พลังนี้ก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนควบคุม



    พลังที่ระเบิดออกมาเมื่อครู่ยังคงหลับใหลอยู่ในร่าง ดังนั้นการที่เธอใช้พลังออกมาได้นั้นถือว่าโชคดีสุด ๆ เพราะพลังที่แฝงอยู่ในร่างเช่นนี้มักจะไม่บังเอิญใช้ออกมาได้ติดต่อกันเช่นนี้



    ร่างบางค่อย ๆ พาตัวเองเข้าไปหามนุษย์หมาป่าขนแดงที่กำลังกลับสภาพกลายเป็นร่างเดิมของมัน ลมหายใจรวยรินพ่นออกมาจากปากและจมูกอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่ามันยังคงมีชีวิตอยู่แต่ริบหรี่เต็มทีแล้ว ดวงตาของมันปิดลงดูแล้วคงหมดสติไปเพราะอาการบาดเจ็บจากพลังระเบิดของคิทซึเนะ



    นัยน์ตาสีเหลืองก้มลงมองร่างขนฟูสีแดงด้วยความสังเวชปนชื่นชม เธอเห็นบาดแผลบนร่างของหมาป่าขนแดงที่ไม่ได้เกิดจากการต่อสู้เมื่อครู่ แต่เป็นบาดแผลจากการฝึกฝนและประสบการณ์ทำให้มันเก่งถึงเพียงนี้ มิหน้ำซ้ำยังถูกทำให้กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าถึงแม้คิทซึเนะจะไม่รู้ว่าทำได้ยังไง แต่นั่นไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างแน่นอน สิ่งต่าง ๆ ที่หล่อหลอมทำให้หมาป่าตัวนี้กลายเป็นนักรบที่ทรนง ไม่ยอมแพ้



    การต่อสู้ครั้งนี้ถึงแม้ว่าคิทซึเนะจะเป็นฝ่ายที่ยืนอยู่เหนือร่างที่โชกเลือดของศัตรู เธอกลับไม่รู้สึกเลยว่าเป็นผู้ชนะแม้แต่น้อย เธออยากจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากหมาป่าขนแดงตัวนี้ด้วยซ้ำไป



    จิ้งจอกสาวก้มลงไปหาร่างของหมาป่าขนแดงแล้วทาบมือเอาไว้บนปากแผล ไฟสีน้ำเงินอ่อน ๆ ลุกโชนที่มือบางของเธอ แต่แทนที่ไฟนั่นจะลุกไหม้ร่างของหมาป่าขนแดง มันกลับค่อย ๆ รักษาบาดแผลของหมาป่าขนแดงจนหายเป็นปลิดทิ้งหลังจากรักษาเสร็จเรียบร้อยแล้วจิ้งจอกสาวก็ลุกขึ้นยืนและใช้เพลิงจิ้งจอกที่เพิ่งใช้รักษาตัวเองบ้าง



    "ไม่รู้ว่าแกจะได้ยินฉันหรือเปล่านะ แต่ฉันอยากจะเจอแกอีกในสภาพที่พร้อมมากกว่านี้ พวกเราจะได้สู้กันอย่างเท่าเทียบให้มันชัดกันไปเลย..." คิทซึเนะกล่าวเหนือร่างของหมาป่าแดงที่ลมหายใจกลับมาเป็นปกติแล้ว ในไม่ช้ามันคงจะสามารถลุกขึ้นมาได้ ร่างบางทำท่าจะเดินกลับไปสมทบกับแจ็คแต่เธอเหลียวหลังกลับมาพูดคำ ๆ หนึ่งก่อนที่จะจากไป



    "การต่อสู้หนนี้ แกเป็นฝ่ายชนะ"







    แจ็คยังจดจ้องไปยังชายในชุดดำตาไม่ขยับ เขามั่นใจว่าถึงแม้หมาป่าสองตัวที่คิทซึเนะกำลังตรงไปหาคงทำอะไรเธอไม่ได้แน่ สิ่งที่เขาต้องกังวลมากกว่าคือชายตรงหน้าในตอนนี้เพราะถ้าหากเขาหาทางโจมตีให้โดนไม่ได้ล่ะก็ เขานี่แหละที่จะเป็นศพก่อนใครเพื่อน



    "เป็นอะไรไป ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือไง" ชายชุดดำถามขึ้นเมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากแจ็ค ปกติแล้วเขาขู่คนอื่นไปแบบนี้มันก็ควรจะต้องมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง แต่กับชายร่างใหญ่ผู้นี้กลับนิ่งเงียบ



    เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากชายชุดดำ แจ็คก็เลิกคิ้วขึ้นมาเหมือนกับกำลังตกใจ..หรืออาจจะเป็นเพราะเหม่อจนไม่ได้ฟังที่นายพรานตรงหน้าพูด



    "หือ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ พอดีไม่ทันได้ฟัง" แจ็คตอบด้วยน้ำเสียงซื่อซะจนน่าหงุดหงิดสำหรับชายชุดดำจนอยากจะง้างลูกศรใส่



    "นี่แกหาเรื่องข้าหรือไงวะ! ขอบอกไว้ก่อนนะโว้ย ถึงข้าจะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนหัวหน้าดีไนน์ แต่สถิติการฆ่าอยู่สูงที่สุดในกลุ่มนะโว้ย!" ชายชุดดำตะโกนใส่ แต่ถึงอย่างนั้นแจ็คก็ยังคงไม่เปลี่ยนท่าทางหรือมีสีหน้าตื่นกลัวเลยแม้แต่น้อยจนชายชุดดำได้แต่กัดฟันกรอดอย่างเจ็บแค้นเพราะนึกว่าชายหนุ่มกำลังล้อเลียนตนอยู่



    "บอกหน่อยได้มั้ยว่าที่แกพูดเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่ เรื่องหมาป่านั่นน่ะ" แจ็คถาม ทางชายชุดดำที่เห็นแจ็คตอบโต้มาบ้างแล้วจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาแล้วเผลอตอบคำถามไปทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ



    "ก็หมาป่าของข้าถูกร่ายเวทให้กลายเป็นมนุษย์หมาป่าไงล่ะ ทั้งพลังและความเร็วเพิ่มขึ้นสูงแถมยังสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจนแทบจะเป็นอมตะ ข้าถึงบอกไงล่ะว่ายัยเด็กนั่นไม่รอดแน่ ๆ แถมคนที่เหลือทั้งนักเวทของพวกข้าก็เป็นมีเวทระดับสูงแล้วยังเป็นคนร่ายเวทให้หมาป่าของข้าเองอีกด้วย แถมพวกแกก็ไม่มีใครที่จะโจมตีทะลุโล่ของบีเกิ้ลได้แน่ และคนสุดท้ายก็คือหัวหน้าดีไนน์ที่ทั้งหน้าตาดี ฉลาดและแข็งแกร่งที่สุด ต่อให้ไอ้คนที่ชื่อว่าเจนก็ทำอะไรลูกพี่ข้าไม่ได้แน่" ชายในชุดดำสาธยายคนในกลุ่มของตนพร้อมอย่างเสร็จสรรพแบบที่แทบไม่ต้องถามต่อเลย



    "มีอีกคำถามหนึ่ง นี่แกมีชื่อว่าอะไรงั้นหรือ"



    ชายในชุดดำชะงักครู่หนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง



    "ข้ามีชื่อว่าเอซี ถามทำไมวะ" ชายในชุดดำตอบอย่างง่ายดาย เขานึกว่าแจ็ครู้ว่าตัวเองกำลังจะแพ้จึงคิดจะเจรจา เขาจะยอมเล่นด้วยก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วไอ้ตัวโตนี่ก็ต้องตายด้วยธนูของเขาอย่างแน่นอน!



    ทว่าใบหน้าของแจ็คกลับไม่ใช่สีหน้าของคนที่กำลังจะยอมแพ้ เขายิ้มที่มุมปากก่อนจะตอบคำ



    "ฉันจะได้รู้ไงล่ะว่าฉันเพิ่งจัดการใครไป!" พูดจบแจ็คก็ใช้มือข้างขวาที่บาดเจ็บโยนอะไรบางอย่างออกด้านหน้าแล้วรีบกระโดดหลบไปข้าง ๆ



    ชายในชุดดำหรือเอซีเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะไม่นึกว่าชายตรงหน้าจะมาไม้นี้ เขารีบยกแขนขึ้นกันเต็มที่เพราะว่าสิ่งที่แจ็คโยนมาคือระเบิด เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ล่ะก็ เขาคงบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว



    ปุ! ฟู่~~



    เสียงระเบิดเล็ก ๆ ดังขึ้นด้านหน้าแล้วต่อด้วยเสียงเหมือนลมรั่วออกจากยางรถ เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตรงหน้าของเขาไม่ใช่ระเบิดอย่างที่เขาคิด แต่เป็นระเบิดควันต่างหาก!



    "สู้ไม่ได้เลยจะหนีหรือไงวะไอ้ขี้ขลาด! คิดว่าแค่ควันขี้ประติ๋วแค่นี้จะหลบสายตาจากข้าได้หรือไง!" เอซีตะโกนเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราดเพราะถูกลูบคมเข้าให้อย่างแรง สายตาดุดันกวาดมองไปทั่วแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา มีแต่ควันสีขาวที่ลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ



    ไม่มีคำว่าหลบซ่อนอีกต่อไป เอซีก้าวเดินไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะมองหาอริผู้ที่เขาคิดว่ายังคงหลบอยู่แถวนี้และกำลังรอคอยที่จะหาทางจัดการเขาให้ได้ แต่ไม่มีทาง เพราะเขานี่แหละที่จะเป็นคนเห็นมันก่อนและจัดการสั่งสอนให้รู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร



    ทันใดนั้นเอซีก็เหลือบไปเห็นบางอย่างอยู่บนพื้นใกล้ ๆ เมื่อเข้าไปดูก็พบว่าเป็นลูกธนูเปื้อนเลือดที่เขายิงใส่แจ็คก่อนหน้านี้ แต่เจ้าคนที่เขายิงใส่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา



    "หน่อยแกไอ้ลูกหมา หายหัวไปไหนแล้ววะ" เอซีพูดกับตัวเอง ไม่ได้หวังจะให้มีใครตอบคำของเขา แต่เมื่อมีเสียงดังตอบจากด้านหลังก็ทำให้เขาต้องเหลียวหลังไปมองด้วยความตกใจ



    "อยู่นี่ไง"



    พลั้ก!!



    พูดจบ หมัดหนาก็ชกเข้าไปที่หน้าของเอซีเต็ม ๆ ร่างของชายชุดดำกระเด็นล้มกลิ้งไปบนพื้นก่อนจะนอนนิ่งไม่ได้สติ แจ็คค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาพร้อมกับยกยาเพิ่มพลังชีวิตขึ้นดื่มและราดที่แผลโดนธนูยิงจนหายสนิท



    "ดีนะที่ก่อนหน้านี้ไปหาซื้อระเบิดตามที่ลุงไวแอทแนะนำเอาไว้ แต่เอามาใช้กับคนอย่างแกนี่มันไม่ค่อยคุ้มเลย รู้มั้ยว่ามันราคาลูกละพันโกลด์เลยนะเว้ย" ชายหนุ่มกล่าว ดูท่าทางเขาจะติดนิสัยจากเจนเข้าแล้ว



    ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากร่างที่นอนนิ่งอยู่ เห็นดังนั้นแล้วแจ็คจึงหยิบปืนขึ้นมาและลั่นไกใส่ร่างของเอซีจนกลายเป็นแสงหายไปแล้วก็มีหน้าต่างแสงเด้งขึ้นมาบอกเขาว่าเงินค่าหัวที่เขาได้จากการจัดการจับเอซีนั้นต่ำกว่ากำหนดที่ภารกิจต้องการ



    "เงินรางวัลที่ได้จากหมอนี่แค่สองหมื่นเองงั้นหรือเนี่ย ว้า คิดว่าจะมีค่าหัวมากกว่านี้ซะอีก แต่อย่างน้อยก็ไม่ขาดทุนล่ะวะ" แจ็คพูดกับตัวเองพลางนึกไปถึงคิทซึเนะที่ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง แต่ที่สำคัญกว่าคือพวกโจที่อยู่อีกด้านของสลัม







    ตูม!!



    เสียงระเบิดของการปะทะจากเวทมนต์ดังสนั่น แรงกระแทกดันให้สิ่งของที่อยู่ใกล้ ๆ แตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ในบริเวณใกล้เคียง



    โจและนักเวทในชุดดำอยู่ในส่วนรับรองแขกระดับสูงที่เป็นเหมือนเลาจ์กว้าง เก้าอี้ยาวตั้งอยู่ใจกลางห้องเหมือนกับห้องประชุมนั้นถูกพลังเวทของทั้งสองทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี โดยที่ผู้ร่ายมนต์ต่างยังคงไร้ซึ่งบาดแผล



    ในตอนแรกโจคิดว่าการต่อสู้นี้คงจะใช้เวลาไม่นานนัก แต่พอพบว่าเวทสายฟ้าที่เขายิงใส่นักเวทในชุดดำในตอนแรกนั้นกลับไม่มีผลเลยแม้แต่นิดเดียว เขาคิดว่าคงเป็นเพราะเครื่องป้องกันอะไรบางอยางที่นักเวทตรงหน้าใส่อยู่อย่างแน่นอน



    แต่เมื่อเริ่มสู้กันอีกครั้งโจก็พบว่าการต่อสู้ด้วยเวทมนต์นั้นมีเพียงแค่พลังเวทที่สูงกว่าก็ไม่ได้แปลว่าจะชนะเสมอไป ภายในห้องถึงจะกว้างใหญ่โออ่าเหมาะที่จะใช้สู้กัน แต่เวทสายฟ้านั้นเหมาะแก่การต่อสู้ในพื้นที่เปิดกว้างกว่านี้ ในตรงกันข้าม ห้องนี้กลับช่วยให้เวทลูกไฟของนักเวทในชุดดำสำแดงเดชออกมาได้อย่างเต็มที่จนทำให้โจตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ



    'ทำอะไรมันไม่เลย ห้องเล็กแบบนี้จะใช้เวทอะไรก็ไม่ค่อยถนัด มีเวทอะไรพอที่จะใช้ได้บ้างหว่า' โจคิดในและแล้วเปิดหน้าต่างทักษะออกมาดูพร้อมกับระวังท่าทีของนักเวทในชุดดำด้วย



    ไม่ทันจะได้เลือกดูทักษะ นักเวทในชุดดำก็ปล่อยบอลเพลิงมาอีกลูกเข้าใส่โจ ทำให้เขาต้องรีบปิดหน้าต่างลงแล้วยิงสายฟ้าสวนกลับไป



    ตูม!!



    เสียงระเบิดของบอลเพลิงปะทะเข้ากับสายฟ้าดังขึ้นอีกครั้ง โจหันหน้าหลบเศษไม้และฝุ่นที่กระเด็นมาตามแรง กลุ่มควันยังคงคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณเป็นโอกาสที่เขาจะคิดหาทางเอาชนะนักเวทชุดดำคนนี้ให้ได้



    เวทมนตร์ทุกบทที่โจมีนั้นเป็นเวทสายฟ้า ทำให้รูปแบบการโจมตีนั้นค่อนข้างที่จะจำกัด และยิ่งต้องมาสู้ในอาคารเช่นนี้ทำให้การโจมตีจากเหนือหัวที่เป็นหนึ่งในจุดเด่นของเวทสายนี้ต้องบอดไป



    ความจริงแล้วโจจะใช้เวทระดับสูงระเบิดนักเวทนั่นไปเลยก็ได้ แต่ว่าเขาคงจะต้องระเบิดที่แห่งนี้ไปพร้อม ๆ กันด้วยแน่ และเขาก็ต้องการที่จะฝึกฝีมือการใช้เวทให้ชำนาญ เพราะหากเขาต้องไปสู้กับนักเวทที่มีเวทระดับสูงแบบเดียวกันล่ะก็ คงจะใช้พลังเวทมากกว่าเข้าสู้คงไม่ได้ ถ้าหากเขาไม่มีหลักการใช้เวทของตัวเองล่ะก็ต่อไปคงลำบากแน่



    จากเวทมนตร์ทั้งหมดที่โจเคยใช้ มีเพียงแค่เวทสายฟ้าไร้ลักษณ์ที่พอจะใช้ได้ในที่แคบ ๆ เช่นนี้ แต่ถ้าให้เทียบกับบอลเพลิงนั้นแรงระเบิดที่เกิดขึ้นในห้องปิดอย่างนี้จะรุนแรงกว่าเดิมมาก ถึงกับมีความรุนแรงระดับเดียวกันกับเวทธันเดอร์บลาสทีเดียว



    ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางกลุ่มควันที่ยังคงลอยฟุ้ง ลูกไฟขนาดเล็กเท่าลูกปิงปองนับสิบพุ่งทะลุออกมาเป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มจอมเวทเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะไม่นึกว่าฝ่ายตรงข้ามจะเล่นไม้นี้ แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเวทสายฟ้ามีระยะการโจมตีที่สั้นกว่าจึงทำให้โจไม่เคยคิดจะใช้การโจมตีแบบสุ่มเช่นนี้



    ลูกไฟแต่ละลูกถึงจะไม่ใหญ่มากแต่จำนวนก็ทดแทนพลังทำลายที่ขาดไปได้ ถ้าหากปล่อยให้เข้ามาใกล้ล่ะก็มีหวังบาดเจ็บสาหัสแน่ โจรีบเร่งพลังเวทของตนขึ้นมาแล้วปล่อยสายฟ้าออกจากมือโดยพยายามกระจายพลังออกให้กว้างที่สุด หวังจะทำลายลูกบอลเพลิงให้หมดก่อนที่จะมาถึงตัว



    บรึ้ม!!



    เสียงระเบิดของลูกไฟปะทะกับสายฟ้าดังระงม มีลูกไฟบางลูกหลุดรอดสายฟ้าของโจมาได้และพุ่งเข้าระเบิดใส่ร่างของเขาจนล้มลงไปบนพื้น จอมเวทหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดบริเวณขาที่ลูกไฟเข้าปะทะจนเกือบจะร้องตะโกนออกมา แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ได้เพราะตอนนี้ควันจากระเบิดที่เพิ่งเกิดขึ้นยังสามารถบังตัวเขาได้อยู่ เมื่อหันมาดูพลังชีวิตของเขากลับลดไปไม่มากนัก คงเพราะผ้าคลุมที่เขาสวมอยู่แน่ ๆ ที่ช่วยป้องกันความเสียหายส่วนมากเอาไว้



    ตอนนั้นเองขาของโจก็รู้สึกหนักอึ้งจนขยับไปไหนไม่ได้ ไม่ว่าจะออกแรงเท่าไหร่ก็ตามขาของเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ ราวกับว่าขาข้างนี้เป็นหนึ่งเดียวกับก้อนหินไปแล้ว



    'นี่มันอะไรกัน เราโดนคำสาปงั้นหรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?' โจนึกได้เพียงคำตอบเดียวของสาเหตุที่ทำให้ขาของเขาขยับไม่ได้ แต่เขาไม่รู้ว่านักเวทในชุดดำสาปเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตั้งแต่เริ่มสู้กันเขาก็ไม่ได้เข้าใกล้นักเวทคนนั้นเลยแม้แต่น้อย



    "แปลกใจล่ะสิ.. มันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่เคยมีใครรอดจากคำสาปของซีซ่าคนนี้ได้" เสียงเย็นเอ่ยดังพร้อมกับนักเวทในชุดดำก้าวผ่านกลุ่มควันเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้อยู่ในระยะโจมตีของสายฟ้า คำสาบของซีซ่านั้นลามขึ้นมาถึงแขนของโจแล้วจนทำให้ตอนนี้มีเพียงแต่ตัวกับคอเท่านั้นที่ยังพอจะขยับได้



    "แกคงสงสัยล่ะสิว่าโดนคำสาปได้ยังไงกัน... หึหึ ลองคิดดูดี ๆ ซี่" ซีซ่าหัวเราะเยาะอย่างเป็นผู้ที่มีชัย



    ชายหนุ่มพยายามคิดทันทีเพราะการที่ซีซ่าเดินเข้ามาใกล้แล้วถามถึงขนาดนี้ หากให้มันเฉลยล่ะก็ศักดิ์ศรีในฐานะจอมเวทคงป่นปี้หมดแน่ ตอนนั้นเองที่เขาเหลือบไปมองแผลไหม้ที่ขาของเขา ความคิดหนึ่งก็สว่างขึ้นมาในหัวทันที โจกัดฟันแน่นให้กับความโง่ของตัวเองและโทษที่ว่าทำไมตัวเองถึงไม่คิดออกให้เร็วกว่านี้



    "ลูกไฟนั่น...แกใช้คำสาปเสริมเข้ามาในลูกไฟสินะ" โจกล่าว ซีซ่ายิ้มและยกมือขึ้นตบให้เบา ๆ ราวกับเป็นรางวัลที่ตอบคำถามได้ถูกต้อง



    "หัวไวดีนี่ ถ้าอย่างนั้นแกคงจะหัวไวพอจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปใช่มั้ย ไอ้กระจอก" รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของซีซ่าช่างกันประสาทของโจได้ดีจริง ๆ แถมซีซ่ายังเข้ามายืนในระยะประชิดขนาดที่โจจะถ่มน้ำลายใส่ได้ แต่เขาไม่ทำแบบนั้นอย่างแน่นอน การที่ทำแบบนั้นมันแสดงให้เห็นว่าตัวเองจนตรอก



    "แกไม่มีทางรอดไปจากที่นี่แน่ คอยดูสิ" โจว่าและพยายามเร่งพลังเวทขึ้นมาเพื่อที่จะให้ตัวเองหลุดออกจากคำสาป แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงไม่เคลื่อนไหวเหมือนก้อนหิน



    ซีซ่าจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าดิ้นรนด้วยความสะใจ สายฟ้าที่โจมตีเขาในครั้งแรกนั้นแทบจะฆ่าเขาได้เลยทีเดียว ถ้าหากไม่ได้เครื่องประดับที่มีความสามารถป้องกันการโจมตีจากเวทระดับสูงได้หนึ่งครั้งต่อวันที่เขาได้มาจากมอนสเตอร์ระดับบอสล่ะก็คงตายไปแล้ว ดังนั้นเขาไม่ปล่อยให้โจตายง่าย ๆ แน่



    "แต่ฉันไม่คิดแบบนั้นว่ะ เพื่อน ๆ ของแกไม่รอดจากพรรคพวกของฉันแน่ ส่วนไอ้คนที่ชื่อเจนป่านนี้คงโดนหัวหน้าจัดการไปเรียบร้อยแล้วล่ะ" ซีซ่าหัวเราะแล้วเหลือบไปมองประดูสีดำที่อยู่สุดห้องที่เจนและดีไนน์วิ่งผ่านไปก่อนหน้าที่ทั้งสองจะปะทะกัน



    "แกคงรู้ใช่มั้ยว่ามีเพียงแค่สามวิธีที่แกจะหลุดออกจากคำสาปได้ อย่างแรกคือฉันเป็นคนปลดคำสาปออกเอง อย่างที่สองคือมีคนมาแก้คำสาปให้ซึ่งคงไม่มีใครโผล่มาช่วยแกแน่ ส่วนอย่างสุดท้าย..-"



    ยังไม่ทันที่ซีซ่าจะพูดจบ เสื้อคลุมของโจก็ส่องแสงออกมาพร้อมกับสายฟ้าจำนวนมหาศาลแผ่กระจายออกมาไม่หยุด ดวงตาของนักเวทชุดดำเบิกกว้างด้วยความตกใจเกราะเขานั้นก้าวเข้ามาอยู่ในระยะของเวทสายฟ้าของโจเข้าให้แล้ว แต่ร่ายกายของเขาโดนคำสาปเข้าไปแล้วดังนั้นชายตรงหน้าของเขาก็ไม่น่าจะร่ายเวทได้ ทว่าพอเขาเหลือบไปเห็นอัญมณีกลางอกที่เป็นต้นกำเนิดของสายฟ้าทั้งหมดก็รู้ทันทีว่าทำไม



    ไลท์นิ่ง สวาม!!!



    ระเบิดสายฟ้าเกิดขั้นอีกครั้งโดยมีโจเป็นจุดศูนย์กลาง แต่ไม่ได้เป็นระเบิดที่รุนแรงเสียงดังเหมือนเวทธันเดอร์บลาส มันเป็นเหมือนเวลาที่หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดและปลดปล่อยไฟฟ้าออกมาอย่างไร้ทิศทางรอบตัวเอง ถึงแม้จะมีระยะไม่ไกลมากแต่ซีซ่าที่ยืนอยู่เกือบจะชิดตัวขนาดนั้นไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน



    ถึงมือจะถูกสาปให้แข็งจนร่ายเวทไม่ได้แต่เขาก็ยังสามารถใช้เวทที่ผนึกที่เสื้อคลุมได้อยู่ ในตอนแรกเขายังชั่งใจว่าจะผนึกเวทนี้ลงไปดีหรือไม่เพราถึงแม้จะเป็นเวทระยะประชิดที่ใช้ป้องกันตัวได้อย่างดีเยี่ยม แต่เวทนี้ก็มีผลกับตัวเองด้วยเช่นกัน



    สายฟ้าที่ระเบิดออกมาทำเอาโจแทบจะทรุดลงไปกับพื้น ผมของเขาฟูชี้โด่เพราะสายฟ้า ควันลอยออกมาจากตัวเหมือนกับเพิ่งเดินผ่านเตาอบมา แต่อย่างน้อยซีซ่าก็ไม่เหลือแม้แต่ซากให้เห็น ดีที่ผู้ร่ายเวทอย่างเขาจะได้รับความเสียหายแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น และปลอกแขนเทพสายฟ้าที่เขาสวมอยู่ก็ช่วยลดความเสียหายจากเวทสายฟ้าของเขาอีกครึ่งหนึ่งด้วย



    "อย่างสุดท้ายก็คือผู้ร่ายคำสาปตายยังไงเล่า ไอ้เบื้อกเอ๊ย!" โจพูดให้จบประโยคที่ซีซ่าทิ้งเอาไว้ ถึงเขาจะชนะมาได้เพราะโชคช่วยแต่ซักวันโชคของเขาคงหมดไปแน่ เห็นทีคงต้องหาเวลาฝึกใช้เวทสำหรับต่อสู้บ้างซะแล้ว โจคิดในใจพลางหันไปมองยังทิศที่เจนและดีไนน์วิ่งไป ซึ่งการต่อสู้ของทั้งคู่น่าจะรู้ผลได้แล้ว





    จบตอนที่ 25 บุกรังหนู

    --------------------------------


  20. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  21. #37
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 26 ช่วยเหลือ

    ตอนที่ 26 ช่วยเหลือ



    ปัง!!



    เสียงของประตูถูกกระแทกเปิดออกมาอย่างรุนแรง ร่างสูงวิ่งเข้ามาแล้วก้าวลงบันไดอย่างรู้ทางมุ่งไปยังชั้นใต้ดิน โดยมีร่างในชุดสีขาววิ่งตามมาไม่ห่าง สายตาที่มุ่งมั่นของผู้ที่กำลังวิ่งตามมานั้นดูราวกับแมวที่กำลังวิ่งไล่หนูกลับเข้ารูตัวเอง



    เขาไม่นึกถึงเลยว่าผู้ที่เล่นงานพวกลาซาสนั้นจะกลายเป็นคนที่ทางกิลด์พิฆาตราชาต้องการตัวที่สุด อย่าว่าแต่จะจัดการเลย แค่คิดจะสู้กับคนที่จัดการนักดาบระดับพระกาฬของกิลด์อย่างอามีร่าได้ก็ไม่กล้าแล้ว ดังนั้นทางเดียวที่ดีไนน์คิดออกคือวิ่งหนีหาที่ซ่อนแล้วค่อยซุ่มโจมตี!



    ทางใต้ดินที่เขาวิ่งมานั้นเป็นห้องเก็บเหล้าของบาร์ โดยภายในห้องจะกว้างแต่ก็เต็มไปด้วยชั้นวางขวดเหล้าเป็นชั้นตั้งชิดกันจนน่าจะทำให้เจนใช้ดาบไม่ค่อยสะดวกนัก และมันมืดทำให้ง่ายต่อการซุ่มโจมตี ส่วนเขานั้นรู้เส้นทางภายในห้องนี้เป็นอย่างดีเพราะมาหยิบเหล้าบ่อยจนทำเส้นทางได้

    ขึ้นใจ แม้ดาบที่เขาใช้อยู่จะยาวกว่าน่าจะทำให้ใช้ลำบากแต่ใช่ว่าเขาจะมีอาวุธเพียงแค่ดาบเสียเมื่อไหร่ล่ะ คราวนี้แหละเขาจะทำสิ่งที่พวกหัวหน้าหน่วยในกิลด์ก็ยังทำไม่ได้ เงินและอำนาจมหาศาลกำลังจะตกมาเป็นของเขาแล้ว







    เจนวิ่งตามดีไนน์มาอย่างประชั้นชิดแต่ว่าฝ่ายนั้นสามารถเร่งความเร็วหลุดรอดสายตาเธอไปได้ ส่วนเจนนั้นต้องหยุดหลบสิ่งกีดขวางและคอยจัดการพวกนักเลงที่เข้ามาขวางทางเธอเอาไว้ แต่เส้นทางด้านหน้ามีแค่ทางเดียว ดังนั้นถ้าหากเธอตรงไปเรื่อย ๆ รับรองว่าต้องไล้ต้อนจนดีไนน์เผย

    ตัวออกมาได้แน่



    ในที่สุดเจนก็วิ่งมาถึงประตูบานใหญ่บานเดียวที่อยู่สุดทาง เธอออกแรงยกเท้าถีบประตูนั้นจนกระเด็นหลุดออกจากบานพับแต่ทว่าหลังบานประตูเธอกลับพบเพียงชั้นวางขวดเหล้าสูงอยู่หลายสิบชั้นในห้องที่มีเพียงไฟสลัว จากคบเพลิงอยู่ที่มุมห้องเท่านั้น แต่เจนก็มั่นใจว่าดีไนน์ต้องยังคงอยู่ในห้องนี้อย่างแน่นอน



    ร่างบางก้าวเท้าเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง ดวงตาสีแดงของเธอกวาดมองไปรอบตัวอย่างช้า ๆ เพื่อจะมองหาสิ่งที่ดูมีพิรุธภายในห้องนั้นแต่ว่ามันมืดเกินไปที่เธอจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจน ถึงอย่างนั้นเจนก็ไม่ประมาท เธอสูดหายใจลึกและตั้งสติให้มั่น มือบางจับดาบที่เอวเตรียมพร้อมที่จะชักออกมาทุกเมื่อ หูก็เงี่ยฟังเสียงฝีเท้าของดีไนน์อยู่ตลอด ถ้าหากได้ยินเสียงแม้แต่เพียงนิดเดียวล่ะก็เธอจะรู้แน่นอนว่ามาจากทางใด



    "แกติดกับแล้ว ไอ้หน้าโง่!" เสียงของดีไนน์ดังมาจากด้านหลังของเจน หญิงสาวสะดุ้งและรีบหันกลับไปและชักดาบออกมาทันที แต่ทำไม่ได้เพราะชั้นวางตั้งอยู่ใกล้กันเกินไป เจนจึงทำได้แค่กระโดดถอยหลังออกมาให้พ้นระยะโจมตี



    เสียงหัวเราะแหบแห้งดังเมื่อเห็นว่าตอนนี้ไม่สามารถชักอาวุธออกมาสู้ได้ เสียงเหมือนผ้าสะบัดดังเบา ๆ บ่งบอกให้รู้ว่าดีไนน์กำลังเคลื่อนที่แต่ไร้ซึ่งเสียงฝีเท้าและนั่นทำให้เจนขมวดคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจและต้องหนักใจเพราะนอกจากจะไม่สามารถใช้อาวุธที่อยู่ข้างตัวได้แล้วยังไม่รู้ว่าศัตรูอยู่ที่

    ไหนอีก ถึงจะดูไม่เหมือนนักแต่ตอนนี้เจนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้ว



    "นึกไม่ถึงว่าคนที่จัดการ'อีกา'ลงได้อย่างแกจะยังไม่มีอาชีพแบบนี้ แสดงว่าตอนที่สู้กับยัยนั่นคงฟลุกล่ะสิท่า ไอ้พวกฝ่ายข่าวสารให้ข้อมูลมาผิด ๆ แบบนี้ มันน่าฆ่าทิ้งให้หมดจริง ๆ" ดีไนน์ดูเกือบจะถูกต้อง เสียงของเขาดังมาจากด้านข้างของเจนที่อยู่หลังชั้นวางเหล้าไปเพียงไม่ถึงเมตร ทำให้ เธอต้องรีบถอยกลับมาเพราะคิดว่าจะถูกลอบโจมตี ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกคน ๆ นี้ล้อมกรอบเอาไว้จนไม่มีทางตอบโต้เลยแม้แต่น้อย



    "แค่เลเวลมากกว่าสิบระดับอย่าคิดนะว่ามันจะทำอะไรให้แตกต่างไปได้ ฉันมีอาชีพมือดาบเชียวนะโว้ย ไอ้นักผจญภัยฝึกหัดอย่างแกน่ะไม่มีทางสู้ได้หรอก!" สิ้นเสียง เจนก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แขนของเธอ หญิงสาวรีบถอยห่างออกมายังจุดที่แสงจากคบเพลิงส่องถึงทันทีและเพ่งมองไปด้านหน้า ทั้ง ๆ ที่เธอระวังตัวมากแล้วแท้ ๆ กลับถูกลอบโจมตีได้ เสียงของดีไนน์เธอจับได้ว่ามากจากด้านหน้าของเธอทำให้เธอเตรียมพร้อม แต่เธอกลับกะระยะการโจมตีผิดไปเพราะความยาวของดาบที่เขาใช้นั้นยาวกว่าปกติมากนัก



    จนถึงตอนนี้ตาของเจนก็ยังไม่ชินให้มองในความมืดนี้ได้เนื่องจากแสงไฟจากคบเพลิงด้านหลัง ต่างจากดีไนน์ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ รู้จึงส่วนต่าง ๆ ของห้องทุกตารางวาทำให้ความมืดไม่ได้เป็นปัญหากับเขาเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นก็โชคดีที่เจนถอยออกมาทันเวลาทำให้เธอโดนดาบเฉือนไม่ ลึกมากนัก แต่การที่เธอโจมตีสวนกลับไม่ได้เช่นนี้ก็ยังคงเป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก



    อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอได้หลุดมาจากที่ระหว่างชั้นวางขวดเหล้ามาได้แล้ว และพื้นที่บริเวณมุมห้องก็กว้างพอที่จะใช้ดาบได้ เจนจึงรีบชักดาบออกมาป้องกันตัวเอาไว้ก่อน ถึงแม้ว่าถ้าหากเธอกลับเข้าไปในความมืดอีกก็จะใช้ดาบได้ไม่สะดวกนัก แต่อย่างน้อยเธอก็สามารถใช้ดาบป้องกัน ตัวเองได้แล้ว



    "คิดหรือว่าแค่มีดาบอยู่ในมือแล้วฉันจะกลัว! เอานี่ไปกินซะ!" เสียงของดีไนน์ตะโกนก้อง



    ทันใดนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างพุ่งเข้าใส่เจนมาจากต้นทางของเสียงตะโกน หญิงสาวรีบยกดาบขึ้นกันตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อสิ่งนั้นปะทะกับดาบของเจนกลับมีแรงกระแทกไม่มากอย่างที่คิด เสียงแตกดังทำให้รู้ว่าสิ่งนี้ทำจากแก้ว เธอรู้สึกได้ว่ามีของเหลวแตกออกมาจากแก้วนั้นหกรดเต็มตัวเธอและกลิ่นแรงที่ลอยมาเขาจมูกของเจนก็บอกทันที่ว่ามันคือเหล้า!



    "เป็นไงล่ะ รสชาติเหล้าเถื่อนเป็นยังไงบ้าง แรงดีใช่มั้ยล่ะ!" เสียงตะโกนของดีไนน์ดังลั่น กลิ่นของแอลกอฮอล์เหม็นหึ่งเต็มตัวของเจนจนทำให้เธอรู้สึกเวียนหัวคล้ายกำลังจะเมา แม้จะพยายามรวบรวมสติเอาไว้ได้แต่ก็คงอีกไม่นานแน่หากเธอไม่รีบล้างเหล้าออกจากตัว



    "รู้มั้ยว่าทำไมที่นี่ถึงเก็บเหล้าในที่มิดชิดขนาดนี้..." ดีไนน์ถามหยั่งเชิง เจนไม่ตอบเพราะเธอพยายามตั้งสติให้พร้อมสู้ ถ้าเธอเมาล่ะก็คงมีสภาพไม่ต่างจากนักเลงที่เธอเคยสู้ด้วยแน่



    "เป็นเพราะกลิ่นที่เธอกำลังสูดอยู่นั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ เหล้าที่อยู่ในห้องนี้มีส่วนประสบของแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นสูง จึงทำให้มันเป็นเหล้าที่แรงมากและรสชาติเผ็ดร้อน และแน่นนอนว่ามันติดไฟได้ง่ายด้วย เพราะอย่างนั้นฉันจะใช้เหล้าทุกขวดที่มีอยู่ในห้องนี้เผาแกซะ!"



    เจนพอจะคาดเดาได้ทันทีว่าเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าพูดจบจะต้องโจมตีมากอีกอย่างแน่นอน และในสภาพของเจนในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะโจมตีมาด้วยดาบของเขาเอง ใช้คบเพลิงที่อยู่เหนือตัวเธอเผาร่างหรือจะปาขวดเหล้ามาอีกขวดก็ไม่มีทางที่จะกันได้เลย ดังนั้นหญิงสาวในคราบชายหนุ่มจึงตัดสินใจโจมตีสวนกลับไปก่อนที่ดีไนน์จะมีโอกาสจะลงมือ



    ผ่ามิติ!



    คลื่นดาบถูกฟาดออกไปด้านหน้าโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เล็ง แต่คลื่นพลังก็มีพลังมากพอที่จะทำลายชั้นวางขวดเหล้าที่ดีไนน์กำลังซ่อนอยู่อย่างเหลือเฟือ



    ตูม!!



    เสียงระเบิดของคลื่นพลังปะทะเข้ากับชั้นวางเสียงดัง ตามมาด้วยเสียงแตกของขวดเหล้าที่ดังกลบเสียงโวยวายของดีไนน์ซะมิด เมื่อลืมตาขึ้นมาดูผลงานก็พบว่าผ่ามิติขิงเธอนั้นได้เพิ่มพลังขึ้นสูงมากจนทำให้ชั้นวางขวดเหล้าทั้งหมดอยู่ทำลายจนมีเหล้าที่แตกออกมาเจิ่งนองบนพื้นห้อง กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคลุ้งไปหมดยิ่งทำให้สติของเจนยิ่งเลือนรางจนแทบคิดอะไรไม่ได้แล้ว



    "แค่นี้...แกก็จุดไฟไม่ได้แล้ว ....มาฟัดกันให้จบไปซักที" เจนพูดอย่างยากลำบากเพราะกลิ่นเหล้าที่ฉุนขึ้นจมูก ดวงตาสีแดงจ้องไปยังร่างที่เปียกโชกของดีไนน์ที่พยายามจะลุกขึ้นมาด้วยท่าทางโซเซ แปลว่าเขาเผลออ้าปากกลืนเหล้าเข้าไปไม่น้อยตอนที่เจนใช้ผ่ามิติเมื่อครู่



    ตัวของเขามีบาดแผลเล็ก ๆ จากเศษแก้วบาดเต็มตัว แต่กลับรอดจากผ่ามิติไปได้อย่างเฉียดฉิว ดวงตาของดีไนน์เบิกกว้างด้วยความตกใจเพราะกับดักที่เขามาเหยื่อเขามาติดกับถูกทำลายในพริบตาด้วยพลังที่ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าทำไมคนที่อยู่ตรงหน้าถึงสามารถเอาชนะอีกาได้ สติที่เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะฤทธิ์เหล้าก็กระเจิดกระเจิงไปทันที



    เขารีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งตรงไปยังผนังห้องที่เป็นรูจากคลื่นพลังผ่ามิติเข้าปะทะเมื่อครู่จนมีแสงสว่างลอดออกมาได้ เขาวิ่งเซและพลาดพุ่งเข้ากระแทกกับกำแพงอย่างแรงจนทะลุไปอีกด้าน เจนรีบตามไปให้เร็วที่สุดที่เธอจะใช้สติที่เริ่มจะเลือนรางพาไปได้ ตอนนี้เธอรู้สึกเนื้อตัวหนักอึ้ง หญิงสาวพยายามจะเดินเป็นเส้นตรงแต่ก็เหมือนกับมีใครเอาโลกทั้งใบมาโยนเล่นจนทำให้เจนเดินโคลงเคลงไปมาอย่างลำบาก ลมหายใจที่สูดเข้าไปก็เจอแต่กลิ่นแอลกอฮอล์ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ขึ้นกว่าเดิมอีก ในตอนนี้สิ่งที่เจนต้องการมากที่สุดก็คืออากาศบริสุทธิ์



    เมื่อข้ามผ่านซากกำแพงมาได้แทนที่จะพบกับอากาศที่สดชื้น กลับเจอเข้ากับกลิ่นเหม็นอับชวนอ้วกแทนยิ่งทำให้อาการวิงเวียนหนักขึ้นอีก แต่เมื่อมองไปข้างหน้า สิ่งที่เธอเห็นนั้นแทบจะทำให้เจนนั้นลืมหายใจ ดวงตาสีแดงโกเมนเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเอง สติที่เลือนลายกลับมาตื่นตัวเต็มที่ เพราะในที่ที่เจนเพิ่งเข้ามานั้น มีกรงขังที่มีผู้คนถูกขังอยู่นับร้อย!



    ในหัวของเจนมีคำถามผุดขึ้นมามากมาย แต่ทุกคำถามล้วนเริ่มต้นจากคำ ๆ เดียว นั่นก็คือคำว่า 'ทำไม'



    หญิงสาวค่อย ๆ ก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า มองผ่านลอดลูกกรงเหล็กไปเห็นเป็นเด็กสาวในชุดสีฟ้าสกปรกกำลังนั่งชันเข่าอยู่โดยมีโซ่สีดำทะมึนล่ามขาของเธอเอาไว้กับลูกกรง นัยน์ตาของเด็กสาวดูเลื่อนลอยไร้ชีวิตชีวาราวกับเป็นร่างว่างเปล่าไร้วิญญาณ แม้ว่าตัวเจนจะเดินเข้าไปหาก็เหมือนกับว่าเด็กสาวตรงหน้าจะไม่รู้ตัวว่าเจนยืนอยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย จากเสื้อผ้าของเธอทำให้เจนมั่นใจว่าต้องเป็นชาวเมืองที่โดนลักพาตัวมาอย่างแน่นอน



    เมื่อสังเกตดู ก็พบว่าทุกกรงมีหมายเลขกำกับอยู่ราวกับว่าคนพวกนี้เป็นสิ่งของอย่างหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่เห็นทำให้เจนพูดอะไรไม่ออก เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคน ๆ หนึ่งจะทำอย่างนี้กับคนอื่นได้ลงคอ ถึงแม้จะเคยได้เห็นข่าวเรื่องแบบนี้มาบ้างแต่พอได้มาเห็นภาพต่อหน้าเช่นนี้ความรู้สึกที่มีมันเกินจะรับได้



    คนอื่นในกรงขังอื่นต่างก็มีสภาพที่ไม่ต่างกัน บางคนแย่กว่าด้วยซ้ำ เจนเห็นเด็กชายคนหนึ่งที่ร้องสะอื้นเพราะรอยแผลบนร่างของเขาที่แดงจนน่ากลัว ชายร่างใหญ่ที่ถูกโซ่ล่ามมือเอาไว้ทั้งสองข้างจนเท้าลอยจากพื้น สิ่งที่เขาพวกนี้เจอทำให้เจนนึกไปถึงหน้าของอามีร่าที่สภาพแทบไม่ต่างไปจากชาวเมืองเหล่านี้ในตอนที่พบเธอครั้งแรก



    นัยน์ตาสีแดงหันมามองร่างสูงที่กำลังวิ่งโซเซไปไม่ไกลนัก ความโกรธของหญิงสาวสะสมขึ้นในจิตใจตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าชายตรงหน้าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของชาวเมืองอย่างที่ดาริอุสและลูก ๆ ของเขาเกือบจะมาอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย ยิ่งพอมาเห็นสภาพของคนที่โดนจับมาก็ยิ่งทำให้ความโกรธแทบจะระเบิดออกมาจนห้ามเอาไว้ไม่อยู่ เธอจ้องเขม็งไปที่ดีไนน์พร้อมทั้งก้าวเท้าไปหาโดยไม่ลังเล



    ชายหนุ่มเห็นยมทูตในชุดสีขาวเข้ามาใกล้ก็รีบใช้ดาบของตนแกว่งไปมาอย่างไร้ทิศทาง แต่ในสภาพที่ไร้สติเช่นนี้ไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรหญิงสาวได้ เจนใช้ดาบคุซานางิในมือตวัดใส่จนดาบเล่มยาวหลุดมือของชายหนุ่มแล้วพุ่งเข้าประชิดตัวในพริบตา เธอดันร่างของดีไนน์เข้าชิดกับกรงที่ขังของเด็กสาวเมื่อครู่และใช้ดาบในมือจ่อที่คอหอยพร้อมจะปลิดชีวิตทุกเมื่อ



    "ไอ้สารเลว! นี่แกเห็นคนพวกนี้เป็นอะไรกัน!!" เจนระเบิดเสียงตะโกนลั่น เธอจ้องเขม็งไปยังดวงตาที่ตื่นกลัวของดีไนน์ มือที่จับคอของเขาบีบแน่นในขณะที่ดีไนน์พยายามกระเสือกกระสนพยายามเอาตัวรอดด้วยสติที่ยังหลงเหลืออยู่



    "มองดูให้ดีว่าแกทำให้คนพวกนี้เจอกับอะไร!! ทำไมแกถึงทำแบบนี้!!"



    "มันเป็นแค่ธุรกิจ!! มันเป็น....แค่ ธุรกิจ"



    เสียงตะโกนของดีไนน์ทำให้เจนถึงกับปล่อยมือออกจากตัวของเขา ไม่ใช่เพราะเธอตกใจกับสิ่งที่เขาพูดออกมาแต่เป็นเพราะเธอไม่อยากจะแตะต้องตัวคนอย่างเขา คนที่เรื่องแบบนี้ว่าเป็นธุรกิจออกมาได้อย่างเขาแค่อยู่ใกล้มันก็ทำให้เจนรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา แต่ไม่มีทางที่เธอจะปล่อยให้คนอย่างเขารอดตัวไปแน่



    เจนใช้เท้ายันรางของเขาเอาไว้บนพื้น ดาบยาวชี้ไปที่หน้าของชายหนุ่มแล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนดีไนน์รู้สึกหนาวไปถึงไขสันหลัง



    "บอกฉันมาว่าตอนนี้อามีร่าอยู่ที่ไหนถ้าไม่อยากทรมาน"



    ไม่ว่าคนตรงหน้าจะมีข้อแก้ตัวอะไรก็ตามแต่เธอก็จะไม่สนใจอีกแล้ว ต่อให้คำพูดของดีไนน์จะหอมหวานเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อการกระทำมันบอกถึงเจตนาขนาดนี้มีเพียงโทษสถานเดียวเท่านั้นที่เขาจะได้รับ และเจนก็จะทำให้แน่ใจว่าเข้าจะได้รับมันอย่างสาสม



    "อามีร่า...ใคร ฉันไม่รู้จัก!" ดีไนน์ตะโกนปฏิเสธโดยดูท่าทางแล้วแม้แต่เจนเองก็ยังดูออกว่าไม่ได้โกหกบวกกับตอนนี้เขาก็กำลังเมาไม่ได้สติอยู่แล้วด้วย แต่นั่นทำให้เจนยิ่งโมโหขึ้นมาอีก แม้กระทั่งชื่อของคนที่ถูกกดขี่ข่มแหงขนาดนั้นยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ



    ในเมื่อเป็นแบบนี้เจนก็ไม่คิดจะถามอะไรต่ออีกเพราะมันคงไม่มีประโยชน์ เธอยกดาบขึ้นเตรียมที่จะจัดการสำเร็จโทษให้เด็ดขาด



    "ฝากไปบอกเจ้านายของแกด้วยว่าจากนี้ฉันจะไม่หยุดตามล่าพวกแกจนกว่าจะกิลด์พิฆาตราชาจะพินาศ เริ่มจากแกเป็นคนแรก!!"



    ผ่ามิติ!!



    ดาบคุซานางิในมือเรียวสว่างวาบ ทั่วทั้งห้องสว่างจ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดีไนน์จ้องใบหน้าของเจนอย่างตื่นตระหนก ก่อนหน้าที่เจนจะลงดาบเพียงแค่ชั่วพริบตาเขาก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนตรงหน้าจากที่ไหนซักแห่ง แต่ทุกอย่างก็ดับวูบลงไปก่อนที่เขาจะนึกอะไรออก



    คลื่นพลังดาบฟาดกระแทกลงสู่ร่างบนพื้นห้องอย่างรุนแรง เสียงระเบิดดังสะท้านพร้อมกับแรงกระแทกที่อัดมาเต็มใบหน้าของหญิงสาวจนลอยกระเด็นจากจุดที่เธอยืนอยู่ สิ่งสุดท้ายที่เจนเห็นก่อนที่จะหมดสติไปคือเพดานหินที่มีโคมไฟแขวนอยู่







    กลิ่นหอมสดชื่นลอยเข้าจมูกของเจนปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาจากนิทราเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเธอนั้นอยู่ในห้องที่มีความกว้างเพียง3คูณ5เมตรเท่านั้น เตียงที่เธอนอนอยู่เป็นเตียงสามชั้นโดยเธออยู่ชั้นล่างสุด ฝั่งตรงข้ามก็เป็นเตียงแบบเดียวกันโดยโดยมีฟีบีกำลังนอนหลับสนิทอยู่และคิทซึเนะนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงของเจน



    พอจะยกตัวลุกขึ้นมาเจนก็รู้สึกหัวหนักอึ้งและปวดแทบจะระเบิดให้ได้อย่างไม่รู้สาเหตุ ลองพยายามจะคิดว่าเป็นเพราะอะไรก็คิดไม่ออก แม้กระทั่งตอนนี้เธออยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้



    "ตื่นแล้วหรอ หลับไปนานน่าดูเลยนะ" เสียงของรินดังขึ้นจากด้านบน เมื่อเงยหน้าขึ้นไปดูก็พบว่าหญิงสาวกำลังห้อยหัวลงมาคุยกับเธอจากเตียงชั้นบน



    เจนจะอ้าปากตอบแต่อาการปวดหัวยังคงไม่ทุเลาลงจึงทำได้แค่ส่งเสียงครวญคราง แล้วทันใดนั้นความรู้สึกคลื่นไส้อยากจะอาเจียนก็วิ่งขึ้นมาจากท้องทำให้เจนรีบคว้าถังไม้ข้างเตียงขึ้นมารับอาหารมื้อก่อนที่กำลังย่อยได้ทันเวลา



    "ดีนะที่โจเตรียมเอาไว้ให้ ถ้าไม่อย่างนั้นเตียงคงเลอะจนนอนต่อไม่ได้แน่" รินว่าแล้วจึงกระโดดลงมานั่งบนเตียงของเจน



    "แล้ว...สองคนนั้นล่ะ" หญิงสาวเอ่ยปากถาม หลังจากได้อาเจียนออกมาทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาก พร้อมทั้งอาการปวดหัวก็ลดลงแทบจะในทันที



    เพื่อนสาวคนใหม่ไม่เอ่ยปากตอบแต่ชี้ไปยังเตียงชั้นสองทางฝั่งที่ฟีบีกำลังนอนอยู่แทน



    "นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมรู้สึกปวดหัวจังเลย" เจนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเซื่องซึม เธอยังรู้สึกเหนื่อยล้ามากแม้ว่าจะเพิ่งตื่นก็ตาม แถมยังจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลยด้วย ขนาดในตอนนี้เธออยู่ที่ไหนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ



    หญิงสาวเลิกตาขึ้นอย่างแปลกใจก่อนเอ่ยถาม



    "นี่เธอไม่รู้ตัวเลยหรือว่าเมื่อวานเธอเมาขนาดไหน"



    "เมา!? ฉันไปกินเหล้าตอน..อ๋อ จำได้แล้ว" เมื่อมีเครื่องกระตุ้นความทรงจำ ภาพก็ไหลเข้ามาในหัวของเจนเหมือนกับเครื่องเล่นวีดีโอ เธอจำได้ว่าเธอเจอเข้ากับกลิ่นของแอลกอฮอล์เข้าเต็ม ๆ และโดนเหล้าสาดใส่ทั้งตัว คงเป็นเพราะเหตุการณ์นั้นที่ทำให้เธอเมา ในใจได้แต่ก่นด่าความเหมือนจริงของเกมนี้เพราะอาการเมาค้างในเกมยังเอาเข้ามาด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะเอามาเลย



    "ไว้พวกโจตื่นแล้วก็ไปขอบคุณสองคนนั้นด้วยล่ะ รู้มั้ยว่าเธอน่ะเป็นพวกเมาอาละวาดหนักมาก ดีนะที่ได้สองคนนั้นช่วยพาเธอมาถึงห้องนี้ได้ ถ้าขืนปล่อยเธอเอาไว้ล่ะก็มีหวังอาละวาดจนเมืองพังแน่" บางทีมันอาจจะแย่กว่าที่รินพูดก็ได้



    เจนรู้ดีว่าตัวเธอนั้นมีนิสัยตอนเมายังไง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอดื่มกับพวกโจ ผลที่ออกมาคือทั้งสองคนนั้นน่วมไปทั้งตัวโดยที่ตัวเจนเองนั้นไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วยเลย ตั้งแต่นั้นมาเธอก็เลยไม่ได้ดื่มเหล้าอีกเลย(และแน่นอนว่าพวกโจก็ไม่เอ่ยปากชวนอีกเช่นกัน)



    ตอนนั้นเองเจนก็นึกถึงพวกกิลด์พิฆาตราชาขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยถามรินทันที



    "อ๋อ พวกนั้นน่ะหรือ โดนจัดการหมดแล้วล่ะ ส่วนพวกชาวเมืองคนอื่น ๆ ก็ถูกส่งกลับบ้านทุกคนแล้วล่ะไม่ต้องเป็นห่วง" เมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนสาว เจนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก



    "ตอนที่เธอหลับอยู่ฉันก็เอาข่าวไปแจ้งให้กับกิลด์หกราชันย์ไปแล้ว พวกนักเลงที่เป็นเอไอทุกคนถูกจับเข้าคุกรอการดำเนินการจากเจ้าเมือง จากนี้ไปในเมืองคงจะมีการตรวจที่เข้มมากขึ้นจนไม่มีเหตุการณ์กลับมาซ้ำรอยอีกแล้วล่ะ"



    "แล้วลาซาสล่ะ หมอนั่นไปไหนแล้ว" เจนพูด หนึ่งในตัวหลักของเหตุการณ์ในครั้งแน่ แถมยังเป็นเอไออีกด้วย ถ้าหากยังไม่รู้แน่ ๆ ว่าหมอนี่ถูกจับแล้วก็ยังไม่น่าไว้วางใจ



    "น่าเสียดายแต่หมอนั่นหนีออกจากเมืองไปแล้วล่ะ ฉันได้ข้อมูลมาจากเจ้ายักษ์ใหญ่ก่อนจะจัดการเสร็จ" รินพูดพลางถอนหายใจด้วยความเสียดาย เธอเองก็คงอยากจะจัดการกับลาซาสมากไม่ต่างจากเจนเช่นกัน



    "ฉันรู้มาว่าเจ้าลาซาสเป็นมือขวาของตัวการหลักในตลาดค้าทาสของโลกนี้เลยล่ะ ว่ากันว่าทาสทุกคนถูกตีตราโดยมันทุกคน ฉันตามล่าหมอนี่มาตั้งนานไม่เคยเจอตัว มาครั้งนี้นี่แหละที่เกือบจะได้ตัวแล้วเชียว" รินพูดอย่างเจ็บใจ



    ตัวเจนเองก็เจ็บใจไม่แพ้กันที่รู้ว่าลาซาสหนีไปได้ เธอไม่อาจจะทนคิดว่าจะมีอีกกี่คนที่ต้องทนทรมานเหมือนกับชาวเมืองคริสตัลเบลที่เจอในชั้นใต้ดินของบาร์แห่งนั้น



    "ทำไมคนพวกนี้ถึงทำเรื่องอย่างนี้ได้ลงคอนะ" เจนพูดอย่างเศร้าใจกับสิ่งที่เธอพบ เธอไม่อาจหาเหตุผลที่ดีมาอธิบายการกระทำของลาซาสได้เลยถึงแต่เธอจะพยายามคิดมากแค่ไหนก็ตาม



    ดวงตาสีฟ้าของรินจ้องมองเจนก่อนถอนหายใจออกมาเบา ๆ



    "เอไอก็เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ หลงในความโลภ อำนาจ และเงินตราจนโงหัวไม่ขึ้นถึงกับยอมขายชีวิตของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นคน เอไอหรือเผ่าพันธุ์ไหนก็มีคนแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ"



    "เธอหมายถึงเผ่าอื่นในเกมที่ไม่ใช่ชาวเมืองงั้นหรือ" เจนถามเมื่อได้ยินคำพูดของริน หญิงสาวหันมายิ้มให้แล้วจึงตอบคำ



    "ก็ประมาณนั้นแหละ"







    หลังจากนั้นเจนก็ได้ฟังเรื่องราวหลังจากที่เธอจัดการดีไนน์ได้แล้ว พวกโจมาพบเธอสลบไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในห้องขังแถมหลังจากที่ปลุกก็เมาอาละวาดอีก จนสุดท้ายแล้วจึงต้องลงมือมัดแขนมัดขาของเจนเอาไว้ก่อนและค่อยช่วยชาวเมืองที่ถูกจับออกมา



    ถึงจะไม่ได้อยู่ร่วมแบบมีสติในตอนที่ชาวเมืองทุกคนได้พบกับคนที่รักอีกครั้ง แต่แค่ฟังจากที่รินเล่าก็ทำให้เจนรู้สึกตื้นตันใจไม่น้อย รินยังบอกอีกว่าชาวเมืองฝากของคุณเจนมาด้วย ขนาดถึงจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้ แต่น่าเสียดายที่เจนนั้นยังไม่สร่างเมาและพวกเธอต้องรีบไปขึ้นเรือเหาะที่มีกำหนดออกในวันพรุ่งนี้เช้า



    "จะว่าไปแล้วตอนนี้เราอยู่ในเรือเหาะสินะ อีกนานมั้ยกว่าเรือเหาะจะขึ้นบิน" หลังจากฟังเรื่องราวทำให้เจนพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่าตอนนี้พวกเธอต้องอยู่บนเรือเหาะอย่างแน่นอน



    เพื่อนสาวได้ยินคำถามของเจนก็ทำหน้าแปลกใจก่อนจะหลุดยิ้มออกมาแล้วจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงมือให้ลุกตามขึ้นมา



    "ตามฉันมาสิ ออกไปสูดอากาศข้างนอกกันหน่อย"





    เจนนึกภาพภายในตัวเรือเหาะเอาไว้ต่างจากความเป็นจริงมากเพราะเธอคิดว่ามันจะมีขนาดเล็กเพื่อที่จะใช้ถุงอากาศอัดแก๊สฮีเลี่ยมยกตัวเรือให้ลอยขึ้นเหมือนกับที่เธอเคยอ่านเจอในหนังสือประวัติศาสตร์ แต่พอมาเจอเข้ากับห้องโถงที่มีความกว้างใหญ่โอ่อ่าราวกับอยู่ในโรงแรมแบบนี้ก็ทำให้เธอนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เธอยังอยู่ในเกม



    ในตอนนี้เจนยังคงรู้สึกปวดหัวตุ้บ ๆ อยู่แต่ก็ไม่มากจนทำอะไรไม่ได้ พอได้มาเดินสูดอากาศแบบนี้ก็พอจะทำให้ความรู้สึกคลื่นไส้หายไปเป็นปลิดทิ้ง นับว่าเป็นจังหวะเหมาะจริง ๆ ที่รินพาเธออกมาเช่นนี้



    ในตอนแรกเจนคิดจะชวนคนอื่นมาด้วยแต่พอรู้ว่าทุกคนเหนื่อยจากการดูแลเจนกันมามากโดยเฉพาะคิทซึแนะที่เฝ้าอยู่เกือบจะตลอดเวลาโดยไม่หลับเลย ทำให้เจนตัดสินใจอุ้มจิ้งจอกสาวลงนอนบนเตียงของเธอเองและออกมาโดยปล่อยให้ทั้งสี่พักผ่อนอยู่เช่นเดิม อย่างน้อยพวกนั้นก็สมควรได้รับหลับซักเต็มตื่น



    รินดึงมือหญิงสาวขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ พอก้าวเท้าเยียบลงบนดาดฟ้าก็ทำให้ดวงตาสีแดงโกเมนต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจเพราะในตอนนี้พวกเธออยู่บนเรือเหาะที่กำลังลอยลำอยู่เหนือท้องฟ้า และกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่จุดหมายแรกของมันนั่นก็คือทวีปอัลเทเชีย



    ลมแรงพัดเข้ากระแทกใบหน้านำเอาอากาศบริสุทธิ์สดชื่นเข้าเต็มปอด ท้องฟ้ายังคงมืดมิดแต่เจนเห็นแสงสีส้มอยู่ที่ปลายฟ้าเหนือหมู่เมฆบ่งบอกสัญญาณใกล้รุ่ง มองไปรอบกายพบว่ามีคนอยู่ไม่มากนักที่อยู่บนดาดฟ้าเรือแห่งนี้ ส่วนมากจะเป็นลูกเรือในชุดเสื้อแขนยาวสีฟ้าดูเรียบร้อย ต่างจากเรือที่แล่นบนท้องทะเลที่ลูกเรือจะสวมชุดแขนกุดเพื่อความสะดวกในการทำงาน การขึ้นมาบนดาดฟ้านอกจากจะทำให้เจนตะลึงแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ทำให้เธอได้สังเกตเห็นเรือเหาะได้อย่างเต็มตาเป็นครั้งแรกอีกด้วย



    รูปร่างของตัวเรือเหาะนั้นแทบจะไม่มีอะไรไปกว่าเรือเดินสมุทรทั่วไป มีเพียงไปพัดอันใหญ่ที่ถูกติดตั้งอยู่ด้านหน้าของเรือที่กำลังหมุนแรงราวกับว่าเป็นตัวขับเคลื่อนให้เรือแล่นต่อไปด้านหน้า เสากระโดงเรือขนาดใหญ่กลางลำเรือตั้งตระหง่านเป็นเสาค้ำยังให้ใบเรือได้รับลม แต่ทั้ง ๆ ที่ตัวเรือกำลังเคลื่อนตัวไปด้านหน้าต้านแรงลม แต่ใบเรือกลับถูกลมพัดให้ตัวเรือไปด้วยความเร็ว



    ข้างลำเรือทั้งสองข้างมีผลึกหินลอยขนานข้างอยู่ ผลึกนั้นเรืองแสงสีเขียวขณะที่ลอยขึ้นลงไมมาอย่างมั่นคง แม้เจนจะไม่รู้ว่ามันมีไว้ทำอะไรแต่ก็พอจะเดาได้ว่าต้องเกี่ยวกับการที่ทำให้เรือลำนี้ลอยอยู่บนฟ้าได้อย่างแน่นอน



    "นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหนเนี่ย" เจนพูดขึ้นลอย ๆ แต่รินก็ตอบคำ



    "เธอหลับไปตั้งแต่ตอนที่จบเรื่อง รวม ๆ แล้วก็ประมาณเกือบเจ็ดชั่วโมงได้ ตอนนี้เรือก็เพิ่งออกบินได้ราว ๆ ชั่วโมงเศษ พรุ่งนี้เช้าก็คงไปถึงเมืองยามะไต"



    'ยามะไตงั้นหรือ' เจนพูดในใจ



    เมื่อคิดถึงจุดหมายที่กำลังเดินทางไปถึงแล้วเธอก็นึกถึงคำพูดของมาเอะ จิ้งจอกเก้าหางผู้เป็นมารดาของคิทซึเนะ ที่ว่าหากเธอไปที่ภูเขาไทโกคุที่น่าจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองยามะไตเท่าไหร่นัก ทำให้ถ้าหากไปถึงแล้วเจนก็คิดจะแวะเข้าไปหาซักหน่อย และเธอเองก็ไม่ได้พบพวกเสือซ่อนลายมานานแล้วด้วย ถ้าหากพวกนั้นอยู่ที่ทวีปอัลเทเชียเจนก็อยากจะไปพบหน้ากันอีกซักครั้งก่อนจะไปหามาเอะ



    "ถ้าอย่างนั้นฉันคงจะลงจากเรือที่เมืองยามะไตล่ะนะ อยากจะไปเจอเพื่อนที่แยกทางกันมาด่อนหน้านี้พอดีเลย ...แล้วเธอล่ะริน จะมาด้วยกันหรือเปล่า" เจนหันไปถามเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ



    "คงจะไม่ได้ล่ะ ฉันมีธุระต้องไปทำที่ทวีปยูโรปา ท่าทางพวกเราคงต้องจะแยกทางกันแล้วล่ะนะ"



    เจนรู้สึกใจหายเมื่อจะต้องแยกทางกับเพื่อนสาวคนนี้ น่าแปลกที่เธอรู้จักกันเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เท่านั้นเองแต่กลับสนิทกันราวรู้จักกันมาหลายปีแล้ว ขนาดตัวเจนเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะคุยกับเธอให้มากกว่านี้อีก ไม่ว่าจะอยู่ในเกมหรืออยู่ในโลกแห่งความจริง



    "งั้นหรือ..แปลกจังเลยนะ ทั้ง ๆ ที่พวกเราเพิ่งรู้จักกันแท้ ๆ แต่กลับสนิทกันขนาดนี้" หญิงสาวพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา และนั่นทำให้เพื่อนสาวยิ้มปานจนหุบไม่อยู่



    "ฉันเองก็คิดเหมือนกันเลย แบบนี้เขาเรียกว่าพรหมลิขิตแน่ ๆ ว่ามั้ย" เสียงเราะเราะดังออกมาจากปากหญิงสาวโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดของเธอนั้นทำเอาคนฟังหน้าแดงไปหมดแล้ว แม้ว่าคำที่รินพูดจะไม่ได้หมายความอย่างที่เจนคิดก็ตาม



    "ว่าแต่เธอคิดจะแต่งตัวแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน หน้าตาก็ออกจะสวยแท้ ๆ แต่ดันแต่งตัวเป็นผู้ชาย"



    คำพูดของรินที่ดังออกมาทำเอาเจนแทบปรับอารมณ์ไม่ทัน จากที่กำลังหน้าแดงเราะความเขินอายกลายเป็นตกใจเพราะโดนมองออกวาเธอเป็นผู้หญิงได้อย่างง่ายดาย



    "ท..เธอรู้"



    "ก็รู้สิ แต่ถ้าหากแค่มองผ่าน ๆ หรือคนทั่วไปมองคงไม่รู้หรอก ฉันมันพวกช่างสังเกตน่ะ แค่มองตั้งแต่แรกก็รู้แล้วว่าเธอเป็นผู้หญิง" รินกล่าวปลอบเป็นนัยเพราะสีหน้าของเจนที่แสดงออกมาบ่งบอดว่าผิดหวังมากที่โดนรู้ความจริงเข้า



    "เธอรู้แต่แรกแล้วทำไมถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ!" เจนพูดเสียงดังอย่างลืมตัว



    "ก็พวกเราเพิ่งเจอหน้ากันจะให้ฉันพูดออกมาได้ยังไง แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ รับรองว่าฉันจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับอย่างแน่นอน" รินว่าพร้อมทั้งขยิบตาให้อย่างมีเลศนัย



    เจนมองเพื่อนใหม่ของเธอด้วยความแปลกใจปนกังวลเล็กน้อย เจนไม่ได้กังวลที่รินล่วงรู้ความลับนี้ของเธอ แต่ถ้าหากมีคนสังเกตเห็นได้มันก็หมายความว่าคนอื่นก็อาจล่วงรู้ได้ถึงความลับของเธอเช่นกัน!







    หลังดูพระอาทิตย์ขึ้นผ่านเหนือทะเลเมฆ เจนและรินก็พากันกลับไปที่ห้องของพวกเธอโดยเมื่อกลับไปถึงก็พบว่าทุกคนได้ตื่นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคิทซึเนะทำท่ากำลังจะออกไปตามหาเจนพอดิบพอดี แน่นอนว่าเจนต้องโดนคิทซึเนะโวยวายใส่ว่าทำไมถึงไม่ปลุกให้ตนไปด้วย แต่คำพูดทุกคำนั้นแฝงไปด้วยความห่วงใยจากจิ้งจอกน้อยทำให้เธอไม่รู้สึกแย่นักในแต่ละครั้งที่ต้องฟังเสียงว่าของคิทซึเนะ



    ระหว่างทางไปห้องอาหารเจนก็บอกให้พวกโจรู้เรื่องที่รินมองออกว่าตัวเธอเป็นผู้หญิงแล้ว ทั้งสองแสดงท่าทางตกใจอย่างที่เจนคาดแต่เธอกลับรู้สึกว่าทั้งสองแค่แสร้งทำจนออกนอกหน้าเท่านั้น บางทีสองคนนี้อาจจะมีเรื่องที่ปิดบังอะไรเธออยู่...หรือไม่ก็คิดว่าการปลอมตัวของเธอมันห่วยจนดูออกได้ไม่ยากตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้แต่จะไม่แน่ใจนักแต่เธอก็คิดว่าเป็นอย่างหลังมากกว่า บางทีเธออาจจะต้องคิดกลับไปแต่งตัวให้สมกับเป็นผู้หญิงอย่างที่ทั้งสองบอกเอาไว้ตั้งแต่แรกน่าจะดีกว่า แต่นั่นก็คงจะเป็นเรื่องที่เจนจะเก็บไว้คิดทีหลัง



    ห้องอาหารของเรือเหาะนั้นไม่ได้ใหญ่ไปกว่าห้องอาหารบนเรือล่องทะเลที่เจนเคยโดยสารนัก แต่ราคากลับมากกว่าสองเท่าเพราะความรวดเร็วในการเดินทางนั่นเอง ส่วนเรื่องอาหารนั้นมีหลากหลายกว่าและรสชาติอร่อยจนเรียกได้ว่าสมกับราคาตั๋วเลยทีเดียว แถมวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างนั้นเป็นทะเลเกรียวคลื่นสีขาวก็ดูแปลกไปอีกแบบ



    เจนนึกขึ้นได้ว่าเธอช่วยเหลือชาวเมืองไปเมื่อคืนน่าจะช่วยให้ภารกิจของเธอไม่มากก็น้อยจึงเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นมาดู



    ภารกิจผู้กล้า



    ให้ความช่วยเหลือชาวเมืองจำนวน 218/1000



    เจนตกใจกับจำนวนคนที่ถูกช่วยเหลือบนแถบความคืบหน้าของภารกิจ เธอไม่คิดเลยว่าคนที่ถูกจับจะมีจำนวนมากถึงขนาดนี้ แต่ก็เป็นเคราะห์ดีทั้งชาวเมืองและตัวเธอเองที่พวกเขาถูกเจนช่วยเอาไว้แล้วช่วยเสริมให้ภารกิจของเธอใกล้สำเร็จเข้าไปอีกด้วย นับว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝั่งเลยทีเดียว



    ถึงอย่างนั้นเจนก็ไม่รู้สึกชอบใจนักที่เธอมาใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือในการทำภารกิจเช่นนี้ ดังนั้นถ้าหากเธอเจอพวกเสือซ่อนลายเมื่อไหร่ล่ะก็เธอคงจะมีหลายเรื่องเกี่ยวกับกิลด์พิฆาตราชาที่ต้องไปปรึกษากับพี่ชายคนนี้อย่างแน่นอน



    และหนึ่งในนั้นก็คือการช่วยเหลืออามีร่าออกมาจากกิลด์พิฆาตราชา!



    เวลาในช่วงเช้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในตอนแรกเจนก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ขึ้นมาบนเรือเหาะที่เต็มไปด้วยทิวทัศน์แปลก ๆ มากมาย แต่สุดท้ายแล้วพวกเจนก็เริ่มรู้สึกเบื่อและพากันกลับไปที่ห้องพัก อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องใช้เวลาในการเดินทางนานเหมือนบนเรือเดินทะเลที่กินเวลาเป็นสัปดาห์ เพียงอดทนรอซักวันหนึงก็พอแล้ว



    แต่ทว่าเรื่องยุ่ง ๆ ที่คอยเข้ามาหานั้นมันไม่ต้องรอจนถึงพวกเจนถึงบนพื้น บนฟากฟ้าแสนว่างเปล่านี้นี่แหละที่เรื่องวุ่นวายจะบังเกิดขึ้น



    "มองอะไรอยู่งั้นหรือ" เจนหันไปถามรินเมื่อเห็นเพื่อนสาวจ้องเขม็งออกไปนอกหน้าต่างมาได้พักหนึ่งแล้ว รินดูท่าทางเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างแต่เหมือนยังไม่มั่นใจนักจึงส่ายหน้าไปมาและหันกลับมาหาเจน



    "เมื่อกี้ฉันแค่เห็นอะไรบางอย่างที่หางตา แต่ฉันลองดูแล้วมันไม่มีอะไร สงสัยคงตาฝาดไปเองน่ะ"



    "ว่าแต่นะ ริน เธอมีเลเวลเท่าไหร่กันแน่เนี่ย แล้วไอ้เครื่องป้องกันการตรวจสอบสถานะนั่นคืออะไรกันแน่" โจหันมาถามด้วยความสงสัยซึ่งเป็นคำถามที่เจาก็กำลังคิดจะพูดอยู่เช่นกัน



    หญิงสาวผมสั้นกระพริบตาปริบ ๆ อย่างกับไม่เข้าใจในคำถาม ทันใดนั้นเธอก็ทำท่าตีมือเสียงดังเหมือนกับว่านึกอะไรบางอย่างออก



    "อ๋อ ฉันอยู่ยศขุนนางแล้วล่ะ ส่วนเรื่องการตรวจสอบสถานะล่ะก็มันคือเสื้อคลุมที่ฉันสวมอยู่ตัวนี้ไง มันไม่มีค่าพลังป้องกันมากนักแต่ช่วยไม่ให้ผู้เล่นคนอื่นตรวจสอบเราได้ดีทีเดียวล่ะ อีกอย่างฉันก็ชอบมันด้วย ใส่แล้วดูเหมือนผู้ดีอังกฤษดีมั้ยล่ะ" รินว่าแล้วยืนโพสท่าโดยจับชายผ้าคลุมสีแดงเลิกขึ้นมาเหมือนกับเจ้าหญิง แว่บหนึ่งที่เจนเห็นหญิงสาวตรงหน้าอยู่ในชุดเจ้าหญิงจริง ๆ แต่เธอก็กลับมาเห็นภาพของเพื่อนสาวในชุดผ้าคลุมสีแดงและกางเกงหนังสีดำตามเดิม คงเป็นเพราะกิริยาท่าทางของรินเองที่ทำให้เจนถึงกับตาฝาดไป



    แม้ว่าทั้งสามคนจะตกใจกับระดับของรินแต่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรไปจากเดิมมากนัก การที่เธอรับมือกับพวกดีไนน์ได้โดยไม่มีแม้แต่บาดแผลนั้นถือเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอมีเลเวลสูงกว่าพวกเจนมาก ทว่าที่พวกโจให้ความสนใจมากกว่าในตอนนี้คือการปกปิดสถานะของตัวเอง เพราะตอนนี้มีเพียงแค่เจนที่มีตราสัญลักษณ์ที่สามารถปกปิดตัวเองได้ แต่ถ้าหากพวกกิลด์ราชาตามหาตัวเจนผ่านพวกโจล่ะก็มันคงมีค่าไม่ต่างกัน



    "ก็ดีนะ แต่ที่ฉันอยากจะรู้คือมันจะหาได้จากที่ไหน เวลาพวกกิลด์พิฆาตราชาตามล่าพวกเราจะได้พอหลบซ่อนตัวได้หน่อย" ชายหนุ่มจอมเวทสายฟ้าถามขึ้นอีกครั้ง



    "นี่นายเคยเข้าไปถามในร้านขายเสื้อผ้าดูหรือยังล่ะหือ ของแบบนี้มีขายอยู่ทุกร้านนั่นแหละ แถมยังมีบางร้านที่รับทำให้เสื้อผ้าที่สวมอยู่สามารถป้องกันทักษะตรวจสอบได้ด้วยนะ" รินพูด ทำให้โจที่ควรจะเป็นคนที่รู้ทุกเรื่องของเกมนี้หน้าแตก แจ็คที่นั่งดูเหตุการณ์หัวเราะสีหน้าของโจจนน้ำตาเล็ดคู่กับฟีบีที่หัวเราะตามโดยไม่รู้ว่าเขากำลังหัวเราะเพราะอะไรกันแน่



    "มีของแบบนั้นด้วยหรือเนี่ย... เอาตรานี่คืนแจ็คไปแล้วฉันเอาเสื้อคลุมตัวนี้ไปทำบ้างดีกว่าจะดีมั้ยนะ" เจนพูดพึมพำแต่เสียงของเธอก็ไม่อาจรอดหูของเพื่อนทั้งสามและจิ้งจอกน้อยไปได้



    "นี่ ถ้าเธอจะไปทำฉันว่าเอาเป็นชุดผู้หญิงดีกว่ามั้ง"



    "ใช่ เดี๋ยวแม่จริยากับด็อกเตอร์รู้ว่าเธอยอมแต่งเสื้อผ้าผู้หญิงน่ารัก ๆ ในเกมเดี๋ยวจะได้รางวัลนอกเกมด้วยไง"



    "จะไปทำชุดทำไมเล่าพวกนายนี่ หน้าตาอย่างเจนต้องทำพวกเครื่องประดับสิ"



    "ใช่แล้วค่ะ อย่างพี่เจนต้องใส่ของพวกตุ้มหูสวย ๆ จะยิ่งทำให้หน้าตาดูดีขึ้นนะคะ"



    เสียงพูดคุยกันนัวไม่ได้คิดจะปรึกษาคนที่จะต้องเป็นคนแต่งกายตามที่พวกนั้นพูดบ้างเลย แม้กระทั่งคิทซึเนะก็ยังเป็นไปกับเขาด้วย เมื่อสังเกตดี ๆ ก็พบว่าที่หัวของเจนมีเครื่องประดับเป็นกิ๊บหนีบผมสีแดงดูเขากับเธอประดับอยู่ น่าสงสัยจริง ๆ ว่าตอนที่เจนปล่อยให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองไปเที่ยวกันเองนั้นไปเจออะไรมาบ้าง เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้จิ้งจอกสาวผู้อ่อนต่อโลกกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่นำเทรนแฟชั่นไปซะแล้ว



    ทันใดนั้นเองระหว่างที่ทั้งสี่คนคุยกันรวมทั้งเจนที่ต้องนั่งฟังไปด้วยจนไม่ได้สังเกตที่นอกหน้าต่างกำลังมีอะไรบางอย่างกระโดดพุ่งขึ้นมาจากหมู่เมฆ และไม่ได้มีเพียงแค่ตัวเดียวแต่มีเป็นนับร้อยตัว ทว่าการเคลื่อนไหวของมันนั้นพลิ้วไหวและสงบนิ่งจนไม่มีใครบนเรือได้ทันสังเกต ถ้าหากมีเสียงใด ๆ ตอนที่มันเคลื่อนที่ด้วยเสียงลมไปจนสิ้นแล้ว



    ทว่ากลับมีดวงตาเล็ก ๆ กำลังจ้องมองพวกมันผ่านหน้าต่างของห้องที่เจนอยู่ ฟีบีมองเห็นพวกมันกระโดดผ่านหมู่เมฆราวกับเป็นปลาโลมาอยู่บนท้องทะเล รูปร่างของมันเองก็มีลักษณะคล้ายกับปลาอยู่ไม่น้อย ร่างสีขาวกลมกลืนไปกับผิวเมฆที่เรียวเล็กมีขนาดพอ ๆ กับปลาสวายทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ครีบของมันยาวและกว้างเหมาะสำหรับใช้เป็นปีกบิน แต่ครีบหลังที่ไม่มีความจำเป็นบนท้องฟ้าแห่งนี้กลับมาขนาดและความยาวพอ ๆ กันทำให้น่าสงสัยว่ามันเองไว้เพื่ออะไร



    ทุกอย่างที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในสายตาของมังกรน้อยหมดแล้ว ทว่าเธอกลับคิดว่าสิ่งที่เธอเห็นไม่ได้มีภัยจึงหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงระรื่นจนคนอื่น ๆ ในห้องไม่ได้สังเกต



    ตูม!!!



    เสียงระเบิดดังสนั่นมาจากด้านนอกลำเรือ แรงสั่นสะเทือนทำให้เรือเหาะถึงกับเอนเอียงจนเจนรู้สึกใจหาย ทั้งสี่หันหน้ามามองกันด้วยอาการสงสัยไม่แตกต่างกัน ทุกคนรู้ทันทีว่าตอนนี้เรือกำลังเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นแล้ว



    "นั่นมันเสียงระเบิดนี่ เกิดอะไรขึ้น!" แจ็คพูดเสียงดังแล้วหันออกไปมองนอกหน้าต่างแต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร



    "อย่าบอกนะว่าพวกเราถูกโจรสลัดปล้นอีกแล้ว บนนี้ยังสลัดอากาศด้วยงั้นหรอ" เจนหันไปถามโจซึ่งตอนนี้ก็มีสีหน้าตื่นตกใจไม่ต่างกัน ในตอนนี้ภาพลักษณ์ของโจรสลัดในสายตาเจนนั้นมีกัปตันคิดด์อยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากเธอไปเจอคนที่มีนิสัยอย่างเขาอีกล่ะก็คงมีหวังหัวระเบิดตายแน่ ๆ



    "ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ เรือเหาะเพิ่งจะมีมาได้แค่เดือนสองเดือนในเกมเท่านั้นเอง แถมฉันก็ได้ข่าวมาว่าราคาในการผลิตเรือเหาะแต่ละลำไม่ใช่น้อย ๆ ไม่น่าจะมีโจรคนไหนน่าจะสร้างได้ในตอนนี้หรอก... แต่ก็ไม่รู้สิ อาจมีโจรขโมยเรือเหาะมาก่อนหน้านี้ก็ได้" โจกล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักเพราะเรื่องนี้เขาเองก็ไม่ได้หาข้อมูลเอาไว้



    ครืน!!!



    เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งแต่เบากว่าครั้งแรก ทว่าสิ่งที่ตามมานั้นกลับทำให้เจนตกใจมากยิ่งกว่าแรงสั่นสะเทือน เพราะตอนนี้เรือเหาะกำลังเอียงไปด้านข้างและกำลังลดระดับความสูงลงอย่างรวดเร็วจนดูราวกับว่ากำลังจะร่วงลงจากฟ้า!



    พวกเจนกลิ้งไปบนพื้นตามแรงโน้มถ่วง เจนพยายามคว้าร่างของฟีบีไม่ให้พุ่งเข้าใส่กำแพงได้ทันเวลาก่อนจะตีลังกากลับลงมายืนได้อย่าปลอดภัยเช่นเดียวกับรินและคิทซึเนะ ส่วนสองหนุ่มนั้นโชคร้ายเพราะจุดที่ทั้งสองอยู่นั้นอยู่ตรงบริเวณประตูห้องพอดี ทำให้ทั้งคู่พุ่งออกนอกห้องไปทันที



    รินและคิทซึเนะที่เห็นทั้งสองหลุดหายไปก็รีบกระโดดตามไปทันที ส่วนเจนนั้นรีบเก็บฟีบีเข้าไปในดาบแล้วจึงตามไปทีหลัง



    เมื่อออกมานอกห้องก็พบว่าในตอนนี้เจนกำลังยืนอยู่บนผนังทางเดินในขณะที่เพื่อน ๆ ของเธอกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ ถึงแม้จะดูแปลกดีแต่มันไม่ดีแน่เพราะมันหมายความว่าเรือกำลังเอียง 180 องศาและกำลังร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่าง



    ตึง!!



    เสียงดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่ใช่เสียงระเบิด ตัวเรือเริ่มยกตัวขึ้นกลับมาตั้งตรงตามเดิมท่ามกลางความตื่นตกใจของเหล่าลูกเรือและผู้โดยสารที่ต่างเปิดประตูออกมาสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



    "ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ล่ะเนี่ย แต่ดูท่าคนอื่น ๆ ก็คงจะไม่รู้เรื่องเหมือนกันแฮะ" โจมองดูผู้เล่นที่ออกมาในสภาพเตรียมพร้อมแต่จากสีหน้าของแต่ละคนยังเต็มไปด้วยคำถามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



    "ฉันว่าพวกเราเตรียมตัวแล้วรีบขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือกันดีกว่า ถ้าหากมีอะไรจะได้ช่วยพวกลูกเรือได้" รินว่า



    ทั้งสี่พยักหน้ารับคำแล้วจึงรีบสวมชุดพร้อมรบของตน จากนั้นจึงพากันตรงไปยังดาดฟ้าเรือ ที่ซึ่งผู้เล่นหลายคนต่างกำลังไปเช่นเดียวกัน







    เมื่อวิ่งมาถึงบนดาดฟ้าเจนก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า เหล่าผู้เล่นหลายคนพร้อมทั้งลูกเรือต่างนอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้นโดยไม่มีใครยืนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว เมื่อพอจะมองหาผู้ที่โจมตีเรือเหาะและเหล่าผู้บาดเจ็บนี้ ทว่ากลับไม่มีใครอื่นที่อยู่บนดาดฟ้านอกจากคนเหล่านี้และพวกเจนกับผู้เล่นอื่น ๆ ที่เพิ่งจะมาถึง



    "นี่มันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนทำกัน!" เจนรีบก้มลงดูอาการของลูกเรือที่อยู่ใกล้ที่สุด เขาอาการไม่ได้สาหัสมากนัก เขามีบาดแผลเล็ก ๆ อยู่ทั่วตัวราวกับโดนมีดบาด โดยรูปแบบของแผลในแต่ละคนนั้นบอกได้เลยว่าใครหรืออะไรที่ทำเช่นนี้ได้ต้องมีความเร็วที่สูงมากและไม่ได้ทำการเล็งให้ดีตอนลงมือ ทำให้บางคนมีบาดแผลไม่หนักมากในขณะที่บางคนถูกกรีดเข้าที่อวัยวะสำคัญจนต้องได้รับการปฐมพยาบาลโดยเร่งด่วน



    มองไปรอบ ๆ เจนก็เห็นร่องรอยบนตัวลำเรือที่ดูคล้ายกับรอยใบมีดกรีดขนาดใกล้เคียงกับแผลที่พวกลูกเรือโดนอยู่ทั่วลำ มีควันไฟพุ่งออกมาจากผลึกหินที่ลอยอยู่ด้านข้างเรือโขมงจนดูน่ากลัว รอยบาดบนผลึกหินนั้นบ่งบอกว่ามีบางอย่างพยายามจะทำลายผลึกทำให้เรือถึงกับสูญเสียพลังที่จะลอยไปชั่วครู่ โชคดีที่มันสามารถจะกลับมาทำงานได้อีกครั้งแม้จะยังดูร่อแร่ พังแหล่มิพังแหล่ก็ตาม มิเช่นนั้นถ้าหากผลึกอีกด้านโดนทำลายล่ะก็มีหวังเรือลำนี้ได้เป็นทัวร์นรกดิ่งพสุธาแบบที่เจนเคยเจอมาตอนเริ่มเกมแน่



    "พี่เจน ดูนั่น!!" เสียงเรียกของคิทซึเนะทำให้เจนหันมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ออกไปบนฟากฟ้า



    สิ่งที่เห็นนั้นทำให้เจนถึงกับรู้สึกว่าน้ำลายเหนียวไปถนัด เพราะตรงหน้าของเธอคือฝูงปลาบินที่มีครีบเป็นใบมีดคมกริบจำนวนนับพัน



    จบตอนที่ 26 ช่วยเหลือ
    -------------------------------

  22. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  23. #38
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนพิเศษ เรื่องวุ่น ๆ ของจิ้งจอกสาวและมังกรน้อย

    ตอนพิเศษ เรื่องวุ่น ๆ ของจิ้งจอกสาวและมังกรน้อย





    ระฆังแก้วใบใหญ่ล่องลอยอยู่กลางท้องฟ้า ดวงตาสีฟ้าจดจ้องระฆังใบนั้นด้วยความหลงใหลเพราะเธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ยิ่งดูก็ยิ่งเพลินไม่มีเบื่อ มือน้อย ๆ จะยื่นออกไปหาเพราะอยากจะลองสัมผัสผิวที่เรียบวาวของมัน จนเด็กสาวมีความรู้สึกแปลกประหลาดรวมกับว่าเธอกำลังจะบินไปหาระฆังนั้น



    "ฟีบี มัวเหม่ออะไรอยู่" เสียงหวานดังมาจากด้านหลังพร้อมกับมือบางวางที่ไหล่น้อย ๆ ทำให้เจ้าของเรือนผมสีฟ้าต้องหันไปมอง



    เมื่อเธอเห็นว่าใครเป็นผู้ที่เรียกเธอไปก็ยิ้มกว้างออกมาและเรียกชื่อของหญิงสาว



    "พี่คิทซึเนะ!" ร่างบางพุ่งตัวกระโดดกอดพี่สาวต่างสายพันธ์ด้วยความดีใจเละรับไอศกรีมสีชมพูโคนใหญ่มาเลียกินอย่างเอร็ดอร่อย โดยที่ในมือของคิทซึเนะเองก็มีไอศกรีมก้อนสีเขียวอยู่เช่นกัน



    จิ้งจอกสาวแลบลิ้นเลียรสชาติเปรี้ยวของไอศกรีมในมืออย่างอารมณ์ดีเพราะเจนบอกให้เธอและมังกรน้อยน้องสาวไปเที่ยวเล่นในเมืองได้ตามอิสระ ส่วนตัวเจ้านายเธอนั้นไปกับพวกโจโดยก่อนหน้านี้ทั้งสามคนดูเหมือนจะทะเลาะกันด้วย แม้เธอจะรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้างแค่เมื่อเจนบอกให้เธอพาฟีบีไปเที่ยวในเมืองกันสองคนก็คงปฎิเสธไม่ได้ หวังว่าทั้งสามคนคงจะเข้าใจกันได้เมื่อเธอกลับไปแล้ว



    ก่อนจากมาเจนให้เงินจำนวนหนึ่งเอาไว้กับคิทซึเนะราว ๆ สองหมื่นโกลด์ ส่วนตัวเธอนั้นยังมีเงินเหลืออยู่กับตัวอีกหมื่นกว่าโกลด์ จากที่เธอไปซื้อเสื้อผ้ามาก่อนหน้านี้ ทำให้ตอนนี้คิทซึเนะมีเงินอยู่เกือบสี่หมื่นโกลด์ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับชาวเมืองหรือสัตว์อสูรของผู้เล่น ถ้าหากเจนออฟไลน์ไปคิทซึแนะก็สามารถอยู่ได้ด้วยเงินจำนวนนี้เป็นเดือนเลยทีเดียว



    ครั้นจะพามังกรน้อยไปเดินเที่ยวแต่คิทซึเนะเองก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี เธอคิดได้แค่พาไปหาของอร่อย ๆ กินเท่านั้นซึ่งร้านไอศกรีมนี้ก็เป็นร้านที่สี่แล้วที่ทั้งสองแวะเข้ามา แต่กระเพาะของทั้งคู่ที่เหมือนหลุมดำนั้นยังคงยากที่จะเติมเต็ม



    ยังมีสถานที่อีกแห่งที่คิทซึเนะรู้สึกติดใจอยู่ เธอพาฟีบีเดินไปยังร้านขายเสื้อผ้าที่ก่อนหน้านี้เธอรบเร้าเจนให้พาเข้ามา แต่พอเธอเห็นอาการผิดปกติของพี่สาวคนนี้จึงยังไม่ได้เลือกซื้อเสื้อผ้าได้อย่างหน่ำใจ ต้องรีบออกมาตามเจนซะก่อน



    เหลือบไปมองดูฟีบียังคงเอร็ดอร่อยกับไอศกรีมในมือจึงคิดจะแวะเข้าไปดูหน่อยคงไม่เป็นอะไร ถึงอยากจะทำหน้าที่พี่สาวของตนมากเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เธออยากจะไปดูเสื้อผ้าสวย ๆ มากกว่า



    เดินเข้าไปในร้านที่ยังคงมีเด็กสาวอยู่เป็นจำนวนมากเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นนักผจญภัยสาวหรือชาวเมืองจำนวนมากก็ต่างเดินดูเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังราวกับกำลังเดินเข้าไปสู่สนามรบ น่าแปลกที่คิทซึเนะเองก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเช่นเดียวกัน



    ส่วนผู้ชายในร้านก็มีอยู่บ้างแต่จำนวนบางตากว่า ส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นพนักงานของทางร้านก็จะเป็นคนจะคอยถือของทำหน้าเบื่อโลกนั่งอยู่ที่จุดพักราวกับเป็นการรวมกลุ่มประชุมชาย แต่ก็มีผู้ชายบางคนที่เขาไปเลือกเสื้อผ้าปนรวมอยู่กันกับเหล่าผู้หญิงด้วย โดยเฉพาะการแต่งกายที่สีฉูดฉาดและแต่งหน้าซะหนาเตอะทำให้คิทซึเนะสงสัยแต่ก็ไม่ได้เข้าไปคุยกับผู้ชายเหล่านั้น



    เมื่อมองไปยังเสื้อผ้าบนราวก็ทำให้หัวใจของจิ้งจอกสาวพองโต สีสันและความหน้ารักของเสื้อผ้านั้นกำลังตะโกนบอกให้เธอเข้าไปหามัน ราวกับถูกสะกดจิต คิทซึเนะค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ แต่ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกเย็นที่มือ พอมองลงไปก็เห็นไอศกรีมที่เธอถืออยู่กำลังจะละลาย ทำให้หญิงสาวมองไประหว่างเสื้อผ้าชุดสวยกับไอศกรีมในมือว่าจะทำอะไรก่อนดี



    ใจหนึ่งก็อยากจะกินไอศกรีมให้หมดเพราะถ้าละลายไปก็น่าเสียดาย แต่อีกใจก็กลัวจะโดนคนอื่นแย่งเสื้อผ้าที่หมายตาเอาไว้ ในหัวมีความคิดสองฝ่ายต่างตีกันจนวุ่นวาย ทว่าในที่สุดความคิดด้านเสื้อผ้าก็เป็นฝ่ายชนะ



    คิทซึเนะนำไอศกรีมรสมะนาวของเธอยัดมือของฟีบีที่กำลังเลียไอศกรีมรสสตอเบอรี่ของตนแล้วหันมาพูดเสียงเข้ม



    "กินไอศกรีมเสร็จแล้วรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวพี่มา" ว่าแล้วเธอก็มุ่งหน้าตรงไปหาชุดสวยที่เธอหมายตาอยู่ทันที



    ฟีบีจ้องมองสลับระหว่างพี่สาวจิ้งจอกกับไอศกรีมในมือของเธอด้วยความสงสัยแต่ก็ถูกลืมเลือนไปพร้อมกับรสเปรี้ยวหวานอร่อยของไอศกรีมในมืออีกข้างไปซะสิ้น



    โชคดีที่ตอนนี้ฟีบีสนใจไอศกรีมในมือมากกว่าเสื้อผ้ารอบ ๆ ตัว คงเป็นเพราะยังเด็กเกินกว่าจะสนใจในเรื่องแบบนี้แต่ก็ทำให้คิทซึเนะมีเวลาอีกซักพักในการที่จะหาเสื้อผ้าสวย ๆ ได้ซักตัวสองตัว



    จิ้งจอกสาวเริ่มจากค้นเสื้อราวแล้วราวเล่าแต่ก็ยังไม่เจอชุดที่ตัวเองสนใจ ครั้งมีชุดที่ต้องตาก็ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นซะแล้ว จึงทำให้เธอต้องก้มหน้าก้มตาค้นหาต่อไป



    ตอนนั้นเองที่นัยน์ตาสีเหลืองทองเหลือบไปเห็นชุดสีขาวต้องตา มือยาวรีบคว้าไปที่ชุดนั้นอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะมีใครมาแย่งไป เมื่อหยิบชุดมาดูให้ดีก็พบว่าชุดนี้เป็นเดรสผ้าสีขาวตัวเดียวกับที่พี่สาวของเธอจ้องมาก่อนหน้านี้นี่เอง



    คิทซึเนะรู้ทันทีว่าทำไมเธอถึงรู้สึกชอบชุดนี้ ไม่ใช่เพราะว่ามันเหมาะกับตัวเธอ แต่เป็นเพราะว่ามันเหมาะกับเจนต่างหาก



    "ว้าย! ชุดสีขาวตัวนี้ดูน่ารักจังเลย!" เสียงหวานดังมาจากด้านหลังของคิทซึเนะ เสียงนั้นดูคล้ายกับเสียงของใครบางคนที่เธอฟังเสียงอยู่ทุกวันจนเธอเกือบจะเรียกชื่อขึ้นมา แต่พอหันกลับไปมองก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นไม่ได้เป็นคนเดียวกับที่เธอคิด



    เจ้าของเสียงนั้นเป็นหญิงสาวผมสีดำยาวสลวย ดวงตาสีน้ำตาลของเธอดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด แต่สิ่งที่ทำให้คิทซึแนะรู้สึกคุ้นกับหญิงสาวคนนี้คือโครงหน้าที่ดูคล้ายกับใครบางคนที่เธอรู้จัก



    "อ๊ะ ขอโทษทีนะคะ พอดีชุดนั้นน่ารักมาเลยไม่ได้สังเกตว่ามีคนกำลังดูอยู่” หญิงสาวคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรและแสดงออกว่าเสียใจจริง ๆ ทำให้คิทซึเนะยิ่งรู้สึกดีกับเธอมากขึ้น



    "ไม่เป็นไรค่ะ" จิ้งจอกสาวตอบพร้อมกับรอยยิ้มตามที่เจนสอนเธอเอาไว้ว่า 'หากคนอื่นทำดีกับเราให้ทำดีตอบ แต่ถ้าหากมีคนมาทำไม่ดีกับเราให้เอาคืนเป็นสองเท่า'



    "จริยา เธอหาชุดที่ถูกใจได้หรือยัง นี่เธอถึงเมืองไหนก็เข้าแต่ร้านขายเสื้อผ้าตลอดเลยนะ" อีกเสียงดังมาจากด้านหลังของหญิงสาวตรงหน้าของคิทซึเนะที่ตอนนี้รู้แล้วว่ามีชื่อ จริยา



    หญิงสาวที่มาใหม่นั้นมีรูปร่างผอมสูงเหมือนกับนางแบบ เธอมีดวงตาสีม่วงอยู่ภายใต้แว่นไร้กรอบ ผมสีดำยาวดูมีเสน่ห์ที่ให้ความรู้สึกแบบผู้ใหญ่ต่างไปจากจริยา จิ้งจอกสาวรู้สึกว่าเธอคนนี้มีแรงดึงดูดมากกว่าซะอีก



    เธออยู่ในชุดผ้าสีดำเข้ากับสีผม ท่าทางของเธอแม้จะดูคล้ายกับนักเวททั่วไปแต่สัญชาติญาณจิ้งจอกของคิทซึเนะบอกตัวเธอว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนเจ้าเล่ห์ไม่เบา ทำให้คิทซึเนะรู้สึกไม่ชอบในตัวของผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่แรกเห็นแต่ก็ได้เก็บเอาไว้ในใจเพราะหญิงสาวตรงหน้ายังไม่ได้ทำอะไรให้เธอเดือดร้อนซักหน่อย



    จริยาได้ยินเพื่อนของตนพูดก็ยิ้มให้ก่อนจะตอบ



    "แหมเกอร์ธูท ก็ชุดสวย ๆ มันเยอะมากเลยนี่นา แบบนี้จะห้ามใจอยู่ได้ยังไงล่ะ" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทำให้หญิงสาวที่ชื่อเกอร์ธูทส่ายหน้า



    "ก็บอกแล้วไงว่าให้เรียกฉันแค่ธูทก็พอ เรียกชื่อเต็มแบบนี้เดี๋ยวคนอื่นรู้ก็เกิดเรื่องยุ่งซะเปล่า ๆ"



    "ขอโทษทีจ๊ะ เกอ..ธูท" จริยาตอบด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ถึงเกอร์ธูทจะถอนหายใจออกมาเพราะนิสัยของหญิงสาวตรงหน้าแต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้



    จริยาหันกลับมาหาคิทซึเนะที่ยืนอยู่ที่เดิม



    "ว่าแต่เธอเองก็ดูเหมาะกับชุดนี้นะ แต่สีผมมันไม่ค่อยเข้ากันกับสีชุดเท่าไหร่" จริยาวิจารณ์พร้อมกับมองสลับระหว่างคิทซึเนะและชุดเดรสขาวในมือ พบว่าสีของชุดนั้นกลืนไปกับสีผมของคิทซึเนะจนกลับจุดเด่นของชุดไปซะหมด



    "เปล่าค่ะ หนูไม่ได้คิดจะซื้อไปใส่เองหรอกค่ะ จะซื้อไปให้พี่สาวของหนู" คิทซึเนะตอบ แม้ว่าเธอจะคิดว่าที่จริยาพูดออกมาก็เพื่อตะล่อมเอาชุดนี้ไปจากเธอ แต่ในใจของคิทซึเนะกลับไม่คิดว่าหญิงสาวตรงหน้าจะทำเช่นนั้นได้ลง เมื่อเธอลองเอาชุดทาบกับอกแล้วมองตัวเองผ่านกระจกก็พบว่าสีผมชองเธอมันกลืนไปกับสีชุดจริง ๆ อย่างที่ว่าไว้



    "อย่างเองหรอเนี่ย... ฉันเองก็น่าจะซื้อชุดไปเผื่อลูกสาวบ้างดีมั้ยน้า"



    "ลูกสาวหรือคะ... แต่หน้าของคุณจริยายังดูอายุยังน้อยอยู่เลยนะคะ" คิทซึเนะรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพราะเธอพูดในสิ่งที่เธอคิดออกไปเมื่อได้ยินคำพูดจริยา



    หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจแล้วจ้องไปที่หน้าขาวของจิ้งจอกน้อยที่มีสีแดงระเรื่อขึ้นมาจากอาการอาย



    "ขอบใจมากจ๊ะ ฉันถือว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกันนะ ตอนนี้ฉันเพิ่งอายุสามสิบแปดเองนี่เนอะ" เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากลำคอระหง แต่เมื่อเธอเห็นดวงตาสีเหลืองของคิทซึเนะจ้องมาที่เธอ ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวและความคิดนั้นก็ทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจริยา



    "ฉันมีชื่อว่าจริยา ส่วนนี่เพื่อนของฉันเองมีชื่อว่าธูท แล้วเธอล่ะจ๊ะมีชื่อว่าอะไร"



    "คิทซึเนะค่ะ" จิ้งจอกสาวตอบชัดถ้อยชัดคำโดยไม่คิดจะปฏิเสธ



    "หน้าตาก็สวยชื่อก็น่ารัก แต่ชุดของเธอมันออกจะเก่าไปหน่อยนะ ให้ฉันเลือกชุดให้เธอดูดีมั้ย"



    คนฟังได้แต่ยืนตาปริบเพราะจู่ ๆ หญิงสาวตรงหน้ามาเสนอช่วยเธอซะอย่างนั้น แต่ข้อเสนอของเธอก็ทำให้คิทซึเนะสนใจอยู่ไม่น้อย



    ไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ ทั้งสิ้น จริยาก็ลากตัวคิทซึเนะไปทันทีโดยไม่ฟังคำตอบรับของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย เธอหยิบเสื้อแล้วมาทาบตัวของคิทซึเนะจากราวสู่อีกราวอย่างรวดเร็วจนตัวจิ้งจอกสาวเองก็ยังตกใจ สาวตาที่เคยอ่อนโยนกลับคมกริบมองเสื้อผ้าไปตัวแล้วตัวเล่าที่เหมาะเข้ากับตัวของคิทซึเนะ เมื่อพบตัวที่ใช่เธอก็โยนใส่แล้วพาไปเลือกชุดอื่นต่อ ทิ้งให้เกอร์ธูทมองตามแต่เธอชินซะแล้วกับนิสัยของเพื่อนของเธอคนนี้



    ทางคิทซึเนะเองก็ไม่ได้ต่อต้าน ยิ่งเดินไปกับจริยาเธอก็ยิ่งพบว่าเสื้อผ้านับสิบตัวได้ถูกโยนให้เธอถือจนเต็มมือ ทว่าแต่ละตัวนั้นถือว่าเป็นเพชรในตม ลวดลายสีสันนั้นเหมาะกับตัวของคิทซึเนะมากจนเธอสงสัยว่าหญิงสาวสามารถเลือกชุดให้เธอได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่เพิ่งพบกันเท่านั้นเอง



    แต่เหตุการณ์นี้ก็เป็นโอกาสดีที่เธอจะได้ศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ(?) เมื่อครั้งต่อไปที่เธอเดินตลาดกับซินจู เธอจะทำให้พี่สาวของเธอต้องตะลึงและอิจฉากับทักษะการแต่งตัวที่เรียนรู้มาจากจริยาจนถึงแก่นเลยทีเดียว







    ฟีบีที่เพิ่งกัดไอศกรีมคำสุดท้ายหมดไปก็กำลังมองหาตัวพี่สาวจิ้งจอกของเธอที่ตอนนี้คงกำลังไปเรียนวิชากับจริยาอยู่ มังกรน้อยจึงได้แต่ยืนรอเพราะที่คิทซึเนะสั่งเธอเอาไว้



    ตอนนั้นเองที่ดวงตาสีฟ้าหันไปเจอกับระฆังแก้วผ่านหน้าต่างของร้าน ร่างน้อย ๆ เดินออกไปอย่างไม่รู้ตัวโดยมีเป้าหมายเป็นสิ่งที่เธอตั้งมั่นเอาไว้ตั้งแต่แรก ด้วยขนาดตัวที่เล็ก ความสูงไม่ถึง 140 เซนติเมตรทำให้ไม่มีใครทันสังเกตฟีบีเลยแม้แต่น้อย เธอเดินออกไปตามทางในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ระฆังคริสตัลเหนือปราการสูง น่าทึ่งเธอไม่เดินชนอุปสรรคใด ๆ อย่างน่าประหลาด



    เมื่อเดินเข้ามาถึงในตรอกแห่งหนึ่ง ร่างของมังกรน้อยก็ลอยขึ้นสูงราวกับมีปีกอยู่ที่หลังของเธอ ฟีบีบินสูงขึ้นเหนืออาคารรอบตัวแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเธอเลยแม้แต่น้อย ผู้คนเบื้องล่างต่างสนใจแต่ธุระของตนโดยไม่คิดจะมองขึ้นมาที่ระฆังคริสตัลที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเลยแม้แต่คนเดียว



    ในที่สุดฟีบีก็ลอยขึ้นมาถึงตัวระฆัง มือบางยื่นออกไปสัมผัสกับผิวแก้วด้านหน้า ความรู้สึกที่ได้นั้นแทนจะเป็นความร้อนของผิวแก้วที่ต้องแสงแดด ฟีบีกลับรู้สึกเย็นสบายราวกับไม่มีแสงอาทิตย์ส่องไปยังระฆังแก้วตรงหน้า ใบหน้าบางยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างชอบใจเพราะเธอได้ทำในสิ่งที่เธออยากจะทำสำเร็จแล้วนั่นก็คือการสัมผัสระฆังคริสตัลใบนี้



    จุดประสงค์ของมังกรน้อยที่อยากจะทำนั้นไม่ได้มีอะไรลึกลับซับซ้อน ที่เธอทำลงไปก็เป็นเพราะว่าเธออยากจะทำ ถึงจะเป็นมังกรแค่เธอก็ยังคงเป็นลูกมังกรตัวน้อยที่ถูกเลี้ยงดูมาจากมนุษย์และจิ้งจอกน้อยทำให้ไม่ได้มีลำดับความคิดตามสัญชาติญาณอย่างเช่นมังกรหรือสัตว์ทั่วไป ความคิดของเธอนั้นไร้เดียงสาและบริสุทธิ์อีกทั้งยังเรียบง่ายแต่มันก็เติมเต็มความสุขจนทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างร่าเริง



    ทว่าตอนนั้นเองที่ระฆังแก้วกลับส่องสว่างขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้คนจำนวนมากที่บังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้จึงพากันชี้ขึ้นมาที่ระฆังแสงอย่างตื่นตกใจ ผู้เล่นก็พากันคิดไปว่ากำลังจะมีอีเวนท์พิเศษเกิดขึ้นซึ่งทำให้ในเวลาต่อมาจะมีผู้คนหลั่งไหลมาที่เมืองคริสตัลเบลเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นจำนวนมากเพราะเหตุการณ์นี้



    ร่างเรืองแสงตัวเล็กจิ๋วเท่านิ้วก้อยลอยออกมาจากระฆังที่ค่อย ๆ จากแสงลงอย่างรวดเร็ว ร่างนั้นบินวนตัวของฟีบีที่มองตามด้วยความสนุกสนานก่อนจะบินหลบเข้าไปในชุดของมังกรน้อย เมื่อเธอลองแหวะเสื้อในจุดที่ร่างเรืองแสงพุ่งเข้าไปหลบดูแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า



    มันหายไปแล้ว



    หลังจากพยายามหาอยู่นานฟีบีก็ยอมแพ้และหันไปมองรอบตัวอีกครั้งก็พบกับดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยบ่าย เธอนึกขึ้นได้ถึงคำที่คิทซึเนะได้บอกเธอเอาไว้ให้รออยู่ที่เดิมจึงรีบบินกลับไปที่ร้านขายเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว



    แน่นอนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดต่างอยู่ในสายตาของผู้ที่กำลังเฝ้ามองอยู่ ผู้คนหลายสิบต่างวิ่งตามร่างที่ลอยลงมาจากระฆังแก้วที่จากแสงลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เห็นใบหน้าของคนที่ลอยเข้าไปหาระฆังคริสตัลเพราะระดับความสูง แต่พวกเขาก็เห็นจุดที่ร่างนั้นร่อนลงสู่พื้นได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อมาถึงกลับไม่พบใครทำให้คนเหล่านั้นพากันตระเวนค้นหาร่างนั้นจนพากันเกิดความวุ่นวานไปทั่วบริเวณ เป็นโชคดีของฟีบีที่ไม่มีใครสงสัยเด็กตัวเล็กอย่างเธอแน่นอน



    ร่างน้อยพุ่งลงมาด้วยความเร็วเร็วและเงียบเฉียบลงในตรอกเดิมที่เธอบินออกมาแล้วจึงวิ่งตรงกลับไปยังร้านขายเสื้อผ้าที่พี่สาวของเธอพาเข้าไปโดยปราศจากผู้รบกวน เมื่อกลับมาถึงฟีบีก็ยังไม่เห็นเงาของพี่สาวของเธอเลย แต่ไม่ต้องคอยนานเธอก็เห็นคิทซึเนะเดินตรงมาหาเธอพร้อมกับถุงใส่เสื้อผ้าในมือด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข



    "ยิ้มแบบนี้แปลว่าพี่คิทซึเนะไปเจออะไรดี ๆ เข้าหรอคะ" มังกรน้อยถาม



    จิ้งจอกสาวหันมายิ้มให้กับน้องสาวแล้วจึงตอบคำ



    "จ๊ะ เรื่องดีมาก ๆ เลยล่ะ พี่ของโทษนะที่วันนี้ไม่ได้พาไปเที่ยว" คิทซึเนะพูด เธอรู้สึกไม่ค่อยดีนักเพราะวันนี้เธอเอาแต่ไปยังสถานที่ที่ตัวเธออยากไปโดยทิ้งให้น้องสาวของเธออยู่คนเดียว



    ฟีบีได้ยินจึงส่ายหน้าเบา ๆ แล้วยิ้มออกมา



    "ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ วันนี้หนูเองก็เจอเรื่องดี ๆ เหมือนกัน"



    ถึงแม้คิทซึเนะจะแปลกใจกับคำพูดของฟีบีอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก สงสัยคงเป็นเพราะเธอได้กินไอศกรีมเยอะจึงอารมณ์ดีเช่นนี้ ดังนั้นก่อนจะกลับไปยังจุดนัดพบที่เจนได้บอกเอาไว้เธอจึงแวะซื้อไอศกรีมให้กับน้องสาวของเธออีกหนึ่งโคนเพื่อเป็นการไถ่โทษ เธออาจจะไม่มีวันได้รู้เลยว่าความจริงแล้วน้องสาวของเธอได้ไปทำอะไรบ้างในวันนี้



    จบตอน
    --------------------------------


  24. #39
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 27 พลังใหม่ 'ผสาน'

    ตอนที่ 27 พลังใหม่ 'ผสาน'



    ฝูงปลาบินได้นับร้อยพุ่งเข้าใส่เรือเหาะราวกับคลื่นที่สาดซัดเข้าตัวเรือ เพียงแต่คลื่นน้ำไม่ได้มีปลาที่มีครีบเป็นใบมีดคมกริบเช่นนี้ ถึงแม้ว่าตัวเรือเหาะจะถูกออกแบบมาให้คงทนต่อแรงกระแทกและแข็งแกร่งพอที่จะเหาะฝ่าพายุได้ ทำให้ใบมีดของปลาเหล่านี้ไม่ระคายผิวของตัวเรือเท่าไรนัก ทว่าหินผลึกเวทที่เป็นสิ่งที่ทำให้เรือเหาะลอยขึ้นฟ้านั้นกลับเป็นจุดอ่อนหลักของเรือเพราะติดอยู่ขางลำเรือจนแทบจะไร้การป้องกัน เมื่อโดนใบมีดโจมตีมากเข้า ผลึกหินก็สูญเสียพลังจนเรือเกือบจะตก โชคดีที่ผลึกลอยตัวกลับมาทำงานอีกครั้งทันเวลา



    แต่สถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่นัก ยิ่งตอนนี้ลูกเรือส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้า หากผลึกหินลอยตัวเกิดสูญเสียพลังอีกครั้งล่ะก็ มีหวังคราวนี้ได้ตกจากฟ้าจริง ๆ แน่



    ปลาบินครีบใบมีด ชั้นทหาร ระดับ80

    ปลาบินเป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไปตามน่านฟ้าเหนือท้องทะเล ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ปกติจะมีนิสัยรักสงบ แต่ถ้าหากถูกรุกรานในพื้นที่อยู่อาศัยล่ะก็จะร่วมกันขับไล่อย่างทันที

    แพ้สายฟ้า พลังป้องกันธาตุแสงและน้ำสูง



    เจนใช้ทักษะตรวจสอบอย่างยากลำบากเพราะต้องวิ่งหลบใบมีดที่พุ่งจะเชือดเฉือนร่างของเธอไปพลาง เล็งหาตัวปลาบินครีบใบมีดไปพลาง แถมยังต้องพาคนที่ได้รับบาดเจ็บทั้งที่เป็นลูกเรือหลบแล้ว ยังต้องช่วยผู้เล่นที่เพิ่งขึ้นมาอีกต่างหาก



    ผู้เล่นคนอื่นที่ต่างพากันขึ้นมาดูเหตุการณ์ส่วนใหญ่นั้นก็เหมือนมาช่วยเพิ่มภาระให้เพราะนอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไรแล้วยังมาถูกปลาบินครีบใบมีดจัดการอีกต่างหาก คนไหนที่โชคร้ายหน่อยก็ถูกโจมตีที่จุดสำคัญจนกลายเป็นแสงก่อนที่จะมีคนมาช่วยเอาไว้ทัน แต่ก็มีผู้เล่นไม่น้อยเช่นกันที่ตั้งสติได้แล้วเริ่มโจมตีโต้ไปยังฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาบนอากาศ



    โจและแจ็คนั้นต่างมีความสามารถในการโจมตีระยะไกลอยู่แล้ว จึงทำให้ทั้งคู่สามารถจัดการปลาบินเหล่านี้ได้ไม่ยาก แม้ว่าเลเวลของพวกมันจะสูง แต่พลังชีวิตของมันกลับมีไม่มากนัก เป็นเพราะพลังโจมตีและความเร็วที่สูงนี้เองที่ทำให้พวกมันมีระดับถึงเพียงนี้



    เนื่องจากพลังชีวิตที่ไม่มากนั้นเองทำให้โจและแจ็คสามารถจัดการพวกมันได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว แม้จะมีความเร็วสูงจนเล็งเป้าได้ยากแต่ทั้งคู่ต่างก็มีวิธีของตนเองที่จะจัดการพวกมันลงได้



    เมื่อสนามรบเป็นท้องฟ้าทำให้เวทสายฟ้าของโจสำแดงเดชออกมาได้อย่างเต็มที่ เขารู้ดีว่าเขาไม่มีทางตามความเร็วของปลาบินครีบใบมีดทันแน่ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น



    ไลทนิ่งสวาม!!



    เวทสายฟ้าที่โจเคยลิ้มรสชาติพลังของมันมาด้วยตัวเองถูกใช้ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ใช้แบบประชิดตัว เขาปล่อยเวทออกมาที่กลางอากาศด้านหน้าที่ฝูงปลาบินวนอยู่เป็นจำนวนมากแทน



    ระเบิดสายฟ้าระยะสั้น ๆ ปลดปล่อยพลังออกมาอย่างรุนแรงเช่นเคย ด้วยพลังที่ระเบิดออกมาอย่างไร้ทิศทางทำให้โจไม่จำเป็นต้องเล็งและปลาบินก็ไม่สามารถหลบทันเพราะความเร็วของมันเอง ไม่นานนักปลาย่างสุกก็ร่วงลงสู่ฟ้าราวกับฝนตก



    ส่วนแจ็คนั้นดูจะลำบากกว่าเล็กน้อยเพราะเขาไม่ได้มีทักษะที่โจมตีกระจายเหมือนกับเพื่อนของเขา แต่เขานั้นก็มีทักษะที่สามารถใช้ในการต่อสู้ในศึกนี้ได้พอ ๆ กัน



    ลางสังหรณ์มือปืน



    ทักษะประจำตัวของอาชีพนักล่าคาหัวถูกใช้ออกมาอย่างต่อเนื่อง แจ็คไม่คิดจะเสียเวลาเล็งปืนให้มากมาย เมื่อปืนคู่ทั้งสองกระบอกในมือเขาเลื่อนไปที่จุดหมายแล้วจึงลั่นไดทันทีโดยไม่แม้แต่จะมองเป้า ถึงกระสุนจะไม่ได้เข้าเป้าทุกนัดเพราะไม่ได้ใช้คู่กับทักษะอะดรีนาลีน บูธแต่เกินกว่าครึ่งที่ยิงไปก็จัดการให้ปลาบินครีบใบมีดร่วงลงจากฟากฟ้าได้ ยิ่งเขาใช้ปืนโลกันต์ที่ใช้กระสุนจากพลังเวทแล้วด้วย ทำให้จำนวนปลาที่เขาจัดการนั้นไล่ตามโจไปติด ๆ เลยทีเดียว



    เจนมองผู้เล่นคนอื่น ๆ ต่างหาวิธีจัดการปลาบินสารพัด แต่ที่น่าหนักใจที่สุดก็คือตัวเธอเองนี่แหละ เพราะตั้งแต่ขึ้นมาบนนี้เธอยังไม่สามารถจัดการปลาบินครีบใบมีดได้เลยแม้แต่ตัวเดียว!



