ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 3 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 123
กำลังแสดงผล 51 ถึง 59 จากทั้งหมด 59
  1. #51
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 38 เบลดมาสเตอร์! [ตอนปลาย]

    ตอนที่ 38 เบลดมาสเตอร์! [ตอนปลาย]



    เสียงฝีเท้าตะกุยดังพร้อมกับเสียงกู้ร้องมาจากด้านหน้าบอกให้เจนรู้ว่าคู่ต่อสู้ของเธอกำลังโจมตีเข้ามาอย่างสุดกำลัง ดาบโค้งวาดเข้าใส่หมายจะตัดหัวของเธอให้หลุดจากร่างแต่เจนก้าวเท้าเคลื่อนตัวหลบได้อย่างรวดเร็ว แม้จะพลาดทว่าคู่ต่อสู้ของเธอก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เขายังพยายามกลับมาตั้งหลักและแทงดาบเข้าใส่เธออย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง



    แม้ว่าเจนจะไม่เคยใช้อาวุธอย่างดาบโค้งนี้มาก่อน แต่ด้วยทักษะที่เธอมีทำให้เธอรู้ทันทีว่าจะใช้ดาบนี้ได้ยังไง ภาพต่าง ๆ ที่วิ่งแล่นภายในหัวทำให้เจนรู้ว่าการโจมตีด้วยการแทงนั้นเป็นการโจมตีที่แย่ที่สุดเพราะปลายดาบนั้นโค้งจนแทบจะหันมาชี้ตัวผู้ถืออาวุธเองอยู่แล้ว ทำให้การฟันหรือฟาดดาบนั้นเป็นการใช้ดาบชนิดดีที่ดีที่สุด แต่เจนกลับคิดอะไรแผลง ๆ บางอย่างขึ้นมาได้และคิดว่าน่าจะได้ผลด้วยจากสิ่งที่เธอมีอยู่ในหัวและความกล้าบ้าบิ่นที่ตอนนี้มีอยู่ล้นตัว



    เจนใช้ทักษะเสริมพลังเคลื่อนตัวหลบการโจมตีของคู่ต่อสู้ของเธออย่างรวดเร็วก่อนที่จะหมุนตัวเตะเข้าไปที่ท้องเต็มแรง เดิมที่แค่แรงเตะธรรมดาก็รุนแรงมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกเสริมพลังด้วยทักษะเพิ่มพลังทำให้รุนแรงยิ่งกว่าเดิมเป็นสองเท่า ชายหนุ่มที่เป็นคู่ต่อสู้ของเจนถึงกับตัวงอเป็นกุ้งจนนอนกองลงกับพื้น แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมแพ้และพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อ



    ในจังหวะที่คู่ต่อสู้ลงไปกองกับพื้น เจนก็รีบถอยออกห่างไปอยู่อีกมุมของสังเวียน ทำให้ผู้คนที่กำลังมองดูการต่อสู้นี้ไม่ว่าที่อยู่ข้างเวทีหรือจากจอแสงต้องแปลกใจเพราะจากจุดนี้เธอไม่อาจจะโจมตีปิดฉากได้เลย ทำไมเจนถึงไม่ฉวยโอกาสนี้จัดการคู่ต่อสู้ไปซะล่ะ?



    คำตอบแฝงอยู่ในรอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาว เธอรอจนกว่าคู่ต่อสู้ของเธอลุกยืนขึ้นมาได้ ทันใดนั้นเองเจนก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดได้มาก่อน เธอโจมตีใส่คู่ต่อสู้แต่ไม่ใช่การฟันหรือการแทง แต่เป็นการเขวี้ยง! เธอกำลังเขวี้ยงดาบใส่คู่ต่อสู้!



    จากจุดที่เจนยืนอยู่ในตอนนี้ไม่มีทางเลยที่เธอจะล้มคู่ต่อสู้ลงได้ อย่าว่าแต่จะล้มเลย แค่โจมตีให้โดนยังยากกว่าด้วยซ้ำไป แต่ทว่าสิ่งแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นเมื่อดาบที่เจนเขวี้ยงไปนั้นกลับหมุนเป็น วงกลมราวกับบูมเมอแรงและพุ่งตรงเข้าใส่คู่ต่อสู้ของเธอด้วยความเร็วสูง ด้วยรูปทรงของดาบโค้งทำให้ดาบสามารถหมุนได้อย่างสมบรูณ์แบบ และคมดาบนั้นทำให้มันอันตรายยิ่งกว่า



    ฉัวะ!! ฉัวะ!!



    ดาบพุ่งเข้าเฉือนร่างของคู่ต่อสู้ของเธอไปราวกับมีดเฉือนผ่านเนยอ่อน แต่ดาบของเจนกลับไม่หยุดเพียงแค่นั้น ดาบบูมเมอแรงหมุนผ่านไปและย้อนกลับมาเฉือนหลังของคู่ต่อสู้ของเธออย่างไร้ ความปราณีก่อนจะพุ่งกลับมายังจุดเริ่มต้นนั่นก็คือเจนนั่นเอง แต่ก่อนที่ดาบจะกลับเข้ามาทำร้ายเจนด้วยอีกคน เธอก็ใช้มือคว้าเอาไว้ได้พอดีกับร่างของคู่ต่อสู้ของเธอล้มลงกับพื้นและเสียงระฆังก็ดังขึ้นประกาศให้รู้ว่าการต่อสู้จบลงแล้ว



    เสียงร้องตะโกนเชียร์ดังกระหึ่มหลังจากที่เจนได้รับชัยชนะ เธอมองดูพรรคพวกของคู่ต่อสู้ของเธอพยุงร่างไร้สติลงไปจากสังเวียนอย่างยากลำบาก แม้ในใจเจนจะรู้สึกผิดเล็กน้อยเพราะที่เธอชนะมาได้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะทักษะWeapon Mastery ที่แม้แต่โจหรือตัวเธอเองต่างเห็นตรงกันว่ามันออกจะโกงไปนิดสำหรับการประลองแบบนี้ แต่ว่าไม่มีกฎใด ๆ ห้ามเจนไม่ให้ใช้ทักษะนี้ และการต่อสู้บนสังเวียนจะมีผู้ชนะเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ตอนนี้เจนยังไม่อยากจะเป็นคนที่แพ้อย่างแน่นอน



    "สู้ได้เจ๋งไปเลยเจน หัวใสมากที่ใช้ดาบเป็นบูมเมอแรงแบบนั้น" โจกล่าวชมเมื่อเจนเดินลงมาจากสังเวียน



    "จู่ ๆ ไอเดียมันก็ปิ้งขึ้นมาในหัวอ่ะนะ พอได้โอกาสก็เลยจัดซักหน่อย" เจนตอบ



    "แล้วเธอรู้ใช่มั้ยว่าความจริงตอนที่ใช้ลูกเตะนั่น เธอจัดการหมอนั่นได้แล้ว" หนูส่งข่าวว่า



    "ไม่เอาน่า เป็นนายไม่อยากจะมีท่าจบเท่ ๆ แบบนั้นบ้างหรือไง ว่าแต่ไอ้ลูกเตะนั่นสวยมากเลยเจน แถมเป็นหมุนตัวเตะซะด้วย อย่างเจ๋งเลย!" แจ็คชมพร้อมกับทำท่าเตะเลียนแบบเจนในสังเวียน หญิงสาวหัวเราะแห้ง ๆ แล้วก็กล่าวขอบใจกลับไป



    คิทซึเนะและซินจูต่างเอาน้ำและขนมมาให้เจนทันทีหลังมาถึงจุดพักเพื่อคลายความเหนื่อยล้า ส่วนซินจูนั้นก็รอที่จะทำการพยาบาลรักษาบาดแผลที่เธอได้มาจากการประลองให้หมดก่อนที่จะถึงการประลองรอบต่อไป คงไม่ฉลาดนักที่จะเอาร่างกายที่ไม่สมบรูณ์พร้อมไปสู้ต่อกับยอดฝีมือที่จะประมาทไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาที



    ตอนนี้เจนสู้มาแล้วเจ็ดรอบและยังไม่เจอคู่ต่อสู้ที่เป็นยอดขุมพลเลย นั่นถือว่าโชคดีมาก แต่ว่าผู้เล่นที่เจนสู้ด้วยเองก็ไม่ได้กระจอกแม้แต่น้อย ขนาดตัวเธอได้เปรียบเรื่องอาวุธแต่ยังสูสีกับผู้เล่นหลายคนที่เธอสู้ด้วย ทำให้เจนตระหนักได้ว่าหลายคนในที่นี้ต่างเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถในการต่อสู้ ไม่ใช่ผู้เล่นธรรมดาทั่วไปที่พึ่งทักษะของเกม ถ้าหากเธอพลาดเพียงครั้งเดียวก็หมายถึงความพ่ายแพ้ทันที



    ตอนนี้เหลือการต่อสู้อีกสองรอบเท่านั้นยิ่งทำให้เจนต้องตั้งใจเป็นพิเศษ เพราะผู้เข้าร่วมการประลองที่เหลืออยู่อีกสามคนต้องมีฝีมือสูงอย่างแน่นอน โดยเฉพาะหนึ่งในนั้นเป็นยอดขุมพลที่เป็นที่จับตามองมากที่สุด จอมพลฉินผู้ที่ผ่านเข้ารอบการประลองไปเป็นคนแรกนั่นเอง



    "ผู้เล่นอีกสองคนฉันหาข้อมูลมาแล้วขอบอกว่างานนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ แน่ ขอบอกตามตรงนะว่าถ้าเธอโชคดีไม่ต้องไปเจอกับจอมพลนั่นในรอบต่อไป ความหวังที่จะชนะในรอบสุดท้ายได้ก็ยังริบหรี่ว่ะ" หนูส่งข่าวพูดหลังจากที่เขาเดินตระเวนดูการประลองของคนอื่น ๆ ในระหว่างที่เจนประลองอยู่ ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่สอดแนมคู่ต่อสู้เช่นนี้ พรรคพวกของผู้เล่นอีกสองคนก็มาสอดแนมเจนเช่นกัน แถมยังมีคนแอบให้ขนมใต้โต๊ะกับฟีบีด้วย ยังดีที่คิทซึเนะยืนคุมน้องสาวของเธออยู่จึงไม่มีใครมีโอกาสเข้าใกล้ตัวมังกรน้อย



    คงจะยกเว้นเพียงแค่จอมพลฉินที่ประลองอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีใครจะไปสอดแนมคู่ต่อสู้ให้เขา แต่แค่พละกำลังที่เขามีนั้นก็เป็นที่หนักใจมากพออยู่แล้ว



    "เรื่องจอมพลนั่นฉันจะเอาไว้จัดการเอง อย่าเพิ่งห่วงเรื่องนั้นเลย ตอนนี้นายมีอะไรบ้างเอาเล่ามาให้ฟังก่อน" เจนบอกทั้ง ๆ ที่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาชนะจอมพลฉินได้ยังไง



    หนูส่งข่าวพยักหน้าเข้าใจแล้วจึงเอ่ยข้อมูลที่เขาไปลอบสังเกตการณ์มา "ผู้เล่นคนแรกที่ฉันไปดูมามีชื่อว่าพิสตอล ฉันไม่รู้นะว่าหมอนั่นถนัดใช้อาวุธแบบไหนกันแน่ แต่เท่าที่ลองไปถาม ๆ มาแล้ว หมอนั่นได้จับทั้งดาบยาว ดาบสั้น คาตะนะ ดาบเคลย์มอร์ ทวน ดาบคู่ ใช้ได้หมดแถมยังเก่งอีกด้วย ในสายนี้หมอนี่ถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่น่าจับตามองทีเดียว"



    เจนหันมองตามสายตาของเพื่อนของเธอไปก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังต่อสู้อยู่บนสังเวียนใกล้ ๆ เขาเป็นหนุ่มร่างสูงที่มีเส้นผมสีขาวยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเรียวได้รูปประดับเอาไว้ด้วยสายตาเย็นชาทำในแบบที่ถูกใจสาว ๆ แต่ที่เจนสนใจมากกว่าคือการต่อสู้บนเวทีที่ชายหนุ่มเป็นฝ่ายได้เปรียบคู่ต่อสู้มากทีเดียว เธอบอกได้เลยว่าพิสตอลคงจะใช้เวลาอีกไม่นานนักก่อนที่ชัยชนะจะตกมาอยู่ในมือเขา



    "ส่วนอีกคนมีชื่อว่าเอจด์ ถนัดการใช้ดาบมือเดียว ฝีมือการต่อสู้ที่ผ่านมาก็ถือว่าใช้ได้แต่ไม่ได้เก่งมากนัก อย่างเธอน่าจะเอาชนะหมอนี่ได้ไม่ยาก ฉันยังแปลกใจเลยด้วยซ้ำที่หมอนี่ผ่านเข้ารอบมาถึงขนาดนี้ได้" หนูส่งข่าวว่าแล้วชี้ไปยังชายหนุ่มอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาหา



    เขาเป็นชายหนุ่มผมสั้นสีทอง ชุดที่เขาสวมใส่นั้นดูมีราคาสูงมากทำให้เจนรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีเงินมากอยู่พอตัว แต่ท่าทางของเขานั้นกลับไม่ทำให้เจนรู้สึกว่าเขามีฝีมือเลย แต่สิ่งที่ทำให้เจนรู้สึกหวาดหวั่นนั่นก็คือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าที่ทำให้เธอนึกถึงลาซาสขึ้นมา



    "ขอแสดงความยินดีกับคุณเจนด้วยนะครับที่ได้รับชัยชนะในการประลอง ผมมีชื่อว่าเอจด์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพและยื่นมือเข้ามาหา ทำให้เจนต้องยื่นมืออกไปจับกับเขาอย่างช่วยไม่ได้



    "ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่นายต้องการอะไรถึงมาคุยกับฉันก่อนที่จะถึงเวลาประลองแบบนี้" เจนตอบกลับไปตรง ๆ ด้วยความรู้สึกยังไม่ค่อยไว้ใจชายตรงหน้าเธอซักเท่าไหร่ ในฐานะผู้เข้าร่วมประลองเช่นเดียวกัน เธอมั่นใจว่านี่ไม่ใช่การเข้ามาทักทายอย่างฉันท์มิตรแน่



    เมื่อได้ยินเสียงตอบของคนตรงหน้า เอจด์ก็ไม่ได้แสดงท่าทางแปลกใจหรือไม่พอใจออกมาให้เห็นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับยังคงยิ้มยียวนชวนสงสัยยิ่งทำให้คนถามนั้นเริ่มรู้สึกฉงนมากยิ่งขึ้นไปอีก



    "ผมแค่สงสัยบางอย่างน่ะครับ สงสัยว่าทำไมผู้กล้าในชุดขาวถึงได้มาเข้าร่วมต่อสู้กับการประลองของผู้เล่นธรรมดาอย่างตัวผม ไม่คิดว่าการที่คนอย่างคุณที่มีความสามารถสูงอย่างคุณมาประลองด้วยจะเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้เข้าร่วมประลองคนอื่นไปหน่อยหรือครับ" เอจด์ถามเสียงราบเรียบแต่ทำให้คิ้วของเจนกระตุกได้ โจและแจ็คที่เข้าใจคำพูดของชายหนุ่มว่าหมายความว่ายังไงก็ต่างมองหน้ากันเพื่อปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกันดี ในขณะที่ซินจูเหมือนจะยังไม่เข้าใจและเข้ามากระซิบข้างหู



    "ที่ผู้ชายคนนั้นพูดหมายความว่ายังไงหรือคะ"



    "ที่หมอนั่นพูดออกมาก็เพราะต้องการจะบีบให้เจนถอนตัวออกจากการประลองไงล่ะ" แจ็คตอบแล้วหันไปมองดูเจนและชายหนุ่มที่ยังคงจ้องหน้าเล่นเกมจิตวิทยากันอยู่



    "กล้าดียังไง! อย่างพี่เจนไม่มีทางยอมแพ้ให้กับคนอย่างนั้นอยู่แล้ว!" คิทซึเนะที่เงี่ยหูฟังอยู่พูดแทรกขึ้นมา ถ้าหากไม่ถูกจอมเวทหนุ่มรั้งเอาไว้ล่ะก็ ตอนนี้เธอคงได้เข้าไปฟัดกับชายหนุ่มที่กล้ามาท้าทายพี่สาวของเธอไปแล้ว



    "ใจเย็น ๆ ก่อนคิทซึเนะ ฉันเองก็คิดว่าเจนคงจะไม่ยอมง่าย ๆ อย่างที่เธอบอกนั่นแหละ" โจพยายามจะปลอบจิ้งจอกสาวให้เย็นลงก่อนจะก่อเรื่องวุ่นขึ้น



    "ทำไมหรือคะ ทำไมพี่เจนถึงจะต้องถอนตัวด้วย" ซินจูถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ เธอไม่เห็นว่าคำพูดของเอจด์จะบีบให้เจนต้องออกจากการประลองตรงไหน



    "หมอนั่นพูดเพื่อจงใจให้เจนรู้สึกว่าที่เธอมาเข้าร่วมประลองนี้สำหรับเธอเป็นการเอาเปรียบคนอื่น เพราะทุกคนต่างคิดว่าเจนเป็นผู้เล่นระดับสูงที่เทียบชั้นได้กับพวกหัวหน้ากิลด์ใหญ่ ๆ น่ะสิ" จอมเวทหนุ่มอธิบาย



    เมื่อได้รู้ว่าเอจด์ต้องการอะไรก็ทำให้ซินจูเองก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจในตัวของเขาขึ้นบ้าง แต่ความรู้สึกของเธอคงจะเทียบกันไม่ได้กับหญิงสาวที่ยังคงยืนฟังอย่างสงบได้อย่างน่าประหลาด แม้ในใจของเจนนั้นอารมณ์กำลังครุกรุ่นเตรียมพร้อมที่จะระเบิดออกมาทุกเมื่อ



    "นายต้องการจะบอกอะไรฉันกันแน่" เจนพูดขึ้นด้วยความอดทนอดกลั้น แม้ว่าจริงอยู่ที่ทักษะทั้งหลายหรืออาวุธที่เธอมีนั้นจะมีระดับสูงกว่าผู้เล่นทั่วไปมาก แต่กว่าที่เธอจะได้มานั้นก็ผ่านความลำบากมามาไม่น้อย และการประลองครั้งนี้เธอใช้เพียงแค่สองทักษะคือทักษะเสริมพลังกายและทักษะ Weapons Mastery เท่านั้นซึ่งจริงอยู่ที่ทำให้เจนได้เปรียบมาที่เธอสามารถใช้อาวุธทุกชนิดอย่างเชี่ยวชาญ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเหตุผลที่จะทำให้เจนไม่ให้เข้ามาสู้ในการประลองเบลดมาสเตอร์อย่างแน่นอน



    "ทั้ง ๆ ที่คนระดับคุณก็น่าจะมีอาวุธระดับ S อยู่แล้วแต่ยังมาเข้าร่วมการประลองเพื่อแย่งชิงอาวุธด้วยแบบนี้ถือได้ว่าเป็นคนที่ไร้น้ำใจนักกีฬาสิ้นดี จริงมั้ยครับ ผมว่าคุณควรจะถอนตัวออกจากการประลองซะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะครับว่าจะขาดทุนเพราะว่าผมยินดีจะจ่ายเงินหนึ่งหมื่นโกลด์และดาบระดับ B อย่างที่คนที่ตกรอบได้ เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลย คุณว่ามั้ยครับ" ชายหนุ่มยังคงพูดหน้านิ่ง รอยยิ้มที่แฝงเอาไว้ด้วยเล่ห์กลนั้นปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด



    เขากำลังใช้คุณธรรมของเจนมาเป็นเครื่องมือต่อสู้กับเธอ!



    "นายนี่มันทุเรศสิ้นดี! แค่คิดว่าฝีมือของฉันเก่งกว่าก็เลยมาใช้วิธีสกปรกแบบนี้เพื่อชัยชนะเลยหรือไง" เจนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความรังเกียด



    เอจด์ยิ้มที่มุมปากอย่างไม่สะทกสะท้าน "ผมเพียงแค่ใช้ทุกวิธีที่จะนำพาซึ่งชัยชนะมาก็เท่านั้นเอง ผมไม่สนใจเรื่องศักดิ์ศรีอะไรเทือกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว และผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่ผมทำไม่ผิดกฎการประลองเลยด้วย อ้อ! ส่วนเรื่องฝีมือผมว่าคุณควรจะเอาชนะคู่ต่อสู้ของคุณคนต่อไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาคิดว่าจะตกลงรับข้อเสนอของผมหรือไม่" เจนรีบหันไปตามทางที่เอจด์ชี้ไปซึ่งเป็นจอแสงที่กำลังฉายคู่ต่อสู้ในรอบรองชนะเลิศ เมื่อเธอเห็นว่าคู่ต่อสู้คนต่อไปของเธอเป็นใครแทบจะต้องหยุดหายใจ เพราะคู่ต่อสู้ของเธอคือชายผู้ที่แสดงให้ประจักษ์แล้วว่า ต่อให้ไร้ทักษะช่วยเหลือ เขาก็ยังคงเป็นจอมดาบที่แข็ง แกร่งอยู่วันยังค่ำ ผู้ที่ทำให้เจนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงหนูตัวเล็ก ๆ เมื่อคืนวาน ผู้ที่เป็นดั่งจอมอสรพิษล่าเหยื่อ จอมพลฉินแห่งเมืองลั่วหยาง





    ขาที่จะก้าวขึ้นไปบนเวทีนั้นมันไร้เรี่ยวแรงไปเมื่อเจนมองขึ้นไปดูว่าใครกำลังยืนรอเธออยู่ สายตาเยือกเย็นดั่งอสรพิษจ้องเหยื่อยังคงจับจ้องมาที่เธอเหมือนกับคราวที่แล้วที่เกือบจะได้เผชิญหน้ากัน แต่ครั้งนี้ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย



    "จากที่เจ้าหนูส่งข่าวบอก จอมพลฉินชนะการต่อสู้กับผู้เล่นโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ แถมเขายังเอาชนะขุนพลคนอื่น ๆ ได้อย่างสบาย ๆ อีกด้วย ฉันว่าเธอยอมแพ้ก็ไม่เลวนะ" แจ็คพูดขึ้นมาจากด้านล่างเวทีที่อยู่ด้านหลังของเธอ แน่นอนว่าคำพูดของเขาเรียกสติของเจนให้กลับมาได้ในทันที สายตาค้อนควับหันไปมองชายหนุ่มทันควัน



    "ไม่มีทางเด็ดขาด ถ้าขืนฉันยอมแพ้ก็เท่ากับยอมรับข้อเสนอของไอ้หมอนั่นน่ะสิ ต่อให้ฉันจะต้องแพ้ให้กับจอมพลคนนี้ท่ามกลางสายตานับร้อย ๆ คู่ ฉันก็จะขอเลือกที่จะสู้ ดีกว่าจะยอมเป็นบันไดให้กับคนพรรณนั้น...ไม่สิ จะให้หมอนั่นได้ตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ไปไม่ได้เลยต่างหาก!" เจนพูดขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว ในตอนนี้ผู้คนมากมายต่างยืนล้อมสังเวียนของเธออยู่เพราะว่าเหลือการประลองอีกเพียงแค่สองคู่เท่านั้น



    จากสังเวียนของเจนและจอมพลฉิน เจนมองไม่เห็นเวทีการประลองที่เอจด์และพิสตอลกำลังทำการประลองอยู่เลย คงเป็นเพราะการประลองถูกจัดให้สู้พร้อมกัน เพื่อความสะดวกของสถานที่คงทำให้เวทีประลองของสองคนนั้นถูกจัดอยู่ห่างออกไปจากเวทีของเจน



    ถ้าจะให้บอกว่าในรอบสุดท้ายคู่ต่อสู้เจนอยากจะสู้ด้วยที่สุดจะเป็นใครระหว่างเอจด์และพิสตอล เธอก็คงจะต้องยอมรับว่าต้องเป็นเอจด์เพราะดูจากภายนอกเขาไม่ค่อยมีฝีมือมากนัก เจนมั่นใจว่าเธอสามารถเอาชนะชายผู้นี้ได้อย่างแน่นอน และรู้สึกสะใจเป็นการส่วนตัวด้วย แต่ถ้าถามว่าใครจะได้ไปรับสุดท้ายก็คงต้องบอกว่าเป็นพิสตอล เพราะฝีมือที่รับประกันด้วยข่าวของหนูส่งข่าวและคำพูดของแจ็คนั้นทำให้เจนมั่นใจว่าเขาจะต้องเอาชนะเอจด์ได้แน่ และคนที่มีฝีมือเช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะรับเงินล้มมวยอย่างแน่นอน



    แต่เจนจะมีโอกาสได้ไปสู้ในรอบตัดเชือกหรือไม่นั้น คงจะต้องถามชายร่างสูงในชุดเกราะจีนบนเวทีซะก่อน และเธอก็ไม่มีความมั่นใจเอาซะเลยว่าเธอจะเอาชนะเขาได้



    "พี่เจนสู้ ๆ ! พี่เจนสู้ตาย!" เสียงตะโกนเชียร์ของสามสาวจากด้านข้างเวทีดังให้กำลังใจ เธอหันไปพยักหน้าให้ทั้งสามก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ และพ่นออกมาแรง ๆ พร้อมกับก้าวเท้าขึ้นไปบนลานประลอง



    เมื่อขึ้นไปบนสังเวียน เจนก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันต่างไปจากการประลองที่ผ่าน ๆ มามากนัก เพราะเธอรู้ว่าชายตรงหน้าของเธอนั้นมีทั้งพลังและฝีมือเหนือกว่าเธอมาก อีกทั้งยังมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากกว่า เรียกได้ว่าครั้งนี้เจนเสียเปรียบเต็มประตู แม้แต่ทักษะของเธอก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยเมื่อมาเผชิญหน้ากับจอมพลฉิน



    เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าก็ยิ่งรู้สึกว่าโอกาสที่จะชนะได้ยิ่งน้อยลงไปอีก แม้ว่าอาวุธที่จะใช้ต่อสู้ในรอบนี้จะยังไม่ปรากฏแต่มีบางอย่างบอกว่าจอมพลฉินสามารถใช้อาวุธได้ทุกชิ้นไม่ต่างไปจากเจนเช่นกัน



    แทนที่รู้สึกวิตกเหมือนก่อนขึ้นมาบนลานประลอง ตอนนี้เจนกลับรู้สึกตื่นเต้นไปหมด สายตาดั่งอสรพิษที่คอยจ้องมองกลับไร้ผลโดยสิ้นเชิง ลมหายใจเริ่มไม่เป็นจังหวะ ตัวใจเต้นแรงจนมือเริ่มสั่นเพราะอยากจะสู้เต็มทน เพราะชายที่อยู่ตรงหน้านับได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งที่สุดที่เจนเคยได้มีโอกาสประมือด้วย



    "สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ" จอมพลฉินพูดขึ้นแต่เหมือนไม่ได้พูดกับตัวเอง



    "สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ...ทำตามสิ" ตอนนี้เจนมั่นใจแล้วว่าเขากำลังพูดกับเธอ



    เจนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตามคำของจอมพลฉิน และค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมาตามคำของเขาอีกเช่นกัน เจนทำตามที่จอมพลฉินสั่งอีกสี่ห้ารอบก็พบว่าอาการตื่นเต้นทั้งหมดเริ่มสงบลง สติเริ่มกลับมาอีกครั้ง และความมั่นใจของตัวเธอก็เพิ่มขึ้นมาด้วย



    "ก่อนจะออกรบ เจ้าจะต้องมีสติที่ควบคุมร่างกายได้ ถ้าหากปล่อยให้ร่างกายคุมจิต เจ้าจะกลายเป็นเพียงนักรบคลั่งที่ตอบสนองสัญชาติญาณดิบเท่านั้น จงกลายเป็นขุนพลที่ใช้จิตบังคับกาย มีสติอยู่เสมอ! และนั่นคือกุญแจสู้ชัยชนะ" ชายสูงอายุกล่าวชี้แนะ เจนรีบก้มตัวให้ทีนทีอย่างมีมารยาท



    "ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะค่ะ" เจนกล่าว เธอไม่คิดจะปิดบังเรื่องของตัวเธอให้กับจอมพลฉินเพราะว่ามันจะเป็นการเสียมารยาท แต่เธอคิดว่าเขาก็คงจะรู้อยู่แล้วเพราะดวงตาที่เฉียบคมของเขาราวกับว่ามองเห็นทุกสิ่ง ทะลุภาพลวงตาใด ๆ



    "แม้พญาสิงค์จะล่ากระต่ายก็ยังทุ่มสุดกำลัง ต่อให้เจ้าเป็นผู้หญิงข้าก็ไม่คิดจะออมมือให้หรอกนะ"



    "ลงมือเต็มที่เถอะค่ะ แสดงให้ทุกคนรู้ว่าฝีมือของท่านจอมทัพเป็นเช่นไร" คำพูดของเจนทำให้จอมพลฉินยิ้มกว้างและหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นลานประลอง ดังซะยิ่งกว่าเสียงตะโกนเชียร์ของผู้ชมรอบเวทีซะอีก



    "ดี!! ให้มันได้อย่างนี้สิ สมกับที่เป็นนักรบที่เหล่านักผจญภัยต่างยกย่อง!" เมื่อจอมพลฉินเอ่ยจบ ลูกบอลแสงก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเขาและเจนทันที ทั้งสองต่างรู้ว่าบอลแสงนี้คืออะไร และกำลังลุ้นว่าอาวุธที่จะใช้ในการประลองในรอบต่อไปนั้นคืออาวุธประเภทไหน



    เมื่อถึงเวลา บอลแสงพลันสลายกลายเป็นดาบสั้นเล่มหนึ่ง เจนจำได้ทันทีว่าเป็นดาบในแบบที่นักรบสปาตันเคยใช้เพราะเธอเคยสัมผัสมาจากภาพยนตร์และเกมยุคเก่า เธอคว้าดาบมาและทันใดนั้นภาพทักษะการใช้ดาบสปาตันก็ไหลเข้ามาในหัวของเธอ ตอนนี้เจนรู้แล้วว่าจะใช้ดาบเล่มนี้สู้กับชายร่างใหญ่ในชุดเกราะตรงหน้าอย่างไรดี



    ตรงกันข้าม จอมพลฉินหยิบดาบขึ้นมาและจ้องมองอย่างพิจารณา เนื่องจากอาวุธนี้เป็นอาวุธประจำทวีปยูโรปา ทำให้ขุนพลประจำทวีปอัลเทเชียอย่างเขาจึงไม่เคยได้สัมผัสอาวุธเช่นนี้มาก่อน และเป็นจุดได้เปรียบแรกของเจนในการต่อสู้ครั้งนี้



    อากาศบนลานประลองร้อนระอุขึ้นราวกับว่ากำลังประลองอยู่กลางแจ้ง เพราะว่าในอีกไม่กี่วินาทีนี้ การต่อสู้ระหว่างหนึ่งในสุดยอดขุนพลแห่งทวีปอัลเทเชียและผู้เล่นที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในโลกดิ โอเพ่น เวิร์ด ออนไลน์ในขณะนี้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!



    แก๊ง!!!



    เสียงระฆังดังขึ้น ร่างของจอมพลฉินก็พลันหายไปจากสายตาของเจนทันที หญิงสาวรีบกวาดตามองไปรอบด้านอย่างรวดเร็วเพราะถ้าหากเธอหาจอมพลผู้นี้ไม่เจอ บางทีการต่อสู้ในรอบนี้อาจจะลดลงจากสถิติหนึ่งนาทีกลายเป็นสิบวินาทีก็ได้



    ทันใดนั้นเองสัญชาติญาณของเจนก็บอกให้เธอเงยหน้าขึ้นไปเหนือหัวของเธอ และนั่นเองร่างของชายในชุดเกราะลอยอยู่กลางอากาศ...ไม่ใช่! เขากำลังพุ่งลงพร้อมกับแทงดาบใส่เธอต่างหาก



    แม้เจนจะยังไม่อยากใช้ทักษะเสริมพลังกายตั้งแต่เริ่มเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เจนใช้เอาชนะการประลองมาหลายต่อหลายครั้ง แม้ทักษะจะส่งผลเพียงเวลาไม่กี่วินาทีแต่ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เธอหลีกเลี่ยงที่จะไม่ใช้ทักษะไม่ได้



    ร่างของหญิงสาวส่องแสงสว่างขึ้นมาเล็กน้อยและเธอก็กระโดดถอยหลังสุดตัว เจนรู้สึกได้ถึงปลายดาบที่พุ่งผ่านหน้าผากของเธอห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร ดาบสั้นในมือจอมพลปักลงบนพื้นราวกับมีดปักลงบนดินนุ่ม ๆ เจนสังเกตเห็นถึงรอยร้าวของพื้นลานประลองที่เกิดมาจากฝีมือของจอมพลฉิน นั่นเป็นสิ่งที่เจนไม่สามารถทำได้แน่ อย่างน้อยก็ทำไม่ได้ถ้าหากไม่มีทักษะช่วย



    ชายในชุดเกราะถอนดาบออกมาอย่างง่ายดาย เขายกดาบขึ้นมามองดูราวกับว่าต้องการสังเกตถึงอะไรบางอย่างบนดาบหรือตัวดาบเอง จากนั้นเขาจึงควงดาบอย่างช้า ๆ แล้วชี้มาที่เจนเป็นสัญญาณว่าเขาพร้อมที่จะบุกโจมตีอีกครั้งหนึ่งแล้ว



    เจนรู้ตัวว่าตอนนี้ทักษะเสริมพลังกายได้หมดฤทธิ์ลงไปแล้ว อีกห้านาทีถึงจะใช้ได้อีกครั้งแต่เจนไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในลานประลองได้นานขนาดนั้น เห็นทีเธอจะต้องสู้โดยต้องพึ่งเพียงแค่ฝีมือของเธอซะแล้ว และครั้งนี้เธอก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายตั้งรับแน่ คู่ต่อสู้ของเธอต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ



    ร่างในชุดคลุมสีขาวพุ่งเข้าใส่ร่างสูงในชุดเกราะอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของผู้ชมรอบสนามเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกในการประลองที่ทุกคนเห็นผู้เล่นเป็นฝ่ายโจมตีใส่จอมพลฉินผู้นี้ เพราะว่าไม่มีใครกล้าหรือบ้าพอที่จะไปสู้กับชายที่มีพละกำลังมหาศาลเช่นนั้น แต่คนที่มีคุณสมบัติทั้งสองปรากฏขึ้นมาแล้วในเวทีประลองแห่งนี้



    เคร้ง!! เคร้ง!! เคร้ง!!



    เสียงดาบปะทะกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง เจนรู้ว่าเธอไม่อาจจะสู้เรื่องพละกำลังกับจอมพลฉินได้ ดังนั้นสิ่งที่จะเอาชนะได้ก็เหลือเพียงแค่ใช้ความเร็วเท่านั้น ด้วยดาบสั้นนั้นมีระยะยาวไม่มากตามชื่อของมัน ทำให้การใช้ฟาดและแทงนั้นสามารถเร่งความเร็วสูงได้ในเวลาอันสั้น แถมอาวุธแบบนี้ยังใช้เครื่องป้องกันได้ยากอีกด้วย เพราะเช่นนั้นนักรบสปาตันจึงมักใช้อาวุธแบบนี้คู่กับโล่ด้วยเสมอ และเมื่ออาวุธประลองในรอบนี้มีเพียงดาบเท่านั้น ทำให้ฝ่ายตั้งรับนั้นเสียเปรียบอย่างมาก



    เจนใช้การโจมตีโดยฟาด ตวัดและแทงที่สามารถใช้โจมตีได้อย่างรวดเร็วและยังใช้แรงได้ไม่สิ้นเปลืองนัก และยิ่งโจมตีด้วยความเร็วระดับนี้ยิ่งทำให้ป้องกันได้ยากยิ่งขึ้นอีก แต่ทว่าจอมพลฉินเองก็ทำได้ไม่เลวเช่นกัน เพราะเจนโจมตีด้วยความเร็วสูงแล้วยังสามารถยกดาบขึ้นกันได้อีก สมกับเป็นนักรบที่มากประสบการณ์จริง ๆ



    "โห พี่เจนฝีมือสุดยอดไปเลยนะเนี่ย โจมตีเร็วจนแทบมองไม่ทัน ขนาดจอมพลฉินยังไม่มีโอกาสตอบโต้ได้เลย" ซินจูพูดโพล่งขึ้นอย่างชื่นชม



    "ตอนแรกฉันนึกว่าจะแพ้แล้วซะอีก ตอนที่ตาแก่นั่นจู่ ๆ หายตัวไปแล้วโผล่มาบนหัวของเจนนั่นน่ะ" หนูส่งข่าวว่า เขามองการต่อสู้บนสังเวียนอย่างไม่ละสายตาเพราะว่ากลัวจะพลาดช็อตดี ๆ ที่ทั้งคู่ต่างเอาขึ้นมางัดให้ฝ่ายตรงข้ามพบกับความพ่ายแพ้ลงให้จงได้



    "ดูสิ ตอนนี้เลยเส้นตายหนึ่งนาทีไปแล้ว ถ้าหากยัยเจนแพ้ตอนนี้ก็ถือว่าเก่งกว่าคนอื่น ๆ แล้วล่ะวะ" แจ็คพูดขึ้น ทำให้โจที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หันไปพูดด้วยด้วยใบหน้าเอือมระอา



    "จะช่วยเชียร์เพื่อนให้หน่อยไม่ได้หรือยังไงหือ ไอ้แจ็ค"



    บนสังเวียน เจนยังคงพยายามจะโจมตีให้โดนชุดเกราะซักครั้งแต่ว่าจอมพลตรงหน้าเธอกลับยกดาบขึ้นกันได้หมดทุกครั้งไป ตอนนี้เธอก็เริ่มหอบขึ้นมาเพราะโจมตีติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่ถึงจะอย่างนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีถึงจะโจมตีให้โดนเลย ถึงจะโดนแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาชนะยังไงเลยด้วยซ้ำ



    ทันใดนั้นเองเจนรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกจากดาบในมือ จอมพลฉินไม่ได้ป้องกันเฉย ๆ อีกต่อไป เขาฟาดดาบกลับมาในตอนที่เจนความเร็วตกลงเพราะเริ่มหมดแรง ทำให้เจนเสียหลักกระเด็นออกมา แต่ยังดีที่เจนพอตั้งหลักได้และลุกขึ้นมาตั้งดาบเตรียมโจมตีอีกครั้ง



    ทางจอมพลฉินเองก็สมกับที่เป็นยอดฝีมือ ที่สามารถรับมือการโจมตีที่รวดเร็วได้ขนาดนั้นแต่ยังไม่มีท่าทางแสดงว่ารู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย



    'บ้าจริง! จะทำยังไงถึงจะเอาชนะได้นะ ทำยังไงดี!' เจนพยายามคิดจนหัวแทบระเบิดแต่ก็หมดหนทาง ถ้าหากตอนนี้เธอใช้ทักษะได้ล่ะก็ พลังสถิตร่างคงได้แผลงฤทธิ์ไปแล้ว อย่างน้อยถ้าหากเธอได้ใช้อาวุธเป็นดาบคาตะนะ...จริงด้วย อาวุธ!!



    เจนเบิกตากว้างทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้ถึงวิธีที่จะเอาชนะชายตรงหน้าขึ้นมาได้ แม้ว่าจะไม่ได้มั่นใจถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่นี่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้แล้ว



    เมื่อตัดสินใจได้แล้วเจนจึงเตรียมพร้อมที่จะสู้ต่อทันที เธอเปลี่ยนมือจับดาบเป็นมือซ้ายและให้ปลายแหลมหันเข้าลงพื้นในแบบที่ทหารใช้มีดกัน แม้ว่าดาบสั้นจะยาวกว่ามีดทำให้การจับดาบแบบนี้จะใช้ฟาดและตวัดไม่ได้ แต่ก็จะได้การแทงและเฉือนมาแทนแถมยังใช้ป้องกันได้ดีกว่าเดิมด้วย



    เจนไม่รอช้าให้จอมพลฉินหาทางป้องกันการโจมตีของเธอได้หรือเปิดโอกาสให้เขาเป็นฝ่ายรุก เจนพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งแทงดาบเข้าใส่ ทว่าจอมพลฉินนั้นยกมือขึ้นกันได้ทันควัน อย่างที่คาดเอาไว้ ต่อให้โจมตีพลิกแพลงแค่ไหน แต่คนอย่างพลฉินไม่มีทางพลาดท่าให้กับลูกไม้ตื้น ๆ เช่นนี้แน่



    "มีหัวคิดดี แต่ว่าเจ้าประเมินสถานการณ์ผิดไปหน่อยนะ เพราะถ้าหากเจ้าฝืนรับดาบของข้าเพียงแม้แต่ครั้งเดียว เจ้าก็คงจะหมดโอกาสสู้ต่ออย่างแน่นอน" จอมพลฉินเอ่ยพร้อมกับออกแรงดันไปด้านหน้าจนตอนนี้เจนที่เป็นฝ่ายโจมตีกลับต้องเริ่มถอยซะเอง



    "ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่ายอดฝีมือเช่นท่านเก่งกาจแค่ไหน และนั่นก็ต้องทำให้ฉันต้องทำแบบนี้ยังไงล่ะ!" เจนตอบเสียงดังและเอียงตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว



    ร่างของจอมพลฉินถลาไปด้านหน้าเพราะจู่ ๆ เจนหลีกเลี่ยงที่จะต้านแรงของเขา แต่ไม่มากพอที่จะทำให้เสียหลักได้และเจนก็รู้ในจุดนั้นดี แต่สิ่งที่เธอกำลังเล็งอยู่นั้นเพียงแค่ชั่วพริบตาก็เพียงพอแล้ว!



    พริบตาที่ร่างของจอมพลเซถลาไปด้านหน้า มือขวาที่ว่างอยู่ของเจนก็พุ่งไปคว้าข้อมือที่ถือดาบในมือของจอมพลฉินและบิดสุดแรงเกิด พริบตานั้นเองที่ดาบในมือของขุนพลก็หลุดออกจากมือหนา เจนรีบใช้โอกาสนี้คว้าดาบเอาไว้และพุ่งตัวออกมาตั้งหลักทันที เสียงตะโกนเชียร์ดังลั่นสนามประลอง เหล่าคนดูต่างตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีที่มีร่างสูงของจอมพลแต่กลับไร้อาวุธในมือ และร่างในชุดคลุมสีขาวพร้อมดาบสั้นในมือทั้งสองข้าง



    จอมพลฉินรี่ตามองพร้อมกับแสยะยิ้มอย่างชอบใจ ตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมประลองมา ถ้าไม่นับเหล่าขุนพลที่ได้ประมือด้วย หญิงสาวตรงหน้าคนนี้เป็นคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นได้ขนาดนี้



    "ไม่เลว! ฝีมือไม่เลวสำหรับนักผจญภัยเลยจริง ๆ! เจ้าเก่งมากที่แย่งอาวุธไปจากข้าได้ แต่เจ้าก็คงจะรู้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะเอาชนะข้าได้ต่อให้ข้าจะไม่เหลืออาวุธเลยก็ตาม" จอมพลฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงชอบใจ เจนที่ได้ยินก็รู้ว่าเขาพูดความจริงเพราะแค่กำปั้นของเขานั้นก็สามารถน็อกเธอได้ในหมัดเดียว ด้วยพลังกำลังของเขาบางทีอาจจะทำได้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ



    "ของอย่างนี้มันก็ต้องลองดู ใครจะไปรู้ ตอนนี้ฉันแย่งอาวุธมาจากมือท่านได้ บางทีฉันอาจจะเอาชนะท่านได้ด้วยก็ได้" เจนตอบ นั่นเป็นการขู่ที่ไร้น้ำหนักโดยสิ้นเชิง แต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่เจนพอจะทำได้ในตอนนี้ เธอได้เปรียบกว่าตรงที่ตอนนี้เธอเป็นฝ่ายเดียวที่มีอาวุธ ที่เหลือเธอก็เพียงแค่วัดฝีมือกันเท่านั้นว่าใครจะเหนือกว่ากันซึ่งจุดนี้เธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างหนักเลยทีเดียว



    แต่ก่อนที่เจนจะเปิดฉากโจมตี จอมพลฉินก็ยกมือขึ้นห้ามซะก่อน "ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่ใจร้ายไส้ระกำนัก เอาเป็นว่าเพื่อทำให้เกิดความยุติธรรมกับเจ้า ในเมื่อข้าสามารถจัดการเจ้าได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ดังนั้นข้าจะให้เจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ในแบบเดียวกัน"



    เจนขมวดคิ้วอย่างงุนงงเพราะเธอไม่เข้าใจกับสิ่งที่จอมพลเอ่ยขึ้น แต่เธอก็ไม่ต้องสงสัยนานนัก เพราะตอนนี้จอมพลฉินกำลังหันไปมองผู้ชมรอบ ๆ ลานประลองแล้วตะโกนขึ้นด้วยเสียงดังลั่น "ทุกคนจงฟัง!! ถ้าหากนักผจญภัยตรงหน้าข้าผู้นี้สามารถทำให้ดาบในมือลิ้มรสเลือดของข้าได้ ข้าจะถือว่าข้าเป็นฝ่ายปราชัยในทันที!!"



    ผู้ชมทั้งหลายต่างหันไปพูดคุยกันด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ เขาถึงยอมอ่อนข้อให้กับเจนถึงขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคัดค้านเลยแม้แต่คนเดียวเพราะทุกคนต่างได้เห็นฝีมือการชายผู้นี้มาจากการประลองรอบที่ผ่าน ๆ มาแล้ว และทุกคนก็ต่างเห็นพ้องต้องตามกันว่าคงไม่มีผู้เล่นคนไหนในที่แห่งนี้สามารถเอาชนะจอมพลฉินได้อย่างแน่นอน ดังนั้นการที่เขาประกาศออกไปนั้นแม้จะดูเอาเปรียบแต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่ดี เพราะขนาดขุนพลที่เผชิญหน้ากับเขายังไม่สามารถเรียกเลือดออกจากตัวชายผู้นี้ได้ จะนับประสาอะไรกับผู้เล่นแม้ว่าจะเป็นผู้กล้าในชุดขาวก็ตามที



    เจนเมื่อได้ยินที่จอมพลฉินประกาศก็ถึงกับตะลึง แต่พร้อมกันนั้นเธอก็มองเห็นแสงสว่างที่ฉายให้เห็นถึงหนทางที่เธอจะเอาชนะเขาได้ แม้ว่าเธอจะทำให้เขายอมแพ้หรือหมดสติไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแทงให้ได้เลือดซักแผลล่ะก็ไม่ยากเกินฝีมือเธอแน่!



    เมื่อจอมพลฉินหันกลับมาเผชิญหน้า เจนก็พุ่งเข้าใส่และฟาดฟันดาบคู่ในมือด้วยความเร็วสูง ดาบสั้นทั้งสองเล่มถูกฟาดจากเหนือหัวของจอมพล เขายกแขนขึ้นกันได้อย่างทันท่วงที ดาบปะทะเข้ากับชุดเกราะเสียงดังลั่น เจนรู้สึกว่าดาบทิ้งสองเล่มปะทะเข้าแขนของจอมพลฉิน แม้ว่าเกราะที่แขนของเขาจะเป็นแผ่นเหล็กขนาดเล็กนำมาเย็บติดกันเป็นผืนเดียวแต่การโจมตีด้วยอาวุธธรรมดานั้นไม่อาจจะเฉือนผ่านแผ่นเหล็กเหล่านี้ไปสร้างบาดแผลใต้มันได้



    เจนรีบเร่งความเร็วในการโจมตีต่อทันที ถึงจะไม่มีบาดแผลเพราะชุดเกราะรับดาบเอาไว้แต่การใช้แขนรับการโจมตีเช่นนี้จะต้องทำให้แขนเกิดอาการบาดเจ็บภายในอย่างแน่นอน เพียงแค่จอมพลฉินออกอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย นั่นก็จะเป็นโอกาสที่เจนจะโจมตีเพื่อเอาชัยชนะมา



    ทว่าสิ่งที่เจนคิดนั้นไม่ได้ง่ายเหมือนกับแค่คิดก็จะทำได้เลย แม้จะไร้อาวุธแต่จอมพลก็ยังร้ายกาจ เขาใช้ชุดเกราะของเขารับการโจมตีเอาไว้ได้ทุกครั้ง แถมยังโจมตีสวนกลับมาได้อีกด้วย แรงลมที่เธอรู้สึกได้จากหมัดของจอมพลฉินนั้นราวกับมีระเบิดอยู่ตรงหน้าจนเจนถึงกับหน้าซีด เธอยังจำได้ถึงการฟาดดาบด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ถ้าหากเธอโดนเข้าล่ะก็...แค่สลบยังถือว่าโชคดีด้วยซ้ำไป



    เจนรีบพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง คราวนี้เธอเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการแทงเป็นหลักเพราะป้องกันได้ยากกว่า และถ้าหากเธอปักดาบทะลุชุดเกราะนั้นได้ล่ะก็ ทุกอย่างก็จะจบลงทันที และก็เป็นอย่างที่เจนคิดเอาไว้ เมื่อเปลี่ยนไปใช้การแทง จอมพลฉินเลือกที่จะหลบมากกว่ายกแขนป้องกัน นั่นหมายความว่าเจนต้องรุกให้หนักยิ่งกว่าเดิม โจมตีให้เร็วกว่าเดิม ไล่ต้อนจนชายตรงหน้าเสียหลักซึ่งตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น



    ทันใดนั้นเอง จอมพลฉินที่กำลังเคลื่อนตัวหลบก็ทำทางจะล้มหงายหลังลงไป เจนรู้ได้ทันทีว่านี่คือโอกาสของเธอและอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะเอาชนะชายผู้นี้ได้ เธอจึงตัดสินใจพุ่งเข้าใส่เต็มแรง เจนกำดาบสั้นในมือขวาแน่นและแทงเข้ากลางอกที่ไร้การป้องกัน แม้ว่าตรงนั้นจะมีแผ่นเหล็กกันเอาไว้อยู่แต่หากรับการโจมตีโดยตรงเช่นนี้แผ่นเหล็กนั้นก็ไร้ประโยชน์



    ทว่าเมื่อเจนเหลือบตาขึ้นไปมองใบหน้าของจอมพลฉินกลับเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนนั้น ตอนนั้นเองร่างสูงที่ทำท่าจะหงายหลังก็ชะงักงัน เขายันเท้าดีดตัวเองให้กลับมาพร้อมทั้งออกหมัดซ้ายตรงพุ่งกระแทกเข้าท้องของเจนเข้าเต็มเปา ร่างบางลอยขึ้นกลางอากาศและพุ่งกระแทกเข้ากับกำแพงแสงที่ปิดกั้นลานประลองเอาไว้อย่างรุนแรง



    ท่ามกลางความเงียบกริบของคนดู ไม่มีใครต่างคิดมาก่อนว่าเจนจะเอาชนะจอมพลฉินได้ แต่เมื่อเห็นเธอสามารถตอสู้กับเขาได้อย่างสูสี ไม่ว่าจะสู้จนผ่านช่วงเวลาหนึ่งนาทีหรือแม้แต่แย่งอาวุธมาจากเขาได้ทำให้ทุกคนเริ่มที่จะเชียร์อย่างมีความหวังเพราะอยากจะมองเห็นผู้กล้าของพวกเขาได้รับชัยชนะมา ยิ่งวินาทีที่จอมพลฉินพลาดท่านั้นเสียงเชียร์ก็ยิ่งดังกระหึ่มขึ้นกว่าเดิม ทว่าในวินาทีนี้ความหวังที่มีกลับถูกพังทลายด้วยหมัด ๆ เดียว และในการประลองรอบที่สองนี้ไม่เคยมีใครที่รอดจากการโจมตีครั้งแรกของจอมพลฉินได้มาก่อนเลย



    "พี่เจน!! พี่เจนลุกขึ้นซี่!! ลุกขึ้น!" เสียงตะโกนของคิทซึเนะดังขึ้นท่ามกลางความเงียบกริบ ทุกคนหันไปมองสาวงามในชุดยูกาตะสีขาวกำลังร้องตะโกนเชียร์พร้อมกับเด็กสาวในชุดสีฟ้าทุบตีม่านแสงราวกับว่าเธอต้องการจะเข้าไปปลุกผู้ที่นอนแน่นิ่งอยู่ในลานประลอง



    "ลุกขึ้นซิโว้ย! มามัวนอนอยู่ได้ยังไงวะ ตอนนี้กำลังประลองอยู่นะโว้ยไอ้เจน!!" เสียงร้องของโจดังขึ้นพยายามเรียกให้หญิงสาวลุกขึ้นมาเสริมด้วยอีกคน



    ทันใดนั้นเองทั้งซินจู หนูส่งข่าวและแจ็คต่างก็พยายามส่งเสียงเรียก จนในที่สุดก็ลามไปถึงผู้ชมสองคน สามคน...สุดท้ายผู้ชมที่เป็นผู้เล่นทุกคนที่อยู่รอบสนามประลองก็ต่างส่งเสียงเรียกให้เจนลุกยืนขึ้นมาให้ได้อีกครั้ง



    ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนร้องก็กลายเป็นเสียงร้องด้วยความยินดี เมื่อร่างในชุดคลุมสีขาวค่อย ๆ ขยับและลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ แรงหมัดดินระเบิดของจอมพลฉินทรงพลังอย่างที่เจนคาดเอาไว้ ตอนนี้ร่างกายของเธอนั้นรู้สึกปวดร้าวอย่างกับถูกชนด้วยรถบรรทุก แค่จะหายใจก็รู้สึกเจ็บราวกับปอดของเธอกำลังฉีกเป็นชิ้น ๆ จนเธอไอเป็นเลือดออกมา



    เธอรู้สึกแปลกใจที่หมัดนั้นไม่ได้มีความรุนแรงถึงกับทำให้เธอสลบไป ความจริงแล้วมันสามารถทำได้ถ้าหากตอนสุดท้ายเธอไม่ยั้งตัวเองไว้ล่ะก็ ตอนนี้เธอคงกำลังถูกหามออกไปจากลานประลองแล้ว และอีกอย่างหนึ่งที่เจนเพิ่งจะรู้สึกได้ว่าจอมพลฉินใช้แขนซ้ายต่อยเธอซึ่งไม่ใช่แขนข้างที่เขาถนัดทำให้ความรุนแรงของหมัดเทียบไม่ได้เลยกับหมัดขวาซึ่งถ้าหากเธอเจอเข้าคงไม่มีโอกาสมายืนอยู่ตอนนี้แน่ ๆ



    "เยี่ยมยอดมาก เจ้าเป็นนักผจญภัยคนแรกที่รอดจากการโจมตีของข้าได้ ถึงข้าจะใช้แค่มือเปล่าแต่จงจำเอาไว้เถอะว่าเจ้ารับการโจมตีของแม่ทักใหญ่แห่งลั่วหยางไปแล้วยังสามารถยืนอยู่ได้ มีไม่กี่คนหรอกที่โชคดีอย่างเจ้า" จอมพลฉินกล่าวพร้อมกับหยิบดาบที่ตกอยู่ตรงหน้าเขาขึ้นมาและทั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะปิดฉากการประลองลง



    เจนกัดฟันทนกับความเจ็บปวดราวกับร่างของเธอจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ และตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมืออย่างยากลำบาก อย่าว่าจะสู้ต่อเลย ตอนนี้แค่จะยกดาบที่เหลืออีกหนึ่งเล่มในมือก็ยากแล้ว แถมเมื่อตอนนี้คู่ต่อสู้ของเธอได้อาวุธคืนมาอยู่ในมือหนทางที่จะเอาชนะของเจนก็แทบจะไม่มีเลย ตอนนี้โอกาสของเธอขึ้นอยู่กับการโจมตีครั้งสุดท้ายของชายตรงหน้าเธอ



    หญิงสาวในชุดคลุมยกดาบชี้ไปด้านหน้าด้วยมืออันสั่นเทาทั้งสองข้าง เธอย่อเข่าลงเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองไปยังเป้าหมายเดียว ลมหายใจที่แม้จะแผ่วเบาแต่ก็สูดอากาศเข้าปอดเป็นจังหวะ เตรียมพร้อมรับมือการโจมตีเท่าที่ร่างกายของเจนจะรับไหว



    ทันใดนั้นเองที่จอมพลฉินวิ่งตะกุยเท้าเข้าใส่พร้อมกับยกดาบขึ้นสูงเตรียมที่จะฟาดใส่ร่างบางที่ยังคงบาดเจ็บสาหัสอย่างไร้ความปราณี แต่ทว่าเขากลับประมาทพลังใจของคู่ต่อสู้เกินไป พร้อมกันกับที่จอมพลฉินกำลังยกดาบขึ้นสูงนั้นเองที่เจนก็พุ่งตัวปักดาบเข้าไปที่ชุดเกราะของเขาแรงเท่าที่เธอจะทำได้ ทว่าโชคร้ายที่แรงแขนของเธอนั้นไม่มากพอที่จะดันดาบให้ทะลุชุดเกราะของชายผู้นี้ แต่ตอนนั้นเองที่เจนหมุนตัวและถีบไปที่ท้ายของด้ามดาบเต็มแรงจนเธอล้มลงไปนอนบนพื้นอีกครั้ง เธอไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าเธอเตะดาบแรงพอหรือไม่เพราะเมื่อเธอพยายามลืมตาขึ้นมามองก็พบว่าดาบของเธอยังคงปักคาชุดเกราะอยู่แต่แทบไม่ต่างจากที่เธอแทงก่อนหน้านี้เลย



    เจนหลับตาเตรียมรับการโจมตีของจอมพลที่ยืนอยู่ต่อหน้าของเธออย่างยอมรับชะตากรรม ฝีมือของเธอยังห่างไกลนักที่จะไปสู้กับคนอย่างจอมพลฉิน ทว่ารออยู่นานแต่เจนกลับไม่รู้สึกอะไรเลย พอลืมตาขึ้นมาพูก็พบว่าจอมพลฉินยังคงยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดาบของเจนที่เคยปักคาอยู่บนชุดเกราะของเขาถูกดึงออกมาแล้วโดยอยู่ในมืออีกข้างของจอมพล เมื่อมองไปที่ปลายดาบเจนก็พบว่ามีคราบเลือดเพียงเล็กน้อยอยู่ตรงนั้น



    ไม่มีการพูดคำใด ๆ จอมพลชูดาบของเจนขึ้นสูง ผู้คนที่อยู่รอบด้านมองขึ้นตามและเห็นอย่างเดียวกับที่เจนมองเห็น เสียงร้องตะโกนด้วยความยินดีดังลั่นลานประลองทันที เพราะผลการประลองในที่สุดก็รู้ผลแล้ว



    จอมพลทิ้งดาบในมือขวาของตนลงและยื่นมือเข้ามาหาหญิงสาวที่ยังไงมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ข้าแพ้แล้ว" ทันใดนั้นเองดาบทั้งสองเล่มและกำแพงแสงก็สลายหายไป หน้าจอแสงเหนือลานประลองก็ฉายใบหน้าของเจนที่กลายเป็นผู้ชนะขึ้นมา



    เจนที่ตกใจและสับสน ไม่รู้ตัวเลยว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่เธอก็จับมือของจอมพลฉินเขาไว้ เขาดึงร่างของหญิงสาวขึ้นมาอย่างเบามือเพราะรู้ว่าเธอบาดเจ็บจากหมัดของเขามากกว่าที่เห็นภายนอกมากนัก เขาประคองร่างของเธอและค่อย ๆ พาเดินลงจากลานประลองซึ่งซินจูและคิทซึเนะแทบจะอดทนพุ่งเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วงไม่ไหว



    "วันนี้ข้าแพ้ให้กับใจสู้ของเจ้า..จงจำวินาทีที่มีค่านี้เอาไว้ให้ดี มันจะสอนเจ้าได้นับพันประการ" จอมพลฉินกระซิบข้างหูของเจนก่อนจะส่งตัวเธอให้กับสองสาวที่รีบทำการรักษาบาดแผลเธอทันที



    "ท่านจอมพลฉิน!" เจนพยายามส่งเสียงเรียกชายสูงอายุที่กำลังเดินจากไป แต่เธอไม่เหลือเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะตะโกนเสียงแข่งกับผู้ชมที่ต่างร้องแสดงความยินดีกับชัยชนะในครั้งนี้ เธอมองตามร่างสูงค่อย ๆ เดินจากไปอย่างช้า ๆ เธอหวังให้เขาได้ยินคำพูดสุดท้ายที่เธอจะเอ่ยนี้เหลือเกิน



    "ขอบพระคุณที่สอนสั่งค่ะ..." ร่างสูงชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันมาเหลือบมองเธอพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะเดินออกไปด้านนอก ปล่อยให้เจนมองตามออกไปด้วยความขอบคุณจากใจจริง







    ร่างกายของเจนนั้นบาดเจ็บสาหัสกวาที่เธอคาดคิดเอาไว้มาก เพราะขนาดซินจูพยายามรักษาบาดแผลเต็มที่จนไม่หลงเหลือบาดแผลภายนอกให้เห็น แต่บาดแผลภายในยังคงมีอยู่และหนักหนาเอาการ และจะมีผลต่อการประลองรอบสุดท้ายนี้อย่างแน่นอน



    "หนูขอโทษนะคะพี่เจน ตอนนี้หนูพยายามเต็มที่ได้แค่นี้เอง แผลภายในร่างกายคงต้องใช้เวลาอีกหน่อยถึงจะรักษาหาย" จอมเวทขาวเอ่ยด้วยสีหน้าหดหู่ราวกับว่าเป็นความผิดของเธอ



    "ไม่เป็นอะไรหรอกซินจู แค่นี้ก็ดีพอแล้วล่ะ รอบต่อไปคงไม่หนักหนาเท่ารอบนี้หรอก" เจนว่าพลางนึกถึงคู่ต่อสู้ในรอบตัดเชือกซึ่งกำลังรอผลการต่อสู้อยู่



    "อย่าเพิ่งประมาทดีกว่าเจน พิสตอลน่ะเก่งมากเลยนะ บางทีอาจจะสูสีกับจอมพลฉินเลยด้วยซ้ำ" โจพูด ทำเอาเจนเริ่มใจเสีย ถ้าหากจะให้เธอไปสู้คนที่เก่งพอ ๆ กับจอมพลฉินอีกในตอนนี้ล่ะก็ เห็นทีเธอคงต้องยอมแพ้ซะแล้ว



    "ใช่แล้ว เมื่อกี้ฉันลองไปหาข่าวมาเพิ่มดูแล้ว หมอนี่เป็นหนึ่งในผู้เล่นไร้สังกัดที่มีฝีมือสูงของเกมนี้เลยนะ มีกิลด์หลายกิลด์ต่างต้องการตัวและพยายามดึงตัวเข้ากิลด์ แต่สุดท้ายพิสตอบก็บอกปัดไปหมดเลย" หนูส่งข่าวเสริมยิ่งทำให้เจนหน้าซีด ตอนนี้ร่างกายของเธอแค่สู้ธรรมดาก็แย่แล้ว แบบนี้จะไปชนะได้ยังไงล่ะเนี่ย



    "เอ่อ...พวก เห็นทียัยเจนคงจะไม่ได้สู้กับพิสตอลแล้วล่ะ" แจ็คเอ่ยขึ้นขณะมองไปยังซุ้มทางเข้า หันหลังให้กับพวกเจน



    "นายหมายความว่ายังไง" เจนหันไปหาด้วยความสงสัย แจ็คไม่เอ่ยตอบแต่ชี้ไปยังซุ้มทางออก เมื่อมองไปตามก็ต้องทำให้เจนตกตะลึง เพราะเธอมองเห็นพิสตอลที่ดูเหมือนจะบาดเจ็บจากการประลองมากพอสมควรกำลังถูกหญิงสาวคนหนึ่งพยุงร่างออกไปอย่างเร่งรีบ หญิงสาวคนนั้นแสดงสีหน้าถึงความเป็นห่วงอย่างมาก ตรงกันข้ามกับพิสตอลที่แสดงถึงความโกรธแค้นออกมาอย่างชัดเจน



    "นี่มันหมายความว่ายังไงกัน! ทำไมหมอนั่นถึงได้..-" เจนชะงักคำพูดเอาไว้เพราะเธอรู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองเธออยู่ เธอรู้ทันทีว่าเป็นสายตาของใครเพราะเธอจำความรู้สึกน่ารังเกียดนี้ได้ เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นเอจด์กำลังจ้องหน้าเธอพร้อมกับแสยะยิ้มออกมาอย่างไม่น่าไว้วางใจ



    "เรื่องแบบนี้มันชักไม่ชอบมาพากลแล้วสิ" โจเอ่ยขึ้นจากด้านหลังของเจนแล้วหันไปหาหนูส่งข่าว ชายหนุ่มรับรู้หน้าที่ของตนเองแล้วจึงรีบวิ่งออกไปด้านนอก พร้อมกันนั้นเองที่เสียงประกาศการประลองรอบสุดท้ายก็ดังขึ้น



    "การประลองคัดเลือกผู้เข้าร่วมประลองเบลดมาสเตอร์รอบสุดท้าย ระหว่างเจน ผู้กล้าในชุดขาว กับเอจด์ แห่งกิลด์จันทร์เดือนมืด กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ขอให้ผู้เข้าร่วมประลองโปรดมารายงานตัวที่ลานประลองที่หนึ่งด้วย!"



    "ระวังตัวให้ดีนะเจน ตอนนี้เธอยังบาดเจ็บอยู่ ไม่ได้สมบรูณ์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วตอนนี้หมอนั่นก็ชนะคนที่เก่งกาจอย่างพิสตอลมาได้แล้วยังมีท่าทางสบาย ๆ แบบนั้น มันจะต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่ ๆ" โจพูดเตือน เจนเองก็รู้ว่าการที่เอจด์เอาชนะพิสตอลได้นั้นผิดปกติอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่เอจด์จะเอาชนะได้อย่างขาวสะอาด เขาจะต้องเล่นตุกติกอะไรบางอย่างแน่ ๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง



    "ตอนนี้ไม่มีเวลามาสงสัยแล้ว ฉันไม่มีทางจะปล่อยให้หมอนั่นเชิดหน้าผ่านไปเฉย ๆ แบบนี้แน่" เจนพูดแล้วกระชับเสื้อคลุมเตรียมขึ้นไปสู้บนลานประลอง



    เสียงตะโกนเรียกชื่อของเจนดังลั่นเมื่อเธอเดินทางมาถึงลานประลอง ส่วนอีกด้านก็มีเสียงเรียกชื่อของเอจด์ดังไม่แพ้กัน แต่ตอนนี้เจนไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากชายหนุ่มผมทองที่กำลังเดินขึ้นลานประลองมาพร้อม ๆ กับเธอ สายตาเจ้าเล่ห์และร้อยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจทำให้เจนเกือบจะแน่ใจได้ว่าเขาต้องมีแผนอะไรซ่อนอยู่อย่างแน่นอน แผนที่ทำให้เขาเอาชนะพิสตอลมาได้สบาย ๆ เช่นนั้น



    "ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งครับคุณเจน และก็ขอแสดงความยินดีที่เอาชนะจอมพลฉินมาได้นะครับ ถึงจะแค่ฟลุ๊คแต่ก็เก่งนะครับที่ยังยืนอยู่ได้ ว่าแต่คุณเจนลองเอาข้อเสนอของผมกลับไปคิดดูหรือยังครับ" เอจด์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสนิทสนม แต่คำพูดของเขานั้นทำให้เจนรู้สึกสะอิดสะเอียน



    "ไม่มีวันที่ฉันจะยอมตกลงกับคนอย่างนายแน่" เจนพูดตอกกลับเสียงแข็ง ยิ่งเธอได้พูดกับชายคนนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเกลียดขี้หน้าของเขามากยิ่งขึ้นเท่านั้น



    "จะดีหรือครับ ผมได้ยินมาว่าคุณบาดเจ็บหนักจากการประลองรอบที่ผ่านมาไม่ใช่หรือครับ คงไม่เป็นการดีถ้าหากคุณยังจะดึงดันสู้ต่อไป ผมคิดว่าคุณควรจะยอมแพ้จะดีกว่านะครับ"



    "งั้นหรือ ลองทำให้ฉันยอมแพ้ให้ดูหน่อยสิ" เจนท้าทาย



    ตอนนั้นเองที่กำแพงแสงพร้อมกับบอลแสงก็ปรากฏขึ้นมาและเสียงประกาศก็บ่งบอกให้รู้ว่าการประลองรอบสุดท้ายในสายนี้ใกล้จะเริ้มขึ้นแล้ว



    ด้านล่างลานประลอง คิทซึเนะและซินจูมองดูเจนด้วยความเป็นห่วง เพราะอาการบาดเจ็บขนาดที่เวทมนตร์รักษายังช่วยอะไรไม่ได้นั้นมีทางเดียวคือต้องให้ร่างกายพักผ่อน แต่ในการประลองแบบนี้เวลาเป็นสิ่งที่มีอยู่น้อยซะเหลือเกิน



    "อาการบาดเจ็บก็ยังไม่หาย แบบนี้พี่เจนจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ" ซินจูพูดขึ้น



    "ถึงจะทำหน้าเหมือนไม่มีอะไร แต่ตอนนี้พี่เจนต้องกำลังฝืนตัวเองอยู่แน่ เพราะถ้าเป็นคิทซึเนะเองก็ไม่ปล่อยคนอย่างหมอนั่นให้ชนะไปได้ง่าย ๆ เหมือนกัน" จิ้งจอกสาวว่า



    "แต่ฉันเป็นห่วงเรื่องที่หมอนั่นเอาชนะพิสตอลได้มากกว่า" โจพูดขึ้นมาบ้าง สองสาวหันหน้ามามองอย่างสงสัยเหมือนกับว่าไม่เข้าใจความหมายที่ชายหนุ่มกล่าว ทำให้เขาต้องพูดเสริมขึ้นมา



    "ก็คู่ต่อสู้ที่หมอนั้นเจอด้วยไง พิสตอล เขาเป็นคนมีฝีมือสูงมาก ไม่นับเรื่องพละกำลังก็อาจจะเก่งพอ ๆ กับจอมพลฉินคนนั้น แต่ดูสิ หมอนั้นสามารถเอาชนะมาได้โดยที่ตัวเองไม่มีบาดแผลเลยซักนิด"



    "แสดงว่าหมอนั่นมีฝีมือกว่ากว่าคนที่ชื่อพิสตอลอีกงั้นหรือคะ!" คิทซึเนะถามขึ้นด้วยความตกใจแต่โจส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ



    "เรื่องนั้นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้พวกเราได้แต่ต้องรอหนูส่งข่าวกลับมา และหวังว่ายัยเจนจะเอาชนะหมอนั่นในการประลองให้ได้" โจว่าขณะกำลังมองดูแจ็คเข้าไปคุยกับเจนอยู่ข้างเวทีเหมือนกับเป็นเทรนเนอร์ประจำตัว



    "ฟังนะยัยเจน ตอนนี้เธอบาดเจ็บอยู่ แถมหมอนั่นก็มีอะไรแปลก ๆ ด้วย เธอจะต้องจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าฝืนเป็นฝ่ายบุกนะ"



    "ให้รีบจบการต่อสู้แล้วมาบอกว่าห้ามเป็นฝ่ายบุก แล้วฉันจะเอาชนะหมอนั่นได้ยังไงกันล่ะ" เจนโวยวายเพราะถ้าไม่บุก โอกาสชนะก็แทบจะไม่มีเลย



    "เธอก็รอหาจังหวะดี ๆ แล้วค่อยจัดการรวดเดียวให้จบเลย หรือถ้าจะให้ดีก็ใช้เคาท์เตอร์ โจมตีสวนกลับแบบหมัดเดียวจอด" แจ็คว่าพร้อมกับแสดงท่าทางให้ดู นี่เขายังจำได้ใช่มั้ยว่านี่เป็นการประลองโดยใช้อาวุธ ไม่ใช่มวย "แต่ถ้าหากเธอพลาดหมดทั้งสองอย่างล่ะก็ฉันว่าเธอยอมแพ้ไปเลยจะดีกว่า โอกาสอย่างนั้นมาแค่หนเดียวเท่านั้นแหละ"



    "ไม่ได้ช่วยอะไรเลย" เจนตอบหน้าตายแล้วจึงหันไปมองคู่ต่อสู้ของเธอ ขณะนี้บอลแสงกำลังทำการสุ่มเลือกอาวุธในการประลองรอบสุดท้ายที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ



    ในที่สุดบอลแสงก็กลายสภาพเป็นอาวุธ เจนใจเต้นเป็นลิงโลดทันทีเมื่ออาวุธที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านั้นเป็นดาบคาตะนะที่เธอใช้เป็นประจำ แต่ตอนนั้นเองเธอก็ต้องแปลกใจเพราะว่ามันมีถึงสองเล่มเป็นดาบคาตะนะคู่!