    จุดด้อยที่ตัวเธอเองยังคาดไม่ถึงต่างบินอยู่เต็มท้องฟ้า เจนนั้นถึงจะมีพลังโจมตีสูงแต่ระยะการโจมตีจำกัด แม้ผ่ามิติจะมีระยะการโจมตีมากพอที่จะจัดการปลาบินเหล่านี้ได้แต่เธอไม่อาจตามความเร็วของพวกมันได้ทันและการที่พวกมันอยู่กระจัดกระจายกันแบบนี้ พลังเวทของเธอคงจะหมดก่อนที่จะจัดการพวกมันจนหมดอย่างแน่นอน



    ขนาดคิทซึเนะเองยังใช้เพลิงจิ้งจอกรูปแบบใหม่ โดยเธอร่ายบอลเพลิงจิ้งจอกออกมานับสิบและใช้มันจัดการเผาปลาบินครีบใบมีดตัวแล้วตัวเล่าอย่างรวดเร็วไม่แพ้กับพวกโจเลย เจนที่เห็นพลังรูปแบบใหม่ของจิ้งจอกสาวก็รู้สึกทึ่งกับความสามารถของเธอที่พัฒนาขึ้นมาเช่นนี้



    แต่ท้ายที่สุดแล้วเจนก็ทำได้แค่เพียงช่วยเหลือพวกที่บาดเจ็บไปพร้อมกับพวกผู้เล่นที่มีอาวุธระยะประชิดอีกหลายคนซึ่งต่างไม่สามารถช่วยอะไรอย่างอื่นได้เลยในสถานการณ์เช่นนี้



    "พวกมันเล็งจะเล่นงานผลึกหินลอยตัว! ปกป้องผลึกหินเอาไว้!" เสียงของโจตะโกนดังลั่นเมื่อเห็นว่าฝูงปลาบินครีบใบมีดไปรวมกลุ่มกันอยู่บริเวณผลึกหินทั้งสองด้าน



    ความจริงแล้วปลาเหล่านี้ไม่ได้มีสำนึกคิดเหมือนอย่างพวกมอนสเตอร์ระดับสูงอย่างกระทิงภูเขาหรือหมาป่าขนแดงที่เจนเคยเจอ ถึงแม้จะมีระดับที่สูงกว่าแต่ไม่ใช่ว่ามอนสเตอร์จะมีความฉลาดระดับเดียวกับมนุษย์กันทุกตัว ปลาเหล่านี้เป็นแค่สัตว์เดรัจฉานที่คิดได้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น



    หนึ่งในสิ่งที่มันคิดได้คือหนึ่งในหลายสาเหตุที่ทำให้มันเป็นมอนสเตอร์ระดับสูงเช่นนี้ ก็คือการวิเคราะห์จุดอ่อนนั่นเอง แม้จะไม่ถึงขนาดวิเคราะห์วางแผนได้เหมือนมนุษย์แต่ก็รู้จักว่าจะจัดการจุดอ่อนของศัตรูได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นเมื่อก่อนหน้านี้ที่มันเริ่มโจมตีและทำให้ผลึกหินลอยตัวหยุดการทำงานลง พวกมันจึงรู้ว่าจะจัดการตรงไหนจึงจะทำลายศัตรูของพวกมันลงได้



    เมื่อโจสังเกตเห็นจึงรีบตะโกนบอกให้เพื่อนของเขาได้ยินพร้อมกับตัวเองก็วิ่งไปป้องกันผนึกอีกด้านทันที ยังดีที่ผู้เล่นคนอื่นที่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มต่างพากันไปช่วยป้องกันผลึกหินลอยตัวด้วย เพราะอย่างไรก็ตามทุกคนบนเรือลำนี้ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หากไม่ช่วยกันคงเป็นการยากที่จะรอดไปได้



    เหลือเพียงแต่เจนและผู้เล่นที่ถนัดการโจมตีระยะประชิดจำนวนหนึ่งได้แต่เพียงคอยพยาบาลและเฝ้าคนเจ็บเท่านั้น แม้ว่าเธอจะอยากเข้าไปช่วยมากเท่าไหร่ก็ไม่อาจทำได้



    ในที่สุดความอดทนของหญิงสาวก็หมดลง ในหัวตอนนี้มีความคิดที่จะใช้ทักษะพลังสถิตร่างเข้าร่วมต่อสู้ด้วย แน่นอนว่าความเร็วของพลังสถิตร่างจิ้งจอกเก้าหางนั้นเหนือว่าปลาบินครีบใบมีดอยู่มาก ทำให้เจนสามารถเข้าร่วมสู้ได้อย่างแน่นอน เพียงแค่ในตอนแรกคิดจะเก็บทักษะนี้เอาไว้เพราะยังไม่อยากให้ผู้เล่นคนอื่นรู้และเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น แต่ตอนนี้หญิงสาวไม่สนใจในจุดนั้นอีกแล้ว



    ทว่าก่อนที่เจนจะได้ลงมือทำอะไร ลูกธนูที่ส่องสว่างราวกับว่าทำจากแสงหลายสิบลูกก็พุ่งเสียบทะลุร่างของปลาบินเข้ากลางลำตัวอย่างแม่นยำ เมื่อหันไปมองที่มาของธนูเหล่านั้นก็พบว่าเป็นรินที่กำลังยืนเล็งคันศรไปยังฝูงปลาตรงหน้า



    สาวผมสั้นชะงักเพียงครู่เดียวก่อนจะง้างคันธนูอีกครั้งพร้อมกับธนูแสงปรากฏขึ้นที่ร่องนิ้วของเธอ แทบไม่เสียเวลาเล็ง รินปล่อยลูกธนูในมือพุ่งเข้าใส่ปลาบินครีบใบมีดเข้าที่กลางลำตัวอีกครั้ง



    ทั้ง ๆ ที่ปลาบินเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงแท้ ๆ เธอกลับยิงธนูออกไปได้อย่างแม่นยำราวกับจับวาง ถึงไม่รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าได้ใช้ทักษะอะไรหรือไม่ แต่การที่ทำเช่นนี้ได้ก็ถือว่ามีฝีมืออยู่ในระดับสูงมาก ทว่าไม่มีใครกลับรู้สึกคุ้นหน้าของเธอกันแสดงว่าเป็นผู้เล่นยอดฝีมือที่ไร้สังกัดอย่างแน่นอน



    ทว่าต่อให้พวกโจและผู้เล่นคนอื่น ๆ พยายามซักเท่าไหร่ก็ตาม ทว่าจำนวนของปลาบินครีบใบมีดนั้นมีมาจนเกินกว่าจะรับมือไหว ถือว่าการเดินทางครั้งนี้พวกเจนโชคร้ายสุด ๆ เพราะปกติแล้วปลาบินเหล่านี้เป็นสัตว์ที่รักสงบมาก น้อยครั้งนักที่จะทำการโจมตีเรือเหาะเช่นนี้ แต่นั่นจะเป็นเรื่องราวที่เจนจะได้รู้ภายหลัง....หลังจากที่เธอผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญที่กำลังจะเกิดขึ้น



    เจนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติเมื่อฝูงปลาบินครีบใบมีดที่ต่างเคลื่อนตัวเข้าโจมตีเรือเมื่อครู่เป็นระรอกกลับจู่ ๆ ก็แตกตื่นราวกับว่ามีอะไรทำให้มันตกใจ เดิมที่บินไปพร้อมกันเป็นแนวเดียวกลับแตกกระจายไม่เป็นระเบียบ การโจมตีที่พวกโจเริ่มจะต้านไม่ไหวได้หยุดลงอย่างกะทันหันทำให้พวกเขาสามารถสังเกตมองเหตุการณ์ตรงหน้าได้เช่นกัน พอจะหันไปหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้จะหันไปหาใคร แม้แต่รินเองที่น่าจะมีข้อมูลมากที่สุดก็ยังสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้า



    ไม่ต้องรอนาน คำตอบก็โฉบลงมาเหนือเมฆด้วยความเร็วสูง ปีกขนาดใหญ่ทำให้ทุกคนถึงกับมองตาค้างไม่กล้าลงมือทำอะไรทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่เป็นเจาของปีกนั้นไม่ได้มาเพียงแค่ตัวเดียว แต่มาได้นับร้อยตัว



    ไวเวิร์นทะเล ชั้นขุนนาง ระดับ 60

    สัตว์อสูรเผ่ามังกร เป็นญาติห่าง ๆ ของมังกรแต่มีขนาดเล็กกว่า อยู่อาศัยรวมกันเป็นฝูงหากินทั้งเหนือน้ำทะเลและใต้ทะเล มีนิสัยรักสงบแต่จะดุร้ายทันทีเมื่อถูกคุกคาม



    แพ้สายฟ้า พลังป้องกันธาตุดินและน้ำสูง



    "ถ้าอยากจะรอดไปจากที่นี่ ทุกคนอย่าไปลงมือกับพวกมันเด็ดขาด!" เสียงของรินตะโกนเสียงดัง แต่ถึงเธอไม่พูดก็ไม่มีใครคิดจะไปสู้กับพวกมันอย่างแน่นอน



    ฝูงไวเวิร์นพุ่งเข้าใส่ฝูงปลาบินครีบใบมีดที่ตกใจกับการมาของพวกมันจนบินกระจายไปทั่วอย่างไม่รู้ทิศทาง แต่ฝูงไวเวิร์นนั้นกลับแยกฝูงออกไปบินต้อนเอาไว้จนเหล่าปลาบินไม่สามารถหนีออกไปได้



    รูปร่างของมันไม่ใหญ่มาก วัดจากสายตาความสูงเพียงสี่เมตร หัวของมันมีขนาดใหญ่กว่าลูกบาสเกตบอลเพียงเล็กน้อยทำให้สามารถกลืนปลาบินได้ในคำเดียวอย่างสบาย ๆ โดยไม่ได้สนใสครีบที่เป็นใบมีดเลยแม้แต่น้อย ผิวหนังที่เป็นเกล็ดหนาสีฟ้าท้องทะเลของมันทำให้ครีบใบมีดไม่แม้แต่จะทำให้เป็นรอยเลยได้เลยด้วยซ้ำ



    มหกรรมการกินเกิดขึ้นโดยพวกไวเวิร์นไม่ได้มาสนใจกับเรือเหาะเลย มีเพียงบางตัวบินโฉบเข้ามาใกล้ ๆ แล้วจากไปโดยไม่ทำอะไร มีลูกไวเวิร์นตัวหนึ่งบินมาที่ดาดฟ้าเรือเพื่อเก็บกินซากปลาที่เหล่าผู้เล่นจัดการเอาไว้ มีผู้เล่นบางคนนึกครึ้มคิดจะจับลูกไวเวิร์นมาเป็นสัตว์เลี้ยงแต่ก็ถูกเพื่อน รีบห้ามเอาไว้ทันควันแล้วชี้ไปยังข้างลำเรือเป็นร่างไวเวิร์นสีฟ้าตัวใหญ่กำลังจ้องมองไปที่ไวเวิร์นน้อยไม่ละสายตา นั่นต้องเป็นแม่ของมันอย่างไม่ต้องสงสัย



    "ทำไมพวกมันถึงไม่โจมตีพวกเรา" เจนที่เข้ามาสมทบกับพวกโจถาม



    "ก็เพราะมันไม่เห็นพวกเราเป็นอาหารยังไงล่ะ" รินเป็นคนตอบคำถามของเจน



    "ท่าทางฝูงนี้คงกำลังออกหาอาหารอยู่ โชคดีที่พวกมันสนใจปลามากกว่าคน ถ้าไม่อย่างนั้นได้ลุยกันจนเรือพังแน่"



    ผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่ได้ยินคำพูดของรินต่างพากันกลืนน้ำลายกันอย่างยากลำบาก พวกเขาตรงนี้มีเลเวลเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ยศ ทหาร เลเวล 80 กันทั้งนั้น มีไม่กี่คนที่มียศขุนนางแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะไปสู้กับเหล่าฝูงไวเวิร์นนี้ได้ แค่เลเวลก็เทียบกันไม่ติดแล้ว



    "ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะได้มาเห็นภาพแบบนี้ในระยะเผาขน ถึงจะดูไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่แต่รู้สึกอย่างกับดูสารคดีสัตว์โลกอยู่อย่างนั้นล่ะ" โจว่า



    "ดูนี่สิ ในกระดานข่าวสารมีเรื่องของปลาบินครีบใบมีดกับไวเวิร์นด้วย มันเขียนเอาไว้ว่ามีโอกาสแค่ห้าเปอร์เซ็นเท่านั้นที่จะเจอฝูงปลาโจมตีพวกเรา แล้วยิ่งน้อยลงมาอีกที่จะมีโอกาสเจอฝูงไวเวิร์น" แจ็คที่สลับหน้าที่เป็นคนหาข้อมูลแทนโจพูดขึ้น



    โอกาสต่ำแต่ดันแจ็คพ็อตแตกมาเจอทั้งสองอย่างในวันเดียวได้ จะบอกว่าโชคดีสุด ๆ และดวงซวยสุด ๆ ก็ได้ล่ะมั้ง เจนคิดในใจพร้อมกับเริ่มคิดว่าบางทีเกมนี้อาจจะมีอีเวนท์สุ่มขึ้นมาให้ผู้เล่นเจอตลอดก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะเป็นตัวของเธอเองที่มันสมพงค์กับเรื่องแบบนี้ซะเหลือเกิน



    เรือเหาะที่อยู่ในสภาพโทรมไปทั้งลำค่อย ๆ เคลื่อนผ่านฝูงไวเวิร์นอย่างช้า ๆ จนกระทั้งทิ้งพวกมันเอาไว้ข้างหลัง เจนได้ยินเสียงถอนหายใจของหลายคนด้านหลังเธอเมื่อเห็นว่าพวกไวเวิร์นไม่ได้ตามมา เจนก็แอบรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยเมื่อเห็นปลาบินครีบใบมีดที่ลดจำนวนอย่างรวดเร็วจนอาจจะไม่พอปากพอท้องของเหล่าไวเวิร์น และพวกมันจะหันมาหาเนื้อบนเรือลอยฟ้าลำนี้แทน



    "เฮ้อ...ขอล่ะไอ้เรื่องน่าตื่นเต้น ให้การเดินทางหลังจากนี้มันราบลื่นไปจนจบทีเถอะ" เจนรำพันกับตัวเองแต่ก็เสียงดังพอที่จะทำให้เพื่อน ๆ ได้ยิน



    แต่มีคำกล่าวว่า 'เกลียดอย่างไรก็ได้อย่างนั้น' และโชค(?)ของเจนก็ไม่เคยทิ้งในเวลาที่เธอเรียกหา



    ขณะที่นึกว่าหมดเรื่องแล้ว ทุกคนจึงพากันกลับเข้าไปในตัวเรือโดยมีบางส่วนที่แยกไปดูแลคนเจ็บและรักษาพวกลูกเรือ และบางส่วนนั้นกำลังซ่อมแซมส่วนที่เสียหายของเรือเท่าที่ทำได้ ตอนนั้นเองผลึกหินลอยตัวทั้งสองก็ดับแสงลงและเรือก็พุ่งลงด้านล่างโดยเอาท้ายปักพื้นอย่างรวดเร็ว



    พวกเจนที่ยังไม่ได้ลงไปจากดาดฟ้าเรอต่างรีบหาที่เกาะแทบไม่ทัน มีผู้เล่นบางคนที่ไม่ทันตั้งตัวกับเหตุการณ์นี้พลัดตกลงไปจากเรือและลอยหายไป โชคดีหน่อยพวกเขาคงจะกลับไปเกิดที่จุดเซพในทวีปอัลเทเชีย แต่ถ้าโชคร้ายก็คงจะกลับไปทวีปไลเทเชีย เสียทั้งเวลา ทั้งค่าเรือเหาะไปเปล่า ๆ



    "เกิดอะไรขึ้น!! ทำไมเรือถึงกำลังจะตกได้ล่ะ!!" เจนตะโกนเสียงดัง มือบางคว้าเชือกใกล้ตัวเอาไว้ได้ทัน เมื่อหันไปมองเพื่อน ๆ ของเธอก็พบว่าพวกเขาก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่ากันเท่าไหร่นัก



    "บ้าชะมัด!! ผลึกหินหมดพลังแล้ว ต้องเป็นเพราะการโจมตีไอ้ปลาพวกนั้นแน่!" เสียงที่ตอบมานั้นไม่ค่อยคุ้นหูของเจนเท่าไหร่นัก เมื่อหันไปมองเป็นลูกเรือที่แต่งตัวคล้ายกับช่างเครื่องกำลังเกาะที่กั้นใกล้กับผลึกหินลอยตัวเอาไว้



    "เรื่องนั้นช่างมันก่อน พอมีทางจะซ่อมมันได้มั้ย!" รินตะโกนถาม



    ลูกเรือช่างเครื่องผู้นั้นรีบหันไปดูผลึกหินลอยตัวทันที แต่จากสีหน้าของเขาแล้วสภาพของผลึกก็คงไม่ดีนัก



    "ไม่ไหวครับ! ถึงตัวผลึกจะเสียหายไม่มาก แต่เพราะถูกเจ้าพวกปลานั่นโจมตีจนเสียหายจนพลังเวทรั่วออกมาจนหมด แบบนี้ต่อให้ซ่อมได้ก็ไม่มีพลังเวทที่จะทำให้ผลึกทำงานได้อยู่ดี" ช่างเครื่องหนุ่มส่ายหน้า ดูท่าทางเขาคงจะปลงตกไปเรียบร้อยแล้ว



    "ถ้านายซ่อมได้มันจะกลับมาทำงานได้ใช่มั้ย" รินถามอีกครั้งให้แน่ใจ



    "ครับ แต่ยังไงก็ต้องเติมพลังเวทใส่เข้าผลึกอยู่ดี ข้าเห็นพวกท่านมีจอมเวทอยู่แล้วคนนึง แต่ต้องใช้จอมเวทสองคนถึงจะเติมพลังเวทได้ทั้งสองผลึกพร้อมกัน"



    สถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้เป็นเรื่องยากที่จะทำอะไรซักอย่างเพื่อแก้ปัญหา ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็กลับเข้าไปในตัวเรือกันหมดแล้ว หากจะไปตามคงจะไม่ทันการณ์แน่ ถึงพลังเวทของเจนตอนนี้จะเต็มเปี่ยมแต่คงจะไปเทียบกันจอมเวทไม่ได้ แต่เจนไม่ยอมแพ้จึงขออาสาช่วย แต่เมื่อโจที่ใช้พลังเวทพยุงร่างไปตรวจสอบผลึกหินมาบอกว่าต้องใช้พลังเวทเป็นจำนวนอย่างน้อยถึงสองหมื่นที่จะทำให้ผลึกทำงานได้ ก็ทำให้เจนแทบจะหมดแรง



    "ฉันเองก็เป็นจอมเวท ให้โจไปเติมพลังผลึกด้านนั้น ส่วนอีกด้านฉันจัดการเอง" เสียงของรินดังขึ้นราวกับฟ้ามาโปรด มอบความหวังให้ในสถานการณ์ที่กำลังหมดจนตรอกอยู่ทันที



    "อ้าว! ฉันนึกว่าเธอเป็นนักธนูซะอีก" แจ็คเอ่ยถาม



    "นั่นมันเป็นอาชีพแรกที่ฉันได้ อาชีพที่สองของฉันคือนักเวทก็เลยทำให้ฉันมีอาชีพเป็นจอมธนูเวทยังไงละ" ไม่พูดเปล่า หญิงสาวก็เร่งพลังเวทของเธอขึ้นมาในแบบที่โจทำ จนทำให้ร่างของเธอเปล่งแสงสีแดงอ่อน ๆ ออกมา ช่างเครื่องหนุ่มเห็นดังนั้นถึงกับยิ้มออกมาไม่หุบ



    "โอ้! เยี่ยมยอดไปเลยครับ! ทั้งสองคนรีบไปเติมพลังใส่ผลึกเลยครับ ตอนนี้ถ้าจะรอให้ซ่อมเสร็จก่อนแล้วค่อยเติมพลังเวทคงจะไม่ทันการณ์ ถึงจะสิ้นเปลืองพลังเวทไปหน่อยแต่การทำให้ผลึกกลับมาทำงานอีกครั้งต้องมาเป็นอันดับแรกครับ"



    "เข้าใจแล้ว!" เสียงของโจและรินดังประสานกัน จากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งตัวออกไปนอกตัวลำเรือแล้วเริ่มเติมพลังเวทลงในผลึกหินลอยตัวทันที



    เจนหันหน้าไปมองเพื่อนสาวที่กำลังใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสกับผลึกหินสีเขียวที่ดูเหมือนผลึกคริสตัลทั่วไป จากนั้นไม่นานเจนก็รู้ได้ทันทีเลยว่ารินกำลังถ่านโอนพลังเวทจากตัวเธอเข้าไปยังในผลึกเมื่อตัวผลึกหินลอยตัวเริ่มเปล่งแสงออกมาจาง ๆ สร้างความหวังให้กับพวกเจนและช่างเครื่องหนุ่มอย่างมาก



    ทางช่างเครื่องหนุ่มก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ เขามัดเชือกเอาไว้ที่เข็มขัดตัวเองและเสากระโดงเรือ จากนั้นก็กระโดดออกมายังผลึกหินพร้อมกับหยิบผลึกหินอีกก้อนออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างแล้วรีบยัดมันลงไปในรอยบาดที่ปลาบินครีบใบมีดทำเอาไว้ โดยไม่รอช้าช่างเครื่องหนุ่มหยิบค้อนที่เอวของตนแล้วลงมือฟาดลงไปในจุดที่เขาเพิ่งยัดก้อนผลึกลงไปเมื่อครู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า



    ในตอนแรกเจนตกใจเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ช่างเครื่องหนุ่มทำนั้นจะเป็นการซ่อนผลึกหินนี่ได้ยังไง ตรงกันข้ามมันกลับเป็นการทำลายให้เสียหายมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่เมื่อจุดที่เขาทุบค้อนลงไปเริ่มมีสีส้มราวกับกำลังร้อนจัดเช่นเดียวกับค้อนของเขา รอยแผลบนผลึกเริ่มผสานตัวกันกับผลึกหินที่เขายัดลงไปจนปิดรอยรั่วจนเสียสิ้น



    ช่างเครื่องหนุ่มไม่รอให้รอยบาดที่เพิ่งซ่อมเสร็จที่ร้อนจนกลายเป็นสีส้มเย็นลง เขารีบกระโดดไปยังจุดต่อไปอย่างชำนาญและเริ่มลงมืออุดรอยรั่วอีกครั้ง เมื่อรอยรั่วเกือบทั้งหมดถูกอุดลงแล้ว ผลึกหินลอยตัวตรงหน้าก็เริ่มส่องสว่างออกมาจนรู้สึกได้ว่าตัวเรือกำลังค่อย ๆ ตกด้วยความเร็วที่ช้าลงในขณะที่ลำเรือค่อย ๆ เอนไปทางด้านของโจเพราะพลังเวทที่รินถ่ายโอนเข้าไปนั้นไม่มีจุดใดให้ไหลรั่วออกมาแล้ว



    ถึงช่างเครื่องจะกระโดดหันไปซ่อมผลึกทางฝั่งโจแล้วแต่รินก็ยังไม่หยุดถ่ายพลังเวทแค่นั้น เพราะถึงจะไร้จุดที่พลังเวทจะรั่วไหลแต่ก็ไม่มีทีว่าทางผลึกจะกลับมาทำงานเต็มที่อีกครั้งซักที มันยังคงส่องแสงกระพริบจาง ๆ เหมือนกับไฟตกอยู่ไม่ปาน แต่อย่างน้อยตอนนี้เรือก็กลับมาตั้งลำได้เช่นเดิมแล้ว



    ไม่นานนักช่างเครื่องหนุ่มก็ปีนกลับเข้ามาในตัวเรือแล้วตรงมาหาเจน แทนที่จะมีสีหน้ายินดีแต่เขากับแสดงสีหน้าหดหู่ออกมาอย่างชัดเจน



    "เป็นอะไรไป นายซ่อมผลึกเสร็จแล้วไม่ใช่หรอ แบบนี้พวกเราก็น่าจะรอดแล้วสิ" แจ็คพูด แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้าสำร้างความฉงนให้ทั้งเจนและแจ็คอย่างมาก



    "ผลึกทั้งสองก้อนซ่อมเสร็จแล้วก็จริงครับ แต่.."



    "แต่อะไร" เจนเร่งเมื่อช่างเครื่องหนุ่มไม่ยอมพูดต่อ ถึงเรือจะกลับมาตั้งลำแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมลอยขึ้นอยู่ดี ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ชะตาของพวกเธอก็คงไม่ต่างไปจากเดิมแน่



    "มันช้าเกินไปครับ ถึงทั้งสองคนจะใส่พลังเวทลงไปจนทำให้ตัวผลึกกลับมาทำงานได้ มันก็ยังต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าที่จะทำให้เรือตกช้าลงโดยที่ไม่ทำให้เรือกลายเป็นชิ้น ๆ ไปซะก่อน แต่เมื่อครู่ผมมองไปลงข้างล่าง วัดจากระยะสายตาผมคิดว่าคงอีกไม่กี่นาทีพวกเราคงจะตกลงทะเลแน่ครับ แต่ด้วยความสูงระดับนี้พวกผมคงไม่รอดแน่ ๆ"



    ช่างเครื่องหนุ่มรู้ว่าพวกเจนผละผู้เล่นคนอื่น ๆ เมื่อตายไปจะกลับไปเกิดที่เมืองได้ราวกับเป็นอมตะ แต่สำหรับเขาและพวกลูกเรือคนอื่น ๆ ที่เป็นเอไอนั้นมันไม่ใช่ ถ้าเกิดเรือลำนี้ร่วงหล่นสู่ผืนทะเลด้านล่าง พวกเขาจะกลายเป็นศพที่อยู่กลางทะเลไม่มีใครพบ ไม่มีใครที่แม้จะเหลียวแล



    โจและเจนต่างมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก แม้ว่าผู้เล่นคนอื่น ๆ จะยังไม่ได้ฉุกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนักแต่สำหรับพวกเจนนั้นต่างกันออกไป พวกเธอได้รับการบอกกล่าวจากตัวหมิงเต๋อเองและพบกับประสบการณ์ตรงจากเมืองคริสตัลเบลทำให้ตอนนี้ที่เคยมองพวกเอไอเป็นแค่ตัวละครประกอบทั่วไป กลายเป็นว่าทั้งสามคนต่างเริ่มให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้ขึ้นมาเทียบเท่ากับผู้เล่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ในบางครั้งอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ



    บางทีอาจจะเป็นเพราะคิทซึเนะและฟีบีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นเอไอที่หากตายแล้วก็จะไม่มีวันกลับมาอีก เจนมองทั้งสองคนไม่ต่างจากพี่น้องจริง ๆ ของเธอเลยแม้แต่น้อย จนทำให้พวกโจพลอยรู้สึกตามไปด้วย ดังนั้นถ้าหากมีอะไรที่ช่วยได้ เจนก็ไม่คิดจะยั้งมือเอาไว้อย่างเด็ดขาด



    "เฮ้ย! เจน ทำอะไรน่ะ!" เสียงร้องตะโกนอย่างตกใจของแจ็คดังขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวกระโดดออกไปนอกลำเรือทั้ง ๆ ที่อยู่บนท้องฟ้า



    แทนที่ร่างของเจนจะตกลงไปด้านล่างแต่กลับมีลมพัดใส่ร่างเธอจนลอยอยู่เหนือเรือเหาะที่เธอเพิ่งกระโดดออกมา ทว่าแรงลมนี้กลับไร้ความหมายเมื่อเรือเหาะนั้นมีน้ำหนักและขนาดใหญ่กว่าตัวเธอมากนัก แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย



    พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!



    ร่างในชุดสีขาวถูกห่อไปด้วยออร่างสีทอง พลังที่เพิ่มพูนขึ้นมาจนทำให้เจนรู้สึกได้และยังยืนยันความคิดของเธอได้อย่างดีว่าทักษะพลังสถิตร่างจะพัฒนาไปตามระดับเลเวล ยิ่งเลเวลของเจนมากเท่าไหร่ พลังที่ทักษะแสดงออกมาก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ ตอนนี้เจนมองดูเรือเหาะที่กำลังตกลงไปยังเบื้องล่างด้วยความเร็วสูง แต่ด้วยความเร็วระดับนั้น ในร่างพลังสถิตเทพจิ้งจอกเก้าหางนี้สามารถตามทันโดยแทบไม่ต้องออกแรงเลย



    เพียงพริบตาเดียวเจนก็กลับลงมาที่ดาดฟ้าเรืออีกครั้ง ช่างเครื่องหนุ่มมองเจนตาค้าง ตัวนิ่งแข็งไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ร่างที่แผ่ออร่าสีทองออกมานั้นยังมีแรงดันของพลังที่ปล่อยออกมาจนทำให้ฝูงไวเวิร์นที่อยู่ไกลออกไปถึงกับต้องรีบบินหนี นอกจากช่างเครื่องหนุ่มแล้วทั้งลูกเรือคนอื่น ๆ และผู้เล่นต่างจ้องไปที่เจนเป็นสายตาเดียวด้วยความรู้สึกที่ช่างเครื่องหนุ่มรู้สึก 'น่าเกรงขาม'



    "เดี๋ยวฉันจะพยายามทำให้เรือตกช้าลงเท่าที่ทำได้ นายไปช่วยรินกับโจเสริมพลังเวทลงในผลึกซะ"



    ไม่รอฟังคำตอบของคนถูกถามใด ๆ ทั้งสิ้น เจนพุ่งไปใต้เรือและเร่งพลังขึ้นมาเต็มที่แล้วใช้มือยันตัวเรือลำใหญ่เอาไว้ด้วยพลังทั้งหมดที่ร่างนี้ทำได้



    แต่ก็แทบจะกลายเป็นใช้หัวแบกทันที่เมื่อเจนรับแรงมาทั้งหมด น้ำหนักของเรือหลายร้อยตันและรวมไปถึงสัมภาระต่าง ๆ พร้อมทั้งทุกชีวิตที่อยู่บนเรือกดมาที่เจนเพียงจุดเดียว ความรู้สึกเหมือนมีอะไรกดทับร่างจนแทบขยับไม่ได้เช่นนี้ทำให้เจนพอเข้าใจความรู้สึกของแซนวิชในเครื่องปิ้งแล้วว่าเป็นยังไง



    พลังสถิตร่างแทบไม่มีผลเลยกับน้ำหนักทั้งหมดของตัวเรือ แม้ว่าเจนจะเร่งพลังออกมามากซักเพียงใดแต่ก็ไม่ทำให้ความเร็วในการตกชะลอลงเลย คำตอบนั้นง่ายแสนง่ายและเจนเองก็พอจะคิดเองได้ก่อนที่เธอจะใช้พลังสถิตร่างเสียอีก นั่นก็คือพลังของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเป็นความเร็วและพลังที่เสริมทักษะอื่น ไม่ใช่พละกำลังที่สามารถยกเรือทั้งลำให้ลอยขึ้นฟ้าได้ ต่อให้มาเอะผู้มอบพลังนี้มาให้กับเจนมาอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ก็ยังเป็นไปได้ยากที่จะหยุดไม่ให้เรือตกจากท้องฟ้า



    แม้ว่าเจนรู้ว่าร่างนี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนักแม้ว่าจะมีพลังเพิ่มขึ้นมามากก็ตาม แต่จะให้เธออยู่เฉย ๆ อย่างไร้ความหวังนั้นเธอไม่มีทางทำได้ แม้ความหวังจะมีเพียงเล็กน้อย ถ้าหากมันจะช่วยคนเหล่านี้ได้ เธอก็จะทำมัน เพียงแค่ครั้งนี้เธอหมดหนทางที่จะช่วยแล้ว แม้จะทุ้มลงไปสุดตัวก็ไม่เพียงพอที่จะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้



    "บ้าเอ้ย! ถ้าหากเรามีพลังมากกว่านี้ล่ะก็.."



    "หากเจ้าต้องการพลัง เพียงแค่เอ่ยปากขอเท่านั้น..."



    เสียงลึกลับดังขึ้นในหัวของเจน มันเป็นเสียงที่เจนไม่ได้ยินมาพักหนึ่งแล้วจนไม่ได้สนใจ แต่เจ้าของเสียงนั้นเป็นผู้ที่เธอไม่อาจลืมไปได้ ยามาตะ โนะ โอโรจิ!



    "นั่นนายงั้นหรอ ยามาตะ โนะ โอโรจิ นึกว่านายหลับอยู่ซะอีก แล้วนี่นายอยู่ในดาบนี่นา แล้วพูดกับฉันได้ยังไง" หญิงสาวพูดขึ้น เสียงแค่นลมหายใจดังขึ้นในหัวเบา ๆ ตีกับเสียงลมจนฟังไม่ค่อยได้ชัดนัก



    "ข้าสามารถตอบคำถามทั้งหมดของเจ้าได้ แต่แน่ใจแล้วหรือว่าในเวลานี้มันเหมาะที่จะตอบคำถามของเจ้า" ยามาตะ โน โอโรจิถาม เจนรีบดึงสติกลับมาจดจ่อกับเรื่องตรงหน้าก่อน



    "จริงด้วย! นายมาก็ดีแล้ว ฉันจะเรียกนายออกมา ช่วยทำให้เรือนี่..-"



    "แน่ใจแล้วหรือว่าจะให้คนบนเรือเห็นร่างของข้าน่ะ แล้วอีกอย่างข้าบินไม่ได้ ถึงเรียกข้าออกไปก็เท่านั้น" พญาอสรพิษเอ่ยขัดทำให้หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแต่เธอไม่คิดจะต่อปากต่อคำในตอนนี้เพราะผืนน้ำกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ



    "ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำอะไรกันแน่! เมื่อกี้นายบอกว่าถ้าอยากให้ช่วยก็ขอมาแท้ ๆ แต่ไหง..-"



    "ข้าบอกว่าถ้าหากต้องการพลังให้เอ่ยขอต่างหาก ข้ารู้สึกได้ถึงพลังของจิ้งจอกเก้าหางอยู่ในร่างของเจ้า ถ้าหากต้องการ...ข้าสามารถให้พลังแบบเดียวกันนี้กับเจ้าได้"



    ในยามปกติเจนคงจะดีใจแทบคลั่ง แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังแย่ เวลากำลังบีบเข้ามาเรื่อย ๆ ถึงไม่รู้ว่าพลังของยามาตะ โนะ โอโรจิจะทำอะไรได้บ้าง แต่ท้องทะเลที่เริ่มเห็นชัดขึ้นทุกทีทำให้เธอต้องรีบติดสินใจ



    เหมือนกับพญาอสรพิษจะรู้ว่าเจนกำลังคิดอะไรอยู่ ดาบข้างตัวของเจนส่องสว่างด้วยพลังสีดำท่ามกลางออร่าสีทอง ทันใดนั้นเจนรู้สึกได้ถึงพลังที่แทรกเข้ามาในร่างเหมือนกับครั้งเมื่อตอนที่เธอได้พลังสถิตร่างมาเป็นครั้งแรก แต่แทนที่จะเป็นความรู้สึกอบอุ่นเหมือนพลังของจิ้งจอกเก้าหาง แต่เป็นพลังที่อัดแน่นจนปวดร้าวไปหมดทั้งตัวดั่งเช่นพลังที่เธอรู้สึกได้ถึงตอนที่เธอทำสัญญากับดาบคุซานางิ



    เจนแทบคุมสติไม่อยู่เมื่อความเจ็บปวดพุ่งขึ้นไปถึงปลายประสาท เธอรู้สึกเหมือนว่าร่างกายของเธอเป็นลูกโป่งที่ถูกอัดอากาศมากเกินไปจนระเบิดออก เพียงแค่ร่างของเธอนั้นยังคงสภาพอยู่ตามเดิมอยู่และนั่นทำให้เจนต้องพบกับความเจ็บปวดแสนสาหัสเลยทีเดียว



    ความจริงแล้วเจนควรจะตายตั้งแต่พลังของยามาตะ โนะ โอโรจิ ไหลเข้ามาในร่าง ตัวของเจนนั้นยังไม่อาจจะรองรับพลังมหาศาลของพญาอสรพิษได้ในทีเดียวเช่นนี้ แต่พลังจิ้งจอกเก้าหางที่อยู่ในตัวเธอนั้นยังคงช่วยต้านทานพลังให้ลดทอนลงและไม่ทำให้ร่างของเจนระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ



    แม้พลังทั้งสองยังต้านกันอยู่ในร่างของเจนจะยังต้านทานกันได้ แต่พลังของจิ้งจอกเก้าหางนั้นเป็นฝ่ายด้อยกว่ามากนัก ยิ่งปล่อยเวลาผ่านเลยไปพลังก็ยิ่งอ่อนลงจนออร่าสีทองที่คลุมร่างของเจนนั้นอ่อนแสงลงจนทักษะแทบจะหายไป



    ทันใดนั้นเองความเจ็บปวดก็มลายหายไป เจนรู้สึกได้ถึงพลังในร่างทั้งสองขั้วกำลังผสานกันเป็นพลังแบบใหม่ และเสียงในหัวก็ดังขึ้นเป็นการยืนยันความคิดของเจน



    ท่านได้รับพลังสถิตร่างพญาอสรพิษ ยามาตะ โนะ โอโรจิ



    เนื่องจากท่านมีพลังสถิตร่างถึงสองชนิด สำเร็จเงื่อนไขเลื่อนระดับทักษะพิเศษ ทักษะพลังสถิตร่างเลื่อนสู่ระดับที่สอง "ผสานพลัง"



    เมื่อสิ้นเสียง ออร่ารอบตัวของเจนพลันทอแสงซีดลงพร้อมกับปล่อยหมอกควันสีดำแผ่กระจายออกมา พลังพุ่งพล่านไปทั่วร่างจากหัวถึงปลายเท้ารู้สึกคล้ายกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านจนกล้ามเนื้อกระตุก พลังที่เจนสัมผัสได้นั้นทำให้เธอรู้ทันทีว่าเธอมีพลังมหาศาลเหนือคำบรรยายอยู่ในร่าง



    เจนยังคงอยู่ใต้ลำเรือแต่เธอไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของมันแต่อย่างใด เจนค่อย ๆ ออกแรงยกเรือให้ลอยขึ้น ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกได้ทันทีว่าความเร็วเริ่มช้าลง เมื่อเห็นว่าด้วยพลังที่ได้มาใหม่มีความสามารถขนาดไหนจึงไม่คิดรั้งพลังเอาไว้อีกต่อไป



    เจนเร่งพลังออกมาเต็มที่ เรือที่กำลังตกลงสู่ผืนน้ำแทบจะหยุดเหมือนกับโดนรั้งเอาไว้ด้วยเส้นยาง เจนได้ยินเสียงตึงตังพร้อมกับเสียงโวยวายมาจากตัวเรือ คงเป็นเพราะการที่เรือหยุดกะทันหันเช่นนี้ทำให้คนที่อยู่บนเรือไม่ทันตั้งตัวเตรียมรับมือกับแรงกระแทกจนพากันล้มลงไปกองกับพื้น



    มีหลายคนที่คิดว่าเรือกระแทกกับทะเลเรียบร้อยแล้วแต่พอชะโงกหน้าออกมาดูก็พบว่าเรือยังคงลอยอยู่บนฟ้าเช่นเดิม หลายต่อหลายคนตะลึกกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นราวปาฏิหาริย์ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของคน ๆ เดียว



    เจนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเรือไม่ลดระดับลงแล้ว เมื่อปล่อยมือออกก็พบว่าเรือเหาะกำลังลอยอยู่ด้วยอำนาจของผลึกหินลอยตัว แสดงว่าทั้งโจและรินคงสามารถทำให้ผลึกหินกลับมาทำงานได้อีกครั้งเรียบร้อยแล้ว



    เมื่อเห็นว่าวิกฤตได้ผ่านพ้นไปแล้ว เจนจึงหันเหความสนใจไปยังทักษะเก่าที่พัฒนาขึ้นมาทันที



    ทักษะ พลังสถิตร่าง ใช้พลังเวท 1000 หลังจากใช้ทักษะแล้วใช้พลังเวท 100 ต่อ 1 นาทีเพื่อรักษาสภาพ ระยะเวลาดีเลย์ 1 วัน[นับเวลาเริ่มวันใหม่เป็นดวงตะวันขึ้นฟ้า]

    ทักษะระดับ S หลังจากใช้ทักษะนี้แล้ว ผู้ใช้จะได้รับพลังมหาศาลซึ่งพลังจะแตกต่างกันไปตามมอนสเตอร์ผู้ให้พลัง

    ระดับ 2 ผสานพลัง สามารถใช้พลังสถิตร่างสองชนิดได้พร้อมกัน โดยจะเพิ่มพูนความสามารถของพลังสถิตร่างทั้งสองชนิดขึ้นสองเท่า แต่ก็ต้องเสียพลังเวทมนตร์เป็นสองเท่าเช่นกัน

    - พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ทามาโมะ มาเอะ

    - พลังสถิตร่างพญาอสรพิษ ยามาตะ โนะ โอโรจิ



    เจนอ่านรายระเอียดแล้วก็ยิ้มอย่างชอบใจแต่ก็ต้องหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็วเมื่ออ่านไปจนถึงส่วนที่บอกว่าต้องเสียพลังเวทเป็นสองเท่า ซึ่งพอหันไปดูแถมค่าพลังเวทมนตร์ของตนก็พบว่ามันลดเป็นน้ำไหลเลยทีเดียว เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงรีบพุ่งขึ้นไปด้านบนแล้วร่อนตัวลงบนดาดฟ้าเรืออย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็รีบปลดทักษะออกก่อนที่พลังเวทของเธอจะหมดลง นับได้ว่าเฉียดไปนิดเดียวเท่านั้น ถ้าหากเธอขืนใจลอยอยู่บนอากาศอีกเพียงนิดเดียวล่ะก็มีหวังคงได้ทัวร์ดิ่งพสุธาอีกรอบแน่



    เมื่อออร่าจางหายไปเจนก็รู้สึกได้ว่าสายตานับสิบกำลังจดจ้องมาที่เธอ แม้ว่าเจนจะคิดเอาไว้แล้วว่าหากเธอใช้พลังต่อหน้าผู้เล่นคนอื่นจะต้องเป็นที่สนใจอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกผู้เล่นเหล่านั้นคงกำลังใช้ทักษะตรวจสอบกับตัวเธอจนพรุนไปหมด โชคดีที่ตรานายอำเภอที่แจ็คให้เธอเอาไว้นั้นทำให้คนพวกนั้นได้ไปแต่คำว่า 'ไม่สามารถตรวจสอบได้เนื่องจากติดทักษะพรางตัวจากเป้าหมาย'



    แต่ที่ทำให้เจนต้องแปลกใจก็คือสายตาจากลูกเรือที่อยู่บนดาดฟ้าทั้งหลายต่างก็เป็นไปกับเขาด้วย แถมยังตะลึงจนอ้าปากค้างซะยิ่งกว่าพวกผู้เล่นซะอีก



    แต่ก่อนที่เจนจะได้พูดอะไร เธอก็ถูกเพื่อนหนุ่มทั้งสองลากตัวกลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็วโดยมีคิทซึเนะและรินวิ่งตามไปติด ๆ ส่วนพวกผู้เล่นที่เห็นว่าเจนโดนลากตัวไปแล้วต่างก็วิ่งตามไปในทันที ส่วนลูกเรือทั้งหลายเมื่อตั้งสติได้ต่างก็ตามไปติด ๆ เช่นกัน







    เมื่อกลับมาถึงที่้ห้องพักเจนก็ถูกโยนลงเตียงทันที หลังจากที่สมาชิกที่เหลือเข้ามาในห้องแล้วแจ็คก็ทำการปิดประตูพร้อมกับล็อกกลอนอย่างแน่นหนาในขณะที่โจลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเธอพร้อมกับจ้องเธอเขม็ง แม้ดูจากสีหน้าของเขาพอจะเดาได้ว่าต้องมีเรื่องแน่ แต่เจนก็ยังคงไม่รู้เรื่องอยู่ดีว่าเธอไปทำอะไรเข้าล่ะเนี่ย



    "คุณเจนครับ... ทีหลังถ้าจะทำอะไรที่มันประเจิดประเจ้อขนาดนั้นก็ช่วยปรึกษากันก่อนได้มั้ยครับ" โจพูดเสียงรอดไรฟันด้วยความอดทน



    "จะให้ฉันไปปรึกษาใครล่ะ นายก็ไปยุ่งอยู่กับผลึกเวท ส่วนแจ็คก็ปรึกษาอะไรไม่ค่อยได้"



    "เฮ้!" คนถูกพาดพิงส่งเสียงท้วงแต่ก็ไม่มีใครสนใจ เว้นแต่คิทซึเนะที่เอื้อมมือไปลูบไหล่เป็นการปลอบใจทว่าเธอเองก็ไม่ได้กล่าวแย้งอะไร



    "แถมนายก็รู้ว่าเมื่อกี้มันสุดวิสัย ในตอนนั้นเพื่อช่วยทุกคนแล้วมันก็ต้องหาทางทำอะไรซักอย่างนี่นา อีกอย่างเรื่องแบบนี้อีกเดี๋ยวใคร ๆ ก็รู้อยู่ดีนั่นแหละ ถือซะว่าเป็นการเปิดตัวให้รินรู้ไปเลยก็แล้วกัน" เจนกล่าวออกมาหน้าตาเฉยพร้อมทั้งเรียกฟีบีออกมาจากดาบ



    รินเองที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย "ที่พูดมาก็ฟังดูมีเหตุผลดี แถมเป็นการเปิดตัวที่อลังการมากเลยด้วย"



    "แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉัน..-"



    ปึง!! ปึง!! ปึง!!



    "เฮ้! ฉันขอคุยกับคนเมื่อกี้หน่อยได้มั้ย นายคนนั้นน่ะ ช่วยมาเข้ากิลด์ของฉันทีเถอะ!!"



    "เฮ้ย!! พวกเรามาก่อนนะเว้ย!! หมอนั่นต้องมาเข้ากิลด์พวกเราต่างหาก!!"



    "นี่นาย ทักษะนั้นเป็นของอาชีพอะไรหรอ ฉันขอซื้อข้อมูลต่อจากนายหนึ่งแสนโกลด์เลย"



    "อย่าไปฟังไอ้หมอนั่นนะ บอกฉันดีกว่า ฉันให้นายแสนหนึ่งพันโกลด์!"



    เสียงทุบประตูระคนดังพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกหน้าห้องดังระงมไปหมด เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้เล่นที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นต่างพากันเข้ามาหาเจนราวกับมดเจอน้ำหวาน ทุกสิ่งที่ออกมาจากปากพวกนั้นถ้าไม่เกี่ยวกับทักษะก็จะเป็นอยากให้เจนมาเข้ากิลด์ด้วย



    "เฮ้อ...นั่นล่ะที่ฉันพูดถึง" โจเอ่ยพร้อมกับเอามือลูบหน้าตัวเองอย่างหนักใจ ตั้งแต่ที่เขาเห็นพลังที่เจนมี เขารู้ทันทีว่าเรื่องยุ่ง ๆ แบบนี้มันจะต้องเกิดขึ้นซักวัน ถึงอย่างนั้นเขาก็หวังให้วันนั้นจะมาถึงหลังจากที่เขาหาวิธีรับมือได้แล้ว แต่วันนั้นกลับมาถึงเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้ แต่คนที่ควรจะกังวลมาที่สุดกลับนั่งกอดเด็กสาวตัวน้อยในอ้อมอกอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว



    "ไอ้พวกนี้แค่เห็นคนใช้ทักษะอลังการ ทรงพลังเข้าหน่อยก็จะดึงตัวเข้ากิลด์ซะให้ได้ แบบนี้จะไปเล่นสนุกอะไร้" แจ็คว่าพลางมองไปที่ประตูที่โดนทุบจนทำท่าจะพังแหล่มิพังแหล่



    "เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ แจ็ค นายรีบหาอะไรไปยันประตูเอาไว้ก่อน ถ้าขืนพวกนั้นพังเข้ามาได้ล่ะก็วุ่นแน่" โจบอกแล้วจัดการส่งเก้าอี้ให้กับเพื่อนของเขาเอาไว้เป็นที่ยันประตู



    เจนได้ยินเพื่อนของเธอพูดจึงหันไปหาและถามขึ้นด้วยความแปลกใจ



    "พังประตูเข้ามา? ในห้องพักส่วนตัวนี่น่ะหรอ ทำแบบนั้นได้ด้วยหรอ"



    ที่เจนถามออกไปก็เพราะว่าโดยทั่วไปแล้วในเกม ที่อย่างห้องพักจะเป็นจุดที่บุคคลอื่นไม่สามารถเข้ามาได้โดยไม่ได้รับอนุญาต เหมือนกับเป็นมิติปิดซึ่งเป็นสถานที่ส่วนบุคคลโดยเฉพาะ ทว่านั่นเป็นตรรกะของเกมอื่น ไม่ใช่ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์



    "เธอลืมไปได้เลยเรื่องความเป็นส่วนตัวในเกมนี้ ไม่ว่าจะเป็นประตูปราสาท ประตูโรงแรม ประตูร้านค้าหรือจะเป็นประตูบานนั้น ถ้าหากมีความสามารถมากพอ ผู้เล่นคนไหนก็พังเข้ามาได้เหมือนกับโลกจริง ๆ นั่นแหละ" โจว่า



    "เหมือนจริงขนาดนั้นเชียว แต่ว่าทีพวกกระเป๋ายังเป็นเมนูให้ใส่ของเลยนี่นา" เจนพูดขึ้นพลางนึกถึงกระเป๋าเดินทางที่เธอใช้อยู่ ถึงเวลาจะใช้งานต้องเปิดกระเป๋าก่อนก็ตาม แต่มันก็มีเมนูให้ยัดของใส่เข้าไปเหมือนเกมทั่วไปอยู่ดี



    "ใช่ แต่คนที่ขายกระเป๋าน่ะเป็นพนักงานที่เป็นคนมาประจำขาย ไม่ใช่เอไอ ฉันลองไปหาข้อมูลดูแล้วนะ เกมนี้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเอไอนั้นจะเหมือนกับโลกแห่งความจริงแทบทุกอย่าง จะยกเว้นก็แค่พวกหนังสือทักษะ คัมภีร์เวท หรือสิ่งของที่เกี่ยวกับเอไอระดับพิเศษอย่างอาจารย์หมิงไง"



    เมื่อได้ยินที่โจกล่าวก็ทำให้เจนนึกย้อนกลับไปก็พบว่าพนักงานหนุ่มคนนั้นมีท่าทางสุภาพเหมือนกับพนักงานขายของในห้างสรรพสินค้าในโลกแห่งความจริง ซึ่งถ้าเทียบกันกับร้านขายชุดในส่วนที่อยู่อาศัยในเมืองคริสตัลเบลแล้วก็ต่างกันมากจริง ๆ



    "ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าถ้าคนพวกนั้นเข้ามาได้.." เจนหยุดพูดไปซะดื้อ ๆ เมื่อลองคิดภาพในหัวว่าพวกผู้เล่นพังประตูเข้ามาในห้องพักได้ เธอคงจะถูกหามออกไปเหมือนกับโดนฝูงซอมบี้แน่ ๆ



    แต่ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนที่ดังอยู่นอกห้องพร้อมกับแรงกระแทกจากการทุบประตูที่หยุดลงกะทันหัน มีเพียงเสียงคุยซุบซิบฟังไม่ได้ศัพท์ดังลอดประตูเข้ามาเท่านั้น พวกเจนมองหน้ากันเพื่อหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กันเพราะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น



    ก๊อก ก๊อก ก๊อก



    เสียงเคาะเบา ๆ อย่างสุภาพดังขึ้นที่หน้าประตู เป็นสิ่งสุดท้ายที่เจนคิดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นขนาดนั้นแท้ ๆ ตอนแรกเจนคิดว่าจะมีคนระเบิดประตูเข้ามาซะอีก



    เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้งทำให้ทั้งสี่คนต่างมองหน้าหาคนเข้าไปเปิดประตู แต่สุดท้ายแล้วทั้งสามก็หันมามองที่เจนเป็นสายตาเดียว เมื่อโดนบังคับแถมเรื่องทุกอย่างเป็นเพราะเธอทำให้เจนต้องลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก



    เมื่อเจนเปิดประตูออกมาก็พบว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นชายร่างสูงอยู่ในชุดสีน้ำเงิน สวมหมวกที่ดูก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นหมวกของกัปตันเรืออย่างแน่นอน ทว่าคนอย่างเขามีธุระอะไรกับเธอกันแน่



    ด้านหลังของเขานั้นมีลูกเรือสามสี่คนยืนกันให้เหล้าผู้เล่นคนอื่นให้ถอยห่างออกไป แต่ก็ไม่มีใครที่คิดจะเดินจากไปเลยแม้แต่คนเดียว



    "สวัสดีครับ ผมคือกัปตันพอล เรียกผมแค่พอลก็พอครับ" ชายร่างสูงแนะนำตัวเองแล้วยื่นมือมาจับ



    เจนที่ยังสับสนอยู่ก็ยื่นมือออกไปจับกับพอลและแนะนำชื่อตัวเองออกไปโดยเธอจะลืมไปว่าเหล่าผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหลังกัปตันผู้นี้กำลังฟังทุกคำพูดไม่มีตกแม้แต่คำเดียว



    เพียงเท่านั้นเหล่าผู้เล่นก็พากันส่งเสียงคุยกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะไม่ได้ดังเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่ก็ดังมากพอที่จะให้รู้ว่าพวกเรากำลังคุยกันเรื่องของเธอ



    "เอ่อ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือครับถึงได้มาหาที่ห้องแบบนี้" แจ็คที่ทนดูไม่ไหวเดินเข้ามาช่วยไม่ให้เจนหลุดพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ ส่วนโจนั้นฟุบหน้าลงบนฝ่ามือตัวเองอย่างหนักใจแล้ว เพราะแผนซ่อนตัวที่เขาคิดนั้นโดนเพื่อนสาวพลังทลายลงในพริบตา



    "ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากจะมาขอบคุณพวกคุณทุกคน ถ้าหากไม่ได้พวกคุณช่วยเอาไว้ ผมและลูกเรือทุกคนคงจะไม่รอดอย่างแน่นอน ขอขอบคุณจริง ๆ ครับ!" เมื่อพูดจบเขาก็ก้มตัวให้ทันที



    ทางเจนเองก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่รีบบอกให้พอลเงยหน้าขึ้นมา การที่คนที่อยู่ในระดับกัปตันเรือมาก้มหัวให้กับคนธรรมดาอย่างเจนได้นั้นถือว่าเป็นการลดเกียรติอย่างมาก แต่เขากลับยอมเพื่อที่จะแสดงคำขอบคุณที่พวกเจนนั้นได้ช่วยชีวิตเรือทั้งลำเอาไว้ นับได้ว่าเขาเป็นผู้นำที่น่านับถือคนหนึ่งทีเดียว



    "เพื่อเป็นการตอบแทน อาหารบนเรือทุกจานจะไม่คิดเงินใด ๆ ทั้งสิ้น แน่นอนว่าสำหรับนักผจญภัยท่านอื่นด้วยเช่นกัน" กัปตันพอลพูดเสริมเมื่อได้ยินเสียงทักท้วงจากผู้เล่นรอบนอก



    เมื่อได้ยินว่าอาหารฟรีผู้เล่นส่วนใหญ่ก็พากันตรงไปยังที่ห้องอาหารของเรือทันที ถึงแม้อาหารบนเรือจะมีไม่แพงมากนัก แต่ก็ไม่มีใครคิดจะไปเสียเงินกับอาหารสิ้นเปลืองแบบนั้นเป็นมากนัก ถึงยังไงก็ตามผู้เล่นส่วนใหญ่ก็ประทังชีวิตอยู่ได้กับข้าวกล่องราคาห้าร้อยโกลด์กันอยู่แล้ว



    "ขอประทานโทษนะครับที่ผมไม่มีอะไรจะให้ไปมากกว่านี้แล้ว เรือของผมมันเป็นแค่เรือระดับล่าง ไม่มีห้องรับรองพิเศษจะให้พวกคุณไปอยู่ แต่เพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับพวกคุณ ช่วยกรุณารับสิ่งนี้เอาไว้ด้วยครับ"



    เจนรับของที่พอลส่งมาให้อย่างว่าง่าย เมื่อพิจารณาดูก็พบพบว่ามันเป็นเหรียญที่มีรูปปีกกับตัวอักษรSRอยู่ตรงกลางทั้งสองด้านอยู่สี่เหรียญ ส่วนอีกอย่างเป็นผลึกหินสีเขียวคล้ายกับผลึกหินลอยตัวที่อยู่ข้างลำเรือ เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก



    ผลึกหิน[ผนึก]

    ผลึกหินธรรมดาทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ



    เจนเอียงหัวอย่างแปลกใจเมื่อพบว่าผลึกหินในมือนั้นเป็นไอเท็มปิดผนึก นั่นแปลว่ามันคงมีค่ามากอย่างแน่นอน เจนจึงตัดสินใจเก็บเอาไว้แล้วคิดจะปลดผนึกมันในภายหลัง ส่วนเหรียญทั้งสี่นั้นเธอไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเพราะพอลอธิบายให้ฟังจนเสร็จสรรพ



    "นี่คือเหรียญสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสกายเรนเจอร์ หน่วยทหารอากาศของทวีปไลเทเชีย อาจจะไม่ค่อยมีค่านักแต่ผมอยากให้พวกคุณเก็บเอาไว้ครับ"



    ถึงแม้จะยังไม่รู้เองไว้ได้อีกแต่เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายต้องการให้เธอรับเอาไว้ เจนก็ยินดีรับเอาไว้อย่างเต็มใจ







    การเดินทางที่เหลือนั้นดำเนินต่อไปค่อนข้างราบลื่นกว่าที่ผ่านมา ไม่มีการโจมตีจากนอกเรืออีก และสภาพของเรือนั้นก็ได้รับการซ่อมแซมจนสามารถบินได้ตามปกติแม้การเดินทางจะล้าช้าไปกว่ากำหนดบ้างก็ตาม ในตอนแรกเจนคิดว่าเธอจะต้องเจอกับคาราวานที่จะดึงเธอเข้าร่วมกิลด์ด้วย แต่กลับกลายเป็นว่ามีผู้เล่นจำนวนไม่กี่คนเท่านั้นที่มาด่อม ๆ มอง ๆ เวลาที่เธอไปกินข้าวที่ห้องอาหาร แต่ไม่มีใครซักคนที่กล้าเข้ามาคุยกับเธอ



    "เสียใจหรอที่เธอไม่เนื้อหอมแบบเมื่อกี้แล้ว" รินเอ่ยขึ้นขณะที่เธอและเจนพร้อมทั้งสองสาวน้อยกำลังกินข้าวเย็นของวันเดียวกับที่เรือตกจากฟ้า น่าแปลกที่เธอเจออะไรตั้งมากมายแต่สุดท้ายกลับมานั่งใจเย็นอยู่แบบนี้ได้จนแม้แต่ตัวเจนเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ



    "เปล่า ฉันแค่สงสัยนิดหน่อยน่ะ" เจนตอบพลางมองไปรอบ ๆ สังเกตได้ถึงสายตาที่มองมาหาเธอจนเริ่มรู้สึกอึดอัด แต่สองมังกรและจิ้งจอกยังคงยัดอาหารยังไม่เต็มท้อง ยิ่งได้ยินว่ากินฟรีทั้งสองก็ยิ่งไม่สนใจเรื่องปริมาณเลยแม้แต่น้อยจนเจนรู้สึกเกรงใจ จึงให้สองจานที่ทั้งคู่กำลังทานอยู่นี้เป็นจานสุดท้ายแล้ว



    รินหัวเราะในลำคอให้กับสีหน้าแสดงถึงความสงสัยของเจนก่อนที่จะชี้ไปยังลูกเรือสามสี่คนที่กำลังยืนเฝ้ายามอยู่รอบห้อง



    "ฉันได้ยินว่ากัปตันเรือแจ้งให้ทุกคนว่าห้ามสร้างความรำคาญกับพวกเราน่ะ เห็นว่าถึงกับขู่ว่าจะยัดคนที่ฝ่าฝืนคำสั่งเข้าบัญชีดำห้ามขึ้นเรือเหาะเลยล่ะ แบบนี้ไม่มีใครมายุ่งกับพวกเราก็ถือว่าไม่แปลก"



    เจนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินสิ่งที่รินพูด เธอไม่คิดว่าพอลถึงกับลงทุนทำถึงขนาดนั้นเพื่อที่จะให้เธออยู่อย่างสงบ เท่ากับว่าตอนนี้เธอเป็นผู้โดยสารระดับวีไอพีของเรือลำนี้เลยทีเดียว



    "ต้องทำถึงขนาดนั้นเลย! แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือเปล่า" เจนว่า



    "ฉันว่าคงเป็นเพราะเธอเล่นสำแดงเดชมาซะขนาดนั้น พวกลูกเรือกับกัปตันพอลเกรงใจเธอขนาดนี้ยังน้อยไปเลยด้วยซ้ำ หากพวกเขาไม่กลัวเธอมีน้ำโหจนใช้พลังสถิตร่างอาละวาดจนเรือพัง ไม่ก็เห็นว่าเธอเป็นเทพเจ้าไปแล้วล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ทำถึงขนาดนี้หรอก" รินพูดเล่นทีจริงทำให้เจนเริ่มกังวลเล็กน้อย แต่ถ้าหากมันยังไม่มีปัญหาเธอก็ยังคงไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเรื่องนี้



    "ว่าแต่โจกับแจ็คไปไหนซะล่ะเนี่ย" ยังไม่ทันจะได้มองหาเจนก็เห็นสองหนุ่มเดินข้ามห้องอาหารตรงมานั่งที่โต๊ะของพวกเธอ



    หลังจากเกิดเรื่องยุ่ง ๆ เมื่อตอนเช้า โจและแจ็คก็หายตัวไปพักใหญ่เลยทีเดียว มีแว่บเข้ามาทานมื้อเที่ยงกับพวกเจนก่อนจะหายไปอีกครั้ง ตอนนี้เวลาราว ๆ ห้าโมงครึ่งได้ ทั้งสองก็กลับมาก่อนที่คิทซึเนะและฟีบีจะกินอาหารหมดทั้งลำ



    "พวกนายสองคนหายไปไหนมาทั้งวัน" เจนถาม ทั้งสองเพียงยิ้มให้ไม่ตอบคำและแย่งอาหารบนจานของฟีบีกินซึ่งมังกรน้อยก็โวยวายเสียงดังลั่น แต่เมื่ออาหารได้ลงท้องชายหนุ่มลงไปแล้วทำให้ฟีบีได้แต่จ้องหน้าของแจ็คและคาดโทษเอาไว้ในใจ



    เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ ดวงตาพิฆาตจ้องเขม็งจนทั้งสองเริ่มรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหว สุดท้ายแจ็คจึงยอมเอ่ยปากบอกมาว่าพวกเขาไปทำอะไรกันมา



    "นาย!! นี่พวกนายบอกว่าไปทำอะไรกันมานะ!" เจนตะโกนเสียงดังลั่น



    "ก็บอกว่าพวกฉันไปกระจายข่าวให้คนอื่นรู้ว่าเธอเป็นผู้เล่นหนาใหม่ที่กล้าสู้กับกิลด์พิฆาตราชาไง" แจ็คว่าแล้วหยิบไส้กรอกขึ้นมากินรองท้องอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นจานของคิทซึเนะที่ปล่อยให้เขากินตามสบาย



    "ไหนว่าจะต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับไงล่ะ แล้วต่อจากนี้ไปชีวิตอันสงบสุขของฉันจะเป็นยังไง นายไม่สนใจเลยใช่มั้ยหา!" เจนพูดอย่างหัวเสีย เธอนึกภาพตัวเธอถูกกลุ่มผู้เล่นคนอื่นไล่ตามตื้อให้เขากิลด์ อีกด้านก็เป็นกิลด์พิฆาตราชาไล่ฆ่าเธอก็นึกเสียวสันหลังไม่ได้



    "ก็เพราะอย่างนั้นแหละพวกเราถึงต้องทำอย่างนี้ไง ใช่มั้ย โจ"



    "ใช่แว้ว เอ้ายิ้มมม!" โจพูดพร้อมกับทำนิ้วเป็นกรอบสี่เหลี่ยมเหมือนจะถ่ายรูป จากนั้นเขาก็หันไปกดอะไรบางอย่างบนหน้าต่างแสงด้านหน้า



    "หมอนี่กำลังลงข่าวที่ฉันบอกเมื่อกี้ลงในกระดานข่าวสารน่ะ รับรองว่าล็อกอินคราวหน้าเธอได้ดังเป็นพลุแตกแน่" เพื่อนหนุ่มตัวโตชิงพูดก่อนที่หญิงสาวจะได้เอ่ยปากถาม



    "เฮ้ย ทำอะไรน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!" ไม่ว่าเปล่า หญิงสาวพุ่งข้าวโต๊ะไปหาโจที่รัวมือพิมพ์ข้อความยิก ๆ



    แต่ก่อนจะเอื้อมมือไปถึง เธอกลับถูกหยุดด้วยฝีมือของบุคคลที่เธอไม่คิดมาก่อน



    มือบางของหญิงสาวผมสั้นรั้งตัวเธอเอาไว้จากด้านหลัง ทำให้โจที่พิมพ์ข้อความมีเวลามากพอ จนสามารถโพสข่าวของเจนขึ้นกระดานข่าวไดัสำเร็จ การกระทำของรินทำให้แปลประหลาดใจว่าเธอสนิทกับพวกโจขนาดที่ร่วมมือแกล้งเธอได้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอหันกลับมามองดูหนาของเธอก็ทำให้เจนรู้ทันทีว่าเพื่อนของเธอคนนี้ทำไปเพื่ออยากจะเห็นเรื่องสนุกด้วยนิสัยของเธอเองล้วน ๆ !



    "เสียใจด้วยนะเจน แต่เธอเป็นคนเริ่ม ดังนั้นเธอก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้" โจว่า



    "ด้วยการเอาฉันไปขึ้นเขียงเนี่ยนะ!"



    "เปล่าซักหน่อย! ลองคิดดูสิ ตอนนี้เธอโดนพวกกิลด์พิฆาตราชาจ้องเด็ดหัวอยู่ใช่มั้ยล่ะ แต่พอคราวนี้พวกนั้นรู้ว่าเธอมีพลังขนาดไหน คราวนี้การที่จะส่งคนมาตามล่าตัวพวกเรา...หมายถึงเธอด้วยก็ต้องชะงักไปแน่" โจอธิบายจนทำให้เจนเริ่มรู้สึกคล้อยตาม



    "ไม่แค่นั้นนะ คราวนี้พวกผู้เล่นที่จะมาชวนเธอเข้ากิลด์ก็ต้องคิดหนักว่าจะให้กิลด์ตัวเองตกเป็นเป้ามันคุ้มกับการที่เอาเธอมาเข้ากิลด์หรือเปล่า แบบนี้คงจะเหลือแค่ไม่กี่คนที่จะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเธอ" แจ็คเสริม



    เจนถึงกับชะงักงันเพราะไม่คิดว่าทั้งสองจะคิดแก้ปัญหาได้อย่างหลักแหลมเช่นนี้ ปกติเวลาทั้งสองคนจะจับคู่กันนั้นถ้าหากเป็นเรื่องเกมล่ะก็หายห่วง แต่เมื่อเห็นแล้วว่าทั้งสองสามารถช่วยกันคิดจัดการปัญหาได้อย่างไร้ที่ติเช่นนี้ทำให้เจนต้องมองดูเพื่อนของตนเองใหม่ซะแล้ว







    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อการเดินทางบนเรือเหาะกำลังจะถึงจุดหมายแรกของมัน 'เมืองยามะไต'



    ถ้าหากให้เทียบขนาดของเมืองแล้ว เมืองยามาไตถือว่ามีขนาดใหญ่เป็นต้น ๆ ของเกมเลยทีเดียว แต่ถ้าหากให้เทียบกับความงดงามของเมืองนี้ล่ะก็ ถ้าบอกว่าเป็นที่หนึ่งก็ถือว่าไม่ผิดนัก ทั้งเมืองเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวประดับตามทาง สวนหย่อมเล็กน้อยตั้งอยู่ทั่วจนเจนเห็นทั้งเมืองกลายเป็นสีเขียวดูสบายตามากจากทิวทัศน์บนฟ้า



    สิ่งก่อสร้างของที่นี่เป็นแบบญี่ปุ่นสมัยเอโดะหรือเก่ากว่า อาคารร้านค้าทั้งหมดรวมไปถึงอาคารที่อยู่อาศัยทำจากไม้ จากที่เจนเห็น หลังคาส่วนใหญ่เป็นแบบหลังคาหน้าจั่ว โดยกระเบื้องที่ใช้บนหลังคานั้นจะแยกออกตามขนาดบ้านโดยเป็นสีเขียวอมน้ำเงินสำหรับบ้านหลังใหญ่ สีน้ำเงินเข้มสำหรับบ้านหลังเล็ก และปราสาทขนาดใหญ่ไม่แพ้ปราการของกิลด์หกราชันย์ของเมืองคริสตัลเบลนั้นก็ใช้กระเบื้องสีแดงสดเห็นมาแต่ไกล



    ตัวปราสาทนั้นมีกำแพงหินขนาดใหญ่ล้อมรอบ มีทางเข้าออกอยู่สองทาง โดยด้านในนั้นเจนเห็นต้นไม้นานาพันธ์และบ่อน้ำอยู่ด้านในทำให้คิดถึงสวนส่วนตัวของโชกุนอย่างไรอย่างนั้น



    ด้านตัวปราสาทนั้นมีขนาดใหญ่และความสูงมาก ชั้นบนสุดนั้นอยู่ในระดับความสูงเดียวกับที่เรือเหาะกำลังบินอยู่เลยทีเดียว กะเอาด้วยสายตาแล้วปราสาทแห่งนี้ต้องมีไม่ต่ำกว่าห้าสิบชั้นอย่างแน่นอน



    เมื่อเรือเหาะลดความสูงลงเจนก็หมดโอกาสที่จะชมความงามของเมืองต่อ เรือค่อย ๆ เข้าเทียบท่าเรือเหาะอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะหยุดลงและปล่อยให้ผู้โดยสารออกจากเรือซึ่งพวกเจนตั้งใจจะอยู่รั้งท้ายเพราะคำสั่งห้ามยุ่งวุ่นวายของพวกเธอนั้นมีผลแค่บนเรือ แต่เมื่อลงจากเรือไปนั้นถือว่าอยู่นอกอำนาจของกัปตันพอล ไม่มีอะไรรับรองว่าเหลาผู้เล่นจะไม่เข้ามารุมแย่งตัวเจนอีกแม้ว่าจะมีข่าวที่พวกโจกระจายไปแล้วก็ตาม



    เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เจนจึงส่งจดหมายไปหาพวกเสือซ่อนลายว่าพวกตนนั้นมาถึงที่ยามะไตแล้วและนัดให้มาเจอกัน เมื่อเจนโยนจดหมายขึ้นฟ้าแล้วมันก็บินหายไปทางเหนือ แสดงว่าพวกเสือซ่อนลายในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองเดียวกับพวกเธอ ดังนั้นพวกเจนจึงได้แต่รอจดหมายตอบกลับมาเท่านั้นถึงจะทำอะไรต่อได้



    เจนลองเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นมาดู พบว่าภารกิจผู้กล้าของเธอนั้นตัวเลขได้เพิ่มขึ้นเป็น 306 หลังจากที่เธอได้ช่วยลูกเรือเอาไว้ทั้งลำ น่าเสียดายที่ภารกิจนี้ไม่นับรวมผู้เล่นด้วย ไม่เช่นนั้นตัวเลขคงจะพุ่งขึ้นสูงถึง 600 เลยทีเดียว



    พวกเจนได้แยกทางกับรินที่ตรงนี้ ในตอนแรกเจนคิดจะพารินไปเดินเล่นในเมืองกันก่อนเพราะเนื่องจากเรือเหาะเสียหายหนักจึงต้องเสียเวลาซ่อมซักวันหรือสองวัน แต่เป็นเพราะถึงเวลาล็อกเอาท์ของรินแล้วทำให้เธอต้องอยู่ในเรือ เพราะเวลาเธอล็อกอินเข้ามาใหม่ เวลาที่เรือเหาะเดินทางเธอก็จะยังคงอยู่บนเรือนั่นเอง



    หลังจากแยกทางมาจากรินแล้ว พวกเจนก็มุ่งหน้าตรงไปยังโรงแรมเป็นอันดับแรกเพื่อหาที่อาบน้ำ แม้ว่าบนเรือเหาะจะมีบริการที่ดีเยี่ยมแต่ไม่มีที่สำหรับให้อาบน้ำแต่อย่างใด แถมหลังจากผ่านการต่อสู้บนน่านฟ้าก็ทำให้อดรู้สึกตัวเหนียวเหนอะไม่ได้ แม้กระทั่งสองหนุ่มจอจานเองก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้เช่นกัน



    พวกเจนเข้าไปพักที่โรงแรมขนาดกลาง ๆ แห่งหนึ่งของเมืองที่มีสภาพคล้ายกับเรียวกังออนเซ็นในประเทศญี่ปุ่น ถึงตัวโรงแรมจะไม่ได้มีการตกแต่งจนดูหรูหรามากอย่างที่เคยพบ แต่โรงแรมแห่งนี้ก็ให้บรรยากาศผ่อนคลายไม่น้อยไปกว่าโรงแรมระดับห้าดาวเลย



    ทั้งสามเลือกพักในห้องใหญ่เผื่อพวกเสือซ่อนลายด้วย ถึงจะดูสิ้นเปลืองไปบ้างเพราะยังไม่รู้ว่าเสือซ่อนลายจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่เนื่องจากราคาที่พักนั้นค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเมืองซีโป และพวกเจนยังมีเงินเหลือใช้แถมยังได้เงินค่าหัวมากจากพวกดีไนน์อีก ดังนั้นพวกเธอจึงไม่รู้สึกเสียดายเงินไปเท่าไรนัก



    ห้องพักของที่นี่จะเป็นแบบนอนฟูกบนพื้นเสื่อซึ่งมีพนักงานคอยปูและเก็บฟูกให้ตามเวลา ทำให้เจนรู้สึกว่าแม้จะจ่ายเงินล่วงหน้าไปถึง25,000 สำหรับค่าที่พักเป็นจำนวนหนึ่งเดือนนั้นถือว่าคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก



    ห้องพวกที่เจนใช้นั้นเป็นห้องพักขนาดสิบห้าคน สามารถแบ่งห้องแยกชายหญิงได้หรือจะนำที่กั้นออกกลายเป็นห้องใหญ่ห้องเดียวก็ได้ ด้านข้างเป็นสวนหญ้าเล็ก ๆ สำหรับสัตว์เลี้ยงแต่เนื่องจากคิทซึเนะและฟีบีนั้นสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้จึงไม่จำเป็นต้องใช้ ส่วนโจก็ไม่คิดจะเอาเจ้าโอร็อค มังกรหินที่กำลังจำศีลของเขาออกมาด้วย ดังนั้นที่สวนสำหรับสัตวเลี้ยงจึงกลายเป็นสนามเด็กเล่นแทน



    ห้องอาบน้ำของที่แห่งนี้เป็นออนเซ็น บ่อน้ำแร่ธรรมชาติแต่น่าเสียดายที่มีเพียงอยู่บ่อเดียวเท่านั้นจึงทำให้กลายเป็นบ่อรวม แต่เนื่องจากที่นี่ไม่ได้มีธรรมเนียมเหมือนที่ญี่ปุ่นที่ต้องเข้าไปตัวเปล่า เจนจึงสามารถหาชุดว่ายน้ำให้กับพวกคิทซึเนะได้ แต่สำหรับเจนนั้นต้องยอมกลายเป็นผู้หญิงไปชั่วคราวและสวมชุดว่ายน้ำเข้าไปพร้อมกับพวกโจ



    การแช่น้ำในบ่อน้ำแร่ธรรมชาตินั้นกลายเป็นเรื่องลำบากใจสำหรับเจนมาก เพราะที่บ่อน้ำร้อนนั้นนอกจากพวกเจนแล้วยังมีผู้เล่นคนอื่นอยู่ด้วย แถมยังมีชาวเมืองที่มีผ้าติดตัวอยู่ผืนเดียวด้วย ทำเอาเธอต้องรีบปิดตาคิทซึเนะและฟีบีเอาไว้ไม่ให้มอง ส่วนพวกโจนั้นจ้องเหล่าหญิงสาวนุ่งผ้าผืนเดียวตาเป็นมันแต่เจนนั้นไม่มีมือจะไปรั้งพวกเขาเอาไว้ได้ จึงได้แต่ใช้ดวงตาพิฆาตเป็นระยะ ๆ แทน



    หลังจากขึ้นจากบ่อและกลับมาที่ห้องเจนก็รู้สึกสบายตัวที่สุดในรอบหลายวัน แม้ว่าเธอจะเดินทางด้วยเรือเหาะมาเพียงแค่วันเดียว แต่ตอนที่อยู่ทวีปไลเทเชียเองพวกเจนก็แทบจะไม่ได้อาบน้ำอย่างเต็มที่ซักที ตอนอยู่ที่เมืองคริสตัลเบลก็ไม่ได้พักที่โรงแรมไหนด้วย ดังนั้นหลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้วพวกเจนก็พากันพักผ่อนอยู่บนห้องพักทั้งวันจนมีพนักงานขึ้นมาสอบถามว่าจะทานอาหารเย็นที่ห้องพักหรือที่ห้องอาหาร แน่นอนว่าทั้งห้าพร้อมใจกับตอบว่ากินบนห้องพัก



    อาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่อาหารทะเลและข้าว แต่รสชาติก็ยอดเยี่ยมและคุ้มกับที่โรงแรมนี้แยกเก็บค่าอาหารกับค่าที่พัก ทำให้พวกเจนต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก2,000โกลด์สำหรับอาหารมื้อนี้



    ในระหว่างที่กำลังทานมื้อเย็นกันนั้นเอง จดหมายที่เจนส่งไปให้เสือซ่อนลายก็ถูกส่งกลับมา เจนรีบเปิดอ่านดูเนื้อหาข้อความดูทันที



    "ตอนนี้พวกฉันอยู่ที่ทวีปยูโรปา มาเปลี่ยนอาชีพของฉันกับยูสตาร์ ส่วนตอนนี้ไมโกะได้อาชีพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนที่เธออ่านจดหมายนี้พวกเราก็คงกำลังเดินทางกลับมาที่ยูโรปา แต่คงไม่ทันกำหนดออฟไลน์แน่ ๆ เอาไว้เจอกันตอนออนไลน์ครั้งหน้าก็แล้วกันนะ - เสือซ่อนลาย" เจนอ่านจดหมายเสียงดังให้พวกโจฟัง



    เมื่อได้ยินว่าคงใช้เวลาอีกซักพักกว่าพวกเสือซ่อนลายจะมาถึงยามะไต ทั้งสามจึงปรึกษากันว่าเวลาที่เหลือก่อนที่พวกเขาจะออฟไลน์จะไปทำอะไรกันดี



    "ถ้าไม่นับคืนนี้ก็เหลืออีกสามวันก่อนถึงเวลาออฟไลน์ สามวันนี้จะไปที่ไหนกันดี ไปทำภารกิจของเมืองกันดีมั้ย" แจ็คเสนอความคิดเห็น



    "เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนแรกฉันอยากจะพาพวกนายไปพบกับแม่ของคิทซึเนะ แต่เอาไว้พวกเสือซ่อนลายมาถึงก่อนแล้วกันค่อยไปพร้อมกันทีเดียว" เจนพูด จิ้งจอกสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเธอได้ยินพี่สาวของตนพูดถึงมารดา



    "ฉันว่าพวกเราจัดการเคลียร์ภารกิจเลื่อนยศกันก่อนดีกว่า เหลือเวลาตั้งสามวันแบบนี้อาจจะทันเวลาก่อนออฟไลน์" โจว่า เจนและแจ็คก็พยักหน้าสนับสนุน



    "เดี๋ยวฉันจะไปหามอนสเตอร์ระดับบอสสายเวทในแถบนี้ดู คงหาไม่ยากเท่าไหร่ ส่วนแจ็ค นายลองไปหาใบประกาศจับที่อาคารระบบดูก็แล้วกันว่ามีคนมีค่าหัวอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้มั้ย แต่นี่เป็นเมืองหลักอีกแห่งของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ น่าจะมีคนที่มีค่าหัวให้นายล่าอยู่บ้างล่ะนะ"



    เมื่อเจนได้ยินว่าที่นี่เป็นเมืองของกิลด์อะไรก็ทำหน้ามู่ทู่ขึ้นมาทันที



    "เข้าใจแล้ว" ชายหนุ่มตอบรับ จากนั้นทั้งสองก็หันมาหาเจนที่ยังคิดไม่ตกว่าเธอจะหาคนเดือดร้อนอีก 700 คนภายในอีกสามวันได้ที่ไหน



    "เรื่องนี้ฉันเองก็จนปัญญาว่ะ พรุ่งนี้เธอลองไปสอบถามเธอลองไปสอบถามอาคารระบบพร้อมกับแจ็คดูก็แล้วกัน แต่ฉันได้ยินมาว่าภารกิจอย่างนั้นมีไม่ค่อยเยอะ แถมยังนาน ๆ ทีจะมีซักครั้งด้วย"



    เจนที่ได้ยินคำพูดของโจก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ ทั้ง ๆ ที่เธออยากจะรีบเปลี่ยนอาชีพเพื่อจะได้ไปช่วยอามีร่าแท้ ๆ แต่กลับต้องมาติดอยู่กับเงื่อนไขสุดยากมาซะนี่ แถมไม่รู้ว่าเธอจะต้องช่วยคนในระดับไหนถึงจะเป็นที่ภารกิจต้องการอีกด้วย



    ขณะที่เจนมัวแต่ก้มหน้านั่งคิดไม่ตกอยู่นั้น คิทซึเนะเองก็กำลังทำท่าเหมือนกับว่าลังเลอะไรอย่าง แต่สุดท้ายแล้วเธอก็อ้าปากพูดขึ้นมา "พี่เจนคะ ถ้าช่วยเหลือพวกสัตว์อสูรนี่จะถือว่านับหรือเปล่าคะ"



    เมื่อเจนได้ยินเสียงเรียกถามของจิ้งจอกสาวจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วคิดย้อนกลับไปเมื่อตอนที่พนักงานที่อาคารระบบอธิบายรายระเอียดของภารกิจของเธอ



    "อืม..น่าจะนะ ทำไมหรือ"



    จิ้งจอกสาวก้มหน้าตรองแล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้สีหน้าของเธอต่างจากที่แล้วมาจนแว่บหนึ่งเจนเห็นเงาของมาเอะซ้อนทับร่างของคิทซึเนะเลยทีเดียว



    "ถ้าหากหนูบอกว่ามีสัตว์อสูรในป่าเกาลัดอยู่หลายพันตัวกำลังต้องการความช่วยเหลือ พี่เจนจะว่ายังไงคะ"



    จบตอนที่ 27 พลังใหม่ 'ผสาน'

    -------------------------------

  25. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  26. #40
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 28 สู่ป่าเกาลัด

    ตอนที่ 28 สู่ป่าเกาลัด





    เช้าวันถัดมา พวกเจนต่างพากันแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตน ต่อให้เจนคิดจะไปช่วยพวกโจก็ทำไม่ได้เพราะตัวภารกิจบังคับวาให้ทำคนเดียว ส่วนเจนเองก็ใช่จะมีเวลาว่างไปช่วยคนอื่น ดูจากสีหน้าของคิทซึเนะที่ตั้งแต่ลงมาถึงเมืองยามะไตก็ดูไม่ค่อยดีนัก เหมือนกับว่ากำลังมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจแต่ไม่ยอมพูดออกมา



    ในเมื่อคิทซึเนะไม่พูดเจนก็ไม่คิดจะไปบังคับให้บอกเพราะยังไงก็ตามหากเธอไปถึงจุดหมายเมื่อไหร่ก็คงจะได้รู้ทุกอย่างอยู่ดี ตอนนี้เจนจึงชวนฟีบีและจิ้งจอกสาวคุยไปเรื่อย แต่เมื่อไรที่พูดถึงมาเอะ ร่างบางของจิ้งจอกสาวต้องมีอันสะดุ้งไปทุกที ทำให้เธอได้แต่นึกเอาเองว่าคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเผ่าจิ้งจอกและพวกเธอคงกำลังมุ่งหน้าไปหมู่บ้านจิ้งจอกแน่ ๆ



    ก่อนออกมาจากเมือง เจนเตรียมเสบียงเอาไว้พร้อมสรรพ รวมถึงเตรียมอาหารเผื่อเอาไว้สำหรับช่วงเวลาที่เจนต้องออฟไลน์ในระหว่างที่อยู่กลางป่าด้วยในกรณีที่เธอใช้เวลาทำภารกิจมากว่าที่คิด แม้ว่าเธอจะจ้องห้องพักล่วงหน้าเอาไว้ถึงหนึ่งสัปดาห์เดือนแล้วก็ตามที แต่เธอก็ไม่คิดว่าสัตว์เลี้ยงทั้งสองจะกลับไปพักในเมือง หากเธอจัดการธุระเสร็จแล้วจึงปล่อยทิ้งไว้ให้พวกโจถ้าหากสองคนนั้นทำภารกิจเลื่อนยศสำเร็จก่อนเธอ



    หลังจากพร้อมแล้วเจนและคิทซึเนะพร้อมทั้งฟีบีก็ออกเดินทางไปยังประตูทิศเหนือของเมือง ในช่วงเช้าเช่นนี้ยังมีผู้คนไม่มากสักทำให้เจนรู้สึกปลอดโปร่งมากเพราะไม่มีสายตาสอดส่องจ้องมาที่เธอ ส่วนพวกชาวเมืองนั้นก็ง่วนอยู่กับการเตรียมตัวเปิดร้านขายของจนไม่ได้สนใจเจนเท่าไหร่นัก



    เมืองยามะไตแห่งนี้มีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้คนที่มาที่แห่งนี้แล้วรู้สึกหลงใหล การวางผังเมืองแห่งนี้ก็แตกต่างจากเมืองที่เจนเคยไปมาเช่นกัน เพราะเมืองนี้จะรวมแต่ละส่วนเข้าด้วยกันเอาไว้อย่างดี อย่างเช่นส่วนทางใต้ของเมืองที่ถือว่าเป็นท้ายเมืองเพราะไม่มีประตูทางเข้าออกนั้นจะเป็นที่ตั้งของร้านค้ามากมายและรวมไปถึงอาคารระบบ โรงแรมและท่าเรือเหาะเอาไว้เป็นส่วนเดียวอย่างไม่แยกกัน ส่วนทางเหนือและตะวันออกนั้นจะเป็นที่อยู่ของชาวเมืองและร้านค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายร้าน ประตูทางเข้าออกทั้งสองทิศก็ตั้งอยู่ตรงทิศดังกล่าวทำให้บริเวณนั้นถือได้ว่าเป็นตลาดเปิดท้ายขายของที่คึกคักไม่เบาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือพ่อค้าชาวเมืองต่างก็มาตั้งร้านขายของกันถ้วนหน้าจนคึกคักไม่แพ้ในเขตโรงแรมที่เจนพักอยู่เลย



    สุดท้ายเป็นทิศตะวันตกอันเป็นที่ตั้งของปราสาทขนาดใหญ่ ปราสาทฮาชิฮากะ อันเป็นที่ทำการของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่และยังเป็นที่พำนักของราชินี ฮิมิโกะ กษัตรีแห่งยามะไตอีกด้วย



    ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป โจได้เล่าเรื่องราวของเมืองแห่งนี้ให้ฟังมาเล็กน้อย เข้าบอกว่าเมืองยามะไตนั้นมีกษัตริย์คอยปกครองอยู่ ต่างจากเมืองซีโปที่เป็นเจ้าเมืองหรือเมืองคริสตัลเบลที่ปกครองโดยกิลด์หกราชันย์โดยตรง เมื่อครั้งที่จีโอและหย่งฟางนำกองทัพกิลด์เข้ามายึดครองเมืองแห่งนี้พวกเขาได้ทำสัญญากับราชินีฮิมิโกะ โดยจะขอใช้เมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งหลักของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ และขอส่วนแบ่งจากการเก็บภาษีเมือง 10 เปอร์เซ็นต์ แลกกับการคุ้มครองเมือง ซึ่งแม้ว่าราชินีฮิมิโกะจะมีพลังอำนาจสูงส่งเพราะเธอมียศระดับราชาและมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชานับแสน แต่เธอก็ยอมตกลงทำสัญญากับพวกจีโอด้วย จนทำให้เมืองยามะไตถือว่าเป็นเมืองที่มีการป้องกันที่เข้มแข็งมากเมืองหนึ่งในเกม ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์



    เมื่อออกมานอกเมืองเจนก็พบกับบรรยากาศคุ้นตาเหมือนกับที่เจอบนเกาะไทริส สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยมากมายเดินหาอาหารยามเช้ากันอย่างสงบสุขเพราะไม่มีผู้เล่นคนไหนคิดจะไปยุ่งกับพวกมันเพราะมันมีเลเวลเพียงแค่หนึ่ง จะใช้มันเป็นอาหารก็ไม่คุ้มแรงเพราะพวกมันว่องไวมากในเรื่องการหนี แถมเพียงแค่เดินเข้าไปในป่าหน่อยนึงก็เจอกวางป่าและหมูป่าตัวใหญ่ที่ล่าง่ายและให้เนื้อมากกว่า



    เนื่องจากเมืองยามะไตมีประตูทางเขาออกอยู่เพียงสองทาง ทำให้การเดินทางของเจนนั้นไม่เหงามากนักเพราะเพียงแค่เดินไปตามถนนนั้นก็พบเจอมอนสเตอร์ตัวเล็ก ๆ ตลอดทาง แถมพวกชาวบ้านที่ออกมาหาของป่ายามเช้าทักทายอย่างอัธยาศัยดีอยู่เรื่อย ๆ เรียกได้ว่าต่างจากเมืองรีเด็มชั่นราวกับสวรรค์และนรกเลยทีเดียว



    เมื่อเดินมาถึงทางแยก ป้ายบอกทางขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้าบอกว่า 'ทางซ้าย เหมืองหินจอมเขมือบ ทางขวา หมู่บ้านโยโระ'



    แต่แทนที่จะเลี้ยวซ้ายหรือขวา คิทซึเนะกลับเดินหลบป้ายบอกทางและตรงเข้าไปในป่าทึบโดยให้เหตุผลว่า "หมู่บ้านที่พวกเรากำลังไปอยู่ในป่าลึกค่ะ"



    เมื่อได้ยินดังนั้นเจนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินตามคิทซึเนะไปเรื่อย ๆ โดยมีเป้าหมายเป็นป่าเกาลัดที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะไปถึง



    พอเริ่มเดินเข้าไปในป่าลึกมากขึ้น ก็เริ่มมีสัตว์อสูรเริ่มเขามาโจมตีพวกเจนบ้างเป็นครั้งคราว แต่เนื่องจากระดับของอสูรพวกนี้ไม่สูงมากนักจึงไม่ได้ทำอันตรายแก่พวกเธอเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเจนจึงใช้โอกาสนี้ฝึกการต่อสู้ให้กับฟีบีไปในตัว



    คู่ต่อสู้ตัวแรกของฟีบีคือเสือป่าตัวใหญ่ตัวหนึ่ง แม้จะดูน่ากลัวและมีขนาดใหญ่กว่าฟีบีมากนักแต่เมื่อตรวจสอบดูแล้วเสือตัวนั้นมีเลเวล 75 เท่านั้นจึงพอวางใจได้ แล้วถ้าหากมีอะไรผิดพลาด อย่างน้อยเจนและคิทซึเนะก็ยังลงมือช่วยได้ทันเวลาอย่างแน่นอน



    ถึงแม้มังกรน้อยจะมีเลเวลสูงกว่า แต่ประสบการณ์การต่อสู้นั้นแทบเป็นศูนย์ ดังนั้นเมื่อเธอเผชิญหน้ากับเสือป่าที่เป็นนักล่าที่อยู่ระดับสูงของสามเหลี่ยมห่วงโซ่อาหารในป่านี้ก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเธอสามารถทำอะไรได้บ้าง



    ปกติแล้วสัตว์อสูรที่มีเลเวลเต็มร้อยนั้นถือได้ว่าเป็นสัตว์อสูรชั้นสูงที่มีความเก่งกาจ ยากที่จะต่อกรด้วยและเป็นพันธมิตรที่ทรงพลังถ้าหากอยู่ฝั่งเดียวกัน แต่เนื่องจากฟีบีนั้นตั้งแต่เกิดมาแทบไม่ได้ต่อสู้กับใครเลย อย่างมากก็แค่ช่วยล่าสัตว์เล็ก ๆ เท่านั้น พอตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายก็โดนเจนเก็บเข้าตัวดาบแทบจะในทันที ดังนั้นเมื่อเทียบกับเสือป่าที่มีประสบการณ์มาทั้งชีวิตแล้วถือว่าเกินตัวไปจริง ๆ



    เปิดฉากการโจมตีเมื่อเสือป่าพึ่งเข้าตะครุบร่างของฟีบีหวังจะขย้ำมังกรน้อยให้จมเขี้ยว เจนและคิทซึเนะที่มองดูอยู่ห่าง ๆ ก็กัดฟันแน่นห้ามไม่ให้ตัวเองออกไปช่วยถึงแม้ว่าใจจะอยากไปเพียงใดก็ตาม เพราะไม่ว่าผลการต่อสู้ในครั้งนี้จะออกมาเป็นฟีบีสามารถเอาชนะได้ หรือจะเป็นโดนทำร้ายจนต้องให้เข้าไปช่วย แต่สุดท้ายแล้วการต่อสู้ครั้งนี้จะปลุกสัญชาติญาณการต่อสู้ของเธอขึ้นมาให้กลายเป็นมังกรอย่างสมภาคภูมิ



    ฟีบีมองเห็นการโจมตีก็ใจหล่นวูบแทบจะหยุดเต้น มังกรน้อยพุ่งตัวหลบไปด้านข้างสุดแรงเกิดและรีบหันกลับมามองพี่ ๆ ของเธอที่ยืนเฝ้าอยู่ไม่ไกล ดวงตาสีฟ้าเห็นทั้งคู่พยักหน้าให้กำลังใจ ก่อนหน้านี้เจนบอกเธอแล้วว่าจะให้ฟีบีสู้ด้วยตัวคนเดียว และจะไม่เข้าไปช่วยถ้าหากไม่สู้แบบจริง ๆ จัง ๆ ทำให้มังกรน้อยต้องสู้ศึกนี้เพียงลำพัง ถึงแม้ทั้งสองจะแนะนำเรื่องการต่อสู้มากซักเพียงใด แต่คำพูดมันต่างจากการลงมือทำจริงเยอะ



    ทางเสือป่าเองก็ต้องคอยเฝ้าระแวงพวกเจนด้านหลังว่าจะลอบโจมตีเข้ามาเมื่อไหร่ มองอยู่นานแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาช่วยเหยื่อตรงหน้าของมันเลย แต่เพราะท่าทางของผู้อยู่นอกวงการต่อสู้ทั้งสองนั้นไม่ธรรมดา สัญชาติญาณของมันบอกอาไว้ว่าต้องคอยระวังเอาไว้ให้ดี ทำให้เสือป่าได้แค่ลงมือเพียงครึ่งกับฟีบี และใช้แรงอีกครึ่งคอยระวังตัวเองเอาไว้



    แต่หารู้ไม่ว่านั่นกลับเป็นผลดีต่อฟีบีอย่างไม่คาดคิด เมื่อเสือป่าออมมือเอาไว้ทำให้มังกรน้อยค่อย ๆ จับทางของเสือป่าและหลบการโจมตีของมันได้อย่างง่ายดาย การเคลื่อนไหวของฟีบีเริ่มคล่องตัวมากขึ้นถ้าเทียบกับตอนเริ่มต่อสู้ในตอนแรก



    ทว่าสุดท้ายตอนนี้เธอก็ยังคงเป็นฝ่ายคอยตั้งรับอยู่ดี และไม่มีทีท่าว่าจะโต้กลับแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะฟีบีไม่รู้ว่าจะโจมตียังไง!



    สถานการณ์เริ่มแย่ลงเมื่อเสือป่าพบว่าถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามได้แต่กระโดดหลบไปมา ทว่ามันเองกลับทำอะไรมังกรน้อยไม่ได้เช่นกัน ความเครียดเริ่มสะสมในใจจนแทบคลั่ง ในหัวคิดเพียงแค่หากมันไม่รีบจัดการศัตรูตรงหน้าให้ได้โดยไวล่ะก็ มันอาจจะเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียเอง ไม่ด้วยฝีมือของคู่ต่อสู้ตรงหน้า ก็ฝีมือของผู้ที่คอยเฝ้ามองอยู่ด้านหลัง



    ในที่สุดความอดทนก็มาถึงขีดสุด เสือป่าตัดสินใจที่จะลงมือเต็มกำลังกับเหยื่อของมันตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป ถึงแม้ว่าการกระทำของมันอาจจะทำให้ศัตรูทั้งสองที่อยู่ด้านหลังของมันเข้ามาโจมตี แต่อย่างน้อยสองรุมหนึ่งก็ยังดีกว่าสามรุมหนึ่งในความคิดของมัน



    เสือป่าเคลื่อนที่อย่างฉับไว กรงเล็บตวัดใส่หน้าโดยไม่ได้เล็งทำให้พลาดจากเป้าหมายที่หลบอย่างง่ายดาย แต่การโจมตีครั้งนี้มันไม่ได้หวังเรียกเลือดจากฟีบีอยู่แล้ว แต่เป็นการทำให้เป้าหมายเสียจังหวะ เสือป่ากลับมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมตะครุบเหยื่อก่อนที่มังกรน้อยจะได้ทันตั้งตัว เมื่อกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยแล้วมันก็พุ่งกระโจนใส่ทันที



    โฮกกก!!



    เสียงคำรามดังทำให้สมาธิของฟีบีแตกกระเจิง ดวงตาสีฟ้าหันไปมองเขี้ยวสีขาวขนาดใหญ่กำลังพุ่งเข้ามาหาตัวเธอ ในหัวมีแต่ความสับสนจนคิดหาทางป้องกันหรือหลบไม่ได้แม้แต่น้อย พวกเจนเองที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ตกตะลึงและพยายามจะเข้าไปช่วย แต่เนื่องจากระยะห่างนั้นมีมากพอสมควร ทำให้ว่าทั้งสองจะได้ลงมืออะไรก็สายเกินเสียแล้ว



    ทว่าผู้ที่ได้ชื่อว่ามังกร ต่อให้เป็นลูกมังกรก็ยังคงเป็นมังกรอยู่ดี ในเกมดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์นั้นเสือเป็นสัตว์อสูรชั้นสูงอยู่มาก แต่หากเอาไปเทียบกับมังกรแล้วก็เรียกได้ว่าห่างชั้นกันไม่เห็นฝุ่น เพราะมังกรถือเป็นมอนสเตอร์ประเภทสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ ที่ถึงกับสามารถเทียบชั้นได้กับเทพเจ้า!



    ในตอนที่ตังเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอยู่นั้นเอง สัญชาติญาณการป้องกันตัวของฟีบีก็เริ่มทำการตอบโต้การโจมตีของเสือป่าโดยอัตโนมัติ แต่แทนที่จะเคลื่อนตัวหลบกลับหันหน้าเข้าสู้คมเขี้ยวแทน



    เสี้ยววินาทีก่อนที่เขี้ยวเสือจะได้ลิ้มรสเลือดมังกรนั้นเอง ในปากของมังกรน้อยก็ส่องสว่างจ้าแล้วก็มีลำแสงสีฟ้าออกมาจากปากของเธอพุ่งเข้าใส่ร่างที่อยู่ตรงหน้า เสือป่าถูกลำแสงนั้นกลืนกินจนมองไม่เห็นแม้แต่เงา ทว่ามันกลับไม่หยุดเพียงเท่านั้น ลำแสงพุ่งตรงไปยังป่าด้านหลังที่พวกเจนเพิ่งเดินผ่านมา



    บรึ้ม!!



    เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นป่าพร้อมกับแสงและควันไฟโพยพุ่งมาจากทิศที่ลำแสงเดินทางไป โดยไม่ต้องรอสัญญาณใด ๆ คิทซึเนะวิ่งเขาไปคว้าตัวน้องสาวของเธอแล้วรีบออกวิ่งไปจากบริเวณนี้ทันทีโดยมีเจนตามไปติด ๆ แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่คิดจะหันกลับไปมอง ในตอนนี้ทั้งคู่เพียงคิดจะหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่านั้น



    ในเวลาไม่นานผู้เล่นจำนวนมากที่ได้ยินเสียงระเบิดต่างก็ตรงมายังบริเวณนี้และพบกับหลุมขนาดใหญ่ที่ถูกระเบิดจากพลังลึกลับ สิ่งที่เรียกความสนใจจากผู้เล่นนอกจากความกว้างของหลุมและเสียงระเบิดดังลั่นก็คือหลุมระเบิดนั้นเหมือนกับถูกละลายด้วยไฟแรงสูงจนหินรอบ ๆ หลอมเหลว โชคดีที่จุดที่ระเบิดนั้นไม่มีคนอยู่และเป็นกลางถนนทำให้ไม่เกิดไฟไหม้ป่า แต่เนื่องจากผู้เล่นต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ จนมีข่าวลือว่ามีบอสมอนสเตอร์ปรากฏตัวออกมา ทำให้ผู้เล่นระดับสูงจำนวนมากต่างไหลเทมายังป่าแห่งนี้จนคึกคักขึ้นมาทันตา แต่นั่นก็เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นภายหลัง







    หลังจากพากันหนีมาจนไกลพอแล้ว คิทซึเนะและเจนต่างพากันนั่งหอบลงบนพื้นหญ้าเพราะวิ่งมาไกลมาก เจนไม่นึกคิดนึกฝันว่าเธอจะมาเจอกับเหตุการณ์คล้ายกับที่เหมืองทองโบรดี้อีกครั้ง ดีที่ครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่า ถ้าเป็นเช่นนั้นมีหวังหนีเท่าไรก็คงหนีไม่รอดแน่ ๆ



    "พี่เจน..." เสียงหงอย ๆ ของฟีบีดังขึ้น เมื่อเจนหันไปมองก็พบกับนัยน์ตาละห้อยมองมาที่เธอ



    "หนูทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ?"



    "เอ่อ...เปล่าหรอก ฟีบีไม่ได้ทำอะไรผิด...ล่ะมั้งนะ" เจนหันไปพูดปลอบด้วยความไม่มั่นใจ แต่ถ้าการทำลายทิวทัศน์มีความผิดแล้วล่ะก็ ตัวเธอเองหรือยามาตะ โนะ โอโรจิก็คงโดนลงโทษไปนานแล้ว



    เมื่อได้ยินพี่สาวบอก สีหน้าของฟีบีก็กลับมายิ้มแย้มดังเดิมแล้วจึงหันไปคุยเล่นกับคิทซึเนะ เปิดโอกาสให้เจนได้เรียกหน้าต่างระบบขึ้นมาดูทันทีว่าตัวของฟีบีนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง



    มังกรฟ้า ฟีบี

    ยศ ทหาร ระดับ 100



    ทักษะ



    ดราก้อนบรีธ ระดับ A ไม่ใช้พลังเวท ไม่มีดีเลย์

    ทักษะประจำตัวของเผ่ามังกร เป็นการพ่นพลังออกมาตามธาตุของสายพันธ์มังกรนั้น ๆ พลังโจมตีขึ้นอยู่กับระดับยศและเลเวล



    กลายร่าง ระดับ D ไม่ใช้พลังเวท ดีเลย์ 1 นาที

    ทักษะประจำตัวของเผ่ามังกร สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ หรือจะคืนร่างกลับไปเป็นมังกรได้ตามใจชอบ



    จิตมังกร ระดับ S ไม่ใช้พลังเวท ไม่มีดีเลย์

    ทักษะประจำตัวของเผ่ามังกร ปลดปล่อยจิตแห่งมังกรออกมาเพื่อข่มขู่ศัตรูหรือเรียกสัตว์อสูรเผ่ามังกรให้เข้ามาหา



    เท่าที่เจนจำได้ ก่อนหน้านี้ฟีบียังไม่มีทักษะโผล่มาเลยแม้แต่ทักษะเดียว แต่เมื่อได้ต่อสู้ขึ้นมากลับมีทักษะโผล่ขึ้นมาถึงสามอย่างด้วยกัน แม้ว่าจะมีอยู่สองสามทักษะที่ดูจะไม่เข้าเค้ากับระดับซะเหลือเกิน อย่างเช่นดราก้อนบรีธที่ทรงพลังยิ่งกว่าผ่ามิติของเจนกลับเป็นทักษะระดับ A เท่านั้น และอีกทักษะหนึ่งก็คือทักษะจิตมังกรที่ดูแล้วแทบไม่ต่างจากทักษะจิตคุกคามของเจนเลยแม้แต่น้อย กลับได้เป็นทักษะระดับ S ซะอย่างนั้น



    ถึงจะพอดีใจอยู่บ้างว่าฟีบีมีทักษะที่ใช้ป้องกันตัวเองได้แล้ว แต่ในเมื่อมันเป็นทักษะที่อลังการขนาดนั้นทำให้เจนต้องฝึกฟีบีควบคุมพลังของตัวเองให้ได้ถ้าไม่อย่างนั้นคงเกิดระเบิดเทิดเทิงอีกรอบแน่ ถึงจะเสียเวลาไปทั้งเช้าแต่ในที่สุดมังกรน้อยก็สามารถปลดปล่อยพลังมาอย่างพอประมาณได้ แต่ถ้าหากเธอใช้ดราก้อนบรีทด้วยมือแทนปากเหมือนอย่างที่คิทซึเนะใช้เพลิงจิ้งจอกได้คงจะดีกว่านี้ แต่ชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าลมหายใจมังกร จะให้ใช้เหมือนพลังเวทก็คงดูตลกพิลึก



    หลังจากทานมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้วทั้งสามก็ออกเดินทางต่อโดยมีคิทซึเนะเป็นผู้นำทาง ฟีบีอยู่ตรงกลางคอยจัดการสัตว์ป่าที่เข้ามาขวางทางด้วยความกระตือรือร้น สุดท้ายปิดแถวคือเจนที่คอยระวังด้านหลังแต่ในป่าแห่งนี้ไม่มีมอนสเตอร์ที่เธอต้องกังวลเท่าไรนัก ที่เก่งที่สุดคงจะเป็นเสือป่าที่โผล่เข้ามาบ้างเป็นครั้งคราว



    เมื่อเดินทางเข้าไปลึกขึ้นเจนก็เริ่มสังเกตว่าสภาพป่าโดยรอบนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นต้นไม้ใบสีแดงและมีลูกผลไม้มีหนามอยู่ ถึงจะดูไม่เหมือนที่เคยเห็น แต่ก็พอจะเดาได้ว่านั่นคือผลเกาลัด



    "ตอนนี้พวกเราอยู่ในป่าเกาลัดแล้ว อีกไม่นานเดียวพวกเราก็น่าจะถึงจุดหมายแล้วล่ะค่ะ" คิทซึเนะกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ แต่สีหน้าของเธอนั้นดูเคร่งเครียดต่างจากน้ำเสียงมากนัก



    "มีอะไรหรือเปล่าคิทซึเนะ" เจนถามด้วยความเป็นห่วง



    คิทซึเนะยิ้มให้กับความห่วงใยที่พี่สาวของเธอมีให้ ในตอนแรกเธอเองก็ไม่คิดว่าจะมาขอร้องเรื่องนี้กับเจนเพราะมันไม่ได้เป็นเรื่องของเผ่าจิ้งจอกเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอที่เกี่ยวพันกับเผ่าอื่น ทว่าเมื่อเจนพูดขึ้นมาทำให้คิทซึเนะจะลองขอความช่วยเหลือดู แต่ถึงขนาดเดินทางมาไกลขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่บอกอะไรกับเจนซักอย่างมันคงจะเป็นการเสียมารยาทไม่ใช่น้อย



    "คือเรื่องหมู่บ้านที่พวกเรากำลังจะไป จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่หมู่บ้านของเผ่าจิ้งจอกซะทีเดียวหรอกค่ะ"



    เมื่อได้ยินคำพูดของจิ้งจอกสาว เจนก็เบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเพราะในตอนแรกจะเป็นเรื่องของเผ่าจิ้งจอก จากที่มาเอะเคยเล่าให้ฟังครั้งเมื่อเจอกับกับสอบถามเพิ่มเติมจากตัวคิทซึเนะเองแล้วจึงทำให้ได้รู้ว่าตัวมาเอะนั้นถูกผนึกเอาไว้มานานตั้งแต่ก่อนที่ตัวคิทซึเนะเกิดเสียอีก เพราะขาดเทพเจ้าหนุนหลังอาจทำให้จิ้งจอกในป่าอาจจะถูกรุกรานเพื่อแย่งที่อยู่อาศัย ทำให้คิทซึเนะพาเธอมาเพื่อจัดการปัญหานี้ลงซะ แต่เจนก็คิดได้ทีหลังว่าเธอปลดปล่อยมาเอะออกจากผนึกได้นานนับเดือนแล้วตามเวลาในเกม ดังนั้นปัญหาที่เธอเพิ่งคิดได้ก็น่าจะถูกมาเอะจัดการไปแล้วเช่นเดียวกัน



    ใบหน้าที่เจนแสดงออกมาเป็นเครื่องหมายคำถามนั้นทำให้คิทซึเนะรู้ว่ายังมีเรื่องที่จะต้องอธิบายอีกมาก



    "เมื่อก่อนหนูมีเพื่อนสนิทอยู่ในป่าแห่งนี้ ช่วงก่อนที่จะมาเจอกับพี่เจน แต่เพราะหมู่บ้านของเธอถูกพวกเทนกุจมูกยาวโจมตี ทำให้หนูเลยออกเดินทางหาคนที่จะมาช่วยเพื่อนของหนูค่ะ" คิทซึเนะอธิบาย



    "แล้วทำไมเราถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะได้มาที่นี่พร้อมกับพวกพี่เสือซ่อนลายเขานานแล้ว"



    "ก็ตอนแรกหนูเองก็อยากจะบอกอยู่แล้วยังพูดภาษามนุษย์ไม่ได้ แล้วพอพูดได้แล้ว..- !!" จิ้งจอกสาวเอ่ยไม่จบประโยค เธอชะงักและเรียกลูกบอลเพลิงจิ้งจอกออกมาและพุ่งเข้าใส่เจนอย่างรวดเร็ว



    ทางหญิงสาวที่ตกใจว่าจู่ ๆ ทำไมคิทซึเนะจะพุ่งเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางเอาเรื่องก็ทำอะไรไม่ถูก แต่พริบตานั้นเธอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจากด้านหลัง มือบางรีบชักดาบคุซานางิออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับฟาดไปด้านหลังทันที



    ตูม!!



    คมดาบปะทะเข้ากับก้อนหินก้อนใหญ่ที่พุ่งเข้าใส่จนหินแตกกระจายเป็นชิ้น ๆ คิทซึเนะและฟีบีต่างเข้าอยู่ในสภาพพร้อมสู้ในพริบตา โดยเฉพาะมังกรน้อยที่ร้อนวิชาอยากจะออกแรงเต็มทน



    มองข้ามไปยังทิศทางที่ก้อนหินถูกเขวี้ยงมา เจนเห็นตัวประหลาดที่มีใบหนาขนาดใหญ่และแขนขางอกออกมาจากใบหน้านั้นโดยที่ไม่มีตัวแต่อย่างใด ใบหน้าขนาดใหญ่นั้นดูราวกับยักษ์กับมารที่มีดวงตาคมสีแดงอำมหิต เขี้ยวขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากปากของมันดูน่ากลัว



    ทุกอย่างแทบจะจัดได้ว่าเจ้าตัวตรงหน้าเป็นศัตรูที่หน้ากลัวได้ถ้าหากมันไม่มีหางที่มีขนสีน้ำตาลปุกปุยส่ายไปมาอยู่ด้านหลัง



    'นั่นมันอะไรหว่า..' เจนคิดในใจพลางลังเลอยู่ว่าจะสู้ดีหรือเปล่าเพราะถึงจะดูน่ากลัวทว่าเจนกลับไม่รู้สึกถึงแรงคุกคามจากเจ้าตัวประหลาดนั่นเลย แต่ถ้าเป็นเจตนาร้ายล่ะก็เต็ม ๆ



    ตอนนั้นเองคิทซึเนะที่อยู่ดานหลังโพล่งขึ้นมาเสียงดัง "โปโกะ!"



    เจ้าตัวประหลาดที่ได้ยินเสียงของคิทซึเนะก็เบนสายตาจากเจนไปยังจิ้งจอกสาว เมื่อมันเห็นตัวคิทซึเนะก็ทำหน้าดีใจในแบบที่ยักษ์ทำได้แล้ววิ่งเข้ามาหา



    "คิทซึเนะ!! เจ้าหายไปไหนมาตั้งนาน! ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วซะอีก" หัวยักษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหลังจากกอดร่างของจิ้งจอกสาว



    "ข้าก็นึกว่าเจ้าตายไปแล้วเหมือนกัน ที่ข้าหายหน้าไปก็เพราะจะไปหาผู้ที่จะมาช่วยหมู่บ้านของเจ้านั่นแหละ" ทางคิทซึเนะเองก็ตอบกลับด้วยใบหน้าน้ำตาคลอเบ้า แสดงวาทั้งสองคงจะสนิทกันไม่น้อยเลย



    เจนและฟีบีต่างมองหน้ากันด้วยความมึนงง ตอนแรกทำท่าเหมือนจะเป็นศัตรู แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนว่าเจ้าหัวยักษ์ที่กำลังคุยกับจิ้งจอกสาวอย่างสนิทสนมนั่นจะกลายเป็น 'เพื่อนสนิท' ที่คิทซึเนะพูดมาก่อนหน้านี้ซะแล้ว แต่ยิ่งมองก็ยิ่งสับสน ไม่น่าเชื่อว่าจิ้งจอกอย่างคิทซึเนะจะไปเป็นเพื่อนกับยักษ์ที่มีแต่หัวอย่างนั้นได้



    ดูท่าทางสายตาของทั้งคู่จะทำให้ทั้งสองรู้สึกตัวว่ากำลังมีคนจ้องอยู่ คิทซึเนะเห็นดังนั้นจึงยกมือตีหลังหน้ายักษ์เสียงดังหนึ่งทีแล้วหันไปพูดจิก



    "นี่! รีบกลายเป็นร่างมนุษย์ซักทีสิ คุยด้วยร่างแบบนี้มันเสียมารยาทนะ"



    หน้ายักษ์หรือที่คิทซึเนะเรียกว่า โปโกะทำหน้ามุ่ยเมื่อเจอแรงฟาดเข้าที่กลางหลัง ทันใดนั้นเองร่างของยักษ์ก็ระเบิดออกกลายเป็นควันคลุ้ง เมื่อควันนั้นจางลงร่างที่เป็นใบหน้ายักษ์ขนาดใหญ่กลับกลายเป็นสาววัยรุ่นผมสั้นมีทรวดทรงโตจนเรียกสายตาของเจนไปจนยากจะถอนออกมา



    "ไม่เจอกันตั้งนาน แทนที่จะทะนุถนอมเพื่อนหน่อย.." สาวน้อยที่ปรากฏตัวขึ้นบ่นจุกจิกและเดินตามคิทซึเนะมาหาเจนที่จ้องไปที่หน้าอกไม่ละสายตา



    "พี่เจนคะ นี่เพื่อนสนิทของหนูเอง เธอมีชื่อว่าโปโกะ เป็นทานูกิค่ะ" จิ้งจอกสาวเอ่ยขึ้นเรียกสายตาของเจนไปได้



    "อ..อ่า ฉันชื่อว่าเจน ยินดีที่ได้รู้จักนะ" เจนกล่าวทักทาย



    โปโกะจ้องหน้าเจนเขม็งอย่างไม่ไว้วางใจ ทำให้คิทซึเนะต้องเข้ามาหยิกแขนจนร้องลั่น



    "โอ๊ย!! ทำอะไรของเธอเนี่ย!" โปโกะว่าแล้วรีบปัดมือของจิ้งจอกสาวทิ้งไปก่อนที่เนื้อของตัวเธอจะหลุดออกมา ครั้นจะว่าต่อแต่ก็เจอตาเขียวปึ้ดมองมาที่เธอทำเอาไม่กล้าพูดอะไรอีก



    "แล้วใครให้ทำท่าทางอย่างนั้นกับพี่เจนเขาล่ะ เสียมารยาทกับคนที่จะมาช่วยหมู่บ้านของเธอแบบนี้ได้ยังไง"



    โปโกะได้ยินคิทซึเนะว่าก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ มองสลับกันไปมาระหว่างทั้งสองซึ่งไม่ได้มีท่าทางจะโกหกเลยแม้แต่น้อย



    "ช่วยหมู่บ้านของฉัน!? มนุษย์เนี่ยนะ! โอ๊ย!" แทบจะในทันทีที่คิทซึเนะหยิกแขนที่เดิมอีกครั้งจนผิวขาวนวลเริ่มเขียวเป็นจ้ำ เจนที่เห็นเริ่มจะสงสารแต่ด้วยเหตุผลบางประการ เธอคิดว่าจะให้คิทซึเนะรับมือโปโกะต่อไปน่าจะดีกว่า



    "ไม่ใช่แค่มนุษย์ธรรมดานะ พี่เจนน่ะเป็นนักผจญภัยที่เก่งกาจ แถมยังเลยช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ตั้งหลายครั้งด้วย" คิทซึเนะพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจในตัวพี่สาวของเธอ



    "หืม...เรื่องจริงงั้นหรือเนี่ย" โปโกะกล่าวเสียงสูง ท่าทางเธอยังคงไม่ไว้ใจในตัวเจนมากนักแต่ในเมื่อเพื่อนของเธอพูดออกมาแบบนั้นคงจะไม่ได้เป็นเรื่องโกหกอย่างแน่นอน



    "จริงสิ พี่เจนน่ะได้พลังมาจากท่านแม่ด้วยล่ะ ต่อให้เจ้าเทนกุหน้าไหนก็สู้พี่เจนไม่ได้หรอก"



    คนที่ถูกพูดถึงได้แต่เพียงแค่หัวเราะแห้ง ๆ อยู่กับฟีบีเพราะสองคนนั้นดูท่าทางคงจะมีเรื่องคุยกันอีกยาวจนไม่หันมามองดูเธอเลยด้วยซ้ำ แถมลืมไปแล้วว่ายังมีเด็กน้อยอีกคนที่ยังไม่ได้แนะนำให้รู้จัก







    หลังจากผ่านไปได้พักใหญ่ โปโกะจึงนำทางพวกเจนไปยังหมู่บ้านของเธอในป่าเกาลัด ซึ่งป่าแห่งนี้ก็สมกับชื่อป่าซะจริง ๆ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ต้นเกาลัดเต็มไปหมด



    ระหว่างทางคิทซึเนะก็เล่าเรื่องราวให้เจนฟังว่าเมื่อก่อนนั้นเธอชอบมาเล่นกับโปโกะบ่อย ๆ แต่อยู่มาวันหนึ่งพวกทานูกิก็ถูกเหล่าเทนกุรุกรานจนต้องย้ายที่อยู่ ซึ่งในตอนนั้นศึกยังไม่มาถึงในป่าแห่งนี้ แต่ตัวโปโกะนั้นกังวลเกี่ยวกับหมู่บ้านของเธอมากเพราะถ้าหากพวกเทนกุมาที่นี่ก็ไม่มีที่ให้หนีไปอีกแล้วนอกจากออกไปจากบริเวณนี้ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ



    ดังนั้นคิทซึเนะจึงอาสาที่จะช่วยเหลือ แต่ในเมื่อตัวเธอในตอนนั้นยังเป็นแค่ลูกสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ไม่สามารถทำอะไรได้ จะไปขอให้แม่ของเธอ มาเอะ ช่วยก็ไม่ได้เพราะถูกผนึกพลังเอาไว้ ไม่สามารถไปที่ใดได้ แต่เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าในคลังสมบัติของแม่เธอมีกระจกวิเศษที่สามารถพาไปที่ใดก็ได้อยู่ คิทซึเนะจึงแอบเข้าไปใช้และสุดท้ายก็จับพลัดจับพลูมาเจอเขากับเจนในที่สุด



    หลังจากได้ฟังเรื่องที่คิทซึเนะเล่าก็ทำให้เจนรู้สึกไม่ชอบหน้าเหล่าเทนกุขึ้นมาทันที แต่ว่าตามความจริงนั้นการรุกรานที่อยู่เช่นนี้มันไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติแต่อย่างใด ที่เหล่าเทนกุนั้นออกรุกรานป่าแห่งนี้อาจจะเป็นเพราะแหล่งที่อยู่เก่าขาดความอุดมสมบรูณ์ หรืออาจะเป็นเพราะถูกภัยพิบัติเล่นงานจนอาศัยอยู่ต่อไม่ได้ หรือแม้กระทั่งถูกมนุษย์ที่ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองหรือผู้เล่นขับไล่พวกมันออกจากที่อยู่อาศัยเก่าของมันจึงทำให้ต้องมายังในป่าแห่งนี้ แต่ถึงยังไงเจนก็ยังรู้สึกแปลก ๆ กับเหตุการณ์นี้อยู่ดี



    "เอาล่ะ ถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว" โปโกะว่าหลังจากเดินทางไปไม่นาน ทั้งสี่ก็มาหยุดอยู่ที่ซุงไม้ต้นใหญ่โดยด้านในกลวงโบ๋เป็นโพรงไม้โผล่ออกมาจากพงหญ้าเล็ก ๆ บริเวณรอบโดยยังคงเป็นต้นเกาลัดอยู่เช่นเดิมแต่ไม่มีวี่แววของหมู่บ้านที่โปโกะพูดถึงแต่อย่างใด



    "ไหนล่ะหมู่บ้าน ไม่เห็นมีบ้านอยู่ซักหลังเลย" ฟีบีถามพลางหันซ้ายหันขวามองไปรอบตัว



    ทานูกิสาวยิ้มแล้วจับไหล่ของมังกรน้อยให้หยุดหันแล้วชี้ไปยังโพรงไม้ด้านหน้า "ไม่ต้องหันไปไหนหรอก ทางเข้าก็อยู่ในโพรงนี่ยังไงล่ะ"



    ทั้งสองหันไปมองโปโกะด้วยความแปลกใจปนสงสัย หมู่บ้านอะไรมันจะไปอยู่ในนั้นได้แม้โพรงไม้จะมีขนาดใหญ่แต่ก็ไม่ใหญ่มากพอที่จะยกบ้านซักหลังเข้าไปได้แน่ อย่าว่าแต่หมู่บ้านเลย แค่จะเข้าไปขนาดร่างที่เล็กอย่างฟีบียังลำบาก จะให้พูดถึงเจนและคิทซึเนะล่ะก็คงไม่มีทางผ่านได้อย่างแน่นอน



    ตอนนั้นเองที่ร่างของโปโกะพลันระเบิดควันออกมาอีกครั้ง ปรากฏเป็นทานูกิสีน้ำตาลตัวเล็กที่สามารถลอดผ่านช่องนั้นได้พอดิบพอดี



    "เอาล่ะ ตามฉันมาเลย เร็วเข้า!" ไม่ว่าเปล่า ทานูกิตัวจ้อยก็เดินเข้าไปด้านในซุงกลวงโดยไม่สนใจสามร่างที่ยังไม่รู้ว่าจะตามเข้าไปได้ยังไง ถ้าหากคิทซึเนะไม่รีบเรียกเอาไว้ซะก่อนคงโดนทิ้งเอาไว้แล้ว



    "มีอะไรงั้นหรือ ทำไมไม่ตามเข้ามา" โปโกะถามโดยไม่รู้สึกเฉลียวใจเลยแม้แต่น้อย



    คิทซึเนะถึงกับส่ายหน้าให้กับความบื้อของเพื่อนสนิท จากนั้นเธอจึงกลายร่างกลับคืนเป็นร่างสุนัขจิ้งจอกที่ไม่ได้เป็นมาตั้งนาน เมื่อสาววัยรุ่นผมสีขาวหายตัวไป พลันกลายเป็นจิ้งจอกตัวใหญ่เกือบจะเท่าความสูงของเจน ร่างของคิทซึเนะในตอนนี้ถึงแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่เท่ากับจิ้งจอกเก้าหางผู้เป็นแม่ แต่กลับทำให้รู้สึกถึงพลังที่แผ่ออกมาจากร่างไม่ต่างกัน และสิ่งที่ทำให้เจนต้องประหลาดใจมากที่สุดคือตอนนี้จิ้งจอกสาวมีหางปรากฏออกมาถึงสี่หางแล้ว



    "ตัวฉันใหญ่ขนาดนี้แล้วจะมุดตามเธอไปได้ยังไงหือ แถมยังมีพี่เจนกับฟีบีอีก พวกเราตามเธอไปในโพรงนั่นไม่ได้หรอกนะ" คิทซึเนะกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แม้จะฟังดูมีอำนาจมากกว่าเดิมเพราะอยู่ในร่างจิ้งจอก แต่อาจเพราะว่าเจนอยู่กับคิทซึเนะมาตลอดเลยอาจจะไม่รู้สึกอะไร




    ด้านโปโกะเองที่ดูจะไม่ค่อยรู้สึกถึงอำนาจที่ส่งออกมาจากคิทซึเนะมากนักเพราะเอาแต่ตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนของเธอ "ว้าว! ไม่เจอกันตั้งนานร่างจิ้งจอกเธอตัวโตมากเลย เมื่อกี้เธอเล่นแปลงร่างเป็นมนุษย์ก็เลยไม่ได้สังเกต แต่แบบนี้คงผ่านเข้าไปในโพรงไม่ได้จริง ๆ ด้วย"



    "อย่ามัวแต่พูดน่า ถ้าพวกเราเข้าไปด้านในหมู่บ้านไม่ได้ ฉันก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้เหมือนกันนะ" จิ้งจอกสาวเร่ง



    "ใจเย็น ๆ สิ ตัวก็ออกจะใหญ่แต่ความอดทนกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตามขนาดเอาซะเล้ย" โปโกะบ่นอุบอิบแล้วเธอก็ปีนขึ้นต้นเกาลัดที่ใกล้ที่สุด จากนั้นเธอก็เลือกใบไม้ที่มีสภาพสมบรูณ์มาสามใบและเธอก็กระโดดลงมาบนหัวของเจน ฟีบีและขึ้นไปบนหัวของคิทซึเนะตามลำดับโดยทิ้งใบไม้เอาไว้ใบหัวของแต่ละคน



    "ใบไม้พวกนี้จะเป็นสื่อกลางพลังของฉัน อย่าไปแตะต้องมันเชียวนะ" เจนและฟีบีถึงกับชะงักมือตัวเองแทบไม่ทันเมื่อได้ยินคำของทานูกิสาว



    "เอาล่ะ สูดหายใจเข้าลึก ๆ เตรียมพร้อม.. ปุ๋ง!"



    ทันทีที่สิ้นเสียงร้องตะโกนแปลก ๆ ควันจากที่ไหนก็รู้ก็พวยพุ่งออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว เจนรู้สึกเหมือนร่างของเธอกำลังร่วงหล่นจากที่สูงแต่เพียงไม่นานก็สัมผัสกับพื้นดิน ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกได้ทันทีว่าร่างของตัวเธอมีความผิดปกติไปจากเดิม เมื่อควันจางลง เจนก็แทบจะเป็นลม เพราะมือของเธอในตอนนี้กลายเป็นมือที่มีขนหยุบหยับ พร้อมด้วยกรงเล็บเล็ก ๆ ที่คล้ายกับโปโกะมี



    ตอนนี้เธอกลายเป็นทานูกิไปแล้ว!!



    "นี่มันอะไรกันเนี่ย!" เจนร้องเสียงดังและหันไปหาฟีบีซึ่งตอนนี้กลายเป็นทานูกิขนสีฟ้าดูแปลกตา ด้านคิทซึเนะที่ถูกโปโกะล้มทับก็กลายเป็นทานูกิสีขาวทั้งตัว ส่วนตัวเจนเองนั้นกลายเป็นทานูกิสีดำ



    "เอาล่ะ เท่านี้ก็คงไม่มีปัญหาแล้วสินะ รีบไปกันเถอะ!"



    ไม่มีโอกาสที่ทั้งสามจะได้ท้วงอะไรเพราะเมื่อพูดจบ โปโกะก็วิ่งเข้าไปด้านในโพรงไม้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเจนจึงทำได้แค่รีบตามไปเท่านั้นเอง







    ด้านในโพรงไม้นั้นกว้างกว่าที่เจนคิดเอาไว้มาก ขนาดของมันกว้างพอที่จะให้ทานูกิหาตัวเดินเรียงหน้ากระดานไปพร้อมกันได้สบาย ๆ สำหรับทานูกิแล้ว ทางเข้าที่เพิ่งผ่านมาถือว่าซุกซ่อนได้อย่างมิดชิดจากนักล่ามากเลยทีเดียว ทางในโพรงไม้นั้นไม่ได้มีทางเดินเลี้ยวลดคดเคี้ยวอย่างที่เจนคาดเอาไว้ มีเพียงแค่ทางเดินตรงอย่างเดียวเท่านั้นโดยมีแสงแสงอาทิตย์ผ่านร่องไม้ให้ความสว่างอยู่เป็นระยะ ถ้าหากนี่เป็นสิ่งที่เกิดตามธรรมชาติก็ถือว่าน่าทึ่งมากเลยทีเดียว เจนอดจะชื่นชมไม่ได้แม้เธอจะรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ในเกมที่อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้



    โปโกะบอกว่าความจริงแล้วหมู่บ้านของเธอนั้นรักสันโดษจะไม่ต้อนรับเผ่าพันธุ์อื่นนัก แต่สมัยก่อนเองเธอก็เคยพาคิทซึเนะไปเที่ยวในหมู่บ้านบ่อย ๆ มาครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้น พวกเจนที่เสนอตัวมาช่วยก็คงน่าจะไม่มีปัญหาสำหรับเรื่องนั้น ถ้าหากเธอพาทั้งสามไปหาผู้ใหญ่บ้านในร่างนี้โดนไม่ให้คนอื่นเห็นร่างเดิมของพวกเธอ และเมื่อคิทซึเนะเล่าให้ทานูกิสาวฟังสาวเจนเป็นคนปลดผนึกมาเอะออกมาได้ก็ตกอยู่ในภวังค์ตะลึง เพราะเธอไม่นึกว่านักผจญภัยที่เคยได้ยินมาจะแข็งแกร่งถึงขนาดช่วยเหลือเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางได้ ทำให้สายตาที่ทานูกิสาวใช้มองเจนเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ



    ไม่นานนักทั้งสี่ก็เห็นแสงสว่างที่ปลายทาง บ่งบอกได้ว่าโพรงไม้อันเป็นทางเข้าหมู่บ้านเกาลัดได้มาถึงจุดหมายแล้ว



    "ในที่สุดก็มาถึงซะที... ขอต้อนรับพวกเธอสู่หมู่บ้านเกาลัด" โปโกะแยกเขี้ยวยิ้มพร้อมกับหันไปมองทานูกิมือใหม่ทั้งสาม



    ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของเจนนั้นสร้างความตกตะลึงและความประทับใจให้พร้อม ๆ กัน เพราะสิ่งที่โปโกะบอกว่าเป็นหมู่บ้านนั้น ความจริงแล้วถ้าเรียกว่าเป็นเมืองยังเล็กไปด้วยซ้ำ



    หลังจากออกมาจากโพรงไม้เจนก็พบกับเหมือนที่ ๆ เป็นช่องว่างในป่าทึบ ต้นไม้สูงตระหง่านหลายร้อยต้นอยู่กระจายไปทั่วบริเวณ กิ่งก้านสาขาของมันแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่ช่วยกรองแสงอาทิตย์ไม่ให้ส่องลงมามากเกินไป บนพื้นดินมีกระท่อมเล็ก ๆ ขนาดพอที่จะให้คนเข้าไปพักได้สามสี่คนตั้งอยู่หลายร้อย หลายพันหลัง แต่เจนก็พบว่าความจริงมันมีเยอะกว่านั้นมาเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองดูบนต้นไม้ที่มีกระท่อมแบบเดียวกันถูกสร้างอยู่บนนั้นอีกนับไม่ถ้วน



    นอกจากต้นไม้สูงที่ออกลูกเกาลัดแล้ว ในที่แห่งนี้ยังมีต้นผลไม้ชนิดอื่นอีกเป็นจำนวนมากหลากหลายชนิดทั้งที่เจนเคยเห็นในโลกแห่งความจริงและเห็นที่นี่เป็นที่แรก ต่างจากป่าด้านนอกที่มีเพียงแค่เกาลัดเพียงอย่างเดียวจนได้ชื่อว่าป่าเกาลัด



    เช่นเดียวกันนั้นเจนก็เห็นทานูกิจำนวนมากต่างใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอยู่ไปทั่วบริเวณ บ้างก็อยู่ในร่างเดิมของมัน บางก็กลายร่างเป็นมนุษย์หรือตัวประหลาดอย่างอื่นที่เจนไม่เคยเจอ บางตัวสามารถแปลงร่างได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ แต่ก็มีบางตัวมีหางหรือหูโผล่ออกมาจนดูออกได้เหมือนกับโปโกะ



    เหล่าทานูกิที่เห็นพวกเจนสามคนที่เป็นตัวทานูกิขนสีแปลกประหลาดจึงหันมามองบ้างเป็นครั้งคราว แต่เมื่อเห็นว่าทั้งสี่กำลังคุยกับทานูกิธรรมดาอย่างโปโกะจึงวางใจและหันไปสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตัวเองต่อไป



    "นี่มันหมู่บ้านแน่หรือเนี่ย ฉันว่าบางทีที่นี่อาจจะมีขนาดใหญ่กว่าเมืองซีโปเลยด้วยซ้ำมั้ง" เจนพูดพลางหันไปมองทานูกิในร่างมนุษย์หนุ่มสาวเดินผ่านไป



    "ความจริงแล้วตอนแรกที่นี่ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่อย่างตอนนี้หรอก แต่เป็นเพราะที่นี่มีความอุดมสมบรูณ์มาก ทำให้เผ่าทานูกิเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านมากขึ้นจนสุดท้ายก็มีการขยายพื้นที่อยู่อาศัยให้กว้างขึ้นจนมีขนาดใหญ่แบบนี้แหละ" โปโกะอธิบาย



    แค่กะประมาณด้วยสายตา เจนไม่อาจบอกได้ว่าที่แห่งนี้มีทานูกิอาศัยอยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่ แต่นั่นทำให้เธอเริ่มรู้สึกกังวลเพราะสาเหตุหลักที่ทำให้เธอต้องมาที่นี่ ถ้าหากพวกเทนกุบุกเข้ามาได้ล่ะก็ ต้องมีการสูญเสียเป็นจำนวนมหาศาลอย่างแน่ ๆ



    เมื่อโปโกะ ทานูกิเจ้าถิ่นจะพาทั้งสามไปหาผู้ใหญ่บ้านเพื่อปรึกษาเรื่องการป้องกันหมู่บ้านตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหนานี้ แต่พอแค่ก้าวเท้าไปเพียงก้าวเดียว ร่างของเจนก็ระเบิดออกเป็นกลุ่มควันคลุ้งกระจายไปทั่ว อันเป็นสัญญาณว่าพลังในการแปลงร่างของโปโกะได้หมดลงแล้ว



    "ตายแล้ว! ลืมไปซะสนิทเลยว่าพลังแปลงร่างให้คนคนอื่นของเรายังไม่แข็งกล้ามากพอ แบบนี้เกิดเรื่องยุ่งแหง ๆ" ทานูกิตัวต้นเหตุร้องเสียงหลง เธอไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าหากทุกคนในหมู่บ้านที่กำลังกังวลเรื่องการบุกโจมตีของเหล่าเทนกุกันอยู่มาพบว่าวันนี้มีผู้เยี่ยมเยือนต่างเผ่าถึงสามเผ่าในวันเดียวกันเช่นนี้จะเป็นยังไง



    เมื่อควันจางลง พวกเจนก็ปรากฏตัวออกมาในร่างเดิมของพวกเธอ โดยฟีบีนั้นยังคงอยู่ในร่างมนุษย์และคิทซึเนะยังอยู่ในร่างจิ้งจอกก่อนที่โปโกะจะใช้พลังแปลงร่างกับพวกเธอ



    แม้ว่าควันจากการแปลงร่างนั้นจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเหล่าทานูกิ แต่เสียงร้องโหยหวนของโปโกะต่างหากที่เรียกให้ทานูกิหันมามอง และเมื่อพวกเขาเห็นว่าใครกำลังยืนปิดทางเข้าหลังของหมู่บ้านเอาไว้ ความวุ่นวายก็บังเกิด



    "หมู่บ้านโดนบุกแล้ว!! ทุกคนหนีเร็ววว!!" เสียงตะโกนไม่ทราบที่มาดังขึ้น แต่จะเป็นใครก็ไม่สำคัญเพราะมันทำให้ทานูกิตัวอื่น ๆ ต่างวิ่งหนีหาที่หลบกันอย่างชุลมุน บ้างก็พยายามวิ่งเข้าไปหลบในกระท่อมที่ใกล้ที่สุดโดยไม่สนว่านั่นจะเป็นบ้านของใคร ในกระท่อมบางหลังก็มีตัวทานูกินับสิบ ๆ ตัวยัดเข้าไปแน่นเอี๊ยดจนคล้ายกับกระท่อมจะพังออกมา ที่น่าตลกก็คือด้านนอกยังมีทานูกิตัวเล็กพยายามเบียดทานูกิตัวอ้วนเข้าไปหลบด้านในบ้านด้วย



    "เดี๋ยวก่อน ทุกคน! ใจเย็น ๆ ก่อน! คนพวกนี้ไม่ได้มาบุกหมู่บ้านพวกเรานะ พวกเขามาช่วยพวกเราต่างหาก!" โปโกะร้องเสียงดังท่ามกลางเสียงร้องตะโกนอันแสนจะอลม่านแห่งนี้



    สิ่งที่ทำให้เหล่าทานูกิพวกนี้ดีกว่ามนุษย์ก็คือหูที่ดีมาก ๆ ดังนั้นทุกคำที่โปโกะเอ่ยขึ้นนั้น ทานูกิทุกตัวในบริเวณจะได้ยินกันหมด ทำให้เหตุการณ์วุ่นวายสงบลงอย่างรวดเร็ว



    ถึงเหตุการณ์วุ่นวายจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ท่าทางเหล่าทานูกิยังคงไม่วางใจในตัวผู้มาเยือนลึกลับกันนัก มีเพียงทานูกิไม่กี่ตัวที่ออดมาจากกระท่อม มีบางตัวที่ชะโงกดูพวกเจนจากหน้าประตู และบางส่วนที่ทำแค่เพียงจ้องมองจากหน้าต่าง



    ถ้าหากเปลี่ยนพวกนี้เป็นคนคงจะทำให้เจนรู้สึกอึดอัดไม่น้อยเพราะสายตาหลายพันคู่กำลังจดจ้องมาที่พวกเธอเป็นสายตาเดียว แต่พอกลายเป็นสายตาทานูกิที่กำลังเบียดเสียดกันมองเธอผ่านกระจกของกระท่อมไม้กลับทำให้เจนรู้สึกขำซะมากกว่า



    ตอนนั้นเองก็มีทานูกิจำนวนมากเดินเข้ามาหา ตัวที่เดินนำมานั้นแปลงร่างเป็นชายร่างใหญ่ถือขวานดูนากลัว แต่ที่ทำให้เจนรู้ว่าคน ๆ นี้เป็นทานูกิก็คือหูเล็ก ๆ บนหัวและขวานที่เป็นไม้ทั้งเล่ม ด้านหลังของเขานั้นถึงแม้เจนจะเห็นไม่ค่อยชัด แต่โปโกะรีบเข้ามาข้างเธอและบอกว่าผู้ใหญ่บ้านมาและคิทซึเนะเหลือบมองมาที่เธอสลับกับผู้ใหญ่บ้าน ทำให้เจนรู้ทันทีว่าตัวเธอเองนั่นแหละต้องออกไปทำหน้าที่เจรจา



    ทานูกิร่างคนก้าวหลบออกมาให้เจนได้เห็นผู้ใหญ่บ้านได้ชัด ๆ ตรงหน้าเธอตอนนี้เป็นทานูกิขนสีน้ำตาลคล้ำตัวหนึ่ง ดูท่าทางแก่และเชื่องช้ามากแต่ก็มีบางอย่างในตัวทานูกิตัวนี้ที่ทำให้เจนรูสึกยำเกรงอยู่



    "ท่านผู้มาเยือน เป็นจริงอย่างที่ทานูกิน้อย โปโกะกล่าวหรือไม่ที่ท่านจะมาช่วยพวกเราปกป้องหมู่บ้านเกาลัดแห่งนี้" ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่ฟังได้อย่างชัดเจน



    "พวกเรามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือหมู่บ้านแห่งนี้เพราะพวกเราอยากจะช่วยเพื่อนของพวกเรา" เจนกล่าวแล้วก้มลงมายิ้มให้กับโปโกะที่เกาะอยู่ที่ขาของเธอ



    "แต่ว่าพวกเราไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนท่านเลย และศัตรูของพวกเราก็เป็นเผ่าเทนกุจมูกยาวผู้โหด*****ม ถ้าหากท่านรู้เช่นนี้แล้วท่านคิดยังเปลี่ยนใจหรือไม่" ท่าทางของผู้ใหญ่บ้านจะดูไม่ค่อยอย่างจะบอกเรื่องนี้กับเจนเท่าไหร่นัก แต่สุดท้ายเขาก็พูดออกมาจนหมดแม้ว่าพวกเจนจะรู้อยู่แล้วก็ตาม



    "แม้ว่าข้าจะไม่เคยประเผชิญหน้ากับเผ่าเทนกุจมูกแดงมาก่อนก็ตาม แต่นักผจญภัยผู้นี้เคยช่วยชีวิตของข้าเอาไว้และยังเป็นผู้ปลดปล่อยมารดาของเหล่าจิ้งจอกทั้งมวลและผู้ให้กำเนิดข้า เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางออกมาจากผนึกพันปีได้ข้าไม่คิดว่าเหล่าเทนกุจะมีความแข็งแกร่งไปกว่ามารดาของข้าหรือท่านพี่ของข้าเลยแม้แต่น้อย" คราวนี้คิทซึเนะเป็นคนพูดออกมา คำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากปากของเธอนั้นช่างทรงอำนาจไม่ต่างจากแม่ของเธอเลย เจนคิดว่าเพราะอยู่ในร่างจิ้งจอกทำให้คิทซึเนะต้องแสดงอำนาจออกมาเช่นนี้โดยธรรมชาติในฐานะผู้ที่สืบทอดสายเลือดของจิ้งจอกเก้าหางมาโดยตรง



    เมื่อเหล่าทานูกิได้ยินที่คิทซึเนะพูดขึ้นต่างก็หันหน้าคุยกันด้วยท่าทางตื่นตกใจ เจนได้ยินแว่วมาว่า 'ท่านจิ้งจอกเก้าหางถูกปล่อยออกมาจากผนึกได้แล้วอย่างนั้นหรือ' จากกลุ่มทานูกิเป็นระยะ ทางทานูกิผู้ใหญ่บ้านเองก็หันไปคุยกับทานูกิที่อยู่รอบ ๆ เหมือนกับว่ากำลังหารืออะไรบางอย่าง เมื่อผ่านไปได้ซักพักก็ดูเหมือนว่าก็ได้ข้อสรุปกัน พร้อมทั้งท่าที่ของทานูกิผู้ใหญ่บ้านที่เปลี่ยนไปจากเดิม



    "ขอเชิญพวกท่านมาที่บ้านของข้าก่อนเถิด"







    พวกเจนตามผู้ใหญ่บ้านเข้ามายังกระท่อมหลังใหญ่ที่อยู่ในที่ ๆ น่าจะเป็นใจกลางหมู่บ้านเมื่อสมัยก่อน แต่เพราะในตอนนี้หมู่บ้านเกาลัดขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ทางส่วนหน้าของหมู่บ้านแทน



    ด้านในตัวกระท่อมนั้นไม่มีเครื่องใช้อะไรมากนักถ้าเทียบกับบ้านของมนุษย์ มีเพียงห้องขนาดใหญ่เพียงห้องเดียว เตียงที่ทำจากใบไม้ตั้งอยู่ด้านในสุด ตรงกลางห้องมีกองไฟถูกจุดเอาไว้เพื่อให้ความอบอุ่นโดยเพดานเหนือกองไฟนั้นมีช่องระบายควันเอาไว้เป็นอย่างดี



    ทานูกิผู้ใหญ่บ้านนั่งอยู่ข้างกองไฟโดยมีทานูกิองครักษ์ที่ตอนนี้กลับมาอยู่ร่างเดิมและนั่งอยู่ที่ข้างทางออก พวกเจนนั่งอยู่ตรงข้ามกับผู้ใหญ่บ้านที่เธอทราบของเขาชื่อว่าชิงารากิหลังแนะนำตัวกันเสร็จแล้ว ซึ่งตอนนี้คิทซึเนะแปลงร่างเป็นมนุษย์อีกครั้งเพราะถึงแม้กระท่อมจะมีขนาดใหญ่กว่ากระท่อมทั่วไป แต่ก็เล็กเกินกว่าจะให้จิ้งจอกสี่หางร่างใหญ่เข้ามาได้ แต่ถึงอย่างนั้นเจนก็ยังต้องก้มหัวเวลายืนในกระท่อมเพื่อไม่ให้หัวชนเพดาน คนสามคนกับทานูกิสามตัวนั่งอยู่ด้วยกันทำให้กระท่อมที่ดูน่าจะกว้างขวางกลับคับแคบไปถนัดตา



    "ในตอนแรกข้าไม่อยากจะให้พวกท่านเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสงครามของพวกเราเลย..." ชิงารากิเริ่มพูดขึ้นก่อนหลังจากต่างฝ่ายต่างไม่มีใครส่งเสียงคุยกันเลยแม้แต่คนเดียว



    "แต่เมื่อได้ทราบว่าท่านสามารถปลดปล่อยท่านเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางออกจากผนึกพันปีได้ ดังนั้นข้าจึงใคร่ขอให้ท่านช่วยเหลือพวกเราด้วยเถิด"



    "ไม่จำเป็นต้องเรียกท่านหรอก ฉันเองก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องที่ขอให้พวกเราช่วย ต่อให้ผู้ใหญ่ไม่ขอ พวกเราก็จะเสนอตัวช่วยอยู่แล้ว" เจนพูดอย่างเกรงใจ ถึงจะเป็นทานูกิ แต่เมื่อมีผู้ที่อายุมากกวามาพูดสุภาพใส่แบบนี้มันก็ทำให้เจนรู้สึกอึดอัดแปลก ๆ



    "โอ้..ท่านนี่นอกจากจะมีอำนาจที่ทรงพลังแล้วยังมีน้ำใจงาม อ่อนน้อมถ่อมตนอีก ท่านช่างดั่งฟ้ามาโปรดแท้ ๆ" ชิงารากิเอ่ยชมแล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะพูดต่อ



    "ท่านคงได้ทำความรู้จักกับท่านเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่เป็นเทพเจ้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกแล้วตอนที่ท่านปลดผนึกพันปีลง แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า ยังมีเทพองค์อื่นจากอีกหลายเผ่าพันธุ์ที่ถูกพันธนาการด้วยผนึกชนิดเดียวกันนี้"



    "เดี๋ยวก่อนนะ ผนึกพันปีมันคืออะไร ทำไมท่านมาเอะถึงไปโดนผนึกได้ แล้วใครกันที่ทำแบบนี้" เจนถามขึ้นเป็นชุดด้วยความสงสัยอย่างที่สุด ครั้งก่อนที่เจนพบกับมาเอะนั้นเธอสัมผัสได้ว่าเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางมีพลังอำนาจมหาศาลแค่ไหน แม้จะไม่เท่ากับยามาตะ โนะ โอโรจิแต่ก็ไม่ใช่กระจอก ๆ จนสามารถถูกผนึกได้ง่าย ๆ ดังนั้นเทพของเผ่าพันธุ์อื่นก็น่าจะมีพลังอยู่ในระดับเทพเจ้าเป็นอย่างน้อยเช่นกัน นั่นหมายความว่าใครหรืออะไรที่ทำเรื่องแบบนี้ได้จะต้องมีพลังอยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่า



    ชิงารากิมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัวให้เป็นคำตอบ "เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นก่อนที่ข้าจะตื่นลืมตาดูโลกนี้ซะอีก ข้าเพียงรู้แค่ว่าเทพในแต่ละเผ่านั้นถูกผนึกมิให้แสดงพลังหรือออกไปจากที่ที่ถูกผนึกได้ แต่เทพบางองค์ที่มีพลังสูงส่งอย่างท่านจิ้งจอกเก้าหางนั้นสามารถต้านทานตัวผนึกจนมีพลังเล็ดลอดออกมาได้ แต่เทพอีกหลายองค์ไม่ได้ทรงพลังเช่นนั้น อย่างเช่นเทพทานูกิสีทองของเผ่าเราที่ถูกผนึกให้อยู่ในห้วงนิทรามาตลอดหลายร้อยปี"



    "แล้วท่านอยากจะให้พี่เจนช่วยอะไรงั้นหรือ" คิทซึเนะถาม



    ชิงารากิมีสีหน้าขึงขังขึ้นมาทันที ดวงตาแข็งกร้าวจ้องตรงไปยังดวงตาของเจนไม่กระพริบตาจนหญิงสาวทำตัวแข็งทื่อไม่กล้าพูดอะไร



    "ข้าอยากให้ท่านช่วยทำลายผนึกเทพเจ้าของเผ่าทานูกิให้ตื่นขึ้นมากอบกู้สถานการณ์นี้ ช่วยปลุกเทพทานูกิสีทอง ยากิ ทีเถอะ!"



    จบตอนที่ 28 สู่ป่าเกาลัด



    ----------------

  27. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  28. #41
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    ได้เลยครับ เรื่องภาพนั่น

    ส่วนเรื่องนิยายผมยังไ่ม่มีเวลามาอ่านเลยครับ

  29. #42
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 29 สงครามครึ่งชั่วโมง

    ตอนที่ 29 สงครามครึ่งชั่วโมง



    สูงขึ้นไปบนต้นไม้ยักษ์กลางหมู่บ้านเกาลัด พวกเจนกำลังเดินขึ้นไปตามลำต้นที่เวียนขึ้นเป็นทางเดินไปสู่ยอดโดยมีโปโกะ ทานูกิสาวเป็นผู้นำทาง เป้าหมายมีอยู่เพียงอย่างเดียวคือการทำลายผนึกพันปีและปลุกยากิ เทพทานูกิขนทองขึ้นมาอีกครั้ง



    จากที่ชิงารากิเล่าทำให้เจนทราบว่าในป่าแถบนี้ทั้งหมดนั้นจะมีเทพอยู่หนึ่งองค์ต่อหนึ่งเผ่าพันธุ์ อย่างยากิ เทพทานูกิขนทองหรือมาเอะ เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่มีระดับสูงกว่า ดังนั้นสัตว์อื่น ๆ ต่างก็มีพลังที่ยิ่งใหญ่ไม่ต่างกัน ทว่าเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เหล่าเทพอสูรนั้นถูกผนึกพร้อมกันอย่างเป็นปริศนา ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนลงมือและทำไม



    หลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดสงครามระหว่างสัตว์อสูรไปทั่วทั้งทวีป ต่างฝ่ายต่างใช้โอกาสที่ไร้เทพอสูรปกครองเข้าแย่งชิงพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรที่อ่อนแอกว่า แต่สงครามก็ต้องยุติลงหลังจากการปรากฏตัวของนักผจญภัยเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้



    จากที่โจเคยเล่าให้เจนฟังว่าเกม ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์เพิ่งเปิดให้บริการมาเพียงแค่เดือนกว่า ๆ ซึ่งเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีในเกม แปลว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเกิดก่อนที่เกมจะเปิดให้บริการ บางทีอาจจะเป็นฝีมือของเอไอที่มีฝีมือระดับเทพเจ้าก็เป็นได้ ส่วนสาเหตุนั้นยังมืดแปดด้าน



    พวกเจนเดินจนมาถึงยอดก็พบกับกิ่งไม้ที่โค้งเป็นร่มบังแสงแดดไปทั่งบริเวณได้อย่างมิดชิด เมื่อลองมองดูดี ๆ ก็ทำให้เจนเห็นว่ากิ่งไม้เหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่คอยบังแสงแดด ทว่าแต่ละกิ่งนั้นประสานกันเอาไว้อย่างเหนียวแน่นราวกับถูกร้อยเอาไว้อย่างพิถีพิถันโดยฝีมือของธรรมชาติ ทำให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยสามารถลอดผ่านช่องระหว่างใบไม้ได้และยังใช้กิ่งไม้เหล่านี้หลบสัตว์นักล่าตัวใหญ่ได้อีกด้วย



    โปโกะบอกว่าต้นไม้พวกนี้ไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดา มันเป็นต้นไม้ที่มีพลังเวทมนตร์อยู่และแต่ละกิ่งก็มีความแข็งแกร่งมากแม้แต่กิ่งเล็ก ๆ ทำให้พวกเทนกุจมูกยาวไม่สามารถทำลายกิ่งไม้ที่ร้อยประสานกันและบุกมาจากบนฟ้าได้ ทว่านั่นก็ไม่สามารถหยุดกองทัพของเหล่าเทนกุจากการบุกหมู่บ้านเกาลัดได้ เพราะทางเข้าหมู่บ้านแห่งนี้มีอยู่หลายทางจนแม้แต่ชิงารากิที่อยู่มานานนับร้อยปียังทราบไม่หมดว่ามีทางเข้าออกกี่เส้นทาง



    การหมู่บ้านจะถูกบุกนั้นขึ้นอยู่กับเวลาที่เหล่าเทนกุจมูกยาวค้นพบทางเข้าที่พวกมันใช้ได้ ดังนั้นความหวังเดียวของเหล่าทานูกิคือใช้พลังอำนาจของเทพเจ้าแห่งเผ่าพันธุ์เข้าสู้กับกองทัพเทนกุจมูกยาว



    บนยอดไม้ของต้นที่พวกเจนเดินไต่ขึ้นมานี้แทนที่จะเป็นพุ่มแบบต้นไม้ทั่วไป ทางเดินกลับพาพวกเธอมายังลานกว้างแห่งหนึ่ง ใจกลางมีก้อนหินขนาดใหญ่แบบเดียวกับบึงที่เจนพบมาเอะ แต่หนนี้กลับไม่มีเสียงเรียกหรือพลังใด ๆ ที่ทำให้เจนรู้สึกว่ามีตัวตนของเทพอสูรอยู่เลย มีเพียงสายลมหนาวที่พัดผ่านจนทำให้เจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว



    "นั่นคงเป็นยากิ เทพอสูรทานูกิขนทองของพวกเธอสินะ" เจนพูดพร้อมกับชี้ไปยังก้อนหินที่กลางลานกว้าง



    "ใช่แล้ว ท่านยากิอยู่ที่นี่เป็นที่สักการะของเหล่าทานูกิมานานมากเลยล่ะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครขึ้นมาเพราะมันสูงจนแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว" โปโกะกล่าวอย่างไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่นัก แต่เจนก็เห็นด้วยว่ากว่าจะขึ้นมาถึงที่บนนี้ได้มันเหนื่อยจริง ๆ



    "รออยู่ตรงนี้นะ" เจนหันมาพูดแล้วเดินเข้าไปหาก้อนหินผนึกของยากิ



    ถ้าหากเทียบขนาดกันแล้ว หินผนึกพันปีตรงหน้าของเจนนั้นมีขนาดใหญ่กว่าหินผนึกของมาเอะ เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางซะอีก ทำให้เจนรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจนักว่าจะทำลายผนึกได้อย่างที่คิทซึเนะเป็นผู้อ้าง ถึงยังไงก็ตามครั้งที่แล้วเจนพลั้งมือทำลงไปโดยไม่ทันคิด แม้ว่าจะสามารถทำลายผนึกของมาเอะออกมาได้โดยปลอดภัย แต่ไม่มีอะไรการันตรีว่าครั้งนี้จะมีผลออกมาเหมือนกับครั้งที่แล้ว



    "นายพอจะรู้มั้ยว่าจะทำลายผนึกนี่ยังไงที่จะไม่ทำให้เทพอสูรข้างในเป็นอันตราย” เจนเอ่ยขึ้นระหว่างกำลังก้าวเข้าไปหาผนึก แน่นอนวาเธอกำลังพูดกับพญาอสรพิษที่อยู่ในดาบข้างกาย



    "ถ้าเจ้าสังเกต เจ้าจะรู้ว่าข้าเองก็ถูกผนึกอยู่ในดาบเช่นเดียวกัน" ยามาตะ โนะ โอโรจิเอ่ยกัดอย่างเจ็บแสบ



    "ข้าเองไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับผนึกมากนัก แต่ดาบเล่มนี้เป็นดาบที่มีพลังมหาศาล เจ้าแค่ทำอย่างที่เจ้าเคยทำก็พอ"



    "ทำอะไรล่ะ เสียบดาบลงไปในหินแบบครั้งที่แล้วงั้นหรือ" เจนโต้อย่างหมั่นเขี้ยว



    คำตอบที่ยามาตะ โนะ โอโรจิบอกมานั้นไม่ได้แฝงถึงความไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับทำให้หญิงสาวถึงกับพูดไม่ออก



    "ปล่อยให้ดาบทำหน้าที่ของมัน"



    เมื่อมายืนเผชิญหน้าหินผนึกที่สูงกว่าตัวของเธอถึงสองสามเท่า ทำให้เจนเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจว่าเดิมซะอีก แต่ทางเลือกนั้นมีไม่มากนักและหน้าที่ทำลายผนึกไม่ใช่ตัวเธอ แต่เป็นดาบคุซานางิอย่างที่ยามาตะ โนะ โอโรจิบอกเอาไว้ต่างหาก



    "เอาน่า ไม่ลองไม่รู้" หญิงสาวพูดกับตัวเองและชักดาบออกมาจากฝัก และทันใดนั้นท่ามกลางสามตาทั้งสามคู่ที่กำลังจดจ้องเธออยู่ เจนก็แทงดาบลงไปยังก้อนหินผนึกจนมิดด้าม



    แทนที่เจนจะรู้สึกถึงแรงต้านแต่เธอรู้สึกราวกับใช้มีดแทงก้อนเยลลี่ ท่ามกลางความตะลึงของโปโกะที่อ้าปากค้างเปล่งเสียงใด ๆ ไม่ออกกับการกระทำของผู้ที่บอกว่าจะเป็นคนปลดปล่อยเทพเจ้าแห่งเผ่าพันธุ์ออกมา แต่การกระทำตรงหน้านั้นมันตรงกันข้ามชัด ๆ



    ทันใดนั้นเองก้อนหินก็ส่องสว่างจ้า เจนรีบถอนดาบคุซานางิออกมาและถอยไปหาพวกคิทซึเนะที่เตรียมพร้อมในกรณีที่ต้องสู้กับยากิ ด้วยพลังระดับเทพเจ้าที่มาเอะมีนั้นแม้จะยังถูกผนึกอยู่ก็ยังดูน่ากลัว ดังนั้นพลังของยากิเองก็คงจะสูงพอ ๆ กันอย่างแน่นอน!



    แต่เมื่อแสงสว่างหายไป พวกเจนกลับพบทานูกิร่างโตกำลังนอนหลับตรงจุดที่มีก้อนหินตั้งอยู่ ทานูกิตัวนั้นนอนนิ่งจนทำให้พวกเธอแทบจะนึกไปว่าพุงของมันเป็นก้อนหินเลยด้วยซ้ำ



    ขนของมันที่ขึ้นอยู่ที่ขามีสีทองแซมอยู่ต่างจากตัวอื่น ทำให้เจ้าทานูกิตัวนี้จะต้องเป็นเทพอสูรทานูกิขนทองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทว่ามันกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้องและเจนก็ไม่รู้สึกพลังจากตัวของยากิเลยด้วย



    "เป็นอะไรไปล่ะเนี่ย อย่าบอกนะว่าฉันเพิ่งฆ่าเทพทานูกิไป" เจนเริ่มหวั่นใจเพราะแทนที่จะสำแดงเดชอย่างที่เทพอสูรควรจะทำ ยากิกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่ผนึกถูกทำลาย ถ้าหากเธอพลั้งมือฆ่าลงไปจริง ๆ ล่ะก็เรื่องบานปลายแน่



    "ปล่าวหรอก ดูเหมือนท่านยากิกำลังหลับอยู่นะ...นี่ ตื่นสิ" โปโกะเดินเข้าไปตรวจดูใกล้ ๆ แล้วพูดขึ้น ทำให้เจนสังเกตว่าพุงขนาดใหญ่ของมันพองและยุบลงอย่างเป็นจังหวะให้เห็นถึงสัญญาณชีพว่าทานูกิตัวนี้ยังคงมีชีวิตอยู่



    ทว่าโปโกะพยายามจะปลุกโดยเขย่าตัวให้ตื่นเท่าไร ยากิก็ไม่ยอมตื่นซักที จนคิทซึเนะทนไม่ไหวทำท่าจะยกมือจะฟาดไปที่หัวทานูกิขนทองซึ่งเจนห้ามเอาไว้ทันเวลาพอดี เพราะถ้าหากโดนปลุกด้วยวิธีที่เจ็บตัวแบบนี้ ใครที่โดนคงจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับน้ำโหอย่างแน่นอน



    พวกเจนพยายามใช้วิธีปลุกแบบเบามือเท่าไรก็ไม่มีทีท่าว่าทานูกิอ้วนจะลุกขึ้นมา แม้เจนจะยอมให้พวกคิทซึเนะใช้วิธีรุนแรงถึงขนาดใช้เพลิงจิ้งจอกก็ยังไม่ได้ผล เพราะดูท่าขนสีทองของยากินั้นจะมีพลังพิเศษที่ป้องกันการโจมตีได้อย่างดี ขนาดที่ดราก้อนบรีธของฟีบียังไม่ทำให้ขนของยากิลุกไหม้เลยซักเส้น แม้จะมั่นใจว่าดาบคุซานางิจะสามารถทำร้ายทานูกิขนทองได้จากความสามารถของตัวดาบ แต่เจนคิดว่าขอไม่เสี่ยงจะดีกว่า



    "ไม่ยอมตื่นซักที แบบนี้คงจะหลับอีกนานแน่" โปโกะเอ่ยด้วยน้ำเสียงละเหี่ยใจ แต่ในเมื่อเจ้าตัวทำอะไรกับเทพอสูรขี้เซาตรงหน้าจึงเดินกลับมาหาพวกเจน



    "ทำยังไงต่อดีล่ะ?"



    "ทำยังไงต่อ!? ยังจะมาถามอีก เธอนั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายบอกพวกเราว่าให้ทำยังไง เรื่องนี้มันเกี่ยวกับความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์เลยนะ" คิทซึเนะพูดเสียงสูงอย่างไม่พอใจเพราะท่าทางของเพื่อนสนิทที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาว ต่างจากตอนแรกที่ลอบโจมตีพวกเธอราวกับฟ้ากับเหว



    "ก็ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกกังวลกับเรื่องนั้นเท่าไหร่แล้วนี่นา" ทานูกิสาวเอ่ยออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย



    "ว่าไงนะ! เทพอสูรของเผ่าเธอเอาแต่นอนแบบนี้เนี่ยนะไม่กังวล เธอมีทางออกอื่นที่จะช่วยหมู่บ้านแล้วหรือไง"



    "อื้อ" โปโกะส่งเสียงออกมาในลำคอพร้อมพยักหน้ารับ



    "หา" เสียงฉงนหลุดปากออกมาจากจิ้งจอกสาวอย่างลืมตัว อารมณ์ที่พุ่งสูงเพราะเป็นห่วงหมู่บ้านเกาลัดแทนเพื่อนตัวเองลดต่ำลงอย่างกะทันหันจนเจ้าตัวถึงกับลืมไปเลยว่าจะพูดอะไร



    "ก็นักผจญภัยที่มากับเธอนั่นไงล่ะที่จะช่วยหมู่บ้านของฉัน" โปโกะพูดเสริม



    เจนยกนิ้วขึ้นชี้มาที่ตัวเองด้วยความตกใจและทานูกิสาวก็พยักหน้ายืนยันคำพูดของตัวเอง



    "ไม่ต้องทำหน้าสงสัยอย่างนั้นหรอก ก็ท่านมีพลังที่เหนือกว่าเทพอสูรอย่างทำลายผนึกพันปีได้เลยนะ ถึงท่านยากิไม่ยอมตื่นขึ้นมาแต่ก็ให้ท่านเจนสู้กับพวกเทนกุจมูกยาวแทนก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่หรอกมั้ง"



    แม้ในใจอยากจะโต้ว่าเป็นพลังของดาบต่างหาก แต่ในเมื่อดาบเล่มนี้มีเพียงเจนที่สามารถแสดงพลังที่แท้จริงของมันได้แต่เพียงผู้เดียวจากการทำพันธสัญญาจึงพูดได้ว่าดาบเล่มนี้ก็เป็นพลังของตัวเจนเอง และเธอก็ยิ่งกว่าจะยินดีที่จะช่วยหมู่บ้านจากเหล่าเทนกุจมูกยาว เพราะนอกจากจะทำเพื่อภารกิจแล้ว เจนยังไม่อยากเห็นพวกทานูกิเหล่านี้ถูกไล่ออกไปจากบ้านของพวกมัน นี่ยังไม่รวมถึงความตั้งใจของตัวคิทซึเนะและฟีบีที่อยากจะแสดงฝีมือแล้วด้วย



    แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเวลาที่เจนจะอยู่ในเกมนั้นเหลืออยู่อีกไม่ถึงสามวันแล้ว ถ้าหากพวกเทนกุยังไม่บุกเข้ามาภายในเวลานี้ เจนก็จำต้องออกจากเกมไปถึงหนึ่งวันเป็นอย่างน้อย บางทีอาจจะถึงสิบห้าวันเพราะเธอจะกลับมาเล่นเกมอีกครั้งเวลานอนตามที่คุณหมอเกอร์ธูทแนะนำ หากพวกเทนกุทำการรุกรานหมู่บ้านเกาลัดตอนที่เจนออกจากเกมไปล่ะก็ คงไม่มีทางที่เจนจะรู้หรือมาช่วยได้อย่างแน่นอน



    โปโกะเห็นสีหน้าปั้นยากของเจนจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ถึงจะไม่รู้ว่ามนุษย์ตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่คนที่เพื่อนของเธอให้การยอมรับเช่นนี้คงไม่คิดทิ้งพวกเธอเอาไว้และปฏิเสธที่จะช่วยอย่างแน่นอน



    "เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราลงไปรายงานให้หัวหน้าหมู่บ้านกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาช่วยกันวางแผนว่าจะรับมือพวกเทนกุยังไงดี" โปโกะพูดแล้วจึงเดินนำพวกเจาลงจากลานกว้าง







    ขาลงจากต้นไม้ยักษ์นั้นทั้งเร็วและสบายกว่าตอนขึ้นมากทีเดียวเพราะทั้งสี่คนใช้หางของโปโกะแทนเครื่องร่อนลงไปยังหมู่บ้านด้านล่าง



    หางของทานูกินั้นมีความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบาอย่างน่าเหลือเชื่อ อีกทั้งยังสามารถขยายขนาดมาใช้บังคับทิศทางเวลากระโดดร่อนได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่ระหว่างทางลงเจนเห็นทานูกิบางตัวที่อยู่ในร่างแปลงนั่งบนหางตัวเองและร่อนไปมา หรือทานูกิในร่างสัตว์กำลังกระโดดร่อนไปยังอีกกิ่งไม้หนึ่งพร้อมใช้หางบังคับทิศทางและลอยตัว



    'ทานูกิในโลกจริงทำแบบนี้ได้ด้วยหรือเนี่ย' เจนคิดในใจเพราะหากทานูกิในโลกจริงทำได้ขึ้นมาคงแปลกพิลึก ดังนั้นเจนจึงสรุปเอาไว้ในใจว่านี่เป็นทานูกิเวอร์ชั่นแฟนตาซีที่มีความสามารถสารพัด



    พอกำลังจะลงพื้น โปโกะก็บอกให้พวกเจนเตรียมพร้อมแล้วสะบัดหางให้กลับมาอยู่ในขนาดเดิมและลงมายืนอยู่บนพื้นด้วยท่วงท่าสวยงามเช่นเดียวกับเจนและคิทซึเนะ ส่วนฟีบีนั้นเจนคว้าตัวเอาไว้ก่อนที่จะกระโดดลงมาแล้วเพราะดันเกิดหิวขึ้นมาและจะพุ่งไปคว้าผลไม้ที่อยู่บนต้นไม้อีกต้นเข้า



    ภายในบ้านของผู้ใหญ่บ้านชิงารากิ หลังจากที่โปโกะบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนลานไม้ที่เทพอสูรทานูกิขนทองถูกผนึกอยู่ให้ฟัง แต่พอหลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านได้ยินว่าปลุกเทพทานูกิเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น ผู้ใหญ่บ้านถึงกับยกมือขึ้นมากุมขมับอย่างหนักใจ



    "แย่แล้ว ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วยนะ ท่านยากิ" ชิงารากิพูดพึมพำเบา ๆ แต่เสียงก็ดังพอที่จะได้ยินกันทั้งหมด



    "มีอะไรงั้นหรือ ท่านยากิทำไม" โปโกะรีบถามอย่างสงสัย



    "ก็มันมีเรื่องเล่านับแต่อดีตกาลอยู่น่ะสิ ว่ากันว่าในหนึ่งปี ท่านเทพอสูรยากิจะหลับจำศีลตลอดเดือนเพื่อเพิ่มพูนพลัง เรื่องนี้ไม่เคยมีผู้ใดสามารถยืนยันว่าเป็นความจริงมาก่อน แต่ในวันนี้ข้าได้ยืนยันเรื่องราวนั้นจากคำบอกของพวกเจ้าแล้ว"



    "หนึ่งเดือนเลยงั้นหรือ แบบนี้ไม่ทันแน่.." เจนเอ่ยขึ้น



    "ที่ท่านพูดหมายความว่ายังไงหรือท่านนักผจญภัย" ชิงารากิรีบถามเมื่อได้ยินคำของเจน



    เมื่อเจนอธิบายเรื่องที่เธอสามารถอยู่ในโลกแห่งนี้ได้อีกเพียงแค่สามวันและหลังจากนั้นจะกลับมาอีกครั้งเมื่อผ่านไปแล้วสิบห้าวัน ทำให้บรรยากาศในห้องเริ่มตรึงเครียดและสิ้นหวัง เพราะเมื่อความหวังเดียวได้จางหายไปต่อหน้าต่อตา เจนจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ เธอเองก็รู้สึกผิดหวังไม่ต่างกันที่ไม่สามารถช่วยเหลือหมู่บ้านแห่งนี้ได้ แม้เธอจะสามารถกลับมาเล่นเกมอีกครั้งหลังจากออกจากเกมไปหนึ่งชั่วโมงได้ก็ตามที แต่เวลาเพียงหนึ่งวันก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สูงเพราะพวกทานูกิไม่อาจจะต่อกรกับเทนกุได้เลย



    "ทำยังไงถึงจะหาทางป้องกันหมู่บ้านภายในสามวันได้นะ...ทำยังไงดี โอ้ย! ถ้าเกิดโจอยู่ตรงนี้ล่ะก็..จริงสิ!" หญิงสาวพูดโพล่งขึ้นเสียงดังทำให้เหล่าทานูกิที่อยู่ในห้องหันมามองเธอเป็นสายตาเดียว แต่ก็พบว่าหญิงสาวนั้นทำท่าเหมือนกำลังคุยอะไรบางอย่างอยู่เพียงคนเดียว ทว่าไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากของเธอเลย มีเพียงแค่คิทซึเนะและฟีบีที่ได้ยินเสียงของเจน



    "โจ นี่เจนนะ นายได้ยินหรือเปล่า" หญิงสาวพูดผ่านช่อสื่อสารกลุ่มที่มีเพียงคนในกลุ่มเท่านั้นที่จะได้ยิน ส่วนสัตว์เลี้ยงจะสามารถได้ยินเสียงของเจ้านายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น



    "ได้ยินแล้ว มีอะไรว่ามาโลด" เสียงของชายหนุ่มตอบกลับมาแม้ทั้งสามจะแยกทางกันไปทำภารกิจของตน แต่ก็ยังไม่ออกจากกลุ่มกัน ทำให้แม้จะอยู่ห่างกันขนาดไหนก็ยังสามารถคุยกันได้ตามปกติ



    จากที่ทักทายกันแล้วเจนก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังและบอกถึงปัญหาที่เธอกำลังเจออยูและขอให้เขาช่วยหาทางช่วยพวกเผ่าทานูกิจากภัยในครั้งนี้



    หลังจากที่นั่งฟังเสียงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งโจก็เอ่ยขึ้น



    "แบบนี้ยากแฮะ ฉันอยากได้ข้อมูลมากกว่านี้อีกหน่อย"



    "นายจะเอาอะไรล่ะ" เจนถามกลับ



    "เดี๋ยวเธอไปถามพวกทานูกิตามนี้นะ..." แล้วโจก็เริ่มร่ายคำถามให้เจนจนเธอต้องรีบหาอะไรมาจดเพราะมันเยอะจนจำไม่หวาดไม่ไหว คำถามทั้งหมดที่โจถามมานั้นส่วนใหญ่จะเป็นคำถามที่เกี่ยวกับความสามารถของพวกทานูกิไม่ว่าจะเป็นจุดเด่นจุดด้อย รวมไปถึงทำเลภายในเมืองด้วย



    เจนอ่านคำถามที่โจเพิ่งบอกเธอให้กับชิงารากิฟัง ซึ่งทานูกิผู้ใหญ่บ้านก็ตอบให้อย่างว่าง่าย รวมไปถึงอธิบายสภาพพื้นที่โดยรอบด้วย โดยสุดท้ายเขาก็ไม่ลืมที่จะถามกลับไปว่าถามไปทำไมพร้อมกับทำหน้าที่เห็นแสงแห่งความหวังอยู่ตรงหน้า ทว่าเจนไม่ใช่คนที่ตอบคำถามนี้ได้จึงยิ้มแห้ง ๆ และหันไปคุยกับโจต่อ



    "ข้อมูลที่นายถามมามีแค่นี้แหละ สภาพพื้นที่แถว ๆ นี้ฉันก็ช่วยเสริมเท่าที่ฉันสังเกตเห็นแล้ว นายต้องการอะไรอีกมั้ย" เจนถาม ทว่ามีแต่เสียงในลำคอตอบกลับมา



    เสียงอืมเสียงอาดังอยู่ในหัวของเจนเป็นพัก ๆ ราวกับคนพูดกำลังใช้ความคิด แม้จะรู้สึกรำคาญแต่เจนต้องทนเอาไว้เพราะเธอต้องพึ่งเขาหากจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้



    "เอาล่ะ ฉันคิดแผนออกมาได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะอธิบายแผนขึ้นต้นให้เธอฟังก่อน ส่วนรายระเอียดฉันจะส่งเป็นจดหมายตามไปทีหลัง" โจพูดหลังจากส่งเสียงอยู่นาน



    "ฉันพร้อมแล้ว จะให้ทำอะไร จะลุยที่ไหนก็ว่ามาเลย" เจนพูดเสียงกระปรี้กระเปร่าจนทำให้โจที่ได้ยินอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้



    "ฮ่ะ ๆ ไม่ต้องไปลุยที่ไหนหรอก เธอน่ะได้ลุยอยู่ตรงนั้นแหละ" เสียงของเพื่อนหนุ่มดังขึ้นพร้อมกับความประหลาดใจของหญิงสาวถึงแผนของโจ เขาวางแผนอะไรกันแน่นะ







    "แปลงร่าง!!"



    ปุ๋ง!!



    เสียงตะโกนของเหล่าทานูกิดังลั่นไปทั่วหมู่บ้านพร้อมควันจากการแปลงกายลอยคุ้งไปทั่วบริเวณ เมื่อควันหายไป เหล่าทานูกิตรงหน้ากลายเป็นก้อนหินบ้าง ต้นไม้บ้าง ซึ่งบางตัวยังคงแปลงร่างไม่ได้สมบูรณ์นักเพราะยังมีหูและหางโผล่ออกมาอยู่



    ด้านบนต้นไม้ก็มีทานูกิอีกจำนวนหนึ่งกระโดดร่อนตัวลงมาราวกับพลโดดร่ม อีกด้านบนพื้นก็มีทานูกิอีกจำนวนหนึ่งกำลังขุดดินบนพื้นอย่างขะมักเขม้น โดยทั้งหมดอยู่ในสายตาของเจนที่เฝ้ามองอยู่ไม่ไกล



    "ไม่อยากเชื่อจริง ๆ ว่าพวกทานูกิจะทำตามแผนของโจได้รวดเร็วขนาดนี้" เจนพูดขึ้นด้วยความรู้สึกทึ่งกับความสามารถที่แอบแฝงอยู่ในร่างอ้วนกลมของเหล่าทานูกิ เพราะจดหมายที่บรรจุแผนการของโจเพิ่งจะมาถึงเมื่อสามชั่วโมงก่อนเท่านั้นเอง แต่เหล่าทานูกิก็สามารถใช้เวลาเตรียมการได้อย่างรวดเร็ว



    "พวกเราทานูกิแม้จะไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่พวกเราทุกตัวนั้นมีความสามัคคีและต่างก็อยากจะปกป้องบ้านของพวกเรากันทั้งนั้น ถ้าหากท่านแน่ใจว่าแผนของสหายช่วยป้องกันหมู่บ้านของพวกเราได้ พวกเราก็ยินดีพร้อมที่จะทำตาม" ชิงารากิกล่าวพลางมองเหล่าลูกบ้านทำงานอย่างขะมักเขม้น



    แม้เจนจะไม่รู้ว่าแผนของโจจะได้ผลหรือไม่ แต่เธอก็มั่นใจว่าแผนนี้โจคงไม่ได้คิดมาสั่ว ๆ อย่างแน่นอน ถึงแผนที่มีอาจจะไม่สามารถต้านทานไม่ให้เหล่าเทนกุบุกเข้ามาในหมู่บ้านได้ แต่อย่างน้อยมันอาจจะถ่วงเวลาให้มากพอที่เจนจะกลับมาล็อกอินครั้งต่อไปได้



    "ฉันเองก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน" เจนพูดออกมาเบา ๆ ถ้าหากรู้ว่าพวกเทนกุอยู่ที่ไหนล่ะก็ เธอคงจะออกไปจัดการแล้วเชียว



    เหมือนกับโชคชะตาจะเข้าข้าง จู่ ๆ ก็มีทานูกิตัวหนึ่งวิ่งตาลีตาเหลือกตรงเข้ามาหาพร้อมกับตะโกนเรียกผู้ใหญ่เสียงดังลั่น ทำให้พวกทานูกิที่กำลังเตรียมแผนการอยู่รอบ ๆ ต่างหันมามองเป็นสายตาเดียว



    "ใจเย็น ๆ ก่อนเด็กน้อย มีอะไรงั้นเรอะถึงได้ตะโกนโหวกเหวกมาแบบนี้" ชิงารากิเอ่ยพร้อมทั้งเดินเข้าไปหาทานูกิหนุ่มที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นด้วยความเหนื่อยหอบ



    "ย..แย่แล้วครับ ม..เมื่อกี้ข้าไปตระเวนอยู่ที่ทางใต้ของหมู่บ้าน ข้าพบทางออกจากป่าที่ไม่เคยพบมาก่อน มันเป็นทางที่นำไปสู่ทะเลสาบขนาดใหญ่มาก แต่ข้าเองก็พบกับกองทัพของเหลาเทนกุกำลังตั้งค่ายอยู่เช่นกันครับ" ทานูกิหนุ่มรายงานอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทำให้เหล่าทานูกิโดยรอบเริ่มส่งเสียงคุยกันและเริ่มวิตกกับการปรากฏตัวของเผ่าเทนกุ



    "กองทัพงั้นหรือ มีขนาดใหญ่แค่ไหนกัน" เจนรีบถามต่อ



    "เอ่อ.. ข้าเองก็ไม่ทันได้นับหรอกครับ แต่ค่ายของพวกมันใหญ่เกือบเท่าทะเลสาบเลยครับ" ทานูกิหันมาตอบคำถามของเจน



    ชิงารากิได้ฟังถึงขนาดของกองทัพเทนกุก็หันมาหาเจนด้วยสีหนาวิตกกังวล "ท่านนักผจญภัย พวกมันมีมากเหลือเกิน อย่างนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี"



    เจนมองหน้าของผู้ใหญ่บ้านและหันไปมองเหล่าทานูกิตัวอื่น ๆ ที่จ้องมาที่เจนด้วยสีหน้าที่หวังในตัวของเธอกันทุก ๆ ตัว ในตอนแรกเธอคิดจะเข้าไปสู้กับพวกเทนกุโดยตรงเลย แต่ว่าพอได้ยินที่ทานูกิหนุ่มพูดถึงขนาดกองทัพเทนกุต้องทำให้เจนกลับมาทบทวนอีกครั้ง ในตอนนี้หมู่บ้านยังเตรียมการป้องกันไม่เรียบร้อยดี ถ้าหากเจนออกไปตอนนี้ก็เท่ากับบอกที่อยู่ของหมู่บ้านให้พวกเทนกุรู้ และเธอเองก็ยังไม่มั่นใจว่าเธอจะเอาชนะกองทัพเทนกุได้หรือเปล่า แม้จะมีพลังสถิตร่างอยู่ก็ตาม



    "พี่เจน!" เสียงดังเรียกสติของเด็กสาวให้หันไปมอง พบว่าเป็นคิทซึเนะที่วิ่งมาพร้อมฟีบีและโปโกะ



    "เมื่อกี้พวกเราเข้าไปสอดแนมค่ายของพวกเทนกุมา หนูได้ยินว่าพวกมันคิดจะเข้ามาค้นหาในป่าวันพรุ่งนี้เช้า ทำยังไงดีคะ" คิทซึเนะรายงานให้เจนฟัง



    เมื่อพวกทานูกิได้ยินว่าเทนกุคิดจะบุกเข้ามาในป่าแห่งนี้ในอีกไม่ถึงวันก็ทำให้จากวิตกกังวลอยู่แล้วก็แตกตื่นเข้าไปอีก ทานูกิทุกตัวต่างหันมาหาความหวังเดียวที่มีซึ่งความหวังที่ว่ากำลังยืนหน้าเครียดอยู่ตรงหน้านั่นเอง



    "ตอนนี้พวกเรายังทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือยึดตามแผนเดิมเอาไว้ ทุกตัวรีบเตรียมการป้องกันหมู่บ้าน เร่งมือเป็นสองเท่า!" เจนตะโกนสั่งเสียงดัง



    เหล่าทานูกิไม่มีท่าทีต่อต้านใด ๆ และต่างรีบวิ่งกลับไปทำหน้าที่ของตนอย่างรวดเร็ว พวกคิทซึเนะเองก็ไปช่วยด้วยอีกแรกหนึ่งด้วย ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งหมู่บ้านต่างมีเสียงเอะอะโวยวายจากการเตรียมป้องกัน



    ส่วนเจนนั้นเดินไปพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านไปพบกับกลุ่มทานูกิกลุ่มหนึ่งที่มีท่าทางขึงขังกว่าทานูกิตัวอื่น ๆ เหมือนกับว่าทานูกิพวกนี้เป็นทหารป้องกันหมู่บ้านยังไงอย่างงั้น



    "ชิปอม การฝึกของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" ชิงารากิเอ่ยถามทานูกิที่เป็นตัวเดียวกับที่เคยคุ้มกันเขามาก่อนหน้านี้



    "การฝึกเป็นไปได้ด้วยดีครับ แม้ว่าพวกเราจะแปลงร่างได้ไม่สมบรูณ์แบบ แต่วิธีการแปลงร่างตามที่อยู่ในแผนนั้นพวกเราสามารถใช้ได้อย่างช่ำชองแล้วครับ" ชิปอมกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ



    ไม่ว่าเปล่า ชิปอมก็หันไปสั่งเหล่าทานูกิด้านหลังเสียงดังแล้วเหล่าทานูกิต่างพากันกระโดดต่อตัวกันพร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่น



    แปลงร่าง!!



    ปุ๋ง!



    ควันจากการแปลงร่างระเบิดออกมาอีกครั้ง คราวนี้มากกว่าปกติ และเมื่อควันหายไป ภาพที่เจนเห็นอยู่ตรงหนาก็ทำให้ความกังวลในใจของเจนลดลงไปได้เยอะทีเดียว



    "อยากจะรู้จริง ๆ ว่าเจ้าโจมันคิดแผนอย่างนี้ขึ้นมาได้ยังไง" เจนเงยหน้ามองพลางพูดรำพัน



    "ความจริงการแปลงร่างเช่นนี้พวกเราสามารถทำได้มานานและไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เพราะไม่ค่อยมีทานูกิตัวไหนชอบใช้กันจึงไม่มีการฝึกการแปลงร่างแบบนี้กันมากนัก ข้ายังนึกแปลกใจที่ตอนแรกสหายของท่านถามถึงเรื่องนี้ ความจริงถ้าสหายของท่านไม่เอ่ยถามขึ้น ข้าเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน" ชิงารากิบอก



    "น่าเสียดายที่มีทานูกิน้อยเกินไปที่แปลงร่างแบบนี้ได้ ถ้าได้มาอีกซักกลุ่มล่ะก็ สถานการณ์พรุ่งนี้คงจะดีกว่านี้" เจนเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกเสียดาย



    "ท่านนักผจญภัยว่าพรุ่งนี้พวกเราจะรอดหรือไม่" ผู้ใหญ่หันไปถามหญิงสาวด้วยสีหน้าจริงจังที่สุดเท่าที่ใบหน้าของทานูกิจะทำได้



    เจนที่ได้ยินก็ได้แต่ส่งยิ้มให้และตอบออกมาตามตรง "เรียกฉันว่าเจนเถอะ ส่วนวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็คงได้แต่หวังเอาไว้ว่าจะออกมาในทางที่ดีล่ะนะ"







    รุ่งสางของวันถัดมา หมอกยามเช้าในป่าเกาลัดยังคงลอยอยู่อย่างหนาทึบท่ามกลางต้นไม้นับร้อยต้นโดยไร้การรบกวนของแสงอาทิตย์ ทว่าทันใดนั้นเอง เงาสีดำทะมึนหลายร่างพลันปรากฏขึ้นท่ามกลางกลุ่มหมอกและเดินลัดเลาะผ่านต้นไม้ตรงไปยังหมู่บ้านเกาลัดอย่างเงียบเชียบ



    ใบหน้าสีแดงดุร้ายและจมูกยาวดูราวกับกำลังสวมหน้ากาก ร่างขนาดใหญ่ใยชุดเกราะสีดำพร้อมกับปีกด้านหลังทำให้บอกได้ทันทีว่าเป็นเทนกุจมูกยาวอย่างไม่ต้องสงสัย อาวุธที่เหล่าเทนกุถือมานั้นดูอันตรายไปซะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นง้าวยาวที่มีใบมีดคมกริบ ดาบที่ดูแล้วสามารถตัดต้นไม้เป็นสองท่อนได้สบาย ๆ หากเทียบกับเหล่าทานูกิซึ่งไร้อาวุธที่จะสู้แล้วแทบบอกได้เลยว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ



    ความจริงแล้วเหล่าเทนกุรู้ว่าพวกคิทซึเนะเข้ามาสอดแนมในค่ายของพวกมัน แต่แทนที่จะจัดการผู้บุกรุก กลับปล่อยให้พวกคิทซึเนะกลับไปและคอยคิดตามจนรู้ที่ซ่อนของหมู่บ้านเข้าจนได้ แต่เนื่องจากทางข้างหน้าเป็นป่าทำให้พวกเทนกุต้องลงมาเดินบนพื้นแทนที่จะบินตามที่พวกมันถนัดที่สุด



    ถึงอย่างนั้นการที่ใช้ปีกไม่ได้ก็ไม่ทำให้เหล่าเทนกุกังวลใจแต่อย่างใด เพียงแต่พละกำลังที่มีก็สามารถจัดการทานูกิได้อย่างสบาย ๆ เมื่อเทนกุเหยียบเข้าไปยังหมู่บ้านก็เท่ากับว่าหมู่บ้านแห่งนั้นได้ล่มสลายลงแล้ว



    เพียงไม่ถึงสิบนาที กองทัพเทนกุก็มาถึงตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านเกาลัด หัวหน้ากองผู้นำทัพหน้ามานั้นได้กลิ่นของทานูกิลอยมาตามลมที่สามารถยืนยันได้ว่าต้องมีเจ้าหนูตัวน้อยที่กำลังรอให้ฆ่าอาศัยอยู่แถวนี้อย่างแน่นอน



    ใบหน้า*****มแสยะยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่จะได้ละเลงเลือดอีกครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกทานูกิเหล่านี้ทำให้เขาหงุดหงิดไม่น้อยเวลาที่ต้องมาตามล่าพวกมันเพราะเจ้าตัวเล็กเหล่านี้เก่งมากในเรื่องการหลบหนี และยังฆ่าง่ายเกินไป ไม่เติมเต็มความรู้สึกพอใจเลยแม้แต่น้อย



    อย่างน้อยในวันนี้เขาก็ได้เป็นทัพหน้าที่มีเทนกุจำนวนไม่ถึงสิบตนแต่ก็มากพอที่จะกวาดล้างทานูกิได้ทั้งหมู่บ้าน ดังนั้นน่าจะมีทานูกิให้ฆ่าเยอะจนสาแก่ใจ แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียดายที่จากนี้ไปจะมีเหยื่อให้ล่าลดลงไปหนึ่งเผ่าพันธุ์ก็ตาม



    ทว่าเมื่อเข้ามาในบริเวณหมู่บ้าน สิ่งที่หัวหน้ากองเทนกุเห็นมีเพียงแค่กระท่อมหลายร้อยหลังที่มีร่องรอยของทานูกิจำนวนมาก ต้นไม้สูงใหญ่หลายร้อยต้นพร้อมกับต้นไม้เล็ก ๆ อยู่ตรงโคนต้นไม้หลากชนิดที่มีร่องรอยของผลไม้ถูกดึงออกไปจากต้น แต่ไม่เห็นเงาของทานูกิเลยซักตัวเดียว



    "นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ไอ้พวกทานูกิมันหายไปไหนหมด" นายกองเทนกุเอ่ยขึ้น ทั้ง ๆ ที่กลิ่นตลบอบอวนอยู่โดยรอบแบบนี้กลับไม่พบเจ้าของกลิ่น ด้วยประสบการณ์ที่เคยล่าทานูกิมาก่อนของนายกอง ทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ว่าเป้าหมายเพิ่งอพยพออกไปก่อนที่กองทัพจะมาถึงที่นี่ไม่นานนัก นั่นคือสิ่งที่เทนกุนายกองคิด



    "ส่งข่าวไปยังทัพหลัก ไอ้พวกทานูกิเผ่นออกไปจากที่อยู่สุดท้ายของมันแล้ว ยกกองกำลังทั้งหมดเข้ามาได้เลย" นายกองออกคำสั่งให้แก่เทนกุตนหนึ่ง แม้จะผิดหวังจากที่คาดเอาไว้ว่าจะได้จัดการทานูกิซักสิบยี่สิบตัวก่อนจะเรียกทัพหลักที่มีเทนกุนับร้อยเข้ามาเก็บกวาดให้เรียบ แต่สุดท้ายกลับเสียเปล่าที่อาสามาเป็นทัพหน้า



    ทว่าเขาก็ยังคงไม่ละทิ้งความหวัง ในระหว่างที่กองทัพหลักกำลังเดินทางมาถึงซึ่งคงจะใช้เวลาอีกพักหนึ่ง นายกองออกคำสั่งให้ทหารเทนกุตนอื่นออกตามหาทานูกิที่อยู่ในหมู่บ้านทุกซอกทุกมุม แม้ตอนนี้จะเหลือเทนกุอยู่เพียงแปดตนรวมทั้งเขาด้วย แต่ก็ไม่ทำให้เขารู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อยเมื่อยู่ท่ามกลางหมู่บ้านแห่งนี้เพียงตนเดียวก็ตาม



    หลังจากที่ทหารเทนกุคนอื่น ๆ ออกไปลาดตระเวนหมดแล้ว เขาเองก็ไปด้วยเช่นกันและในทางที่เขาไปนั้นเป็นกระท่อมหลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งเขาหวังว่าคงจะมีทานูกิซักตัวหลบอยู่ในนั้น



    ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปถึงตัวกระท่อม เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นมาจากอีกฟากของหมู่บ้าน มันเป็นเสียงของเทนกุไม่ผิดแน่!



    ไม่เพียงแค่เสียงเดียวที่ดังมา เสียงของทหารเทนกุตนอื่น ๆ เริ่มร้องโหยหวนดังมาจากทิศทางที่ทหารเทนกุกระจายออกไปลาดตระเวน และก็เงียบหายไปอย่างน่าขนลุก ใจที่เคยนิ่งสงบเริ่มเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ สิ่งที่ทำให้เทนกุร้องออกมาแบบนี้ได้นั้นแทบไม่มีอยู่ในทวีปอัลเทเชียแห่งนี้ ไม่สิ! มันไม่ควรจะมีเลยต่างหาก!



    เผ่าเทนกุนั้นเป็นเผ่าที่มีพละกำลังมหาศาลและพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเทนกุคือหนึ่งในเผ่าอสูรระดับสูงของทวีปแห่งนี้ สามารถเทียบได้กับอสูรอย่างมิโนทอร์ที่เป็นสัตว์อสูรระดับสูงของทวีปยูโรปา แม้เทนกุจะไม่ได้มีพละกำลังมหาศาลเท่า แต่เทนกุนั้นสามารถบินได้และมีพลังที่จะต่อกรมอนสเตอร์ระดับวิญญาณได้ทุกระดับขนาดทีทหารเทนกุหนึ่งตนสามารถต่อกรมอนสเตอร์วิญญาณได้ถึงร้อยตนเลยทีเดียว



    ทว่าเหตุการณ์ที่นายกองกำลังเผชิญอยู่ตรงนี้กลับทำให้เขาต้องตั้งคำถามต่อความสามารถของเผ่าเทนกุใหม่อีกครั้ง การที่ลูกน้องของเขากรีดร้องออกมาเช่นนั้นย่อมไม่มีทางเป็นฝีมือของพวกทานูกิอย่างแน่นอน และสิ่งเดียวที่เขารู้จักที่สามารถลอบโจมตีได้อย่างเงียบเฉียบเช่นนั้นมีเพียงอยู่อย่างเดียวเท่านั้น



    ก่อนที่หัวหน้ากองเทนกุจะคิดป้องกันตัวเอง ร่างของเขาก็ทรุดลงสู่พื้นดินราวกับถูกแผ่นดินสูบ แล้วด้วยการที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้เขากรีดร้องเสียงโหยหวนออกมาโดยไม่ตั้งใจ



    "อ้ากกกกก!"



    ตุบ!



    หลุมที่เขาตกลงมานั้นมีความลึกถึงสามเมตรแต่ด้วยร่างที่ใหญ่โตของเทนกุทำให้นายกองไม่บาดเจ็บอะไรนัก บวกกับหลุมที่เขาตกลงมาเป็นเพียงแค่หลุมเปล่า ๆ ที่ไม่มีไม่มีอันตรายใด ๆ แอบแฝงอยู่ด้วย คงมีทางเดียวที่หลุมพรางนี้จะเกิดอันตรายต่อเทนกุอย่างเข้าได้คือตกใจจนหัวใจวายตาย



    นายกองรู้สึกอับอายแทบอยากจะบินหนีไปซะเดี๋ยวนี้เลย ไม่เคยมาก่อนในชีวิตที่เขาจะกรีดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวเช่นนี้ แม้กระทั่งในศึกแรกเขายังไม่ตะโกนร้องแบบนี้เลย ความรู้สึกต่อมาก็คือสมเพชตัวเองที่ดันมาติดกับดักเด็กเล่นของพวกทานูกิเข้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพียงหลุมเล็ก ๆ แค่นี้ทำให้เขาคิดไปได้ถึงวิญญาณจัดการเทนกุซะขนาดนั้น



    ทว่าคิดไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้เจ้าตัวที่เป็นผู้ทำกับดักคงหนีไปไกลแล้ว เอาไว้กองทัพเทนกุยึดครองหมู่บ้านแห่งนี้ได้เมื่อไหร่ล่ะก็ เขานี่แหละจะนำกองกำลังของเขาไปตามฆ่าพวกทานูกิล้างอายเอง



    พอจะขึ้นจากหลุมก็เกิดปัญหาขึ้น แม้หลุมนี้จะลึกแต่กลับมีความกว้างไม่มากนัก เพียงแค่ตัวเขาตกลงมาได้ก็แทบจะเต็มหลุม แสดงว่าหลุมกับดักนี้ทำมาเพื่อจัดการเทนกุตัวต่อตัว และเนื่องจากความกว้างที่มีไม่มากนั่นเองทำให้นายกองเทนกุไม่สามารถใช้ปีกบินออกจากหลุมได้



    การปีนป่ายนั่นถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเทนกุ แม่ร่างกายของเผ่าพันธุ์นี้จะมีแขนและขาเหมือนมนุษย์ แต่ที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของเทนกุนั้นไม่ค่อยจะมีโอกาสตกหลุมพรางแบบนี้เท่าไรนักเพราะใช้เวลาส่วนใหญ่บินหรืออยู่บนต้นไม้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่านายกองเทนกุจะปีนออกจากหลุมพรางไม่ได้ เพียงแค่ลำบากกว่าที่ควรจะเป็นเท่านั้นเอง



    หัวหนากองเทนกุเริ่มพยายามปีนขึ้นออกจากหลุมพราง แต่ดินนั้นร่วนมากจนไม่สามารถเกาะผนังปีนขึ้นไปได้ จนสุดท้ายเขาจึงล้มเลิกความพยายามและตะโกนให้ทหารเทนกุที่น่าจะออกมาจากหลุมพรางมาช่วยเขาออกไป



    แต่ตะโกนอยู่นานกลับไม่มีท่าทีว่าจะมีเทนกุในกองกำลังโผล่มาช่วยเลยแม้แต่คนเดียว จนสุดท้ายก็เริ่มหงุดหงิดและเริ่มพยายามปีนออกมาหลุมด้วยตัวเองอีกครั้ง ถ้าหากเขาออกไปได้ก่อนเจ้าพวกลูกน้องล่ะก็ เขาจะจับไปฝึกให้หนักเลยเชียว



    แต่เมื่อเขาพยายามจนเกือบขึ้นไปถึงบนปากหลุม เขากลับพบร่างของเจ้าตัวที่เขาตั้งใจมาสังหารกำลังยืนจ้องเขาลงมา ไม่เพียงแค่ตัวเดียว แต่เป็นทานูกิเป็นสิบตัวที่ยืนล้อมปากหลุมพร้อมทั้งก้อนหินก้อนใหญ่ในมือ



    ไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เหล่าทานูกิต่างทิ้งก้อนหินลงมาในหลุมราวกับห่าฝน แม้จะเป็นเพียงก้อนหินก้อนเล็ก ๆ แต่เมื่อมีจำนวนมหาศาลและอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แม้แต่อสูรที่แข็งแกร่งอย่างเทนกุจมูกยาวก็เสียท่าได้



    เมื่อไม่อาจทนแรงกระแทกของฝนก้อนหินที่พวกทานูกิปาใส่ นายกองเทนกุก็ร่วงหล่นลงสู่ก้นหลุมอีกครั้ง และครั้งนี้เขาไม่อาจจะลุกขึ้นมาได้เมื่อก้อนหินนับไม่ถ้วนทับร่างอยู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนนายกองไม่อาจตั้งสติคิดหาทางหนีไปจากสถานการณ์นี้ได้ จนสุดท้ายเมื่อถูกก้อนหินถมจนมิดร่าง สติของหัวหน้ากองเทนกุก็เลือนรางและดับวูบไป



    "เยี่ยมมากพวกเรา! รีบพรางหลุมนี้แล้วกลับไปซ่อนตามแผนเร็วเข้า"



    "รับทราบ!!"



    เสียงของทานูกิตัวหนึ่งตะโกนสั่งและทานูกิตัวอื่น ๆ ร้องรับกันพร้อมหน้า จากนั้นเหล่าทานูกิก็พากันโปรยใบไม้สีเขียวลงบนหลุมพรางที่ตอนนี้ถูกก้อนหินถมจนเต็ม ทันใดนั้นเองใบไม้เหล่านั้นก็ระเบิดออกมาเป็นกลุ่มควัน เมื่อควันจางหายไป หลุมพรางก็กลายเป็นพื้นหญ้าปกติ ไร้ร่องรอยหลุมที่หัวหน้ากองเทนกุถูกฝังอยู่ข้างใต้โดยสิ้นเชิง



    พร้อมกันนั้นทานูกิตัวอื่น ๆ ต่างพากันไปยืนประจำอยู่ที่ข้างต้นไม้และที่อื่น ๆ จากนั้นทุตัวต่างพร้อมใจกันแปลร่างเป็นต้นไม้และก้อนหินต้นเล็ก ๆ หลบจากการค้นหาของเหล่าเทนกุได้อย่างชาญฉลาด







    เจนจ้องมองเหตุการณ์ทั้งหมดจากบนต้นไม้สูงที่เป็นต้นไม้ที่ยากิจำศีลอยู่บนยอด เธอทำได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าแผนธรรมดาแบบนี้จะได้ผล เจนหยิบจดหมายที่โจส่งมาให้หลังจากที่คุยกับคนที่ส่งมาไม่นาน โดยแผนการแรกที่เขียนบนจดหมายนั้นก็ทำให้เจนก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้แล้ว



    'แผนการแรกขุดหลุมดักนก'



    "ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะได้ผลจริง ๆ ด้วย เทนกุแปดตนโดนกับดักจัดการทุกตนเลย" เจนเอ่ยขึ้นโดยมีคิทซึเนะและฟีบีอยู่ด้านข้าง ไม่ไกลก็เป็นโปโกะและชิงารากิซึ่งกำลังสังเกตการณ์อยู่ด้านบนนี้เช่นเดียวกัน



    "ต้องให้ภาษีกับแผนของพี่โจเขานะคะ ในจดหมายเขียนรายระเอียดมาจนเหมือนกับเห็นภาพที่นี่เองเลย" คิทซึเนะพูดแล้วก้มลงมองจดหมายในมือเจน



    เป็นอย่างที่คิทซึเนะว่าไว้ ไม่เพียงแค่มีหัวข้อใหญ่ ๆ เท่านั้น ในแต่ละขั้นตอนของแผนนั้นมีรายระเอียดการเตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมการในเรื่องการฝึก สถานที่ หรือแม้แต่การคาดเดาการเคลื่อนไหวของทัพเทนกุ คนที่คิดแผนขนาดนี้ได้ถือว่าเป็นยอดคนที่หาตัวจับได้ยาก และนั่นทำให้เจนตะลึงอยู่ว่าคน ๆ นั้นกลายเป็นโจได้อย่างไร



    "มันก็ควรจะรู้ระเอียดอยู่ล่ะนะ เล่นถามคำถามเป็นร้อยแบบนั้น" เจนพูดในฐานะที่เป็นตัวกลางระหว่างโจและชิงารากิในการสื่อสารกันและกัน นอกจากคำถามที่ได้ไปแล้ว เจนยังส่งรูปภาพบริเวณรอบ ๆ ไปให้โจอีกด้วย ดังนั้นคำพูดของคิทซึเนะที่ 'เหมือนกับมาเป็นภาพที่นี่เอง' จึงเป็นความจริง แต่เจนไม่จำเป็นจะต้องเอ่ยปากแก้ข่าว ให้น้อง ๆ ของเธอเห็นความสามารถของตัวเพื่อนคนนี้บ้างก็คงดี



    "นี่จะรีบดีใจไปหน่อยหรือเปล่า แค่จัดการเทนกุไม่กี่ตัวเองนะ ต่อไปคงจะมากันเป็นกองทัพแน่ หลุมที่พวกเราขุดเอาไว้มีไม่พอหรอกนะท่านเจน" เสียงของโปโกะว่า แต่ก็โดนชิงารากิปรามด้วยสายตาทันควัน เนื่องจากเธอคอยช่วยในการเตรียมการแค่ในแผนแรกอยู่ตลอด จึงไม่แปลกที่ทานูกิสาวจะไม่รู้เรื่องแผนอื่น ๆ ของโจเลยแม้แต่น้อย



    เจนยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากแล้วจึงพูดขึ้นเบา ๆ แต่แฝงเอาไว้ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น อยากจะเห็นผลลัพธ์ของแผนอื่นจนอดใจรอแทบไม่อยู่



    "ไม่ต้องกังวลไปหรอก ต่อให้มีเทนกุมาเป็นร้อยก็ให้พวกมันมาเลย เพราะยิ่งมาเยอะมากเท่าไหร่ แผนต่อไปก็จะยิ่งมีผลมากขึ้นเท่านั้น"







    หลังจากนั้นไม่นานเหล่าเทนกุก็กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่แปดเก้าตัวเหมือนครั้งที่แล้ว แต่เป็นเทนกุหลายร้อยตัวกำลังเดินทัพเข้ามาในหมู่บ้าน แม้ว่าจะมีแผนของโจคอยรับมืออยู่แล้ว แต่จำนวนและความแข็งแกร่งแม้จะไม่ได้เห็นด้วยตาของเหลาเทนกุนั้นทำให้เจนรู้สึกไม่มั่นใจว่าแผนจะได้ผล



    แต่เมื่อกองทัพเทนกุเดินเข้าสู่บริเวณที่ตั้งของตำแหน่งที่แผนลำดับต่อไป ภาพความวุ่นวายตรงหน้าก็ทำให้ใจของเจนฉีกยิ้มขึ้นมาทันที



    'แผนการที่สอง สร้างความวุ่นวาย'



    ในจุดที่พวกเจนกำลังจ้องลงไปและเป็นจุดที่กองทัพเทนกุเพิ่งจะเดินทางไปถึงนั้น ถ้าอธิบายในคำเดียว จะใช้คำว่า'สยดสยอง'ยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ เพราะทั่วทั้งบริเวณนั้นเต็มไปด้วยศพทานูกิและศพของเทนกุทั้งแปดตนกระจัดกระจายไปทั้งทั่วบริเวณ พื้นดินและต้นไปถูกย้อมด้วยสีแดงฉานของเลือดเต็มไปหมด แม้แต่เทนกุจมูกยาวที่ถือว่าเป็นเผ่าที่จิตใจ*****มโหดที่สุดในเผ่าเทนกุยังรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อเห็นภาพตรงหน้า และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือทั่วทั้งบริเวณแทนที่จะได้กลิ่นเลือด เหล่าทัพเทนกุกลับได้กลิ่นสาปบางอย่างที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน



    แน่นอนว่าภาพที่กองทัพเทนกุเห็นทั้งหมดเป็นแค่ถาพลวง แม้วาเทนกุจมูกยาวจะมีความแข็งแกร่งมากและมีพลังในการต่อสู้กับวิญญาณสูง แต่กับภาพลวงที่ทานูกิถนัดแล้วถือว่าเทนกุนั้นเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบไปทันที เพราะเทนกุไม่มีพลังที่จะมองทะลุภาพลวงตาได้เลย



    ทันใดนั้นเองเหล่ากองทัพเทนกุก็ถูกความเครียดกดดันจนไม่มีใครกล้าเดินหน้าต่อ ในมือทุกตนถืออาวุธเตรียมพร้อมสู้กับสิ่งที่จัดการสหายร่วมรบของพวกมันเป็นชิ้น ๆ ได้ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีจริง กว่าพวกเทนกุจะรู้ว่าทหารทัพหน้าที่ส่งมาตรวจดูลาดลาวนั้นถูกฝังอยู่ในหลุมที่พวกเขาผ่านมานั้นศึกก็จบไปนานแล้ว



    ขณะสถานการณ์ที่เริ่มตรึงเครียดอยู่นั้นเอง ร่างขนาดใหญ่นับร้อยร่างพลันปรากฏขึ้นบนยอดไม้เหนือหัวกองทัพเทนกุ มันเป็นราวที่มีเพียงแค่หัวขนาดยักษ์และแขนขางอกออกมาจากหัว เขี้ยวขนาดใหญ่ที่เลอะไปด้วยเลือดกำลังเคียวอะไรบางอย่างที่เป็นเหมือนกับขนนก ดวงตาสีแดงฉานกำลังจ้องลงมาหากองทัพเทนกุราวกับเป็นงูจ้องเหยื่อ



    ไม่ต้องมีสัญญาณใด ๆ ทหารเทนกุหลายตนพากันวิ่งหนีออกไปจากหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ทหารตนอื่นที่เห็นเพื่อนของตนวิ่งหนีไปจึงพากันตามไปด้วยเช่นกัน เหล่าผู้นำทัพพยายามจะเรียกทหารเหลานั้นกลับมาแต่ขนาดตัวพวกเขาเองยังรู้สึกกลัวเจ้าตัวประหลาดตรงหน้าเหล่านี้ที่จับเทนกุถึงแปดตัวกินได้อย่างเลือดเย็น จะมีปัญญาเรียกทหารที่พากันหนีออกจากสนามรบกลับมาได้ยังไง



    กลับมาหาพวกเจนที่มองเหตุการณ์ความวุ่นวายอยู่บนยอดไม้ด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มเมื่อเห็นแผนการเดินหน้าไปได้ด้วยดี จำนวนเทนกุลดลงอย่างรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด จากหลายร้อยตนตอนนี้เจนคิดว่าอยู่เหลือไม่ถึงสองร้อยตนแล้ว แม้จะไม่สามารถไล่เทนกุออกจากหมู่บ้านไปได้ทุกตัว แต่ก็ลดจำนวนลงไปได้ไม่น้อยพร้อมทั้งทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพไปพร้อมกัน ตอนนี้หนทางรอดของหมู่บ้านเกาลัดเริ่มจะส่องสว่างขึ้นมาแล้ว



    "เป็นยังไงเล่าเจ้าพวกจมูกยาว! เจอร่างแปลงของฉันเข้าไปถึงกับผลัดขนหนีไปเลย! ฮ่า ฮ่า!" โปโกะร้องออกมาอย่างสะใจเมื่อเห็นทานูกิตัวอื่นที่ใช้ร่างแปลงประจำของเธอขับไล่กองทัพเทนกุออกไปได้



    ในแผนที่โจบอกว่าให้พวกทานูกิแปลงร่างเป็นตัวอะไรก็ได้ที่มันน่ากลัว ๆ เจนก็กังวลว่าจะให้พวกทานูกิแปลงร่างเป็นตัวอะไรดี นึกไม่ถึงว่าความคิดของโปโกะที่จะให้แปลงเป็นปิศาจหัวยักษ์ในความคิดของเธอและกลิ่นผลไม้เน่าจะได้ผลกว่าที่คาดเอาไว้มาก



    "ใจเย็น ๆ ก่อนสิโปโกะ ยังเหลือพวกเทนกุอยู่อีกตั้งเยอะ ถ้าหากพวกที่หนีไปรู้ว่าพวกเราหลอกมันล่ะก็ต้องวกกลับมาเสริมทัพแน่" คิทซึเนะรีบปรามเพื่อนของเธอ



    สิ่งที่จิ้งจอกสาวพูดเองก็เป็นสิ่งที่เจนกำลังกังวลอยู่เช่นกัน ต่อให้แปลงร่างยังไงแต่สุดท้ายพวกหัวยักษ์เหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่ทานูกิแปลงร่าง ถ้าหากจะให้สู้กับกองทัพเทนกุอีกสองร้อยตนที่เหลืออยู่นั้นก็คงจะมีผลไม่ต่างไปจากเดิม และถ้าหากทหารที่หนีทัพย้อนกลับมาล่ะก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม



    แต่บนกระดาษจดหมายยังมีแผนการเหลืออยู่อีกหนึ่งแผน และเป็นแผนปิดฉากสงครามนี้ลงอย่างสิ้นเชิง เจนหันหน้าไปหาชิงารากิและผงกหัวให้ ทานูกิผู้ใหญ่บ้านเห็นจึงพยักหน้าตอบแล้วหันไปส่งสัญญาณให้แก่ทานูกิที่โผล่ออกมาจากยอดไม้ของต้นไม้ยักษ์อีกต้นหนึ่ง เมื่อทานูกิตัวนั้นได้รับสัญญาณจึงกลับเข้าไปในต้นแล้วและเริ่มแผนการขึ้นต่อไปทันที



    'แผนที่สาม ทุบให้แหลก'



    กลับมาทางกองทัพเทนกุที่จำนวนกำลังลดลงเรื่อย ๆ แม่ทัพใหญ่ที่เป็นถึงเทนกุจมูกยาวระดับราชาซึ่งเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์ในตอนนี้จึงใช้พลังระดับราชาเปล่งเสียงเรียกสติของทหารในอาณัติกลับมาก่อนที่กองทัพจะลดจำนวนลงไปมากกว่านี้



    "กลับมาประจำที่เดี๋ยวนี้นะเจ้าขี้ขลาด!! พวกเจ้าเป็นถึงเทนกุ เผ่าพันธุ์อันสูงส่งแห่งพงไพร ไม่จำเป็นต้องไปกลัวสัตว์ประหลาดเดียรัจฉานไร้สติพวกนี้!!" เสียงตะโกนดังก้องป่าที่อัดแน่นถึงพลังของสัตว์อสูรระดับราชาแทบจะทำให้พวกทานูกิกลับคืนสู่ร่างเดิม ทหารเทนกุที่ทำท่าจะหนีออกไปเมื่อยินเสียงร้องของราชาของตนก็รีบกลับมาตั้งขบวนทัพอีกครั้ง ทำพลให้ตอนนี้ทัพเทนกุกลับมาเพิ่มจำนวนเป็นสามร้อยกว่าตนซึ่งเหลือเฟือต่อการที่จะทำลายหมู่บ้านแห่งนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง



    ทว่าก่อนที่ราชาเทนกุจะสั่งให้ทัพโจมตี มันก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างจากบนยอดไม้ เมื่อเงยหน้าไปมองมันก็แทบจะสั่งให้สลายทัพแทบไม่ทัน เมื่อสัตว์ประหลาดหน้ายักษ์ตัวมหึมากำลังกระโดดลงมาจากต้นไม้พร้อมกับฟาดตระบอกยักษ์ใส่กองทันเทนกุด้านล่าง



    ตูมมม!!!



    เสียงของตระบอกยักษ์ฟาดกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น เมื่อสัตว์ประหลาดหน้ายักษ์ยกตระบองขึ้นมานั้นก็เห็นว่ามีเทนกุจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ถูกตระบองฟาดจนจมดิน กองทันเทนกุส่วนใหญ่นั้นสลายตัวไปแทบจะทันทีที่เห็นร่างของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์



    "ถึงจะเคยพูดไปแล้วแต่ก็ขอพูดอีกครั้งล่ะนะว่าน่าทึ่งจริง ๆ ที่ทานูกิมีความสามารถแบบนี้" เจนกล่าวในขณะมองสัตว์ประหลาดหน้ายักษ์กำลังไล่ฟาดกองทัพเทนกุที่ขวัญกระเจิงให้หนีไปจนไม่เป็นขบวน



    ความจริงแล้วการแปลงร่างธรรมดานั้นเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่สามารถลงมือทำอะไรเช่นนี้ได้ แต่ด้วยเทคนิคการแปลงร่างแบบเก่าแก่ของทานูกิ 'รวมร่างแปลงกาย'



    "ทานูกิที่แข็งแรงที่สุดในหมู่บ้านกว่าร้อยตัวรวมใจกันรวมร่างเป็นร่างขนาดยักษ์แล้วแปลงร่างอีกครั้งแบบนี้เป็นเทคนิคที่แทบจะไม่มีทานูกิตัวไหนจำได้แล้ว น่าเสียดายที่มีทานูกิพอเพียงแค่จะฝึกแปลงร่างเพียงพอได้แค่ตัวเดียว หากมีเวลามากกว่านี้ล่ะก็คงสามารถฝึกให้แปลงร่างเพิ่มได้อีกสองสามตัวแล้วเชียว" ชิงารากิเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความเสียดาย



    "ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่นาผู้ใหญ่ แต่นี้พวกเทนกุก็สู้อะไรพวกเราไม่ได้แล้ว" โปโกะว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ตัวเธอเองก็อยากจะเป็นหนึ่งในร้อยที่ร่วมแปลงร่างด้วย แต่เทคนิคนี้สูงกว่าความสามารถของตัวเธอเองจะฝึกได้



    แม้โปโกะจะดูมั่นใจกับพลังของเผ่าพันธุ์ทานูกิ แต่เจนกลับรู้สึกไม่ค่อยดีนักต่อสถานการณ์ข้างล่างนั่น แม้ว่าทัพเทนกุจะพากันหลนหนีออกไปจากหมู่บ้านกันแล้วก็ตาม ทว่าความรู้สึกแปลก ๆ ที่คอยรบกวนเธอบวกกับในจดหมายนั้นยังมีโน้ตของโจที่บอกเอาไว้ว่า มันยังไม่จบง่าย ๆ เช่นนี้แน่



    ขณะเดียวกันนั้นเอง ราชาเทนกุที่หลบการโจมตีของเหล่าทานูกิออกมาได้อย่างเฉียดฉิว ในตอนแรกเขารู้สึกแปลกใจมากว่าทำไมเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ถึงมาจู่โจมกองทัพเทนกุพร้อมทั้งการหายไปของเหล่าทานูกิอย่างน่าพิศวง ทว่าตอนนั้นเองที่ราชาเทนกุสังเกตถึงความผิดปกติ เมื่อสัตว์ประหลาดหัวยักษ์ตัวเล็ก ๆนั้นแทนที่จะเข้ามาช่วยสู้กลับปีนต้นไม้หนีหายไป และตอนนั้นเองที่เขาเห็นหางที่มีขนสีน้ำตาลโผล่ออกมาจากสัตว์ประหลาดหัวยักษ์ตัวหนึ่ง ทำให้ราชาเทนกุรู้ทันทีว่าเขาโดนหลอกเข้าให้แล้ว



    ความเกรี้ยวโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจจนแทบจะระเบิด ในสายตาของราชาเทนกุนั้นมองสัตว์ประหลาดหัวยักษ์ตัวใหญ่ตอนนี้เป็นศัตรูที่ต้องกำจัดให้สิ้นซาก โทษฐานที่บังอาจย่ำยีเกียรติ์ของเผ่าพันธุ์เทนกุจนไม่เหลือชิ้นดี



    พวกเจนที่อยู่บนต้นไม้สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมาจากเทนกุตนหนึ่งที่ถือใบไม้สีเขียวขนาดใหญ่เอาไว้ข้างหนึ่งและถือหอกสีดำเอาไว้อีกข้างและมีดาบคาตานะคาดเอวเอาไว้อีกสองเล่ม เพื่อความไม่ประมาท เจนรีบตรวจสอบเทนกุตนนั้นทันทีเพราะท่าทางของเทนกุจมูกยาวตนนั้นดูแข็งแกร่งกว่าเทนกุตนอื่นมาก



    ราชาเทนกุจมูกยาว ยศราชา ระดับ 60

    ราชาแห่งเทนกุ เผ่าเทนกุจมูกยาว มีพละกำลังมหาศาล พร้อมด้วยพลังที่สามารถควบคุมสายลำให้ทำลายอริให้สิ้นได้

    พลังป้องกันลม ดิน สูง ไม่มีธาตุที่แพ้ทาง



    เจนเบิกตากว้างอย่างใจหายเมื่อเห็นว่าเทนกุตรงหน้านั้นอยู่คนละระดับชั้นกับเทนกุทั่วไปอย่างสิ้นเชิง และเมื่อมองดูดี ๆ ก็พบว่าราชาเทนกุกำลังจะใช้พัดใบไม้กับเหล่าทานูกิที่รวมร่างกันอยู่ หญิงสาวไม่รอดูว่าพลังที่ราชาเทนกุใช้จะทรงพลังเพียงใด แต่เธอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปถ้าหากเธอไม่รีบลงไปหยุดราชาเทนกุได้ทัน และทางที่เร็วที่สุดคือกระโดดลงไป



    แม้เจนจะพยายามเท่าไหร่แต่ก็ชาเกินไปแล้วเพราะพัดใบไม้ในมือของราชาเทนกุถูกโบกสะบัดออกไปอย่างรุนแรงจนต้นไม้ต้นเล็กที่อยู่ใกล้เคียงถึงกับโค่งลงมาอย่างง่ายดาย ร่างอันใหญ่โตดูจะไร้ประโยชน์ไปทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอันสูงส่งของราชาเทนกุนี้ สัตว์ประหลาดหน้ายักษ์ลอยกระเด็นไปชนกันต้นไม้ขนาดใหญ่อย่างรุนแรงด้วยพลังลมที่ซัดเข้าใส่ เพียงแค่พริบตาเดียวร่างของมันพลันกลายเป็นกลุ่มควันที่ถูกลมพัดหายไปอย่างรวดเร็ว เหลืออยู่เพียงทานูกิไม่ถึงร้อยตัวนอนสลบอยู่ และบางส่วนก็ปลิวไปตามลมพายุที่เพิ่งพัดผ่านไป



    "เป็นยังไงล่ะไอ้พวกทานูกิชั้นต่ำ บังอาจกล้าท้าทายเทนกุดีนัก วันนี้ล่ะขาจะกวาดล้างเผ่าพันของพวกเจ้าให้สิ้น!" ราชาเทนกุตะโกนเสียงดัง



    "ข้ามศพฉันไปก่อน!!" เสียงไม่คุ้นหูตะโกนตอบจากด้านบน ราชาเทนกุเงยหน้าขึ้นมองดูว่าใครคือผู้ที่บังอาจต่อต้านเขา และนั่นทำให้เขาแปลกใจเมื่อร่างที่กำลังพุ่งลงมานั้นไม่ใช่ทานูกิ แต่เป็นมนุษย์!



    ไวเท่าความคิด ราชาเทนกุเก็บพัดของตนแล้วซัดหอกเข้าใส่เจนเต็มแรง เสียงคมหอกผ่าอากาศพุ่งตรงเข้าใส่นั้นดังฟังน่ากลัวและทรงพลังมาก



    แค่เห็นเจนก็รู้ว่าไม่ควรรับการโจมตีนั้นอย่างเด็ดขาด แต่ด้วยความเร็วขนาดนี้และเธออยู่บนฟ้าคงไม่สามารถเคลื่อนตัวหลบได้ แต่เธอก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางต่อกรกับการโจมตีของราชาเทนกุซะทีเดียว



    ร่างในเสื้อคลุมสีขาวส่องสว่างออกมาเล็กน้อย และแทบจะทันที มือบางก็ชักดาบออกมาและตวัดไปข้างหน้าเต็มแรง



    ผ่ามิติ!!



    ตูม!!!



    คลื่นดาบพุ่งเข้าปะทะหอกยาวของราชาเทนกุเข้าจัง ๆ ทั้งคลื่นดาบของเจนสลายหายไปและหอกของราชาเทนกุต่างระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ แสดงถึงพลังทำลายที่สูสีกัน นั่นทำให้ราชาเทนกุต้องเก็บโทสะของตนเอาไว้และเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมนุษย์ตรงหน้านี้มีพลังที่ประมาทไม่ได้ และดาบในมือที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังที่ทำให้เขารู้สึกหนาวสันหลัง



    "นี่มันอะไรกัน ทำไมมนุษย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เจ้าเองก็เป็นภาพลวงตาอีกหรือยังไงกัน" ราชาเทนกุกล่าวพร้อมกับชักดาบคาตะนะทั้งสองเล่มออกมา ถึงปากจะเอ่ยออกไปแบบนั้นแต่ใจเขารู้ดีกว่าไม่ใช่ นี่เป็นการถ่วงเวลาเพื่อที่เขาจะได้สังเกตว่ามนุษย์ผู้นี้มีความสามารถเพียงไร จากท่าทางสงบไม่ตอบโต้เช่นนี้ ทำให้ราชาเทนกุเองหาทางรับมือได้ยากยิ่ง



    ทางด้านเจนเองก็ไม่ได้ดูสงบอย่างที่แสดงให้เห็น ถ้าไม่นับอามีร่าและหมิงเต๋อ นี่เป็นครั้งแรกที่เจนได้สู้กับคู่ต่อสู้ที่ไม่ใช่นักเลงและมีฝีมืออยู่ในระดับสูง คู่ต่อสู้แบบนี้เจนก็ไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง ในหัวของเธอตอนนี้พยายามทวนภาพจากการฝึกกับหมิงเต๋อออกมาให้มากที่สุด และหวังว่านั่นจะช่วยให้เธอเอาชนะราชาเทนกุลงได้



    "ฉันแค่มาช่วยเพื่อนเท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการที่จะต่อสู้กับท่านเลย" เจนเอ่ยด้วยความยำเกรง



    "คำพูดสวยหรูแต่การกระทำของเจ้านั้นกลับชั่วร้ายยิ่งนัก ใช้วิธีขี้ขลาด เอาเล่ห์กลมายาหลอกลวงทำลายเกียรติ์ของกองทัพเทนกุของข้า"



    "เกียรติ์งั้นหรือ ฉันขอถามหน่อยเถอะ การที่เผ่าพันธุ์ผู้ยิ่งใหญ่ของท่านมารุกรานบ้านของพวกทานูกิเหล่านี้มันมีเกียรติ์ตรงไหน" เจนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวเมื่อได้ยินคำพูดที่หยิ่งผยองของราชาเทนกุ แม้ว่าจะมียศสูงส่งขนาดไหนแต่กลับมาทำตัวแบบนี้ก็ไม่ต่างไปจากกุ๊ยข้างถนน สำหรับเจนแล้วเทนกุตรงหน้าไม่ควรจะเรียกว่าเป็นราชาเลยด้วยซ้ำ



    "พวกชั้นต่ำอย่างไอ้เจ้าทานูกิไม่มีสิทธิ์ครอบครองดินแดนใด ๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตามที่เผ่าเทนกุต้องการ ที่แห่งนั้นจักต้องตกเป็นของเผ่าเทนกุ ไม่ว่าจะเป็นป่าแห่งนี้ หรือจะเมืองเมืองมนุษย์ของพวกเจ้า" ราชาเทนกุพูดพร้อมทั้งยกดาบชี้ไปยังหญิงสาว



    "ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราคงไม่มีอะไรที่จะต้องคุยกันต่อไปแล้ว" เจนเอ่ยและยกดาบเตรียมพร้อมสู้ คราวนี้เจนจะลงมือตั้งแต่เริ่ม เธอไม่ยอมแพ้คนที่มีความคิดเห็นแก่ตัวแบบนี้แน่ แม้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเธอจะไม่ใช่คนก็ตามที



    พลังสถิตร่าง เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!



    ร่างหญิงสาวปลดปล่อยออร่าสีทองพร้อมกับพุ่งเข้าฟาดฟันกับราชาเทนกุด้วยความเร็วสูงสุดในร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง



    ราชาเทนกุเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่ปล่อยออกมาจากร่าง แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาทำให้เขาสามารถตั้งสติเอาไว้ได้และกางปีกออกบินเข้าประดาบกับเจน



    เคร้ง!! เคร้ง!! เคร้ง!!



    เสียงดาบปะทะกันอย่างรุนแรงดังลั่นไปทั่วหมู่บ้าน แม้เจนจะใช้พลังของร่างพลังสถิตร่างเทพจิ้งจอกเก้าหางและมีอาวุธระดับสูงอย่างดาบคุซานางิ แต่ราชาเทนกุเป็นถึงมอนสเตอร์ระดับราชา ความแข็งแกร่งและทักษะการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าเจนมากสามารถทำให้เขาต่อสู้กับเจนได้อย่างสูสี



    ยิ่งต่อสู้ไปทำให้เจนเริ่มอ่อนแรงลง การลงดาบแต่ละครั้งของราชาเทนกุนั้นทั้งหนักหน่วงและรวดเร็วรุนแรง แม้ร่างจิ้งจอกเก้าหางจะเด่นด้านความเร็วแต่เห็นได้ชัดว่าราชาเทนกุเร็วกว่า จนทำให้เจนที่เป็นฝ่ายรุกกลับเป็นฝ่ายรับไปทันที มือบางจับดาบแน่นก็เริ่มรู้สึกชาจากแรงดาบที่ฟาดเข้ามาในแต่ละครั้งที่ยิ่งรุนแรงขึ้น ถ้าหากการต่อสู้เป็นเช่นนี้ต่อไปล่ะก็มีหวังเจนต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่



    ทันใดนั้นเองเจนก็พุ่งถอยกลับขึ้นไปบนฟ้า ถ้าหากเป็นบนอากาศล่ะก็เธออาจจะพอมีหนทางตอบโต้กลับไปได้เพราะมีกิ่งไม้คอยกำบังการโจมตีของราชาเทนกุและทำให้บินลำบากมากขึ้น แต่ทว่าเธอกลับลืมไปว่าผู้ที่เธอกำลังต่อสู้ด้วยคือเทนกุที่มีบ้านเป็นท้องฟ้า นับว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของเจนเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว



    เมื่อคู่ต่อสู้โผทะยานขึ้นไปบนฟ้า ราชาเทนกุก็แสยะยิ้มออกมาแล้วพุ่งตามขึ้นไปทันที ปีกสีดำสยายออกพาร่างใหญ่บินตามเหยื่อที่หลงเข้ามาในสนามรบที่เขารู้จักดีอย่างกระชั้นชิด



    เจนที่เห็นราชาเทนกุตามมาอย่างรวดเร็วก็ถึงกับใจหาย เธอไม่นึกว่าตัวใหญ่ ๆ จะมีความไวถึงขนาดนี้ พวกกิ่งไม้ที่น่าจะเป็นสิ่งกีดขวางช่วยชะลอความไวกลับกลายเป็นเจนเองที่ต้องลดความเร็วลงเอง ส่วนราชาเทนกุนั้นกลับสามารถบินผ่านมาได้โดยไม่ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่มีปีกขนาดใหญ่แท้ ๆ กลับสามารถเข้าประชิดตัวเจนได้อย่างรวดเร็ว



    ราชาเทนกุเห็นโอกาสมาถึงก็ยกดาบในมือและฟาดใส่จากด้านหลัง เจนรีบหมุนตัวแล้วยกดาบขึ้นกัน เสียงดาบปะทะกันดังแต่ครั้งนี้เจนเป็นฝ่ายกระเด็นออกไปจากแรงมหาศาลของราชาเทนกุ ร่างบางพุ่งชนกับต้นไม้อย่างแรงก่อนจะร่วงสู่พื้น โชคดีที่ด้านล่างเป็นกองหญ้า ซึมซับแรงกระแทกส่วนมากเอาไว้ได้แต่พลังชีวิตที่ลดไปถึงหนึ่งในสี่ บ่งบอกถึงความรุนแรงของดาบที่ราชาเทนกุฟาดลงมาเป็นอย่างดี



    "ข้าประหลาดใจมากในตอนแรกที่เจ้าปล่อยพลังออกมา มนุษย์อย่างพวกเจ้านี่ทำให้ข้าต้องทึ่งอยู่เสมอจริง ๆ" ราชาเทนกุเอ่ยขึ้นระหว่างที่ค่อย ๆ ร่อนลงบนพื้นเบื้องหน้าของเจน



    หญิงสาวพยายามเรียกสติของตนเองกลับมาและพบว่าพลังสถิตร่างนั้นได้หายไปแล้ว คงเป็นเพราะโดนโจมตีหนักจนติดสถานะช็อก ซึ่งสถานะนี้ทำให้ทักษะที่ใช้อยู่ทุกอย่างจะถูกปลดออก และนั่นหมายความว่าเจนต้องรออีกหนึ่งวันถึงจะกลับมาใช้ทักษะได้อีกครั้ง



    ตอนนี้เจนมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้นที่จะเอาชนะราชาเทนกุ แม้ถึงเจนไม่ค่อยอยากจะทำเพราะอาจทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ถึงกับโดนทำลาย แต่อาจจะช่วยชีวิตของเผ่าทานูกิเอาไว้ได้ นั่นคือการอัญเชิญพญาอสรพิษ ยามาตะ โนะ โอโรจิ!



    "สุดท้ายแล้วแผ่นดินนี้จะตกเป็นของข้า ราชาแห่งเทนกุจมูกยาว และจะไม่มีไอ้งี่เง่าหน้าไหนมาขัดขวางข้าได้ ไม้ว่าจะเป็นทานูกิพวกนี้ หรือมนุษย์อย่างเจ้า!" ราชาเทนกุเดินเข้ามาหาและยกดาบขึ้นสูงเตรียมจะปลิดชีวิตของหญิงสาวตรงหน้า เจนมองเห็นคิทซึเนะและฟีบีกำลังวิ่งเข้ามาเพื่อจะช่วยเธอจากคมดาบของกษัตริย์เทนกุจมูกยาวตรงหน้า แต่ถึงทั้งคู่จะมาช่วยได้ทันเวลาก็ยังไม่ใช่คู่มือของราชาเทนกุอยู่ดี



    เจนรีบเรียกใช้ทักษะอัญเชิญอสูรออกมาทันที แต่ใจของเธอพลันหล่นวูบลงเมื่อมีเสียงเตือนในหัวว่าไม่สามารถใช้ได้เนื่องจากพลังเวทย์ไม่พอ ในเวลานี้เจนไม่คิดจะควานหาขวดยาเพิ่มพลังเวทในกระเป๋าแล้วเพราะไม่มีเวลา เธอก็ไม่คิดจะดูด้วยว่าพลังเวทของเธอเหลืออยู่เท่าไหร่ทำไมถึงไม่พอที่จะอัญเชิญพญาอสรพิษออกมาด้วย สิ่งที่เจนทำได้ตอนนี้ คือพยายามลุกขึ้นยืนหยัดสู้ให้ถึงที่สุด และมันช่างเลือนรางเหลือเกิน



    เงาดำทาบร่างบางจนแทบไม่เห็นแสงตะวัน เมื่อขาดพลังไปเจนรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กกระจ้อยและอ่อนแอเหลือเกิน ความต่างของพลังนั้นแม้จะมีไม่มาก แต่ฝีมือและประสบการณ์ที่สามารถใช้ตัดสินความเป็นความตายเพียงชั่วอึดใจนั้นที่จะนำชัยชนะมา



    ดาบคาตะนะยกขึ้นสูงเตรียมจะลงดาบ คิทซึเนะและฟีบีต่างรีบเข้ามาหาเจนสุดชีวิต ลูกไฟและพลังลมหายใจมังกรพุ่งเข้าใส่ร่างราชาเทนกุแต่เหมือนกับว่ามันช้าเกินไปกว่าที่จะช่วยชีวิตหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าร่างใหญ่ได้ทัน



    ทันใดนั้นเอง เปลวเพลิงสีน้ำเงินลูกใหญ่พุ่งเข้าหาร่างในชุดเกราะจากด้านหลัง ราชาเทนกุสัมผัสได้ถึงอันตรายของลูกเพลิงนี้ได้ว่าถ้าหากมันไม่ยอมหลบ ตัวมันเองต้องถึงฆาตอย่างแน่นอน



    ราชาเทากุกางปีกโผบินขึ้นหลบลูกเพลิง ทว่ามันต้องประหลาดใจกับสิ่งที่เห็นเมื่อลูกไฟนั้นแทนที่จะพุ่งไปด้านหน้า กลับพุ่งขึ้นตามเขามาราวกับว่ามันมีชีวิต



    ไม่ว่าจะเร่งความเร็วหนีเท่าไหร่ จะบินฉวัดเฉวียนหลบให้ลูกเพลิงชนกับต้นไม้กี่ร้อยต้น ลูกเพลิงสีฟ้าก็สามารถกลบสิ่งกีดขวางและเร่งความเร็วตามมาอย่างกระชั้นชิด



    สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือก ถ้าหากหนีต่อไปชะตาคงถึงฆาตแน่ ราชาเทนกุจึงหยิบพัดออกมาและเร่งพลังถึงขีดสุด ปล่อยคลื่นลมพัดเข้าปะทะกับลูกเพลิงสีฟ้าหวังที่จะสลายพลังของลูกเพลิงนี้ไปให้สิ้น



    ดวงตาของราชาเทนกุเบิกกว้าง เมื่อลูกเพลิงที่เขาคิดจะทำบายกลับพุ่งทะลุคลื่นสายลมของเขามาได้ราวกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คลื่นสายลมนี้เคยพัดร่างขนาดใหญ่ของเหล่าทานูกิที่รวมร่างกันมาแล้ว และนี่เป็นพลังที่รุนแรงยิ่งกว่าครั้งนั้นเสียอีก แสดงว่าลูกเพลิงนี้มีพลังยิ่งกว่าที่เขาคาดเอาไว้มากนัก และเขาต้องจ่ายให้กับความประมาทนี้ด้วยชีวิต



    ตูม!!!



    เสียงลูกเพลิงระเบิดดังลั่น ร่างของราชาเทนกุมอดไหม้และร่วงลงสู่พื้นและนอนนิ่งไม่ไหวติงซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพวกเจนมากนัก แต่ถึงแม้พลังของลูกเพลิงสีฟ้าจะสูงจนสามารถจัดการมอนสเตอร์ระดับราชาได้เพียงครั้งเดียว การระเบิดนั้นกลับเล็กเพียงนิดเดียวและไฟก็ไม่ได้ไม่ต้นไม้บริเวณรอบ ๆ เลยแม้แต่น้อย แค่ใบไม้ที่อยู่ใต้ร่างนองราชาเทนกุยังไม่ติดไฟเลยด้วยซ้ำ



    คิทซึเนะและฟีบีเข้ามาถึงเจนและเห็นร่างที่กำลังมอดไหม้ของราชาเทนกุที่เมื่อครู่กำลังจะเป็นผู้มีชัยเหนือเจ้านายของพวกเธอ



    เจนมองไปที่คิทซึเนะเพราะเพลิงสีฟ้านั้นมีเพียงเธอคนเดียวในที่นี่เท่านั้นที่สามารถใช้ได้ แต่เจ้าตัวส่ายหน้าปฏิเสธว่านั่นไม่ใช่ฝีมือของเธอ และแน่นอนว่าไม่ใช่ฝีมือของเจนและฟีบีด้วยเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นนี่เป็นฝีมือของใครกัน!?