    เจนคว้าดาบทั้งสองเล่มมาไว้ในมืออย่างไม่ต้องลังเล คราวนี้ไม่มีภาพวิ่งอยู่ในหัวเหมือนที่ผ่านมาเพราะว่าเธอรู้ดีว่าจะกวัดแกว่งดาบอย่างไร ต่อให้เป็นดาบคู่ก็ไม่ได้มีปัญหาหรือเกินฝีมือเธอเลยแม้แต่น้อย



    เมื่อเสียงระฆังเริ่มการประดังดังขึ้น เจนเริ่มบุกเข้าโจมตีก่อนโดยไม่สนใจคำเตือนของแจ็ค เธอตวัดดาบเข้าใส่สีข้างของเอจด์เต็มแรงแต่ทว่าดูท่าทางชายหนุ่มก็ไม่ได้ไร้ฝีมือไปซะทีเดียว เพราะเขายกหยิบดาบขึ้นมากันได้อย่างทันท่วงที



    ทว่าตอนนั้นเองอาการบาดเจ็บที่ยังตกค้างอยู่ก็เริ่มออกฤทธิ์ ร่างกายของเธอรู้สึกปวดร้าวราวกับถูกหมัดดินระเบิดต่อยเข้าอีกหน ความเจ็บปวดนั้นแทบทำให้เจนทำดาบหลุดออกจากมือ เพียงแค่ถือดาบได้ในตอนนี้ก็ถือว่าสุดกำลังของเธอแล้ว



    แม้จะออกอาการเพียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่รอดไปจากสายตาของเอจด์ไปได้ เมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะต่อสู้ เขาก็ใช้โอกาสนี้รีบรุกเข้าใส่ทันที ชายหนุ่มยกดาบขึ้นและฟาดเข้าใส่ แม้จะเป็นการโจมตีแบบพื้น ๆ ไม่ได้มีอะไรพลิกแพลงมากนัก แต่สำหรับเจนที่บาดเจ็บอยู่นั้นแค่ยกดาบขึ้นกันก็ต้องใช้เรี่ยวแรงไปมหาศาล จากที่เป็นฝ่ายรุกกลับต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ แถมยังไม่มีโอกาสสวนกลับอีกด้วยเพราะถึงอยากจะทำแต่ตอนนี้แค่ป้องกันตัวเองจากการโจมตีของเอจด์ก็หืดขึ้นคอแล้ว



    เมื่อยิ่งเห็นว่าคู่ต่อสู้หมดหนทางที่จะโต้กลับก็ยิ่งได้ใจ เอจด์ยิ่งเร่งดาวเร็วและความแรงของดาบขึ้นเรื่อย ๆ จนเจนเริ่มจะยกดาบขึ้นมาป้องกันเอาไว้ไม่ทัน บาดแผลเล็ก ๆ เริ่มปรากฏตามแขนและใบหน้า เจนรู้ว่าถ้าหากปล่อยเอาไว้ล่ะก็จะยิ่งทำให้เสียเปรียบ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงกัดฟันทนความเจ็บปวดแล้วเริ่มโจมตีสวนกลับบ้าง



    เจนยกดาบขึ้นกันการโจมตีของเอจด์และก้มหลบดาบจากมืออีกข้าง จากนั้นเธอก็พุ่งเข้าใส่พร้อมทั้งตวัดดาบหมายจะจัดการแขนขวาที่เพิ่มใช้ยกดาบฟาดใส่เธอมา เอจด์ที่ไม่คิดว่าเจนจะโจมตีสวนกลับมาได้ก็ตกใจจนไม่ทันยกดาบขึ้นตั้งรับ ทำให้ดาบของเจนตวัดเข้าใส่แขนของเอจด์จนเป็นแผลยาวตั้งแต่ข้อมือถึงหัวไหล่และปลายดาบของเธอยังเลยขึ้นไปเฉือนคิ้วซ้ายอีกด้วย ดาบในมือของชายหนุ่มร่วงลงพื้นพร้อมกับเสียงร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด



    เจนถอยออกมาตั้งหลักขณะมองดูเอจด์ใช้มือที่ไม่บาดเจ็บกุ่มบาดแผลเอาไว้ในขณะที่ดวงตาอีกข้างกำลังจ้องมองเธอด้วยความโกรธแค้น แม้ตอนนี้เจนจะโจมตีจนทำให้เอจด์บาดเจ็บได้ แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าร่างกายของเธอในตอนนี้เริ่มที่จะรับไม่ไหวแล้ว มือที่ถือดาบอ่อนแรงจนเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้เจนต้องทิ้งดาบไปเล่มหนึ่งเพราะเธอมีแรงถือดาบได้เพียงเล่มเดียวเท่านั้น



    พอรวบรวมเรี่ยวแรงได้เจนก็ทำท่าจะเข้าไปปิดฉาก แต่ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเอจด์นั้นบ่งบอกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้น เมื่อหันไปมองดูตามสายตาของเขาก็พบว่าเขากำลังมองดูฟีบีและคิทซึเนะที่กำลังร้องเชียร์อยู่ที่ขอบเวที แต่สิ่งที่ทำให้เจนรู้สึกใจหายก็คือด้านหลังของทั้งสองมีชายในชุดเกราะดูท่าทางมีฝีมือไม่เบาจำนวนหนึ่งยืนรอเหมือนกำลังรอฟังคำสั่ง เช่นเดียวกับด้านหลังของพวกโจที่มีกลุ่มคนยืนเฝ้าอยู่ด้านหลัง ยิ่งทำให้เจนตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อในมือของพวกเขามีมีดอยู่ในมือกันพร้อมหน้า ไม่มีใครทันเอ๊ะใจเลยแม้แต่คนเดียวเพราะกำลังสนใจการต่อสู้บนลานประลองจนไม่ทันระวังตัว ไม่แม้แต่คิทซึเนะ



    "แกรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากแกชนะ ถ้าฉันเห็นว่าแกพยายามจะเตือนให้พวกนั้นรู้ตัว ผลก็จะออกมาเหมือนกัน" เอจด์พูดเสียงเบาให้เจนได้ยินเพียงแค่คนเดียว



    หญิงสาวได้ยินก็แยกเขี้ยวด้วยความแค้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเธอคำนึงถึงความปลอดภัยของน้องสาวทั้งสองของเธอเอาไว้ก่อน และเธอจะไม่ยอมให้ทั้งสองเสี่ยงเพื่อเธอแน่ ๆ "ไอ้คนขี้ขลาด!!"



    "ฉันบอกแล้วว่าฉันจะทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ! แกควรรับข้อเสนอของฉันแล้วถอนตัวไปตั้งแต่แรก ตอนนี้ล่ะแกจะได้ทรมานกับสิ่งที่แกทำกับฉัน!!" เอจด์ร้องเสียงดังและพุ่งเข้าใส่พร้อมกับฟาดดาบเต็มแรง เจนรีบยกดาบขึ้นกันอย่างทันท่วงทีแต่เมื่อเธอรู้สึกถึงแรงกระแทกก็แทบทำให้เธอทรุดลงไปกับพื้น มือของเธอระบมจนแทบจับดาบเอาไว้ไม่อยู่ ทางเดียวที่จะเอาชนะได้คือต้องรีบโจมตีแต่ถ้าหากเธอทำอย่างนั้น พวกฟีบีจะต้องตกอยู่ในอันตราย



    ยิ่งเห็นร่างในชุดคลุมไม่กล้าทำอะไรก็ยิ่งทำให้เอจด์บ้าคลั่ง เขากระหน่ำฟาดดาบเข้าใส่เจนที่ได้แต่ยกดาบขึ้นกันได้เพียงอย่างเดียว เขาใช้เท้าถีบร่างของเจนล้มลงไปบนพื้น เจนรู้สึกทั้งโกรธและแค้นใจที่กำลังจะแพ้ให้กับคนอย่างเอจด์ที่เธอเกลียดมาตลอดชีวิต



    "สู้สิเจน อย่าไปยอมแพ้ให้กับคนอย่างหมอนั่นนะ!" เสียงคุ้นหูดังขึ้นเรียกให้เจนเหลือบไปมองดูพวกฟีบี กลับพบว่าคุมชุดดำได้หายไปแล้ว เธอเห็นพวกฟีบีกำลังยืมมองดูเธอโดยมีหนูส่งข่าวยืนอยู่ข้าง ๆ และใกล้ ๆ กันนั้นเธอก็เห็นพิสตอลกับพรรคพวกของเขายืนอยู่เช่นกัน ทว่าคนที่ทำให้เจนเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็คือเจ้าของเสียงที่ตะโกนบอกให้เธอลุกขึ้นสู้ นักฆ่าประจำกลุ่มของเธอ ไมโกะ!



    ใบหน้าของเจนฉีกยิ้มออกมาทันที เธอพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดอีกครั้งและลุกขึ้นมาสู้ต่อ ดูจากสีหน้าของเอจด์แล้วเขาก็คงจะรู้ตัวแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะตอนนี้เขากำลังจ้องมองเธอพร้อมกับตะโกนด่าเจนอย่างไร้ความอาย



    หญิงสาวไม่สนใจเสียงนกเสียงกา เธอรวบรวมสมาธิทั้งหมดไปที่ดาบต่อไปที่เธอจะออกดาบไป เธอก้าวเท้าวิ่งไปอย่างเชื่องช้าแต่ในขณะเดียวกันนั้นก็รวดเร็วและเยือกเย็น ดาบถูกยกขึ้นสูงเตรียมที่จะฟาดลงมา แต่ทว่าทันใดนั้นเองสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น



    ปัง!!



    เสียงปืนดังลั่นกลางลานประลองพร้อมกับร่างในชุดคลุมล้มลงไปบนพื้น ควันสีขาวที่โพยพุ่งขึ้นมาจากปืนกระบอกเล็กในมือของเอจด์เป็นหลังฐานว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น ท่ามกลางความตกใจของทุก ๆ คน



    "พี่เจน!!!" เสียงตะโกนสุดเสียงของจิ้งจอกสาวดังลั่นพร้อมกับเธอที่พยายามจะพังม่านพลังเข้าไปหาพี่สาวของเธอที่ยังคงนอนกุมบาดแผลถูกยิงที่ไหล่ด้วยความเจ็บปวด พวกโจพยายามห้ามไม่ให้คิทซึเนะก่อความวุ่นวาย แต่ถึงเขาจะห้ามคิทซึเนะได้ แต่ผู้ชมคนอื่น ๆ ที่เป็นพยานเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นต่างส่งเสียงโห่ออกมาอย่างไม่พอใจและพากันขว้างปาสิ่งของใส่ม่านพลังแสงโดยมีเป้าหมายเป็นชายหนุ่มผู้ที่ยืนถือปืนชี้ไปยังเจน



    "แก..เป็นเพราะแก!! แกทำลายแผนทุกอย่างของฉัน! แกจะต้องชดใช้!" ไม่ว่าเปล่า เอจด์ก้าวเข้าไปใกล้หมายจะยิงประหารผู้กล้าในชุดขาว



    ทว่าในตอนนั้นเองที่ร่างของเจนส่องแสงขึ้นมา เธอยกดาบขึ้นและเขวี้ยงใส่ชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอเต็มแรง ดาบคาตะนะพุ่งเข้าเสียบทะลุร่างของเอจด์อย่างแม่นยำ ชายหนุ่มคุกเข่าลงอย่างไร้เรี่ยวแรงพร้อมกับร่างของเขาที่กำลังสลายกลายเป็นแสง นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เจนมองเห็นก่อนสติของเธอจะดับวูบหายไปด้วยความเหนื่อยอ่อน







    กลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้อ่อน ๆ ลอยโชยมาชวนฝัน หัวของเจนรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มราวกับปุยเมฆ เธอรู้สึกตัวแล้วแต่ตาของเจนกลับไม่อยากจะเปิดขึ้นมาเพราะความอ่อนเพลียยังคงหลงเหลืออยู่ในร่าง ในใจของหญิงสาวตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือนอนบนเตียงนุ่มนี้ไปอีกซักพัก



    "ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ยว่าเจนคนนั้นเวลานอนหลับจะดูหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักเหมือนกับผู้หญิงขนาดนี้" เสียงของเด็กสาวไม่คุ้นหูแว่วขึ้นมา จิตที่กำลังจะหลับใหลตัวพลันกลับมาตื่นตัวเต็มที่ แต่เธอก็ยังไม่กล้าที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนนี้



    "นั่นสิ ตอนแรกฉันคิดว่าผู้กล้าในชุดขาวจะดูน่าเกรงขามมากกว่านี้ซะอีก" เสียงของผู้ชายดังขึ้นอีก เสียวนี้เธอก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน พวกเขาเป็นใครกันแน่ถึงได้มาอยู่ในห้องนี้กับเธอ...จะว่าไปแล้วตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหนเจนก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ!



    "อย่าประมาทเชียวนะ เห็นหน้าตาอย่างนี้แต่นิสัยโหดกว่าที่พวกนายคิดเอาไว้เยอะเลย" เสียงนี้เจนรู้ว่าใคร...ไอ้โจ



    "ใช่ ขอบอกเลยว่าคนที่พวกนายเห็นอยู่บนเตียงนอนดิ้นอย่าบอกใครเลย เมื่อก่อนตอนที่ฉันไปนอนค้างที่บ้านของเจนนะ โดนทั้งหมัดทั้งเท้าจนน่วมไปทั้งตัว ไม่ได้เป็นอันนอนกันทั้งคืน" เสียงนี้เป็นของแจ็ค เห็นทีถ้าหาเธอไม่รีบตื่นขึ้นมาล่ะก็เธอคงถูกใส่ไฟจนไม่มีเหลือแน่



    "พวกพี่อย่าพูดถึงพี่เจนอย่างนั้นจะได้มั้ย พี่เจนเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นซะหน่อย" เสียงอันไพเราะของคิทซึเนะดังขึ้นช่วยปฏิเสธข้อกล่าวหาของสองหนุ่ม นี่สิถึงสมกับเป็นน้องสาวที่น่ารักของเธอ



    "อ้าว ถ้าไม่เชื่อนะ เอาไว้คืนนี้เธอก็ลองตื่นขึ้นมองดูสิ ยังไม่ได้มีเพียงแค่นั้นนะ ยังมีนอนน้ำลายไหล..-"



    "มันจะมากเกินไปแล้วนะ ไอ้พวกบ้า!!!" เจนตะโกนเสียงดังแล้วก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาก่อนกระโจนใส่สองหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ และบรรเลงหมัดอย่างไม่บรรยะบรรยัง ท่ามกลางเสียงร้อยโหยหวนของสองหนุ่มและสายตาของแขกที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจ ส่วนคิทซึเนะนั้นก็รู้สึกดีใจที่เห็นพี่สาวของเธอฟื้นขึ้นมาและไม่คิดที่จะเข้าไปห้ามเลยแม้แต่น้อย



    หลังจากที่ออกแรงจนพอใจแล้ว เจนก็ลุกขึ้นพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าตอนนี้เธออยู่ในเต็นท์สีขาวหลังไม่ใหญ่มากนักหลังหนึ่ง ในห้องมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอยู่อย่างครบครัน มีเตียงที่เจน เคยนอนอยู่บนนั้นอยู่ตัวเดียว ซึ่งมีคิทซึเนะนั่งอยู่บนเก้าอี้ส่งยิ้มให้เธออยู่ข้างเตียงโดยอีกด้านมีม้านั่งตัวหนึ่งที่แจ็คและโจเคยนั่งอยู่ ส่วนหนูส่งข่าวนั้นยังคงนั่งตัวนิ่งหน้าซีดอยู่บนม้านั่งตัวนั้น ใกล้ ๆ กันนั้นมีชายหนุ่มและหญิงสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ เจนจำได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนั้นคือพิสตอลและเพื่อนสาวของเขาที่พยุงร่างชายหนุ่มออกไปจากลานประลอง



    "ดูท่านายคงจะกลับมาแข็งแรงดีแล้วสินะ สมกับเป็นยาวิเศษของ GM จริง ๆ ถ้าหากเอามาขายคงมีค่าไม่น้อยเลย" ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับส่งมือให้กับเจน เธอยื่นมือให้ชายหนุ่มฉุดดึงร่างของเธอขึ้นมา "ฉันชื่อพิสตอล ส่วนนี่เมอรี่"



    เจนพยักหน้าให้อย่างมีมารยาทกับหญิงสาวข้าง ๆ "ฉันชื่อว่าเจน ยินดีที่ได้รู้จัก ขอบคุณมากนะที่พวกนายมาช่วยพรรคพวกของฉันเอาไว้ ถ้าไม่ได้พวกนายล่ะก็คงแย่แน่"



    "ไม่หรอก พวกเราแค่บอกเรื่องที่เอจด์เล่นสกปรกจับตัวประกันเท่านั้นเอง แต่คนที่จัดการพวกลูกน้องของเจ้าเอจด์เป็นผู้หญิงที่มากับพวกนายนั่นแหละ" พิสตอลบอก เจนจึงนึกขึ้นได้ว่าเธอเห็นไมโกะที่บอกว่าจะกลับมาเล่นเกมตอนดึก ๆ หน่อย แต่นี่เพิ่งมาไปเกือบจะครบวันหรือหนึ่งชั่วโมงภายนอกเกมเท่านั้นเอง



    "ใช่ พี่สาวคนนั้นเก่งน่าดูเลยนะ ไล่จัดการพวกนั้นเรียงตัว ขนาดคนที่อยู่ใกล้ ๆ ยังไม่ทันรู้ตัวเลย" เมอรี่ว่า ท่าทางจะประทับใจฝีมือของไมโกะมากทีเดียว



    "ว่าแต่พี่ไมกับซินจูหายไปไหนแล้วล่ะ ฟีบีก็ด้วย" เจนถามขึ้นเมื่อไม่เห็นทั้งสามคนอยู่ในห้อง



    "ส..สามคนนั้นกลับไปที่เรียวกังแล้วล่ะ เห็นบอกว่าจะจัดฉลองที่เธอได้เป็นหนึ่งในสี่ตัวแทนที่ได้ประลองเบลดมาสเตอร์ที่เมืองคาเมล็อทน่ะ ถึงผลอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมาก็เถอะนะ" หนูส่งข่าวพูดขึ้น น้ำเสียงของเขายังสั่น ๆ ดูท่าทางจะยังจำได้ถึงหมัดของเจนที่ลงทันพวกโจไปต่อหน้าต่อตา



    "นายหมายความว่ายังไง"



    "เพราะการประลองในสายของนายพบว่าเอจด์แอบเอาอาวุธเข้าไปใช้ในงานประลองนั่นไงล่ะ ตอนนี้ GM กำลังปรึกษากันว่าจะเอายังไงกันดี" พิสตอลตอบ



    "จะปรึกษาอะไรกันให้เสียเวลา พี่เจนเอาชนะหมอนั่นได้ทั้ง ๆ ที่โดนโกงสารพัด มันก็ต้องให้พี่เจนเป็นตัวแทนแน่นอนอยู่แล้วสิ" คิทซึเนะว่า



    "จริงด้วย ฉันเองก็นึกไม่ถึงเลยนะว่าหมอนั่นจะถึงกับเอาปืนเข้าไปในลานประลองอย่างนั้น" เมอรี่เสริม เจนที่ได้ยินทั้งสองคนคุยกันก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่เธอจะหมดสติไปมันเกิดอะไรขึ้น



    "เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมถึงหมอนั่นถึงเอาปืนเข้าไปในลานประลองได้ตั้งแต่แรก มันไม่มีระบบตรวจสอบอะไรหรือยังไงกัน" เจนพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ แม้บาดแผลจะรักษาหายแล้ว แต่ประสบการณ์ถูกปืนยิงใส่นั้นไม่ได้น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย



    โจที่นอนซมอยู่บนพื้นพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาตอบ "น..นั่นก็เพราะว่า ...ในเกมนี้มันไม่มีของแบบนั้นยังไงล่ะ โอ้ย..นี่เธอช่วยถนอมพวกฉันหน่อยได้มั้ยเนี่ย"



    "อะไรนะ ไม่มีงั้นหรือ"



    "ดิ โอเพ่น เวิร์ด ออนไลน์มีจุดเด่นคืออิสรภาพภายในเกม แม้บางอย่างจะมีเซ็นเซอร์คัดกรอกเอาไว้แต่โลกนี้ไม่ได้มีการกำหนดกฎตายตัวขนาดนั้นหรอกนะ" โจว่า "ผู้เล่นสามารถมีอิสระทำได้ทุกอย่างในเกม เพื่อทำให้เกิดความสงบและความมีระเบียบ จึงต้องมีกฎหมายและ GM ที่เป็นเหมือนตำรวจคอยมาจัดการพวกที่ทำผิดกฎไงล่ะ เธอก็คงเห็นแล้วว่าพวกที่ทำผิดกฎมันไม่ได้ถูกวาปส่งไปที่คุกทันทีเหมือนเกมอื่น ทำให้ต่อให้คนทำผิดกฎได้และก็สามารถหลบหนีได้ด้วยเช่นกัน"



    "นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหน แล้วเอจด์ล่ะ หมอนั่นไปอยู่ไหนแล้ว" เจนถามทันทีเมื่อรู้ความจริงของเกม ถ้าหากเอจด์ยังอยู่ล่ะก็หมอนั่นคงจะไม่ปล่อยพวกเธอเอาไว้เฉย ๆ แน่



    "ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว นายหลับไปประมาณสองสามชั่วโมง ส่วนเอจด์ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอนั่นไปอยู่ที่ไหน" พิสตอลบอก



    ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ก็มีเสียงประกาศขึ้นในหัวของเจน เธอมันใจว่านี่เป็นประกาศจากทางการเพราะคนอื่น ๆ ก็ได้ยินเช่นกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งคิทซึเนะที่ก็ได้ยินด้วย



    "ตอนนี้ผลการสอบสวนได้ออกผลมาอย่างเป็นเอกฉันท์แล้ว จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประลองสายที่สี่ ณ เมืองยามะไต ระหว่างผู้เล่นเจน และผู้เล่น เอจด์ ได้มีรายงานว่าผู้เล่นเอจด์ได้ลักลอบนำอาวุธเข้ามาในสนามประลองและทำร้ายผู้เล่นเจนจนได้รับบาดเจ็บ ผู้เล่นเอจด์จะได้รับโทษขังคุกเป็นเวลาหนึ่งเดือนหรือสามสิบชั่วโมงในโลกภายนอก ใครที่พบเห็นผู้เล่นเอจด์และให้เบาะแสที่นำไปสู่การจับตัวได้จะได้รับเงินรางวัลจำนวนหนึ่งแสนโกลด์" เสียงของ GM ประกาศ เจนจำได้ว่านี่เป็นเสียงของพนักงานสาวที่เจนเคยคุยด้วยตอนที่ส่งภารกิจเปลี่ยนอาชีพ



    "อย่างไรก็ตาม แม้ผู้เล่นเอจด์ได้ทำผิดกฎการประลองเบลดมาสเตอร์ แต่ผู้เล่นเจนสามารถเอาชนะผู้เล่นเอจด์ได้ ดังนั้นการตัดสินในครั้งนี้จะยกผลประโยชน์ให้กับผู้เล่นเจน ทำให้ผู้เล่นเจนเป็นตัวแทนการประลองเบลดมาสเตอร์คนที่สี่ของเมืองยามะไตอย่างเป็นทางการ และได้ไปประลองในเมืองคาเมล็อทอีกสองเดือนถัดจากนี้"



    เสียงตะโกนร้องด้วยความสินดีดังลั่นขึ้นมาทันทีเมื่อประกาศผลออกมา คิทซึเนะพุ่งเขากอดเจนด้วยความดีใจ ทุกคนในเต็นท์ต่างเข้ามาแสดงความยินดีที่เธอได้เป็นตัวแทน เจนที่ทราบผลเองก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เธอตอนแรกต้องการเพียงแค่สู้กับคนเก่ง ๆ เท่านั้น แม้ตอนสุดท้ายเธอจะต้องการแค่ไม่ต้องการให้คนอย่างเอจด์ได้เป็นตัวแทนการประลองเบลดมาสเตอร์ แต่เธอจับพัดจับพลูได้เป็นผู้ชนะในการประลองคัดเลือกซะอย่างงั้น



    ทว่าตอนนั้นเองคิทซึเนะที่ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจก็หยุดลงอย่างกะทันหัน เธอหันไปที่ทางเข้าเต็นท์และส่งเสียงขู่อย่างดุร้าย เมื่อทุกคนมองไปด้วยอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นก็รู้ทันทีว่าทำไม



    "ว่าไง ไอ้พวกขี้แพ้มาอยู่กันพร้อมหน้าทุกคนแล้วสินะ" เสียงคุ้นหูฟังแล้วชวนหงุดหงิดดังขึ้น เจนเตรียมพร้อมตอสู้ทันทีเพราะชายที่เพิ่งเข้ามานั้นก็คือเอจด์ผู้ที่ถูกประกาศจับเมื่อครู่นั่นเอง



    "แก!!" พิสตอลร้องเสียงดังและชักดาบขึ้นมาอย่างมุ่งร้าย แต่เขาไม่อาจจะเร่งรุดเข้าไปสำเร็จโทษชายตรงหน้าได้ เมื่อเอจด์ไม่ได้เป็นแค่คนเดียวที่เดินเข้ามาในเต็นท์ เขายังมีลูกน้องอีกเกือบสิบคนเดินตามเข้ามาด้วย



    "แกทำกับฉันเอาไว้แสบนักนะ อย่าหวังเลยว่าพวกแกจะมีคนรอดไปจากที่นี่ได้" เอจด์ว่า ใบหน้าของเขายังคงมีบาดแผลที่เจนได้ทำกับเขาเอาไว้อยู่เลย นี่อาจจะเป็นหนึ่งในบทลงโทษที่จะทำให้ผู้ที่ทำผิดเกิดความอับอายเพราะปกติแล้วบาดแผลในเกมจะค่อย ๆ หายไปเองถ้าหากใช้ยาเพิ่มพลังในการรักษา เอจด์หันไปพยักหน้าให้กับลูกน้องที่พากันชักอาวุธออกมาเตรียมเข้าตะลุมบอน ทางด้านพวกเจนเองก็เตรียมพร้อมที่จะสู้ด้วยเช่นกัน ตอนนี้ไม่มีข้อห้ามใช้ทักษะเหมือนอยู่ในลานประลองแล้ว คราวนี้ล่ะเธอจะอัดไอ้คนขี้โกงอย่างเอจด์ให้จมดินไปเลย



    แต่ทว่าเป็นโชคดีหรืออาจจะเป็นโชคร้ายของชายหนุ่มผู้มีค่าหัว เพราะไม่ได้มีเพียงแค่พรรคพวกของเขาเดินเข้ามาภายในเต็นท์ แต่ยังมีบุคคลที่สามเข้ามาร่วมด้วยอีกกลุ่ม



    "อ้าว ดูท่าทางพวกนายกำลังจะปาร์ตี้กันใช่มั้ยเนี่ย น่าสนุกจัง ขอพวกเราสองคนร่วมด้วยได้มั้ย?" ทุกคนหันไปหาเจ้าของเสียงทันที แต่เจนไม่ต้องใช้ตามองก็รู้ว่านั่นเป็นเสียงของใคร



    ที่ทางเข้าเต็นท์มีชายสองคนกำลังยืนอยู่ คนแรกเป็นชายหนุ่มสวมแว่นในชุดเกราะสีขาว อีกคนเป็นชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงที่เจนจำได้ดี เขาก็คือจีโอ หัวหน้ากิลด์ราชาพยัคฆ์คู่นั่นเอง



    จบตอนที่ 38 เบลดมาสเตอร์! [ตอนปลาย]

    ------------------------------

    เจอกันตอนต่อไปครับ

  2. #52
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 39 พบวิหค

    ตอนที่39 พบวิหค



    ใจกลางเมืองยามะไต GM หลินและ GM ฟินน์กำลังเดินตามหาผู้เล่นที่มีค่าหัวกว่าแสนโกลด์คนล่าสุดที่พวกเขาเป็นผู้ประกาศออกไปเอง แม้ว่าประกาศออกไปให้ผู้เล่นและนำรูปไปให้ทหารประจำเมืองช่วยออกตามหาแล้ว แต่ทั้งสองก็ต้องออกตามหาด้วยตัวเองอยู่ดี เพราะอย่างไรก็ตามในฐานะเป็นเกมมาสเตอร์ที่มาประจำอยู่ในงานประลองเบลดมาสเตอร์ พวกเขาต้องรับผิดชอบที่ปล่อยให้เอจด์นำอาวุธปืนเข้าไปในเวทีประลองได้



    "โอ้ยย! ทำไมฉันถึงต้องออกมาเดินตามหาคนร้ายเองแบบนี้ด้วยนะ!" เสียงบ่นของเจ้าหน้าที่สาวดังขึ้นอย่างเหลืออด แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเย็นใกล้พบค่ำ ไม่มีแดดให้รู้สึกร้อน ความจริงแล้วภายในเกมกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว สภาพอากาศเย็นสบายด้วยซ้ำไป ทำให้ถนนหนทางตอนนี้ต่างมีคนมากมายไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือชาวเมืองต่างออกมาสูดอากาศสดชื่นกันเป็นจำนวนมาก



    GMฟินน์ที่กำลังเดินอยู่ข้าง ๆ มีสีหน้าเหนื่อยใจกับคู่หูของเขาไม่น้อย เนื่องจากเรื่องเกิดขึ้นในช่วงที่พวกเขารับผิดชอบจึงถูกปรับให้ออกตามหาเอจด์มาลงโทษให้ได้ แม้ความจริงแล้วสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้เป็นหน้าที่ปกติของเกมมาสเตอร์เลยด้วยซ้ำ "นี่ ทำใจแล้วก็หัดอยู่เงียบ ๆ ทีเถอะ ความจริงเรื่องมันอาจจะแย่ไปกว่านี้อีกก็ได้ อย่างให้ต้องเหนื่อยไปกว่าที่มันเป็นอยู่เลยน่า"



    "แย่กว่านี้งั้นหรือ นายหมายความว่ายังไงงั้นหรือ นายฟินน์" เกมมาสเตอร์หลินถามคู่หูของเธอ



    "ก็ถ้าหากผู้เสียหายอย่างคุณเจนเกิดเรียกร้องค่าเสียหายขึ้นมาไง นี่ยังดีนะที่เพื่อน ๆ ไม่ถือสาเอาความอะไร แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวตื่นขึ้นมาแล้วจะเอาเรื่องหรือเปล่า ฉันเป็นแค่เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลธรรมดา ๆ ก็ดีอยู่แล้วเชียว ไม่น่าบ้าจี้ตามมาเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามกับเธอเลย ถ้าหากพวกเราโดนลดเงินเดือนล่ะก็ นี่มันเป็นความผิดของเธอเลยนะจะบอกให้!" GMฟินน์ว่าเสียงดัง เจ้าหน้าที่สาวได้ยินดังนั้นก็อ้าปากค้างราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มข้างตัวของเธอพูดอะไรออกมา



    "ความผิดของฉันงั้นหรือ ใครกันที่บอกให้ฉันมาเป็นGMกันหา! ถึงฉันจะชวนให้นายมาเป็นคนคอยให้ข้อมูลแต่ก็เป็นเพราะนายต่างหากที่ทำให้พวกเรากลายมาเป็นGMภาคสนามตั้งแต่แรก! ใครจะไปรู้ว่าGMภาคสนามมันจะมีไม่ถึงร้อยคน มิน่าทำไมตอนไปยื่นเรื่อง ยัยเจ้าหน้าที่ทำหน้าดีใจกันยกใหญ่" GM หลินว่า พลางนึกถึงตอนที่เธอไปทำเอกสารเปลี่ยนหน่วยงานซึ่งปรากฏว่าเอกสารของเธอเดินเรื่องได้เร็วมาก แทบจะไม่ถึงสิบนาทีที่ยื่นเอกสารไปเธอก็ถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์และได้รับการอนุมัติทันที



    "งานแต่ละวันก็แสนเหนื่อย วันหยุดก็มีแค่ช่วงที่ไม่ได้เข้าเกม ต้องออกตรวจเมืองทั้งวัน คอยรับเรื่องจากพวกผู้เล่นแล้วยังต้องคอยดูแลชาวเมืองอีก แถมพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้แต่ดันส่งคนมาทำแค่สองคน แล้วแบบนี้ชาติไหนจะเสร็จกันหา!"



    "หยุดบ่นเถอะน่า ก็เพราะคนมันน้อยงานมันหนักแบบนี้ไง เงินเดือนของGMภาคสนามถึงสูงกว่าตำแหน่งอื่น ๆ ตั้งหลายเท่า รีบทำงานให้เสร็จ ๆ ไปเถอะน่า" เจ้าหน้าที่หนุ่มลดอุณหภูมิตองตัวเองลงเพราะดูท่าทางคู่หูของเขากำลังอารมณ์ร้อนได้ที่เหมือนกัน ถ้าหากร้อนใส่ล่ะก็มีหวังจะโดนปรับหนักกว่าเดิมอีกโทษฐานทะเลาะกันให้ลูกค้าเห็นกลางเมือง



    "เกมมาสเตอร์หลิน เกมมาสเตอร์ฟินน์ นี่ผมเกมมาสเตอร์ประวิทย์ คุณพบผู้เล่นเอจด์ที่กำลังหลบหนีอยู่หรือยัง" เสียงใหญ่ดังขึ้นข้างหูของสองGMที่สะดุ้งสุดตัว ทั้งคู่หันรีหันขวางมองหาเจ้าของเสียงแต่ก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงติดต่อมาผ่านช่องสื่อสารสำหรับเจ้าหน้าที่



    "ค..ค่ะ! นี่เกมมาสเตอร์หลินค่ะ! พวกเรากำลังตระเวนอยู่ที่กลางเมือง มองหาผู้เล่นเอจด์อยู่แต่ยังไม่พบเขาเลยค่ะ!" เจ้าหน้าที่สาวรายงานเสียงดัง



    "ยังไม่มีเบาะแสที่มีประโยชน์พอที่ใช้ตามหาผู้เล่นเอจด์ได้จากผู้เล่นคนอื่น ๆ เลยครับ ตอนนี้ในเมืองก็มีคนจำนวนมาก ทำให้การตามหาเป็นไปได้อย่างลำบากมากเลยครับ.. เอ่อ ผมเกมมาสเตอร์ฟินน์ครับ" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบาด้วยความไม่มั่นใจ



    "ตอนนี้ผู้เล่นเอจด์กลับมาเกิดได้สองชั่วโมงแล้วนะคุณเจ้าหน้าที่ รีบขยายพื้นที่ตามหาของคุณเข้าซะก่อนที่ผู้ร้ายจะหลุดมือของพวกคุณไป!" เสียงของGMประวิทย์ว่าอย่างไม่พอใจ ขนาดมีแค่เสียงยังทำให้GMคู่นี้ตัวแข็งได้ ไม่อยากจะรู้เลยถ้าได้อยู่ต่อหน้าจะเป็นถึงขนาดไหน



    "ต..แต่ว่าเวลาตั้งสองชั่วโมง เขาอาจจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้นะครับ"



    "จะต้องให้ผมบอกวิธีการทำงานให้คุณทุกครั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำงานเลยหรือไง เกมมาสเตอร์ฟินน์ ถ้าหากจนปัญญากันจริง ๆ ล่ะก็ผมจะแนะนำให้ก็แล้วกัน...ไปถามเจ้าที่ซะ!" เสียงดังราวกับระเบิดลงก่อนที่จะตัดการติดต่อไป



    "เจ้าที่!? เจ้าที่อะไร เจ้าที่แบบคนในประเทศเขาที่ชอบสร้างบ้านเล็ก ๆ เอาไวในบ้านงั้นเรอะ!" GMฟินน์ว่าเสียงดังอย่างไม่เข้าใจ เจ้าหน้าที่สาวส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับความคิดของคู่หูของเธอ เวลาฉลาดล่ะก็ไร้ที่ติ แต่เวลาโง่หมอนี่ก็ดันบ้าจี้โง่ซะจริง ๆ



    "ไม่ใช่ย่ะตาบ้า เจ้าที่ที่หัวหน้าว่าก็หมายถึงคนที่ปกครองเมืองนี้อยู่ต่างหาก และคนคนนั้นก็คือ..." GMหลินเว้นช่วง



    "เจ้าหญิงฮิมิโกะ"



    "กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่"



    ดวงตาของสองเกมมาสเตอร์เขม่นกันแทบจะในทันทีเมื่อคำตอบที่ได้กลับออกมาไม่ตรงกัน เห็นทีกว่าจะเดินเรื่องได้คงจะอีกนาน







    บรรยากาศภายในเต็นท์พยาบาลแทนที่จะทุเลาลงเมื่อจีโอมาถึง แต่กลับยิ่งร้อนระอุขึ้นกว่าเดิมโดยเฉพาะสายตาเผ็ดร้อนของผู้กล้าในชุดขาวที่จ้องไปยังพยัคฆ์แดงแห่งยามะไตเขม็ง ราวกับจ้องจะกินเลือดกินเนื้อกัน ในขณะเดียวกันเอจด์ก็เหลือบไปมองทางผู้มาใหม่อย่างไม่ไว้วางใจ พร้อมกันนั้นเขาก็ต้องระวังพวกพิสตอลไปด้วย เท่ากับว่าตอนนี้เขาต้องรับศึกถึงสองทาง โดยเฉพาะด้านหลังนั้นเป็นถึงหนึ่งในสิบผู้เล่นที่มีฝีมือที่สุดในดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์เลยทีเดียว



    "พยัคฆ์แดง จีโอ...พยัคฆ์ขาว หย่งฟาง ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านมาที่นี่ต้องการอะไรงั้นหรือ" เอจด์หันไปกล่าวกับจีโอ เขาพยายามสงบสิตอารมณ์เอาไว้ไม่ให้แสดงว่าเขารู้สึกไม่พอใจแค่ไหนที่ถูกขัดจังหวะเช่นนี้ แต่เขาเองก็เสี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกลายเป็นศัตรูกับคนอย่างจีโอ แม้เวลานี้เขาจะมีกำลังคนอยู่มากกว่าแต่ก็เทียบไม่ได้กับสองพยัคฆ์ที่ตอนนี้สามารถบดขยี้ทุกคนในเต็นท์นี้ได้สบาย ๆ



    "ก่อนอื่นนะเอจด์ นายไม่ได้เป็นเจ้าบ้าน ไม่จำเป็นต้องรักษามาดแบบนั้นหรอก มันน่าเกลียด สองสำหรับคำตอบของนายก็คือ พวกเราสองคนจะมาแสดงความยินดีกับผู้กล้าในชุดขาวที่เอาชนะนายและได้ไปประลองชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ยังไงล่ะ แต่ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะได้มาพบว่าอาชญากรที่กำลังหนีอยู่ที่นี่เลยนะเนี่ย สงสัยจะจริงที่เขาพูดกัน คนผิดจะต้องกลับมาที่เกิดเหตุเสมอ ว่างั้นมั้ยฟาง" ชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริงแล้วหันไปถามชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่เงียบ ๆ



    "คุณเอจด์ กิลด์จันทร์เดือนมืดของคุณเป็นกิลด์ที่มีเส้น... มีพันธมิตรเยอะมาก ผมเคยได้ยินว่าคุณเคยพากำลังคนเพียงไม่ถึงพันคนไปจัดการกับมอนสเตอร์บอสที่มียศราชาได้ นั่นน่าชื่นชมมากแต่ตอนนี้คุณกำลังเป็นที่ต้องการตัวของGM ในตอนแรกผมคิดจะจับคุณให้กับทางการ เพื่อเป็นการให้เกียรติผมจะไม่แจ้งให้GMทราบแต่ผมก็ต้องขอให้คุณออกไปจากเมืองยามะไตด้วยครับ" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบและจ้องมองเอจด์ด้วยสายตาเย็นชา



    ไม่เพียงแค่เอจด์เท่านั้นที่ตกใจกลับคำกล่าวอย่างไร้น้ำใจของชายหนุ่มในเกราะสีขาว พวกเจนเองก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างกันที่แม้จะรู้สึกไม่พอใจที่พวกจีโอทำท่าจะปล่อยคนผิดให้ลอยนวลไป แต่คำพูดของพวกเขานั้นทำให้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้แสดงตัวเป็นมิตรกับเอจด์แน่



    เจนแอบมองเห็นเอจด์ขบฟันแน่นอย่างไม่พอใจก่อนจะหันหลังพาคนของตัวเองเดินออกจากเต็นท์ไปอย่างเงียบ ๆ แต่ก่อนที่ตัวเขาเองจะเดินออกไปก็ไม่วายที่จะหันมามองเจนด้วยสายตาอาฆาต ทว่านั่นไม่ได้ทำให้เจนรู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยเพราะเธอพร้อมที่จะสู้กับเขาทุกเมื่อ ต่อจากนี้ไปเธอจะนับวันรอที่จะได้เตะตูดคนอย่างหมอนี่ให้รู้ซะว่าคนอย่างเจน ใครจะมาแหยมไม่ได้ง่าย ๆ



    "ต้องขอโทษกับเรื่องเมื่อครู่ด้วยที่พวกเราทำให้ตกใจ ความจริงแล้วก็เป็นความผิดของพวกเราด้วยที่ปล่อยให้อาชญากรออกมาทำความเดือดร้อนให้กับคุณอีก" ชายหนุ่มกล่าวแล้วเดินอกผายไหล่ผึ่งเข้ามาอย่างสง่างาม



    "ผมมีชื่อว่าหย่งฟาง ส่วนข้างหลังผมมีชื่อว่าจีโอ พวกเราสองคนเป็นหัวหน้ากิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ ยินดีที่ได้รู้จักคุณเจน ผู้กล้าในชุดขาวครับ" ชายหนุ่มยื่นมือออกมาหาหญิงสาวอย่างสุภาพจนทำให้เธอต้องยื่นมือออกไปจับด้วยเพื่อรักษามารยาท



    "ความจริงนายไม่ต้องแนะนำฉันก็ได้นะฟาง เพราะฉันกับเจน พวกเราเคยเจอกันมาตั้งสองครั้งแล้ว จริงมั้ยเจน" จีโอว่าพร้อมกับขยิบตาให้



    เจนหน้าขึ้นสีทันทีที่ได้ยินคำพูดของบุรุษในชุดเกราะแดง เธอเคยพบกับจีโอเพียงแค่สองครั้งก็จริงแต่เธอไม่เคยบอกชื่อของตัวเองให้เขาได้ทราบเลยแม้แต่น้อย แถมครั้งที่สองเธอก็ไม่ได้เข้าไปคุยกับเขาด้วยซ้ำ และครั้งแรกนั้นเป็นตอนที่เธอยังไม่ได้ปลอมตัวด้วย! ดังนั้นถ้าหากเขารู้ว่าเธอคือใคร นั่นก็หมายความว่าชายคนนี้รู้ความจริงที่ว่าเธอเป็นผู้หญิง!!



    ในตอนนี้หัวของเธอนั้นมันตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว สายตาของพรรคพวกของเธอและสายตาของหย่งฟางจ้องมาที่เธอเพราะต้องการหาคำตอบว่าทั้งสองคนมาเจอกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้สองหนุ่มโจและแจ็คนั้นจะทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเจนเคยพบกับคนอย่างจีโอ แต่เพื่อนสาวกลับไม่ยักบอกว่าสนิทกันถึงขนาดเรียกชื่อได้ห้วน ๆ ขนาดนี้



    "นี่นายเคยพบกับคุณเจนมาตั้งแต่ตอนไหน" เมื่อไม่ได้คำตอบจากเจน หย่งฟางเลยหันไปถามเพื่อนของเขาแทน



    "ก็ตั้งนานแล้วล่ะ ตอนที่ฉันไปช่วยเพื่อนเก่าที่เกาะไทริสก็เผอิญเจอกันพอดี เห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ฉันก็เลยไม่ได้เล่าให้นายฟัง" จีโอพูดอย่างสบาย ๆ ขณะที่เจนต้องกลั้นหายใจลุ้นกับสิ่งที่เขาพูดออกมาว่าจะหลุดบอกความจริงของตัวเธอหรือเปลา



    หย่งฟางมองจีโออย่างสงสัยในคำตอบ แต่ก็นึกได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคาดคั้นจึงรีบหันกลับมาหาเจนอีกครั้ง "เอาเป็นว่าผมและจีโอขอแสดงความยินดีที่คุณเจนได้เข้าไปประลองชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ด้วยนะครับ ผมชมการต่อสู้จากการถ่ายทอดสด ต้องขอบอกว่าฝีมือของคุณน่าประทับใจมาก"



    "เอ่อ...ขอบคุณ" เจนก้มตัวเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีกับชายคนนี้ แต่ที่แน่ ๆ เธอจ้องจับตามองไอ้เจ้าคนที่ยืนข้างหลังนั้นให้ดี ๆ ถ้าขืนปล่อยไปมีหวังความลับของเธอได้แตกหมดแน่



    "ถึงผมจะบอกว่าผมมาเพื่อแสดงความยินดีกับคุณเจน แต่ผมมีเรื่องจะถามถ้าหากไม่รบกวนเกินไป..." หย่งฟางเว้นระยะเพื่อดูท่าทีของผู้กล้าในชุดขาว เจนพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตแต่สาวตาของเธอยังคงจับจ้องไปที่จีโอจนหย่งฟางมองเจนสลับกับเพื่อนของเขาด้วยความสงสัยว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ต้องเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ก่อนเพราะสิ่งที่เขาอยากจะถามนั้นสีความสำคัญกับตัวเขามากทีเดียว



    "ผมได้ยินมาว่าคุณเคยสู้กับผู้เล่นที่ถูกขนานนามว่า 'อีกา' ไม่ทราบว่าคุณได้พบกับเธอครั้งสุดท้ายที่ไหนหรือครับ" คำถามนี้ทำให้เจนหันมามองหย่งฟางด้วยความฉงน แม้แต่พิสตอลเองก็ยังให้ความสนใจด้วยเช่นกัน เพราะอีกานี้เป็นชื่อที่ผู้เล่นขนานนามให้กับอามีร่าที่เป็นนักฆ่าของกิลด์พิฆาตราชา เธอฆ่าตามคำสั่งของกิลด์มามากจนมีคนพูดว่าเธอเข้ามาอยู่ในโลกนี้เธอไม่เคยฆ่ามอนสเตอร์ ที่เธอเลื่อนระดับมาได้เป็นเพราะเธอจัดการผู้เล่นด้วยกันทั้งสิ้น



    ไม่มีใครรู้ว่าข่าวนี้จริงหรือเท็จ มีเพียงผู้เดียวที่ให้คำตอบนี้ได้นั่นก็คือตัวอามีร่าเอง แต่เป็นเพราะไม่มีใครเคยได้พูดคุยกับเธอมาก่อนยกเว้นเจน ดังนั้นถ้าหากใครต้องการที่จะได้ข้อมูลของอีกา ทุกคนก็รู้ว่าจะต้องไปหาคำตอบจากผู้กล้าในชุดขาวที่เคยเอาชนะเธอมาก่อนนั่นเอง



    "คุณหมายถึงอามีร่างั้นหรือ ทำไมคุณถึงอยากจะรู้ว่าเธออยู่ที่ไหนล่ะ" เจนถามด้วยความสงสัย มันน่าแปลกที่จู่ ๆ คนระดับหย่งฟางถึงออกมาตามล่าตัวอามีร่าในตอนนี้ แม้ว่าเธอจะเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงกระฉ่อน แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้หัวหน้ากิลด์อันดับสองต้องลงมาจัดการเรื่องเองแบบนี้...ถ้าหากว่าเขาออกตามล่าตัวของอามีร่าจริง ๆ นะ



    "นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องสนใจ ผมขอให้คุณบอกทุกอย่างที่คุณรู้มาให้หมดด้วยครับ" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็นแล้วก้าวเดินเข้ามาใกล้ แม้ว่าจะฟังดูเป็นมิตรแต่เมื่อเจนจ้องมองตาของหย่งฟางก็รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นของชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกกลัวชายคนนี้ขึ้นมา คิทซึเนะเองก็รู้สึกได้และรีบเคลื่อนตัวเข้ามาขวางระหว่างพี่สาวของเธอและหย่งฟาง



    จีโอที่เห็นท่าไม่ดีก็รีบเข้ามาห้ามเพื่อนของเขาไว้ซะก่อน "เอาล่ะ พอก่อนดีกว่านะฟาง ฉันว่าถ้าหากเจนไม่อยากจะบอก นายก็ไม่ควรจะไปบังคับ จริงมั้ย"



    ชายหนุ่มหันมามองตาขวางแต่ก็ยอมถอยแต่โดยดี หย่งฟางเหล่ตามองเจนก่อนที่จะหันหลังเดินออกไปจากห้อง หญิงสาวรู้สึกสั่นสะท้านเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาที่เขาใช้มองเธอ ความรู้สึกไม่พอใจอย่างแรงแสดงออกมาอยู่ในดวงตานั้น แต่มันยังมีอะไรบางอย่าง ความรู้สึกถึงความต้องการอย่างแรงกล้าที่หย่งฟางต้องการจะค้นหาตัวอามีร่า บางทีอาจจะมีสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างชายคนนี้และอามีร่าอยู่ก็ได้



    "เฮ่อ ขอโทษทีสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น พอดีหมอนี่พยายามตามหาแม่สาวคนนั้นมานานมาก พอรู้ว่าเจนได้คุยกับเธอก็เลย..." จีโอยักไหล่แทนคำอธิบาย เจนเองก็พอเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะก่อนหน้านี้เธอเองก็รู้สึกเป็นห่วงอามีร่ามากเช่นกัน ถึงตอนนี้ความรู้สึกนั้นจะผ่อนคลายลงมากแล้วก็ตาม พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็น่าคิดว่าตอนนี้อามีร่าเป็นยังไงบ้างนะ



    "ช่างเถอะ ว่าแต่นายทำไมถึงยังอยู่ตรงนี้อีกล่ะ เพื่อนของนายไปโน้นแล้ว รีบออกไปซะที" เจนเขม่นตามองชายหนุ่มอย่างไม่พอใจ เมื่อหย่งฟางจากไปเหลือแต่จีโอ ความรู้สึกหงุดหงิดก็กลับมาทันทีอย่างไม่มีเหตุผล แต่ทันใดนั้นเองภาพของชายหนุ่มตรงหน้าที่เคยออกตัวปกป้องเธอก็ย้อนกลับเข้ามาในหัว น้ำเสียงที่จริงจังและใบหน้าที่ทำให้เธอรู้สึกใจเต้นแรง นัยน์ตาลุ่มลึกที่จ้องสวนมาหาเธอตอนนี้กลับทำให้เจนรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและรีบหลบสายตาของเขาทันที



    'บ..บ้าจริงยัยเจน! ทำไมถึงต้องมานึกเรื่องนั้นตอนนี้ด้วยนะ!' เด็กสาวบอกโทษตัวเองในใจ เธอพยายามจะไม่หันไปสบตากับชายหนุ่มแต่เธอรู้ว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่ในตอนนี้



    "ก็นะ พอดีฉันมีข้อเสนออยากจะลองให้ไปพิจารณาดูกันน่ะนะ...สำหรับทุก ๆ คนเลย พวกนายเองก็ด้วย" จีโอว่าและหันไปหาพิสตอลและเมอรี่



    "ข้อเสนออะไร" พิสตอลถาม



    "พวกนายเองก็น่าจะพอเดาได้อยู่แล้วล่ะ ฉันอยากให้พวกนายเข้ามาเป็นสมาชิกกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ไง" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่คนฟังกลับมีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยิน



    กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่เป็นกิลด์ขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกจำนวนกว่าล้านคนทั่วโลก แม้ตัวสมาชิกจะคละสัญชาติกัน แต่สมาชิกส่วนใหญ่ของกิลด์นี้เป็นชาวจีนที่อยากจะอยู่กับหย่งฟางและชาวไทยที่ตามจีโอมานั่นเอง ด้วยจำนวนสมาชิกที่มากขนาดนี้ทำให้กิลด์นี้มีอำนาจมากจนถูกจัดอันดับให้เป็นกิลด์ที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับสองของโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ถึงแม้จะครองปราการเพียงแค่สองปราการเท่านั้นก็ตาม



    อันดับของกิลด์ถูกจัดอันดับด้วยการโหวตของผู้เล่น และการที่กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ขึ้นมาถึงอันดับสองได้ก็ทำให้มีคนจำนวนมากต้องการจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งปกติแล้วกิลด์ใหญ่ขนาดนี้จะไม่เปิดรับสมาชิกคนนอกบ่อยนัก ดังนั้นข้อเสนอของจีโอจึงเป็นข้อเสนอที่ยากที่จะปฏิเสธ



    "อย่างที่ทุกคนรู้ ตอนนี้พวกเรากำลังประกาศสงครามกับกิลด์พิฆาตราชา เราอยากได้คนที่มีฝีมืออย่างพวกนายมาเข้าร่วมด้วย โดยเฉพาะพวกนาย" จีโอหันมาหาพวกเจน "พวกนายกำลังเป็นที่ต้องการตัวของเจ้าพวกนั้นอยู่ แถมตอนนี้ยังไปเป็นศัตรูกับเอดจ์ หัวหน้ากิลด์จันทร์เดือนมืดอีกคน ถ้าหากมาเป็นสมาชิกกิลด์ พวกเราสามารถช่วยปกป้องพวกนายจากพวกนั้นได้"



    โจและแจ็คหันมามองเจนเป็นสายตาเดียวเพราะคนที่จีโอต้องการคำตอบน่าจะเป็นเจนมากกว่าพวกเขา และไม่ว่าคำตอบของเธอจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะตามเธอไปด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นสุดท้ายแล้วคำตอบก็จะขึ้นอยู่กับหญิงสาวคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น



    "น...นี่นายบ้าหรือเปล่า! เมื่อกี้เพื่อนของนายเพิ่งจะทำท่าข่มขู่ใส่พวกเราแท้ ๆ ตอนนี้นายอยากจะให้พวกเราเข้ากิลด์ของนายเพื่อที่จะต้องทำตามคำสั่งหมอนั่นอีกหรือยังไง" เจนพูดเสียงดังเพื่อที่จะไม่ทำให้ดูเป็นพิรุธ ใบหน้าของเธอยังคงเป็นสีแดงระเรื่อและดวงตาก็ก้มต่ำไม่ยอมสบตากับชายหนุ่มตรงหน้าเธอ



    "ฉันบอกแล้วไงว่าขอโทษเกี่ยวกับเรื่องนั้น ส่วนเรื่องคำสั่งนั่นมันไม่มีหรอก กิลด์ของเราแค่ขอเวลาในเกมแค่สองสามวันมาช่วยกิจการภายในกิลด์เท่านั้นเอง มันก็แค่ออกล่าวัตถุดิบ หาอาวุธระดับสูง ช่วยมือใหม่เก็บเลเวล ช่วยเฝ้าร้านขายของอะไรจำพวกนี้ก็เท่านั้นเอง แถมมีค่าจ้างด้วยนะ" จีโอพยายามล่อล้อมและก้มตัวเอาหน้าประชิดกับใบหน้าของเจนห่างออกไปเพียงไม่กี่นิ้ว แต่ดูเหมือนจะได้ผลตรงกันข้ามมากกว่าเพราะผู้กล้าในชุดขาวตอนนี้ใบหน้าแดงก่ำราวกับลูกตำลึง เธอรีบผลักร่างของชายหนุ่มให้ออกห่างจากตัวแล้วรีบวิ่งออกไปจากเต็นท์ทันทีซึ่งคิทซึเนะก็วิ่งตามออกไปคิด ๆ ท่ามกลางสายตาของพวกโจและพิสตอลที่จ้องมองตามไปด้วยความสงสัย



    "แหม สงสัยอยากจะไปเข้าห้องน้ำ ว่าแต่พวกนายล่ะสนใจบ้างมั้ย" จีโอหันไปถามพิสตอล ชายหนุ่มหันไปมองเพื่อนสาวเหมือนกับว่าจะขอความคิดเห็น เธอพยักหน้าให้เบา ๆ ก่อนที่พิสตอลจะหันกลับมาให้คำตอบ



    "ผมและเพื่อน ๆ และอยู่มาด้วยกันจนถึงตอนนี้ก็ยังอยู่กันได้โดยที่ไม่มีกิลด์ไหนดูแลมาตั้งนานแล้ว และผมก็คิดว่าพวกเราก็ยังคงอยู่กันได้ต่อไปโดยที่ไม่พึ่งกิลด์ไหนต่อไปได้เช่นกัน แต่ก็ขอบคุณสำหรับน้ำใจครับ" พิสตอลตอบ จีโอที่ได้ยินก็ส่งยิ้มให้โดยที่ไม่แสดงความไม่พอใจออกมาให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว



    "อย่างน้อยก็ได้ลองแล้ว แต่ถ้าเกิดเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็ติดต่อมาได้ทุกเมื่อนะ แล้วก็ฝากไปให้เจนคิดด้วยล่ะ" จีโอพูดกับโจ



    "ขอบใจ แต่ไม่สัญญาหรอกนะว่ายัยนั่นจะฟัง" โจว่า



    ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนที่จะเดินจากไป ปล่อยให้พวกโจต้องออกไปตามหาเพื่อนสาวของเขาที่ตอนนี้สติกระเจิดกระเจิงไปไหนแล้วก็ไม่รู้





    หลังจากช่วงชุลมุนที่สามหนุ่มออกตามหาหญิงสาวจนทั่วทั้งเมืองจนเวลาล่วงเลยจนฟ้ามืด พวกเจนก็พากันกลับไปยังเรียวกังที่ซินจู ไมโกะและฟีบีกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงให้งานโอกาสที่เจนได้เป็นหนึ่งในสี่ผู้ผ่านการคัดเลือกการประลองเบลดมาสเตอร์นั่นเอง



    เนื้อกองมหึมาถูกนำมาหมักและย่างอยู่บนเตาด้วยฝีมือแม่ครัวหัวป่า ซินจูที่มีดีกรีเป็นลูกสาวเจ้าของร้านอาหารนั้นรับประกันได้ถึงรสชาติที่ยืนยันได้จากคนกินที่ส่งเสียงอื้ออึงออกมาไม่ขาดสาย



    "อื้ม!! เนื้อนี่อร่อยสุด ๆ ไปเลยซินจู ทั้งนุ่มและรสเข้มข้นจริง ๆ" โจพูดแล้วใช้ตะเกียบคีบเนื้อเข้าปากอย่างรวดเร็ว



    "ร้านอาหารแพง ๆ แถวบ้านฉันยังอร่อยสู้ฝีมือของเธอไม่ได้เลยนะเนี่ย" แจ็คว่าก่อนจะจุ่มเนื้อลงถ้วยซอสและนำเข้าปาก



    "นายนี่ไม่รู้อะไรเอาซะเลย ถ้ารสชาติมันอร่อยขนาดนี้ ร้านของซินจูเองก็ต้องเป็นร้านอาหารชื่อดัง มีเป็นสิบสาขาอยู่แล้ว" หนูส่งข่าวพูดแต่มือก็ยังคงคีบเนื้อเข้าปากไม่หยุด



    แม่ครัวผู้ที่ทำหน้าที่เตรียมอาหารและย่างเนื้อนั้นก็ยิ้มรับคำชมน้อยใหญ่อย่างถ่อมตัว "ความจริงมันเป็นร้านของตระกูลหนูน่ะค่ะ เปิดมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ทวดจนมาถึงรุ่นคุณพ่อ ร้านของเราถึงจะใหญ่แต่ก็มีแค่สาขาเดียวเท่านั้นเองค่ะ"



    "นั่นไง ฉันพูดผิดที่ไหน" ชายหนุ่มหันมาพูดแล้วกินต่อ



    "นี่พวกนายจะมีมารยาทหน่อยได้มั้ยหา! กินมูมมามน่าเกลียดจนฉันกินไม่ลงแล้วเนี่ย" ไมโกะพูดอย่างไม่สบอารมณ์ สายของเธอมองไปยังสามหนุ่มที่คีบเนื้อที่ซินจูเป็นคนย่างเอาไว้ให้ใส่จานตัวเองกองสุมกันเอาไว้ราวกับว่ากลัวจะมีใครแย่งไป



    "แล้วมันเป็นเพราะใครกันล่ะที่ทำให้พวกเราสามคนต้องออกวิ่งตามตั้งหลายชั่วโมง กว่าจะเจอก็หิวไส้กิ่วเลยนะ เจอหมอนั่นหยอกหน่อยเดียวทำไมถึงต้องวิ่งพรวดพราดออกไปก็ไม่รู้" แจ็คพูดออกมา



    "ถึงจะเป็นพี่แจ็คแต่ก็อย่ามาพูดกับพี่เจนอย่างนั้นนะ! แล้วก็ที่พวกพี่หาพี่เจนเจอก็เป็นเพราะหนูต่างหาก" คิทซึเนะว่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ใบหน้างามดูบึ้งตึงทันทีจนสามหนุ่มไม่กล้าแย้ง



    "จะว่าไปข้อเสนอของจีโอก็น่าสนใจนะ นอกจากจะไล่พวกกิลด์พิฆาตราชาให้อยู่ห่าง ๆ จากพวกเราแล้ว พวกเรายังได้ใช้ทรัพยากรของกิลด์ได้อีกด้วย ฉันว่ากิลด์ใหญ่ขนาดนั้นต้องมีของดี ๆ อยู่เพียบแน่" ไมโกะแสดงความคิดเห็น



    โจที่ได้ฟังนั้นทำหน้ามุ่ยและเอ่ยความคิดเห็นต่างออกไป "นั่นก็จริง แต่ว่าถ้าเข้ากิลด์ไปแล้ว พวกเราคงไม่ได้มานั่งว่าง ๆ แบบนี้ทุกวันแน่ เราต้องแบ่งเวลาสามวันไปช่วยงานในกิลด์อีกจำได้มั้ย ของที่ล่าได้บางชิ้นเราก็ต้องแบ่งเข้ากิลด์ด้วย แถมยังต้องไปช่วยรบในยามมีสงคราม ถึงในระยะสั้นอาจจะมีประโยชน์ก็จริง แต่ในระยะยาวฉันว่าพวกเราจะหมดสนุกซะก่อนน่ะสิ"



    "เอ๋ เมื่อกี้พี่โจไม่เห็นบอกเลยว่าข้อตกลงมีเรื่องต้องบริจาคของเข้ากิลด์เลยนะคะ" ซินจูทวนความจำเพราะเธอมั่นใจว่าตอนแรกที่จอมเวทหนุ่มเล่าเรื่องให้ฟังไม่ได้มีเรื่องนี้ในข้อตกลง



    "ไม่มีหรอก แต่เรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นธรรมเนียมของกิลด์ทุกกิลด์ที่จะต้องทำเพื่อพัฒนาให้กิลด์มีความแข็งแกร่ง พวกกิลด์ใหญ่ ๆ ที่เก่งเพราะนอกจากมีคมฝีมือดีและอุปกรณ์ระดับสูงแล้ว ก็ยังเป็นเพราะมีกำลังเงินอีกด้วย กฎที่ใช้กันสากลก็คือถ้าหากคนในกิลด์อยากจะเก็บของที่ล่ามาก็ก็ต้องจ่ายเป็นเงินส่วนหนึ่งของราคาตามตลาด แบบนี้ไงฉันถึงบอกว่าตอนนี้พวกเรายังไม่เหมาะกับเรื่องกิลด์...อย่างน้อยก็ถ้าหากเราเข้ากิลด์คนอื่นน่ะนะ" โจว่าจบแล้วจึงหันหน้าไปตั้งหน้าตั้งตากินเนื้อย่างต่อ ก่อนที่จะถูกแย่งฟีบีที่กินอย่างเงียบ ๆ แต่เร็วดั่งน้ำหลากไปซะหมดโต๊ะ



    เจนมองภาพตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ซินจูที่สังเกตเห็นก็หันมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง



    "เป็นอะไรหรือเปล่าคะพี่เจน อาหารรสชาติไม่ถูกปากหรือคะ"



    "อ...เปล่า ๆ เนื้อพวกนี้อร่อยมากเลยล่ะ ก็แค่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ก็เท่านั้นเอง" เจนรีบตอบเมื่อมีคนทัก รสชาติของเนื้อย่างฝีมือซินจูนั้นไร้ที่ติ แต่เป็นเพราะสิ่งที่อยู่ในหัวของเธอต่างหากที่ทำให้ต่อมรับรสของเธอมันผิดแปลกไป



    เมื่อตอนที่ใบหน้าของจีโอเข้ามาประชิดนั้นเป็นชั่วพริบตาหัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้น จีโอพุ่งเข้ามาเร็วมากจนเธอไม่ได้ทันตั้งตัว ราวกับว่าเขามีพลังอะไรบางอย่างที่เมื่อเข้าใกล้ก็ทำให้เธอรู้สึกหัวใจเต้นแรง แต่พร้อมกันนั้นเจนรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าชายคนนี้เอาซะเลย เวลามองก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ความรู้สึกสองอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงตีกันไปมาในจิตใจทำให้หญิงสาวไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ในเมื่อใจหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจตัวเองและอีกใจที่ยังไม่ยอมรับสภาพร่างกายของตัวเองเช่นกัน สุดท้ายเธอก็ทำได้แค่วิ่งหนีออกมาโดยที่ในใจยังหาข้อสรุปไม่ได้



    ความรู้สึกในใจนี้มันอัดแน่นอยู่ในอก เจนอยากจะระบายมันออกมาแต่ว่าเรื่องนี้เธอจะเอาไปพูดกับใครได้ จะให้เธอบอกว่าคนที่เคยเป็นผู้ชายแต่กลายเป็นผู้หญิงด้วยความผิดปกติทางร่างกายมาเพียงไม่กี่สัปดาห์อย่างเธอจะมีความรู้สึกให้กับผู้ชายเหมือนกันได้ยังไง แค่จะบอกเรื่องเปลี่ยนเพศนี่ก็อายจนไม่กล้าจะพูดถึงมันแล้ว เจนรู้สึกสมเพชตัวเองที่ไม่มีความกล้า ไม่กล้าพอที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ให้พวกเสือซ่อนลายหรือเอาเรื่องที่รู้สึกหนักใจไปปรึกษาแม่ของตนเอง ไม่กล้าพอที่จะยอมรับตัวเองและใช้ชีวิตต่อไปในฐานะผู้หญิงอย่างเต็มตัวที่ตอนนี้เจนพยายามรั้งส่วนนั้นเอาไว้โดยสร้างเรื่องหลอกลวงเพื่อน ๆ ของเธอเช่นนี้ ตัวเธอนี่มันน่าสมเพชจริง ๆ



    "เอ่อ...หนูไม่ได้อยากจะทำตัวสอดรู้หรอกนะคะ แต่หนูอยากจะช่วยพี่เจนให้สบายใจ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ตาม ทั้งหนูหรือพี่ไมโกะหรือว่าจะเป็นพวกพี่เสือก็พร้อมที่จะรับฟังเสมอนะคะ" ซินจูกล่าวด้วยใบหน้ายิ้ม เธอยกจานเนื้อที่ย่างเสร็จร้อน ๆ ให้



    เจนรับจานนั้นมา ใครบางคนเคยบอกว่าโลกออนไลน์นั้นมีแต่คนที่เชื่อใจไม่ได้ แต่เจนมั่นใจว่าเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ในห้องนี้เป็นคนที่เธอเชื่อใจและไว้ใจได้อย่างแน่นอน "ขอบใจนะซินจู"



    "ว่าแต่ได้ยินว่ามีธุระไม่ใช่หรือพี่ไม นี่เพิ่งผ่านไปวันเดียวเอง ทำธุระเสร็จแล้วหรือ" เจนหันไปหานักฆ่าสาวแล้วถามขึ้น ตอนนี้เธอคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะบอกความจริงของตัวเธอให้เพื่อนใหม่ของเธอได้รู้ แต่เอาไว้ให้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตากันก่อนแล้วค่อยบอก



    ไมโกะได้ยินคำถามก็ทำหน้ามุ่ย เธอคีบเนื้อย่างเข้าปากอยางไม่สบอารมณ์จนเจนตกใจนึกว่าเธอถามอะไรที่ไม่ควรถามออกไปซะแล้ว "ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ที่แม่ของฉันเรียกไปดูตัวก็แค่นั้นเอง"