    "ไม่ได้พบกันเสียนานนะ ลูกแม่"



    เสียงนุ่มคุ้นหูที่แฝงไปด้วยอำนาจดังขึ้น เมื่อหันไปมองก็เห็นร่างสูงโปร่งของหญิงสาวผมสีทองที่แผ่ออร่าสีเดียงกันออกมาบาง ๆ อยู่ในอาภรณ์สีเหลืองลายดอกไม้สีขาวและแดง แต่สิ่งที่เด่นยิ่งกว่าความสวยงามของหล่อนนั่นก็คือหางทั้งเก้าที่แผ่สยายมาอย่างน่าเกรงขาม



    "ท่านแม่!/ท่านมาเอะ!/ใครอ่ะ!" สามเสียงประสานกันแต่พูดคนละคำเมื่อเห็นร่างมนุษย์ของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง มาเอะ



    ตัวคนถูกเรียกส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วเข้าไปสวมกอดลูกสาวของเธออย่างแผ่วเบา จิ้งจอกสาวเองก็กอดแม่แน่นให้หายคิดถึง เวลาเกือบสองเดือนในเกมที่คิทซึเนะแยกจากมาเอะมา ถึงการเดินทางครั้งนี้จะสนุกแต่ช่วงเวลาที่เจนไม่อยู่นั้นคิทซึเนะรู้สึกเหงาไม่น้อยและทำให้เธอคิดถึงแม่เสมอ มาวันนี้เมื่อได้มาเจอตัวจริงทำให้คิทซึเนะอดไม่ได้ที่จะสวมกอดมาเอะให้นานเท่าที่จะทำได้



    ความรู้สึกนี้เจนเองเข้าใจดีเพราะเธอเองก็มีจริยาเพียงแค่คนเดียว ความรู้สึกคิดถึงและเป็นห่วงย่อมรุนแรงไม่น้อย โดยเฉพาะเด็กที่อายุไม่มากอย่างคิทซึเนะที่น่าจะยังติดแม่อยู่แบบนี้ด้วย



    เมื่อเห็นสองแม่ลูกได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ทำให้เจนนึกถึงฟีบีขึ้นมา มังกรน้อยนั้นเกิดจากไข่ที่เจนเก็บมาได้ทำให้ฟีบีไม่เคยเจอพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอมาก่อน บางทีพ่อแม่ของเธออาจจะไม่ใช่มังกรฟ้าด้วยซ้ำไป



    ตั้งแต่ฟีบีเกิดมานั้น เจนรู้สึกว่าเธอไม่ได้ดูแลมังกรน้อยเท่าที่ควรในฐานะที่เป็นแม่ของเธอ อาจเป็นเพราะช่วงนั้นมีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นมามากซะเหลือเกินจนทำได้แค่พยายามให้ฟีบีปลอดภัย



    หญิงสาวคว้าตัวมังกรน้อยเข้ามากอดบ้าง ฟีบีที่แม้จะยังไม่รู้ว่าผู้มาใหม่นั้นเป็นใครและทำไมพี่สาวของเธอถึงกอดกันนานนัก แต่แม่ของเธอที่ให้เรียกว่าพี่สาวอย่างเจนกอดเธอแบบที่สองคนนั้นทำกัน ไออุ่นจากตัวเจนทำให้หัวใจมังกรน้อยรู้สึกมีความสุขจนหุบยิ้มออกมาไม่ได้



    "เจน ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้ง ส่วนเธอคงเป็นฟีบีสินะ" มาเอะเข้ามาคุยกับเจนหลังจากถามไถ่สารทุกสุขดิบกับลูกสาวเรียบร้อยแล้ว



    "คุณเป็นใครหรือคะ ทำไมถึงรู้ชื่อของหนูได้" ฟีบีถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา



    "ข้าชื่อว่ามาเอะ เป็นแม่ของคิทซึเนะจ๊ะ ลูกสาวของฉันเพิ่งเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังเมื่อครู่นี้เอง" มาเอะตอบ



    "เอ๋ คุณมาเอะเป็นแม่ของพี่คิทซึเนะ แล้วพี่คิทซึเนะก็เป็นพี่ของฟีบี แต่แม่ของฟีบีคือแม่เจนที่อยากให้เรียกว่าพี่ แบบนี้คุณมาเอะก็เป็นแม่ของฟีบีด้วยน่ะสิ" มังกรน้อยกร้าวด้วยท่าทางใสซื่อ เรียกเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางอย่างอดไม่ได้



    "ฮ่ะ ฮ่ะ ถ้าหนูอยากจะเรียกฉันแบบนั้นก็ตามใจเลยจ๊ะ ฉันดีใจมากเลยนะที่ได้เด็กน่ารัก ๆ อย่างหนูมาเป็นลูกสาวอีกคนแบบนี้"



    มาเอะลูบหัวของฟีบีอย่างอ่อนโยน เรียกรอยยิ้มขึ้นที่ใบหน้าของมังกรน้อยอย่างง่ายดาย



    "ขอบคุณมากค่ะท่านมาเอะที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ถ้าหากไม่ได้ท่านช่วยเอาไว้ฉันคงแย่แน่ ๆ เลย" เจนกล่าว



    "ยินดีที่ได้ช่วยเหลือผู้มีพระคุณเสมอค่ะ แต่ดูจากที่เจนดูแลคิทซึเนะจนโตเป็นสาวเช่นนี้ได้ ข้าคงต้องเป็นฝ่านขอบคุณท่านมากกว่าล่ะมั้งเนี่ย"



    เจนทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น ถ้าให้พูดกันตามตรง ผู้ที่ทำให้คิทซึเนะเพิ่มระดับขึ้นมาถึงขนาดนี้ได้นั้นคือยามาตะ โนะ โอโรจิต่างหาก ไม่ใช่ตัวเธอ



    ตอนนั้นเองที่มาเอะหันกลับไปมองด้านหลังของเธอ เมื่อพวกเจนชะโงกหัวมองตามก็พบกับพวกทานูกิที่หลบอยู่บนต้นไม้หลายร้อยตัวกำลังตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตะลึงที่เห็นเทนอสูรอยู่ตรงหน้า แต่เป็นพวกเจนที่ตะลึงมากกว่าเพราะด้านหน้าของเหล่าทานูกินั้นเป็นทานูกิขนทองตัวใหญ่ที่ควรจะนอนหลับอยู่บนยอดไม้



    "ไม่เจอกันนานเลยนะ...ยัยจิ้งจอก"



    จบตอนที่ 29 สงครามครึ่งชั่วโมง
    --------------------------
    เอาไว้เจอกันตอนต่อไปครับ

  30. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  31. #43
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 30 ทบทวน

    ตอนที่ 30 ทบทวน



    ร้านอาหารแห่งหนึ่งภายในเมืองยามะไต ช่วงเวลาสายของวันเช่นนี้การที่จะมีคนเข้าร้านจนเต็มเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลยสำหรับร้านอาหารแห่งนี้ เพราะเป็นร้านอาหารธรรมดาที่ไม่ได้หรูหราอะไร แต่รสชาติอาหารที่นี่อร่อยมากและมีราคาถูก ทำให้มีคนเข้ามากินอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไอ



    ในโต๊ะหนึ่งของร้านอาหาร มีผู้เล่นกลุ่มหนึ่งกำลังทานอาหารส่งเสียงดังเอะอะโวยวายสร้างความรำคาญเป็นที่สุด แม้เจ้าของร้านที่เป็นที่เป็นผู้เล่นเช่นเดียวกันมาเตือนแต่กลับโดนไล่ออกมาเสียเอง เพราะผู้เล่นเหล่านี้ไม่ใช่ผู้เล่นธรรมดา ถึงจะไม่มีกิลด์สังกัดแต่การที่ทำตัวกร่างเป็นอันธพาลครองเมืองแบบนี้ แค่มองแว่บเดียวก็รู้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับกิลด์พิฆาตราชาแน่



    ถึงแม้เมืองยามะไตจะเป็นเมืองที่กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ปกครองทว่าก็ไม่ได้มีอำนาจอย่างเต็มที่ซะทีเดียวอย่างกิลด์หกราชันย์ เพราะอำนาจอีกครึ่งเป็นของราชินีที่ปกครองเมืองนี้อยู่ หน้าที่ของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่จึงมีแค่ปกป้องเมืองในยามสงครามและคอยดูแลกิจการต่าง ๆ ในเมืองที่มีผู้เล่นเป็นเจ้าของทั้งหมด ดังนั้นเรื่องการรักษาความสงบสุขเช่นนี้แม้กิลด์ราชาพยัคฆ์คูก็มีสิทธิ์ได้แต่เพราะไม่ใช้หน้าที่โดยตรงจึงเป็นหน้าที่ของทหารประจำเมืองซะมากกว่า แต่ถึงให้คนของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่มาจัดการก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าไล่คนเหล่านี้ออกมาจากร้านค้าอยู่ดี เพราะตราบใดที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนเหล่านี้เป็นคนของกิลด์พิฆาตราชา ก็ไม่สามารถจับพวกเขาไปขังคุกในข้อหาบุกรุกได้



    เนื่องจากตอนนี้กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่และกิลด์พิฆาตราชากำลังประกาศสงครามกันอยู่ แม้จะยังไม่ถึงช่วงมหาสงครามก็ตาม แต่ก็เกิดการปะทะกันเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่บ่อยครั้ง และเนื่องจากสภาวะสงครามเช่นนี้ ทำให้คนจากทั้งสองกิลด์ไม่อาจเดินทางเข้าเมืองที่กิลด์ศัตรูปกครองอยู่ได้ ดังนั้นการที่นักเลงพวกนี้เข้ามาก่อความวุ่นวายในเมืองก็จะโดนอย่างมากก็แค่จ่ายค่าปรับหรือไล่ออกจากร้านอาหารเท่านั้น



    แน่นอนว่าเจ้าของร้านไปแจ้งพวกทหารยามให้มาจัดการแล้ว ทว่าในระหว่างที่กำลังรอพวกทหารจัดกองกำลังอยู่เช่นนี้ พวกนักเลงก็ยังคงส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอย่างไม่เกรงใจใครโดยไม่มีใครเข้าไปห้ามเลยแม้แต่คนเดียว



    "ฮ่า ๆ ๆ! เฮ้ย! เอาเหล้ามาอีกสิวะ!" นักเลงคนหนึ่งตะโกนเรียกบริกรเสียงดังลั่นร้าน ซึ่งบริกรหนุ่มที่อยู่ในร้านก็ต้องนำเหล้ามาให้ตามคำสั่งแม้ว่าจะไม่อยากทำก็ตาม แต่เป็นเพราะเป็นต้องรักษาชื่อเสียงของร้านที่บังคับให้เขาต้องทำ



    หลังจากได้เหล้าขวดใหม่มา เสียงโวยวายก็ยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม เจ้าของร้านมองกลุ่มผู้เล่นนักเลงอย่างหัวเสียแต่เพราะเลเวลของเขาไม่มากและเขาก็ไม่เก่งเรื่องการต่อสู้จึง ทำได้แค่รอให้ทหารมาจัดการเท่านั้น



    "ไม่นึกเลยว่าไอ้งานที่ได้มาคราวนี้จะเป็นงานกินหมู แค่ไปจัดการไอ้พวกลูกกระจ็อกกิลด์พยัคฆ์ราชาคู่ให้หงอจนไม่กล้าออกมาเก็บเลเวลก็ได้เงินมาตั้งหมื่นเหรียญทองแล้ว คิดถูกจริง ๆ ที่ไปทำงานกับไอ้ไวรัสเวรนั่น" นักเลงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น



    "เฮย มันเป็นถึงหนึ่งในสี่ขุมพลเชียวนะเว้ย ไปเรียกมันแบบนั้นเดี๋ยวก็เจอเก็บหรอก" นักเลงอีกคนรีบพูดปรามเมื่อได้ยินว่าเพื่อนของตนกำลังเอ่ยถึงหนึ่งในสี่รองหัวหน้ากิลด์พิฆาตราชาอย่างไม่กลัวว่าใครจะได้ยิน อย่างน้อยในกลุ่มนักเลงสี่คนที่เมาหัวราน้ำ ก็ยังมีอยู่คนหนึ่งยังคงหลงเหลือสติอยู่บ้าง



    นักเลงคนแรกได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงดังราวกับว่าเพื่อนของเขาพูดเรื่องตลกออกมา เมื่อหัวเราะจนสะใจแล้วชายหนุ่มจึงคว้าคอเพื่อนเข้ามากอดแล้วพูดเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน



    "จะกลัวอะไรไปวะ ตอนนี้พวกกิลด์พิฆาตราชาเข้ามาในเมืองนี้ไม่ได้ซักหน่อย ไม่มีใครแอบฟังอยู่หรอกน่า แล้วต่อให้เข้ามาจริง ๆ ก็ปล่อยให้มันมาเลย จะได้ดูว่าข้ากับมัน ใครจะเก่งกว่ากัน" พูดจบแล้วเขาก็ปล่อยคอเพื่อนและหันไปสังสรรค์กับนักเลงอีกสองคนต่อ ปล่อยให้ชายผู้ยังคงสติอยู่ได้มองเพื่อนของตนอย่างเหยียด ๆ



    'เอ็งจะพูดได้ก็แค่ตอนเมานี่แหละว่ะ ไอ้คนมีค่าหัวแค่ห้าแสนโกลด์อย่างแกจะไปเทียบคนที่มีค่าหัวสูงที่สุดในเกมอย่างไวรัส เอาไว้เจอของจริงหน่อยจะคอยดูว่าจะได้ถึงครึ่งของไอ้ที่พูดมั้ย แต่ยังไงคนปากอย่างเอ็งไม่ได้ตาสดีแน่' ชายหนุ่มคิดในใจ แต่ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเกิดขึ้นเร็วราวกับติดจรวด



    ปัง! เพล้ง!!



    เสียงระเบิดดังพร้อมกับเสียงกระจกแตกดังลั่น เสียงกรีดร้องของหญิงสาวภายในและนอกร้านอาหารตามมาในแทบจะทันที นักเลงหนุ่มหันไปมองกระจกที่แตกก็พบว่าเป็นกระจกของหน้าต่างบานที่อยู่ตรงกับโต๊ะของเขาและเพื่อน ๆ พอดี เมื่อจะหันไปดูว่าพรรคพวกของเขาปลอดภัยดีหรือเปล่า กลับพบว่าเพื่อนจอมปากดีของเขานั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นโดยมีรูกระสุนอยู่บนหัว จากนั้นเพียงครู่เดียว ร่างของเพื่อนผู้ปากดีก็กลายเป็นแสงหายไป เป็นอันสรุปได้ทันทีว่าเสียงเมื่อครู่นั้นเป็นเสียงปืนที่มุ่งเป้ามายังกลุ่มของเขา



    "เฮ้ย รีบออกไปตามหามือปืนเร็วเข้า มันต้องยังอยู่แถวนี้แน่!" นักเลงหนุ่มตะโกนแล้ววิ่งออกจากร้านอาหารไปทันที ส่วนเพื่อนอีกสองคนที่ยังคงตกใจและยัง***งงเพราะฤทธิ์เหล้าก็พยายามวิ่งตามไปอย่างสะเปะสะปะ โดยมีเจ้าของร้านอาหารวิ่งตามพร้อมกับตะโกนโหวกเหวกโวยวาย



    "เฮ้ยย! พวกแกจะหนีไปไหน! ไอ้พวกชักดาบ กินแล้วไม่จ่ายเงินงั้นเรอะ ใครก็ได้ จับไอ้สามตัวนั้นที!!"







    ชายร่างใหญ่คนหนึ่งกางหนังสือพิมพ์อ่านอย่างตั้งใจ ซึ่งหนังสือพิมพ์นี้เป็นสิ่งที่ผู้เล่นเป็นคนทำออกมาขายในโลก ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์แห่งนี้ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในหมู่ผู้เล่นเพราะสามารถเปิดอ่านข่าวสารเดียวกันได้จากกระดานข่าวสารอยู่แล้ว ดังนั้นหนังสือพิมพ์จึงเป็นที่นิยมสำหรับเอไอชาวเมืองที่ต้องการติดตามกระแสความเป็นไปในโลกแห่งนี้แบบรายวันที่สายข่าวชาวเมืองปกติทำไม่ได้



    ที่น่าแปลกคือชายคนนี้นั้นอ่านหนังสือพิมพ์กลับด้าน มือใหญ่ก็มีเหงื่อออกจนกระดาษเปียกชื้นไปหมด แถมยังกำแน่นจนกระดาษยับยู่ยี่ไปด้วย แขนทั้งสองข้างของเขาที่มีขนาดใหญ่น่าจะดูแข็งแกร่งกลับสั่นเป็นเจ้าเข้าจนดูไม่ออกเลยว่าจะอ่านตัวหนังสือตรงหน้าออกได้ยังไง



    อาการน่าพิรุธของเขายิ่งแสดงออกมารุนแรงขึ้นไปอีกเมื่อกลุ่มนักเลงทั้งสามวิ่งมาถึงบริเวณที่เขานั่งอยู่ โชคดีที่ทั้งสามกำลังเร่งรีบเลยไม่ทันเหลียวมองชายร่างใหญ่ที่ทำท่าพิรุธนั่งเด่นอยู่บนเก้าอี้ข้างทางในเวลาเที่ยงวันที่แสงแดดส่องลงมากลางหัวจนไม่มีใครคิดจะมานั่งอยู่แถวนี้



    เมื่อนักเลงทั้งสามวิ่งผ่านไป ชายร่างใหญ่ค่อย ๆ โผล่หน้าออกมาจากหนังสือพิมพ์โดยสายตายังคงจ้องไปทิศทางที่นักเลงทั้งสามวิ่งไปอย่างไม่ค่อยวางใจนัก แต่โอกาสหนีของเขามาถึงแล้ว ถ้าหากนักเลงทั้งสามคนรู้ว่าเขานี่แหละเป็นคนจัดการเพื่อนของคนเหล่านี้คงจะต้องเกิดเรื่องยุ่งแน่ ๆ



    "ต..ต้องหนีก่อน ต้องซ่อน ซ่อน..." ชายร่างใหญ่พูดพึมพำกับตัวเองแล้วจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับวางหนังสือพิมพ์ที่มีสภาพเละจนกลายเป็นขยะลงบนเก้าอี้ที่เขาลุกขึ้นมา



    ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นไปได้ นอกจากแจ็คนั่นเอง



    ในตอนนี้เขากำลังทำภารกิจเลื่อนยศหรือถ้าจะบอกอย่างถูกต้องก็คือเขาเพิ่งทำภารกิจเลื่อนยศเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว



    แจ็คใช้เวลาอยู่สองวันกว่าที่จะตามหากลุ่มโจรที่มีสมาชิกที่มีค่าหัวมากกว่าห้าแสนโกลด์ได้ ในตอนแรกเขาโชคไม่ค่อยดีนักตอนที่ไปดูค่าหัวที่อาคารระบบ เขาพบว่าคนที่มีค่าหัวมากกว่าห้าแสนโกลด์นั้นมีระดับสูงมากทั้งนั้น แถมหลายคนก็อยู่ในกิลด์ใหญ่ ๆ ซะด้วย จนสุดท้ายเขาก็เห็นชื่อหนึ่งที่มีค่าหัวห้าแสนโกลด์พอดี แถมยังไม่มีกิลด์สังกัดอยู่และมีรายงานว่าอยู่ในเมืองยามะไตอีกด้วย



    แจ็ครีบออกไปตามหาชื่อคนที่ว่านี้ทันที แต่สุดท้ายกลับพบว่าเขานั้นอยู่กับเพื่อนที่มีท่าทางเก่งไม่เบาอีกสามคน ทำให้โรคประจำตัวของแจ็คที่จะกำเริบเวลาอยู่คนเดียว นั่นก็คือโรคกลัวการอยู่คนเดียวนั่นเอง



    ในตอนแรกที่เข้ามาในเกมนี้แจ็คก็พบว่าในเกมนั่นเหมืองจริงมากจนเขาเริ่มคิดว่าบางทีเขาสามารถจะรักษาโรคของเขาได้และเขาก็คิดว่ามันหายไปแล้วจริง ๆ ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นในเมืองคริสตัลเบล แต่เมื่อเขาอยู่คนเดียวจริง ๆ ขึ้นมา อาการที่เขาคิดว่าหายขาดแล้วกลับปรากฏขึ้นในจิตใจ ยิ่งช่วงเวลาที่เขามองดูเป้าหมาย ความกลัวที่ก่อเกิดจากคำถามต่าง ๆ นา ๆ ก็รุนแรงยิ่งขึ้น คำถามอย่างจะหนียังไง ถ้าถูกจับได้จะทำยังไง จะเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นดีมั้ย และอื่น ๆ อีกมากมาย



    แม้ว่าเขาจะสามารถเหนี่ยวไกปืนและจัดการเป้าหมายได้อย่างหมดจดพร้อมกับสามารถหนีจากการตามล่าของพวกนักเลงได้ แต่เขาไม่ได้เอาชนะความกลัวในใจเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้ในใจของเขาต้องการเพียงแค่หนีออกไปจากที่นี่เท่านั้น



    "จ..เจน โจ มีใครอยู่หรือเปล่า" แจ็คพูดเสียงสั่นผ่านช่องสื่อสารกลุ่ม ไม่นานนักเสียงหวานก็ตอบกลับมา



    "แจ็ค? เกิดอะไรขึ้นน่ะ นายเป็นอะไรหรือเปล่า" น้ำเสียงของเจนฟังดูเป็นห่วงไม่น้อย



    "ฉันเพิ่งจัดการ..อึก จัดการส่วนของฉันเสร็จ" แจ็คตอบกลับไป เขาลอบกลืนน้ำลายและหันไปมองด้านหลังของตัวเองด้วยความกลัวว่าจะมีคนลอบตามเขามา



    "นาย!? คนเดียวงั้นหรือเนี่ย! ยอดไปเลย นี่แสดงว่านายหายจากไอ้โฟเบียอะไรนั่น..- อ่า แต่ฟังจากน้ำเสียงของนายแล้วคงยังล่ะสิ" เจนว่า



    "นี่เธอจัดการเรื่องของเธอเสร็จหรือยัง จะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับโจมัน ทำไมหมอนั่นถึงไม่..-"



    "เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ ช้าก่อนสิ ใจเย็น ๆ ก่อน เล่นถามมารัวแบบนั้นใครมันจะไปตอบได้เล่า นายเนี่ยน้า ตัวใหญ่กล้ามโตซะเปล่า ดันเป็นคนปอดแหกซะได้" เจนพูดโดยที่แจ็คตอนนี้กำลังเอาตัวของเขาแนบอยู่ที่ข้างอาคารที่ใกล้ที่สุด มองดูให้แน่ใจว่านักเลงพวกนั้นไม่ได้ตามเขามาจริง ๆ เป็นหนที่สิบ



    "ช่างฉัน! ว่าแต่เธอจะกลับมาเมื่อไหร่!" แจ็คพูดเสียงดังจนเหมือนกับตะคอก



    "โว้ว ใจเย็น! แต่ขอโทษนะ ฉันคงกลับไปไม่ทันก่อนถึงเวลาล็อกเอาท์แน่ พอดีฉันเองก็จัดการเรื่องของฉันเสร็จแล้วเหมือนกันแต่ว่ามีธุระต่ออีกนิดหน่อย ส่วนโจ ฉันว่าหมอนั่นคงกำลังยุ่งอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นคงจะมาคุยกับนายแล้วล่ะ" เจนพยายามตอบอย่างใจเย็น เห็นได้ชัดว่าโรคความกลัวของแจ็ครุนแรงมาก และมากยิ่งขึ้นเมื่อเขาถูกกระตุ้นจากเรื่องตื่นเต้น แน่นอนว่าการถูกตามล่าจากนักเลงที่เป็นเพื่อนของคนที่มีค่าหัวครึ่งล้านโกลด์นั้นย่อมเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจเต้นระทึกอย่างแน่นอน



    "บ้าจริง! เอาล่ะ ฉ..ฉันต้องไป.. ต้องหาที่ซ่อนก่อน โรงแรม! ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันต้องล็อกเอาท์ก่อนล่ะ" ชายหนุ่มพูดกับเพื่อนสาวแต่เหมือนกับพูดกับตัวเอง



    "โอเค ฉันเข้าใจแล้ว นายออกจากเกมไปสงบสติอารมณ์ซะนะ เอาไว้พรุ่งนี้เจอกัน ตอนนี้ฉันส่งที่อยู่ของโรงแรมที่เราพักไปให้พวกพี่เสือแล้ว บางทีถ้านายล็อกอินเข้ามาให้เกมครั้งต่อไปอาจจะได้เจอกับพวกเขาหรือพร้อมกับโจก็ได้ ส่วนฉันจะพยายามกลับไปให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน" เจนค่อย ๆ บอกอย่างใจเย็นเพื่อให้เพื่อนของเธอผ่อนคลายลง



    "ต้องหาที่กบดาน ต้องหาที่กบดาน ต้องหาที่กบดาน!" แจ็คพูดพึมพำพลางเดินทางไปยังโรงแรมที่พักของพวกเขาโดยดูเหมือนว่าสิ่งที่เจนพูดจะไม่เข้าหูของเขาซักเท่าไหร่ ได้แต่หวังว่าชายหนุ่มร่างโตคนนี้จะกลับมาเหมือนเดิมในครั้งหน้าที่เจนมาสมทบด้วยกันแล้ว







    ก่อนหน้าเหตุการณ์ของแจ็คจะเกิดขึ้นหนึ่งวัน ทางด้านของเจนที่เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง มาเอะได้เข้ามาช่วยจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่เมื่อเทพอสูรทานูกิขนทอง ยากิปรากฏตัวขึ้น เจนก็รู้สึกได้ทันทีว่าบรรยากาศตรงหน้าของเธอนั้นเริ่มที่จะอึดอัดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด



    แม้จะมีระดับเลเวลไม่สูงเท่ากับยามาตะ โนะ โอโรจิและเซอร์โนบอท แต่เทพอย่างไรก็ยังเป็นเทพ และการปะทะกันระหว่างมอนสเตอร์ระดับเทพที่สามารถจัดการมอนสเตอร์ระดับราชาได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้นั้นคงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ยังไม่ต้องพูดถึงความปลอดภัยของพวกเจนและทานูกิทั้งหลาย เจนเกือบจะแน่ใจเลยว่าหากทั้งคู่ต่อสู้กันจริง ๆ คงไม่เหลือหน้าตาของป่าเกาลัดอีกต่อไปอย่างแน่นอน



    ดวงตาของเทพอสูรทั้งสองสบกันอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เจนยิ่งกังวลใจมากขึ้น และยิ่งหนักใจเมื่อหากเธอต้องเลือกข้างขึ้นมา ระหว่างทานูกิและหมู่บ้านที่เธอพยายามช่วย กับมาเอะ ผู้ที่มอบพลังสถิตร่างแก่เธอ



    "ยากิ ข้าคิดว่าเจ้าถูกผนึกอยู่ซะอีกนะ" มาเอะเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน



    "เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วมาเอะ ข้าถูกผนึกอยู่จริง ๆ ถ้าหากไม่ใช่ผู้ครองดาบคุซานางิที่ยืนอยู่ข้างเจ้า ข้าก็คงยังหลับใหลอยู่ในผนึกพันปีอีกนานอีกเดียว" เทพอสูรทานูกิขนทองเอ่ยตอบ เขาทำท่าทางครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยพูดต่อ



    "ข้าขอเดานะ.. ผนึกที่กักขังเจ้าก็ถูกทำลายด้วยดาบคุซานางิเหมือนกันล่ะสิ"



    เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางไม่เอ่ยตอบ แต่เธอตอบด้วยรอยยิ้มที่ทำให้เจนรู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อย แต่สถานการณ์ก็ดูท่าจะยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่เมื่อได้ยินคำพูดที่ออกจากริมฝีปากบางของมาเอะ



    "ช่างเรื่องผนึกไปก่อนเถอะ เจ้าและข้ายังมีเรื่องที่ยังสะสางกันไม่เสร็จตั้งแต่พวกเรายังไม่ถูกผนึก ไหน ๆ เราทั้งสองก็ถูกปลดผนึกออกมาแล้วก็มาตัดสินกันให้รู้กันไปเลยว่าใครจะเป็นผู้ชนะ"



    เจนใจหายวาบเมื่อมาเอะเป็นฝ่ายท้าทายก่อน แถมดูเหมือนว่าทั้งสองจะอาฆาตกันมานานแล้วเสียด้วย แบบนี้ท่าทางจะเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงกว่าที่เธอคิดซะแล้ว



    "ดี ข้าเองก็รอวันที่จะได้ตัดสินกับเจ้าอยู่พอดี!" ยากิตะโกนตอบเสียงดังลั่นป่า



    เมื่อสถานการณ์กำลังจะถึงขีดสุด ทางเดียวที่จะหยุดเทพอสูรทั้งสองได้คือการอัญเชิญเทพอสูรอีกตัวที่เธอรู้จักออกมา แต่นั่นอาจจะทำให้ทั้งคู่บาดเจ็บซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เจนต้องการแน่ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปห้ามทั้งสองด้วยตัวเธอเองดู เพราะยังไงเจนก็เป็นผู้ที่ช่วยทั้งคู่ออกมาจากผนึกพันปี ถ้าหากไม่สำเร็จจริง ๆ คงจะต้องเรียกยามาตะ โนะ โอโรจิออกมาเป็นทางเลือกสุดท้าย



    ทันใดนั้นเองหญิงสาวก็พุ่งเข้ามาขวางระหว่างเทพอสูรทั้งสอง ดวงตาของจิ้งจอกและทานูกิต่างจับจ้องไปยังมนุษย์เพียงผู้เดียวในป่าแห่งนี้และยังกล้าเข้ามาขวางเทพอสูรอีกด้วย



    "ทั้งสองใจเย็น ๆ ก่อนเถอะนะ! เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอดีตไป จะมาสู้กันตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก" เจนพูดขึ้นด้วยเสียงเหมือนคนเพิ่งไปออกกำลังกายมา การที่เข้ามาขวางเทพอสูรสองตัวจะสู้กันนี่ทำเอาเธอหายใจไม่เป็นจังหวะเลยทีเดียว



    มาเอะเห็นเจนเข้ามาขวางก็มีสีหน้าแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ยตอบ "ถึงเจนจะเข้ามาขวางก็ตาม แต่ข้าคงไม่อาจหยุดสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นได้หรอก เพราะยังไงถึงการต่อสู้ของเราสองจะไม่เกิดในวันนี้ แต่ในอนาคตมันก็คงจะเกิดขึ้นอยู่ดี...หรือว่าเจนคิดจะเข้ามาร่วมสู้กับพวกเราด้วย"



    หญิงสาวกลืนน้ำลายอึกใหญ่แทบไม่ลงเมื่อจู่ ๆ มาเอะกลับเบนเข็มมาที่เธอซะอย่างนั้น แถมยากิที่อยู่ด้านหลังของเธอยังส่งเสียงออกมาอย่างชอบใจอีกด้วย



    "ฮ่า ๆ ! มนุษย์งั้นเรอะ! ดี! ข้าไม่เคยดื่มกับมนุษย์มาก่อนเลย อยากรู้จริง ๆ ว่ามนุษย์จะคอแข็งแค่ไหน"



    "..หา" เมื่อได้ยินคำพูดของยากิถึงกับทำให้เจนชะงัก เธอยังคงสับสนกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่แต่เมื่อหันไปหามาเอะที่มีรอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้างามก็พอจะเข้าใจได้แล้วว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น



    "พวกเรามาฉลองการกลับมาพบกันอีกครั้งของเผ่าทานูกิและเผ่าจิ้งจอกในรอบพันปี และฉลองให้แก่นักผจญภัยผู้ปกป้องหมู่บ้านของเรา!! บ้านไหนมีเหล้าอยู่เท่าไหร่เอาออกมาให้หมด!! งานนี้ต้องเอาให้เหล้าหมดหมู่บ้านไปเลย ฮ่า ฮ่า!!!" เสียงตะโกนของยากิดังไปทั่วหมู่บ้านเป็นสัญญาณของงานเลี้ยงได้เริ่มต้นแล้ว



    เสียงร้องแสดงความยินดีของเหล่าทานูกิดังไปทั่วด้วยความยินดี แม้แต่ทานูกิที่บาดเจ็บยังพากันร้องดีใจไปพร้อมกับรับการรักษาไปด้วย



    เจนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าอย่างกะทันหันด้วยความงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เธอรู้ว่าเธอถูกเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางหลอกอำเข้าให้แล้วจึงได้ส่งสายตาไปอย่างเคือง ๆ เพราะฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงเทพ ถ้าหากทำกับเธอเหมือนกับพวกโจล่ะก็ เจนคงจะกลายเป็นเถ้าธุลีในไม่กี่อึดใจอย่างแน่นอน



    ทางด้านนางจิ้งจอกเก้าหางรู้สึกถึงสายตาที่กำลังจ้องมองอยู่จึงหันไปดูก็ พบว่าเป็นหญิงสาวผู้ที่ช่วยเธอและบุตรสาวเอาไว้ซึ่งตอนนี้แต่งตัวเป็นชายหนุ่มกำลังมองดูเธอด้วยความรู้สึกไม่พอใจ ทว่าแทนที่มาเอะจะรู้สึกเสียใจ เธอกลับรู้สึกสนุกที่ได้หยอกเล็ก ๆ น้อย ๆ กับหญิงสาวคนนี้ แน่เธอก็ไม่คิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้หยอกหญิงสาวคนนี้แน่



    "เอาล่ะ ข้าคิดว่าพวกเราก็รีบตามยากิไปกันดีกว่า เดี๋ยวถ้าเกิดช้ากว่านี้คงจะไม่เหลืออะไรให้พวกเรากินแน่ แล้วเจนจะตกใจว่าเจ้าทานูกิอ้วนนี่กินกุขนาดไหน" มาเอะว่าแล้วลากแขนเจนเดินตามทานูกิขนทองไปโดยไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวเอ่ยปากแม้แต่น้อย







    งานฉลองแห่งป่าเกาลัดถูกจัดขึ้นอย่างลวก ๆ แต่กลับมีความครื้นเครงมากเมื่อหมู่บ้านรอดจากหายนะครั้งใหญ่มาได้ อิสระจากจากถูกตามง่ามาหลายปีจากเผ่าเทนกุจมูกยาวได้จบลงไปในวันนี้ ความตื้นตันที่อยู่ในใจเหล่าทานูกิก็ระเบิดออกมาอย่างเก็บเอาไว้ไม่อยู่ และนอกจากนั้นการฟื้นคืนกลับมาของเทพเจ้าประจำเผ่าจากที่ถูกผนึกเป็นพันปี นั่นเป็นสิ่งที่ทานูกิทุกตัวรู้สึกปลาบปลื้มยิ่งกว่าสิ่งใด



    แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเที่ยงวัน แต่งานก็เริ่มขึ้นอย่างครึกครื้นไปทั้งหมู่บ้าน ผลไม้นานาพันธ์ต่างถูกนำออกมาวางเรียงรายให้หยิบกินนับไม่ถ้วน กลิ่นหอมของเหล้าบ่มผลไม้รวมที่ยากิคุยนักหนาว่ามีแค่ทานูกิเท่านั้นที่รู้กระบวนวิธีการทำแต่เพียงผู้เดียว และรสชาติดีที่สุด กลิ่นที่ลอยโชยมาและสีของเหล้านั้นทำให้เจนนึกว่าเป็นน้ำผลไม้ซะอีก



    บริเวณลานกว้างได้ถูกจัดเป็นที่พำนักของเทพอสูรทั้งสองพร้อมกับที่ของแขกพิเศษอย่างเจนให้มานั่งกินผลไม้ที่มาเสริฟให้อย่างไม่หยุดหย่อนจนทำให้เจนกินจนอิ่ม จนเลี่ยน คิทซึเนะเองก็กินไปไม่น้อยแต่ก็ได้แค่มากเท่าที่เธอจะรับไหว ส่วนฟีบีนั้นรับหน้าที่จัดการผลไม้ที่เหลือโดยจับผลไม้แต่ละชิ้นยัดเข้าปากแล้วกลืนโดยแทบไม่เคี้ยว แถมยังคงความเร็วโดยไม่ตกแม้แต่นิดเดียว ทำเอาทานูกิตัวอื่น ๆ ที่มองดูอยู่ต่างประหลาดใจว่าตัวเล็กแค่นิดเดียวแต่เอาผลไม้ที่กินเข้าไปไว้ที่ไหนได้



    มาเอะและยากินั้นให้ความสนใจกับผลไม้ไม่มากนัก ทั้งคู่นั้นเอาแต่กระดกเหล้าผลไม้รวมเข้าปากโดยดวงตาทั้งสองนั้นจ้องมองกันและกันราวกับว่ากำลังดวลกันจริง ๆ



    "ตอนแรกที่คุยกัน ฉันคิดว่าท่านมาเอะจะเปิดสงครามกับท่านยากิแล้วซะอีก สรุปที่คุยกันก็เป็นแค่การดวลเหล้างั้นหรือคะ" เจนเอ่ยโดยใช้หางเสียงเป็นผู้หญิงเพราะที่นี่ไม่มีผู้เล่นคนอื่นอยู่และมาเอะก็รู้แต่แรกแล้วว่าเจนเป็นผู้หญิงตั้งแต่แรกแล้ว



    "สงคราม!? ระหว่างข้ากับนังจิ้งจอกนี่น่ะหรือ ถ้าเป็นสงครามเหล้าล่ะก็พวกเราสองนั้นได้ต่อสูกันมานานนับร้อยปีแล้ว.... ตอนนี้ก็คงต้องบอกว่านับพันปีแล้วสิ" ยากิกล่าวแล้วยกจานเหล้าของตนขึ้นกรอกปากทีเดียวหมด ในระหว่างที่มาเอะซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงกนข้ามนั้นค่อย ๆ ยกจานเหล้าเทเข้าปากอย่างบรรจงแต่จำนวนจานที่ทั้งคู่ดื่มไปนั้นแทบไม่ต่างกันเลย



    "เรื่องนี้เจนคงยังไม่รู้ ความจริงเผ่าจิ้งจอกและเผ่าทานูกินั้นเป็นเผ่าพันธมิตรกันมานานแล้ว ข้าและยากิทำข้อตกลงที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่ออีกฝ่ายตกอยู่ในยามลำบาก แต่เป็นเพราะเหล่าเทพอสูรอย่างพวกข้าถูกผนึกมานานนับพันปี ทำให้เผ่าพันธุ์ทั้งสองอ่อนแอลงจนถูกรุกรานและไม่อาจมาช่วยเหลือกันและกันได้" มาเอะว่า



    "ฮ่า ฮ่า อย่าว่าอย่างนั้นเลย ลูกหลานของข้าเองยังลืมไปด้วยซ้ำว่าเผ่าทานูกิมีพันธมิตรอย่างเผ่าจิ้งจอกอยู่ ให้ตายสิ ข้าว่าเผ่าทานูกิที่อยู่นอกป่ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่โดนรุกรานด้วยซ้ำไป! ฮ่า ฮ่า!!" ยากิหัวเราะชอบใจแล้วก็ยกจานเหล้าขึ้นดื่ม ทว่าตอนนั้นเองที่ชิงารากิที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลำบากใจ



    "เอ่อ...ท่านเทพยากิ ข้ามีเรื่องใคร่เรียนที่จะแจ้งแก่ท่านให้ได้ทราบขอรับ มันเป็นเรื่องที่ข้าคิดว่าท่านน่าจะรู้ไว้" สีหน้าของชิงารากิดูหดหู่ หูของเขาลดต่ำลงบ่อบอกได้ว่าสิ่งที่เขาจะพูดนั้นคงไม่ใช่ข่าวดีนัก



    "ถ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ" ยากิเอ๋ยด้วยน้ำเสียงสุ่มนวลต่างจากปกติ สายตาที่ใช้มองดูลูกหลานของเขานั้นก็ดูอบอุ่นราวกับเป็นสายตาของพ่อกำลังมองดูลูกชาย



    "ทานูกิเผ่าอื่นที่อยู่นอกป่าเกาลัด...ไม่มีอีกแล้วขอรับ"



    เสียงของชิงารากิแม้จะเบาแต่หูของยากิก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน แม้เทพอสูรทานูกิขนทองยังคงสงวนท่าทีอยู่แต่เจนบอกได้เลยว่าเรื่องนี้สะเทือนใจของยากิไม่น้อย เพราะรอยยิ้มที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าของเขาตลอดเวลาตอนนี้กลับจางหายไป



    "หมายความว่ายังไง" ยากิถาม



    "ท่านถูกผนึกมาพันปีขอรับ ท่านยากิ ช่วงที่เหล่าเทพอสูรถูกผนึกนั่นเป็นโลกของผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด เราชาวทานูกิรู้ดีว่าพวกเราไม่ได้มีความแข็งแกร่งหรือทรงพลังพอที่จะป้องกันตัวเองได้ ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจซ่อนตัวจากโลก ซ่อนตัวให้พ้นจากนักล่าที่อยู่ภายนอกทั้งหมด"



    ชิงารากิเว้นช่วงแล้วจึงพูดต่อ



    "แต่เหล่าเทนกุจมูกยาวที่แผ่ขยายรังมาจนถึงในแถบนี้พบพวกเราและตามล่า จนตอนนี้ไม่มีทานูกิเหลืออยู่นอกป่าเกาลัดอีกต่อไปแล้วขอรับ" ชิงารากิว่าแล้วจึงเงยหน้ามองขึ้นไปหายากิที่นิ่งเงียบ ไม่ยอมแม้แต่จะยกชามเหล้าขึ้นดื่ม



    "ตอนนี้พวกเราเป็นทานูกิกลุ่มสุดท้ายบนทวีปแล้วขอรับ"



    บรรยากาศงานฉลองรู้สึกกร่อยลงมากเมื่อยากิได้ฟังข่าวร้าย ท่าทางเขาเองก็ไม่คิดว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ถึงขนาดนี้เมื่อได้ออกมาจากผนึกพันปี แต่เจนคิดว่าบางทีอาจจะแย่ไปกว่านี้ก็ได้ถ้าหากมาเอะไม่ได้มาช่วยเอาไว้ก่อนหน้านี้



    พูดถึงมาเอะ ตอนนี้เธอกลับดูเป็นผู้ที่มีท่าทางไม่เดือดร้อนมากเท่าไหร่รองลงมาจากฟีบี แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอโดยตรง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก แต่ในฐานะของพันธมิตรแล้วถ้าหากเธอไม่ทำอะไรเลยก็คงถือว่าเป็นพันธมิตรที่ไม่ดีเท่าไหร่



    "ถึงแม้ข้าอาจจะช่วยเรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ได้นะ ยากิ แต่บางทีข้าข้าอาจจะช่วยในเรื่องที่จะเกิดต่อไปในอนาคตได้นะ" พญาจิ้งจอกก้าวหางเอ่ยขึ้นแล้วจกชามเหล้าขึ้นดื่มอย่างบรรจง แต่คำพูดของเธอนั้นดึงดูดสายตาของทั้งยากิ ชิงารากิ เจนพร้อมทั้งคิทซึเนะและโปโกะที่นั่งอยู่ด้วยกันให้มองมาที่เธออย่างสงสัยใคร่รู้



    "นี่เจ้าหมายถึง...ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่ได้สนใจกฎในสัญญาที่เราเคยร่างกันไว้ซะอีก" ยากิพูด



    "ช่วงเวลานี้ไม่ใช่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นอกจากพวกเราจะต้องต่อสู้กับอสูรเผ่าอื่นแล้ว พวกเรายังต้องต่อสู้กับมนุษย์ที่ทุกวันก็ยิ่งถลำลึกเข้ามายังป่าสวนในมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นนักผจญภัยอย่างเช่นเจน ที่สามารถเกิดใหม่ได้และยังมีฝีมือร้ายกาจอีกด้วย" มาเอะว่า คนที่ถูกเอ่ยถึงสะดุ้งเล็กน้อยเพราะกลัวว่าอาจจะนำไปพาดพิงถึงเรื่องอะไรไม่ดีเข้า



    "แม้ว่าท่านจะเห็นว่าเจนเป็นคนดี แต่มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ พวกเขาทุกคนมีเอกลักษณ์เป็นเฉพาะตัว บ้างเป็นคนดี บ้างก็มีจิตใจดำมืดยิ่งกว่าปิศาจ ถ้าหากเราไม่ช่วยเหลือกันและกัน ถ้าหากวันใดที่หายนะมาถึง ข้าเกรงว่าเราทั้งสองเผ่าอาจจะพินาศไปทั้งคู่" คำพูดของมาเอะแม้จะมีน้ำเสียงเยือกเย็น แต่ก็เด็ดเดี่ยวและยังดูมีเหตุมีผลอีกด้วย



    "เรื่องนั้นข้าเห็นด้วย... เห็นทีข้าคงจะต้องจัดหาที่พักให้เผ่าจิ้งจอกซะแล้ว" ยากิเอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วจึงหันไปคุยกับชิงารากิ



    คิทซึเนะฟังทั้งสองคุยกันแต่ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร เธอจึงเข้าไปถามแม่ของเธอที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม



    "ท่านแม่หมายถึงอะไรหรือคะ ทำไมฟังดูเหมือนว่าเผ่าจิ้งจอกจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ล่ะคะ"



    "ลูกเข้าใจถูกแล้วล่ะ แต่ไม่ใช่ถาวรหรอกนะ เผ่าจิ้งจอกจะมาอยู่ที่นี่เพื่อฟื้นฟูหมู่บ้านและป้องกันเหตุร้ายถ้าหากหมู่บ้านโดนบุกอีกครั้ง จนกว่าเผ่าทานูกิจะสามารถป้องกันหมู่บ้านด้วยกำลังของตนเองได้นั่นแหละจ๊ะ" มาเอะตอบด้วยน้ำเสียงเอ็นดู



    "แล้วก็เจน หลังจากนี้จะมาที่ภูเขาไทโกคุกับข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีของที่จะมอบให้ จำได้มั้ยที่ข้าเคยบอกกับเจ้าครั้งก่อนที่เราพบกัน"



    "จำได้ค่ะ แต่ว่าฉันอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้อีกแค่ถึงวันพรุ่งนี้ จากนั้นอีกสิบห้าวันถึงจะกลับมาได้น่ะค่ะ แถมต่อจากนั้นฉันก็มีธุระสำคัญที่ต้องไปทำกับเพื่อน ๆ ด้วย" เจนตอบ ความจริงเธอก็อยากจะกลับไปที่หุบเขาจิ้งจอกที่เธอเผอิญถูกมาเอะดึงตัวไป ตอนนั้นแม้จะเป็นยามดึกแต่บรรยากาศบึงน้ำตื้นกลางแสงจันทร์นั้นก็ชวนให้เจนคิดอยากจะไปอีกครั้ง น่าเสียดายที่ครั้งที่แล้วที่ไปเยือนเธอตกใจกลัวเกินกว่าจะชื่นชมบรรยากาศได้



    "น่าเสียดายจัง ถ้าอย่างนั้นเอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะคะ แล้วก็อย่าลืมพาเพื่อน ๆ มาด้วยนะคะ ถ้าเป็นเพื่อนของเจนข้าคิดว่าคงจะนิสัยดีกันทุกคนแน่ ๆ" มาเอะเอ่ยปากชม เจนได้ยินจึงก้มหน้ารับคำชมอย่างเต็มใจ



    พอนึกถึงพรรคพวกของเธอเจนก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเสือซ่อนลายนั้นเป็นคนต่างชาติ เวลาออนไลน์อาจจะไม่พร้อมกันก็ได้ ทางที่ดีน่าจะหาจุดนัดรวมตัวกันเอาไว้ก่อน ที่แห่งแรกที่เจนนึกได้ไม่ใช่ที่ไหนอื่นเลยนอกจากโรงแรมที่เธอจ่ายค่าห้องล่วงหน้าเอาไว้ อุตส่าห์จ่ายเงินไปแล้วทั้งทีก็คงต้องใช้ให้คุ้มหน่อย



    หลังจากฟีบีหยุดมือทานมหกรรมผลไม้ตรงหน้าแล้ว(ซึ่งเจ้ามังกรน้อยก็กินไปมาโขอยู่) เจนจึงขอตัวพาฟีบีไปพักที่บ้านของชางารากิซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านทานูกิก็จัดที่พักเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนคิทซึเนะนั้นขออยู่กับมาเอะก่อนแล้วจะตามไปทีหลัง ซึ่งเจนก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วจึงเดินออกมาจากบริเวณงานฉลองที่กำลังดำเนินไปอย่างครื้นเครง



    เมื่อมาถึงบ้านของชิงารากิ เจนก็จัดการเขียนจดหมายบอกจุดนัดพบและส่งไปให้เสือซ่อนลาย ถึงแม้ว่าพวกเสือซ่อนลายจะออฟไลน์ไปแล้ว แต่เมื่อเขากลับมาออนไลน์อีกครั้งจดหมายก็จะบินไปหาเขาเหมือนกับว่าเพิ่งถูกส่งไปให้ทันที



    เจนนึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่หมู่บ้านแห่งนี้ปลอดภัย บางทีภารกิจผู้กล้าของเธอก็น่าจะผ่านแล้วเช่นกัน แต่พอคิดไปคิดมาก็ทำให้เจนรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยเพราะสุดท้ายผู้ที่ช่วยหมู่บ้านแห่งนี้เอาไว้ไม่ใช่เธอ แต่เป็นมาเอะต่างหาก โชคดีที่เมื่อเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นมาดู ก็พบว่าภารกิจนั้นได้ผ่านเรียบร้อยแล้ว



    ภารกิจผู้กล้า



    ให้ความช่วยเหลือชาวเมืองจำนวน 1000/1000 [ผ่าน]

    กรุณาส่งภารกิจเพื่อรับการเลื่อนระดับที่อาคารระบบทุกสาขา



    หลังจากทำธุระเสร็จแล้วก็พบว่าเจนยังเหลืออีกเกือบหนึ่งวันกว่าจะถึงเวลาออฟไลน์ เมื่อติดต่อไปหาสองหนุ่มแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา ทำให้เขาคิดเอาเองว่าทั้งคู่คงกำลังยุ่งอยู่กับภารกิจของตนจนไม่มีเวลาว่างมาคุยกับเธอ



    ตอนนี้ถ้าหากเธอออกจากเกมไปก็ได้อยู่ แต่อาจจะเป็นการเสียมารยาทถ้าหากไม่เอ่ยลากับมาเอะและยากิ อีกทั้งช่วงเวลาที่สงบเช่นนี้ตั้งแต่เข้ามาในเกมนั้นถือว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจนได้พักผ่อนโดยไร้กังวล ดังนั้นเจนจึงตัดสินใจจะอยู่ในเกมเป็นเพื่อนฟีบีไปจนกว่าจะถึงเวลาออกจากเกม และมันก็ทำให้เธอมีเวลาสอนสิ่งต่าง ๆ ให้กับฟีบีอย่างที่เจนสอนให้กับคิทซึเนะแล้วด้วย





    อีกด้านหนึ่งของทวีปอัลเทเชีย ชายหาดใกล้กับเมืองซีโป ตอนเย็นของวันเดียวกัน



    บนหาดที่ไร้ผู้คน ช่วงเวลาอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเป็นเวลาที่คลื่นทะเลจะยึดครองคืนหาดทรายสู่ทะเล สัตว์ทะเลอย่างปูที่ซ่อนตัวจากนักล่าอยู่ใต้ผืนทรายก็ปรากฏขึ้นมาบนบกเพื่อหาอาหาร แต่คืนนี้บนหาดกลับมาสิ่งแปลกปลอมที่ไม่มีอยู่ทุกคืน



    บนหาดทรายมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนสลบไม่ได้สติอยู่ ร่างใหญ่เปียกโชกราวกับว่าถูกซัดขึ้นมาจากท้องทะเล เพราะไม่รู้ด้วยเหตุผลใดแต่ชายผู้นี้ไม่มีเสื้อผ้าสวมอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว เปิดเผยร่างกายกำยำที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ กล้ามแขนขนาดใหญ่ของเขามีขนาดใหญ่พอ ๆ กับหัวของเด็กเล็ก แต่สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือเขาสีขาวที่โค้งงออยู่บนหัวของเขานั่นเอง



    ผ่านไปเพียงครู่เดียวชายหนุ่มก็ตื่นขึ้นมา ดวงตาสีน้ำตาลกับใบหน้าที่มีแผลเป็นอยู่บนหน้าผากดูน่าเกรงขามแต่ทว่ากลับมีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาด เขามีผมสีน้ำตาลยาวจนถึงกลางหลังเหมือนกับว่าไม่เคยตัดมันมาก่อน แทนที่เขาจะมองหาอะไรมาปิดบังร่างกายแต่เขากลับทำอย่างอื่นแทน



    เขาใช้เวลาเพียงครู่เดียวสำรวจว่าตัวของเขาอยู่ที่ไหนก่อนจะเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกับสูดอากาศเข้าเต็มปอด เมื่อเขาพ่นลมหายใจออกมาเขากลับมีสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนัก



    "กลิ่น...หายไปแล้ว" เขาพูดกับตัวเอง



    ตอนนั้นเองเขารู้สึกได้ถึงจิตคุกคามจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองเขาก็พบว่ากำลังมีบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากท้องทะเล บางอย่างที่ตัวใหญ่มาก ๆ



    ปูก้ามคู่ยักษ์ ยศขุนนาง ระดับ 80

    ปูตัวขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ อาวุธร้ายของมันคือก้ามคู่ของมันที่สามารถบดได้แม้กระทั่งก้อนหิน และมันยังมีกระดองที่ป้องกันการโจมตีได้อย่างฉะงัก จึงถือได้ว่าเป็นเป็นมอนสเตอร์ทะเลที่รับมือได้ยากตัวหนึ่ง

    พลังป้องกันสูงมาก แพ้ธาตุสายฟ้า



    แม้ร่างกายของบุรุษผู้มีเขาคนนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ถ้าหากเอาไปเทียบกับปูยักษ์ที่มีขนาดใหญ่ถึงสามเมตร แค่ก้ามของมันก็มีขนาดใหญ่ราวกันเป็นคีมเหล็กขนาดใหญ่ ไม่ว่าใครที่มาเห็นเหตุการณ์นี้คงต้องเทเงินไปทางฝั่งของปูยักษ์อย่างแน่นอน แม้คงจะไม่มีใครมาด่อม ๆ มอง ๆ อยู่บนชายหาดร้างตอนกลางคืนเช่นนี้



    เจ้าปูยักษ์เองก็กำลังมองผู้ที่มาบุกรุกถิ่นของมัน แม้ถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่มันก็จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเข้ามายุ่มย่ามบริเวณนี้แล้วกลับออกไปอย่างง่าย ๆ แน่ ถ้าหากมันสามารถคำรามได้เหมือนสิงโต ตอนนี้ทั่วทั้งบริเวณคงจะดังก้องไปด้วยเสียงคำรามของมันที่จะขู่ให้ผู้บุกรุกต้องผวา แต่เนื่องจากปากของมันมีเอาไว้แค่กินอาหาร มันจึงใช้ก้ามของมันสร้างเสียงเคาะดังน่ารำคาญแทน



    แม้ว่าเจ้าปูยักษ์จะสามารถขู่ผู้บุกรุกได้ด้วยขนาดของตัวและก้ามของมันโดยไม่ต้องพึ่งเสียงกะเทาะก้ามของมันก็ตาม แต่ชายหนุ่มมีเขากลับไม่ได้แสดงท่าทางออกมาเลยว่ากลัวปูก้ามคู่ยักษ์ตัวนี้ ตรงกันข้าม เขากลับแยกเขี้ยวยิ้มด้วยความดีใจมากกว่า



    พริบตานั้น เจ้าปูยักษ์ตัดสินใจโจมตีใส่ชายหนุ่มมีเขาด้วยก้ามขนาดใหญ่ของมัน ทว่านั่นเป็นการตัดสินใจผิดพลาดที่สุดในชีวิตของมัน เพราะนอกจากการโจมตีของมันจะไม่มีผลแล้ว ก้ามที่แสนภูมิใจของมันยังถูกดึงเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียวของชายมีเขาตรงหน้า



    โดยไม่รีรอ เจ้าปูยักษ์ใช้ก้ามอีกข้างโจมตีใส่เพื่อหวังว่าจะให้ชายหนุ่มปล่อยก้ามของมันออก แต่สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อตอนนี้ก้ามทั้งสองข้างของมันถูกชายมีเขาจับเอาไว้ได้



    น่าทึ่งที่พละกำลังของปูยักษ์ระดับ 80 กลับสู้ชานหนุ่มมีเขาตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย เจ้าปูยักษ์พยายามหาทางหนี แต่ยิ่งดิ้นรนเท่าไหร่ก็ทำให้มันยิ่งรู้ว่าเวลาของมันใกล้จะหมดลงแล้ว



    ชายมีเขาเลียริมฝีปากราวกับเห็นอาหารจานโปรด และทันใดนั้นเอง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง แขนทั้งสองข้างเกร็งจนเห็นเส้นเลือดเต้นตุบ ๆ เขาออกแรงเพียงครั้งเดียว ก้ามปูขนาดใหญ่ทั้งสองข้างก็ถูกกระชากออกจากร่างของปูก้ามคู่ยักษ์ให้กลายเป็นปูก้ามด้วนในพริบตา



    เจ้าปูถูกความเจ็บปวดเข้าโจมตีแทนสิ้นสติ เมื่อขาดก้ามทั้งสองข้างที่เป็นอาวุธหลักของมันไป ตอนนี้มันก็ไม่ต่างจากชุดเกราะที่เคลื่อนที่ได้ ถึงแม้ว่ามันจะมีกระดองที่แข็งแกร่งก็ตาม แต่สัญชาติญาณเอาตัวรอดของมันบอกว่าชายมีเขาตรงหน้าสามารถกระชากกระดองของมันออกได้อย่างสบาย ๆ



    เมื่อมันคิดจะหนีแต่ก็สายเกินไปเมื่อขาข้างหนึ่งของมันถูกชายมีเขาจับเอาไว้ได้ ทันใดนั้นเจ้าปูเหมือนกับตัวเองถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนฟ้าแล้วกระแทงเข้ากับพื้นทรายอย่างรุนแรงจนมันขาดสติไป นั่นถือว่าเป็นบุญของมันโดยแท้ที่มันหมดสติ เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ค่อนข้างทรมานสำหรับใครก็ตาม



    ชายหนุ่มมีเข้ากระโดดขึ้นไปบนกระดองของเจ้าปูยักษ์ จากนั้นเขาก็จับที่บริเวณข้อต่อของกระดองระหว่างหลังและตัวของมัน สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนั้นคงจะเดาได้ไม่ยาก เมื่อชายผู้ที่สามารถดึงก้ามปูยักษ์ทั้งสองข้างออกมาได้ด้วยมือเดียว การแยกร่างปูจากกระดองคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขา



    เขาปอกกระดองปูออกมาราวกับปอกเปลือกผลไม้ จากนั้นเขาก็จัดการเนื้อที่ซ่อนอยู่ภายใต้กระดองปูจนเรียบราวกับสัตว์ป่า เพียงครู่เดียว ร่างของปูก้ามคู่ยักษ์ก็เหลือแต่เพียงกระดองของมันกระจายอยู่ไปทั่วชายหาด และกว่าจะรุ่งสางคลื่นทะเลก็คงเก็บกวาดซากของมันลงมหาสมุทรจนไม่เหลือร่องรอยว่าเคยมีปูขนาดใหญ่อยู่ที่นี่



    ส่วนชายมีเขานั้นหลังจากจัดการสวาปามเนื้อปูสด ๆ เรียบร้อยแล้ว เข้าก็นำตรงส่วนข้อต่อของขาปูมาทำเป็นกางเกง เมื่อเขาสวมก็ทำให้ดูราวกับกำลังสวมชุดเกราะสีแดงที่ขา ปกปิดส่วนต่าง ๆอย่างมิดชิดยกเว้นเท้าและตั้งแต่ส่วนที่อยู่เหนือสะดือขึ้นมา แต่เขาก็ดูจะไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากนัก



    ชายมีเขาเดินขึ้นจากชายหาดและสูดอากาศเข้าสู่ปอดอีกครั้ง ดูท่าทางเขายังคงจะไม่พบกลิ่นที่ต้องการเพราะทุกอย่างบ่งบอกได้จากใบหน้าของเขา ทันใดนั้นเอง เขาก็ตะโกนก้องออกมาเสียงดังสะท้านราวกับฟ้าระเบิด



    "เจ้านักดาบชุดขาว!! ออกมาสู้กับข้า!!!! อ้ากกกกกก!!!" เสียงตะโกนของชายมีเขาดังสนั่นจนทำให้ฝูงนกที่หลับอยู่บนต้นไม้แตกตื่น เหล่าสัตว์ที่นอนหลับอยู่ต่างสะดุ้งตื่นและรีบวิ่งหนีเพราะนึกว่าถูกตามล่า



    แม้ดูท่าทางชายมีเขาจะไม่รู้ว่าจะเดินทางไปไหนต่อ แต่จุดมุ่งหมายของเขานั้นเห็นชัดมาก และไม่ว่าใครที่เขาตามหาอยู่นั้น ถ้าหากเขาได้พบกันล่ะก็ไม่น่าจะเป็นการพบปะอย่างฉันมิตรอย่างแน่นอน



    ชายมีเขาเดินหน้ามุ่งสู่ทิศเหนือ โดยเป้าหมายมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือนักดาบในชุดขาวนั่นเอง!





    เจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเวลาใกล้รุ่งสาง เธอหายใจหอบราวกับว่าเธอเพิ่งเจอกับฝันร้ายมา แต่เจนค่อนข้างแน่ใจว่าเธอแทบไม่ได้ฝันอะไรเลยเมื่อคืนนี้ และที่นอนที่เหล่าทานูกิเตรียมเอาไว้ให้เธอก็นุ่มสบายราวกับนอนโรงแรมห้าดาว เธอจึงสรุปได้อย่างเดียวว่าคงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาเช่นนี้ แต่นั่นก็เป็นสิ่งลี่ลับที่เจนคงจะไม่มีวันได้รู้



    วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เจนจะอยู่ในเกม ตอนแรกเจนคิดจะเดินทางกลับไปในวันนี้แต่เมื่อลองคิดดูแล้วว่าเวลาที่เธอออฟไลน์ไปก็คงไม่มีใครอยู่ดูแลคิทซึเนะและฟีบี ดังนั้นเธอจึงจะออฟไลน์มันซะที่นี่เลยและค่อนเดินทางกลับเมืองหลังจากกลับเข้าเกมมาอีกครั้ง



    เจนเดินออกมาจากบ้านพักโดยปล่อยให้คิทซึเนะและฟีบีนอนต่ออยู่ในบ้าน เมื่ออกมาก็พบว่างานฉลองที่จัดขึ้นนั้นดูท่าจะสนุกสนานมากไปหน่อย เพราะตามทางนั้นมีทานูกิมากมายนอนหลับอยู่เต็มไปหมด แต่สีหน้าของทานูกิทุกตัวนั้นดูมีความสุขมาก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงไม่มีทานูกิตัวไหนกล้าออกมานอนนอกบ้านของพวกมันเช่นนี้แน่ แต่เมื่อเรื่องราวน่าวิตกได้จบลงแล้ว พวกทานูกิจึงสามารถพักผ่อนได้อย่างสวายในเสียที



    เจนค่อย ๆ เดินดื่มด่ำกับอากาศบริสุทธิ์ยามใกล้รุ่งโดยพยายามไม่ไปปลุกเหล่าทานูกิที่กำลังนอนอยู่ บรรยากาศสงบร่มรื่นเช่นนี้ทำให้เจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเมื่อวันก่อนนั้น ที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสนามรบในสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยังคงมีร่องรอยของหลุมพรางที่ดักทหารเทนกุอยู่ทั่วหมู่บ้าน และร่องรอยการต่อสู้ที่เป็นหลักฐานว่ามันเกิดขึ้นจริง ๆ



    เมื่อนึกย้อนกลับไปเจนก็พบว่าถังแม้ตัวเธอจะได้รับการฝึกฝนมาแล้วก็ตาม จะมีพลังและความเร็วมหาศาลก็ตาม แต่ประสบการณ์การต่อสู้นั้นสำหรับเจนแล้วแทบนับครั้งได้ ทั้ง ๆ ที่การที่จะมีเลเวลเต็ม100 ได้นั้นจะต้องผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาหลายสิบครั้งสำหรับผู้เล่นทั่วไป แต่เจนนั้นพบกับทางลัดที่ช่วยทำให้เธอเพิ่มระดับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว



    การต่อสู้ที่ผ่านมาบอกเจนได้อย่างหนึ่งว่า แค่พลังหรือเลเวลหรือจะเป็นความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวนั้นไม่อาจจะเอาชัยชนะมาได้ แต่มันต้องมีประสบการณ์และความกล้าที่จะติดสินใจ พร้อมทั้งการฝึกฝนนับพันชั่วโมงและโชคอีกเล็กน้อย ดังนั้นเจนจึงสัญญากับตนเองเอาไว้เลยว่า หลังจากที่เสร็จธุระแล้วเธอคงจะหาวิธีเก็บเลเวลอย่างคนทั่วไปเพื่อเป็นการฝึกฝีมือซะบ้าง



    เจนก้าวเดินอย่างลืมตัวจนมาถึงลานกว้างที่เจนทิ้งเทพอสูรทั้งสองเอาไว้ ตอนนี้เจนมองเห็นมาเอะในในชุดสีทองตัวเดิมที่ยังคงส่องประกาย ส่วนที่นั่งของยากินั้นเจนเห็นชายอ้วนหัวล้านอยู่ในชุดพ่อค้าโบราณกำลังนั่งคุยกับมาเอะด้วยสีหน้าราบเรียบ



    เมื่อเจนเดินเข้าไปใกล้เข้า สายตาของชายคนนั้นก็เหลือบมาเห็นเธอพอดี เขาเผยรอยยิ้มและยกมือเรียกให้เจนเข้าไปหาราวกับว่าเคยรู้จักเธอมาก่อน



    แม้ว่าจะเป็นชายแปลกหน้าแต่เจนกลับรู้สึกคุ้นอย่างประหลาดกับชายผู้นี้ ทำให้เธอเดินเข้าไปหาราวกับเด็กน้อยเข้าไปหาผู้ใหญ่



    เมื่อเดินไปถึง เจนก็ถูกเชิญให้นั่งลงข้างกับมาเอะซึ่งยิ้มรับหญิงสาวอย่างอบอุ่น



    "อรุณสวัสดิ์ เจน เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย" มาเอะถาม



    "ค่ะ ที่นอนหลับสบายมากเลยค่ะ" เจนตอบ ทำให้ชายหัวล้านหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างชอบใจ



    "แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่คิดจะให้ผู้มาเยือนหมู่บ้านต้องลำบากหรอก" ชายหัวล้านตอบ



    ยิ่งมองเท่าไหร่เจนก็ยิ่งคุ้นกับท่าทางและเสียงของชายผู้ที่ฟังคล้ายกับใครที่เธอรู้จัก เงาของชายคนนี้ซ้อนทับกับใครที่ควรจะอยู่แถวนี้ทว่าเจนกลับไม่เห็นแม้แต่เงา



    "เอ่อ.. นี่..ใครงั้นหรือคะ"



    ชายหัวล้านยิ้มร่าแล้วหันไปมองมาเอะที่กรอกตาไปมาอย่างหมดอารมณ์ "เห็นมั้ย ข้าบอกแล้วว่าการแปลงร่างของข้าสมบรูณ์แบบ ขนาดเจ้ายังดูไม่ออก ยัยหนูนี่จะจับผิดข้าได้ยังไง"



    "ข้าเข้าใจแล้วยากิ หยุดหลงตัวเองได้แล้ว มันทำให้ข้าปวดหัว" มาเอะว่า



    เจนเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเมื่อรู้ว่าทานูกิขนทองตัวใหญ่เมื่อคืน ตอนนี้กลับกลายมาเป็นชายอ้วนหัวล้านวัยกลางคนที่แต่งตัวเป็นพ่อค้าธรรมดาทั่วไป ถ้าหากไม่บอก เจนไม่มีทางเชื่อเลยว่านี่เป็นเทพอสูรทานูกิขนทองแห่งเผ่าทานูกิ



    "ท่านยากิ!? ท..ทำไม..-"



    "ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก นี่เป็นร่างแปลงมนุษย์ของข้าเอง ก็เหมือนกับร่างแปลงที่ยัยจิ้งจอกใช้อยู่ตอนนี้นั่นแหละ เว้นแต่ว่าข้าสามารถแปลงร่างได้แนบเนียนกว่า และข้าสามารถกำหนดรูปร่างได้ตามใจชอบ" ไม่ว่าเปล่า ยากิในร่างมนุษย์ก็แปลงกายเป็นผู้หญิงรูปร่างงดงามในชุดยูกาตะสีฟ้าดูเซ็กซี่ จากนั้นเขาก็แปลงกายเป็นเจนที่เจ้าตัวยังตกใจกับความเหมือน สุดท้ายเขาก็กลับมาร่างเดิมเป็นชายหัวล้าน



    "ข้าชอบร่างนี้มากกว่า มันดูคล้ายกับร่างจริงของข้าดี"



    "ว่าแต่เจน ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าซักหน่อย ตอนที่ข้ามาถึงที่นี่ข้าเห็นเจ้ากำลังถูกเทนกุลงดาบสังหารเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ใช้พลังที่ข้ามอบให้ไปอย่างนั้นหรือ" มาเอะถาม



    "ความจริงก็ใช้ค่ะ แต่.." เจนตอบด้วยน้ำเสียงละห้อย เพราะพลังที่มาเอะมอบให้เธอมานั้นถือว่าเป็นพลังที่เทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับราชา เหนือกว่าซะด้วยซ้ำถ้าหากใช้มันดี ๆ แต่เจนกลับพ่ายแพ้ให้แก่ราชาเทนกุโดยที่ไม่ได้ฝากบาดแผลให้เลยแม้แต่แผลเดียว



    "ข้าสัมผัสได้ว่าพลังของเจนนั้นเพิ่มมากขึ้นกว่าครั้งแรกที่เราพบกันมากนัก แต่ทำไมท่านถึงยังพลาดท่าแก่เทนกุได้ล่ะ" มาเอะถามอีกครั้ง ทำให้เจนได้แต่อ้ำอึ่งไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ยากิที่เห็นหญิงสาวโดนต้อนจนมุมถึงเอ่ยปากขึ้นมา



    "ไม่เห็นจะต้องไปถามเลยมาเอะ มีพลังอยู่ในร่างแต่ไม่รู้วิธีใช้ มันก็ไม่ต่างจากเด็กน้อยเล่นดาบ ข้าขอเดาเลยว่าตั้งแต่ยัยหนูได้พลังสถิตร่างไปคงใช้แค่ไม่กี่ครั้งสินะ"



    'ถูกเผง' เจนคิดในใจและพยักหน้ารับ



    เทนอสูรจิ้งจอกเก้าหางเห็นท่าทางของเจนจึงมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยออกมาอีกครั้ง "บางทีอาจจะเป็นเพราะเจนยังไม่คุ้นกับพลังสถิตร่างก็เป็นได้"



    "หมายความว่ายังไงหรือคะ" เจนถาม



    "พลังสถิตร่างเป็นพลังที่จะดึงพลังของผู้ที่มอบพลังในร่างของผู้ใช้ออกมา แต่เพราะเป็นพลังที่มาจากภายนอก ทำให้ผู้ใช้พลังสถิตร่างต้องฝึกฝนพลังให้ดีเพื่อที่จะนำพลังสถิตร่างมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด" มาเอะค่อย ๆ อธิบาย



    "พลังสถิตร่างนั้นสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตามความสามารถของผู้ใช้ ถ้าหากเจนต้องการที่จะดึงความสามารถของพลังสถิตร่างออกมาได้เต็มที่ มีทางเดียวคือเจนต้องฝึกการต่อสู้ทั้งที่อยู่ในร่างของพลังสถิตไปพร้อมกัน นั่นเป็นทางเดียวที่เจนจะสามารถจับเคล็ดของพลังทั้งหมดออกมาได้"



    "และอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับพลังนี้ เจ้าสามารถมีพลังได้มากกว่าหนึ่ง ข้ารู้แล้วว่าเจ้ามีพลังของจิ้งจอกเก้าหาง แล้วเจ้าสนใจพลังของทานูกิขนทองบ้างมั้ยล่ะ" ยากิเอ่ยปาก



    "อย่าดีกว่ายากิ ข้ารู้สึกถึงพลังที่อยู่ในร่างของเจนอีกสายนอกจากพลังของข้า มันเป็นพลังที่แข็งแกร่งซะยิ่งกว่าเจ้าและข้ารวมกันเสียอีก ถ้าหากเจนใช้พลังนี้สู้กับเจ้าเทนกุนั่น ข้าคงไม่ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเลยแม้แต่น้อย" มาเอะเอ่ยห้าม ทำให้ยากิที่คิดจะมอบพลังให้กับเจนจึงยกเลิกความคิดและหันไปสนใจเหล้าของตัวเองต่อไป







    เวลาล่วงเลยจนมาถึงยามสาย หลังจากเจนและพวกฟีบีทานข้าวเช้าด้วยกันเสร็จแล้ว เจนก็ได้ยินเสียงเรียกติดต่อมาจากแจ็คซึ่งมารายงานเรื่องภารกิจของตนด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง หลังจากได้ทราบข่าวและบอกให้เพื่อนของเธอล็อกเอาท์ไปแล้ว เจนก็คิดว่าถึงเวลาที่เธอก็ควรจะออกจากเกมบ้างเช่นกัน



    "ขอฝากฟีบีด้วยนะคะ อีกสิบห้าวันจะกลับมาค่ะ" เจนเอ่ยกับมาที่พร้อมกับคิทซึเนะ โปโกะและฟีบีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ใกล้ ๆ กันนั้นก็เป็นยากิและชิงารากิที่มายืนส่ง



    "ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารับรองว่าจะดูแลฟีบีให้เหมือนกับดูแลลูกของข้าเองเลย"



    เมื่อได้ยินเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางรับคำก็ทำให้เจนรู้สึกสบายใจเป็นปลิดทิ้ง เธอหันไปสวมกอดกับสาวน้อยทั้งสองก่อนที่เปิดหน้าต่างล็อกเอาท์ออกจากเกม







    เช้าวันนี้อากาศไม่ค่อนแจ่มใสนัก เมื่อเจนตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความจริงมาพบกับฝนตกหนักตั้งแต่เช้าเช่นนี้ โปรแกรมการออกกำลังกายช่วงเช้าของเธอและจริยาก็เป็นอันต้องงดไปอย่างช่วยไม่ได้



    แต่นั่นก็ทำให้เจนได้มีโอกาสที่จะได้ช่วยแม่ของเธอลงมือทำอาหารเช้า และอาหารที่เหมาะที่สุดในเช้าวันที่ฝนตกเช่นนี้ก็ต้องเป็นโจ๊กหมูใส่ไข่อย่างไม่ต้องสงสัย



    "จริงสิ เมื่อคืนแม่ได้มีโอกาสเข้าไปเล่นเกมด้วยล่ะรู้มั้ย" จริยาเอ่ยขึ้นระหว่างกำลังเตรียมกับข้าว ทำให้เจนที่กำลังจัดโต๊ะอยู่ต้องหันมาหาด้วยความแปลกใจ



    "เอ๋! จริงหรือแม่ แล้วตอนนี้แม่ เอ่อ...เริ่มเก็บเลเวลแล้วหรือยัง" เจนลองถามดูุ เพราะแม่เธอนั้นเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจงดงามมาก ต่อให้เป็นกระต่ายเลเวลหนึ่งนอกเมืองก็คงไม่มีทางฆ่าอย่างแน่นอน เจนนึกไม่ออกเลยว่าจริยาจะเล่นเกมนี้ได้ยังไง



    "อ๋อ ไม่หรอกจ๊ะ แม่ล็อกอินเป็นนักท่องเที่ยวน่ะจ๊ะ ไม่ได้ไปเล่นเก็บเลเวลด้วยหรอก แล้วอีกอย่างแม่ก็อยู่กับเกอร์ทูธ เขาพาแม่เที่ยวไปทั่วเลยล่ะรู้มั้ย แถมยังมีเสื้อผ้าสวย ๆ ตั้งหลายชุดที่แม่ไปเห็นในร้านค้า แม่ให้เกอร์ทูธช่วยซื้อเก็บเอาไว้ให้แล้วจะส่งไปให้ลูกทีหลังนะ" จริยาว่า เจนทำหน้าเหยเกเมื่อได้ยินคำว่าเสื้อผ้าสวย ๆ แต่ดูท่าทางคงต้องปรับตัวให้ได้ถ้าหากจะใช้ชีวิตอย่างปกติสุขแล้วล่ะก็



    "พูดถึงหมอเกอร์ทูธ เขาให้****าเตือนลูกว่าพรุ่งนี้ลูกต้องไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลนะ จะให้แม่ไปส่งไหมจ๊ะ"



    "อ่า.. ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเจนไปเองดีกว่า พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานแต่เช้าไม่ใช่หรือ" เจนตอบ เธอเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วถ้าหากแม่ของเธอไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา







    หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ เจนก็ตัดสินใจเริ่มค้นข้อมูลเกี่ยวกับเกมให้มากขึ้น โดนเจนมุ่งไปที่กระดานให้คำแนะนำการเก็บเลเวลเป็นอย่างแรกเพื่อเรียนรู้ว่าคนทั่วไปเขาเก็บเลเวลกันยังไง เจนแน่ใจว่าคงไม่ใช้วิธีเดียวกันกับที่เธอใช้อย่างแน่นอน



    การเก็บเลเวลของผู้ที่เริ่มเล่นเกมดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์นั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากเกมออนไลน์ทั่วไปนัก นั่นก็คือการค่อย ๆ ไล่เก็บเลเวลตามเลเวลของตัวเองไปเรื่อย ๆ จนถึงเลเวล 50 และหลังจากเดินทางมายังเกาะเริ่มต้นนั้น การเก็บเลเวลก็จะมีอยู่อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเก็บเลเวลตามลำดับแบบเดิม การลงดันเจี้ยนต่าง ๆ ที่มักจะมีมอนสเตอร์มินิบอสหรือบอสมอนสเตอร์เฝ้าเอาไว้ หรือวิธีที่คนค่อนข้างจะนิยมมากที่สุด นั่นก็คือการทำภารกิจเปลี่ยนอาชีพไปพร้อมกับเก็บเลเวล



    การเปลี่ยนอาชีพนั้นมีอยู่หลากหลายวิธีในเกมนี้ สามารถเริ่มด้วยวิธีง่าย ๆ จานการไปสมัครที่สถาบันอาชีพต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพจำพวกนักดาบ นักเวทหรืออาชีพขั้นต้นทั้งหลาย หรือจะไปขอภารกิจเปลี่ยนอาชีพที่ต้องการจากอาคารระบบซึ่งจะให้อาชีพขั้นที่สูงกว่าปกติ หรือจะได้ภารกิจโดยบังเอิญอย่างซินจูหรือโจที่นำคัมภีร์เวทไปที่เสาเวทมนตร์ เจนเองก็ถือว่าอยู่ในอาชีพที่ได้จากจำพวกนี้ด้วยเช่นกันซึ่งอาชีพที่ได้จากภารกิจโดยบังเอิญเช่นนี้มันจะได้อาชีพระดับสูงพอสมควร แต่ก็ยังไม่ถือว่าดีที่สุด



    การเปลี่ยนอาชีพที่มีโอกาสที่จะได้อาชีพขั้นสูง และได้ค่าตอบแทนอย่างงดงามนั้นก็คือการรับภารกิจเปลี่ยนอาชีพจากเอไอระดับพิเศษนั่นเอง ซึ่งแจ็คนั้นถือว่าโชคดีมากเพราะอาชีพนักล่าเงินรางวัลในเกมนั้นยังไม่มีอยู่แม้ในกระดานข่าวสาร มีแต่เพียงทำเนียบนักล่าเงินรางวัลที่เพียงแค่จัดอันดับผู้ที่ล่าเงินรางวัลจากผู้เล่นหรือเอไอที่มีค่าหัวสูงสุดเท่านั้นเอง



    ปกติแล้วผู้เล่นทั่วไปจะทำการเปลี่ยนอาชีพแทบจะทันทีที่มาถึงทวีปหลักทั้งสามทวีป หรืออย่าช้าก็ไม่เกินเลเวลเจ็ดสิบ ซึ่งในช่วงนั้นก็ถือว่ายากลำบากมากที่จะเก็บเลเวลโดยเป็นแค่นักผจญภัยฝึกหัดอยู่



    เจนลองทำการศึกษาดูแล้วก็พบว่าทำไมเธอถึงแพ้ทั้ง ๆ ที่มีทักษะระดับสูงอย่างพลังสถิตร่างอยู่ สาเหตุแรกและอาจจะเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือระดับของเธอนั้นห่างชั้นเกินไป และมันก็เป็นความจริงเมื่อเจนทบทวนดูอีกครั้งว่าตอนนี้เธออยู่เพียงแค่ยศทหาร เลเวลหนึ่งร้อย แต่กลับไปสู้กับมอนสเตอร์ยศราชา เลเวล 80 ที่ปกติต้องใช้ผู้เล่นร่วมร้อยคนถึงจะปราบมันลงได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่เธอจะแพ้ เพราะหลายครั้งที่เจนเจอคู่ต่อสู้ เธอมักจะไปเจอกับคู่ที่เก่งเกินตัวเธอซะทุกที



    สาเหตุที่สองซึ่งเป็นสาเหตุที่บอกว่าทำไมเจนถึงแพ้ทั้ง ๆ ที่มีพลังสถิตร่าง นั่นก็คือขาดประสบการณ์และการฝึกฝน



    อย่างที่มาเอะได้พูดเอาไว้ เจนใช้พลังสถิตร่างเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเพราะอยากจะเก็บเอาไว้เป็นไพ่ตายสุดท้าย ทำให้เวลาใช้พลังสถิตร่างเจนไม่ทันได้ปรับตัวกับพลังที่เพิ่มขึ้นมา ทำให้ใช้พลังไปอย่างสิ้นเปลือง และเจนก็ยังขาดการฝึกฝน ถึงแม้เธอจะเรียนฝีมือดาบกับหมิงเต๋อมาอย่างโชกโชนแล้วก็ตาม แต่ประสบการณ์ถือว่ายังน้อยนักเมื่อเทียบกับผู้เล่นคนอื่น ๆ เพราะทุก ๆ คนในตอนที่เก็บเลเวลกันก็ได้ฝึกฝนไปในตัวด้วย ทำให้สามารถแสดงฝีมือออกมาได้อย่างเต็มที่ ถึงแม้จะไม่มีประสบการณ์การต่อสู้มาก่อนก็ตามก็ยังสามารถเป็นยอดฝีมือได้ถ้าหากพยายามและหมั่นฝึกมากพอ



    เหตุผลทั้งสองข้อนั้นเป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้เจนแพ้ ถ้าให้พูดกันตามตรงแล้ว ตอนนี้ถ้าหากให้สู้กับโจหรือแจ็ค เจนก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะชนะพวกเขาได้ แม้ว่าทั้งสองจะใช้ทางลัดเลเวลในช่วงหลังเหมือนกับเจน แต่ทั้งคู่นั้นเคยเล่นเกมแบบนี้มาก่อน และทั้งคู่นั้นก็ใช้วิธีเก็บเลเวลแบบปกติบนเกาะเริ่มต้นจนพื้นฐานแน่นเอี๊ยด ต่างจากเจนที่สู้เพียงนิดหน่อยเท่านั้นและเธอก็ได้คิทซึเนะช่วยลัดเลเวลมาตั้งแต่แรกอีกด้วย



    เมื่อรู้ว่าเจนผิดพลาดตรงไหนแล้วเธอจึงวางแผนที่จะฝึกตัวเองให้เก่งขึ้นโดยศึกษาข้อมูลบนกระดานข่าวอย่างระเอียด และหวังว่าเมื่อได้กลับไปในเกมแล้วเธอจะสามารถขอคำแนะนำจากเหล่าเทพอสูรซักสองสามข้อ



    ตกเย็นเจนก็ลงมือช่วยแม่เตรียมมื้อเย็นเช่นเดิม ในตอนที่กำลังร่วมทานอาหารเย็นนั้น จริยาก็เปิดไปยังช่องข่าวบันเทิงตามปกติที่ผู้หญิงชอบดูกัน ตรงกันข้ามกับเจนที่ไม่คิดจะสนใจเรื่องแบบนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเสียงของคนที่อยู่ในโทรทัศน์กลับเรียกความสนใจให้หันขึ้นไปมอง



    ภาพของชายที่อยู่ในโทรทัศน์ทีวีนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชายที่เจนไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกพบ จีโอ!



    พรู้ด!!



    เจนที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มถึงกับสำลักและพ่นน้ำออกมาไปทั่ว ดีที่เจนหันหลบโต๊ะทานข้าว น้ำจึงหกพื้นแทนที่จะเป็นจริยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ



    "ตายแล้วเจน เป็นอะไรมั้ยลูก!" จริยาเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงแล้วจึงเดินเข้ามาดู



    "ไม่เป็นอะไร ก็แค่สำลักน้ำน่ะแม่ ก็แค่..." เจนรีบตอบ แต่ใจของเธอตอนนี้ไปอยู่ในโทรทัศน์เรียบร้อยแล้ว



    ภาพบนโทรทัศน์กำลังฉายให้เห็นภาพของจีโอในชุดสูทสีน้ำเงินกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวในงานเทศการกีฬาแห่งชาติที่จัดอยู่ในตัวเมือง



    "คุณจิรพัตรครับ ในฐานะของนักกีฬาแห่งชาติ ในโอกาสที่คุณมางานเทศการกีฬาแห่งชาติ คุณจิรพัตรพอจะมีคำพูดที่จะเชิญชวนประชาชนทั่วไปให้เล่นกีฬาให้มากขึ้นมั้ยครับ" นักข่าวคนหนึ่งถามแล้วยื่นไมโครโฟนไปจ่อที่ปากของชายหนุ่ม



    แม้ว่านักข่าวจะไม่ได้เอ่ยขึ้นของชายที่ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นจีโอ แต่เจนรู้ว่าต้องเป็นเขาแน่ ทั้งใบหน้าและท่าทางทะนงตัวชวนโมโหแบบนั้น และความรู้สึกของเจนไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน



    จีโอที่ถูกถามคำถามก็ยิ้มอย่างเป็นมืออาชีพ เขาทำท่าครุ่นคิดแล้วจึงตอบออกมา "ผมไม่รู้ว่าที่ผมพูดจะทำให้คนที่กำลังฟังอยู่มีความรู้สึกอยากจะมาเล่นกีฬาได้มั้ย แต่ผมขอบอกว่าการเล่นกีฬามีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแน่นอนครับ นอกจากจะทำให้คุณรู้สึกแข็งแรงปราศจากโรคภัยแล้ว ยังเป็นการคลายความเครียดได้ดีที่สุดด้วยครับ"



    "คุณจิรพัตรคะ จริงหรือเปล่าคะว่าในเกม ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ทั่วโลก คุณเป็นหนึ่งในผู้นำของกิลด์อันดับสองของเกม 'พยัคฆ์แดง จีโอ' ที่เป็นผู้ประกาศสงครามกับกิลด์อันดับที่สี่ คุณมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือเปล่าคะ" นักข่าวสาวคนหนึ่งถามขึ้น นักข่าวคนอื่นๆ รวมไปถึงคนบริเวณรอบ ๆ ต่างหันไปมองเธอด้วยความประหลาดใจ เพราะคนส่วนใหญ่ในบริเวณนี้เป็นนักข่าวสายบันเทิงที่ควรจะถามจีโอเป็นคำถามเกี่ยวกับคนรักซะมากกว่า แต่นักข่าวทุกคนก็รู้ว่าชายผู้นี้ไม่เคยปล่อยข่าวที่สร้างกระแสแบบนั้นออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว



    จีโอเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ นักข่าวสาวมาถามคำถามแบบนี้กับเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะมีใครถามคำถามแบบนี้กับเขา แต่ก็ดีเหมือนกันที่นักข่าวสาวคนนี้ถามขึ้นมา เขายื่นมือขอไมโครโฟนจากนักข่าวสาวแล้วจึงหันไปหากล้องนับสิบที่จับภาพของเขาเพียงผู้เดียว



    "ผมคือจิรพัตร คำหาญ หรือก็คือพยัคฆ์แดง จีโอ หนึ่งในหัวหน้ากิลด์ราชาพยัคฆ์คู่แต่เรื่องนั้นผมว่าทุกคนก็น่าจะพอเดากันได้แล้ว ส่วนอีกเรื่องนั้นผมจะขอย้ำอีกครั้ง ว่ากิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ได้ประกาศสงครามกับกิลด์พิฆาตราชาอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว และในอีกสองเดือนจากนี้ที่เป็นช่วงมหาสงคราม กิลด์ของผมจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกิลด์พิฆาตราชา ถ้าหาใครที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ ทางกิลด์จะยินดีช่วยเหลือในทุก ๆ เรื่อง แต่กิลด์ใดที่ไปอยู่ข้างเดียวกับกิลด์พิฆาตราชา ก็จะถือว่าเป็นศัตรูกับกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ทันที!"



    คำพูดแต่ละคำของจีโอที่เอ่อยออกมานั้นเปี่ยมไปด้วยพลังและความมุ่งมั่นไม่ต่างไปจากจีโอในเกมเลยแม้แต่นิดเดียว รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของเขาแสดงความมั่นใจในแต่ละคำที่เขาพูดออกมา และสะกดทุกคนให้คล้อยตามได้อย่างง่ายดาย



    แสงแฟรชและเสียงกดชัตเตอร์ดังรัวเมื่อจีโอพูดจบ นักข่าวคนอื่น ๆ ยิงคำถามรัวไปที่ตัวเขาซึ่งเป็นคำถามเกี่ยวกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในตอนนี้ประเด็นที่เกี่ยวกับกีฬาและเรื่องซุบซิบนั้นตกไปแล้ว



    "คุณจิรพัตรคะ จริงหรือเปล่าคะว่าสงครามในครั้งนี้คุณทำเพื่อปกป้องผู้เล่นฉาวที่ไปหาเรื่องกิลด์พิฆาตราชาในแหล่งเก็บเลเวลสาธารณะ" นักข่าวสาวคนเดิมถามอีกครั้ง



    พริบตาเดียวสายตาของจีโอได้เปลี่ยนไปจากสายตาที่บอกถึงความเป็นมิตร กลายเป็นสายตาที่ทำให้เลือดของนักข่าวสาวเย็นเฉียบ นักข่าวคนอื่น ๆ เมื่อเห็นสายตาของจีโอก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรต่ออีก ส่วนเจ้าตัวที่เป็นสาเหตุนั้นได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นไล่กา แค่จะกลืนน้ำลายยังไม่กล้าเลย ใครจะรู้ว่าคำถามที่เธอเพิ่งคิดมาสด ๆ



    "ผมไม่รู้ว่าคุณจะได้ข่าวนี้มากจากไหนแต่สิ่งที่คุณพูดมันผิดอย่างมหันต์ ครั้งนี้ผมจะไม่ถือสาเพราะว่าคุณยังไม่รู้เรื่องจริงที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากผมได้ยินใครเอ่ยถึงผู้เล่นคนนั้นในทางร้ายอีก....ผมจะถือว่าคน ๆ นั้นดูถูกผมเช่นกัน" จีโอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ตาของเจ้าจ้องเขม็งไปยังนักข่าวสาวที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นไม่กล้าแม้จะหายใจ



    ชายหนุ่มหันไปมองนักข่าวคนอื่นราวกับกำลังถามว่ามีคำถามอะไรอีกมั้ย แต่ไม่มีใครเลยที่จะกล้าเอ่ยปากพูดเลยซักคนเดียว เมื่อเห็นดังนั้นจีโอจึงหันหลังและเดินจากไป ปล่อยให้ทัพนักข่าวมองหน้ากันก่อนที่ภาพจะตัดไปเป็นโฆษณา



    "ว้าว ดูสิเจน เขาดูจะเอาจริงเอาจังกับเกมนี้มากเลยนะเนี่ย" จริยาพูด แต่ไม่มีคำตอบมาจากเจน เมื่อเธอหันไปหาลูกสาวก็พบว่าเจนนั้นนั่งนิ่งจ้องไปยังทีวีตาไม่กระพริบ



    "เจน....ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า" จริยาถามด้วยความรู้สึกเป็นห่วงและเข้ามาดูใกล้ ๆ



    เมื่อได้ยินเสียงเรียกของแม่ เจนก็ได้สติอีกครั้ง "ม..ไม่เป็นอะไรค่ะ! เจนอิ่มแล้ว เดี๋ยวเจนไปล้างจานให้นะ"



    พูดจบ เจ้าตัวก็ลุกขึ้นเก็บจานของเธอทันที ทั้ง ๆ ที่ข้าวบนจานพร่องลงไปยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ



    แม้ไม่รู้ว่าสาเหตุใดถึงทำให้เจนทำตัวแปลกประหลาดแบบนี้ แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกจริยาว่าเธอไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงลูกสาวของเธอเกี่ยวกับอาการแบบนี้ เธอยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากเมื่อเธอรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าอาการแบบนี้เธอก็เคยเป็นเมื่อช่วงเวลาที่เธอมีอายุพอ ๆ กับเจนเช่นกัน





    ทางด้านสาวน้อยที่ยกจานข้าวของตนมาที่ห้องครัวและรีบลงมือล้างจานอย่างว่องไวราวกับว่าเธอกำลังแข่งล้างจานกับใครอยู่ หัวใจเธอเต้นรัวอย่างไร้สาเหตุ ใบหน้าสีขาวนวลขึ้นสี เจนรู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดขึ้นมาจากทรวงอกของเธอ แต่เธอไม่เข้าใจเลยว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอ โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มในโทรทัศน์ที่ออกปากพูดปกป้องผู้ที่ยังไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริง ผู้ที่เป็นจุดต้นกำเนิดของสงคราม



    และคนผู้นั้นก็คือเธอ



    จบตอนที่ 30 ทบทวน

    ----------------------------------------------------

  32. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  33. #44
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่31 พบกันอีกครั้ง

    ตอนที่31 พบกันอีกครั้ง



    หญิงสาวผมสีดำยาวปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลผ่านร่างบางของเธออย่างช้า ๆ พร้อมทั้งพยายามทำให้อารมณ์ของเธอให้เย็นลงจากที่จู่ ๆ ก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เพียงแค่เจ้าคนอวดดีพูดปกป้องเธอจากนักข่าวคนนั้น มันก็แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ซักหน่อย



    สิ่งที่จีโอทำนั้นก็แค่พูดปกป้องคนที่กล้าต่อต้านกิลด์พิฆาตราชาที่ยังไม่มีใครเคยพบหน้ามาก่อน ในกระดานข่าวก็มีข่าวลือเกี่ยวกับผู้เล่นคนนี้ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งจากที่เจนลองไล่อ่านดูแล้วก็มีข่าวที่บอกว่าใส่ชุดคลุมสีขาวเท่านั้นที่ถูกต้อง แค่เนื้อในนั้นกลับหลุดโลกไปโดยสิ้นเชิงเพราะมันบอกเอาไว้ว่าเสื้อคลุมสีขาวตัวนั้นเป็นอุปกรณ์ป้องกันระดับ S ที่เพิ่มสถานะทุกอย่างขึ้นสิบเท่า ทั้ง ๆ ที่ความจริงมันก็เป็นแค่เสื้อคลุมธรรมดาเท่านั้น



    ส่วนข่าวอื่น ๆ ที่เกี่ยวกันเจนนั้นก็มั่วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นคนนั้นเป็นชายรูปหล่อร่างสูงบ้างล่ะ เขาเป็นหัวหน้ากิลด์คนที่เจ็ดของกิลด์หกราชันย์บ้างล่ะ หรือว่าจะมีข่าวที่บอกว่าเป็น Gm ปลอมตัวมาเพื่อสั่งสอนพวกกิลด์พิฆาตราชา แต่ก็เพราะข่าวเหล่านี้ทำให้เจนก็ยังพอจะวางใจได้เกี่ยวกับการปกปิดตัวตนของเธอว่าความจริงนั้นไม่ได้เฉียดใกล้เธอเลย



    ดังนั้นสิ่งที่จีโอพูดเจนมั่นใจว่าก็แค่เป็นการสร้างภาพและซื้อใจของเธอมากกว่า ไม่ได้มีความหลายอะไรไปมากกว่านั้นอย่างแน่นอน



    พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าของเธอก็พาลร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง จนทำให้สาวน้อยทนไม่ไหว หยิบขันตักน้ำสาดหน้าตัวเองซะอย่างนั้น







    หลังจากอาบน้ำเสร็จ เจนกลับรู้สึกหิวข้าวขึ้นมา ทำให้กลับไปนึกได้ว่าเธอเพิ่งกินข้าวไปแค่นิดเดียวเพราะข่าวของจีโอ เจนเพิ่มคดีอีกหนึ่งกระทงที่จะเอาไปคิดบัญชีกับจีโอถ้าหากได้เจอกันในเกม แม้ว่าความผิดครั้งนี้ความจริงไม่ได้ถือเป็นความผิดเลยก็ตาม



    เมื่อเจนเข้ามาในห้องครัวเพื่อหาอะไรรองท้อง ก็พบว่ามีอาหารเย็นถูกจัดเตรียมเอาไว้อีกชุด เจนรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของจริยาอย่างแน่นอน เธอช่างรู้ใจของลูกสาวคนนี้เสียจริง ๆ เจนยิ้มแล้วจึงยกอาหารมาที่โต๊ะทานข้าว จากนั้นจึงลงมือทาน



    ระหว่างทานข้าวนั้นเจนก็เปิดโทรทัศน์ดูไปด้วย ซึ่งตอนนี้เธอหลีกเลี่ยงข่าวบันเทิงและข่าวที่เกี่ยวกับดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์เอาไว้ก่อน เพราะเธอไม่อยากจะเห็นฉากคำพูดของจีโอซ้ำแล้วซ้ำอีก



    เจนเปลี่ยนช่องไปเจอข่าวต่างประเทศข่าวหนึ่ง เป็นข่าวของเศรษฐีหนุ่มที่มีอายุเพียงยี่สิบสามปี รับการอุปถัมภ์เด็กกำพร้าจากบ้านเลียงดูเด็กนับร้อยคน



    "คุณเดเมี่ยน คลาวรี่ย์ครับ คุณคิดยังไงหรือครับถึงได้เลือกบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้และรับอุปถัมภ์เด็กเป็นจำนวนมากเช่นนี้" นักข่าวถามและยื่นไมโครโฟนไปให้กับชายหนุ่มคนหนึ่ง



    เขาเป็นขายหนุ่มรูปร่างสูงหน้าตาหล่อเหล่า แม้จะไม่ได้รูปร่างดีเหมือนจีโอแต่บุคลิกเงียบขรึมของเขานั้นก็ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้ดูดีไม่น้อย และผมสั้นสีดำและดวงตาสีเดียวกันดูเป็นมิตรก็ยิ่งยกระดับบุคลิกของเขาให้เด่นชัดขึ้นไปอีก



    "ที่ผมเลือกบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ก็เป็นเพราะว่าที่นี่รับเลี้ยงดูเด็กเป็นจำนวนมาก แต่ว่าที่นี่ไม่สามารถเลี้ยงเด็กที่มีอายุเกินสิบหกปีได้ ซึ่งปีนี้ก็มีจำนวนมากถึงร้อยคน ดังนั้นผมจึงต้องการที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เด็กพวกนั้นโดยผมจะรับทุกคนเข้าสู่โครงการฝึกอาชีพของบริษัทและทุกคนจะได้รับบรรจุเป็นพนักงานในบริษัทของผมหลังจากจบหลักสูตรครับ" ชายหนุ่มกล่าวตอบ



    "เข้ารับทำงานในบริษัทอย่างที่คุณว่านี่หมายถึงทำงานในคาสิโนของคุณอย่างนั้นใช่หรือเปล่าคะ" นักข่าวสาวอีกคนถาม



    ชายหนุ่มเดเมี่ยน คลาวรี่ย์ยังรักษามาดเอาไว้ได้เป็นอย่างดี เขาหันไปยิ้มให้กับนักข่าวสาวแล้วตอบคำถามของเธออย่างใจเย็น



    "ผมคิดว่าการทำงานในคาสิโนไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับการพนันแต่ในสมัยนี้การหางานที่มั่นคงนั้นถือว่าเป็นเรื่องยาก และผมคิดว่าการทำงานอย่างสุจริตนั้นมันก็ย่อมจะดีกว่าการทำงานทุจริตอย่างแน่นอน คุณลองถามตัวเองดูก็แล้วกันนะครับว่าคนงานในคาสิโนร้อยคนกับเด็กติดยาร้อยคน อย่างไหนมันแย่กว่ากัน" ชายหนุ่มกล่าวจบแล้วก็เดินหนีกลุ่มนักข่าวขึ้นรถลิโมหรูที่จอดรออยู่แล้วจากไปอย่างเงียบ ๆ



    นักข่าวที่ไม่สามารถตามไปได้จึงรายงานสิ่งที่พบต่อหน้ากล้องแต่เจนไม่คิดจะฟังคำพูดของนักข่าวสาวที่เล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นอีกครั้ง เธอปิดโทรทัศน์แล้วจัดการยกจานข้าวที่ว่างเปล่าของเธอไปล้างให้เรียบร้อย แต่ในหัวของเธอยังคงคิดถึงคนที่ชื่อเดเมี่ยน คลาวรี่ย์



    เจนพบว่าเขาเป็นคนที่เจอด้วยครั้งหนึ่งแล้วจะจำได้ไม่ทีทางลืม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิสัยของเขาที่กล้าตัดสินใจ และไม่กลัวใครของเขา หรือจะเป็นหน้าตาที่ทำให้สาว ๆ หลงเสน่ห์อย่างง่ายดาย แต่เจนคิดว่าเป็นอย่างอื่นที่ทำให้เจนจดจำคน ๆ นี้ได้ บางอย่างที่ทำให้เจนรู้สึกแปลก ๆ กับตัวเขาเหมือนอย่างที่ตัวพังพรเจอกับงูเห่า







    หลังจากจัดการธุระอื่น ๆ เสร็จแล้วเจนก็กลับเข้าห้องนอนและสวมเฮดก็อกเกิ่ลเตรียมพร้อมจะกลับเข้าเกม ดวงตาพลับพริ้มลงพร้อมสติของเจนที่หลุดลอยไปในไม่นาน



    เมื่อลืมตาขึ้นมาเจนก็พบว่าตัวเธอได้กลับมาอยู่ในหมู่บ้านเกาลัดอีกครั้งนึงแล้ว สภาพหมู่บ้านในตอนนี้ดูแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่เธอพบมากทีเดียว ทั้งต้นไม้ใบเขียวที่เพิ่มมากขึ้น ดอกไม้ที่บานอยู่ไปเต็มหมู่บ้านและจิ้งจอกที่กำลังเดินเคียงอยู่ทานูกิราวกับว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน



    เพียงครู่เดียวเมื่อเหล่าทานูกิสังเกตถึงการมาของเธอ พวกนั้นก็ส่งเสียงทักทายกับเธอกันยกใหญ่ เจนยกมือทักทายตอบแล้วจึงถามหาถึงคิทซึเนะและฟีบีว่าอยู่ที่ไหน



    สิ่งที่เหล่าทานูกิทำนั้นมากกว่าบอกถึงตำแหน่งของทั้งสอง พวกเขาอาสานำทางเจนไปหาพวกคิทซึเนะเอง แม้ว่าเจนจะปฏิเสธแต่เหล่าทานูกิก็ยังคงยืนยันคำเดิมจนต้องยอมแพ้และเดินตามเหล่าทานูกินับสิบตัวที่เดินนำหน้าเธอและอีกหลายสิบที่เดินตามมา



    ระหว่างเดินไปยังจุดหมาย เจนไม่พบร่องรอยความเสียหายที่หลงเหลือจากครั้งล่าสุดที่เธอเห็นเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งหลุมพรางที่เคยเต็มไปด้วยก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ก็หายไป กลายเป็นผืนหญ้าเขียวขจีที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นออกมาแทน



    เจนเห็นถึงความเร็วในการซ่อมแซมหมู่บ้านระดับที่ไม่ธรรมดา เพียงแค่สิบห้าวันเท่านั้น ไม่เพียงแค่ซ่อมแซมความเสียหาย แต่ยังฟื้นฟูหมู่บ้านที่เมื่อก่อนเป็นป่าไม้ใบน้ำตาล เป็นป่าใบเขียวชอุ่มพร้อมทั้งทุ่งดอกไม้และผลไม้ที่ขยายวงกว้างยิ่งแต่แต่ก่อน ถ้าหากจะเรียกที่ใดว่าสวรรค์บนดิน หมู่บ้านแห่งนี้ก็คงจะเป็นสวรรค์บนดินสำหรับทานูกิและจิ้งจอกอย่างแน่นอน



    ทันใดนั้นเองเจนก็ได้ยินเสียงของการต่อสู้ดังมาจากด้านหน้า แต่เมื่อเห็นเหล่าทานูกิที่กำลังนำทางเธออยู่ไม่ได้แสดงความตกใจอะไร หญิงสาวจึงเดินตามไปเรื่อย ๆ แม้จะสงสัยก็ตาม แต่อีกไม่นานเธอก็จะรู้คำตอบอยู่ดี



    เมื่อเดินมาถึงจุดหมาย ตรงหน้าของเจนนั้นเป็นลานกว้างแห่งหนึ่งของหมู่บ้านที่เจนไม่เคยมาที่นี่มาก่อน บริเวณโดยรอบเป็นลานดิน มีทานูกิและจิ้งจอกอยู่เป็นจำนวนมากกำลังฝึกฝนการต่อสู้และการแปลงร่างกันอย่างขะมักเขม้น เจนจึงสันนิฐานเอาว่านี่คงเป็นสถานที่ของพวกทานูกิที่เอาไว้ฝึกฝนเพื่อป้องกันหมู่บ้านแห่งนี้



    ใจกลางลานดินเจนเห็นจิ้งจอกสีขาวในร่างแปลงมนุษย์ตัวหนึ่งกำลังต่อสู้กับเด็กสาวผมสีฟ้าที่เจนคิดว่าทั้งคู่น่าจะเป็นฟีบีและคิทซึเนะ ทว่าทั้งสองนั้นดูแตกต่างจากครั้งล่าสุดที่เจนเคยจำได้ โดยเฉพาะคิทซึเนะนั้นมีรูปร่างที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นโดยเฉพาะตรงหน้าอก เธออยู่ในชุดยาวสีขาวขลิบแดงพร้อมกับผมสีขาวที่ยาวขึ้นถูกมัดเอาไว้ด้านหลังดูเซ็กซี่ไปอีกแบบ



    ฟีบีเองนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่นัก แต่สีหน้าและท่าทางของเธอดูเอาจริงเอาจังขึ้นมากจนเจนยังต้องแปลกใจพร้อมทั้งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เธอไม่อยู่กันแน่นะ



    ทั้งฟีบีและคิทซึเนะนั้นต่างใช้การโจมตีระยะประชิดเข้าปะทะกัน แม้ว่าร่างของจิ้งจอกสาวจะใหญ่กว่าแต่ก็ไม่ทำให้ฟีบีเสียเปรียบมากนัก เพราะร่างของมังกรน้อยมังกรน้อยมีออร่าสีน้ำเงินที่เจนไม่รู้จักห่อหุ้มเอาไว้อยู่ ถึงแม้บางครั้งเธอจะหลบหมัดของพี่สาวไม่ทัน แต่ออร่าสีน้ำเงินก็สามารถป้องกันการโจมตีได้อย่างชะงักงัน



    ทันใดนั้นคิทซึเนะก็สร้างลูกไฟขึ้นมา แต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งที่ผ่าน ๆ มาที่มีลูกไฟเพียงสิบกว่าลูก ตอนนี้ด้านหลังของจิ้งจอกสาวมีลูกไฟจำนวนเกือบร้อยลูกและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเจนนับไม่ถ้วน และแต่ละลูกก็เป็นเพลิงสีฟ้าอ่อนที่ทวีความรุนแรงยิ่งกว่าลูกเพลิงธรรมดาที่เธอเคยใช้มากนัก



    ลูกเพลิงนับร้อยพุ่งเข้าใส่ร่างเล็กทันที เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวอย่างต่อเนื่องราวกับเสียงจรวดมิสซายส์ยิงถล่ม เมื่อมหกรรมลูกเพลิงจบลง จุดที่ฟีบีอยู่นั้นเกิดฝุ่นควันมหาศาลจากการระเบิด บดบังไม่ให้เห็นร่างของมังกรน้อยที่ยังไม่รู้ถึงชะตา



    ทว่าทันใดนั้นเองกลุ่มควันก็หมุนวนเป็นวงกลมราวกับเป็นพายุพัดผ่าน เพียงพริบตาเดียวควันดินก็ถูกพัดหายไป เผยให้เห็นฟีบีที่อยู่ในโล่พลังเป็นรูปโดมออร่าสีน้ำเงินที่เคยคลุมร่างของเธออยู่ เจนมั่นใจว่าลูกไฟของคิทซึเนะต้องมีความรุนแรงมากแน่ ๆ แต่กลับไม่สามารถทำให้โล่ออร่าของฟีบีมีแม้แต่รอยขีดข่วน แสดงว่าพลังใหม่ของฟีบีนั้นก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน



    เมื่อเห็นว่าการโจมตีขาดช่วงไป ฟีบีจึงปลดโล่พลังลงและอ้าปากเตรียมพร้อมที่จะใช้ดราก้อนบรีธ คลื่นพลังค่อย ๆ เข้ามารวมตัวกันที่ปากของเด็กสาว ทันใดนั้นเองลำแสงสีฟ้าก็พุ่งออกมาจากปาก ตรงเข้าใส่คิทซึเนะที่ยืนเตรียมพร้อมอยู่แล้ว



    จิ้งจอกสาวไม่มีท่าทีเกรงกลัวต่อลำแสงที่เธอเคยเห็นอานุภาพของมันมาแล้ว ในตอนนั้นเป็นเพียงลำแสงเล็ก ๆ เท่านั้นยังสามารถระเบิดดินเป็นหลุมขนาดยักษ์ได้อย่างสมบรูณ์แบบแถมเกือบจะเผาป่าไปทั้งแถบด้วย ครั้งนี้ขนาดของลำแสงใหญ่กว่าและเข้มข้นกว่าถึงสองเท่า ทว่าดวงตาของคิทซึเนะยังคงสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด



    ก่อนที่ดราก้อนบรีธจะเข้าปะทะกับร่างของคิทซึเนะ แขนของเธอพลันมีออร่าสีทองดูคุ้นตาปรากฏขึ้น เธอยกแขนขึ้นกันลำแสงดราก้อนบรีธก่อนที่ร่างของเธอจะถูกแผดเผาเพียงนิดเดียว



    ตูม!!



    เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างน่ากลัว เจนรู้สึกเสียวว่าคิทซึเนะจะได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อเห็นว่าตอนนี้คิทซึเนะเป็นอย่างไรก็ทำให้ใจรู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก



    ตรงหน้าของหญิงสาวนั้นเป็นคิทซึเนะในชุดสวยที่ไม่มีแม้แต่รอยไหม้ แขนเรียวยาวมีออร่าสีทองแบบที่เจนเคยใช้ในร่างพลังสถิตเทพจิ้งจอกเก้าหางคลุมอยู่ทำให้ปลอดภัยจากดราก้อนบรีธของฟีบี เจนรู้ดีว่าออร่านี้มีพลังมากแค่ไหน แต่เธอไม่เคยคิดว่าออร่าสีทองนี้จะใช้มาป้องกันตัวเช่นนี้ได้ ปกติแล้วเธอจะปล่อยออร่าออกมาเพิ่มพลังการต่อสู้มากกว่า นับว่าคิทซึเนะสามารุใช้พลังได้เหนือกว่าเจนแล้วทั้ง ๆ ที่เธอเพิ่งใช้พลังได้ไม่นานเท่านั้น



    เมื่อการต่อสู้จบลง ทั้งสองก็รู้สึกถึงการมาของเจนที่กำลังยืนมองทั้งคู่ด้วยความตกตะลึงถึงการเปลี่ยนแปลงของพวกเธอจนพูดไม่ออก



    "พี่เจน!!" เสียงใสประสานพร้อมกับสาวน้อยทั้งสองวิ่งเขามากอดอย่างร่าเริง



    เจนแทบจะหงายหน้าเมื่อเจอแรงกระแทกจากทั้งคู่ โดยเฉพาะคิทซึเนะตอนที่นี่ไม่ใช่ตัวน้อย ๆ แล้ว ความสูงตอนนี้เกือบจะเท่าเธอแล้วทำให้แรงก็เยอะตามไปด้วย ยังไม่พูดถึงฟีบีที่พุ่งเข้ามากอดคอเธอจนแทบตัวลอย



    "ว่าไง..- แค๊ก! แค๊ก! เดี๋ยวนะฟีบี ปล่อยก่อน ฉันหายใจไม่ออก" หญิงสาวว่าพลางพยายามแกะมือของมังกรน้อยออกอย่างยากเย็น



    "ฮิฮิ" ฟีบีส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจแต่เธอก็ยอมปล่อยมือและมายืนเกาะแขนของเจนอยู่ข้างตัว



    "ตอนที่พี่เจนไม่อยู่ พวกเราคิดถึงพี่เจนมากเลยค่ะ คิทซึเนะเองก็กำลังนึกอยู่ว่าเมื่อไหร่พี่จะกลับมา" จิ้งจอกสาวว่า



    "ฉันเองก็คิดถึงพวกเธอเหมือนกัน ว่าแต่เมื่อกี้พวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่งั้นหรือ ฝึกซ้อม?" เจนถาม ฟีบีรีบยกมือขอตอบทันควัน



    "ใช่ค่ะ! หนูใช้พลังใหม่ได้ด้วยล่ะ ดูสิ ๆ!" ไม่พูดเปล่า ฟีบีเริ่มใช้โล่งพลังคลุมตัวของเธออีกครั้ง สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกับเด็กที่ได้อวดของเล่นใหม่ทำให้เจนอดที่จะยิ้มและขยี้ผมยุ่งของเจ้าตัวน้อยไม่ได้



    "เธอเองก็เหมือนกันนะคิทซึเนะ เธอใช้พลังแบบเดียวกับที่ฉันใช้ได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะเก่งกว่าฉันซะอีก" เจนหันไปพูดกับจิ้งจอกสาวซึ่งเธอก็ยิ้มโชว์เขี้ยวอย่างเอียงอายดูน่ารักไปอีกแบบ



    มาเอะและยากิเดินตามหลังทั้งสองมา เจนสังเกตถึงการมาของพวกเธอได้จากออร่าความสูงส่งที่แผ่มาจากตัวทั้งคู่ แม้จะมองไม่เห็นแต่มันเป็นสิ่งที่รู้สึกได้ ทว่าเจนจะรู้สึกแปลก ๆ ที่จะรู้สึกถึงมันมาจากร่างอ้วนท้วมของยากิในตอนนี้ก็ตาม



    "ท่านมาเอะ ท่านยากิ" เจนเอ่ยทักและโค้งตัวให้กับทั้งสองอย่างสุภาพ



    มาเอะพยักหน้าทักทายกลับไปอย่างอ่อนโยน ส่วนยากินั้นเกาท้องให้เจนมอง ช่างเหมาะสมกับบุคลิกของร่างแปลงจริง ๆ



    "ยินดีต้อนรับกลับมานะ เจน ส่วนเจ้า ยากิ หัดสำรวมตัวให้เหมาะสมกับที่เป็นเทพอสูรหน่อย" มาเอะพูดประโยคหลังด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ เจนเองก็พอจะเข้าใจถึงความรู้สึกของเธอเมื่อเห็นยากิกำลังแคะขี้มูกอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว



    "ทำไมล่ะ ข้าเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร"



    "ยากิ! เฮ้อ... ข้าล่ะหวังจริง ๆ ว่าราชาทานูกิตัวต่อไปจะไม่จำนิสัยแย่ ๆ ของเจ้ามาใช้" มาเอะว่า สะกิดความสงสัยของเจนให้อดเอ่ยปากถามไม่ได้



    "ราชาหรือคะ?"



    "ใช่ ราชาของเผ่าทานูกิอย่างเดียวกันกับราชาเทนกุที่เจ้าสู้ด้วยไง หมู่บ้านของข้าฟื้นฟูกลับมาเกือบจะเหมือนเดิมแล้ว มันก็ควรจะถึงเวลาแล้วที่จะมีผู้นำเผ่าซักที" ยากิเป็นผู้ตอบ



    "นั่นไม่ใช่หน้าที่ของเทพประจำเผ่าหรอกหรือคะ" เจนถามขึ้นด้วยความสงสัยยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำอธิบายของเทพอสูรทานูกิขนทอง



    "เทพประจำเผ่ามีหน้าที่แค่ชักนำให้เผ่าพันธุ์ของตนเดินทางไปยังเส้นทางที่เห็นอันควรและปกป้องเผ่าพันธุ์ให้ดำรงอยู่ต่อไป แต่หน้าที่ปกครองเผ่าพันธุ์นั้นคือราชาของเผ่าพันธุ์" คราวนี้มาเอะเป็นผู้อธิบาย



    "และผู้ที่จะเป็นผู้นำของเผ่าข้าต่อไปก็เป็นทานูกิที่เจ้าเองก็น่าจะรู้จักดี" ยากิเสริม



    "ใคร.. โปโกะ!?"



    รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเทพอสูรทั้งสองเป็นเครื่องยืนยันคำตอบของเธอได้อย่างดี



    "ตอนนี้โปโกะกำลังรับการฝึกเพื่อที่จะรับตำแหน่งราชาอยู่ค่ะ เพราะอย่างนั้นพวกเราคงจะไม่ได้พบเธออีกพักใหญ่เลย" คิทซึเนะบอก



    "พอเห็นว่ายากิพาลูกหลานของตนไปฝึก ข้าเห็นทั้งสองดูเหงา ๆ ก็เลยช่วยฝึกการต่อสู้กันบ้างโดยมีข้าคอยช่วยแนะนำ สำหรับคิทซึเนะ พลังของเธอเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเพราะเป็นจิ้งจอกเช่นเดียวกันกับข้า จึงสามารถถ่ายทอดพลังให้เพิ่มมาอีกระดับได้ แต่สำหรับฟีบีข้าทำได้แต่ช่วยสอนในสิ่งที่เธอมีอยู่เท่านั้น ถ้าหากต้องการจะให้หนูฟีบีเก่งขึ้นกว่านี้ไปอีกขึ้น เจนคงต้องหาวิธีเอาเองแล้วล่ะ" มาเอะอธิบาย



    เจนเอ่ยขอบคุณแล้วรีบเปิดหน้าต่างสัตว์เลี้ยงดูทันทีว่าสิบห้าวันที่ผ่านมา มีอะไรได้เปลี่ยนแปลงไปบ้าง



    [สัตว์เลี้ยง] จิ้งจอกขาว คิทซึเนะ

    ยศ ขุนนาง ระดับ 5



    ทักษะ



    ไฟจิ้งจอก ระดับ A

    เปลวเพลิงสีฟ้าที่มีความร้องสูง ไฟที่เกิดจากทักษะนี้จะดับได้ยากมาก มีพลังสามารถจัดการมอนสเตอร์ประเภทวิญญาณและอันเดธได้รุนแรง ช่วยป้องกันมอนสเตอร์ที่มีระดับต่ำกว่า 50 มาเข้าใกล้ได้



    แปลงร่าง ระดับ B

    สามารถแปลงร่างให้เป็นตามใจต้องการได้ จำกัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเท่านั้น



    อำนาจสีทอง ระดับ S

    เพิ่มความเร็ว พลังโจมตี พลังป้องกันของผู้ใช้ทักษะขึ้นสองเท่าเมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่ใช้ทักษะ สามารถใช้พลังได้หลากหลายรูปแบบ







    [สัตว์เลี้ยง] มังกรฟ้า ฟีบี

    ยศ ทหาร ระดับ 100

    ทักษะ



    ดราก้อนบรีท ระดับ A

    ทักษะประจำตัวของเผ่ามังกร เป็นการพ่นพลังออกมาตามธาตุของสายพันธ์มังกรนั้น ๆ พลังโจมตีขึ้นอยู่กับระดับยศและเลเวล



    กลายร่าง ระดับ D

    ทักษะประจำตัวของเผ่ามังกร สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ หรือจะคืนร่างกลับไปเป็นมังกรได้ตามใจชอบ



    จิตมังกร ระดับ S

    ทักษะประจำตัวของเผ่ามังกร ปลดปล่อยจิตแห่งมังกรออกมาเพื่อข่มขู่ศัตรูหรือเรียกสัตว์อสูรเผ่ามังกรให้เข้ามาหา



    ดราก้อนฟิลด์ ระดับ S

    ทักษะประจำตัวเผ่ามังกร สร้างโล่พลังขึ้นมาปกป้องผู้ใช้ทักษะ ความแข็งแกร่งของและลักษณะของโล่พลังขึ้นอยู่กับเลเวลและตัวผู้ใช้



    เจนแปลกใจเมื่อสังเกตเห็นว่ายศของคิทซึเนะกลายเป็นขุนนางไปแล้ว และเธอถึงกับต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นคำอธิบายของทักษะใหม่ของทั้งคู่ที่ดูจะแปลกจากที่เธอเคยพบมาก่อน โดยเฉพาะตรงที่ส่วนหลังของคำอธิบาย ถ้าหากเจนตีความไม่ผิดล่ะก็ พลังของทั้งคู่ที่เพิ่งได้มานั้นสามารถใช้งานได้ในหลายสถานการณ์มาก โดยเฉพาะของคิทซึเนะที่ไม่เพียงแค่ใช้เป็นโล่ป้องกันอย่างที่เพิ่งแสดงให้เห็น แต่อาจจะสามารถใช้เป็นอาวุธได้ด้วยซ้ำไป



    "นี่มัน...ยอดเยี่ยมไปเลย ขอบคุณมากเลยค่ะท่านมาเอะ แบบนี้ทั้งคู่ก็คงจะดูแลตัวเองได้แล้ว ต่อให้เป็นพวกกิลด์พิฆาตราชาก็คงทำอะไรทั้งสองไม่ได้ง่าย ๆ แน่" เจนกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจ สร้างความพึงพอใจให้กับมาเอะที่รอฟังคำตอบของหญิงสาวอยู่ไม่น้อย



    จากนั้นทั้งห้าจึงพากันย้ายที่สนทนา สุดท้ายยากิที่ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีก็พาไปนั่งพักอยู่ในร้านน้ำชาแห่งใหม่ของหมู่บ้านที่เพิ่งเปิดขึ้นด้วยความคิดของเขาเอง ซึ่งเขากำลังจะเปิดหมู่บ้านเพื่อทำการค้ากับเผ่าพันธุ์อื่น



    จึงกลายเป็นว่าพวกเจนได้เป็นลูกค้าคนแรกของหมู่บ้านแห่งนี้ไปโดยบริยาย



    หลังจากที่พูดคุยกันจนพอใจแล้ว เจนจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะออกเดินทางกลับไปยังเมืองยามะไตเพื่อเปลี่ยนอาชีพและเลื่อนยศเสียที



    "ถึงจะเสียดายที่จะไม่ได้บอกลากับโปโกะ แต่พวกเราคงต้องขอตัวกลับเมืองก่อนล่ะนะ" เจนพูด



    คิทซึเนะและฟีบีได้ยินก็มีสีหน้าหดหู่ลงเล็กน้อย แม้เจนจะรู้ว่าทั้งสองคงไม่ได้อยากจะออกห่างจากมาเอะเท่าไหร่ โดยเฉพาะฟีบีที่ดูจะทำตัวเป็นเด็กติดแม่เหมาะสมกับอายุ จนทำเอาเจนที่อยู่กับมังกรน้อยตั้งแต่ยังเป็นไข่รู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย แต่ใครจะเลี้ยงดูเด็กได้ดีไปกว่าผู้ที่เป็น****าก่อนอย่างมาเอะ นั่นเป็นเรื่องที่เจนต้องยอมรับ



    "ถ้าหากยังไม่อยากไปก็อยู่ที่นี่ก่อนก็ได้นะ วันนี้ฉันจะไปรวมตัวกับพวกแจ็คอยู่แล้ว แถมพวกเสือซ่อนลายก็น่าจะมาถึงจุดนัดพบแล้วด้วย" เจนบอก



    คิทซึเนะได้ยินเจนพูดก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทันที "ไม่ค่ะพี่เจน! ใครบอกว่าคิทซึเนะไม่อยากไป หนูอยากเดินทางไปกับพี่เจนอยู่แล้วค่ะ!" จิ้งจอกสาวพูดเสียงดังกลบเกลื่อนความรู้สึกของเธอเมื่อครู่



    "เสือซ่อนลายนี่อร่อยหรือเปล่าคะ" ฟีบีถามขึ้นด้วยความสงสัย ดูท่าทางความใสซื่อของมังกรน้อยยังคงจะไม่หายไปง่าย ๆ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เจนต้องสอนให้เด็กน้อยผู้นี้



    "จะว่าไปข้าเองก็คงต้องกลับไปที่หุบเขาของข้าบ้างแล้วล่ะ" มาเอะเอ่ยขึ้นบ้างลางหันมองไปยังทางทิศตะวันออกซึ่งก็น่าจะเป็นทิศที่ต้องของหุบเขาของมาเอะนั่นเอง



    "เอาไว้เสร็จธุระแล้ว เจนอย่าลืมมาเยี่ยมข้าที่หุบเขาจิ้งจอกบ้างล่ะ อ้อ! แล้วอย่าลืมพาเพื่อน ๆ ของเจ้ามาด้วยนะ ข้าฟังจากที่คิทซึเนะเล่าแล้ว ข้าอยากจะคุยกับเด็กสาวที่ชื่อซินจูจริง ๆ ว่าเสื้อตัวนี้มีความเป็นมายังไง"



    เมื่อพูดจบเจนถึงได้สังเกตเห็นชุดเดรสยาวสีแดงตัวหนึ่งอยู่ที่แขนของมาเอะ แม้จะไม่ได้ถูกสวมใส่แต่จากที่เจนเห็นก็รู้ได้ว่าชุดนั่นมีเนื้อผ้านุ่มและมีราคาสูงในแบบที่อยู่ในโลกแห่งความจริง ทำให้เจนบอกได้เลยว่าคิทซึเนะต้องเป็นผู้ที่เอาชุดนี่ให้กับแม่ของเธออย่างแน่นอน



    สิ่งที่เจนสงสัยคือชุดนั่นดูแล้วทำให้เจนรู้สึกคุ้น ๆ ชวนนึกถึงจริยาขึ้นมา จะว่าคิดถึงหรือไม่ได้เจอกันนานก็ไม่ใช่ ความจริงแล้วเจนควรจะนึกถึงซินจูมากกว่าเพราะคิทซึเนะน่าจะได้ชุดนี้มาจากตอนที่พวกเธออยู่ในเมืองซีโป



    อาจจะเป็นเพราะชุดแบบนี้เป็นชุดที่จริยาชอบใส่ แต่รสนิยมของแต่งละคนนั้นอาจจะเหมือนกันหรือไม่เหมือนกันก็ได้ บนโลกมีคนอยู่เป็นพัน ๆ ล้านคน จะมีคนที่รสนิยมเหมือนกันโดยบังเอิญก็ไม่ใช่เรื่องแปลก



    แล้วถ้าหากแม่ของจนเป็นผู้ที่ซื้อชุดนี้ให้คิทซึเนะเองล่ะ



    แต่แม่ของเธอเพิ่งจะเล่นเกมมาแค่คืนเดียวเท่านั้นเอง คงเป็นไปไม่ได้หรอก!



    "ค่ะ ถ้าหากจัดการธุระเสร็จแล้วจะรีบกลับมาหาท่านมาเอะทันทีเลยค่ะ" เจนสลัดความคิดไร้สาระออกไปแล้วเอ่ยรับคำ



    "จริงสิ ข้ายังไม่ได้ตอบแทนเจ้าเลยที่ช่วยปกป้องหมู่บ้านของข้าเอาไว้ รับนี่ไปสิ" ยากิว่าแล้วจึงยื่นไหขนาดเล็กพอ ๆ กับกระบอกใส่น้ำให้กับเจน



    ไหหมักเหล้าผลไม้รวม ขนาดเล็ก ระดับA

    ไหที่ใช้สำหรับหมักผลไม้ให้กลายเป็นเหล้าผลไม้รวมได้ รสชาติและระยะเวลาการหมักขึ้นอยู่กับระดับของวัตถุดิบที่ใช้

    เลือกเพิ่มเติมเพื่อดูรายละเอียดการใช้งาน



    "แต่ฉันไม่ดื่มเหล้านี่นา ของแบบนี้เอาไปฉันก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรหรอกค่ะ" เจนว่าพร้อมกับทำท่าจะส่งไหหมักคืน แต่ทานูกิขนทองรีบตอบบ่ายเบี่ยง



    "ฮะ..เฮ้ย! เจ้าจะเอาไปให้คนอื่นต่อหรือจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเจ้าเถอะ ข้ามอบให้เจาเพื่อเป็นการตอบแทนเจ้าเลยนา อย่าปัดน้ำใจของข้าทิ้งเลย" ยากิกล่าว แบบนี้ถึงเจนจะไม่อยากได้แต่ให้เมื่อพูดถึงขนาดนี้เธอก็ต้องเก็บไหเหล้าลงกระเป๋าอย่างจำใจ







    เจนหยิบกระดาษวาปออกมาจากกระเป๋าเตรียมพร้อมออกเดินทางกลับเมืองโดยมีทานูกิน้อยใหญ่และเทพอสูรทั้งสองคอยยืนส่งอยู่ที่ลานกว้างที่เคยเป็นที่จัดงานเลี้ยงใหญ่



    ทั้งสามโบกมือลาส่งกลับไป ถึงสำหรับเจนนั้นเป็นเพียงเวลาไม่นานนัก แต่เธอก็หลงรักที่แห่งนี้เข้าให้แล้ว ทั้งวิถีชีวิตอันเรียบง่ายที่เป็นมิตรกับธรรมชาติของเหล่าทานูกิและบรรยากาศร่มรื่นน่าอยู่ของหมู่บ้านเกาลัด หวังว่าซักวันในโลกแห่งความจริง เจนจะมีโอกาสที่จะได้อยู่ในที่แบบนี้บ้าง



    เจนพยักหน้ากับกับสองสาวเพื่อให้เตรียมพร้อม จากนั้นเธอก็ฉีกกระดาษในมือออกจากกัน มนตราที่อยู่บนแผ่นกระดาษเริ่มทำงานทันที ร่างของเจนส่องสว่างพร้อม ๆ กับสองสาวที่จับแขนของเจนแน่น เพียงครู่เดียว เจนก็มองไม่เห็นมาเอะและยากิอีกต่อไป มีแต่ความมืดมิดเท่านั้น



    การวาปทำให้เจนรู้สึกถึงแรงบีบอัดร่างเหมือนถูกอัดอยู่ในกล่องสุญญากาศ จะหายใจก็ไม่ได้ จะขยับก็ไม่ได้ มองก็ไม่เห็น ยังดีที่การวาปจะเสียเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น



    เพียงชั่วอึดใจ เจนพร้อมทั้งคิทซึเนะและฟีบีก็ปรากฏอยู่ลานกว้างของเมืองยามะไตอีกครั้ง และหลังจากที่ไม่ได้เข้าเมืองมาพักใหญ่ ทำให้สองสาวด้านหลังเจนรู้สึกตื่นเต้นกับจำนวนผู้คนมากมายที่กำลังเดินไปมาอยู่รอบตัว



    'อืม คนเยอะจังเลยแฮะ สงสัยช่วงนี้คนในแถบเอเชียจะออนไลน์พร้อมกันพอดี เมืองนี้ก็เลยมีคนเยอะกว่าตอนที่เรามาตอนแรก' เจนคิดในใจเมื่อสังเกตว่าตอนนี้มีคนมากกว่าเมื่อครั้งก่อนที่เธออยู่ในเมือง



    พวกเจนเดินตรงไปยังอาคารระบบเป็นอย่างแรก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เธอต้องทำตอนนี้ไม่ใช่ไปสมทบกับพวกแจ็ค แต่เป็นการส่งภารกิจเปลี่ยนอาชีพที่ทำให้เธอต้องถ่อไปถึงหมู่บ้านเกาลัด



    ตึกอาคารระบบในช่วงเช้านั้นมีคนเยอะกว่าที่เจนคิด เพราะอาจจะเป็นช่วงที่ผู้เล่นล็อกอินเข้ามาพร้อมกันหรือจะเป็นเพราะเมืองมีขนาดใหญ่ก็ตาม แต่อาคารระบบที่เจนเดินเข้ามานั้นก็ดูมีขนาดใหญ่ไม่น้อยเช่นกัน ทำให้ทั้งสามต้องนั่งรอจนกว่าจะถึงคิวของตัวเอง



    "เจน ฟังอยู่หรือเปล่า" เสียงของแจ็คดังขึ้นในหัวระหว่างที่สามสาวกำลังนั่งรออยู่ที่มุมรับแขกของอาคาร



    "แจ็ค! ว่าไง มีอะไรหรือถึงติดต่อมา" เจนตอบกลับไปในช่องสื่อสารกลุ่ม



    "ตอนนี้พวกเสือซ่อนลายอยู่กับฉันแล้ว พวกเรากำลังคิดจะกินมื้อเช้ากัน ตอนนี้เธออยู่ไหนล่ะ มาถึงเมืองหรือยัง" แจ็คถามด้วยน้ำเสียงปกติ ทำให้เจนที่กำลังกังวลก็รู้สึกโล่งอกเมื่อได้ยินว่าเพื่อนของเธออยู่กับเสือซ่อนลายแล้ว



    "ตอนนี้ฉันอยู่ที่อาคารระบบ กำลังมาส่งภารกิจและก็เปลี่ยนอาชีพพร้อมกันเลย แต่คนเยอะมากเลย คงต้องใช้เวลาอีกซักพักนึงล่ะ แล้วนี่โจอยู่กับนายหรือเปล่า" เจนถามกลับไป



    "อ่าอะ ยังไม่เห็นตัวเลย พวกเราคุยกันอยู่แบบนี้แล้วหมอนั่นยังไม่ตอบกลับมาแสดงว่าคงกำลังยุ่งอยู่แน่ ปล่อยหมอนั่นไปก่อนเถอะ เดี๋ยวอีกซักพักก็โผล่มาเอง" แจ็คว่าด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ จนหญิงสาวที่ฟังอยู่อดหมั่นไส้ไม่ได้ ใครกันนะที่ถามหาพ่อหนุ่มจอมเวทย์ด้วยน้ำเสียงสั่นระรัวไปเมื่อวันก่อน



    "เข้าใจแล้ว ที่นี่คนเยอะ คงอีกซักพักกว่าที่ฉันจะออกไปได้ นายพาพวกพี่เสือไปหาอะไรกินกันก่อนเลย"



    เพื่อนหนุ่มไม่ส่งเสียงตอบมาอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกับว่ากำลังไปคุยกับคนอื่นอยู่ ไม่นานนักเจนก็ได้ยินเสียงของเขาตอบกลับมาอีกครั้ง



    "ทางนี้บอกว่าจะรอจนกว่าเธอจะมาน่ะ แล้วซินจูก็บอกว่าอยากจะกินข้าวพร้อมกับคิทซึเนะและฟีบี.. ใช่ ฉันเล่าเรื่องยัยหนูให้พวกเขาฟังหมดแล้ว"



    เจนหัวเราะออกมาเบา ๆ เธอรู้ว่าซินจูจะต้องร้องกรี้ดแน่ถ้าเห็นฟีบีเข้า แต่กับคิทซึเนะที่กลายเป็นสาวสวยผมยาวรูปร่างเซ็กซี่นั่นก็คงจะเป็นอีกเรื่องนึง



    ตอนนั้นเองที่เจนได้ยินเสียงเรียกถึงคิวของเธอ เจนบอกกับแจ็คว่าถึงคิวของเธอแล้ว จากนั้นจึงรีบตรงเข้าไปยังช่องที่ว่างอยู่ทันที โดยไม่ลืมที่จะเรียกสองสาวมาด้วย



    "สวัสดีค่ะ ต้องการความช่วยเหลืออะไรคะ" เจ้าหน้าที่สาวเอ่ยต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม



    "เอ่อ.. ฉันมาส่งภารกิจเลื่อนยศและเปลี่ยนอาชีพน่ะ" เจนว่า



    "โปรดรอซักครู่นะคะ" เจ้าหน้าที่สาวตอบอย่างฉับไวพร้อมกับเปิดหน้าต่างแสงขึ้นมา ไม่นานนักเธอก็มีสีหน้าตกใจอย่างที่เจนเคยเห็นเมื่อตอนที่เธอรับภารกิจมา แต่หลังจากที่เจ้าหน้าที่สาวทำท่าพูดคุยอยู่กับใครบางคนแล้ว เธอก็หันมาหาเจนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง



    "ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ ภารกิจของคุณเจนคือ 'ภารกิจผู้กล้า' นะคะ ค่าตอบแทนของภารกิจนี้คือการเลื่อนยศและอาชีพพิเศษ กรุณาตรวจเช็คข้อมูลส่วนตัวด้วยค่ะเพื่อเป็นการยืนยันว่าคุณเจนได้อาชีพและได้รับการเลื่อนยศแล้ว" เจ้าหน้าที่สาวพูดลิ้นรัว เจนจึงรีบเปิดหน้าต่างแสงขึ้นมาดูทันที



    ชื่อ:เจน

    อาชีพ ผู้กล้า ชั้นขุนนาง ระดับ 1

    สถานะตัวละคร

    พลังชีวิต 5829/5829 พลังเวทย์มนตร์ 10615/10615

    ค่าความอิ่ม 54/100 ค่าความเหนื่อย 100/100



    สถานะพื้นฐาน

    พลังโจมตี 56 ความฉลาด 16

    พลังป้องกัน 18 พลังป้องกันเวทย์ 18

    ความเร็ว 40 ความอดทน 30

    ความแม่นยำ 16 โชค 9



    ทักษะ





    ทักษะ ตรวจสอบ ไม่ใช่พลังเวทย์

    ทักษะพื้นฐาน สามารถใช้ตรวจสอบมอนสเตอร์และผู้เล่นได้ แต่ถ้าหากเป้าหมายมีระดับมากกว่าผู้ใช้เกิน 20 ระดับ จะสามารถตรวจสอบได้เพียงแค่ชื่อกับยศและระดับเท่านั้น



    ทักษะ ทักษะการใช้ดาบขั้นสูง ระดับ 90

    ทักษะพื้นฐาน ช่วยเพิ่มพลังโจมตีเมื่อใช้อาวุธเป็นดาบ



    ทักษะ การต่อสู้มือเปล่า 33

    ทักษะพื้นฐาน ช่วยเพิ่มพลังโจมตีเมื่อใช้มือเปล่า



    ทักษะ ปลดผนึก ใช้พลังเวทย์ 100 ไม่มีระยะเวลาดีเลย์

    ทักษะระดับ S สามารถใช้ปลดผนึกอาวุธที่ถูกผนึกอยู่ได้



    ทักษะ เสริมพลังกาย ใช้พลังเวทย์ 50 ระยะเวลาดีเลย์ 5 นาที

    ทักษะระดับ E สามารถเสริมพลังโจมตี พลังป้องกันและความเร็วขึ้นสองเท่าได้ชั่วขณะหนึ่ง



    ทักษะ ผ่ามิติ ใช้พลังเวทย์ 525 ระยะเวลาดีเลย์ 10 วินาที

    ทักษะระดับ S (จากอาวุธ) สามารถฟันเป็นคลื่นพลังโจมตีระยะไกลได้ พลังโจมตีเป็นธาตุแสงและไฟ ความรุนแรงขึ้นอยู่กับพลังโจมตีของผู้ใช้ทักษะ



    ทักษะ อัญเชิญอสูร ใช่พลังเวทย์ 5000 ระยะเวลาดีเลย์ 6 ชั่วโมง

    ทักษะระดับ S (จากอาวุธ) สามารถอัญเชิญอสูรได้ โดยอสูรที่อัญเชิญมาสามารถได้มาจากทักษะผนึกอสูร หรือ สัตว์อสูรยอมรับเป็นนาย



    ทักษะ ผนึกอสูร ใช้พลังเวทย์ 800 ระยะเวลาดีเลย์ 1 ชั่วโมง

    ทักษะระดับ A (จากอาวุธ) สามารถทำการผนึกอสูรเพื่อใช้งานได้ โอกาสสำเร็จขึ้นอยู่กับระดับของผู้ใช้และความแข็งแกร่งของสัตว์อสูร



    ทักษะ พลังสถิตร่าง ใช้พลังเวทย์ 1000 หลังจากใช้ทักษะแล้วใช้พลังเวทย์ 100 ต่อ 1 นาทีเพื่อรักษาสภาพ ระยะเวลาดีเลย์ 1 วัน[นับเวลาเริ่มวันใหม่เป็นดวงตะวันขึ้นฟ้า]

    ทักษะระดับ S หลังจากใช้ทักษะนี้แล้ว ผู้ใช้จะได้รับพลังมหาศาลซึ่งพลังจะแตกต่างกันไปตามมอนสเตอร์ผู้ให้พลัง

    ระดับ 2 ผสานพลัง สามารถใช้พลังสถิตร่างสองชนิดได้พร้อมกัน โดนจะเพิ่มพูนความสามารถของพลังสถิตร่างทั้งสองชนิดขึ้นสองเท่า แต่ก็ต้องเสียพลังเวทมนตร์เป็นสองเท่าเช่นกัน

    - พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ทามาโมะ มาเอะ

    - พลังสถิตร่างพญาอสรพิษ ยามาตะ โนะ โอโรจิ



    ทักษะอาชีพ : ผู้กล้า



    พลังของผู้ที่ถูกเลือก ระดับ S ทักษะติดตัว

    เพิ่มสถานะพื้นฐานทั้งหมดและลดการใช้พลังเวทย์มนตร์ของทุกทักษะลง 50% เมื่อเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ระดับบอส มินิบอสหรือผู้เล่นและมอนสเตอร์ที่มียศราชาและเทพเจ้า



    โชคลางผู้กล้า ระดับ A ทักษะติดตัว

    เพิ่มโอกาสที่จะพบกับมอนสเตอร์ระดับบอส มินิบอส มากขึ้น



    Mastery Weapon ระดับ S ทักษะติดตัว

    สามารถเรียนรู้การใช้อาวุธทุกชนิดได้เร็วมากขึ้น



    อิกไนท์ สไตรค์ ระดับ A ใช้พลังเวทย์ [ตามผู้ใช้กำหนด] ระยะเวลาดีเลย์ 5วินาที

    เพิ่มพลังโจมตีผสานเข้ากับพลังเวทมนตร์ โดยความรุนแรงขึ้นอยู่กับสถานะพื้นฐาน พลังโจมตีอาวุธและพลังเวทมนตร์ที่จ่ายไป สามารถใช้ได้กับอาวุธทุกชนิด รวมทั้งเวทมนตร์และมือเปล่า



    "เอ่อ..ทั้งยศและอาชีพเปลี่ยนแล้วล่ะ แต่ว่าทำไมทักษะถึงมีน้อยจัง แถมแต่ละอันก็..-"



    "อ้อ! ทักษะมีจำนวนไม่มากเช่นนี้เป็นแบบเดียวกันทุกอาชีพค่ะ แต่หลังจากที่เก็บเลเวลไปอีกซักพักจะมีทักษะใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นมาเองค่ะ ก็จะมีอาชีพสายจอมเวทที่จะมีทักษะเวทมนตร์มากตั้งแต่แรกค่ะ" เจ้าหน้าที่สาวรีบอธิบาย เจนพยักหน้าเข้าใจแต่เธอยังคงขมวดคิ้วกับความสงสัยที่ว่าทำไมถึงมีแต่ทักษะติดตัว แถมทักษะที่ดูดีหน่อยก็ดันมีผลต่อเมื่อเจอมอนสเตอร์ระดับสูง แถมยังมีทักษะที่ช่วยให้เจนเจอมอนสเตอร์ระดับบอสมากขึ้นอีก แบบนี้ไม่รู้ว่าเจนจะดีใจหรือเสียใจดี แค่ราชาเทนกุจมูกยาวยังสู้ไม่ได้ นับประสาอะไรถ้าไปเจอมอนสเตอร์ที่เก่งกว่านี้



    "คุณเจนมีอะไรจะสอบถามเพิ่มเติมมั้ยคะ?" เจ้าหน้าที่สาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเจนยืนเหม่อลอยอยู่



    เจนได้ยินจึงเรียกสติของตัวเองให้กลับมาเข้าร่างแล้วชี้ไปยังพวกคิทซึเนะที่อยู่ด้านหลัง



    "เด็กคนนี้เลเวลเต็มร้อยแล้วแต่ไม่รู้วิธีเลื่อนระดับยศ ฉันก็เลยอยากจะรู้ว่าจะทำการเลื่อนยศของสัตว์เลี้ยงได้ยังไงน่ะ" เจนกล่าว



    พนักงานสาวทำสีหน้างุนงงและลุกขึ้นมองหาอะไรบางอย่างไปทางที่เจนชี้



    "เอ่อ...ไหนหรือคะสัตว์เลี้ยง"



    "นี่ไง เด็กที่มีผมสีฟ้านั่นไง" เจนย้ำแงะชี้ไปที่ฟีบีซึ่งมองมาที่เจนด้วยความสงสัย



    พนักงานสาวยิ่งมีสีหน้างงงวยขึ้นไปอีก แต่เมื่อเธอเปิดหน้าต่างแสงตรวจสอบดู เธอก็แสดงสีหน้าตกใจขึ้นมาอีกครั้ง เธอรีบยกมือขึ้นไปไว้ที่หูเพื่อติดต่อกับใครบางคนซึ่งเจนคิดว่าคงจะเป็นเจ้าหน้าที่คนอื่น



    ทำไมนะเวลาที่เธอมาอาคารระบบ พวกเจ้าหน้าที่ต้องทำท่าตื่นตูมแบบนี้ใส่เธอทุกครั้ง คนอื่นเคยเจออะไรแบบนี้บ้างหรือเปลานะ หรือบางทีนี่คงเป็นเหตุการณ์เนื้อเรื่องในเกมที่ทุกคนคงจะต้องเจออยู่แล้ว



    เจนคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะที่เจ้าหน้าที่สาวกับลังคุยติดต่อกับGm ระดับสูง เพราะตั้งแต่ที่เจนเดินเข้ามาในอาคารระบบ ธงน้ำเงินบนหน้าจอของเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ขึ้นบอกให้จับตาดูผู้เล่นคนนี้เอาไว้ให้ดี



    ตอนแรกเจ้าหน้าที่สาวก็รู้สึกสงสัยว่าหนุ่มน้อยหน้าตาดีคนนี้มีอะไรถึงต้องขนาดขึ้นธงน้ำเงินที่หมายความว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนที่พบต้องจับตามอง แต่เมื่อเธอได้เห็นภารกิจที่ผู้เล่นคนนี้นำมาส่ง ก็ทำให้เธอรู้ทันทีว่าทำไม



    ไม่เพียงแค่นั้น พอได้ลองตรวจสอบถึงสัตว์เลี้ยงทั้งสองของผู้เล่นแล้วก็ยิ่งทำให้เธอแทบอยากจะไปตะโกนถามกับทางเบื้องบนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่



    ทำไมถึงมอนสเตอร์ระดับสูงถึงสองตัว กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้เล่นที่มีอาชีพพิเศษได้ แถมทั้งสองยังเป็นมอนสเตอร์ที่สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้อีกต่างหาก ซึ่งจากเท่าที่เธอรู้ ไม่เคยมีผู้เล่นคนไหนมาก่อนที่มีสัตว์อสูรที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้เช่นนี้ซึ่งมันสมควรจะเป็นความลับที่จากประกาศให้ทราบในการอัพเดทครั้งต่อไป แต่ตรงหน้าของเธอนั้นกลับมีอยู่ถึงสอง!



    ถ้าหากพนักงานสาวรู้ว่าเจนยังมีอาวุธระดับ S เป็นคนแรกด้วยล่ะก็คงได้ทำหน้าตาตื่นยิ่งกว่านี้แน่



    "นี่คือเจ้าหน้าที่หมายเลข056a ตอนนี้ฉันกำลังดำเนินเรื่องให้กับผู้เล่นที่ถูกติดธงน้ำเงินที่ชื่อว่าเจน เมื่อครู่ฉันได้ส่งคำขอเรื่องการเปลี่ยนอาชีพพิเศษของผู้เล่นคนนี้ไป ฉันมีเรื่องอยากจะสอบถามหน่อยค่ะ" เจ้าหน้าที่สาวเอ่ยในช่องติดต่อสำหรับเจ้าหน้าที่ ดังนั้นเจนและผู้เล่นคนอื่น ๆ จึงไม่มีทางจะได้ยินบทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้อย่างแน่นอน



    "รับทราบแล้วครับ ถามมาได้เลย" เสียงชายหนุ่มตอบกลับมา



    "คือฉันก็ไม่ได้อยากจะก้าวก่ายเรื่องของพวกผู้เล่นหรอกนะ แต่ฉันคิดว่าผู้เล่นคนนี้ต้องโกงเกมแน่ ๆ ได้อาชีพพิเศษโดยวิธีที่ยากที่สุด แถมยังมีจิ้งจอกชั้นสูงกับมังกรชั้นสูงเป็นสัตว์เลี้ยงอีกต่างหาก ยังไม่ใช่แค่นั้นนะ ทั้งสองตัวยังอยู่ในร่างมนุษย์อีกด้วย" เจ้าหน้าที่สาวพูดเสียงดังเพื่อให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน แต่น้ำเสียงของชายหนุ่มที่ตอบกลับมานั้นฟังดูสบาย ๆ จนชวนให้เธอรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย



    "ไม่รู้สิคุณ056a ผมลองตรวจสอบกับแคสซิโอเปียดูแล้วแต่ไม่พบอะไร อืม..เดี๋ยวนะ" ชายหนุ่มเงียบไปครู่นึงแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "โว้ว! ให้ตายสิ ถ้าคุณได้มาเห็นอย่างที่ผมเห็นคุณจะต้องไม่เชื่อแน่ ๆ"



    "อะไร! อะไร! นี่นายทำอะไรน่ะ" เจ้าหน้าที่สาวรีบเอ่ยถาม



    "ผมตรวจสอบผู้เล่นคนนี้ดู ทั้งสถานะ ทักษะและไอเท็มทั้งหมดของผู้เล่นคนนี้ซึ่งผมไม่มีอำนาจที่จะบอกคุณได้ แต่เชื่อเถอะ ผมเองก็คิดว่าผู้เล่นคนนี้โกงเหมือนกัน"



    เจ้าหน้าที่สาวขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มปลายสายพูด แม้เธอจะสามารถตรวจผู้เล่นได้แค่ข้อมูลเบื้องต้นหรือข้อมูลเท่าที่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึง แต่แค่นั้นก็เผยให้เห็นว่าผู้เล่นคนนี้ได้เปรียบผู้เล่นคนอื่น ๆ มากเลยทีเดียว และการที่เจ้าหน้าที่หนุ่มเห็นด้วยแบบนี้นั่นแสดงว่าไอเท็มที่ผู้เล่นเจนถืออยู่จะต้องไม่ธรรมดาเหมือนกัน



    "ผมรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่นะคุณ056a แต่ปล่อยผู้เล่นคนนี้ไปเถอะ แคสซิโอเปียบอกว่าไม่ได้โกงก็คือไม่ได้โกงนั่นแหละ คุณก็รู้ว่าหล่อนไม่เคยพลาด" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น



    "จะเป็นไปได้มั้ยว่าแคสซิโอเปียถูกแฮกค์" เจ้าหน้าที่สาวสันนิฐาน



    "ด้วยอะไรล่ะ คอมพิวเตอร์ธรรมดาไม่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเซิร์ฟเวอร์ของเกมได้คุณก็รู้ ช่วงเดือนที่แล้วตอนเปิดตัวเกมก็มีคนเคยใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์แฮกค์เข้ามาอยู่เพียบเลยนะ แต่รู้อะไรมั้ย พวกนั้นไม่เฉียดเข้าเซิร์ฟเวอร์ของแคสซิโอเปียเลยด้วยซ้ำ แล้วนอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว แคสซิโอเปียยังตามรอยคนที่แฮกค์แล้วส่งไปให้ตำรวจซะทุกราย เชื่อผมเถอะ ผู้เล่นคนนี้ได้ทุกอย่างมาโดยขาวสะอาด แถมธงน้ำเงินที่ว่ายังมาจากเบื้องบนด้วย"



    "หรือว่า...ผู้เล่นคนนี้จะใช้เส้น" เจ้าหน้าที่สาวยังสันนิฐานต่อ



    "นี่แม่คุณ เกมนี้ใช้แคสซิโอเปียควบคุมทุกอย่าง แล้วเธอก็ไม่เคยจะเสกอาวุธหรือความสามารถอะไรให้ใครมาก่อน คุณก็รู้ ขนาดคนที่สร้างยังต้องเล่นด้วยตัวเองเลย ผมว่าคุณถอยออกมาแล้วให้สิ่งที่ผู้เล่นคนนั้นต้องการไปเถอะ พูดตามตรงนะ คุณนี่น่าจะไปเป็น Gm ภาคสนามมากกว่าเจ้าหน้าที่ประจำอาคารระบบนะเนี่ย"



    เจ้าหน้าที่สาวหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดขึ้น "ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำพ่อหนุ่ม ฉันเองก็คิดจะย้ายออกไปทำงานข้างนอกอยู่เหมือนกัน ว่าแต่นายชื่อว่าอะไรงั้นหรือ คุยกับนายแล้วมันถูกคอดี"



    "ผมชื่อว่าฟินน์ Gmฟินน์ครับถ้าคุณผู้หญิงจะกรุณา" ชายหนุ่มพูดเสียงทะเล้น



    "ฉันชื่อว่าหลิน เดี๋ยวฉันขอตัวไปจัดการเรื่องให้ผู้เล่นคนนี้ก่อนก็แล้วกันนะ เอาไว้เลิกงานแล้วค่อยมาคุยกันต่อ" เจ้าหน้าที่สาวเอ่ยแล้วจึงหันกลับมาหาเจนที่ยืนคอยอยู่ได้พักใหญ่แล้ว



    "ขออภัยที่ให้รอนานค่ะ ทางเราต้องขออภัยด้วยนะคะเนื่องจากข้อมูลที่คุณเจนสอบถามมานั้นเป็นข้อมูลระดับสูงของอาชีพสายนักฝึกสัตว์อสูร ทางนโยบายของดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์นั้นต้องการให้ผู้เล่นทุกคนออกตามหาเบาะแสต่าง ๆ ด้วยตัวเองค่ะ ดิฉันขอแนะนำให้คุณเจนลองเปิดกระดานข้อความของอาชีพสายนักฝึกสัตว์เพื่อหาคำตอบของคุณเจนดูนะคะ" เจ้าหน้าที่หลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม



    เจนพยักหน้าขอบคุณ แม้ว่าจะรอนานและยังไม่ได้คำตอบมาด้วย แต่อย่างน้อยเจ้าหน้าที่คนนี้ก็แนะนำให้เธอรู้ว่าจะเริ่มไปมองหาที่ไหนดี แต่เจนรู้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องไปมองหาที่ไหนที่จะได้ข้อมูลที่เธอต้องการ







    หญิงสาวในคราบชายหนุ่มหน้าสวยเป็นที่ต้องตาของสาว ๆ ที่ได้พบเห็น โดยเฉพาะเมื่อเห็นสีหน้านิ่งที่แสดงออกมาอย่างเย็นชาก็ยิ่งทำเอาใจเต้นระรัว และที่กำลังเดินขนาบคู่มาด้วยคือสาวผมสีขาวทรงหางม้ายาวในชุดยูกาตะสีไข่มุกขลิบด้วยแดงเพลิง รูปร่างและความสูงของเธอบวกกับชุดงามทำให้ชายหนุ่มต่างจ้องตาไม่กระพริบ



    แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทายทั้งสองเพราะเด็กสาวผมสีฟ้าที่เดินจับมือทั้งคู่ไปพร้อมกัน ถ้าหากให้วัดระดับความดึงดูดแล้วจะพบว่าเด็กน้อยคนนี้ต่างเป็นเป้าสายตาของทั้งชายและหญิงที่เดินผ่านยิ่งกว่าชายหนุ่มและหญิงสาวซะอีก ไม่ว่าจะเป็นแก้มบวมน่ายิก ผิวขาวใสน่าลูบไล้ รอยยิ้มร่าเริงที่มองแล้วก็ชวนให้อดยิ้มตามไม่ได้และดวงตาสีฟ้างดงามราวกับอัญมณีนั้นต่างเป็นสิ่งที่ทุกคน ณ ใจกลางเมืองยามะไตกำลังกล่าวถึงในขณะนี้ว่าช่างเป็นครอบครัวที่สมบรูณ์แบบจริง ๆ



    แต่ความจริงแล้วเจนนั้นแทบอยากจะบินออกไปจากตรงนี้ซะให้ได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงพวกผู้เล่นคนอื่นที่อยู่ในเมืองถึงจ้องพวกเธอตาเป็นมันขนาดนี้ เธอเพิ่งสังเกตได้เมื่อออกมาจากอาคารระบบ แม้เรียวกังที่เจนเข้าพักนั้นจะอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก แต่สำหรับเจนนั้นราวกับมีระยะทางเป็นกิโลเลยทีเดียว



    ให้บอกกันตามตรง เจนไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอเป็นจุดสนใจขนาดนี้ อาจจะเป็นตั้งแต่เธอยังคงอยู่กับพวกโจแต่ตอนนั้นยังไม่ทันรู้ตัว มาตอนนี้สายตาจ้องเธอราวกับสัปปะรด มันทำให้เธออึดอัดมาก ยิ่งกองทัพสาวน้อยใหญ่และกองกำลังหนุ่ม ๆ นับสิบคนที่เดินตามเธอมานั้นยิ่งทำให้เรื่องยุ่งยากยิ่งขึ้นไปอีก ตอนแรกพวกเขาทำท่าจะไม่เข้ามายุ่งอะไรแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้รวมตัวกันวิ่งตามพวกเธอมาแบบนี้



    เพียงชั่วอึดใจเจนก็มาถึงเรียวกัง เธอวิ่งเข้าไปด้านในและวิ่งขึ้นไปยังห้องพักทันที และหวังว่าทางเรียวกังจะห้ามทัพที่ตามเธอมาได้



    "เมื่อกี้มีคนตามพวกเรามาตั้งเยอะแยะเลย คิทซึเนะได้ยินพวกเขาเอ่ยชมพวกเรากันใหญ่เลยล่ะค่ะ" จิ้งจอกสาวพูดขึ้นระหว่างกำลังเดินไปที่ห้องพัก



    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ล่ะเนี่ย หรือว่าพวกกิลด์พิฆาตราชารู้ว่าฉันเป็นใครแล้ว แย่ล่ะ แบบนี้คงต้องปรึกษาโจด่วนเลย!" เจนพูดพึมพำกับตัวเองโดยไม่ทันฟังคำพูดของคิทซึเนะ



    ประตูห้องพักของเจนอยู่ด้านหน้า เธอรีบยื่นมืออกไปแล้วเปิดประตูพร้อมกับพูดเสียงดัง



    "โจ! แย่แล้วล่ะ ที่ด้านหน้า..-"



    "เซอร์ไพรซ์!!!"



    เจนตกใจจนแทบจะร้องตะโกนเสียงดัง ออกมา เช่นเดียวกับคิทซึเนะที่ผมของเธอตั้งชี้ฟูราวกับเป็นเม่น ส่วนฟีบีนั้นรีบมุดเข้าไปหลบอยู่ใต้เสื้อคลุมของเจนด้วยความเร็วสูง



    ตรงหน้าของเธอนั้นคือผู้ที่ร้องตะโกนเสียงดังลั่นซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นกลุ่มของเสือซ่อนลายและแจ็คพร้อมทั้งหนูส่งข่าวที่นั่งอยู่บนพื้นเสื่อใกล้ ๆ



    "พี่เสือ! ทุกคน!"



    "พี่ซิน!"



    เสียงของเจนและคิทซึเนะดังขึ้นเมื่อเห็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า เจนยกมือขึ้นไหว้เสือซ่อนลาย ยูสตาร์และไมโกะโดยอัตโนมัติในขณะที่ซินจูวิ่งเข้าไปสวมกอดกับคิทซึเนะอย่างแนบแน่น



    "คิทซึเนะ ไม่เจอกันตั้งนานตัวโตขึ้นเยอะเลย แถมยังดูสวยขึ้นเยอะด้วยนะเนี่ย"



    "พี่ซินก็เหมือนกัน ชุดใหม่ที่พี่ซินสวมดูสวยจังเลย" จิ้งจอกสาวพูดชม



    จากชุดสีครีมที่เคยสวม ตอนนี้สาวน้อยจอมเวทนั้นอยู่ในชุดและผ้าคลุมสีขาวที่ดูงดงามดูราวกับนางฟ้า ขาเรียวยาวที่ไร้การปิดบังดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็น นับว่าการแต่งกายของซินจูในตอนนี้เปลี่ยนจากลุคสาวน้อยน่ารักกลายเป็นสาวน้อยบอบบางน่าถนุถนอมไปเลยทีเดียว



    "แหม เราเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ชุดที่คิทซึเนะใส่ก็ดูดีเหมือนกัน ตาแหลมไม่เบานะเนี่ย" ซินจูกล่าวพร้อมกับไล่สายตาสังเกตการแต่งกายของน้องสาวของเธอตรงหน้า



    "นี่เป็นชุดที่ท่านแม่ยกให้น่ะค่ะ ท่านแม่บอกว่าคิทซึเนะตัวโตขึ้นมากแล้วก็น่าจะแต่งกายให้สมกับวัยหน่อยก็เลยเอาชุดนี้มาลองให้ใส่ อ๊ะ! แต่หนูก็ได้เลือกซื้อชุดด้วยตัวเองแล้วนะ ดูนี่สิคะ" จิ้งจอกสาวว่าและจึงหยิบเสื้อผ้านับสิบชุดออกมาจากกระเป๋าที่เจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่



    ในระหว่างที่สอสาวส่งเสียงหัวเราะคิกคักเรื่องเสื้อผ้า เจนก็ได้เข้าไปพูดคุยกับพวกเสือซ่อนลายที่เปลี่ยนไปมากเช่นกันจากเมื่อครั้งล่าสุด



    เสือซ่อนลายตอนนี้อยู่ในชุดลำลองเป็นเสื้อยืดแขนสั้นและกางเกงขายาวสีเทา แต่เจนสังเกตเห็นกองชุดเกราะสีเงินวางอยู่ที่มุมห้องพร้อมกับโล่ที่ดูจะเข้าชุดกันกับชุดเกราะพร้อมทั้งดาบที่เจนรู้สึกคุ้นตา ดาบอสูรคลั่งนั่นเอง



    ไมโกะเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ตอนนี้เธอสวมชุดสีดำยาวแหวกบริเวณสะโพกดูเซ็กซี่ไม่น้อย ด้านหลังของเธอเจนเห็นเป็นดาบคาตะนะสีม่วงอยู่สองเล่มที่แผ่ไอพลังออกมาจนรู้สึกได้ว่าต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน



    ทางยูสตาร์ก็สวมชุดคลุมสีเขียวที่มีฮูดอยู่ด้านหลังท้ายทอยดูเหมาะสมกับเป็นนักธนูไม่น้อย เจนล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าเขาได้อาชีพอะไรกันแน่



    "เป็นยังไงบ้างเจน ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วเธอดูไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยนะ" เสือซ่อนลายทักอย่างเป็นกันเอง



    "พี่เสือต่างหากที่เปลี่ยนเยอะเกินไป ว่างแต่พวกพี่คงจะเปลี่ยนอาชีพกันแล้วเหมือนกันสินะเนี่ย ดูชุดเกราะพวกนั้นสิ ฉันว่าราคาคงไม่ใช่น้อย ๆ เลย" เจนพูดแล้วชะโงกหน้าไปมองชุดเกราะขอเสือซ่อนลาย



    "ต้องขอบคุณเงินที่เธอส่งมาให้พวกเรานั่นแหละที่ช่วยให้เราหาชุดดี ๆ ใส่กันได้ทุกคน แต่ดูพวกเธอสิ เงินก็มีตั้งเยอะแท้ ๆ กลับยังใส่ชุดเก่าอยู่เหมือนเดิม" ไมโกะพูดบ้าง



    "ก็แค่พวกเราสองคนยังหาชุดที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้นแหละน่า" เสียงของแจ็คเป็นคนตอบจากด้านหลังห้อง



    "ว่าแต่พวกพี่เป็นอาชีพอะไรกันมั่งล่ะ" เจนถาม



    ไมโกะดึงตัวเจนไปนั่งลงบนพื้นเสื่อพร้อมทั้งชวนกินมื้อเช้าที่สั่งมาเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว ซึ่งบนโต๊ะอาหารนั้นมีของกินอยู่มากมายจนเจนเผลอคิดไปว่าเช้านี้จะกินกันหมดมั้ย



    "ฉันได้อาชีพนักฆ่า อย่างที่หวังเอาไว้ตั้งแต่แรก แถมกระดูกต้องสาปที่เธอให้ ฉันก็เอาไปทำดาบตัดวิญญาณคู่นี้มาด้วย ต้องขอบใจเธอมาก ๆ เลยนะเจน แล้วก็ ยูสตาร์ได้อาชีพเรนเจอร์ เป็นอาชีพที่มีระยะการยิงที่ไกลและพลังรุนแรงมาก แต่ที่สุดยอดต้องเสือซ่อนลายเค้าโน้น" ไมโกะพูดและชี้ไปยังชายหนุ่มที่ยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่



    "ทำไมงั้นหรือ" เจนถามด้วยความสงสัย



    "ฮ่ะ ๆ เธอจำได้มั้ยว่าดาบที่เธอให้มาหลังจากที่พวกเราจัดการจักรพรรดิผีดิบน่ะ หลังจากที่ฉันเปลี่ยนอาชีพเป็นอัศวินแล้วพวกเราก็ออกเดินทางต่อ แต่ไอ้ดาบอสูรคลั่งมันมีปัญหาอยู่นิดหน่อย ปรากฏว่ามันทำให้ฉันติดสถานะคลั่งหลายหนจนทำให้พวกเราตายไปตั้งหลายรอบเลยล่ะ แต่สุดท้ายแล้วที่ไม่มีใครคาดถึง ฉันกลับได้อาชีพนักรบคลั่งมาซะอย่างนั้น" เสือซ่อนลายพูดออกมาอย่างภูมิใจ



    "ตอนนี้หมอนี่เป็นคนแรกที่มีสองอาชีพในคนเดียวของกลุ่มเรา จากอาชีพอัศวินกลายเป็นอาชีพอัศวินคลั่งที่มีทั้งพลังโจมตีและพลังป้องกันสูง ...ว่าแต่นายล่ะเจน พวกเรารู้แล้วว่าแจ็คได้อาชีพนักล่าค่าหัวมา แต่พวกเรายังไม่รู้เลยว่านายได้อาชีพอะไรมากันแน่ ภารกิจที่ไปส่งมาผ่านแล้วใช่มั้ย" ยูสตาร์ถาม



    "ผ่านเรียบร้อยแล้วล่ะ ฉันได้อาชีพผู้กล้าน่ะ" เจนตอบ





    "ว้าววว!!" พวกเสือซ่อนลายส่งเสียงร้องชื่นชมผสมกับความแปลกใจเสียงดังเมื่อได้ยินว่าเจนมีอาชีพอะไร แม้เกมดิ โอเพ่น เวิลด์จะมีอาชีพให้ผู้เล่นได้สัมผัสอยู่มากมาย ทว่าแต่ละอาชีพนั้นก็มีพื้นฐานที่ไม่ต่างกันมากนักอย่างอาชีพสายนักดาบ หรืออาชีพสายเวทมนตร์ที่จะมีทักษะพื้นฐานเหมือนกัน มีเพียงทักษะเฉพาะไม่กี่ทักษะเท่านั้นที่ถือว่ามีเป็นทักษะของอาชีพนั้นเพียงอาชีพเดียว



    อาชีพที่อยู่นอกเหนือสายอาชีพทั้งหมดนั้นถือว่าเป็นอาชีพระดับสูงเพราะถูกแยกออกมาจากกรอบความสามารถของอาชีพพื้นฐานทั้งหมด แต่อาชีพเหล่านี้นั้นต้องมีความพยายามสูงกว่าที่ได้จะมาและฝึกฝนจนเก่งกาจ เพราะไม่มีทักษะพื้นฐานที่ในการเปลี่ยนอาชีพขั้นต้นควรจะมี แต่หากสามารถผ่านความยากลำบากและสามารถฝึกฝนจนใช้ทักษะของอาชีพได้อย่างช่ำชองแล้วล่ะก็ จะถือกลายเป็นยอดฝีมือของโลก ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ขึ้นมาทันที



    "สุดยอดไปเลย! พี่เจนนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ ที่ได้อาชีพระดับสูงแบบนี้" ซินจูที่เพิ่งมาเข้าร่วมกลุ่มสนทนาด้วยเอ่ยอย่างชื่นชม



    "ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ทักษะที่ฉันมีตอนนี้มีอยู่แค่นิดเดียวเอง แถมยังใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ด้วย คงต้องดูกันไปก่อนล่ะนะว่าจะดีอย่างที่ว่าหรือเปล่า" เจนตอบออกมาอย่างใจจริง



    "ว่าแต่นะ พี่เจน เห็นพี่แจ็คว่าพี่เจนมีสัตว์เลี้ยงอยู่อีกนี่นา เห็นว่าเชื่อฟีบี ไปอยู่ไหนซะล่ะ" ซินจูถามพลางมองไปรอบ ๆ แต่เธอก็ไม่พบใครอื่นเลยนอกจากพวกเราที่อยู่ตรงนี้



    เจนเองที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ทันได้แนะนำตัวฟีบีให้ทุกคนได้รู้จัก เธอรู้สึกได้ว่ามีร่างน้อย ๆกำลังเกาะอยู่ด้านหลังของเธออยู่ เจนจึงค่อย ๆ ใช้มือยกเสื้อคลุมขึ้นมา เผยให้เห็นร่างของสาวน้อยผมสีฟ้ากำลังกอดเจนแน่นไม่ยอมปล่อย



    เมื่อเห็นว่าที่ซ่อนของตัวเองถูกเปิดเผยออกมาแล้ว มังกรน้อยก็ยิ่งหลบเข้าไปด้านในขึ้นไปอีก จนสุดท้ายเจนต้องเป็นคนดึงตัวของฟีบีออกมาจากด้านหลังเธอ แต่ไม่ว่าจะทำยังไง มังกรน้อยก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเจนซักที สุดท้ายก็ลงเอยให้ฟีบีนั่งบนตักของเจนเพื่อที่จะให้ทุกคนได้เห็บใบหน้าของมังกรน้อยอย่างชัด ๆ



    "น่ารักจังเลย!!" ซินจูตะโกนเสียงดัง แต่นั่นก็ยิ่งทำให้มังกรน้อยซุกหน้าหลบเข้าไปที่หน้าอกของเจนเข้าไปอีก



    "เอ๋ ทำไมถึงหลบหน้าพวกเราแบบนี้ล่ะ ฟีบีเป็นคนขี้อายหรือคะ"



    "ก็เปล่านี่นา ปกติแล้วฟีบีออกจะร่าเริงนะคะ แต่ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ก็ไม่รู้" คิทซึเนะตอบแล้วพยายามนึกหาเหตุผลที่น้องสาวของเธอจู่ ๆ ถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้



    "ฉันว่าสงสัยว่าคงเป็นเพราะตอนที่พวกเราตะโกนเซอร์ไพรส์แน่ ๆ เลย ฟีบีคงจะตกใจเสียงดังเข้าแน่ ๆ" เสือซ่อนลายว่า



    เมื่อเจนก้มลงไปคุยกับมังกรน้อยก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้าหงึก ๆ อยู่ท่าเดียว ยืนยันสิ่งที่เสือซ่อนลายคิดได้อย่างแม่นยำ



    สุดท้ายหน้าที่กล่อมให้ฟีบียอมคุยกับคนอื่นก็กลายเป็นของคิทซึเนะและซินจูที่พยายามเข้าหาอย่างเป็นที่สุด ส่วนเจนนั้นต้องมารับมือหนูส่งข่าวที่เพิ่งจะเข้ามาร่วมคุยจากที่นั่งเงียบ ๆ อยู่กับแจ็คมาตั้งนาน



    "ฉันตรวจสอบเด็กคนนั้นมา นี่นายได้สัตว์เลี้ยงเป็นมังกรงั้นหรือเนี่ย แถมยังเป็นมังกรฟ้าที่หายากสุด ๆ อีก นายไปได้มาจากไหนกันแน่!" หนูส่งข่าวพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน



    "ก็ได้มาโดยบังเอิญตอนเริ่มเล่นเกมอ่ะ ว่าแน่นายช่วยเอาหน้าออกไปไกล ๆ ทีได้มั้ยเนี่ย" เจนว่าแล้วใช้มือยันหน้าของชายหนุ่มออกไป



    หนูส่งข่าวที่โดนผลักออกมาก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง



    "ไอ้อาชีพผู้กล้าของเธอนี่ได้มายังไงกัน แล้วไอ้ที่บอกได้ฟีบีมาโดยบังเอิญตั้งแต่แรกนี่หมายความว่ายังไงกันแน่" หนูส่งข่าวคะยันคะยอถาม



    เจนที่เห็นดวงตาของชายหนุ่มที่พยายามหาคำตอบอย่างสุดตัวก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้ และเธอก็เห็นว่าหนูส่งข่าวเป็นเพื่อนคนหนึ่งแล้วด้วย สุดท้ายเจนก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ชายหนุ่มต้องการที่จะรู้ให้ฟังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาชีพผู้กล้าหรือจะเป็นการที่ได้ฟีบีมาได้ยังไง รวมทั้งเรื่องราวการเดินทางของเธอหลังจากที่แยกมาจากพวกเสือซ่อนลายด้วย



    หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดพร้อมทั้งทานอาหารมื้อเช้าไปพร้อมกัน สีหน้าของทุกคนเมื่อได้ยินว่าพวกเจนนั้นไปเจออะไรมาบ้างก็แสดงออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะสิ่งที่เธอพบมาแต่ละอย่างนั้นไม่น่าจะรอดมาได้เลย แถมยังมีโอกาสน้อยมากที่ใครซักคนที่จะพบเรืองใหญ่ติดต่อกันได้เช่นนี้



    "มีเทพอสูรระดับสูงอยู่ในเหมืองต้องสาปที่ทวีปไลเทเชียงั้นหรือเนี่ย! แบบนี้นี่เองถึงไม่เคยมีใครรอดออกมาจากเหมืองเลย" หนูส่งข่าวพูด



    "ฉันว่าคงมีแค่เจนคนเดียวนี่แหละที่ได้อาชีพผู้กล้า เงื่อนไขสุดโต่งแบบนั้นจะไปมีใครทำได้" เสือซ่อนลายพูดอย่าคิดวิเคราะห์



    "จากที่ฟังฉันว่าเด็กที่ชื่ออามีร่าอาจจะไม่ใช่คนที่ไม่ดีก็ได้นะ ลองคิดดูสิ" ยูสตาร์ว่า



    "ว่าแต่ฉันสงสัยอยู่อย่างนึง..." ไมโกะพูดขึ้น เรียกให้คนอื่น ๆ หันไปมองด้วยความสงสัย



    "ทำไมจู่ ๆ ถึงฟีบีและคิทซึเนะถึงกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ล่ะ ฉันมีเพื่อนที่เป็นนักฝึกสัตว์อสูรอยู่ เขาเลี้ยงไวเวิร์นตั้งสองตัว เลเวลก็ปาเข้าไปตั้งแปดสิบแล้วยังไม่เห็นว่าจะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เลย" ไมโกะพูดด้วยความสงสัย ทำให้เจนเองก็รู้สึกฉงนขึ้นด้วยเช่นกัน



    "ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ จำได้แค่ว่าตอนคิทซึเนะเลเวลห้าสิบก็พูดได้และแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ส่วนฟีบีนั้นถึงไม่รู้ว่าแปลงร่างได้ตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นมนุษย์แล้วล่ะ" เจนเล่าแล้วหันไปหาหนูส่งข่าวที่น่าจะรู้เรื่องนี้



    "แล้วนายล่ะ พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างมั้ย"



    หนูส่งข่าวที่อยู่ในห้วงความคิดของตนเองก็ถูกดึงออกมาด้วยคำถาม เขาเปิดหน้าต่างแสงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดหน้าต่างแสงลง จากนั้นจึงเริ่มเปิดปากพูด



    "ความจริงจะขอข้อมูลจากฉันจะต้องจ่ายเงินด้วยนะ แต่นายบอกข้อมูลเรื่องเทพอสูรเซอร์โนบอทกับฉันมาตั้งเยอะ ครั้งนี้ฉันจะไม่คิดตังก็แล้วกัน" ชายหนุ่มเว้นช่วงแล้วจึงพูดต่อ



    "ฉันไปสืบข้อมูลพวกนี้มาจากกิลด์ขบวนสัตว์อสูรแห่งราชา ใช้เวลาซักพักกว่าเพื่อนของฉันที่อยู่ในกิลด์นี้จะคายข้อมูลออกมาให้ ...รู้แล้วน่า ก็กำลังจะเล่าให้ฟังนี่ไง" หนูส่งข่าวพูดเมื่อเห็นสาวตาเร่งรีบของสาวผมยาวในชุดดำที่พร้อมใช้ดาบคู่เฉือนคอเขาทุกเมื่อ



    หนูส่งข่าวอธิบายว่ากิลด์ขบวนสัตว์อสูรแห่งราชาซึ่งเป็นกิลด์ที่มีจุดเด่นคือกองกำลังนักฝึกสัตว์อสูรที่มีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่ากิลด์นี้รู้วิธีที่จะทำให้สัตว์อสูรเป็นมนุษย์ได้มานานแล้ว แต่เพราะต้องทำตั้งแต่มอนสเตอร์ยังมีเลเวลต่ำมาก จึงมีสัตว์อสูรเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้



    ปัจจัยที่สามารถทำให้มอนสเตอร์แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้นั้นคือความสัมพันธ์ต่อผู้ที่เป็นเจ้านายในระดับที่สูงมาก ๆ ซึ่งในเกมนี้ไม่มีการแสดงระดับความสัมพันธ์ที่ว่านี้ ซึ่งมันกลายเป็นอะไรที่ต้องสื่อกันด้วยใจ และผู้ที่ทำให้มอนสเตอร์แปลงร่างเป็นมนุษย์คนแรกก็คือเพื่อนของหนูส่งข่าวนั่นเอง



    และนอกจากความสัมพันธ์แล้ว คนในกิลด์คนอื่น ๆ ก็ต่างสันนิฐานกันว่ายังมีปัจจัยอื่นอีกที่ทำให้มอนสเตอร์กลายร่างเป็นมนุษย์ อย่างเช่นการเก็บเลเวลลงดันเจี้ยนที่เป็นการเร่งเวลาการเติบโตของมอนสเตอร์ซึ่งผิดจากการปล่อยให้มอนสเตอร์เติบโตตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่มีมอนสเตอร์ทั่วไปที่แปลงกลายเป็นมนุษย์ได้ และอาจจะมีสัตว์อสูรแค่บางชนิดเท่านั้นที่กลายร่างได้ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทางกิลด์ได้ทำการคาดเดาเอาไว้



    ถึงจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนักแต่กิลด์ขบวนสัตว์อสูรแห่งราชานั้นถือว่าเป็นกิลด์อันดับหนึ่งในเรื่องสัตว์อสูร ดังนั้นถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัตว์อสูรนั้นก็คงจะต้องถือในข้อมูลที่ได้มาจากกิลด์นี้เอาไว้ก่อน



    "และนั่นก็คือทั้งหมดที่ฉันรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าหากพวกนั้นรู้เข้าว่าเธอมีทั้งจิ้งจอกและมังกรแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ล่ะก็ ฉันว่าเธอคงจะถูกดึงตัวเข้ากิลด์แน่ ๆ" หนูส่งข่าวบอกหลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง



    "แล้วการเลื่อนยศของสัตว์เลี้ยงล่ะ นายรู้มั้ยว่าฉันจะเลื่อนยศของฟีบีได้ยังไง" เจนถามอีกครั้ง



    "อืม ข้อมูลในเรื่องนี้ฉันเองก็มีไม่มากนะ ไม่รู้ว่านายจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้หรือเปล่า ฉันได้ยินว่าการเลื่อนระดับยศของสัตว์เลี้ยงค่อนข้างจะยุ่งยากนิดหน่อย เท่าที่รู้ตอนนี้คือให้สัตว์เลี้ยงไปจัดการมอนสเตอร์เผ่าเดียวกันที่มีระดับสูงกว่าเพื่อเป็นการเลื่อนระดับยศ หรือไม่ก็ให้มอนสเตอร์ระดับราชาเป็นผู้เลื่อนยศให้ ซึ่งฉันยังไม่สามารถยืนยันข่าวพวกนี้ได้เลย ถ้านายไปทดลองดูแล้วกลับมาบอกฉันหน่อยก็จะเป็นการดีมากเลยล่ะ" หนูส่งข่าวเล่า



    พอได้ยินชายหนุ่มพูด เจนก็พอจะรู้ว่าเธอจะต้องทำอะไรต่อถึงจะเลื่อนระดับยศของฟีบีได้ และมันก็ค่อนข้างยุ่งยากอย่างที่หนูส่งข่าวว่าจริง ๆ ซะด้วย



    "ว่าแต่แล้วโจล่ะ ฉันไม่เห็นหมอนั่นเลย ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกหรือ" เสือซ่อนลายถามขึ้น



    เจนกำลังจะเอ่ยตอบแต่ถูกหนูส่งข่าวชิงตัดหน้าเสียก่อน



    "หมอนั่นยังทำภารกิจเลื่อนยศอยู่น่ะ หมอนั่นขอให้ฉันมาบอกข่าวและช่วยพวกนายเท่าที่ทำได้"



    "จะว่าไปแล้วนี่นายลงมาจากเรือโจรสลัดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฉันนึกว่านายจะอยู่บนเรือนั่นไปตลอดซะอีก" เจนถามเมื่อนึกได้ว่าล่าสุดเธอพบกับหนูส่งข่าวในสถานการณ์ใด



    "ก็หลังจากพาพวกเธอไปส่งนั่นล่ะ ฉันขอกัปตันให้ไปส่งฉันที่เมืองซีโปแล้วก็แยกตัวมา อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็มีเลเวลเก้าสิบแล้ว แค่อยู่บนเรือเดือนเดียวก็ถือว่าคุ้มสุด ๆ" หนูส่งข่าวเล่า



    "ว้าว! นี่นายเลเวลมากกว่าพวกเราอีก ตอนนี้คนที่เลเวลสูงสุดในกลุ่มของฉันเป็นไมโกะ แต่เลเวลแปดสิบหกเท่านั้นเอง" เสือส่งข่าวพูด



    "เท่ากับว่าคนที่เลเวลสูงที่สุดในห้องนี้ก็เป็นพวกเจนน่ะสินะ ว่าแต่เรียกพวกเรามารวมกันแบบนี้คงไม่ใช่แค่พบปะสังสรรค์กันอย่างเดียวใช่มั้ย" ยูสตาร์ถามขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่เจน



    "อันที่จริง ฉันมีเรื่องอยากจะขอแรงทุกคนหน่อยน่ะ และมันเป็นเรื่องใหญ่...ใหญ่มากซะด้วย" เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทุกคนหันมามองเธอเป็นสายตาเดียวแทบจะทันทีเพราะรู้ว่าต้องเป็นเรื่องที่สำคัญแน่



    "ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เจน แค่ขอมา พวกเราจะช่วย ยังไงพวกเราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว" ไมโกะพูดแล้วจึงยกมือขึ้นแตะไหล่ของหญิงสาว



    เจนยิ้มให้กับเธอแล้วหันหน้ากลับมามองทุกคน



    "ฉันให้สัญญากับเพื่อนคนหนึ่ง...ว่าหลังจากที่ฉันเก่งขึ้นแล้ว ฉันจะไปช่วยเพื่อนคนนี้จากกลุ่มคนที่ร้าย..ร้ายกาจมาก ๆ" เจนพูดช้า ๆ ทำเอาแจ็คที่นั่งอยู่ริมห้องยืดตัวขึ้นมาเพราะรู้ว่าเจนกำลังพูดถึงเรื่องอะไร



    "ฉันอยากจะขอแรงทุกเข้าไปช่วยอามีร่า...ใช่แล้ว ฉันจะช่วยอามีร่าออกมาจากกิลด์พิฆาตราชา"





    จบตอนที่31 พบกันอีกครั้ง

    --------------------------------------------------

  34. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  35. #45
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 32 ปฏิบัติการฉกเจ้าหญิง

    ตอนที่ 32 ปฏิบัติการฉกเจ้าหญิง



    "ฉันเข้าใจนะว่าเจ้าหญิงหมายถึงอามีร่า แต่ทำไมต้องฉกด้วยล่ะเนี่ย!? อ๋าา!" เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นบนยอดเนินดินแห่งหนึ่ง ไกลออกมาจากเมืองยามะไตทางใต้ยี่สิบกิโล



    เขานอนหมอบอยู่บนพื้นดิน ชุดคลุมของเขาเป็นสีเขียวกลมกลืนกับพุ่มไม้ใกล้ ๆ จนถ้าหากไม่สังเกตให้ดีก็มองไม่ออกเลยว่าเขานอนหมอบอยู่ตรงนี้ แม้ว่าแว่นตาที่เขาสวมอยู่จะอาจสะท้อนแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องลงมาให้สามารถสังเกตเห็นได้ แต่ฮูดของชุดที่เขาสวมอยู่นั้นสามารถแก้ปัญหานั้นได้โดยบังบดบังใบหน้าไม่ให้แสงตกกระทบลงบนแว่นตา



    ข้างตัวของเขาเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่ที่กำลังส่องกล้องจากปืนไรเฟิ่ลไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านล่าง แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีผ้าคลุมเหมือนกับชายหนุ่มข้าง ๆ แต่ชุดสีดำของเขาก็ช่วยให้ดูกลมกลืนไปกับบรรยากาศได้ดีเช่นกัน



    และแน่นอนว่าชายทั้งสองนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นแจ็คและยูสตาร์นั่นเอง



    "จะใช้ฉก จก หรืออะไรก็ตามมันก็เหมือนกันล่ะน่าลุง แถมแผนนี้เสือเขาคิดเองนะ ไม่ใช่พวกฉันซักหน่อย" แจ็คหันกลับไปมองดูชายหนุ่มขี้บ่นข้าง ๆ เขา



    "ก็นั่นล่ะ ทำไมนายถึงไม่โต้ตอนที่หมอนั่นตั้งชื่อแผนเล่า แล้วอีกอย่าง ฉันเพิ่งอายุสามสิบห้าเองนะเว้ย อย่ามาเรียกลงเรียกลุง" ยูสตาร์ดูตอบอย่างดุดัน



    "เอ้า! ก็ฉันไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเหมือนกับลุงนี่นา มันก็เป็นแค่ชื่อ ถ้าลุงไม่ชอบใจ ทำไมถึงไม่พูดกับเสือซ่อนลายตั้งแต่แรกเล่า" แจ็คหันไปค้อนถามด้วยความรู้สึกรำคาญ เพราะตั้งแต่ออกมาจากเมือง ยูสตาร์ก็บ่นเรื่องนี้มาไม่หยุด แม้กระทั้งพวกเขามาซุ่มอยู่บนนี้ก็ตาม



    ยูสตาร์เบิ่งตากว้างจ้องหน้าของแจ็คแต่ยังไม่ยอมตอบคำ เขาทำท่าอ่อนแรงลงแล้วจึงพูดคำตอบออกมา



    "ฉันจะไปกล้าพูดแย้งหมอนั่นต่อหน้าได้ยังไงล่ะ ดูกล้ามแขนหมอนั่นอย่างกับต้นขา นายเองก็กล้ามใหญ่พอ ๆ กันแต่ไม่ช่วยเหลือกันเลย อ๋าา"



    แล้วก็สู่ความเงียบสงบเมื่อทั้งสองต่างไม่พูด สายตาของพวกเขายังคงจับจ้องไปยังหมู่บ้านตรงหน้าที่มีแสงไฟจาง ๆ สว่างออกมาจากคบเพลิงที่ตั้งเอาไว้โดยรอบ พร้อมทั้งทหารยามจำนวนหนึ่งที่เดินลาดตระเวนอย่างรัดกุม และมันรัดกุมเกินกว่าที่หมู่บ้านเล็ก ๆ จะควรมี



    นอกซะจากว่ามันจะไม่ใช่หมู่บ้านธรรมดา ๆ



    "อามีร่าน่ะ....อยู่ในหมู่บ้านนี้แน่นะ" ยูสตาร์พูดขึ้นทั้ง ๆ ที่สายตายังคงจับจ้องไปยังหมู่บ้านตรงหน้า



    "ก็ไม่รู้สินะ ถ้าไอ้หนูส่งข่าวบอกมาแบบนี้ก็คงต้องเชื่อหมอนั่นล่ะนะ" แจ็คตอบ โดยแม้เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าข่าวสารที่เพื่อนของเขาให้มานั้นถูกต้องหรือไม่ แต่ถึงยังไงปฏิบัติการมันก็ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว จะทำยังไงได้







    ก่อนหน้าปฏิบัติการ สิบสามชั่วโมง



    ณ ห้องพักในเรียวกัง ในเมืองยามะไต



    "....ฉันจะช่วยอามีร่าออกมาจากกิลด์พิฆาตราชา" เจนเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น ดวงตาของเธอมุ่งมั่นมากซะจนไม่กล้ามีใครเอ่ยอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อทุกคนตั้งสติได้ สิ่งที่ทุกคนทำอย่างเดียวกันคือ.....โวยวาย



    "นี่เธอจะบ้าไปแล้วหรือ!"



    "มันจะเป็นไปได้ยังไง!"



    "ฆ่าตัวตายชัด ๆ"



    "ฉันว่าเจนคงจะกินยาไม่เขย่าขวดแน่ ๆ"



    เสียงโวยวายของพวกเสือซ่อนลายอีกหลายอย่างที่ฟังจนไม่ได้ศัพท์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจของเจนสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย



    "ฉันรู้ว่าทุกคนไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันพูด แต่ฉันให้สัญญากับอามีร่าเอาไว้แล้ว" เจนพูดขึ้นท่ามกลางเสียงคัดค้านจากเพื่อน ๆ ของเธอ



    "ทำไมล่ะเจน นี่จำเรื่องที่สุสานผีดิบไม่ได้หรือไง ยัยนี่คิดจะฆ่านายทั้ง ๆ ที่เพิ่งถูกช่วยเอาไว้แท้ ๆ แถมยังเรื่องที่เมืองรีเด็มชั่นเมื่อกี้อีก ทำไมเธอถึงจะต้องไปช่วยคนที่ไม่รู้จักบุญคุณแบบนั้นด้วย" ไมโกะขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ คนอื่น ๆ เองก็เงียบและหันมาฟังว่าเจนตอบกลับไปอย่างไร



    "เพราะฉันคิดว่าเด็กคนนั้นไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายพวกเรา...ทำร้ายฉัน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ความต้องการของเธอเอง แต่เธอถูกบังคับต่างหาก" เจนพูดแล้วก้มหน้าลงเหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง



    "ครั้งก่อนที่ฉันพบกับอามีร่า เธอถูกสั่งให้มาตามล่าฉันแต่เธอก็ยังคงพร่ำพูดขอโทษ พอฉันพยายามจะช่วยเธอแต่เธอว่าฉันช่วยเธอไม่ได้ มันเกินตัวของฉัน แล้วยังพูดอะไรบางอย่างออกมาประมาณว่าให้เลิกเล่นเกมนี้ไปด้วย"



    "นั่นเขาเรียกว่าข่มขู่ เจน! และนั่นเป็นเหตุผลอีกข้อที่นายไม่ควรกลับไปยุ่งกับเด็กคนนั้นอีก!" ไมโกะพูดตอบไปเสียงดัง



    ดวงตาของฟีบีมีน้ำตาคลอและเธอทำหน้าเสียพร้อมกับเข้าไปกอดคิทซึเนะเมื่อเธอรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปภายในห้องจากไมโกะและเจน จิ้งจอกสาวเองก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะทั้งสองคนต่างก็เป็นพี่สาวของเธอ แถมเธอไม่มีความกล้าพอที่จะไปห้ามทั้งคู่ เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในห้องที่ต่างทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



    "พี่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น! พี่ไม พี่ไม่ได้เห็นสีหน้ากับได้ยินน้ำเสียงที่เด็กคนนั้นพูดกับฉัน ถึงสิ่งที่เธอพูดมันจะดูเหมือนกับว่าเป็นการข่มขู่ก็จริง แต่บางทีนี่จะเป็นการเตือนที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะสามารถบอกได้นี่นา!" เจนพยายามอธิบาย แต่เธอเองก็ยังรู้สึกว่าคำพูดนั้นมันเหมือนกับมาเฟียกำลังขู่มากกว่าจะเป็นการขอความช่วยเหลือ และมันคงไม่สามารถทำให้เธอรู้สึกที่อยากจะช่วยอามีร่าอย่างแน่นอน แต่สีหน้าและน้ำเสียงที่สื่อสารออกมาทำให้เจนรู้ทันทีว่าเด็กสาวตรงหน้าไม่ได้เป็นผู้ร้ายอย่างที่แสดงออกมา มันเป็นการแสดงออกของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า



    "สีหน้ามันแสดงกันได้นะเจน ถ้าหากเด็กคนนั้นแกล้งทำให้เธอตายใจเพื่อที่จะล่อเธอเข้าไปหาล่ะ ถ้าหากเด็กคนนั้นต้องการความช่วยเหลอก็แค่ออกไปจากเกมเท่านั้นมันก็จบแล้ว!" ไมโกะยังคงแย้งคำ ใบหน้าของเธอเริ่มแดงขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงที่แสดงออกมาถึงอารมณ์ของเธอที่เดือดระอุจนเสือซ่อนลายต้องเข้ามาขัดก่อนที่จะรุนแรงไปมากกว่านี้



    "เอาล่ะ ใจเย็น ๆ ก่อนทั้งคู่เลย ฉันเองคิดว่าเด็กคนนั้นอาจจะไม่ได้เล่นละครล่อเจนให้ออกมาให้จับอย่างที่เธอพูดก็ได้นะ ไมโกะ ลองคิดดูสิ ถ้าเธอเป็นนักฆ่าของกิลด์พิฆาตราชาก็คงไม่คิดจะขอโทษคนที่เธอกำลังจะฆ่าในครั้งแรกที่เจอกันหรอกจริงมั้ย"



    "แต่นั่นก็ยังไม่อธิบายว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงมาบอกให้เจนเลิกเล่นเกมนี้" ยูสตาร์พูดขึ้น ทำให้เสือซ่อนลายรีบหันมามองค้อนใส่ราวกับเสือจ้องเหยื่อ ส่วนคนพูดนั้นก็เดินถอยหลังไปอยู่เงียบ ๆ โดยอัตโนมัติ



    "ต่อให้ถึงอยากจะไปช่วยจริง ๆ แต่พวกเราก็ไม่มีทางที่จะตามหาเด็กคนนั้นได้หรอก" ไมโกะกอดอกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงลง แต่เจนก็ยังจับได้ถึงความไม่พอใจของหญิงสาวคนนี้อยู่ดี



    แม้ในใจเจนอยากจะพูดแย้งไมโกะ แต่เธอเองก็ยังคงไม่รู้ว่าตอนนี้อามีร่าไปอยู่ที่ไหน ถ้าให้พูดตามตรงแล้วเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กสาวคนนี้เลย แต่สัญชาตญาณของเจนบอกกับเธอว่าอามีร่าไม่ได้กำลังหลอกหรือแสร้งทำอย่างแน่นอน



    "เอ่อ....อันที่จริง" เสียงของหนูส่งข่าวดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้อง ทำให้ทุก ๆ คนต่างหันไปมองชายหนุ่มเป็นสายตาเดียวจนทำเอาหนูส่งข่าวรู้สึกอึดอัดขึ้นมาไม่ได้



    "นายรู้อะไรมางั้นหรือ" เสือซ่อนลายเอ่ยถาม



    ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นและพยายามจะเก๊กท่าให้ดูว่าตัวเองเป็นคนสำคัญในชั่วโมงนี้ เขาหันกลับไปมองเจนแล้วจึงพูดขึ้นมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ



    "ฉันกำลังจะบอกว่า....ฉันรู้ว่าตอนนี้อามีร่าอยู่ที่ไหน นั่นคือสาเหตุที่โจส่งฉันมาที่นี่"







    ในพุ่มไม้ใกล้กับหมู่บ้านเดียวกับที่พวกแจ็คกำลังเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ กลุ่มของเสือซ่อนลายที่ประกอบไปด้วยซินจู หนูส่งข่าว คิทซึเนะและฟีบี กำลังซุ่มดูยามเดินลาดตระเวนรอบหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลนัก ในจุดที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ถือว่าค่อนข้างได้เปรียบทางภูมิศาสตร์มากทีเดียว เพราะนอกจากยามในหมู่บ้านไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้แล้ว เสือซ่อนลายยังสามารถซุ่มโจมตีจากจุดนี้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย



    ในตอนนี้เสือซ่อนลายอยู่ในชุดเกราะเต็มยศ ดาบอสูรคลั่งยังคงอยู่ในฝักหนังที่ถูกทำขึ้นมาเป็นอย่างดี ส่วนโล่ก็ถูกเก็บสะพายหลังเอาไว้ สิ่งเดียวที่เสือซ่อนลายต้องระวังก็คือพยายามไม่ขยับตัวให้เสียงเหล็กกระทบกันดังจนทำให้พวกยามได้ยินเข้า



    "เอาล่ะ ตอนนี้ทีมปะทะเข้าประจำที่ ทีมอื่น ๆ ถึงไหนกันแล้ว" เสือซ่อนลายพูดผ่านช่องสื่อสารกลุ่ม



    "นี่ทีมซุ่มยิง พวกเราประจำที่แล้ว อ้อ! ตาลุงที่อยู่ข้าง ๆ มีอะไรอยากจะบอกนายด้วยล่ะ..- เฮ้ย! อะไรเล่า..." เสียงของแจ็คเป็นคนตอบ แต่ดูเหมือนว่าเขาถูกรบกวนจนพูดได้ไม่จบประโยค



    "นี่เจนพูด ฉันกับพี่ไมใกล้เข้าประจำที่แล้ว ขอเวลาอีกแปบหนึง" เจนตอบกลับมา น้ำเสียงของเธอดูหอบเล็กน้อยเหมือนกับว่ากำลังวิ่งอยู่



    "โอเค พวกเราจะรอจนกว่าทีมบุกเข้าประจำที่แล้วค่อยเริ่มแผน ได้ยินหรือเปล่า" เสือซ่อนลายพูดขึ้นอีกครั้ง



    หลังจากได้รับเสียงตอบจากทั้งสองทีมแล้ว เสือซ่อนลายก็หันมาเช็คดูลูกทีมของตัวเองว่าพร้อมหรือไม่ เขามองเห็นซินจูที่มีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักแต่เธอก็เป็นแบบนี้อยู่ตลอด โดยเฉพาะเวลาที่พวกเขาเข้าไปตะลุยในสถานที่มอนสเตอร์ชุม ส่วนสาวน้อยอีกสองคนนั้นแม้จะมีสีหน้าดีกว่าอีกทั้งยังดูพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อ แต่เขารู้สึกถึงความไม่พอใจที่ส่งมายังตัวเขาโดยตรง และเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะคิทซึเนะที่เขม่นตามองตั้งแต่ที่แยกทางกับเจนแล้ว



    "เลิกมองฉันแบบนั้นทีเถอะคิทซึเนะ ฉันบอกแล้วว่าถ้าทีมบุกมีคนเยอะก็ยิ่งมีโอกาสที่จะถูกพบมากขึ้น" เสือซ่อนลายค่อย ๆ พูด โดยระวังจะไม่ไปสะกิดต่อมระเบิดอารมณ์ของแม่จิ้งจอกสาวเข้า



    "แล้วทำไมพี่ไมโกะถึงได้ไปกับพี่เจนได้ล่ะ" คิทซึเนะพูดน้ำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจนสั่งให้เธอฟังที่เสือซ่อนลายพูดล่ะก็ ต่อให้แผนล่ม เธอก็จะไม่มีวันออกห่างตัวของเจนเด็ดขาด



    "ก็ไมโกะเขาเป็นนักฆ่า มีทักษะที่ช่วยให้แทรกซึมเข้าไปในหมู่บ้านได้ดีกว่า ส่วนเจนเองก็เป็นคนเดียวที่คุยกับอามีร่าได้ ดังนั้น.." เสือซ่อนลายไม่พูดต่อ เพียงแค่ยักไหล่ให้พอรู้ความหมาย คิทซึเนะเห็นดังนั้นก็ทำได้แค่ทำปากบู้บี้แล้วหันไปทางหมู่บ้านด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของเจน



    "แล้วฉันล่ะ ฉันเป็นแค่โจรธรรมดา ๆ เท่านั้นเองนะ ฉันไม่ได้มีพลังโจมตีหรืออึดถึงพอที่จะไปสู้กับคนอื่นได้นะ" หนูส่งข่าวพูดขึ้น ความจริงเขาควรจะต้องอยู่ทีมบุกที่จะลอบเข้าไปในหมู่บ้าน ระหว่างที่ทีมปะทะของเสือซ่อนลายล่อให้กิลด์พิฆาตราชาออกมาจากหมู่บ้านโดยมีแจ็คและยูสตาร์คอยสนับสนุน



    "อย่างที่บอก ทีมบุกมีแค่สองคนก็มากพออยู่แล้ว จะให้ไปอยู่ทีมซุ่มยิง นายก็คงไม่มีปืนหรืออะไรแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ ดังนั้นอยู่กับฉันนี่ล่ะที่นายจะมีประโยชน์มากที่สุด" เสือซ่อนลายตบไหล่ของชายหนุ่มเบา ๆ เป็นการปลอบใจ



    "ก็ข่าวสารที่อยู่ของอามีร่านั่นไงที่ฉันหามาให้ ฉันควรจะนั่งรออยู่ที่โรงแรมแล้วคอยหาข่าวให้พวกนาย ไม่ใช่มายุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ซักหน่อย!" ชายหนุ่มโวยวายเพราะรู้สึกตัวเองทำงานเกินค่าแรง ทว่าเสือซ่อนลายกลับทำเป็นเมินหนูส่งข่าวแล้วพูดกับเขาเบา ๆ



    "เชื่อสิ อยู่ตรงนี้นายได้ทำประโยชน์มากกว่านั่งอยู่เฉย ๆ แน่"



    ซินจูขยับเข้ามาหาเสือซ่อนแล้วใกล้ ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยช่องสื่อสารธรรมดาเพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยินสิ่งที่เธอจะพูดออกมา "จะดีหรือคะที่ให้พี่ไมโกะไปกับพี่เจนแบบนั้น เมื่อเช้าทั้งคู่เกือบจะทะเลาะกันแล้วนะคะ"



    เสือซ่อนลายหันมามองหญิงสาวแล้วยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากแล้วจึงตอบกลับไป



    "ไม่เป็นไรหรอก ไมโกะน่ะแยกออกว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ แถมเธอก็ยอมตกลงว่าจะช่วยแล้วด้วย ไม่น่าจะมีปัญหา"



    จอมเวทสาวได้ยินที่ชายหนุ่มพูดก็ได้แต่หวังว่าที่เขาพูดจะเป็นความจริง ซินจูหันไปมองที่หมู่บ้านด้วยความวิตกกังวล เธอไม่เพียงแค่กังวลกับพี่ ๆ ที่อยู่อีกฟากของหมู่บ้านเท่านั้น เธอยังกังวลเผื่อตัวเองอีกด้วย เพราะในอีกเวลาไม่นานพวกเธอจะต้องรับหน้าที่ล่อกิลด์พิฆาตราชานับร้อยออกมาสู้กันโดยมีเพียงพวกเธอและพวกแจ็ครวมกันเพียงแค่หกคนเท่านั้น





    เจนพยายามวิ่งตามไมโกะด้วยความเร็วเต็มที่ แต่ระยะห่างของเธอกับสายนักฆ่านั้นเริ่มจะห่างขึ้นมาเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าไมโกะนั้นวิ่งเร็วกว่าเจนมาก บางทีอาจะจะเร็วกว่าที่เจนเห็นด้วยซ้ำไป ถ้าหากไมโกะเป็นคนที่ต้องแอบเข้าไปในหมู่บ้านคนเดียวล่ะก็ อาจจะทำได้โดยไม่ต้องให้พวกเสือซ่อนลายล่อพวกยามเลยด้วยซ้ำ



    เพียงแค่เวลาไม่ถึงชั่วโมงที่เจนพยายามที่จะตามไมโกะให้ทัน ทำให้เจนเห็นแล้วว่าการต่อสู้เก็บเลเวลแบบปกตินั้นต่างจากการลัดเลเวลแบบเจนขนาดไหน เพียงแค่ความเร็วและความอึดในการวิ่งนั้นหญิงสาวตรงหน้าเหนือกว่าเจนอยู่มาก ทั้ง ๆ ทีมีระดับยศและเลเวลน้อยกว่าแท้ ๆ ทำให้ตอนนี้เจนตระหนักได้ว่าเธอพลาดอะไรไปบ้าง



    หลังจากที่พวกเขาพากันมาสำรวจพื้นที่บริเวณหมู่บ้างแห่งนี้แล้วก็พบว่าโดยรอบหมู่บ้านนั้นตั้งอยู่ในจุดที่ได้เปรียบต่อการบุกเข้าโจมตีมากพอควรเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่โดยรอบที่เป็นผืนหญ้าโล่งกว้าง มีต้นไม้อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จุดที่จะใช้ซุ่มโจมตีได้อยู่ต่ำกว่าระดับของหมู่บ้านพอสมควร แถมถ้าหากจะซุ่มโจมตีจากจุดนั้นนอกจากจะต้องหลบสายตาจากคนที่เดินสังเกตการณ์บนกำแพงหมู่บ้านแล้ว พวกที่จะบุกก็ยังถูกดูดแรงไปจากการไต่เนินดินที่เป็นเส้นทางเดียวจากจุดนั้นไปยังหมู่บ้าน



    จุดที่ใช้ซุ่มได้ดีที่สุดก็คือเนินดินที่มีความสูงกว่าหมู่บ้านเพียงเล็กน้อย แถมยังมีต้นไม้และพุ่มไม้เล็ก ๆ ใช้ซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี เสียอย่างเดียวก็คือระยะห่างจากจุดนี้ไปยังหมู่บ้านมีมากเกินไป แต่มันกลับเป็นจุดที่เพอร์เฟ็คที่จะให้แจ็คและยูสตาร์ยิงสนับสนุนจากระยะไกลที่พวกเขาถนัด



    จากข้อมูลของหนูส่งข่าว เขารู้มาว่าอามีร่าถูกส่งมาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยเหตุผลอะไรนั้นไม่รู้ แต่มันเกี่ยวข้องกับการประกาศสงครามของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่แน่ ๆ และตัวหนูส่งข่าวเองก็ไม่มีข้อมูลอย่างชัดเจนว่าอามีร่าจะอยู่ที่หมู่บ้านนี้อีกนานแค่ไหนหรือจุดไหนของหมู่บ้าน ดังนั้นเขาจึงแนะนำให้รีบลงมีในขณะที่ข้อมูลยังใหม่ ๆ ดีกว่า



    เจนรู้สึกทึ่งกับความสามารถในการหาข่าวของตัวเพื่อนคนใหม่นี้เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะทราบว่าอามีร่าอยู่ที่ไหนแล้ว หนูส่งข่าวยังมีข้อมูลของหมู่บ้านที่อามีร่าถูกส่งตัวไปอีกด้วย แม้จะไม่ได้ถึงขั้นมีแบบแปลงแผนที่ของหมู่บ้านนั้น แต่จากข้อมูลของหนูส่งข่าวก็พอจะบอกได้ว่าในหมู่บ้านที่เป็นเป้าหมายของพวกเจนนั้น มีคนของกิลด์พิฆาตราชาอยู่เป็นร้อยคนเลยทีเดียว



    ในตอนที่เสือซ่อนลายเป็นคนอาสาจะวางแผนบุกจากข้อมูลของหนูส่งข่าวนั้น เขาได้แบ่งพวกเธอออกเป็นสามทีม ทีมแรกคือทีมบุก ได้แก่เจนที่มีหน้าที่เข้าไปคุยกับอามีร่าและพาตัวเธอออกมา โดยมีไมโกะเป็นคนพาเข้าไปเพราะในฐานะที่เป็นนักฆ่าทำให้เธอจึงมีทักษะพรางตัวที่ดีที่สุด และฝีมือการต่อสู้ระยะประชิดก็ถือว่ายอดที่สุดในหมู่พวกเขา



    ทีมที่สองคือทีมปะทะซึ่งต้องมีหน้าที่หลอกล่อความสนใจจากกิลด์พิฆาตราชามายังพวกเขา เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสให้ทีมบุกให้มากที่สุด ทีมนี้ประกอบด้วยเสือซ่อนลายเป็นคนนำทีม ซินจูคอยสนับสนุนและรักษาบาดแผล สองสาวคิทซึเนะกับฟีบีคอยป้องกันและสร้างความวุ่นวาย และก็หนูส่งข่าวที่ไม่มีที่อื่นให้ไป



    ส่วนสุดท้ายก็คือทีมซุ่มยิงที่มีหน้าที่ตามชื่อ คอยโจมตีสนับสนุนจากเนินดินที่อยู่ไกลออกไป แจ็คและยูสตาร์ที่สามารถโจมตีได้ไกลจึงเป็นผู้รับหน้าที่นี้ไปโดยบริยาย



    แน่นอนว่าตอนที่เจนรู้ว่าเธอต้องเข้าไปในหมู่บ้านกับไมโกะทำให้เธอรู้สึกกังวลไม่น้อย ตอนเช้าเธอและไมโกะมีปากเสียงกัน พอตกเย็นกลับได้มาแทรกซึมเข้าไปในหมู่บ้านของศัตรูด้วยกันอีก และเจนยังคงแปลกใจว่าไมโกะยังรับคำของเสือซ่อนลายว่าจะช่วยในงานนี้ ตอนแรกเจนคิดว่าไมโกะจะไม่ช่วยซะอีก



    โชคดีที่คือนี้มีเมฆมาก ช่วยบดบังแสงจากดวงจันทร์ ความมืดช่วยบดบังไม่ให้ยามบนกำแพงหมู่บ้านมองเห็นเจนและไมโกะที่กำลังวิ่งผ่านทุ่งหญ้ามาทางตะวันตกของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นจุดที่มียามน้อยที่สุดตามที่ได้สังเกตมาทั้งวัน



    ไมโกะค่อย ๆ ลดความเร็วลงเมื่อเข้าไปถึงกำแพงหมู่บ้าน เธอหมอบอยู่กับที่ รอเจนที่กำลังวิ่งตามมาอย่างเหนื่อยหอบ



    "นี่ไมโกะ พวกเราเข้าประจำที่แล้ว" เธอพูดผ่านช่องสื่อสารกลุ่ม



    "รับทราบ รอจนกว่าจะได้สัญญาณแล้วค่อยเข้าไปนะ" เสียงของเสือซ่อนลายตอบกลับมา



    ไมโกะตรวจดูความเรียบร้อยของอุปกรณ์ของเธอ ส่วนเจนนั้นได้แต่เพียงนั่นดูเท่านั้นเพราะส่วนของแผนการนี้ เจนมีหน้าที่เพียงตามไมโกะไปเท่านั้น



    "เอ่อ...พี่ไม ฉันขอโทษนะที่ทำอะไรเอาแต่ใจไปหน่อย" เจาพูดเสียงค่อย "ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันอาจจะไม่ค่อยชอบใจพี่นัก แต่ว่าฉันต้องช่วยอามีร่าออกมาให้ได้จริง ๆ"



    หญิงสาวที่ถูกเอ่ยถึงยังคงตีสีหน้านิ่งจ้องหน้าของเจนอยู่ครู่หนึ่ง เธอหยิบตะขอออกมาจากเข็มขัดพร้อมกับนำเชือกออกมาจำนวนหนึ่ง



    "ฉันไม่ได้ชอบในสิ่งที่นายจะทำหรอกนะเจน และไม่ได้เห็นด้วยที่จะช่วยเด็กคนนี้ด้วย แต่ถ้านายยังยืนยันว่าจะทำต่อไป ฉันก็ไม่คิดจะถอยหนีหรือจะขัดขวาง ฉันยังคงเป็นเพื่อนของนาย และฉันยินดีที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเสมอ"



    "พี่ไม.."



    "นายเป็นคนดี เจน ฉันเข้าใจว่านายต้องการจะช่วยคนอื่นถึงแม้ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นคนแปลกหน้าก็ตาม นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะทำได้แน่..." ไมโกะยิ้มแห้ง ๆ ให้กับเจนแล้วจึงพูดต่อ



    "ฉันเองก็ต้องขอโทษที่ขึ้นเสียงกับนายตอนที่อยู่ในเรียวกัง ตอนนั้นมันแค่...ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องในอดีตที่ชวนให้โมโหขึ้นมาเท่านั้นเอง" ไมโกะเม้มริบฝีปากแน่นราวกับว่าพยายามอดกลั้นความรู้สึกที่ปะทุจากภายไม่ให้ออกมา ก่อนที่เธอจะตีสีหน้ากลับเป็นสาวที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเช่นเดิม



    ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพียงเวลาไม่นาน แต่เจนสามารถสังเกตเห็นถึงสีหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวดของไมโกะได้ เรื่องในอดีตที่เธอพูดถึงคงจะต้องเป็นเรื่องที่เธอไม่อยากจะนึกถึงอีกเช่นเดียวกับเรื่องพ่อสำหรับเจน แต่เพราะเจนต้องการจะช่วยเหลืออามีร่าจึงทำให้ไมโกะต้องกลับมานึกถึงเรื่องแบบนี้อีกทำให้เจนรู้สึกผิด แต่เธอก็ยังคงอยากจะช่วยอามีร่าอยู่ดี



    "ฉันขอโทษนะพี่ไม ฉันไม่รู้ว่า..-"



    "ช่างมันเถอะเจน ตอนนี้พวกเรามาสนใจกับเรื่องตรงหน้ากันก่อนดีกว่า"



    "ถ้าอย่างนั้น...เราสองคนก็ดีกันอยู่ใช่มั้ย" เจนถามเบา ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ไมโกะ และรอยยิ้มที่หญิงสาวส่งกลับมาก็ทำให้เธอโล่งใจขึ้นมากจากที่ต้องอึดอัดมาตั้งแต่เช้า



    "ใช่ ยังดีอยู่"



    ตูม!! ตูม!! ตูม!!



    เสียงระเบิดดังสนั่นมาจากอีกฟากของกำแพงหินที่สั่นสะเทือนจากแรงกระแทก และนั่นคือสัญญาณการเริ่มแผนการของเสือซ่อนลาย



    ไมโกะหันไปหาเจนซึ่งพยักหน้าเป็นสัญญาณเตรียมพร้อม นักฆ่าสาวลุกขึ้นแล้วจึงเขวี้ยงตะขอขึ้นไปบนกำแพงหิน หลังจากแน่ใจว่าตะขอเกี่ยวกับกำแพงได้แล้วไมโกะจึงหันไปพยักหน้าให้กับเจนแล้วจึงเริ่มไต่กำแพงขึ้นไปสู่หมู่บ้านที่กำลังลุกเป็นไฟ







    ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที



    หลังจากเสือซ่อนลายได้รับทราบว่าพวกเจนพร้อมที่จะเริ่มปฏิบัติการณ์แล้วเขาจึงหันมาหาหนูส่งข่าวที่นั่งเท้าคางเหมือนกับว่าไม่พอใจที่ถูกลากออกมาที่นี่แทนที่จะนอนหลับสยาย ๆ อยู่ที่เรียวกัง...อันที่จริงเขาไม่พอใจพอตัวทีเดียวล่ะ



    "ไอ้หนู นายจำได้มั้ยที่ฉันบอกว่านายจะได้ทำอะไรมากกว่านั่งอยู่เฉย ๆ แน่"



    "จำได้สิ ความจำนี่ล่ะตัวตนของฉันเชียวนะ" หนูส่งข่าวตอบอย่างไม่สบอารมณ์



    "เอาล่ะ หน้าที่ของนายต่อไปนี้ คือดึงความสนใจจากยามพวกนั้นมาที่นายให้มากที่สุด"



    "เฮ้ย! จะบ้าหรือไง แค่ฉันเดินออกไปให้พวกนั้นเห็น หัวฉันก็เป็นรูเบ่อเริ่มแล้ว!" หนูส่งข่าวพูดเสียงดังพร้อมกับชี้ไปที่ยามคนหนึ่งที่สะพายปืนไรเฟิ่ลกระบอกโตอยู่ด้านหลัง



    "ฉันบอกให้นายดึงความสนใจจากยามพวกนั้นมาที่นาย แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องให้พวกนั้นเห็นนายซักหน่อย และฉันคิดว่านายคงมีอะไรที่ช่วยในเรื่องนั้นแน่ ๆ ใช่มั้ยล่ะ" เสือซ่อนลายยิ้มอย่างแยบยล



    แทนที่ชายหนุ่มหัวขโมยจะโวยวายอย่างที่ควรจะทำเมื่อเสือซ่อนลายพูดกับเขาไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม แค่ครั้งนี้หนูซ่อนลายกลับแสยะยิ้มที่ทำให้สามสาวรู้สึกว่าพ่อหนุ่มคนนี้ไม่น่าจะคบหาด้วยเป็นที่สุด







    "ไอ้พวกกิลด์พิฆาตราชาชั่วช้า โผล่หัวออกมาเดียวนี้!!" เสียงตะโกนดังลั่นอยู่ที่ประตูทางเขาหมู่บ้าน เรียกให้ยามที่เป็นคนของกิลด์พิฆาตราชารีบวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น



    "เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ" ยามคนหนึ่งถามขึ้นเมื่อมาถึงที่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้านที่เป็นกรงเหล็กหนา แต่เมื่อเขามองออกไปด้านนอกกลับพบแต่เพียงความมืดเท่านั้น



    "ไม่รู้ว่ะ เมื่อกี้เหมือนจะได้ยินเสียงใครมาตะโกนอยู่ข้างนอก แต่ก็อย่างที่เห็น ไม่มีใครอยู่เลย" ยามที่มาถึงก่อนตอบ



    "อย่าเพิ่งประมาท บางทีอาจจะเป็นคนของพวกกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ก็ได้.. เฮ้ย!! ข้างบนกำแพงน่ะ เห็นใครข้างนอกบ้างมั้ย!" ยามคนแรกตะโกนถามคนที่เดินยามอยู่บนกำแพงหมู่บ้าน แต่ก็ไม่พบอะไรเช่นเดิม



    "สงสัยจะหูแว่ว ได้ยินเสียงลมเป็นเสียงตะโกนไปล่ะมั้ง" ยามคนเดิมพูด



    "อาจเป็นได้ว่ะ ตอนนี้พวกเราอยู่ในถิ่นศัตรูซะด้วย แต่แผนของไวรัสนี่เสี่ยงไปหน่อยแต่ได้ผลกว่าที่คาดจริง ๆ พวกเรามาสร้างหมู่บ้านอยู่ใต้จมูกของพวกมัน ถึงเวลาบุกเมืองเมื่อไหร่ พวกพยัคฆ์ราชาคู่ไม่มีวันตั้งตัวทันแน่" ยามคนที่สองพูดสนับสนุน



    แต่ตอนที่พวกเขากำลังวางใจอยู่นั้นเอง เสียงตะโกนก็ดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ยามทั้งสองแน่ใจว่าไม่ได้หูฝาดไปเองแน่



    "พวกลูกหมากิลด์พิฆาตราชา รีบโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!!!"



    ยามคนแรกรีบตะโกนบอกให้ยามบนกำแพงมองหาว่าเสียงมาจากที่ไหน แต่คำตอบยังคงเหมือนเดิมคือนอกกำแพงไปนั้นไม่มีวี่แววของใครอยู่เลย



    "บ้าฉิบ! คืนนี้มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย เมฆดันมาบังแสงพระจันทร์แถมไอ้พวกนี้ดันมาบุกถูกคืนอีก" ยามคนที่สองพูดขณะพยายามมองไปด้านนอกหาตัวผู้ที่จะโกน



    "ไปตามพวกที่อยู่ในหมู่บ้านมาให้หมด! พวกเราจะออกไปตามล่ามันข้างนอก ให้มันรู้ว่าคืนนี้มันมาแหย่คนผิดแล้ว!" ยามคนแรกตะโกน



    ในเงามืดที่ริมกำแพง มีเงาดำเล็ก ๆ กำลังนั่งนิ่งไม่ขยับ แต่ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ เงามืดนั้นก็พลันปรากฏร่างผอมบางออกมา หนูส่งข่าวนั่นเอง!



    'ขออย่าให้พวกมันโผล่มาตอนนี้เลย อย่าเพิ่งโผล่มาตอนนี้!" ชายหนุ่มหัวขโมยอธิษฐานในใจ พลางนับถอยหลังดีเลย์ทักษะของอาชีพโจรล้วงกระเป๋าที่เข้าเพิ่งใช้ไป



    ซ่อนในเงา ระดับ D ไม่ใช้พลังเวท ระยะเวลาดีเลย์ 10 วินาที

    สามารถซ่อนตัวได้อย่างสมบรูณ์แบบในเงามืดในช่วงเวลาหนึ่ง ในระหว่างที่ใช้ทักษะ ผู้ใช้จะขยับไปไหนไม่ได้



    หนูส่งข่าวใช้ทักษะนี้ซ่อนตัวระหว่างที่เขาตะโกนเรียกความสนใจจากพวกกิลด์พิฆาตราชา แต่เขาไม่นึกว่าคนพวกนี้จะหลงกลได้ง่ายขนาดนี้ สิ่งที่เขากังวลตอนนี้คือถ้าหากพวกกิลด์พิฆาตราชาออกมาตามหาเขาจริง ๆ ล่ะก็ ในเวลาไม่นานเขาจะต้องถูกจับได้อย่างแน่นอน หวังว่าตอนนั้นพวกเสือซ่อนลายจะมีแผนการรองรับเอาไว้แล้ว



    เพียงในเวลาไม่นาน ทหารของกิลด์พิฆาตราชานับร้อยก็มาอออยู่ที่หน้าประตูหมู่บ้านพร้อมกับคบเพลิงในมือ แต่ตอนนั้นเองที่เสียงตะโกนก็ดังขึ้นมาอักครั้ง



    "ไอ้พวกเลวที่คอยรังแกคนที่ไม่มีทางสู้อย่างพวกแก วันนี้แหละที่ผู้กล้าในชุดขาวจะจัดการสั่งสอนให้พวกแกรู้จักถึงความถูกต้อง!!"



    เมื่อชื่อผู้กล้าชุดขาวดังขึ้นกลับสร้างความแตกตื่นให้กับพวกกิลด์พิฆาตราชากว่าเสียงตะโกนของหนูส่งข่าวเสียอีก ดูท่าทางตอนนี้ชื่อพวกกิลด์พิฆาตราชาจะเริ่มผวากับวีรกรรมของเจนมากกว่าที่เขาคิดซะอีก



    จากข่าวที่หนูส่งข่าวรวบรวมมาได้และคำยืนยันจากแจ็คแลพวกเสือซ่อนลายทำให้เขารู้ว่าเจนคือผู้เล่นที่กล้าต่อกรกับกิลด์พิฆาตราชาคนนั้น ทำให้หนูส่งข่าวจึงรีบคิดที่จะใช้ข่าวนี้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้นตลอดวันในระหว่างที่พวกเสือซ่อนลายวางแผนกันอยู่ เขาก็ทำการสร้างกระแสของ 'ผู้กล้าในชุดขาว' ขึ้นมา



    อาวุธที่ทรงพลังที่สุดสำหรับคนอย่างหนูส่งข่าวไม่ใช่ดาบ ปืน หรือเวทมนตร์ แต่มันคือข้อมูลที่สามารถใช้โจมตีศัตรูได้โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องจับอาวุธจริง ๆ เลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้นยังสามารถทำให้ศัตรูหันหน้าเข้าห้ำหั่นกันเองหรือสิ่งที่หนูส่งข่าวกำลังทำอยู่ การสร้างภาพอริให้ยิ่งใหญ่เกินจริง



    ข่าวเรื่องของผู้เล่นปริศนาที่ต่อต้านกิลด์พิฆาตราชานั้นถือว่าเป็นข่าวที่มีคนให้ความสนใจอยู่เป็นจำนวนมาก เบาะแสอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเจนนั้นถูกเอามาตีความบนกระดานข้อความที่ถูกตั้งแยกจากกระดานข่าวอื่น ๆ ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่พอจะบอกว่าผู้เล่นคนนี้เป็นใครก็มีแค่เสื้อคลุมสีขาวและดาบคาตานะยาวที่ถูกแต่งเติมจนเกินจริง



    สิ่งที่หนูส่งข่าวทำคืออ้างตัวเป็นพรรคพวกของผู้เล่นคนนี้...ซึ่งก็เป็นความจริง เขาจัดการประกาศสิ่งต่าง ๆ ที่เจนได้ทำในเมืองรีเด็มชั่น เมืองคริสตัลเบลรวมถึงบนเรือเหาะให้ทุกคนได้รู้อีกทั้งยังทิ้งชื่อ 'ผู้กล้าในชุดขาว' ให้ดูเหมือนว่าเจนกลายเป็นฮีโร่ในหน้ากากที่ทุกคนต่างชอบในเรื่องแบบนี้ เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทุกคนก็ได้ชื่อใหม่ที่ใช้เรียกเจนและดูท่าทางพวกกิลด์พิฆาตราชาเหล่านี้ก็คงรู้แล้วเช่นกัน



    "ได้ยินหรือเปล่า เมื่อกี้มันบอกว่าไอ้คนที่จัดการพวกที่อยู่ในเมืองรีเด็มชั่นจะมาที่นี่"



    "ให้มันมาเลย! ไอ้พวกที่อยู่ในเมืองนั้นมันกระจอกจะตาย ฉันนี่แหละจะจัดการไอ้อวดดีนั่นเอง!"



    "ถ้าหมอนั่นมันกระจอกอย่างแกพูดก็คงดี แต่ที่ได้ยินมา หมอนั่นจัดการพวกยศขุนนางเป็นสิบด้วยการโจมตีแค่ครั้งเดียว ฉันว่าไอ้หมอนี่ต้องอยู่ระดับราชาเป็นอย่างน้อยแล้วแน่ ๆ"



    เสียงคุยของผู้เล่นกิลด์พิฆาตราชาดังระงม น้ำเสียงแต่ละคนฟังดูวิตกกังวลมากอย่างที่หนูส่งข่าวต้องการให้เป็น และตอนนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่ปรากฏตัวออกมาจากเงามืดที่บอกให้เขารู้ว่างานของเขาได้ลุล่วงไปเรียบร้อยแล้ว







    ด้านหน้าทางเข้าหมู่บ้าน ชายในชุดเกราะสีเงินปรากฏตัวพร้อมกับสาวงามอีกสองคนด้านหลัง คนหนึ่งเป็นจอมเวทย์หน้าตาน่ารัก ผมสีชมพูในผ้าคลุมสีขาว อีกคนเป็นหญิงสาวร่างสูงในชุดยูกาตะขาวขลิบแดงดูเซ็กซี่ หน้าตาของเธอเองก็งดงามราวกับรูปวาดจนพวกกิลด์พิฆาตราชาที่อยู่บนกำแพงหมู่บ้านถึงกับเพ้อไปเลยทีเดียว



    แต่เบื้องหลังความงามนั้นมีลูกไฟสีฟ้านับร้อยลูกกำลังลอยอยู่ เพียงแค่มองดูก็รู้ได้ทันทีว่าลูกไฟพวกนี้อันตรายแค่ไหน ชายในชุดเกราะคนหนึ่งที่ดูท่าทางจะเป็นแม่ทัพของกิลด์พิฆาตราชาที่อยู่ในหมู่บ้านเห็นท่าทางไม่ดีจึงรีบออกคำสั่งทันที



    "นักเวท!! รีบโจมตีใส่พวกมันก่อนจะร่ายเวทจบเร็วเข้า!!"



    เสียงปืนดังรัวพร้อมกับลูกธนูนับสิบและเวทหลากชนิดไม่ว่าจะเป็นลูกไฟ หอกน้ำแข็ง สายฟ้า ต่างพุ่งเข้าใส่ร่างของทั้งสามอย่างไร้ความปราณี แต่ก่อนที่จะได้ทำอันตรายพวกเขา โล่พลังสีน้ำเงินพลันปรากฏขึ้นมาป้องกันการโจมตีทั้งหมดเอาไว้



    "โจมตีเข้าไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพลังเวทก็หมดไปเอง!" แม่ทัพตะโกนสั่งอีกครั้ง จากประสบการณ์ของเขาทำให้รู้ว่าโล่พลังแบบนี้จะใช้พลังเวทเพื่อคงสภาพและจะยิ่งเสียพลังเวทมากขึ้นเมื่อโดนโจมตี และการโจมตีแบบห่าฝนแบบนี้ยิ่งทำให้พลังเวทย์ของผู้ที่ใช้โล่พลังนั้นลดเป็นน้ำไหลเลยทีเดียว







    เสือซ่อนลายมองดูลูกกระสุนและลูกธนูพร้อมกับเวทมนตร์นับร้อยเข้าปะทะกับโล่พลังสีน้ำเงินของเด็กน้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา ตอนแรกตัวเสือซ่อนลายเองก็ยังไม่มั่นใจนักว่าพวกเขาจะดึงความสนใจให้พวกเจนลอบเข้าไปในหมู่บ้านได้นานพอหรือไม่ แต่หลังจากเห็นสีหน้าของฟีบีที่ยังสบาย ๆ อยู่ก็เปลี่ยนความคิดของเขาไปทันที



    "เป็นยังไงบ้างจ๊ะ ฟีบี ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ ฉันจะได้ช่วยเสริมพลังให้" ซินจูพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อมองเห็นการโจมตีที่อยู่ด้านนอกโล่พลัง ถ้าหากไม่มีฟีบีอยู่ด้วย เธอมั่นใจว่าตอนนี้เธอคงได้ไปรอเกิดแล้วแน่ ๆ



    "ไม่เป็นไรค่ะพี่ซินจู แค่นี้หนูรับได้สบายมาก ลูกไฟของพี่คิทซึเนะแรงกว่าพวกนี้ตั้งเยอะ" มังกรน้อยตอบและหันไปมองพี่สาวของเธอที่ยังคงควบคุมลูกไฟให้ลอยอยู่เหนือหัวของพวกเธอตามคำที่เสือซ่อนลายบอก



    "จะให้โจมตีสวนกลับเลยมั้ยคะ" คิทซึเนะถามพร้อมกับเขม่นตามองพวกกิลด์พิฆาตราชาตรงหน้าที่นอกจากขี้ขลาดหดหัวอยู่ในกำแพง แล้วยังยังใช้พวกมารุมอีก ถ้าหากเป็นเธอล่ะก็ หมู่บ้านตรงหน้าเธอนี้จะกลายเป็นทะเลเพลิงก่อนที่พวกกิลด์พิฆาตราชาจะรู้สึกตัวซะอีก



    "ยังก่อน พวกเราต้องถ่วงเวลาให้พวกเจนอีกหน่อย ถ้าหากโจมตีกลับไปตอนนี้พวกนั้นคงคิดว่าตัวเองสู้ไม่ได้แล้วพากันหนีไปแน่ ๆ" เสือซ่อนลายเอ่ย



    "และนั่นก็รวมไปถึงอามีร่าด้วยใช่มั้ยคะ" ซินจูถาม



    ชายหนุ่มพยักหน้าให้กับเธอเป็นคำตอบแล้วหันกลับไปมองพวกกิลด์พิฆาตราชาที่ยังคงระดมโจมตีเข้ามาไม่หยุด







    แม่ทัพหนุ่มจ้องมองโล่พลังสีน้ำเงินที่ยังคงทำหน้าที่ปกป้องคนสามคนที่อยู่ด้านในได้อย่างดี เขามั่นใจมากว่าไม่มีโล่พลังใดที่จะสามารถต้านทานการโจมตีได้นานขนาดนี้ ไม่แม้แต่จอมเวทย์ระดับยศขุนนางที่มีเลเวลเต็มร้อย



    'นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ!? โดนโจมตีใส่โล่พลังนั่นตั้งนานแล้วทำไมถึงยังไม่สลายไปอีก!' แม่ทัพหนุ่มพูดในใจขณะที่ในหัวนั้นพยายามคิดหาสาเหตุว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น



    ถ้าหากเป็นโล่พลังมันควรจะต้องสลายไปแล้ว ไม่มีนักเวทคนไหนที่สามารถต้านทานการโจมตีของคนนับร้อยได้ตัวคนเดียวได้...นอกซะจากว่าโล่พลังนั้นจะเป็นทักษะที่ไม่ได้กินพลังเวทเพื่อคงสภาพ และนั่นก็ไม่มีนักเวทคนใดที่มีทักษะแบบนั้นอย่างแน่นอน แม่ทัพหนุ่มจึงตีความได้ทันที



    โล่พลังนี่ไม่ใช่ทักษะของนักเวทย์!!



    เมื่อคิดได้แล้วแม่ทัพหนุ่มจึงหาเป้าหมายใหม่ขึ้นมา ในเมื่อจากทั้งสามคนในโล่พลังนั้นมีสองคนเป็นนักเวท ดังนั้นจึงเหลือความเป็นไปได้อยู่หนึ่ง นั่นก็คืออัศวินในเกราะเงินคนนั้นนั่นเอง



    "หยุดการโจมตี! พวกแกรีบออกไปแล้วจัดการไอ้คนที่ใส่ชุดเกราะนั่นซะ มันเป็นคนที่ใช้ทักษะโล่พลังนี้แน่ ๆ!" แม่ทัพหนุ่มตะโกนสั่ง



    การโจมตีค่อย ๆ หยุดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งในชุดคลุมสีดำก็เดินออกมาจากหมู่บ้านและตรงมาหาพวกเสือซ่อนลายด้วยท่าทางแสดงถึงการคุกคามอย่างเห็นได้ชัด



    แทนที่จะตกใจ เสือซ่อนลายกลับแสยะยิ้มออกมาอย่างชอบใจ เขาหยิบโล่พร้อมกับชักดาบออกมาเตรียมจะเดินเข้าไปหาพวกกิลด์พิฆาตราชา



    "นั่นจะทำอะไรน่ะพี่เสือ! พวกนั้นมีเลเวลอย่างน้อยก็ตั้งเก้าสิบเชียวนะ! แล้วพวกนั้นก็มากันเป็นสิบคนเลย พี่สู้ไม่ไหวหรอก ให้คิทซึเนะจัดการดีกว่า"



    แทนที่จะหยุดอยู่กับที่ตามที่ซินจูเตือน แต่เขากลับหันมายิ้มให้กับเธอพร้อมกับทิ้งคำพูดสั้น ๆ เอาไว้ก่อนที่จะออกไปฟาดฟันกับพวกกิลด์พิฆาตราชา



    "ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แบบนี้น่ะดีแล้ว ฉันจะให้พวกมันรู้ว่ามารุมอัศวินคลั่งน่ะผิดมหันต์"





    เสือซ่อนลายพุ่งตัวออกไปโดยยกโล่ขึ้นสูงและชี้ดาบไปด้านหน้าเหมือนกับกำลังเตรียมที่จะแทง พวกทหารของกิลด์พิฆาตราชาที่แม่ทัพหนุ่มส่งออกมานั้นเห็นท่าทางป้องกันของเสือซ่อนลายก็เริ่มตีกรอบล้อมรอบเอาไว้



    แม้จะถูกล้อมแต่เสือซ่อนลายยังคงใจเย็นอยู่ได้ เขาหมุนตัวช้า ๆ และคอยดูว่าใครจะบุกเข้าหาเขาก่อนเป็นคนแรก รอไม่นานทหารชุดดำคนหนึ่งด้านหลังก็เข้าประชิดตัวอย่างเงียบเชียบด้วยกับแทงดาบใส่เสือซ่อนลายอย่างรวดเร็ว



    ทว่าดาบของทหารคนนั้นไม่อาจได้ลิ้มรสเลือดของชายตรงหน้า เขาหันหลังมาทันควันและยกโล่ขึ้นกันอย่างท่วงที แต่ตอนที่เสือซ่อนลายกำลังจะแทงดาบสวนกลับไปนั้นเองที่เขาเห็นทหารคนนั้นกระโดดถอยหลบฉากไปซะก่อน ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่ทหารอีกคนด้านหลังพุ่งเข้ามาฟาดดาบใส่เขา



    อัศวินหนุ่มเคลื่อนตัวหลบทันควันและยกดาบฟาดใส่ทหารกิลด์พิฆาตราชากลับไป แต่ก็เหมือนเดิมกับครั้งที่แล้ว ทหารในชุดดำหลบออกไปจากระยะดาบได้ซะก่อนที่เสือซ่อนลายจะโจมตีสวนกลับไปได้



    แม้เสือซ่อนลายจะมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่พวกทหารในชุดดำที่แม่ทัพกิลด์พิฆาตราชาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าก็มีประสบการณ์การต่อสู้มาไม่น้อยเช่นกัน ถ้าหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปเห็นทีจะไม่ดี เพราะไม่มีอะไรประกันว่าพวกกิลด์พิฆาตราชาในเมืองจะไม่เปิดฉากยิงใส่พวกเขาอีก



    ตอนนี้กลยุทธ์ที่เสือซ่อนลายคิดในตอนนี้ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าเขาต้องการจะถ่วงเวลาให้พวกเจน แต่ทางออกในตอนนี้มีอยู่ทางเดียวนั่นก็คือเขาต้องจัดการคนพวกนี้ให้ได้ แม้นั่นจะทำให้พวกอยู่ในหมู่บ้านโจมตีใส่อีกครั้งก็ตาม



    ทหารชุดดำพุ่งเข้ามาจากด้านหลังอีกครั้ง เสือซ่อนลายหันกลับมาเผชิญหน้าอีกเช่นเคยแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ยกโล่ขึ้นป้องกัน แต่เขาเลือกที่จะโจมตีสวนกลับไปโดยไม่ป้องกัน!



    ทหารชุดดำเห็นว่าชายตรงหน้าไม่คิดป้องกันแต่กลับโจมตีแทน ดาบขนาดธรรมดาทั่วไปโจมตีใส่ชุดเกราะระดับสูงแลกกับดาบขนาดใหญ่โจมตีใส่โจมตีใส่เกราะธรรมดา เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ใครเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบ แม้เขาคิดจะถอนดาบกลับมาก็ไม่ทันซะแล้ว



    เคล้ง! ฉัวะ!