    "เอ๋! ดูตัว! พี่ไมกำลังจะแต่งงานหรือคะ" ซินจูถามเสียงสูง เธอหันมาหาไมโกะโดยไม่สนใจกับเนื้อย่างตรงหน้าอีกต่อไป จนแจ็คต้องรีบเข้ามาทำหน้าที่แทนก่อนที่เนื้อจะไหม้เกรียม



    "ฉันปฏิเสธไปแล้วล่ะ" ทั้งห้าคนเบิกตากว้างอย่างตกใจกับคำตอบของหญิงสาว การดูตัวนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะใช้เวลาคิดเพียงครู่เดียวไม่ได้ แต่หญิงว่าคนนี้กลับพูดเหมือนกับว่ามันไม่ได้สำคัญเลยซักนิดเดียว ในขณะเดียวกันนั้นคิทซึเนะที่พยายามตั้งใจฟังแต่ก็ไม่รู้ว่าการดูตัวคืออะไร เห็นทีต้องไปถามพี่สาวของเธอซะแล้วจะได้รู้เรื่อง ส่วนฟีบีนั้นก็สนแต่ของกินข้างหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น



    "ทำไมล่ะคะพี่ไม คนที่ไปดูตัวด้วยไม่ถูกใจหรือคะ หรือว่าเขาหน้าตาไม่ดี" ซินจูถาม



    "เปล่า หมอนั่นหน้าตาสูสีกับจีโอได้เลยล่ะ การงานก็เป็นถึงซีอีโอบริษัทขนาดใหญ่ อายุก็มากกว่าฉันแค่ไม่กี่ปี แต่ฉันก็แค่ไม่ชอบถูกคลุมเท่านั้นเอง พอไปถึงฉันก็บอกปัดไปแล้วก็กลับมาเลย พวกญาติ ๆ ของฉันชอบหาคนมาให้แต่งงานกับฉันอยู่บ่อย ๆ นั่นแหละ แต่ใครจะชอบที่จู่ ๆ ก็ต้องมาแต่งงานกับคนแปลกหน้า" ไมโกะตัดบท คนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าจะถามต่อเพราะเรื่องนี้ดูท่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวและค่อนข้างเป็นเรื่องที่เปราะบางกับเธอมากพอควร



    "ฉันว่าพวกเราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่านะ เอ่อ...วันพรุ่งนี้พวกเราจะไปทำอะไรกันดีล่ะ" เจนพยายามเปลี่ยนเรื่อง



    "ตอนนี้เสือซ่อนลายกับยูสตาร์ยังไม่กลับเข้ามาในเกมเลย คงอีกนานกวาที่สองคนนั้นจะกลับมา พวกเราไปเที่ยวในเมืองรอกันก่อนดีมั้ย" หนูส่งข่าวเสนอความคิด แต่ทั้งซินจูและจิ้งจอกสาวส่ายหน้าปฏิเสธทันที



    "ไม่ดีกวาค่ะ หนูกับคิทซึเนะเดินจนทั่วหมดแล้ว ถ้าพวกพี่จะไปกัน พวกหนูก็ขอรออยู่ที่ร้านเสื้อผ้านะคะ" เจนตกใจมากเมื่อรู้ว่าทั้งสองเดินเที่ยวกันจนทั่วทั้งเมืองแล้ว ไม่รู้ว่าทั้งคู่หาเวลาไปเดินตั้งแต่เมื่อไหร่ คิทซึเนะน่ะพอเดาได้ว่าเป็นช่วงที่ตัวเธอไม่อยู่ แต่ซินจูนี่สิที่จะอยู่กับเจนแทบตลอดเวลาแท้ ๆ



    "ไม่ต้องเป็นห่วงสองคนนั้นหรอก พวกเราออกไปสู้กับมอนสเตอร์หรือไปหาภารกิจทำกันเถอะ เอาไว้สองคนนั้นเข้าเกมมาค่อยให้ไปรับภารกิจแล้วค่อยตามมาทีหลัง" โจพูดโดยมีไมโกะแล้วแจ็คพยักหน้าสนับสนุน



    ไม่บ่อยนักที่เจนจะทำแบบนี้ เธอเปิดหน้าต่างระบบขึ้นมาดูลิสต์ภารกิจของเมืองยามะไตบนกระดานข่าว ปกติแล้วนี่เป็นหน้าที่ของโจหรือหนูส่งข่าว แต่ทั้งคู่ต่างวุ่นกับการกินแข่งกับมังกรน้อย ถ้าหากเธอไม่ทำก็คงจะเสียเวลาอีกพักใหญ่แน่กว่าจะได้เรื่อง



    หน้าต่างแสงที่ปรากฏขึ้นนั้นฉายลิสต์ของรายชื่อภารกิจนับร้อยนับพันที่สามารถรับได้ในยามะไต ที่มุมหน้าต่างนั้นมีตัวกรองที่สามารถจำกัดการค้นหาได้อีกนอกจากภารกิจของชาวเมืองหรือภารกิจที่ผู้เล่นเป็นฝ่ายร้องขอเอาไว้ อย่างภารกิจระยะสั้น ภารกิจระยะยาวหรือจะเป็นภารกิจที่ต้องส่งข้ามเมือง



    เจนเงยหน้าไปถามว่านะทำภารกิจอย่างไหน เพื่อนหนุ่มของเธอตอบกลับมาโดยไม่เสียเวลาคิดเลยว่าเอาภารกิจจากชาวเมืองและเป็นภารกิจระยะยาว เหตุผลง่าย ๆ ว่าเป็นเพราะภารกิจที่ผู้เล่นร้องขอนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะโดนโกงค่าตอบแทนหรือแม้กระทั่งมีโอกาสที่จะโดนหลอกไปปล้นด้วย ส่วนสาเหตุที่เลือกภารกิจระยะยาวนั้นเพราะว่ามีความพิเศษกว่าภารกิจแบบอื่น ๆ เพราะเป็นภารกิจแบบรับค่าตอบแทนเป็นกลุ่ม ถ้าหากพวกเสือซ่อนลายจะมาเข้าร่วมกลุ่มหลังจากนี้หรือก่อนที่จะส่งภารกิจก็ยังได้ค่าตอบแทนเหมือนกัน แต่นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับชาวเมืองที่เป็นผู้ให้ภารกิจด้วยเช่นกันว่าจะจ่ายเป็นอะไร



    "เอาภารกิจนี้เป็นไง ภารกิจตามหาสร้อยไข่มุกในตำนาน" เจนหยิบเอาชื่อภารกิจหนึ่งขึ้นมา เธออ่านรายระเอียดของภารกิจแล้วรู้สึกน่าสนใจมากเพราะบางทีไข่มุกที่ตามหาอาจจะเป็นเครื่องประดับระดับสูงก็ได้ แต่จอมเวทหนุ่มก็พูดแย้งขึ้นมาทันควัน



    "ไม่เอา แค่ให้ไปหาของมันน่าเบื่อ แล้วอีกอย่างนะ ถ้าเธออยากจะได้สร้อยไข่มุกนั่นล่ะก็ลืมไปได้เลย พวกภารกิจตามหาของน่ะต้องส่งของที่หามาได้คืนตอนส่งภารกิจแถมค่าตอบแทนก็น้อยซะยิ่งกว่าน้อย เพราะแบบนั้นก็เลยไม่ค่อยมีใครรับภารกิจตามหาของแบบนี้ยังไงล่ะ" แม้จะรู้สึกขุ่นใจอยู่เล็กน้อยแต่เจนก็ยอมรับที่โจพูด บางทีภารกิจนี้อาจจะน่าเบื่ออย่างที่ว่าจริง ๆ



    "ถ้าอย่างงั้นลองไปล่าขนของพญาหงส์เพลิงเป็นยังไง" เจนเสนอภารกิจออกมาอีกเพราะดูจากวันที่แล้วเป็นภารกิจที่เก่าพอสมควร แถมภารกิจนี้ดูน่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยในสายตาของเธอ ทว่าสุดท้ายก็ยังไม่พอใจเหล่าชายหนุ่มอยู่ดี



    หลังจากโดนบอกปฏิเสธไปสองรอบหญิงสาวที่เริ่มจะมีน้ำโหขึ้นมา เธอเลื่อนลิสต์ภารกิจโดยใช้แรงมากกว่าปกติจนรายชื่อเลื่อนไปอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน ตอนนั้นเองที่สายตาของเจนสะดุดเข้ากับชื่อภารกินที่วิ่งผ่าน นิ้วบางจิ้มหยุดลงพร้อมกับจ้องเขม็งไปยังสามหนุ่มที่ตอนนี้เริ่มจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังมีอะไรไม่ชอบมาพากล



    "ภารกิจล่าราชาแห่งหนองน้ำ ตำแหน่งอยู่ที่บึงในป่าดึกดำบรรพ์...ตามแผนที่แล้วนี่มันอยู่ลึกเข้าไปจากที่พวกเราเคยไปจัดการซาลามานเดอร์ป่าอีกหน่อย และพวกนายอย่าคิดจะขัดเชียวนะ!!" เจนพูดเสียงดังเมื่อเห็นว่าโจทำท่าจะพูดอะไรออกมา จอมเวทหนุ่มทำท่าตกใจ ในมือของเขายังจัดตะเกียบเอาไว้แน่นพลางเลิกตามองไปยังเพื่อนสาวที่ใช้ดวงตาพิฆาตจ้องมองมาที่เขาจนรู้สึกหนาวไปทั้งตัว



    "พวกเราจะไปทำภารกิจนี้กันและพวกนายก็ไม่มีสิทธิ์เถียง พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะไปรับภารกิจแล้วจะออกเดินทางกัน!" เจนพูดเสียงเข้มแล้วซัดเนื้อย่างตรงหน้าของเธอเข้าไปรวดเดียวจากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปยังห้องของเธอ ปล่อยให้คนอื่น ๆ มองตามด้วยความตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น



    "ก...ก็แค่จะขอซอสเองอ่ะ" โจพูดเสียงค่อยพร้อมกับร่างที่สั่นไปทั้งตัว แม้จะเคยเจอดวงตาพิฆาตมาจนชินแล้วในโลกภายนอก แต่หลังจากไม่เจอมานานจนลืม พอมาเจอเข้ากับดวงตาพิฆาตที่ถูกเพิ่มพลังขึ้นกว่าแต่ก่อนซะอีก ทำเอาเขาถึงกับหมดเรี่ยวแรง



    ตรงกันข้ามกับไมโกะที่อ้าปากค้างเพราะว่าสิ่งที่เจนเพิ่งแสดงออกมานั้นมันทำให้เธอรู้สึกทึ่งและประทับใจมาก "เมื่อกี้มันทักษะจิตสังหารของอาชีพสายนักฆ่าระดับสูงนี่นา นี่เจนไปได้ทักษะนี้มาได้ยังไงกันนะ" แต่นั่นก็ยังคงได้แต่เก็บเอาไว้สงสัยต่อไปเพราะแม้แต่เธอเองก็ยังไม่กล้าจะไปคุยกับเจนในยามอารมณ์เดือดเช่นนี้เลย







    เช้าวันต่อมาหลังจากที่ทานอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเจนก็ตรงไปยังกระดานภารกิจที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพื่อรับภารกิจที่เธอหมายตาเอาไว้ หลังจากนั้นทุกคนก็พากันไปซื้อของที่จำเป็นออกจะเดินทางกลับไปยังป่าดึกดำบรรพ์ที่พวกเธอเคยใช้เป็นฐานที่มั่นอยู่นาน



    จากตรงนี้ พวกเจนเดินทางกลับไปที่จุดตั้งแค้มป์เก่าได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพราะรู้ทางกันแล้วแต่ถึงยังไงก็ใช้เวลาเดินทางไม่น้อยลงอยู่ดี ระหว่างการเดินทางนั้นเจนเจอกับผู้เล่นจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาทักทาย ตอนนี้เธอเป็นคนที่มีชื่อเสียงไปแล้วในเกมนี้จากชื่อเสียงของผู้กล้าในชุดขาวเดิม แต่หลังจากงานประลอง หน้าตาของเธอก็ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะชน กว่าจะไปถึงจุดที่พวกเธอเคยตั้งแค้มป์พักเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบเที่ยงแม้จะไม่มีมอนสเตอร์เข้ามาขวางทางเลยก็ตาม



    "เฮ่อ กว่าจะมาถึงนี่ได้ ถ้าไม่ติดพวกนั้นที่เอาจะอยากจะเข้ามาคุยด้วยล่ะก็คงมาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว" เจนพูดอย่างเหนื่อยใจ ไม่ใช่ว่าเธอไม่พอใจที่ตลอดทางมีคนเข้ามาทักทายไม่ขาด แต่ดวงตาของบางคนที่จ้องเธอนั้นมันทำให้เธอรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก บางคนถึงกับพยายามเดินตามมา ถ้าไม่ใช่พวกเขายังสู้กับซาลามานเดอร์ป่าไม่ได้ล่ะก็ตอนนี้ก็คงยังมีคนตามเธอมาอยู่แน่



    "ก็ตอนนี้เธอเป็นคนดังแล้วนี่นะ แบบนี้เรียกได้ว่าเป็นดาราของโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์เลยก็คงได้มั้งเนี่ย หรือว่าเธอเป็นพวกดังแล้วทำตัวหยิ่งหรือไงจ๊ะ" แจ็คพูดขึ้นระหว่างทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น เจนที่ได้ยินก็หันมาค้อนใส่ทันที



    "ไม่ใช่ซักหน่อย! ก็แค่...ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย เพื่อแค่จะคุยกับฉันเนี่ยนะ"



    "ก็ถ้าหากเป็นคนที่ชอบหรือคนที่ปลื้ม สำหรับบางคนจะให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้นแหละ อย่างเธอถ้าหากมีดาราดังเดินผ่าน เธอจะทำยังไงล่ะ" ไมโกะถาม คนถูกถามขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยังไหล่ทำนองว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำให้หญิงสาวนักฆ่ามองเพื่อนของเธออย่างงุนงงเพราะถ้าเป็นคนทั่วไปอย่างน้อยก็ต้องถ่ายรูปหรือเข้าไปรุมล้อมขอลายเซ็นแล้ว



    "คนอย่างเจนน่ะไม่เข้าใจเรื่องพรรณนั้นหรอก เมื่อก่อนเคยมีกองถ่ายมาถ่ายทำภาพยนตร์ในหมู่บ้าน ทายซิว่าใครขอดูหนังของคนที่มาถ่ายทำในหมู่บ้านแทนที่จะไปเจอตัวจริงที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงกิโล" โจบอกพลางเอามื้อเที่ยงออกมาทาน



    เนื่องจากต้องการทำเวลา ทุกคนจึงตกลงว่ามื้อนี้เป็นแค่ข้าวกล่องสำเร็จรูปจากร้านค้า เอาไว้มื้อเย็นค่อยลงมือทำอาหารจริง ๆ จัง ๆ หลังจากหาที่พักได้แล้ว เจนนำข้าวกล่องของเธอและของน้องสาวทั้งสองออกมา ฟีบีแม้จะมองดูข้าวกล่องของตัวเองสายตาละห้อยเพราะว่ามันน้อยกว่าหลายมื้อที่เคยทานมามากนักแต่ก็รับมาเพราะยังดีกว่าไม่ได้กินอะไร ส่วนเจนและคิทซึเนะนั้นไม่มีปัญหาอะไรกับขนาดของข้าวกล่องอยู่แล้ว ความจริงอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำเพราะนี่เป็นไซด์ใหญ่ที่สุดเท่าที่มีในร้าน



    หลังจากทานเสร็จแล้วพวกเจนก็เริ่มออกเดินทางต่อ ระหว่างทางเริ่มมีซาลามานเดอร์ป่าโผล่เข้ามาขวางทางเป็นระยะ แต่พวกเจนก็จัดการพวกมันมาได้อย่างไม่ยากเย็นนักแม้จะไม่มีตัวชนหลักอย่างเสือซ่อนลายหรือตัวเสริมอย่างยูสตาร์ เจนสามารถทำหน้าที่เป็นตัวชนได้อย่างดี ประสบการณ์การต่อสู้กับเจ้าพวกนี้มากกว่าสัปดาห์นั้นช่วยให้เธอมองเห็นจุดอ่อนของพวกมันและสามารถเดาการโจมตีได้หมด ครั้งนี่ยิ่งสู้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเพราะการที่ได้สู้กับผู้เล่นเก่ง ๆ ในการประลองช่วยให้เจนสามารถพลิกแพลงรูปแบบการต่อสู้ได้ดียิ่งขึ้น ตอนนี้แม้จะถูกซาลามานเดอร์ป่าถึงสามตัวรุม พวกมันก็ไม่สามารถแตะตัวเธอได้เลยแม้แต่นิดเดียว



    ทางไมโกะและซินจูที่เลื่อนระดับยศมาได้ก็แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของยศทหารและยศขุนนางได้เป็นอย่างดี นักฆ่าระดับขุนนางอย่างไมโกะนั้นเจนแทบมองไม่เห็นตัวเลยระหว่างการต่อสู้ จะเห็นก็ตอนที่เธอปรากฏตัวออกมาสังหารซาลามานเดอร์ป่าอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายตัวไป ส่วนซินจูนั้นก็ช่วยเสริมพลังให้คนอื่นได้อย่างต่อเนื่อง แถมยังใช้ทักษะใหม่ช่วยโจมตีซาลามานเดอร์ป่าอีกด้วย แม้จะไม่ได้รุนแรงเหมือนกับสายฟ้าของโจ แต่ก็สร้างความเสียหายให้กับซาลามานเดอร์ป่าไม่น้อยเลย



    หลังจากบุกตะลุยเข้ามาเรื่อย ๆ สภาพป่ารอบ ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นป่าหญ้าสูงขวางหน้าจนไม่มีทางเดินไปต่อ คิทซึเนะเสนอจะเผาป่าที่ขวางทางให้เรียบแต่เจนรีบห้ามเอาไว้ก่อนโดยที่ไม่ลืมห้ามมังกรน้อยที่ทำท่าจะใช้ดราก้อนบรีธด้วยอีกคน ถ้าหากเธอปล่อยให้ทั้งคู่ลงมือล่ะก็ไม่อยากนึกเลยว่าความเสียหายมันจะมากแค่ไหน



    เพื่อเป็นการแก้ปัญหา เจนตัดสินใจจะใช้ดาบคุซานางิถางหญ้าผ่านเข้าไป แม้ตอนที่เธอบอกความคิดนี้ออกไปจะได้ยินเสียงคำรามเบา ๆ ของยามาตะ โนะ โอโรจิ แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไร เจนก็พอจะเข้าใจที่พญาอสรพิษไม่พอใจอยู่ จะให้เอาดาบเทพเจ้าไปถางหญ้ามันออกจะเกินไปหน่อย แถมเป็นดาบที่เจ้าตัวสิงสถิตอยู่ด้วยแล้ว แต่ตอนนี้เจนไม่มีอาวุธอื่นที่จะใช้ ดังนั้นเธอจึงต้องใช้ดาบเล่มนี้จัดการเปิดทางอย่างช่วยไม่ได้



    หลังจากผ่านป่าหญ้าไปได้แล้ว พวกเจนก็มาถึงหนองน้ำขนาดใหญ่ตรงหน้า หนองน้ำนี้เป็นเพียงหนองน้ำตื้น ๆ เท่านั้น จากที่ใช้สายตาวัด จุดที่น่าจะลึกที่สุดคงเป็นใจกลางหนองน้ำ แต่ของจุดที่พวกเธอยืนอยู่ตรงนี้น้ำตื้นเพียงแค่ขาเท่านั้นเอง พื้นดินที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นเป็นดินที่เปียกชุ่มจนไม่สามารถตั้งแค้มป์ได้ ดังนั้นพวกเธอจึงออกเดินหาจุดที่น้ำขึ้นมาไม่ถึงเพื่อตั้งแค้มป์ก่อนที่จะมาคุยกันเรื่องภารกิจ



    แต่พวกเจนก็ต้องเสียเวลาอีกชั่วโมงเพื่อจะหาพื้นที่ในการตั้งแค้มป์ บริเวณหนองน้ำมีแต่จุดที่พื้นดินแฉะไปหมด ทำให้พวกเธอต้องเดินขึ้นเนินไปเพื่อที่จะตั้งที่พักในจุดที่มีพื้นแห้ง ซึ่งบนนั้นก็มีคนมาตั้งที่พักอยู่ก่อนแล้วจำนวนมาก พวกเธอไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องแบ่งสถานที่ตั้งแค้มป์ด้วยเพราะถ้าหากถอยออกไปไกลกว่านี้ก็คงต้องถอยไปหลังป่าหญ้าที่เพิ่งผ่านมาอย่างยากลำบาก



    เมื่อจุดตั้งแค้มป์ พวกเจนรีบกางเต็นท์และเตรียมก่อคบเพลิงสำหรับมื้อเย็น จากนั้นจึงมานั่งรวมกลุ่มกันและเตรียมพร้อมลงไปจัดการตัวอะไรก็ตามที่ภารกิจต้องการให้พวกเธอทำ



    "ว่าแต่พวกเราจะต้องจัดการตัวอะไรล่ะ" โจถามขึ้นพร้อมกับหันไปหาเจนผู้ที่เป็นคนเลือกภารกิจนี้



    "ไม่รู้เหมือนกัน ภารกิจบอกแค่จัดการราชาแห่งหนองน้ำ ไม่ได้บอกเอาไว้ว่าเป็นตัวอะไรหรือมีเลเวลมากแค่ไหนอ่ะ" เจนพูด โจได้ยินดังนั้นถึงกับต้องยกมือกุมขมับอย่างหนักใจ เขาไม่แปลกใจเลยว่าแค่ภารกิจจัดการมอนสเตอร์เช่นนี้ถึงเป็นภารกิจระยะยาวได้ ในเมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องจัดการตัวอะไรในพื้นที่ ๆ กว้างขนาดนี้ พวกเขาคงจะเสียเวลาหลายวันแน่ ๆ เพื่อที่จะทำภารกิจให้สำเร็จ ยังไม่รวมถึงต้องมาแย่งกับผู้เล่นกลุ่มอื่นอีก



    "ทีหลังจะเลือกภารกิจก็ช่วยศึกษาข้อมูลไว้หน่อยนะ หรือไม่ก็ช่วยเลือกภารกิจที่มีเป้าหมายชัดเจนก็ยังดี" โจบอกทำให้คนฟังหันมาค้อนใส่ทันที



    "ถ้าอย่างนั้นทีหลังนายก็เป็นคนเลือกเองสิ!" เจนพูดขึ้นเสียงแล้วลุกขึ้นเดินหนีออกมาทันทีโดยมีสองสาวคิทซึเนะและฟีบีตามมาด้วย



    "พี่เจน เป็นอะไรหรอเปล่าคะ พี่โกรธพี่โจหรือคะ" จิ้งจอกสาวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เธอไม่อยากให้พี่สาวของเธอทะเลาะกับโจนัก เพราะเวลาทั้งสองคนทะเลาะกันต่างคนก็ต่างทุกข์ทรมานด้วยกันทั้งคู่ ที่เธอเดินตามมานี่ก็หวังที่จะมาช่วยกล่อมให้เจนอารมณ์เย็นลง



    "เปล่า ฉันไม่ได้โกรธหมอนั่นหรอก มันค่อนข้างซับซ้อนน่ะ" น้ำเสียงของเจนละห้อย เธอไม่ได้รู้สึกโมโหหรือโกรธเพื่อนของเธอเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอโกรธตัวเองต่างหากที่เป็นคนรับภารกิจนี้มาแท้ ๆ กลับไม่ได้หาข้อมูลมาให้ดีซะก่อน แม้กระทั่งเป้าหมายก็ยังไม่รู้อย่างแน่ชัด ปกติแล้วเวลาเจนทำภารกิจก็แค่รับ ๆ มาแล้วก็ไปทำ ไม่ได้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากที่รายระเอียดของภารกิจให้เอาไว้เลย



    ครั้งนี้รู้สึกผิดหวังกับตัวเองที่ไม่ทันคิดว่าจะต้องเตรียมข้อมูลเตรียมพร้อมเอาไว้ แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอเป็นคนรับภารกิจแบบกลุ่มหรือไม่เคยหาข้อมูลภารกิจแต่นั้นก็ไม่ใช่ข้ออ้าง ถ้าหากเธออ่านรายระเอียดของภารกิจดี ๆ ล่ะก็คงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของภารกิจนี้แล้วบอกให้คนอื่นช่วยล่ะก็ ปัญหานี้คงจะไม่เกิดขึ้น



    "พี่เจนอายที่ทำพลาดหรือคะ" ฟีบีเอ่ยขึ้นเสียงใสแต่มันช่างแทงใจเหลือเกิน หญิงสาวได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ เป็นคำตอบ



    ตอนนั้นเองที่เจนได้ยินเสียงคนจำนวนมากดังมาจากด้านหน้า เมื่อหันไปมองตามก็พบว่ามีคนหลายกลุ่มกำลังเดินทางเข้าไปบริเวณหนองน้ำตื้น ดูท่าทางกำลังมีเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ถ้าหากกลุ่มของเธอพลาดล่ะก็คงน่าเสียดายแย่



    "ดูท่าทางคนพวกนี้กำลังจะเตรียมพร้อมสู้กับตัวอะไรบางอย่างนะ”



    “จะใช่ราชาแห่งหนองน้ำหรือเปล่าคะ” คิทซึเนะถามขึ้นด้วยความสงสัย



    “อาจจะเป็นได้นะ... รีบไปตามทุกคนมาที่นี่เร็วเข้าคิทซึเนะ" เจนหันไปบอกกับจิ้งจอกสาว เธอพยักหน้ารับคำแล้วรีบวิ่งกลับไปหาพวกโจทันที



    เจนหันกลับมามองดูกลุ่มคนตรงหน้า เมื่อพิจารณาดี ๆ ก็พบว่าทุก ๆ คนนั้นต่างมีอาวุธครบมือ เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ทุกเมื่อ แถมแต่ละคนดูท่าทางเก่งกาจ ทุกคนคงจะมียศขุนนางเป็นอย่างน้อยแน่นอน อาวุธกับชุดที่สวมใส่ก็ดูแข็งแกร่งและทรงพลังไม่ใช่น้อย บางกลุ่มเจนก็รู้ได้ทันทีว่ามาจากกิลด์เดียวกันเพราะสวมชุดสีเดียวกันคล้ายกับเครื่องแบบ ถ้าหากอะไรบางอย่างที่รวบรวมคนได้จำนวนมากขนาดนี้ จะต้องเป็นมอนสเตอร์ระดับบอสอย่างไม่ต้องสงสัย และนั่นก็อาจจะเป็นราชาแห่งหนองน้ำที่เจนกำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้



    ไม่นานนักพวกโจก็เข้ามาสมทบ แต่พวกเขายังไม่ตัดสินใจเข้าไปที่ใจกลางหนองน้ำเพราะว่าจำนวนคนมีน้อยกว่ามาก จากที่นับดู กลุ่มที่อยู่ในหนองน้ำนั้นมีคนอยู่เกือบสามสิบคนต่อหนึ่งกลุ่มเป็นอย่างน้อย ทำให้กลุ่มที่มีคนน้อยกว่าไม่กล้าเข้าไปแย่งทำเลในหนองน้ำ เจนมองเห็นผู้เล่นกลุ่มอื่น ๆ อีกมากมายที่กำลังซุ่มดูอยู่ใกล้ ๆ เช่นเดียวกันกับพวกเธอ



    "เฮ้ ฉันไปดูในกระดานข่าวแล้ว ดูท่าทางวันนี้จะมีคนมาล่ามอนสเตอร์บอสกันที่ป่าดึกดำบรรพ์นะ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตัวอะไรเหมือนกัน ตามที่ข่าวเขียนเอาไว้ว่ามีผู้เล่นไปเจอเข้ากับมอนสเตอร์บอส...หลายตัว" หนูส่งข่าวอ่านตามที่เขียนเอาไว้บนหน้าต่างแสงข้างหน้าตน คนอื่น ๆ ที่ได้ยินก็หันไปมองด้วยความแปลกใจ



    "หลายตัวงั้นหรือ แปลว่าที่นี่มีมอนสเตอร์ระดับบอสมากกว่าหนึ่งตัวงั้นหรือ" ไมโกะถาม



    "คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ แต่อย่าเพิ่งมั่นใจอะไรมากเลยดีกว่า ไม่เคยมีมอนสเตอร์บอสเคยรวมตัวกันมาก่อน บางทีฉันว่าไอ้คนบอกข่าวคงจะมั่วไปเองมากกว่า" ชายหนุ่มตอบคำ แต่จอมเวทหนุ่มที่สังเกตการณ์อยู่นั้นกลับไม่คิดเช่นนั้น



    "นายแน่ใจหรือไอ้หนู ถ้าหากนี่เป็นข่าวลวงจริง ทำไมฉันถึงเห็นพวกกิลด์วิหคเทเวศกำลังเตรียมพร้อมลุยอยู่นั่นล่ะ" โจว่าแล้วชี้ไปยังกลุ่มผู้เล่นในชุดสีชมพูอ่อนและสีฟ้าจำนวนกว่าครึ่งร้อย



    "หา! กิลด์สาวงามงั้นหรือ!?" หนูส่งข่าวอุทานขึ้นมาแล้วหันไปมองตามนิ้วของเพื่อน ทำให้คนอื่น ๆ เองก็ต้องหันไปมองตามด้วยความอยากรู้อยากเห็น



    กลุ่มผู้เล่นที่โจชี้ไปนั้นมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น สีของเครื่องแบบที่กิลด์นี้ใส่นั้นมีแบบแผนที่เจนมองออกแทบจะทันที คนที่ใส่ชุดสีฟ้านั้นจะเป็นอาชีพสายบู้และสายโจมตีระยะไกล แค่คนที่ใส่ชุดสีชมพูอ่อนนั้นจะเป็นสายเวทมนตร์รวมถึงสายสนับสนุน



    "มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้นเลย ทำไมกิลด์นี้ถึงไม่มีผู้ชายเลยล่ะ” เจนถามขึ้นและโจก็หันมาให้เป็นคำตอบ



    "ก็เพราะกิลด์วิหคเทเวศเป็นกิลด์ที่มีแต่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ถึงจะมีแค่ผู้หญิงแต่ก็ดูถูกไม่ได้เพราะกิลด์นี้มีอำนาจสูงเป็นอันดับที่สามของเกม แถมยังมีปราการอยู่ถึงสองปราการประจำอยู่ในแต่ละทวีปด้วย"



    "แต่ฉันได้ข่าวมาว่ากิลด์นี้ไม่ได้มีแค่หญิงแท้นะ มีหญิงเทียมมาอยู่ก็เยอะเหมือนกัน เห็นว่าต่อให้กายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิงก็จะไม่ปฏิเสธ" หนูส่งข่าวบอก เจนที่ได้ยินก็ถึงกลับรู้สึกน้ำลายเหนียวขึ้นมาทันทีเมื่อคำพูดของเขาชวนให้นึกถึงตัวเธอเองซะอย่างนั้น



    "งั้นก็น่าลุ้นแล้วล่ะ กิลด์ใหญ่ขนาดนั้นมาอยู่นี่ด้วย แสดงว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่" ไมโกะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เธอแทบอดทนรอที่จะเข้าไปยังหนองน้ำไม่ไหวแล้ว



    เมื่อเวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง เจนก็เห็นแต่ละกิลด์เริ่มที่จะจัดขบวนสู้รบ อย่างที่คาดเอาไว้ กิลด์วิหคเทเวศนั้นสามารถจัดขบวนรบได้ไวที่สุด เพียงใช้เวลาไม่กี่นาที กองทัพนักรบหญิงก็เตรียมพร้อมที่จะสู้กับตัวอะไรก็ตามที่กำลังโผล่ออกมา แถวหลังนั้นเป็นจอมเวทในชุดอลังการกำลังร่ายเวทเตรียมพร้อมขณะที่จอมเวทขาวร่ายเวทเสริมพลังให้กองทัพ ส่วนแถวหลังสุดเป็นพลธนูที่กำลังรอคอยคำสั่งจากผู้นำทัพที่อยู่บนเนินสูงใกล้ ๆ กัน



    "นั่นซึบากิ รองหัวหน้ากิลด์ของกิลด์วิหคเทเวศ ขนาดถึงกับส่งคนระดับนี้ออกมาแสดงว่าต้องมีเรื่องใหญ่แน่" โจพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างเก็บเอาไว้ไม่อยู่ แม้จะไม่แสดงออกมาทางสีหน้าแต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องที่จะได้เจอกับมอนสเตอร์บอสนั้นเป็นเรื่องที่ชวนตื่นเต้นไม่น้อย แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจะเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์บอสก็ตาม



    ทันใดนั้นเองที่ใจกลางหนองน้ำก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น ผืนน้ำที่เคยสงบกระเพื่อมไหวเป็นระรอก ผู้เล่นมี่อยู่ในหนองน้ำเตรียมพร้อมรบ ขณะที่พวกเจนและผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบนอกก็เตรียมพร้อมจะเข้าไปลุยด้วย มาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีทางที่เจนจะยอมอยู่เฉย ๆ แน่ ทว่าหลังจากรอดูอยู่พักหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏตัวอยู่เหนือน้ำกับเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่มีผิวสีเขียวดูคุ้นตา เจนจำได้ว่าเธอเคยกินไอ้เจ้าตัวนี้ตอนนอกเกมอยู่ครั้งสองครั้งด้วยซ้ำไป



    "นั่นมัน...กบใช่มั้ยน่ะ" แจ็คลากเสียงพลางรี่ตามองให้ชัด ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อว่านั่นเป็นเจ้าตัวที่เขาคิดเอาไว้จริง ๆ เจนเองก็รู้สึกผิดหวังไม่น้อยเช่นกันกับที่อุตส่าห์จิตนาการเอาไว้ สุดท้ายก็แค่กบธรรมดาที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ



    ทว่าก่อนที่ใครจะได้สงสัยอะไร กบที่ใจกลางหนองน้ำก็เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นยี่สิบและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ และยิ่งโผล่ขึ้นมา ขนาดของเจ้ากบก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้เจนมองเห็นกบตัวสีเขียวขนาดเท่ากับสุนัขนับร้อยตัวโผล่ขึ้นมาแล้ว



    ยังไม่ทันที่เหล่าผู้เล่นจะหาทางทำอะไรกับกองทัพกบจำนวนมหาศาลนี้ได้ กบสีแดงสดขนาดใหญ่กว่าสี่เมตรก็โผล่ขึ้นมาจากหนองน้ำ และมันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่มีถึงสิบตัว!



    กบดึกดำบรรพ์[บอส] ยศขุนนาง ระดับ20

    กบที่มีอายุนับล้าน ๆ ปี อยู่มาตั้งแต่สมัยที่โลกเพิ่งสร้างขึ้นมา เมื่อก่อนมันไม่ใช่ผู้ถูกล่า แต่เป็นผู้ล่าเช่นเดียวกับไดโนเสาร์กินเนื้อ ระวังพิษร้ายแรงและลิ้นของมันให้ดี

    แพ้ธาตุสายฟ้า พลังป้องกันธาตุน้ำ ดิน ไฟ สูง หากอยู่ในน้ำพลังจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่หากอยู่บนพื้นดินพลังจะลดลงอีกเท่าตัว



    "โอ้แม่เจ้า!! มอนสเตอร์บอสระดับขุนนางสิบตัว! ไม่ได้โกหกจริง ๆ ด้วย!" หนูส่งข่าวตะโกนเสียงดัง ขณะที่เจนเองก็ชักดาบขึ้นมาเตรียมพร้อมเข้าสู้ แม้ว่าผู้เล่นที่อยู่ในหนองน้ำจะมีอยู่หลายสิบกลุ่มและมีจำนวนคนรวมกันก็มากกว่าสองร้อยคนแล้ว แต่ทว่ามอนสเตอร์บอสกว่าสิบตัวและเจ้ากบที่เป็นลูกน้องอีกนับพันตัวนั้นก็ใช่ว่าจะทำให้พวกเขาได้เปรียบ ผู้เล่นที่อยู่รอบนอกเผยรอยยิ้มระรื่น งานนี้พวกเขามาไม่เสียเที่ยวแน่



    ผู้เล่นในหนองน้ำเองก็รู้ตัวดีกว่าตอนนี้การยืนปักหลักไปก็เปล่าประโยชน์ พวกเขาบรรเลงเวทและทักษะต่าง ๆ ใส่ทัพกบอย่างไม่ปราณีขณะที่ค่อย ๆ ถอยกลับไปบนบก จะให้สู้ในถิ่นที่พวกกบเหล่านี้ได้เปรียบไม่ใช่แผนที่ดีอย่างแน่นอน ทว่าเมื่อมองไปยังกิลด์ที่เจนคาดหวังว่าจะเป็นกิลด์ที่จะจัดการพวกกบเหล่านี้ได้มากที่สุดอย่างกิลด์วิหคเทเวศ ทุกคนที่หันไปมองต่างก็ต้องผิดหวังไปตาม ๆ กันเมื่อเสียงกรี๊ดดังลั่นมาจากด้านหน้า



    เหล่านักรบหญิงเมื่อเห็นว่าศัตรูตรงหน้าเป็นกบต่างก็ร้องกรี๊ดอย่างไม่อายใครและวิ่งหนีขึ้นบกทันที ขบวนทัพที่เคยแข็งแกร่งกลับมีช่องโหว่ขนาดใหญ่ในพริบตา ในฐานะแม่ทัพ ซึบากิพยายามจะเรียกให้ทุกคนกลับมาเข้าประจำที่แต่ก็ไร้ผล ยังไงก็ตามผู้หญิงส่วนมากต่างก็แพ้ให้กับเจ้าตัวที่มีผิวใสเยิ้มชวนสะอิดสะเอียดนี้อยู่แล้ว ขนาดตัวเธอเองก็ยังขนลุกซู่ไปทั่วตัว สุดท้ายเมื่อหมดทางเลือกเธอจึงจำต้องประกาศถอยทัพและไปรวมพลที่ยังเหลืออยู่บนบก



    "ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ดูนั่นสิ กรี๊ดอย่างกับเป็นเด็กมหาลัยเลย!" แจ็คหัวเราะลั่นอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ต่างจากซินจูและไมโกะที่มีสีหน้าพะอืดพะอมไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้



    "อี๋ พี่เจน งานนี้หนูขอผ่านนะคะ เดียวหนูจะไปรอที่แค้มป์" ซินจูพูด



    "ฉันด้วยคน ถ้าให้สู้กับตัวโหดแค่ไหนก็ได้แต่เจ้าตัวนี้อยู่ยั้วเยี้ยฉันไม่ไหวเหมือนกัน" ไมโกะว่าแล้วเดินกลับไปยังพี่พักพร้อมกับซินจู เจนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสาวแกร่งอย่างไมโกะก็มีสิ่งที่เกลียดที่กลัวกับเขาเหมือนกัน



    เมื่อสองสาวจากไปแล้วสามหนุ่มก็หันมามองเจนเป็นสายตาเดียว และเธอก็รู้ว่านั่นหมายความว่ายังไง "มามองอะไรกันเล่า กะอีแค่กบฉันไม่กลัวหรอก เคยกินมาด้วยซ้ำ"



    "แล้วถ้าอย่างนั้นพวกเราจะเอายังไงดีล่ะ คิดว่าหนึ่งในสิบตัวนั่นเป็นราชาแห่งหนอกน้ำหรือเปล่า" แจ็คถามพลางยกปืนพกขึ้นเตรียมพร้อม เจนที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้นที่มุมปากแล้วควงดาบหนึ่งรอบก่อนที่จะหันไปมองทัพกบที่จะกลายเป็นกองเนื้อสับในไม่ช้า



    "ไหน ๆ พวกมันก็โผล่มาเยอะขนาดนี้ ลงมือให้เต็มที่ไปเลยก็แล้วกัน"







    เมื่อผู้เล่นที่อยู่ในหนองน้ำเริ่มถอย ผู้เล่นรอบ ๆ ที่เตรียมพร้อมเอาไว้ก็เริ่มลงมืออย่างไม่เกรงใจทันที เวทนับสิบ ๆ บทถูกร่ายและพุ่งเข้าโจมตีทัพกบจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นจำนวนก็ดูไม่ได้จะลดลงเลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะจำนวนของกบนั้นมีอยู่มหาศาลเกินไป ทำให้เวทของผู้เล่นแทบจะไม่มีผลเลย ตรงกันข้าม ผู้เล่นที่เป็นสายโจมตีระยะประชิดนั้นสามารถจัดการกับพวกกบได้ดีกว่าเยอะ ยิ่งเป็นคนที่ใช้อาวุธขนาดใหญ่อย่างดาบหรือค้อนแล้วยิ่งได้เปรียบ เพราะจำนวนมากทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องเล็งเป้า แค่ฟาดเข้าไปเต็มแรงก็ทำให้กบตายไปนับสิบตัว



    กลุ่มที่รับบทหนังก็คือจอมเวทขาวที่ต้องคอยรักษาอาการติดพิษของเหล่าผู้เล่นระยะประชิด แม้กบตัวเล็ก ๆ จะทำอันอันตรายอะไรไม่ได้ แต่เลือดของมันก็มีพิษร้ายเกือบถึงตาย ทำให้ผู้เล่นที่เข้าประชิดตัวสู้ได้ไม่นานก็ต้องถอยออกมาพักรักษาตัวกันจนแทบไม่ทัน ทำให้ต่อให้ผู้เล่นรวมตัวช่วยกันแต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย



    ตอนนั้นเองอีกด้านของหนองน้ำก็มีแสงสีฟ้าส่องสว่างขึ้นมาและลำแสงก็พุ่งตัดระหว่างกลุ่มผู้เล่นและกองทัพกบ เผาผลาญกบไปเป็นจำนวนมากจนจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้เล่นที่ได้โอกาสพักต่างก็หันไปมองดูว่าเป็นฝีมือใคร และพวกเขาก็พบว่าในจุดที่ลำแสงพุ่งมานั้นมีเด็กหญิงผมสีฟ้ายาวสลวยคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ด้านข้างของเธอเป็นคนที่ทุกคนรู้จักกันดี ผู้กล้าที่อยู่ในเสื้อคลุมสีขาวโบกสะบัดไปมาจากแรงระเบิดเมื่อครู่



    "ทำได้ดีมากจ๊ะ ฟีบี ต่อจากนี้ก็ไปคอยช่วยพี่แจ็คเขานะ" เจนพูดและลูบหัวของมังกรน้อยอย่างเอ็นดู ฟีบียิ้มออกมาอย่างดีใจและส่งเสียงรับคำ



    "ค่ะ พี่เจน!" ใครจะไปเชื่อว่าเด็กตัวเล็กแค่นี้ความจริงแล้วเป็นมังกรที่เป็นเจ้าของลำแสงดราก้อนบรีธเมื่อครู่ ตอนนี้ทุกคนต่างเชื่อว่าเป็นฝีมือของเจนทั้งสิ้น คงมีแต่พวกเจนที่รู้ความจริงในเรื่องนี้



    "เอาล่ะ ฉันกับแจ็คจะคอยเสริมให้ตรงนี้เอง ส่วนเธอกับคิทซึเนะก็จัดการตามใจชอบแต่พยายามอย่าเข้าประชิดตัวนะ แล้วนายนะไอ้หนู พยายามเก็บของดี ๆ ให้ได้ละกัน" โจแจกแจงหน้าที่แล้วกระแสไฟฟ้าก็ระเบิดออกมาจากร่างราวกับเป็นหม้อแปลงไฟฟ้าที่เก็บพลังเอาไว้เต็มที่



    "รับทราบ!" ทุกคนรับคำแล้วจึงออกกระจายทำตามหน้าที่ของตนทันที



    เจนวิ่งเข้าใส่กบดึกดำบรรพ์ตัวที่เข้าใกล้เธอก่อนเป็นอย่างแรก ปล่อยให้กบตัวเล็กตัวน้อยเป็นหน้าที่ของคนอื่นจัดการ พอเข้าใกล้กบดึกดำบรรพ์เธอก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวของเธอเบาขึ้นอย่างน่าแปลกใจ เรี่ยวแรงที่จู่ ๆ ก็เพิ่มขึ้นอย่างไร้ที่มา ก่อนที่เจนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวของเธอ กบดึกดำบรรพ์ตรงหน้าเธอก็กระโดดเข้าใส่เธอทันที



    แม้การกระโดดกระแทกเป็นการโจมตีแบบทื่อ ๆ และสร้างความเสียหายไม่ได้มาก แต่ด้วยขนาดและน้ำหนักของกบดึกดำบรรพ์แล้วเจนมั่นใจว่านี่เป็นการโจมตีขนาดถึงตายได้เลย ร่างกายเคลื่อนไหวไวเท่าความคิด เจนพุ่งตัวหลบไปด้านหลังอย่างรวดเร็วแต่ทว่ามันเร็วกว่าที่เจนคาดการณ์เอาไว้มากจนทำให้เธอเกือบจะหงายหลัง ตอนนั้นเองที่เธอนึกขึ้นได้ว่ามีทักษะหนึ่งที่จะส่งผลต่อเมื่อเธอเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ระดับบอสอยู่



    พลังของผู้ที่ถูกเลือก ระดับ S ทักษะติดตัว

    เพิ่มสถานะพื้นฐานทั้งหมดและลดการใช้พลังเวทย์มนตร์ของทุกทักษะลง 50% เมื่อเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ระดับบอส มินิบอสหรือผู้เล่นและมอนสเตอร์ที่มียศราชาและเทพเจ้า

    เจนแอบยิ้มให้กับตัวเองและเงยหน้ามองกบดึกดำบรรพ์ที่ดูจ้องมองเธอกลับมาอย่างไร้อารมณ์ มันก้มตัวลงเตรียมพร้อมที่จะกระโดดเข้าใส่เธออีกครั้งแค่ครั้งนี้เธอจะไม่เป็นฝ่ายรับอีกต่อไปแล้ว



    ร่างขนาดใหญ่พุ่งขึ้นสูงหมายจะทับร่างของหญิงสาวให้จมดิน แต่ทว่าขณะเดียวกันนั้นเจนก็กระโดดสวนขึ้นไปหากบดึกดำบรรพ์ด้วยเช่นกัน เธอวาดดาบไปด้านหน้าและฟาดเข้าใส่หัวของมันเข้าอย่างแม่นยำ



    ตูม!!!



    ดาบผ่าเข้าผิวหนังของกบดึกดำบรรพ์ไปอย่างง่ายดาย แรงกระแทกยังส่งร่างขนาดใหญ่ของมันกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรงอีกด้วย เมื่อเจนลงสู่พื้นก็พบว่ากบดึกดำบรรพ์ตัวนั้นยังไม่ตาย มันค่อย ๆ ดันร่างของตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลยแม้ว่าเลือดสีเขียวจะไหลออกจากบาดแผลไม่หยุด สมกับเป็นมอนสเตอร์ระดับบอสที่มีระดับความอึดสูงกว่ามอนสเตอร์ธรรมดามาก



    เมื่อเห็นว่าเป้าหมายของตนยังไม่สิ้นฤทธิ์ เจนก็คิดจะเข้าไปจัดการให้สิ้นซาก แต่ก่อนที่จะได้เข้าไปขาของเธอก็ถูกพันด้วยลิ้นที่เคลือบด้วยน้ำลายเหนียวเหนอะ ก่อนที่จะได้ทำอะไรเธอก็ถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนฟ้าอย่างแรง ความรู้สึกของเธอเหมือนกับกำลังอยู่บนรถไฟเหาะตีลังกาที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงโดยมีเชือกผูกเอาไว้ที่ขาเท่านั้น เธอพยายามดิ้นให้หลุดออกแต่ต่อให้เธอเพิ่มพลังจากทักษะก็ตามแต่ก็ยังคงไม่ใกล้เคียงกับเจ้ากบดึกดำบรรพ์ตัวนี้แน่



    เมื่อเห็นว่าใช้แรงเข้าสู้ไม่ได้ผลเธอจึงใช้แรงของเจ้ากบช่วยเหวี่ยงตัวเองและใช้ดาบตัดลิ้นของมันออกจากขาของเธอ ดาบคุซานางิผ่าเนื้อเหนียว ๆ อย่างง่ายดายราวกับใช้มีดผ่าเนย ร่างของเจนหลุดจากแรงเหวี่ยงลอยขึ้นไปบนฟ้า เมื่อมองลงมาก็พบว่ามีกบดึกดำบรรพ์อีกตัวที่ใช้ลิ้นเหวี่ยงเธอขึ้นมาบนนี้ เธอเห็นมันส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสเพราะเมื่อโดนตัดอวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกไป ความเจ็บปวดที่ได้นั้นก็ยิ่งรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่านัก



    ตอนนี้เธออยู่เหนือร่างของกบดึกดำบรรพ์ที่ถูกตัดลิ้นพอดี ตอนนี้เป็นโอกาสที่เธอจะเล่นงานมันได้โทษฐานที่มาลอบกัด ดาบยาวถูกง้างไปด้านหลัง แขนเรียวเกร็งเตรียมที่จะตวัดดาบไปด้านหน้า



    ผ่ามิติ!



    ตูม!!!



    คลื่นดาบพุ่งเข้าปะทะร่างของกบดึกดำบรรพ์อย่างรุนแรง แถมยังจัดการกบตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ไปซะสิ้น เมื่อไอน้ำจากการระเบิดจากลงก็พบว่าเจ้ากบนั่นแค่บาดเจ็บเท่านั้นเอง ยังสามารถลุกขึ้นมาสู้ต่อได้อีก ทำให้เจนเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแม้ว่าเมื่อก่อนเธออยากจะเจอเจ้าตัวที่ทนมือทนเท้าซักหน่อยก็ตาม



    "บ้าจริง ทำไมไอ้เจ้าพวกนี้มันถึงอึดแบบนี้ล่ะ" เจนพูดผ่านช่องสื่อสารกลุ่มขณะที่เธอลงสู่พื้นน้ำใกล้ ๆ กับกบลิ้นด้วน แต่ในขณะเดียวนั้นเองเธอก็ต้องระวังกบดึกดำบรรพ์ตัวอื่นด้วย โดยเฉพาะเจ้าตัวที่เจนฝากแผลไว้ในตอนแรก มันต้องกำลังจ้องเล่นงานเธออยู่อย่างแน่นอน



    "นี่มันมอนสเตอร์ระดับบอสนะ ถ้ามันตายง่าย ๆ มันจะใช่บอสมั้ยล่ะ! เอานี่ไปกิน!!" โจตะโกนตอบพร้อมกับสาดสายฟ้าขนาดใหญ่ย่างสดทัพกบจนกลิ่นไหม้คละคุ้งไปทั่ว ในขณะเดียวกัน คิทซึเนะก็ใช้ลูกไฟพุ่งเข้าเผาร่างของพวกกบแม้จะไม่ได้ผลเท่ากับสายฟ้าแต่บอลเพลิงของเธอนั้นเป็นธาตุไฟระดับสูง ใช้บอลเพียงไม่กี่ลูกก็สามารถจัดการกบขนาดใหญ่ได้อย่างสบาย ๆ แต่ถ้าจะให้สู้กับกบดึกดำบรรพ์ตอนนี้จิ้งจอกสาวก็ต้องวัดใจดูว่าพลังป้องกันของมันกับบอลเพลิงของเธอ ฝ่ายไหนจะแน่กว่ากัน



    คนอื่น ๆ นั้นไม่ได้ลงมืออะไรมากมาย แจ็คนั้นใช้ปืนได้แค่กระบอกเดียวเพราะว่าปืนอีกกระบอกเป็นธาตุไฟ ยิงไปก็ไม่ระคายผิวของกบพวกนี้ ส่วนฟีบีนั้นก็ยังใช้ดราก้อนบรีธติดต่อกันไม่ได้ในร่างนี้ เป็นเพราะเจนยังไม่อยากให้ความลับของมังกรน้องแพร่งพรายทำให้เธอใช้ได้พลังโล่ช่วยคุ้มกันแจ็คจากการโจมตีของกบทั้งหลาย สุดท้ายก็คือหนูส่งข่าวที่รอดูอยู่ด้านนอกที่ยังไม่คิดจะเอาตัวเองไปเสี่ยงกับเลือดพิษของเจ้ากบนับพัน



    ขณะเดียวกันนั้นเองที่ผู้เล่นคนอื่น ๆ เริ่มเข้ามาจัดการกับกองทัพกบบ้าง ซึบากินำทัพกิลด์วิหคเทเวศที่ลดขนาดลงอย่างน่าใจหายกลับมาจัดการกับกบดึกดำบรรพ์ แม้ว่าเธอจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าซักวันจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้แต่ไม่คิดว่าจะถึงกับขนาดที่เธอเอาไม่อยู่ นับว่าหนนี้เธอพลาดไปแล้วจริง ๆ เพราะไม่รู้มาก่อนว่าจะต้องมาเจอกองทัพกบจำนวนมหาศาลขนาดนี้ พอเธอกลับมาจุดที่เธอเคยตั้งทัพเอาไว้ก็พบว่าถูกผู้เล่นจำนวนมากมาแย่งที่ซะแล้ว จากสีหน้าของพวกเขาในตอนนี้คงจะไม่ยอมยกทีคืนให้พวกเธอดี ๆ แน่



    ทันใดนั้นเองซึบากิก็เหลือบไปเห็นร่างในชุดขาวกำลังเข้าต่อสู้กับกบดึกดำบรรพ์ตัวต่อตัวได้อย่างสูสี ตอนแรกเธอคิดว่านั่นเป็นแค่พวกที่ชอบแต่งตัวเลียนแบบ แต่คนที่สามารถสู้กับมอนสเตอร์บอสได้เช่นนี้ไม่ได้มีอยู่เยอะนักทำให้เธอแน่ใจว่าต้องเป็นตัวจริงอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจรีบนำทัพเข้าไปหาทันที



    เมื่อเข้ามาใกล้ก็พบว่าบริเวณนี้มีกองทัพกบอยู่น้อยกว่าส่วนอื่น ๆ ที่พวกผู้เล่นกำลังเข้าไปจัดการกันอยู่จนแทบไม่เหลืออยู่แล้ว แถมจุดนี้ยังมีกบดึกดำบรรพ์อยู่ถึงสองตัวแต่จากที่มองแล้วกลับมีสถานการณ์ดีกว่าจุดอื่น ๆ ซะอีก ซึบากิมองดูผู้กล้าในชุดขาวเข้าสู้กับกบดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งที่บาดเจ็บหนักจนคลั่ง พุ่งเข้าใส่จนไม่สนร่างกายของตัวเองว่าบาดเจ็บแค่ไหน แต่ผู้กล้าก็เคลื่อนตัวหลบได้อย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เพียงแค่รอจนเจ้ากบตัวนี้หมดแรงเท่านั้นก็สามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย



    อีกด้านดูท่าจะเป็นพรรคพวกของผู้กล้าในชุดขาวที่มีกันเพียงแค่สี่คน แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อีกด้วย ซึกบากิมองดูสาวงามในชุดยูกาตะเข้าสู้กับกบดึกดำบรรพ์ที่มีบาดแผลและรอยไหม้ไปทั้งตัว มันพยายามจะโจมตีใส่หญิงสาวคนนั้นทั้งกระโดดใส่หรือใช้ลิ้นกับตัวเอาไว้ แต่กลับไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าใกล้ได้เลยแม้แต่น้อยเพราะลูกไฟสีฟ้าคอยป้องกันเอาไว้อยู่ ขนาดกบพวกนี้มีพลังป้องกันธาตุไฟสูงแต่เมื่อเจอกับลูกเพลิงจำนวนมากก็ไร้ประโยชน์ไปทันที นอกจากนั้นมันยังเจอเข้ากับสายฟ้าขนาดใหญ่โจมตีใส่อย่างต่อเนื่องอีกต่างหาก ซึบากิรู้สึกทึ่งกับหญิงสาวผู้ใช้เพลิงอย่างเก่งกาจและจอมเวทหนุ่มผู้ใช้สายฟ้าอย่างทรงพลังไม่น้อย ผู้เล่นที่ใช้เวทสายฟ้าเป็นหลักนั้นมีอยู่เยอะ แต่ไม่มีใครที่ใช้เวทได้ทรงพลังเท่ากับชายคนนี้เลย



    ไกลออกไปหน่อยเธอเห็นชายร่างใหญ่กำลังใช้ปืนคอยยิงสนับสนุนและเด็กหญิงยืนอยู่ข้าง ๆ แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจว่าเด็กคนนั้นจะมาทำไมแต่ซึบากิก็คาดการณ์เอาไว้ว่าเธอจะต้องมีฝีมือไม่น้อยเช่นกัน



    "เจน นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ!" เสียงตะโกนของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อมองตามไปซึบากิก็พบว่ากลุ่มของผู้กล้าในชุดขาวไม่ได้มีแค่นี้ ยังมีผู้หญิงอีกสองคนกำลังวิ่งเข้ามาสู่สนามรบ ดูท่าทางทั้งคู่จะเป็นพวกที่เกลียดและกลัวกบอย่างที่พวกลูกกิลด์ของเธอที่หนีกลับที่พักไปเช่นกัน แต่พอเสียงของการต่อสู้ดังขึ้นทั้งสองเอาชนะความกลัวของตนเองได้และกลับมาช่วยเพื่อนของพวกเธอ



    "มาก็ดีแล้ว! ไมโกะไปช่วยเจน พวกเราจัดการเจ้าตัวนี้เอง ซินจูช่วยเสริมพลังทุกคนด้วย" คนที่ตอบไม่ใช่ผู้กล้าในชุดขาว แต่เป็นจอมเวทสายฟ้าที่กำลังเร่งพลังจนสายฟ้าระเบิดออกจากร่างดูน่าเกรงขาม หญิงสาวทั้งสองที่เพิ่งมาถึงพยักหน้ารับแล้วเข้าประจำที่ทันที จอมเวทขาวไปยืนอยู่ข้าง ๆ มือปืนหนุ่ม ส่วนสาวผมดำอีกคนนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนซึบากิมองไม่ทัน รู้ตัวอีกทีเธอก็ใช้ดาบแทงเข้าที่กลางหลังของกบดึกดำบรรพ์ที่ผู้กล้าในชุดขาวกำลังสู้ด้วยแล้ว



    "ระวังพิษนะพี่ไม! พิษของมันอยู่ตามผิวหนังกับเลือด รักษาระยะเอาไว้ก่อน" เสียงขอผู้กล้าสีขาวตะโกนบอก



    "สลับกันโจมตี เข้าใจแล้ว!" หญิงสาวตะโกนกลับมาก่อนที่จะทำอย่างเดียวกับผู้กล้าสีขาว



    ซึบากิอดที่จะชื่นชมให้กับทีมเวิร์คของคนกลุ่มนี้ไม่ได้ แม้จะขาดตัวชนไปแต่ก็ต้องยอมรับว่าคนกลุ่มนี้มีทั้งฝีมือและการร่วมมือได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าผู้เล่นหลายกลุ่มแถวนี้ซะอีก แต่ว่าตอนนี้เธอก็เอาแต่มองอยู่ไม่ได้ เธอต้องการที่จะจัดการเจ้ากบพวกนี้ ถ้าหากปล่อยเอาไว้มีหวังคงจะต้องพลาดโอกาสแน่ ตอนนี้จุดอื่น ๆ โดนพวกผู้เล่นแย่งกันสู้จนเธอไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วย เธอเลยหวังว่าจะเข้าไปขอกบดึกดำบรรพ์จากคนกลุ่มนี้ซักตัวหนึ่ง หวังว่าพวกเขาคงจะมีน้ำใจแบ่งให้ ถ้าอย่างนั้นเธอคงมาเสียเที่ยว



    "ฉันมีชื่อว่าซึบากิ รองหัวหน้ากิลด์วิหคเทเวศ! พวกฉันขอเข้าไปช่วยแต่ขอเจ้ากบดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งจะได้หรือเปล่า" ซึบากิตะโกนเสียงดัง เธอและคนในใต้สังกัดยืนรอข้อความตอบกลับอย่างอดทน ถ้าหากว่ากลุ่มนี้ไม่ยอมแบ่งเธอก็คงต้องถอยกลับไป แม้ใจหนึ่งเธอคิดจะแย่งกบดึกดำบรรพ์ของพวกนี้มาซักตัว แต่ด้วยเกียรติของกิลด์วิหคเทเวศทำให้เธอไม่ยอมลดตัวไปทำอย่างนั้นแน่



    รออยู่ไม่นานเธอก็ได้คำตอบ แถมคำตอบนั้นก็ยิ่งทำให้เธอแปลกใจมาก เพราะว่ากบดึกดำบรรพ์ที่พวกเขายกให้เธอนั้นไม่ใช่ตัวที่จอมเวทสายฟ้ากำลังสู้อยู่ แต่เป็นตัวที่บาดเจ็บใกล้ตายโดยฝีมือของผู้กล้าสีขาวนั่นเอง



    "พวกเธอเข้าไปจัดการอีกตัวได้เลย เจ้าตัวนี้พวกเราจัดการเอง!" เสียงตะโกนของจอมเวทหนุ่มบอกพร้อมทั้งชี้ไปทางผู้กล้าสีขาวที่กำลังทำท่าจะถอยกลับมา แม้ว่าจะดีใจแต่เธอยอมให้ทำเช่นนั้นไม่ได้ ซึบากิชักดาวกระจายอันยักษ์ออกมาแล้วหันไปสั่งให้ลูกกิลด์เข้าไปช่วยจอมเวทสายฟ้าทันที



    "เดี๋ยวฉันจะไปช่วยพวกนายจัดการเข้าตัวที่ใกล้ตายนั่นเอง เอาไว้จัดการได้แล้วฉันจะมาเก็บเจ้ากบตัวนี้ ฝากพวกนายย่างสดมันไปก่อนแล้วกัน!" พูดจบซึบากิก็พุ่งเข้าหาพวกผู้กล้าชุดขาวทันที





    เจนและไมโกะมองผู้มาใหม่อย่างแปลกใจ ตอนแรกพวกเธอยกเจ้ากบตัวนี้ให้เพราะไม่อยากจะมีปัญหากับกิลด์ใหญ่อย่างวิหคเทเวศ แต่ดูท่าทางกิลด์นี้จะไม่ได้เป็นกิลด์ที่ร้ายกาจอย่างกิลด์จันทร์เดือนมืดหรือกิลด์พิฆาตราชาอย่างที่คิดเอาไว้ตอนแรก



    ดาวกระจายยักษ์พุ่งเข้าเฉือนขาหน้าจนแหว่ง ทำให้สภาพของกบดึกดำบรรพ์ตัวนี้ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมจนใกล้ได้เวลาปิดฉากแล้ว เจนมองดาวกระจายพุ่งกลับมาหาเจ้าของซึ่งก็ใช้มือรับเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ ดาวกระจายนี้มีขนาดใหญ่ ดูแข็งแกร่ง พลังทำลายสูงและหนักมากทีเดียว แต่หญิงสาวคนนี้กลับสามารถขว้างได้ด้วยมือเดียวทำให้เจนแน่ใจว่าเธอเองก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งแน่นอน



    "ถึงจะแนะนำตัวไปแล้วแต่ก็ขอแนะนำตัวอีกครั้งแล้วกันนะ ฉันมีชื่อว่าซึบากิ มาจากกิลด์วิหคเทเวศ ขอบคุณมากที่ยกเจ้ากบตัวนั้นให้พวกเรา" หญิงสาวแนะนำตัวพร้อมกับชี้ไปยังกบดึกดำบรรพ์อีกตัวที่กำลังถูกรุมยำจนเริ่มที่จะมีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างจากเจ้าตัวข้างหน้านี่



    "ฉันชื่อว่าเจน ส่วนนี่มีชื่อว่าไมโกะ พวกเรายินดีจะช่วยอยู่แล้ว" เจนแนะนำตัว



    "ดูท่าทางฉันคงไม่ต้องออกแรงอะไรมากแล้วล่ะ จากภาพของมันฉันว่าเธอควรจะปิดฉากได้แล้ว ก่อนที่มันจะคิดระเบิดตัวเองนะ" ซึบากิว่าแล้วชี้ไปยังกบดึกดำบรรพ์ที่อยู่ใกล้พวกเธอ ตอนนี้กำเหมือนกับยืนคุมเชิงพวกเธออยู่แต่ตัวของมันก็บวมขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ามีใครกำลังสูบลมเข้าไปในตัวมัน



    "รีบหน่อยก็ดีนะเจน ถ้าหากปล่อยให้มันระเบิดล่ะก็ พวกเราได้เจอพิษร้ายแรงกันถ้วนหน้าแน่" ไมโกะว่า เจนพยักหน้าเข้าใจแล้วยกดาบขึ้นเตรียมที่จะปิดฉาก



    "ไม่ต้องห่วง อีกแค่ดาบเดียวก็เรียบร้อยแล้ว" เธอพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ดามสีดำไร้ซึ่งคราบเลือดใด ๆ เกาะติดชี้ลงพื้นก่อนหญิงสาวจะวาดดาบเข้าใส่กบผู้น่าสงสารที่กำลังนับถอยหลังจบชีวิตตนเอง



    ผ่ามิติ!!



    คลื่นดาบพุ่งออกจากคุซานางิเข้าใส่ร่างที่ขนาดใหญ่จนเกือบสองเท่าของขนาดเดิมของมัน คลื่นดาบเข้าปะทะร่างของมันโดยที่ไม่มีสิทธิ์จะหลบได้เลย เพียงพริบตาเดียว ร่างของมันก็ระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ เลือดพิษของมันสลายกลายเป็นแสงก่อนที่จะมีโอกาสได้ทำร้ายใครอีก



    "เอาล่ะ ที่เหลือพวกเราก็ไปจัดการเจ้ากบอีกตัวกันเถอะ" เจนพูดก่อนจะหันไปดูกบดึกดำบรรพ์อีกตัวที่กำลังคลั่ง



    ทว่าก่อนที่เธอจะได้เข้าไปสมทบกับพรรคพวกของเธอ ก็มีเสียงระเบิดดังมาจากใจกลางหนองน้ำพร้อมกับร่างของเจนถูกพันธนาการด้วยลิ้นกบที่มีขนาดใหญ่จนสามารถพันร่างของเธอได้ทั้งร่าง!



    "เจน!!" ไมโกะตะโกนอย่างตกใจและพยายามจะเข้าไปช่วย แต่ทว่าลิ้นขนาดใหญ่นั้นกำลังดึงเจนกลับเข้าไปหาเจ้าของร่างอย่างรวดเร็วจนนักฆ่าสาวและซึบากิตามไปไม่ทัน หญิงสาวพยายามดิ้นให้หลุดแต่ลิ้นของมันทรงพลังยิ่งกว่ากบดึกดำบรรพ์ซะอีก ขนาดแม้จะขยับดาบในมือยังทำไม่ได้เลย



    ก่อนที่เจนจะได้ใช้วิธีสุดท้ายที่เธอคิดออกที่จะหลุดออกมาจากพันธนาการ ลิ้นขนาดใหญ่ก็ถูกตัดขาดสะบั้น ปลดปล่อยให้เธอเป็นอิสระ เมื่อมองไปดูวาใครเป็นผู้ที่ช่วยเธอออกมาก็พบว่าเป็นคนที่ทำให้เธอต้องตกใจมากขนาดร่างขนาดยักษ์ด้านหลังซึ่งเป็นเจ้าของลิ้นขนาดใหญ่กำลังปรากฏขึ้นมาเหนือน้ำยังทำให้เจนหันไปสนใจยังไม่ได้



    "..ท...เธอ" เจนพูดเสียงสั่น ไม่นึกเลยว่าเธอจะได้กลับมาพบกับคน ๆ นี้อีกได้เร็วขนาดนี้ แถวครั้งนี้ยังมีบางสิ่งที่เจนไม่เคยเห็นบนใบหน้าของคน ๆ นี้มาก่อน นั่นก็คือรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขโดยไร้การเสแสร้ง



    "สวัสดีค่ะคุณเจน ถึงจะไม่เท่ากับที่คุณช่วยฉันเอาไว้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ได้มีโอกาสตอบแทนคุณได้แล้ว" เสียงหวานดังออกมาจากหญิงสาวในชุดสีดำ ดาบคาตะนะโทรม ๆ ในมือกำลัง เปื้อนเลือดสีเขียวเป็นหลังฐานว่าเธอเป็นผู้ที่จัดการตัดลิ้นขนาดยักษ์นั่นได้ หญิงสาวผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นนักฆ่า 'อีกา'



    จบตอนที่ 39 พบวิหค

    --------


  3. #53
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนพิเศษ ยามตะวันรุ่ง

    ตอนพิเศษ ยามตะวันรุ่ง



    ดวงตาสีดำลึกล้ำตื่นขึ้นมาในเวลาเช้ามืด สิ่งแรกที่เธอเห็นคือเพดานหินสีเหลืองสกปรกที่ตื่นขึ้นมาเห็นตลอดหลายปี แม้ว่าเพิ่งจะลุกขึ้นจากเตียงแต่ร่างกายของเธอยังคงรู้สึกอ่อนล้าจากการทำงานมาจากเมื่อวันวาน



    สำหรับคนปกติคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะรู้สึกเช่นนี้หลังจากการใช้แรงงานหนักทั้งวัน แต่สำหรับเด็กสาวอายุเพียงแค่สิบหกปีนั้น การขุดเหมืองถ่านหินทั้งวันนั้นไม่ใช่งานของเด็กสาวอย่างเธอเลย



    ร่างกายของเธอผอมซูบเพราะอาหารที่มีให้เพียงน้อยนิด เธอถอดเฮดก็อกเกิ่ลที่สวมอยู่ด้วยมือที่สั่นเทาอย่างไร้เรี่ยวแรง การให้เด็กสาวอย่างเธอมาทำงานขุดเหมืองเช่นนี้เท่ากับเป็นเร่งอายุขัยให้หมดเร็วขึ้นทุกวัน และเธอก็แน่ใจว่าเวลาของเธอคงเหลืออยู่อีกไม่นานแล้ว



    "เอาล่ะอามีร่า ก็แค่วันธรรมดาอีกวัน สู้ ๆ" เสียงแหบแห้งของเธอพยายามให้กำลังตัวเอง แม้ใจในรู้ว่าเวลาของเธอใกล้จะมาถึงแล้ว



    อามีร่าอยู่ในห้องพักรวมที่มีหญิงสาวอีกนับร้อยนอนร่วมกัน คนอื่น ๆ ในห้องเริ่มที่จะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเพราะพวกเขาต่างก็ตื่นเพราะถูกตั้งเวลาเอาไว้จากเฮดก็อกเกิ่ลบนหัวให้ลุกขึ้นไปทำงานของตนที่ทุกคนในที่นี้ต่างไม่มีใครเต็มใจจะมาทำแม้แต่คนเดียว



    เตียงที่อยู่ข้างอามีร่ายังคงไม่ลุกขึ้นมา บนเตียงนั้นเป็นหญิงสาววัยกลางคนกำลังหายใจหอบราวกับกำลังเป็นไข้ และเธอก็เป็นเช่นนี้มานานหลายวันแล้ว



    อามีร่าจับมือของหญิงสาวคนนั้นและบีบเบา ๆ ให้รู้ว่ามีคนอยู่เคียงข้างเธอในเวลานี้ แรงบีบเบา ๆ เป็นสัญญาณตอบกลับบอกให้รู้ว่าหญิงสาวคนนี้รู้สึกตัวอยู่เช่นกัน



    เธอไม่อยากจะจากผู้หญิงผู้หญิงคนนี้ไปไหนเลย เพราะว่าผู้หญิงคนนี้เป็นสายสัมพันธ์สุดท้ายของอามีร่ากลับครอบครัว...



    ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของเธอ



    "เข้มแข็งเอาไว้นะคะคุณแม่... อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะได้ออกไปจากที่นี่แล้ว" เสียงปลอบประโลมที่อามีร่าเพียนพร่ำบอกกับแม่ของเธอและคนอื่น ๆ ที่อยู่ในขุมนรกทุกวัน นี่เป็นสิ่งเดียวที่ดูเหมือนกับเป็นคาถาเรียกพลังใจให้มีชีวิตต่อไป เป็นแสงแห่งความหวังแม้ว่ามันจะเลือนรางก็ตาม



    เสียงกระทืบเท้าเดินดังแว่วมาจากด้านนอกประตูห้อง บอกให้อามีร่ารู้ว่าผู้ที่จับตัวพวกเธอมากำลังจะมาพาทุกคนออกไปยังเหมืองนรกแล้ว



    "รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว ในวันนี้ทุกคนจะต้องออกไปทำงาน!!" เสียงตะโกนดังลั่นของชายผิวสีเข้มในชุดทหารที่มาพร้อมกับปืนกระบอกใหญ่ที่ทำให้อามีร่าตัวสั่นแม้เพียงแค่เหลือบตามอง



    ทุก ๆ คนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดหมีสีดำที่เคยเป็นสีน้ำเงินมาก่อน แต่เป็นเพราะไม่เคยถูกซักมาก่อนจนทำให้ถูกย้อมจนกลายเป็นสีดำด้วยถ่านหิน ในห้องนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเป็นส่วนตัว ทุกคนต่างรีบถอดเสื้อผ้าและเปลี่ยนชุดโดยพยายามจะไม่สนใจสายตาของทหารที่กำลังยืนมองอยู่หน้าประตู เพราะถ้าหากขืนชักช้าล่ะก็อาจจะถูกทำโทษหรือถูกพาตัวไปยังในห้องมืด ที่ ๆ ทุกคนยอมไปทำงานเหมืองถ่านหินดีกว่าจะไปยังที่นั่น



    เหมือนกับเป็นคราวเคราะห์ของอามีร่า ดวงตาของทหารหันมาเห็นร่างของหญิงสาวที่ยังนอนอยู่บนเตียง ไม่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปทำงานตามคนอื่น ๆ เขาก้าวเท้าตรงเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้นทันที และหญิงสาวคนนั้นก็คือแม่ของอามีร่าที่กำลังนอนป่วยอยู่นั่นเอง



    ก่อนที่ร่างของทหารจะเดินไปถึง อามีร่าก็เอาตัวของเธอเข้ามาขวางซะก่อน "ขอร้องล่ะค่ะ! คุณแม่กำลังป่วย ท่านลุกขึ้นไปทำงานไม่ไหวแล้ว!"



    "ข้าบอกแล้วว่าวันนี้ทุกคนจะต้องออกไปทำงาน เมื่อวานยัยนี่ก็เอาแต่นอนทั้งวัน โควต้าของเดือนนี้ยังไม่ถึงครึ่ง ถ้าหากมัวแต่อู้แบบนี้เมื่อไหร่มันถึงจะครับได้ตามกำหนด หา!" ทหารตะคอกใส่และเดินเลี่ยงอามีร่าเข้าไปหาแม่ของเธอ



    "ขอร้องล่ะค่ะ ฉันจะทำงานให้หนักขึ้นให้กับส่วนของคุฯแม่เอง ขอร้องล่ะค่ะให้ท่านได้พักเถอะ!" หญิงสาวพยายามกรีดร้องอ้อนวอน แขนลีบไร้เรี่ยวแรงพยายามจะรั้งร่างสูงของทหารเอาไว้แต่ก็ไร้ผล ครั้นคนอื่น ๆ จะให้เข้าไปช่วยแต่ก็ไม่มีใครอยากจะเอาตัวเองไปท้าทายกับพานท้ายปืน



    "ยัยนี่อยากโดนนักใช่มั้ย! ถ้างั้นวันนี้เธอไม่ต้องไปทำงาน แต่จะไปที่ห้องมืดกับข้านี่แหละ!" ทหารผิวสีตะโกน อามีร่าเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะเธอเห็นสภาพคนที่กลับมาจากห้องมืดแล้วไม่มีใครยิ้มได้อีกเลน แม้ไม่อยากจะรู้แต่ก็รู้ว่าในห้องมืดนั้นเธอจะเจอกับอะไร เสียงอ้อนวอนของเด็กสาวดังโหยหวนแต่ก็ไม่อาจจะหยุดร่างสูงของทหารผิวสีผู้นี้ได้



    "คนอื่น ๆ ถ้าหาข้ากลับมาแล้วยังไม่เตรียมพร้อมล่ะก็ ข้าจะพาพวกแกไปห้องมืดให้หมดทุกตัว!!" พูดจบ เขาก็กระชากแขนของอามีร่าออกไปจากห้อง แม้น้ำตาแงะเสียงร้องไห้จะดังแค่ไหนก็ไม่อาจดังเข้าไปถึงในจิตใจของชายผู้นี้ได้ คนอื่น ๆ ได้เพียงแต่มองตามไปอย่างเวทนาและนำอาหารที่ซุกซ้อนเอาไว้มาให้กับแม่ของอามีร่า นี่เป็นสิ่งเดียวที่พวกเธอช่วยได้เท่านั้น







    โครม!!



    เสียงของร่างบางถูกโยนลงพื้นอย่างไม่รั้งมือ ในห้องมืดที่เธออยู่นี้มีเพียงแสงสว่างเล็กน้อยเท่านั้น แต่เธออยากให้มันมืดสนิทเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเห็นสิ่งที่ทหารผิวสีตรงหน้าเธอกำลังจะทำ



    ทหารผิวสีมองไปยังร่างที่สั่นเทาอย่าง*****มกระหาย เขารอวันนี้มานานมากแล้ว วันที่เธอพลาดแล้วจะได้หาข้ออ้างพามายังในห้องนี้ แม้จะมีคำสั่งห้ามแตะต้องตัวเธอ แต่ดูจากสภาพแล้ว เด็กสาวคนนี้คงอยู่ได้อีกไม่เกินเดือนนี้แน่ ก่อนที่ของจะเสีย ขอลิ้มรสหน่อยเถอะ!



    มือหนาค่อย ๆ เอื้อมเข้าไปหาร่างบาง อามีร่าทำได้แค่เพียงอดกลั้นเสียงสะอื้นแต่ไม่อาจหยุดน้ำตาที่ไหลรินออกมาได้



    ทว่าทันใดนั้นเอง อามีร่าก็เห็นเงามืดด้านหลังของทหารผิวสีแว่บหนึ่ง และร่างของทหารผู้นี้ก็ถูกมือสีดำลากเข้าไปในเงามืดทันทีทำให้เธอรู้ว่านั่นไม่ใช่ภาพลสงที่เธอคิดขึ้นเอง



    เสียงฟิดฟัดของทหารผิวสีดังเพียงแค่ครู่เดียวก่อนที่จะเงียบไป อามีร่าพยายามยันร่างของตัวเธอขึ้นมามองดูแต่แสงจากหลอดไฟที่แขวนอยู่บนเพดานนั้นไม่สว่างพอที่จะทำให้เธอมองเห็นทหารผิวสีด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเจ้าของมือในเงามืดเลย



    ทว่าตอนนั้นเองที่ร่าง ๆ หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากจุดที่ทหารผิวสีหายตัวไป อามีร่ามั่นใจว่าเขาต้องเป็นเจ้าของมือในเงามืดแน่ ๆ เพราะภายในห้องนี้ไม่น่าจะมีใครอื่นอีกแล้ว



    ชายผู้นี้เป็นชายร่างสูง เขามีผมสั้นสีทองที่สวยที่สุดที่อามีร่าเคยเห็น ใบหน้าคมได้รูปดูราวกับเทพบุตร ดวงตาสีม่วงดูน่ากลัวกำลังจ้องมองลงมาที่เธอราวกับยมทูตกำลังรอคอยที่จะเก็บวิญญาณของเธอไป เขาอยู่ในชุดทหารสีดำคล้ายกับชุดนาวิกโยทินแต่ดูทันสมัยกว่า ข้างตัวเขาก็มีปืนพกกระบอกใหญ่ดูน่ากลัวไม่แพ้กับปืนกลของทหารผิวสี เพียงแต่เขาไม่ได้ใช้ปืนนั้นชี้มาที่เธอเท่านั้นเอง



    ชายหนุ่มย่อตัวลงมาหาอามีร่าแล้วพูดภาษาอะไรบางอย่างออกมาที่เธอไม่เข้าใจ เขาพยายามพูดอีกครั้งแม้จะไม่เข้าใจแต่เธอก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ภาษาเดิม ชายหนุ่มพยายามพูดคุยกับหญิงสาวจนกระทั่งเธอได้ยินเสียงของเขาในภาษาที่เธอเข้าใจ "ไม่ต้องกลัวนะ ผมมาช่วยคุณ...คุณเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า"



    มือบางรีบคว้าไปยังแขนเสื้อของชายตรงหน้าเป็นสัญญาณว่าเธอเข้าใจ "ได้โปรดช่วยแม่ของฉันด้วย...แล้วก็ยังมีคนอื่น ๆ อีก..-"



    "ไม่ต้องห่วงครับ พวกเราจะพาทุกคนออกไปทั้งหมด" ชายหนุ่มพูดกับอามีร่าแล้วยื่นมือเข้ามาหา หญิงสาววางมือลงให้อย่างไว้ใจ และลุกขึ้นยืนแล้วเดินผ่านร่างของทหารผิวสีที่นอนไม่ไหวติงอยู่บนพื้นห้องใกล้ ๆ ไปพร้อมกับชายผู้นี้



    "โกลด์เด้นฮอค์ก นี่คือไนฟ์เฮด ผมได้ตัวเธอแล้ว" ชายหนุ่มหันไปพูดในวิทยุ แม้ว่าหญิงสาวที่เขาพามาด้วยจะไม่รู้จักภาษาที่เขาใช้ในตอนนี้ แต่เธอก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้ว่าเขาพูดอะไรเช่นกัน



    "ทีมอัลฟ่าพูด ทางเราเคลียร์นักโทษเรียบร้อยแล้ว" เสียงในวิทยุตอบกลับมา



    "นี่ทีมชาร์ลี พวกเรามาถึงห้องตัวประกันที่เป็นชาวบ้านแล้ว เตรียมพร้อมเคลื่อนย้าย"



    "ทีมเรนเจอร์..แยกทหารที่โดนบังคับมาจากหมู่บ้านได้ทุกคนแล้ว" เสียงอื่น ๆ ในวิทยุไล่ตอบอย่างเงียบเชียบในระหว่างที่ชายหนุ่มเปิดตากว้างจ้องมองด้านนอกห้องที่เขาและอามีร่ากำลังซ่อนตัวอยู่อย่างระมัดระวังว่าจะมีใครมาพบเข้า



    "นี่โกล์ดเด้นฮอค์กรับทราบแล้ว ทีมเดลต้าเตรียมบุกได้ แจ้งทุกหน่วย ตอนนี้สามารถกำจัดแทงโก้ได้แล้ว อนุญาตให้ใช้อาวุธสังหาร ทุกทีมเตรียมพร้อม วีทอล์จะไปถึงในอีกห้านาที" เสียงในวิทยุดังตอบกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่ม ชะโงกหน้าออกไปดูด้านนอกห้องและหันมาจับมือของอามีร่าแน่นก่อนจะตอบกลับไป



    "ไนฟ์เฮดรับทราบ ทีมเดลต้าเจอกันที่จุดนัดพบอีกสองนาที" พูดจบชายหนุ่มผู้ใช้ชื่อรหัสไนฟ์เฮดก็เดินออกจากห้องมืดโดยใช้มือซ้ายพาอามีร่าเดินตามมาด้วย ส่วนมือขวานั้นมีปืนพกที่ติดกระบอกเก็บเสียงเอาไว้อย่างดีชี้ไปด้านหน้า เตรียมพร้อมที่จะยิงอริทุกเมื่อ







    ไนฟ์เฮดพาอามีร่าเดินผ่านในจุดที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือที่ไหน ตลอดหลายปีเธอใช้ทางเดินเพียงแค่ทางเดียวนั่นก็คือทางลงไปยังเหมืองถ่านหิน ตอนนี้เธอมาอยู่ตรงทางขึ้นไปยังด้านบนพื้นดินที่อามีร่าจำได้ว่าเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่มีทหารอยู่เต็มไปหมด เขาจะพาเธอออกไปได้อย่างไร และแม่ของเธออยู่ที่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า



    "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อยู่เงียบ ๆ และอยู่ข้างหลังผมเอาไว้ เข้าใจนะ" ไนฟ์เฮดหันมาพูดกับอามีร่า ซึ่งเธอก็พยักหน้ารับรู้แม้ว่าเธอต้องการจะถามอะไรหลายอย่างกับเขาเหลือเกิน อย่างเช่นเขาเป็นใคร และใครเป็นคนที่ส่งเขามา



    ตอนนั้นเองที่เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหน้าพร้อมกับเสียงพูดคุยของทหาร ไนฟ์เฮดรีบดึงร่างของอามีร่าหลบเข้าชิดกำแพงทันที ใต้ดินนี้แสงไฟส่องไปไม่ทั่วทางเดิน บริเวณริมกำแพงที่พวกเขายืนอยู่นั้นเป็นเงามืดแต่อามีร่าไม่คิดว่ามันจะมากพอที่จะใช้ซ่อนตัวได้ แต่ทว่าเมื่อทหารสองคนนั้นเดินผ่านพวกเธอไปโดยไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยก็ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ ใครจะไปคิดว่าพื้นที่แคบ ๆ ขนาดนี้สามารถใช้หลบสายตาจากคนอื่นได้



    "อัลฟ่า นี่ไนฟ์เฮด แทงโก้สองตัวกำลังไปทางนาย" ชายหนุ่มพูดกระซิบอย่างแผ่วเบา



    "รับทราบ"



    ปุ! ปุ!



    เสียงเหมือนระเบิดดังเบา ๆ พร้อมกับเสียงเหมือนใครบางคนล้มลงบนพื้น แต่อามีร่ามองไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นเองที่เธอก็เห็นชายอีกคนที่ใส่ชุดคลายกับชายที่อยู่ตรงหน้าเธอปรากฏตัวขึ้นและพยักหน้ามาทางเธอ แต่ความจริงแล้วเขาพยักหน้าให้กับไนฟ์เฮด



    "ทุกทีมเข้าประจำที่แล้ว พวกเราจะอยู่ดูแลพัสดุ รอจนกว่านายและเดลต้าเคลียร์ทางให้แล้วจะตามออกไป" ชายหนุ่มคนนั้นพูด ไนฟ์เฮดพยักหน้าตอบแล้วจึงพาอามีร่าค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดไปอย่างเงียบเชียบ



    เมื่อก้าวพ้นบันไดขั้นบนสุดแล้ว สิ่งที่เด็กสาวเห็นคือชายที่เป็นพรรคพวกของไนฟ์เฮดเกือบสิบคนกำลังยืนรออยู่ พวกเขาแต่งชุดคล้ายกับเขาแต่สิ่งที่ต่างออกไปคือปืนในมือของพวกเขาที่มีกระบอกโตดูน่ากลัวกว่ามาก แถมบนหมวกยังมีกล้องมองกลางคืนติดอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาพูดกับไนฟ์เฮดพร้อมกับพาไปหลบในมุมมืดใกล้ ๆ



    "ไอ้กล้ามในนี้มีเยอะมาก เสี่ยงเกินไปที่จะเปิดฉากยิง จุดที่พวกเราอยู่ล่อแหลมมากถ้าหากมีการปะทะ ผมคิดว่าถ้าหากพวกเราถอยกลับไปตั้งรับในชั้นใต้ดินน่าจะได้เปรียบกว่านี้ แต่ก็เสี่ยงที่จะมีผู้โดนลูกหลงหรือบางทีไอ้กล้ามพวกนี้อาจจะถล่มปิดปากไปเลยก็ได้ คุณคิดว่ายังไง" ชายคนนั้นถามไนฟ์เฮด เขาหันมองดูพื้นที่รอบ ๆ ที่ตรงนี้เสี่ยงมากเกินไปอย่างที่ว่าจริง ๆ จุดกำบังมีอยู่น้อยมาก ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะรอดได้ถ้าหากพวกทหารแบ่งแยกดินแดนรู้ว่าพวกเขาอยู่ตรงจุดนี้



    "ถ้าเป็นผมล่ะก็คงจะค่อย ๆ บุกออกไปจัดการพวกมันแต่เวลาน้อยเกินไป... พวกเราต้องการจุดเบี่ยงเบนความสนใจ" ไนฟ์เฮดว่าแล้วยกมือขึ้นแตะวิทยุที่หู "ถึงวีทอล์ คุณอยู่ที่ไหน พวกเราต้องการกำลังสนับสนุนทางอากาศ"



    "กำลังจะไปถึงที่หมายในอีกสามสิบวินาที สั่งมาได้เลยครับ" เสียงตอบกลับมาจากทางวิทยุ



    ไนฟ์เฮดหันไปพยักหน้าให้กับชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วจึงพากันเตรียมพร้อมเคลื่อนพล "ผมต้องการให้คุณเปิดฉากถล่มที่นี่ซะ"







    ตอนนี้ใกล้จะได้เวลารุ่งสางแล้ว ที่ตรงขอบฟ้ามีแสงสีส้มส่องสว่างบอกเวลาการเริ่มต้นวันใหม่ แต่สำหรับในหุบเขาแห่งนี้ มันหมายความว่านรกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง



    กองกำลังแบ่งแยกดินแดนนั้นได้สร้างอาคารขนาดใหญ่ขึ้นมาติดกับภูเขาลูกนี้โดยใช้เป็นโกดังเก็บถ่านหินและคัดแยกเพื่อส่งเข้าไปขายในตัวเมือง แต่เป็นเพราะว่าในตอนนี้มีพลังงานทางเลือกชนิดใหม่อย่างพลังงานแสงอาทิตย์ เซลล์พลังงานไฟฟ้า หรือจะเป็นแหล่งพลังงานใหม่ล่าสุดจากนอยช์วานสไตล์อินดรัสตรี้ ที่เป็นบริษัทในเครือเดียวกันกับนอยช์วานสไตล์ไซแอนท์แอนด์เทคโนโลยีภายใต้ชื่อนอยช์วานสไตล์คอร์ป ซึ่งพลังงานชนิดใหม่ที่ว่านั้นคือเตาพลังงานฟิวชั่นที่ให้กำเนิดพลังงานได้นานหลายสิบปี แม้ตอนนี้จะใช้เจ้าเตาพลังงานนี้ได้เพียงแค่พลังงานไฟฟ้า แต่ในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะสามารถปรับใช้กับอย่างอื่นได้อย่างแน่นอน



    ด้วยการมาใหม่ของพลังงานที่ต้นทุนต่ำกว่าและยังเป็นมิตรต่อธรรมชาติ ทำให้ราคาของถ่านหินได้ลดต่ำลงมากจนไม่คุ้มต่อการลงทุน แต่ว่านี่เป็นแหล่งรายได้เพียงไม่กี่อย่างของกองกำลังแบ่งแยกดินแดน ดังนั้นเพื่อให้คุ้มจึงต้องขายถ่านหินพวกนี้ในจำนวนมากเพื่อที่จะนำเงินที่ได้มาใช้ในการสนับสนุนการแย่งแยกดินแดนนี้ต่อไป และนั่นหมายความว่าคนงานที่ถูกจับมาจะต้องทำงานหนักมากขึ้นนั่นเอง



    นอกจากจะขุดถ่านหินแล้วที่นี่ยังมีรายได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือขายคนงานทุกคนเป็นกองทหารในโลกเสมือนจริงให้กับคนที่ยอมจะซื้อ และหนึ่งในนั่นก็คือดิ โอเพ่น เวิร์ด ออนไลน์นั่นเอง การทำแบบนี้นอกจากจะได้เงินจากการขุดถ่านหินในตอนเช้าแล้ว ยังได้เงินจากธุรกิจทาสในตอนที่คนงานหลับอีกด้วย



    เนื่องจากที่นี่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ จึงถูกป้องกันด้วยกองทัพของทหารแบ่งแยกดินแดนเอาไว้อย่างแน่นหนา มีเวรยามติดอาวุธหนักคอยเดินเฝ้าระวังตลอดทั้งวันทั้งคืนราวกับเป็นป้อมปราการดี ๆ นี่เอง



    ทหารคนหนึ่งมองเห็นเงาของเครื่องบินมาจากทิศตะวันออก มันบินเร็วและกำลังตรงมาทางนี้ เขารีบแจ้งให้กับศูนย์บัญชาการรู้ทันทีว่ามีเครือบินขับไล่ปรากฏเหนือน่านฟ้าบริเวณนี้ เพราะขนาดของมันนั้นไม่ใหญ่มากแต่มันมีเพียงแค่ลำเดียวทำให้เขาสงสัยว่าทำไมเครื่องบินขับไล่ไร้สัญชาติถึงมาเพียงแค่ลำเดียวเช่นนี้



    เมื่อเขารายงานไป ป้อมต่อต้านอากาศยานที่ถูกติดตั้งเอาไว้ในบริเวณใกล้เคียงก็ยิงขีปนาวุธเข้าใส่ยานลำนั้นทันที แต่ก่อนที่จรวดจะเข้าปะทะกับยานลำนั้น มันกลับระเบิดเข้ากับโล่พลังงานสีเขียวที่ปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มตัวยานตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และตอนนั้นเองที่ทหารคนนั้นรู้ตัวว่าตนได้รายงานข่าวพลาดอย่างมหันต์ เมื่อยานลำนั้นตรงเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ขนาดของมันก็ใหญ่ขึ้นจนทำให้เห็นว่ายานลำนั้นมีขนาดใหญ่มากกว่ายานขับไล่มากนัก เพราะมันสามารถบรรทุกยานขับไล่ได้เกือบสิบลำด้วยซ้ำไป



    ขีปนาวุธหลายสิบลูกถูกยิงออกมาจากยานพุ่งเข้าทำลายป้อมปืนต่อต้านอากาศยานอย่างแม่นยำจนพินาศสิ้น ยานลำนั้นไม่ได้บินผ่านไปเหมือนกับยานขับไล่ ไอพ่นที่อยู่บริเวณปลายปีกทั้งสองข้างหมุนลงมาพยุงให้ยานลอยอยู่ใกล้กับอาคาร ปืนกลหนักที่ติดอยู่ใต้หัวยานระเบิดกระสุนรัวเข้าใส่ทหารที่วิ่งออกมาหมายจะยิงยานให้ร่วงจนร่างพรุน



    ทหารที่เฝ้าอยู่ในจุดอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในระยะยิงของปืนกลของยานก็ออกมายิงปืนและจรวดต่อต้านอากาศยานใส่ แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นเช่นเดิมนั่นก็คือโล่พลังงานปรากฏขึ้นมาป้องกันตัวยานอีกครั้ง จรวดขีปนาวุธขนาดใหญ่ยังทำอะไรไม่ได้ แล้วกระสุนปืนและจรวดขนาดเล็กกว่าจะผ่านไปได้ยังไง



    ปัง! ปัง! ปัง!



    เสียงปืนดังขึ้นแต่ไม่ใช่ของทหารแบ่งแยกดินแดน เสียงนั้นเป็นของทีมเดลต้าและไนฟ์เฮดที่ปรากฏตัวขึ้นบนดาดฟ้าของอาคาร ตอนนี้พวกเขาใช้ตำแหน่งที่สูงกว่าจัดการพวกทหารแบ่งแยกดินแดนที่อยู่ด้านล่างโดยหมอบเรียบไปกับพื้นผิวอาคาร หลบกระสุนที่จะหมายชีวิตพวกตนจากด้านล่าง



    "เฝ้าระวังทางขึ้นเอาไว้ให้ดี ที่เหลือพยายามดึงพวกไอ้กล้ามมาที่พวกเราระหว่างที่ทีมเบต้าโรยตัวลงมาจากยาน!" หัวหน้าทีมเดลต้าตะโกนสั่งพร้อมทั้งกระหน่ำยิงทหารแบ่งแยกดินแดนอย่างไม่เปลืองกระสุน



    ไนฟ์เฮดพาอามีร่ามาหลบอยู่ริมกำแพงทางขึ้นดาดฟ้าที่ไม่มีทางเลยที่ด้านล่างจะยิงขึ้นมาได้ "อยู่ตรงนี้!" ชายหนุ่มสั่งอามีร่าเสียงเข้ม เธอพยักหน้าเข้าใจ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่อยากจะเข้าไปใกล้วิถีกระสุนอยู่แล้ว



    ทว่าทันใดนั้นเองประตูทางขึ้นมาบนดาดฟ้าก็ถูกระเบิดจนทหารที่มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าเสียหลักล้มลงไปบนพื้น และตอนนั้นเองที่ทหารแบ่งแยกดินแดนก็วิ่งขึ้นมาและมองเห็นร่างของอามีร่าที่นอนสั่นเท่าด้วยความตกใจอยู่บนพื้น ปืนกระบอกใหญ่กระชับแน่นเตรียมที่จะลั่นไกปลิดชีวิตเด็กสาวตรงหน้า



    ทว่าก่อนที่อามีร่าจะถูกยิง มีดของไนฟ์เฮดก็ปักเข้าร่างของทหารผู้นั้นจนมิดด้าม แต่ก่อนที่จะตั้งตัวทันอามีร่าเห็นชายอีกสองคนวิ่งขึ้นมาพร้อมกับปีนกระบอกใหญ่ในมือและกำลังเล็งมาที่เธอ แต่ก่อนจะได้ยิง ไนฟ์เฮดก็พุ่งเข้ามาและใช้เท้าดันปืนของทหารคนหนึ่งไปด้านข้าง นิ้วของทหารคนนั้นพยายามกดไกปืนแต่ว่าปืนกำลังถูกเล็งไปที่ชายอีกคนที่ขึ้นมาพร้อมกันทำให้ชายคนนั้นถูกยิงจนพรุนไปทั้งร่าง ก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป ไนฟ์เฮดก็ซัดไปที่ชายโครงอย่างแรงจนต้องทิ้งปืนลงพื้น เมื่อชายตรงหน้าชะงักไนฟ์เฮดก็เข้าไปล็อกคอของเขาก่อนที่จะออกแรงบิดจนร่างของชายคนนั้นกระตุกอย่างแรงก่อนจะลงไปนอนกองบนพื้น โดยไม่สนใจกับชายที่เพิ่งจัดการไป ไนฟ์เฮดหยิบปืนบนพื้นปืนและยิงกระหน่ำเข้าไปยังทางบันได อามีร่าไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นมีคนอื่นอีกหรือไม่ แต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดที่ดังลั่นบอกให้เธอรู้ว่ายังมีคนอื่นอีกที่กำลังจะขึ้นมาบนนี้



    อีกด้านหนึ่ง ทีมเบต้าที่โรยตัวลงมาจากยานได้อย่างปลอดภัยก็เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างทหารตามจุดต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อมียานวีทอล์คอยสนับสนุนจนไม่มีโอกาสที่ทหารแบ่งแยกดินแดนจะตอบโต้ เวลาไม่ถึงสิบนาที ทหารเกือบทั้งกองทัพที่ประจำการอยู่ในอาคารแห่งนี้ก็ถูกจัดการจนเรียบวุธ เหลือทหารอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมแพ้เมื่อรู้ว่าตนเองไม่มีทางชนะ



    บนดาดฟ้า ทหารที่มีหน้าที่เฝ้าทางขึ้นลุกขึ้นมาตั้งตัวได้อีกครั้งก็มาช่วยไนฟ์เฮดยิงสกัดทหารแบ่งแยกดินแดนจนต้องถอยหนีกลับไป และพวกนั้นก็จะไปเจอเข้ากับทีมเบต้าซึ่งโอกาสรอดชีวิตของทหารเหลานั้นก็คงจะขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะทิ้งปืนได้เร็วกว่าหรือว่าทีมจู่โจมจะยิงพวกเขาได้ก่อนเท่านั้น



    เด็กสาวมองดูไนฟ์เฮดพูดคุยกับทหารที่มาประจำตำแหน่งแทนด้วยท่าทางสุขุม ขนาดตอนที่ระเบิดนั้นเธอตกใจลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ขนาดจะวิ่งหนียังทำไม่ได้เพราะเรี่ยวแรงที่ขาของเธอนั้นหายไปจนสิ้น ในตอนที่คิดว่าเธอจะต้องตายแน่ ๆ แล้ว ชายหนุ่มคนนี้ก็พุ่งเข้ามาช่วยเธอเอาไว้ได้ทันท่วงทีราวกับว่าระเบิดนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวหรือตกใจเลย



    ไนฟ์เฮดเดินเข้ามาหาแล้วส่งมือให้กับอามีร่า เธอยื่นมือให้และลุกขึ้นแต่ก็ต้องเอาตัวพิงร่างของชายหนุ่มเพราะเรี่ยวแรงที่ขาของเธอยังไม่กลับมา



    "พ...พวกคุณเป็นใครกัน" เด็กสาวถาม



    ชายหนุ่มยิ้มบางที่มุมปากแล้วจึงตอบคำ "พวกเราคือกลุ่มภาคีเปลวเพลิงแห่งนภา"







    อามีร่ากำลังนั่งอยู่บนยานที่ลงจอดอยู่ใกล้กับอาคารที่เธอเคยอาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินมานานหลายปี ข้างตัวเธอเป็นทหารหญิงที่เข้ามาตรวจเช็คร่างกายของเธอ ในขณะเดียวกันที่ด้านตรงกันข้ามก็คือแม่ของเธอที่กำลังได้การรักษาพยาบาลเบื้องต้นจนสีหน้าของหญิงสาวดูดีขึ้นมาก



    ตอนนี้ทหารนิรนามกำลังทยอยพาพวกผู้หญิงที่ถูกจับมาเช่นเดียวกับอามาร่าขึ้นมาบนยาน และที่น่าดีใจยิ่งกว่าก็คือพวกผู้ชายที่ถูกนำตัวไปเป็นทหารนั้นก็ถูกแยกจากพวกทหารแบ่งแยกดินแดน ทำให้ทุก ๆ คนที่นอนพักอยู่ยังปลอดภัย ทำให้สามีหรือลูกชายได้กลับมาพบหน้ากับครอบครัวอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่มีหลายครอบครัวที่ไม่มีโอกาสที่จะได้พบน่าครอบครัวของตนเองพร้อมหน้ากันได้อีกแล้ว



    อีกด้านหนึ่งก็เป็นนักโทษที่ถูกจอกจำไว้ในที่แห่งนี้ก็ได้รับการช่วยเหลือเช่นเดียวกับ ส่วนมากจะเป็นทหารที่ตกกลายเป็นเชลยสงคราม และอีกส่วนก็เป็นนักโทษทางการเมืองที่ถูกพาตัวมาขังเอาไว้ ที่เหลือก็คือทหารแบ่งแยกดินแดนที่ยอมจำนน พวกเขาถูกนำไปขังเอาไว้บนคุกชั่วคราวที่แยกเอาไว้อีกส่วนของยาน ไม่อยู่ในวิสัยของอามีร่าให้รู้สึกไม่สบายใจ



    หลังจากผู้รอดชีวิตและทหารนิรนามทุกคนขึ้นมาบนยาน เครื่องยนต์ก็ดังขึ้นพร้อมกับเครื่องบินลอยตัวสูงขึ้นอย่างช้า ๆ อามีร่าหันไปมองตามแสงสีแสดอัสดงของตะวันที่กำลังลอยขึ้นมาเหนือขอบฟ้า เธอไม่คิดเลยว่าเธอจะได้มีโอกาสมาเห็นดวงตะวันได้อีกครั้ง ความอบอุ่นจากแสงแดดนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ราวกับเป็นนกเพลิงที่ผุดขึ้นมาจากกองเถ้าของตนเอง ดวงตะวันที่กำลังขึ้นนี้เป็นภาพที่สวยงามที่สุดที่เธอเคยเห็นในรอบหลายปี



    "ภารกิจเสร็จสมบรูณ์ครับ เป้าหมายหลักปลอดภัยแล้ว พวกเรายังช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่ถูกจับอยู่ในที่เดียวกันและยังได้เชลยมาอีกจำนวนหนึ่ง บางทีหลังจากสอบปากคำแล้วพวกเราอาจจะได้ข้อมูลช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่อยู่ในสภาพแบบเดียวกับเด็กคนนี้ด้วย" ชายหนุ่มรหัสไนฟ์เฮดพูดผ่านเครื่องมือสื่อสารบนยานขณะที่เขากำลังจ้องมองเด็กสาวที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขข้างมารดาของเธอ ข้างหน้าของเขาเป็นจอแสงที่ฉายให้เห็นภาพของคนที่กำลังคุยด้วย และชายคนนั้นคือผู้ที่เจนไปพบด้วย ชายผมสีทองเช่นเดียวกับไนฟ์เฮด พร้อมทั้งมีโครงหน้าแทบจะลอกกันมา มีเพียงสีตาเท่านั้นที่ต่างกัน



    "ทำได้ดีมาก คริสโตเฟอร์ กลับมาพักผ่อนซักที น้อง ๆ บ่นอยากเจอจะแย่อยู่แล้ว" ชายหนุ่มตอบ ทำให้ไนฟ์เฮดอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เมื่อนึกภาพของน้องสาวกำลังตวาดใส่เขาเพราะคิดถึง



    "รับทราบแล้วครับ คุณพ่อ"




    จบตอนพิเศษ ยามตะวันรุ่ง


  4. #54
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 40 ความจริงที่เปิดเผย

    ตอนที่ 40 ความจริงที่เปิดเผย



    ร่างของกบสีแดงลายสีเหลืองตัวมหึมาพุ่งขึ้นมาจากหนองน้ำ ขนาดของมันนั้นสูงกว่าสิบเมตรจนทำให้กบดึกดำบรรพ์และกองทัพกบอีกนับร้อยตัวดูเป็นเรื่องเล็กน้อยไปในพริบตา แต่นั่นไม่ทำให้เจนรู้สึกตกใจไปมากกว่าการที่เธอเห็นอามีร่ามายืนอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้ เวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นหลังจากที่เจนคุยกับเพื่อนของเกอร์ทูธให้ไปช่วยเด็กสาวคนนี้ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าชายผู้ที่รับมอบหมายงานไปนั้นจะทำงานได้รวดเร็วขนาดนี้



    อามีร่าที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเจนนั้นมีสภาพต่างไปจากเดิมมาจนเธอรู้สึกได้ แม้เสื้อผ้าจะยังมอมแมมเหมือนเดิมและดาบที่เธอถือนั้นก็แทบใช้การไม่ได้แล้ว การที่เธอใช้มันผ่าลิ้นยักษ์เพื่อช่วยเจนมาได้นั้นถือว่าโชคช่วยมากทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้เจนรู้สึกว่าอามีร่าต่างไปจากเดิมนั่นก็คือบรรยากาศมืดมนที่เคยอยู่ติดตัวของเธอนั้นหายไปจนหมดสิ้น และสีหน้าที่กำลังมองดูเจนอยู่นั่นก็บอกเธอว่าปัญหาที่อามีร่าเคยเผชิญอยู่นั้นได้ถูกจัดการไปเรียบร้อยแล้ว



    "อามีร่า นี่เธอหนีมาจากพวกนั้นได้แล้วงั้นหรือ" เจนถาม เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าไม่ตอบทันที เธอส่งมือให้เจนหมายจะช่วยดึงเธอให้ลุกขึ้นมาจากพื้นน้ำ ผู้หล้าชุดขาวก็ไม่คิดจะปฏิเสธน้ำใจ เธอจับมือเล็ก ๆ นั้นเอาไว้และออกแรงดึงร่างของตัวเองขึ้นมา



    "ฉันไม่ได้หนีหรอกค่ะ แต่มีคนมาช่วยต่างหาก...ขอบคุณคุณเจนมากเลยนะคะ ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะคุณ ตอนนี้ฉันจะเป็นยังไงก็ไม่รู้" เด็กสาวกล่าว ทำเอาเจนรู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก



    ในตอนนั้นเองคนอื่น ๆ ก็มาสมทบกับเจนและอามีร่า ไมโกะเมื่อเห็นหน้าของผู้ที่ช่วยเหลือเพื่อนของเธอนั้นก็พยักหน้าให้เบา ๆ เป็นเพราะว่าเธอเป็นคนที่ได้ฟังเรื่องเล่าจากปากของเด็กสาวด้วยตัวเอง ทำให้ตอนนี้เธอยอมรับในตัวของอามีร่าแล้ว ส่วนพวกโจและคิทซึเนะนั้นก็แค่ยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตรเช่นเดียวกัน ตรงกันข้ามกับซึบากิและนักรบสาวอีกหลายคน สีหน้าของพวกเธอเมื่อเห็นอามีร่าต่างก็ตกใจและยกอาวุธเตรียมพร้อมต่อสู้ในทันที โดยเฉพาะตัวซึบากิเองที่จ้องไปยังเด็กสาวอย่างมุ่งร้าย ข้อมือเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะปาดาวกระจายยักษ์ใส่ทุกเมื่อ



    เจนที่เห็นท่าทางไม่ดีจึงจะเข้าไปอธิบายกับซึบากิว่าอามีร่าไม่ใช่ศัตรู แต่ก่อนเธอจะได้ทำก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงร้องดังสนั่นฟ้า



    ก๊าซซซซ!!!



    "ฉันพอจะรู้นะว่าตอนนี้สถานการณ์ของพวกเรามันกำลังระอุอยู่ แต่ดูท่าทางจะมีสถานการณ์อื่นที่น่าเป็นห่วงมากกว่า" โจว่า เขาหันไปมองกบตัวมหึมาที่กำลังจ้องมาทางพวกเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวเพราะถูกตัดลิ้นไป ในขณะเดียวกันนั้นที่ผู้เล่นกลุ่มอื่น ๆ เมื่อเห็นการมาของกบขนากยักษ์ต่างก็พากันถอยหนีกันจ้าละหวั่น แต่ก็ยังอยู่ในบริเวณนี้ คอยดูสถานการณ์พร้อมกับวางแผนจัดการเป้าหมายที่เปลี่ยนจากกบดึกดำบรรพ์เป็นกบยักษ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว



    เจ้าแห่งหนองน้ำ[บอส] ระดับ 50 ยศขุนนาง



    "เจ้าแห่งหนองน้ำ ชื่อใกล้เคียงกับเจ้าตัวที่ภารกิจที่เรารับมา ฉันว่าเจ้านี่แหละที่พวกเรากำลังตามหา" แจ็คใช้ทักษะตรวจสอบแล้วพูดขึ้น



    เจนได้ยินเพื่อนของเธอกล่าวก็เริ่มรู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที เพราะเจ้าตัวนี้มีเลเวลพอ ๆ กับราชาเทนกุที่เธอเคยประมือด้วย แถมเจ้าตัวนี้ยังเป็นมอนสเตอร์ระดับบอสที่มีขนาดใหญ่กว่ามอนสเตอร์ระดับเดียวกันมากทำให้เจนแน่ใจว่าการจะจัดการมันนั้นต้องยุ่งยากอย่างแน่นอน



    "ฉันรู้ว่าตอนนี้มีเรื่องใหญ่กว่าที่จะต้องจัดการ แต่จะฉันจะไว้ใจได้ยังไงว่าตอนที่พวกเราสู้กับเจ้าแห่งหนองน้ำจะไม่โดนยัยอีกานี่ลอบกัด" ซึบากิเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา อามีร่าที่ได้ยินก็มีสีหน้าเศร้าลงโดยไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยแก้ตัวเลยแม้แต่คำเดียว



    "เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ฉันรับรองได้ว่าอามีร่าจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน เธอไม่ใช่คนของกิลด์พิฆาตราชาอีกต่อไปแล้ว ใช่มั้ย" ผู้กล้าในชุดขาวเอ่ยให้คำมั่นและหันไปถามเด็กสาวข้าง ๆ เธอพยักหน้าขึ้นลงพร้อมรับกับคำพูดของเจน



    "ที่บ้านของฉันถือว่าคำสัญญาที่ไม่ได้เอ่ยออกมาดัง ๆ ไม่นับเป็นคำสัญญา" ซึบากิพูด แม้ว่าผู้กล้าในชุดขาวจะเป็นผู้รับรองเด็กสาวคนนี้ด้วยตัวเองแต่เธอก็ยังคงไว้ใจเด็กสาวผู้นี้ไม่ได้ เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของเด็กสาวผู้นี้มันมีมากเหลือเกิน มากเกินกว่าจะยอมให้อภัยได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ



    "ฉันรับรองค่ะว่าตอนนี้ฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกิลด์พิฆาตราชาอีกต่อไปแล้ว ส่วนหลักฐานของคำพูดของฉัน คุณจะรู้หลังจากที่กลับไปที่เมืองแล้วค่ะ" อามีร่าให้คำสัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนยากที่ใคร ๆ จะเชื่อว่าที่เธอพูดนี้เป็นคำโกหก ซึบากิได้ยินดังนั้นจึงยอมถอยหลังไปแม้ดวงตายังคงจ้องมองไปที่เด็กสาวชุดดำด้วยความไม่ไว้วางใจ



    เมื่อศึกย่อยระหว่างพวกเดียวกันเองคลี่คลาย เจนก็หันไปมองศึกหนักตรงหน้าอย่างหนักใจ เพราะตอนนี้ที่เธอต้องกังวลไม่ใช่แค่เจ้าแห่งหนองน้ำแค่ตัวเดียว แต่ยังมีกบดึกดำบรรพ์อีกแปดตัวและกองทัพกบอีกจำนวนมากที่หันหน้ามาหาพวกเธอที่อยู่ใกล้ที่สุดแทนเหล่าผู้เล่นที่ถอยออกไปแล้ว แถมต้องยังไม่ลืมกบดึกดำบรรพ์อีกตัวหนึ่งที่กำลังฟื้นสภาพตัวเองอยู่ด้านหลังของพวกเธอด้วย



    "ถ้าให้เจอกับไอ้เจ้ากบยักษ์นั่นจะพอไหวหรือเปล่าเจน" โจที่พยายามหาทางออกจากเหตุการณ์ตรงหน้านี้ถามขึ้น



    "ถ้าใช้พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง... ไม่รู้สิ" เจนตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ แม้ว่าตอนนี้เธอจะได้พลังพิเศษจากทักษะของอาชีพผู้กล้า แต่ว่าพลังของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเน้นไปที่ความเร็วมากกว่าพลังโจมตี พลังในร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่เธอใช้ได้ในตอนนี้คงไม่พอที่จะเอาชนะเจ้าแห่งหนองน้ำแน่



    จอมเวทหนุ่มหันมามองพวกเขาและพวกซึบากิสลับกันไปมาเพื่อหาทางใช้กำลังที่มีอยู่จัดการกับกองทัพกบ ทว่าด้วยกำลังคนเท่านี้แค่สู้กับกบดึกดำบรรพ์ทั้งหมดไม่ไหวแล้ว ยังมีเจ้าแห่งหนองน้ำอีกตัวให้เขาต้องหนักใจ แต่ทันใดนั้นเองเขาก็แสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายก่อนจะหันไปเรียกทุกคนประชุมแจกแจงแผน แม้ว่าเจ้าแห่งหนองน้ำและกองทัพกบกำลังจะเข้ามาถึงตัวแล้วก็ตาม



    "ฟังนะ ตอนนี้ฉันมีแผนแล้ว พวกเราสามารถเอาชนะเจ้ากบพวกนี้ได้แน่ แต่การที่จะชนะได้ทุก ๆ คนต้องร่วมมือกัน เข้าใจมั้ย" โจว่าโดยเขาจ้องไปยังซึบากิและอามีร่าให้รู้ว่าจุดอ่อนของแผนการคือทั้งสองคน



    "ได้ ตราบใดที่อีกฝั่งไม่ผิดคำที่เคยให้ไว้" ซึบากิตอบเสียงแข็ง ส่วนอามีร่าก็พยักหน้าเบา ๆ นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับโจ



    "เอาล่ะ หน้าที่หลักก็คือเจน เธอเข้าไปยันกับเจ้าตัวใหญ่นั่นคนเดียวเลย..-"



    "เฮ้ย! นายจะบ้าหรอ! ให้ฉันไปสู้กับมอนสเตอร์บอสยศขุนนางคนเดียวเนี่ยนะ! คราวที่แล้วฉันเกือบเอาตัวแทบไม่รอด นายก็รู้ไม่ใช่หรือไง" เจนว่าเสียงดังพลางนึกถึงครั้งที่ตอนเธอสู้กับราชาเทนกุ



    "ฉันบอกให้ไปยันเอาไว้ ไม่ได้ไปจัดการมัน แค่ล่อมันไปทางอื่นจนกว่าพวกเราจะจัดการกองทัพกบนี่หมดแล้วจะไปช่วยอีกทีหลัง"



    "แต่แค่ลำพังพวกเราก็สู้พวกกบดึกดำบรรพ์ถึงเก้าตัวไม่ไหวหรอกนะ นี่ยังมีกบตัวเล็ก ๆ อีกเป็นกองทัพ เจ้าพวกนั้นน่ะเป็นถุงพิษมีชีวิตดี ๆ นี่เอง ต่อให้พวกเรามีจอมเวทขาวเพิ่มขึ้นมาอีกสิบคนก็ใช้เวทถอนพิษพวกเราทุกคนได้ไม่ทันหรอกนะ" ไมโกะพูด แค่กบดึกดำบรรพ์ตัวเดียวก็ต้องใช้พวกเธอทุกคนช่วยกันจัดการถึงจะไหว ไม่มีทางเลยที่พวกเธอจะสู้กับกองทัพกบพวกนี้ได้



    ทว่าจอมเวทหนุ่มนั้นกลับส่งยิ้มอย่างชั่วร้ายให้กับไมโกะ เขาหันไปมองกลุ่มผู้เล่นที่อยู่ห่างออกไปก่อนจะตอบกลับมาเบา ๆ



    "แล้วฉันบอกหรือไงว่าพวกเราจะสู้กับพวกกบแค่ลำพัง"







    ผู้กล้าในชุดขาวจ้องมองพรรคพวกของตนถอยออกจากหนองน้ำโดยมีกองทัพกบไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ โจตั้งใจจะไปสู้กับพวกมันบนพื้นดินซึ่งพลังที่เพิ่มขึ้นเมื่ออยู่ในน้ำจะหายไปและทำให้พวกเขาได้เปรียบขึ้นบ้าง นอกจากนั้นเขายังล่อพวกกับไปหาพวกผู้เล่นที่ถอนตัวกันไปก่อนหน้านี้และกองทัพกิลด์วิหคเทเวศของซึบากิที่กลัวกบจนไม่ยอมออกมาสู้ ความคิดของโจอันนี้ถูกใจเธอมากเพราะจะได้เป็นการลงโทษลูกกิลด์ของเธอไปในตัวเลย ถ้าในเมื่อไม่ยอมออกมาสู้ด้วยกัน ก็จะเอาการต่อสู้เข้าไปหาเอง



    กองทัพกับและเหล่ากบดึกดำบรรพ์นั้นต่างไล่ตามพวกโจไปตามแผน แต่เจ้าแห่งหนองน้ำเองก็ไล่ตามพวกเขาไปด้วย เจนรู้ว่าสาเหตุที่มันไล่ตามไปนั้นเป็นเพราะอามีร่าผู้ที่ตัดลิ้นของมันอยู่ในกลุ่มนั้นแต่ เป้าหมายของเจนคือเจ้าแห่งหนองน้ำ ถ้าหากเธอปล่อยให้มันตามพวกโจไปจนถึงกลุ่มผู้เล่นล่ะก็ ต่อให้ช่วยกันสู้ก็คงจะยากที่จะเอาชนะได้



    ผ่ามิติ!!



    คลื่นดาบพุ่งออกมาจากคาตะนะในมือบางของหญิงสาวในชุดคลุม แต่เป้าหมายของมันไม่ใช่กบตัวมหึมาตรงหน้า แต่เป็นกบอีกตัวที่นอนจบกองเลือดพิษของตัวเองอยู่ด้านหลังของเธอ แม้ว่าสภาพของมันตอนนี้จะฟื้นฟูขึ้นกว่าตอนที่โจและคิทซึเนะจัดการมันมาก แต่พลังของคลื่นดาบผ่ามิติแค่ดาบเดียวก็เหลือเฟือที่จะปลิดชีวิตมันได้แล้ว



    เสียงระเบิดดังลั่นพร้อมกับร่างของกบดึกดำบรรพ์สลายหายไป พร้อมกันนั้นเองที่เจ้าแห่งหนองน้ำหยุดเดินและหันมามองเจนด้วยความโกรธเกรี้ยว ดูท่าทางมันจะสัมผัสได้ถึงการสูญเสียของกบดึกดำบรรพ์และเจนก็เป็นผู้ที่จัดการพวกมันไปถึงสองตัว



    "ดูท่าทางจะหันมาสนใจฉันแล้วล่ะสิ" เจนพูดกับเจ้าแห่งหนองน้ำ ราวกับว่ามันเข้าใจคำพูดของเธอ ร่างยักษ์กระโดดขึ้นสูงไปที่เหนือตัวของเจนหมายจะทับร่างของเธอให้สิ้นซาก เจนรู้ทันทีว่าเธอต้องใช้พลังสถิตร่างก่อนที่จะกลายเป็นกล้วยทับ



    แต่เมื่อเธอกำลังจะใช้พลังสถิตร่างนั้นเอง เสียงหัวเราะฟังคุ้นหูก็ดังขึ้นในหัวของเธอ "จะใช้พลังของยัยจิ้งจอกเก้าหางมันก็ดีอยู่ และข้าก็แน่ใจว่าพลังของยัยนั่นก็สามารถใช้จัดการกับเจ้ากบตัวนี้ได้อย่างแน่นอน แต่เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะใช้พลังนั่นจัดการศัตรูของเจ้าได้"



    "นี่จู่ ๆ ทำไมถึงมาพูดเอาตอนนี้! แล้วที่พูดมันหมายความว่ายังไง" เจนพูดเสียงดัง สายตาจับจ้องไปยังร่างขนาดมหึมาของเจ้าแห่งหนองน้ำที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ



    "ข้าแค่จะบอกเจ้า ว่าเจ้าจะใช้อะไรสู้กับพละกำลังของมัน ระหว่างความเร็วของจิ้งจอกเก้าหางหรือพลังอีกอย่างที่มีอยู่ในร่างของเจ้า" พูดจบ ยามาตะ โนะ โอโรจิก็เงียบเสียงไม่ตอบคำใด ๆ อีก เวลาเหลืออีกไม่ถึงอึดใจที่เจนจะรู้ให้ได้ว่าที่พญาอสรพิษเอ่ยถึงนั้นหมายความว่าอะไร เธอคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าพลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางแม้จะทรงพลังแต่ตอนนี้เธอยังไม่สามารถดึงพลังทั้งหมดออกมาใช้ได้ ทำให้เจนไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะสู้กับเจ้าแห่งหนองน้ำได้ แต่พญาอสรพิษบอกว่ามีพลังอีกอย่างที่อยู่ในตัวเธอ มันคือ...



    ตูม!!!



    ร่างของเจ้าแห่งหนองน้ำกระแทกลงพื้นน้ำเสียงดังสนั่นราวกับเสียงระเบิด น้ำกระเซ็นไปทั่วทิศทางจนบริเวณที่เจ้าแห่งหนองน้ำอยู่นั้นไม่มีน้ำหลงเหลืออยู่เลยด้วยแรงกระแทกมหาศาลจากร่างขนาดยักษ์ของมัน เจ้าแห่งหนองน้ำยิ้มกริ่มอยู่ในใจ มันมั่นใจว่าคนที่จัดการกับลูกหลานของมันได้สิ้นซากไปแล้ว



    ในตอนแรกที่เหล่ามนุษย์ปรากฏตัวขึ้นที่หนองน้ำแห่งนี้ เจ้าแห่งหนองน้ำก็ส่งลูกหลานของมันออกไปขับไล่พวกมนุษย์ออกไปเหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มาจนไม่มีความจำเป็นเลยที่มันจะต้องโผล่ขึ้นไปยังเหนือผืนน้ำที่แห้งจนมันรู้สึกแสบผิวไปทั้งตัว ทว่าครั้งนี้กลับมีบางอย่างผิดแปลกไป เหล่ามนุษย์มีจำนวนมากกว่าปกติ มันจึงส่งลูกหลานของมันออกไปให้มากกว่าเหล่ามนุษย์หลายสิบเท่า แม้ลูกหลายตัวเล็ก ๆ จะถูกฆ่าได้อย่างง่ายดาย แต่มันก็แน่ใจว่าด้วยจำนวนมหาศาลของเผ่าพันธุ์กบ จะสามารถจัดการมนุษย์เหล่านี้ไปได้อย่างแน่นอน



    แต่ในที่สุดก็มีบางอย่างผิดพลาดจากที่มันคาดการณ์ไปอีกครั้ง เมื่อกบดึกดำบรรพ์ที่เป็นเหมือนกับลูกแท้ ๆ ของมันถูกจัดการลงไป โทสะของมันพุ่งพล่านตรงไปยังผู้ที่ฆ่าลูกของมันหมายจะขจัดให้สิ้นอย่างไม่ปราณีเช่นเดียวกับที่ผู้รุกรานไม่ปราณีลูกของมันเช่นกัน



    เมื่ออริสิ้นแล้ว เจ้าแห่งหนองน้ำจึงจะหันไปจัดการกับผู้รุกรานที่เหลือ ถึงคนที่ฆ่าลูกมันไปแล้วแต่แค้นที่ถูกตัดลิ้นไปยังคงอยู่ ทว่าตอนนั้นเองที่มันรู้สึกแปลกประหลาด ร่างของมันเองเอนราวกับโลกกำลังเอียงไปด้านข้าง และทันใดนั้นเองที่จู่ ๆ มันก็เหมือนกับถูกโยน ร่างของมันลอยสูงก่อนกระแทกกับผืนน้ำแรงราวกับถูกเหวี่ยงด้วยมือที่มองไม่เห็น เมื่อลุกขึ้นมาและมองไปยังจุดที่มันอยู่เมื่อครู่ ก็พบว่าอริผู้ฆ่าลูกของมันยังคงอยู่ แต่มีบางอย่างในตัวของอริผู้นี้ที่ทำให้เจ้าแห่งหนองน้ำรู้สึกว่ามันกำลังจะเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่ไม่ควรยุ่งด้วยซะแล้ว



    ร่างของเจนตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยออร่าสีม่วงแผ่ออกมาจนบรรยากาศรอบข้างเริ่มบิดเบี้ยว สายลมพัดรุนแรง ท้องฟ้ามีเมฆดำทะมึนส่งเสียงร้องครืนราวกับกำลังมีพายุเข้ามาที่แห่งนี้ เจนรู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลอยู่ในร่างของเธอราวกับไม่มีที่สิ้นสุด แต่พร้อมกันนั้นมันก็รุนแรงและเต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ ถ้าหากเธอไม่สงบสติอารมณ์เอาไว้ล่ะก็ พลังที่พุ่งพล่านอยู่ในร่างคงจะระเบิดออกมาฉีกเธอเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว



    "พลังนี่มัน..." เจนยกมือของตัวเองขึ้นมามองดู ออร่าสีม่วงที่ปกคลุมร่างเธอไหลเวียนมาที่มือของเธอพร้อมกับความรู้สึกแน่นที่แขน เธอรู้สึกราวกับว่าต่อให้เป็นภูเขาสูงใหญ่แค่ไหนเธอก็สามารุใช้มือข้างนี้ยกขึ้นมาได้



    "พลังนี้เจ้าเคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นเจ้าใช้คู่กับพลังของยัยทามาโมะ มาเอะทำให้ความเข้มข้นของพลังไม่รุนแรงเท่าที่เจ้าสัมผัสได้ในตอนนี้ พลังอำนาจที่เหมาะกับตัวเจ้ายิ่งกว่าพลังใด ๆ พลังของข้า พลังสถิตร่างพญาอสูรอสรพิษแปดหัว!" ราวกับเป็นการตอบรับคำพูดของเจ้าของพลัง ออร่าสีม่วงก็ระเบิดออก กระแทกร่างของเจ้าแห่งหนองน้ำกระเด็นไปไกลถึงสิบเมตร แสดงให้เห็นถึงความต่างของพลังของจิ้งจอกเก้าหาง และอสรพิษแปดหัวว่าห่างชั้นกันแค่ไหน



    แต่ในตอนที่ออร่าระเบิดออกไปนั้นเอง เจนก็รู้สึกราวกับร่างจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนล้มทรุดลงไปบนผืนน้ำ เธอพยายามสูดลมหายใจสะกดความเจ็บปวดเอาไว้ เมื่อเป็นหน้าต่างระบบดูก็พบว่าพลังชีวิตของเธอนั้นไม่ได้ลดไปเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ความเจ็บปวดนั้นเกิดขึ้นจริง



    "มะ..เมื่อกี้มันอะไร นั่นฝีมือของนายใช่มั้ย!" เจนพูดออกมาอย่างยากลำบากเมื่อตัวเธอนั้นกำลังพยายามสะกดความเจ็บปวดลง เมื่อไม่เกี่ยวกับพลังชีวิต เธอก็ไม่รู้ว่าจะบรรเทาความเจ็บปวดนี้ได้อย่างไร



    "เป็นเพราะเจ้ายังอ่อนแอเกินกว่าที่จะใช้พลังของข้าได้อย่างเต็มที่ ถึงได้ เจ้านี่มันช่างน่าสังเวชจริง ๆ" เสียงทรงอำนาจของยามาตะ โนะ โอโรจิดังขึ้นก่อนที่ออร่าสีม่วงจะค่อย ๆ เบาบางลงพร้อมความเจ็บปวดที่เริ่มหายไป



    "คราวหลังจะทำอะไรกับตัวของฉัน บอกก่อนจะเป็นพระคุณอย่างมากเลย" ผู้กล้าในชุดขาวกัดฟันบอกพร้อมทั้งดันตัวเองขึ้นมา ตอนนี้เจ้าแห่งหนองน้ำกำลังจ้องมาที่เธอด้วยสายตาตื่นตกใจ แต่แทนที่จะหนี มันกลับอยู่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว "นั่นมันกำลังทำอะไรน่ะ"



    เสียงหัวเราะของพญาอสรพิษดังชอบใจก่อนตอบคำ "มันก็แค่เอาชนะธรรมชาติของตัวมันไม่ได้เท่านั้นเอง"



    ธรรมชาติแล้วงูกินกบเป็นอาหาร โดยเฉพาะเมื่อตอนที่งูล่าเหยื่อ ดวงตานักล่าของมันจะจ้องเหยื่อจนไม่กล้าหนีแม้ว่าจะทำได้ก็ตาม เจ้าแห่งหนองน้ำแน่นอนว่าเป็นกบตัวยักษ์ และยามาตะ โนะ โอโรจิก็เป็นงูที่ตัวใหญ่กว่า แม้จะถูกผนึกอยู่ในดาบ แต่เมื่อพลังแผ่ออกมาจากร่างของเจนก็ไม่ต่างจากพญาอสรพิษปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของมัน



    "ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอลองดูหน่อยละกันว่าพลังของนายมันจะแน่ซักแค่ไหน" หญิงสาวเอ่ยท้าทาย เธอวาดดาบไปด้านข้างอย่างช้า ๆ จากนั้นก็เริ่มออกวิ่งเข้าใส่เจ้าแห่งหนองน้ำทันที



    แต่สิ่งมี่เธอไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเจนก้าวเท้าไปด้านหน้า ร่างของเธอก็พุ่งไปด้วยความเร็วสูงราวกับหัวกระสุน เสียงระเบิดเมื่อเท้าของเธอกระทบพื้นบอกได้ถึงแรงมหาศาลที่เจนเพิ่งใช้ 'วิ่ง' เมื่อครู่นี้



    เมื่อไม่ทันตั้งตัวกับพลังมหาศาล ร่างของเจนก็หมุนควงอย่างไร้การควบคุมก่อนจะตกกระแทกลงพื้นน้ำเข้าอย่างแรง เจนสะบัดหัวไล่ความมึนงงแล้วลุกขึ้นตั้งท่าเตรียมพร้อมรับการโจมตีของเจ้าแห่งหนองน้ำ ทว่ามันกลับทำตรงกันข้าม เมื่อมันเห็นว่าศัตรูของมันพลาดหกล้มหัวทิ่ม มันก็ถือโอกาสนี้กระโดดหนีทันที



    "โอย เมื่อกี้ไม่ได้ทันตั้งตัว พลังของนายนี่มันคืออะไรกัน ใช้บินไม่ได้หรือไง" เจนถาม เมื่อครู่เธอพยายามจะวิ่งก่อนจะขึ้นบินเหมือนครั้งที่เธอใช้พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง แต่ผลกลับออกมาต่างไปจากที่เคย



    "เจ้าเคยเห็นงูบินได้หรือเปล่าล่ะ ถึงข้าจะมีพลังมากแค่ไหนแต่ข้ารู้ว่าที่ของข้าคือพื้นดิน ไม่เหมือนกับยัยจิ้งจอกเก้าหางที่ใช้พลังของมันในการบิน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีปีก" พญาอสรพิษตอบ



    "ตอนที่นายสู้กับเซอร์โนบอท ฉันเห็นนายใช้พลังได้ตั้งหลายอย่าง ทั้งไฟ น้ำ แสง แต่ทำไมฉันถึงไม่เห็นจะได้พลังได้อย่างนั้นบ้างเลย" เจนถามพลางเป็นหน้าต่างทักษะขึ้นมาดู เธอพบเพียงแค่ทักษะเก่า ๆ ของนักผจญภัยและผู้กล้าเท่านั้นเอง



    "ก็อย่างที่ข้าบอก เจ้าอ่อนแอเกินกว่าจะใช้พลังของข้าได้อย่างเต็มที่ ตอนนี้เจ้าเพียงแค่ใช้พละกำลังของข้าเท่านั้น พลังที่เรียบง่ายและทรงอำนาจที่สุดในการต่อสู้ ไม่ต้องฉลาดก็เอาชนะเจ้ากบนี่ได้" ยามาตะ โนะ โอโรจิกล่าว เจนขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจเพราะรู้สึกเหมือนถูกว่า แต่มันก็จริงอย่างที่กล่าวเพราะด้วยพลังมหาศาลขนาดนี้ ต่อให้เจ้าแห่งหนองน้ำไม่ถูกสะกดอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ล่า เธอก็สามารถเอาชนะมันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก



    เจนยิ้มให้กับตัวเองพร้อมกับมองไปยังเจ้าแห่งหนองน้ำที่กำลังกระโดดหนีโดยไม่สนใจลูกหลานของมันอีกต่อไปแล้ว เป้าหมายของมันตอนนี้คือกลับลงไปยังน้ำลึกเพื่อหนีจากนักล่า เจนไม่รู้ว่าพลังของพญาอสรพิษนี้จะดำน้ำได้หรือไม่ แต่เธอจะไม่ยอมปล่อยให้เหยื่อของเธอหนีไปแน่



    เพียงก้าวเดียว ร่างของเจนก็พุ่งแซงหน้าของเจ้าแห่งหนองน้ำได้ เท้ากระแทกพื้นน้ำดังสนั่นก่อนจะหันมามองหน้าของเจ้ากบยักษ์ สมกับได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งหนองน้ำ ครั้งนี้อำนาจของนักล่าไม่สามารถจะสดให้มันอยู่นิ่งได้เหมือนเคย เจ้ากบตวัดลิ้นใหญ่ฟาดใส่เจนอย่างรวดเร็ว



    ผู้กล้าชุดขาวแสยะยิ้มก่อนจะยกดาบขึ้นกัน เมื่อเนื้อปะทะเข้ากับคมดาบ ผลของมันคือลิ้นของเจ้าแห่งหนองน้ำขาดสะบั้นลง เสียงร้องโหยหวนของมันดังลั่น ร่างของมันสั่นระรัวอย่างทรมานพร้อมกับเลือดกระเซ็นไปทั่วทิศทางจนเจนต้องถอยออกห่างเพื่อไม่ให้เลือดมาโดนตัวเธอ



    ราวกับว่าเจ้าแห่งหนองน้ำกำลังรอจังหวะนี้อยู่ เมื่อเจนถอยออกไป มันก็พ่นของเหลวสีดำใส่เธอทันที ผู้กล้าในชุดขาวรู้ทันทีว่านั่นอันตรายแต่พลังสถิตร่างพญาอสูรอสรพิษแปดหัวนั้นไม่เร็วพอที่หลบได้ ทว่าตอนนั้นเองที่ออร่าสีม่วงรอบตัวของเธอก็เปล่งรังสีขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ออร่ารวมตัวกันเป็นรูปร่างของหัวหนึ่งของพญาอสรพิษ หัวนั้นอ้าปากรับของเหลวเอาไว้ก่อนจะกลืนลงไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนที่หัวอสรพิษจะสลายกลายเป็นออร่าไร้รูปร่างอีกครั้ง



    "นี่คงเป็นอาวุธสุดท้ายของมันแล้วล่ะ พิษนี้รุนแรงมากพอที่จะฆ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าได้นับล้านคน แต่เทียบกับพิษของข้ามันก็ไม่ต่างจากน้ำธรรมดา" ยามาตะ โนะ โอโรจิกล่าวในขณะที่เจนทรุดลงไปด้วยความเจ็บปวด ในใจก็ก่นด่าที่จู่ ๆ ดันมาใช้พลังผ่านร่างของเธอโดยไม่บอกไม่กล่าว แต่ถ้าหากพญาอสรพิษไม่ทำล่ะก็ตอนนี้เธอคงตายไปแล้ว



    เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองดูก็พบว่าร่างของเจ้าแห่งหนองน้ำที่เคยเป็นสีเข้มกลับซีดจางจนเกือบเป็นสีขาวทั้งตัว ท่าทางมันคงจะเค้นพิษจากทั้งหมดที่มันมีหวังที่จะจัดการเจนให้ได้ ทว่ามันไม่ได้คาดถึงว่าการโจมตีแบบทุ่มสุดตัวของมันจะถูกกลืนกินไปได้เช่นนั้น และตอนนี้มันก็อ่อนแอลง ไม่ต่างจากกบตัวใหญ่ธรรมดาเท่านั้น



    หญิงสาวยืดตัวตรงพร้อมกับยกดาบขึ้นสูง เหล็กสีดำของดาบในมือเรียวถูกคลุมด้วยออร่าสีม่วงก่อนผู้กล้าในชุดขาวจะฟาดดาบไปด้านหน้า เป้าหมายคือเจ้าแห่งหนองน้ำที่หมดพิษสง



    ผ่ามิติ!!