    เสียงสองเสียงดังลั่น ดาบของทหารในชุดดำสะท้อนออกไปเมื่อดาบกระทบชุดเกราะของเสือซ่อนลาย ฝากรอยบุบและรอยขีดข่วนเอาไว้เท่านั้น ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาได้เท่าที่ควร ในตรงกันข้าม ดาบของเสือซ่อนลายเฉือนร่างของทหารคนนั้นจนเกิดแผลฉกรรจ์ทำให้เขานอนลงไปกองบนพื้นแต่ยังไม่ตาย ทหารคนนั้นรีบหยิบยาเพิ่มพลังชีวิตออกมาเพื่อที่จะรักษาตัวเอง แต่นั่นกลับเปล่าประโยชน์เพราะเสือซ่อนลายไม่ปล่อยให้เขารักษาตัวง่าย ๆ แน่ ดาบอสูรคลั่งถูกปักลงกลางหัวใจของทหารในชุดดำผู้โชคร้ายก่อนจะกลายเป็นแสงไป จากนั้นเสือซ่อนงายก็เงยหน้าขึ้นแล้วเตรียมพร้อมจะสู้อีกครั้ง



    ทว่าตอนนั้นเองบนกำแพงหมู่บ้านก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น นักธนู มือปืนและนักเวทย์จำนวนมากขึ้นมาบนกำแพงพร้อมกับเล็งเป้าหมายไปที่ชายในชุดเกราะอย่างเงียบ ๆ แม้การโจมตีด้วยดาบครั้งเดียวจะทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นปืนหรือเวทมนตร์ล่ะก็เขาคงไม่รอดแน่ และเมื่อยิ่งในตอนนี้เสือซ่อนลายกำงังถูกดึงสมาธิไปอยู่ที่พวกทหารชุดดำซึ่งยังคงเข้าโจมตีจากด้านหลัง ทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่าบนกำแพงเมืองกำลังจะถล่มเขาอีกครั้ง



    ปัง! ฉึก!



    ร่างของนักเวทย์สองคนร่วงจากกำแพงเมือง คนหนึ่งมีรูเล็ก ๆ อยู่บนหัว ส่วนอีกคนมีลูกธนูดอกใหญ่แทงทะลุร่าง ไม่นานทั้งคู่ก็กลายเป็นแสงไป และนั่นทำให้เสือซ่อนลายหันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น



    "ระวังหน่อยพรรคพวก เมื่อกี้ไอ้พวกที่อยู่ในเมืองกำลังลอบกัดนายแล้ว" เสียงของแจ็คดังขึ้นพร้อมกับเสียงปืนดังขึ้นอีกนัดและลูกธนูแล่นผ่านเหนือหัวของเสือซ่อนลาย ครั้งนี้ทหารชุดดำที่ล้อมรอบตัวเขาเป็นคนที่กลายเป็นแสงหายไป



    พวกทหารชุดดำที่เห็นว่าพรรคพวกของตนถูกลอบโจมตีจึงเปลี่ยนรูปขบวนทันที แทนที่จะล้อมเสือซ่อนลายเช่นเดินกลับตั้งแนวป้องกันพร้อมกับค่อย ๆ ถอยกลับเข้าไปในหมู่บ้านเช่นเดียวกันกับที่บนกำแพงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อรู้ว่าพวกเสือซ่อนลายยังมีกำลังพลซุกซ่อนอยู่อีก



    "ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะกลับไปโจมตีแบบเมื่อกี้อีกรอบแล้ว นายจะเอายังไงเสือ" ยูสตาร์ถามขึ้น



    เสือซ่อนลายคิดอย่างชั่งใจก่อนจะตัดสินใจกลับเข้าไปด้านในโล่พลังก่อน "เจน ไมโกะ ตอนนี้พวกเธอเป็นยังไงบ้าง"



    "ตอนนี้เข้ามาได้แล้ว กำลังค้นหาอามีร่าอยู่" เจนตอบกลับมา



    "รีบหน่อยก็ดี เวลากำลังจะหมดแล้ว" เสือซ่อนลายบอกแล้วจึงหันไปหาคิทซึเนะ "ถล่มพวกนั้นได้เลย"



    "เอ๋! แต่พวกพี่เจนยังหาอามีร่าไม่เจอเลยนะคะ" ซินจูรีบพูดเมื่อได้ยินเสือซ่อนลายสั่งคิทซึเนะ



    "เราทำเท่าที่เราทำได้แล้ว แถมลูกไฟพวกนั้นลอยอยู่นานเกินไปจนน่าสงสัย พวกนั้นอาจจะจับผิดได้ว่าพวกเรามาเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นคิทซึเนะลุยเลย เน้นจัดการไปที่พวกทหารนะ อย่าเพิ่งทำลายบ้านเรือน ระวังด้วยเผื่อจะมีชาวบ้านธรรมดาด้านใน"



    "ไม่ต้องห่วง หมู่บ้านนี้พวกกิลด์พิฆาตราชาสร้างขึ้นเอง ไม่มีชาวเมืองอยู่แน่นอน" เสียงของหนูส่งข่าวดังขึ้นในหัว เสือซ่อนลายได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างพอใจแล้วจึงพยักหน้าให้สัญญาณกับคิทซึเนะ



    จิ้งจอกสาวยิ้มกว้างแล้วหันไปมองหมู่บ้านที่ทหารในชุดดำเพิ่งกลับเข้าไปในเมือง เธอยกแขนเรียวขึ้นฟ้าในขณะที่ลูกเพลิงสีฟ้านับร้อยเริ่มลอยเข้าใกล้หมู่บ้านขึ้นเรื่อย ๆ และก่อนที่คิทซึเนะจะปล่อยให้ใครตั้งตัว ลูกเพลิงนับสิบก็พุ่งเข้าใส่หมู่บ้านราวกับฝนดาวตกร่วงลงใส่เมือง







    ตูม!! ตูม!!! ตูม!!!



    เสียงระเบิดดังไปทั่วหมู่บ้าน ไฟลูกไหม้ทุกหนทุกแห่ง คนของกิลด์พิฆาตราชาต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ความโกลาหนที่เกิดขึ้นกลับทำให้เจนและไมโกะทำงานของพวกเธอได้ง่ายขึ้นมากเพราะตอนนี้เธอไม่ต้องแอบซ่อนตัวอีกต่อไป เนื่องจากทุกคนต่างหาทางหนีเอาตัวรอดกันทั้งนั้น



    "ฉันรู้ว่าแผนมีบอกถึงการโจมตีหมู่บ้าน แต่การเผาหมู่บ้านนี่อยู่ในแผนของเสือหรือเปล่า" ไมโกะพูดระหว่างพยายามมองหาเป้าหมายของเธอขณะที่กำลังเดินผ่านบ้านไหม้ไฟหลังหนึ่ง



    "เอ่อ...ฉันว่าพี่เสือคงไม่ทันได้คิดว่าลูกไฟของคิทซึเนะคงรุนแรงขนาดนี้ ขนาดฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน" เจนตอบตามความจริง



    ตอนนั้นเองทหารชุดดำคนหนึ่งสังเกตเห็นพวกเธอและกำลังทำท่าจะเรียกพรรคพวกมาช่วย เจนรีบชักดาบออกมาทันทีเพราะถ้าหากกิลด์พิฆาตราชารู้ว่าพวกเธออยู่ในเมืองล่ะก็ การตามหาอามีร่าก็จะลำบากและยุ่งยากมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่จากจุดที่เจนอยู่ตรงนี้ ต่อให้เธอใช้พลังสถิตร่างก็ยังช้าเกินกว่าที่จะหยุดทหารคนนั้นได้ทัน



    ฟิ้ว!



    เสียงของมีคมบินผ่านหูของเจนไปเพียงพริบตา เธอมองดูร่างของทหารคนนั้นถูกมีดเล่มเล็กปักเข้าที่หัวก่อนจะสลายไป เมื่อหันมามองด้านหลังเธอก็พบว่าผู้ที่ปามีดเล่มนั้นมาก็คือไมโกะนั่นเอง



    "สุดยอดไปเลยพี่ไม สมกับเป็นนักฆ่าจริง ๆ" เจนเอ่ยชม



    นักฆ่าสาวยิ้มที่มุมปากแล้วตอบก่อนจะวิ่งนำหน้าเจนไป "ขอบใจ พวกเรารีบไปกันดีกว่า ถ้าขืนชักช้ามีหวังคิทซึเนะได้ทำลายเมืองไปก่อนแน่ ๆ"



    สองสาวพยายามวิ่งตามหาอามีร่าในอาคารหลังต่อหลัง แต่ไม่มีท่าทีว่าจะพบเธอเลย บวกกับเปลวเพลิงที่ลุกโหมอย่างรวดเร็วกับจำนวนทหารที่เจนพบเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้เจนเริ่มมั่นใจว่าพวกกิลด์ดิฆาตราชาต้องรู้แล้วว่าเธออยู่ภายในเมืองเรียบร้อยแล้ว



    "เจน! พวกเราไม่มีเวลาแล้วนะ! เราต้องรู้ว่าพวกเรากำลังหาอามีร่าที่ไหนกันแน่!" ไมโกะตะโกนบอกพร้อมกับใช้มีดปาดคอของทหารคนหนึ่งที่วิ่งเข้าใส่เธอ



    "แต่หนูส่งข่าวแค่รู้ว่าอามีร่าอยู่ที่นี่เท่านั้นเอง ไม่มีข้อมูลบอกว่าอาคารไหนที่อามีร่าอยู่เลย! ย้าา!" เจนตะโกนตอบพร้อมกับฟาดดาบใส่ทหารที่เข้ามาลอบกัดเธอจากด้านหลัง



    "ลองถามตัวเองดูสิเจน ถ้าหากเป็นนาย จะเก็บนักฆ่าฝีมือพระกาฬเอาไว้ที่ไหน!! ฮึบ!" ไมโกะว่าพร้อมกับซัดมีดใส่ทหารอีกกลุ่มนึงที่โผล่มาพอดี และมีดทุกเล่นก็พุ่งเข้าจุดตายอย่างแม่นยำ



    "ฉันไม่รู้! ถ้าเป็นฉันล่ะก็ ฉันคงจะให้อามีร่าออกจากช่วยจัดการกับพวกเรา..-"



    "ไม่ไหวแล้วโว้ยยย! พวกแกมากับฉัน เราจะไปปล่อยยัยนักฆ่านั่นมาจัดการให้จบเรื่องซักที!!" เสียงตะโกนดังลั่นพร้อมกับทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านพวกเจนไปโดยไม่ทันสังเกต



    ทั้งคู่มองหน้ากันพร้อมกับพยักหน้ากันอย่างรู้กันว่ากำลังคิดอะไรอยู่ บางทีการตามหาอามีร่าอาจจะง่ายกวาที่คิดถ้าหามีคนช่วยนำทาง





    ในสำนักงานกิลด์พิฆาตราชาของหมู่บ้านที่ยังคงยืนหยัด ไม่ได้ถูกไฟของคิทซึเนะเผาผลาญ บนชั้นสูงสุดสุดของอาคาร หญิงสาวร่างเล็กนั่งอยู่บนพื้นอย่างสงบแม้ว่าเสียงระเบิดจากภายนอกจะบอกว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น



    ดวงตาของเธอมองดูลูกไฟสีฟ้าที่พุ่งเข้าทำลายหมู่บ้านอย่างน่าเกรงขาม แม้ว่าจากที่เธอเห็นตรงส่วนด้านหน้าหมู่บ้านที่มีนักเวทย์อยู่เป็นจำนวนมากทำให้จุดนั้นมีโล่พลังเวทช่วยป้องกันความเสียหายอยู่ แต่ถ้าหากลูกไฟนี้ยังคงโจมตีไม่หยุดล่ะก็ ต่อให้มีนักเวทมาเพิ่มมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร



    ปัง!!



    ประตูไม้ถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมกับทหารกิลด์พิฆาตราชาและแม่ทัพหนุ่มเดินเข้ามาด้านในห้อง สายตาของเขาหันมามองที่อามีร่าที่นั่งอยู่ใกล้กับริมหน้าต่าง ดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างอารมณ์เสียเมื่อเห็นว่าหญิงสาวนั้นไม่ได้จะมีทีท่าอะไรเลยแม้จะรู้ว่าภายนอกนั้นเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น



    "อะไรวะ! ได้ยินหรือเปล่าว่าข้างนอกมันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมถึงไม่ออกไปช่วย!" แม่ทัพหนุ่มตะโกนว่า



    อามีร่าไม่เอ่ยตอบ เธอเพียงแค่หันมามองดูเขาอย่างช้า ๆ และหันไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม



    การกระทำของเธอนั้นสร้างความโมโหให้กับแม่ทัพหนุ่มอย่างมาก แม้ว่าจะมีคำสั่งไม่ให้ไปยุ่งกับเธอ แต่เขารู้ดีว่าไม่เคยมีใครฟังคำสั่งแบบนี้มาตั้งนานแล้ว และคนที่สั่งมาก็ไม่เคยสนใจเธอด้วยเช่นกัน



    แม่ทัพหนุ่มเข้าจับมือของอามีร่าและยกจนร่างเธอลอยขึ้นจากพื้น เขาบีบมือของเธออย่างแรงจนเด็กสาวแสดงความเจ็บปวดออกมาจากใบหน้า แต่ไร้ซึ่งเสียงร้อง ไม่มีแม้แต่เสียงครางใด ๆ



    "เธอต้องทำตามที่ฉันสั่ง ถ้าไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ก็ฟังที่ฉันพูดแล้วก็ออกไปจัดการกับ..- อั่ก!!"



    ไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะพูดจบเสียงของเขาก็เหือดแห้งไป เลือดพุ่งขึ้นมาจากลำคอและออกมาจากปาก เมื่อก้มดูลงที่ร่างของเขาก็พบว่ามีดาบสีม่วงทะลุออกมาที่กลางอก



    "พวกเรางั้นหรือ?" เสียงเย็นถามขึ้นก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าร่างกำลังจะถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ก่อนที่ความเจ็บปวดจะเข้าทำร้ายเขาจนถึงขีดสุด ร่างของเขาก็กลายเป็นแสงและทุกอย่างก็มืดบอดไป



    ไมโกะมองดูร่างของแม่ทัพหนุ่มกลายเป็นแสงแล้วจึงหันไปมองดูอามีร่าที่เงยหน้ามองดูตัวเธอด้วยความแปลกใจ พอเธอหันไปมองดูทหารที่ตามแม่ทัพหนุ่มมาก็พบว่าพวกเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย



    "แปลกใจล่ะสิที่เห็นฉันอีก" ไมโกะพูดเสียงเย็น



    "คุณ....เมื่อตอนนั้น คุณอยู่ด้วยกันกับเจน" อามีร่าเอ่ยเบา ๆ แล้วเงียบลงก่อนจะถามคำถามกับหญิงสาวตรงหน้า "คุณจะมาฆ่าฉันงั้นหรือ"



    ไมโกะได้ยินที่อามีร่าพูดก็ได้แต่หัวเราะเบา ๆ แล้วจึงเดินหลบฉากออกมาให้เห็นร่างของคนที่ทำให้เธอเห็นแสงสว่าง ผู้กล้าสวมชุดคลุมสีขาวที่จะมาช่วยเธออกมาจากฝันร้าย



    "พวกเราไม่ได้มาฆ่าเธอ พวกเราจะมาช่วยเธอ อย่างที่ฉันสัญญาเอาไว้ไงล่ะ" เจนเอ่ยขึ้นแล้วย่อตัวลงต่อหน้าของอามีร่า



    ดวงตาใสมีน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ และเมื่อคนตรงหน้าดึงร่างเธอเข้าไปสวมกอดก็ทำให้เธอไม่สามารถอดกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ได้อีก



    ไมโกะยิ้มบาง ๆ ให้กับภาพที่เห็นต่อหน้าเธอ แม้ว่าเด็กคนนี้จะทำให้เธอไม่ค่อยพอใจนัก แต่พอมาเห็นเด็กสาวร้องไห้ออกมาแบบนี้ก็ทำเอาโมโหไม่ลงจริง ๆ



    "เอาล่ะ พวกเรารีบหนีไปกันก่อนดีกว่า ก่อนที่ใครจะมาพบเธอเข้า" เจนพูดขึ้นแล้วดึงมือของอามีร่าให้ลุกยืนขึ้น แต่พอจะเดินออกไปนอกห้อง เด็กสาวกลับรั้งตัวเธอเอาไว้ก่อน



    "ทำไม...มีอะไรงั้นหรืออามีร่า" เจนหันไปถาม



    เด็กสาวส่ายหน้าช้า ๆก่อนที่จะเอ่ยปากตอบ "ไม่ค่ะ...ฉันไปด้วยไม่ได้"



    "หมายความว่ายังไง ทำไมถึงไปด้วยไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีใครเห็นเธอแล้ว ถ้าเธอหนีไปกับพวกเราตอนนี้ล่ะก็ไม่มีใครรู้แน่" ไมโกะพูด แต่อามีร่ายังคงส่ายหน้าปฏิเสธ



    "ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ฉันคงจะเล่าเรื่องนี้ให้พวกคุณฟังได้ เพราะสิ่งโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับฉันไม่ใช่แค่เรื่องของฉันคนเดียว มันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ" อามีร่าเอ่ยด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง จนเจนและไมโกะต้องหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่พวกเธอกำลังเผชิญนั้นมีเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เธอได้คาดคิดเอาไว้มากนัก



    จบตอนที่ 32 ปฏิบัติการฉกเจ้าหญิง


  36. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  37. #46
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 33 ความจริงที่ไม่โสภา

    ตอนที่ 33 ความจริงที่ไม่โสภา





    ลูกไฟที่ตกลงมาจากฟากฟ้าแทนฝน จู่ ๆ ก็หยุดลงอย่างดื้อ ๆ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นได้เกิดขึ้นไปแล้ว และคำอธิบายง่าย ๆ ของหมู่บ้านตอนนี้คือ 'หายนะ'



    "ดีมากคิทซึเนะ ดีกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีกนะเนี่ย" เสือซ่อนลายพูดขณะที่กำลังมองดูหมู่บ้านของกิลด์พิฆาตราชากำลังมอดไหม้ แต่เสียงตะโกนโวยวายดังไปทั่วหมู่บ้านบอกให้เขารู้ว่าจำนวนคนที่โดนลูกไฟของคิทซึเนะจัดการนั้นมีจำนวนน้อยกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากนัก



    "เจ้าพวกนี้ก็สมกับเป็นกิลด์พิฆาตราชาจริง ๆ ขนาดเจอลูกไฟถล่มไปตั้งขนาดนั้นยังเหลือรอดอยู่ได้อีก หวังว่าพวกเจนคงจะทำสำเร็จก่อนที่จะโดนพวกนั้นจับได้นะ"



    ยังไม่ทันทีเสือซ่อนลายพูดทิ้งช่วงไป เขาก็เห็นอาคารที่สูงที่สุดของหมู่ระเบิดออกมาพร้อมกับร่างสีทองออกมาพร้อมกับร่างบางในชุดดำ เสือซ่อนลายรู้ทันทีว่านั่นคือเจนและไมโกะกำลังหนีจากการไล่ตามที่พวกกิลด์พิฆาตราชาที่ยืนอยู่ในรูที่พวกเจนกระโดดออกมา แต่พวกทหารพวกนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้ตามพวกเจนต่อไปได้เพราะทันทีที่หนีออกมา เจนก็บินวกกลับไปแล้วฟาดคลื่นดาบใส่จนไม่เหลือยอดอาคารให้เห็นอีก



    หลังจากจัดการธุระเสร็จ ร่างที่ปกคลุมด้วยออร่าสีทองและร่างบางของไมโกะที่เจนใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ถือดาบจับเธอเอาไว้แล้วทั้งคู่ก็พุ่งตรงลงมาหาพวกเสือซ่อนลายตามที่วางแผนเอาไว้ เว้นเสียแต่ว่าแผนของเสือซ่อนลายนั้นจะต้องมีเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่เขาต้องพาออกไปจากที่นี่ด้วย เว้นเสียแต่ว่าตรงหน้าเขามีเพียงเจนและไมโกะเท่านั้น



    "นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ทำไมมีแค่พวกเธอล่ะ แล้วอามีร่าอยู่ไหน!" เสือซ่อนลายตะโกนถามเสียงดังแข่งกับเสียงตะโกนของพวกกิลด์พิฆาตราชาที่กำลังรวมกลุ่มอย่างรวดเร็วแม้จะโดนทำลายจนแตกไปคนละทิศคนละทาง ถ้าหากยังไม่รีบหนีออกไปจากที่นี่ล่ะก็ เห็นทีพวกเขาคงต้องเข้าเผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



    "เธอมาไม่ได้! นายยังไม่ต้องถามตอนนี้ เอาไว้พวกเราออกไปจากที่นี่ได้ก่อนจะเล่าให้ฟังทีหลัง" ไมโกะบอก เธอรีบปรามทันทีเมื่อเห็นท่าทางของชายหนุ่มที่ยังคงสงสัยอยู่



    แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนัก แต่จากสีหน้าของหญิงสาวตรงหน้าและสีหน้าของเจนที่อยู่ด้านหลัง ทำให้เขาพอจะรู้ว่าสิ่งที่ทั้งสองได้รู้มาคงไม่ค่อยโสภานัก



    "เฮ้ย!! พวกเราหนีเร็ว!!" เสียงของแจ็คดังขึ้นในช่องสื่อสารกลุ่มพร้อมกับร่างของทีมซุ่มยิ่งที่เหมือนกับว่าวิ่งหนีอะไรมาอยู่ และเสือซ่อนลายก็ไม่ต้องรอนานนักเพราะคำตอบข้อสงสัยของเขานั้นวิ่งตามเข้ามากันเป็นกองทัพ



    อาชาในชุดเกราะเหล็กสีดำที่มีดวงตาสีเหลืองทองเรืองแสงขึ้นมาในความมืดกำลังควบตามพวกแจ็คมาติด ๆ ผู้ที่ควบพวกมันมาคืออัศวินเกราะเหล็กสีดำเช่นเดียวที่ม้าสวมอยู่ ดาบเหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือของอัศวินนั้นสามารถถือได้ด้วยมือเดียว แสดงให้เห็นถึงพละกำลังที่แข็งแกร่งของอัศวินดำและเสียงหวีดหวิวของสายลมที่พัดผ่านคมดาบบ่งบอกให้เห็นว่าดาบเล่มนั้นคมเพียงใด



    เจนพุ่งตัวเข้าใส่กลุ่มอัศวินทันทีเมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสองกำลังอยู่ในอันตราย เธอยกดาบฟาดลงใส่อัศวินที่อยู่ใกล้กับทั้งสองที่สุด แต่ทว่าอัศวินคนนั้นกลับรู้ตัวและยกดาบขึ้นกันได้อย่างทันท่วงที ทำให้เจนรู้สึกตกใจมากเพราะเธอใช้ความเร็วสูงมากจนไม่น่าจะมีใครตามได้ทัน



    อัศวินดำที่ยกดาบกันการโจมตีของเจนได้ทันก็ถึงกับหยุดชะงักทันทีเพราะแม้ว่าเขาจะสามารถรับดาบของเจนได้ทัน แต่พลังโจมตีและความเร็วระดับของผู้ที่ลอยอยู่ตรงหน้าของเขานั้นถือว่าไม่ใช่ธรรมดา อีกทั้งพลังออร่าสีทองแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวก็ดูน่าไม่ไว้วางใจ เขาจึงหยุดม้า ไม่กล้าผลีผลามบุกเข้าไปสู้ เช่นเดียวกับทัพม้าที่อยู่ด้านหลัง



    พวกเจนเองก็รีบเข้ามาสมทบกันหลังจากที่แจ็คและยูสตาร์หนีรอดจากคมดาบมาได้อย่างหวุดหวิด ในตอนนี้สถานการณ์ค่อนข้างเลวร้าย เพราะนอกจากตรงหน้าจะมีเหล่าอัศวินในเกราะสีดำที่ยืนยันแล้วว่าฝีมือฉกาจขวางทางอยู่ ด้านหลังของพวกเจนก็เป็นหมู่บ้านที่พังพินาศ แต่ถ้าหากยังไม่รีบหาทางหนีล่ะก็ พวกที่เหลือรอดอาจจะมาตลบหลังจนหมดทางหนีได้ในเวลาไม่นาน



    "บ้าจริง! พวกเรามาช้าไป!" ไมโกะพูดออกมาอย่างไม่พอใจ ดาบตัดวิญญาณคู่ของเธอเตรียมพร้อมอยู่ในมือ แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเธอคงจะไม่สามารถฝ่าออกไปจากวงล้อมของคนที่รับมือการโจมตีของเจนที่อยู่ในร่างพลังสถิตได้ แต่เธอก็ไม่มีวันที่จะยอมแพ้โดยที่ไม่ยกอาวุธขึ้นสู้แน่



    "นี่เธอรู้ว่าไอ้เจ้าพวกนี้จะมา..-"



    "ไม่ใช่ตอนนี้!" เจนและไมโกะประสานเสียงกันจนยูสตาร์ที่กำลังพูดออกมาต้องยอมสงบปากลงทันควัน



    "พอจะสู้ไหวมั้ยเจน" เสือซ่อนงายกระซิบถาม เท่าที่เขาเห็น ตอนนี้ทางรอดเดียวคือต้องเพิ่งพลังของเจนเท่านั้น



    คนถูกถามเองก็พอจะรู้ตัวดี จากการประดาบกันเมื่อครู่นั้นทำให้เจนรู้ว่าแม้เธอจะมีพลังสถิตร่างแต่อีกฝ่ายก็มีพลังสูงเช่นกัน การต่อสู้ครั้งนี้อาจจะถือว่าคู่คี่ถ้าหากเป็นการดวลเดี่ยว ๆ แต่ว่ากองทัพอัศวินด้านหลังนั้นก็ยากที่จะเมินไปได้



    "ไม่รู้สิ ถ้าหากเจอกับไอ้เจ้านั่นเดี่ยว ๆ อาจจะพอลุ้น แต่ให้ไปเจอกับกองทัพแบบนี้คิดยากเหมือนกัน" เจนพูดตอบ ด้วยพลังของจิ้งจอกเก้าหางเจนอาจจะพอสู้กลับไปได้บ้าง แต่นั่นก็หมายความว่าพวกเสือซ่อนลายต้องเข้าร่วมสู้ด้วยซึ่งเจนไม่คิดว่าพวกเพื่อน ๆ ของเธอจะรับมือพวกนี้ได้นานพอที่เธอจะเอาชนะอัศวินด้านหน้าได้



    แม้จะให้คิทซึเนะและฟีบีช่วย แต่จำนวนของศัตรูมีมากกว่า นั่นอาจจะทำให้ทั้งเธอและพวกเสือซ่อนลายพลาดพลั้งได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเจนมีทางเดียวที่จะพาให้ทุกคนรอดไปได้ นั่นก็คือต้องจัดการพวกอัศวินดำตรงหน้าให้หมดทุกคน และนั่นก็หมายความว่าเธอจะต้องใช้พลังระดับสองของพลังสถิตร่างอีกครั้ง



    เจนรีบตรวจสอบพลังเวทของเธอว่ามีเหลืออยู่พอหรือไม่ เพราะการใช้พลังผสานร่างพลังสถิตนั้นจะยิ่งใช้พลังเวทมากขึ้นหลายเท่า ถ้าหากเธอใช้พลังเวทหมดแล้วยังจัดการศัตรูไม่ได้ล่ะก็ตายอย่างแน่นอน



    ทว่าก่อนที่เจนจะใช้พลังผสาน ฟีบีก็เดินออกมาด้านหน้าขึ้นมาซะเฉย ๆ สร้างความตกใจให้กับทั้งพวกเจนและทำให้พวกอัศวินดำตรงหน้าแปลกใจว่าเด็กตรงหน้านี้มาจากไหน



    เด็กสาวไม่ได้มองพวกเจนหรือเหล่าอัศวินตรงหน้า เธอเงยหน้าขึ้นไปมองดวงจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่บนฟากฟ้าด้วยดวงตาล่องลอย ทันใดนั้นเองเสียงหวานก็ดังพริ้มออกมาจากปากของเด็กสาว เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นทำนองเพลงอย่างเชื่องช้า นุ่มนวล



    เหล่าอัศวินรีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงเพลงของฟีบีเพราะกลัวว่าเป็นทักษะอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเสียงร้องของฟีบีเงียบลงก็ยังไม่เกิดอะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย สร้างความสงสัยให้ทั้งพวกเจนและพวกอัศวินเกราะดำเป็นอย่างมากว่าตกลงเมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้น



    ไม่จำเป็นต้องรอคำตอบนานนัก หลังจากเสียงเพลงไพเราะของมังกรน้อยจบลง เสียงคำรามดังลั่นฟ้าก็ดังขึ้นมาจากทิศเดียวที่ดวงจันทร์ฉายแสง พร้อมกับการปรากฏตัวของสัตว์อสูรขนาดยักษ์ที่บดบังแสงจากดวงจันทร์จนสิ้น!



    "มังกร!!!" เสียงตะโกนของอัศวินคนหนึ่งร้องดัง กองทหารอัศวินดำรีบกระจายตัวออกไปทันทีเพราะรู้ว่าอะไรกำลังจะตามมา



    ยังไม่ทันสิ้นเสียงตะโกน ปากของมังกรบนฟากฟ้าก็ส่องแสงสีน้ำตาลขึ้นมา เพียงพริบตา ลำแสงเช่นเดียวกันกับที่ฟีบีเคยใช้ก็ถูกฉายลงมา เพียงแค่ความแตกต่างของมันนั้นคือสีและขนาดที่ใหญ่มากกว่าหลายเท่า



    ตูม!!!!



    ลำแสงพุ่งทำลายกองทัพอัศวินดำส่วนหนึ่งที่หลบไม่ทันจนทั้งร่างของคนและม้าต่างสลายกลายเป็นแสงไปอย่างรวดเร็ว มังกรยักษ์ยังไม่หยุดเพียงแค่นั่น มันยังคงพุ่งเป้าไปยังกองทัพอัศวินที่ตอนนี้วิ่งกระจัดการจายกันจนไม่เป็นกองทัพ ปล่อยให้พวกเจนยืนตกใจอยู่ที่เดิม



    เจนมองเห็นแจ็คและยูสตาร์ทำท่าจะยิงอาวุธขึ้นใส่มังกรที่กำลังบินอยู่ก็รีบเข้าไปห้ามทันที เพราะว่ามังกรที่บินอยู่บนฟ้านั้นทรงพลังจนสามารถจัดการทัพอัศวินตรงหน้าจนหนีไปคนละทิศคนละทางได้ พวกเจนคงไม่รอดแน่ถ้าหากเจอดราก้อนบรีธของมังกรตัวนั้นเข้า



    ไม่นานนักทั้งเหล่าอัศวินและพวกกิลด์พิฆาตราชาที่โดนลูกหลงไปด้วยก็กระจายตัวจนเริ่มบางตาลง มังกรร่อนตัวลงบริเวณด้านหน้าของพวกเจน พวกเธอยิ่งมองดูใกล้ ๆ ก็ยิ่งเห็นว่าขนาดของมังกรตัวมีใหญ่มหึมาเพียงใด เพียงแค่กรงเล็บข้างเดียวก็สามารถเหยียบพวกเธอจนมิดได้ ถ้าหากมันคิดจะกินพวกเจนล่ะก็ แค่คิดจะหนีก็ยังไม่ทันเลย



    แต่ก่อนที่เจนจะตัดสินใจทำอะไรต่อไป เธอก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวอยู่บนหัวของมันและกลายเป็นผู้ที่เธอไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะได้มาพบได้ในเวลานี้



    "ยินดีต้อนรับสู่โจแอร์เวย์ รีบขึ้นมาเร็วเข้า!" เสียงตะโกนของเพื่อนที่เจนไม่ได้พบมานานขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของจอมเวทย์ในชุดคลุมสีดำที่กำลังยืนอยู่บนหัวของมังกรตัวยักษ์!



    เจนเงยหน้ามองโจตาค้างไม่ต่างจากคนอื่น ๆ เพราะการปรากฏตัวหลังจากเงียบหายไปตั้งนานของเพื่อนคนนี้สร้างความประหลาดใจมาก ทั้งเรื่องที่มาได้จังหวะพอดี และเขาไปหามังกรตัวนี้ได้มาจากไหน



    กรร!



    เสียงคำรามเบา ๆ เสียงสติของทุกคนให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วรีบปีนขึ้นไปที่หลังของมังกรจากกรงเล็บที่ยื่นออกมา ส่วนฟีบีนั้นก็บินขึ้นไปนั่งบนหัวของมังกร ทำให้เจนแปลกใจว่าเธอบินได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ถ้าหากเทียบกับเรื่องที่เธออยากจะถามโจในตอนนี้แล้ว เรื่องของฟีบีถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย



    "ผู้โดยสารทุกท่านโปรดรัดเข็มขัด เที่ยวบินสู่ยามะไตกำลังจะออกเดินทางแล้ว!" โจหันไปมองดูเมื่อเห็นว่าทุกคนขึ้นมาครบแล้ว และเมื่อเขาไปเห็นยูสตาร์ตัวแข็งทื่ออยู่ข้าง ๆ เขาก็อดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้



    "ไหนล่ะเข็มขัด!!" ชายหนุ่มนักธนูตะโกนออกมาเสียงดัง เขาใช้มือข้างหนึ่งจับแขนของเสือซ่อนลายไว้ ส่วนอีกข้างก็กุมมือของไมโกะไว้แน่น ตอนแรกนักฆ่าสาวจะสลัดมือชุ่มเหงื่อของเขาทิ้ง แต่พอเห็นสีหน้าของคนที่เป็นโรคกลัวความสูงแล้วก็อดสงสารไม่ได้



    "เอาล่ะ ขึ้นบินไปเลยโอร็อค!!" ชายหนุ่มจอมเวทสั่ง



    มังกรคำรามในคอ จากนั้นปีกขนาดใหญ่ก็กางออกเต็มที่ เจนรู้สึกถึงแรงดันตอนที่มังกรบินขึ้นสู่ท้องฟ้าท่ามกลางเสียงโวยวายของยูสตาร์ เพียงครู่เดียวเธอและพรรคพวกก็ทิ้งหมู่บ้านและกองทัพกิลด์พิฆาตราชาเอาไว้เบื้องหลัง







    บนพื้นดิน อัศวินเกราะดำที่สู้กับเจนเงยหน้ามองดูมังกรตัวใหญ่ที่เข้ามาช่วยศัตรูของเขากำลังบินหนีไป ตอนนั้นเองที่อัศวินคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางรีบร้อนพร้อมกับนักเวทอีกคน



    "จะให้พวกเราจัดการมังกรตัวนั้นเลยมั้ยครับ" อัศวินคนนั้นถาม แต่อัศวินเกราะดำยกมือห้ามเอาไว้



    "ปล่อยพวกนั้นไป ตอนนี้ฉันอยากจะจัดการเรื่องที่อยู่ตรงนี้ก่อน" อัศวินเกราะดำหันไปมองอัศวินหนุ่ม เขารีบเปิดหน้าต่างแสงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว



    "ภายในหมู่บ้านกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ครับ ยังดีที่สำนักงานเสียหายเพียงแค่ชั้นบนสุด ส่วนอื่น ๆ ไม่ได้โดนไฟไหม้ไปด้วย คลังอาวุธและเสบียงก็ยังสมบรูณ์ดีครับ ที่เสียหายมีเพียงแค่ที่พักและสนามฝึกซ้อมเท่านั้น แต่การซ่อมแซมหมู่บ้านทั้งหมดคงจะใช้เวลามากพอสมควรครับ" อัศวินหนุ่มรายงาน



    "แล้วกองทัพล่ะ ความเสียหายของกองทัพเป็นยังไงบ้าง" อัศวินเกราะดำหันกลับเข้าไปในหมู่บ้านและเดินตรงไปยังอาคารหลักที่ผู้หลบหนีเพิ่งจะพังห้องทำงานบนชั้นสูงสุดออกมา



    "กองทัพอัศวินดำเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่งครับ อีกจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่กองกำลังส่วนใหญ่กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์พร้อมที่จะเคลื่อนทัพตามคำสั่งครับ น่าเสียดายที่พวกที่อยู่ประจำหมู่บ้านเหลือคนเพียงแค่สี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ สมาชิกกิลด์ระดับดอกจิกที่ได้รับหน้าที่มาคุมที่นี่เกือบทั้งหมดตายแล้ว พร้อมทั้งอีกาด้วยครับ"



    อัศวินเกราะดำเดินเข้าไปด้านในอาคารโดยไม่ตอบคำของอัศวินหนุ่มที่ยังคงเดินตามเขามาอยู่ไม่ห่าง



    เมื่อพวกเขาเดินขึ้นมาถึงชั้นสูงสุดที่เขาจะเดินขึ้นมาได้ อัศวินเกราะดำเดินไปที่ขอบตึกแล้วมองความเสียหายด้านล่าง



    "แจ้งทุกคน เราจะเลื่อนแผนบุกยามะไตไปก่อน รีบเก็บทุกอย่าง ทำลายหลักฐานทั้งหมดแล้วออกไปจากทวีปนี้ก่อนพวกพยัคฆ์จะได้กลิ่น" อัศวินเกราะดำพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเชียบ เขามองเห็นเมฆฝนกำลังลอยเข้ามาใกล้ อีกไม่นาน บริเวณนี้จะได้พบกับพายุเข้าอย่างแน่นอน



    อัศวินหนุ่มก้มตัวรับคำแล้วทำท่าจะเดินกลับออกไป แต่อัศวินเกราะดำเรียกเขาไว้ซะก่อน



    "อ้อ! ไมนอส ติดต่อไปหาลาซาส บอกหมอนั่นเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเอาไว้"



    "ทราบแล้วครับ คุณบิชอบ" อัศวินหนุ่มนามไมนอสพยักหน้ารับแล้วเดินจากไป ปล่อยให้บิชอบยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองไปยังทิศที่มังกรบินจากไป



    'นั่นน่ะหรือคนที่ท่านคลาวลี่ย์ต้องการตัว ถ้าหากฝึกฝนอีกหน่อยก็คงจะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวทีเดียว... น่าเสียดายที่เวลาของเด็กคนนั้นกำลังจะหมดลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเกมหรือชีวิตจริง'







    เสียงฟ้าร้องดังสนั่น สายฝนเทลงมาราวกับฟ้ารั่ว เวลาใกล้รุ่งเช้าแต่ยังไม่มีทีท่าว่าแสงอาทิตย์จะฉายแสงขึ้นมาบนแผ่นฟ้า เช้ามืดที่น่าหดหู่ราวกับว่ากำลังเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง แต่ในห้องพักเรียวกังแห่งหนึ่งในเมืองยามะไต กลับมีแต่เสียงพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา



    "ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเต่านั่นจะกลายเป็นมังกรตัวบะเริ่มขนาดนั้นได้! นี่นายเลี้ยงมันด้วยอะไรกันเนี่ย" แจ็คจ้องมองไปยังสร้อยคอที่เก็บมังกรหินผาเอาไว้บนหน้าอกของจอมเวทหนุ่ม



    "บอกตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าโอร็อคกลายเป็นมังกรตัวใหญ่ขนาดนั้นได้ยังไง เรื่องของเรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ที่พวกเราเลเวลเต็มกันแล้ว ฉันก็เลยปรับค่าประสบการณ์ให้โอร็อคเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเลย หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้นึกถึงหมอนี่อีกจนเร็ว ๆ นี้ ที่ฉันเจอเข้ากับ****ดผีตนหนึ่งเข้า และยัยนั่นก็เป็นมอนสเตอร์ระดับบอสที่ทำให้ฉันผ่านภารกิจเลื่อนระดับมาได้" โจยืดอกอย่างภูมิใจ เพราะการที่จะจัดการมอนสเตอร์บอสได้ด้วยตัวคนเดียวนั้นถือว่ายากมากหากไม่มีพลังหรือทักษะระดับสูงอย่างเจน แม้เขาจะมีเวทมนตร์ระดับ S อยู่ก็ตาม แต่จอมเวทที่จัดการมอนสเตอร์บอสตัวคนเดียวนั้นก็ถือว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย



    "แล้วที่โจจัดการ****ดตนนั้นได้ยังไงหรอคะ!?" ซินจูถามอย่างตื่นเต้น



    จอมเวทหนุ่มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเล่าเรื่องต่อ "ตอนแรกฉันก็สู้ไม่ได้หรอก ถึงเวทมนตร์ของฉันจะรุนแรง แต่เวทมนตร์ของ****ดนั่นก็ทั้งรุนแรงและร่ายเวทเร็วจนฉันไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ได้เลย พอฉันคิดจะใช้เวทที่ใช้เวลาร่ายเวทน้อย ค่อย ๆ ตอดพลังชีวิต ยัย****ดนั่นก็ดันเป็นมอนสเตอร์ประเภทวิญญาณ เคลื่อนที่ได้เร็วอีก ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงถึงจะจัดการยัย****ดนี่ได้"



    "ตอนที่ฉันหลบไปพักก็พยายามหาทางสู้ยัย****ดนี่ ฉันสรุปได้เลยว่าฉันจะต้องหาคนช่วยถึงจะพอมีทางชนะได้ แต่ภารกิจของฉันดันห้ามให้คนอื่นช่วย ดังนั้นฉันจึงมีทางเลือกเดียวคือต้องให้เอไอมาช่วยหรือหาสัตว์อสูร ตอนนั้นเองที่ฉันนึกขึ้นได้ว่าตัวฉันเองก็มีสัตว์เลี้ยงอยู่เหมือนกัน"



    "แล้วยังไงต่อ" ยูสตาร์ถามอย่างกระตือรือร้น



    "ใจเย็นสิ! ตอนนี้แหละที่สำคัญ ตอนแรกที่ฉันคิดจะเรียกโอร็อคออกมาก็ไม่คิดว่าจะตัวใหญ่แบบนี้เหมือนกัน ทำเอาฉันทำอะไรไม่ถูกเลยตอนที่เจอเข้ากับมังกรตัวมหึมาขนาดนั้น"



    เจนพอนึกออกว่ารู้สึกอย่างไร เพราะตอนที่เธอเห็นมังกรขนาดมหึมา ขนาดปีกที่กางออกเต็มที่มีขนาดใหญ่กว่าหมู่บ้านของกิลด์พิฆาตราชาสองเท่าเลยทีเดียว เป็นใคร ๆ ก็ต้องต้องตัวแข็งทื่อแบบเธอทั้งนั้น



    "พอฉันตรวจสอบดูถึงได้รู้ว่าเลเวลของโอร็อคสูงถึงแปดสิบสองแล้ว ฉันนึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าเรื่องที่พวกเราเจอมาจะให้ค่าประสบการณ์ได้มากขนาดนั้น แต่ที่สำคัญก็คือตอนนี้ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถจัดการยัย****ดผีนั่นได้แน่ ๆ" โจแสยะยิ้มออกมาพร้อมกับกำมือแน่นให้เห็นว่าเขาดีใจแค่ไหนที่จะได้จัดการ****ดผีตนนั้น แสดงว่าโจคงจะแค้นเอามาก ๆ ทีเดียว



    "แล้วนายก็พาโอร็อคไปจัดการ****ดนั่นอย่างนั้นเลยหรือ โอร็อคมีเลเวลแค่แปดสิบกว่าเองนะ นายรอดมาได้ยังไงกัน" เจนถาม



    "ก็จริงอยู่ที่โอร็อคมีเลเวลน้อยกว่าทั้งฉันและยัย****ด ความจริงแล้วยัย****ดผีนั่นมีระดับยศขุนนางด้วยซ้ำไป แต่โอร็อคเป็นถึงมังกรภูผาเชียวนะ พลังป้องกันการโจมตีธรรมดาและเวทมนตร์สูงซะจนยัย****ดนั่นทำอะไรไม่ได้เลย แถมยังใช้ดราก้อนบรีธจัดการพื้นที่แถบนั้นซะราบคราบ รับรองว่า****ดนั่นไม่เหลือซากให้เห็นแน่" โจกอดอกอย่างภูมิใจ แม้ว่าความดีความชอบทั้งหมดควรจะเป็นของมังกรภูผาที่หลับอยู่ในสร้อยคอ



    "ว่าแต่ทำไมโอร็อคถึงไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ล่ะ หรือพูดภาษาคนเหมือนกับคิทซึเนะและฟีบี" ซินจูถามขึ้นด้วยความสงสัย แต่เจ้าของมังกรกลับส่ายหน้าเป็นความว่าไม่รู้เหมือนกัน



    "บางทีอาจจะเป็นเพราะค่าความสัมพันธ์หรือเพราะไม่ได้ต่อสู้ล่ะมั้ง อย่างที่ฉันบอก เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนากับคนส่วนมากอยู่" หนูส่งข่าวพูด



    "ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องนั้นหรอกนะ แต่ว่าโอร็อคก็ดูจะเชื่อฟังคำสั่งฉันดีนี่นา เอาเป็นว่าหลังจากนั้นฉันก็ไปส่งภารกิจ ถามตำแหน่งพวกนายจากไอ้หนูมัน แล้วสุดท้ายพระเอกก็มาช่วยทุก ๆ คนได้อย่างปลอดภัย...พูดถึงช่วยเหลือ แล้วเด็กที่พวกนายไปช่วยมาตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วซะล่ะ" โจหันไปรอบ ๆ มองหาตัวเด็กสาวที่เป็นสาเหตุที่เขาส่งเพื่อนหัวขโมยมาที่นี่



    เสือซ่อนลายและคนอื่น ๆ หันมองมายังเจนและไมโกะที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในหมู่บ้านแห่งนั้น ทั้งสองไม่เอ่ยถึงเรื่องอามีร่าเลยตั้งแต่ออกมาจากหมู่บ้าน อาจเป็นเพราะเรื่องของโจที่ดึงความสนใจของทุกคนไป แต่จากสีหน้าของทั้งคู่บ่งบอกให้รู้ว่าเรื่องราวที่ทั้งสองได้พบเจอนั้นไม่ใช่เรื่องที่ระรื่นหูอย่างแน่นอน



    ทั้งคู่หันมามองหน้ากันราวกับต้องการจะถามความเห็นกันแงะกัน ไมโกะพยักหน้าสนับสนุนให้กับเจนแล้วจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ



    "เรื่องของเด็กอามีร่าเลวร้ายกว่าที่พวกเราทุกคนคาดเอาไว้มาก แม้ตอนแรกฉันจะไม่เห็นด้วยกับเจนเรื่องเด็กคนนี้ แต่หลังจากได้ฟังเรื่องราวของอามีร่าแล้วทำให้ฉันต้องเปลี่ยนใจ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าพวกเราจะทำอะไรได้ในเรื่องนี้" ไมโกะตาลอยราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง



    เป็นเจนที่มีสีหน้าดูแย่ที่สุด มือของเธอกำแน่นอย่างแค้นใจที่แม้ว่าเธอรู้ความจริงทุกอย่างแล้วแต่กลับพบว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่เจนจะช่วยอามีร่าได้ เป็นอย่างที่อามีร่าได้บอกเธอเอาไว้ไม่มีผิด เรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าที่เธอจะแก้ไขได้







    ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่พวกเจนอยู่ในหมู่บ้านของกิลด์พิฆาตราชา เจนและไมโกะหันหน้ามามองกันด้วยความแปลกใจกับคำพูดของอามีร่า



    "นี่เธอหมายความว่ายังไง อย่าบอกนะว่าตอนอยู่นอกเกมเธอก็ถูกทำเหมือนกับในเกม" ไมโกะถามเล่นที แต่เจนก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กสาวตรงหน้าที่บอกว่านั่นเป็นความจริง



    "นี่มันจะชักเกินไปแล้วนะ! เธออยู่ที่ไหนกัน อามีร่า ทำไมถึงไม่ยอมไปแจ้งตำรวจ!" เจนจับไหล่ของเด็กสาวแน่น เธอนึกภาพไม่ออกเลยว่าสภาพของอามีร่าด้านนอกเกมที่ถูกทารุนเหมือนกันในเกมจะเป็นเช่นไร



    เด็กสาวเพียงแค่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับความหวังดีของผู้มาเยือนทั้งสองที่มีต่อเธอ แม้จะรู้ว่าทั้งคู่ไม่มีทางช่วยเธอได้ แต่ความรู้สึกห่วงใยเช่นนี้ก็ทำให้โลกอันหม่นหมองของเธอสดใสขึ้นมาไม่น้อย



    "ถึงจะทำได้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เพราะพวกที่จับตัวฉันเอาไว้ไม่ใช่แค่โจรธรรมดา แต่เป็นกลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดน"



    เจนและไมโกะแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคำพูดของอามีร่า ถ้าหากเจนเข้าใจถูกต้องล่ะก็ พวกคนที่จับอามีร่าไปนั้นอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มก่อการร้ายระดับประเทศ และถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่ากิลด์พิฆาตราชาก็ต้องเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนพวกนี้ด้วยเช่นกัน!



    "ฉันเป็นกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองอยู่ในหุบเขาสูงของประเทศเติร์กเมนิสถาน ใกล้กับแถบทะเลเมดิเตอรเรเนี่ยน ก่อนที่จะเกิดเรื่องทั้งหมดขึ้น เผ่าของเรายังไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วยซ้ำ พวกเราใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ อยู่ได้จากการปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ไปเรื่อย ๆ ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่พวกเราก็มีความสุขมาก" อามีร่ายิ้มออกมาอย่างอบอุ่นเมื่อเธอได้นึกย้อนไปถึงความทรงจำในอดีต



    "แต่อยู่มาวันหนึ่งพวกกองกำลังแบ่งแยกติดแดนก็มาที่หมู่บ้านและเกณฑ์ผู้ชายไปเป็นทหารเข้าร่วมรบ โดยจะจับเด็กและผู้หญิงเป็นตัวประกัน ถ้าหากไม่ยอมจะก็ครอบครัวของพวกเขาจะถูกทรมาน และบางครั้งก็ถูกฆ่าไปทั้งครอบครัวด้วยเหมือนกัน ครอบครัวของฉันมีอยู่กันเพียงแค่สี่คน พ่อและพี่ชายต่างก็ถูกเกณฑ์เป็นทหาร พ่อเสียไปเมื่อห้าปีที่แล้ว และไม่นานมานี้พี่ชายของฉันก็เพิ่งเสียไปเช่นกัน..."



    มาถึงจุดนี้แล้วทั้งสามคนต่างมีสีหน้าไม่เลวร้าย ความรู้สึกแปลก ๆ ในหัวใจและคอแห้งผาดเมื่อได้ฟังเรื่องเลวร้ายที่ไม่ควรจะเกิดกับคน ๆ หนึ่งได้ แต่ที่ทำให้เจนรู้สึกแย่กว่าก็คือตัวเธอเอง เธอมักจะเห็นเรื่องเช่นนี้อยู่ในข่าวภาคดึกอยู่เป็นประจำ แต่นั้นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอะไรมากนักเพราะมันไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวอะไร แต่เมื่อได้มาฟังจากปากของคนที่อยู่ในเหตุการณ์อยู่ตรงหน้าแล้วกลับทำให้เจนรู้สึกแย่อย่างมาก ชีวิตที่เผ่าของอามีร่าเจอนั้นทั้งโหดร้ายจนเกินจะรับได้ แม้โลกจะมีเทคโนโลยีทันสมัยเพียงใดแต่ทว่ากลับไม่มีใครรับรู้ถึงเรื่องราวเช่นนี้เลย



    ไมโกะที่ตอนแรกมองดูอามีร่าอย่างเหยียด ๆ พอเธอได้รู้เรื่องของอามีร่า สายตาที่ใช้มองก็เปลี่ยนไปเป็นสายตาที่แสดงถึงความเวทนาแทน เธอเดินเข้าไปหาอามีร่าที่น้ำตาไหลอาบหน้าแต่ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นใด ๆ เธอบีบไหล่ของเด็กสาวแน่นเพื่อให้กำลังใจ



    "พวกผู้หญิงและเด็กที่ถูกจับเป็นตัวประกันก็ไม่ได้อยู่สบาย พวกเราถูกบังคับให้ใช้แรงงานทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นทำความสะอาดปืน ทำระเบิด หรือบางอย่างที่แย่กว่า แต่เมื่อไม่นานมานี้พวกเราถูกบังคับให้มาเล่นเกมเพื่อหาเงินในเกมใช้แลกเป็นเงินจริงหรือจะใช้เป็นทาสทำตามคำสั่ง จนสุดท้ายตอนนี้พวกเราก็ต้องทำงานตอนเช้า ตกเย็นก็เข้ามาโดนทรมานในเกมต่อ" น้ำเสียงที่อามีร่าพูดดูราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดา ราวว่าเธอเจอเรื่องนี้จนชินชาไปแล้ว



    ทั้งเจนและไมโกะหันหน้าหากันด้วยความกระอักกระอวนใจเพราะไม่มีทางไหนเลยที่จะช่วยอามีร่าออกมาจากสถานการณ์นี้ได้



    เด็กสาวมองดูใบหน้าของผู้มาเยือนทั้งสองก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเธอรู้สึกยังไง พวกเจนไม่ใช่คนแรกที่รู้เรื่องนี้ แต่พวกเธอเป็นคนที่พยายามเพื่อตัวอามีร่ามากที่สุด



    "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เผ่าของฉันมีคำกล่าวอยู่ว่า ‘เพียงแค่คิดจะช่วย ก็ถือเป็นบุญคุณ’ แค่ความรู้สึกของพวกคุณก็ทำให้ฉันดีใจมากแล้วค่ะ" อามีร่ายิ้มบาง ๆ และกุมมือของทั้งคู่อย่างอ่อนโยน



    แม้ว่าเด็กสาวจะพูดเช่นนั้น แต่เจนก็ยังทำใจไม่ได้ที่จะต้องปล่อยให้อามีร่าเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ทางไมโกะเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเจนแต่ก็จนปัญญาที่จะช่วยเหลือ แม้ว่าพวกเธอจะช่วยอามีร่าในเกมได้ แต่เมื่อกลับออกไปจากเกมล่ะก็ อาจจะจะทำให้เธอเดือดร้อนได้



    ทันใดนั้นเองอามีร่าสีทำท่าทางตกใจและมองไปนอกหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอจึงรีบหันกลับมาหาเจนและไมโกะ "แย่แล้วค่ะ! ทัพอัศวินดำของสี่ขุมพลมาถึงแล้ว! พวกเจนต้องรีบหนีเดี๋ยวนี้!"



    "สี่ขุมพล?" เจนหันไปมองดูไมโกะ แต่เธอก็ส่ายหน้าไม่รู้เช่นกัน



    "พวกเขาเป็นรองหัวหน้ากิลด์พิฆาตราชาน่ะค่ะ ฝีมือร้ายกาจมากและยังมีคนที่เก่งกาจจำนวนมากเป็นทหารในกองทัพ ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะกล้าเข้ามาในทวีปนี้ทั้ง ๆ ที่โดนกิลด์พยัคฆ์ราชาคู่ประกาศสงคราม เจนต้องรีบหนีไปก่อนที่พวกเขาจะมาถึง เร็วเข้า!" เด็กสาวบอกด้วยน้ำเสียงรีบร้อน



    "แล้วเธอล่ะ!" เจนรีบหันไปหาอามีร่าด้วยความเป็นห่วง



    "ฉันไม่เป็นอะไรหรอก! เจนรีบไปเถอะ!" อามีร่าพยายามเร่งพร้อมทั้งส่งยิ้มให้กับเจนและไมโกะ แต่ร้อยยิ้มนั้นสามารถบอกได้ทันทีว่านั่นเป็นรอยยิ้มที่แสร้งทำ แต่ก็ด้วยเจตนาดีที่ต้องการจะปกป้องเจนและไมโกะจากกิลด์พิฆาตราชา



    ทันใดนั้นเองไมโกะก็พุ่งเข้าใส่อามีร่า เธอตวัดดาบคู่อย่างรวดเร็วจนเจนมองไม่ทัน รู้ตัวอีกทีร่างของเด็กสาวที่พวกเธอตั้งใจจะมาช่วยกลับกลายเป็นแสงไปแล้ว



    "พี่ไม! พี่ทำอะไรของพี่น่ะ!" เจนมองนักฆ่าสาวด้วยความตกใจปนสงสัย เพราะหลังจากที่ได้ฟังเรื่องของอามีร่าแล้วจะทำให้มุมมองของไมโกะเปลี่ยนไปซะอีก



    หญิงสาวไม่ได้ตอบในทันที เธอสะบัดเลือดออกจากใบดาบแล้วจึงเก็บเข้าฝักแล้วค่อยหันไปตอบคำ



    "ฉันก็เพิ่งช่วยอามีร่าเอาไว้ไงล่ะ ลองคิดดูซิว่าถ้าพวกกิลด์พิฆาตราชารู้ว่าเด็กคนนี้ปล่อยตัวพวกเราไปจะโดนอะไร ถึงอามีร่าจะโดนทำโทษที่พลาดท่าให้กับพวกเรา แต่ยังไงก็ดีกว่าทรยศแน่"



    เจนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยรู้สึกดีนักที่ต้องทำร้ายอามีร่า แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้



    ในขณะที่เจนและไมโกะกำลังจะก้าวลงบันไดเพื่อหนีไปจากที่นี่ พวกเธอก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าดังขึ้นมาจากด้านล่าง แม้จะเป็นจำนวนไม่มากแต่ตอนนี้เจนไม่คิดจะเสี่ยงเข้าปะทะให้เสียเวลาหนีแน่ เพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าฝั่งของพวกเสือซ่อนลายเป็นยังไงบ้าง ดังนั้นเจนจึงหันไปเลือกทางหนีที่เร็วกว่าแทน



    หญิงสาวรีบไปคว้ามือของนักฆ่าที่เตรียมตัวจะเข้าไปต่อสู้กับศัตรูที่กำลังวิ่งขึ้นมาอย่างไม่มีทางเลือก ยังไม่ทันที่จะได้หันไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างของเจนก็เปล่งแสงออร่าสีทองออกมาพร้อมร่างของพวกเธอก็พุ่งออกไปนอกหน้าต่าง







    พวกเสือซ่อนลายทั้งห้าได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดต่างก็มีสีหน้ารู้สึกไม่ดีกันทุกคน ใครจะไปคิดว่าเรื่องแค่นี้จะไปเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ระดับประเทศได้ แล้วยิ่งรู้แล้วว่าอามีร่าได้เจอกับความเจ็บปวดแค่ไหนก็ทำให้พวกเขาคงอยู่เฉย ๆ ต่อไปไม่ได้อีก ทว่าเรื่องแบบนี้แค่คนธรรมดาจะช่วยได้ยังไงกัน



    "นี่มัน...โหดร้ายเกิดไปแล้ว จิตใจของไอ้พวกนั้นมันทำด้วยอะไรกัน!" เสือซ่อนลายพูดออกมาเสียงดังอย่างคับแค้นใจ เพราะแม้ว่าเขาอยากจะช่วยแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้ จนสุดท้ายในห้องก็ไร้ซึ่งเสียงพูดคุย



    "กองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่อามีร่าพูดถึงนี่... ใช่ดิอาโบรหรือเปล่า" จู่ ๆ แจ็คก็พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบของทุกคน



    "ดิอาโบร..อ๋อ ฉันจำได้แล้ว ที่เมื่อห้าปีที่แล้วมีข่าวการก่อการร้ายในแถบประเทศตะวันออกกลางใช่มั้ย" โจหันไปพูดทำให้คนอื่นพอจะนึกออกว่ากลุ่มนี้เป็นใคร



    เว้นแต่เจนที่หันไปมาด้วยความสงสัยจนแจ็คต้องเป็นคนอธิบายให้เธอฟัง



    "องค์กรดิอาโบร เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่เป็นที่อันตรายที่สุดในศตวรรษนี้ สงครามไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ทุกครั้งกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยตลอด.... นี่เธอไม่รู้จริง ๆ งั้นหรือ อย่างเหตุการณ์จับตัวประกันที่ประชุมผู้นำโลกเมื่อสองปีก่อน หรือวิกฤตระเบิดแก๊สซารินที่เมืองแมนฮัตตั้นเมื่อปีที่แล้วก็ฝีมือของพวกนี้ทั้งนั้น" แจ็คพยายามอธิบายจนเจนนึกออก ถ้าหากพูดถึงทั้งสองเหตุการณ์นี้แล้วยังไม่รู้อีก เขาก็ยังมีเหตุการณ์อีกเป็นหางว่าวที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มดิอาโบรได้ แต่เหตุการณ์ทั้งสองนั้นถือว่าเป็นการก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี



    องค์กรดิอาโบรเป็นกลุ่มของกองกำลังจากกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย ลัทธิหรือศาสนา แม้กระทั่งทหารรับจ้างหรืออาชญากรเข้าไว้ด้วยกันด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือเงินและเป้าหมายของตัวเอง โดยไม่ว่ากลุ่มสมาชิกจะมีเป้าหมายอะไร ทุกคนในองค์กรจะช่วยเหลือกันเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จอย่างเช่นรัฐบาลทำ ดังนั้นดิอาโบรจึงเป็นเหมือนกับรัฐบาลของเหล่าคนนอกกฎหมายนั่นเอง



    "อะไรที่ทำให้นายถึงแน่ใจนักว่าเป็นพวกนั้น" ไมโกะหันมามองแจ็คพร้อมทั้งกอดอกถาม



    "ฉันแค่ลองเดาดูน่ะ แต่ลองคิดดูสิ ถ้าไม่ใช่คนพวกนี้แล้วจะมีใครอีก"



    คนอื่น ๆ พยักหน้าสนับสนุนความคิดของแจ็ค แต่ถึงจะรู้ว่าใครเป็นผู้กระทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ก็ตาม ก็ไม่ได้ทำให้พวกเจนรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย



    "น่าสงสารจังเลย..." ซินจูพูดเบา ๆ แต่ภายในห้องมีมีเพียงเสียงฝนตกดังมาจากนอกหน้าต่าง ทำให้ทุกคนหันมาจ้องมองที่เธอเป็นสายตาเดียว



    "ต้องทนทรมานอยู่มานานหลายปี ต้องเสียทั้งพ่อและพี่ชายไปแบบนั้น แถมตอนนี้ยังต้องมาทรมานต่อในเกมนี้อีก...พวกเราช่วยอะไรเธอไม่ได้เลยหรือคะ"



    เจนก้มหน้าลงพยายามคิดหาหนทาง แต่ว่าตั้งแต่ที่เธอได้ยินเรื่องราวจากปากของตัวอามีร่านั้นเธอก็พยายามหาวิธีช่วยมาตลอด แต่เรื่องแบบนี้ลำพังแค่ตัวของเจน หรือแค่คน ๆ เดียวไม่อาจที่จะช่วยได้เลย



    "พวกเราลองไปแจ้งที่สถานทูตดูมั้ย บางทีอาจจะมีใครไปทำอะไรบ้างก็ได้" เสือซ่อนลายเสนอความคิด แต่ยูสตาร์กลับส่ายหน้าและขัดขึ้นมาทันที



    "นั่นไม่ช่วยหรอก การดำเนินเรื่องที่สถานทูตใช้เวลานานมาก ถึงจะเป็นเรื่องของดิอาโบรก็เถอะ แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับการลอบวางระเบิด นิวเคลียร์หรือการก่อการร้ายก็ไม่มีใครสนใจหรอก โดยเฉพาะชนเผ่าที่อาศัยนอกเมืองอย่างเผ่าของอามีร่าแล้วด้วย"



    ทุก ๆ คนยกเว้นเสือซ่อนลายหันมามองดูชายหนุ่มด้วยสายตาประหลาดใจที่เขารู้เรื่องแบบนี้ได้



    เมื่อรู้ตัวว่าตนตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อน ๆ ยูสตาร์ก็ยกมือขยับแว่นตาเล็กน้อยเพื่อแก้เขิน



    "มะ...มองอะไรกันเล่า ฉันอายุสามสิบกว่าแล้ว แถมฉันทำงานอยู่ในกระทรวงต่างประเทศด้วย ไม่แปลกที่ฉันรู้เรื่องแบบนี้นะ"



    "จริงสิ! บางทีถ้าหากขอให้พวกเขาช่วยดูอาจจะพอมีหวังก็ได้" โจโพล่งขึ้นเสียงดัง



    "นายกำลังพูดถึงใคร..." เจนรีบหันไปหาเพื่อนของเธอด้วยความอยากรู้ความคิดในหัวของเขา



    "พวกนายน่าจะเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้าง...ฮีโร่"



    คำพูดของโจทำให้เกิดกิริยาขึ้นมาอย่างหลากหลาย สีหน้าดีใจของแจ็คและซินจู อาการพยักหน้ารับฟังแต่แฝงถึงความครุ่นคิดของเสือซ่อนลายและหนูส่งข่าว อาการส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยของไมโกะและยูสตาร์ สุดท้ายก็คือความสงสัยของเจนและสัตว์เลี้ยงทั้งสองที่นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ มาตั้งแต่ต้น ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องก็ตาม



    "จริงด้วย ทำไมฉันถึงไม่นึกถึงเรื่องนี้ตั้งแต่แรกนะ!"



    "แบบนี้ก็คงพอจะมีหวังช่วยอามีร่าแล้วสินะคะ ถ้าหากให้ฮีโร่เข้ามาช่วยล่ะก็หายห่วง!"



    แจ็คและซินจูแสดงอาการดีใจเหมือนกับว่าพวกเขาสามารถช่วยอามีร่าได้แล้ว นั่นยิ่งสร้างความสงสัยให้กับเจนมากยิ่งขึ้นไปอีกจนเธออดใจถามไม่ได้



    "เดี๋ยวก่อนสิ นี่พูดถึงใครกัน ใครคือฮีโร่"



    "ฮีโร่ก็คือฮีโร่อย่างที่เธอเข้าใจนั่นแหละเจน เป็นอย่างพวกยอดมนุษย์ในการ์ตูนหรือภาพยนตร์ที่ออกตามล่าเหล่าร้าย" แจ็คทำตาเป็นประกายขณะที่อธิบายให้เจนฟังโดยมีซินจูช่วยเสริม



    "ใช่แล้วค่ะ แถมพวกฮีโร่ก็มีอยู่หลายประเทศทั่วโลกเลยล่ะค่ะ อย่างที่ประเทศจีนก็มีอยู่เกือบสิบคน หนูได้ยินที่อเมริกามีถึงยี่สิบคนเลยล่ะคะ"



    "ยี่สิบ!? ทำไมถึงน้อยจังเลยล่ะ!" เจนตกใจเมื่อได้ยินถึงจำนวนของยอดมนุษย์เหล่านี้ ทั้ง ๆ ที่ประเทศมหาอำนาจทั้งประเทศจีนหรืออเมริกาน่าจะมีมากกว่านี้แท้ ๆ



    "เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนของรัฐบาลทั้งหมดน่ะสิ มีบางคนที่เป็นคนของบริษัทเอกชนที่ผ่าตัดทำให้มีพละกำลังเหนือมนุษย์หรือบางคนก็แค่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แล้วสวมหน้ากากฮีโร่ด้วยตัวเองเลย อย่างที่ประเทศจีนก็มีคนที่เป็นฮีโร่สุดยอดกังฟูอยู่เยอะแยะ"



    "เดี๋ยวก่อนนะแจ็ค พวกฮีโร่นี่มันมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย" เจนประหลาดใจกับความรู้ใหม่ที่ดูจะเป็นข่าวเก่าสำหรับเพื่อน ๆ ของเธอ ความจริงเธอก็ติดตามข่าวอยู่บ้าง ทว่าเธอกลับไม่เคยได้ยินเรื่องพรรณนี้ทางโทรทัศน์เลยแม้แต่ครั้งเดียว



    แจ็คหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับมา



    "อันที่จริงเรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นมาก็หลายปีอยู่นะ ฉันรู้แค่ว่าฮีโร่พวกนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนแล้วก็หายไป ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ เมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มมีข่าวปรากฏตัวของฮีโร่ขึ้นมาอีกครั้ง แต่มีข่าวบนโทรทัศน์น้อยมาก จะมีก็แค่ข่าวอยู่บนเว็บไซด์เฉพาะเท่านั้น แล้วอีกอย่าง ประเทศไทยไม่มีฮีโร่เลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นการที่ไม่มีข่าวก็ไม่น่าแปลก"



    เจนได้แต่ก้มหน้ารับฟังเท่านั้น แม้เธอจะยังประหลาดใจว่าเธอพลาดเรื่องแบบนี้ไปได้ยังไง



    "แล้วพวกนายก็สรุปว่าพวกฮีโร่น่าจะช่วยอามีร่าได้งั้นสิ" ซินจูและแจ็คพยักหน้ารับคำของเจน แต่ในทันทีก็ถูกยูสตาร์ขัดขึ้นมาอีกครั้ง



    "นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะว่าไม่เคยมีฮีโร่คนไหนเคยออกไปทำงานนอกเขตประเทศตัวเองมาก่อน และข้อมูลเกี่ยวกับอามีร่าที่พวกเรามีก็น้อยมาก แค่จะระบุตำแหน่งที่แน่นอนยังทำไม่ได้เลย"



    "ฉันคิดว่าคงไม่มีฮีโร่คนไหนที่จะยอมเสียเงินไปกับการตามหาตัวเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างไม่มีเบาะแสหรอก แล้วถึงพวกเราอยากจะติดต่อกับคนพวกนี้ เราก็ไม่มีวิธีที่จะติดต่อเลยด้วยซ้ำ" ไมโกะเสริม



    "มันพอจะมีอยู่นะ วิธีติดต่อกับฮีโร่น่ะ" หนูส่งข่าวเอ่ยขึ้น



    เจนและไมโกะหันไปเบิ่งตามองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ สมกับชื่อหนูส่งข่าวที่สามารถติดต่อกับฮีโร่ได้จริง ๆ



    "มันมีเว็บไซด์ชื่อว่า callforhero ที่เชื่อว่าสามารถใช้ติดต่อกับฮีโร่ทั่วโลกได้ หลายคนเคยขอความช่วยเหลือผ่านเว็บไซด์นี้และยืนยันได้ว่ามีคนเข้าไปช่วยเหลือจริง ๆ หลายครั้งแล้ว"



    ไมโกะที่ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่นัก แม้แต่เจนเองก็ยังรู้สึกได้ว่าการขอความช่วยเหลือผ่านเว็บไซด์แบบนี้ไม่น่าจะพึ่งพาได้นัก แต่ถ้าหนูส่งข่าวบอกมาอย่างนี้ก็ต้องเชื่อเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะคนอื่น ๆ ไม่รู้วิธีติดต่อฮีโร่เลยแม้แต่คนเดียว



    "เอาล่ะ เอาเป็นว่าพวกเราลองเอาข้อมูลของอามีร่าไปโพสเอาไว้บนเว็บไซด์ดูก่อนก็แล้วกัน ฉันรู้ว่ามันดูไว้ใจไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่นี่เป็นหนทางเดียวที่เราสามารถช่วยเหลืออามีร่าได้" เสือซ่อนลายหันไปมองทุก ๆ คนอย่างช้า ๆ ซึ่งไม่มีใครคัดค้านความคิดของเขา



    แต่ในใจลึก ๆ เจนยังคงรู้สึกว่าตัวเธอยังต้องทำอะไรให้มากกว่านี้ อะไรบางอย่างที่ช่วยเหลืออามีร่าได้ที่ไม่ใช่คำพูดลอย ๆ ของสิ่งที่เธอไม่เคยพบมาก่อน หลักฐานว่าจะมีคนเข้าไปช่วยอามีร่าจริง ๆ







    เช้าวันต่อมาหลังจัดการธุระส่วนตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็มานั่งปรึกษากันว่าจะทำยังไงกันต่อไปดี โดยโจและหนูส่งข่าวก็ไม่ลืมที่จะปลอบใจเจนว่าตอนนี้พวกเขาได้ส่งข้อมูลไปยังเว็บไซด์เรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานนักสถานการณ์ของอามีร่าอาจจะดีขึ้น



    เจนรู้สึกอุ่นใจมากกับความรู้สึกเป็นห่วงที่ถูกส่งมาให้กับเธอ แม้ว่าปัญหานี้จะไม่เกี่ยวกับตัวเจนเลยก็ตามทีแต่เธอกลับลากเพื่อน ๆ ให้มาเจอกับความรู้สึกแย่ ๆ แบบนี้ด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเธอควรจะต้องรู้สึกสนุกกันมากกว่า อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเธอก็กำลังเล่นเกมอยู่นี่นา



    เมื่อคิดได้ดังนั้นเจนจึงตัดสินใจที่จะสลัดความคิดที่เกี่ยวกับอามีร่าออกไปจากหัวก่อน เอาไว้หลังจากสนุกไปในโลก ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ไปก่อนแล้วค่อยไปหาวิธีช่วยอามีร่าที่นอกเกมก็ยังไม่สาย ต่อให้ผ่านไปอีกสัปดาห์ในเกม แต่ภายนอกเวลาก็ไม่ได้เดินไปมากกว่าหนึ่งคืนเลย



    "แล้วใครพอมีความคิดอะไรที่น่าสนใจบ้างว่าพวกเราจะไปทำอะไรกันต่อดี" เจนเสนอถามขึ้นระหว่างทานมื้อเช้า สีหน้าของเธอดีขึ้นจากเมื่อคืนมากจนคนอื่น ๆ ยังแปลกใจ



    "เอ่อ...ไปเก็บเลเวลกันดีมั้ย ตอนนี้พวกฉันเลเวลใกล้จะเต็มร้อยแล้ว จะได้เปลี่ยนระดับยศซักที" เสือซ่อนลายตอบพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อกุ้งเข้าปาก



    "เดี๋ยวก่อนนะ ตอนนี้พวกฉันยศขุนนางแล้ว ถ้าไปช่วยเก็บเลเวลมันจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า" เจนรีบถามขึ้นก่อนเพราะกลัวว่าพวกเสือซ่อนลายจะไม่ได้ค่าประสบการณ์ถ้าหากเธอเป็นผู้จัดการมอนสเตอร์ได้



    "ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก ระบบค่าประสบการณ์ตั้งแต่ยศขุนนางขึ้นไปต่างจากยศทหารนิดหน่อย ตรงที่การเก็บเลเวลจะไม่จำกัดอยู่ว่าต้องเป็นมอนสเตอร์ที่มีระดับมากกว่า มอนสเตอร์ที่มีเลเวลน้อยกว่าก็ยังได้ค่าประสบการณ์อยู่แต่น้อยมาก ยกเว้นมอนสเตอร์ระดับทหารที่ไม่ได้ให้ค่าประสบการณ์เหมือนเดิม"



    เจนฟังที่โจอธิบายก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเพราะไม่เพียงเรื่องค่าประสบการณ์ของพวกเสือซ่อนลายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เธอกังวลว่าหากเมื่อมีเลเวลสูงขึ้น เธอก็จะต้องไปสู้กับมอนสเตอร์ที่เก่งกาจมากขึ้นแต่ได้ค่าประสบการณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อได้รู้ว่าสามารถค่อย ๆ เก็บเลเวลกับมอนสเตอร์ที่เลเวลต่ำกว่าได้ เธอก็จะสามารถรอจนกว่าพวกเสือซ่อนลายเปลี่ยนยศแล้วค่อยพากันไปเก็บเลเวลกับมอนสเตอร์ที่มีเลเวลสูง ๆ ทีหลัง



    เมื่อเตรียมพร้อมเสร็จแล้วพวกเจนจึงตกลงกันว่าจะไปเก็บเลเวลกับมอนสเตอร์ที่มีระดับสูงขึ้นมาอีกหน่อย และด้วยคำแนะนำของเสือซ่อนลาย พวกเจนจึงคิดจะไปเก็บเลเวลกับมอนสเตอร์ระดับขุนนางกัน



    พวกเจนไม่คิดจะย้อนกลับไปทางที่หมู่บ้านของกิลด์พิฆาตราชาอีกครั้ง และเจนก็ยังไม่คิดจะพาเพื่อน ๆ ของเธอไปหามาเอะตอนนี้ด้วย ดังนั้นทุกคนจึงมุ่งกลับไปทางตะวันตกซึ่งเป็นทิศที่ตั้งของเมืองซีโป โดยเป้าหมายก็คือป่าทึบที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองยามะไตนัก และยังเป็นแหล่งเก็บเลเวลสำคัญของผู้เล่นอีกหลายคนอีกด้วย



    ป่าแห่งนี้มีมอนสเตอร์อยู่หลากหลายรูปแบบมาก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่าหรืออมนุษย์อย่างเทนกุจมูกยาวที่เจนเคยพบมาก่อนหน้านี้ก็สามารถพบได้ในป่าแถบนี้ด้วยเช่นกัน แต่มอนสเตอร์ที่เป็นเป้าหลายหลักของผู้เล่นนั้นไม่ใช่เทนกุจมูกยาว มันคือซาลามานเดอร์ตัวใหญ่ที่แฝงตัวอยู่บนต้นไม้



    ซาลามานเดอร์ป่า ยศขุนนาง ระดับ 20

    สัตว์เลื้อยคลานที่มีความสามารถซ่อนตัวภายในป่าได้อย่างดี มีพลังกำลังและความเร็วสูง สามารถใช้หางและกรงเล็บตะปบโจมตีได้ แต่พลังป้องกันต่ำมาก

    แพ้ธาตุไฟ



    แม้ว่าที่แห่งนี้จะมีคนอยู่เป็นจำนวนมากจนทำให้เจนกังวลว่าจะต้องไปแย่งมอนสเตอร์กับคนอื่นเข้า แต่เมื่อเธอได้รู้ว่าป่าที่ซาลามานเดอร์ป่าเป็นเช่นไร ก็กลายเป็นว่าเธอกังวลไปเสียเปล่า เพราะป่าที่เธอและเพื่อน ๆ ของเธอมาถึงนั้นยาวสุดลูกหูลูกตาจนมองไม่จุดสิ้นสุด



    ผู้เล่นคนอื่นหลายกลุ่มต่างแยกย้ายกระจายกันไปหาจุดเก็บเลเวลกันอยู่ทั่วผืนป่า ทำให้พวกเจนต้องเดินทางลึกเข้าในอีกเพื่อที่จะหาจุดตั้งแค้มป์เหมาะ ๆ เพราะพวกเธอตั้งใจแล้วว่าคงจะอยู่ที่นี่กันอีกนานเลยทีเดียว



    เมื่อเดินเข้ามาลึกมากจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้เล่นคนอื่นอยู่แถวนี้ เสือซ่อนลายจึงเลือกที่ตั้งแค้มป์อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งไม่ไกลนักก็เป็นลำธารสายเล็กที่สามารถใช้ดื่มได้ นับว่าจุดนี้เหมาะสำหรับตั้งแค้มป์มากทีเดียว แต่เป็นเพราะอยู่ห่างจากทางเข้าป่าฝั่งเมืองยามะไตมากและป่าแห่งนี้ยังไม่มีใครค้นพบเสาเวทมนตร์ที่เป็นจุดปลอดมอนสเตอร์เลย ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่ตั้งแค้มป์อยู่ใกล้ ๆ กันเพื่อที่จะได้คอยช่วยกันเฝ้ายามตอนกลางคืน แต่สำหรับพวกเจนคงไม่จำเป็นนักเพราะมีคิทซึเนะและฟีบีอยู่ สบายใจหายห่วง



    หลังจากตั้งเต็นท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เสือซ่อนลายก็เริ่มแบ่งกลุ่มและซักซ้อมหน้าที่ของแต่ละคนทันที โดยเขาคิดว่าควรจะรวมกลุ่มกันไว้ก่อนเพราะซาลามานเดอร์ป่านั้นมีระดับสูงกว่ามากโดยเฉพาะพวกเสือซ่อนลายที่อยู่คนละยศกัน



    การแบ่งหน้าที่นั้นเสือซ่อนลายแบ่งได้เป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือเสือซ่อนลาย เจนและไมโกะที่ทำหน้าที่เป็นตัวเข้าปะทะ สองคือคิทซึเนะ โจและซินจูเป็นฝ่ายสนับสนุน สุดท้ายคือยูสตาร์ แจ็คและฟีบีเป็นฝ่ายโจมตีระยะไกล ส่วนหนูส่งข่าวนั้นไม่มีทักษะการต่อสู้เลยแม้แต่อย่างเดียวจึงรับหน้าที่คอยเก็บของที่ได้จากมอนสเตอร์เพราะเขาบอกว่าตัวเองเด่นนักเรื่องทักษะเอาตัวรอด



    เสือซ่อนลายนำกลุ่มออกลาดตระเวนที่พักเพื่อให้แน่ใจว่าคืนนี้ไม่มีตัวอะไรมาลอบโจมตี เมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่งแล้ว แต่พวกเจนก็ยังไม่พบซาบามานเดอร์ป่าเลยแม้แต่เงา จนเริ่มจะคิดว่าพวกเธอหลงมาผิดป่าแล้วหรือเปล่า



    "แน่ใจนะว่าเรายังอยู่ในป่าเดิมอยู่ ไม่ใช่เดินเลยไปอีกที่หนึ่งเหมือนบนเกาะเริ่มต้นล่ะ" แจ็คหันไปมองเพื่อนหนุ่มที่เขาโทษว่าเป็นคนที่พาเดินเลยจุดหมายเมื่อครั้งล่าสุดที่พวกเขาเข้าไปลุยในป่ากัน



    จอมเวทหนุ่มหันมาค้อนมองก่อนจะกลับไปหันดูพื้นที่รอบ ๆ ต่อเพราะไม่อยากจะไปต่อปากต่อคำกันตอนนี้



    "ไม่หรอก ป่าแห่งนี้กว้างมาก กินพื้นที่เกือบหนึ่งในสี่ของทวีปแห่งนี้ไปเลยด้วยซ้ำ พวกเราเดินเข้ามาในป่าแค่ชั่วโมงเดียวเอง นี่ยังไม่เข้าไปในป่าชั้นในเลยด้วยซ้ำ" เสือซ่อนลายหันไปบอกให้แจ็คมั่นใจ



    "แล้วเจ้ากิ้งก่านั่นไปอยู่ไหนซะละ ไม่เห็นแม้แต่เงา" หนูส่งข่าวพูด



    "พวกมันเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ใช่กิ้งก่าซักหน่อย แล้วพวกมันอยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ ฉันรู้สึกได้" ไมโกะกล่าวเสียงเย็น



    หลังจากที่เธอเปลี่ยนอาชีพแล้วเธอก็ได้ทักษะใหม่ ๆ มาเยอะมาก หนึ่งในทักษะเหล่านั้นก็คือทักษะจับจิต ที่สามารถทำให้ไมโกะรู้สึกได้ถึงใครหรืออะไรในบริเวณรอบ ๆ ตัวเธอ แม้ทักษะระดับแรกนี้ทำได้แค่บอกผ่านความรู้สึก แต่ว่ากันว่าทักษะระดับที่สามของทักษะนี้สามารถบอกได้ว่ามีมือปืนอยู่ได้ไกลเป็นกิโลเลยทีเดียว



    "มันก็เหมือนกันนั่นแหละ" หนูส่งข่าวตอบโดยไม่หันไปมอง



    ยังไม่ทันที่จะขาดคำ เจนก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังรัดขาของเธออยู่ แต่เมื่อก้มลงไปมองกลับไม่พบอะไรเลย สร้างความฉงนให้กับเธอเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะได้ทำอะไร เจนก็รู้สึกได้ว่าร่างของเธอถูกกระชากไปด้วยแรงมหาศาลจนล้มลงไปกับพื้นและลากไปยังพงหญ้าที่มีเพียงความว่างเปล่า!



    เฟี้ยว!! ฉึก!!



    กี้!!



    เสียงร้องแหลมดังขึ้นหลังจากลูกธนูของยูสตาร์พุ่งเข้าปักอยู่บนอากาศธาตุในทิศที่เจนถูกลากไป ทันใดนั้นเองเธอก็เห็นร่างของเจ้าตัวที่ทำร้ายเธออย่างชัดเจน และมันยิ่งทำให้เธอต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพราะมันเพิ่งโผล่มาจากบนอากาศตรงหน้าเธอ!!



    ร่างของซาลามานเดอร์ป่าเป็นผิวหนังเรียบเนียนและมีเมือกใสเคลือบเหมือนกับตัวของกบ แต่ขนาดของมันนั้นใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า เจ้าตัวตรงหน้านี้มีความสูงเกือบถึงอกของเจนด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงความยาวที่ต้องมากกว่าสามเมตรอย่างแน่นอน



    "เหวอ!! เกือบไป! ขอบใจมากนะพี่ยู!" เจนหันไปหาชายหนุ่มที่ช่วยเหลือเธอพร้อมกับวิ่งกลับเข้ามารวมกลุ่ม



    เลือดสีเขียวไหลออกมาจากบาดแผลบนตัวของมันที่โดนลูกธนูปักนั้นเสียบเข้าไปลึกมากจนน่ากลัว เจ้าซาลามานเดอร์ป่าทำท่าทรมานก่อนจะหันไปหากลุ่มคนที่ทำร้ายมันด้วยท่าทางฉุนเฉียวและตะกุยเท้าวิ่งเข้าใส่ทันที



    เจนรีบพุ่งเข้าปะทะเป็นคนแรกเพราะอยากจะแก้มือที่พลาดท่าให้เมื่อครู่ ดาบยาวชี้ไปด้านหน้าเตรียมพร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ



    เจ้าซาลามานเดอร์เห็นว่าผู้ที่เข้ามามีคนเดียวจึงไม่หยุดชะงัก มันยกเท้าหน้าและกางกรงเล็บสีเขียวดูไม่น่าไว้วางใจแล้วตะปบลงมาใส่ร่างของเจนทันที



    "ระวังนะเจน! กรงเล็บของมันมีพิษ!!" เสียงของไมโกะร้องเตือน ทำให้แทนที่เจนจะยกดาบขึ้นกันเป็นเคลื่อนตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียด ทำให้กรงเล็กของซาลามานเดอร์พลาดไปโดนต้นไม้ใกล้เคียง ฝากรองกรงเล็บยาวและลึกเข้าไปถึงในเนื้อไม้พร้อมทั้งมีคราบสีเขี้ยวซึมออกมาด้วย



    เจนลอบกลืนน้ำลายอย่างลำบาก เพราะถ้าหากเธอตัดสินใจยกดาบขึ้นกันหรือพลาดไปโดนกรงเล็บเข้าล่ะก็ คงได้เจ็บหนักอย่างแน่นอน บางทีหลังจากนี้ถ้าเธอเจอเข้ากับมอนสเตอร์ที่ตัวใหญ่กว่าเอวเธอล่ะก็ ควรจะเลือกหลบการโจมตีน่าจะดีกว่า



    ทางเจ้าซาลามานเดอร์เห็นว่าเหยื่อของมันหลบได้ก็ยิ่งโมโห มันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วแล้วใช้หางขนาดใหญ่ฟาดด้วยความรุนแรง



    เจนกระโดดหลบอย่างฉับไวพร้อมกับฟาดดาบไปยังมอนสเตอร์ตรงหน้า



    ผ่ามิติ!!



    คลื่นดาบพุ่งเข้าปะทะร่างใหญ่ของซาลามานเดอร์ป่าเข้าเต็ม ๆ เสียงร้องโหยหวนของซาลามานเดอร์ป่าดังก้องก่อนจะเงียบไป เมื่อเจนลงสู่พื้นแล้ว เธอก็รีบยกดาบเตรียมพร้อมสู้ต่อทันที แต่ทว่าร่างของเจาซาลามานเดอร์ถูกผ่าออกเป็นสองซีกด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว สร้างความประหลาดใจให้กับเธอแต่ไม่ใช่เพื่อน ๆ ที่อยู่ด้านหลัง



    "ลงดาบได้แจ๋วมากเจน แต่ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก แม้เจ้าซาลามานเดอร์จะพลังโจมตีสูงแถมเร็วมากแต่ตัวมันก็บางมากเหมือนกัน เพราะแบบนี้คนที่เพิ่งเลื่อนยศเลยชอบมาเก็บเลเวลกันที่นี่ยังไงล่ะ ถ้าหากสู้อย่างฉลาดก็จัดการได้ง่ายมาก" เสือซ่อนลาสบอกขณะที่เดินเข้ามาสมทบ



    "โฮะโฮ้ ค่าประสบการณ์ก็ไม่ใช่น้อย ๆ ด้วยนะเนี่ย" โจเสริมเมื่อเขาลองเปิดหน้าต่างแสงขึ้นมาดู แต่เมื่อเจนเปิดขึ้นมาดูบ้างกลับพบว่าได้ค่าประสบการณ์มาไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของหลอดค่าประสบการณ์ด้วยซ้ำ



    "ไหนว่านายบอกค่าประสบการณ์ไม่ใช่น้อย ๆ ไง เพิ่มมาแค่นิดเดียวเอง ทั้ง ๆ ที่เลเวลมากกวาฉันเป็นสิบแท้ ๆ" เจนแย้ง ทำให้โจหันมามองเธออย่างหมดอารมณ์



    "พวกเราเลื่อนยศมาแล้วมันก็เก็บเลเวลยากแบบนี้แหละ เพราะแบบนี้ไงตั้งแต่ยศขุนนางถึงได้ค่าประสบการณ์จากมอนสเตอร์ที่มีเลเวลน้อยกว่าตัวเอง"



    อีกด้าน หนูส่งข่าวก็ก้มลงแยกของจากร่างของซางามานเดอร์ป่าที่กำลังกลายเป็นแสงไปว่าได้อะไรมาบ้าง



    "หนังซาลามานเดอร์ผืนใหญ่สองชิ้น เนื้อซาลามานเดอร์สิบชิ้น..พิษซาลามานเดอร์ป่าหนึ่งขวด อื้ม! อันนี้ดีสุดแฮะ" หนูส่งข่าวว่าแล้วยกขวดเล็ก ๆ ที่บรรจุของเหลวสีเขียวขึ้นมาดู



    ฟีบีที่อยู่ข้าง ๆ เดินเข้ามามองด้วยความสนใจเป็นพิเศษเพราะสีของของเหลวนั้นข้นและสดใสเป็นเหมือนกับน้ำผลไม้เลยทีเดียว



    "ดูน่าอร่อยจังเลย กินได้หรือเปล่าคะ" มังกรน้อยเอียงหัวถามหน้าตาใสซื่อ ทำให้ซินจูที่อยู่ใกล้ ๆ ต้องรีบเข้ามาห้ามเอาไว้อย่างรวดเร็ว



    "ไม่ได้นะฟีบี! ถ้าขืนกินของแบบนี้เข้าไปแล้วจะทำให้ป่วยเอานะ"



    "อ๋อ แปลว่าน้ำขวดนี้ยังไม่สุกใช่หรือเปล่าคะ ถ้าหากเอาไปต้มแล้วจะกินได้ใช่มั้ยคะ" เด็กสาวหันไปถามหน้าตาเฉย บางทีหลังจากนี้ซินจูคงต้องหาเวลามาสอนเรื่องต่าง ๆ ให้กับเด็กคนนี้ซะแล้ว



    เมื่อหนูส่งข่าวจัดการเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็เตรียมพร้อมที่จะเดินตระเวนรอบพื้นที่ตั้งแค้มป์ต่อทันที แต่ว่าดูท่าพวกเธอคงไม่ต้องเดินตามหาซาบามานเดอร์ป่าที่ไหน เพราะพวกมันต่างพร้อมใจกันปรากฏร่างออกมาให้พวกเจนเห็น กลุ่มซาลามานเดอร์ป่ากว่าสี่ตัวตัวกำลังล้อมพวกเจนโดนตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีความสูงมากกว่าไหล่ของเจนซะอีก



    "ทุกคนเข้าประจำที่ ทีมประลุยเลย!!" เสียงระโกนของเสือซ่อนลายดังลั่นพร้อมกับทีมปะทะทั้งสามแยกย้ายพุ่งเข้าโจมตีใส่พวกซาลามานเดอร์ป่า



    คนอื่น ๆ องก็ไม่ต้องพูดอะไรมมากมาสเพราะทุกคนต่างรู้หน้าที่ของตัวเองกันอยู่แล้ว คิทซึเนะและฟีบีคุ้มกันสมาชิกทีมของตนเองโดยให้คนในทีมอย่างโจหรือยูสตาร์เป็นตัวสร้างความเสียหายให้มากที่สุด ส่วยซินจูนั้นก็จะคอยใช้ทักษะเสริมพลังต่าง ๆ และรักษาบาดแผลเท่าที่ทำได้ ส่วนหนูซ่อนลายนั้นได้หายไปจากการต่อสู้แล้วจากทักษะของเขา



    เจนหันไปเหลือบมองดูการต่อสู้ของคนอื่น ๆ ก็พบว่าทุก ๆ คนนั้นแม้จะไม่ได้มีอาวุธระดับสูงหรือมีทักษะที่ทรงพลัง แต่ก็สามารถต่อสู้ได้อย่างน่าทึ่งทีเดียว



    ไมโกะนั้นใช้ความเร็วและความคล่องตัวเป็นหลัก สามารถหลบการโจมตีของพวกซาลามานเดอร์ป่าและโจมตีสวนกลับไปพร้อม ๆ กัน และด้วยพลังป้องกันต่ำของพวกมัน ทำให้ดาบคู่ของไมโกะสามารถสำแดงเดชได้เกินความจริงด้วยซ้ำ และด้วยทักษะของนักฆ่าทำให้ไมโกะสามารถจัดการซาลามานเดอร์ป่าตัวหนึ่งได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที



    ทางเสือซ่อนลายเองก็ใช่ย่อย ทักษะป้องกันของอัศวินก็ทำให้เขาสามารถทนรับการโจมตีของซาลามานเดอร์ได้อย่างไม่ยากเย็น และบวกกับทักษะนักรบคลั่ง แม้จะมีพลังโจมตีไม่สูงมากแต่เสือซ่อนลายสามารถโจมตีสวนกลับโดยไม่คิดจะหลบ แถมเมื่อยิ่งโดนโจมตีพลังของเขาก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จนพวกซาลามานเดอร์เกือบสิบตัวได้ตายลงไปจากฝีมือของเขาในเวลาไม่นาน เลือดสีเขียวเปรอะเปื้อนเต็มของอัศวินหนุ่มดูราวกับสัตว์อสูรก็มิปาน



    พวกโจนั้นก็สามารถจัดการซาลามานเดอร์ไปได้ไม่น้อย แม้พวกมันจะไม่ได้แพ้พลังสายฟ้า แต่พลังเวทย์ของโจก็ไม่ใช่ธรรมดา เสียงครู่เดียวซาลามานเดอร์เผาก็ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ส่วนซินจูนั้นก็ดูสุขุมยิ่งกว่าคราวที่แล้วที่เธอสู้ด้วยกันกับเจน เธอสามารถเลือกใช้ทักษะได้อย่างเหมาะกับสถานการณ์และใจเย็น ท่าทางเสือซ่อนลายคงจะฝึกให้เธอมาไม่น้อย โดยทั้งสองคนมีคิทซึเนะคอยช่วยคุ้มกันเอาไว้ด้วยเพลิงจิ้งจอกของเธอที่คอยช่วยเสริมกลิ่นเหม็นไหม้ของซาลามานเดอร์ด้วยอีกตัว



    ทางด้านของพวกแจ็คนั้นแม้จะสร้างความเสียหายไม่มากเท่าสองกลุ่มแรก แต่พวกเขาก็คอยช่วยตัดกำลังของซาลามานเดอร์ไปไม่น้อย และคอยช่วยจัดการเจ้าพวกที่คอยแอบซุ่มโจมตีได้เป็นอย่างดี ส่วนฟีบีนั้นก็ใช้โล่พลังอยู่เช่นเดิมโดยไม่คิดอยากจะเข้าไปร่วมต่อสู้ด้วยเลย



    ทุก ๆ คนต่างพัฒนาฝีมือไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ โดนเฉพาะไมโกะที่เผลอ ๆ อาจจะเก่งกว่าเจนแล้วด้วยซ้ำไป ถ้าหากเธอยังคงเฉื่อยชาอยู่แบบนี้คงไม่ดีแน่ เมื่อคิดได้แล้วเจนก็หันมาสนใจกับพวกซาลามานเดอร์ตรงหน้าของเธอบ้าง ร่างบางเรืองแสงด้วยพลังทักษะ แล้วดาบยาวก็ถูกตวัดเข้าใส่ขาข้างหนึ่งของของซาลามานเดอร์อย่างรวดเร็ว



    ขาของมันขาดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เจนไม่ปล่อยให้มันต้องทรมานอยู่นาน เธอยกดาบตัดหัวของซาลามานเดอร์ออกจากร่างแล้วพุ่งเข้าหาซาลามานเดอร์ตัวอื่นทันที



    แม้เจนจะไม่ได้คล่องแคล่วเท่ากับไมโกะหรืออึดเหมือนกับเสือซ่อนลาย แต่พลังโจมตีนั้นถือว่าเจนเหนือที่สุดในสามคนนี้ ทั้งการจู่โจมที่รุนแรง เฉียบขาด ทำให้เจนเพียงแค่ลงดาบเพียงแค่สองสามทีก็สามารถจัดการซาลามานเดอร์ป่าได้แล้ว



    ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเจนนั้นสามารถรับมือเหล่าซาลามานเดอร์ป่ากว่ายี่สิบตัวได้อย่างสบาย ๆ แต่ทว่าพรรคพวกของมันอีกนับร้อยที่มาตามเสียงร้องของเพื่อนของมันทำให้จำนวนของซาลามานเดอร์เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มตึงมือ



    แต่ทว่าทุก ๆ คนต่างไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเพราะต่างคนต่างพยายามลงมือไปอย่างเต็มที่แล้ว พวกคิทซึเนะเองก็ทำหน้าที่ป้องกันอยู่ หากสลับหน้าที่เป็นโจมตีตอนนี้อาจทำให้คนอื่น ๆ ในทีมได้รับอันตรายได้



    เจนที่เห็นท่าไม่ดีจึงใช้ผ่ามิติจัดการซาลามานเดอร์ป่าที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วหยิบขวดยาเพิ่มพลังเวทมนตร์ออกมาขึ้นดื่มก่อนจะใช้ทักษะที่เธอรู้ว่าสามารถจัดการแก้สถานการณ์ได้อย่าวชะงัก



    พลังสถิตร่าง เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!



    ออร่าสีทองเปล่งประกายออกมาจากร่างของเจนพร้อมกับพลังที่เพิ่มพูนเข้ามาจนทำให้เธอรู้สึกได้ทันทีว่าพวกซาลามานเดอร์พวกนี้ไม่ใช่คู่มือของเธออีกต่อไป



    และดูท่าทางเหล่าซาลามานเดอร์ก็จะรู้ตัวว่าพวกมันได้เข้าเผชิญหน้ากับพลังที่พวกมันไม่ควรเข้ามายุ่งด้วยซะแล้ว และสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมันบอกว่าต่อให้มีพรรคพวกของมันอีกเป็นร้อย ก็ไม่สามารถทำอะไรผู้ที่อยู่ตรงหน้ามันได้ ซึ่งเหลือเพียงทางเลือกเดียวที่จะทำให้พวกมันมีโอกาสที่จะมีชีวิต



    หนี!!



    "ตอนนี้ล่ะ ทุกคน มีอะไรเก็บเอาไว้ รีบเอาออกมาจัดการพวกมันให้หมดเลย!!" เสือซ่อนลายตะโกน และนั่นเป็นสัญญาณที่คิทซึเนะกำลังรออยู่



    ลูกไฟนับร้อยลูกปรากฏอยู่บนฟ้าในพริบตา และทันใดนั้นเอง ลูกไฟก็พุ่งเข้าเผาผลาญเหล่าซาลามานเดอร์เพลิงเข้าอย่างไม่เลือกหน้า เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่ต่างทุ่มพลังจัดการซาลามานเดอร์ที่กำลังแตกตื่น



    ทางเจนที่เห็นว่าพวกซาลามานเดอร์กำลังถูกจัดการไปเรื่อย ๆ ที่เธอใช้พลังสถิตร่างก็เพราะต้องการจะฝึกให้คุ้นกับพลัง แต่ถ้าหากปล่อยเอาไว้ล่ะก็เหล่าซาลามานเดอร์คงจะถูกจัดการก่อนที่จะได้แสดงฝีมือแน่



    ไม่ต้องคิดอะไรให้เสียเวลา เจนเร่งความเร็วสูงสุดพุ่งตัวเข้าผ่าร่างของซาลามานเดอร์สามตัวด้วยการตวัดดาบเพียงครั้งเดียว ความรู้สึกของพลังที่เพิ่มมากขึ้นมากจากครั้งที่แล้วทำให้เจนตัวสั่น ถ้าหากเธอสามารถฝึกฝนจนใช้พลังนี้ได้อย่างคล่องแคล่วล่ะก็ ต่อให้เจอกับราชาเทนกุจมูกยาวอีกครั้ง เธอก็ไม่มีทางพลาดท่าง่าย ๆ อีกอย่างแน่นอน



    ดวงตาสีแดงตวัดมองฝูงซาลามานเดอร์กำลังวิ่งหนีไป ในขณะที่คนอื่น ๆ เริ่มที่จะรามือกันไปแล้วเพราะยังไม่อยากจะแยกออกไปจากกลุ่ม แต่ทว่าพลังเวทย์ของเจนยังพอเหลืออยู่บ้าง และยังมีซาลามานเดอร์ป่าอีกหลายตัวที่เจนยังคงมองเห็นอยู่



    รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าส่วย ก่อนที่ร่างที่เปล่งออร่าสีทองจะพุ่งขึ้นฟ้าและบินเข้าใส่ฝูงซาลามานเดอร์ป่าที่กำลังวิ่งหนีไปจากพวกเสือซ่อนลาย พริบตาเดียว ก็ไม่มีใครมองเห็นซาลามานเดอร์ป่าอีกแต่บนแถบค่าประสบการณ์นั้นกลับเพิ่มเอาราวกับมีใครไปเติมน้ำใส่ เห็นทีคืนนี้พวกเจนคงหลับสบาย ไม่มีซาลามานเดอร์ตัวไหนกล้ามารบกวนอย่างแน่นอน... ถ้ามันเหลือรอดอยู่ซักตัวนะ



    จบตอนที่ 33 ความจริงที่ไม่โสภา



    ------------------------


  38. #47
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 34 ตรวจจิต ตรวจใจ

    ตอนที่ 34 ตรวจจิต ตรวจใจ



    ดวงตาสีแดงโกเมนเปิดขึ้นมาพบกับเพดานห้องสีชมพูชวนปวดหัว เจนค่อย ๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นจากเตียงแล้วออกไปทำธุระส่วนตัวยามเช้าตามปกติหลังจากใช้เวลาในเกม ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์มาทั้งคืน



    เวลาใช้เวลาอีกแปดวันในเกมที่เหลืออยู่ในป่าเพื่อฝึกฝนฝีมือและเก็บเลเวล แม้ว่าจะมีเวลามากถึงแปดวันแต่เลเวลของพวกเจนทั้งสามคนที่เลื่อนยศมาแล้วก็ยังไม่ถึงสิบกันซักคน แม้กระทั่งคิทซึเนะที่ตอนนี้มีระดับเลเวลสูงที่สุดในหมู่พวกเจนก็มีเลเวลเพิ่มขึ้นมาเดิมห้าเป็นเลเวลเก้าเท่านั้น



    อย่างน้อยก็ยังดีที่ตอนนี้พวกเสือซ่อนลายมีเลเวลเต็มร้อยกันทุกคนแล้ว วันสุดท้ายของการออนไลน์ พวกเจนตัดสินใจกลับเข้าไปในเมืองเพื่อที่จะไปเติมเสบียงและรับภารกิจเลื่อนยศของแต่ละคน น่าเสียดายที่ภารกิจของทุกคนห้ามคนอื่นช่วยเหลือเหมือนกับที่พวกโจได้พบ แต่จากที่ดูแล้วมีระดับความง่ายกว่ามาก เว้นแต่ของซินจูนั้นที่ได้ภารกิจคล้ายกับเจนก็คือให้ช่วยเหลือคน แต่จำนวนเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้นทำให้ก่อนถึงเวลาออฟไลน์ ซินจูก็เที่ยวออกตระเวนช่วยเหลือชาวเมืองจนได้เลื่อนยศเป็นคนแรก



    เวลาแปดวันนี้แม้จะได้เลเวลมาไม่มาก แต่สำหรับเจนแล้วการได้ฝึกสู้นั้นถือเป็นประสบการณ์ทีเธอต้องการมากที่สุด เจนพยายามฝึกฝนให้ร่างกายคุ้นชินกับการต่อสู้และพลังสถิตร่างตามที่มาเอะให้คำแนะนำ ดังนั้นทุก ๆ วันเธอก็จะหาโอกาสที่จะใช้พลังสถิตร่างอยู่เสอมจนเจนเริ่มจะคุ้นกับพลังเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางแล้ว ส่วนพลังของยามาตะ โนะ โอโรจินั้นเจนยังไม่คิดจะเอามาใช้เร็ว ๆ นี้แน่ ตามที่โจได้เตือนเธอเอาไว้ว่าอย่าตกเป็นจุดเด่นถ้ายังไม่อยากโดนพวกกิลด์พิฆาตราชาตามล่า



    แม้ว่าเจนจะใช้พลังสถิตร่างของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางทุกวัน แต่ไม่ว่าจะทำยังไงเธอก็ไม่สามารถควบคุมออร่าที่เปล่งออกมาจากร่างได้อย่างที่คิทซึเนะทำได้ซักที จนสุดท้ายเจนก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปและสนใจกับการฝึกตามปกติของเธอจนหมดเวลาออนไลน์







    เจนเดินลงมาจากห้องนอนก็พบกับแม่ของเธอกำลังเตรียมอาหารเช้าอย่างอารมณ์ดี ช่วงหลัง ๆ มานี้เจนยิ่งเห็นแม่ของเธอมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้คุณหมอเกอร์ทูธเป็นเพื่อนคุยหรือเป็นเพราะเจนกลายเป็นลูกสาวสมใจกันแน่



    "อรุณสวัสดิ์จ๊ะเจน เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง เล่นเกมสนุกมั้ย" จริยาหันไปยิ้มให้กับเจนอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับวางหมูย่างและชามใส่ข้าวเหนียวไว้ตรงหน้า



    "เมื่อคืนก็สนุกดี แต่รู้สึกเหนื่อยมากกว่า" เจนตอบเรียบ ๆ อย่างไม่คิดอะไรแล้วนั่งลงทานมื้อเช้า



    แต่หลังจากผ่านไปซักพักเธอก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ เมื่อเจนรู้สึกได้ว่ามีสายตาของใครบางคากำลังจดจ้องอยู่ที่เธอ และสายตานั้นไม่ใช่ของใครที่ไหน แต่เป็นสายตาของจริยาที่จ้องหน้าของเจนมาตั้งแต่ที่เธอนั่งลงที่โต๊ะทานข้าว



    หัวสมองของหญิงสาวรีบคิดทบทวนทันทีว่าอะไรที่ทำให้แม่ของเธอจ้องหน้าตาไม่กระพริบ จะว่าเธอโมโหอะไรก็ไม่น่าใช่เพราะเช้านี้เจนก็ยังไม่ได้ไปทำอะไรให้จริยาโกรธซักหน่อย และใบหน้าก็ยังยิ้มอยู่แบบนั้นก็ไม่ใช่วิธีแสดงอารมณ์โมโหของแม่ที่เจนรู้จักแน่



    "แล้ว...ตอนที่อยู่ในเกมไปทำอะไรมาบ้างจ๊ะ" จริยาเอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงของเธอยังคงฟังระรื่นหูเช่นเคย แต่เจนกลับรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างที่แม่ของเธอส่งมาให้ ถ้าหากไม่รีบคิดให้ออกล่ะก็คราวนี้บางทีเจนอาจจะได้เจอกับอารมณ์ โกรธจริง ๆ ของจริยาก็เป็นได้



    "อ..เอ่อ ก็ไปเก็บเลเวลกับพวกโจแล้วก็เพื่อในเกมน่ะค่ะ แล้ว.. แม่ล่ะคะ" เจนพยายามตอบอย่างระมัดระวัง เธอให้มั่นใจว่าไม่ได้ผิดพลาดอะไรตรงไหน รวมทั้งเน้นไปที่คำลงท้ายแสดงถึงความเป็นเด็กผู้หญิงอย่างเด่นชัด



    เมื่อได้ยินคำตอบของลูกสาว จริยาก็ยิ้มกว้าง



    "เมื่อคืนแม่ได้ไปเที่ยวกับทูธด้วยแหละ คุณหมอเขาให้แม่เรียกชื่อเล่นน่ะจ๊ะ ตอนนี้พวกเราสองคนกลายเป็นเพื่อนกันแล้วล่ะ ลูกเชื่อมั้ย เมื่อตอนวันแรกแม่ได้เห็นเรือเหาะด้วยล่ะ พวกเราสองคนกำลังเดินทางไป..."



    ในที่สุดเจนก็รู้ได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แม่ของเธอทำตัวแปลก ๆ นี่เป็นนิสัยเสียของจริยาที่เป็นมานานเท่าที่เจนจำได้ คือเมื่อเธอได้เจออะไรที่ถูกใจมาก ๆ ขึ้นมาละก็ คนที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดอย่างเจนก็จะกลายเป็นเพื่อนคุยที่มีหน้าที่ฟังอย่างเดียว แต่ที่ทำให้เจนลำบากก็คือจริยาจะไม่เป็นคนเริ่มเล่าเรื่องก่อนถ้าหากเจนไม่ได้เป็นฝ่ายถาม และถ้าหากเธอยังไม่รู้ว่าจะต้องถามเรื่องอะไรล่ะก็ จะทำให้จริยาโกรธทันที



    ข้อเสียอีกของของนิสัยแปลก ๆ ของจริยาคือยิ่งเธอได้ใช้เวลากับเรื่องที่เธอชอบมากเท่าไหร่ ระยะเวลาที่เธออยากจะเล่าเรื่องราวก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แม้กระทั่งเจนและจริยากลับมาจากการออกกำลังกายช่วงเช้าก็ยังไม่มีทีท่าจะจะเล่าจบ หรือแม้กระทั่งตอนที่เจนเข้าไปอาบน้ำ จริยายังคงตามมาเล่าให้ฟังที่หน้าห้องน้ำด้วยซ้ำ



    แม้ว่าจะต้องทนฟังเสียงของจริยาเล่าเรื่องราวที่เธอไปเจอมาแบบไม่มีหยุด แต่เจนก็รู้สึกดีที่ได้เห็นแม่ของเธอกลับมาทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้บ้าง เพราะนิสัยเช่นนี้ของจริยาได้หายไปช่วงหลังจากที่ศิลา พ่อของเจนได้เสียชีวิตลงไป นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของชีวิตเจนและจริยา นับแต่นั้นมานอกจากนิสัยบางอย่างของจริยาที่หายไปแล้ว ยังมีรอยยิ้มที่ลดน้อยลงด้วย ดังนั้นต่อให้เจนต้องหูชาเพราะต้องฟังเสียงของแม่เธอเล่าเรื่องที่มีความสุขแบบนี้อีกนานเท่านานเธอก็ยอม







    รายการโทรทัศน์กำลังรายงานข่าวของฮีโร่ปรากฏตัวขึ้นที่ในเมืองแมนฮัตตั้้น สหรัฐอเมริกา พอได้รู้เรื่องแล้วเจนถึงได้เห็นข่าว ไม่รู้ว่าทำไมเธอต้องเป็นคนที่รู้เรื่องช้ากว่าชาวบ้านเขาตลอดเวลา แต่มันทำให้รู้สึกดีที่เจนได้เห็นข่าวแปลก ๆ แบบนี้หลังจากเมื่อตอนสมัยยังเด็กเธอมองเรื่องแบบนี้เป็นแค่การแสดงและไม่คิดว่าจะมีใครทำเข้าจริง ๆ



    พอเห็นข่าวของฮีโร่ก็ทำให้เจนนึกถึงเรื่องของอามีร่า แม้เธอจะรู้ว่าโจโพสเรื่องของอามีร่าลงในเว็บไซด์ไปแล้ว แต่ไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไหร่เด็กสาวจะได้รับการช่วยเหลือ แต่มันก็ไม่มีอะไรที่จะรับประกันว่าจะมีการช่วยเหลือเช่นกัน เจนเริ่มที่จะคิดหาวิธีช่วยอามีจ่าอีกครั้ง แต่ก็เหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา นั่นก็คือไม่มีทางที่เจนจะหาทางช่วยอามีร่าได้เลย แต่ก็นั่นแหละ ถ้าหากเจนรู้จักฮีโร่เข้าซักคนล่ะก็ เธอคงจะขอให้เขาช่วยไปนานแล้ว



    จริยานั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเธอนั้นก็ยังคงเอ่ยปากเล่าไม่หยุดตั้งแต่เช้า ตอนนี้เวลาก็เกือบจะเที่ยงวันแล้วก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดพูดเลยด้วย แม้ตอนนี้หูของเจนเริ่มจะไร้ความรู้สึกแล้วแต่เสียงของจริยาก็ช่วยให้เจนหยุดคิดเรื่องของอามีร่าได้ เป็นอีกครั้งที่แม่ของเธอได้ช่วยเหลือเธอเอาไว้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ



    "..แล้วแม่ก็เห็นสิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุด มันคือหอนาฬิกาลอยฟ้า!! แม่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีของแบบนี้อยู่ด้วย ก็จริงว่านี่เป็นเกมแต่แม่ก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่ามันน่าประทับใจมากจริง ๆ .. หลังจากที่ชื่นชมความงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม่และทูธก็ตั้งใจจะเข้าไปสำรวจว่าด้านในมีอะไรบ้าง แต่น่าเสียดายที่เวลาออนไลน์หมดลงซะก่อน แล้วเรื่องราวก็จบลงตรงนี้แหละ" เสียงสวรรค์ดังขึ้นเรียกเสียงโห่ร้องอย่างปิติยินดีในใจของหญิงสาวที่เป็นผู้ฟังที่ดีอย่างเงียบ ๆ



    "อ้อ! แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง คุณหมอเกอร์ทูธฝากเตือนให้ลูกไปตรวจร่างกายในวันนี้ด้วยนะ"



    "อ๊ะ!! จริงด้วย ลืมไปซะสนิทเลย!!" เจนกระเด้งตัวจากโซฟาเมื่อเธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอมีนัด ถ้าหากไปสายก็ไม่รู้ว่าคุณหมอคนดีจะทำอะไรกับร่างกายของเจนบ้าง ทำให้ตอนนี้หญิงสาวรีบวิ่งขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ววิ่งออกนอกบ้านไปอย่างรวดเร็ว



    "ไปดีมาดีนะจ๊ะ!" จริยาพูดเสียงดังไล่ตามไป



    ใบหน้าของเธอยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายเมื่อได้เล่นเรื่องที่อัดอั้นเอาไว้ในใจให้กับเจนฟัง ความรู้สึกโล่งใจเช่นนี้ที่เธอไม่ได้สัมผัสมานานหลายปี ดวงตางามค่อย ๆ ปิดลงอย่างช้า ๆ อย่างเหนื่อยอ่อน แล้วผลอยหลับไปอย่างรวดเร็ว





    เจนเรียกรถแท็กซี่มุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลของเกอร์ทูธอย่างรวดเร็ว แต่ว่าแม้เจนจะรีบมาแค่ไหน กว่าเธอจะมาถึงโรงพยาบาลก็บ่ายโมงเข้าไปแล้ว ดังนั้นเจนจึงควรทำใจเอาไว้แต่เนิ่น ๆ ดีกว่าว่าเธอจะพบกับอะไรบ้าง



    แต่เมื่อเจนติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก็ได้คำตอบที่น่าแปลกใจกลับมา



    "กรุณารอซักครู่นะคะ ตอนนี้คุณหมอเกอร์ทูธกำลังทำการรักษาผู้ป่วยคนอื่นอยู่ ท่านว่างเมื่อไหร่แล้วเดี๋ยวจะมีพยาบาลไปเรียกค่ะ"



    เจนกล่าวขอบคุณแล้วก็ไปนั่งรออยู่ที่จุดพักใกล้ ๆ สิ่งที่ทำให้เจนแปลกใจก็คือการที่เกอร์ทูธลงมือตรวจคนไข้จริง ๆ เพราะตอนแรกที่เธอเข้าใจกับตัวของคุณหมอคนนี้ว่าเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ซะอีก แต่พอมาคิดดูอีกที ตอนที่ร่างกายของเธอเป็นผู้หญิงก็ได้คุณหมอคนนี้ช่วยเอาไว้นี่นา



    ไม่นานนักก็มีพยาบาลคนหนึ่งมาพาตัวเธอเข้าไปตรวจในห้องด้านใน เจนไม่รู้ว่าเธอจะเจออะไรบ้างกับการตรวจสุขภาพในครั้งนี้ เพราะเธอคิดว่าการตรวจร่างกายของคนที่จู่ ๆ ร่างกายเปลี่ยนเพศจากผู้ชายเป็นผู้หญิงคงจะมีการตรวจร่างกายที่ต่างไปจากการตรวจร่างกายทั่วไป บางทีอาจจะต้องแก้ผ้าหรืออาจจะต้องผ่าตัด! ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกระแวงว่าจะมีอะไรที่เหมือนกับภาพยนตร์สยองขวัญที่มีฉากผ่าตัดสยอง ๆ



    ทว่าเมื่อเจนเดินเข้ามาในห้องตรวจกลับพบว่าภายในห้องดูธรรมดากว่าที่คิด ห้องสีครีมดูสบาย ๆ มีโต๊ะเลื่อนที่วางอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเครื่องวัดความดัน เครื่องเจาะเลือดและเครื่องวัดอุณหภูมิในเครื่องเดียวที่ในสมัยนี้ถือว่าเป็นของธรรมดาที่ใช้กันทั่วโลก อีกด้านก็เป็นหน้าจอแสงที่แสดงผลจากเครื่องนี้ซึ่งยังคงแสดงสัญลักษณ์รูปนกพิราบของบริษัทนอยช์วานสไตลไซแอน แอนด์ อิเล็กทรอนิกส์อยู่บนนั้น



    อีกด้านหนึ่งเป็นโต๊ะทำงานของแพทย์ที่เป็นเจ้าของห้องนี้ซึ่งก็ดูไม่แตกต่างไปจากห้องของหมอทั่วไป เว้นแต่ว่าในห้องนี้มีกลิ่นหอมของวานิลลาอวนไปทั้งห้องแทนที่จะเป็นกลิ่นยาฆ่าเชื้อ



    หลังจากเจนนั่งลงบนเก้าอี้นวมสีขาวแล้ว นางพยาบาลที่มาส่งเจนก็เดินออกไป ปล่อยให้เจนให้อยู่ในห้องคนเดียว ทำให้เจนมีโอกาสได้สำรวจห้องอย่างระเอียด



    ด้านหลังโต๊ะทำงานตรงหน้าเจนมีชั้นวางที่เต็มไปด้วยผงสำหรับชงเครื่องดื่มอยู่เป็นสิบอย่างพร้อมทั้งกาต้มน้ำไฟฟ้าตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์ด้านล่าง จากที่เห็นพอเดาได้แค่กาแฟและโกโก้เท่านั้น อย่างอื่นเจนไม่รู้ว่าเป็นอะไรเพราะมีทั้งสีขาว เขียว แดง น้ำเงิน หรือแม้กระทั่งสีม่วงก็ยังมี แต่จากกลิ่นหอมอบอวนภายในห้องแล้วเจนมั่นใจว่าหนึ่งในนั้นต้องมีวานิลลาอย่างแน่นอน



    เจนมองของบนโต๊ะทำงานตรงหน้าเห็นมีแฟ้มเอกสารบางอย่างวางอยู่บนนั้น เจนมั่นใจมากกว่าบนเอกสารนั้นมีชื่อของเธอเขียนอยู่และบนแฟ้มสีน้ำตาลก็ถูกประทับตราสีแดงภาษาอังกฤษที่เจนอ่านไม่ออกเพราะดูจากมุมกลับหัว แต่ท่าทางจะเป็นเอกสารสำคัญมากทีเดียว



    ด้วยความสงสัยที่ไม่อาจหักห้ามใจได้ เจนลุกขึ้นและเอื้อมมือจะไปหยิบเอกสารตรงหน้าขึ้นมา ทว่าก่อนที่เธอจะได้แตะต้องเอกสารนั้น เสียงประตูอัตโนมัติก็ถูกเปิดออก ทำให้เจนแทบจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้นวมแทบไม่ทัน น้ำลายในปากแห้งเหือด ตัวหญิงสาวแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้จะหันไปมองว่าใครเป็นผู้ที่เดินเข้าประตูมา



    "ขอโทษทีที่มาช้า พอดีติดคนไข้อยู่น่ะ แต่เรื่องนี้ต้องโทษเธอนะที่มาช้าซะขนาดนี้ ตอนแรกฉันคิดว่าจะมาตั้งแต่เช้าซะอีก" เสียงคุ้นหูของเกอร์ทูธดังขึ้นพร้อมกับตัวของคุณหมอคนดี



    สภาพของเกอร์ทูธเหมือนเดิมทุกอย่างตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองได้เจอกัน แม้ว่าสีหน้าของคุณหมอจะดูเหนื่อยล้าอยู่บ้างแต่ก็ยังคงยิ้มออกมาได้อย่างดีใจเมื่อได้เห็นหน้าของเจน



    เมื่อเธอนั่งลงบนที่นั่งก็พบเอกสารที่เจนจะหยิบมาเมื่อครู่วางอยู่ เธอจึงหยิบเอกสารนั้นขึ้นมาและส่งให้กับเจ้าของชื่อที่เขียนอยู่บนแฟ้ม



    "ดูได้หรือคะ" เจนจ้องมองเกอร์ทูธด้วยความสงสัย



    หญิงสาวตรงหน้าของเจนพยักหน้ารับแล้วจึงยิ้มตอบกลับมา



    "ก็ต้องได้สิ นี่เป็นแฟ้มข้อมูลของเธอนี่นา" ได้ยินดังนั้นเจนจึงรับแฟ้มมาโดยดี



    ด้านหน้าของเองสารเขียนชื่อของเธอเอาไว้ โดยตราประทับสีแดงนั้นเขียนเอาไว้ว่า 'Confidential' หรือปกปิด และนั่นก็หมายความว่าเอกสารที่ถืออยู่นี้เป็นเอกสารลับที่ห้ามคนทั่วไปอย่างเจนอ่านเด็ดขาด



    "เอกสารลับเลยหรือ นี่มันเรื่องอะไรกัน" เจนเงยหน้าขึ้นมามองเกอร์ทูธที่หันไปชงกาแฟที่เคาน์เตอร์ด้านหลัง



    "ก็ข้างในนั้นเป็นข้อมูลของตัวเธอทั้งหมดนี่ คงจะเปิดเผยให้คนอื่นดูง่าย ๆ ไม่ได้หรอกจริงมั้ย" คุณหมอพูดอย่างสบาย ๆ ขณะเคาะผงสีครีมที่ส่งกลิ่นวานิลลาลอยฉุนยิ่งกว่าเก่า และจำนวนที่เกอร์ทูธใส่ลงไปก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลยด้วย ทำเอากาแฟสีดำแทบจะกลายเป็นสีครีมไปแล้ว



    เจนกลับมาดูเอกสารในมืออีกครั้ง หน้าแรกของเอกสารนั้นมีรูปของเจนทั้งสมัยยังเป็นผู้ชายและรูปหลังจากที่เป็นผู้หญิงซึ่งแทบไม่ต่างกันเลยแปะอยู่บนหัวกระดาษ เป็นอย่างแรกที่เห็น ส่วนอื่น ๆ ก็เป็นข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดตั้งแต่ชื่อจริงจนไปถึงที่อยู่ตั้งแต่สมัยที่เจนยังเด็กจนมาถึงปัจจุบัน ขนาดในทะเบียนบ้านยังไม่ระเอียดเท่านี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าหากจริยาไม่ได้เป็นคนให้ ก็น่าสงสัยจริง ๆ ว่าเกอร์ทูธไปเอาข้อมูลเหล่านี้มาจากไหน



    หน้าต่อ ๆ ไปก็เป็นข้อมูลของจริยาอย่างระเอียดยิบที่แม้แต่เจนก็ยังไม่รู้ แต่เมื่อเปิดไปหน้าท้าย ๆ เจนพบรูปของชายคนหนึ่งในชุดทหารอากาศเต็มยศ เธอรีบละสายตาจากเอกสารตรงหน้าแล้วส่งคืนเกอร์ทูธทันทีโดยไม่อ่านต่อ



    เกอร์ทูธเลิกตามองการกระทำของเด็กสาวและสีหน้าที่หดหู่ลงแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรในเรื่องนั้น



    "จะดื่มอะไรหน่อยมั้ย ห้องนี้มีทุกอย่างเลยนะ" หมอสาวเอ่ยถาม แต่เจนส่ายหน้าปฏิเสธ



    "ฉันจะต้องตรวจอะไรบ้าง" หญิงสาวเข้าเรื่อง เป็นเพราะบางอย่างที่อยู่ในเอกสารที่ทำให้เธอไม่ค่อยรู้สึกอยากจะอยู่ที่นี่นานนัก



    เมื่อได้ยินดังนั้นเกอร์ทูธก็ได้แค่ยิ้มบาง ๆ ให้กับเจน แน่นอนว่าเธอรู้ว่าอะไรที่อยู่ในเอกสารนั้นทำให้เจนเป็นแบบนี้และเธอก็เข้าใจดี



    "ก็ไม่มีอะไรมาก อย่างที่ฉันเคยบอกว่าเฮดก็อกเกิ่ลรุ่นพิเศษของเธอนั้นได้ดัดแปลงให้คอยส่งข้อมูลคลื่นสมองมาให้ฉันตรวจสอบ แต่มันก็ยังไม่สามารถตรวจอย่างอื่นได้ ดังนั้นที่เธอมาวันนี้ก็แค่ตรวจร่างกายทั่วไปนั่นแหละ แล้วทุกอย่างก็แค่ตรวจเครื่องในเครื่องนี้เครื่องเดียว ไม่กี่นาทีก็เสร็จแล้ว"



    เกอร์ทูธลากเครื่องตรวจสารพัดเข้ามาใกล้ ๆ รูปร่างของมันนั้นดูทันสมัย เป็นทรงกลมที่ไว้สำหรับสอดมือเข้าไปใส่แบบเครื่องวัดความดันอัตโนมัติแบบสมัยก่อน แต่มีที่วางแขนต่อไปยังแท่งจับสำหรับเจาะเลือดโดยบนที่จับมีรูสำหรับเอาไว้วางนิ้วอยู่แล้ว



    เจนสอดแขนเข้าไปโดยไม่รู้สึกอะไร ทันทีที่เครื่องทำงาน เจนรู้สึกเจ็บจี้ด ๆ ที่นิ้วโป้งที่วางเอาไว้บนที่จับ รูที่เธอสอดแขนเข้าไปฉายแสงจนทำให้รู้สึกร้อนนิดหน่อยแต่ก็ไม่มากไปกว่ามีคนเอาไฟส่องใกล้ ๆ



    เกอร์ทูธกดปุ่มบางอย่างบนเครื่อง เพียงครู่เดียวหน้าต่างแสงบนผนังห้องก็แสดงข้อมูลที่ถูกส่งมาจากเครื่องตรวจทั้งหมด มันเป็นตัวเลขและอักษรย่อที่เจนไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไรและเธอก็ไม่คิดจะจำด้วย แต่ดูจากใบหน้าที่โยกหัวขึ้นลงเล็กน้อยของเกอร์ทูธก็คงจะไม่ใช่เรื่องร้ายแน่ หวังว่านะ



    "เอาล่ะ จากที่เห็นก็แสดงให้รู้ว่าร่างกายของเธอแข็งแรงดี หัวใจเต้นเร็วนิดหน่อยแต่ก็เพราะอยู่ในวัยนี้มันก็เรื่องปกติ ทุกอย่างปกติดีมาก คงเป็นเพราะจริยาดูแลเธอเป็นอย่างดีแน่ ๆ" เกอร์ทูธหันมายิ้มให้กับเจนแล้วกดปุ่มที่เครื่อง หน้าจอก็กลับไปฉายรูปสัญลักษณ์นกพิราบตามเดิมพร้อมกับแสงที่ฉายบนแขนของเจนก็หายไปพร้อมกลับความรู้สึกเย็นวาบ ๆ ที่นิ้วโป้ง



    พอเจนเอาแขนออกมาจากเครื่องแล้วยกนิ้วขึ้นมาดูแผลกลับพบว่าไม่มีแม้แต่ร่องรอยที่ถูกเจาะเอาเลือดไป



    "สรุปว่าสุขภาพร่างกายแข็งแรง นั่นก็แปลว่าการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายคงไม่มีอะไรผิดปรกติ ต่อไปก็เป็นสภาพจิต เดี๋ยวช่วยตามฉันมาที่ห้องทำงานของฉันน่าจะคุยกันสบายกว่านะ" เกอร์ทูธพูดแล้วคว้าแฟ้มเอกสารของเจนแล้วเดินออกไปนอกห้อง โดยที่ไม่รอให้เจนถามใด ๆ ทั้งสิ้น



    "หา! เดี๋ยวนะ เมื่อกี้บอกว่าสภาพจิตงั้นหรือ!" เจนพูดเสียงดัง แต่คนฟังกำลังจะเดินออกไปนอกห้องแล้ว เจนจึงทำได้เพียงแค่ต้องวิ่งตามคุณหมอคนดีไปเท่านั้น







    ระหว่างที่ขึ้นลิฟต์มา เจนพยายามบอกเกอร์ทูธว่าเธอไม่จำเป็นต้องคุยกับจิตแพทย์ แต่หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มเพียงเล็กน้อย ไม่ได้ตอบกลับมาเป็นคำพูดใด ๆ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เจนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา



    เมื่อลิฟต์เปิดออกมาก็พบว่าบนชั้นนี้มีเพียงทางเดินเล็ก ๆ ตรงไปยังประตูไม้สีน้ำตาลเท่านั้น แม้จะไม่รู้ว่าบนชั้นนี้มีเอาไว้สำหรับทำอะไร แต่เจนมั่นใจว่าไม่ใช่เอาไว้รักษาคนไข้อย่างแน่นอน



    ทั้งสองเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า ตอนแรกเจนคิดว่าจะต้องมีระบบป้องกันเอาไว้อย่างแน่นหนาสำหรับสถานที่ที่ดูลึกลับเช่นนี้ อาทิเช่นต้องใส่รหัตผ่านยี่สิบหลักที่จะเปลี่ยนทุก ๆ ห้านาที ต้องสแกนม่านตาและผ่ามือ สแกนเสียงและดีเอ็นเอ หรือระบบความปลอดภัยอื่น ๆ ที่เจนนึกไม่ถึง แต่ทุกอย่างก็พลังทลายลงเมื่อเธอเห็นเกอร์ทูธหยิบกุญแจประตูแบบเก่าขึ้นมาไข



    "นึกว่าจะมีอะไรน่าตื่นตากว่านี้ซะอีก ว่าแต่คนอย่างคุณยังใช้ของโบราณแบบนั้นอยู่อีกหรือเนี่ย ไม่กลัวคนมาแอบขโมยของบนนี้หรือยังไง ไม่เห็นมีระบบความปลอดภัยอะไรเลย" เจนจ้องมองลูกกุญแจเสียบเข้าไปในรูบนลูกบิดประตู เสียงปลดล็อกดังบ่งบอกให้รู้ว่าประตูบานนี้สามารถเปิดได้แล้ว



    "ของโบราณนี่แหละที่เป็นระบบความปลอดภัยอันดับหนึ่งเลยล่ะ ไม่สามารถแฮกค์หรือลัดวงจรได้ ต้องเป็นคนที่มีความรู้ในการสะเดาะกลอนเท่านั้นถึงจะเปิดประตูบานนี้ได้ อ้อ! แล้วก็อีกอย่างนะเจน เรื่องระบบความปลอดภัยที่ว่าน่ะ เป็นเพราะเธอเดินมากับฉันหรอกนะ แต่ถ้าหากเธออยู่คนเดียวล่ะก็มันอีกเรื่อง"



    พูดจบ ร่างสูงในชุดกาวน์ก็เดินเข้าประตูไป ทิ้งให้เจนมองทางเดินเล็ก ๆ ที่เธอเพิ่งเดินผ่านมาอย่างหวาดระแวง พอเห็นว่าเกอร์ทูธหายไปแล้วเจนก็รีบเดินตามเข้าไปในห้องทันที



    ภายในห้องนี้เจนบอกไม่ถูกเลยว่าเธอหลุดมาอยู่ในแลปวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตั้งแต่ที่เดินเข้ามาเจนก็เห็นทั้งหลอดทดลองหลากรูปร่างและขนาด บรรจุของเหลวหลากสีอยู่เต็มไปหมด เธอเห็นกล้องจุลทรรศน์กำลังส่องอะไรบางอย่างที่ฉายขึ้นบนจอแสง มันขยับไปมาแล้วเพิ่มตัวขึ้นเรื่อย ๆ อย่างนากลัว แต่ก่อนที่มันจะเพิ่มจำนวนมากเกินไป กล้องจุลทรรศน์ก็ยิงแสงเลเซอร์เข้าใส่จนเหลือจุดดำ ๆ บนจอแสงแบบเมื่อเธอเห็นเมื่อตอนแรกอีกครั้ง



    "ตรงนี้รีบเดินหน่อยก็ดีนะ ส่วนนี้ฉันเอาไว้เพาะเชื้อโรคเพื่อหายารักษา โรคบางตัวตอนนี้ฉันก็ยังหาวิธีรักษาไม่ได้เหมือนกัน"



    เจนรีบเดินเข้าชิดตัวเกอร์ทูธแทนจะทันทีที่ได้ยินประโยคที่เธอพูดออกมา แม้ว่าอยากจะถามว่ายกของอันตรายขนาดนี้มาไว้ที่หน้าลิฟต์ทำไม แต่เธอไม่อยากเปิดปากให้เชื้อโรคเข้าตัวมาแน่



    เมื่อเดินไปอีกครู่หนึ่ง ทั้งสองก็ผ่านส่วนห้องทดลองมาได้ซึ่งนั่นทำให้เจนโล่งใจมาก ในส่วนนี้ที่เจนกำลังเดินอยู่นั้นแตกต่างจากส่วนที่แล้วอย่างสิ้นเชิง เพราะมีแต่เครื่องจักรประหลาด ๆ เต็มไปหมด เจนมั่นใจมากว่าเธอเหลือบไปเห็นหุ่นยนต์ตั้งอยู่ในกลุ่มเศษเหล็กซักแห่งในบริเวณนี้ ถ้าหากมีจริง ๆ ล่ะก็เจนจะไม่แปลกใจเลย ดูจากทรัพยากรและเงินจำนวนมากที่บริษัทนี้ทำได้แล้ว



    "มีแต่เครื่องจักรทั้งนั้นเลย ฉันนึกว่าคุณเป็นหมอซะอีก" เจนมองคนที่กำลังเดินจ้ำไปข้างหน้าโดยไม่หันมามอง



    ไม่มีเสียงตอบกลับมา แค่เจนมันใจว่าเกอร์ทูธกำลังแอบยิ้มอยู่อย่างแน่นอน เธอล่ะชอบนักเวลาที่ได้เก็บงำความลับแบบนี้



    ไม่นานนักเจนก็พบกับประตูไม่อีกบาน คราวนี้ไม่เสียเวลารอเพราะมันไม่ได้ล็อกเอาไว้ เกอร์ทูธเปิดประตูให้เจนและผายมือเป็นนัยว่าให้เข้าไปก่อน



    เจนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตาม แต่เธอก็ยังคงก้าวเดินไปอย่างช้า ๆ เพราะยังไม่มั่นใจว่าจะเจออะไรอยู่ในห้องนั้น และแน่นอนว่าเธอไม่ไว้ใจเกอร์ทูธ ดังนั้นก็ต้องยิ่งเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีกเป็นสองเท่า



    แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นว่าเจนกังวลมากเกินไป เพราะภายในห้องนั้นเป็นเพียงแค่ห้องทำงานที่ด้านหนึ่งมีเตียงนอนเล็ก ๆ ตั้งอยู่ อีกด้านก็เป็นโต๊ะทำงานที่ใกล้ ๆ กันนั้นก็เป็นโซฟารับแขก ดูจากหนังสือและเอกสารจำนวนมาก แสดงว่าที่นี่จะต้องเป็นที่ ๆ เกอร์ทูธใช้ทำงานและนอนหลับอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าสภาพห้องจะรกรุงรังมากก็ตาม แต่อย่างน้อยส่วนที่รกก็เป็นฝั่งเตียงนอน ไม่ใช่ฝั่งโต๊ะทำงาน



    เจนนั่งลงบนโซฟานุ่มนิ่มที่หันออกไปด้านนอกหน้าต่าง วิวที่มองออกไปนั้นถือว่าสวยงามมากเพราะมองเห็นแม่น้ำที่ไหลผ่านและหมู่บ้านสีเขียวที่ปลูกต้นไม้เป็นจำนวนมาก จากตรงนี้เจนสามารถมองเห็นสวนสาธารณะของหมู่บ้านของเจนด้วย แต่มีขนาดเล็กจิ๋วจนแทบจะไม่ทันสังเกต



    เกอร์ทูธเอาแก้วน้ำมาเสิร์ฟให้แล้วนั่งตรงกันข้ามกับเจน ในมือของเธอมีแกแฟผสมวานิลลาที่กลายเป็นวานิลลาผสมกาแฟมากกว่า เจนมั่นใจว่าเป็นแก้วเดียวกันกับที่เธอชงเมื่อตอนนี้อยู่ในห้องตรวจด้านล่างอย่างแน่นอน



    "เอาล่ะ เรามาเข้าการตรวจสอบสุขภาพจิตกันเลยก็แล้วกันนะ ไม่ต้องห่วงหรอกว่าเธอจะต้องมาดูภาพแปลก ๆ หรือโดนช็อตไฟฟ้าอะไร เพียงแค่เธอตอบคำถามของฉันไม่กี่ข้อก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว" เกอร์ทูธเริ่มพูดขึ้นก่อน



    "แต่ว่าสภาพจิตของฉันปกติดี ไม่จำเป็นต้อง..-"



    "เธอเป็นจิตแพทย์หรือไงถึงรู้ว่าเธอปกติ...เอาอย่างนี้แล้วกัน เธอตอบคำถามของฉัน แล้วฉันจะตอบคำถามที่เธอสงสัยให้ ตกลงมั้ย" เกอร์ทูธพูดขัดเจนอย่างหมั่นไส้ แต่พร้อมกันนั้นเธอก็ยื่นข้อเสนอที่เท่าเทียมกันให้กันเจน แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าจะถามอะไร แต่ก็ไม่เห็นเสียหายที่จะตอบตกลง



    เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าพยักหน้ารับ เกอร์ทูธก็ยิ้มบาง ๆ แล้วยกแก้วขึ้นจิบเล็กน้อยก่อนจะเริ่มถามคำถาม



    "เธอรู้สึกเป็นยังไงบ้าง"



    "เอ่อ...ก็สบายดี...ค่ะ" เจนตอบอย่างระมัดระวัง และไม่ลืมลงหางเสียงเอาไว้ด้วย



    "แล้วตั้งแต่กลายเป็นผู้หญิงเธอรู้สึกยังไงบ้าง แบบว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างมั้ยจากตอนที่เธอยังเป็นผู้ชาย"



    "ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ตอนอาบน้ำมันรู้สึกแปลก ๆ เมื่อเห็นร่างกายของตัวเองเป็นแบบนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชายนี่นา ใครไม่เป็นบ้าง"



    เจนนึกถึงตอนที่เธออาบน้ำหลังจากที่กลายเป็นผู้หญิง ใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าที่เธอจะชินกับสภาพของตัวเองที่เปลี่ยนไปขนาดนี้ได้



    "แล้วอย่างอื่นล่ะ เธอรู้สึกว่าเพื่อนทั้งสองคนนั้นมีอะไรแปลกไปมั้ย หรือว่าเธอมองผู้ชายที่ตอนนี้เธอรู้จักต่างไปจากเดิมบ้างมั้ย" เกอร์ทูธยกแก้วกาแฟวานิลลาขึ้นจิบอีกครั้ง ดวงตาของเธอยังคงจ้องมองอยู่ที่เจนไม่ละไปไหน



    เจนขมวดคิ้วจ้องกลับไป เธอรู้สึกแปลก ๆ กับคำถามของเกอร์ทูธที่ยกขึ้นมาถามในบทสนทนานี้ แม้ว่าเจนจะไม่เคยคุยกับจิตแพทย์มาก่อนก็ตาม และแน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่าการคุยกับจิตแพทย์จะเจอกับอะไรบ้าง แต่สิ่งที่เกอร์ทูธต้องการคำตอบนั้นมันไม่ได้เจาะมาที่ตัวของเจน อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่เจนรู้สึก



    แต่พอลองมาคิดถึงกับคำถามของเกอร์ทูธดูอีกที เธอก็ยังคงรู้สึกว่าโจและแจ็คก็ยังเป็นเพื่อนอยู่เช่นเดิม เพื่อนบ้านอื่น ๆ ที่ตอนนี้มองเจนเป็นผู้หญิงเต็มตัวแล้วก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม อีกคนก็เป็นอาจารย์ศักดิ์ดาที่คอยตามจีบแม่ของเธอมาตั้งแต่ตอนที่เจนยังเป็นผู้ชายอยู่ แถมหลังจากที่เป็นผู้หญิงแล้วดันมาบอกว่าเห็นเจนเป็นผู้หญิงมาตั้งนานแล้วอีกด้วยก็ชวนทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ คงเป็นคนนี้ล่ะมั้งที่ทำให้เจนรู้สึกแตกต่างไปจากเดิม แต่ต่างในทางที่แย่ลงนะ



    ผู้ชายที่เจนรู้จักคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครนอกจากคนในหมู่บ้านที่เจอหน้ากันแทบทุกวัน ไม่นับพวกนักเลงที่เจนไม่คิดอยากจะเจออีกเร็ว ๆ นี้ ก็น่าจะหมดแล้ว และเจนก็ยังคงรู้สึกต่อพวกเขาอยู่เช่นเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อตอนที่เธอยังเป็นผู้ชาย



    "ก็ไม่นี่คะ ความรู้สึกต่อทุกคนก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้ต่างไปจากเมื่อก่อนเท่าไหร่"



    "อืม ไม่แตกต่างสินะ.. แล้วหลังจากที่ได้เข้าไปเล่นในเกมล่ะ เธอได้รู้จักกับเพื่อนใหม่เยอะบ้างมั้ย" เกอร์ทูธยังคงถามต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ



    "ก็มีมาเรื่อย ๆ ค่ะ ตอนนี้ก็กำลังรวมกลุ่มเก็บเลเวลด้วยกันอยู่ ถึงจะเพิ่งเจอกันได้ไม่นานแต่ก็เราก็สนิทกันแล้ว" เจนนึกไปถึงพวกเสือซ่อนลาย น่าแปลกที่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเธอสามารถเข้ากับซินจูและไมโกะได้มากกว่าเสือซ่อนลายซะอีก แม้พยายามจะหาสาเหตุว่าทำไมแต่กลับหาไม่ได้



    เจนแน่ในว่าเธอก็สนิทกับเสือซ่อนลายและยูสตาร์ แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอต้องเว้นระยะห่างจากทั้งสองออกมา แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งทำให้หัวใจของเริ่มรู้สึกประหลาด แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ไม่เลวร้ายนัก คิดว่านะ



    ตอนนั้นเองภาพของจีโอก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเจน ใจดวงน้อยเต้นรัว ใบหน้าของหญิงสาวแดงผาด เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากหน้าอกสู่ใบหน้าทำให้เจนต้องรีบหลบสายตาของเกอร์ทูธโดยที่ตัวเจนเองยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น



    คุณหมอรี่ตาหมอท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ท่าทางแบบนี้ผู้หญิงทุกคนรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง เพราะผู้หญิงทุกคนต่างมีช่วงเวลาเช่นนี้กันทุกคน



    "ฮิ ๆ ดูเหมือนว่าใครบางคนจะแอบปิ้งหนุ่มเข้าให้แล้ว" คุณหมอคนดีเอ่ยเสียงทะเล้น



    คำพูดเพียงเล็กน้อยแต่กลับทำให้ใบหน้าของเจนยิ่งแดงแจ๋กว่าเดิมจนดูราวกับมีใครเอาสีไปทาบนใบหน้าของเธอ



    "ม..ไม่ใช่ซักหน่อย จะไปเป็นแบบนั้นได้ยังไงเล่า!!" หญิงสาวพยายามแก้ตัว แต่น้ำเสียงสั่นเครือและท่าทางบ่ายเบี่ยงแบบนั้นคงจะยากที่จะทำให้เชื่อกับคำพูดของเธอ



    "ไม่ต้องพยายามกลบเกลื่อนไปหรอก ของแบบนั้นเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงอยู่แล้ว รู้มั้ย เป็นเพราะร่างกายของเธอเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้จิตใจของเธอก็เริ่มที่จะเปลี่ยนไปเป็นผู้หญิงมากขึ้นตามไปด้วย มันเป็นเรื่องธรรมชาติ" เกอร์ทูธบอก เจนเปิดปากพูดไม่ออกแต่ในใจยังคงพยายามแย้งกับความรู้สึกของเธอในตอนนี้



    "จิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปมันไม่ได้หมายความว่าเธอจะเปลี่ยนตามไปด้วยทั้งหมดหรอกนะ เธอก็ยังคงเป็นเจนคนเดิมอยู่ เพียงแต่อะไรที่เคยรู้สึกอาจจะถูกแทนที่ไปด้วยอย่างอื่น อย่างเช่นจากที่เธอมองผู้ชายคนนั้นเป็นแค่เพื่อนกัน ตอนนี้เธออาจจะมองเขาอย่างลึกซึ้งกว่าเดิมขึ้นมาอีกหน่อย และนั่นก็ไม่ได้เสียหายอะไร จริงมั้ย"



    เจนได้ฟังที่เกอร์ทูธพูดทำให้เธอรู้สึกสงบขึ้นมาก แต่เธอก็ยังคงได้ยินเสียงหัวใจเต้นตูมตามอยู่ในอก ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เกอร์ทูธพยายามจะสื่อถึง เพียงแค่เจนยังคงรู้สึกยอมรับไม่ได้ว่าคนอย่างจีโอจะทำให้เจนรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาได้จริง ๆ



    "ม...หมอนั่นไม่ใช่เพื่อนซักหน่อย มันก็แค่..." หญิงสาวปฏิเสธเสียงค่อย



    ดวงตาเป็นประกายภายใต้กรอบแว่นมองดูหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังจะกลายเป็นผู้หญิงอย่างเต็มตัว แม้ว่าร่างกายจะเล่นตลกกับเธอแต่ดูจากตอนนี้แล้วเกอร์ทูธก็มั่นใจได้ว่าเจนสามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี



    "เอาล่ะ ฉันจะปล่อยให้เธอคิดไปเองกับเรื่องนั้นก็แล้วกัน เรื่องของหัวใจมันไม่ควรมือที่สามเข้าไปยุ่งหรอกนะ" คุณหมอแสยะยิ้ม เรียกเสียงฟุดฟิดไม่พอใจออกมาจากคนไข้ที่ยังคงหน้าแดงไม่หาย



    "แต่เรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะต้องไปอัดอั้นอยู่ในใจให้มันระเบิดออกมา ถ้าหากเธอไม่อยากจะบอกแม่ของเธอก็เอาไว้มาคุยกับฉันคราวหน้าก็ได้"



    "เดี๋ยวก่อน หมายความว่ายังไงที่บอกว่าคราวหน้า!? นี่หมายความว่าฉันต้องกลับมาที่นี่อีกงั้นหรือ" เจนพูดเสียงดังด้วยความตกใจ



    "ก็แน่ล่ะสิ เราสองคุยจะต้องมีเรื่องคุยกันอีกนานเลยล่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ ทุกอย่างที่เราคุยกันจะเป็นความลับ อย่างไงก็ตามฉันก็ยังมีจรรยาบันแพทย์อยู่นะจ๊ะ" เกอร์ทูธว่าและหันไปยกกาแฟวานิลลาขึ้นดื่มอึกใหญ่



    "หมอ จิตแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นี่ตกลงคุณเป็นอะไรกันแน่" เจนถามขึ้นอย่างสงสัย แม้ว่าเธอจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเพราะถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่เป็นถึงเจ้าของบริษัทระดับโลกเช่นนี้ได้



    คุณหมอได้ยินที่เจนถามก็เลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ตอนนั้นเองเจนก็รู้ตัวว่าเธอถามคำถามที่ไม่ควรจะถามไปแล้ว



    "ขอโทษค่ะที่ถามออกไปโดยไม่ได้คิด เรื่องแบบนั้นมันคงจะเป็นความลับอยู่แล้วนี่นะ"



    "ไม่เป็นไรจ๊ะ ฉันสัญญากับเธอเอาไว้แล้วว่าจะให้เธอถามคำถามที่เธอสงสัย แล้วเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรมากอยู่แล้ว" คุณหมอว่าแล้วจึงวางแก้วกาแฟที่ดื่มเสร็จลงบนโต๊ะแล้วจึงนั่งหลังพิงโซฟาอย่างผ่อนคลาย



    "อย่างที่เธอรู้นั่นแหละ ฉันเป็นทั้งหมอ นักจิตวิทยา วิศวกรและอื่น ๆ อีกเท่าที่ฉันจะพอหาเวลาไปศึกษาได้"



    "ว้าว คุณนี่เป็นอัฉริยะจริง ๆ ฉันแค่เอาปริญญาตัวเดียวก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว" เจนกล่าวชม



    "ขอบใจจ๊ะ แต่ฉันไม่ได้เป็นอัฉริยะอะไรขนาดนั้นหรอกนะ แค่ฉันมีเวลาอยู่มากที่จะเรียนรู้ในแต่ละแขนงวิชาต่าง ๆ ก็เท่านั้นเอง" เกอร์ทูธพูดแล้วจึงดีดนิ้วเบา ๆ ทันใดนั้นเองหน้าจอแสงที่ผนังห้องก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับฉายภาพของอาคารต่าง ๆ ที่เจนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ทุกภาพมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือสัญลักษณ์นกพิราบของนอยช์วานสไตล์



    "เธอคงไม่รู้ว่านอยช์วานสไตล์ไซแอนท์แอนด์อิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้เป็นบริษัทแม่ของฉัน แต่เป็นบริษัทลูกที่อยู่ในเครือนอยช์วานสไตล์คอร์ปที่ก่อตั้งเมื่อนานมาแล้ว เป็นเพราะบริษัทนี้ทำหน้าที่ผลิตและขายอุปกรณ์ทั่วไป ดังนั้นจึงมีคนรู้จักมากกว่าบริษัทอื่น ๆ ในเครือเดียวกัน"



    เจนนึกไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวตรงหน้าของเธอจะเป็นคนสำคัญขนาดนี้ เพราะแม้ว่านอยช์วานสไตล์ไซแอนท์แอนด์อิเล็กทรอนิกส์จะมีชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่ชื่อของเกอร์ทูธนั้นกลับไม่เคยออกสื่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว



    ทันใดนั้นเองเจนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่ใบหน้าของเกอร์ทูธโดยไม่หลีกเลี่ยงสายตา ถ้าหากสิ่งที่เธอคิดอยู่ถูกต้องล่ะก็ หญิงสาวตรงหน้าของเจนจะสามารถช่วยในเรื่องที่เจนกำลังคิดอยู่ได้อย่างแน่นอน



    "คุณหมอคะ! ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องให้คุณช่วย!"



    เกอร์ทูธเลิกคิ้วมองเจนด้วยความแปลกใจที่จู่เธอก็พูดขึ้นมาเสียงดังเช่นนี้ แต่เพียงแว่บเดียวที่เห็นท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเธอรู้สึกเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก



    เจนมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะเล่าเรื่องราวของอามีร่าให้ฟัง ในตอนแรกเจนทำใจเอาไว้แล้วว่าเกอร์ทูธจะตอบปฏิเสธที่จะช่วย แต่ตรงกันข้าม เธอกลับรับฟังอย่างตั้งใจพร้อมกับสอบถามเพิ่มเติมไปด้วย บางเรื่องแม้เจนจะไม่ทราบแต่เจนก็พยายามบอกทุกอย่างเท่าที่เธอรู้



    "เพราะอย่างนั้นได้โปรดช่วยเหลืออามีร่าด้วยเถอะค่ะ ในฐานะของคุณล่ะก็สามารถทำได้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะคะ" เจนขอร้อง



    แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากเกอร์ทูธ ด้านหน้าของเธอมีหน้าต่างแสงเปิดอยู่ สีหน้าของเธอดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เมื่อเวลาผ่านไปได้พักหนึ่งเกอร์ทูธก็ปิดหน้าต่างแสงลงแล้วหันไปหาเจนที่ยังคงมองอย่างมีความหวัง



    "ฉันขอโทษนะเจน ถึงบริษัทของฉันจะใหญ่ขนาดไหน แต่ฉันก็เข้าไปแทรกแทรงเรื่องระหว่างประเทศแบบนี้ไม่ได้" เกอร์ทูธกล่าวด้วยความเสียใจ



    เจนก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง แต่เธอไม่ได้โมโหหรือไม่พอใจในตัวเกอร์ทูธเลยแม้แต่น้อย เธอโมโหตัวเองมากกว่าที่ช่วยเหลืออะไรอามีร่าไม่ได้เลย



    "แต่ว่าก็ไม่ใช่ว่าฉันจะทำอะไรไม่ได้เลยนะ"



    เสียงของเกอร์ทูธดังขึ้น เรียกให้ดวงตาสีแดงโกเมนเลิกขึ้นมามองดูด้วยด้วยสายตาเป็นประกายอีกครั้ง



    "ฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่พอจะช่วยอะไรได้บ้าง เอาเป็นวาฉันจะนัดให้เธอไปคุยกับเขาดูก็แล้วกัน เอาเป็นที่ร้านอาหารแถวบ้านของเธอในอีกสองชั่วโมงก็แล้วกันนะ" เกอร์ทูธพูดแล้วยื่นเอกสารบางอย่างให้กับเจน



    "เอ่อ นี่คือ.."



    "ข้อมูลทุกอย่างที่เธอเพิ่งบอกฉันนั่นแหละ แค่คำพูดปากเปล่าแบบนั้นต่อให้เอาไปบอกใครก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกถ้าไม่มีข้อมูลให้เห็นเป็นรูปภาพน่ะ ฉันเอาสิ่งที่เธอเล่าไปหาข้อมูลเพิ่ม คงได้แต่หวังว่าหมอนั่นจะรับฟังในสิ่งที่เธอจะพูดล่ะนะ ฉันช่วยได้แค่นี้แหละ"



    ใบหน้าของเจนยิ้มกว้างแล้วรับเอกสารมาทันที เธอเอ่ยขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถ้าหากเกอร์ทูธไม่เอยห้ามเอาไว้ล่ะก็คงไม่หยุดง่าย ๆ แน่



    "พอได้แล้ว หมอนั่นเป็นหนุ่มหล่อผมทองตาสีฟ้า ดูอายุประมาณสี่สิบต้น ๆ แค่นี้คงจะดูออกนะ ไปถึงก็ยื่นเอกสารนั้นให้แล้วก็กล่อมหมอนั่นให้ยอมตกลงช่วยเธอให้ได้ก็แล้วกัน"



    "ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากจริง ๆ !" เจนเอ่ยอย่างตื้นตันใจแล้วรีบวิ่งออกไปโดยที่เธอลืมไปว่าต้องให้คนที่พามาส่งเดินออกไปด้วยถึงจะออกไปได้



    เกอร์ทูธส่ายหน้าให้อย่างจนใจกับอาการของเด็กสาวที่ดีใจที่เจอกับหนทางที่จะช่วยเพื่อนของเธอ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเธอนั้นชวนให้เกอร์ทูธนึกถึงเด็กที่ได้รับของขวัญวันเกิด แต่สิ่งที่เจนทำนั้นมันตรงกันข้าม เพราะความรู้สึกที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนของเธอนั้นเป็นการมอบโอกาสที่จะช่วยชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้



    เกอร์ทูธยิ้มบางก่อนที่จะลุกขึ้นแลเดินตามหญิงสาวไป เพราะถ้าหากไม่ไปล่ะก็มีหวังเจ้าตัวคงได้วิ่งกลับมาอีกทีเป็นแน่







    หลังจากผ่านเหตุการณ์หน้าแตกมาหมาด ๆ เจนก็ขึ้นรถมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านของเธอทันที แต่จุดมุ่งหมายที่เธอต้องการไปนั้นไม่ใช่บ้านของเธอ แต่เป็นร้านอาหารที่เกอร์ทูธนัดคน ๆ หนึ่งเอาไว้ให้เจนมาพบ



    ร้านอาหารในในหมู่บ้านเจนนั้นมีอยู่เพียงร้านเดียวที่ระพอเรียกได้ว่าเป็นร้านอาหาร เพราะร้านอื่น ๆ เป็นร้านอาหารตามสั่งเท่านั้น ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านเดียวกับที่เจนและพวกโจมาทานมื้อเที่ยงกันหลังจากไปเต้นกันที่สวนสาธารณะนั่นเอง



    หลังจากลงจากรถแท็กซี่แล้วเจนก็วิ่งเข้ามาด้านในร้าน เธอทักทายคุณป้าเจ้าของร้านแล้วมองคนลูกค้าในร้านที่ตรงกับลักษณะที่เกอร์ทูธได้บอกเธอเอาไว้



    ใช้เวลาไม่นานเจนก็พบชายคนนั้นเข้าที่มุมร้านติดกับกระจก ชายชาวตะวันตก เขามีผมสีทองสั้นประบ่ากำลังก้มหน้าลงทานแพนเค้กอย่างช้า ๆ เหมือนกำลังรออะไรหรือใครบางคน ร่างกายที่บึกบึนสูงกว่าคนแถวนี้ทำให้เจนสังเกตได้ไม่ยาก



    ดวงตาสีฟ้าหันมาสบกับดวงตาสีแดงโกเมนของเจนเข้าพอดี เหมือนกับเขารู้ว่าเธอคือคนที่ต้องการจะพบและกวักมือเรียกให้เข้าไปหา



    แม้จะรู้สึกชั่งใจอยู่บ้างแต่เจนไม่มีทางเลือก เธอไม่อยากจะทำให้คนที่สามารถช่วยอามีร่าไม่พอใจจนอาจจะปฏิเสธสิ่งที่เจนขอไปได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงเดินเข้าไปหาและนั่งบนโซฟาที่อยู่ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มคนนั้น



    เวลาผ่านไปแต่ทั้งเจนและชายหนุ่มกลับไม่ได้เอ่ยปากทักทายกันเลยแม้แต่คำเดียว เขามัวแต่ยุ่งกับการจัดการอาหารตรงหน้า ส่วนเจนก็ตื่นเกินกว่าที่จะเอ่ยปากทักก่อน เอาแต่ถือแฟ้มเอกสารเอาไว้ตรงหน้าเฉย ๆ



    "ส่งเอกสารนั้นมาซักทีสิ จะถือเอาไว้อีกนานมั้ย" ชายหนุ่มพูดขึ้นเป็นภาษาไทยทำให้เจนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ทำตามที่เขาพูด



    ชายหนุ่มหยุดกินแพนเค้กและเปิดเอกสารของเจนออกมาดู ทำให้ช่วงเวลานี้เจนสามารถสังเกตเขาได้อย่างละเอียด



    ชายตรงหน้าของเจนนั้นดูอายุราวสี่สิบต้น ๆ ตามที่เกอร์ทูธว่าไว้ ร่างกายของเขานั้นสูงใหญ่เหมือนกับชาวตะวันตกเช่นเดียวกับแจ็คและโจ ดูจากกล้ามแขนภายใต้เสื่อโค้ทสีน้ำตาลของเขานั้นแม้จะไม่ได้ใหญ่เท่ากับแจ็ค แต่ก็ดูแข็งแรงเหมือนกับคนที่เป็นทหาร แต่การแต่งตัวของเขากลับบอกเจนว่าเป็นแค่คนที่ผ่านไปมาเท่านั้น



    ในที่สุดชายหนุ่มก็ปิดเอกสารแล้ววางเอาไว้ข้าง ๆ ที่นั่งของเขา เจนรีบถามขึ้นทันที



    "ตกลงว่าจะช่วยเธอแล้วใช่มั้ยคะ"



    ชายหนุ่มส่ายหน้าช้า ๆ ทำให้รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเจนหดหายไปอย่างรวดเร็ว



    "ขอฉันคิดดูก่อน... เธอลองเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหน่อยได้มั้ย"



    "แต่ว่าในเอกสารนั่น..-"



    "ฉันอยากฟังจากปากของเธอว่าเธออยากจะช่วยเด็กคนนี้จริง ๆ" ชายหนุ่มพูดขัดทำให้เจนต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายหนุ่มฟังเช่นเดียวกับที่เธอเล่าให้เกอร์ทูธฟังอีกครั้ง



    หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วชายหนุ่มก็มีท่าทางแตกต่างไปจากเดิมที่ดูจะไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับเรื่องของอามีร่านัก ตอนนี้เขาพยักหน้าขึ้นลงและหยิบเอกสารขึ้นมาดูอีกครั้ง



    "โอเค ตกลงว่าฉันจะไปช่วยเด็กคนนั้นให้ จะเป็นตอนไหนนั้นฉันคงบอกไม่ได้ หวังว่าเธอคงเข้าใจนะ" ชายหนุ่มกล่าว



    เจนพยักหน้าเข้าใจดีเพราะเรื่องอันตรายเช่นนี้คงจะรีบทำไม่ได้ แม้เธอก็อยากจะให้เขาช่วยอามีร่าออกมาให้เร็วที่สุดก็ตาม



    "ดูจากท่าทางของคุณแล้วคงเป็นทหารรับจ้างใช่มั้ยคะ" เจนเอ่ยถาม



    ชายหนุ่มได้ยินคำของเจนจึงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจพร้อมกลับถามกลับด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก



    "เธอเคยเจอมาก่อนหรือถึงได้พูดแบบนั้น"



    "ไม่เคยเจอ แต่พ่อของฉันก็เคยเป็นทหาร เห็นท่าทางของคุณแล้วทำให้ฉันนึกถึงพวกเพื่อน ๆ ของพ่อขึ้นมาน่ะค่ะ" หญิงสาวกล่าวเบา ๆ



    "เอ่อ..เรื่องค่าจ้าง..-"



    "เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เพื่อนของฉันที่เป็นเพื่อนของเธอจัดการให้เรียบร้อยแล้ว" ชายหนุ่มขัดก่อนที่เจนจะพูดจบประโยค



    รอยยิ้มกลับมาบนใบหน้าของเจนอีกครั้งเมื่อรู้ว่าเกอร์ทูธช่วยจัดการให้มากกว่านัด คน ๆ นี้มาให้ช่วยอามีร่า เจนเอ่ยขอบคุณกับชายคนนั้นอีกครั้งและลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากร้าน



    ระหว่างที่เดินออกไป เจนเดินผ่านชายชราคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาหาชายหนุ่มที่โต๊ะเดิม เจนหันมามองชายหนุ่มคนนั้นอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูออกไปนอกร้านอาหาร แต่น่าแปลกที่เธอกลับไม่สังเกตถึงชายชราที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เลยแม้แต่น้อย



    "ทำไมนายถึงตอบตกลงเด็กคนนั้นได้ง่ายนักล่ะ... ปกติแล้วภารกิจจะต้องผ่านหน่วยข่าวกรองมาทุกครั้ง องค์กรของเราไม่เคยรับภารกิจจากคนทั่วไปแบบนี้มาก่อน" ชายชราเอ่ยเหมือนกับว่ารู้จักกันกับชายหนุ่มพร้อมกับนั่งลงในที่นั่งที่เจนนั่งอยู่เมื่อครู่



    ชายหนุ่มผมทองไม่เอ่ยตอบในทันที เขาให้ความสนใจกับแพนเค้กตรงหน้าก่อนแล้วจึงเอ่ยขึ้น



    "พวกเราไม่เคยรับภารกิจจากคนทั่วไปก็เพราะพวกเราไม่เคยเปิดรับต่างหาก"



    "แต่ทำไมถึงเป็นเด็กคนนี้ล่ะ อะไรถึงทำให้นายเลือกเด็กคนนี้ แทนที่จะเป็นคนอื่นที่เดือดร้อนเหมือนกัน" ดวงตาของชายชรายังคงจดจ้องอยู่อย่างใจเย็น ถ้าหากเป็นคนอื่นโดนดวงตาคู่นี้จ้องเข้าล่ะก็อาจจะรู้สึกเหมือนกับกำลังเป็นเหยื่อที่โดนนักล่าจ้องมองอยู่จนไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อน แต่กับชายหนุ่มแล้วมันไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย



    "นายเคยเห็นใครที่มีจิตใจบริสุทธิ์เหมือนกับเด็กคนนี้บ้างมั้ยล่ะ คนที่มีความเสียสละ ต้องการจะช่วยคนอื่นแม้ว่าคน ๆ นั้นจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หรือจะเป็นคนที่อยู่อีกฟากโลกก็ตาม" ชายหนุ่มจ้องมองดวงตาคู่นั้นของชายชรากลับไป



    "คนที่มีจิตใจดีงามอย่างเด็กคนนั้นมีอยู่น้อย และมันก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะทำให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนเดียวที่ยังเชื่อในความดี"



    ชายชราได้ยินคำตอบของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วจึงละสายตาลง พร้อมกันกับสาวเสิร์ฟที่นำกาแฟมาส่งที่โต๊ะพอดี เขาเอ่ยขอบคุณแล้วยกแก้วลิ้มรสเครื่องดื่มแล้วจึงพูดขึ้นอีกครั้ง



    "ตามกฎแล้ว...การจะเพิ่มข้อปฏิบัตินั้นจะต้องมีสมาชิกของสภาสูงไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งเห็นชอบด้วย การที่นายจะเพิ่มกฎเพื่อรับภารกิจจากประชาชนทั่วไป หรือให้ต้องให้เน้นว่า เพื่อเด็กคนนั้นเพียงคนเดียว ฉันมั่นใจว่าสมาชิกสภาสูงคนอื่น ๆ ต้องไม่เห็นด้วยแน่"



    "ฉันไม่ห่วงเรื่องนั้นเลย มีเกอร์ทูธหนึ่งคน ฉันสอง และนายก็เป็นสามคน ครบพอดี" ชายหนุ่มยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วจึงเรียกให้เก็บเงิน



    "แล้วขอแก้นะ ฉันไม่ได้เพิ่มข้อปฏิบัติเพื่อเด็กคนนั้นแค่คนเดียว กฎนี้จะทำให้องค์กรของเราสามารถรองรับพวกฮีโร่เข้าสู่องค์กรได้ และนั่นฉันคิดว่าสภาสูงคงจะเห็นด้วยที่ฉันเพิ่มกฎนี้เข้าไป มีแต่ได้กับได้ ไม่เห็นจะต้องกังวล"



    ชายหนุ่มยื่นเงินส่งให้สาวเสริฟแล้วหันกลับไปมองชายสูงอายุที่ยังคงนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่เดิม



    "นี่นายทำแบบนี้เพื่อเนลริน่าใช่หรือเปล่า..."



    ชายหนุ่มไม่เอ่ยตอบ แต่มีรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าบอกให้รู้ถึงคำตอบของคำถามนั้น



    เมื่อเขาทำท่าจะลุกขึ้นจากโต๊ะ ยังไม่ทันทีจะเดินผ่านตัวของชายชราก็ถูกรั้งด้วยคำพูดอีกครั้ง



    "สมมติว่ากฎถูกบัญญัติเพิ่มเข้าไป ตอนนั้นนายจะต้องการทีมปฏิบัติการให้ทำงานนี้ให้เร็วที่สุดก่อนข้อมูลที่มีจะใช้การไม่ได้ แต่ฉันรู้มาว่าคนของนาย..-"



    "พวกเขาไปทำภารกิจอื่นอยู่ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะน่า ก็เพราะแบบนั้นฉันถึงมอบงานนี้ให้กับนายยังไงล่ะ" ชายหนุ่มตอบด้วยใบหน้ายิ้มกว้างแล้วตบไหล่ของชายชราเบา ๆ พร้อมกับส่งเอกสารของเจนให้ก่อนที่จะเดินออกจากร้านอาหารไป ทิ้งให้ชายชรายกแก้วกาแฟดื่มอย่างใจเย็น



    ทว่าหลังจากที่ชายหนุ่มออกจากร้านไป ชายชรากลับมีรอยยิ้มแบบเดียวกันประดับอยู่บนใบหน้า ถ้าหากเขาแสดงรอยยิ้มนี้ตอบกลับไปตอนที่โดยยัดเยียดหน้าที่ให้ล่ะก็ ชายหนุ่มคงจะรู้สึกตัวว่าเขาเพิ่งพลาดท่าให้กับเพื่อนเก่าคนนี้ซะแล้ว



    "พอเหมาะพอเจาะมาก ฉันมีคนที่เหมาะกับงานนี้พอดี คนที่มีความสามารถและคนที่คล้ายกับนาย...โทฮาน" ชายชราพูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะทิ้งเงินค่ากาแฟเอาไปบนโต๊ะ แล้วหายตัวไปจากร้านอาหารโดยไม่มีใครทันเห็นว่าชายชราผู้นี้ออกไปจากที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่





    จบตอนที่ 34 ตรวจจิต ตรวจใจ



    -----------------------------

  39. #48
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่35 เปิดเผยตัวตน

    ตอนที่ 35 เปิดเผยตัวตน



    เช้าวันแรกในโลก ดิ โอเพ่น เวิลด์ หลังจากกลับมาจากการตรวจร่างกายของเจนนั้นสดใสกว่าที่เคย หลังจากเธอพบกับทางออกของปัญหาที่ค้างคาใจมานานที่แม้ชายหนุ่มชาวต่างชาติจะไม่ได้น่าไว้วางใจไปมากกว่าเว็บไซด์ฮีโร่มากนัก แต่เจนไว้ใจในตัวของเกอร์ทูธว่าเพื่อนของเธอจะต้องช่วยอามีร่าได้อย่างแน่นอน



    บางอย่างในตัวของเกอร์ทูธที่ทำให้เจนรู้สึกได้ว่าเธอสามารถไว้วางใจหญิงสาวคนนี้ได้ ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่หรือมีเงินล้นฟ้า แต่เป็นการกระทำของเธอตอนที่เจนเล่าเรื่องของอามีร่าให้ฟัง ความตั้งใจและความใส่ใจในทุกคำพูดของเธอนั้นทำให้เจนมองว่าเกอร์ทูธจะต้องคนที่เธอพึ่งได้อย่างแน่นอน



    เจนลุกขึ้นมาจากฟูกในห้องพักห้องใหม่ที่พวกเธอตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนเป็นห้องที่ใหญ่กว่าเดิม เพราะไหน ๆ ตอนนี้พวกเธอก็มีกันถึงสิบคนแล้วก็ควรจะหาห้องพักที่ใหญ่กว่านี้ได้แล้ว สุดท้ายพวกเธอก็ได้ห้องพักแบบชุดที่มีหลายห้องนอนพร้อมกับห้องโถงอีกหนึ่งห้องเอาไว้สำหรับทานอาหารหรือรวมตัวกัน หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นห้องแบบเดียวกันกับที่พวกเธอเคยพังอยู่ที่เมืองซีโบนั่นเอง



    ก่อนล็อกเอาท์ออกไปเจนได้ให้คิทซึเนะดูแลฟีบีโดยกำชับว่าอย่าออกไปไหนไกลและอย่าไปยุ่งกับคนแปลกหน้า สำหรับตัวคิทซึเนะนั้นเจนไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่ฟีบีต่างหากที่เจนกลัวว่าจะไปก่อเรื่องโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจเข้า



    บางสิ่งในตัวของฟีบีก็ทำให้เจนสงสัยเพราะตอนที่เลเวลของคิทซึเนะเท่ากันนั้น จิ้งจอกสาวก็ดูเป็นผู้ใหญ่และดูแลตัวเองได้แล้ว แต่มังกรน้อยกลับยังคงเป็นเด็กน้อยเหมือนเพิ่งสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ไม่มีผิด ถ้าหากเจนอยากจะรู้ว่าทำไมคงจะต้องไปถามคนที่เลี้ยงมังกรเหมือนกับเจนซึ่งคงหาไม่ได้ง่าย ๆ และเจนก็ไม่อยากจะป่าวประกาศเรื่องของฟีบีตามกระดานข้อความด้วย



    แต่การที่ได้เห็นฟีบีเป็นเด็กสาวที่ร่าเริงก็ทำให้เจนยิ้มได้อย่างมีความสุข แม้ว่าฟีบีจะยังคงเป็นมังกรน้อยที่มียศทหารแต่เธอก็น่าจะแข็งแกร่งไม่น้อยกว่า โอร็อค มังกรภูผาของโจเช่นกัน ไม่มีเหตุผลที่ต้องให้มังกรน้อยต้องรีบเติบโตในตอนนี้



    ภายในห้องพักเจนไม่พบทั้งฟีบีและคิทซึเนะเลย แต่เธอได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ในห้องรวม เจนรีบแต่งตัวแล้วเปิดประตูออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ปริออกมาไม่ยอมหุบ



    ในห้องรวมนั้นไม่ได้มีเพียงแค่สองพี่น้องต่างเผ่าพันธุ์ ยังมีซินจูอีกคนกำลังนั่งคุยกับคิทซึเนะกันอย่างออกรส ส่วนมังกรน้อยนั้นกำลังเปิดดูโทรทัศน์จอใหญ่ที่ไม่ควรมีอยู่ในเกม แต่เป็นเพราะเรียวกังแห่งนี้มีเจ้าของเป็นผู้เล่นเช่นเดียวกันจึงทำให้มีอุปกรณ์อยู่หลายอย่างที่ดูไม่ค่อยเข้ายุคกับในเกมมากนัก



    "อ้าวพี่เจน มาแล้วหรือคะ" ซินจูเอ่ยทักทายเมื่อเห็นเจนเลือนประตูไม้ออกมาจากห้องพัก



    ส่วนคิทซึเนะและฟีบีเมื่อเห็นเจนเข้าต่างก็พุ่งกระโดดกอดตัวเธอเต็มรัก นี่เป็นสิ่งเดียวที่พี่น้องคู่นี้มีเหมือนกัน แม้ว่าจะมีอายุต่างกันก็ตาม ดีที่เจนเตรียมตัวเอาไว้แล้วว่าจะต้องเจอแบบนี้ไม่งั้นคงได้ล้มกลับเข้าไปในห้องพักแน่



    "ว่าไงบ้างซินจู เธอเข้ามาในเกมนานแล้วหรือยัง" เจนทักกลับไปแต่ตัวของเธอนั้นถูกฟีบีลากไปนั่งหน้าโทรทัศน์ แล้วตัวมังกรน้อยก็ทิ้งตัวนั่งลงบนตักไม่ยอมให้ขยับไปไหนโดยมีคิทซึเนะที่นั่งอยู่ข้างตัว ซึ่งนั่นทำให้เจนแปลกใจเล็กน้อยเพราะเธอคิดว่าจิ้งจอกสาวเลิกนิสัยติดเจนไปแล้วซะอีก



    "เพิ่งเข้ามาไม่นานหรอกค่ะ ตอนกลับเข้าเกมมาก็ได้เจอกับคิทซึเนะพอดีเลยคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จริงมั้ย" ซินจูว่าแล้วหันไปยิ้มให้กับจิ้งจอกสาว ซึ่งเธอก็ยิ้มตอบกลับมาเหมือนกับสาววัยรุ่น



    เจนมองดูเด็กสาวทั้งสองคนหันหน้าคุยกันหัวเราะคิกคักที่เธอมั่นใจว่าคิทซึเนะจะยิ่งเหมือนกับซินจูเข้าไปทุกที ถ้าหากดูจากภายนอกล่ะก็ตอนนี้คิทซึเนะก็แทบไม่ได้แตกต่างไปจากเด็กสาววัยรุ่นที่อยู่นอกเกมเลย



    พอหันกลับมาดูโทรทัศน์ที่ฟีบีกำลังดูอย่างตั้งอกตั้งใจก็พบว่ามันเป็นรายการข่าวของเกม ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ ที่จะรายงานข่าวสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในเกม ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมตามทวีปต่าง ๆ ข่าวของกิลด์ชั้นนำหรือจะเป็นการปรากฏตัวของผู้เล่นชื่อดัง และแน่นอนว่าข่าวที่พวกเจนเกี่ยวข้องด้วยก็มีเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีชื่อของพวกเธอถูกเอ่ยออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงชื่อ 'ผู้กล้าในชุดขาวเท่านั้น'



    ความจริงแล้วของโทรทัศน์ภายในเกมนั้นไม่มีประโยชน์เลยสำหรับผู้เล่นเพราะทุกคนสามารถเปิดดูได้จากหน้าต่างแสง ทุกที่ ทุกเวลา ดังนั้นของแบบนี้จึงเหมาะสำหรับเอไอไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองหรือมอนสเตอร์อย่างฟีบีที่ติดจังเลย



    "ฟีบีชอบดูทีวีงั้นหรือ" เจนก้มหน้าลงไปหามังกรน้อย



    "ค่ะ ดูแล้วสนุกดี เมื่อกี้มีข่าวเรื่องหมู่บ้านที่พี่คิทซึเนะไปถล่มมาด้วยล่ะ เห็นพิธีกรพูดถึงพี่เจนด้วยล่ะ" มังกรสาวตอบโดยดวงตาสีฟ้าของเธอไม่ได้ละมาจากหน้าจอโทรทัศน์เลย



    "ที่ได้ยินนั่นหมายถึงผู้กล้าในชุดขาวใช่มั้ย" เจนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะไม่นึกว่าตอนนี้ฟีบีจะรู้ถึงสมญานามที่คนทั่วไปใช้เรียกตัวเธอแล้ว



    ฟีบีได้ยินคำถามของเจนก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่พอเห็นสีหน้าของเจน มังกรน้อยก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา และหันหน้าไปสนใจรายการในโทรทัศน์ต่อ



    ไม่นานหลังจากนั้นสามหนุ่มแจ็ค โจและหนูส่งข่าวก็เข้ามาสมทบในห้อง แต่ยังคงไร้วี่แววของเสือซ่อนลาย ยูสตาร์และไมโกะ ทำให้เจนที่จะบอกถึงข่าวดีเกี่ยวกับอามีร่าต้องรอไปก่อนเพราะเธออยากจะบอกตอนที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า



    เมื่อเวลาล่วงเลยจนถึงเวลาสาย อาหารมื้อเช้าของเรียวกังก็ถูกนำมาเสริฟถึงห้อง พร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงสาวนักฆ่าที่แต่งองค์เตรียมพร้อมเหมือนจะออกไปลุยข้างนอก



    "ขอโทษนะทุกคน วันนี้ฉันมีธุระตอนกลางคืน ฉันตั้งใจจะมาทำภารกิจเลื่อนยศให้เสร็จเรียบร้อยแล้วจะออกจากเกม คงจะเข้ามาอีกทีก็ช่วงวันที่แปดหรือวันที่เก้าในเกมโน้นแหละ" ไมโกะประกาศให้ทุกคนทราบแล้วจึงรีบวิ่งออกไปทันที ทำให้ตอนนี้เหลือคนที่พวกเจนต้องรอก็แค่สองหนุ่มชาวเกาหลีเท่านั้น



    รออีกไม่นานทุกคนก็ได้รับจดหมายมาจากเสือซ่อนลาย แต่ครั้งนี้เป็นจดหมายระบบที่ดูได้ผ่านหน้าต่างแสงเท่านั้น ซึ่งการที่ได้รับจดหมายแบบนี้หมายความได้สองอย่าง ถ้าไม่ใช่เป็นจดหมายจากGM ก็เป็นจดหมายที่ส่งมาจากนอกเกม



    "ดูเหมือนว่าเสือซ่อนลายกับยูสตาร์จะมีธุระคืนนี้เหมือนกันนะ" แจ็คเปรยขึ้นหลังจากอ่านข้อความจดหมายของเสือซ่อนลายที่ส่งมาจากนอกเกม



    "หมอนั่นบอกว่าดึก ๆ ถึงจะเข้ามาเล่นได้ แบบนี้ก็เหลือแต่พวกเราเจ็ดคนสิ" โจพูดและหันไปมองคนในกลุ่มที่เหลืออยู่ตอนนี้



    "พวกเราจะเอายังไงต่อ จะกลับไปลุยที่เดิมดีมั้ย"



    "ฉันคิดว่าจะรอจนกว่าพวกเรามาอยู่รวมกันครบทุกคนดีกว่า ฉันไม่อยากให้เลเวลของพวกเราทิ้งห่างกันจนเกินไป" เจนตอบ เธออยากจะไปเก็บเลเวลพร้อม ๆ กับทุกคนมากกว่า ถ้าหากให้ลุยกันไม่ครบทุกคนมันก็คงจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป



    "ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้มั้ยคะ ไหน ๆ พวกเรามาอยู่ในเมืองยามะไตที่เป็นหนึ่งในหกเมืองหลักของเกม หนูว่าวันนี้พวกเรามาเที่ยวในเมืองกันดีมั้ยคะ" ซินจูเสนอความคิด



    "ก็ไม่เลวนะ เปลี่ยนบรรยากาศซะบ้างหลังจากไล่เก็บหนังกิ้งก่าทั้งสัปดาห์ จะว่าไปแล้วฉันได้ข่าวว่าในเมืองมีการจัดกิจกรรมด้วยนะ... นี่ยัยหนู ช่วยเปิดไปที่ช่อง...-"



    ยังไม่ทันที่หนูส่งข่าวจะพูดจบ ฟีบีก็กดรีโมทที่วางอย่างตรงหน้าไปยังช่องข่าวที่กำลังรายงานอยู่อย่างรวดเร็ว ท่าทางตลอดหลายวันคงอยู่แต่หน้าโทรทัศน์จนจำได้ว่าปุ่มไหนทำอะไรได้จนหมด



    โทรทัศน์เปลี่ยนฉากเป็นอาคารภายในเมืองยามะไตที่ดูคุ้นตา เจนเห็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งในชุดกิโมโนสีแดงกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้หญิงผมสีฟ้าและผู้ชายผมตั้งสีดำอีกคนหนึ่ง ทั้งคู่สวมชุดสีขาวที่เจนจำได้แม่นยำว่าเป็นชุดของGM



    "สวัสดีค่ะ สำหรับท่านที่เพิ่งเปิดเข้ามาดู ตอนนี้ดิฉันอามิตตา กำลังถ่ายทอดสดให้ทุกท่านได้เห็นถึงบรรยากาศของงานประลองรอบคัดเลือกของผู้ที่จะเข้าชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ประจำปีนี้ค่ะ" นักข่าวสาวพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงขณะภาพเปลี่ยนไปให้เห็นบรรยากาศรอบ ๆ ที่มีคนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก



    "และข้างตัวของดิฉันก็คือผู้ที่จะมาให้ข้อมูลของการประลองในปีนี้ที่จะเป็นคนอื่นไปไม่ได้นอกจากเกมมาสเตอร์นั่นเองค่ะ ขอแนะนำให้รู้จักกับGMหลินและGMฟินน์ ผู้ที่จะมาบอกทุกอย่างเกี่ยวกับเบลดมาสเตอร์ให้ทุกคนได้ทราบค่ะ" ภาพหันไปโฟกัสที่เกมมาสเตอร์ทั้งสองที่กำลังโบกมือทักทายผู้เล่นที่อยู่ในงาน



    เจนรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนกับเคยเห็นGMหลินที่ไหนมาก่อน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกถึงความสำคัญนักจึงเลิกสนใจไป



    "เอาล่ะค่ะ เนื่องจากชื่อของเบลดมาสเตอร์เป็นชื่อที่ไม่ค่อยได้ยินกันบ่อยนัก และดิฉันมั่นใจว่าผู้ชมที่อยู่ตรงนี้และผู้ชมที่กำลังชมผ่านการถ่ายทอดสดกันอยู่ตอนนี้ต่างก็ไม่รู้ว่าเบลดมาสเตอร์คืออะไร เพราะฉะนั้นช่วยอธิบายความเป็นมาและความสำคัญของเบลดมาสเตอร์หน่อยจะได้มั้ยคะ" อามิตตาเอ่ยเข้าประเด็นอย่างเป็นมืออาชีพ



    GMหลินยิ้มที่มุมปากก่อนจะยืดตัวแล้วจึงเริ่มอธิบาย "ก่อนอื่นต้องขอย้อนความให้ทุกคนเข้าใจตรงกันก่อนนะคะ แม้ว่าตัวเกมเพิ่งจะเปิดมาได้เพียงเดือนกว่า หรือหนึ่งปีในเกม แต่โลกของดิ โอเพ่น เวิลด์นั้นมีอายุมายาวนานกว่านั้นมาก ดังนั้นการประลองครั้งนี้จึงเป็นการประลองชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ครั้งที่ห้าร้อยสิบแล้วค่ะ"



    "เอ๋ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าที่ผ่านมาก็มีเบลดมาสเตอร์ถึงห้าร้อยเก้าคนแล้วสิคะ" นักข่าวสาวแสร้งทำน้ำเสียงตกใจเพื่อสร้างบรรยากาศ



    "ถูกต้องแล้วค่ะ เบลดมาสเตอร์ที่ผ่านมาทุก ๆ คนนั้นต่างเป็นเอไอยอดฝีมือระดับพระกาฬที่เทียบระดับยศราชาได้ อย่างเช่นการประลองปีที่แล้วที่แม่ทัพกวนหมิงแห่งลั่วหยางได้ตำแหน่งผู้ชนะไป เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งทัพยอดขุมพลที่ยังไม่มีใครสามารถฝ่าทะลวงเพื่อยึดปราการได้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของกิลด์อันดับต้น ๆ ก็ตาม" หลินเสริมความ



    ผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่รู้ว่าคู่ต่อสู้เป็นถึงเอไอยศราชาที่มีผู้เล่นน้อยคนนักได้ไปถึงก็ส่งเสียงพูดคุยกันพึมพำเพราะรู้สึกว่าไม่คุ้มที่จะเสี่ยงมาเจอกับคู่ต่อสู้ที่ไม่มีแทบจะทางชนะเช่นนี้



    "ว้าว ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เคี้ยวยากพอสมควรเลยนะคะสำหรับผู้ที่ต้องการตำแหน่งนี้ ช่วยบอกได้มั้ยคะว่าเบลดมาสเตอร์สำคัญยังไง"



    "เดิมทีนั้นเบลดมาสเตอร์เป็นตำแหน่งของผู้ที่เป็นยอดแห่งดาบ สำหรับชาวเมืองแล้วตำแหน่งนี้เทียบได้กับผู้กล้าหรือวีรบุรุษเลยทีเดียว ผู้ที่เข้าร่วมชิงตำแหน่งนี้ต่างหวังเพื่อชื่อเสียงและนำเกียรติยศไปสู่วงศ์ตระกูล แต่สำหรับผู้เล่นที่ชนะและได้ตำแหน่งนี้ไปจะได้เงินรางวัลเป็นจำนวนหนึ่งล้านโกลด์พร้อมทั้งสิทธิพิเศษหลายอย่างกับร้านค้าของเมืองใหญ่ ๆ ทุกเมือง นอกจากนั้นยังได้ชุดจ้าวแห่งดาบระดับ S ครบชุด และยังมีดาบระดับSที่จะสุ่มให้หลังจากได้รับตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการแล้ว" คำพูดของGMหลินสร้างเสียงฮือฮาจากผู้เล่นได้มหาศาล



    ดวงตาของอามิตตาลุกวาวเมื่อได้ยินคำพูดที่หลุดออกมาจากGMสาว เพราะของระดับS ที่เท่าที่เธอทราบว่ายังไม่เคยมีใครได้มาก่อนกลับมาปรากฏอยู่ในงานประลองนี้ นี่จะต้องเป็นข่าวใหญ่ที่ผู้เล่นทุกคนจะต้องติดตามอย่างแน่นอน



    "ของระดับS เลยหรือคะ! ทุก ๆ คนคงจะได้ยินแล้วนะคะว่ารางวัลของผู้ที่ได้ตำแหน่งเบลดมาสเตอร์คือชุดเกราะและอาวุธระดับS! ตอนนี้ที่ลานกิจกรรมของทุกเมืองยังคงเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมประลองอยู่นะคะ! ถ้าหากใครที่ต้องการของรางวัลล้ำค่าเช่นนี้ก็รีบเข้ามาร่วมประลองเบลดมาสเตอร์ได้เลยค่ะ!" อามิตตาหันไปพูดกับหน้ากล้องแล้วหันกลับไปขุดคุ้ยเรื่องอาวุธระดับSกับสองเกมมาสเตอร์ต่อ



    เจนเองที่มองดูข่าวก็ลอบยิ้มอย่างเป็นนัย แต่ก็ไม่รอดจากสายตาของโจไปได้



    "ยิ้มอย่างนั้นหมายความว่าอะไรฉันรู้นะเจน อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะว่าจะเข้าร่วมประลองด้วย อย่าลืมนะว่าต้องเจอคู่ต่อสู้ระดับราชาเชียวนะ สู้ไปเธอก็แพ้เปล่า ๆ"



    แทนที่คำพูดของโจจะทำให้รอยยิ้มนั้นหายไปแต่กลับตรงกันข้าม เจนยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม รอยยิ้มของเธอเหมือนกับรอยยิ้มของคนที่เจอของถูกใจแล้วจะไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ



    "อะไรกันเล่า แต่สมัครเข้าไปสู้เล่น ๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่นา ฉันอยากจะลองฝีมือดูว่าจะสู้ได้ถึงระดับไหน เอาล่ะ รีบไปเตรียมตัวก่อนดีกว่า!" เจนว่าแล้วลุกขึ้นกลับเข้าห้องไปเตรียมพร้อมที่จะไปร่วมประลองชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์



    สามหนุ่มหันมามองหน้ากันเหมือนจะถามความเห็น แต่สุดท้ายโจก็ส่ายหน้าเหมือนว่าเรื่องมันดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้วก็ให้ปล่อยไปเลยตามเลย



    ท่ามกลางสายตาขี้สงสัยของซินจูที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความงุนงง เธอมั่นใจว่ามีบางอย่างที่สามหนุ่มไม่ได้บอกให้เธอรู้ บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวของคนที่เพิ่งเดินกลับเข้าไปในห้อง และมันต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องยุ่งขึ้นมาแน่ ๆ







    พวกเจนเดินออกมาจากเรียวกังในยามสายของวัน อากาศแจ่มใสเหมาะที่จะเดินชมดูเมืองเป็นอย่างมาก วันนี้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างเดินอยู่เต็มทางเดินมุ่งไปยังทิศเดียวกันทำให้พวกเธอไม่จำเป็นต้องถามเลยว่าจะไปที่งานประลองได้ที่ไหน



    งานประลองเบลดมาสเตอร์นั้นไม่ได้มีบริเวณกว้างอย่างที่เจนคิดเอาไว้ งานถูกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ที่เจนเห็นตรงหน้าคือส่วนหน้างานที่มีจุดรับสมัครผู้เข้าร่วมประลองและยังมีเวทีที่นักข่าวสาวอามิตตาและGMทั้งสองกำลังให้สัมภาษณ์กันอยู่ ซึ่งทั้งสองจุดต่างมีคนเป็นจำนวนมากตั้งแต่ข่าวเรื่องของระดับS ได้กระจายออกไป เพียงชั่วโมงเดียวผู้เข้าร่วมประลองก็เพิ่มขึ้นจากไม่กี่ร้อยเป็นครึ่งหมื่น



    "คนมาสมัครเข้าร่วมประลองมีไม่มากเท่าที่ฉันคิดเลยนะ" เจนพูดเปรยขึ้นขณะกำลังรอแถวที่รับสมัครเข้าร่วมประลอง



    "ทำไมหรือคะพี่เจน" คิทซึเนะถามขึ้น



    "ก็จำนวนคนไง ผู้เล่นตั้งหลายล้านคนทั่วโลกแต่มีคนมาสมัครเข้าประลองไม่ถึงหมื่นคนเอง" เจนอธิบายความสงสัยของเธอ คิทซึเนะได้ฟังก็ได้แต่พยักหน้าเข้าใจทว่าเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะเธอไม่รู้เรื่องราวของโลกของนักผจญภัยที่พวกเจนเรียกกันว่าโลกภายนอกมากนัก แม้ว่าเธอจะได้ฟังจากซินจูตอนที่เธอคุยกันมาบ้างก็ตาม



    "แค่นี้ก็ถือว่าเยอะแล้วล่ะเจน มันไม่ได้มีทุกคนหรอกนะที่จะใช้ดาบเป็นอาวุธและการประลองนี้บังคับให้ใช้แค่เพียงอาวุธเดียวเท่านั้น แถมยังมีกฎอื่น ๆ เยอะแยะจนน่ารำคาญเลยล่ะ" โจพูดขึ้น



    "การประลองนี้มีกฎด้วยหรือ" เจนหันไปมองเพื่อนด้วยความสงสัย



    โจยักไหล่และหันไปหาหนูส่งข่าวที่พยักหน้าอย่างรู้หน้าที่ เขาเอื้อมมือไปหยิบแผ่นพับจากกระเป๋าของนักดาบหนุ่มคนหนึ่งที่เดินผ่านมาพอดีโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว เจนรับแผ่นพับนั้นมาจากหนูส่งข่าวโดยเธอมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าจะชมดีหรือไม่เพราะฝีมือการล้วงกระเป๋าของเขานั้นช่างแนบเนียนซะเหลือเกิน



    เจนก้มลงอ่านแผ่นพับก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเพราะว่ามันคือกฎของการประลองเบลดมาสเตอร์ และจำนวนของมันนั้นก็เยอะซะจนที่โจพูดนั้นไม่ถือว่าเกินไปเลยแม้แต่นิดเดียว



    "อะไรเนี่ย! 'ห้ามใช้ทักษะใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ฝ่ายตรงข้าม' แบบนี้ฉันก็ใช้ผ่ามิติไม่ได้น่ะสิ" เจนโวยวายเมื่อเห็นหนึ่งในกฎที่เขียนอยู่บนแผ่นพับนั้น



    "ไม่ได้มีแค่นั้นนะ 'ผู้เข้าร่วมประลองห้ามใช้อาวุธอื่นนอกจากอาวุธที่ถูกจัดเอาไว้ให้' 'ห้ามผู้เข้าร่วมการประลองใช้ทักษะที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาวุธดาบ' ออกกฎมาแบบนี้ให้แก้ผ้าเข้าไปสู้เลยดีกว่ามั้ยเนี่ย" แจ็คอ่านตามแผ่นพับที่ได้มาจากหนูส่งข่าว



    "นั่นหมายความว่าเธอจะใช้ดาบเล่มนั้นไม่ได้ และเธอก็จะใช้ทักษะพลังสถิตร่างอะไรนั่นก็ไม่ได้...งานนี้เดินตัวเปล่าอย่างที่แจ็คมันว่าจริง ๆ นะเจน" โจกล่าว



    "ฮ่ะฮ่า! แย่หน่อยนะสาวน้อย งานนี้เจ้าต้องใช้ฝีมือและร่างกายของเจ้าเพื่อที่จะเอาชนะเหล่ายอดฝีมือทั้งหมดนั่น ไม่มีข้า หรือพลังใด ๆ ที่เจ้าได้รับมาคอยช่วยเหลือเจ้าเหมือนที่ผ่านมาแล้ว" เจนสะดุ้งสุดตัวเมื่อเธอได้ยินเสียงทรงอำนาจของยามาตะ โนะ โอโรจิขึ้นในหัวหลังจากที่ไม่ได้ยินมานาน



    "บ้าจริง โอโรจิ! ทีหลังจะพูดก็ให้ซุ่มให้เสียงหน่อยสิ! เจอแบบนี้หัวใจจะวายตายหมด" หญิงสาวกัดฟันพูดเสียงดุแถมยังเรียกชื่อของเทพอสูรอย่างห้วน ๆ อีกต่างหาก ไม่สีเสียงตอบกลับมา แต่เธอได้ยินเพียงเสียงพ่นลมหายใจของพญาอสรพิษก่อนที่จะเงียบไป



    "เป็นอะไรหรือเปล่าคะพี่เจน" ซินจูหันมาถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางแปลก ๆ ของเจน หญิงสาวได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ และบอกว่าไม่เป็นอะไรเป็นคำตอบ ถึงตอนนี้ซินจูจะรู้แล้วว่ามีเทพอสูรอยู่ในดาบข้างตัวของเจน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเทพอสูรสามารถพูดกับเจนได้ ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการที่เจนคิดกว่าคงจะเป็นการดีกว่าที่จะเก็บนี้เอาไว้คนเดียว



    หลังจากที่พิจารนากฎของการประลองครั้งนี้จนครบแล้ว เจนก็สรุปได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้เธอคงจะรับศึกหนักหน่อย เพราะนอกจากเจนจะใช้ดาบคุซานางิไม่ได้แล้ว เธอยังไม่สามารถใช้ทักษะอื่น ๆ ที่เธอมีได้เลยยกเว้นทักษะเพิ่มพลังกายและทักษะติดตัวที่ดูไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรนักถ้าหากไม่เจอเข้ากับคู่ต่อสู้ระดับราชา



    มันเป็นอย่างที่ยามาตะ โนะ โอโรจิพูดจริง ๆ ครั้งนี้เธอต้องพึ่งฝีมือตัวเองเท่านั้นถึงจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ งานนี้เรียกได้ว่าเป็นบททดสอบของยอดฝีมือโดยแท้ แม้ว่าเจนจะตัวเล็กกว่าผู้เข้าร่วมประลองหลายคนที่มีบางคนที่เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกับเธอ แต่นี่ทำให้เจนนึกถึงการฝึกกับหมิงเต๋อ ถ้าหากเธอทำให้ได้เหมือนตอนที่ฝึกก็ไม่น่าจะมีปัญหา



    เจนเดินเข้าไปลงชื่อสมัครร่วมประลอง แต่ระหว่างที่เธอกำลังลงชื่อนั้นเธอรู้สึกได้ว่ากำลังมีคนจ้องมองเธออยู่ ไม่ใช่แค่คนหรือสองคน แต่เป็นจำนวนหลายสิบคู่ที่ต่างกำลังมองเธอเป็นสายตาเดียว



    หลังจากที่เจนลงทะเบียนเสร็จก็เดินออกมาหาพวกโจ แต่สายตาหลายสิบคู่นั้นก็ยังคงตามเธอจนทำให้เจนสงสัยและจ้องกลับไป เธอเห็นเป็นเหล่าผู้เล่นกำลังพูดคุยกระซิบกระซาบขณะจ้องมาที่เธอ แม้ว่าจะไม่ได้ยินแต่เจนมั่นใจมากว่าสิ่งที่คุยกันจะต้องเป็นเรื่องของเธออย่างแน่นอน



    "เอ่อ...ขอโทษทีที่รบกวนนะครับ พวกเราอยากจะสอบถามอะไรให้แน่ใจหน่อย" ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดนักเวทย์เดินเข้ามาหาเจนพร้อมกับมีพรรคพวกอีกสี่ห้าคนเดินตามมาด้านหลัง



    "เอ่อ...มีอะไรงั้นหรือ" เจนถามกลับไปเพราะเธอก็อยากรู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงได้จ้องเธอเป็นสายตาเดียวเช่นนี้ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลก ๆ เกิดขึ้นแล้ว



    "อาจจะเป็นพวกเราที่เข้าใจผิดไปก็ได้ แต่คุณใช่คุณเจน ผู้กล้าในชุดขาวที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับกิลด์พิฆาตราชาหรือเปล่าครับ"



    ทันทีที่สิ้นคำ เจนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอรีบล้วงกระเป๋าดูว่าตราที่ได้มาจากแจ็คยังอยู่กับเธอหรือเปล่า แต่ก็พบว่าตรานั้นยังคงนอนอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเธออย่างสงบ ไม่ได้หายไปไหน แล้วทำไมถึงนักเวทย์หนุ่มตรงหน้าเธอถึงรู้จักเธอได้ขนาดนี้



    "อ..เอ่อ" เธอได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี เจนมั่นใจว่าเธอพยายามปิดบังตัวตนของเธอไม่ให้ใครรู้ว่าเธอคือผู้กล้าในชุดขาวเป็นอย่างดีแล้วแท้ ๆ



    "ว่าแล้วเชียวต้องเป็นคุณจริง ๆ ด้วย! ผมคอยติดตามข่าวของคุณมาตั้งแต่ตอนที่คุณสู้กับอีกาที่สุสานผีดิบแล้วครับ! ขอบอกว่าพวกเราเป็นแฟนตัวยงของคุณเลยครับ!" จอมเวทย์หนุ่มพูดอย่างตื้นตันใจพร้อมกับคว้ามือของเจนขึ้นมาเขย่าเหมือนกับแฟนคลับเจอกับดาราที่ตัวเองชอบ ไม่เพียงแค่นั้นเขายังหันไปหาเพื่อน ๆ และตะโกนบอกว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร!



    "เฮ้ พวกเรา!! นี่ไงผู้กล้าในชุดขาวคนนั้นอยู่ตรงนี้!!"



    เสียงตะโกนไม่ได้แค่บอกพรรคพวกของจอมเวทย์หนุ่มเท่านั้น ยังเป็นการบอกให้คนอื่น ๆ รู้อีกด้วย เหมือนกับเขื่อนแตก ผู้คนนับร้อยที่ต้องการมาดูหน้าคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างผู้กล้าชุดขาวตัวเป็น ๆ เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเสียงพูดคุยดังจนเรียกความสนใจของอามิตตาที่กำลังถ่ายทำรายการเรื่องการประลองเบลดมาสเตอร์อยู่ เมื่อเธอรู้ว่าเหล่าผู้เล่นกำลังรุมล้อมใครอยู่ เรื่องข้อมูลของเบลดมาสเตอรที่ควรจะเป็นเรื่องหลักในการถ่ายทำครั้งนี้ก็ตกเป็นเรื่องรองไปทันที



    "อะไรนะ! เจน ผู้กล้าในชุดขาวงั้นหรือ! รีบถ่ายภาพของเขามาให้ได้เร็วเข้า!" นักข่าวสาวรีบพุ่งเข้าหากล้องแล้วสั่งให้ตากล้องคู่หูของเธอซูมภาพไปที่เจน ผู้ซึ่งกำลังถูกรุมล้อมไปด้วยผู้คนหลายร้อยชีวิต



    "นั่นน่ะหรือคนที่ชนะอีกา นักฆ่าของกิลด์พิฆาตราชามาได้ แต่ดูแล้วก็ไม่ค่อยเท่าไหร่เลยนะ" ผู้เล่นคนหนึ่งเอ่ยเหมือนกับว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพราะดูจากชุดที่เจนสวมใส่แล้วเป็นแค่ชุดที่หาได้ตามร้านค้าทั่วไป ไม่น่าจะเก่งกาจอะไรอย่างที่เป็นข่าวเลย



    "เฮ้ย! ถ้าหากไม่รู้จริงก็อย่าพูดซี้ซั้วนะเว้ย! เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่ามียอดฝีมือใช้พลังช่วยเรือเหาะที่กำลังตกจากฟ้าที่โดนฝูงไวเวิร์นทะเลโจมตีมาได้ เพื่อนของฉันมันอยู่ในเหตุการณ์ด้วยและตอนนี้มันก็กำลังดูรายการนี้ผ่านทีวีอยู่ที่ห้องพัก มันกำลังกรอกหูฉันว่าคนนี้แหละที่ช่วยมันเอาไว้" เสียงของผู้เล่นอีกคนหนึ่งตอบ แม้เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้คนอื่นได้ยิน แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้คนรอบ ๆ รู้ว่า ทำให้คนอื่น ๆ ที่ได้ยินเริ่มให้ความสนใจกับเจนมากยิ่งขึ้นไปอีก



    ทันใดนั้นเอง ชายร่างสูงในชุดเกราะสีฟ้าคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มคนที่สวมชุดเกราะคล้ายกันตามมาติด ๆ เมื่อผู้เล่นรอบ ๆ รู้ว่าใคร ต่างก็รีบเปิดทางให้ทันที



    "สวัสดีครับ ผมมีชื่อว่าบูลธันเดอร์ ผู้นำกิลด์พายุสีเงิน ยินดีที่ได้พบผู้กล้าในชุดขาวผู้โด่งดังครับ" ชายหนุ่มผมสีดำเงางามหน้าตาหล่อเหลายื่นมือเข้ามาหาอย่างเป็นมิตร แต่สัญชาติญาณของเจนบอกเธอเอาไว้ว่ามีอะไรบางอย่างที่แอบแฝงเอาไว้มากกว่านั้น



    ด้วยเหตุผลดังกล่าวเจนจึงเลือกที่จะไม่ยื่นมืออกไปจับกับบลูธันเดอร์ซึ่งเขาก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจแต่ใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้อย่างเป็นมืออาชีพ



    "ผมติดตามข่าวของคุณมานานแล้วครับคุณเจน ผมต้องยอมรับว่าตอนแรกที่ได้ยินว่ามีคนคิดจะต่อต้านกิลด์พิฆาตราชาเป็นอะไรที่บ้าเอามาก ๆ ทีเดียว"



    "เฮ้ย! อย่ามาว่าวีรบุรุษของพวกเราว่าบ้าอย่างนั้นนะโว้ย!" เสียงคำรามดังลั่นดังมาจากอีกฟากของกลุ่มคนที่ต้องเปิดทางให้ทันทีเพราะร่างของคนที่ส่งเสียงคำรามนั้นอยู่ในชุดเกราะสีแดงและมีความสูงกว่าสองเมตร ดาบเล่มยักษ์ที่เขาแบกขึ้นหลังมานั้นดูน่ากลัวจนไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ เพราะจากที่มองดูแล้วถ้าหากชายร่างใหญ่ทำดาบหล่นล่ะก็คงตัดร่างของเหยื่อผู้โชคร้ายได้สบาย ๆ



    "ว่ายังไงไอ้หนูสายฟ้า คิดจะดึงตัวไอ้หนูคนนี้เข้ากิลด์ของแกตัดหน้าฉันใช่มั้ย หือ!"



    บลูธันเดอรหันไปมองตามเสียงพูดของชายร่างใหญ่เช่นเดียวกับเจน เขามีใบหน้าที่หยาบกร้านแต่แฝงด้วยความอบอุ่นแบบบ้าน ๆ หัวที่ล้านเกลี้ยงและหนวดเคราของเขาสร้างความประทับใจให้แก่ทุกคนที่พบเห็นได้อย่างไม่ยาก แต่ความประทับใจที่ว่านั้นคงเป็นความประทับใจชนิดที่เด็กร้องไห้เห็นแล้วยังต้องหยุดร้อง



    "ฉันแค่แนะนำตัวให้คุณเจนรู้จักเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงอย่างที่นายพูดมาซักหน่อย แต่นายกำลังทำให้แขกของเรากลัวด้วยเสียงของนาย เพราะฉะนั้นช่วยเบาเสียงลงหน่อยเถอะ ครี้ด" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมเงยหน้ามองดูชายผู้มาใหม่ที่แม้จะมาคนเดียวแต่ก็เหมือนพาคนมาทั้งกองทัพ



    "ให้ตายสิ คนที่ลูกกิลด์ของฉันยกย่องว่าเป็นคนที่กล้าและบ้าที่สุดที่ไปท้าทายขาใหญ่อย่างกิลด์พิฆาตราชาเข้า กลับเป็นแค่ไอ้หนูตัวเล็ก ๆ แค่นี้เอง"



    "เฮ้ นายเพิ่งบอกเองนะว่าอย่าไปว่าวีรบุรุษของนายว่าบ้า" ชายหนุ่มในชุดเกราะรีบทักท้วง



    "ก็ยกเว้นแค่ฉันคนเดียวไง ฮ่า ๆ !" เสียงหัวเราะดังเหมือนกับเสียงของครี้ดต่อกับลำโพงอยู่อย่างไงอย่างนั้น



    ดูจากการทักทายกันแล้วทำให้รู้ว่าสองคนนั้นรู้จักกันและจากเครื่องแต่งกายแล้วก็บอกได้ทันทีว่าอยู่คนละกิลด์กัน เจนไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้กำลังจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองคนนี้ต่างมาหาเธอเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน นั่นก็คือชวนเธอให้เข้าร่วมกิลด์ของพวกเขา



    "ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะว่าตอนนี้ฉันยังไม่สนใจที่จะเข้ากิลด์ไหนทั้งนั้น" เจนพูดขึ้น เรียกให้ชายทั้งสองหันมามองเธออีกครั้ง



    ทั้งคู่เองก็มีการแสดงออกที่ต่างกันไป อย่างครี้ดที่ยิ้มกว้างและหัวเราะในลำคอ ส่วนบลูธันเดอร์นั้นแม้ยังคงจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าแต่ก็เป็นรอยยิ้มที่จืดชืดกว่าที่เห็นตอนแรกมากเลยทีเดียว



    "ผมเข้าใจครับคุณเจน แต่สิ่งที่คุณทำตอนนี้มันคงจะดีกว่าถ้าหากคุณหาพรรคพวกที่ช่วยดูแลคุณจากกิลด์พิฆาตราชาได้ ไม่ใช่สร้างศัตรูเพิ่ม" บลูธันเดอร์กล่าวเสียงเย็น ท่าทางความอดทนของเขานั้นเริ่มจะหมดลงแล้วจากการที่เจนปฏิเสธเขาถึงสองครั้งติดกันแบบนี้ ตรงกันข้ามกับครี้ดที่ยังคงยิ้มได้แม้ว่าจะโดนจับไต๋ได้ก็ตาม



    "ใจเย็น ๆ ก่อนไอ้หนู ถึงหมอนี่จะยังไม่เข้าเลือกเข้ากิลด์ไหนก็ตาม แต่อย่างน้อยฉันก็ขอแนะนำกิลด์สมิงห์ทมิฬให้ได้รู้จักก่อนก็แล้วกัน หวังว่าอย่างน้อยถึงจะไม่เลือกที่จะเข้าร่วมกับพวกเรา แต่ก็น่าจะมองว่าพวกเราเป็นพันธมิตรกันได้นะ" ครี้ดว่าและยื่นมือออกมาให้อย่างเป็นมิตร แต่เจนก็ยังคงไม่คิดจะยื่นมือออกไปจับเช่นเดียวกับคราวของบลูธันเดอร์ แต่เหตุผลที่เจนไม่อยากจะจับมือของครี้ดนั้นก็เป็นเพราะขนาดมือของชายตรงหน้านั้นใหญ่กว่าเจนโขเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าถ้าหากเธอจับมือกับเขาจะมีอะไรหักไปบ้าง



    ชายร่างยักษ์หัวเราะเสียดังเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่เล่นด้วย แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกปฏิเสธเช่นนี้



    "ฮ่า ๆ ! ฉันกะแล้วเชียวว่าหมอนี่ก็ต้องไม่กล้าจับมือกับฉัน รู้มั้ยว่าไม่มีใครเคยจับมือกับฉันอย่างฉันมิตรมาก่อนเลย... จะว่าไปแล้ว ไอ้หนู แกมาที่นี่เพื่อที่จะลงประลองเบลดมาสเตอร์ใช่หรือเปล่า"



    คำถามของครี้ดทำให้ใบหูของใครหลายคนกระดิกตาม โดยเฉพาะอามิตตาที่ยังคงจับภาพของเจนอยู่ตลอดเวลา



    เจนพยักหน้าช้า ๆเป็นคำตอบให้แก่บุรุษตรงหน้าซึ่งทั้งเขาและบลูธันเดอร์ต่างยิ้มออกมาด้วยความยินดี



    "เยี่ยมยอด! รู้มั้ยว่าทั้งฉันและหมอนี่ต่างก็เข้าร่วมประลองเหมือนกัน บางทีพวกเราคนใดคนหนึ่งอาจจะได้มาสู้กันกับนายก็เป็นได้นะ ไอ้หนู"



    "ใช่ เราจะได้รู้ว่าฝีมือดาบของผู้กล้าในชุดขาวที่ไร้ซึ่งทักษะช่วยเหลือจะเก่งอย่างที่เขาลือกันหรือไม่" บลูธันเดอร์เอ่ยท้าทาย ดวงตาของเข้าจ้องเขม็งมายังเจนราวกับกะเอาไว้แล้วว่าจะต้องเผชิญหน้ากับเธอแน่ ๆ ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับครี้ด



    เจนมองสถานการณ์ตรงหน้าที่ตอนนี้เธอกำลังจนกรอบ รอบตัวเธอต่างถูกรุมล้อมด้วยกองทัพฝูงคนที่กำลังเดินตรงหน้ามาหาเธอและชายในชุดเกราะทั้งสองก็ไม่มีท่าทางที่จะเปิดทางให้เธอเดินจากไปง่าย ๆ แน่ พอหันไปหาพวกโจก็พบว่าพวกเขาได้หายตัวไปแล้ว แถมยังไปพร้อมกับคิทซึเนะและฟีบีซะด้วย



    "เอ่อ..เจน นี่ฉันแจ็คนะ เธอรีบบินหนีออกมาแล้วมาเจอพวกเราที่เรียวกังก็แล้วกันนะ" เสียงของเพื่อนหนุ่มดังขึ้นในช่องสื่อสารกลุ่ม



    "ไม่อยากจะเชื่อเลย นี่พวกนายทิ้งฉันงั้นหรือเนี่ย! แล้วนี่นายจะให้ฉันใช้พลังสถิตร่างเพื่อหนีเนี่ยนะ" เจนตอบกลับไปเสียงเข้ม



    "ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ถ้าหากพวกเราหนีไปพร้อมกันมันคงจะพ้นสายตาสอดรู้ของคนทั้งเมืองหรอกนะ ส่วนทักษะนั้นก็ใช้ ๆ ไปเถอะ ใช่ว่าเธอจะใช้มันสู้ในงานประลองได้ซะที่ไหน" แจ็คตอบกลับมาซึ่งก็ฟังดูมีเหตุผลจนยากที่เจนจะโต้แย้ง



    เธอไม่คิดจะรออยู่ที่เดิมให้หัวหน้ากิลด์ทั้งสองมาจ้องกินเลือดกินเนื้อเธอต่อไปอีกนานนัก ถึงแม้จะเสียดายและจะต้องเปิดเผยพลังที่เจนคิดจะเก็บเอาไว้เป็นไพ่ตายของเธอก็ตาม แต่ตอนนี้นี่คือทางเดียวที่เธอจะพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์นี้ไปได้



    "ขอโทษที่เสียมารยาทนะ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากคุยกิลด์และการประลองกับใครทั้งนั้น หวังว่าคราวหน้าที่เราเจอกันจะอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้นะ คุณครี้ด คุณบลูธันเดอร์"



    พลังสถิตร่าง เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!



    ทันทีที่พูดจบ ร่างของเจนก็แผ่ออร่าสีทองออกมาและพุ่งขึ้นฟ้าหายไปอย่างรวดเร็ว คนนับร้อยที่ไม่รวมคนอีกจำนวนไม่ถ้วนซึ่งกำลังดูเหตุการณ์ตรงหน้าผ่านกล้องที่อามิตตาย้ำถามกับตากล้องของเธอว่าถ่ายเอาไว้ได้หรือไม่ แน่นอนว่าภาพทุกช็อตตั้งแต่ที่เจนใช้ทักษะนั้นได้ถูกบันทึกเอาไว้อย่างดี



    ตากล้องหันกลับมาถ่ายภาพอามิตตาที่กลับไปประจำที่บนเวทีอีกครั้ง โดยGMทั้งสองนั้นต่างหันหน้าพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนจะกลับมานั่งนิ่งอยู่เช่นเดิมโดยที่ไม่มีทีท่าตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย



    "ตอนนี้ทุก ๆ คนก็ได้คำยืนยันแล้วนะคะว่าคุณเจน ผู้กล้าในชุดขาวนั้นจะเข้าร่วมการประลองชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ด้วยอย่างแน่นอน ตอนนี้เขากลายเป็นม้ามืดที่มาแรงแซงคนอื่น ๆ ไปแล้วค่ะ เรามาฟังความเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นจากคุณGMทั้งสองกันดีกว่าค่ะ" นักข่าวสาวพูดออกมาอย่างชำนาญและหันไปหาเกมมาสเตอร์ทั้งสองที่กำลังทำใจว่าข้อมูลของเบลดมาสเตอร์ที่เตรียมมานั้นคงจะเปล่าประโยชน์ไปซะแล้ว เพราะตอนนี้ข้อมูลที่ผู้เล่นทั่วโลกต้องการนั้นคือข้อมูลของคนที่เพิ่งแสดงพลังบินหนีไปแล้วนั่นเอง







    เจนพุ่งตัวด้วยความเร็วสูงเข้าไปยังหน้าต่างเรียวกังที่ถูกเปิดเตรียมเอาไว้ให้แล้ว เธอรีบยกเลิกทักษะก่อนที่ใครจะสังเกตเห็นแสงสีทองแล้วรีบวิ่งแจ้นมายังเรียวกังแห่งนี้เพื่อหาตัวเธอ ภายในห้องนั้นทุกคนกำลังนั่งรอเธออยู่แล้ว และทันทีที่เจนเข้ามาในห้อง ฟีบีและคิทซึเนะก็รีบเข้าไปหาด้วยสีหน้าสำนึกผิดทันที



    "พี่เจน! พี่ปลอดภัยดีหรือเปล่าคะ คิทซึเนะขอโทษที่ทิ้งพี่เจนเอาไว้คนเดียว" จิ้งจอกสาวเอ่ยด้วยใบหน้าสำนึกผิด ใบหูและหางขอกเธอลดต่ำแสดงให้เห็นว่าเธอเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปจริง ๆ



    "ไม่เป็นอะไรหรอกคิทซึเนะ ตอนนั้นมันเหตุการณ์สุดวิสัย เธอทำตามที่โจบอกก็ถูกแล้วล่ะ" สีหน้าของคิทซึเนะดีขึ้นเมื่อเห็นว่าพี่สาวของเธอไม่ได้โกรธที่เธอหนีมากับฟีบี ทิ้งให้เจนเป็นเหยื่อของฝูงคนเอาไว้คนเดียว



    แต่เรื่องนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กไปทันทีถ้าหากเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ นั่นก็คือการที่ตอนนี้ทุก ๆ คนรู้แล้วว่าผู้กล้าชุดขาวคือตัวเธอนั่นเอง!



    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย โจ! ทำไมทุกคนถึงรู้เรื่องของฉันกันหมดล่ะ!!" เจนหันไปพูดเสียงดังกับเพื่อนหนุ่มที่ยืนเอามือไขว้หลังรอเธออยู่ใกล้ ๆ



    "ใจเย็น ๆ ก่อน" โจพูดเสียงค่อย พยายามจะทำให้เพื่อนสาวของเขาใจเย็นลง แต่คงจะยากเพราะสิ่งที่เขาและเธอพยายามจะไม่ให้เกิดขึ้นนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว



    "ต..แต่ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ฉันไม่ได้ใช้ทักษะให้ใครนอกจากพวกนายเห็นเลยด้วย แล้วทำไม..-"



    "เจน! ใจเย็น! พวกเรานี่แหละที่บอกข่าวเรื่องนั้นให้ทุกคนรู้เอง"



    คำพูดของเจนจุกอยู่ที่ลำคอเมื่อได้ยินสิ่งที่เพื่อนของเธอพูดออกมา สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความคิดของโจทั้ง ๆ ที่คนที่บอกให้เจนปกปิดเรื่องของตัวเธอนั้นก็คือเขาแท้ ๆ แล้วดูท่าทางไม่ใช่คนเดียวที่ร่วมมือเปิดเผยเรื่องราวของเธอซะด้วย แต่เป็นสามหนุ่มที่กำลังยืนเรียนหน้ากระดานเหมือนกับนักนักเรียนกำลังรอแถวโดนครูทำโทษ



    "ก่อนที่พวกนายรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ ฉันแนะนำให้รีบ ๆ คายออกมาให้หมดเลยว่าพวกนายทั้งสามคนทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร" เสียงหักนิ้วดังกร็อกแกร็กเป็นจังหวะ โจและแจ็คใบหน้าถอดสีไปทันทีเพราะตอนนี้เขาทำให้เพื่อนสาวไม่พอใจเข้าซะแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่โดนกำปั้นของเจนซะนานทำให้เขาเผลอทำให้เธอโมโหขึ้นมา เพราะถ้าเขายังจำได้ว่าการที่ไปยั่วโมโหเพื่อนสาวคนนี้เข้าจะทำให้พบกับอะไรล่ะก็ พวกเขาคงจะบอกว่าจะเปิดเผยข่าวของผู้กล้าในชุดขาวก่อนที่เจนจะไปเผชิญหน้ากับกองทัพผู้เล่นและหัวหน้ากิลด์ที่ดูจะมีชื่อเสียงทั้งสองคนนั้น



    แต่ใครบางคนดูเหมือนจะยังไม่รู้จักเจนดีพอ หนูส่งข่าวยังคงยิ้มร่าอย่างสะใจที่ได้แกล้งเพื่อนใหม่คนนี้ แม้ว่าตอนนี้จะไม่ใหม่แล้วก็ตาม



    "เรื่องผู้กล้าชุดขาวนะ พวกเราสามคนปรึกษากันแล้วว่าควรจะเปิดเผยให้ทุกคนรู้ดีกว่าจะปิดเอาไว้เป็นความลับอย่างเดิม เพราะอย่างน้อยตอนนี้เธอก็เก่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้แล้วจริงมั้ย"



    "มันก็ใช่ แต่ถ้าหากทุกคนรู้ก็หมายความว่าพวกกิลด์พิฆาตราชาก็ต้องรู้ด้วยเหมือนกัน ถ้าหากพวกนั้นส่งคนมาตามล่าฉันขึ้นมาล่ะก็ ไม่เพียงแค่พวกคิทซึเนะจะตกอยู่ในอันตรายแล้ว พวกนายได้พลอยติดร่างแหไปด้วยแน่" เจนพูดเสียงดัง เรื่องที่จะเกิดขึ้นกับตัวเธอนั้นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกังวลมากไปกว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับเพื่อน ๆ ของเธอเลย โดยเฉพาะคิทซึเนะและฟีบีที่เจนเป็นห่วงมากกว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับทั้งสองในขณะที่เธอไม่อยู่ในเกม



    "ฉันรู้ แต่นั่นก็เป็นความเสี่ยงที่พอจะยอมรับได้... คืออย่างนี้นะ การที่เปิดเผยตัวตนของผู้กล้าในชุดขาวแม้อาจจะทำให้พวกกิลด์พิฆาตราชาเข้ามาหาพวกเราก็จริง แต่มันก็ช่วยให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ รู้ว่ายังคงมีคนที่ต่อต้านพวกนั้นอยู่ สิ่งที่เธอทำมาก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นจัดการพวกโจรที่สุสาร หรือจะถล่มเมืองรีเด็มชั่น นั่นเป็นการเริ่มต้นให้คนอื่น ๆ มีความกล้าที่จะลุกขึ้นสู้กับกิลด์พิฆาตราชา" หนูส่งข่าวพูดพร้อมกับยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก คำพูดของเขาทำเอาเจนพูดอะไรไม่ออกเพราะสิ่งที่เธอจะเอามาเถียงนั้นกลับหดหายลงไปในลำคอจนหมดเมื่อเธอได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม



    "นี่เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าเธอนะเป็นเหมือนฮีโร่ของเกมนี้ไปแล้วรู้มั้ย กิลด์พิฆาตราชาที่เป็นเหมือนผู้ร้ายแต่ไม่มีฮีโร่ลุกขึ้นมาต่อต้านเหมือนกับโลกภายนอก เมื่อก่อนที่แม้กิลด์อันดับต้น ๆ รวมตัวกันยังทำอะไรไม่ได้แต่หลังจากที่เธอปรากฏตัวขึ้นเพียงไม่กี่เดือน ข่าวที่ว่าคนของกิลด์พิฆาตราชาโดนจัดการนั้นมีบ่อยซะยิ่งกว่าเมื่อก่อนซะอีก แบบนี้จะไม่ให้มองว่าเธอเป็นฮีโร่ผู้มาปลดปล่อยพวกเราจากกิลด์พิฆาตราชาผู้ชั่วร้ายแล้วจะให้มองเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง จริงมั้ย" หนูส่งข่าวยิ้มแล้วเอามือตบไหล่ของเจนเบา ๆ แม้ตอนนี้ในใจเธอจะยังสู้สึกไม่พอใจอยู่ก็ตาม แต่เธอก็ไม่รู้สึกโกรธเท่ากับก่อนหน้านี้แล้ว



    "ส่วนเรื่องเมื่อกี้นั้นมันก็แค่สนุก ๆ ขำ ๆ เธออย่าไปถือสาอะไรสองคนนั้นเลย" ชายหนุ่มกล่าวน้ำเสียงทะเล้นแต่นั่นยิ่งทำให้เส้นเลือดผุดขึ้นมาบนใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า เป็นสัญญาณอันตรายที่ทำให้สองหนุ่มจอจานรีบถอยห่างไปอย่างรวดเร็ว ทว่านั่นก็ยังไม่ทำให้หนูส่งข่าวรู้ตัวว่าเพชฌฆาตกำลังมาเยือนแล้ว



    มือเรียวถูกยกขึ้นสูงและทุบลงมายังร่างผอมบางของชายหนุ่มผู้ที่บอกว่าตัวเองนั้นเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ แต่ดูท่าทางแล้วเขาคงจะไม่รอดไปจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างแน่นอน



    หลังจากวันนี้คิทซึเนะ ฟีบีและซินจูต่างได้เรียนรู้ว่าการทำให้เจนโกรธนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาดของกลุ่มนี้ โดยเฉพาะหนูส่งข่าวที่ได้เรียนรู้จากบทเรียนราคาแพงที่นอกจากจะได้ลิ้มรสหมัดของเจนแล้ว เขายังต้องเสียเวลาอีกชั่วโมงหนึ่งเพื่อที่จะกลับมาสมทบพวกเจนอีกด้วย





    จบตอนที่35 เปิดเผยตัวตน

    -------------------------------

  40. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  41. #49
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 36 เบลดมาสเตอร! [ตอนแรก]

    ตอนที่ 36 เบลดมาสเตอร! [ตอนแรก]



    ตะวันคล้อยไปยามเย็น ท้องฟ้าถูกฉาบไปด้วยสีส้มและก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ บนผืนฟ้า ปกติแล้วตอนนี้ไม่ว่าผู้เล่นหรือชาวเมืองจะต้องเตรียมตัวกลับที่พักหรือท่องเที่ยวยามค่ำคืน แต่วันนี้คนส่วนใหญ่ในโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ออนไลน์กลับตรงไปยังงานเดียวกันที่ถูกจัดขึ้นพร้อมกันทุกเมืองและทุกทวีป



    การประลองเบลดมาสเตอร์!



    เจนกำลังยืนอยู่กับกลุ่มคนอีกเป็นจำนวนมากที่กำลังรอเวลาเริ่มการประลองในอีกไม่ช้า ทว่าเจนอยากให้มันรีบ ๆ มาถึงซักทีเพราะเธอรู้สึกอึดอัดจากสายตาของผู้เข้าร่วมประลองที่จ้องเธอเป็นสายตาเดียว เสียงพูดคุยซุบซิบแว่วเข้าหูมาเบา ๆ ต่างเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเธอทั้งนั้น บ้างก็ชื่นชมในสิ่งที่เธอทำ บ้างก็สงสัย แต่ส่วนใหญ่มีแต่คนที่พูดท้าทายว่าตัวเองนั้นสามารถเอาชนะตัวเธอได้สบาย ๆ แต่น่าตลกที่ไม่เห็นคนเหล่านั้นเดินเข้ามาท้าทายกับเธอตรง ๆ เลยแม้แต่คนเดียว



    ในขณะที่เจนแกล้งทำเป็นหูทวนลมอยู่นั้นก็มีผู้เล่นหลายคนเข้ามาพูดคุยกับเธออย่างเป็นมิตรอยู่ด้วยเช่นกัน คนเหล่านี้ต่างจากบลูธันเดอร์และครี้ดที่ตอนนี้หายไปที่ไหนก็ไม่รู้ พวกเขาส่วนใหญ่นั่นไม่มีกิลด์สังกัดอยู่ คนที่สังกัดกิลด์ก็เป็นแค่กิลด์เล็ก ๆ ที่มีคนไม่ถึงห้าสิบคนเท่านั้นเอง สิ่งที่เจนรู้สึกจากคนพวกนี้ที่บอกว่าแตกต่างจากหัวหน้ากิลด์ทั้งสองนั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะดึงตัวของเจนเข้ากิลด์ด้วยเลย พวกเขาเพียงแค่อยากจะเข้ามาคุยและชื่นชมในสิ่งที่เจนทำ และนั่นก็ทำให้เจนรู้สึกผ่อนคลายจากสายตาสอดรู้ของคนที่อยู่นอกกลุ่มขึ้นเยอะ



    "แล้วนายจะมีแผนไป..เอ่อ แบบว่าถล่มกิลด์พิฆาตราชาน่ะ ฮะ ๆ นายจะเข้าไปลุยกับพวกนั้นอีกใช่มั้ย" ชายหนุ่มร่างอ้วนพูดกับเจนอย่างสนิทสนม



    ชายผู้นี้มีชื่อว่าสิงโตทะเล เขาเป็นนักดาบร่างอ้วนที่สะพายดาบคู่เอาไว้ที่กลางหลัง แม้ว่ารูปร่างจะไม่ให้แต่เขาก็ยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้ใช้ดาบที่เก่งมากเช่นกัน เจนรู้สึกว่าเขาเป็นมิตรมากกว่าหลาย ๆ คนแถวนี้มาก อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเขานั้นก็เป็นคนไทยเหมือนกับเจนเช่นกัน



    "ไม่รู้สิ ที่ฉันทำลงไปก็เพราะพวกนั้นทำตัวน่ารังเกียจแถมยังทำตัวเป็นอันธพาลอีกมันก็เลยอดไม่ได้ ตอนนี้ฉันยังไม่คิดจะทำอย่างที่นายพูดหรอกนะ แต่ถ้าในอนาคตล่ะก็ไม่แน่" เจนเอ่ยตามความจริง เรื่องทั้งหมดที่เกิดนั้นเธอไม่ได้เป็นคนเริ่มซักหน่อย



    "ฮ่า ๆ ! นายนี่แน่มากจริง ๆ พูดเหมือนกับพวกกิลด์พิฆาตราชาเป็นแค่นักเลงข้างถนนเลย เอาไว้ถึงตอนที่นายจะจัดการกับพวกกิลด์พิฆาตเมื่อไหร่ อย่าลืมบอกให้ฉันรู้ด้วยนะ ไม่สิ! ความจริงนายน่าจะประกาศให้ทุกคนรู้ไปเลย ฉันรับรองว่าต้องมีคนมาช่วยนายแน่ อย่างน้อยก็พวกเราแถวนี้หลายคนล่ะ" สิงโตทะเลเอ่ย มีเสียงของผู้เล่นคนอื่น ๆ สนับสนุนดังตามมาไม่ขาด



    เจนยิ้มอย่างซาบซึ้งให้กับน้ำใจของผู้เล่นรอบตัวที่มีให้เธอ แม้ว่าจะไม่ได้มีผลประโยชน์กับพวกเขาหรืออาจจะโดนกิลด์พิฆาตราชาหมายหัวด้วยซ้ำไป แต่คนเหล่านี้ก็ยังคงยินดีที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ



    "ขอบใจมากนะทุกคน แล้วก็นายด้วยนะ พ่อสิงโตทะเล" เจนเอ่ย ทำให้คนที่ถูกเอ่ยขึ้นได้แต่เกาศีรษะเบา ๆ ด้วยความเขินอาย



    ระหว่างที่พวกเธอกำลังพากันบันทึกชื่อเป็นเพื่อนและคุยกันเรื่อยเปื่อยนั้นเอง เจนก็เหลือบไปเห็นคนอีกกลุ่มที่ไม่ได้เป็นพวกผู้เล่นที่ไม่เข้ามาทักทายเจน พวกเขาเหล่านี้ต่างจากผู้เล่นคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิงเพราะใบหน้าของเขานั้นไร้ซึ่งรอยยิ้มอย่างสิ้นเชิง มีเพียงคิ้วที่ย่นเข้าหากันพาบรรยากาศรอบ ๆ ดูเครียดตามไปด้วย นอกจากนั้นชุดที่พวกเขาสวมใส่อยู่นั้นก็ดูมีระดับสูงมากกว่าผู้เล่นแถวนี้หลายคนซะอีก



    "นี่ พวกนั้นเป็นใครงั้นหรือ" เจนหันไปหาสิงโตทะเล เมื่อชายหนุ่มหันมองตามก็อ้าปากร้องอ๋อทันที



    "อ่า พวกนั้นคือยอดขุมพลจากเมืองในทวีปอัลเทเชีย..เป็นเอไอน่ะ อย่างผู้หญิงคนนั้น คนที่สวมชุดซามูไรสีแดงคนนั้นน่ะ เธอมีชื่อว่าโทโมเอะ โกเซน เป็นหนึ่งในสุดยอดแม่ทัพของเมืองยามะไตนี่แหละ ใกล้ ๆ กันนั้นคือนายพลฟู่ ว่ากันว่าใช้กระบี่เก่งสุด ๆ ส่วนคนข้าง ๆก็..-"



    "โอเค ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าพวกนั้นเป็นยอดขุมพลกันทั้งนั้น" เจนรีบตัดบทก่อนที่สิงโตทะเลจะได้พูดต่อ เพราะยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้หนักใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะเธออาจจะต้องได้ประดาบกับคนเหล่านี้ในอีกไม่นานต่อจากนี้



    "ก็แน่ล่ะ แต่ที่ฉันอยากจะบอกก็คือ พวกเขาเหล่านี้อย่างต่ำก็ยศขุนนาง เลเวลหกสิบไปแล้ว บอกตามตรงว่างานนี้ถึงจะเป็นนายก็เถอะ แต่ฉันพอจะเดาออกได้ว่าพวกไหนจะได้เป็นเบลดมาสเตอร์" สิงโตทะเลว่า และนั่นก็เป็นสิ่งที่เจนเห็นด้วยเช่นกัน



    ตอนนั้นเองที่ด้านหน้าของพวกเธอก็มีจอแสงปรากฏขึ้นมา โดยบนจอนั้นเป็นอามิตตากำลังยืนยิ้มร่าอยู่



    "สวัสดียามเย็นค่ะทุก ๆ ท่าน ต้องขออภัยด้วยที่ต้องให้รอนาน แต่ตอนนี้เวลาที่ทุกท่านกำลังรอคอยใกล้มาถึงแล้ว นั่นก็คือเวลาของการประลองเบลดมาสเตอร์นั่นเองค่ะ!"



    ทันทีที่นักข่าวสาวพูดจบ เสียงร้องตะโกนจากทั้งผู้เข้าร่วมประลองก็ดังกระหึ่มขึ้นมาจนเจนเอามืออุดหูแทบไม่ทัน ท่าทางของรางวัลที่หลุดปากมาโดยตั้งใจของเกมมาสเตอร์หลินนั้นจะดึงดูดทั้งผู้ที่หวังของในของรางวัลและผู้ที่ต้องการจะเห็นเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว



    "และสวัสดีไปทางเมืองคาเมล็อทที่ทวีปยูโรปาและเมืองคริสตัลเบลบนทวีปไลเทเชียด้วยนะคะ ดิฉัน อามิตตายังคงเกาะติดงานประลองเบลดมาสเตอร์อยู่ ซึ่งในตอนนี้พวกเราก็กำลังถ่ายทอดสดจากเมืองยามะไตค่ะ ตอนนี้GMหลินและGMฟินน์ก็ยังคงอยู่คอยให้ข้อมูลและตอบคำถามที่พวกเราสงสัยอยู่เช่นเคยค่ะ" นักข่าวสาวพูดพร้อมกับผายมือไปยังGMทั้งสอง



    "และตอนนี้ดิฉันก็ได้รับเกียรติให้เป็นผู้แจ้งการประลองรอบแรกให้กับทุก ๆ คนได้ทราบกันนะคะ เนื่องจากในการประลองครั้งที่ห้าร้อยสิบนี้มีจำนวนผู้เข้าร่วมต่อสู้รวมทั้งสามทวีปแล้วมีถึงแปดหมื่นคนทีเดียวค่ะ นั่นถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของดิ โอเพ่น เวิลด์เลยนะคะ แต่ก็เป็นเพราะเนื่องจากมีคนเข้าร่วมประลองเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ทำให้พวกเราต้องเปลี่ยนรูปแบบการประลองค่ะ" อามิตตาว่า เสียงคุยฮือฮาในหมู่ผู้เล่นและยอดนักรบต่างหันไปคุยกันด้วยความสงสัยทันทีว่าการประลองรอบแรกนั้นจะออกมาในรูปแบบไหนกัน



    แต่ก่อนที่จะได้สงสัยไปมากกว่านี้ ตรงหน้าของเจนก็มีประตูสีขาวบานใหญ่ปรากฏขึ้นมา เมื่อมองเข้าไปก็พบว่าด้านในนั้นเป็นเหมือนกับลานดินกว้าง แต่มองจากด้านนอกเช่นนี้คงบอกอะไรมากไม่ได้นัก



    "ขอให้ผู้เข้าร่วมการประลองทุกท่านทยอยเข้าไปในประตูด้านหน้าด้วยค่ะ ทั้งผู้เข้าร่วมประลองที่เมืองคาเมล็อทและเมืองคริสตัลเบลด้วยนะคะ ประตูบานนี้จะพาทุกท่านไปยังสนามประลองที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้วค่ะ"



    พวกเจนเดินตามคนอื่น ๆ เข้าไปด้านในบานประตู หลังจากเข้ามาเจนก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในลานประลองโคลอสเซียมขนาดใหญ่ ลานหินกว้างใหญ่ถูกอาคารหินสีขามล้อมรอบ มีคบเพลิงจำนวนมากถูกจุดขึ้นเอาไว้ที่กำแพงส่องสว่างจ้าซะจนสว่างเหมือนเวลากลางวัน เมื่อมองไปอีกด้านของสนาม เจนก็เห็นประตูแบบเดียวกันที่เธอเดินผ่านเข้ามาอีกสองบานที่มีผู้เล่นจำนวนมากกำลังเดินเข้าเช่นเดียวกันกับประตูด้านหลังของเธอ



    เหนือกำแพงไปนั้นก็เป็นอัฒจรรย์ที่ใช้มองเห็นลานประลองได้เต็มตา ตรงบริเวณทางเข้าก็เริ่มมีคนกำลังเดินเข้ามาจับจองที่นั่งส่วนหน้าสุดกันแล้ว แม้ว่าโคลอสเซียมแห่งนี้จะมีขนาดใหญ่มากก็ตาม แต่คงไม่สามารถจุผู้ชมได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน เจนต้องการแค่ไม่กี่คนที่อยากให้เข้ามาด้านในได้และเธอก็เห็นเด็กสาวในชุดสีฟ้ากำลังเดินจูงมือสาวงามในชุดขาวสองคนที่มองไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้นโดยมีชายหนุ่มที่เธอรู้จักดีอีกสามคนกำลังเดินตามมา



    "ช่วงเวลาที่รากำลังรอให้ทุกคนเข้ามาในลานประลองอยู่นี้ ผู้เข้าร่วมประลองทุกท่านคงจะทราบดีแล้วนะคะว่าทุกคนจะต้องใช้อาวุธที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ ดังนั้นผู้เข้าร่วมประลองที่มาถึงแล้วสามารถไปหยิบอาวุธที่อยู่บนกำแพงได้เลยค่ะ" เสียงของอามิตตาดังขึ้น



    เจนหันไปมองตามที่อามิตตาว่าก็พบกับดาบหลากชนิดจำนวนนับไม่ถ้วนวางอยู่บนชั้นติดกำแพง บ้างก็วางบนชั้นวางบนพื้นใกล้ ๆ กัน เธอและผู้เล่นจำนวนมากรีบเดินเข้าไปเลือกอาวุธที่ตนต้องการก่อนจะถูกหยิบไปจนหมด แต่เมื่อเห็นว่าอาวุธที่ถูกหยิบไปแล้วนั้นจะกลับมาอีกครั้ง ไม่จำเป็นจะต้องกังวลว่าจะโดนแย่งอาวุธไปจนหมด



    เจนตรงเข้าไปหยิบดาบคาตะนะมาเล่มหนึ่ง แม้จะมีน้ำหนักเบาไปหน่อยแต่ก็รู้สึกเหมาะมือพอ ๆ กับคุซานางิเลยทีเดียว



    ในเวลาไม่นานนักเมื่อผู้ชมเข้าประจำที่และผู้ประลองได้อาวุธในมือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจนก็เห็นได้ทันทีว่ากลุ่มผู้เข้าร่วมประลองนั้นแบ่งได้เป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ จากทั้งสามทวีป เธอสังเกตได้อย่างง่าย ๆ เพราะการแต่งกายของกลุ่มนักรบที่บอกได้ถึงที่มา พร้อมกันนั้นอามิตตาก็ประกาศขึ้นอีกครั้ง "การประลองรอบแรกจะเป็นการต่อสู้แบบตะลุมบอนค่ะ โดยผู้ที่สามารถจัดการคนอื่นได้ถึงสิบคนจะผ่านเข้าไปประลองในรอบที่สองทันทีค่ะ"



    พูดจบ ทั้งผู้ชมและตัวผู้ประลองเองต่างก็ส่งเสียงร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะพวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าการประลองนี้จะเป็นแบบไหนจึงได้แต่เดากันไปทั่ว แต่ไม่ว่าจะคาดเอาไว้ยังไงก็ไม่มีใครคิดว่าจะต้องออกมาเป็นแบบนี้อย่างแน่นอน



    เมื่อตั้งสติได้ เจนก็ยกดาบขึ้นเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนและมองไปรอบ ๆ ซึ่งผู้เล่นคนอื่น ๆ เองก็คิดแบบเดียวกันกับเธอเช่นกัน แต่เธอรู้สึกได้ถึงสายตามุ่งร้ายมาจากผู้เล่นรอบตัวเธอจำนวนมาก และเธอก็รู้เหตุผลด้วยว่าทำไม



    "การประลองรอบคัดเลือกจะเริ่มในอีก ห้า..สี่..สาม..สอง..หนึ่ง..."