    คลื่นดาบที่พุ่งออกมาคราวนี้เป็นคลื่นดาบสีม่วงเช่นเดียวกับออร่าที่คลุมร่างของเจน และขนาดของมันนั้นก็ใหญ่กว่าปกติถึงสามเท่า เพียงเสี้ยววินาที เสียงระเบิดจากการปะทะดังลั่นพร้อมกับแรงลมพัดแรงราวกับพายุซัดจนผู้เล่นที่กำลังต่อสู้กับกองทัพกบอยู่ไม่ไกลต่างพากันก้มหลบกันจ้าละหวั่น ส่วนพวกกบนั้นก็ถูกลมพัดกระเด็นไปจนเกือบหมด เหลือแต่กบดึกดำบรรพ์ที่เหลืออยู่เพียงสี่ห้าตัวเท่านั้น เมื่อผู้เล่นหันไปมองดูทิศที่เสียงระเบิดดังมาก็พบว่าร่างขนาดใหญ่ของเจ้าแห่งหนองน้ำกลายเป็นซากเนื้อกองใหญ่ที่กำลังค่อย ๆ สลายกลายเป็นแสง ใกล้กันนั้นเป็นร่างของผู้กล้าในชุดขาวที่กำลังหันหลังให้ รอบข้างของเธอนั้นมีออร่าสีม่วงครามปกคลุมอย่างน่าเกรงขาม ผู้เล่นนับร้อยต่างพากันส่งเสียงฮือฮาถึงพลังอันร้ายกาจที่สามารถจัดการกับมอนสเตอร์บอสระดับขุนนาง เลเวลห้าสิบที่ต้องใช้ผู้เล่นมากกว่าร้อยคนช่วยกันจัดการได้ด้วยการลงมือครั้งเดียว



    ทุก ๆ คนไม่เว้นแม้กระทั่งพวกโจต่างก็ตกตะลึงถึงพลังมหาศาลของผู้กล้าในชุดขาว เว้นเสียแต่ว่าหากทุกคนมองเห็นใบหน้าของเจนในตอนนี้เข้าล่ะก็ จะพบว่าตัวเธอเองก็ตกใจไม่แพ้กับคนอื่น ๆ เช่นกัน



    "..น...นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย" หญิงสาวพูดกับตัวเองเสียงละห้อย เพราะไม่แค่ร่างของเจ้าแห่งหนองน้ำที่ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ แต่ผืนป่าที่อยู่ด้านหลังของมันก็ถูกทำลายจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่มีซากต้นไม้ถูกสับเละไปหมด



    "ผ่ามิติจะเพิ่มพลังขึ้นจากพลังสถิตร่างที่เจ้าใช้ ตอนที่เจอกับผีดิบตัวนั้นเจ้าเองก็น่าจะรู้แล้วนะ" ยามาตะ โนะ โอโรจิบอก ทำให้เจนนึกย้อนกลับไปตอนที่เธอใช้พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางในตอนนั้น



    "ก็ใช่ แต่ตอนนั้นมันไม่ได้รุนแรงขนาดนี้นะ ถึงตอนนี้ฉันจะเก่งขึ้นกว่าในตอนนั้นแล้วและมีทักษะอื่นช่วยก็เถอะ...นี่มันหายนะชัด ๆ" หญิงสาวกล่าวแล้วเก็บดาบลงฝักก่อนจะสลายพลังสถิตร่างลงแล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปหาซากของเจ้าแห่งหนองน้ำเมื่อนึกขึ้นได้ว่าถ้าเธอจัดการมอนสเตอร์ระดับสูงได้แบบนี้จะต้องมีของดี ๆ ตกอยู่แน่ ถึงแม้จะตกใจแต่สามัญสำนึกของเธอก็ยังคงทำงานได้อย่างดีเยี่ยมจริง ๆ



    "มันเป็นเพราะพลังของข้าต่างจากพลังของยัยจิ้งจอกเก้าหางยังไงล่ะ พลังของยัยนั่นคือความเร็วและเวทมนตร์ ถึงผ่ามิติจะได้รับพลังจากร่างพลังสถิตแต่ถ้าหากมาเทียบกับพลังของข้าแล้วมันยังห่างชั้นนัก อีกอย่างหนึ่งก็คือเดิมทีแล้วผ่ามิติเป็นพลังของดาบที่ใช้ผนึกข้า ไม่แปลกที่มันจะตอบสนองของพลังของข้าได้ดีกว่าเช่นนี้" พญาอสรพิษเอ่ยตอบ เจนส่งเสียงเบา ๆ เหมือนกับรับทราบ แต่ใจของเธอนั้นจดจ้องอยู่ที่ของที่ได้ไปซะแล้ว



    ชุดเกราะกบ ระดับ A พลังป้องกัน 300

    เพิ่มพลังป้องกันธาตุน้ำ 20% เพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อยู่ใต้น้ำ



    ผ้าคลุมแห่งหนองน้ำ ระดับ A

    เพิ่มพลังป้องกันธาตุน้ำ 20% เพิ่มความเร็วขึ้นเมื่ออยู่ในน้ำ



    ของที่ได้จากเจ้าแห่งหนองน้ำนั้นเป็นเสื้อเกราะสีแดงเลือดหมูซึ่งมีรูปร่างแปลกประหลาด แม้ว่ามันจะมีระดับสูง พลังป้องกันสูงกว่าชุดเกราะปกติมากแต่เจนไม่คิดจะใส่เกราะชิ้นนี้แน่ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่ได้สวมชุดป้องกันที่มีพลังป้องกันเลยก็ตาม หันไปดูอีกอย่างเป็นผ้าคลุมสีฟ้าอ่อน แม้จะดูเก่าแต่ก็เป็นผ้าเนื้อดี เจนเก็บของทั้งสองอย่างเอาไว้และหันไปดูอย่างอื่นว่ามีอะไรอีกหรือเปล่า เธอพบว่าใกล้ ๆ นั้นมีเหรียญทองตั้งอยู่กองหนึ่งดูมีจำนวนไม่น้อยพร้อมทั้งอาวุธระดับ B อยู่อีกสองสามอย่าง แน่ใจได้เลยว่าต้องเป็นของที่ตกจากเจ้าแห่งหนองน้ำแน่ และเธอก็ไม่พลาดที่จะเก็บลงเข้ากระเป๋าไป



    หลังจากเก็บของทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้วเจนก็หันไปมองดูว่าพวกโจจัดการกับกองทัพกบเสร็จหรือยัง แต่จากที่ดูแล้วกบดึกดำบรรพ์ห้าตัวกับผู้เล่นหลายร้อยคนก็ยังคงตองใช้เวลาอีกซักพัก เมื่อเห็นดังนั้นเจนจึงหันไปคุยกับพญาอสรพิษเรื่องพลังสถิตร่างที่เธอใช้เมื่อครู่



    "นี่ยามาตะ โนะ โอโรจิ นายหมายความว่ายังไงหรือที่บอกว่าพลังนี้เหมาะกับฉันมากกว่าพลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง" เจนถามขึ้นลอย ๆ ไม่นานเสียงทรงอำนาจก็ดังตอบกลับมา



    "ข้าบอกเจ้าแล้วว่าพลังของยัยจิ้งจอกเก้าหางคือเวทมนตร์ ผ่ามิติไม่ใช่เวทมนตร์ จึงไม่ได้เพิ่มพลังของผ่ามิติได้เท่ากับพลังของข้า ถึงแม้เดิมทีพลังของข้าและยัยนั่นจะเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว ตรงกันข้าม เจ้าสามารถใช้พลังของข้าในการต่อสู้ได้ดีกว่า อย่างที่เจ้าเพิ่งจัดการเจ้ากบนั่นไป"



    "แต่เจ้าอย่าคิดว่าแค่นั้นจะหมายความว่าเจ้าแข็งแกร่งแล้ว พลังที่เจ้าใช้ในครั้งนี้ไม่ใช่พลังที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของเจ้าเหมือนกับพลังของยัยจิ้งจอกเก้าหาง ที่เจ้าสามารถใช้ผ่ามิติจัดการกับเจ้ากบนั่นได้ในครั้งเดียวเพราะข้าให้เจ้าใช้พลังของข้าโดยตรงผ่านดาบ มันก็เลยไม่แปลกที่จะส่งผลได้รุนแรงเช่นนั้น แต่เจ้าคงจำความเจ็บปวดเมื่อพลังของข้าไหลผ่านเข้าสู่ร่างของเจ้าได้ดี มันก็เหมือนกับแก้วใบเล็กที่ถูกเติมน้ำจนล้นแก้ว ถ้าหากเจ้าใช้พลังในตอนที่เจ้ายังคงอ่อนแอเช่นนี้อยู่ เจ้าก็จะไม่ต่างไปจากแก้วที่น้ำล้นออกมา หรือถ้าหากให้เทียบกับเจ้าก็คือร่างที่ถูกระเบิดเพราะพลังที่มากเกินไป" พญาอสรพิษชิงเอ่ยขึ้นก่อนเมื่อเจนแสดงสีหน้าดีใจเมื่อรู้ว่าได้พลังมหาศาลเอาไว้ในมือ



    "หมายความว่าฉันจนกว่าฉันจะแข็งแกร่งขึ้น ฉันจะใช้พลังของนายไม่ได้อย่างนั้นใช่มั้ย" เจนถาม พญาอสรพิษเงียบไม่ตอบแต่สุดท้ายก็ต้องเอ่ยปากพูดเมื่อเจนถามซ้ำ



    "เปล่า แค่ครั้งต่อไปที่เจ้าใช้พลังของข้าก็แค่ใช้พลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของเจ้าเท่านั้นเอง แต่จงจำเอาไว้ว่าต่อให้เจ้าแข็งแกร่งจนสามารถใช้พลังที่แท้จริงของพลังสถิตร่างได้ มันก็จะไม่ทรงพลังเท่ากับพลังสถิตร่างที่เจ้าใช้ในวันนี้" ว่าแล้วยามาตะ โนะ โอโรจิก็เงียบเสียงไป แม้เจนจะยังมีคำถามมากมายต้องการจะถามแต่คราวนี้ไม่ว่าเธอพยายามเรียกเท่าไหร่ พญาอสรพิษก็ไม่ยอมตอบเสียงเรียกของเธอเลย



    หลังจากผ่านไปซักพักพวกโจและกลุ่มผู้เล่นก็จัดการกับกบดึกดำบรรพ์ทั้งหมดได้ เสียงร้องด้วยความยินดีดังไปทั่วเพราะไม่เพียงแค่ค่าประสบการณ์ที่ได้เป็นจำนวนมากแล้ว ยังมีของที่ตกจากมอนสเตอร์ระดับบอสและกบตัวเล็ก ๆ มูลค่ามหาศาลที่สามารถแบ่งกันได้ทุกคนกลับไปจนถือว่าการมาล่าบอสตามข่าวลือในครั้งนี้ไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ



    เมื่อเจนเดินมาสมทบกับพวกโจ ผู้เล่นคนอื่น ๆ ต่างหันมามองดูเธอด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับเสียงซุบซิบคุยกัน หลายคนทำท่าจะเดินเข้ามาหาถ้าหากไม่ติดที่ซึบากิและพรรคพวกของเธอตัดหน้าเดินเข้ามาขวางเอาไว้ซะก่อน



    "ทุกคนคงเห็นแล้วว่าผู้กล้าในชุดขาวจัดการกับมอนสเตอร์บอสระดับสูงอีกตัวในระหว่างที่พวกเราจัดการกับเป้าหมายที่พวกเราต้องการมาจัดการตั้งแต่แรก ทุกคนได้โปรดเห็นใจผู้กล้าในชุดขาวด้วย ปล่อยให้เขาพักและแยกย้ายกันกลับเมืองได้แล้ว" เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งในกองทัพของซึบากิตะโกนประกาศให้กับผู้เล่นคนอื่น ๆ ได้ทราบ แม้จะมีบางส่วนที่ไม่พอใจเพราะคิดว่ากิลด์วิหคเทเวศจะกักตัวผู้กล้าในชุดขาวเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว บางคนถึงขนาดต้องการจะมาแบ่งส่วนของจากเจนที่นอกจากจะจัดการเจ้าแห่งหนองน้ำได้แล้วยังจัดการกับกบดึกดำบรรพ์ไปอีกสองตัว แต่ก็ไม่มีใครกล้าหือกับกองทัพแห่งกิลด์วิหคเทเวศทัพนี้ เพราะทุกคนที่ร่วมสู้ต่างเห็นถึงฝีมือของผู้หญิงทุกคนที่สามารถจัดการกบดึกดำบรรพ์ไปได้อย่างไม่ยากเย็น ต่อให้ไม่มีเจนอยู่ บางทีพวกซึบากิก็สามารถจัดการกับเจ้าแห่งหนองน้ำได้เลยด้วยซ้ำ



    "ขอบคุณนะที่ช่วยกันคนออกไปให้ ว่าเธอพวกเธอจัดการกับกบดึกดำบรรพ์ได้หรือเปล่า" เจนถามซึบากิขณะที่กำลังมองพวกผู้เล่นคนอื่น ๆ ฉีกกระดาษวาปกลับเมืองไป



    "ได้สิ ต้องขอบคุณนายนั่นแหละที่ช่วยจัดการกบตัวเล็ก ๆ แล้วก็เจ้าพี่เบิ้มตัวนั้นไป พวกเราทำงานได้ง่ายขึ้นเยอะเลย" ซึบากิตอบด้วยรอยยิ้มอย่างพอใจ



    "ขอถามหน่อยได้มั้ยว่าพวกเธอมาจัดการกับเจ้ากบพวกนี้ทำไม ดูจากฝีมือแล้วน่าจะไปล่าบอสที่เก่งกว่านี้ก็ไม่น่าจะเกินมือพวกเธอนะ" แจ็คถามขึ้นด้วยความสงสัย



    ซึบากิแยกเขี้ยวยิ้มก่อนจะหยิบสร้อยไข่มุกขึ้นมาให้ดู มันเป็นสร้อยไข่มุกขนาดใหญ่ถูกถักร้อยกันอย่างประณีต ไข่มุกเม็ดที่อยู่ตางกลางนั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดและยังส่องประกายสว่างต่างจากไข่มุกทั่วไปมาก แค่มองก็รู้ว่าสร้อยไข่มุกเส้นนี้มันจะต้องมีราคาสูงอย่างแน่นอน



    "พวกเรามาตามหาสร้อยไข่มุกเส้นนี้น่ะ มันเป็นสร้อยไข่มุกของราชินีฮิมิโกะ ถ้าหากนำไปคืนเธอได้ล่ะก็จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินนับล้านเหรียญทองและอาวุธกับชุดเกราะระดับสูงด้วย บางทีถ้าโชคดีพวกฉันอาจจะได้ของระดับ S เป็นของรางวัลด้วยก็ได้...นี่พวกนายทำหน้าอย่างนั้นทำไมน่ะ" ซึบากิถามเมื่อเธอเห็นสีหน้าตกตะลึงของพวกเจนที่ต่างจ้องมองไปยังสร้อยไข่มุกเป็นสายตาเดียว



    "ภารกิจ...ตามหาสร้อยไข่มุก..-" โจเอ่ยปากถาม



    "ใช่ ภารกิจบนกระดาษแผ่นเก่า ๆ บนกระดานภารกิจที่อยู่กลางเมืองนั่นแหละ ที่ไม่มีคนทำกันก็เพราะไม่มีใครสนใจจะสืบข้อมูลว่าใครเป็นผู้ให้ภารกิจ พวกฉันลองสืบดู พอรู้ว่าราชินีฮิมิโกะเป็นคนให้ภารกิจและสร้อยไข่มุกอยู่ที่ไหนก็เลยยกทัพมากันนี่...แหละ" ซึบากิตอบเสียงสูง เพราะคนฟังตอนนี้ดูไม่มีกะจิตกะใจจะฟังที่เธอพูซักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้สองสาวซินจูและไมโกะต่างถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย ส่วนสามหนุ่มก็ยกมือไหว้ขอโทษผู้กล้าในชุดขาวที่กำลังจ้องหน้าพวกเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อในขณะสาวงามในชุดยูกาตะและเด็กสาวในชุดสีฟ้าตีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้อามีร่ามองดูเหตุการณ์ด้วยความสงสัย



    "ว่าแต่พวกเธอนี่มีฝีมือไม่เลวเลย สนใจที่จะเข้ากิลด์วิหคเทเวศบ้างหรือเปล่า" ซึบากิพูดขึ้นทำให้พวกเจนเลิกสนใจเรื่องตรงหน้าและหันมาดูว่ารองหัวหน้ากิลด์ผู้นี้กำลังพูดกับใคร



    ดวงตาเป็นประกายของซึบากิกำลังจ้องไปยังสี่สาวที่ยืนอยู่ใกล้กัน ดูท่าทางเธอยังไม่รู้ว่าคิทซึเนะและฟีบีไม่ใช่ผู้เล่น ส่วนซินจูและไมโกะต่างหันมามองดูสมาชิกกลุ่มคนอื่น ๆ ราวกับว่าต้องการความเห็น ในขณะที่ซึบากิกำลังรอคำตอบของพวกเธออยู่นั้น มีเพียงอามีร่าเพียงเดียวที่ซึบากิไม่แม้แต่จะเหลียวไปมอง



    หลังจากหันไปคุยกันในกลุ่มจนได้ข้อสรุปแล้ว ไมโกะจึงหันมาให้คำตอบกับซึบากิ "ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะ แต่พวกเราอยากจะอยู่ด้วยกันมากกว่า ไม่รู้ว่าพวกผู้ชายพวกนี้จะเข้ากิลด์ไหน พวกฉันก็อยากจะตามไปคุมพวกนี้จะได้ไม่ไปก่อเรื่องยุ่ง ๆ เข้าน่ะ"



    "ก็ได้ แต่ถ้าหากอยากจะเข้าร่วมกับพวกฉันเมื่อไหร่ก็ติดต่อมานะ ประตูกิลด์วิหคเทเวศเปิดรับพวกเธอเสมอ" ซึบากิพูดแล้วหันไปหาเจนพร้อมกับยื่นมือให้ "ยินดีที่ได้รู้จักนะเจน หวังว่าคราวหน้าพวกเราคงได้ร่วมมือกันแบบนี้อีก"



    เจนยิ้มรับและยื่นมือไปจับกับซึบากิ "ยินดีเสมอ"



    หลังจากนั้นทั้งสองกลุ่มก็พากันแยกย้ายไปเก็บของยังที่พักของตน ดูท่าทางคงไม่มีความจำเป็นที่จะพักอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วเพราะพื้นที่หนองน้ำเกือบครึ่งถูกทำลายด้วยผ่ามิติขนาดใหญ่ไปแล้ว คงไม่เหลือตัวอะไรอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้ให้เก็บเลเวลแล้วล่ะ



    เจนลองตรวจสอบค่าประสบการณ์ที่ได้จากการต่อสู้ในครั้งนี้ เธอมีเลเวลเพิ่มขึ้นมาถึงสี่เลเวล สามจากโบนัสที่จัดการมอนสเตอร์ระดับบอสได้ ส่วนค่าประสบการณ์ที่ได้นั้นเพิ่มระดับได้แค่เลเวลเดียวเท่านั้น ทำให้ตอนนี้เจนมีเลเวลเก้าในขณะคนอื่น ๆ มีเลเวลเพิ่มมาแค่คนละสองสามเลเวลเท่านั้น ถึงแม้จะจัดการกับพวกกบมามาก แต่กองทัพกบส่วนใหญ่มียศอยู่ระดับทหารเท่านั้น จะมียศขุนนางก็แค่กบดึกดำบรรพ์และเจ้าแห่งหนองน้ำ



    "พวกเสือซ่อนลายติดต่อมาแล้ว ตอนนี้อยู่ในเกม กำลังจะไปส่งภารกิจเลื่อนยศ พวกเราเก็บของแล้วรีบกลับเมืองกันดีกวา" โจพูดขึ้นแล้วหันไปเก็บเต็นท์



    "ว่าแต่พวกเรานี่ก็เนื้อหอมไม่เบาเลยนะคะ แค่ไม่กี่วันพวกเราก็ได้รับเชิญให้เข้ากิลด์จากทั้งกิลด์อันดับสองและอันดับสามในเกมแหนะ แบบนี้ถ้าเอาไปเล่าให้พวกพี่หนูฟังจะต้องไม่มีใครเชื่อแน่เลย" ซินจูพูดขึ้นขณะที่กำลังเก็บเครื่องครัวที่คงไม่ได้ใช้เพราะเย็นนี้คงจะได้กลับไปกินอาหารในเรียวกัง



    "ใช่ แถมพวกเราก็ดันไปตอบปฏิเสธมันทั้งสองกิลด์ด้วย แต่แค่บอกว่าพวกเราเป็นเพื่อนของผู้กล้าในชุดขาวก็ไม่มีใครจะเชื่อแล้วมั้ง" ไมโกะว่า



    "ยังมีอีกาที่ตอนนี้เป็นพวกเดียวกับพวกเราแล้วอีกเรื่องด้วยนะ" แจ็คเสริม อามีร่าที่ได้ยินก็ยิ้มขอบคุณให้กับชายหนุ่ม



    "จะว่าไปแล้วทำไมคุณซึบากิถึงไม่ชวนพี่เจนเข้ากิลด์นะ ทั้ง ๆ ที่เห็นฝีมือของพี่เจนแล้วว่าสุดยอดขนาดไหน" ซินจูถามขึ้นมา แต่ไมโกะก็รีบตอบคำทันที



    "จะชวนได้ยังไงล่ะ ก็คนอื่นยังไม่รู้ซักหน่อยนี่นาว่าเจนนะเป็นผู้หญิง"



    "ใช่แล้ว คนอื่นไม่รู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง...เอ๋!!" เจนร้องตะโกนเสียงดังอย่างตกใจ เพราะทั้งสองคนกำลังพูดในสิ่งที่เธอปกปิดเป็นความลับเอาไว้ออกมาทั้ง ๆ ที่เธอยังไม่ได้บอกกล่าวเลยแม้แต่คำเดียว







    "ไม่อยากจะเชื่อเลย!! นี่ทุกคนรู้กันหมดแล้วหรือเนี่ย" เสียงของหญิงสาวดังขึ้นอย่างไม่พอใจลั่นห้องพัก หญิงสาวผมดำเดินไปเดินมาต่อหน้าพรรคพวกทุกคนที่กลับมาอยู่กันพร้อมหน้ารวมถึงสมาชิกใหม่อย่างอามีร่าด้วย เพราะตอนนี้เจนได้รู้ว่าตอนนี้ความลับที่ควรมีเพียงแจ็คและโจรู้นั้นแตกไปนานแล้ว



    "ก็พวกนี้เป็นเพื่อนของเราทั้งนั้นนี่ ไม่เห็นว่าจะต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับกับพวกเสือซักหน่อยนี่นา แถมเธอเองก็คิดจะบอกกับพวกนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง" โจพยายามพูดเหตุผลของตัวเองแต่ก็ต้องรีบหลบสายตาพิฆาตของเจนที่หันควับมามองเมื่อเขาเอ่ยปาก



    "ใจเย็น ๆ ก่อนน่าเจน ไอ้โจมันก็ผิดที่ดันไปบอกเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้โดยที่ไม่มาคุยกับเธอก่อน แต่ถ้าจะให้พวกเสือจริงใจกับพวกเรา มันก็เริ่มจากที่พวกเราจริงใจให้กับพวกเสือก่อนสิ" แจ็คพูดขึ้น คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา



    เจนรู้ว่าที่แจ็คพูดมันก็ไม่ผิด เธอก็คิดจะบอกพวกเสือซ่อนลายเรื่องตัวเธออยู่แล้วแต่สถานการณ์และจังหวะมันไม่เป็นใจ ถ้าให้บอกตามตรงเธอเองก็รู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่าทุกคนรู้ความจริงแล้ว



    "ไม่ต้องคิดมากไปหรอกเจน โจบอกพวกเราตั้งแต่ตอนที่เราอยู่สุสานผีดิบแล้วล่ะ" เสือซ่อนลายบอก แม้จะดีใจแต่เจนก็อดที่จะหันไปมองโจตาขวางไม่ได้



    "พวกเราเองก็ไม่ได้คิดมากเรื่องนี้หรอกค่ะ ถ้าจู่ ๆ ตัวเองกลายเป็นอินเตอร์เซ็กก็คงจะไม่อยากบอกใครเหมือนกับพี่เจนนั่นแหละค่ะ" ซินจูพูดให้กำลังใจ แต่เมื่อเจนได้ยินก็ต้องหันมาค้อนใส่โจอีกรอบ



    "นี่นายบอกทุกคนเรื่องนี้ด้วยหรอเนี่ย!"



    "ก็ฉันคิดว่าไหน ๆ จะพูดความจริงแล้วก็น่าจะบอกให้หมดไปเลย... เฮ้ย เจน! ใจเย็นก่อน ค่อยพูดค่อยจากกันดีกว่าเนอะ ฮ่ะ ฮ่ะ" โจรีบพูดเสียงสูงเมื่อเขาเห็นมัจจุราชกำลังเงื้อมือขึ้นสูงเตรียมจะลงเคียวลากเขาลงนรก



    "ตอนนี้ทุกคนรู้ความจริงหมดแล้ว.. ว่าแต่เธอก็รู้ด้วยหรือเปล่า" เจนหันไปถามอามีร่า เด็กสาวที่ตอนนี้กำลังยกชาขึ้นดื่มอย่างมีความสุขก็แทบจะสำลัก เธอทำท่าเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูกเมื่อโดยสายตาของเจนจ้องมองมาหมายจะคาดคั้นเอาคำตอบจากเธอ



    "ก็...ตอนแรกฉันก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันน่ะค่ะ เพราะคุณเจนแต่งตัวเหมือนผู้ชายแต่หน้าตาสวยมาก ๆ เลย พอได้ฟังเรื่องราวจากทุกคนแล้วก็เลย..." อามีร่าตอบแต่พยายามหลบสายตาของผู้กล้าในชุดขาวจนทำให้ตัวเจนเองรู้สึกผิดไม่น้อยที่จู่ ๆ ไปคาดคั้นกับคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง ทว่ามันก็หน้าแปลกเพราะบรรยากาศในห้องนี้กลับรู้สึกเหมือนว่าทุกคนอยู่ด้วยกันมานานหลายปีแล้ว



    "เฮ่อ..ขอโทษทีนะอามีร่าที่ฉันเสียมารยาทไปหน่อย แล้วเธอไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหรอก แค่เรียกเจนเฉย ๆ ก็พอ" ผู้กล้าในชุดขาวบอกพลางนั่งลงข้าง ๆ จิ้งจอกสาวและมังกรน้อยที่ต่างกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน



    "ว่าแต่พวกเราได้อะไรมาบ้างล่ะ หนูส่งข่าว นายเอาของออกมาแบ่งกันได้แล้วมั้ง" เจนหันไปหาชายหนุ่มที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ที่มุมห้อง เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง หนูส่งข่าวก็เดินมาพร้อมกับเทของในกระเป๋าออกมาทั้งหมด เพียงในพริบตา พื้นเสื่อก็มีชุดเกราะสีเขียวอยู่สองชุดพร้อมทั้งโล่เหล็กขนาดเล็กอีกสองใบ นอกจากนั้นยังมีขวดยาพิษอีกนับร้อยขวดและหนังและขากบอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้ซินจูและไมโกะสะดุ้งสุดตัว ถอยออกห่างจากโต๊ะแทบไม่ทัน



    "นี่นาย! ถ้ามีของน่าขยะแขยงแบบนี้อยู่ก็บอกกันก่อนสิจะได้เตรียมตัวทัน!" ไมโกะว่าเสียงดัง



    "โทษทีนะแม่คุณ ไอ้ขยะที่เธอว่าน่ะฉันต้องไปเปิดสงครามแย่งกับคนอื่นมาเลยเชียวนะ โดยเฉพาะพวกกิลด์วิหคเทเวศนั่น ถึงจะเห็นว่ากิลด์นี้จะไม่ได้ประกาศยึดของไปมากกว่าสิ่งที่ตัวเองจัดการได้ก็เถอะ แต่ตอนไล่เก็บของระหว่างที่เธอสู้กันน่ะ ฉันรับรองว่าพวกแม่นี่จะต้องได้ของมูลค่าไปอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนโกลด์แน่" หนูส่งข่าวตอบออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ เนื่องจากทักษะเกี่ยวกับการต่อสู้นั้นเขาถือว่าต่ำที่สุดในกลุ่มจึงทำได้เพียงเป็นแค่คนเก็บของระหว่างที่คนอื่น ๆ มัวแต่ยุ่งกับการต่อสู้



    "ทางฉันเองก็ได้ชุดเกราะกับผ้าคลุมระดับ A มาจากเจ้าแห่งหนองน้ำ แล้วก็มีอาวุธพวกนี้กับเงินอีกแปดหมื่นโกลด์" เจนบอกแล้วจึงเอาของที่ได้มาวางรวมกับของที่หนูส่งข่าวเทเอาไว้



    "แล้วจะแบ่งกันยังไงดีล่ะ จะว่าไปแล้วเธอยังไม่มีชุดเกราะใช้เลยนะเจน ทำไมถึงไม่เอาชุดเกราะนี้ไปใส่ดูล่ะ ของที่ตกจากมอนสเตอร์ระดับบอสน่าจะมีพลังป้องกันไม่น้อยนะ อย่างน้อยก็ช่วยป้องกันการโจมตีธรรมดาได้เยอะเลย" ไมโกะว่า แต่เจนกลับทำหน้าเหยเกเหมือนไม่อยากได้



    "มันก็จริงอย่างที่พูดนะ แต่ว่ามัน..."



    "อย่าประมาทนะคะ อย่างฉันเองก็ไม่ได้มีชุดเกราะใส่ทำให้ตายไปตั้งหลายครั้งจากการโจมตีธรรมดา" อามีร่าพูดขึ้น



    "จริงอย่างที่อามีร่าว่านะ อีกอย่าง ถึงชุดเกราะนี่จะรูปร่างแปลกประหลาด แต่ค่าพลังป้องกันนี่มันไม่ได้น้อยเลยนะ เธอเอาไปใส่นั่นแหละดีแล้ว" เสือซ่อนลายเสริมด้วยอีกคน แถมเขายังหยิบชุดเกราะไปให้เจนแถมยังจ้องแกมบังคับให้เธอรับเอาไว้อีกด้วย จนสุดท้ายแล้วเจนจึงต้องรับชุดเกราะเอาไว้อย่างโดยดี



    หลังจากแบ่งของที่ได้มาเรียบร้อยโดยเสือซ่อนลายและยูสตาร์ยอมรับแค่เงินมาแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้นเพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วย นอกจากชุดเกราะกบแล้ว เจนก็ได้เงินและชิ้นส่วนของกบมาอีกจำนวนหนึ่งซึ่งหนูส่งข่าวบอกว่าของพวกนี้สามารถเอาไปขายได้ราคาดีที่ร้านขายยาหรือพวกนักปรุงยาทั้งหลาย เจนลองเปิดดูหน้าต่างสัตว์เลี้ยงเพื่อตรวจดูเลเวลของคิทซึเนะและฟีบี ตอนนี้คิทซึเนะได้ค่าประสบการณ์มาจากที่เจนจัดการกับกบดึกดำบรรพ์และเจ้าแห่งหนองน้ำทำให้เลเวลเพิ่มมาหนึ่งเลเวล ส่วนมังกรน้อยนั้นยังคงมีเลเวลยังนิ่งอยู่ที่ยศทหาร ระดับหนึ่งร้อยเท่านั้น ดูท่าทางเธอคงต้องออกตามหามังกรที่มีระดับราชาหรือเทพเจ้าเพื่อที่จะเลื่อนระดับของฟีบีดูซะแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่ามังกรเหล่านั้นจะยอมคุยกับเธอหรือเปล่านี่สิ



    "อืม...ไม่เห็นเข้าใจเลยว่าทำไมพี่เจนถึงต้องปิดเรื่องที่ตัวเองเป็นผู้หญิงด้วย" จู่ ๆ คิทซึเนะก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เจ้าตัวที่ถูกเอ่ยถึงก็เงยหน้าขึ้นมามองน้องสาวของเธอด้วยความกระอักกระอวนไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี ถึงภายนอกจะเป็นหญิงสาวสาวรูปร่างเซ็กซี่ แต่น้องสาวของเธอก็ยังคงเป็นจิ้งจอกที่ไม่รู้สาอะไรกับโลกที่เจนอยู่เลย



    "คืออย่างนี้นะคิทซึเนะ พี่เจนเขาเป็นผู้ชายแต่ไม่สบายทำให้พี่เขากลายมาเป็นผู้หญิงไงล่ะ เพราะแบบนี้พี่เขาจึงไม่อยากจะบอกเรื่องนี้กับใคร" ซินจูอธิบายอย่างเรียบง่ายโดยไม่ได้ลงลึกไปที่รายระเอียด เจนรีบหันไปยิ้มขอบคุณให้กับเด็กสาวทันทีเพราะเธอเองก็คิดคำอธิบายอะไรที่ดีกว่านี้ไปไม่ได้แล้ว



    "มันมีเรื่องอย่างนั้นด้วยหรือคะ เพิ่งรู้นะเนี่ย" จิ้งจอกสาวส่งเสียงตอบออกมาเสียงสูงด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่แทนที่จะทำให้เจนโล่งใจ อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาที่หน้าประตูห้องจนทำให้ทุกคนต้องหันไปมองเป็นสายตาเดียว



    "เรื่องแบบนั้นมีอยู่แล้วจ๊ะ เป็นอาการที่หายากมากเลยด้วย ถ้าหากอยากรู้ล่ะก็จะให้ฉันเล่าให้ฟังก็ได้นะ" เสียงหวานแต่ก็ฟังดูทรงภูมิดังขึ้น นั่นเป็นเสียงที่เจนรู้สึกคุ้นหูยังไงชอบกล เมื่อหันไปมองตามที่มาของเสียง หัวใจของเธอก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ใบหน้าซีดราวกับโดนผีหลอกยามเย็น สาเหตุนั้นไม่ได้เป็นเพราะเจ้าของเสียง แต่เป็นหญิงสาวที่ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ เธอต่างหาก



    "แม่!!" เสียงของหญิงสาวดังลั่นพร้อมกับร่างของเธอลุกพรวดพราดขึ้นมา คนอื่น ๆ ในห้องต่างก็หันมามองระหว่างเจนและหญิงสาวสองคนที่มายืนอยู่หน้าประตูห้องของพวกเธอ



    หญิงสาวคนแรกนั้นมีผมสีบลอนทองยาว สวมเสื้อเชิ้ตแขนขาวสีแดงและสวมเสื้อกั้กทับเอาไว้อีกที กางเกงสแล็คขายาวสีขาวและรองเท้าบูทสีเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่งของเธอทำให้ชุดที่สวมใส่ยิ่งดึงดูดสายตามากยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนหญิงสาวอีกคนนั้นเป็นหญิงสาวผมสีดำยาวที่มีใบหน้ายิ้มแย้มดูน่ารัก เธอสวมเสื้อโค้ทสีขาวโดยมีเสื้อสีชมพูอีกตัวอยู่ด้านใน การแต่งตัวเหมือนกับผู้ใหญ่แต่ใบหน้าของเธอดูราวกับเด็กสาววัยรุ่น ใครจะเชื่อว่าหญิงสาวคนนี้คือจริยา แม่ของเจนที่ยืนตะลึงอยู่ในห้องนี่เอง



    "****ั้นหรือ!!?" เสียงฮือฮาของไมโกะดังหลุดปากออกมา ทุกคนในห้องต่างจ้องไปยังจริยาเพราะแม่ของเจนคงไม่ใช่หญิงสาวที่มีผมบลอนตาสีฟ้าแน่



    ทั้งคู่ต่างเดินเข้ามาในห้องโดยที่จริยานั้นเดินตรงเข้ามาหาเจนอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้กล้าในชุดขาวกลับก้าวถอยหลังโดยที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกตัว



    "ไงจ๊ะลูกแม่...ว่าแต่ชุดนี่มันหมายความว่ายังไงเอ่ย" เสียงของจริยาราบเรียบแต่มีเพียงสามคนในห้องเท่านั้นที่รู้ว่าน้ำเสียงแบบนี้แหละที่นำมาก่อนอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่า



    "อะ..เอ่อ ระ..เรื่องชุดมันก็.." เจนพูดเสียงตะกุกตะกัก ในหัวพยายามคิดข้ออ้างที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งที่ได้มาตอนเริ่มเกม ใครจะไปรู้ว่าแม่ของเธอจะตามหาเธอพบได้ในเกมแบบนี้ล่ะ



    ในขณะเดียวกันนั้นเสือซ่อนลายและยูสตาร์ต่างจ้องไปที่หญิงสาวผมสีบลอนทอง ใบหน้านี้มันช่างคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับว่าพวกเขาเหมือนเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน



    "เอ่อ...ขอโทษนะครับ ผมมีชื่อวาเสือซ่อนลาย เป็นเพื่อนกับเจนครับ ไม่ทราบว่าคุณคือ..." เสือซ่อนลายเข้าไปทักทายอย่างมีมารยาท ทางหญิงสาวได้ยิงจึงหันมาหาและยืนมือออกมาหาชายหนุ่ม



    "ฉันมีชื่อว่าเกอร์ทูธ ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยดูแลเจนด้วยนะ"



    เพียงแค่เอ่ยชื่อ ทั้งพวกเสือซ่อนลาย หนูส่งข่าว พวกซินจูหรือแม้อามีร่าต่างก็มีสีหน้าตื่นตะลึก เมื่อผู้ที่เป็นเจ้าของและสร้างเกมดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์กำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว



    "คุณเกอร์ทูธเป็นเพื่อนกับแม่ของเจน!! มิน่าล่ะเจนถึงได้เก่งขนาดนั้น" หนูส่งข่าวอุทาน แต่ก็ต้องรีบหุบปากเมื่อดวงตาคมกริบของเกอร์ทูธหันมามองที่เขา



    "ขอโทษที่ต้องทำให้ผิดหวังนะจ๊ะ แต่เกมนี้แม้แต่ฉันเองก็แฮกค์ไม่ได้หรอกนะ ทุกอย่างในเกมทุกคนจะต้องไขว่คว้ามาด้วยตัวเองเท่านั้น สิ่งที่เจนมีอยู่ตอนนี้เป็นความสามารถของเธอที่หามาเองทั้งสิ้น ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย" เกอร์ทูธตอบเสียงเรียบ แม้พวกเสือซ่อนลายจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับสิ่งที่หญิงสาวเพิ่งพูดออกมา แต่ก็คงจะแย้งไม่ได้เพราะนี่คนสร้างเกมเป็นคนพูดเอง



    ตอนนั้นเองที่เกอร์ทูธรู้สึกได้ว่ามีสายตาอีกคู่หนึ่งกำลังจ้องเธออยู่ เป็นดวงตาสีดำประกายของอามีร่าที่มองเธอด้วยความซาบซึ้งทั้ง ๆ ที่เธอเพิ่งเจอกับเกอร์ทูธเป็นครั้งแรก แต่คุณหมอคนดีก็รู้ว่าเด็กสาวคนนี้รู้ว่าเธอเป็นใครและทำอะไรให้กับเธอ



    "สวัสดีจ๊ะ เธอคงเป็นอามีร่าสินะ" เกอร์ทูธทักทายพร้อมกับลงไปนั่งข้าง ๆ เด็กสาวที่จับผ้าคลุมสีฟ้าที่ได้มาเมื่อครู่แน่น



    "คุณ...เป็นคุณใช่มั้ยคะที่ช่วยฉันกับแม่และทุก ๆ คนออกมา" อามีร่าถาม เธอรู้ทันทีว่าเจนช่วยให้เธอหลุดออกมาจากขุมนรกได้ยังไงเมื่อรู้ว่าเธอรู้จักกับหญิงสาวคนนี้ จากเงินและชื่อเสียงมากมายของตัวเกอร์ทูธเอง ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาทีมงานและอุปกรณ์เช่นนั้นได้



    แต่คำตอบของหญิงสาวกลับไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เกอร์ทูธส่ายหน้าเบา ๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้น "ฉันอาจจะเป็นคนหาข้อมูลเรื่องสถานที่ ฉันอาจจะเป็นคนที่สร้างอาวุธหรือยานบิน หรือฉันอาจจะเป็นคนติดต่อเพื่อนที่พอจะช่วยเธอได้ก็จริง แต่ทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าหากเธอคนนั้นไม่พยายามหาทางช่วยเธอให้ได้"



    อามีร่ามองตามนิ้วไปยังหญิงสาวที่กำลังหน้าซีดเผือกขณะที่กำลังคุยกับหญิงสาวอีกคน ซึ่งตอนนี้โจและแจ็คเข้าไปช่วยคลี่คลายสถานการณ์อีกแรงหนึ่งด้วย เด็กสาวหันมามองและทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่คุณหมอคนดีเอานิ้วมาปิดปากของเธอเอาไว้พร้อมทั้งขยิบตาให้อย่างมีนัย



    ขนาดได้เพื่อนทั้งสองมาช่วยคุยแต่ดูท่าทางอารมณ์ของจริยาไม่เบาลงเลย แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้มทว่ากลับทำให้พวกเจนรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัวแต่เหงื่อแตกซกจนร่างกายเริ่มสั่น ถ้าหากปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ มีหวังงานได้เข้ารอเจนล็อกเอาท์ออกจากเกมไปแน่นอน



    "อ..เอ่อ จริงสิ!! ความจริงแล้วเจนก็มีเสื้อของเด็กผู้หญิงอยู่นะครับ แต่เพราะถ้าหากใส่ชุดอย่างนั้นแล้วมันสู้ไม่ค่อยถนัด ก็เลยใส่ชุดแบบผู้ชายน่ะครับ" โจพูดอธิบายเสียงดัง



    "จริงครับคุณแม่ แต่ว่าผมน่ะพยายามเกลี้ยกล่อมให้เจนยอมใส่ชุดผู้หญิงแล้วนะ แต่ยัยนี่ไม่ยอม..- ย้าววว!!" แจ็คร้องเสียงหลงเพราะถูกมือเรียวหยิกเข้าที่เอวเต็มแรง แม้ตอนนี้เธอจะพอมีข้ออ้างที่ดีแล้ว แต่ดูท่าทางจริยากับไม่เชื่อซะทีเดียว



    "ตอนนี้ยังไม่ได้สู้กับใคร ถ้าอย่างนั้นลองไปใส่ชุดให้แม่ดูหน่อยได้มั้ยจ๊ะ" จริยาถาม แต่นั่นทำให้เจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น เพราะว่าเธอเคยซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงซะที่ไหนล่ะ ทั้งตัวนอกจากชุดขาวกับผ้าคลุมนี่แล้วก็มีชุดสีแดงน้ำเงินที่ไม่ได้ดูคล้านชุดของผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย



    ทว่าตอนนั้นเองก็เหมือนมีเสียงดังมาจากสวรรค์ เมื่อซินจูลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา



    "มาเถอะค่ะพี่เจน เดี๋ยวหนูไปช่วยเลือกชุดใส่เองค่ะ" พูดจบสาวน้อยก็ลากผู้กล้าเข้าไปยังห้องนอน เจนที่ไม่มีทางเลือกก็ต้องปล่อยเลยตามเลยเพราะถ้าหากไม่ไปกับซินจู เธอก็คงต้องโดนแม่ของเธอฆ่าเอาแน่ ๆ



    หลังจากเวลาผ่านไปได้พักใหญ่ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเจนออกมาในมาดใหม่ที่ทำให้ผู้ชายทุกคนในห้องต้องมองตาค้างไปตามกัน



    ตอนนี้เจนอยู่ในชุดเดรสสีเหลืองที่เธอเคยพบเมื่อครั้งที่อยู่ในเมืองคริสตัลเบล ผมสีดำยาวถูกปล่อยสยายยาวเป็นอิสระพร้อมทั้งเสริมด้วยที่คาดผมสีฟ้าสดใส ใบหน้าของเจนในตอนนี้แดงก่ำด้วยความเอียงอาย ร่างบางที่อยู่ในชุดงามเสริมให้เห็นทรวดทรงพร้อมทั้งชุดกระโปรงยาวปิดมาแค่ครึ่งน่องเท่านั้น เผยให้เห็นเรียวขาขาวแสดงความเป็นผู้หญิงออกมาให้เห็นมากยิ่งขึ้น ขนาดไมโกะเองได้เห็นยังต้องผิวปากชมเชย



    "เป็นไงบ้างคะ พี่เจนโฉมใหม่ ชุดนี่พี่เขาเลือกเองกับมือเลยนะคะ" ซินจูว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แม้ว่าแม่สาวช่างเสื้อส่วนตัวจำเป็นพูดถูกว่าเจนเป็นคนเลือกชุดนี้ แต่เธอไม่ได้ซื้อมันมาซักหน่อย!



    จริยาที่ได้เห็นลูกสาวของตัวเองก็คลายยิ้มเย็นยะเยือกไปจนหมด แทนด้วยรอยยิ้มด้วยความดีใจพร้อมเข้ามากอดเจนแน่น



    "ลูกสวยมากเลยจ๊ะ! น่ารักอย่างที่แม่คิดเอาไว้จริง ๆ ด้วย ลูกไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ ถ้าหากตอนออกไปสู้น่ะแม่อนุญาตให้เจนใส่ชุดอะไรก็ได้อยู่แล้ว" จริยาบอกพร้อมพาเจนมานั่งที่กลางห้องข้าง ๆ เกอร์ทูธ



    "ว..ว่าแต่นี่แม่ตามหาเจนเจอได้ยังไง" หญิงสาวในชุดงามถามขึ้น พยายามจะไม่คิดว่าตัวเองอยู่ในชุดน่าอายขนาดไหน



    "ก็เป็นเพราะลูกนั่นแหละแม่ถึงได้หาเจอ" จริยาว่าพร้อมกับส่งหนังสือพิมพ์กับเจน



    บนหนังสือพิมพ์นั้นเขียนเอาไว้ว่าผู้ชนะการคัดตัวประลองเบลดมาสเตอร์ทั้งสิบสองคน ผู้กล้ามองเห็นตัวเองใต้ตัวหนังสือตัวใหญ่เขียนเอาไว้ว่าเมืองยามะไต ข้าง ๆ เธอนั้นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากบลูธันเดอร์แห่งกิลด์พายุสีเงินและครี้ด หัวหนากิลด์สมิงห์ทมิฬ ที่เขาได้เป็นตัวแทนเช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขามีฝีมือมากพอที่จะเอาชนะเหล่าขุนพลมาได้ ส่วนผู้ผ่านเข้ารอบคนที่สี่นั้นเป็นหนึ่งในขุนพลที่เจนเคยพบมาก่อน ซามูไรหญิง โทโมเอะ โกเซนนั่นเอง



    "ตอนแรกที่แม่เห็นลูกลงหนังสือพิมพ์นี่ทำเอาแม่ตกอกตกใจหมดเลยรู้มั้ย นึกว่าลูกเป็นพวกอาชญากรโดนตามจับซะอีก" จริยาว่า ทำเอาคนฟังแทบจะทิ้งหนังสือพิมพ์ในมือลงพื้น



    "แล้วแม่รู้ได้ยังไงว่าเจนอยู่ที่โรงแรมนี้ อย่าบอกนะว่าอ่านเอาจากหนังสือพิมพ์" เจนก้มลงอ่านข่าวของเธอทันที เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ล่ะก็ ความสงบกับความเป็นส่วนตัวของพวกเธอคงจะหมดไปอย่างแน่นอน



    แต่ก่อนที่แม่ของเจนจะได้ตอบ เกอร์ทูธก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาซะก่อน "ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็เป็นฝีมือของฉันเองล่ะ"



    ผู้กล้าในชุดขาวที่ตอนนี้อยู่ในคราบสาวสวยหันไปรี่ตามองสาวผมบลอน เธอคิดเอาไว้แล้วเชียวว่าต้องเป็นฝีมือของหญิงสาวคนนี้ เจนจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากเกอร์ทูธจะให้คนติดตามเธอตลอดเวลาที่อยู่ในเกม



    ในเวลาไม่นาน เกอร์ทูธและจริยาก็สนิทกับเพื่อน ๆ ของเจนได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะคิทซึเนะและฟีบีที่เป็นน้องสาวของเจน จริยาถูกใจสองคนนี้มากเพราะทั้งสองต่างหน้าตาน่ารักจนยากที่จะห้ามใจ ตอนที่อยู่นอกเกมเจนเคยได้ยินแม่ของเธอบ่นอยู่บ่อยครั้งว่าอยากให้เจนมีน้องสาวอีกซักคน ตอนนี้ในเกมเธอได้มาถึงสอง คิทซึเนะแม้ตอนนี้เธอจะดูเป็นสาววัยเดียวกับเจนแต่เธอก็พูดคุยกับจริยาได้อย่างสนิทสนมได้อย่างรวดเร็วราวกับรู้จักกันมานาน ส่วนฟีบีนั้นก็เป็นเด็กสาวขี้อ้อนจนจริยาดึงตัวเธอเข้าไปกอดอยู่ตลอดเวลา เจนรู้สึกสงสารฟีบีอยู่ไม่น้อยเพราะตั้งแต่เกิดออกมาจากไข่ คนที่มังกรน้อยเห็นเป็นคนแรกอย่างเจนนั้นควรจะดูแลสมให้กับเป็นแม่ของเธอ แต่ก็ทำได้เป็นเพียงแค่พี่สาว การที่จริยามาอยู่ตอนนี้ทำให้เธอกลายเป็นแม่คนใหม่ของฟีบี มังกรน้อยก็รู้สึกดีใจไม่น้อยและออดอ้อนอย่างที่เด็กสาวปกติทำกันจนดูน่ารักน่าชัง



    หลังจากความจริงถูกเปิดเผย ตอนนี้เจนก็ถูกดึงเข้ามาร่วมวงสนทนาประสาผู้หญิงกับซินจูและไมโกะด้วยอีกคน แถมตอนนี้มีเกอร์ทูธพ่วงมาด้วย โดยทั้งสามต่างคุยกันเรื่องเสื้อผ้าที่เจนไม่รู้เรื่องเลยซักนิด พอจะหันไปหาพวกผู้ชายก็พบว่าตอนนี้พวกเขากำลังก้มอ่านหนังสือพิมพ์ที่จริยาเอามาอย่างตั้งอกตั้งใจ



    "นี่พวกนายกำลังอ่านอะไรอยู่น่ะ" เจนถามพร้อมทั้งเดินเข้าไปหาเพราะคุยกับพวกซินจูตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่อง



    เสือซ่อนลายและยูสตาร์ที่เห็นว่าใครเป็นคนทักต่างก็หลบฉากออกไป แต่เจนมองเห็นใบหน้าที่พยายามกลั้นหัวเราะสุดแรง เธอรู้ว่าคงจะไปคาดคั้นเอาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนั้นไม่ได้แน่ เพราะตัวการคงจะเป็นสามหน่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ด้านหน้าเธออย่างแน่นอน



    "อะไร.." ผู้กล้าในชุดขาวถามห้วน ๆ โจเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะตอบ



    "ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่มีคอลัมน์ข่าวที่เกี่ยวกับเธอด้วยก็เท่านั้นเอง" ได้ยินเพื่อนของเธอบอกก็ทำให้ดวงตาของเด็กสาวเบิกกว้างด้วยความตกใจ มือบางรีบพุ่งเข้าไปคว้าหนังสือพิมพ์แต่โจกลับโยนไปให้แจ็คที่รอรับอยู่อีกฟากของห้องแถมชายหนุ่มร่างโตนั้นก็เปิดออกอ่านเสียงดังจนคนอื่น ๆ ในห้องหันไปมองตามด้วยความสนใจ



    "ในเวลานี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักกับผู้กล้าในชุดขาว หรือเจน เด็กหนุ่มผู้ลึกลับที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมทั้งความเก่งกาจที่ไม่มีใครกล้าเถียงและหน้าตาที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธ วู้ว!" แจ็คร้องเสียงดังเพราะต้องหลบหมัดของเจนที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ตั้งตัว ใบหน้าของหญิงสาวตอนนี้แดงก่ำยิ่งกว่าเก่าซะอีก



    "เอามานี่เลยนะ!!" เจนที่หน้าแดงก่ำตะโกนเสียงดังพร้อมกับพุ่งเข้าไปหมายจะคว้าเอาหนังสือพิมพ์ในมือของแจ็ค แต่ก่อนที่เธอจะได้มันไป เขาก็โยนไปให้ยูสตาร์ที่รอรับอยู่อีกฟากของห้อง



    "เป็นครั้งแรกที่หน้าตาของเจน หนุ่มน้อยหน้าสวย ผู้กล้าในชุดขาวได้เปิดเผยออกมาแก่สาวตาของสาว ๆ ทุกคนหลังจากเขาได้เอาชนะและได้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประลองเบลดมาสเตอร์ แม้ว่าในเกมนี้จะมีหนุ่ม ๆ หน้าสวยอยู่มากมาย แต่จากการสำรวจผู้หญิงหนึ่งร้อยคนถึงชายหนุ่มที่ต้องการควงคู่ที่สุดในเวลานี้ ซึ่งในครั้งนี้คนที่มาแรงที่สุดไม่ใช่คุณจีโอ คุณหย่งฟางจากกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่หรือหนุ่ม ๆ ผู้เก็บตัวจากกิลด์หกราชันย์ แต่เป็นหนุ่มน้อยผู้กล้าในชุดขาวนี่เอง...อ๋า ไอ้พวกนี้มันตาบอดหรือไงเนี่ยที่มองเห็นเจนว่าเป็นหนุ่มหล่อ ฉันเองก็หน้าตาดีเหมือนกันนะทำไมไม่มองบ้าง" หลังจากอ่านบทความยูสตาร์ก็บ่นออกมาอย่างไม่พอใจแล้วจึงโยนไปให้กับเสือซ่อนลาวที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อไม่ให้เจนเอาไปได้ ในขณะคนฟังต่างหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจโดยเฉพาะโจที่หัวเราะลั่นจนน่าหมั่นไส้



    ต่างจากคนอื่น เสือซ่อนลายเป็นสุภาพบุรุษกว่าที่คิด เขาไม่อ่านและส่งหนังสือพิมพ์ให้เจนอย่างโดยดี ส่วนทางหญิงสาวเมื่อได้ของที่ต้องการมาแล้วก็วิ่งเข้าใส่เจ้าตัวต้นเหตุซึ่งวิ่งหนีไปรอบห้องทันที เรื่องคงจะยิ่งวุ่นขึ้นกว่าเดิมถ้าหากปล่อยให้เจนวิ่งไล่โจต่อไปเช่นนี้ โชคดีที่อาหารเย็นมาถึงพอดี ทำให้การวิ่งไล่ของเจนต้องหยุดลงชั่วคราว



    หลังจากทานมื้อเย็นร่วมกันพร้อมหน้าเสร็จเรียบร้อย เกอร์ทูธและจริยาก็ขอตัวออกไปจากห้อง ปล่อยให้พวกเจนอยู่ด้วยกันตามเดิม โดยทั้งสองจะไปนอนที่ห้องใกล้ ๆ กันแทน เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองคนออกไปแล้ว บรรยากาศในห้องก็เงียบลง แต่เจนรู้สึกได้ว่าทุกคนในห้องกำลังจ้องเธอเป็นสายตาเดียว



    "อ..อะไรกันเล่า เอาแต่จ้องหน้ากันอยู่ได้" เจนพูดเสียงสั่น ใบหน้าของเธอเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่ออีกครั้ง ถึงแม้ว่าคนพวกนี้จะเป็นเพื่อนของเธอ แต่ตอนนี้เธออยู่ในชุดที่แสนจะเป็นผู้หญิ้งผู้หญิง ถ้าจ้องกันแบบนี้ก็รู้สึกอายเหมือนกัน



    "เธอคิดจะบอกคนอื่นเรื่องนี้ตอนไหนล่ะเจน" เสือซ่อนลายถาม



    "คนอื่นไหน" เจนขมวดคิ้วถามกลับด้วยความสงสัย



    "ก็คนอื่น หมายถึงทุกคนที่รู้จักเธอไง ตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่าผู้กล้าสีขาวเป็นผู้ชายหน้าสวย อีกไม่ช้าก็ต้องมีคนรู้ความจริงแน่ว่าเธอเป็นผู้หญิง"



    "แล้วตอนนี้ยิ่งมีรูปเธอขึ้นปกหนังสือพิมพ์ด้วย อีกไม่นานข่าวของเธอก็จะหลุดออกไปนอกเกมแน่ ไปยังคนที่รู้จักเธอและตามหาเธอถึงตัวได้ ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในนี้ ฉันว่าทุกคนควรจะรู้ความจริงจากปากของเธอเองมากกว่ารู้จากปากของคนอื่นนะ" ยูสตาร์เสริม



    เจนยกมือกุมหัวของตัวเอง เรื่องเก่ายังไม่ทันจะเย็นลงเลย ปัญหาใหม่ก็มาอีกแล้ว แค่เธอจะเล่นเกมนี้ได้อย่างสงบ ๆ จะได้มั้ยเนี่ย "ฉันรู้แล้วน่า! นี่ฉันเพิ่งจะบอกความจริงพวกนายวันนี้เองนะ จะให้จู่ ๆ ไปป่าวประกาศว่าฉันเป็นผู้หญิงวันพรุ่งนี้เลยได้ยังไงเล่า"



    เสือซ่อนลายและยูสตาร์หันหน้ามามองกันก่อนจะถอนหายใจออกมา เรื่องนี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับเจน พวกเขาคงได้แต่คอยช่วยเจนเท่าที่ทำได้เท่านั้นเอง แต่พอก่อนสำหรับเรื่องนี้ พวกเขาทั้งสองยังมีเรื่องอื่นที่อยากจะคุยกับคนในกลุ่มของเขา



    "เอาล่ะฟังทางนี้หน่อยนะทุกคน" เสือซ่อนลายพูดขึ้นเรียกให้ทุกคนหันไปสนใจเขา "ตอนที่ฉันกับยูสตาร์อยู่นอกเกม พวกเราสองคนปรึกษาเรื่องบางอย่างและได้ข้อสรุปมาเรื่องหนึ่ง ก็เลยอยากจะมาปรึกษากับทุกคนว่าเห็นด้วยกับพวกเราหรือเปล่า..เธอก็ด้วยนะ อามีร่า" เสือซ่อนลายรีบเสริมเมื่อเห็นเด็กสาวกำลังลุกขึ้นออกไปจากห้องเพราะคิดว่าเรื่องที่ชายหนุ่มกำลังคุยกันอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องของเธอ



    "เรื่องอะไรงั้นหรือ พูดออกมาเลย" ไมโกะถามขณะที่เธอเหลือบไปมองเจนและซินจูดึงให้อามีร่านั่งลงที่เดิม



    "ก็ไม่มีอะไรหรอก.. คือพวกเราก็อยู่ด้วยกันมานานแล้วใช่มั้ยล่ะ แล้วพวกเราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆ ฉันก็เลยคิดว่ามันคงจะดีกว่าที่...พวกเราจะตั้งกิลด์ด้วยกัน" ยูสตาร์พูด ปฏิกิริยาของทุกคนเมื่อได้ยินต่างก็แปลกใจแต่ไม่มีใครที่ปฏิเสธ



    "ความคิดไม่เลวนะ พวกเราตั้งกิลด์กันเองจะได้ไม่มีปัญหาเวลาใครมาชวนพวกเราเข้ากิลด์ด้วย" แจ็คพูดขึ้น ไมโกะและคิทซึเนะพยักหน้าเห็นด้วยแต่หนูส่งข่าวแย้งขึ้นมาซะก่อน



    "แต่ถ้าหากเราจะตั้งกิลด์ต้องมีสมาชิกทั้งหมดอย่างน้อยสิบคนนะ ฉันนับพวกเราทุกคนรวมอามีร่าแล้วก็ได้แค่เก้าคนเท่านั้นเอง แถมพวกเรายังต้องมีที่ทำการกิลด์อีก"



    "แล้วคิทซึเนะกับฟีบีล่ะ นายนับสองคนนี้ด้วยหรือเปล่า.. หรือว่าถ้าไม่ใช่ผู้เล่นก็เข้ากิลด์ไม่ได้" เจนถามขึ้น เพราะเมื่อเธอนับทั้งสองเข้าไปด้วยแล้วก็จะได้สิบเอ็ดคน พอที่จะตั้งกิลด์ได้แล้ว



    "นั่นล่ะ! ถ้าพวกเรานับทั้งสองเข้าไปด้วยพวกเราก็ตั้งกิลด์ได้แล้ว ไม่มีกฎข้อไหนห้ามให้ชาวเมืองหรือมอนสเตอร์เป็นสมาชิกกิลด์ของผู้เล่น ส่วนเรื่องที่ทำการนั้นพวกเรามีเวลาหาอีกตั้งสิบวัน เอาไว้ตั้งกิลด์แล้วพวกเราค่อยไปหาเอาทีหลังก็ได้ ถ้าฝีมืออย่างพวกเราก็คงหาได้ไม่ยากนักหรอก" โจว่าเสียงดัง ทุกคนต่างหันหน้ายิ้มเข้าหากันเมื่อตอนนี้กลุ่มของตัวเองเริ่มจะก่อตั้งเป็นรูปร่าง ยกเว้นเพียงอามีร่าคนเดียงที่มีสีหน้าหดหู่ลงอย่างเห็นได้ชัด



    "จะดีหรือคะ" เด็กสาวพูดเสียงค่อย แต่ทุกคนได้ยินและหันมามองเธอด้วยความแปลกใจ "จะดีหรือคะที่ให้ฉันเข้ากิลด์ด้วย ฉันเคยเป็นคนของกิลด์พิฆาตราชานะ แถมผู้เล่นคนอื่นยังโกรธแค้นฉันอยู่ด้วย ถ้าหากฉันเข้ากิลด์ล่ะก็จะไม่ได้มีแค่พวกกิลด์พิฆาตราชาที่จะตามมาเล่นงานพวกคุณ แต่จะเป็นผู้เล่นเก่ง ๆ ที่มาตามล่าฉันด้วย"



    พวกเจนได้ยินที่อามีร่าพูดออกมาก็หันมามองหน้ากัน เพียงชั่วขณะหนึ่งเด็กสาวรู้ตัวว่าทุกคนกำลังจะปรึกษากันว่าจะทำยังไงกันกับตัวปัญหาอย่างเธอดี แต่ถ้าหากพวกเจนจะไม่คิดรับเธอเข้ากิลด์ด้วย อามีร่าก็จะไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าคำตอบที่เธอได้จากเสือซ่อนลายนั้นกลับทำให้เธอต้องแปลกใจ



    "เธอไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นไปหรอก ตอนนี้เธอเป็นเพื่อนของพวกเราแล้ว พวกเราไม่ตัดหางเธอทิ้งไปง่าย ๆ หรอก" ชายหนุ่มพูดแล้วเข้าไปตบบ่าให้กำลังใจ



    "ส่วนเรื่องที่คนจะเข้ามาเล่นงานเธอก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ถ้าเจนออกหน้าซะก็คงไม่มีปัญหา จริงมั้ยเจน" ยูสตาร์หันไปถามเจนที่พยักหน้าให้คำมั่น



    "ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วถ้ากิลด์พิฆาตราชาจะมาเอาตัวเธอไปอีก พวกเราก็จะไล่พวกมันกลับไปเอง"



    "แต่ว่าฉันมีค่าหัวด้วยนะคะ.." อามีร่าพยายามปฏิเสธ แต่แจ็คก็พูดขัดขึ้นมาอีก



    "ค่าหัวของเธออยู่ที่สิบล้านโกลด์ ว้าว เยอะไม่ใช่เล่นนะเนี่ย แต่ถ้าหาพวกเราเอาเงินไปถอนค่าหัวเธอออกก็หมดปัญหาแล้ว ใช่มั้ยโจ" แจ็คโยกหัวไปถามเพื่อนของเขาที่กำลังโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่มีปัญหา



    "อามีร่าไม่ต้องกลัวนะ ถ้าหากมีใครจะมาหาเรื่องฉันจะเผามันให้กลายเป็นจุลเลย มาเกี่ยวก้อยสัญญากันนะ"คิทซึเนะพูดแล้วยื่นนิ้วออกไปหาอามีร่า เธอรู้สึกตื้นตันจนบอกไม่ถูก น้ำตาหยดเล็ก ๆ ที่เปี่ยมด้วยความสุข รินไหลออกมาบนใบหน้าขณะที่เธอยื่นนิ้วไปเกี่ยวก้อยกับจิ้งจอกสาว คนพวกนี้ช่วยเหลือเธอมาเสียเหลือเกินทั้ง ๆ ที่เธอไม่เคยช่วยอะไรพวกเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว



    "เอาเป็นว่าทุกคนเห็นด้วยนะ แต่ที่เรายังหาทางออกไม่ได้ก็คือชื่อกิลด์และใครที่จะมาเป็นหัวหน้ากิลด์" เสือซ่อนลายพูดขึ้นแล้วหันไปหาเจนเช่นเดียวกับทุกคน ถ้าหากพูดถึงความเหมาะสม ก็ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าผู้กล้าในชุดขาวอีกแล้ว



    "จะให้ฉันเป็นงั้นหรอ อย่าดีกว่า ถึงฉันจะสู้ได้ดีแต่จะให้เป็นหัวหน้าใครล่ะก็ฉันทำเละทุกที ให้พี่ยูเป็นสิ พี่อายุมากที่สุดในกลุ่มเรานะ" เจนปฏิเสธและโยนหน้าที่ไปให้ยูสตาร์ที่ส่ายหน้ายกใหญ่



    "เป็นหัวหน้าคนอื่นเขาแค่นอกเกมฉันก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ในเกมฉันขออยู่สบาย ๆ บ้างเถอะ"



    "ฉันเองก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ ถ้าวางแผนสู้ล่ะก็พอได้ แต่หัวหน้ากิลด์มันใหญ่เกินไปสำหรับฉัน" เสือซ่อนลายรีบบอกก่อนจะมีใครเสนอชื่อของเขา



    เจนหันไปหาไมโกะก็ส่ายหน้าปฏิเสธเช่นเดียวกัน สุดท้ายทุกคนก็หันไปหาคนเดียวที่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นหัวหน้ากิลด์ของพวกเธอได้ จะเป็นใครอื่นอีกนอกจากคนที่มีประสบการณ์มาก่อนอย่างจอมเวทหนุ่มในผ้าคลุมสีแดงนั่นเอง



    "ถ้าเป็นความเห็นของทุกคน ฉันก็คงปฏิเสธไม่ได้ล่ะนะ หึหึ" โจเก็กเสียงหล่อ แต่ก็ถูกเจนและแจ็ครั้งเอาไว้ซะก่อนที่จะหลงตัวเองไปมากกว่านี้



    "ขอบอกไว้ก่อนนะ ถึงนายเป็นหัวหน้ากิลด์ก็ใช่ว่าจะต่างไปจากเดิมหรอก แถมฉันยังไม่คิดบัญชีเรื่องภารกิจไข่มุกนั่นกับเรื่องเมื่อกี้เลยด้วย" เจนจ้องจอมเวทหนุ่มด้วยด้วยสายตาเย็นยะเยือก ดูท่าทางต่อให้เขาเป็นหัวหน้ากิลด์ก็ไม่ได้ทำให้มีอำนาจมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย



    "แล้วชื่อกิลด์ล่ะคะ เอาชื่อกิลด์อะไรดี" ซินจูถามขึ้นมา ทำให้ทุกคนต่างหันไปจมอยู่กับความคิดของตัวเองว่าจะเอาชื่อกิลด์ว่าอะไรดี



    ผ่านไปครู่หนึ่งโจที่ดูเหมือนจะคิดออกเป็นคนแรกก็พูดขึ้นมา "ลองเอา 'กิลด์เทพสายฟ้า' ดูเป็นไง"



    "อ๋า นี่นายเอาชื่อตัวเองเป็นชื่อกิลด์ได้ยังไงเล่า!" ยูสตาร์แย้งขึ้นทันที เมื่อดูท่าทางหัวหน้ากิลด์วางใจไม่ได้ เขาจึงหันมาหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แทน "แล้วเธอล่ะเจน พอคิดออกบ้างมั้ย"



    หญิงสาวทำท่าครุ่นคิดก่อนใบหน้าจะขึ้นสีบาง ๆ แล้วจึงตอบออกมาเสียงค่อย "ผู้กล้า..ชุดขาว"



    "อ๋าาา นี่เธอก็อีกคน! จะตั้งกิลด์ทั้งทีเอาอะไรที่ห่างชื่อตัวเองหน่อยได้มั้ยเนี่ย ไม่อายกันบ้างหรือไง" ยูสตาร์ว่าอย่างไม่พอใจ เจนที่ถูกว่าก็ได้แค่นั่งนิ่งเงียบ ๆ เพราะอายจนไม่กล้าโต้ตอบ



    "ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นชื่อ 'อัศนีพิสุทธิ์' ล่ะคะ ฟังดูเป็นยังไงบ้าง" อามีร่าเสนอขึ้นมา ทั้งสิบคนต่างหันมาจ้องหน้าเธอเป็นสายตาเดียวจนทำให้อามีร่าทำอะไรไม่ถูกเพราะรู้สึกอายจนต้องยกมือขึ้นมาบังตาของตัวเองจากคนอื่น



    "นั่นล่ะ เอาชื่อนี้เลย เพราะมาก ๆ เลยอามีร่า!" เจนพูดเสียงดังแล้วจึงเข้าไปจับมือกับเด็กสาว ท่ามกลางเสียงชื่นชมของทุกคนกับความคิดของเธอทำให้อามีร่าเผยยิ้มสวยออกมา



    จากนั้นทุกคนต่างปรึกษาหารือกันเรื่องรายระเอียดและหน้าที่ต่าง ๆ ภายในกิลด์ที่ต้องมี ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง กิลด์ของพวกเธอก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และแม้ว่าการก่อตั้งกิลด์จะต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยก็ตาม แต่ด้วยเงินที่ทุกคนมีในตอนนี้ทำให้เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร



    "เอาล่ะ สรุปหน้าที่กันตามนี้นะ เอาไว้พวกเราหาที่ทำการกิลด์ของเราได้แล้วค่อยมาดูกันอีกทีว่าจะเปลี่ยนหน้าที่กันหรือเปล่า" โจพูดขึ้นหลังจากปรึกษากันเสร็จสิ้น เขาค่อย ๆ กวาดสายตามองไปรอบห้อง เห็นสีใบหน้าของทุก ๆ คนที่ให้ความมั่นใจกับกิลด์เล็ก ๆ ของพวกเขา ที่ในอนาคตจะเป็นกิลด์หนึ่งที่มีความสำคัญมากในสงครามที่จะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้



    "ถ้าไม่มีใครแย้ง ฉันจะขอประกาศตั้งกิลด์อัศนีพิสุทธิ์อย่างไม่เป็นทางการ ณ บัดนี้"



    จบตอนที่ 40 ความจริงที่เปิดเผย



    ---------------------

  5. #55
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 41 เทพอสูร

    ตอนที่ 41 เทพอสูร



    อากาศยามเช้าในเมืองยามะไตในฤดูหนาวนั้นช่างสดชื่น ลมเย็นพัดอากาศบริสุทธิ์ที่ชื้นเล็กน้อยทำให้หัวของเจนรู้สึกปลอดโปร่ง แต่ทว่าสีหน้าของเธอในตอนนี้กลับดูบึ่งตึงและมีสีแดงระเรื่ออ่อน ๆ นั่นก็เพราะตอนนี้เธอยังคงอยู่ในยุดเดรสสีเหลืองอยู่นั่นเอง



    "นี่พวกเราเดินช้า ๆ ก็ได้มั้ง อาคารระบบมันไม่เดินหนีไปไหนหรอก" แจ็คพูดขึ้นด้วยเสียงหอบเล็กน้อย เพราะตั้งแต่ที่ออกมาจากเรียวกัง เจนพาพวกเขาเดินกึ่งวิ่งมาตลอดทาง แถมเธอยังใช้ตัวของเขาและโจบังไม่ให้คนที่เดินผ่านไปมามองเห็นเธอด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์ เพราะชุดที่เจนใส่นั้นดึงดูดสายตาได้ดีเกินกว่าจะหลบซ่อนสายตาของชายหนุ่มทั้งหลายที่เป็นผู้เล่นและชาวเมือง



    "นี่นายก็รู้ว่าที่ฉันรีบเพราะอะไร! แม่นะแม่ทำกันได้ ก็รู้อยู่ว่าไม่ชอบแต่ยังบังคับกันได้..." เจนบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เป็นเพราะจริยาจึงทำให้เธอไม่สามารถเปลี่ยนชุดกลับเป็นชุดเดิมได้ ตอนนี้เสื้อผ้าที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ชุดที่เธอใส่ชุดเดียว ชุดคลุมสีขาวนั้นถูกจริยาริบเอาไว้ ซึ่งคุณแม่คนดีให้เจนมาเอาหลังจากที่เธอกลับมาจากทำธุระเสร็จแล้ว



    เสือซ่อนลายและยูสตาร์รับหน้าที่ไปหาซื้อเสบียงและอุปกรณ์เตรียมออกเดินทางครั้งต่อไป สาว ๆ นั้นถูจริยาดึงตัวไปที่ร้านขายเสื้อผ้า โดยเฉพาะอามีร่าที่คุณแม่จับแขนไม่ยอมปล่อยเพราะชุดที่อามีร่าสวมอยู่นั้นโทรมสุด ๆ และดูท่าทางเธอก็คงหนีไปจากจรยาไม่ได้ง่าย ๆ แน่ถ้าหากไม่มีชุดใหม่ติดตัวมาซักชุดสองชุด ส่วนพวกเจนนั้นรับหน้าที่หลักมาจัดการลงทะเบียนกิลด์ที่อาคารระบบ โชคดีที่ช่วงเช้ายังมีผู้เล่นภายในเมืองออกมาไม่มากนัก เจนจึงสามารถรีบเดินทางไปถึงอาคารโดยปลอดภัย(?)ได้ในที่สุด



    อาคารระบบช่วงเช้าแทบจะไม่มีคนอยู่เลยตามที่เจนคาดเอาไว้ ขนาดพนักงานประจำเคาน์เตอร์ยังมากันไม่ครบทุกคน มีเพียงแค่สองสามคนเท่านั้นที่กำลังยกแก้วกาแฟดื่มอยู่บนโต๊ะสอบถาม



    พวกเจนหยิบบัตรคิวและตรงไปยังโต๊ะหมายเลขสองที่ขานหมายเลขคิวแทบจะทันทีที่ได้บัตรคิวในมือ ทั้งสามมาถังโต๊ะสอบถามก็พบกับเจ้าหน้าที่หนุ่มวัยกลางคนพร้อมกับแก้วกาแฟที่มีควันจาก ๆ กรุ่นขึ้นมาและขนมปังครัวซองที่มีรอยกัดแหว่งไปเล็กน้อยวางเคียงคู่กัน ทางทางเธอจะมาขัดจังหวะอาหารเช้าของเขาเข้าพอดี



    "อาคารระบบยินดีต้อนรับครับ ไม่ทราบว่าต้องการใช้บริการอะไรดีครับ" เจ้าหน้าที่เอ่ยปากต้อนรับอย่างเป็นมืออาชีพโดยไม่แสดงท่าทางไม่พอใจให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่แน่นอนว่าเขาต้องกำลังหงุดหงิดอยู่แน่ ๆ ท่าทางคงต้องรีบจัดการเรื่องให้เสร็จโดยเร็วซะแล้ว



    "พวกเราอยากจะตั้งกิลด์น่ะครับ" โจที่เป็นหัวหน้ากิลด์ออกหน้าเป็นตัวแทนพูดขึ้น



    พูดจบ เจ้าหน้าที่ก็เปิดหน้าต่างแสงขนาดใหญ่ขึ้นมาตรงหน้าของโจ เมื่อมองลงไปก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นกฎและข้อตกลงในการตั้งกิลด์อย่างแน่นอน เพราะตัวหนังสือยาวเหยียดจนเจนไม่คิดจะอ่าน เรื่องนี้คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้ากิลด์หนุ่มของเธอเป็นคนจัดการให้เรียบร้อย



    "นี่คือรายระเอียดสำหรับการตั้งกิลด์นะครับ แต่หลัก ๆ แล้วสิ่งที่พวกคุณต้องเตรียมในตอนนี้คือสมาชิกจำนวนสิบคนเป็นอย่างน้อยและเงินจำนวนสองล้านโกลด์สำหรับค่าสมัครและค่าธรรมเนียมครับ" เจ้าหน้าที่อธิบาย



    "เอ๋! แค่ตั้งกิลด์ทำไมค่าสมัครถึงแพงจังเลยล่ะ!" เมื่อได้ยินค่าสมัครพุ่งสูงถึงจำนวนเลขหกหลักเจนก็รีบทักขึ้นทันที แม้ว่าโจจะบอกให้รู้มาก่อนหน้านี้ตอนที่รวมเงินกันแล้วก็เถอะ แต่ต่อมความตระหนี่ของเจนนั้นทำให้เธออดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยปากถาม



    "เป็นเพราะตอนนี้จำนวนกิลด์ในปัจจุบันมีมากเกินไปน่ะครับ แค่บนทวีปอัลเทเชียแห่งนี้ก็มีกิลด์เล็กกิลด์น้อยกว่าแสนกิลด์แล้วและก็ยังเพิ่มขึ้นทุกวัน เพื่อป้องกันผู้เล่นที่อยากตั้งกิลด์ของตัวเองแต่ก็ยุบไปเพราะเลิกเล่นหรือไปอยู่กิลด์ใหม่ที่ใหญ่กว่าหรือพวกที่อย่างตั้งกิลด์เล่น ๆ ทางเราจึงต้องทำให้ผู้เล่นเห็นความสำคัญของกิลด์มากขึ้นโดยเก็บเงินค่าก่อตั้งเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ต่อให้ไม่มีปราสาทเป็นที่ทำการแต่การตั้งกิลด์ก็มีผลประโยชน์อยู่ไม่น้อย เงินแค่นี้ใช้เวลาไม่นานก็หาคืนได้แล้วล่ะครับ" เจ้าหน้าที่อธิบาย



    โจยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่พร้อมกับส่งถุงเงินให้ในขณะที่เจนยังคงมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก ถึงบอกว่าต้องการให้เห็นถึงความสำคัญ แต่เงินเป็นล้านโกลด์เป็นค่าสมัครนี่มันถือว่าเยอะเกินไปสำหรับเจนอยู่ดี



    "เรื่องสมาชิกกิลด์ต้องการให้ใช้รายชื่อตามกลุ่มของคุณเลยใช่มั้ยครับ แต่ในกลุ่มของคุณมีคนเพียงแค่เก้าคน ไม่พอในการตั้งกิลด์นะครับ" เจ้าหน้าที่แจ้งให้โจทราวพร้อมกับเป็นหน้าต่างแสงขึ้นมาอีกบาน บนนั้นมีรายชื่อและใบหน้าของพวกเจนทุกคนอยู่ครบทุกคน



    "ยังมีอีกสองคน..ค..ค่ะ เป็นสัตว์เลียงของฉันเอง" เจนพูดแล้วเปิดหน้าต่างสัตว์เลี้ยงขึ้นมาให้เจาหน้าที่ดู เขาเลิกคิ้วขึ้นมาอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินว่าต้องการจะให้สัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกกิลด์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องแบบนี้จากปากของผู้เล่น



    เจ้าหน้าที่ลองตรวจสอบดูว่าสิ่งที่ผู้เล่นสาวตรงหน้าเขาพูดมานั้นมาสามารถทำได้หรือไม่ และเขาก็ต้องแปลกใจว่าไม่มีข้อห้ามใดที่จะบอกห้ามไม่ให้มอนสเตอร์หรือชาวเมืองสามารถเป็นสมาชิกกิลด์เลยแม้แต่ข้อเดียว หนำซ้ำชาวเมืองหรือมอนสเตอร์ยังสามารถจะตั้งกิลด์และได้ประโยชน์ทุกอย่างเหมือนกับผู้เล่นทุกประการด้วยซ้ำถ้าหากเข้ามาติดต่อในอาคารระบบได้



    ชายหนุ่มอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าเกมนี้มันชักจะเปิดกว้างเกินไปหน่อยแล้ว เขาไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าพวกนักรบระดับสูงของเมืองทราบเรื่องนี้เข้าและมาตั้งกิลด์ที่มีแค่ยอดนักรบรวมตัวอยู่จะเกิดอะไรขึ้น



    "ว่ายังไง..คะ ตกลงพวกเราจะตั้งกิลด์ได้หรือเปล่า" เจนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อปนด้วยความไม่พอใจ เจ้าหน้าที่คนนั้นได้ยินจึงรีบตอบและดำเนินการให้ทันทีเพราะนึกว่าหญิงสาวไม่พอใจเพราะเขาดำเนินการล่าช้า แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะเจนพยายามฝืนตัวเองให้พูดคะขาต่อหน้าคนอื่น แม้เธอจะเคยพูดแบบนี้กับมาเอะหรือหมิงเต๋อออกมาได้อย่างไม่รู้สึกอายก็ตาม แต่การที่จะให้เจนไปพูดกับคนแปลกหน้ามันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แถมชุดที่ใส่ก็ละลายความมั่นใจของเธอไปซะสิ้น



    "อ..เอ่อ นี่ครับ สมาชิกกิลด์มีจำนวนสิบเอ็ดคนนะครับ ได้รับค่าสมัครครบแล้ว คนที่เป็นหัวหน้ากิลด์กรุณากรอกข้อมูลทางด้านนี้ด้วยครับ" เจ้าหน้าที่กล่าวและเปิดหน้าต่างแสงขึ้นมาอีกบาน



    เจนหลบทางให้โจเข้ามากรอกข้อมูล หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่ก็ปิดหน้าต่างแสงทุกบานลงก่อนจะเปิดหน้าต่างแสงขึ้นมาอีกครั้ง โดยหน้าต่างบานนี้เป็นหน้าต่างที่จะยืนยันข้อมูลเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะส่งข้อมูลเข้าไปในระบบ



    กิลด์อัสนีพิสุทธิ์

    ที่ทำการ:โปรดระบุ (หากยังไม่มีให้เว้นว่าง คุณมีเวลา 10 วันในการยืนยันที่ทำการกิลด์ในภายหลัง)



    หัวหน้ากิลด์:โจ

    รองหัวหน้ากิลด์:เสือซ่อนลาย

    รองหัวหน้ากิลด์:ไมโกะ

    สมาชิก:เจน, แจ็ค, ซินจู, คิทซึเนะ, ฟีบี, ยูสตาร์, หนูส่งข่าว, อามีร่า



    หลังจากตรวจสอบให้แน่ใจแล้ว โจจึงกดยืนยันที่อยู่ด้านล่างสุดของหน้าต่างแสง



    "เรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้กิลด์..เอ่อ อสนีพิสุทธิ์ ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาอย่างเป็นทางการแล้วครับ ไม่ทราบว่าต้องการแจ้งที่ตั้งที่ทำการกิลด์เลยหรือไม่ครับ" เจ้าหน้าที่ถามขึ้น แต่โจตอบกลับไปว่ายังไม่มีที่ทำการ "ทางระบบจะให้เวลาสิบวันเพื่อหาที่ทำการกิลด์นะครับ ถ้าหลังจากเลยกำหนดไปแล้วจะถูกปรับเป็นเงินจำนวนวันละหนึ่งแสนโกลด์นะครับ"



    เจนถึงกับกลั้นหายใจเมื่อได้ยินเงินที่ต้องเสียถ้าหากไม่รีบหาที่ทำการกิลด์ไม่ได้ ยิ่งถ้าหากถังเวลาออนไลน์ไปแล้วยังหาไม่ได้อีกล่ะก็ การเสียเงินไปอีกล้านกับค่าปรับไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยแน่



    "อ๊ะ! เกือบลืมไป พวกนายไปรออยู่ข้างนอกก่อนแล้วกัน ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากจะถามเจ้าหน้าที่หน่อย" เจนหันไปพูดกับพวกโจที่พยักหน้ารับทราบแล้วจึงเดินจากไป เจนหันกลับไปหาที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นมาซดอย่างช้า ๆ แล้วเอ่ยถามสิ่งที่เธอต้องการถามทันที



    "เอ่อ..ขอโทษค่ะ... คุณช่วยบอกหน่อยได้หรือเปล่าคะว่าจะพบมังกรได้ที่ไหนบ้าง"



    เจ้าหน้าที่วางแก้วกาแฟลงแล้วรีบตอบคำถาม "เรื่องจากข้อมูลที่คุณถามยังไม่ใช่ข้อมูลสาธารณะครับ ทางระบบจึงยังไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนได้ในตอนนี้ครับ"



    "แต่ว่าเคยมีคนสู้กับมังกรมาแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงบอกข้อมูลส่วนนี้ออกมาไม่ได้ล่ะ" เจนพยายามคาดคั้นเมื่อก่อนหน้านี่เธอเคยได้ยินแจ็คบอกว่ามีคนสู้กับมังกรมาก่อน แม้ว่าจะไม่เคยมีใครเคยอ้างว่าเป็นผู้จัดการมังกรลงได้หรือมีชุดเกราะและอาวุธที่ทำมาจากหนังมังกรขายในตลาดเป็นหลักฐานยืนยันก็ตาม แต่นี่เป็นเบาะแสเดียวที่เธอจะตามหามังกรเพื่อที่จะหาทางเลื่อนยศให้ฟีบี



    "เรื่องนั้นเป็นเพราะข้อมูลนี้เป็นเรื่องของผู้เล่นครับ ถ้าหากมีคนเคยสู้กับมังกรจริงก็เป็นเรื่องของผู้เล่นคนนั้นที่จะเปิดเผยถึงสถานที่ที่เขาพบหรือไม่ครับ เหมือนกับที่คุณไม่บอกใครถึงที่มาของทักษะของคุณนั่นแหละครับ" เจ้าหน้าที่ตอบ ทำเอาเจนรู้สึกผิดไปเลย เพราะขนาดเธอยังปกปิดหลายต่อหลายเรื่องไม่ให้คนอื่นรู้ ถ้าคนอื่นมีเรื่องปิดบังมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร



    "ถ้าหากไม่มีข้อสงสัยอะไรอีกก็ขอขอบคุณมากที่ใช้มาบริการนะครับ" เจ้าหน้าที่วัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ เจนกล่าวขอบคุณตอบกลับไปแล้วจึงเดินจากมา เท่ากับว่าตอนนี้เธอไม่มีเบาะแสจะไปต่อ ตอนนี้เธอคงต้องมุ่งเป้าไปที่การไปหาที่ทำการกิลด์ซะก่อน หลังจากนั้นค่อยสนเรื่องอื่น จะว่าไปแล้วตอนนี้ทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้า นับเป็นโอกาสดีที่เจนจะพาทุกคนไปเยี่ยมมาเอะที่หุบเขาจิ้งจอกอย่างที่เธอเคยให้สัญญาเอาไว้



    หญิงสาวเดินไปคิดไปจนมาถึงจุดที่เธอนัดพวกโจเอาไว้ แต่เมื่อมองเห็นพวกเขา หัวใจของเธอก็แทวจะหยุดเต้น เพราะว่ามีชายคนหนึ่งกำลังคุยกับเพื่อนของเธออย่างถูกคอ และคน ๆ นั้นก็คือคนที่เจนไม่อยากจะเจอหน้าในเวลานี้มากที่สุดซะด้วย!!



    "หายากนะเนี่ยที่จะมีคนตื่นมาสูดอากาศยามเช้าแบบนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าพวกนายจะเป็นพวกตื่นเช้ากับเขาด้วย" เสียงระรื่นของชายหนุ่มนามจีโอที่ตอนนี้อยู่ในชุดสบาย ๆ กำลังยืนอยู่ข้างตัวโจที่ยิ้มร่าราวกับว่ารู้จักกันมานาน



    "ไม่ใช่แค่ในเกมหรอกนะ ฉันน่ะเป็นคนตื่นเช้าแบบนี้ทั้งในเกมและนอกเกมอยู่แล้ว เพราะการตื่นเช้าถือเป็นกำไรของชีวิตยังไงล่ะ" จอมเวทหนุ่มตอบ เจนที่แอบฟังอยู่หลังต้นไม้ต้นใหญ่ได้ยินเข้าก็รู้สึกหมั่นไส้จนแทบจะอดใจออกไปพูดกัดให้ได้ แต่เธอก็ยังรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสภาพยังไงและใครอีกที่ยืนอยู่ตรงนั้น



    เหมือนกับว่าอ่านใจเธอได้ แจ็คที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กันนั้นก็ส่ายหัวและเอ่ยปากกัดคำพูดของเพื่อนตัวเองเข้าอย่างเจ็บแสบ "ไอ้ขี้โม้ ถ้าฉันหรือซินจูไม่เอาน้ำสาดปลุกเพราะต้องมาตั้งกิลด์ล่ะก็ กว่านายจะลุกจากเตียงได้ก็เกือบเที่ยงโน้น"



    "พวกนายตั้งกิลด์ด้วยกันเหรอเนี่ย! มิน่าล่ะ เป็นเพราะอย่างนี้นี่เองถึงไม่ยอมเข้ากิลด์ฉัน ให้เดานะ เจนเป็นหัวหน้ากิลด์ใช่มั้ย" จีโอถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่ในสายตาของเจนแล้วมันเหมือนกับเป็นการแสร้งทำมากกว่า คนในฐานะอย่างจีโอแล้วจะมาตื่นเต้นอะไรกับแค่กิลด์เล็ก ๆ อย่างพวกเธอ



    แต่ความจริงแล้วไม่ว่าจีโอจะทำอะไรเจนก็มองในแง่ร้ายไว้ก่อน คงเป็นเพราะเธอมีอคติกับชายคนนี้ไปแล้วแน่



    "อ่า เดาผิดว่ะเพื่อน คนที่เป็นหัวหน้ากิลด์คือฉันต่างหาก" โจบอกพร้อมกับยืดอกราวกับว่าต้องการจะอวดตำแหน่งของตัวเองโดยที่ไม่ได้นึกถึงเลยว่าคนที่คุยด้วยเป็นถึงหัวหน้ากิลด์เช่นเดียวกัน



    "ว้าว! ขอแสดงความยินดีด้วยนะคุณหัวหน้า!" จีโอส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้นและยื่นมือออกไปจับกับโจเพื่อแสดงความยินดี "เดี๋ยวก่อนนะ ฉันจำได้แล้วว่านายคือใคร นายคือโจคนนั้นที่มีบล็อกแนะนำเกมและเป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันGWCใช่มั้ย ขอบอกเลยว่าฉันเป็นแฟนตัวยยงเลย!"



    จอมเวทหนุ่มได้ยินว่าชายตรงหน้าเป็นแฟนคลับตนก็รู้สึกตื้นตันใจจนต้องยื่นมือออกไปจับอีกครั้ง แม้ว่าบล็อกของเขาจะโด่งดังอยู่บ้านในโลกอินเทอร์เน็ต แต่ถ้าหากเทียบจีโอที่ดังไปทั่วโลกแล้วก็ถือว่าเขาห่างชั้นกว่ามาก การที่มีคนระดับนั้นเป็นแฟนคลับก็ยิ่งทำให้โจรู้สึกตื้นตันใจจนยากที่จะบรรยาย



    ส่วนการแข่งขันGWCนั้นก็คือการแข่งขันเกมระดับโลกที่นำเอาเกมเมอร์ต่าง ๆ ในแต่ละสาขาของเกมไม่ว่าจะเป็น โรลเพลยเยอร์, เกมยิงต่าง ๆ, เกมกีฬารวมไปถึงรถแข่งและแน่นอนว่ามีเกมออนไลน์รวมอยู่ด้วย ซึ่งการแข่งขันนี้สร้างชื่อให้โจไม่น้อยเพราะเขาคว้ารางวัลมาจากหลายเกมและยังได้รางวัลชนะเลิศในสาขาเกมออนไลน์ ดังนั้นถ้าหากเขาตั้งกิลด์ใดขึ้นมาในเกมใด ไม่ว่าใครได้รู้ก็ต้องอยากจะเข้ากิลด์เดียวกับเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นการที่จีโอรับรู้ว่าโจตั้งกิลด์ใหม่มันก็ต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่แล้ว เพราะถ้าหากโจและเขาเป็นพันธมิตรกัน มันก็ย่อมจะต้องส่งผลดีต่อไปในอนาคตแน่



    ขณะเดียวกันทางด้านเจนก็เริ่มวิตกกังวลเพราะทั้งสองคนคุยกันอย่างถูกคอ ถ้าหากปล่อยเอาไว้อย่างนี้ต่อไปล่ะก็คงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ไปจากที่นี่ และถ้าหากปล่อยให้ทั้งสองคนคุยกันจนพูดถึงเรื่องของเธอ เรื่องก็คงยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ แม้ว่าจีโออาจจะทราบเรื่องที่เจนเป็นผู้หญิงแล้วก็ตาม แต่จะให้มาเห็นเธอในชุดนี้เนี่ยนะ...ฝันไปเถอะ!



    "พูดถึงเจนแล้วไม่เห็นตัวเลยนะ ปกติจะเห็นอยู่กับพวกนาสตลอดเลยนี่" จีโอโพล่งถามขึ้น ทำเอาหญิงสาวที่หลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ร้องกรี้ดออกมาในใจ หมอนี่มันเป็นคนทรงอ่านใจได้หรือยังไงกันเนี่ย



    "ขานั้นยังอยู่ในอาคารระบบน่ะ เห็นบอกว่ามีเรื่องจะถามต่ออีก นี่ก็นานแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่ออกมาซักทีก็ไม่รู้" แจ็คบอก แม้จะยังไม่ได้หลุดปากเรื่องของเธอออกมาอย่างที่กลัว แต่ไอ้เจ้าพวกนี้ลืมไปแล้วหรือไงว่าเธออยู่ในชุดอะไร จะให้เธอออกไปหาทั้ง ๆ อย่างนี้เนี่ยนะ



    และแล้วฝันร้ายของเจนก็ทำท่าจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อทั้งสามหันหน้าตรงมาหาเธอซึ่งด้านหลังของเธอก็คืออาคารระบบนั่นเอง ต้นไม้ต้นใหญ่นี้แม้จะสามารถบังร่างของเจนได้จนมิด แต่ว่าสัญชาติญาณของเธอบอกว่าคงไม่อาจหลบสายตาของชายคนนี้ไปได้แน่ หญิงสาวก้มตัวลงต่ำพร้อมนึกหาวิธีออกไปจากที่นี่ ทว่าต้นไม้มีเพียงกุ่มไม้เล็ก ๆ เท่านั้น คงไม่อาจใช้หลบสายตาของผู้คนได้นานนัก ชุดที่เธอสวมก็เป็นสีเหลืองสดใสที่ดึงดูดสายตาได้ง่ายอีก เห็นทีจะใช้คำอธิบายสถานการณ์นี้ว่าจนตรอกก็ไม่ผิดนัก



    แต่ดูเหมือนหญิงสาวยังคงมีโชคอยู่บ้าง เมื่อมีเสียงเรียกชื่อจีโอจากด้านหลัง และเจนก็จำเสียงนั้นได้ดีว่าเขาเป็นใคร นั่นคือเสียงของหย่งฟาง หัวหน้ากิลด์อีกคนของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่นั่นเอง



    "จีโอ! นี่นายมัวทำอะไรอยู่ ฉันเรียกนายตั้งนานไม่ยอมตอบกลับมา" ชายในเสื้อคอเต่าสีน้ำตาลเดินเข้ามาหาจากด้านหลังของชายหนุ่มทั้งสามคน จากมุมที่เจนแหวกหญ้าดูก็พบว่าชายหนุ่มที่ดูน่ากลัวในตอนนั้นกำลังอยู่ในชุดสบาย ๆ เช่นเดียวกัน บรรยากาศรอบตัวเขาในตอนนี้ก็เหมือนเป็นคนละคน



    "ขอโทษที ๆ พอดีกำลังคุยติดพันกับพวกนี้อยู่น่ะ" ชายหนุ่มพยัคฆ์แดงเอ่ยตอบเพื่อนของคนและผายมือไปให้เพื่อนอของเขาได้เห็นโจและแจ็คที่หันมามองหน้ากันราวกับว่ากำลังถามความคิดเห็นของกันและกัน



    เมื่อหย่งฟางรู้ว่าชายหนุ่มทั้งสองเป็นใคร เขาก็มีท่าทีสำรวมมากขึ้นและเอ่ยทักทาย "สวัสดีครับคุณโจและคุณแจ็ค ขอโทษด้วยสำหรับที่เสียมารยาทตอนที่เราพบกันครั้งล่าสุด"



    "ไม่เป็นไร พวกเราไม่ถือสาหรอก ส่วนเจนเองก็คงไม่ถือสาเหมือนกันหรอก...มั้ง" โจพูดด้วยความไม่มั่นใจ เพราะจากที่รู้จักกับเจนมา ถ้าหากว่าเขาทำอย่างหย่งฟางล่ะก็ คงได้ถูกส่งไปเกิดใหม่ในสิบวินาทีแน่ แต่หารู้ไม่ว่าเพราะคำพูดของเขานั่นล่ะที่ทำให้คนบางคนกำลังนึกภาพจอมเวทหนุ่มไปเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว



    "ขอบคุณครับ เอาไว้คราวหน้าผมจะหาโอกาสชดใช้กับสิ่งที่ผมได้ทำลงไปก็แล้วกันครับ แต่ผมก็ขอพูดย้ำในสิ่งที่ผมเคยพูดไปอีกครั้ง ถ้าหากพวกคุณมีเบาะแสเรื่องของอีกา ช่วยกรุณาส่งข่าวมาให้ผมทราบด้วย" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความนอบน้อม ทำให้แม้แต่โจและแจ็คยังรู้สึกคล้อยตามไปด้วย จากที่มองดูท่าทางและน้ำเสียงของชายคนนี้ก็ทำให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้มีความมุ่งร้ายไปที่อามีร่าอย่างแน่นอน แต่ถ้าจะให้บอกว่าอามีร่าอยู่กับพวกเขาล่ะก็ จะเกิดอะไรขึ้นกับอามีร่า โจเองก็ยังยากที่จะคิดได้



    "สำหรับเรื่องนั้น...เอ่อ..คือ" เสียงของแจ็คอ้ำอึ้ง ใจหนึ่งเขาอยากจะบอกแต่อีกใจก็รู้ว่าไม่ควร อย่างน้อยก็จะบอกให้อามีร่ารู้ก่อนก็ยังดี แต่น้ำเสียงของเขานี่ล่ะที่ให้คำตอบที่หย่งฟางต้องการ ความลังเลหมายถึงว่าชายทั้งสองต้องรู้อะไรบางอย่างอย่างแน่นอน



    เจนที่ฟังอยู่เริ่มสังเกตเห็นท่าทางพิรุธของแจ็คได้จึงทำท่าจะเข้าไปห้ามไม่ให้เพื่อนของเธอพูดอะไรต่อไปอีก แม้จะทำให้จีโอและความลับที่ว่าผู้กล้าในชุดขาวเป็นผู้หญิงต้องแตกก็ตาม แต่เจนจะไม่ยอมให้ใครมาตามรังควานเพื่อนของเธอแน่



    ทว่าตอนนั้นเองเจนก็ได้ยินเสียงเรียกดังมาจากด้านข้างใบหน้าสะอาดใสเข้ารูปกับผมยาวที่ถูกมันเป็นทรง ร่างบางในชุดเกราะเบาสีดำพร้อมกับผ้าคลุมสีฟ้าที่เจนให้ไปจากเมื่อกำลังเดินตรงเข้ามาหาเจนพร้อมกับส่งเสียงเรียก แม้ว่าสภาพของอามีร่าในตอนนี้จะเป็นคนละคนกับอีกาคนทั่วไปคงจะจำไม่ได้อย่างแน่นอน แต่หย่งฟางไม่ใช่คนทั่วไป แม้รูปลักษ์จะเปลี่ยน แต่คงไม่มากพอที่จะทำให้เขาลืมหน้าของเธอได้แน่



    "เจน นั่นกำลังทำอะไรอยู่น่ะ ทุกคนกำลังรอทานมื้อเช้าอยู่นะ" อามีร่าพูดเสียงสูง ดวงตาของเธอจ้องมองมาที่เจนด้วยความสงสัย



    ในขณะที่เจนหันไปมองหน้าของเธอ หย่งฟางเองก็เหลือบขึ้นมาเห็นเด็กสาวด้วยเช่นกัน พริบตานั้นเองที่สายตาของชายหนุ่มแลเด็กสาวสบสายตากัน ราวกับเวลาทั้งโลกหยุดนิ่ง ทั้งสองคนมองตากันเป็นเวลานานแม้ความจริงมันจะผ่านไปแค่เสี้ยววินาที อามีร่าจำหน้าชายผู้นี้ได้แม้ว่าเขาจะไม่ได้สวมชุดเดียวกับที่เขาเคยพบกับเธอ และหย่งฟางก็จำหน้าของเด็กสาวได้แม้ว่าตอนนี้เธอจะดูเปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่เขาเจอเธอมากก็ตาม



    ไม่ต้องรอให้มีสัญญาณใด ๆ เจนพุ่งตัวข้ามพุ่มไม้ออกมาและตรงเข้าไปคว้ามือของอามีร่าก่อนจะใช้พลังสถิตร่างพาตัวเองและเด็กสาวออกมาจากที่นั่นในเวลาไม่กี่วืนาที สองหนุ่มที่เห็นเหตุการณ์ก็รู้ทันทีว่าพวกเขานั้นพลาดไปซะแล้ว จอมเวทหนุ่มพยักหน้าให้กับเพื่อนของเขาแล้วจึงหยิบกระดาษเวทเคลื่อนย้ายออกมาในขณะที่แจ็คค่อย ๆ หลบฉากออกมาในขณะที่คนอื่นไม่ทันสังเกต



    "ขอโทษทีนะ แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง" พูดจบ แจ็คก็ฉีกกระดาษเคลื่อนย้ายออกทันที ร่างของเขากลายเป็นแสงและพุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้าซึ่งที่ ๆ เขาจะไปนั่นก็คือใจกลางเมืองนั่นเอง ทิ้งให้จีโอและหย่งฟางมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความมึนงง



    ร่างในออร่าสีทองพุ่งลงสู่ใจกลางสวนของเมืองที่อยู่ห่างออกมาจากอาคารระบบอีกด้านของเมือง โชคดีที่เวลาเช้าเช่นนี้ยังไม่คนไม่มากนัก ทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงร่างสองร่างที่ปกคลุมด้วยแสงสีทองพุ่งข้ามเมืองมายังสวนแห่งนี้ หลังจากที่สลายพลังลง เจนก็หันไปมองดูเด็กสาวที่ดูท่าทางจะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่น้อย



    "เอ่อ...ถ้าหากเธอไม่อยากก็ไม่ต้องเล่าให้ฟังก็ได้นะ ฉันเข้าใจ" เจนบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพราะว่าเธอรู้เรื่องของอามีร่ามามากจนเกินความจำเป็นแล้ว และตอนนี้เจนก็ไม่มีความจำเป็นที่จะไปยุ่งในเรื่องส่วนตัวของเธออีก แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องสมัยที่อีกาออกอาละวาดก็ตาม



    เด็กสาวก้มลงมองผืนหญ้าสีเขียวชอุ่ม สายตากลอกไปมาเหมือนกับกำลังครุ่นคิด ไม่นานเธอก็เงยหน้าขึ้นและมองตาของเจนเข้าตรง ๆ "ขอบคุณค่ะเจน ซักวันฉันจะเล่าให้คุณฟังแน่ ๆ ค่ะ...แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้"



    เจนพยักหน้าเข้าใจ คนเราสมควรจะมีความลับเป็นของตัวเองบ้างซักเรื่องสองเรื่องและเจนรู้ดี เธอยิ้มให้กับเด็กสาวแล้วเดินไปพร้อมกับอามีร่าตรงกลับไปยังเรียวกังที่ทุกคนกำลังรอทั้งสองอยู่



    เมื่อกลับมาถึงทุกคนก็เข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น ขนาดพวกโจที่อยู่ในเหตุการณ์ก็พลอยเป็นห่วงไปด้วยและถามอามีร่าว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก่อนที่อามีร่าจะถูกกดดันไปมากกว่านี้ เจนก็ออกหน้าบอกให้ทุกคนถอยไปก่อนและค่อย ๆ อธิบายเรื่องให้ทุกคนให้ฟัง แม้อาจจะไม่ใช่เรื่องราวที่ถูกต้องนักแต่เป็นเรื่องราวที่เธอจะบอกกับทุกคนได้ในตอนนี้



    ไม่นานหลังจากเรื่องวุ่น ๆ จบลง(แน่นอนว่าเจนจัดการเก็บ บัญชีทั้งแจ็คและโจ ยังดีที่ไม่เอาถึงต้องไปรอเกิดเพราะเห็นใจทั้งคู่ที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย)มื้อเช้าก็มาถึงพร้อมกับเกอร์ทูธและจริยาเข้ามาร่วมด้วย บทสนทนาในช่วงเช้าไม่พ้นเรื่องที่เจนไม่เข้าใจจนต้องหันไปหาพวกโจที่กำลังคุยกันเรื่อยเปื่อย



    "เป็นอะไรหรือเปล่าเจน คุยกับทางนั้นไม่สนุกงั้นหรือ" เสือซ่อนลายถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวหันหน้ามาทางพวกเขาแทนที่จะไปคุยกันตามภาษาผู้หญิงอย่างคิทซึเนะที่นั่งข้างตัวเธอ



    เจนไม่ตอบคำ เธอพ่นลมออกจากปากขณะที่ลงมือตักข้าวตรงหน้าเข้าปาก "อย่างฉันไม่ไหวล่ะ คุยเกี่ยวกับเสื้อผ้าได้ทั้งวันแบบนั้นไม่เห็นจะเข้าใจเลย"



    "แต่ว่านะเจน ฉันคิดว่าเธอน่าจะฟังเรื่องที่พวกซินจูเอาไว้บ้างก็ดีนะ พวกเรื่องของผู้หญิงทั้งหลายแบบเนี่ย" ยูสตาร์ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเจนพูดขึ้นแล้วถอดแว่นตาของเขาออกเพราะไม่อยากให้มีไอน้ำเกาะเวลาซดน้ำซุบร้อน ๆ



    "หืม..ทำไมฉันต้องฟังเรื่องพวกนี้ด้วยล่ะ" เจนถามกับพร้อมกับยกถ้วยน้ำซุปรสเผ็ดขึ้นซดบ้าง



    "อ่า...ก็ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิง เธอก็น่าจะต้องเตรียมพร้อมถึงเรื่องอนาคต หลังจากเรียนจบแล้วหรือตอนทำงานหรือแต่งงาน..-"



    พรู้ดดด!!



    "จ้ากกกกกก!!! ตาช้านนนนนน!!!"



    เสียงร้องดังลั่นห้องพร้อมกับชายหนุ่มนามยูสตาร์ดิ้นไปมาอย่างทุรนทุรายเพราะถูกน้ำซุบรสเผ็ดแบบจัดจ้านพ่นเข้าใส่หน้าเต็ม ๆ เหมือนเป็นโชคร้ายของชายหนุ่มเพราะร้อยวันพันปีเขาไม่เคยถอดแว่นเลย มาถึงวันที่เขาถอดแว่นกลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ซะอย่างนั้น แม้จะไม่รู้ว่าต่อให้เขาสวมแว่นตาอยู่มันจะช่วยได้มากกว่านี้หรือไม่ แต่จากอาการแล้วทำเอาซินจูุต้องรีบเข้าไปใช้เวทรักษาเป็นการด่วน



    เสียงหัวเราะของผู้ชายลั่นห้องพักโดยไม่มีใครกลคิดจะเข้าไปช่วยยูสตาร์เลยแม้แต่คนเดียว แต่อย่างน้อยแจ็คก็ยกถังน้ำสะอาดเตรียมเอาไว้ให้ชายหนุ่มผู้โชคร้ายล้างหน้าซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องการแน่ ส่วนตัวต้นเหตุนั้นนั่งสำลักไอเสียงแหบอยู่ที่เดิม



    เจนยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเพื่อแก้อาการสำลัก แต่เหมือนกับว่าน้ำซุปเผ็ดนั้นจะหลงเข้าไปในใจของเธอโดยอุบัติเหตุเพราะว่าตอนนี้ในหน้าอกของเธอนั้นรู้สึกร้อนเหมือนกับถูกไฟเผา โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำที่มี 'ต.เต่า' นำหน้า



    "ฉันขอโทษที พี่ยู แต่มันก็เป็นความผิดของพี่ด้วยนะ จู่ ๆ เล่นพูดอะไรแปลก ๆ อย่างเรื่องแต่งงานออกมาอย่างน่ะ" เจนว่าแล้วเข้าไปดูอาการของยูสตาร์วาเป็นอะไรบ้างแต่เขาคงไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดออกมาแน่ เมื่อในตอนนี้เขาเอาหัวมุดลงไปในถังน้ำทั้งหัวเลย



    "เอ๋.. พี่เจนจะแต่งงานงั้นหรือคะ แต่งกับใครคะ!?" เสียงของซินจูเอ่ยขึ้นพร้อมดวงตาอยากรู้อยากเห็นหันมามองเจนด้วยท่าทางสนใจ เด็กสาวรีบเข้ามาประชิดตัวของเธออย่างรวดเร็ว ปล่อยให้อามีร่าคอยช่วยยูสตาร์อยู่คนเดียว



    เจนรู้สึกตัวทันทีว่าเธอพลาดไปแล้วเมื่อสังเกตเห็นสายตาของซินจู แม้ปกติเด็กสาวคนนี้จะสุภาพเรียบร้อยแต่ถ้าหากเป็นเรื่องเสื้อผ้าหรือเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ล่ะก็จะตื่นตัวขึ้นทันทีราวกับว่าเป็นคนละคน และดูท่าทางแล้วก็คงจะไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ แน่



    "ก็ถูกอย่างที่พ่อหนุ่มคนนั้นบอกนะ ที่พวกฉันและแม่ของเธอให้เธอเข้ามาเล่นเกมนี้ตั้งแต่แรกก็เพื่อที่จะใช้เวลาปรับตัวให้มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น ไม่ใช่แค่เล่นเกมไปเฉย ๆ นะ" เกอร์ทูธว่า ทำเอาเจนประหลาดใจเพราะเมื่อครู่หญิงสาวคนนี้กำลังเปิดปากคุยกับพวกซินจูกันอย่างออกรส ไม่คิดว่าจะได้ยินที่ยูสตาร์พูดด้วย



    "แต่ลูกก็ไม่ต้องรีบหรอกนะจ๊ะ ยังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลานั้น ถึงแม่อยากจะให้ลูกทำตัวให้เหมือนกับผู้หญิงมากแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้อยากให้ลูกต้องเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวลูกหรอกจ๊ะ" เสียงของจริยาดังจากอีกด้านของห้อง เสียงที่เธอพูดกับเจนนั้นช่างอ่อนหวานและนุ่มนวล ความรู้สึกถึงความห่วงใยแสดงออกมาทุกคำพูดให้เห็นว่าแม่ของเธอนั้นรักเธอมากแค่ไหน ทำเอาเจนที่ฟังถึงกับน้ำตาซึมออกมาด้วยความซาบซึ้ง



    "แต่ถ้าทำได้ก่อนจะเปิดเทอมก็จะดีมาเลยล่ะจ๊ะ แม่เตรียมชุดนิสิตหญิงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อยากจะรู้จริง ๆ ว่าเจนลองใส่ดูแล้วจะเป็นยังไง" จริยาเสริม อารมณ์ซึ้ง ๆ พลันมลายหาย ทำเอาน้ำตาที่จะไหลออกมาต้องหดกลับเข้าไปแทบจะทันที บรรยากาศกำลังดีแท้ ๆ แม่ของเธอจู่ ๆ ดันมาพูดเรื่องที่ทำเอาซะเสียบรรยากาศซะหมด







    หลังจากทานมื้อเช้ากันเสร็จ จริยาและเกอร์ทูธก็ขอตัวไปเที่ยวกันต่อ แน่นอนว่าก่อนจากไปจริยาก็กำชับให้ซินจูช่วยเรื่องการแต่งตัวให้กับเจนด้วยและเด็กสาวก็รับคำเสียงใส ดูท่าทางชีวิตภายในเกมต่อไปข้างหน้าสำหรับเจนคงห่างไกลคำว่าสงบสุขแน่



    หลังจากทั้งสองไปแล้ว เจนก็พุ่งกลับเข้าไปที่ห้องพักทันทีและถอดชุดเดรสตัวงามออก ชุดคลุมสีขาวถูกนำออกมาเตรียมพร้อมแต่หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ถึงชุดเกราะที่เสือซ่อนลายบอกให้เธอใช้จึงหยิบมันออกมาดู ชุดเกราะกบเป็นชุดเกราะสีแดงเลือดหมูรูปร่างแปลกประหลาดคล้ายกับกบ แม้รายระเอียดบอกว่ามีพลังป้องกันสูงแต่รูปลักษณ์ภายนอกของมันนั้นกลับตรงกันข้าม ทำเอาเจนที่ถืออยู่คิดแล้วคิดอีกว่าจะใส่มันดีมั้ย



    หลังจากทำใจได้แล้วเจนก็สวมชุดเกราะ และตอนนั้นเองเจนก็รู้สึกได้ทันทีว่าชุดเกราะนี้ตัวใหญ่ไปสำหรับเธอ แต่ก่อนที่จะคิดถอดนั้นเองเจนก็รู้สึกได้ว่าชุดเกราะกบที่สวมอยู่นั้นกำลังลดขนาดลงจนพอดีกับร่างของเธอได้พอดี ทำให้จากตอนแรกที่เป็นชุดเกราะเทอะทะน่าเกลียดกลายเป็นชุดเกราะเล็ก ๆ ดูแปลกประหลาดแทน เมื่อเจนสวมเสื้อและชุดคลุมทับลงไปก็แทบสังเกตไม่ออกแล้วว่าเธอสวมชุดเกราะอยู่



    หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยแล้วจึงออกมาจากห้องก็พบว่าคนอื่น ๆ ก็เตรียมพร้อมกันเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่เจนรู้ว่าพวกเธอคงไปที่ไหนไกลไม่ได้เพราะยังติดเรื่องที่ทำการกิลด์ที่ยังตกลงไม่ได้ว่าจะเอาที่ไหนกันดี



    "ตกลงพวกนายคิดออกกันหรือยังว่าที่ทำการกิลด์ของเราจะอยู่ที่ไหนกันดี" เจนถามขึ้นแล้วนั่งลงข้างโจที่กำลังตีหน้าครุ่นคิด



    "ยังไม่ได้เลย แถมพวกเราต้องคิดให้ได้ก่อนถึงเวลาออฟไลน์ด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นตอนล็อกอินครั้งหน้าเจอหนี้บานแน่" หนูส่งข่าวเตือน



    "แล้วปกติที่ทำการกิลด์อยู่ที่ไหนกันหรือคะ ปราการประจำเมืองใช่หรือเปล่า" ซินจูถามขึ้นมาโดยมีเสือซ่อนลายพยักหน้าตอบ



    "มันก็ใช่อยู่นะ แต่การที่จะตีปราการได้ต้องมีสมาชิกกิลด์อยู่อย่างน้อยห้าร้อยคน แล้วยังต้องสู้กับทหารที่อยู่ในปราการอยู่อีกเกือบหมื่นคน ต่อให้เป็นเจนก็คงไม่ไหวหรอก" เสือซ่อนลายบอกพร้อมกับหันมาหาเจนที่กำลังคิดในใจว่าถ้าหากเธออัญเชิญยามาตะ โนะ โอโรจิออกมา เรื่องทหารหมื่นคนก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร เผลอ ๆ ตัวปราการเองก็คงไม่เหลือด้วยซ้ำเมื่อลองไปนึกถึงเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่ใช้อัญเชิญออกมา



    "อ๋าา นายนี่คิดไปถึงตอนนั้นทำไมล่ะ ใครเขาจะบ้าไปตีปราการตั้งแต่เริ่มตั้งกิลด์กันล่ะ เขาต้องหาที่เล็ก ๆ เป็นที่ทำการก่อนชั่วคราวแล้วค่อยไปตีปราการกันที่หลัง นายนี่น้าา ไม่มีหัวคิดเอาซะเลย" ยูสตาร์บ่น



    "พวกเรามีอยู่แค่กันแค่สิบกว่าคนอย่าเพิ่งไปหวังถึงพวกปราการตอนนี้เลย มาคิดกันดีกว่าว่าจะตั้งที่ทำการกิลด์กันที่ไหนดี" ไมโกะเสนอความคิดเห็น โจพยักหน้าเห็นด้วยแล้วจึงเอ่ยขึ้นบ้าง



    "ปกติแล้วผู้เล่นส่วนใหญ่ที่เพิ่งตั้งกิลด์จะซื้อบ้านหรือซื้อที่ภายในเมืองและสร้างบ้านเองเอาไว้เป็นที่ทำการกิลด์ แต่เงินที่ต้องใช้ทั้งหมดอย่างน้อยก็เกือบสี่ล้านโกลด์ แต่ขนาดของบ้านเล็กมากจนฉันว่ามันไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ถ้าจะให้เป็นที่ทำการกิลด์ ถึงความจริงพวกเราจะมีเงินถุงเงินถังก็เถอะ"



    เป็นไปตามที่เพื่อนของเธอพูดไม่มีผิด แม้ว่าทุกคนจะมีเงินรวมด้วยกันอยู่ถึงร้อยล้านโกลด์ แต่ไม่มีใครอยากจะเอามาใช้จ่ายกับสิ่งชั่วคราวถึงสี่ล้านโกลด์แน่ ปกติแล้วสำหรับผู้เล่นทั่วไป การตั้งกิลด์หมายถึงการลงทุนระยะยาวที่ต้องใช้เงินและแรงงานเป็นจำนวนมากกว่าจะได้ทุนทั้งหมดกลับคืนมา แน่นอนว่าการตั้งกิลด์ปกติแล้วเป็นกลุ่มผู้เล่นนับร้อยคนขึ้นไปกันทั้งนั้น โดยเฉพาะเมื่อต้องจ่ายค่าสมัครเป็นล้านโกลด์เช่นนี้ ทำให้หลังจากตั้งกิลด์เพียงระยะเวลาไม่กี่เดือนในเกม ถ้าหากโชคดีและมีความสามารถมากพอ เงินสิบล้านโกลด์ต่อเดือนก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย



    น้ำเสียงของทุกคนฟังดูเป็นกังวลกับเรื่องนี้มาก ขนาดเจนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวนักยังพลอยรู้สึกหนักใจไปกับเขาด้วย ยังมีอีกเรื่องที่เจนคิดหนักกับการหาที่ทำการกิลด์นี้ก็คือการเดินทาง แน่นอนว่าเธอจะไม่อยู่ในเมืองนี้หรือในทวีปนี้ไปตลอดแน่ แต่ถ้าหากจะไปที่อื่นนั่นก็หมายความว่าจะต้องทิ้งที่ทำการกิลด์เอาไว้เบื้องหลังโดยสูญเงินไปเปล่า ๆ เท่ากับว่าการตั้งกิลด์ขึ้นมานั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่ตีกรอบให้พวกเธออยู่ได้แต่ในทวีปนี้ไปอีก ถ้าหากจะปล่อยเรืองที่ทำการกิลด์ไปมันก็ไม่ต่างจากตอนที่รวมกลุ่มด้วยกันเลย และเจนก็ไม่คิดจะปล่อยให้ที่ทำการกิลด์ต้องเสียเปล่าแน่



    "ทุกคนกำลังกังวลเรื่องที่ว่าหาบ้านไม่ได้กันหรือคะ" คิทซึเนะกระซิบถามข้างหูของเจน



    "ใช่จ๊ะ เพราะบ้านในเมืองเป็นบ้านหลังเล็กแต่มีราคาแพง แถมเวลาพวกเราไปเมืองอื่นหรือทวีปอื่นก็ต้องทิ้งบ้านเอาไว้ด้วย ฉันว่ามันจะไม่ค่อยคุ้มนะ" เจนตอบอย่างหนักใจ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่คิดกันไม่ตกซักที แต่ถ้าหากเป็นกิลด์ใหญ่ ๆ ล่ะก็คงมีที่ทำการกิลด์เล็ก ๆ อยู่ทุกเมืองอย่างแน่นอน



    "อืม...คิทซึเนะก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะช่วยยังไงดี แต่ถ้าหากลองไปขอให้ท่านแม่ช่วยดูอาจจะมีหนทางแก้ปัญหานี้ก็ได้นะ" จิ้งจอกสาวพูดขึ้น ทันใดนั้นเองในหัวของเจนก็สว่างวาบเหมือนมีคนมาเปิดสวิทช์ไฟ เธอยังจำได้ดีที่มาเอะดึงตัวเธอไปหาเธอจากเกาะเริ่มต้น คลังสมบัติของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางต้องพอมีอะไรที่จะช่วยแก้ปัญหาของพวกเธอได้แน่



    "จริงด้วย! ทำไมฉันนึกไม่ถึงเลยนะ ขอบใจมากเลยคิทซึเนะ" เจนโพล่งขึ้นมาเสียงดังและดึงตัวของจิ้งจอกสาวมากอดจนเจ้าตัวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ในขณะที่คนอื่น ๆ หันมามองตามด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น



    "มีอะไรงั้นหรือเจน เธอคิดอะไรได้งั้นหรือ" เสือซ่อนลายถาม ผู้กล้าในชุดขาวไม่ตอบทันที เธอแต่ลุกขึ้นแล้วจ้องหน้าพรรคพวกทุกคนอย่างมีเลศนัยก่อนจะเอ่ยคำสั้น ๆ ที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ



    "พวกเราจะไปหาแม่ของคิทซึเนะกัน"







    หุบเขาจิ้งจอกนั้นตั้งอยู่ในป่าลึกยิ่งกว่าป่าเกาลัดของเหล่าทานูกิมากจนไม่สามาเดินทางไปถึงได้ในวันเดียวและอยู่ในส่วนที่ผู้เล่นคนไม่ค่อยเข้าไปบ่อยนัก โดยเฉพาะเมื่อมอนสเตอร์ที่ลึกเข้าไปในป่าจะยิ่งเก่งขึ้นระดับสูงขึ้นจนไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปสำรวจ ส่วนผู้ที่เคยลองเข้าไปดูก็พบไม่พบอะไรเลยนอกจากเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมอนสเตอร์จำนวนมหาศาล



    ดังนั้นการเดินทางเข้าไปยังหุบเขาจิ้งจอกนั้นแทบเป็นไปไม้ได้เลยสำหรับผู้เล่นทั่วไปเพราะนอกจากมอนสเตอร์ระดับสูงแล้วยังมีเวทลวงตาที่พรางไม่ให้ใครบุกรุกเข้าไปในหุบเขา สำหรับพวกเจนมีคิทซึเนะที่คอยนำทางจึงไม่มีปัญหาเรื่องนั้น แต่เรื่องมอนสเตอร์ระหว่างทางนั้นพวกเจนคงต้องรับมือด้วยตัวเอง



    โดยส่วนมากที่เจนพบจะเป็นสัตว์ป่าธรรมดาอย่างเสือหรือจิ้งจอกซึ่งเป็นยศขุนนางและมีเลเวลสูงพอสมควร บางตัวมีเลเวลสูงถึงยี่สิบจนทำเอาพวกเธอเสียเวลาไปไม่น้อยเพื่อจัดการมัน โชคดีที่พวกจิ้งจอกเป็นมิตรกับพวกเธอและเจนกำชับทุกคนเอาไว้ว่าห้ามแตะต้องพวกจิ้งจอกไว้แล้ว ทำให้การเดินทางช่วงแรกค่อนข้างเป็นไปอย่างราบรื่น



    แต่หลังจากเข้ามาในป่าลึกมากขึ้นพวกงูและแมงมุมก็เริ่มปรากฏออกมา ปัญหาคือขนาดของพวกมันนั้นใหญ่เกือบเมตรจนความน่ากลัวกับญาติตัวเล็กที่อยู่นอกเกมเทียบไม่ติดเลย แม้ซินจูและยูสตาร์จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่สำหรับเจนนั้นจัดการรับมือได้สบายมากโดยเฉพาะเจ้าตัวแปดขา เพียงแค่ใช้ดาบฟาดเข้าไปไม่กี่ครั้งแมงมุมพวกนี้ก็สิ้นฤทธิ์ จนพวกเจนเริ่มเพลิดเพลินกับการจัดการเจ้าพวกแมงมุมพวกนี้ที่แม้จะให้ของน้อย ตรงกันข้ามคือมันมีเลเวลสูงแต่สามารถจัดการได้ง่ายแถมยังมีจำนวนมากมาให้จัดการเรื่อย ๆ จนตอนนี้เลเวลของเจนเพิ่มขึ้นมามาเลเวลสิบแล้ว ในขณะที่คนอื่น ๆ ในกลุ่มก็ต่างมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าที่บอกว่าเลเวลของตนเองก็เพิ่มขึ้นมาแล้วเช่นกัน



    เวลาผ่านไปจนตะวันเริ่มใกล้จะลับฟ้า และกลางคืนจะมาเร็วว่าปกติเมื่ออยู่ในป่า ยิ่งเป็นป่าทึบด้วยแล้วทำให้กลางคืนยิ่งทวีความอันตรายขึ้นเป็นสองเท่า ทำให้พวกเจนที่กำลังจัดการกับแมงมุมอย่างมันมือก็ต้องรีบรุดเร่งเดินทางหาที่ตั้งแค้มป์ก่อนที่แสงอาทิตย์จะหมดลง ในที่สุดพวกเจนก็พบกับที่เหมาะพอที่จะใช้ตั้งเป็นที่พักได้ และพวกเธอก็จัดการตั้งเต็นท์และก่อกองไฟได้ทันก่อนตะวันตกดินพอดี



    หลังจากจัดการอาหารเย็นแล้ว เจนก็เปิดหน้าต่างขึ้นมาดูว่าตอนนี้เธอเลเวลสิบแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และเจนก็ต้องยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นว่ามีทักษะใหม่ถึงสองทักษะทีเดียว



    ฮีโร่นิรนาม ระดับ A ทักษะติดตัว

    ทำให้ผู้ที่มีทักษะนี้สามารถป้องกันการถูกตรวจสอบได้



    บอลพลังจตุรธาตุ ระดับ S ใช้พลังเวท 1 ต่อบอลเวทหนึ่งลูก ไม่มีระยะเวลาดีเลย์

    สามารถใช้บอลพลังเวทธาตุไฟ ลม ดิน น้ำ ได้



    รอยยิ้มที่เบิกกว้างต้องหุบลงไปเมื่อเห็นว่าเธอได้ทักษะอะไรมา แถมทักษะระดับสูงอีกอักก็ดูท่าทางไม่ใช่ทักษะที่ดีเท่าไหร่เลย เจนลองร่ายบอลพลังเวทขึ้นมาก็พบว่าที่มือข้างซ้ายของเธอมีก้อนพลังสีส้มอ่อนลอยอยู่ที่รอบข้อมือ ขนาดของมันพอ ๆ กับลูกปิงปอง เจนรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากบอลพลังเวทได้เล็กน้อย



    เมื่อลองยิงบอลพลังเวทออกไป บอลธาตุไฟก็พุ่งเข้ากระทบกับกอหญ้าด้วยความเร็วราวกับกระสุนปืน แต่อานุภาพของมันกลับทำให้เจนต้องถอนหายใจ เพราะเมื่อบอลเวทกระทบกับกอหญ้าก็มีไฟลุกขึ้นมาเพียงเล็กน้อยก่อนจะดับไป เหลือเอาไว้ให้แต่รอยไหม้เล็ก ๆ ให้ดูเอาไว้ต่างหน้าเท่านั้น และเมื่อเจนลองทำกับบอลธาตุอื่น ๆ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรนัก



    "แจ็ค รับนะ" หญิงสาวว่าแล้วโยนอะไรบางอย่างให้กับชายหนุ่มร่างใหญ่ เขาใช้สองมือรับได้อย่างพอดีแล้วก้มลงดูว่าเพื่อนของเขาคืนอะไรมา มันเป็นตรานายอำเภอที่เขาเคยให้กับเจนเอาไว้นั่นเอง



    "อ้าว..นี่เธอจะไม่ใช้แล้วงั้นหรือ" แจ็คถาม



    "อือ ฉันได้ทักษะใหม่มาใช้ปกปิดสถานะแทนแล้ว เอาของนายคืนไปเถอะ ขอบใจมากนะที่ให้ยืม" เจนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะยังผิดหวังเรื่องทักษะใหม่ทั้งสองทักษะของเธอ หลังจากพยายามลืม ๆ ไปแล้วจึงหันไปหาคิทซึเนะที่กำลังหันมองไปรอบที่พักราวกับสุนัขเฝ้ายาม



    "นี่คิทซึเนะ อีกไกลหรือเปล่ากว่าที่พวกเราจะไปถึงหุบเขาจิ้งจอก" เจนถาม



    "อีกไม่ไกลหรอกค่ะ คิดว่าน่าจะประมาณเที่ยงในวันพรุ่งนี้ก็คงถึงแล้วล่ะค่ะ" จิ้งจอกสาวตอบแล้วจึงหันไปเฝ้ายามต่อ



    คงเป็นเพราะตอนนี้ทุกคนใกล้ถึงถิ่นของจิ้งจอกแล้วจึงทำให้คิทซึเนะตื่นตัวเต็มที่และทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี คอยเฝ้ายามไม่ให้พวกแมงมุมและมอนสเตอร์จ่าง ๆ เข้ามาลอบโจมตีได้ กองไฟสีน้ำเงินของคิทซึเนะจึงลุกอย่างโชติช่วงจนไม่มีมอนสเตอร์กล้าเข้ามาใกล้ แม้ว่ามอนสเตอร์แถวนี้ส่วนใหญ่จะไม่กลัวไฟจิ้งจอกอย่างที่มอนสเตอร์บนเกาะเริ่มต้นก็ตาม แต่กองเพลิงสีฟ้าอันร้อนแรงนั้นก็เป็นสิ่งที่เตือนเหล่ามอนสเตอร์โดยรอบว่าถ้าหากเข้ามาจะต้องพบกับอะไร



    ค่ำคืนผ่านไปจนถึงเช้าอย่างสงบสุข ทุก ๆ คนนอนกันเต็มอิ่มโดยไม่มีมอนสเตอร์บุกเข้ามารบกวนกลางดึกเลยแม้แต่ตัวเดียว แม้ว่ากองไฟจะลุกโชนตลอดทั้งคืนแต่ก็ใช่ว่าจิ้งจอกสาวจะไม่ได้นอนเลย หลังจากทุกคนเข้านอนแล้ว โดยคิทซึเนะอาสาเป็นยามให้ทั้งคืน เธอก็กลับเข้าไปนอนในเต็นท์กับเจนโดยไม่ห่วงว่ากองเพลิงจะดับลงเหมือนคราวที่แล้ว นั่นก็เพราะว่าเธอสามารถควบคุมเพลิงจิ้งจอกได้แม้จะหลับอยู่นั่นเอง



    หลังจากทานมื้อเช้าอย่างง่าย ๆ และจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว พวกเจนก็เริ่มออกเดินทางต่อทันที ทว่าการเดินทางวันนี้กลับต่างไปจากเมื่อวานเพราะไม่มีมอนสเตอร์เข้ามารบกวนเลยแม้แต่ตัวเดียว ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานยังมีมาไม่หยุดเลยแท้ ๆ จนเสือซ่อนลายเริ่มออกอาการสงสัย



    "ที่ไม่มีพวกแมงมุมมารบกวนก็เพราะตอนนี้พวกเราอยู่ในอาณาเขตของหุบเขาจิ้งจอกแล้วยังไงล่ะคะ ถ้าพวกมันยังไม่อยากโดนเพลิงจิ้งจอกของท่านแม่เผาจนไม่เหลือซากแล้วล่ะก็ มันก็ไม่โง่เข้ามาในพื้นที่แถบนี้หรอกค่ะ จริงมั้ยฟีบี" คิทซึเนะพูดขึ้นอย่างมั่นใจโดยมีฟีบีช่วยสนับสนุนด้วยน้ำเสียงสดใส



    "ใช่แล้วค้า!"



    เจนหัวเราะแห้ง ๆ ให้เมื่อได้ยินคำตอบของน้องสาวของเธอทั้งคู่ที่จะอวยมาเอะเอามาก คิทซึเนะน่ะไม่น่าแปลกเท่าไหร่ แต่ฟีบีเอาด้วยอีกคนนี้คงเป็นเพราะได้อยู่กับมาเอะในตอนที่เจนออฟไลน์จนสนิทกันแล้วแน่



    เมื่อดวงตะวันใกล้จะขึ้นที่กลางหัว เจนก็เห็นผาสูงตระหง่านตั้งอยู่ตรงหน้า พวกเธอต่างแปลกใจเพราะว่าผาสูงขนาดนี้กลับไม่มีใครสังเกตเห็นเลยตอนที่กำลังเดินทางมาที่นี่ ราวกับว่าจู่ ๆ มันก็ปรากฏตัวขึ้นบนอากาศธาตุอย่างนั้นแหละ



    "พวกเรามาถึงหุบเขาจิ้งจอกแล้วค่ะ" คิทซึเนะว่า แต่เมื่อเจนหันไปมองหาแอ่งน้ำที่เธอเคยเห็นแต่กลับหาไม่พบแม้กระทั่งก้อนหินที่เคยผนึกเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเอาไว้



    "ใช่ตรงนี้แน่หรือคิทซึเนะ ทำไมไม่เห็นมีจิ้งจอกอยู่ซักตัวเลยล่ะ" เจนถาม จิ้งจอกสาวได้ยินแล้วจึงหันมาให้คำตอบอย่างรวดเร็ว



    "ไม่ใช่ตรงนี้หรอกค่ะ แต่เป็นข้างในนี้ต่างหาก" ไม่พูดเปล่า จิ้งจอกสาวก็เดินเข้าไปที่บริเวณกำแพงหินผาแล้วใช้มือแตะเบา ๆ



    ทันใดนั้นเองที่จู่ ๆ กำแพงหินค่อย ๆ สลายไป เผยให้เห็นทางเดินไปต่อข้างหน้าโดยมีเถาวัลย์ขึ้นเป็นประตูทางเข้าอย่างสวยงาม



    "นี่เป็นเวทลวงตาสองชั้น ป้องกันไม่ให้มีใครบุกเข้ามาในหุบเขาน่ะค่ะ นอกจากพี่เจนแล้ว ทุกคนก็ถือได้ว่าเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้เข้ามาในหุบเขาจิ้งจอกเลยนะคะ" คิทซึเนะพูดแล้วจึงเดินนำพวกเจนเข้าไปที่ต่างมองดูทางเข้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ



    ทันทีที่เข้ามาในหุบเขา เจนก็เห็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่อยู่ด้านหน้าที่มีจิ้งจอกหลายตัวต่างกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ที่แห่งนี้ดูร่มรื่นต่างจากป่าทึบภายนอกอย่างสิ้นเชิง อีกด้านหลังเจนก็ถึงกับต้องแปลกใจเพราะเธอคิดว่ามีมนุษย์คนอื่นอยู่ในหุบเขานอกจากพวกเธออยู่ด้วย แต่เมื่อสังเกตดูดี ๆ ก็พบว่ามนุษย์หนุ่มสาวที่เธอเห็นนั้นเป็นจิ้งจอกแปลงกายเหมือนกับที่ทานูกิแปลงร่างนั่นเอง



    ที่อยู่อาศัยของจิ้งจอกในหุบเขาต่างจากทานูกิในป่าเกาลัดก็คือจิ้งจอกเหล่านี้ไม่ได้มีบ้านเป็นหลังเหมือนกับพวกทานูกิ แต่จะอาศัยอยู่ในโพรงต้นไม้หรือในถ้ำหินตามธรรมชาติในร่างจิ้งจอก หรือแม้กระทั่งนอนอยู่ตามทุ่งหญ้าในแถบนี้กันตามใจชอบเพราะว่าภายในหุบเขานี้ถือเป็นสวรรค์ของเหล่าจิ้งจอกทุกตัว



    ระหว่างทางก็มีจิ้งจอกจำนวนมากเข้ามาทักทายคิทซึเนะอย่างสนิทสนมราวกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ส่วนพวกเจนเองก็เรียกพวกจิ้งจอกให้เข้ามาสนใจได้ไม่น้อยเช่นกัน ยิ่งซินจูแล้วแทบจะวิ่งเข้าไปกอดเลยด้วยซ้ำเพราะอดใจให้กับความน่ารักของจิ้งจอกเหล่านี้ไม่ได้ เจนเองก็พยายามอดใจอยู่เช่นกันโดยจับมือของฟีบีแก้ขัดไปก่อน



    คิทซึเนะนำทางทุกคนมายังเนินสูงภายในหุบเขา เมื่อเดินขึ้นมาเจนก็จำแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่เคยมีก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ได้ทันที เว้าแต่ว่าตอนนี้ก้อนหินนั้นกลับแทนที่ด้วยจิ้งจอกสีทองตัวใหญ่กำลังอยู่แทนที่ หางทั้งเก้าโบกสะบัดไปมาอย่างอ่อนช้อยแต่ก็เต็มไปด้วยพลังอำนาจจนพวกเสือซ่อนลายยืนเกร็งไปทั้งตัว เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้พบกับมอนสเตอร์ยศเทพเจ้า



    "ท่านแม่!" เสียงของจิ้งจอกสาวดังแล้วเธอก็วิ่งเข้าไปซบหน้ากับจมูกของจิ้งจอกตัวโตอย่างไม่รู้สึกกลัว เช่นเดียวกับฟีบีที่ปีนขึ้นไปบนตัวของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางอย่างไม่เกรงใจ



    ดวงตาสีทองเปิดขึ้นและหันไปมองบุตาสาวของตนและใช้ลิ้นเลียแก้มของเธออย่างห่วงใย ในขณะเดียวกันหางทั้งเก้าของเธอก็ตวัดไปมาอยู่ตรงหน้าของฟีบีราวกับกำลังหยอกเล่นด้วย และตอนนั้นเองที่ดวงตาสีทองตวัดมาหาพวกเจนที่ยังยืนรออย่างมีมารยาท



    "ข้าคือเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ทามาโมะ มาเอะ ยินดีตอนรับเจนและเพื่อน ๆ ทุกคนเข้าสู่หุบเขาจิ้งจอกของข้า" เสียงทรงอำนาจของจิ้งจอกเก้าหางดังขึ้นแต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความอ่อนโยน เจนที่ชินกับเสียงพูดของมาเอะแล้วก็ยิ้มตอบ ในขณะที่พวกเสื่อซ่อนลายนั้นต่างตัวแข็งทื่อไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้น



    เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนต่างนิ่งไม่ทักทายเพราะกลัวเกินกว่าจะทำได้ มาเอะจึงค่อย ๆ กลายร่างเป็นหญิงงามในชุดกิโมโนสีเหลืองทอง เธอยื่นมือให้กับฟีบีและคิทซึเนะที่บินเคียงคู่กันมาก่อนจะลงสู่พื้นดินตรงหน้าเจนอย่างนุ่มนวล



    "สวัสดีคะท่านมาเอะ" หญิงสาวเอ่ยทักทายแล้วก้มตัวอย่างอ่อนน้อม เมื่อพวกเสือซ่อนลายเห็นต่างก็รีบทำตามอย่างรวดเร็วจนมาเอะที่มองดูอยู่ก็อดที่จะแอบหัวเราะกับท่าทางของพวกเขาไม่ได้



    "พวกเจ้าไม่ต้องร้อนรนไปหรอก ข้าไม่ทำร้ายคนที่เป็นเพื่อนของเจนแน่เพราะอย่างนั้นจงวางใจเถอะ" เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเอ่ยพร้อมกับค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามาหา แม้ว่าจะได้ยินอย่างนั้นแต่จะให้ทำตามที่ปากบอกทันทีคงจะยาก



    มาเอะยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทางตื่นของพวกเสือซ่อนลาย เธอหันมาหาเจนแล้วจึงพูดขึ้นมา "ข้าเคยบอกกับเจนเอาไว้ว่าอยากให้พาเพื่อน ๆ มาเยี่ยมเยียนที่หุบเขา ในเมื่อเจอกันแล้วข้าก็ยินดีที่จะมอบน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับทุกคน... คิทซึเนะ พาเพื่อน ๆ ของเจนไปเลือกของที่ชอบในห้องขุมทรัพย์ให้หน่อยนะ"



    "เข้าใจแล้วค่ะ" จิ้งจอกสาวรับคำแล้วจึงเดินนำพวกเสือซ่อนลายไปยังในถ้ำที่เจนเคยเข้าไปหาเสื่อคลุมสีขาวตัวที่เธอใส่มา



    พอเจนจะเดินตามเพื่อนของเธอไปก็ต้องชะงักเพราะถูกเสียงของมาเอะเรียกให้หันกลับไปหา "รอก่อนซักเดี๋ยวเจน ข้ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับเจ้าซักหน่อย"



    "มีอะไรหรือคะท่านมาเอะ...เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ" เจนถามอย่างนอบน้อม ดูจากสีหน้าของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางแล้วคงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แน่



    เจนเดินตามมาเอะไปยังที่พำนักของเธอซึ่งไม่ได้เป็นปราสาทหรูหราอย่างที่คาดเอาไว้ เพราะที่ ๆ เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางพาเธอมาเป็นแค่ถ้ำแต่มีขนาดใหญ่มาก ด้านในไม่ได้มีการตกแต่งด้วยทองคำหรือเพชรพลอย มีเพียงแค่ต้นไม้ใบหญ้าและกองหญ้าแห้งที่ปูเอาไว้บนพื้นถ้ำแต่ก็ดูน่านอนไม่แพ้เตียงราคาแพงเลย



    "ขอโทษเรื่องสถานที่ด้วยนะ ปกติข้าไม่ได้ใช้ร่างมนุษย์ซักเท่าไหร่ก็เลยไม่มีที่เหมาะสมเอาไว้ต้อนรับเธอและเพื่อน ๆ" มาเอะพูดแล้วนั่งลงบนโขดหินพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้เจนนั่งลงข้าง ๆ



    "ว่าแต่เรื่องที่ท่านมาเอะอยากจะคุยกับฉันคือเรื่องอะไรหรือคะ" เจนถาม



    รอยยิ้มของจิ้งจอกเก้าหางจางลงเมื่อได้ยินเจนเอ่ยขึ้นมา เธอถอนหายในออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อนก่อนจะมองผู้กล้าในชุดขาวพร้อมกับพูดขึ้นอย่างช้า ๆ "เรื่องที่อยากจะคุยกับเจ้ามันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าโดยตรง แต่มันควรเป็นเรื่องที่เจนควรจะรู้เอาไว้เพราะมันคือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผนึกพันปี"



    "ผนึกพันปี!? เกิดอะไรหรือคะ" เจนรีบถามขึ้นเพราะเธอใช้ดาบคุซานางิทำลายผนึกนี้มาถึงสองครั้งแล้ว ถ้าหากจะมีเป็นหาอะไรก็คงเป็นเธอนี่แหละที่เป็นต้นเหตุ



    "ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เจน เรื่องมันเกิดขึ้นก่อนหน้าที่เจ้าจะปลดผนึกข้า เพราะฉะนั้นไม่ใช่เจ้าที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้แน่" มาเอะพยายามปลอบใจเจนแต่น้ำเสียงของเธอยังบ่งบอกถึงความกังวลอยู่ "ก่อนหน้าที่เจ้าจะมา ข้ารู้สึกได้ว่าผนึกอื่น ๆ ในโลกแห่งนี้เริ่มอ่อนแอลงมากจนข้าสามารถติดต่อกับเทพอสูรตนอื่น ๆ ผ่านทางจิตได้ ข้าพยายามสอบถามข่าวว่าใครเป็นผู้ผนึกเหล่าเทพอสูรแต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้เลยแม้แต่น้อย"



    "และเร็ว ๆ นี้ข้าก็รู้สึกว่าผนึกเริ่มอ่อนกำลังลงมากจนข้าสังหรณ์ว่าในอีกไม่นานผนึกพันปีทั้งหมดอาจจะสลายไป และเหล่าเทพอสูรจะกลับมาอีกครั้ง" มาเอะกล่าว และจากสีหน้าของเธอทำให้เจนมั่นใจว่านั่นไม่ใช่เรื่องดีแน่



    "ถึงการกลับมาของเหล่าเทพอสูรจะไม่ใช่เรื่องร้าย แต่สิ่งที่ตามการหลังจากนั้นต่างหากที่ข้าเป็นห่วง"



    "อะไรหรือคะ...อะไรที่ตามมาหลังจากนั้น" เจนรู้สึกว่าน้ำลายของตนเองเหนียวหนืดขึ้นมากะทันหัน ตอนนี้ใจของเธอเต้นระทึกเพราะไม่ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้มาเอะซึ่งเป็นถึงเทพอสูรเป็นกังวลได้ มันก็ควรที่จะให้เธอต้องรู้สึกกังวลมากกว่าเป็นสองเท่า



    "เรื่องมันเกิดขึ้นก่อนที่เหล่าเทพอสูรถูกผนึกเอาไว้เมื่อหนึ่งพันปีก่อน เจนคงจำได้ใช่หรือไม่ว่าเผ่าจิ้งจอกของข้าและเผ่าทานูกิของยากิเป็นพันธมิตรกันในตอนนั้น" มาเอะถาม เจนพยักหน้าตอบรับ "ในเวลานั้นมีสงคราม สงครามที่ไม่มีฝักมีฝ่ายใด ๆ เหล่าเทพบนสวรรค์ต่างรบกันเอง เช่นเดียวกับเหล่าอสูรในอเวจีและเทพอสูรบนโลกที่มีสงครามกับทุกฝ่ายไม่เลือกหน้า มีพวกข้ากับไม่กี่เผ่าบนโลกได้ร่วมมือกันเพื่อปกป้องลูกหลานของเราเอาไว้ให้อยู่รอดสืบต่อไปแต่ก็ไม่อาจสู้ไฟของสงครามได้นานนัก จนในที่สุดตอนนั้นโลกยับเยินจนแทบจะสิ้นสลาย"



    "แต่แล้วจู่ ๆ ข้าก็รู้สึกได้ว่ามีพลังอำนาจมหาศาลผนึกข้าลงสู่หินผนึกพันปี ตอนแรกข้านึกว่าเป็นฝีมือของศัตรูที่หวังจะทำลายเผ่าพันธุ์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปีแต่ก็ไม่มีเทพอสูรตนไหนบุกเข้ามาในหุบเขา จนในที่สุดผนึกที่แข็งแกร่งก็เริ่มอ่อนกำลังลงจนข้าสามารถใช้จิตสื่อการกับเทพอสูรตนอื่นได้ ทำให้รู้ว่าไม่ใช่ข้าเพียงคนเดียวที่ถูกผนึก แต่เป็นเทพ อสูรและเทพอสูรทุกตนที่ต่างก็ถูกพลังอำนาจลึกลับผนึกเอาไว้ ทำให้สงครามที่เกือบนะทำลายล้างโลกได้สิ้นมุดลงโดยไร้ซึ่งผู้ชนะ"



    "ท่านต้องรอกี่ปีหรือค่ะกว่าผนึกจะอ่อนลงจนสามารถสื่อสารกับเทพอสูรตนอื่นได้" เจนถามด้วยความสงสัย เพราะถ้าหากผนึกที่แข็งแกร่งขนาดผนึกเทพอสูรทุกตัวได้ในครั้งเดียว ทำไมมันถึงอ่อนพลังลงเร็วนัก



    มาเอะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะเงยหน้านึกคิดดูแล้วจึงตอบคำถามของเจน "ก็คงประมาณเจ็ดร้อยปีเห็นจะได้ล่ะมั้ง"



    เจนหัวเราะแห้ง ๆ เมื่อรู้ว่ากว่ามาเอะจะรู้ความจริงว่าเทพอสูรทุกตนถูกผนึกก็ต้องรอคอยนานโขทีเดียว "เอ่อ...แล้วท่านมาเอะรู้หรือเปล่าคะว่าเป็นฝีมือของใครที่ผนึกเทพอสูรลงอย่างนั้น"



    "อืม...มันก็มีเรื่องเล่าระหว่างเทพอสูรด้วยกันอยู่เรื่องหนึ่ง ว่ากันว่านอกจากเทพอสูรระดับสูงสุดที่มีพลังเทียมฟ้า เทพที่มีพลังไร้ผู้ทาน หรืออสูรที่มีพลังจะทำลายโลกได้ในกำมือแล้ว ก็ยังมีเทพอีกสองตนที่มีพลังเหนือกว่าใครทั้งมวล...แต่จะเรียกว่าเป็นเทพก็คงไม่ถูก เพราะไม่เคยมีใครยืนยันว่าพวกท่านนั้นเป็นเทพหรืออสูรกันแน่ ยังมีข่าวลือกันว่าเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำไป" มาเอะเล่าทำให้เจนต้องเลิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อรู้ว่าผู้ที่มีพลังมากขนาดนั้นอาจจะเป็นมนุษย์อย่างเธอ



    "เอ๋! จริงหรือคะ!?"