    แก้ง!!



    เสียงเคาะให้สัญญาณดังลั่นโคลอสเซียมพร้อมกับการเปิดฉากการโจมตีของเหล่านักดาบเบื้องล่าง เจนรู้สึกได้ทันทีว่ามีหลายคนกำลังพุ่งเป้ามาที่เธอจากหลายทิศทาง และเธอก็ไม่สามารถจะรับมือพวกเขาเหล่านั้นได้ทั้งหมดถ้าหากไม่ใช้ทักษะช่วย



    ตูม!!!



    เสียงระเบิดดังลั่นใกล้กับจุดที่เจนยืนอยู่ ทำให้คนที่คิดจะเข้าไปรุมเธอต้องหยุดมองเพราะการประลองนี้ไม่สามารถใช้ทักษะได้มากนัก ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่แสดงพลังทำลายมหาศาลดังที่เพิ่งเกิดขึ้นมาได้นั้นก็ต้องถือว่าเป็นตัวอันตรายมากทีเดียว



    เมื่อมองไปดูก็พบว่าผู้ที่ทำให้เกิดเสียงระเบิดนั้นเป็นชายในชุดเกราะหนาแบบจีน อาวุธของเขานั้นเป็นดาบบังตอขนาดใหญ่พอ ๆ กับดาบของครี้ดที่เจนเคยเห็น เจนรีบถอยออกห่างทันทีเพราะเธอไม่อยากจะโดนดาบเล่มนั้นตัดร่างเข้าแม้ว่าเธอยังแปลกใจว่ามีอาวุธแบบนี้ให้เลือกด้วยงั้นหรือ



    ชายคนนั้นรู้ตัวว่าตอนนี้เขาเรียกความสนใจของคนรอบ ๆ ได้แล้ว แต่นั่นไม่ทำให้เขากังวลเลยแม้แต่น้อย แทนที่จะถอยไปตั้งรับ ตรงกันข้าม เขากลับพุ่งเข้าใส่กุล่มผู้เล่นที่เพิ่งรวมกลุ่มเพื่อที่จะเข้ามาจัดการเขาพร้อมกับยกปังตอขึ้นสูงและฟาดปะทะเข้ากับกลุ่มผู้เล่นตรงหน้าทันที



    ตูม!!



    เสียงของปังตอฟาดใส่ดาบในมือของกลุ่มผู้เล่นเสียงดัง ความรุนแรงของมันนั้นทำให้พวกเขากระเด็นไปคนละทิศคนละทางก่อนที่จะหายกลายเป็นแสงไป เจนเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะว่าเธอเชื่อว่าการโจมตีเมื่อครู่นั้นไม่ได้สร้างความเสียหายมากพอที่จะจัดการผู้เล่นเหล่านั้นได้ในดาบเดียวแน่



    "เริ่มต้นขึ้นแล้วค่า!! เพิ่งเริ่มการประลองเพียงแค่ไม่กี่วินาที กลุ่มผู้เล่นหลายคนก็โดนจัดการเข้าแล้วค่ะ แต่ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เนื่องจากกฎได้บอกเอาไว้ว่าเมื่อผู้เข้าร่วมประลองนั้นบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถทำการต่อสู้ได้หรือหมดสติไปก็จะถูกนำออกจากการประลองทันที ดังนั้นการประลองครั้งนี้ปลอดภัยหายห่วงค่ะ แต่จากการโจมตีที่ขนาดใช้แค่อาวุธธรรมดายังจัดการคู่ต่อสู้ได้ในดาบเดียวแบบนี้ก็ถือว่ารุนแรงมากทีเดียวค่ะ ช่วยบอกหน่อยได้มั้ยคะว่าเขาคนนั้นเป็นใคร" อามิตตาดูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใบหน้าของเธอนั้นอยู่บนจอแสงที่อยู่เหนือโคลอสเซียมที่มองเห็นได้จากทั้งสนาม



    "อ่า นั่นเป็นจอมพลฉินครับ เขาเป็นยอดนักรบอีกคนแห่งลั่วหยาง ก่อนที่เขาจะมาเป็นจอมพลนั้นเขาคือคนขายเนื้อทำให้อาวุธของเขาเป็นมีดบังตออย่างที่ทุกคนเห็นกันนะครับ และเขาอย่างที่ทุกคนน่าจะรู้กันแล้วว่าเขามียศขุนนาง เลเวลเจ็ดสิบครับ" GMฟินน์กล่าว



    เจนได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหน้าซีด เพราะนายพลผู้นี้มีความเก่งกาจยิ่งกว่าราชาเทนกุจมูกยาวที่เจนใช้พลังสถิตร่างแล้วยังพลาดท่าซะอีก ตอนนี้นอกจากเธอจะยังไม่สามารถใช้ทักษะได้แล้ว อาวุธที่อยู่ในมือก็ไม่ใช้ดาบคุซานางิอีกต่างหาก งานนี้เจนไม่รู้เลยว่าเธอจะเอาชนะชายผู้นี้ได้ยังไง



    ถึงแม้จะรู้ว่าชายตรงหน้าเก่งกาจเพียงใด แต่ผู้เข้าร่วมประลองที่เป็นผู้เล่นก็ยังไม่ยอมแพ้ ทุกคนต่างหันหน้าเข้าจับมือเป็นพันธมิตรกันชั่วคราวโดยมีเป้าหมายเดียวนั่นก็คือจอมพลฉินผู้ใช้ดาบปังตอขนาดยักษ์เป็นอาวุธ



    ผู้เล่นกว่าสามสิบคนต่างพุ่งเข้าไปโจมตีใส่จอมพลฉินเพียงคนเดียว แต่ใบหน้าภายใต้หมวกเหล็กกลับนิ่งเรียบไร้ความรู้สึก เขาเพียงแค่ยกปังตอขึ้นและเตรียมพร้อมกับศัตรูที่กำลังประดาหน้าเข้ามาเท่านั้น



    ตูมม!! ตูมม!! ตูมม!!



    จอมพลฉินสะบัดดาบเพียงสองสามที ผู้เล่นหลายสิบก็กระเด็นไปไกล บ้างก็ถึงกับกลายเป็นแสงไป แต่ไม่ว่าพวกเขาจะบาดเจ็บสาหัสหรือสลบเหมือดไปก็ตาม แต่การโจมตีครั้งนี้เปิดทางโล่งให้จอมพลฉินสามารถมองเห็นเจนที่ยืนนิ่งเพราะถูกดวงตาเย็นชาของเขาจ้องจนไม่กล้าขยับไปไหนราวกับสิงโตกำลังจ้องเหยื่อของมัน



    เจนรู้สึกได้ถึงดวงตาคู่นั้นที่กำลังจ้องมาที่เธอสะกดไม่เพียงแค่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจของเธอด้วย เจนรู้สึกร่างกายของเธอเย็นเฉียบแต่เหงื่อกลับไหลลงมาที่กลางหลัง เหมือนกับคำกล่าวที่เธอเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อนว่า 'ยอดนักรบเพียงแค่จ้องตาก็ชนะแล้ว' และจอมพลฉินนั้นก็สมกับเป็นยอดนักรบจริง ๆ ไม่ใช่เพราะมีเลเวลเยอะกว่า แต่เป็นดวงตาที่ผ่านเหตุการณ์มานับไม่ถ้วนคู่นั้นที่เป็นดาบตัดหัวของเธอ



    ทว่าแทนที่จะรีบปลิดชีพเจน จอมพลฉินกลับเอาปังตอวางทิ่มดินเหมือนกับว่าไม่ต้องการจะต่อสู้ต่อ แล้วจากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นแสงหายไปพร้อมกับมีใบหน้าของเขาปรากฏขึ้นบนจอแสงอีกอันที่เขียนเอาไว้ว่าผู้ที่ผ่านเข้าการประลองรอบที่สอง



    "มาแล้วค่ะผู้ที่ผ่านการประลองรอบแรก และก็เป็นอย่างที่เราคาดกันเอาไว้จริง ๆ ค่ะว่าเป็นหนึ่งในเหล่ายอดขุมพล งานประลองนี้แม้จะมีผู้เล่นเป็นจำนวนมากกว่าแต่ความสามารถและเลเวลของยอดขุมพลเหล่านี้ทำให้ผู้เล่นเป็นต่ออยู่มากทีเดียวค่ะ" อามิตตาพูดแล้วจึงหันไปมองดูการต่อสู้อื่นที่น่ารายงานขึ้นจอมากที่สุดแทนจอมพลฉิน



    เจนถอยหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ถ้าหากจอมพลฉินไม่ผ่านเข้ารอบไปพอดีล่ะก็เธอคงจะเป็นหนึ่งในคะแนนที่ช่วยให้เขาผ่านเข้ารอบไปแล้ว เจนรู้สึกถึงความอ่อนหัดของตนเองที่ยังคงขาดประสบการณ์อีกมาก แม้เธอจะฝึกฝนและสู้กับมอนสเตอร์มาจนคิดว่าตนมีฝีมือดาบเข้าขั้นแล้วก็ตาม แต่พอได้มาเผชิญหน้ากับยอดฝีมือจริง ๆ ในสนามประลองที่ใช้ฝีมือปะทะฝีมือนั้นก็ทำให้เจนเห็นว่ายังคงเป็นการเดินทางอีกไกลทีเดียวที่จะทำให้เจนสามารถเรียกตนเองว่าเป็นยอดฝีมือได้ในโลกดิ โอเพ่น เวิลด์แห่งนี้



    หญิงสาวยกมือซ้ายขึ้นมาตบหน้าตัวเองแรง ๆ เลือดที่สูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้าช่วยเรียกสติของเธอให้กลับมาอีกครั้ง เจนก้มลงมองดูดาบในมือตัวเองและให้คำมั่นเอาไว้เลยว่าเธอจะไม่เป็นคนตาขาวที่ถูกสะกดเช่นนั้นอีก



    เสียงร้องตะโกนจากด้านหลัง เจนหันไปมองพบว่าเป็นผู้เล่นคนหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหาเธอโดยถือดายเข้ามาอย่างมุ่งร้าย มือบางกำดาบแน่นให้แน่ใจว่าจะไม่ทำให้มันหลุดออกจากมือ ดวงตาสีแดงโกเมนจ้องไปยังศัตรูตรงหน้าและพุ่งเข้าหาพร้อมกับฟาดดาบสวนกลับไปด้วยสัญชาติญาณ







    บนอัฒจรรย์โคลอสเซียม พวกโจที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดได้มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เพื่อนของพวกเขาสามารถรอดพ้นเงื้อมมือมาจากจอมพลฉินมาได้อย่างหวุดหวิด



    "เฮ่อ ดีนะเนี่ยที่ขุมพลคนนั้นผ่านเข้ารอบไปพอดี ยัยเจนเกือบไปแล้วมั้ยล่ะ" จอมเวทหนุ่มพูด เสียงชิชะดังมาจากโจรหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ดูท่าทางเขายังคงโกรธเพื่อนที่เพิ่งจัดการส่งเข้าไปรอเกิดและเสียเวลาไปถึงหนึ่งชั่วโมง...แม้ในเป็นเวลาในเกมก็ตาม



    "โถ่ไม่เอาน่าไอ้หนู นี่นายยังน้อยใจที่เจนฆ่านายอยู่อีกหรือไง ตอนนี้นายเพิ่งผ่านภารกิจเปลี่ยนยศมา เลเวลก็ไม่ได้ลดซักหน่อยนี่นา ถือว่าขำ ๆ น่า" แจ็คกล่าวล้อเลียน



    หนูส่งข่าวที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าและหันไปมองดูการต่อสู้เบื้องล่างต่อไป



    "ขนาดเจอนักรบที่เป็นเอไอยังเป็นถึงขนาดนี้ ถ้าหากพี่เจนเจอกับพวกหัวหน้ากิลด์ใหญ่ ๆ เข้าจะเป็นยังไงนะ อย่างพวกกิลด์หกราชันย์หรือกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่" ซินจูเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง



    "อ่า เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก งานนี้มีพวกหัวหน้ากิลด์ใหญ่ ๆ เข้าร่วมประลองอยู่ก็จริง แต่อย่างน้อยไม่มีพวกติดห้าอันดับแรกโผล่อยู่เลย" โจว่า



    "เอ๋! แต่ว่างานประลองนี้มีอาวุธระดับ S ที่ยังไม่เคยมีใครได้มาก่อนเป็นรางวัลเชียวนะคะ" ซินจูถามด้วยความแปลกใจ เพราะนอกจากดาบคุซานางิของเจนแล้วเธอก็ไม่เคยเห็นอาวุธระดับ S ชิ้นอื่นมาก่อน ซึ่งเหล่าหัวหน้ากิลด์ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่สนใจดาบที่เป็นของรางวัลงานประลองนี้



    "ถ้าเป็นเมื่อปีที่แล้วล่ะก็คงยังไม่มีอาวุธระดับ S อยู่หรอก แต่ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ฉันมั่นใจว่าพวกหัวหน้ากิลด์ห้า...ไม่สิ สิบอันดับแรกเลยก็ได้ พวกเขาจะต้องมีอาวุธระดับ S เอาไว้ในครอบครองแล้วแน่ ๆ" โจอธิบายพร้อมกับชี้ลงไปยังผู้เล่นคนหนึ่งที่กำลังสู้อยู่ในสนามด้วยดาบขนาดใหญ่กว่าสองเมตร นั่นก็คือครี้ด หัวหน้ากิลด์ราชสีห์ทมิฬนั่นเอง



    "หมอนั่นและอีกคนที่จะดึงเจนเข้ากิลด์เมื่อตอนเช้านั้นเป็นหัวหน้ากิลด์อันดับเก้าและอันดับแปด ในบรรดาผู้เล่นที่ฉันรู้จักนอกจากยัยเจนแล้วก็มีแค่สองคนนี้เท่านั้นที่น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับพวกยอดขุมพลได้ ที่กิลด์อันดับต้น ๆ ไม่เข้ามาร่วมในงามใหญ่ขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าเรื่องที่กิลด์พิฆาตราชากับกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ประกาศสงครามกันนั่นแหละ"



    "ฉันเองก็ได้ข่าวมาว่าคนของทั้งสองกิลด์ตอนนี้กำลังเรียกรวมพลไปเก็บเลเวลกันยกใหญ่เชียวล่ะ มีหลายดันเจี้ยนแล้วที่ถูกพวกกิลด์พิฆาตราชายึดไม่ให้คนอื่นเข้าไปเก็บเลเวลจนทำให้คนอื่น ๆ เดือดร้อนกันไปทั่ว จนเกิดข้อพิพาทกับกิลด์ใหญ่ ๆ เพียบจนต้องกำลังพลมาคอยเฝ้าระวังในพื้นที่ของตัวเองเอาไว้ โดยเฉพาะกับกิลด์วิหคเทเวศที่เป็นกิลด์อันดับสามของเกม....อ้อและเป็นกิลด์หญิงล้วนกับหญิงเทียมอีกนิดหน่อย" หนูส่งข่าวเสริม



    "หญิงเทียมคืออะไรหรือคะ" ฟีบีถามขึ้นเสียงใส ดวงตาใสซื่อของเธอจ้องมองมาที่หนูส่งข่าวอย่างสงสัยใคร่รู้ เขาพยายามคิดว่าจะตอบอย่างไรดีที่จะทำให้เด็กน้อยคนนี้เข้าใจว่าสาวเทียมคืออะไร



    "เดี๋ยวพี่อธิบายให้ฟีบีฟังเองดีกว่านะ สาวเทียมก็คือผู้ชายที่มีจิตใจเป็นผู้หญิงไงล่ะจ๊ะ" ซินจูรีบชิงอธิบายก่อนที่หนูส่งข่าวจะยัดเยียดอะไรไม่ดีเข้าหัวของมังกรน้อยเข้า



    "อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ฟีบีเข้าใจแล้วค่ะ" มังกรน้อยส่งเสียงออกมาแล้วหันไปเกาะขอบกำแพงมองลงไปยังการต่อสู้ด้านล่างต่อ



    ส่วนพวกสามหนุ่มก็แอบโล่งใจเพราะจู่ ๆ ฟีบีก็ถามคำถามแปลก ๆ ออกมา ถ้าหากพวกเขาไปทำให้น้องสาวที่เจนสุดหวงไปเข้าใจอะไรไม่ดีไม่งามเข้าล่ะก็ มีหวังได้ลิ้มรสชาติหมัดของเธอที่หนูส่งข่าวยังคงจดจำได้ดีอย่างแน่นอน







    เคร้ง!!



    เสียงของดาบคาตะนะปะทะเข้ากับดาบเรเฟียที่แทงเข้าใส่ร่างในชุดคลุมสีขาวอย่างรวดเร็ว คู่ต่อสู้ของเจนตอนนี้เป็นหญิงสาวร่างสูงคนหนึ่งที่มีผมสีทองด้วงตาสีฟ้า หน้าตาค่อนจะไปเป็นชาวยุโรป อาจจะเป็นฝรั่งเศสหรือเยอรมันแต่เจนไม่ได้สนใจตรงนั้น ที่เธอสนใจตอนนี้คือจะทำยังไงถึงจะเอาชระเธอได้มากกว่า



    หญิงสาวตรงหน้ายกดาบขึ้นแทงและก้าวเท้าเข้าระชิดตัวไปพร้อมกัน ทำให้เจนได้แต่เพียงยกดาบปัดป้องและก้าวเท้าถอยเท่านั้น และด้วยความเร็วของดาบเรเฟียที่แทงเข้ามานั้นก็สามารถรู้ได้ว่าหญิงสาวคนนี้ต้องเคยฝึกการฟันดาบมาอย่างแน่นอน หากเจนพลาดเพียงครั้งเดียวก็หมายถึงการพ่ายแพ้ได้ทันที



    ถ้าหากเป็นตัวเธอเมื่อก่อนล่ะก็คงแพ้ไปแล้ว แต่ตอนนี้เจนได้รับการฝึกจากหมิงเต๋อมาแล้วและยังฝึกการต่อสู้กับซาลามานเดอร์ป่ามาอย่างดีจากการล็อกอินครั้งที่แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นแค่การฝึกในเกมและอาจจะเทียบไม่ได้เพราะจำนวนชั่วโมงบินต่ำกว่า แต่เจนก็มั่นใจว่าเธอสามารถจะเอาชนะได้ถ้าหากเธอเจอช่องว่างพอที่จะโจมตีสวนกลับไป เพียงแค่ครั้งเดียวก็น่าจะเกินพอ



    ในที่สุดโอกาสของเจนก็มาถึง นักดาบสาวแทงดาบพลาดจนเสียจังหวะ เจนปัดดาบของหญิงสาวตรงหน้าเต็มแรงจนดาบหลุดออกจากมือของเธอและก้าวประชิดโดยใช้หัวไหล่ชนจนร่างของทั้งคู่ล้มกลิ้งไปนอนลงบนพื้น เจนรีบกระโดดลุกขึ้นและใช้ดาบชี้ไปยังใบหน้าของหญิงสาวผมทองที่เอื้อมมือไปหาดาบของเธอซึ่งห่างไปเพียงแค่ปลายนิ้ว



    หญิงสาวรู้สึกได้ถึงเหล็กเย็นเฉียบทาบเข้าที่ลำคอ ตอนนี้เธอรู้ได้ทันทีว่าจะดิ้นรนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วจึงชักมือกลับมาแล้วเงยหน้ายิ้มให้กับเจนที่ส่งยิ้มกลับมาเช่นกัน



    "โอเค ฉันยอมแพ้" หญิงสาวกล่าว เมื่อเจนได้ยินดังนั้นก็เก็บดาบแล้วจึงส่งมือไปให้เธอและดึกให้ลุกขึ้นมาจากพื้น



    "นายนี่เก่งจริง ๆ ขนาดฉันเป็นนักกีฬาฟันดาบระดับมหาลัยยังทำอะไรนายไม่ได้เลย สมแล้วที่ทุกคนเรียกนายว่าผู้กล้าชุดขาว" หญิงสาวกล่าว



    เจนได้ยินที่หญิงสาวพูดก็หัวเราะแห้ง ๆ ให้เป็นคำตอบ "เธอเองก็เก่งใช่ย่อยเหมือนกันนั่นแหละ ที่ชนะเธอครั้งนี้มันแค่โชคช่วยเท่านั้นเอง"



    "เอาเถอะ จะพูดยังไงแต่ครั้งนี้นายเป็นผู้ชนะอยู่ดี ผ่านเข้ารอบไปให้ได้ล่ะ" หญิงสาวกล่าวแล้วร่างของเธอก็กลายเป็นแสงหายไปต่อหน้าของเจน



    เธอเป็นคนที่เก้าแล้วที่เจนเอาชนะมาได้ แต่กว่าจะถึงขนาดนี้ก็ทำเอาเหนื่อยเหมือนกัน มีหลายต่อหลายครั้งที่เธอพลาดและเกือบจะถูกฆ่าแต่โชคดีที่ยังเจนยังหาทางพอที่จะหนีมาได้อย่างหวุดหวิด



    ตอนนี้สนามประลองแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มแรกเป็นเหล่ายอดขุมพลที่มีอยู่หลายร้อยคนในการประลองรอบนี้ ซึ่งพวกเขาทุกคนต่างก็แยกย้ายไปจัดการผู้เล่นไม่รวมกลุ่มกันเอง อีกกลุ่มเป็นพวกผู้เล่นที่รวมตัวกันสู้กับเหล่าขุมพลที่แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะตกรอบไปมากกว่ากลุ่มอื่น แต่พวกเขาก็สามารถทำให้ขุมพลตกรอบไปแล้วหลายร้อยคนเช่นกัน สุดท้ายเป็นพวกผู้เล่นที่คิดจะพาตัวเองผ่านเข้ารอบไปให้เร็วที่สุดซึ่งเจนก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน



    เจนกระชับดาบแน่นแล้วออกเดินหน้าหาคู่ต่อสู้คนสุดท้ายที่จะเป็นแต้มทำให้เธอได้ผ่านเข้ารอบต่อไป ตอนนี้ผู้ที่ผ่านเข้ารอบนั้นพุ่งสูงไปกว่าหกพันคนแล้ว แต่ถ้าหากวัดที่จำนวนผู้เข้าร่วมประลองแล้วก็ถือว่าน้อยมากเพราะจำนวนผู้เข้าร่วมประลองนั้นเดิมมีถึงแปดหมื่นคน นับได้ว่าการประลองรอบนี้ได้บรรลุจุดหมายของมันได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว นั่นก็คือการคัดคนตกรอบออกไปให้มากที่สุด



    ระหว่างที่กำลังมองหาคู่ต่อสู้คนสุดท้าย เจนก็พยายามหลีกเลี่ยงพวกขุมพลเอาไว้ก่อนถ้าหากเป็นไปได้ เพราะตอนนี้เธอรู้ตัวว่าตนนั้นยังคงไม่อาจจะสู้กับพวกเขาได้ในตอนนี้ แต่คงไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องนั้นมากนักเพราะเหล่ายอดขุมพลส่วนใหญ่นั้นได้ผ่านเข้ารอบไปแล้ว จึงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นและพวกเขาก็ถูกกลุ่มผู้เล่นรุมโจมตีจนไม่มีเวลาว่างมาสนใจเธอ



    ตอนนั้นเองเจนก็เหลือบไปเห็นสิงโตทะเลกำลังสู้กับขุมพลคนหนึ่งที่น่าจะมาจากทวีปยูโรปา ที่เจนรู้ได้นั้นเพราะชุดเกราะหนาที่เขาสวมใส่นั้นดูแล้วยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นอัศวินเทมพลาร์ยังไงอย่างนั้น



    ส่วนสิงโตทะเลนั้นก็ทำให้เจนแปลกใจไม่น้อยเชนกัน เขาใช้อาวุธเป็นดาบสั้นคู่ในมือที่ฟาดฟันไปยังอัศวินเทมพลาร์อย่างรวดเร็วจนต้องล้าถอยไปเรื่อย ๆ และไม่มีโอกาสตอบโต้เลยแม้แต่น้อย ถึงจะมีผู้เล่นอีกสองคนกำลังรุมอัศวินผู้นี้อยู่ก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่าสิงโตทะเลเองก็มีฝีมือไม่ใช่ย่อยต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกโดยสิ้นเชิง



    ทันใดนั้นเอง สิงโตทะเลก็ตั้งท่าดาบโดยกางมือออกข้างตัวขนานกับพื้นดิน เจนมองท่าของชายอ้วนตรงหน้าก็ชวนให้เธอเกิดความคิดบางอย่างในหัวแต่เธอรีบปฏิเสธมันไปทันทีเพราะคนอย่างสิงโตทะเลคงไม่คิดอะไรเด็ก ๆ แบบนั้นออกมาหรอก..มั้งนะ



    "ท่าดาบพายุหมุน!!!" สิงโตทะเลตะโกนเสียงดังแล้ววิ่งเข้าใส่อัศวินเทมพลาร์ ทันใดนั้นเขาก็ใช้เท้าเป็นจุดถ่วงพร้อมกับหมุนตัว ท่าทางตลก ๆ ในตอนนี้กลับดูราบกับลูกข่างใบมีดที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกสิ่งที่ขวางหน้าไปให้สิ้น!



    แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของสิงโตทะเลเท่านั้น



    ความจริงแล้วเมื่อสิงโตทะเลหมุนตัวเป็นพายุดาบอย่างที่เขาว่า น้ำหนักของเขาก็เป็นแรงถ่วงทำให้เขาสามารถหมุนได้แรงแต่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น แถมยังพุ่งไปอย่างไร้ทิศทางไปพลาดไปโดนผู้เล่นอีกสองคนที่กำลังช่วยล้อมอัศวินเทมพลาร์จนจนมุมแล้วตกรอบไปทั้งคู่ ส่วนตัวพายุดาบหรือสิงโตทะเลเองนั้นก็หยุดหมุนในเวลาไม่นานเพราะเวียนหัวชวนอ้วก จากนั้นเขาก็โดนอัศวินผู้นั้นจัดการไปอย่างง่ายดาย



    เจนมองดูสิงโตทะเลสลบเหมือดและกำลังค่อย ๆ กลายเป็นแสงหายไปด้วยความจนปัญญา ไอ้ท่าดาบหมุนรอบตัวนั้นเป็นท่าที่มีแค่เด็กเท่านั้นที่คิดว่าจะใช้ได้ผลจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าคนที่มีฝีมือแต่ท่าทางไม่ให้อย่างสิงโตทะเลจะคิดว่าจะใช้ท่านี้จัดการกับอัศวินเทมพลาร์ได้ แม้อันที่จริงเขาก็จัดการผู้เล่นที่กำลังช่วยกันจัดการจอมพลฉินได้ถึงสองคน



    เจนยืนมองสิงโตทะเลหายไปด้วยสีหน้าตายแล้วเธอถึงรู้ตัวว่าตอนนี้เธอก็กำลังถูกจ้องมองอยู่เช่นกัน อัศวินเทมพล่ากำลังยืนนิ่งจ้องเธอไม่ขยับไปไหน ดาบสีเงินในมือคมกริบนั้นทิ่มลงดินแทนที่จะเข้าไปจัดการเธอที่เอาแต่ยืนอยู่เฉย ๆ มองสิงโตทะเลจนไม่ได้ทันป้องกันตัวเอง ราวกับว่าเขาเองกำลังยืนรอเธออยู่



    เจนยกดาบขึ้นเตรียมพร้อมสู้ทันทีเช่นเดียวกับอัศวินเทพล่าที่ยกโล่และดาบเตรียมพร้อม แม้รู้ว่าโอกาสชนะจะมีไม่มากแต่ตอนนี้เจนจะหนีก็สายเกินไปซะแล้ว ดังนั้นเธอจึงทำสิ่งที่คนฉลาด ๆ ทุกคนจะทำถ้าหากจะเอาชนะคู่ต่อสู้



    เซอร์เบดิเวียร์ แห่งอัศวินโต๊ะกลม

    ชั้นขุนนาง เลเวล 40



    เจนถึงกับก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แม้เขาจะดูมีเลเวลต่ำกว่าขุมพลคนอื่น ๆ ที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงมา แต่ชายคนนี้เป็นถึงหนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมที่เจนได้ยินชื่อเสียงเรียงนามว่าเป็นหนึ่งในกองทัพอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งความจริง แม้ว่าเจนจะไม่รู้ความสามารถของเขาแต่จากที่เธอเคยอ่านเรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์กับอัศวินโต๊ะกลมมาทำให้เธอรู้สึกกลัวออกนอกหน้าไปก่อนแล้ว



    ไม่พูดไม่จา อัศวินที่ควรจะเป็นฝ่ายตั้งรับกลับเริ่มโจมตีก่อน เขาแทงดาบใส่อย่างรวดเร็วผิดกับรูปร่างหรือพูดให้ถูกก็คือชุดเกราะของเขา แถมยังแม่นยำอีกด้วยเพราะตำแหน่งที่เขาแทงดาบมาก็คือหัวใจของเจน



    เจนเอียงตัวหลบอย่างรวดเร็วแต่ก็ช้าไป ดาบเล่มงามเฉือนผ่านไปตัวไปเล็กน้อย เจนรู้สึกถึงความเจ็บปวดพุ่งขึ้นมาจากบริเวณที่โดนบาด เสื้อเชิ้ตสีขาวค่อย ๆ ถูกย้อมด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดง ขนาดเขาสวมหมวกเหล็กปิดใบหน้าทั้งใบ มีเพียงรูเล็ก ๆ ให้มองแต่กลับเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ เจนรู้สึกทันทีว่าถ้าเธอไม่เป็นฝ่ายโจมตีสวนกลับไปซะบ้างล่ะก็ มีหวังเสื้อของเธอคงจะถูกย้อมสีเป็นสีแดงทั้งหมดแน่



    ทันทีที่ตั้งหลักได้ เจนพุ่งตัวเข้าประชิดตัวอัศวินทันที แต่ก็สมที่เป็นถังอัศวินโต๊ะกลมในตำนาน เบดิเวียร์ยกโล่ขึ้นมาป้องกันตัวอย่างรวดเร็ว ดาบคาตะนะถูกฟาดเข้ากระแทกโล่เหล็กเต็มแรงแต่ทำได้แค่ฝากรอยเอาไว้เท่านั้น แต่เจนไม่ยอมแพ้และไม่ปล่อยให้อัศวินผู้นี้ได้เป็นฝ่ายรุกง่าย ๆ แน่



    เจนพยายามมองหาจุดอ่อนของเบดิเวียร์ แต่ชุดเกราะที่เขาสวมอยู่นั้นทำให้หาจุดที่โจมตีได้ยากมาก แถมการเคลื่อนไหวที่รัดกุมยังสามารถหาทางโจมตีสวนกลับมาไปเรื่อย ๆ อีกด้วย ในตอนนี้เธอไม่สามารถโจมตีใส่เบดิเวียร์ได้เลยและอีกทั้งยังไม่สามารถหาทางป้องกันตัวเองได้อีกด้วย



    ทันใดนั้นเองเบดิเวียร์ที่เห็นช่องว่างระหว่างที่คู่ต่อสู้กำลังใช้ความคิด เขากระชับโล่ในมือและกระแทกชนเจนเข้าเต็มแรง หญิงสาวที่นึกไม่ถึงว่าเครื่องป้องกันจะเอามาใช้เป็นอาวุธได้ก็ถูกกระแทกเข้าเต็ม ๆ จนหงายหลังล้มลงไป



    เจนรู้สึกมึนงงจากที่โดนกระแทกและหัวฟาดพื้นทำให้เธอเห็นภาพตรงหน้าดูพร่ามัวไปหมด เมื่อเธอพยายามสะบัดหัวเบา ๆ ให้สติสัมปชัญญะกลับมา สิ่งแรกที่เจนเห็นก็คือดาบในมือของอัศวินโต๊ะกลมกำลังเตรียมแทงลงมา



    ก่อนที่ในหัวเจนจะคิดอะไรได้ ร่างกายของเธอก็ขยับเองไปโดยสัญชาติญาณ เธอกลิ้งตัวหลบและพุ่งไปคว้าคาตะนะและกระโดดลุกขึ้นมาโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ทันใดนั้นร่างของเธอก็เปล่งแสงออกมาจากทักษะเสริมพลังพร้อมกับพละกำลังที่เจนรู้สึกได้ว่าเพิ่มพูนขึ้นมาและสติที่กระจ่างขึ้นทันควัน จากสายตาที่พร่ามัวตอนนี้แจ่มชัดยิ่งกว่าเดิม ตรงหน้าของเธอตอนนี้คืออัศวินที่กำลังจะถอนดาบออกจากพื้นดินและหันมาหาเธอ ด้วยความพลังจากทักษะตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำลายพลังป้องกันของเขาได้แน่ แต่ถ้าหากเป็นตอนที่เขายังไม่ทันตั้งตัวล่ะก็อาจจะสำเร็จก็ได้ นี่คือโอกาสสุดท้ายแล้วที่เจนจะเอาชนะอัศวินโต๊ะกลมผู้นี้



    ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เจนพุ่งเข้าใส่พร้อมกับฟาดดาบลงมาเต็มแรง แต่แม้จะไม่ทันตั้งตัว เบดิเวียร์ก็ยังไม่ทิ้งลายที่เป็นอัศวินโต๊ะกลม เขายกโล่ขึ้นมากันดาบของเจนเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที เจนเองเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าชายตรงหน้าเธอจะป้องกันได้ทัน ทว่าตอนนี้เธอไม่มีเวลามาตกใจแล้ว



    หญิงสาวก้มตัวเตะตวัดขาของอัศวินหนุ่มจนล้มลงไปบนพื้น และก่อนที่อัศวินตรงหน้าจะทำอะไรต่อไปอีกเธอก็รีบลุกขึ้นมาและกระโดดคร่อมร่างของเขาพร้อมทั้งเอาใบมีดจ่อเอาไว้ที่คอของอัศวินโต๊ะกลม



    แม้จะไม่เห็นดวงตาที่ซ่อนภายใต้หน้ากากแต่เจนก็จ้องมองลงไปยังช่องที่เปิดเอาไว้ ในการประลองนี้กรณีที่จะเอาชนะได้ก็คือต้องทำให้คู่ต่อสู้หมดสติ อยู่ในสภาพที่สู้ต่อไม่ได้หรือยอมแพ้ ในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าหากอัศวินตรงหน้าของเธอไม่ยอมแพ้ล่ะก็ เขาก็สามารถโต้กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบแทน และเจนก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาสามารถทำได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากทักษะเสริมพลังกายเพิ่มหมดฤทธิ์ลง ดังนั้นเจนต้องวัดใจดูว่าอัศวินผู้นี้จะเอายังไงตอไป



    ดาบเล่มงามร่วงหลุดจากถุงมือเหล็กเช่นเดียวกับโล่ในมืออีกข้าง อัศวินเบดิเวียร์ค่อย ๆ ยกมือขึ้นเหนือหัวและเอ่ยกับเจนเป็นครั้งแรก "ฉันยอมแพ้แล้ว...เธอเป็นฝ่ายชนะ"



    สิ้นคำ เจนก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเพิ่งฉีกกระดาษเวทกลับเมือง แรงบีบอัดรอบกายพร้อมกับภาพตรงหน้าของเธอค่อย ๆ มืดบอดลง ในเวลาไม่นาน เธอก็กลับมามองเห็นอีกครั้งและพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องพักที่มีผู้เล่นและขุมพลจำนวนมากกำลังนั่งพักอยู่



    ทันทีที่เจนปรากฏตัวขึ้น เสียงโห่ร้องตะโกนของผู้เล่นก็ดังกระหึ่มพร้อมกับเข้ามาแสดงความยินดีกับเธอทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเองก็ยังคงสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น



    "ฉันกะแล้วว่านายต้องผ่านเข้ารอบมาได้! แถมยังผ่านมาแบบไม่ธรรมดาอีกด้วย ดูสิ!" สิงโตทะเลที่มาอยู่ด้านข้างตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้พูดขึ้น แล้วชี้ไปยังจอแสงที่อยู่ริมห้องที่กำลังแสดงภาพของอามิตตาและเกมมาสเตอร์ทั้งสองอยู่ ส่วนอีกจอหนึ่งใกล้ ๆ กันนั้นเป็นจอแสดงลำดับของผู้ที่ผ่านเข้ารอบมาได้ และเจนก็เพิ่งผ่านเข้ารอบมาในลำดับที่เจ็ดพันต้น ๆ



    "ผ่านเข้ารอบไปแล้วค่ะ!! เจน ผู้กล้าในชุดขาวผ่านเข้ารอบไปแล้วค่ะ!! แถมเขายังสามารถเอาชนะหนึ่งในยอดขุมพลได้อีกด้วย สมแล้วนะคะที่เป็นคนที่กล้าประกาศเป็นศัตรูกับกิลด์พิฆาตราชาทั้ง ๆ ที่ตัวคนเดียวแบบนี้" เสียงของนักข่าวสาว อามิตตาร้องอย่างตื่นเต้น



    เจนมองดูภาพการต่อสู้ของตัวเองที่ถูกเอามาฉายซ้ำอีกครั้ง ก็พบว่าทั้งเธอและอัศวินโต๊ะกลมคนนั้นต่อสู้กันอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก ขนาดที่เธอยังแปลกใจว่าตัวเธอทำอย่างนั้นไปได้ยังไง



    ในตอนนั้นเองที่ผู้คนที่ล้อมรอบตัวเธออยู่ก็เงียบเสียงลงและเปิดทางให้เธอเห็นว่าทำไม ตรงหน้าของเธอนั้นคืออัศวินในชุดเกราะหนาที่เธอเพิ่งเอาชนะมาได้ก่อนหน้านี้กำลังยืนจ้องหน้าเธอไม่ขยับไปไหน



    เจนจ้องตาของเขากลับไปอย่างไม่เกรงกลัว แต่เจนรู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรต้องกลัวในตัวของชายคนนี้ ถ้าหากเขาจะมาเอาเรื่องที่เธอเพิ่งทำให้เขาตกรอบไปล่ะก็ เขาคงไม่ยอมแพ้เธอตอนอยู่ในสนามประลองแน่



    ชายในชุดเกราะก้าวเท้ายาวเข้ามาเจนอย่างเชื่องช้าแต่แฝงเอาไว้ด้วยความสุขุม ท่ามกลางสายตาของนักผจญภัยชายและหญิงที่เข้าร่วมประลองพร้อมทั้งยอดขุมพล กำลังจ้องมองดูว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป



    อัศวินหนุ่มค่อย ๆ ยกมือถอดหมวกเหล็กออก เส้นผมสีทองดั่งแพรไหมหลุดออกมาให้เห็นเป็นสิ่งแรก เส้นผมยาวสลวยค่อย ๆ ไหลลงสู่บ่าอย่างงดงามราวกับเป็นเส้นด้าย ทันทีที่หมวกเหล็กเผยโฉมใบหน้าของอัศวิน หัวใจของเจนก็เต้นดังกังวานขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล



    ใบหน้าเรียวเป็นรูปไข่ ผิวขาวผ่องประกายยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรเด่นสะดุดตาขึ้นมาอีก แถมยังดวงตาสีเขียวมรกตที่ชวนมองรางกับกำลังต้องมนต์สะกดนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมด



    เสียงร้องของทั้งชายหนุ่มและเสียงกรี้ดของหญิงสาวดังลั่นห้องเมื่อหน้าตาของอัศวินโต๊ะกลมผู้นี้เป็นเช่นไร พร้อมกันนั้นเองที่ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้เจนยิ่งกว่าเดิมอีกทั้งยังยื่นหน้าเข้ามาหาเธอจนต้องกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ เจนจ้องมองใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อได้อย่างใกล้ชิด หูของเธอนั้นอื้ออึงขึ้นมาทันที เธอถึงกับลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อเขาเอ่ยคำขึ้น



    "นั่นเป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมาก ฉันชื่อว่าเบดิเวียร์แห่งอัศวินโต๊ะกลม นักผจญภัยอย่างเจ้าก็คงจะรู้อยู่แล้วด้วยพลังตรวจสอบของพวกเธอ แต่ฉันยังไม่รู้ชื่อของคนที่เอาชนะฉันได้เลย" เสียงนุ่มชวนฝันเอ่ยขึ้น หูที่เคยอื้ออึงพลันกลับหายไป แต่ในหัวตอนนี้กลับสับสนวุ่นวาย คิดไม่ออกว่าจะตอบอะไรออกไปดี



    "อ..เอ่อ.. ข..ขอบคุณคะ..ครับ ผมชื่อเจน...แค่เจนเฉย ๆ" หญิงสาวตอบเสียงตะกุกตะกัก



    เบดิเวียร์เห็นท่าทางของเจนก็ยิ้มออกมาที่มุมปากก่อนจะใช้มือจับไหล่ของเธอก่อนจะดึงตัวเข้ามาใกล้และกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู "หวังว่าในอนาคตข้างหน้า พวกเราจะได้มาประมือกันอีกนะ...สาวน้อย"



    อัศวินหนุ่มทิ้งคำพูดที่ทำให้ใบหน้าของเธอแดงแจ๋แล้วเดินจากไป ส่วนเจนนั้นได้แต่อ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกเลยแม้แต่น้อย หัวใจของเธอเต้นแรงเพราะถูกอัศวินหนุ่มดึงร่างเข้ามากอดและยังกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู ไหนจะเรื่องที่เบดิเวียร์รู้ว่าตัวตนของเธอเป็นผู้หญิงอีกด้วย ในตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปอีกแล้ว



    เมื่อเบดิเวียร์จากไป ผู้เล่นก็พากันแยกย้ายไปนั่งพักภายในห้อง รอจนกว่ากระประลองจะจบลงซึ่งดูจากจำนวนคนนั้นคงอีกไม่นานนัก ส่วนเจนนั้นไปนั่งอยู่ที่มุมห้องคนเดียวโดยเธอตกไปอยู่ในโลกของตัวเองเรียบร้อยแล้วหลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่นั่นก็เป็นโชคดีของเธอที่ไม่ได้รู้สึกถึงสายตาเผ็ดร้อนของสาว ๆ ที่อิจฉาเจนที่ได้ใกล้ชิดเบดิเวียร์อย่างแนบแน่น และสายตาร้อนแรงของหญิงสาวที่แอบใจเต้นกับใบหน้าที่งดงามเหมือนกับเด็กสาวของเจน โดยที่พวกเธอไม่รู้ว่าความจริงนั้นเจนก็เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกัน







    หลังจากเวลาผ่านไปอีกไม่นานนักการประลองก็จบลง เจนก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวเองกำลังถูกเคลื่อนย้ายอีกครั้ง พริบตาเดียวเธอก็กลับมายังสนามโคลอสเซียมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ผู้ชมบนอัฒจรรย์กำลังส่งเสียงร้องเชียร์คนที่คนเอาเชียร์ผ่านเข้ารอบเสียงดัง จอแสงบนท้องฟ้ากลับมาฉายภาพของอามิตตาอีกครั้ง



    "ของแสดงความยินดีกับผู้ที่ผ่านเข้ารอบทั้งเจ็ดพันแปดร้อยสี่สิบเก้าคนด้วยนะคะ ความจริงแล้วพวกเราควรจะมีผู้ผ่านเข้ารอบถึงแปดพันคนแต่เป็นเพราะการโจมตีของยอดขุมพลที่รุนแรงนั้นทำให้มีผู้เล่นที่โชคร้ายหลายคนถูกจัดการไปด้วย แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เพราะคนที่ตกรอบทุกคนจะได้รางวัลปลอบใจกลับไปแน่นอนค่ะ สำหรับผู้เล่นทุกท่านจะได้เงินหนึ่งหมื่นโกลด์และดาบระดับ B คนละหนึ่งเล่มค่ะ"



    ผู้เล่นที่ตกรอบส่งเสียงร้องอย่างดีใจเพราะอย่างน้อยพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการประลองเสียเปล่า แม้ว่าเงินจำนวนหมื่นโกลด์และดาบระดับ B จะไม่ใช่สิ่งที่หายากก็ตาม แต่ใครล่ะจะปฏิเสธของฟรี



    "สำหรับผู้ที่ผ่านเข้ารอบนะคะ การประลองรอบต่อไปจะเริ่มขึ้นอีกในวันพรุ่งนี้เวลาเที่ยงตรงค่ะ สำหรับคืนนี้การประลองเบลดมาสเตอร์รอบคัดเลือกได้จบลงแล้วค่ะ ดิฉันอามิตตาและGM หลินกับGM ฟินน์ต้องขอตัวก่อน ราตรีสวัสดิ์ค่ะ" นักข่าวสาวกล่าว และตอนนั้นเองเจนก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอถูกวาปเป็นครั้งที่สามของวัน ภาพโคลอสเซียมตรงหน้าดับมืดลง พริบตาเดียวเจนก็พบว่าเธอกลับมาอยู่ที่เมืองยามะไตอีกครั้ง





    หลังจากเจนกลับมาสมทบกับพวกโจแล้ว พวกเธอก็พากันกลับตรงกลับไปยังเรียวกังทันที โดยไม่พูดไม่จากับใครเลยแม้แต่กับคิทซึเนะและฟีบี เมื่อกลับไปถึงเรียวกังเจนก็ตรงกลับเข้าห้องไปทันที



    ทั้งหกคนต่างหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงงจากท่าทางที่แปลกไปของเจน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น



    "พี่เจนเป็นอะไรไปหรือคะ ทำไมถึงไม่ยอมพูดกับหนูเลย" ฟีบีเงยหน้าขึ้นถามคิทซึเนะตาละห้อย แต่จิ้งจอกสาวเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบน้องสาวต่างเผ่าพันธุ์ของเธอยังไงดี เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวของเธอเช่นกัน และคิทซึเนะเองก็รู้สึกเป็นห่วงเจนมากพอ ๆ กับฟีบีนั่นและ เธออยากจะเข้าไปหาพี่สาวของเธอตอนนี้ถ้าหากเธอไม่สังเกตเห็นสีหน้าของเจนเข้าล่ะก็



    ซินจูย่อตัวลงและลูบหัวของเด็กสาวด้วยความเป็นห่วง "ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกจ๊ะ พี่เขาแค่เหนื่อยจากการประลองเท่านั้นเอง เอาไว้พี่เจนหายเหนื่อยแล้วเดี๋ยวก็กลับมาเป็นปกติเองแหละนะ"



    ทั้งห้านั่งลงบนพื้นเสื่อในห้องพักรวมพร้อมกับสั่งอาหารเย็นมาทาน แต่เวลาผ่านไปพักใหญ่จนอาหารมาส่งแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของเจนจะออกมาจากห้องของเธอเลย



    "ยัยนั่นเป็นอะไรไปหรือเปล่า ท่าทางแปลก ๆ แบบนั้นไม่เคยเห็นมาก่อนเลย" แจ็คเอียงหัวหันไปพูดกับโจที่นั่งอยู่ข้าง ๆ "จะว่าเหนื่อยก็ไม่น่าจะทำท่าทางแบบนั้น หรือว่ายัยนั่นจะหิว"



    "หิวแต่ไม่ออกมากินมื้อเย็นเนี่ยนะ บอกตามตรงว่าฉันไม่รู้เหมือนกันว่ะ เมื่อก่อนพวกเราแค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าเจนคิดอะไรอยู่ แต่นายก็รู้ว่าตั้งแต่ยัยนั่น...อ่ะนะ บางทีการที่เจนจะทำตัวแปลกไปอาจจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้" โจพูด เขายกนิ้วสองข้างเป็นสัญญาณตอนที่เขาเว้นวรรคเอาไว้ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาและแจ็ครู้กันว่าหมายถึงเรื่อง 'ผู้หญิง'



    "พวกพี่คุยอะไรกันอยู่หรือคะ" คิทซึเนะหันมาถามเพราะเธอได้ยินทั้งคู่พูดเกี่ยวกับเจน ตอนนี้เธอรู้สึกเป็นห่วงพี่สาวของเธอมากจนไม่ว่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเจนแว่วหูเข้ามา เธอก็อยากจะรู้เรื่องด้วย เผื่อเธอจะหาทางช่วยให้เจนกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมได้



    "ไม่มีอะไรหรอก..จริงสิ! คิทซึเนะช่วยบอกทุกคนว่าอย่าเพิ่งรีบกินอาหารมื้อนี้เร็วนักล่ะ เดี๋ยวพวกเราสองคนจะเข้าไปลากตัวเจนออกมากินข้าวพร้อมกันเดี๋ยวนี้ล่ะ" แจ็คพูดพร้อมกับตบบ่าของจิ้งจอกสาวเบา ๆ แล้วเขาจึงหันไปหาเพื่อนของเขาและโยกหัวไปทางห้องของเจน



    โจพยักหน้าเข้าใจแล้วจึงวางชามข้าวในมือลงแล้วลุกขึ้นก่อนจะเดินตามเพื่อนของเขาไปยังห้องของผู้กล้าชุดขาว





    น้ำจากฝักบัวไหลรินลงมาบนใบหน้าเรียว เส้นผมสีดำยาวสลวยถูกปล่อยออกอย่างอิสระและถูกนำพาไปตามสายน้ำที่ร่วงลงสู่พื้น ในขณะเดียวกันนั้นเองที่เจนปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปตามอารมณ์ พร้อมกับตั้งคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอกันแน่



    ตั้งแต่ที่ร่างกายของเธอแปลเปลี่ยนเป็นผู้หญิง หลายสิ่งหลายอย่างก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงตาม แต่ทว่าสิ่งที่เธอเพิ่งค้นพบนั้นทำให้เธอยิ่งสับสนมากยิ่งขึ้น ความรู้สึกแปลกใหม่ที่โจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนเธอทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก



    เจนนึกถึงคำพูดของเกอร์ทูธ เธอว่าสิ่งที่เจนรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกแอบปิ้งใครบางคน ในตอนที่เจนเป็นผู้ชาย เธอไม่เคยหลงรักใครมาก่อน แล้วมาตอนนี้จู่ ๆ มาบอกว่าเธอกำลังตกหลุมรัก นั่นเป็นอะไรที่ยากจะยอมรับได้



    และจะยากยิ่งกว่าเพราะทุกครั้งที่เธอนึกถึงจีโอที่ออกตัวปกป้องเธอในทีวีตอนนั้น ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบคุมไม่อยู่ แล้วมาตอนนี้เธอกลับรู้สึกอย่างเดียวกันกับเบดิเวียร์ อัศวินโต๊ะกลมคนนั้น!



    "นี่เราบ้าไปแล้วหรือไง สองคนนั้นเป็นผู้ชายนะ ถึงตอนนี้เราจะเป็นผู้หญิงไปแล้วแต่จะให้อยู่ ๆ มาคิดแบบนี้กับผู้ชายมันไม่แปลก ๆ ไปหน่อยหรือไงหือเจน" หญิงสาวพูดกับตัวเองแล้วจึงปิดน้ำจากฝักบัว ก่อนจะทำธุระแล้วสวมเสื้อผ้าก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง



    ไม่รู้ว่าเวลาที่เธอใช้คิดเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมาผ่านไปนานเท่าไหร่ เจนรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โจและแจ็คเดินเข้ามาในห้องแล้วมานั่งข้าง ๆ ตัวของเธอ โดยทั้งคู่ต่างไม่พูดไม่จากันเพราะรู้ว่าถ้าหากเจนอยากจะคุยด้วยล่ะก็ เธอจะพูดออกมาเอง



    "ฉันขอถามอะไรพวกนายหน่อยได้มั้ย?" หลังจากที่เงียบอยู่พักหนึ่ง เจนก็เอ่ยปากพูดขึ้น



    สองหนุ่มไม่เอ่ยปากตอบแต่พยักหน้าเบา ๆ เชิงอนุญาต



    "ตอนนี้ฉันน่ะ...ดูเหมือนเด็กผู้หญิงขนาดนั้นเลยหรือ?"



    คำถามที่พวกโจไม่คิดเลยว่าจะออกมาจากปากของคนอย่างได้มาก่อน พวกเขาหันมามองหน้ากันราวกับต้องการจะปรึกษาหาคำตอบก่อนโจจะหันมาตอบคำถามของเธอ



    "ถ้าให้พูดตามความจริงล่ะก็..และเธอก็ห้ามมาชกพวกเราด้วยนะ! พูดตามตรงน่ะเธอดูเหมือนผู้หญิงมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว แค่ตอนนี้เธอกลายมาเป็นผู้หญิงจริง ๆ ก็อาจจะทำให้เธอดูเหมือนผู้หญิงมากขึ้นล่ะมั้ง ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน"



    "ใช่ หน้าตาของเธอน่ะเหมือนผู้หญิง แต่รูปร่างแบนราบเรียบอย่างนี้น่ะดูเหมือนผู้ชายมากกว่า..อย่าชกนะ!!" แจ็ครีบพูดเมื่อเห็นเจนง้างมือขึ้นมา



    หญิงสาวยิ้มบางและเปลี่ยนใจใช้มือผลักตัวเพื่อนของเธอออกไปเบา ๆ ทั้งสองคนนี้มาหาเธอเพราะเป็นห่วงที่เธอทำตัวแปลก ๆ ไป แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา ใครที่เจออย่างที่เจนเจอก็คงต้องทำตัวแบบเดียวกันกับเธอเหมือนกันทุกคน



    "หลังจากที่ฉันผ่านเข้ารอบในงานประลอง..อัศวินคนที่ฉันสู้ด้วยเข้ามาคุยกับฉัน และเขารู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง นั่นทำให้ฉันสงสัยว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำ...ปกปิดความจริงของตัวเองจากคนอื่น ๆ แบบนี้ต่อไปมันจะดีหรือเปล่า" เจนไม่ได้บอกเรื่องความรู้สึกที่ทำให้ตัวใจเต้นแรงของเธอ แต่เรื่องนี้เธอเองก็อยากจะรู้ว่าเธอควรจะทำยังไงต่อไป ใช้ชีวิตเป็นผู้ชายแบบหลอก ๆ ต่อไป หรือจะเป็นเจนที่เป็นผู้หญิงเต็มตัวอย่างที่แม่ของเธอก็ตาม



    โจและแจ็คไม่ตอบในทันที พวกเขาหันมามองหน้าปรึกษากันอีกครั้งเพราะคำถามแบบนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เป็นสิ่งที่พวกเขาสองคนจะตัดสินใจให้ได้ แต่การที่เจนเปิดใจมาปรึกษาพวกเขาก็ทำให้ได้รู้ว่าเธอไว้ใจพวกเขาขนาดไหน



    "เรื่องนั้น...เธอคงต้องเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองแล้วล่ะ แต่ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจยังไง พวกเราสองคนก็จะอยู่ตรงนี้เสมอ" โจพูด



    "ใช่ พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ ถึงจะอยากสลัดพวกเราทิ้งก็ทำไม่ได้ง่าย ๆ หรอก" แจ็คเสริมพร้อมกับใช้ไหล่ดันร่างของเธอเบา ๆ และนั้นทำให้ให้เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมากทีเดียว



    ความสับสนในใจตอนนี้หายไปแล้ว ส่วนเรื่องของเบดิเวียร์และจีโอนั้นเจนจะเก็บเอาไว้ในใจไปก่อน ไม่จำเป็นต้องคิดมากในเรื่องนั้นตอนนี้ เธอไม่อยากจะทำให้คนอื่นเป็นห่วงเพราะเรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจ ถ้าหากสองคนนี้เข้ามาปลอบใจเธอถึงขนาดนี้ นั่นก็แปลว่าพวกคิทซึเนะเองก็คงเป็นห่วงเธอมากเช่นกัน



    "เอาล่ะ ฉันหิวแล้ว! ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า ถ้าช้าเดียวฟีบีกินหมดไม่เหลือให้พวกเรานะ" เจนว่าแล้วลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตรงไปที่ประตูห้อง น้ำเสียงของเธอนั้นดูต่างจากเมื่อครู่นี้อยากมาก ราวกับสิ่งที่บดบังจิตใจของเธอนั้นได้ถูกเพื่อนของเธอพัดพาให้มันสลายไปแล้ว และเธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมากหลังจากที่ได้ระบายความในใจออกมา แม้จะไม่ทั้งหมดแต่มันทำให้เธอดีขึ้น



    โจและแจ็คมองดูเจนเปิดประตูออกไปอย่างงุนงง เมื่อครู่นี้ยังทำท่าซึม ๆ อยู่แต่มาตอนนี้กลับกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว



    "อะไรของยัยนั่นน่ะ" โจว่า



    "ไม่รู้สิ ผู้หญิงก็แบบนี้แหละ" แจ็คตอบแล้วพวกเขาก็ลุกขึ้นแบะตามเพื่อนสาวออกไป เพราะหากเขาไม่รีบออกไปล่ะก็ มังกรน้อยที่ร่าเริงจากการที่เจนกลับมาเป็นปกติล่ะก็ มื้อเย็นชุดใหญ่ที่เขาสั่งมาคงจะอันตรธานหายไปในไม่กี่นาทีแน่



    จบตอนที่ 36 เบลดมาสเตอร! [ตอนแรก]



    ------------------------------------

    เจอกันตอนต่อไปครับ

  42. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  43. #50
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 37 เบลดมาสเตอร์! [ตอนกลาง]

    ตอนที่ 37 เบลดมาสเตอร์! [ตอนกลาง]



    เจนตื่นเช้ามาเจอกับอาการปวดล้าทั่วทั้งตัวจนเธอแทบขยับไม่ได้ แม้ว่าเธอเริ่มจะชินกับอาการนี้ตอนอยู่เก็บเลเวลที่กลางป่าแล้วก็ตาม แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะบ่นถึงเรื่องนี้ เกมอะไรมันจะเหมือนจริงไปได้ซะทุกอย่างแบบนี้ ทีช่องเก็บของยังใช้หน้าต่างระบบเลยแท้ ๆ อย่างน้อยถ้าหากเธอจะเอาเรื่องก็พอจะรู้ว่าเธอจะต้องไปคุยกับใคร



    เจนพยายามลุกขึ้นอย่างลำบากและหยิบยาแก้ปวดที่ซินจูอุตส่าห์ใจดีออกไปซื้อมาให้เธอเมื่อคืน ทันทีที่เจนกลืนยาลงไป รสชาติขมของรสยาก็พุ่งปรี้ดขึ้นหัวพร้อมกับอาการปวดก็ค่อย ๆ บรรเทาลงมา แม้ยาจะออกฤทธิ์ทันใจ แต่ยายังไงก็ยังเป็นยา รสชาติขมแบบนี้ไม่ทำให้เจนอยากกินมันบ่อย ๆ แน่



    หลังจากปลุกสองสาวพี่น้องและพากันไปอาบน้ำแล้ว เจนออกมายังห้องพักรวมและพบว่าซินจูกำลังนั่งอ่านจดหมายอยู่เพียงคนเดียว ไร้วี่แววของสามหนุ่มโดยสิ้นเชิง



    "อรุณสวัสดิ์ ซินจู อ่านอะไรอยู่หรือ" เจนทักทายแล้วจึงถาม เธอนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกันนั้นฟีบีก็กระโดดลงมานั่งบนตักของเจนและคว้ารีโมทมาเปิดโทรทัศน์ดูอย่างเคยตัว



    "อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่เจน คิทซึเนะแล้วก็ฟีบีด้วยนะ นี่เป็นจดหมายของพี่ไมโกะส่งมาค่ะ บอกว่าพี่เขาผ่านภารกิจเลื่อนยศเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ออกไปจากเกมก่อน จะกลับมาก็คงอีกสามสี่วันในเกมค่ะ อ้อ! แล้วพี่เขาก็ฝากแสดงความยินดีที่พี่เจนผ่านเข้ารอบการประลองคัดเลือกเบลดมาสเตอร์ด้วยค่ะ พี่เขาเสียดายมากเลยล่ะค่ะที่ไม่ได้เข้าร่วมประลองด้วย 'ถ้าหากไม่ติดธุระก็คงไม่พลาดแน่ ๆ' พี่เขาว่ามาอย่างนี้อ่ะค่ะ" ซินจูว่าจากนั้นเธอก็เข้าสู่โหมดสาวน้อย หันไปคุยกับคิทซึเนะเรื่องผู้หญิงถึงผู้หญิงอย่างรวดเร็ว



    เจนยิ้มแห้ง ๆ ให้กับทั้งคู่ แม้ตอนนี้เธอเองก็มีร่างกายเป็นผู้หญิงแล้วก็ตาม แต่เธอกลับไม่เข้าใจและไม่ได้รู้สึกสนใจสิ่งที่ทั้งคู่พูดคุยกันเลยแม้แต่น้อย บางทีอาจจะเป็นเพราะจิตใจของเธอยังเป็นผู้ชายอยู่ก็เป็นได้ ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา เพราะเธอใช้ชีวิตมากว่ายี่สิบปีในฐานะผู้ชายมาตลอด จะให้จู่ ๆ กลายมาเป็นผู้หญิงไปเลยเหมือนร่างกายมันคงจะเป็นไปไม่ได้ ความเคยชินมาตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเธอนั้นใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ง่าย ๆ ซะที่ไหน



    แม้ว่าเจนจะรู้ตัวแล้วว่าจิตใจของเธอกำลังเริ่มเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม



    เสียงในโทรทัศน์ดังเรียกสติของเจนไป ข่าวที่รายงานนั้นยังคงเป็นข่าวของเบลดมาสเตอร์อยู่เช่นเคย และเจนก็ไม่พ้นที่จะตกเป็นข่าวเด่นประจำวันอีกครั้งเพราะในฐานะของผู้ที่เอาชนะหนึ่งในยอดขุมพลด้วยตัวคนเดียว แม้ว่าความจริงแล้วเบดิเวียร์โดนตัดกำลังมาก่อนหน้าที่จะได้สู้กับเจนแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถสู้กับยอดขุมพลเดี่ยว ๆ และรอดมาได้เลยซักคนในการประลอง ไม่แม้กระทั่งบลูธันเดอร์แห่งกิลด์พายุสีเงินและครี้ดแห่งกิลด์ราชสีห์ทมิฬที่เอาตัวรอดผ่านเข้ารอบมาได้ก็ตาม



    เจนดูโทรทัศน์รอให้พวกโจตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเวลาผ่านไปเริ่มสาย แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าพวกเขาจะออกมาจากห้องพักเลย เจนจะทำท่าลุกไปปลุกหลายรอบแต่ฟีบีนั้นไม่ยอมให้เธอลุกขึ้นง่าย ๆ



    "สงสัยเป็นเพราะรู้ว่าพี่เจนจะประลองอีกทีก็ตอนเที่ยงล่ะมั้งคะ วันนี้ก็เลยตื่นสายกัน" ซินจูแสดงความคิดเห็น



    "หนอยแนะไอ้โจ ไหนเคยบอกว่าเสียดายเวลาเล่นเกม ขนาดกำลังนอนอยู่ในโลกแห่งความจริงแท้ ๆ ยังมานอนกินบ้านกินเมืองในเกมอีก เอาไว้ฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกแม่ของหมอนั่นได้ล่ะก็น่าดูเชียว แถมวันนี้พวกเราต้องจ่ายค่าห้องพักของสัปดาห์นี้แล้วด้วย ไหนว่าจะมาช่วยหารกันไงล่ะ!" เจนพูดขึ้นอย่างหมั่นไส้แต่ไม่ได้เก็บเอาไปคิดโกรธจริง ๆ แต่อย่างใด...ยกเว้นเรื่องเงินที่เจนเจ้าคิดเจ้าแค้นเอามาก ๆ และเรื่องที่เอาไปบอกแม่ของโจนั้นก็น่าสนใจทีเดียว



    ซินจูหัวเราะแห้ง ๆ ทันใดนั้นเองเธอก็คิดอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา เธอหันไปกระซิบกับคิทซึเนะและจิ้งจอกสาวก็พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเธอจึงหันมาพูดกับเจน "เอาอย่างนี้ดีมั้ยคะพี่เจน เพื่อทำโทษที่พวกพี่โจตื่นสาย พวกเราก็ออกไปเที่ยวในเมืองกันดีกว่า ปล่อยพวกพี่เขาเอาไว้อย่างนี้แหละค่ะ"



    คิทซึเนะพยายามเกาะแขนอ้อนขอให้ออกไปด้วยกัน ส่วนฟีบีนั้นพอได้ยินว่าจะไปหาอะไรกินก็กระเด้งลุกขึ้นยืนก่อนใครเพื่อนเลย



    "ไอเดียเข้าท่าดีนี่ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รีบไปกันดีกว่า..- เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ" เจนทำท่าจะลุกขึ้นแต่ก็ชะงักซะก่อน เธอเรียกปากกาและกระดาษออกมาเขียนข้อความบางอย่างแล้วจึงลุกขึ้นไปกับฟีบีพากันออกไปจากห้องพักพร้อมกับซินจูและคิทซึเนะ ทิ้งสามหนุ่มเอาไว้ในห้องพร้อมกับกระดาษโน้ตที่แปะอยู่บนประตูห้องพักของพวกเขา



    'เก็บค่าที่พักล่วงหน้ากับผู้ชายในห้องนี้'







    หลังจากออกมาจากเรียวกังแล้ว พวกเจนตรงไปยังร้านอาหารเป็นอย่างแรกเพื่อหามื้อเช้าทานกัน พวกเธอเลือกร้านอาหารกลางแจ้งแห่งหนึ่งที่ไม่ถือว่าจัดร้านได้หรูหรามากนัก แต่ก็ดูดี ราคาก็ไม่ถูกไม่แพงจนเกินไปและเป็นร้านอาหารของชาวเมืองยามะไตอีกด้วย สิ่งที่ทำให้เจนเลือกร้านอาหารแห่งนี้ก็คือจมูกของคิทซึเนะที่บอกว่าของกินที่นี่น่าจะอร่อย



    ร้านอาหารนี้เป็นร้านอาหารอาหารเล็ก ๆ จากที่เจนเห็นบนรายการอาหารนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอาหารที่คล้ายกับอาหารญี่ปุ่น บ้างก็เป็นเมนูแบบเดียวกับที่ขายในโลกแห่งความจริง และบ้างก็มีเมนูที่ใช้เนื้อมอนสเตอร์มาทำด้วยเช่นกัน



    เรื่องอาหารญี่ปุ่นนั้นเจนไม่ค่อยได้กินบ่อยนัก เธอจึงสั่งมาแค่เมนูข้าวหน้าเนื้อมากินเอาให้อิ่ม ส่วนของหวานหรือของว่างนั้นเจนปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสองสาวที่สั่งแหลกมาอย่างไม่กลัวว่าจะกินเหลือ เพราะยังไงก็มีมังกรน้อยกระเพาะหลุมดำอยู่ด้วยทั้งคน



    หลังจากลองชิมรสชาติไปบ้างแล้วเจนก็รู้เลยว่าไว้ใจจมูกของคิทซึเนะได้ อาหารร้านนี้อร่อยกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก แถมปริมาณก็พอเหมาะกับราคาอีกด้วย เจนใช้เวลาซัดข้าวหน้าเนื้อของเธอเพียงครู่เดียวก็หมดเกลี้ยง เธอหันไปมองดูสาว ๆ ก็พบว่าพวกเธอกำลังทานซูชิกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่ที่ทำให้เจนแปลกใจก็คือฟีบีที่กำลังถือเมนูอยู่ในมือและกำลังมองบนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด



    "อ้าว ฟีบีไม่หิวหรอ" เจนถามเพราตรงหน้าของมังกรน้อยนั้นไม่มีอาหารจานใหญ่วางอยู่เลย



    "หิวค่ะ แค่ส่วนที่พี่คิทซึเนะกับพี่ซินจูสั่งมาเหลือหนูกินหมดแล้วแต่ยังไม่อิ่มเลย พี่คิทซึเนะก็เลยให้หนูสั่งเพิ่มมาอีก" ฟีบีด้วยด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง เจนไม่เคยเห็นเด็กคนนี้ดูซีเรียสเท่านี้มาก่อนเลย ท่าทางฟีบีจะให้ความสำคัญกับเรื่องของกินมาก่อนอย่างอื่น



    หลังจากเสียเวลาเลือกอยู่นาน ฟีบีก็ชี้ไปยังภาพจานขนาดใหญ่ที่มีกองเกี้ยวซ่าเป็นภูเขาเลากา โดยคำอธิบายใต้ภาพนั้นเขียนเอาไว้ว่า 'เกี้ยวซ่าไส้พิสดาร! หากสามารถกินหมดได้ในสิบนาที มื้อนั้นกินฟรีทั้งโต๊ะ!'



    เจนรู้สึกตะหงิด ๆ กับคำว่าพิสดาร ไม่รู้ว่ามันจะสอดไส้อะไรไว้บ้าง ดังนั้นก่อนที่ฟีบีจะสั่งไป เจนก็เรียกพนักงานมาสอบถามก่อน



    "ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เกี้ยวซ่าของเรารสชาติอร่อยกินได้ทุกไส้ครับ และรับรองว่าไม่มีพิษกับคนหรือมอนสเตอร์อย่างแน่นอนครับ" ว่าแล้วพนักงานหนุ่มก็เดินจากไปทันที ไม่ทันที่เจนจะได้ถามว่าไอ้ไส้พิสดารนั่นมันมีอะไรบ้าง แม้เธอจะรู้ว่ามันคงจะมีเนื้อมอนสเตอร์แปลก ๆ แน่นอน แต่ถ้าหากเกิดว่าหนึ่งในนั้นมีเนื้อมังกรขึ้นมาล่ะก็ได้เจอปัญหาแน่



    ไม่นานนัก อาหารจานใหญ่ของฟีบีพร้อมกับของหวานเป็นไอศกรีมสตอเบอรี่พาเฟ่ในแบบที่โลกแห่งความจริงมี เจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้านนี้มีของแบบนี้ขายด้วยเพราะเธอปล่อยให้คิทซึเนะและซินจูจัดการเรื่องของหวาน เธอไปรู้ภายหลังว่าเหตุผลที่ร้านนี้ไอศกรีมพาเฟ่ขายก็เพราะเจ้าของร้านไปเรียนวิธีการทำมาจากร้านไอศกรีมชื่อดังจากนอกเกมที่มาเปิดสาขาถึงในเกมนี้ด้วย



    เมื่อเกี้ยวซ่าจานใหญ่หนึ่งจากและไอศกรีมสตอเบอรี่พาเฟ่สี่แก้วมาถึง โต๊ะขนาดสี่คนนั่งก็ดูเล็กไปทันที แถมจานเกี้ยวซ่านี้ยังใหญ่จนไม่มีที่เหลือให้วางไอศกรีมบนโต๊ะเลย แถมเกี้ยวซ่าก้อนเกือบเท่ากำมือจำนวนท้วมสูงเลยหัวของเจนไปก็ทำเอาแค่มองก็อิ่มแล้ว



    "เดี๋ยวสิ! นี่มันเยอะเกินไปหรือเปล่า แบบนี้ใครมันจะกินหมดได้" เจนรีบท้วงพนักงานที่นำมาเสิร์ฟทันที ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจและตอบออกมา



    "นี่เป็นจานเกี้ยวซ่าสำหรับสี่ท่านครับ เกี้ยวซ่าพิสดารของเราจะเพิ่มปริมาณตามจำนวนคนบนโต๊ะนะครับ" เขาว่าพร้อมกับชี้ไปยังคำอธิบายตัวเล็กจิ๋วตรงมุมของภาพที่เขียนเอาไว้ดังที่เขากล่าวเอาไว้ทุกประการ แถมยังมีบอกเอาไว้ด้วยว่าถ้าหากกินไม่หมดล่ะก็จะต้องจ่ายค่าปรับเป็นค่าอาหารบนโต๊ะสองเท่ากับค่าเกี้ยวซ่าพิสดารอีกหมื่นโกลด์



    เจนมองภาพตรงหน้าด้วยความหนักใจ แต่ตรงกันข้ามกับฟีบีที่มองกองเกี้ยวซ่าด้วยท่าทางดีใจสุด ๆ



    "ตายละ แบบนี้ได้ควักเงินจ่ายกันกระเป๋าแห้งแน่ ๆ" เจนบ่นออกมา แม้ว่าตอนนี้ในตัวเธอจะมีเงินสำหรับจ่ายอาหารมื้อนี้อย่างสบาย ๆ ก็ตาม แต่เธอก็ไม่ชอบใช้เงินฟุ่มเฟือยนัก ถ้าหากไม่อยากได้หรือไม่จำเป็นเธอก็จะไม่ยอมเสียเงินให้อย่างเด็ดขาด แต่ทว่าหากพวกเธอสี่คนกินเกี้ยวซ่าจานมหึมานี้ไม่หมดล่ะก็คงได้ควักเงินแสนแน่นอน



    "เอ่อ พี่เจนคะ ถึงพวกเราก็อยากจะช่วยแต่ตอนนี้ท้องมันอิ่มจนกินไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ" ซินจูเอ่ยขึ้น



    "บอกว่ากินไม่ไหวแล้วแต่ในมือพวกเธอยังถือไอศกรีมอยู่เนี่ยนะ!" เจนชี้ไปยังแก้วไอศกรีมพาเฟ่ที่อยู่ในมือของทั้งคู่



    "ผู้หญิงมีที่ในท้องสำหรับของหวานเสมอค่ะ!" เสียงของซินจูและคิทซึเนะประสานกันดังลั่นร้าน โดนเฉพาะคิทซึเนะที่พลอยมีน้ำเสียงเอาจริงเอาจังไปกับเขาด้วย ดวงตาของเธอนั้นเปล่งประกายซะจนเจนไม่กล้าไปขัด การที่คิทซึเนะเป็นอย่างนี้ได้แสดงว่าซินจูต้องเคยพาไปกินของแบบนี้มาแล้วแน่ ๆ



    "พี่เจน หนูฝากไอ้นั้นไว้กับพี่ก่อนนะ แล้วจานนี้หนูขอหมดเลยนะคะ!" ฟีบียังคงร่าเริงแต่เจนกลับตรงกันข้าม แม้เธอจะรู้ว่ามังกรน้อยกินจุ แต่ปริมาณขนาดนี้ดูยังไงก็ไม่น่าไหว เจนหันไปวางพาเฟ่บนโต๊ะเลื่อนที่พนักงานลากเอามาเตรียมพร้อมเอาไว้และคิดว่าจะช่วยฟีบีกินด้วย ถึงแม้เจนจะอิ่มแล้วก็ตาม เพราะแม้เธอจะรู้ว่าฟีบีกินเยอะขนาดไหน แต่เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างเธอคงกินเกี้ยวซ่าทั้งหมดนี้ไม่ได้แน่



    "นี่ ในนี้ไม่มีเนื้อมังกรใช่มั้ย" เจนหันไปถามพนักงานอีกคนที่จะมาจับเวลาการกิน



    พนักงานหนุ่มยิ้มแล้วจึงตอบคำ "ของหายากแบบนั้นไม่มีหรอกครับ ถึงผมจะเคยเห็นมังกรมาบ้างแต่ก็ไม่เคยเห็นใครเอาเนื้อมังกรมาขายเลย เพราะฉะนั้นเกี้ยวซ่านี้จะมีแค่เนื้อสัตว์และมอนสเตอร์ในแถบนี้เท่านั้นล่ะครับ"



    ใจหนึ่งเจนก็รู้สึกโล่งใจ แต่อีกใจหนึ่งเจนก็รู้สึกสยองเล็กน้อยเพราะรู้ตัวว่าเธอกำลังจะต้องกินเนื้อมอนสเตอร์ แม้ก่อนหน้านี้เธอเคยกินเนื้อมอนสเตอร์มาบ้างแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยตอนนั้นเนื้อที่เธอกินมันก็เป็นญาติกับหมูหรือไก่ แต่ในเกี้ยวซ่าข้างหน้านี้จะมีตัวอะไรอยู่บ้างก็ไม่รู้ สมแล้วที่ตั้งชื่อว่า 'เกี้ยวซ่าพิสดาร'



    ปรี้ดดด!!



    เสียงนกหวีดดัง ฟีบีก็เริ่มหยิบเกี้ยวซ่าจากจานใหญ่เข้าปากทันที เด็กสาวเคี้ยวแก้มตุ่ยอย่างมีความสุขพร้อมมือเล็ก ๆ ก็ยังคงหยิบเกี้ยวเข้าปากอย่างไม่หยุดมือ ไม่ว่าจะผ่านไปชิ้นที่ห้า ชิ้นที่หก ชิ้นที่เจ็ดก็แล้ว ความเร็วก็ยังไม่ตกลงเลยแม้แต่นิดเดียว



    เจนมองดูฟีบีอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เพราะดูเธอท่าทางจะชอบมากทีเดียว แล้วจำนวนเยอะขนาดนี้ก็คงกินได้อย่างจุใจ ในขณะเดียวกันเธอก็มองไปอีกด้านของโต๊ะที่สองสาวกำลังตักไอศกรีมกินกันด้วยใบหน้าที่มีความสุข แก้มของทั้งคู่กลายเป็นสีชมพูอ่อน ๆ ขณะที่กำลังลิ้มรสไอศกรีมพาเฟ่อย่างช้า ๆ



    ในตอนนี้เจนมีสีหน้าตรงกันข้ามกับทั้งสามคนมาก เธอหยิบเกี้ยวซ่าขึ้นมาหนึ่งชิ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก แม้กลิ่นหอมของแป้งทอดจะลอยขึ้นมาเตะจมูกของเธอชวนให้ท้องเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาอีกครั้งก็ตาม



    เกี้ยวซ่าไส้ปริศนาถูกส่งเข้าปากอย่างช้า ๆ เมื่อเธอลองกัดแป้งกรอบกกลับทำให้เธอแปลกใจ เพราะรสชาติของแป้งทอดและเนื้อสับปรุงรสที่เป็นไส้นั้นมีรสชาติอร่อยเหมือนกับเนื้อไก่ไม่มีผิด ไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลก ๆ แต่อย่างใด



    "นี่เนื้ออะไรน่ะ" เจนหันไปถามกับพนักงานที่ยืนจับเวลาอยู่ใกล้ ๆ เธอและเอาเกี้ยวซ่าที่เหลือยื่นให้ดู



    "อ่า นั่นเป็นเนื้อของนกหงส์ป่าครับ" พนักงานหนุ่มรีบตอบทันทีโดยมองเพียงครู่เดียวเท่านั้น แม้แต่เจนยังแปลกใจว่าเขาดูออกได้ยังไง



    เธอจัดการเกี้ยวซ่าในมือแล้วหันไปหยิบชิ้นต่อไปด้วยความมั่นใจที่มากขึ้น และมันก็ไม่ทำให้เธอผิดหวังเพราะเกี้ยวซ่าชิ้นต่อไปที่เธอทานนั้นเป็นเป็นเนื้อหมูสับที่เธอคุ้นเคย และชิ้นที่สามก็เป็นเนื้อกุ้งของโปรดของเธอ บางทีเธออาจจะกังวลมากเกินไปกับพวกเกี้ยวซ่าพิสดารก็ได้



    เจนหยิบเกี้ยวซ่าชิ้นต่อไปขึ้นมาอย่างไร้ความกังวล คราวนี้เธอกินเข้าไปในคำเดียวเลย แต่เมื่อเคี้ยวก็พบว่าเกี้ยวซ่าชิ้นนี้แปลกไป แม้ว่าจะอร่อยก็ตามแต่เจนรู้สึกว่าเนื้อที่เธอกำลังเคี้ยวอยู่นั้นทั้งเหนียวและให้ความรู้สึกต่างจากเนื้อที่เคยกินมา และมันก็ทำให้เธอรู้สึกพะอืดพะอม ไม่ได้ทำให้เจนรู้สึกอยากกินชิ้นต่อไปเลยแม้แต่น้อย



    จะหันไปถามพนักงานหนุ่มว่าเธอกำลังกินเนื้ออะไรก็ไม่ได้แล้วเพราะทั้งชิ้นอยู่ในปากเป็นที่เรียบร้อย เธอจึงต้องพยายามกล้ำกลืนเนื้อประหลาดในปากลงคอไปแม้จะทำให้น้ำตาซึมออกมาก็ตาม



    ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าสิ่งที่เธอรู้สึกตอนแรกนั้นไม่ได้ผิดไปเลยแม้แต่น้อย มันมีเนื้อมอนสเตอร์แปลก ๆ ซ่อนอยู่ในกองเกี้ยวซ่านี้จริง ๆ ด้วย ความอยากอาหารที่เกิดขึ้นในเกี้ยวซ่าสามชิ้นแรกนั้นหายไปในพริบตา แต่ดูจากจำนวนที่เหลือและเวลาในการกินก็อยู่เหลือไม่ถึงแปดนาทีทำให้เจนจำใจหยิบขึ้นมาทานอีกชิ้น



    เหมือนกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ชิ้นที่ห้านี้เจนเจอเข้ากับแจ็คพ็อตเต็ม ๆ เพราะเกี้ยวซ่าที่เธอกัดลงไปนั้นมีไส้เป็นเนื้อไม้ล้วน ๆ !



    "อ่า นั่นเป็นเนื้อของอสูรพฤษาครับ กินยากหน่อยแค่เคี้ยวมันดีนะครับ" พนักงานหนุ่มเอ่ยโดยไม่ต้องให้เจนเอ่ยถาม



    ชิ้นที่ห้าทำเอาเจนถึงกับยอมแพ้ หลังจากที่พยายามเคี้ยวเนื้ออสูรพฤกษามี่เป็นไม้ให้ละเอียดและกลืนลงไป เธอวางเกี้ยวซ่าที่เหลือลงบนจานและถอยออกมา เจนไม่อยากจะเอากระเพราะกับลิ้นของตัวเองไปเสี่ยงกับเงินไม่กี่แสนแน่



    เมื่อหันไปมองฟีบี เจนก็เบิกตากว้างเพราะมังกรน้อยยังคงหยิบเกี้ยวซ่ากินอย่างเอร็ดอร่อย แม้กระทั้งชิ้นที่เจนวางเอาไว้เธอก็ยังหยิบขึ้นมากินหน้าตาเฉย สงสัยปากของมนุษย์กับปากของมังกรจะรับรสต่างกันเกินไป



    เมื่อละความสนใจกับกองเกี้ยวซ่าตรงหน้า เจนก็หันมาหาไอศกรีมพาเฟ่ที่วางอยู่ข้าง ๆ ปกติแล้วเจนไม่ค่อยชอบของหวานเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะของแบบนี้เพราะวันหวานเลี่ยนจนเกินไป ถ้าเธอจะกินไอศกรีมก็คงจะกินแค่ไอศกรีมธรรมดา ๆ จะดีกว่า ครั้งนี้เธอให้คิทซึเนะและซินจูเป็นคนสั่งของหวานมา ดังนั้นเธอจึงต้องกินให้หมดเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท



    เจนหยิบถ้วยแก้วสูงที่มีลูกสตอเบอรี่สีแดงสดวางเป็นหน้าอย่างสวยงาม เจนตักขึ้นมาพร้อมกับเนื้อไอศกรีมอีกนิดหน่อยขึ้นมากินหวังว่าจะล้างความรู้สึกเหนียวและคาวปาก ทว่าทันทีที่เธอลิ้มรสชาติของไอศกรีมนั้น เจนก็เบิกตาขึ้นมาอย่างประหลาดใจ เพราะความหวานของไอศกรีมและเนื้อสตอเบอรี่นั้นเข้ากันได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะกลืนลงคอไปแล้วเธอก็ยังรู้สึกได้ถึงความหวานสดชื่นที่ยังคงติดลิ้น ล้างรสชาติของเนื้อปริศนาไปได้หมดสิ้น



    เจนมองดูไอศกรีมสตอเบอรี่พาเฟ่ในมืออย่างแปลกใจ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าไอศกรีมที่หวานเลี่ยนจะกลับอร่อยได้ขนาดนี้ ไม่รอช้า เจนรีบตักขึ้นมาอีกคำเพื่อพิสูจน์ความจริง และก็ยิ่งตอบย้ำถึงความหอมหวานของสตอเบอรี่และไอศกรีม



    เจนกินอย่างไม่เร่งรีบ เธอใช้เวลาลิ้มรสของไอศกรีมอย่างช้า ๆ จนหมดแก้ว เธอยังแลบลิ้นเลียปากถึงความหวานพลางนึกคิดว่าจะสั่งเพิ่มอีกซักแก้ว



    แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร เจนก็รู้สึกได้ถึงสายตาของซินจูและคิทซึเนะกำลังมองดูเธออยู่



    "เป็นยังไงบ้างคะพี่เจน ไอศกรีมอร่อยดีหรือเปล่า" คิทซึเนะถามยิ้ม ๆ



    "อ...เอ่อ อร่อยดี ฉันไม่รู้เลยนะว่าพาเฟ่จะอร่อยถึงขนาดนี้" เจนตอบหน้าแดงเพราะอายที่แสดงท่าทางตะกละออกไปให้เห็น



    "ก็ปกติแล้วพวกผู้ชายไม่ค่อยรู้หรอกค่ะ คนที่ชอบพาเฟ่หวานเจี๊ยบแบบนี้มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นแหละค่ะ ก็มีพี่เจนนี่แหละค่ะที่เป็นผู้ชายที่ชอบพาเฟ่" ซินจูตอบ ทำให้เจนพูดอะไรไม่ออกเลย เพราะที่เธอรู้ถึงรสหวานสะใจของไอศกรีมพาเพ่นี้ได้นั้นเพราะว่าเธอก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน



    "เหลือเวลาอีกสองนาที!" เสียงประกาศของพนักงานจับเวลาช่วยเรียกความสนใจของซินจูไปจากตัวเจนได้ เธอแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะถ้าหากซินจูเซ้าซี้ถามล่ะก็ ความจริงเรื่องที่เจนเป็นผู้หญิงคงแตกแน่ ๆ แม้ว่าตอนนี้เหตุผลที่จะปกปิดมันจะเบาขึ้นแล้วก็ตาม แต่พอลองนึกดูว่าถ้าหากซินจูรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เคยเป็นผู้ชายมาก่อนจะเกิดอะไรขึ้น



    เจนรู้ว่าซักวันเธอก็ต้องบอกความจริงกับซินจูและพวกเสือซ่อนลาย เจนไม่อยากให้ความจริงนี้หลุดออกมาจากปากของใครคนอื่น แต่เอาไว้ทุกคนมาอยู่กันพร้อมหน้าและเมื่อถังเวลาที่เจนพร้อม เธอก็หวังจะได้บอกความจริงนี้ให้กับพวกซินจูซักที



    เมื่อหันไปมองดูจานเกี้ยวซ่าพิสดารก็ทำให้เจนใจหายวาบเพราะเกี้ยวซ่ากองพะเนินที่เคยตั้งอยู่เมื่อครู่กลับหายไป เหลือเกี้ยวซ่าอยู่เพียงสิบกว่าชิ้นและน้อยลงเรื่อย ๆ จนเหลืออยู่ที่ก้นจานเท่านั้น ในขณะที่มังกรน้อยก็ยังคงกินด้วยความเร็วเท่าเดิมโดยไม่ติดขัดหรือหยุดพักแล้วแม้แต่ครั้งเดียว



    ในที่สุดเกี้ยวซ่ามากกว่าร้อยชิ้นก็หมดลงด้วยฝีมือของเด็กสาวเพียงคนเดียวด้วยเวลาไม่ถึงสิบนาที เสียงเป่านกหวีดหยุดการจับเวลาก็พบว่าฟีบีใช้เวลาไปเพียงเก้านาทีเท่านั้น แถมจานเกี้ยวซ่าก็เป็นของสำหรับสี่คนอีกต่างหาก ตอนนั้นเองที่เสียงปรบมือดังรอบด้านทำให้เจนเพิ่งมารู้ตัวว่าทักษะการกินแหลกของฟีบีนั้นเรียกความสนใจของคนได้ไม่น้อยเลย



    "ขอแสดงความยินดีด้วยครับ เอ่อ...พวกคุณสามารถทานเกี้ยวซ่าพิสดารได้หมดตามเวลาที่กำหนดไว้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างบนโต๊ะทางร้านจะไม่คิดเงินครับ แล้วอยากจะสั่งอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าครับ..ยกเว้นเกี้ยวซ่าพิสดารนะครับ" พนักงานหนุ่มที่จับเวลาเข้ามาแสดงความยินดีและรีบพูดขัดเอาไว้ก่อน ดวงตาของเขาเหล่มองฟีบีที่หันไปทานไอศกรีมพาเฟ่อย่างเอร็ดอร่อยทั้ง ๆ ที่เพิ่งกินเกี้ยวซ่าพิสดารมาแท้ ๆ ถ้าหากขืนให้โต๊ะนี้สั่งอีกล่ะก็ มีหวังร้านนี้คงได้เจ้งแน่ ๆ







    หลังจากออกมาจากร้านอาหารอย่างอิ่มท้องกันทุกคนแล้วพวกโจก็ติดต่อมาทาเจนด้วยเสียงดังโวยวายเล็กน้อยอย่างที่เธอคาดการณ์เอาไว้แล้ว เจนบอกให้พวกเขาไปเจอกันที่ลานประลองเลยแล้วจึงตัดการติดต่อไปอย่างไร้เยื่อใย



    เมื่อพวกเจนมาถึงลานประลองเบลดมาสเตอร์ก็พบว่าตอนนี้บริเวณโดยรอบนั้นมีกระโจมขนาดใหญ่ตั้งอยู่สี่หลังแต่ยังไม่เปิดให้เข้าไป แม้ว่าตอนนี้คนจะมายังไม่มากนัก แต่พวกยอมขุมพลนั้นมาเตรียมพร้อมกันหลายคนแล้ว



    เจนจ้องไปยังเหล่าขุมพลที่ยืนแยกกันเป็นจุด ๆ บางคนก็แยกไปยืนอยู่คนเดียว แต่ส่วนใหญ่แล้วจะรวมกลุ่มกันซะมากกว่า เจนจำซามูไรสาวในชุดเกราะสีแดงได้ว่าเธอคือโทโมเอะ โกเซน แม้จะเป็นขุมพลหญิงเพียงคนเดียวในเมืองยามะไตที่ผ่านเข้ารอบมา แต่ทักษะการใช้อาวุธของเธอนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ายอดขุมพลที่เป็นผู้ชายเลยแม้แต่น้อย



    "พี่เจนกำลังมองหาใครอยู่หรือคะ" ฟีบีถามขึ้นเมื่อเธอเห็นพี่สาวของเธอจ้องมองเหล่ายอดขุมพลอยู่นาน เจนรีบหันกลับมาหามังกรน้อยพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ กลบเกลื่อน



    "เปล่าหรอก ไม่ได้มองหาใครซักหน่อย พวกเราไปหาที่นั่งพักกันตรงนั้นดีกว่านะ" เจนพูดแล้วจึงเดินนำไปยังที่นั่งสำหรับผู้เข้าชม ความจริงแล้วเจนกำลังมองหาเบดิเวียร์ อัศวินหนุ่มที่เธอสู้ด้วยเมื่อวานนี้ แต่มานึกได้ว่าเขายอมแพ้ให้เจนผ่านเข้ารอบไป เมื่อเขาตกรอบไปแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ต่อ คงถูกส่งกลับไปยังเมืองที่เขาอาศัยอยู่ไปแล้ว ใช่เมืองคาเมล็อตหรือเปล่านะ







    หลังจากพวกโจโผล่มาพร้อมกับมาเรียกไถ่ค่าห้องพักคืนแต่เจนรีบปฏิเสธและห้ามซินจูจ่ายเงินคืนให้โจ เพราะทั้งสามคนนั้นจงใจตื่นสายที่จะเลี่ยงจ่ายค่าห้องพัก ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ แต่คนอย่างเจนพูดออกไปแล้วว่าไม่จ่ายก็คือไม่จ่าย สองหนุ่มจอจานรู้ดีถ้าเพื่อนของเขามาแบบนี้ก็คงไม่มีหวังที่จะได้เงินคืนแล้ว และพวกเขาก็เข็ดเกินกว่าจะโต้แย้ง เพราะถึงจะเป็นแค่เกมแต่ความเจ็บจากหมัดของเจนนั้นกลับทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บกว่าโดนมีดดาบซะอีก เห็นทีคราวหน้าคราวหลังเวลาจะหนีกันไปเที่ยวก็ต้องแน่ใจว่าจะต้องตื่นเช้าซะแล้วสิ



    แน่นอนว่าสามหนุ่มไม่ได้บอกใครเรื่องนี้ เพราะถ้าบอกล่ะก็ คนที่โกรธก็คงจะไม่ได้มีแค่เจนเพียงคนเดียวแน่



    เวลาผ่านไปจนมาถึงเที่ยงวัน ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเข้ามายังลานกว้างแห่งนี้จนแน่นขนัด แต่จุดที่เจนอยู่นั้นเป็นส่วนที่จำกัดให้เข้าได้แค่เพียงผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้เข้าร่วมประลอง ดังนั้นพวกเธอจึงสามารถมองดูเวทีขนาดใหญ่ได้อย่างไม่อึดอัดนัก บนเวทีนั้นมีอามิตตาพร้อมกับเกมมาสเตอร์หลินและเกมมาสเตอร์ฟินน์กำลังนั่งประจำที่ รอเวลาจะออกอากาศในอีกไม่ช้า



    "สวัสดีค่ะทุกท่าน และสวัสดีไปยังเมืองคาเมล็อทและเมืองคริสตัลเบลด้วยค่ะ ขอต้อนรับสู่การประลองคัดตัวรอบสุดท้าย เพื่อเฟ้นหายอดนักดาบจำนวนสิบสองคนเพื่อชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ค่ะ!!" นักข่าวสาวประกาศเสียงดังพร้อมกับเสียงตะโกนเชียร์และเสียงเพลงดังกังวานไปทั่วบริเวณ



    เหนือเวทีมีภาพของผู้เข้าร่วมประลองจากเมืองอีกสองแห่งฉายอยู่ ที่นั้นเองก็มีการเปิดงานของการประลองเบลดมาสเตอร์วันที่สองยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน แม้ว่าจะเป็นรอบคัดเลือกก็ตาม เสียงตนตรีที่บรรเลงอยู่ที่เมืองยามะไตนั้นจะเป็นแนวเครื่องสีแบบตะวันออกซะส่วนใหญ่ ทำให้เจนเดาว่าที่เมืองคาเมล็อทและเมืองคริสตัลเบลนั้นคงบรรเลงเพลงแบบตะวันตกหรือตามลักษณะพื้นเมืองในแถบนั้นเช่นกัน



    "การประลองในวันนี้ฉันแน่ใจว่าจะต้องถูกใจทุกคนแน่นอนค่ะ เพราะวันนี้การประลองเบลดมาสเตอรจะเป็นแบบ หนึ่งต่อหนึ่งในสังเวียนค่ะ!!"



    เจนรู้สึกโล่งใจขึ้นหน่อยที่วันนี้เธอไม่ต้องระวังหน้าระวังหลังแบบเมื่อวานแล้ว แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเธออาจะได้สู้กับยอดขุมพลขึ้นมาทำให้ดวงใจที่รู้สึกลิงโลดกลับห่อเหี่ยวลงในพริบตา เพราะคราวนี้จะไม่มีใครช่วยรุมอีกต่อไป จะต้องสู้ตัวต่อตัวจนกว่าจะชนะหรือแพ้กันไปข้างเท่านั้น



    "กฎการประลองส่วนใหญ่นั้นยังคงเหมือนเดิมค่ะ จะมีการเปลี่ยนกฎเรื่องอาวุธที่ใช้เพียงเล็กน้อย เพื่อการตัดสินว่าใครคือผู้ใช้ดาบที่เก่งที่สุดอย่างแท้จริง ดังนั้นอาวุธที่จะใช้ในวันนี้ในแต่ละรอบการต่อสู้นั้นจะถูกสุ่มขึ้นมาและทั้งสองคนบนสังเวียนจะต้องใช้อาวุธแบบเดียวกันค่ะ" เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีเมื่อนักข่าวสาวพูดจบ ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่ายอดขุมพลที่ต่างมีท่าทางแปลกไปเมื่อได้ยินว่าตนจะไม่ได้ใช้อาวุธที่ตนถนัด เห็นที่ยอดขุมพลเองก็ไม่ได้เก่งไปซะทุกเรื่องเหมือนกัน



    ในขณะที่คนอื่น ๆ รู้สึกกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตัวเจนเองก็ไม่ต่างไปจากคนอื่นเช่นกัน แม้ว่าเธอจะพอใช้ดาบได้ แต่ถ้าหากต้องใช้อาวุธจำพวกกระบี่ขึ้นมาล่ะก็ เจนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช้ยังไง ขนาดยังไม่นับที่จะต้องสู้กับยอดขุมพลโอกาสแพ้ของเจนในการประลองรอบนี้มีสูงทีเดียว



    "การประลองรอบบี้เราจะแบ่งกันเป็นสามกลุ่มตามเมืองทั้งสาม โดยในแต่ละกลุ่มก็จะแบ่งสายออกมาอีกสี่สายเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะของแต่ละเมืองเพียงสี่คนค่ะ!"



    เสียงฮือฮายิ่งดังขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ว่าการประลองวันนี้จะคัดคนจากกว่าแปดพันคนจนเหลือเพียงแค่สิบสองคนจากสามเมือง ยิ่งสร้างความกังวลให้กับเจนมากยิ่งขึ้นไปอีก มีผู้เล่นหลายคนพยายามร้องประท้วงแต่อามิตตาก็ตอบไปว่าเธอเป็นแค่ผู้ประกาศสารเท่านั้น เธอไม่ใช่ผู้ที่กำหนดกฎของการประลอง เหล่าผู้เข้าร่วมประลองจึงจำได้แต่ก้มหน้ายอมรับกันต่อไปอย่างทำอะไรไม่ได้



    ต่อจากการอธิบายกฎของการประลองรอบนี้แล้ว ผู้เล่นและขุมพลต่างก็ถูกแบ่งกันออกเป็นสี่กลุ่มและทยอยเข้าไปในเต็นท์ จากจำนวนผู้ผ่านเข้ารอบทั้งหมดเกือบแปดพันคน มีคนที่มาจากเมืองยามะไตถึงกว่าสี่พันคน ทำให้แต่ละสายมีจำนวนผู้เข้าประลองถึงพันกว่าคน โชคดีที่การประลองจะเป็นแบบทัวร์นาเมนท์ที่จะสู้ไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นเจนต้องการชนะเพียงเก้าครั้งเท่านั้นก็จะได้เป็นหนึ่งในสี่ผู้ที่จะได้ประลองชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ต่อไป



    นั่นถ้าหากเจนสามารถเอาชนะจอมพลฉินที่ดันเผอิญเป็นหนึ่งในยอดขุมพลไม่กี่คนที่อยู่ในสายเดียวกับเธอด้วย



    แม้ว่าตอนนี้ขุมพลที่อยู่ในเมืองยามะไตจะมีเหลืออยู่ไม่ถึงร้อยคนแล้ว แต่ก็ถือว่ามีขุมพลอยู่มากที่สุดในการประลองเบลดมาสเตอร์จากสามทวีป ทำให้จากทั้งสี่สายในเมืองมีขุมพลอยู่ในแต่ละสายถึงยี่สิบกว่าคน และขุมพลที่น่ากลัวที่สุดก็คือขุมพลฉินนั่นเอง



    "ขุมพลคนนั้นมีพลังโจมตีสูงมากเลย ถ้าฉันจะต้องสู้กับเขาขึ้นมา ฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะสู้ยังไงเหมือนกัน" เจนพูดพลางมองจอมพลอยู่ห่าง ๆ พวกโจเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงเหมือนกัน เพราะขนาดพวกเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะสู้กับยศขุนนาง เลเวลหกสิบได้ยังไงเหมือนกัน



    "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่างพี่เจนไม่ว่าใครหน้าไหนก็เอาชนะได้อยู่แล้ว" คิทซึเนะให้กำลังใจ เจนได้แค่หัวเราะแห้ง ๆ ตอบกลับไปเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเธอเองก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะสู้กับผู้เล่นคนอื่นที่ผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้หรือเปล่าเลย



    ลานประลองภายในเต็นท์มีสังเวียนประลองขนาดใหญ่อยู่หลายสิบเวทีจนขนาดของเต็นท์ไม่น่าจะจุได้ เจนมารู้ทีหลังว่าเต็นท์นี้เป็นเหมือนกับมิติพิเศษที่สามารถเพิ่มขนาดภายในได้ โดยเต็นท์แบบนี้มีขายให้ผู้เล่นใช้ได้อยู่เช่นเดียวกัน แต่ราคาของมันนั้นสูงมากแม้จะเป็นขนาดเล็กก็ตาม ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่นั้นเลือกที่จะใช้เต็นท์แบบธรรมดาที่ราคาถูกมากกว่า



    ตอนนั้นเองที่เจนได้รับแจ้งขึ้นมาเป็นหน้าต่างแสงตรงหน้าของเธอว่าสังเวียนที่เธอจะต้องขึ้นไปสู้นั้นเป็นสังเวียนที่สองร้อยหกสิบเอ็ด เจนจึงพาพวกโจไปยังสังเวียนของเธอทันที เช่นเดียวกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่มีหน้าต่างแสงเด้งขึ้นมาตรงหน้า ส่วนเหล่าขุมพลนั้นมีจดหมายบินตรงไปหาแทน



    เมื่อมาถึงเวทีของเธอก็พบว่ามีคนยืนดูเพียงสองสามคนเท่านั้น ซึ่งก็คงเป็นเพื่อนของผู้เข้าร่วมประลองคนอื่น ๆ ที่เข้ามาให้กำลังใจได้อย่างเช่นพวกคิทซึเนะ ส่วนคนทั่วไปที่อยากจะดูการประลองนั้นสามารถดูผ่านหน้าต่างแสงเท่านั้น



    คู่ต่อสู้ของเจนยืนรออยู่บนสังเวียนเรียบร้อยแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มที่สีอายุมากกว่าเจนไม่มากนัก แต่รูปร่างของเขาสูงใหญ่กว่าเธอมากจนคนอื่น ๆ รู้สึกได้ว่าเจนกำลังเสียเปรียบ แต่ตัวหญิงสาวเองนั้นกลับรู้สึกต่างออกไป เธอมองคู่ต่อสู้ที่กำลังจ้องมายังตัวของเธอตาเขม็ง เจนจำสายตาแบบนั้นได้ดีว่ามันหมายความว่าต้องการจะท้าทายและเจนก็จะตอบรับทำท้านั้นแน่



    "ดูหมอนั่นสิ ตัวใหญ่กว่าเธอขนาดนั้น รู้ใช่มั้ยว่าจะไปวัดพลังกับหมอนั่นไม่ได้" แจ็คพูดอย่างมีประสบการณ์ เจนจำได้ว่าบ้านเขาเปิดโรงยิมอยู่ ดังนั้นการมองข้ามคำแนะนำของเพื่อนคนนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่โง่มาก



    "ฉันรู้แล้วล่ะ พอมีคำแนะนำบ้างมั้ย" เจนถามกลับไปขณะกำลังจะขึ้นไปบนลานประลอง



    "อืม...ชนะให้ได้?" แจ็คพูดเสียงสูง



    เจนถอนหายใจอย่างจนปัญญา บางทีหมอนี่อาจจะไม่ได้รู้อะไรมากอย่างที่เจนคาดหวังเอาไว้ก็ได้ "นั่นมันเป้าหมายต่างหาก ไม่ใช่คำแนะนำ!"



    เมื่อก้าวขึ้นมาบนลานประลอง กำแพงแสงบาง ๆ ก็ปิดกั้นลานประลองเอาไว้ไม่ให้ผู้ชมเข้ามาแทรกแทรงได้ พร้อมกันนั้นเองที่เวทีก็ส่องสว่างขึ้นราวกับเรืองแสงได้ และก็มีลูกบอลแสงลอยขึ้นมาตรงหน้าเจนและคู่ต่อสู้ของเธอ



    ใช้เวลาไม่นานนักที่บอลแสงก่อตัวเป็นรูปร่าง เมื่ออาวุธที่เธอจะต้องใช้ปรากฏออกมาก็พบว่ามันไม่ใช่ดาบ แต่เป็นทวนยาวที่มีปลายเป็นใบมีดคมกริบ



    "อะไรเนี่ย ฉันคิดว่าการประลองเบลดมาสเตอรจะใช้แค่ดาบซะอีก!" เจนหันไปถามพวกโจที่ยืนเกาะติดขอบลานประลองด้านหลัง



    "นี่ไม่ได้อ่านแผ่นพับที่ฉันให้ไปหรือยังไงเนี่ย!" เสียงหนูส่งข่าวตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ มันก็สมควรอยู่เพราเขาเป็นคนลงทุนขโมยแผ่นพับนั้นมาให้เจนเองแต่เธอดันอ่านข้าม ๆ ซะนี่...แต่ก็นั่นแหละ ใครมันจะไปอ่านคำอธิบายยาวเหยียดทุกบรรทัด เจนแค่อ่านสิ่งที่เธอต้องรู้ เรื่องอาวุธที่ใช้เธอก็แค่เดาเอาเท่านั้น



    "การประลองเบลดมาสเตอร์ไม่ใช่ซอร์ดมาสเตอร์ ถึงจะใช้ดาบเป็นหลักเหมือนกันก็จริง แต่อาวุธทุกอย่างที่มีใบมีดก็ถือว่าใช้ได้หมดนั่นแหละ!" โจตะโกนบอก



    "แล้วจะทำยังไงดีล่ะ ฉันใช้ทวนไม่เป็นนะ" เจนว่า



    "ไม่เป็นไรหรอก เธอก็แค่ใช้ ๆ ไป ยังไงหมอนั่นเองก็คงใช้ไม่เป็นเหมือน...กัน" โจพูดเสียงยาน เพราะว่าชายหนุ่มที่เป็นคู่ต่อสู้ของเจนในตอนนี้กำลังควงทวดอย่างช่ำชองก่อนจะตั้งท่าชี้ใบมีดมายังเจนอย่างมุ่งร้าย



    เจนหันไปค้อนโจเมื่อคำพูดของเขานั้นดันเป็นตรงกันข้ามกับที่พูด ซึ้งโจเองก็ได้แต่ยังไหล่และส่งใจช่วย แม้ว่าตอนนี้โอกาสที่เจนจะเอาชนะได้นั้นจะน้อยลงกว่าเดิมแล้วก็ตาม ได้แต่หวังว่าเธอคงจะหัวไว เรียกที่จะใช้ทวนได้เร็วพอและเอาชนะการประลองในรอบนี้ได้ก่อนที่เธอจะถูกจัดการซะเอง



    แต่เมื่อมือเรียวสัมผัสกับทวนที่ลอยอยู่ตรงหน้า บางอย่างแปลกประหลาดก็พลันเกิดขึ้นกับเธอ เพราะจู่ ๆ ก็มีภาพเทคนิคการใช้ทวนทุกรูปแบบวิ่งผ่านตาเธอไปพริบตา หัวของเธอเจ็บจี๊ดแต่เพียงชั่วครู่มันก็หายไป และในที่สุดเจนก็รู้ทันทีว่าเธอจะใช้ทวนนี้ได้ยังไง



    ก่อนจะมองหาสาเหตุว่าทำไมเธอถึงจู่ ๆ สามารถใช้ทวนได้อย่างเชี่ยวชาญ เธอก็มองไปที่ชายหนุ่มที่ตั้งท่ารอเธออยู่นานแล้ว และมันคงจะเป็นการเสียมารยาทถ้าหาจะให้เขารอต่อไป เจนย่อตัวเล็กน้อยและตั้งตัวเอาไว้ข้างตัว แม้จะดูมีช่องว่างแต่เจนสามารถเตรียมพร้อมสู้ได้ในพริบตาด้วยท่านี้



    "ถึงจะเป็นผู้กล้าในชุดขาว แต่ฉันก็ไม่คิดว่าจะแพ้ให้กับนายหรอกนะ อย่าว่าเอาเปรียบที่นายใช้ทวนไม่เป็นล่ะ" ชายหนุ่มพูด เจนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มที่มุมปากก่อนจะตอบคำกลับไป



    "ไม่เป็นไรหรอกน่า นายเองก็อย่าออมมือก็แล้วกัน ฉันไม่อยากฟังข้ออ้างว่านายแพ้ให้กับคนที่ใช้ทวนไม่เป็น"



    ดั่งกับว่าคำพูดของเจนจุดระเบิดขึ้น ชายหนุ่มที่ถือทวนไปด้านหน้าจู่ ๆ ก็พุ่งเข้าหาเจนด้วยความเร็วสูง หญิงสาวรอท่าเอาไว้อยู่แล้ว เธอยกทวนขึ้นและฟาดไปด้านข้างลำตัวของชายหนุ่ม



    นับว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์การต่อสู้ที่ไม่น้อยเลย เพราะเมื่อเจนฟาดตัวทวนใส่ แทนที่จะเลือกแลกหมัดกัน ชายหนุ่มกลับยกทวนกันและถอยออกมาตั้งหลักในระยะปลอดภัยแทน เขารู้ทันว่าถ้าหากเขายอมแลกหมัดกันกับเจน แม้ใบมีดที่ปลายทวนของเขาอาจจะได้ลิ้มรสเลือดของคู่ต่อสู้ แต่เขาเองก็จะโดนขัดจังหวะด้วยการโจมตีที่สวนกลับมาเช่นกัน และการโจมตีนั้นก็อาจใช้จบการต่อสู้นี้ได้ง่าย ๆ เลยทีเดียวเพราะเขามั่นใจว่าคู่ต่อสู้ของเขาต้องมีฝีมือฉกาจอย่างแน่นอน



    แม้ว่าความจริงแล้ว เจนเดิมพันเอาไว้สูงมากเกินความจำเป็น เพราะถ้าหากชายหนุ่มยอมโดนโจมตีขึ้นมาจริง ๆ เจนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน



    หญิงสาวลอบถอนหายใจและตั้งท่าเตรียมพร้อม เมื่อครู่นี้เธอไม่มีแผนอะไรทั้งสิ้นเลย แม้ว่าเธอจะใช้ทวนเป็นแล้วก็ตามแต่การป้องกันการโจมตีเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ตอนนี้เจนสามารถป้องกันการโจมตีนั้นได้แล้วและคู่ต่อสู้ของเธอก็คงจะไม่ใช้ไม้เดิมอีกครั้งเร็ว ๆ นี้แน่ ดังนั้นเจนก็คิดจะหันไปใช้ยุทธวิธีเดิมที่เธอชอบใช้...การบุกคือการป้องกันที่ดีที่สุด!!



    เจนพุ่งเข้าใส่และฟาดทวนด้านข้างเต็มแรง ชายหนุ่มกระโดดหลบอย่างรวดเร็วและเตรียมที่จะโจมตีสวนกลับไป แต่ตอนนั้นเองที่เขารู้ว่าตัวเองประมาทเกินไปแล้วเพราะว่าการโจมตีของผู้กล้าในชุดขาวยังไม่จบเพียงแค่นั้น



    เจนใช้แรงเหวี่ยงทวนเป็นแรงหมุนให้ตัวเองหันมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มอีกครั้งพร้อมกับแทงทวนเข้าใส่ ชายหนุ่มที่ไม่ทันตั้งตัวก็ทำได้แค่เบี่ยงหลบสุดตัวแต่ก็ช้าเกินไป ใบมีดปลายทวนของเจนเฉือนเข้าเอวของเขาเรียกเลือดไหลออกมาจากปากแผล



    เขาล้มกลิ้งลงไปบนพื้นเวทีประลองและพยายามจะลุกขึ้นมาสู้ต่อ แต่ตอนนั้นเองที่เขามองเห็นใบมีดกำลังใช้ใบหน้าของเขาห่างออกไปไม่ถึงห้านิ้ว



    "อยากจะต่อยกสองมั้ย" เจ้าของใบมีดเอ่ยถาม แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าถึงจะสู้ต่อไปผลก็ออกมทเหมือนเดิม เขาแพ้ตั้งแต่ที่เขาเลือกที่จะหลบในตอนแรกแล้ว



    "ไม่ล่ะ ฉันยอมแพ้แล้ว" ชายหนุ่มกล่าว ทันใดนั้นเองทวนที่อยู่ในมือของเจนและกำแพงแสงที่อยู่รอบ ๆ ก็สลายหายไป หน้าต่างแสงฉายขึ้นอยู่เหนือเวทีประลองบอกว่าผู้ชนะคือเจนพร้อมกับใบหน้าของเธอบนนั้น



    "ฉันประมาทนายไปจริง ๆ ที่หลงไปเชื่อว่านายใช้ทวนไม่เป็น ถึงฉันจะไม่ได้ใช้ทวนเก่งนักแต่ขอยอมรับว่านายเองก็ฝีมือไม่เลวเลย" ชายหนุ่มยื่นมืออกไปหาเจน ซึ่งเธอก็ยื่นมือเข้ามาจับพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ



    "นายเองก็เก่งเหมือนกัน เจอกันครั้งหน้าฉันอาจจะเป็นฝ่ายแพ้ก็ได้" เจนตอบตามความจริง



    "เก่งแถมยังถ่อมตัวอีก คนดีอย่างนายนี่หายากมาก ไม่แปลกใจเลยที่นายกล้าเป็นศัตรูกับกิลด์พิฆาตราชา... ชนะให้ได้ล่ะ ฉันเอาใจช่วยนายทั้งเรื่องนี้และเรื่องนั้นด้วย" ชายหนุ่มเอ่ยแล้วจึงเดินลงมาจากลานประลองและเข้าไปสมทบกับเพื่อน ๆ ที่ยืนอยู่อยู่ไม่ไกล



    เจนมองตามไหวเขาไปจนออกจากเต็นท์ เธอรู้สึกผิดเล็กน้อยเพราะสาเหตุที่เธอชนะนั้นไม่ใช้เป็นเพราะทักษะการต่อสู้ของเธอซะทีเดียว แต่เป็นเพราะทักษะติดตัวที่เจนเพิ่งได้มาไม่นานมานี้นั่นเอง



    Mastery Weapon ระดับ S ทักษะติดตัว

    สามารถเรียนรู้การใช้อาวุธทุกชนิดได้เร็วมากขึ้น



    เจนรู้แล้วว่าทักษะนี้ใช้งานยังไง และมันทำให้การประลองนี้เจนได้เปรียบขึ้นมาก เพราะไม่ว่าจะใช้อาวุธอะไรก็ตาม ตอนนี้เจนก็จะสามารถใช้มันได้อย่างเชี่ยวชาญราวกับว่าใช้มันเป็นอาวุธประจำตัวมาโดยตลอด



    "ยินดีด้วยค่ะพี่เจน เมื่อกี้พี่สู้ได้สุดยอดมากเลยค่ะ" ซินจูเข้ามาพูดแสดงความยินดีด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหมือนกับตัวเธอเป็นผู้เข้าร่วมประลองซะเอง



    "ยินดีด้วย แต่ไหนเธอบอกว่าใช้ทวนไม่เป็นไง" โจรีบเข้ามาถามทันที เจนยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะบอกสาเหตุว่าทำไม



    "ทักษะอย่างโกงเลยนะนั่น แต่กว่าจะผ่านเงื่อนไขเปลี่ยนอาชีพมาได้อย่างนั้นมันก็สมควรอยู่ที่จะได้ทักษะแบบนั้นไป" โจว่า



    "พี่เจนไม่ได้โกงซักหน่อย ที่พี่เจนชนะได้เป็นเพราะความสามารถของพี่เจนต่างหาก" คิทซึเนะแย้งโดยมีฟีบีร้องสนับสนุนอยู่ข้าง ๆ ทำเอาโจต้องเป็นฝ่ายถอยเพราะไม่อยากจะมีเรื่องกับสาวน้อยทั้งสอง สีหน้าของเธอดูเอาจริงเอาจังมากซะจนไม่กล้าไปแหย่ ถ้าขืนทำอย่างนั้นเขาคงไม่โดนแค่จิ้งจอกกัด แต่เป็นหมัดของเจ้าของด้วย



    ในตอนนี้เจนอยู่ในช่วงพักก่อนที่จะสู้ในรอบต่อไป เธอใช้เวลาสู้ในรอบนี้ค่อนข้างเร็วกว่าคนอื่นเพราะลานประลองข้าง ๆ ยังสู้กันอยู่เลย แม้ว่าเธอจะชนะไปแล้วแต่ในใจยังคงรู้สึกร้อนลุ่ม การต่อสู้กับมอนสเตอร์กับการต่อสู้กับคนนั้นมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจนรู้สึกเหมือนกับตัวเธอได้ย้อนกลับไปสมัยตอนที่เธอเคยมีเรื่องกับพวกนักเลงบ่อย ๆ แม้ว่าเจนจะไม่ได้รู้สึกชอบ แต่ในใจลึก ๆ แล้วเธอถูกยั่วยวนจากความตื่นเต้นจากการต่อสู้เพื่อเอาชนะ ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด



    ตลอดสองวันที่ผ่านมานี้เธอรู้สึกตื่นเต้นจากการประลองนี้มาก ความรู้สึกของอะดรีนาลีนสูบฉีดทำให้เนื้อเต้น และตอนนี้เธอแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้จับดาบเข้าประจัญกับคู่ต่อสู้ในรอบต่อไปแล้ว



    "เสร็จไปหนึ่ง...เหลืออีกแปด" เจนพูดพึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังจอแสงบนสังเวียนของเธอ รอคอยคู่ต่อสู้คนต่อไปด้วยไฟในใจที่กำลังลุกโหมจนแทยทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว



    จบตอนที่ 37 เบลดมาสเตอร์! [ตอนกลาง]
    ----------------------


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top