    หญิงงามในชุดสีทองยกชายแขนเสื้อขึ้นมาป้องปากและหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวตรงหน้าเธอ "ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้ารู้แค่ว่าเหล่าเทพอสูรต่างเรียกทั้งสองว่า 'เทพมารดาแห่งชีวิต และ เทพบิดาแห่งความตาย' นอกจากทั้งสองชื่อนี้แล้วก็ไม่มีใครรู้อย่างอื่นกับท่านทั้งสองเลย ไม่แม้แต่จะมีใครเคยพบหน้าจนถูกคิดว่าเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าไงล่ะ"



    ผู้กล้าในชุดขาวพยักหน้าขึ้นลงและนั่งเงียบฟังอย่างตั้งใจ มาเอะจึงเริ่มเล่าต่อ



    "สิ่งที่ข้ากังวลคือถ้าหากผนึกพันปีสินสภาพลงไปล่ะก็ สงครามที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังจะกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้เหล่ามนุษย์อาจจะเป็นผู้ที่ต้องรับเคราะห์หนัก"



    "แล้วอีกนานมั้ยคะกว่าที่ผนึกพันปีจะสลายไป" เจนรีบถามทันที เพราะหากผนึกพันปีสลายไป เธอก็มองไม่เห็นทางที่ผู้เล่นจะรับมือเหล่าเทพอสูรได้เลย ถ้าเธอรีบเตือนให้ทุกคนเตรียมพร้อมก่อนล่ะก็ บางทีอาจจะพอรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นได้บ้าง



    ยังไม่ทันที่มาเอะจะตอบคำถาม ก็มีหน้าต่างขึ้นเตือนที่ด้านหน้าของเจน เธอกล่าวขอโทษกับจิ้งจอกเก้าหางและเปิดหน้าต่างนั้นขึ้นมาเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องเร่งด่วน และมันก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาจริง ๆ ด้วย เมื่อเจนอ่านพาดหัวของ หน้าต่างแสงนั้นก็ต้องเลิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะมันคือการแจ้งอัพเดทโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่เกมเปิดให้บริการ



    'แจ้งผู้เล่นทุกท่านให้ทราบถึงตัวเกมที่ทางนอยช์วานสไตล์ได้ทำการปรับปรุงระบบและเพิ่มเหตุการณ์ใหม่ภายในโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ดังนี้



    - เพิ่มขีดความสามารถของอาชีพต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างเช่นสายอาชีพนักประดิษฐ์สามารถสร้างพาหนะขนาดใหญ่ได้อย่างเช่น เรือ หรือ เรือเหาะ, อาชีพสายจอมเวทสามารถเรียนรู้เวทมนตร์ระดับมหาเวทได้ เป็นต้น

    - ทวีปใหม่ 'ทารันทา' เปิดให้ผู้เล่นเดินทางไปยังทวีปดึกดำบรรพ์ที่อยู่ทางเหนือของทวีปยูโรปา โดยทวีปใหม่แห่งนี้มีมอนสเตอร์ระดับต่ำสุดอยู่ที่ยศขุนนาง เลเวล 60

    - เพิ่มมอนสเตอร์ระดับราชาและเปิดตัวมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าที่จะปรากฏตัวในบางพื้นที่ทั้งสามทวีป

    - ประกาศกำหนดการณ์กิลด์วอร์ โดยจะเริ่มสงครามในอีกสิบเดือนนับจากนี้



    การอัพเดทไม่มีความจำเป็นต้องให้ผู้เล่นทำการล็อกเอาท์ออกจากเกม ถ้าหากผู้เล่นต้องการจะสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายระเอียดของการอัพเดท สามารถติดต่อได้ที่อาคารระบบหรือบนกระดานข้อความในส่วนติดต่อเจ้าหน้าที่



    ขอให้เพลิดเพลินกับโลก ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์'



    เจนตกใจมากกับการอัพเดทตัวเกมในครั้งนี้มาก เพราะแต่ละอย่างที่เพิ่มขึ้นมาในเกมนั้นต่างเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อย และสิ่งที่ทำให้เจนตกใจมากที่สุดนั่นก็คือการพูดถึงเทพอสูรในรายระเอียดของการอัพเดทในครั้งนี้ที่สอดคล้องกับสิ่งที่มาเอะได้พูดกับเธอมาก่อนหน้า เหล่าเทพอสูรได้กลับมาแล้ว!



    ทันใดนั้นเองมาเอะก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและจ้องมองไปยังด้านนอกของถ้ำของเธอจากนั้นจึงพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว



    เมื่อตามออกมาเจนก็พบว่าปากถ้ำมีจิ้งจอกตัวใหญ่กว่าสามเมตรหลายสิบตัวกำลังยืมปิดล้อมปากถ้ำและส่งเสียงขู่ร่างขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือหัวออกมาอย่างน่ากลัว ในขณะที่ตัวเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเองนั้นเงยหน้าขึ้นมองดูร่างนั้นอย่างเคร่งเครียดแต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความยำเกรง



    ร่างสูงที่ลอยอยู่เหนือเจนในตอนนี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นพยัคฆ์ขาวขนาดใหญ่ มันมีความสูงกว่าห้าเมตร ขนสีขาวราวปุยนุ่นปลิวไสวพร้อมกับสายลมแต่ร่างของเสือตัวนี้ดูแข็งแกร่งราวกับหินผา เจนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ออกมาจากร่างตรงหน้าเธออย่างรุนแรง นอกจากยามาตะ โนะ โอโรจิและเซอร์โนบอทแล้ว เธอก็ไม่เคยพบกับพลังมหาศาลขนาดนี้เลย



    เทพอสูรแห่งทิศประจิม พยัคฆ์ขาว เบียคโกะ

    ยศเทพเจ้า เลเวล 60



    "ถึงเวลา ทามาโมะ มาเอะ สงครามเทพอสูรใกล้จะอุบัติขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว" เสียงแข็งกร้าวดังขึ้น ดวงตาสีเขียวมรกตของพยัคฆ์จ้องมองลงมายังที่มาเอะแล้วเหลือบมามองที่เจน ตอนนั้นเองที่เธอรู้ทันทีว่าตัวเองกำลังถูกนำพาไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใหญ่เกินตัวเข้าอีกเรื่องซะแล้ว



    จบตอนที่ 41 เทพอสูร



  6. #56
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 42 กฎแห่งเทพอสูร

    ตอนที่ 42 กฎแห่งเทพอสูร



    ท่ามกลางเสียงขู่คำรามของจิ้งจอกหลายสิบตัวแต่มิอาจทำให้เทพพยัคฆ์ขาวรู้สึกหวั่นเกรงได้แม้แต่น้อย ผู้ที่ตอนนี้ตกเป็นรองกลับเป็นเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่อยู่ในร่างมนุษย์กำลังก้มหน้าหลบสายตาแข็งกร้าว แม้จะอยู่ในถิ่นของตน แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเหนือกว่าเลยแม้แต่น้อยเพราะเธอรู้ว่าพลังของเธอนั้นไม่อาจเทียบกับเบียคโกะได้ ถึงจะเป็นเทพอสูรเช่นเดียวกันแต่พลังของเทพพยัคฆ์ขาวนั้นอยู่คนละชั้นกับเธอจนไม่อาจเทียบทานได้แล้ว



    เจนรู้ว่าถ้าเกิดจะต้องมีการต่อสู้ขึ้นมาจริง ๆ เธอไม่มีทางที่จะต่อกรกับเทพอสูรตรงหน้าได้เลย ขนาดมาเอะที่เป็นเทพอสูรเช่นเดียวกันยังรู้สึกหวาดหวั่น นับประสาอะไรกับผู้เล่นยศขุนนางเลเวลยังไม่เกินสิบจะทำอะไรได้ ทว่าแม้จะเป็นอย่างนั้นจริงก็ตาม แต่เจนก็ไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แน่



    สาวงามในชุดยูกาตะสีเหลืองทองยังคงลังเลที่จะให้คำตอบแก่พยัคฆ์ขาว ด้านเจนนั้นก็เตรียมพร้อมถ้าหากเกิดสถานการณ์ขับขันขึ้น มือเรียวค่อย ๆ ขยับไปหาดาบที่หลบสายตาอยู่ใต้ชุดคลุมอย่างช้า ๆ แต่แล้วสายตาของเธอก็สบเข้ากับดวงตาสีเหลืองของมาเอะซึ่งบอกกับเจนเป็นนัยน์ว่าอย่า เจนจึงละมือลงแต่ก็ยังคงไม่ผ่อนท่าทีระมัดระวังเลยแม้แต่น้อย



    "ยินดีต้อนรับท่านเบียคโกะสู่หุบเขาจิ้งจอกของข้า ยินดีด้วยที่ท่านหลุดออกมาจากผนึกพันปีได้แล้ว ไม่นึกว่าท่านอุตส่าห์มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ก่อนเป็นที่แรกหลังจากถูกผนึกมานานกว่าพันปี" มาเอะเอ่ยขึ้นพร้อมกับย่อตัวเล็กน้อยอย่างสำรวม



    พญาสิงค์ไม่มีท่าทางตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้นกับคำพูดของหญิงสาว ดวงตาดุร้ายของเบียคโกะยังคงจับจ้องไปที่ร่างสูงไม่ห่าง "คำตอบของเจ้ามาเอะ ข้ายังรอคอยคำตอบของเจ้าอยู่"



    "ขออภัยด้วยท่านเบียคโกะ แต่ข้ายังยืนยันคำตอบเดิมตั้งแต่ตอนที่ข้ายังคงอยู่ภายใต้ผนึกพันปี ข้าคงไม่อาจเข้าร่วมกับกองทัพเทพอสูรได้ตามที่ท่านต้องการ"



    "ทำไมกันล่ะ ทั้ง ๆ ที่เมื่อครั้งยังมีสงคราม เจ้าคือหนึ่งในผู้ที่ก่อตั้งกองทัพเทพอสูรขึ้นมาแท้ ๆ เจ้าทำให้พวกเราเหล่าเทพอสูรได้เปรียบขึ้นมาในสงครามที่มีศัตรูรอบด้าน แต่มาตอนนี้เจ้ากลับปฏิเสธที่จะเข้าร่วมด้วย อะไรถึงทำให้เจ้าเปลี่ยนใจ" เบียคโกะถาม



    มาเอะเหลือบไปมองเจนที่ยังคงยืนอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะหันกลับมาให้คำตอบ "โลกนี้เกือบจะสิ้นสลาย หลายล้านชีวิตต่างต้องสูญสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ในสงครามครั้งนั้น ดังนั้นข้าจึงไม่คิดว่าการที่จะก่อสงครามอีกครั้งจะเกิดประโยชน์อะไรแก่เผ่าจิ้งจอกหรือเหล่าเทพอสูรตนอื่น ๆ เลย" มาเอะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ



    ร่างใหญ่ของเทพพยัคฆ์ค่อย ๆ ลดความสูงลงบนพื้นหญ้า จิ้งจอกองครักษ์ที่อยู่รอบตัวของเจนยังคงทำหน้าที่คุ้มกันเทพอสูรของเผ่าพันธุ์อย่างแข็งขันแต่พวกมันเองก็ก้าวถอยหลังออกห่างจากเบียคโกะเพราะขนาดของพยัคฆ์ขาวนั้นใหญ่กว่าพวกมันมาก และแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างที่เหล่าจิ้งจอกองครักษ์ไม่อาจเทียบได้เลย



    ทันใดนั้นร่างของเบียคโกะพลันส่องสว่าง เมื่อแสงจางลงเจนก็ไม่เห็นพยัคฆ์ขาวอีกต่อไป ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นเป็นชายร่างใหญ่กำยำมีผมยาวสีขาวเช่นเดียวกับชุดเกราะดูน่าเกรงขามที่อยู่บนร่างของเขาที่มีใบหน้าเสือประดับอยู่ตรงกลางอก ใบหน้าแข็งกร้าวดูราวกับเป็นแม้ทัพที่ผ่านศึกมานับไม่ถ้วนพร้อมกับดวงตาสีเขียวลึกล้ำที่มองเห็นโลกมานักต่อนัก



    แม้จะแปลงร่างเป็นมนุษย์แต่ความดุดันกลับไม่ได้ลดลงเลย เจนยังรู้สึกเกรงกลัวร่างนี้มากกว่าร่างเสือซะอีก ความสูงของเบียคโกะตอนนี้ไม่ต่ำกว่าสองเมตรแน่นอน แขนของเขามีกล้ามเป็นมัด ๆ ขนาดเท่าหัวของเจนได้ เพียงแค่มองก็ไม่ต้องตั้งคำถามถึงความแข็งแกร่งเลย



    "ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจเจ้าหรอกนะ แต่ศึกครั้งนี้ข้าไม่อาจเสี่ยงได้ ข้าบอกกับเทพอสูรตนอื่นเอาไว้ว้าถ้าหากไม่อาจพูดให้เจ้าเข้าร่วมทัพเทพอสูร ข้าก็ไม่อาจจะปล่อยให้เจ้าเข้าทัพอื่นได้เช่นกัน" พูดจบแรงกดดันก็ระเบิดออกมาจากร่างของเบียคโกะจนเจนรู้สึกใจหายวาบ คลื่นพลังมหาศาลที่ปล่อยออกมานั้นรุนแรงมากจนเหล่าจิ้งจอกองครักษ์ต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวแต่ก็ยังคงยืนหยัดที่จะปกป้องนางพญาของเผ่าพันธุ์อยู่



    เจนเองก็รู้สึกว่าตนเองก็ควรจะต้องทำอะไรเข้าซักอย่างกับสถานการณ์นี้ แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร ร่างของมาเอะก็เดินออกมาเผชิญหน้ากับเบียคโกะที่ยังคงแผ่แรงกดดันมหาศาลอย่างไม่เกรงกลัว



    "ถ้าหากท่านเบียคโกะพูดเช่นนั้น ข้าเองก็คงไม่เหลือทางเลือกอื่น..." มาเอะกล่าวแล้วเชิดหน้าขึ้นมองเข้าไปในดวงตาของเทพพยัคฆ์ตรงหน้า "ข้าทามาโมะ มาเอะ ขอประกาศท้าสู้กับเทพอสูรแห่งทิศประจิม เบียคโกะ ตามกฎแห่งทัพเทพอสูร!"



    สิ้นเสียงของหญิงงาม เบียคโกะถึงกับหยุดชะงักลงและมีสีหน้าตกใจกับสิ่งที่ได้ยินราวกับไม่เชื่อหูของตัวเอง "มาเอะ นี่เจ้า.. นี่เจ้าเสียสติไปแล้วหรือยังไงที่จะมาประลองกับข้า! เจ้าไม่ได้อยู่ในกองทัพเทพอสูรด้วยซ้ำแต่กลับใช้กฎแห่งทัพเทพอสูรมาประลองกับข้าเนี่ยนะ!"



    ในตอนแรกนั้นเบียคโกะคิดจะแค่ขู่ให้มาเอะยอมเข้าร่วมกองทัพเทพอสูรเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องลงมือเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะว่าพลังของเขานั้นเหนือกว่ามาเอะและตัวเธอเองก็น่าจะรู้ดีในเรื่องนี้เช่นกัน ถ้าหากมาเผชิญหน้ากันไม่มีทางเลยที่เธอจะเอาชนะเขาได้ยกเว้นว่าจะใช้วิธีลอบโจมตีทีเผลอ แต่นั่นคงทำไม่ได้ในการประลองที่ได้ประกาศออกมา



    "แม้ข้าในตอนนี้จะไม่ได้เป็นหนึ่งในกองทัพเทพอสูรแต่ตัวท่านนั้นอยู่ และถ้าหากข้าจำไม่ผิดไปแล้วล่ะก็ การท้าสู้ตามกฎแห่งทัพเทพอสูรสามารถใช้ได้กับเทพอสูรทุกตนแม้ว่าเทพอสูรตนนั้นจะไม่ได้อยู่ในกองทัพก็ตาม...หรือท่านคิดจะปฏิเสธคำท้าของข้า ท่านเบียคโกะ" มาเอะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ แม้เธอจะมีพลังอำนาจด้อยกว่า แต่ทว่าคำพูดของเธอนั้นกลับทำให้บรรยากาศในตอนนี้ที่เธอเคยเสียเปรียบกลับมาเริ่มเหนือกว่าด้วยเล่ห์ที่สาวงามมีอยู่ล้นตัว



    เทพพยัคฆ์กัดฟันด้วยความโมโห แม้เขาสามารถจะปฏิเสธการประลองนี้ไปได้ แต่การทำเช่นนั้นถือว่าเป็นการเสื่อมเสียเกียรติเทพอสูรซะยิ่งกว่าการพ่ายแพ้ซะอีก ถึงผลลัพธ์ถ้าหากเป็นฝ่ายชนะการประลองนี้จะไม่ได้สร้างความแตกต่างไปจากเดิมเลยก็ตาม แต่เขาเองก็ไม่อยากจะลงทำร้ายจิ้งจอกเก้าหางตรงหน้าที่เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทัพเทพอสูรในอดีตเลย เพราะนอกจากที่เขาไม่อยากทำร้ายเทพอสูรด้วยกันแล้ว ตัวมาเอะนั้นยังเป็นเทพอสูรที่ได้รับการเคารพจากเทพอสูรตนอื่นอยู่มาก การที่ตัวนางประกาศท้าประลองกับเขาเช่นนี้ย่อมทำให้การรวบรวมกองทัพเทพอสูรต่อไปจะลำบากมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม



    "ข้าไม่คิดจะปฏิเสธคำท้าของเจ้าหรอก แต่เจ้าก็คงจะทราบดีแล้วใช่หรือไม่ ผู้ใดเป็นผู้ที่พ่ายแพ้ในการประลอง จะต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้ชนะหนึ่งข้อไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม" เบียคโกะว่า "ข้าสัญญาว่าจะสั่งให้เจ้าเข้าร่วมกองทัพเทพอสูรเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นอีกที่จะทำให้เจ้าเสื่อมเสียเกียรติไปกว่าที่ควร"



    "ช้าก่อนสิท่านเบียคโกะ ท่านจะด่วนริบชัยชนะเร็วไปหรือเปล่า" สาวงามรีบพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับบนใบหน้า



    "นี่เจ้ายังคิดว่าจะมีสิทธิ์ชนะข้าอยู่อีกงั้นหรือมาเอะ แม้ว่าเจ้าจะออกมาจากผนึกพันปีก่อนข้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถล้มข้าได้หรอกนะ"



    "เรื่องนั้นข้าทราบดี และข้าเองก็ไม่อยากจะให้หุบเขาของข้าต้องกลายเป็นซากหินด้วย นั่นถึงเป็นสาเหตุที่ข้าจึงคิดว่าเราทั้งสองควรจะส่งตัวแทนออกไปสู้ดีกว่าจะให้เทพอสูรมาปะทะกันเองในช่วงเวลาเช่นนี้" มาเอะยื่นข้อเสนอ



    อารมณ์ที่พุ่งสูงของเบียคโกะนั้นลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินข้อเสนอของสาวงาม แม้ในอดีตจะไม่เคยมีใครใช้ตัวแทนในการประลองตามกฎแห่งกองทัพเทพอสูรมาก่อนเลยก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดจะคัดค้านใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะนอกจากจะไม่ต้องปะทะกับตัวมาเอะโดยตรงแล้ว เขายังสามารถใช้สิทธิ์ของผู้ชนะให้เธอเข้าทัพเทพอสูรได้โดยที่ไม่สร้างความร้าวฉานต่อเทพอสูรตนอื่นอีกด้วย



    "ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้ผลลัพธ์ต่างไปจากเดิม... ข้าตกลงที่จะส่งตัวแทนมาสู้ตามที่เจ้าเสนอ" เทพพยัคฆ์กล่าวรับ มาเอะได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมาแล้วจึงพูดขึ้น



    "สถานที่คือทุ่งหญ้าที่อยู่ทิศเหนือจากที่นี่ไป อีกหนึ่งราตรีนับจากนี้จะเริ่มการประลองระหว่างตัวแทนของท่านและตัวแทนของข้า"



    พญาสิงค์พยักหน้ารับแล้วจากนั้นจึงพุ่งขึ้นฟ้าหายไปในพริบตาพร้อมกับแรงกดดันที่สลายไปในพริบตา เจนรู้สึกเหมือนกว่าตัวเองพุ่งขึ้นมาอยู่เหนือน้ำอีกครั้ง ความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องที่เกิดจากแรงกดดันของเบียคโกะนั้นแทบจะทำให้เธอขาดอากาศหายใจเลยทีเดียว



    ดูท่าทางจะไม่ใช่เจนคนเดียวที่คิดเช่นนั้น เหล่าจิ้งจอกองค์รักษ์ต่างหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน แม้กระทั่งตัวเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเองก็ถึงกับพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก



    "ท่านแม่ พี่เจน!!" เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองตามก็พบว่าเป็นคิทซึเนะและพรรคพวกของเธอกำลังวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง การปรากฏตัวของเบียคโกะที่มีแรงกดดันมหาศาลเช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จิ้งจอกสาวกับเพื่อน ๆ ของเจนจะไม่รู้สึกตัว



    จิ้งจอกแม่ลูกสวมกอดกันด้วยความเป็นห่วงเช่นเดียวกับพวกโจต่างก็เข้ามาสอบถามเจนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ตัวเธอเองนั้นก็ไม่มีคำตอบให้เพราะว่าเจนเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน



    มาเอะที่ได้ยินดังนั้นจึงเข้ามาหาพวกเจนแล้วจึงพูดขึ้น "ข้าติดค้างคำอธิบายให้กับพวกเจ้าทุกคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตามข้ามาสิ ข้าจะอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้ฟังเอง"



    มาเอะและพวกเจนกลับมาที่ถ้ำของเธออีกครั้ง จิ้งจอกเก้าหางใช้พลังของเธอยกกินหินมาเรียงกันเป็นที่นั่งให้กับพวกเพื่อน ๆ ของเจน จากนั้นจึงนั่งลงบนโขดหินแล้วจึงเริ่มเอ่ยขึ้นมา



    "ต้องขอโทษพวกเจ้าด้วยที่อุตส่าห์มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่แต่กลับต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ซะได้ ข้าหวังว่าการเดินทางมาครั้งนี้จะไม่ทำให้พวกเจ้าผิดหวังหรอกนะ"



    "เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องสุดวิสัยนะครับ ไม่มีใครคาดเดาได้หรอกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา และผมก็ไม่คิดว่าการเดินทางมาที่นี่เป็นเรื่องแย่หรอกนะครับ การที่พวกเราได้พาคิทซึเนะมาเจอท่านมาเอะอีกครั้งและได้มาเจอกับหุบเขาที่สวยงามเช่นนี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะครับ" เสือซ่อนลายบอก



    "ถ้าพวกเจ้าคิดกันอย่างนั้นข้าเองก็ดีใจ... แต่ถึงอย่างไรเรื่องที่ท่านเบียคโกะมาปรากฏตัวถึงที่นี่นั้นก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสำหรับข้าเองเช่นกัน" จิ้งจอกเก้าหางพูดด้วยความกังวล

    "จะว่าไปแล้วท่านมาเอะคุยอะไรกับเทพอสูรตนนั้นหรือคะ.. ต..แต่ว่าไม่ใช่อยากจะสอดรู้หรอกนะคะ ก็แค่ได้ยินเข้าแล้วมันรู้สึกสงสัย.." ซินจูรีบแก้ตัวเมื่อเธอสบเข้ากับดวงตาของพญาจิ้งจอกเก้าหางเข้า



    มาเอะยิ้มอย่างไม่ถือสาก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปมองดูแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านมาทางร่องหินภายในถ้ำราวกับว่ากำลังรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีต จากนั้นจิ้งจอกเก้าหางจึงเล่าเรื่องสงครามของเหล่าเทพอสูรในอดีตให้กับพวกเจนฟัง ส่วนเจ้าตัวที่ได้ยินเรื่องนี้ผ่านจากปากของมาเอะแล้วก็นั่งเงียบ ๆ เป็นผู้ฟังที่ดี



    "แล้วอะไรคือกฎแห่งเทพอสูร มันเป็นกฎของกองทัพเทพอสูรงั้นหรือครับ" เสือซ่อนลายถามขึ้นหลังจากที่ฟังเรื่องราวจากนางพญาจิ้งจอกเก้าหางจบแล้ว



    "กฎแห่งเทพอสูรก็เป็นกฎที่บัญญัติขึ้นภายในกองทัพเทพอสูรอย่างที่เจาเข้าใจนั่นแหละ โดยเทพอสูรทุกตนที่ร่วมในกองทัพจะต้องทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ถ้าไม่เช่นนั้นอาจจะถูกขับออกจากการทัพเทพอสูรและยังถูกประณามจากสมาชิกทุก ๆ ตนอีก และกฎการท้าประลองก็เป็นหนึ่งในกฎแห่งเทพอสูร เหล่าเทพจะอสูรจะประกาศท้าประลองเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นและหาข้อยุติไม่ได้ ซึ่งกฎข้อนี้มีจุดประสงเพื่อหาข้อสรุปของความขัดแย้งระหว่างเทพอสูรด้วยกันโดยไม่เกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ กติกาในการประลองมีอยู่ข้อเดียวนั่นก็คือห้ามเอากันให้ถึงชีวิต โดยฝ่ายที่แพ้จะต้องรับในความคิดของฝ่ายที่ชนะและทำตามแต่โดยดี แต่ในขณะเดียวกันนั้นข้อร้องขอของผู้ชนะก็ต้องไม่ทำให้ผู้แพ้เสียเปรียบเกินไปเช่นกัน" มาเอะอธิบาย



    "แต่ว่าท่านบอกว่าไม่อยากเข้าร่วมกองทัพเทพอสูรนี่ครับ แล้วทำไมถึง..-"



    สาวงามได้ยินคำถามของเสือซ่อนลายก็หัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วจึงตอบให้คลายข้อสงสัย "นั่นเป็นเพราะข้าใช้ช่องว่างของกฎแห่งเทพอสูรยังไงล่ะ มันไม่ได้มีกฎข้อไหนบอกว่าห้ามไม่ให้เทพอสูรที่ไม่ได้อยู่ในกองทัพเทพอสูรใช้กฎพวกนี้ซักหน่อย ไม่มีเทพอสูรที่อยู่นอกทัพกล้าประกาศท้าประลองแบบนี้หรอก แต่ความจริงถ้าหากไม่ได้เข้าร่วมในกองทัพมาก่อนก็ไม่มีทางจะได้รู้กฎแห่งเทพอสูรเหล่านี้อยู่แล้วล่ะนะ"



    เมื่อได้ยินที่จิ้งจอกเก้าหางในตราบสาวงามพูดก็ทำให้พวกเจนรู้สึกเหนื่อยใจไปตาม ๆ กัน แม้พลังอำนาจของเบียคโกะจะเหนือกว่า แต่ถ้าหากให้มาฟาดฝีปากกันต่อให้มีเบียคโกะถึงห้าตนก็ยังยากที่จะเอาชนะมาเอะได้ นี่สินะที่เขาว่ากันว่าคำพูดนั้นเหนือกว่าอาวุธ



    "ว่าแต่ทำไมท่านมาเอะถึงไม่อยากเข้ากองทัพเทพอสูรล่ะครับ ตอบรับท่านเบียคโกะไปก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่นา ดีซะอีกที่มีได้เทพอสูรที่แข็งแกร่งขนาดนั้นเป็นพวกเดียวกัน"โจพูดขึ้นมา แต่จิ้งจอกเก้าหางส่ายหน้าไม่เห็นด้วย



    "มันก็จริงอย่างที่เจ้าพูดแต่ข้าก็ยังคิดว่าข้อเสียที่เกิดจากการเข้าร่วมกองทัพเทพอสูรก็ยังมีมากกว่าอยู่ดี ที่เทพอสูรอย่างท่านเบียคโกะต้องการข้าเข้าไปในกองทัพเทพอสูรก็เป็นเพราะในอดีตข้าเป็นหนึ่งในผู้ที่ก่อตั้งกองทัพเทพอสูรขึ้นมา ดังนั้น ถ้าหากเข้าร่วมด้วยก็จะช่วยเป็นการโน้มน้าวเทพอสูรตนอื่นให้เข้าร่วมกองทัพได้ง่ายขึ้น และด้วยเหตุนั้นก็จะทำให้กองทัพเทพและกองทัพอสูรที่คงกำลังรวมกำลังพลเช่นเดียวกับเหล่าเทพอสูรอยู่ ต้องรีบดึงตัวเทพอสูรเข้ามาเป็นพวกให้เร็วที่สุด และนั่นก็จะทำให้สงครามที่สงบลงจะเร่งเวลาปะทุขึ้นมาอีก" สาวงามอธิบายให้พวกเจนที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ "แม้การเข้าร่วมทัพเทพอสูรจะมีข้อดีของมัน แต่ข้ายังมองเห็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้สงครามครั้งนี้จะยุ่งยากกว่าเดิมจนเหล่าเทพอสูรต้องทบทวนก่อนจะประกาศสงครามขึ้นอีกครั้ง และก็เป็นเหตุผลที่ข้าไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับกองทัพเทพอสูรด้วย"



    เหล่าพรรพวกและตัวผู้กล้าในชุดขาวได้ยินคำพูดของมาเอะก็ต่างพากันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะจากเท่าที่ฟังมานั้นพวกตนยังไม่เห็นว่าจะมีปัจจัยอะไรที่จะทำให้สงครามครั้งนี้ยุ่งยากขึ้นเลย เพียงแค่ทัพเทพอสูรทั้งสามฝ่ายเข้าปะทะกันก็จิตนาการความวินาศสันตะโรแทบไม่ออกแล้ว ยังจะมีกองทัพอะไรอีกที่ทำให้กองทัพทั้งสามฝั่งต้องหันมามองตาม



    เหมือนกว่าว่ารู้ความคิดในหัวของพวกเจน มาเอะยิ้มและชี้นิ้วไปที่เจนซึ่งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ



    "ช..ฉันหรือคะ!?" เจนอุทานออกมาเสียงดัง



    "ไม่ใช่แค่ตัวเจ้าแต่เป็นมนุษย์ต่างหาก หรือให้พูดเจาะจงให้มากกว่านี้อีกก็คือนักผจญภัยอย่างพวกเจ้าไง" มาเอะบอก ทำให้พวกเจนต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเหล่าผู้เล่นอย่างพวกเธอจะไปเทียบกองทัพเทพอสูรได้อย่างไร



    "นักผจญภัยอย่างพวกเจ้าถือเป็นสิ่งที่เหล่าเทพอสูรทุกตนหวาดหวั่น เพราะพวกเจ้าสามารถกลับมาจากความตายได้และยังมีความสามารถที่จะพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็ว เพียงเวลาหนึ่งปีจากการปรากฏตัวของเหล่านักผจญภัยก็มียอดฝีมือกำเนิดขึ้นมากมายจนยากที่จะคาดเดาความแข็งแกร่ง ตอนนี้เทพอสูรทุกตนต่างตระหนักดีว่า ตอนนี้เหล่ามนุษย์ไม่ได้อ่อนแอเหมือนแต่ก่อนแล้ว"



    เมื่อครั้งช่วงสงครามในอดีตนั้น เหล่ามนุษย์ได้แต่หลบซ่อนให้พ้นจากไฟสงครามของเหล่าเทพอสูรโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะป้องกันตัวได้เลยแม้แต่น้อย แม้จะมีมนุษย์ที่มีฝีมือพอที่จะต่อกรกับเทพอสูรอยู่บ้างก็ตาม แต่น้ำน้อยย่อมที่จะแพ้ไฟ เมื่อต้องรับมือจากเทพอสูรทั้งสามฝ่ายที่มองว่าเหล่ามนุษย์เป็นศัตรูจึงต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป



    แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อนักผจญภัยปรากฏตัวขึ้น เพราะนอกจากผู้คนเหล่านี้จะพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นก็มีนักผจญภัยจำนวนมากที่มีฝีมือเทียบเท่ากับเหล่ายอดขุมพลที่เป็นสุดยอดนักรบแล้ว ดังนั้นการกลับมาของเทพอสูรในอดีตนั้นอาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งนี้อยู่บ้าง แต่เทพอสูรก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ตามใจได้เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป เพราะกองกำลังของเหล่านักผจญภัยนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินได้เลย



    "ก็เพราะอย่างนี้ข้าจึงคิดว่าสงครามครั้งนี้จึงจะต่างออกไปจากครั้งที่แล้ว เมื่อมีกองกำลังของมนุษย์เข้ามาเป็นฝ่ายที่สี่เป็นสมดุลถ่วงกันในสมรภูมิ ดังนั้นการเอาตัวเองออกจากสงครามจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเผ่าพันธุ์ของข้า" มาเอะกล่าวแล้วจึงเอามือลูบหัวของคิทซึเนะด้วยความเอ็นดู



    ตามที่มาเอะบอก แม้ว่าการเข้าร่วมกองทัพเทพอสูรจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับตัวนางเอง แต่ผลร้ายนั้นจะตกมาอยู่กับเหล่าจิ้งจอกที่เป็นเผ่าพันธุ์ของนาง ดังนั้นจึงจะเป็นการดีกว่าที่ตัวเธอเองจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์แทนที่จะไปเข้าร่วมสงคราม



    "คือฉันสงสัยอยู่อย่างหนึ่งน่ะคะ พวกท่านแยกกันยังไงหรือคะว่าท่านเป็นเทพ อสูร หรือเทพอสูร" อามีร่าถามขึ้นมาด้วยความสงสัย จากที่ฟังแม้จะเทพและอสูรนั้นจะแยกได้อย่างไม่ยาก แต่สำหรับตัวมาเอะหรือเบียคโกะเองนั้นก็ไม่รู้ว่าใช้อะไรในการแบ่งแยกว่าเป็นกลุ่มไหน



    "ความจริงเรื่องนั้นมันไม่ได้แบ่งแยกกันชัดเจนหรอกนะ ไม่ใช่ว่าเราเกิดมาแล้วจะต้องเลือกฝั่งไหนฝั่งหนึ่ง อย่างข้าเองที่เป็นเป็นเทพอสูรแห่งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกก็สามารถเข้าร่วมกองทัพเทพหรือกองทัพอสูรก็ได้ทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับความต้องการของเทพอสูรแต่ละตนมากกว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอก" มาเอะกล่าวตอบ



    จากนั้นสาวงามก็เล่าให้ฟังถึงเหล่าเทพอสูรที่ตนเองเคยพบมา หลายชื่อนั้นพวกเจนนั้นฟังดูคุ้นหูอย่างยิ่ง เช่นเทพวานรอย่างหนุมานหรือฉีเทียนต้าเซิ่น ซุนหงอคง หรือจะเป็นเทพทางตะวันตกอย่างทอร์หรือเฮอคิวลิสก็อยู่ในเกมนี้เช่นกัน จนในที่สุดจากมาเอะที่เป็นคนเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง กลับกลายเป็นว่าต้องมาคอยตอบคำถามของพวกเจนที่เอ่ยชื่อของเทพในตำนานที่ตนรู้จักว่าอยู่ในเกมนี้หรือไม่ แต่ตัวจิ้งจอกเก้าหางนั้นก็ตอบคำถามของพวกเจนให้อย่างไม่ขัดข้องใจแต่อย่างใด



    นอกจากชื่อของเทพอสูรที่คุ้นหูของพวกเจนแล้ว ในเกมนี้ยังมีเทพอสูรที่พวกเธอไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนอยู่อีกจำนวนไม่น้อย บางตนนั้นยูสตาร์ที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่มยังพอรู้จักบ้าง ในขณะที่พวกที่เหลือนั้นไม่เคยแม้แต่ผ่านหู บางชื่อก็ทำเอาพวกเจนรู้สงสัยว่าเป็นเทพในศาสนาหรือในแถบประเทศไหนกันแน่เพราะเป็นชื่อในภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย



    เมื่อได้ฟังเรืองราวเหล่านี้ก็พลอยทำให้เจนย้อนนึกถึงเซอร์โนบอทที่เคยพบ แม้ไม่รู้ว่าเซอร์โนบอทเป็นเทพหรืออสูรแต่ว่ามอนสเตอร์ที่มีพลังเทียบเท่ากับยามาตะ โนะ โอโรจินั้นย่อมไม่ใช่ธรรมดาแน่ แต่พอจะคิดถามเรื่องนี้กับเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางก็มีเสียงคำรามฟังคุ้นหูดังขึ้นภายในหัวของเจนซะก่อน



    "อย่าไปลำบากถามสิ่งที่ยัยจิ้งจอกเก้าหางนั่นไม่รู้เลยจะดีกว่า ดาร์กก๊อดอย่างมันมีเทพอสูรน้อยตนนักที่จะรู้จัก"



    "ดาร์กก๊อด!? มันคืออะไรงั้นหรือ" เจนถามขึ้นอย่างสงสัย



    พญาอสรพิษพ่นลมหายใจออกมาเป็นคำตอบแล้วเงียบเสียงไป เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวที่รู้คำตอบไม่ยอมพูด เจนจึงได้เก็บคำถามนั้นเอาไว้ในใจและคิดจะเอาไปถามเทพอสูรที่รู้คำตอบหรือไปกล่อมเอาจากยามาตะ โนะ โอโรจิภายหลัง



    "จริงสิ ลูกลองคืนร่างเดิมให้แม่ดูหน่อยได้มั้ย แม่อยากจะรู้จริง ๆ ว่าการได้เดินทางไปกับนักผจญภัยทำให้ลูกโตขึ้นมากแค่ไหนแล้ว" มาเอะเอ่ยพร้อมกันหันมามองคิทซึเนะ จิ้งจอกสาวได้ยินดังนั้นจึงรับคำและเดินออกไปจากถ้ำพร้อมกับมารดาของตน



    พวกเจนมองหน้ากันด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะต้องรีบตามจิ้งจอกในร่างสาวงามทั้งสองไป เมื่ออกมาอยู่นอกถ้ำก็พบว่าตอนนี้มาเอะนั้นกลับคืนสู่ร่างจิ้งจอกเก้าหางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนคิทซึเนะนั้นก็ยืนอยู่ไม่ไกลนัก



    นั้นเอง ร่างของสาวงามก็เปล่งแสงขึ้นก่อนจะค่อย ๆ กลายสภาพเป็นจิ้งจอกร่างใหญ่เกือบเท่ากับมารดาของเธอ ขนสีขาวเป็นประกายฟูฟ่องน่าสัมผัส ดวงตาที่เจนคุ้นเคยในตอนนี้อยู่บนใบหน้าของจิ้งจอกที่แทบจะมีลักษณะเหมือนกับมาเอะทุกประการ ขาดก็เพียงสีของขนบนตัวและจำนวนหางเท่านั้นเอง



    "ว้าว! นี่ลูกมีถึงสามหางแล้วหรือเนี่ย เพียงแค่ไม่กี่เดือนทำให้ลูกเก่งกาจขึ้นมากถึงขนาดนี้ นับว่าแม่คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ฝากฝังให้ลูกอยู่กับเจน" จิ้งจอกเก้าหางชื่นชมขณะที่สังเกตร่างของบุตรีของตนที่เติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม



    พวกเจนเองก็ต่างทึ่งกับร่างจริงของคิทซึเนะที่มีความสูงเกือบสามเมตร สามทั้งสามที่มีความกว่าไม่ต่ำกว่าสี่เมตรนั้นก็ดูน่าเกรงขามไม่แพ้กับขางของแม่ของเธอเลย แต่ทว่าสำหรับพวกเจนแล้วกลับให้ความรู้สึกตรงกันข้าม นอกจากจะไม่ได้รู้สึกกลัวแล้วยังวิ่งเข้าไปกอดหางของจิ้งจอกสาวด้วยซ้ำไป



    "ว้าว! ขนนุ้มน่ม!" ซินจูกอดหางของคิทซึเนะเต็มแรง สัมผัสของขนที่หางนั้นราวกับเธอกอดหมอนข้างที่นุ่มราวกับปุยนุ่นจนยากที่จะปล่อยมือ



    "เห นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าร่างจริงของคิทซึเนะจะเป็นจิ้งจอกตัวใหญ่ขนาดนี้ ตัวเกือบจะเท่าท่านมาเอะแล้วนะเนี่ย" ไมโกะว่า



    "ถึงตัวจะใหญ่เกือบจะเท่าท่านแม่แต่พลังยังห่างชั้นเป็นสิบเท่า อย่างหนูยังไม่สมควรจะไปเทียบชั้นเดียวกับท่านแม่หรอกค่ะ" จิ้งจอกสาวกล่าวตอบ ใบหูของเธอลู่ต่ำลงแสดงให้เห็นว่าเธอรู้สึกน้อยใจตัวเองที่ยังมีพลังไม่มากพอ แต่ความจริงในสายตาของพวกเจนนั้นไม่ได้คิดว่าพลังของคิทซึเนะนั้นต่ำไปเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าให้เทียบในฐานะจอมเวทย์แล้วตัวจิ้งจอกสาวนั้นเทียบได้ว่าเป็นจอมเวทไฟระดับสูงเลยทีเดียว แม้ว่าตัวเธอจะไม่ได้เป็นจอมเวทก็ตาม



    "ร่างจริงของคิทซึเนะตัวโตขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย ทั้ง ๆ ที่ไม่นานมานี้ยังตัวเล็กขนาดที่ฉันเอาใส่ในเสื้อได้อยู่เลยนะ" เจนรำพึงรำพันถึงช่วงเวลาที่คิทซึเนะยังคงเป็นลูกจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ น่าฟัดน่ากอด "หื้ม คิดถึงจังเลยน้า"



    ดูเหมือนว่าคำพูดของเจนจะจี้ใจของคิทซึเนะอยู่มากทีเดียว เพราะเมื่อเธอได้ยินคำพูดของพี่สาวตัวเองเข้า ร่างจิ้งจอกสามหางก็พลันกลับมาเป็นเด็กสาววัยรุ่นดังเดิมแล้วพุ่งเข้ามาหาเจนอย่างรวดเร็ว "พี่เจนอ่า เพราะว่าคิทซึเนะไม่ได้ตัวเล็กน่ารักเหมือนเมื่อก่อน พี่เจนก็เลยเบื่อหนูแล้วงั้นหรือ!"



    "พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้นซักหน่อย ตอนนี้คิทซึเนะเองก็ดูน่ารักเหมือนกันนั่นล่ะนะ" เจนยิ้มแห้งพลางพยายามปลอบใจจิ้งจอกสาว เธอพยายามหันไปขอความช่วยเหลือจากมารดาของจิ้งจอกสาวตนนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของมาเอะก็รู้ทันทีว่าคงไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเธอแน่



    "พี่คิทซึเนะคืนร่างเดิมแล้ว คราวนี้ตาหนูมั่งล่ะนะ" ฟีบีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง และที่เจนจะเอ่ยอนุญาต ร่างของเด็กสาวพลันกลายสภาพกลับคืนสู่ร่างเดิมที่ทำเอาพวกเจนตื่นตกใจกันเป็นแถว



    มังกรน้อยในตอนนี้ที่คงจะใช้คำว่าน้อยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะร่างมังกรของฟีบีนั้นเป็นมังกรคอยาวสี่ขาแบบยุโรปที่มีความสูงกว่าห้าเมตรพร้อมกับความยาวไม่ต่ำกว่าแปดเมตรจากที่วัดด้วยสายตา เกล็ดสีฟ้าอ่อนดูงดงามแต่ก็มีความแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน หัวมังกรมีเขาคู่หนึ่งสีขาวงามประดับอยู่นั้นเปล่งแสงอ่อน ๆ ที่ดูแว่บเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่แต่ของประดับธรรมดา ปีกขนาดใหญ่นั้นก็กินพื้นที่บริเวณด้านหน้าถ้ำไปจนเกือบหมด ทำเอาเจนที่เพิ่งเห็นร่างมังกรโตเต็มวัยของฟีบีเป็นครั้งแรกถึงกับพูดไม่ออก



    "มังกรฟ้า มองดูกี่ครั้งก็น่าประทับใจจริง ๆ " มาเอะกล่าวชมโดยฟีบีส่งเสียงร้องตอบรับคำ ในขณะที่มนุษย์ทั้งเก้าคนยังพูดอะไรไม่ออก



    "โจ...ฉันว่าฉันพอรู้แล้วล่ะ สาเหตุที่ฟีบีฟาดของกินได้เยอะกว่าพวกเราสามคนรวมกันน่ะ" แจ็คพูดขึ้นหลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว ส่วนทางจอมเวทหนุ่มนั้นยังคงอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเอง ขณะที่หนูส่งข่าวนั้นก็รีบจดอะไรบางอย่างลงบนกระดาษเป็นไฟแลบ



    "ทั้ง ๆ ที่ร่างจริงตัวโตตั้งขนาดนี้ แต่ทำไมร่างมนุษย์ของฟีบีถึงเป็นเด็กตัวเล็กนิดเดียวอยู่ล่ะคะ" อามีร่าถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะว่าในร่างมนุษย์นั้นฟีบีตัวเตี้ยกว่าเธอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



    "เดี๋ยวก่อนนะ ถ้านี่เป็นร่างเด็กของมังกร ถ้าอย่างนั้นตอนที่ฟีบีโตเต็มที่แล้วก็คงจะตัวใหญ่มากกว่านี้อีกล่ะสิเนี่ย!" ยูสตาร์พูดเสียงดัง และการคาดเดาของเขาก็ถูกรับรองด้วยมาเอะที่พยักหน้าขึ้งลงอย่างช้า ๆ



    จะว่าไปแล้วเจ้าเองก็ยังมีมังกรอีกตัวหนึ่งนี่นา ปล่อยมันออกมาภายนอกดูบ้างสิ....แต่ให้ออกมาไกล ๆ จากตรงนี้หน่อยนะ เอาเป็นซักตรงทุ่งหญ้าฝั่งโน้นเลย" จิ้งจอกเก้าหางหันไปพูดกับโจพร้อมกับใช้หางชี้ไปยังทุ่งหน้าที่อยู่ไกลจากถ้ำอยู่พอสมควร



    เมื่อจอมเวทหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เดินไปยังตำแหน่งที่มาเอะบอกพลางนึกสงสัยว่าเธอรู้ได้ยังไงว่าเขามีมังกรเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในสร้อยคอ แต่อีกฝ่ายเป็นถึงมอนสเตอร์ยศเทพเจ้า เรื่องแค่นี้ก็คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ



    เมื่อมาถึงทุ่งหญ้า โจก็ทำการปล่อยโอร็อคให้ออกมาสู่ภายนอก แต่การปรากฏตัวของมังกรหินตัวนี้นั้นทำเอาทั้งหุบเขาจิ้งจอกแตกตื่นไปทั่วเพราะขนาดอันมโหฬารของมันที่ถึงกับกินพื้นที่ไปเกือบครึ่ง แค่หัวของโอร็อคนั้นก็มีขนาดใหญ่กว่าถ้ำของมาเอะแล้ว แม้พวกเจนจะเคยเห็นมังกรหินตัวนี้มาแล้วครั้งหนึ่งแต่ก็ยังคงอดทึ่งไม่ได้ซักที คงต้องยกเว้นอามีร่าเอาไว้คนหนึ่งเพราะตอนนี้เจ้าตัวออกอาการตกใจมากกว่าใครเพื่อน



    "ว่าไงเพื่อนยาก ไม่ได้ปล่อยออกมาตั้งนานเป็นยังไงบ้าง" โจที่อยู่บนหัวของโอร็อคเอ่ยขึ้นขณะที่เจ้าตัวเพียงแค่อ้าปากกว้างหาวไปเฮือกใหญ่ ตอนนี้เจ้ามังกรหินขี้เซาตัวนี่อยู่ทุ่งหญ้าแต่เพียงแค่ยืดหัวมาก็มาถึงจุดที่พวกเจนอยู่แล้ว



    "มังกรหินตัวใหญ่สมคำร่ำลือจริง ๆ แต่ก็นะ เจ้าตัวนี้ก็ยังสามารถโตได้กว่านี้อีกเยอะ" มาเอะกล่าว ทำเอาพวกเจนแทบหันไปมองอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่จิ้งจอกเก้าหางบอกมา



    "เจ้านี่ยังตัวใหญ่ได้อีกหรอเนี่ย! ถ้าตัวใหญ่สุด ๆ นี่มันจะขนาดเท่าไหร่กันครับ" แจ็คถามด้วยความตกใจปนสงสัยใคร่รู้



    "อืม...เท่าที่ข้าเคยพบก็น่าจะใหญ่กว่าหุบเขาแห่งนี้นิดหน่อยล่ะมั้ง แต่ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าตัวนั้นเป็นตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแล้วหรือยัง"



    เจนไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เธอได้ยินเลย ถ้าหากมีมังกรที่ขนาดใหญ่เท่าภูเขาจริงล่ะก็ แทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะต้องใช้คนมากแค่ไหนที่จะปราบเจ้าตัวนั้นลง เพราะเท่าที่เคยได้ยินมา เพียงแค่ปราบไวเวิร์นที่อยู่ในวัยโตเต็มที่ก็ต้องใช้ผู้เล่นยศขุนนางปลาย ๆ หลายสิบคนแล้ว



    ฟีบีเมื่อเห็นว่ามีเผ่าพันเดียวกันปรากฏตัวขึ้นก็รีบบินเข้าไปหาทันที ขนาดของเธอแม้จะใหญ่โตแต่ก็ดูตัวเล็กไปทันทีเมื่อเทียบกับขนาดของโอร็อค



    เสียงร้องเบา ๆ ของมังกรฟ้าดังตอบโต้กับเสียงคำรามต่ำของมังกรหิน การสื่อการภาษามังกรที่หาได้ยากยิ่งและดูมีมนต์ขลัง เพราะไม่เหมือนกับสัตว์อสูรทั่วไป ภาษาของมังกรนั้นเต็มไปด้วยเวทมนตร์ที่อัดแน่นอยู่ในรูปแบบของเสียง เพียงแค่เสียงคำรามของมังกรก็สามารถฆ่ามอนสเตอร์ระดับต่ำหรือระดับกลางได้แล้ว ดังนั้นการโจมตีของมังกรอย่างเช่นดราก้อนบรีธนั้นจึงทรงอานุภาพมากกว่าเวทมนตร์ที่มนุษย์และมอนสเตอร์ทั่วไปใช้มากนัก



    ไม่นานนักการพูดคุยภาษามังกรก็จบลง ฟีบีบินกลับลงมาเจนแล้วจึงคืนร่างเดิมก่อนจะเดินเข้ามาจับมือด้วย



    "พวกเธอคุยอะไรกันงั้นหรือ" เจนถาม



    "โอร็อคบอกว่าพี่หนวดไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่มันเลย หลังจากที่เจอกันคราวที่แล้วก็ไม่เคยปล่อยออกมาข้างนอกอีก ต้องนอนรออยู่ในผลึกแคบ ๆ แถมได้กินแค่อาหารเม็ดจืดชืดแถมยังไม่เคยอิ่มอีกต่างหาก" มังกรน้อยว่าแล้วหันไปหาโจที่นั่งอยู่บนหัวโอร็อค "พี่หนวดเป็นเจ้านายที่แย่สุด ๆ เลย"







    ในระหว่างที่โจพยายามแก้ตัวกับฟีบีที่ออกตัวเป็นห่วงเป็นใยมังกรหินว่าที่ดูแลโอร็อคไม่ดีเพราะตัวของมังกรหินเองนั้นใหญ่เกินไป เจนก็ถูกมาเอะในร่างสาวงามเรียกหาพร้อมกับแจ็ค เสือซ่อนลาย ไมโกะและอามีร่าให้เข้ามาคุยด้วย



    "ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาคุยด้วยเพราะมีเรื่องอยากจะรอร้อง" มาเอะพูดขึ้น



    "เรื่องการประลองกับเบียคโกะสินะคะ" ไมโกะว่า สาวงามพยักหน้าตอบและจึงพูดต่อ



    "การต่อสู้ในครั้งนี้แม้ต่างฝ่ายจะใช้ตัวแทน แต่ข้าก็พอจะเดาว่าทางนั้นคงจะต้องใช้ให้ราชาพยัคฆ์ดำอาราชิที่อยู่ในอาณาเขตใกล้ ๆ นี้มาสู้แน่ ซึ่งจากที่ข้าประเมินดูแล้วแม้ว่าคิทซึเนะจะเก่งขึ้นมากแต่ก็ยังคงไม่อาจจะต่อกรกับราชาพยัคฆ์ดำผู้นี้ได้ ข้าจึงจำต้องส่งตัวแทนเป็นผู้อื่นในการประลองนี้แทน"



    จิ้งจอกสาวที่ได้ยินมารดานองตนกล่าวขึ้นมาก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจและพูดแย้งขึ้นมา "เดี๋ยวสิคะท่านแม่ ให้หนูเป็นตัวแทนของท่านแม้ของเถอะค่ะ ถึงแม้จะมีพลังเทียบกับท่านแม่ไม่ได้ แต่หนูก็ไม่คิดจะพ่ายแพ้ให้กับตัวแทนของฝ่ายตรงข้ามแน่"



    "แม่รู้รับรู้ถึงความตั้งใจของลูกดี และลูกก็เป็นจิ้งจอกที่เก่งที่สุดในหุบเขานี้แล้ว แต่เป็นเพราะลูกยังมีพลังไม่พอที่จะโค่นราชาพยัคฆ์ตนนี้ได้ การต่อสู้นี้มีเดิมพันธ์ที่สูงค่ามากนัก เข้าใจแม่เถอะนะ" มาเอะพยายามอธิบายให้คิทซึเนะเข้าใจถึงเหตุผลของตน แม้ว่าจิ้งจอกสาวจะยังไม่พอใจแต่ก็จำต้องพยักหน้ารับ



    "แล้วจะให้พวกเราทำอะไรงั้นหรือคะ" อามีร่าถาม



    "ข้าอยากให้พวกเจ้าช่วยฝึกฝีมือให้กับตัวแทนของข้าให้พร้อมสู้กับอาราชิ แม้จะมีเวลาเพียงแค่วันเดียว แต่ข้าก็อยากจะให้มีประสบการณ์การต่อสู้ระยะประชิดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้"



    "ถ้าหากคิทซึเนะไม่ได้สู้แล้วใครจะเป็นตัวแทนของท่านมาเอะงั้นหรือคะ" เจนถามพลางหันไปมองดูจิ้งจอกองครักษ์ที่ยืนอยู่บริเวณใกล้เคียง มีหลายตัวที่ดูท่าทางเก่งกาจไม่น้อยแต่ทุกตัวก็ยังคงดูท่าทางไม่เก่งกาจเท่าคิทซึเนะอยู่ดี ทำให้เจนอยากจะรู้จริง ๆ ว่ามาเอะจะเอาจิ้งจอกตัวไหนที่เก่งพอจะมาสู้กับพยัคฆ์ดำตนนี้



    "ความจริงข้าคิดว่าจะให้เจ้าเป็นตัวแทนของข้านะ เจน"



    “เอ๋!! ให้ฉัน.. ต..แต่ว่าฉันเป็นมนุษย์นะคะ จะเป็นตัวแทนของเผ่าจิ้งจอกได้ยังไง..-" เจนรีบปฏิเสธทันที นึกไม่ถึงว่าขนาดเธอไม่ได้คิดจะหาเรื่องแต่กลับมีเรื่องวิ่งเข้ามาหาเธอเข้าจนได้ แต่หารู้ไม่ว่าที่หนึ่งในสาเหตุเกิดเรื่องแบบนี้กับเธอก็คือทักษะของอาชีพผู้กล้านั่นเอง ส่วนอีกสาเหตุนั่นก็คือดวงของเจนล้วน ๆ ที่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่



    "ถึงเจนจะไม่ใช่จิ้งจอก แต่เจ้าได้พลังสถิตร่างมาจากข้า ดังนั้นจึงถือว่าเจ้าสามารถเป็นตัวแทนของข้าได้เหมือนกับว่าเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเช่นเดียวกัน" สาวงามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ ถึงอาราชิจะเป็นราชาของพยัคฆ์ดำจะมีความสามารถในการต่อสู้และพละกำลังเหนือกว่า แต่ความเร็วในร่างพลังสถิตของข้านั้นรับรองว่าไม่เป็นรองใครแน่ และนั่นจะเป็นวิธีที่จะเอาชนะอาราชิได้"



    ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากทักท้วง มาเอะก็สรุปรวบรัดตัดความและดึงพรรคพวกของเจนทั้งสี่ไปคุยด้านในหุบเขา ปล่อยให้ผู้กล้าในชุดขาวมองตามด้วยความหนักใจ ครั้งล่าสุดที่เธอสู้กับมอนสเตอร์ระดับราชานั้นแม้จะได้รับชัยชนะก็ตาม แต่นั่นเป็นเพราะว่าพลังสถิตร่างของยามาตะ โนะ โอโรจิที่ส่งเข้ามาให้ใช้โดยตรงทำให้ทรงพลังกว่าพลังสถิตร่างปกติมาก แต่ว่าต่อให้ใช้พลังที่อยู่ในร่างของเจนในตอนนี้ก็ยังถือว่าพลังสถิตร่างของยามาตะ โนะ โอโรจิมีความแข็งแกร่งกว่าพลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางอยู่ดี



    หลังจากนั้นไม่นานพวกแจ็คก็กลับมาพร้อมกับมาเอะที่ยังคงยิ้มชวนฝันอยู่เช่นเดิม แต่เจนรู้ว่ารอยยิ้มแบบนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่ และกว่าเธอจะรู้ได้ว่าเป็นอะไรนั้นมันก็คงจะสายเกินที่จะเลี่ยงซะแล้ว



    แต่ผิดจากที่เจนคาดเอาไว้เพราะมาเอะนั้นยืนอยู่ด้านหน้าถ้ำของเธอขณะที่พวกแจ็คเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่แอบไม่มิดกันทุกคนไม่เว้นกระทั่งอามีร่า...และนั่นก็หมายความว่ามันคงไม่ดีกับเธอแน่



    "อะไร ท่านมาเอะคุยอะไรกับพวกนายกันหรอ" เจนรีบชิงถามก่อนเมื่อทั้งสี่เดินมาถึง



    "เอ่อ...จะพูดยังไงดีล่ะ" แจ็คพูดเสียงคางยาน "คือท่านมาเอะอยากจะให้พวกเราฝึกสู้กับเธอในระยะประชิดเพื่อเตรียมพร้อมสู้ในวันพรุ่งนี้น่ะ"



    เจนถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ แม้ไม่อยากแต่ก็คงต้องทำตามที่เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางต้องการ สรุปเป็นอันตกลงไปที่เรียบร้อยแล้วว่าเธอต้องสู้กับตัวแทนของเบียคโกะไปโดยบริยาย



    "โอเค เข้าใจแล้ว" เจนตอบด้วยเสียงเนือยยาง แต่เมื่อมองดูหน้าของแจ็คและอีกสามคนที่อยู่ด้านหลังยังคงมีสีหน้าแปลก ๆ เหมือนกับยังคงมีอะไรบางอย่างอยู่อีก "ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันล่ะ มีอะไรอีกงั้นหรือ"



    "คือก็ไม่มีอะไรหรอก.. แค่การฝึกนี้ท่านมาเอะบอกว่าให้พวกเราสี่คนเข้าสู้กับเธอพร้อมกันเลย และห้ามเธอใช้พลังสถิตร่างด้วยก็แค่นั้นเอง" แจ็คตอบด้วยเสียงเนิบ ๆ แต่ทำให้เจนต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ



    "หา! ว่าไงนะ!" ไม่ทันที่เจนจะได้พูดต่อก็ถูกเพื่อนตัวใหญ่ลากตัวออกไปโดยที่ขัดขืนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย



    เจนถูกพามายังลานหินแห่งหนึ่งภายในหุบเขา พื้นที่โดยรอบนั้นมีจิ้งจอกอยู่เป็นจำนวนมากที่กำลังมองดูพวกเจนด้วยความสงสัยว่ากำลังจะทำอะไรกัน ส่วนตัวเจนเองนั้นก็เตรียมอาวุธให้พร้อมสู้กับพวกแจ็คที่กำลังชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมเช่นกัน



    "เรามาทวนกฎกันอีกทีนะ หนึ่งคือห้ามเจนใช้ทักษะพลังสถิตร่างแต่ฉันขอเสริมทักษะผ่ามิติด้วยก็แล้วกัน สองก็คือพยายามอย่าพลั้งลงมือถึงตายโดยเฉพาะอย่าฆ่าเจนเชียวล่ะ และสามก็คือคนที่โจมตีใสเจนได้มากที่สุดเป็นผู้ชนะ" ไมโกะพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเป็นพิเศษ เธอควงดาบคาตะนะสีม่วงในมือไปมาอย่างช่ำชองก่อนจะชี้ไปที่ผู้กล้าในชุดขาวที่อ้าปากค้างกับกฎที่เพิ่งคิดกันสด ๆ ซึ่งไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าแฟร์เลย



    "เดี๋ยวสิ! พวกเธอรุมฉันแถมยังตั้งกฎกันเองอีก แบบนี้ฉันจะไปชนะได้ยังไงกัน" หญิงสาวประท้วง



    ไมโกะยิ้มที่มุมปากก่อนและตอบคำที่ฟังดูเป็นการท้าทาย "นี่เธอยังคิดอยู่อีกหรือว่าจะเอาชนะพวกเราสี่คนได้ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าหากผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วเธอยังไม่ลงไปนอนกองกับพื้นก็ถือว่าเธอเป็นฝ่ายชนะก็แล้วกัน"



    เมื่อพูดจบไมโกะก็พยักหน้าไปให้กับอีกสามคนที่เริ่มจลกระจายกลุ่มกันและก้าวเข้ามาใกล้เจนอย่างช้า ๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่าการต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว



    การต่อสู้ในครั้งนี้แม้จะรู้ว่าเป็นแค่การฝึก แต่ดูจากสีหน้าของทั้งสามคนแล้วคงไม่ใช่แค่นั้นแน่ เสือซ่อนลายรับหน้าที่เข้าประทะเป็นคนแรก โล่อันใหญ่ยกขึ้นกันขณะร่างในชุดเกราะสีเงินวิ่งเข้าใส่ ถ้าหากปกติเจนก็จะใช้ผ่ามิติโจมตีสวนกลับไปก่อนจะเข้าลุย แต่ตอนนี้เธอทำไม่ได้เพราะกฎที่ไมโกะตั้งขึ้นมาห้ามเอาไว้ ทำให้เธอจำต้องวิ่งสวนเข้าปะทะกับเสือซ่อนลายตรง ๆ



    เคร้ง!



    ดาบคุซานางิฟาดเข้าใส่โล่ของชายหนุ่มเต็มแรง ร่างสูงที่คิดจะฟาดดาบสวนกลับไปถึงกับชะงักเพราะพลังโจมตีของหญิงสาวตรงหน้านั้นรุนแรงกว่าที่เขาคาดเอาไว้มากนัก ขนาดไม่ได้ใช้พลังสถิตร่างเจนเองก็ถือได้ว่าเป็นผู้เล่นที่มีฝีมือดีพอตัว เพราะการโจมตีที่รุนแรงและเฉียบคมในทุกครั้งที่ฟาดดาบและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเช่นนี้ไม่ใช่ว่าคนที่มาเล่นเกมนี้ทุกคนจะทำได้ แน่นอนว่าทำไม่ได้ภายในเวลาไม่กี่เดือนภายในเกม



    เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตัวเองไม่ได้ผล เจนก็ถอนดาบออกแล้วกระโดดหลบไปด้านข้างหวังที่จะหาช่องโจมตี แต่เสือซ่อนลายนั้นก็ไม่ใช่จะไร้ฝีมือ ทันทีที่เจนเคลื่อนตัวเขาก็เคลื่อนที่ดาบอย่างรวดเร็วโดยที่มือซ้ายยังคงชูโล่เอาไว้ตรงหน้าทำให้เจนไม่สามารถหาช่องว่างได้เลยแม้แต่น้อย



    "อย่าดูถูกอัศวินเชียวนะเจน ถือจริงอยู่ที่พลังโจมตีจะต่ำแต่เรื่องการป้องกันนี่รับรองว่าฉันเหนือกว่าเธอแน่" ว่าแล้วเสือซ่อนลายก็พุ่งเข้าปะทะด้วยโล่ของตน เจนรีบกระโดดถอยออกมาทันทีแต่เพราะเสียจังหวะจึงทำให้ถอยออกมาได้ไม่ไกลนักและนั่นก็เป็นสิ่งที่อัศวินหนุ่มกำลังรออยู่แล้ว



    ดาบยาวที่ดูคุ้นตาแทงเข้าใส่ใบหน้าของเจนโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวถึงกับใจหายวูบเมื่อมองดูดาบกำลังพุ่งเข้ามา ตอนนั้นเองที่มือบางยกดาบขึ้นมาโดยสัญชาติญาณแต่ก็ช้าเกินไป ดาบสองเล่มเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟทำให้เป้าหมายของดาบอสูรคลั่งพลาดเป้าทว่ามันก็ยังคงฝากรอยแผลเอาไว้บนใบหน้าของหญิงสาวที่รีบกระโดดถอยออกมาตั้งหลักอย่างรวดเร็ว



    ผู้กล้าในชุดขาวใช้มือปาดเลือดที่ไหลอาบนองแกมออกแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามองคู่ต่อสู้ตรงหน้าที่เริ่มทำให้เลือดในตัวของเธอเริ่มเดือดขึ้นมาแล้ว "โห... ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าพี่เสือเองก็บู้เก่งขนาดนี้ ปกติเห็นเป็นแต่ตัวชนตลอดเลย"



    "ก็ถ้าฉันไม่ทำแล้วใครจะมาเป็นตัวชนเล่า แต่เธออย่าเพิ่งชะล่าล่ะ เพราะตอนนี้ฉันยังไม่ได้เอาจริงเลยนะ" เสือซ่อนลายว่าแล้วชี้ดาบทางทางเจนเป็นการท้าทายให้บุกเข้ามา



    ผู้กล้าในชุดขาวแสยะยิ้มออกมาด้วยความชอบใจและเตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง เธอจำได้ว่าเสือซ่อนลายยังมีอีกอาชีพหนึ่งอีกนั่นก็คือนักรบคลั่งซึ่งเขายังไม่ได้ใช้ทักษะของอาชีพนี้เลย เจนยกดาบขึ้นเตรียมพร้อมสู้โดยคลรับรองว่าเธอไม่ประมาทฝีมือของชายตรงหน้าอีกแน่



    ทว่าก่อนที่จะได้เข้าสู้ เจนก็รู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาดื้อ ๆ พร้อมทั้งเสียงราบเรียบกระซิบอยู่ข้างหูที่ทำให้เธอถึงกับรู้สึกเย็นยะเยือก "อย่าลืมสิว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งนะ"



    ไวเท่ากับความคิด เจนรีบกระโดดหนีออกมาจากจุดเดิมอย่างเร็วที่สุดที่เธอจะทำได้ เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าในจุดที่เธอเคยอยู่นั้นเป็นไมโกะที่ปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ในมือทั้งสองข้างของเธอนั้นมีดาบคาตะนะอยู่โดยที่ดาบเล่มหนึ่งนั้นมีเลือดสีแดงสดเกาะอยู่ที่ใบดาบอยู่น่าสยดสยอง ตอนนั้นเองที่เจนรู้สึกเจ็บที่แขนข้างซ้ายของเธอ เมื่อหันไปดูก็พบว่าแขนของเธอนั้นถูกฟันเป็นทางยาวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เลือดซึมออกมาจนเสื้อคลุมที่ขาดรุ่ยถูกย้อมเป็นสีแดงสด



    'มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย!?' หญิงสาวคิดขณะที่กำลังถอดชุดคลุมทิ้งไป แม้ว่าเจนจะเคยเห็นไมโกะสู้มาไม่น้อยแต่ก็ไม่เคยที่จะตามการโจมตีของเธอได้ทันเลย ในตอนที่สู้กับมอนสเตอร์ไมโกะมักจะสังหารในดาบเดียวโดยส่วนมากมักจะใช้วิธีลอบฆ่าซะส่วนใหญ่ แต่ก็มีหลายครั้งที่การลอบโจมตีพลาดทำให้ต้องเข้าปะทะโดยตรงซึ่งเธอก็สามารถจัดการกับมอสเตอร์ได้อย่างไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย



    ฝีมือดาบของนักฆ่าสาวนั้นเป็นสิ่งที่เจนต้องระวังเอาไว้แต่ทักษะลอบสังหารของเธอนั้นอันตรายยิ่งกว่า เจนไม่มีทางที่จะรับมือการโจมตีของไมโกะได้เลยนอกจากจะลงมือไปเรียบร้อยแล้ว



    หลังจากเจนฉีกแขนเสื้อทิ้งไปอีกอย่างตามชุดคลุมไป นักฆ่าสาวก็ไม่มีท่าทีจะขยับออกจากที่เดิมเลย ใบหน้าของเธอนั้นมีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับอยู่และเจนก็รู้ทันทีว่าทำไม



    เคร้ง!!



    ผู้กล้ายกดาบขึ้นกันดาบยามคมกริบที่โจมตีเข้าใส่จากด้านหลัง โดยผู้ที่โจมตีนั้นไม่ใช่ใครอื่นอีกนอกจากอามีร่านั่นเอง



    "ฝีมือยังไม่ตกไปเลยนะคะ" หญิงสาวพูดก่อนจะถอนดาบออกแล้วฟันลงมาอีกครั้งโดยที่ไม่ปล่อยโอกาสให้เจนได้ตั้งตัว ทำให้ตอนนี้เจนต้องเป็นฝ่ายตั้งรับโดยไม่มีโอกาสโต้กลับได้เลย



    การโจมตีของอามีร่านั้นแม้จะไม่รุนแรงเท่ากับการโจมตีของไมโกะ แต่ความเร็วของเธอนั้นเหนือกว่ามากและยังหลากหลายรูปแบบยิ่งกว่า เจนที่ตอนนี้ทำได้แค่ยกดาบขึ้นมากันการโจมตีเท่าที่ทำได้แต่ก็ไม่อาจป้องกันการโจมตีได้หมดจนตอนนี้ทั้งแขนและลำตัวของเธอนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลขนาดเล็กเต็มไปหมด ถ้าหากเจนไม่คิดหาทางโจมตีกลับไปบ้างล่ะก็คงจะต้องแพ้โดยที่ยังไม่ได้สู้กับคู่ต่อสู้ที่เหลือแน่



    เคร้ง!



    เสียงดาบฟาดเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงเจนมือของเจนชาไปหมดแต่ก็ทำให้อามีร่าเป็นฝ่ายถอยกลับไปได้ ทว่าถึงเจนจะเป็นฝ่ายโต้แต่สภาพของทั้งสองคนนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งหนึ่งนั้นไม่มีบาดแผลให้เห็นอยู่เลยแม้แต่น้อย ส่วนอีกคนนั้นมีสภาพโทรมไปด้วยเลือดทั้งตัว แถบยังเหนื่อยหอบจนต้องใช้ดาบค้ำยันเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกับพื้น



    ถึงแม้เจนจะถูกรุมและลอบโจมตีแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสามคนนั้นมีฝีมือไม่ธรรมดา ทั้งการป้องกัน ความสามารถในการลอบโจมตี ความเร็วและทักษะการต่อสู้นั้นเหนือกว่าเธอมากโดยแต่ละคนก็มีจุดเด่นของตัวเองที่เจนเทียบไม่ติดจนสามารถไล่ต้อนเธอได้ถึงขนาดนี้ ทำให้เจนเห็นว่าถ้าหาเธอขาดพลังสถิตร่างและทักษะที่ได้มาโดยโชคช่วยไปละก็เธอก็คงไม่ต่างอะไรไปจากผู้เล่นธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้นเอง



    "เฮ้ ยังเหลือฉันอีกคนหนึ่งนะเจน อย่าเพิ่งลืมกันสิ" เสียงของแจ็คดังขึ้นมาด้านหลังของเจน เมื่อหันไปดูก็พบว่าชายหนุ่มร่างสูงที่ตอนนี้ถอดชุดคลุมสีเขียวออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ส่วนใสมือนั้นก็มีสนับมือสีเงินที่เจนไม่เคยเห็นมาก่อนสวมอยู่



    "แฮ่ก..ดะ...เดียวก่อนนะ ในมือของนายนั่นมันอะไรน่ะ" เจนถามโดยพยายามจะถ่วงเวลาให้ตัวเองได้พักให้มากที่สุด



    ทางแจ็คเองก็รู้จุดประสงค์ของหญิงสาวดีแต่ก็ยอมเล่นตามเกมของเธอ เขายกสนับมือขึ้นมาดูแล้วจึงตอบคำ "นี่น่ะหรอ ท่านมาเอะให้มาน่ะ เธอคงไม่คิดว่าฉันจะใช้มือเปล่าสู้กับดาบหรอกใช่มั้ย"



    อีกด้านหนึ่ง พวกโจที่อยู่นอกลานหินกำลังมองดูการฝึกหฤโหดของเจนอยู่ เมื่อมองเห็นแจ็คที่เป็นคู่ต่อสู้คนที่สี่ก็ทำให้หนูส่งข่าวอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ เพราะอาวุธที่เขาใช้นั้นไม่ใช่ปืน แต่เป็นสนับมือที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน



    "แจ็คจะไหวหรอนั่น เป็นมือปืนแต่ดันเข้าไปสู้ระยะประชิดกับนักดาบเนี่ยนะ"



    "นายคงยังไม่รู้ล่ะสิว่าที่บ้านของแจ็คมันเปิดยิมฝึกมวยน่ะ" โจพูด "ถึงหมอนี่จะใจเสาะ ไม่ชอบชกต่อย ไม่ค่อยกล้าใช้กำลังซักเท่าไหร่แต่เป็นเพราะถูกที่บ้านบังคับให้ฝึกทุกวันจนตัวโตกล้ามโตขนาดนี้ แถมพ่อของหมอนี่เป็นถึงนักมวยอาชีพด้วย ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากในอนาคตแจ็คมันจะกลายเป็นแชมป์มวยซักสามหรือสี่เข็มขัด"



    โห พี่แจ็คเก่งถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ แล้วแบบนี้พี่เจนจะสู้ได้มั้ยคะเนี่ย" ซินจูพูดขึ้น เธอพยายามเอาใจช่วยเจนแต่ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเธอถูกรุกอยู่ฝ่ายเดียว พอเธอได้เห็นแจ็คเข้าไปโดยไม่ได้ใช้ปืนเป็นอาวุธประจำตัวก็ทำให้เธอดีใจที่เจนน่าจะพอสู้ไหว แต่พอได้ยินที่โจเล่าให้ฟังทำให้ตอนนี้เธอเริ่มชักไม่มั่นใจซะแล้ว



    โจได้ยินคำถามจึงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะหันไปสนใจในลานหินที่ดูท่าทางใกล้จะเริ่มต่อสู้กันแล้ว "เรื่องนั้นฉันว่าพวกเรารอดูต่อไปกันดีกว่า อีกไม่นานก็คงจะได้เห็นคำตอบแล้วล่ะ"



    กลับมาที่พวกเจน แม้เธอจะถ่วงเวลาให้พักมาได้พักหนึ่ง แต่บาดแผลที่ไมโกะและอามีร่าฝากเอาไว้นั้นทำให้เธอฟื้นคืนเรี่ยวแรงกลับมาได้ไม่มากนัก ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถเอาชนะเพื่อนของเธอคนนี้ได้หรือเปล่า เพราะถึงแม้ในโลกแห่งความจริงหมอนี่จะไม่เคยชกต่อยกลับใคร แต่ตอนที่ฝึกมวยอยู่ในโรงยิมที่บ้านนั้นราวกับว่าแจ็คกลายเป็นคนละคนเลยทีเดียว



    "เธอเคยบอกว่าให้ฉันสู้กลับเธอบ้างใช่มั้ยล่ะ ความนี้แหละที่ฉันจะทำความที่เธอบอกล่ะนะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ!" พูดจบชายหนุ่มก็ยกแขนขึ้นตั้งการ์ดแล้ววิ่งเข้าหาเจนอย่างรวดเร็ว หญิงสาวที่เห็นเพื่อนของเธอวิ่งเข้ามาก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะดวงตาของแจ็คในตอนนี้มันเหมือนกับตอนที่เขาถูกพ่อของตัวเองฝึกมวยอยู่ไม่มีผิด



    ร่างใหญ่เข้าประชิดเจนอย่างรวดเร็วแต่ยังคงไม่ออกอาวุธ ส่วนเจนนั้นเองก็ไม่กล้าโจมตีสุ่มสี่สุ่มห้าเอาแต่ถอยออกห่างเพราะการเคลื่อนไหวของแจ็คนั้นดูราวกับจิงโจ้ที่กระโดดอยู่ตลอดเวลาแต่ก็เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วหรือที่เรียกว่าท่าเต้นฟุตเวิร์คที่แจ็คใช้เข้าประชิดตัวเจนทุกครั้งที่เธอถอยออกห่าง



    ในที่สุดเจนก็อดทนไม่ไหวฟาดดาบเข้าใส่ร่างใหญ่ก่อน ทว่าแจ็คกลับเอี้ยวตัวหลบได้อย่างสบาย ๆ สร้างความตกตะลึงให้กับเจนและคนอื่น ๆ ที่กำลังมองการต่อสู้ของทั้งสองคนอยู่ เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้โจมตีพลาดแจ็คก็ถือโอกาสสวนหมัดเข้าใส่ทันทีแต่เจนก็หลบเอี้ยวตัวหลบได้เส้นยาแดงผ่าแปด แม้จะโจมตีพลาดแต่ก็ไม่ทำให้นักล่าเงินรางวัลที่กลายมาเป็นนักมวยหนุ่มชะงัก เขาเร่งจังหวะขึ้นและเข้าไประดมชกใส่เจนอย่างรวดเร็วโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้หยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว



    เจนที่ทำได้แต่ยกดาบขึ้นกันแงะเอี้ยวตัวหลบก็เริ่มหายใจหอบขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะไม่เร็วเท่ากับดาบของอามีร่าแต่ละหมัดของแจ็คนั้นหนักหน่วงกว่ามาก ถ้าหากโดนเข้าซักหมัดละก็เธอเสร็จแน่ ตอนนี้ทางเดียวที่จะเอาชนะได้ก็คือโจมตีสวนกลับไปเท่านั้น



    เหมือนกับว่าโชคเข้าข้างเจน เธอได้โอกาสที่แจ็คจู่ ๆ ก็ออกหมัดช้าลง ถึงจะไม่รู้สาเหตุแต่เจนก็ไม่คิดจะปล่อยโอกาสที่โผล่มาให้เห็นครั้งแรกในการต่อสู้ครั้งนี้ให้หลุดลอยไปแน่ ร่างบางส่องสว่างเล็กน้อยจากทักษะเสริมพลังพร้อมทั้งมือขวายกดาบขึ้นสูงก่อนจะตวัดดาบลงมาอย่างรวดเร็ว



    ทันใดนั้นเองเจนก็รู้ได้ทันทีว่าโอกาสที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นกับดัก เพราะเธอเหลือบเห็นสีหน้าของแจ็คที่ยิ้มเยาะที่มุมปากแต่มันก็สายเกินกว่าจะแก้ไขซะแล้ว



    ร่างใหญ่เคลื่อนตัวหลบดาบของเจนไปทางขวาอย่างรวดเร็วเหมือนกับคาดเดาทางการโจมตีของเธอได้ พร้อมกันนั้นเองที่แจ็คเข้าประชิดตัวพร้อมกับชกเสยปลายคางของเจนเข้าเต็มแรง



    น่าแปลกที่เจนไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยด้วยซ้ำ ความจริงแล้วเธอไม่รู้สึกอะไรแม้แต่นิดเดียว เธอจำได้ลาง ๆ เพียงแค่รู้สึกเหมือนกับร่างของตัวเองลอยอยู่บนฟ้าก่อนจะมีดาวปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด ก่อนที่จนจะหมดสติไปเธอได้ยินเสียงของมาเอะที่ดังขึ้นและทำให้เธอไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลย



    "เอ้า ๆ แค่นี้ก็สลบไปแล้วงั้นหรือ นี่แค่เข้ามาสู้ที่ละคนเองนะ ยังไม่ได้เข้ามาสู้พร้อมกันเลย คิทซึเนะช่วยไปตักน้ำในบ่อมาปลุกเจนให้แม่หน่อยซิ พรุ่งนี้จะต้องไปสู้กับตัวแทนของเบียคโกะแล้วนะ มามัวเอาแต่นอนเสียเวลาอยู่ได้ยังไงกัน"



    เจนได้แต่สงสารตัวเองและปล่อยให้สติหลุดลอยไป ขนาดแค่เข้ามาทีละคนเธอยังโดนสอยร่วงไปโดยที่สร้างบาดแผลกลับไม่ได้เลยซักคนแบบนี้ แล้วนี่เธอจะไปสู้กับทั้งสี่คนพร้อมกันได้ยังไงกันล่ะเนี่ย



    จบตอนที่ 42 กฎแห่งเทพอสูร



    --------------------


    ตอนที่42นี้เท่ากับตอนปัจจุบันที่ลงไว้แล้วนะครับ หลังจากนี้ผมคงจะลงตามปกติหรือก็คือทุกวันอาทิตย์ถ้าหากแต่งทันนะครับ

  7. #57
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 43 พายุสีดำ

    ตอนที่ 43 พายุสีดำ

    ณ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แต่กลับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอย่างกวางหรือเลียงผามายืนเล็ม สายลมพัดเอาเมฆดำเคลื่อนเข้ามาบนบังดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันจนไม่อาจส่งแสงผ่านลงมาพบผืนหญ้าได้ ราวกับธรรมชาติรับรู้ว่าในอีกไม่นานบนทุ่งหญ้าแห่งนี้กำลังจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นจึงทำให้ผืนหญ้าแห่งนี้มีเพียงเสียวหวีดหวิวของลมปะทะเข้ากับใบหญ้าเท่านั้น ไม่มีแม้กระทั่งเสียงของเหล่าแมลงที่อาศัยทุ่งหญ้าแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของมัน

    นั่นก็เพราะพวกมันรู้ว่าพายุกำลังจะมา...พายุแห่งความมืด

    ร่างสิบเอ็ดร่างยืนอยู่ใจกลางทุ่งหญ้าราวกับว่ากำลังรอคอยใครบางคนโดยมีร่างหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของคนที่เหลือ ทุกคนนั้นสวมชุดคล้ายกันหมดนั่นก็คือชุดคลุมสีขาวโดยมีฮูดปกปิดโฉมหน้าเอาไว้ แต่ชุดคลุมนั้นก็ไม่อาจปกปิดชุดเกราะและเสื้อคลุมนักเวทของพวกเขาที่อยู่ภายในได้

    สายลมพัดแรงขึ้นจนฮูดของผู้ที่อยู่ด้านหน้าถูกเลิกออกเผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใน หน้าเรียวพร้อมกับดวงตาสีแดง ผมยาวสีดำมัดเป็นทรงหางม้าเป็นเองลักษณ์ คน ๆ นี้ก็คือเจน ผู้กล้าในชุดขาวนั่นเอง!

    "ชุดใหม่เป็นยังไงบ้างคะพี่เจน ใส่สบายกว่าชุดก่อนไปหรือเปล่า" เสียงของเด็กสาวดังขึ้นข้างหลังเธอพร้อมกับมีร่างหนึ่งเลิกฮูดออกมาให้เห็นใบหน้าน่ารักของเธอ ซินจู จอมเวทขาวของกิลด์อัสนีพิสุทธิ์

    เจนหันไปยิ้มให้เป็นคำตอบก่อนจะกลับมามองไปข้างหน้าเหมือนเดิม ทำให้คนอื่น ๆ ต้องหันกลับมามองหน้ากันด้วยความสงสัย

    ชายสองคนยกมือเลิกฮูดออกแล้วหันมาคุยกันเสียงดังอย่างไม่เกรงใจหญิงสาวที่ยืนเครียดอยู่ด้านหน้า หนึ่งในนั้นเป็นถึงหัวหน้ากิลด์อัสนีพิสุทธิ์และยังเป็นจอมเวทเทพสายฟ้า ส่วนอีกคนเป็นนักแม่นปืนร่างใหญ่ราวกับนักกีฬา โจและแจ็คผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทของเจนนั่นเอง

    "ยัยนั่นเป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย เงียบแบบนี้นายไปทำอะไรให้โมโหอีกหรือเปล่า" แจ็คหันมาถามเพื่อนของเขา

    "เฮ้ย ไหงมากล่าวหากันแบบนี้ล่ะ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย! ที่ทำน่ะมันนายกับพวกเสือซ่อนลายไม่ใช่หรือไงที่เล่นงานยัยเจนจนน่วมไปทั้งตัวน่ะ แถมชุดของเก่าของเจนก็ขาดไปหมดจนใส่ไม่ได้อีก ดีนะที่ซินจูช่วยรักษาทันและในคลังของท่านมาเอะมีชุดเปลี่ยนพอดี แต่ว่าชุดนี้ก็ใส่สบายดีเหมือนกันนะเนี่ย" โจว่าพร้อมกับกระชับเสื้อคลุมสีขาวที่เขาใส่ทับชุดคลุมจอมเวทของเขาที่แม้ถึงจะใส่ทับกันแต่กลับไม่รู้สึกร้อนหรืออึดอัดเลยแม้แต่นิดเดียว

    "ฉันล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าหาชุดแบบนี้มาจากไหนกัน เนื้อผ้าดีขนาดนี้คงเอาข้อมูลไปขายได้ราคาดีแน่" หนูส่งข่าวว่าพร้อมกับยกมือกอดอกครุ่นคิด

    "เห็นท่านแม่บอกว่าพวกจิ้งจอกลาดตระเวนเป็นคนหามาได้น่ะค่ะ แต่ไม่รู้ว่าหามาได้จากไหนเหมือนกัน" คิทซึเนะพูดขึ้นขณะที่พยายามจัดชุดที่ขนาดใหญ่เกินตัวของฟีบีให้เข้าที่เข้าทาง

    "ยังมีอีกหลายชุดเลยนะคะ ท่านมาเอะบอกว่าจะเอาชุดแบบนี้ไปเท่าไหร่ก็ได้เพราะยังไงก็ไม่มีใครสวมอยู่แล้ว" ซินจูรีบตอบด้วยความภูมใจเพราะตัวเองเป็นคนไปค้นเจอเขาและมาขอกับพญาจิ้งจอกเก้าหางให้

    "อ้า! นี่พวกนายมัวมาคุยเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย ซินจูเองก็เหมือนกัน ราชาเสือตัวนั้นจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้แต่กลับคุยกันเรื่องชุดคลุมกันอยู่ได้" ยูสตาร์ว่าทำให้เด็กสาวก้มหัวสำนึกแต่สามหนุ่มนั้นทำหน้าเหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ทำให้ชายหนุ่มมองเห็นพลอยรู้สึกไม่พอใจและพูดบ่นไม่หยุด จนเจนที่อยู่อยู่ข้างหน้ารู้สึกรำคาญยูสตาร์ยิ่งกว่าพวกโจซะอีก

    "นี่หุบปากซักทีเถอะ นายจะไปว่าซินจูกับสามคนนี้ได้ยังไงในเมื่อตอนนี้นายเองก็กำลังพูดมากเหมือนกัน" เสื่อซ่อนลายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดขัดทำให้นักธนูหนุ่มเบนเป้าหมายมาเป็นเขาแทน

    "นายเองก็พูดมากเหมือนกันนั่นแหละ แถมนายเองก็ใส่ชุดคลุมตัวนี้เหมือนกันด้วย อย่าคิดนะว่ากล้ามโตแล้วจะมาทำตัวข่มพวกเราได้!" ยูสตาร์พูดสวนอย่างไม่เกรงกลัว แต่ตัวของเขากลับถอยไปสมทบกับพวกโจที่หันมามองหน้าด้วยความตกใจว่าพวกเขากลายมาเป็นพวกเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่

    "เฮ้ย เดี๋ยวดิ พวกเราไม่เกี่ยวนะ" โจรีบพูดขึ้นเมื่อเห็นสายตาของเสือซ่อนลายที่ข***ตามองมาอย่างหน้ากลัว ทั้งคู่เริ่มเหงื่อตก ไม่รู้เป็นเพราะว่าเปลวเพลิงแห่งโทสะที่ลุกไหม้อยู่ในดวงตาของอัศวินหนุ่มหรือเปล่า

    "ไม่เกี่ยวอะไรล่ะ พวกนายทั้งสามคนนั่นแหละที่เป็นตัวเริ่มเรื่องนี้เลย"

    "หา! ว่ายังไงนะ! หนอย..." เหมือนเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟ และแล้วเสือซ่อนลายก็เข้าร่วมสงครามน้ำลายทะเลาะกันเสียงดังโดยมีซินจูที่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดขึ้นเถียงด้วย ส่วนอามีร่าที่ยืนอยู่กันกับไมโกะก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ในขณะที่นักฆ่าสาวได้แต่พูดขึ้นมาลอย ๆ

    "ไอ้เจ้าพวกผู้ชายนี่มันวุ่นวายกันจริง ๆ จะอยู่เงียบ ๆ กันซักชั่วโมงไม่ได้หรือไงนะ"

    แม้บรรยากาศรอบ ๆ จะดูมืดมนชวนหดหู่มากแค่ไหน หรือว่าจะมีเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจมากเพียงไรแต่ก็ดูเหมือนเพื่อน ๆ ของเธอนั้นก็สามารถทำให้บรรยากาศเช่นนี้ผ่อนคลายลงได้แม้ว่าเจนจะรู้สึกรำคาญอยู่บ้างก็ตาม

    ทันใดนั้นเองก็มีลมกรรโชกพัดแรงมาจากด้านหน้าของเจน พริบตานั้นเองเธอก็เห็นเสือโคร่งสีดำตัวใหญ่เกือบสองเมตรมาปรากฎอยู่ตรงหน้า ทำเอาเจนที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับตกใจและรีบเตรียมชักดาบออกมาทันที แต่เมื่อเธอได้ตรวจสอบดูก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเสือตัวนี้คือคู่ต่อสู้ที่เธอกำลังรอคอยอยู่

    อาราชิโนะยามิ
    ยศราชา ระดับ 60

    "ข้ามาในนามของท่านเบียคโกะ ใครคือผู้ที่จะมาประลองกับข้า" เสียงคำรามของอาราชิดัง ดวงตาของมันจ้องไปที่คิทซึเนะที่จ้องกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้แม้ว่าแรงกดดันมหาศาลที่ออกมาจากร่างของพญาสิงค์จะบ่งบอกให้เธอรู้ว่ามีพลังเหนือกว่าเธอมากเพียงไรก็ตาม

    "คู่ต่อสู้ของนายคือฉันเอง" เจนพูดพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปหา ทางด้านอาราชิที่ได้ยินก็เลิกตาด้วยความแปลกใจเพราะนึกไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองไม่ได้เป็นจิ้งจอกอย่างที่คาดเอาไว้

    "มนุษย์งั้นหรือ นึกไม่ถึงว่าเทพอสูรแห่งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกจะส่งตัวแทนที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ของตนเองมา" พญาสิงค์ว่าขณะที่ใช้สายตาพิจารณามนุษย์ร่างเล็กตรงหน้า ทั้งขนาดและรูปร่างที่เล็กจ้อย ดูท่าทางไม่เป็นอันตรายกับมอนสเตอร์ระดับราชาอย่างตัวมันเลยซักนิดเดียว ถ้าหากให้ไปสู้กับจอมเวทหรืออัศวินที่อยู่ด้านหลังของมนุษย์ผู้นี้ยังจะดูน่าลุ้นกว่าซะอีก

    ทางด้านคิทซึเนะที่ได้ยินคำพูดของอาราชิ ทำให้อารมณ์พุ่งขึ้นมาจนถึงใบหน้าเพราะคิดว่าสิ่งที่ราชาพยัคฆ์ดำเอ่ยออกมานั้นเป็นการดูถูกมารดาของตนเอง แม้ความจริงแล้วตัวอาราชินั้นพูดออกมาตามความรู้สึกของตนโดยที่ไม่คิดจะต้องการดูถูกดูแคลนแต่อย่างใด

    "จะมากไปแล้วนะ! ที่ท่านแม่ส่งพี่เจนออกมาก็เพราะตัวท่านแม่เองเป็นผู้มอบพลังให้กับพี่เจนด้วยตัวเอง อย่างแกนะ..-" จิ้งจอกสาวไม่มีโอกาสจะได้พูดต่อเพราะถูกแจ็คกับซินจูหยุดเอาไว้ได้ก่อนที่การต่อสู้จะถูกเปลี่ยนคู่ เจนหันไปพยักหน้าขอบใจให้กับเพื่อนของเธอเล็กน้อยแล้วจึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับอาราชาที่ยืนห่างออกไปไม่ถึงห้าเมตร

    "ฉันคือตัวแทนของท่านเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ทามาโมะมาเอะ มาประลองตามกฎแห่งเทพอสูร" เจนว่าพร้อมกับชักดาบคุซานางิออกมาแล้วชี้ไปยังราชาพยัคฆ์

    "เจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่าถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเจ้าเข้ามาแทรกแซงการประลองไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจะหมายความว่าการประลองนี้จะเป็นโมฆะทันทีและเทพอสูรฝั่งเจ้าจะต้องทำตามความต้องการของท่านที่เบียคโกะสั่ง"

    เจนพยักหน้ารับทราบ ก่อนหน้านี้เธอกำชับพรรคพวกของเธอเอาไว้แล้วว่าให้ดูแลคิทซึเนะและฟีบีไม่ให้เข้ามายุ่งระหว่างการประลอง โดยเธอพยายามบอกทั้งสองเอาไว้แล้วว่าการประลองนี้ยังไงก็คงไม่รุนแรงขนาดถึงกับต้องเอาชีวิตเข้าแลกกันอยู่แล้ว

    เมื่อทั้งสองรับทราบกฎดีแล้วการประลองจึงเริ่มต้นขึ้น แรงกดดันมหาศาลก็ทะลักออกมาจากร่างของอาราชิราวกลับเขื่อนแตกจนพวกโจต้องพากันถอยออกห่างเพราะกลัวจะโดนลูกหลง ทางเจนเองก็รู้สึกหวาดหวั่นกับแรงกดดันของพญาสิงค์อยู่ไม่น้อย ทว่าตอนนี้เธอจะถอยไม่ได้ ทำได้แต่เพียงตั้งดาบขึ้นเตรียมพร้อมสู้ทุกเมื่อเท่านั้น

    "นายว่าเจนจะพอมีหวังเอาชนะได้หรือเปล่า" โจหันไปถามเสือซ่อนลายที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

    "ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องหวังว่าพอเจนใช้พลังสถิตร่างแล้วจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับอาราชิได้บ้าง... เฮ้อ หวังว่าที่พวกเราฝึกกันมาจะช่วยอะไรได้บ้างนะ" เสือซ่อนลายกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล เพราะว่าพลังของราชาพยัคฆ์นั้นเหนือกว่าพวกเขารวมกันมากนัก นั่นแปลว่าความสามารถในการต่อสู้ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน

    โจที่ได้ยินคำพูดของอัศวินหนุ่มกลับส่ายหน้าแล้วหันกลับไปมองดูเพื่อนสาวของตนที่กำลังเตรียมพร้อมที่จะสู้กับอาราชิ

    "ไม่รู้สิ แค่พวกนายสี่คนร่วมมือกันยายเจนยังเอาชนะไม่ได้เลยซักครั้ง แล้วจะมาสู้กับเจ้าตัวที่ดูท่าทางเก่งขนาดนี้ได้ยังไงกัน"

    ย้อนกลับไปตอนที่เจนฝึกกับพวกเสื่อซ่อนลาย ซึ่งเป็นอย่างที่โจพูดทุกประการ นั่นก็คือเจนโดนไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียวและไม่มีโอกาสจะตีโต้กลับไปเลย ถึงแม้โดยรวมถ้าไม่นับทักษะพลังสถิตร่างแล้วเจนจะเป็นคนที่มีความสามารถสูง แต่ถ้าหากเป็นด้านใดด้านหนึ่งแล้วเธอยังคงสู้พวกเสือซ่อนลายไม่ได้เลย อย่างเช่นด้านหลังป้องกันที่รัดกุมและแข็งแกร่งจนไม่มีช่องให้ช่องโจมตี ความสามารถในการลอบสังหารของไมโกะที่เจนไม่อาจรับมือ ยังไม่รวมถึงทักษะการใช้ดาบที่รวดเร็วของอามีร่าและทักษะมวยของแจ็คที่เป็นทักษะการต่อสู้ระยะประชิดที่เจนถนัดแต่กลับสู้ทั้งสองคนไม่ได้อีก เมื่อทั้งสี่ร่วมมือกันทำให้เจนจึงไม่อาจตีโต้กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผลสรุปการฝึกเมื่อวานนั้นจึงกลายเป็นว่าเจนถูกไล่บี้จนเกือบตายนั่นเอง

    ผลจากการฝึกนั้นแทบจะไม่ได้อะไรเลยแถมตัวเจนเองยังสูญเสียความมั่นใจไปอีกด้วย แต่เมื่อมาเอะบอกว่าการฝึกนี้ไม่ได้ทำเพื่อหวังเอาชนะ แต่เป็นการฝึกเพื่อทำให้เจนชินกับการโจมตีแบบสุดขั้วที่คาดว่าจะเจอในการประลอง โดยหนทางในการเอาชนะมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือการใช้พลังสถิตร่างนั่นเอง

    ตัวเจนเองนั้นตั้งใจว่าจะใช้เพียงแค่พลังสถิตร่างที่มาเอะถ่ายทอดให้มาเพียงเท่านั้นโดยจะไม่ใช้พลังสถิตร่างของยามาตะ โนะ โอโรจิ เพราะต้องการจะเอาชนะด้วยพลังของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่เธอเป็นตัวแทนประลอง แต่พลังมหาศาลของศัตรูตรงหน้าเริ่มทำให้เธอชักไม่มั่นใจแล้วว่าเพียงแค่พลังของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางจะเพียงพอหรือไม่

    ร่างสีดำของอาราชิพุ่งกระโจนเข้าใส่เจนด้วยความเร็วสูงจนเธอมองไม่ทัน การโจมตีของพญาสิงค์ที่เป็นมอนสเตอร์ระดับราชาทำให้เจนรู้ดีว่าเธอไม่มีทางที่จะป้องกันได้อย่างแน่นอน ดังนั้นทางเลือกเดียวของเธอคือการหลบแต่เมื่อเธอไม่อาจมองเห็นว่าการโจมตีจะมาจากด้านไหนเธอจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหลบไปทางไหนเช่นเดียวกัน

    ทันใดนั้นเองเจนก็ตัดสินใจที่จะกระโจนหลบไปด้านข้าง แต่ว่ามันก็สายเกินไปเมื่อจู่ ๆ อาราชิมาปรากฎร่างอยู่ตรงหน้าของเธอพร้อมกับตะปบกรงเล็บคมกริบเข้าใส่โดยที่เจนไม่มีทางที่จะหลบการโจมตีนี้พ้นได้เลย

    ตูม!!

    เสียงร่างบางกระแทกเข้าใส่พื้นอย่างดังลั่น เธอรู้สึกเจ็บไปทั้งตัวแต่ยังสามารถสู้ต่อได้อยู่ พลังโจมตีและความเร็วของอาราชิมีเหนือกว่าพวกเสือซ่อนลายมากอย่างที่เธอคาดเอาไว้ ถ้าหากในวินาทีสุดท้ายเจนไม่ยกดาบขึ้นมากันแล้วล่ะก็คงจะบาดเจ็บหนักไปแล้ว

    ความจริงแม้ยกดาบขึ้นกันกรงเล็บของพญาสิงค์ได้ก็ตาม แต่แรงกระแทกจากการโจมตีนั้นก็ยังรุนแรงอยู่ดี โชคช่วยที่ชุดเกราะกบที่เจนสวมอยู่นั้นช่วยรับแรงกระแทกส่วนใหญ่เอาไว้ ทว่าอันตรายก็ยังไม่หมดไปเพราะดูท่าทางอาราชิจะไม่คิดรามือให้เจนได้พัก มันพุ่งกระโจนเข้ามาหาหญิงสาวด้วยความเร็วสูงอีกหน ทว่าคราวนี้จะไม่เป็นเหมือนคราวที่แล้วแน่

    เจนยื่นมืออกไปด้านหน้าพร้อมกับบอลพลังเวทไฟหกลูกปรากฎขึ้นแล้วพุ่งออกไปด้านหนาราวกับลูกกระสุน ร่างของอาราชาปรากฎตัวขึ้นเมื่อบอลเพลิงขนาดเล็กปะทะเข้าใส่ แม้ว่าพลังทำลายของลูกเพลิงเหล่านี้จะต่ำจนไม่เป็นอันตรายกับมันแต่เมื่อยิงมาอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นปืนกลและได้พลังเสริมจากทักษะเมื่อเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ระดับราชาเช่นนี้ก็ทำให้เวทจตุรธาตุที่เจนเคยคิดว่าเป็นเวทมนตร์ที่ไร้ประโยชน์กลับกลายเป็นเวทที่น่ากลัวขึ้นมาทันที

    ประโยชน์ของเวทบทนี้เจนพบตอนนี้เธอกำลังฝึกกับพวกเสือซ่อนลาย เพราะทักษะที่ใช้ประจำอย่าง อย่างผ่ามิติหรือพลังสถิตร่างถูกห้ามใช้จึงทำให้เธอต้องเพิ่งทักษะอื่น ๆ ที่เหลืออยู่แทน และทักษะที่ใช้โจมตีระยะไกลได้ก็มีเพียงอยู่ทักษะเดียวนั่นก็คือเวทจตุรธาตุนั่นเอง คนที่เห็นจุดดีของเวทจตุรธาตุอย่างรวดเร็วเช่นนี้ก็คือโจ หลังจากที่เห็นเพื่อนของตนโดนซ้อมอย่างทุลักทุเลจึงเข้าไปแนะนำ ถึงแม้จะไม่ช่วยให้เจนได้เปรียบขึ้นมาแต่ก็ดูดีกว่าตอนที่เจนใช้ยิงเวทไปมั่ว ๆ มาก

    เจนมองดูอาราชิที่ปรากฎตัวขึ้นมาอีกครั้งก็รู้ทันทีว่าการโจมตีของเธอได้ผล ลูกบอลไฟสลายเปลี่ยนเป็นบอลเวทน้ำแข็งและยิงใส่อย่างต่อเนื่องพร้อมกับเคลื่อนตัวหลบไปเรื่อย ๆ ขณะดวงตาสีแดงคอยจับจ้องร่างของราชาพยัคฆ์ตาไม่กระพริบเพราะเธอรู้ว่าอย่างอาราชิคงไม่เสียท่าให้กับเวทแค่นี้แน่

    และก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้จริง ๆ เพราะการโจมตีด้วยเวทบอลไฟและบอลน้ำแข็งเพียงทำให้อาราชิชะงักเพียงเล็กน้อยก่อนจะพุ่งเข้าใส่เจนอีกครั้งด้วยความเร็วไม่มากเท่าเดิมแต่ก็ยังเร็วพอ ๆ กับราชาเท็นกุที่เป็ฯมอนสเตอร์ระดับเดียวกัน แทนที่จะเคลื่อนตัวหลบทว่าหญิงสาวกลับตั้งท่าดาบเตรียมโจมตีสวนกลับจนทำให้อาราชินึกฉงนแต่มันก็ไม่คิดว่ามนุษย์หน้าไหนจะรับการโจมตีตรง ๆ เช่นนี้ได้เช่นกัน

    เคร้ง!!

    กรงเล็บปะทะเข้ากับดาบเต็มแรงแต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิงเพราะทั้งสองฝ่ายต่างกระเด็นไปด้วยแรงกระแทกจากฝ่ายตรงข้าม แม้ตัวราชาพยัคฆ์จะตั้งหลักได้ต่างจากเจนที่ล้มกลิ้งไปกับพื้นอย่างควบคุมไม่อยู่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์ต้านการโจมตีของมันได้อย่างสูสี

    "ไม่เลวนี่เจ้ามนุษย์ที่รับการโจมตีของข้าได้ถึงสองครา แต่นั่นเป็นเพราะข้ายังไม่ได้เอาจริงหรอกนะ" อาราชิกล่าวชมเพราะการโจมตีเมื่อครู่นั้นสามารถจัดการมอนสเตอร์ยศขุนนางระดับต่ำ ๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่เจนกลับสามารถรอดมาได้ถึงสองครั้งแถมยังโจมตีสวนกลับมาด้วยพลังโจมตีรุนแรงพอ ๆ กันอีกด้วย

    เจนสูดหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยออกมาด้วยความโล่งใจที่การโจมตีของเธอรุนแรงพอ ๆ กับราชาพยัคฆ์ เพราะถ้าหากเธอรับการโจมตีเมื่อครู่เข้าไปล่ะก็ชุดเกราะกบก็คงช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน

    'ฟู่...เกือบไป แต่ขนาดใส่พลังเวทกับทักษะใหม่ที่เพิ่งตอนเปลี่ยนอาชีพไปเกือบครึ่งยังแค่มีพลังสูสีกัน เห็นทีสู้แบบนี้ต่อไปคงจะไม่ไหวแฮะ' เจนคิดในใจ การโจมตีเมื่อครู่แน่นอนว่าไม่ใช่การโจมตีธรรมดา นั่นคือทักษะอิกไนท์สไตรค์ที่จะช่วยเสริมพลังโจมตีตามพลังเวทที่จ่ายไป ยิ่งมากเท่าไหร่ความรุนแรงก็เพิ่มพูนตามเท่านั้น

    การที่เจนใส่พลังเวทไปเกือบครึ่งหนึ่งของพลังเวททั้งหมดของเธอแต่กลับทำได้เพียงแค่สูสีกับการโจมตีเพียงครั้งเดียวของอาราชิทำให้เห็นว่าพลังของราชาพยัคฆ์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด ถ้าหากเธอไม่เอาจริงล่ะก็คงไม่มีโอกาสจะชนะแน่

    "แกบอกว่ายังไม่เอาจริงก็ดี เพราะทางนี้เองก็เพิ่งเครื่องร้อนเองเหมือนกัน" เจนพูดด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

    พลังสถิตร่าง เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!

    ร่างของหญิงสาวเปล่งออร่าสีทองออกมาพร้อมกับพลังมหาศาลที่พุ่งสูงขึ้นจนราชาพยัคฆ์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ในขณะเดียวกันอาราชิก็แสยะยิ้มออกมาเช่นเดียวกันเพราะการประลองในครั้งนี้คงจะไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดเอาไว้ซะแล้ว

    ร่างสีทองพุ่งเข้าปะทะกับร่างสีดำอย่างรวดเร็ว จากที่การเคลื่อนไหวเคยมองตามไม่ทันตอนนี้เจนสามารถตามความเร็วของอาราชาได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่ เพราะความเร็วในร่างพลังสถิตเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้เจนสู้กับพญาสิงค์ได้อย่างสูสีแม้จะเป็นรองเรื่องพลังโจมตีอยู่ก็ตาม

    เคร้ง! เคร้ง!

    เสียงปะทะกันระหว่างดาบและกรบเล็บดังติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ในการปะทะแต่ละครั้งความรุนแรงของกรงเล็บนั้นทำให้มือบางที่ถือดาบอยู่เริ่มที่ชาจนไม่อาจจับดาบให้มั่นคงได้ ถ้าหากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็เห็นทีคนที่แพ้จะต้องเป็นเจนแน่

    เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วเจนจึงตีตัวออกห่างและใช้วิธีโจมตีจากระยะไกลแทน

    ผ่ามิติ!!

    คลื่นดาบขนาดใหญ่พุ่งเขาใส่ร่างของอาราชิที่กำลังไล่ตามมา ด้วยความเร็วของราชาพยัคฆ์ในตอนนี้คงไม่อาจจะหลบได้แน่ อาราชิจึงตัดสินใจโจมตีสวนกลับไปแทนแม้ว่าคลื่นพลังตรงหน้าจะอัดแน่นไปด้วยพลังอาร่าสีทองก็ตาม

    กรงเล็บของอาราชิเปล่งแสงสีแดงก่ำขึ้นดูน่ากลัว เพียงแค่มองดูก็รู้ว่าพลังที่อยู่ในกรงเล็บนั้นทรงพลังมากทีเดียว ราชาพยัคฆ์ใช้กรงเล็บนั้นฟาดปะทะเข้ากับคลื่นดาบผ่ามิติที่พุ่งสวนกลับมาจนเกิดระเบิดเสียงดังลั่นพร้อมกับแรงลมมหาศาลที่กระแทกเข้ากับร่างของเจนจนเสียหลักตกลงสู่พื้น

    ตูม!!!

    เจนพยุงตัวเองขึ้นมามองหาคู่ต่อสู้ของเธอ ตอนนี้พลังเวทเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ถ้าหากผ่ามิติเมื่อกี้ยังทำอะไรไม่ได้ล่ะก็เห็นทีเธอก็คงหมดโอกาสที่จะชนะอาราชิแน่ แต่ว่าควันจากการระเบิดนั้นทำให้เธอมองไม่เห็นสภาพของราชาพยัคฆ์ในตอนนี้เลย

    ทันใดนั้นเองก็มีบางสิ่งพุ่งออกมาจากกลุ่มควัน เจนรีบใช้ผ่ามิติเข้าใส่ทันทีเพราะคิดว่านั่นเป็นพญาสิงค์ แต่ทว่าสิ่งที่ผ่ามิติทำลายไปนั้นเป็นเพียงแค่ก้อนหินก้อนใหญ่ธรรมดา และตอนนั้นเองเจนก็รู้ตัวทันทีว่าเธอหลงอุบายเอาไปเต็ม ๆ ซะแล้ว

    ทันทีที่คลื่นดาบผ่าก้อนหินออกเป็นสองซีก ร่างพยัคฆ์ตัวใหญ่ก็พุ่งออกมาจากกลุ่มควันและตรงเข้ามาหาเจนทันทีพร้อมกับกรงเล็บสีแดงแบบเดียวกับที่ใช้ปะทะผ่ามิติเมื่อครู่ตรงเข้าตะปบร่างของเจนเต็มแรง

    ร่างบางรู้สึกถึงแรงกระชากและความเจ็บปวดที่ไหล่ซ้ายจนถึงเอว กรงเล็บผ่าชุดเกราะกบเหมือนกับมีดผ่าเนย รอยแผลยาวมีเลือดไหลทะลักออกมาพร้อมกับร่างของเจนที่ถูกเหวี่ยงแรงล้มกระแทกลงบนพื้นที่แน่นิ่งไม่ไหวติง ความเจ็บปวดที่เจนรู้สึกในตอนนี้ทำให้เธอขยับตัวไม่ได้ แต่เธอยังคงได้ยินเสียงของพวกโจกำลังตะโกนเรียกเธออยู่ เจนนึกภาพพรรคพวกของเธอที่ตอนนี้คงพยายามรั้งตัวน้องสาวทั้งสองของเธอสุดกำลังอยู่แน่

    'บ้าจริง มาทำให้คนอื่นเป็นห่วงแบบนี้มันน่าขายหน้าชะมัด ต้องรีบลุกขึ้น...' เจนคิดพลางสั่งร่างกายของตัวเองให้ขยับตามแต่มันช่างยากลำบากราวกับตัวของเธอเป็นก้อนหิน เรี่ยวแรงที่มีก็เริ่มที่จะเลือนราง ขณะเดียวกันดวงตาสีแดงก็จับจ้องไปยังราชาพยัคฆ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

    บนตัวของอาราชินั้นมีบาดแผลขนาดใหญ่ที่มาจากกระปะทะเข้ากับผ่ามิติของเจน แต่ถึงเช่นนั้นพญาสิงค์ก็ดูไม่สะทกสะท้านกับบาดแผลของตนเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคมกริบเหลือบมองดูรอยแผลของตนก่อนจะหันมามองหญิงสาวซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกที่ทำอันตรายตัวมันได้ถึงขนาดนี้

    "สำหรับมนุษย์ที่ข้าเคยพบเจอมาก่อน เจ้าถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือดีคนหนึ่ง และพลังของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางในตัวของเจ้าก็ไม่อาจจะดูถูกได้เช่นเดียวกัน แต่เจ้ายังคงห่างชั้นเมื่อเทียบกับข้าและการประลองนี้ข้าไม่อาจออมมือให้เจ้าได้ ขออภัย...แต่ข้าขอชัยชนะนี้ไปล่ะ" อาราชิเอ่ยแล้วทำท่าเดินหันหลังจากไปเพราะไม่มีความจำเป็นจะต้องลงมือ

    การในการประลองนี้ไม่จำเป็นต้องถึงแก่ชีวิต เพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอ่ยยอมแพ้หรือไม่อาจสู้ต่อได้ก็ถือว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชนะในทันที เจนในตอนนี้แม้จะยังคงสติเอาไว้ได้แต่บาดแผลที่เธอได้รับมาจากการโจมตีแบบยอมแลกหมัดของอาราชินั้นรุนแรงมาก เจนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อได้อีก ไม่มีแม้กระทั่งแรงจะหยิบขวดยาขึ้นมารักษาบาดแผลเลยด้วยซ้ำ

    "ไม่อยาก...แพ้.." เสียงหลุดออกมาจากปากดังเพียงเสียงกระซิบ ทว่าความหนักแน่นนั้นออกมาอยู่ในทุกคำพูด

    หลายต่อหลายครั้งที่เจนสู้ไม่ว่าจะทั้งในเกมหรือนอกเกม ไม่มีครั้งไหนที่เธอรู้สึกอยากจะชนะเท่ากับครั้งนี้มาก่อน นั่นเป็นเพราะว่าครั้งนี้เธอต่อสู้เพื่อคนอื่นที่เชื่อมั่นในตัวของเธอ ความเชื่อมั่นของมาเอะที่ฝากเอาไว้กับเจนและเธอก็ไม่อยากจะทำให้ผิดหวัง

    "ฉัน...ยังไม่แพ้!!"

    ครืน!!!

    แรงกดดันมหาศาลพุ่งพล่านออกมาจากร่างบางที่ตอนนี้กำลังลุกขึ้นยืน อาราชิรีบหันกลับมาทันทีเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่รู้สึกได้จากร่างของหญิงสาวด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก พลังที่สัมผัสนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะออกมาจากร่างของมนุษย์ธรรมดาโดยเฉพาะนักผจญภัย เพราะเท่าที่เคยเจอผู้ที่มีพลังเช่นนี้มีเพียงเทพอสูรแห่งทิศประจิมผู้ที่เป็นเทพอสูรประจำเผ่าพันธุ์ของมันเท่านั้น

    ดวงตาของเจนในตอนนี้ไร้ซึ่งชีวิตใด ๆ มีเพียงแสงสีเหลืองซีดส่องสว่างเช่นเดียวกับออร่าที่คลุมร่างของเธออยู่เปลี่ยนไปจากเดิม เลือดจากบาดแผลที่ได้รับถูกหยุดด้วยฝีมือของออร่าที่เคลื่อนที่เองราวกับมีชีวิต และสิ่งที่ทำให้ราชาพยัคฆ์ตื่นตะลึงยิ่งกว่านั่นก็คือออร่ารอบตัวของหญิงสาวจับตัวกันกลายเป็นหางทั้งเก้าของจิ้งจอกและหัวอสรพิษถึงแปดหัว!

    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ! เจน ตอบพวกเราหน่อยสิ!" โจพยายามตะโกนเรียกเพื่อนสาวไม่ว่าจะเป็นช่องสื่อสารปกติหรือช่องสื่อสารกิลด์ แต่ไม่มีเสียงตอบใด ๆ กลับมาเลย

    "พวกเรารีบถอยออกมาก่อนเร็วเข้า ดูท่าทางเจนคงหมดสติไม่ได้ควบคุมพลังสถิตร่างแล้ว!" เสือซ่อนลายตะโกนบอกทุกคนแล้วรีบฉุดมือของฟีบีถอยออกหากจากบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว คิทซึเนะแม้อยากจะอยู่แต่เธอก็รู้ดีว่าในตอนนี้เธอไม่อาจแม้แต่จะเข้าใกล้เจนได้เลย ทางเลือกเดียวของเธอจึงหลบออกมาพร้อมกับพวกเสือซ่อนลายก่อน

    ทางด้านอาราชิเองก็รู้ตัวดีเช่นกันว่าตอนนี้ตนนั้นเทียบกับพลังประหลาดตรงหน้าแบบไม่ติดฝุ่นแล้ว แต่เมื่อจ้องไปยังดวงตาของหญิงสาวแล้วร่างกายกลับรู้สึกเย็นเฉียบไม่ยอมขยับเขยื้อนตามที่ตัวเองคิด รู้สึกราวกับว่าถ้าหากขยับจะหมายถึงชีวิตในทันที

    ออร่าหางทั้งเก้าและหัวงูทั้งแปดจ้องมองพญาสิงค์ที่ยืนนิ่ง ดาบคุซานางิที่เป็นอาวุธประจำตัวของเจนนั้นตกอยู่ไกลเกินกว่าที่จะเอื้อมแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเมื่อร่างนี้มีพลังที่ทรงอำนาจเกือบจะเทียบเท่าสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ในดาบเล่มนั้น ออร่าหางค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นบอลพลังขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันหัวงูทั้งแปดก็อ้าปากและส่องสว่างราวกับจะปล่อยลำแสงแบบเดียวกับที่ยามาตะ โนะ โอโรจิเคยใช้สู้กับเซอร์โนบอทโดยที่ไม่สนใจกฎแห่งเทพอสูรเลยแม้แต่นิดเดียว

    พริบตานั้นทั้งบอลพลังสีเหลืองและลำแสงทั้งแปดพุ่งตรงเข้าใส่ราชาพยัคฆ์ที่รู้ชะตาตนเองว่าไม่อาจรอดไปจากการโจมตีระดับนี้ไปได้แน่ แต่ก่อนที่อาราชิจะสิ้นชื่อ ร่างขนาดใหญ่สามร่างก็ปรากฎตัวขึ้นขวางเอาไว้ก่อนพร้อมกับปล่อยพลังต้านลำแสงและบอลพลังเอาไว้ได้อย่างสูสีก่อนที่พลังจากทั้งสองฝ่ายจะระเบิดออกอย่างรุนแรงโดยที่ไม่ทำอันตรายฝ่ายใดทั้งสิ้น

    เงาทั้งสามนั้นก็คือร่างสมิงฆ์ของเบียคโกะและร่างจิ้งจอกเก้าหางของมาเอะนั่นเอง ทว่าร่างที่สามนั้นเป็นจิ้งจอกเก้าหางเช่นเดียวกันกับมาเอะ เพียงแต่ว่าระดับพลังสูงกว่ามาก ขนสีขาวยาวพริ้วไสวราวแต่แฝงเอาไว้ซึ่งพลังเต็มเปี่ยม

    "หมายความว่ายังไงกันเนี่ย ทำไมมนุษย์ผู้นี้ถึงมีพลังของยามาตะ โนะ โอโรจิได้!" นางพญาจิ้งจอกเก้าหางผู้มาใหม่เอ่ยเสียงดัง ดวงตายังคงจับจ้องไปยังร่างของเจนที่ถูกปกคลุมด้วยออร่าสีเหลืองน่ากลัวอย่างไม่ไว้วางใจ

    "ข้าเองก็ไม่ทราบมาก่อนเช่นกัน ตอนที่ข้ามอบพลังให้เธอยังไม่มีพลังนี้อยู่ในร่างเลย เธอคงพบกับพญาอสรพิษแปดหัวและได้มาพลังหลังจากนั้นแน่" มาเอะกล่าว

    "เรื่องนั่นช่างมันก่อน! เตรียมตัวรับมือเร็วเข้า แม้มนุษย์ผู้นี้จะยังไม่อาจใช้พลังได้อย่างเต็มที่แต่พลังของเจ้าและพลังของอสรพิษแปดหัวก็เหนือกว่าพวกเราคนใดคนหนึ่งแล้ว อย่าประมาทเป็นอันขาด!" เบียคโกะเอ่ยเตือน หลังจากการปะทะกันเมื่อครู่ทำให้มันรู้ระดับพลังของเจนในตอนนี้ได้ทันที ถ้าหากไม่รวมพลังกัน ต่อให้สามารถสังหารหญิงสาวตรงหน้าได้ แต่เทพอสูรทั้งสามก็อาจจะต้องบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกัน

    ร่างพลังสถิตยืนจ้องเทพอสูรทั้งสามราวกับกำลังประเมินพลังของศัตรู ทันใดนั้นเองที่ร่างของเจนเริ่มขยับเขยื้อน เหล่าเทพอสูรเร่งพลังเตรียมพร้อมรบเต็มอัตราทันที แต่ก่อนทั้งสองฝ่ายจะปะทะกัน ออร่าที่คลุมตัวเจนอยู่ก็สลายไปอย่างฉับพลันก่อนที่ร่างบางจะล้มลงไปบนพื้นพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลอีกครั้ง


    ในความมืด เจนรู้สึกตัวขึ้นมาด้วยความงุนงง ก่อนหน้าที่ทุกอย่างจะมืดไปเธอจำได้ว่าเธอกำลังสู้กับอาราชิอยู่และเธอกำลังจะแพ้

    "ที่นี่มันที่ไหนกัน...อ้อ นี่เราคงตายแล้วล่ะสิเนี่ย หมายความว่าตอนนี้เราคงกำลังรอเวลาเกิดอยู่สินะ" เจนเอ่ยขึ้นอย่างเสียอารมณ์ เธอไม่อยากจะแพ้ในการต่อสู้กับอาราชิเลยจริง ๆ ถึงความจริงแล้วเธอยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาราชินั้นเก่งจริง ๆ

    หญิงสาวมองไปรอบตัวกลับไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงความมืดรอบกายเท่านั้น แต่ก็น่าแปลกเพราะในที่แห่งนี้ไม่มีแสงใด ๆ ทว่าเจนกลับสามารถมองเห็นตัวเองได้ราวกับเธออยู่ในห้องที่มีไฟส่องสว่างเต็มที่

    "รู้สึกแปลกดีเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแต่เราคงต้องรอเกิดอีกตั้งชั่วโมงหนึ่ง เฮ่อ...การอยู่เฉย ๆ นี่มันน่าเบื่อจัง" เจนพูดกับตัวเองพลางลองพยายามเปิดหน้าต่างระบบขึ้นมาเพื่อหวังว่าจะติดต่อกับพวกโจ แต่ไม่ว่าจะพยายามเรียกหน้าต่างขึ้นมากี่ครั้งก็ไม่มีอะไรปรากฎขึ้นมาเลย

    หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่ หญิงสาวก็ล้มเลิกความตั้งใจและยืนรออยู่เฉย ๆ คงเป็นเพราะเสียชีวิตภายในเกมทำให้ไม่สามารถใช้การติดต่อใด ๆ ได้ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือรอจนกว่าจะครบกำหนดเวลานั่นเอง

    ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างมาจากด้านหลังของเจน เมื่อหันไปก็ทำให้เธอใจหาบวาบเมื่อแสงนั้นเป็นหญิงสาวสองคนที่มีออร่าสีเหลืองทองและออร่าสีม่วงคลุมร่างอยู่จนไม่อาจเห็นใบหน้าได้ ทั้งสองต่างยื่นมือเข้ามาหาเธออย่างช้า ๆ แต่เจนกลับไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้ราวกับมีพลังอำนาจตรึงร่างของเธอไว้อยู่กับที่

    เมื่อมือบางทั้งสองแตะไหล่ทั้งสองข้างของเธอ ร่างทั้งสองก็สว่างวาบจนเจนต้องหลับตา เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเจนก็พบว่าตัวเองกำลังนอนมองเพดานถ้ำที่ดูคุ้นตายังไงชอบกล

    "พี่เจนรู้สึกตัวแล้วหรือคะ! ทุก ๆ คน พี่เจนตื่นแล้วค่ะ!" เสียงหวานดังขึ้นข้างตัว เจนหันไปมองก็พบว่าเป็นคิทซึเนะที่กำลังกุมมือของเธอด้วยความเป็นห่วง ในขณะเดียวกันฟีบีก็กระโดดขึ้นมานั่งคร่อมร่างของเธอด้วยสีหน้าราวกับกำลังจะร้องไห้
    ตอนนี้เจนพบว่าตัวเองนั้นกำลังนอนอยู่บนเตียงหญ้าของมาเอะ นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้ตายจากการประลองแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นมันหมายความว่าอะไรกัน ถ้าหากเป็นความฝันล่ะก็มันเป็นฝันที่เหมือนจริงมากทีเดียว

    เสียงของจิ้งจอกสาวเรียกให้พวกโจเข้ามาสอบถามด้วยความเป็นห่วงถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เจนที่กำลังสับสนอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่จึงถามกลับไป

    "พวกนายหมายความว่าอะไรที่ว่าโดนยึดร่าง นี่ฉันงงหมดไปแล้ว"

    "ก็ตอนที่เธอสู้กับราชาเสือนั่นไง ตอนนั้นเธอกำลังจะแพ้แล้วจู่ ๆ เธอก็ลุกขึ้นมาแล้วใช้พลังแบบเดียวกันกับตอนที่เธอช่วยเรือเหาะเอาไว้ไง แต่ครั้งนี้พลังดูเวอร์กว่าตอนนั้นเยอะ แถมเธอดูท่าทางไม่เหมือนเป็นตัวของตัวเองด้วย พวกเราก็เลยคิดว่าเธอน่าจะถูกพลังนั้นควบคุมร่างอยู่" โจบอกบอกโดยมีคนอื่น ๆ ช่วยพยักหน้ายืนยันเรื่องราวที่เกิดขึ้น

    ‘จะเป็นเพราะยามาตะ โนะ โอโรจิหรือเปล่านะ’ เจนคิดในใจพลางหันไปมองดูดาบคุซานางิที่วางอยู่ข้างเตียง

    แต่คงต้องเอาไว้ทีหลังเพราะมาเอะและเบียคโกะในร่างมนุษย์กำลังเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่เดินตามมาด้านหลังที่ดูแปลกไปต่างทั้งคู่ตรงที่เครื่องแต่งกายของเธอนั่นเอง

    หญิงสาวที่เจนไม่รู้จักคนนี้มีรูปร่างสูงโปร่งเซ็กซี่เหมือนกับมาเอะแต่มีบางอย่างที่บอกเจนว่าเธอคนนี้มีอะไรที่มากกว่านั้น เธอมีผมยาวสลวยสีขาวดังหิมะ ขอบตาของเธอถูกตกแต่งด้วยสีแดงสดดูดีไปอีกแบบคล้ายเป็นสาวนำแฟร์ชั่น แต่ตรงกันข้ามกับมาเอะ หญิงสาวคนนี้สวมชุดสีขาวโดยมีดเสื้อแจ็คเก็ตสีแดงปิดทับราวกับเป็นผู้เล่นที่มาจากโลกภายนอก แต่เจนมั่นใจว่าไม่ใช่แน่ ๆ

    "เป็นยังไงบ้างเจน รู้สึกผิดปกติตรงไหนบ้างหรือเปล่า" มาเอะเข้ามาหาเจนที่เตียงกอหญ้าและถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

    "เอ่อ..ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนะคะ" เจนตอบตามตรงแม้ก่อนหน้าที่เธอจะตื่นขึ้นมาจะมองเห็นอะไรแปลก ๆ ก็ตาม เพราะเธอคิดว่าคงเป็นแค่ความฝันที่ไม่ได้เกี่ยวกันกับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เจนกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือหญิงสาวนิรนามที่ยืนข้างเบียคโกะอย่างไม่สะทกสะท้านเลยนั่นเอง

    มาเอะที่เห็นว่าเจนกำลังมองไปที่ใครจึงแนะนำให้รู้จัก "นี่คือท่านคิวบิ โนะ โยโกะ เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางตนแรกบนโลกแห่งนี้"

    "เรียกฉันว่าโยโกะก็พอ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็ม ๆ หรอก" หญิงสาวเอ่ยตอบด้วยท่าทางสบาย ๆ ดูไม่มีมาดเทพอสูรเลยแม้แต่น้อย ต่างจากมาเอะที่ดูสูงส่งและเบียคโกะที่ดูแข็งแกร่งโดยสิ้นเชิง

    "เอ๋ ตนแรกหรือคะ หมายความว่าท่านผู้นี้กับท่านมาเอะเป็นสายเลือดเดียวกัน.." เจนเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา

    "ที่พูดมันก็ใช่แต่เทพอสูรไม่ได้สืบทอดกันตามสายเลือดเท่านั้นหรอกนะ" โยโกะกล่าวตอบก่อนจะหันไปมองให้มาเอะเป็นผู้อธิบายต่อ

    "ที่ท่านเก้าหางบอกเจนหมายถึงเทพอสูรแต่ละเผ่าพันธุ์ไม่ได้จำกัดตามสายเลือด แต่เป็นความพยายามที่จะฝึกฝนเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์และโชคอีกเล็กน้อยที่จะตามหาเทพอสูรเพื่อแบ่งพลังส่วนหนึ่งให้ แต่ข้ากับท่านโยโกะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันตามสายเลือดโดยตรงหรอกนะ"

    "อย่าเพิ่งคุยกันเรื่องเล็กน้อยพรรณนั้นเลย ตอบมาว่าเจ้าได้พลังของพญาอสรพิษแปดหัวมาจากไหน" เบียคโกะถามเสียงเข้มจนคิทซึเนะออกอาการไม่พอใจที่เขามาคุกคามพี่สาวของเธอ ส่วนอีกด้านนั้นโยโกะกลับส่ายหน้าให้กับความเอาจริงเอาจังของเทพพยัคฆ์จนเกินเหตุ

    "จะอะไรนักหนานะเบียคโกะ นี่ตกลงเจ้าจะอยากให้ยามาตะ โนะ โอโรจิเข้าร่วมกองทัพเทพอสูรจริง ๆ งั้นหรือ" โยโกะถามขึ้น

    "เพื่อที่จะปกป้องแผ่นดินแห่งนี้ ไม่ว่าใครที่สามารถหาได้ก็ต้องพยายามดึงตัวมาเป็นพวกเอาไว้ก่อน ยิ่งเป็นเทพอสูรที่มีพลังมหาศาลอย่างยามาตะ โนะ โอโรจิแล้วถ้าหากตกไปอยู่กับทัพอื่นจะยิ่งแย่สำหรับพวกเรา" เบียคโกะหันมาตอบ

    "ว่าแต่อย่างยามาตะ โนะ โอโรจิน่าจะอยู่กับทัพอสูรไม่ใช่หรือคะ แถมถ้าหากได้มาเป็นพวกเดียวกันจริง ๆ จะไม่เป็นการประกาศสงครามกับเทพสมุทรอย่างซูซาโนะหรือเปล่า" ไมโกะที่มีความรู้เรื่องเทพของญี่ปุ่นเอ่ยถามจนทำให้เทพอสูรทั้งสามหันมามองตามจนเธอรู้สึกขวยเขินจากสายตาของเทพอสูรทั้งสามที่มองเธอด้วยความแปลกใจ

    "ก็อย่างที่ข้าบอก เทพอสูรจะเลือกทัพใดก็เป็นเรื่องของเทพอสูรเอง ไม่เกี่ยวกับพลังหรือรูปลักษณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อย ความจริงแล้วในสมัยสงครามครั้งนั้น ยามาตะ โนะ โอโรจิก็ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่แล้วด้วย ส่วนเรื่องท่านซูนาโนะข้าเองไม่คิดว่ามีปัญหาหรอก" มาเอะอธิบายด้วยรอยยิ้ม

    "เจ้าเบียคโกะน่ะมันตื่นตูมเกินเหตุ ถึงจะบอกว่าทั้งสามทัพกำลังจะเริ่มรวมทัพเตรียมตัวก่อนสงครามครั้งใหม่ แต่ทัพอสูรน่ะยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลยด้วยซ้ำ อย่างพวกลูซิเฟอร์ยังรวบรวมอสูรแห่งบาปอยู่เลย ฮาเดสเองก็ยังไม่ตัดสินใจเลยว่าจะเข้ากองทัพเทพหรืออยู่กองทัพอสูร ไม่ว่าปิศาจหรืออสูรในเวลานี้ก็แยกเป็นกลุ่มแทบไม่ต่างไปจากเมื่อก่อนเลย คงอีกนานกว่าจะสามารถรวมเป็นกองทัพอย่างที่หมอนี่กลัว" โยโกะเสริม สายตาอาคาตของเทพพยัคฆ์ขาวจ้องมาหาเธอทันที ในอดีตถ้าหากเบียคโกะจ้องมองใครด้วยสายตาเช่นนี้ก็หาได้ยากที่จะรอดชีวิต แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจใยดีเลยด้วยซ้ำ

    "กองทัพเทพยิ่งแล้วใหญ่เลยด้วยซ้ำ ตอนที่ถูกผนึกพวกนี้ก็ทำการตกลงตั้งกฎกันอย่างเสร็จสรรพเตรียมพร้อมที่จะตั้งกองทัพเทพ แต่พวกนี้ไม่คิดจะเปิดสงครามก่อนอยู่แล้วเพราะกฎแห่งกองทัพเทพนั่นแหละ" โยโกะอธิบาย

    "ความคิดที่ข้าไม่อยากจะรวมทัพเทพอสูรก็เป็นเพราะได้ปรึกษากับท่านเก้าหาง ถ้าหากกองทัพเทพอสูรยิ่งรวมตัวกันได้เร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้พวกอสูรรวมตัวกันได้เร็วมากขึ้นอีกด้วย" มาเอะบอกแล้วจึงหันกลับมาหาหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงหญ้าฟางอีกครั้ง “แต่เรื่องที่เบียคโกะเอ่ยนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่มาก เจ้าได้พบพญาอสรพิษตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"

    เจนไม่รู้จะตอบยังไงดีจึงได้แต่เหลือบตามองไปที่ดาบคุซานางิที่วางนิ่งอยู่ข้างเตียงแล้วจึงหยิบขึ้นมาพร้อมกับพลังของยามาตะ โนะ โอโรจิที่แผ่ออกมาเมื่อผู้ทำสัญญาดาบได้ถืออาวุธ

    "ดาบคุซานางิ!? อยู่ใต้จมูกมาตลอดเลยงั้นหรือเนี่ย" มาเอะยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ เพราะตลอดเวลาเธอไม่เคยเอะใจถึงตัวตนของยามาตะ โนะ โอโรจิเลยแม้แต่น้อย

    "แบบนี้คงเหมือนกับที่พวกมนุษย์พูดกันว่า 'ถ้าเป็นงูก็คงโดนฉกไปแล้ว' สินะ เอ๊ะ! แต่โอโรจิก็เป็นงูเหมือนกันนี่เนอะ ฮ่ะ ๆ" โยโกะพูดติดตลก แต่ดูเหมือนเธอจะทำให้พญาอสรพิษโมโหขึ้นมาไม่น้อยเพราะเมื่อพูดจบ พลังที่รั่วไหลออกมาจากดาบยิ่งรุนแรงขึ้นจนหญิงสาวผู้ถือดาบต้องรีบวางดาบลงเพื่อสะกดพลังเอาไว้อีกครั้ง

    "แล้วแบบนี้ท่านเทพแห่งทิศประจิมจะทำยังไงดีล่ะคะ ในเมื่อทั้งการประลองก็เป็นโมฆะไปเพราะทั้งท่านและมาเอะก็เป็นฝ่ายเข้ามาแทรกแซงกันทั้งคู่ ส่วนแผนที่จะดึงตัวท่านยามาตะ โนะ โอโรจิเข้ากองทัพก็มาเหลวเป๋วเพราะดันมาติดอยู่ในผนึกแห่งดาบเทพเจ้าอีก แบบนี้คงแย่กับกองทัพเทพอสูรไม่น้อยเลยนะคะเนี่ย" คิวบิ โนะ โยโกะล้อเลียนเทพพยัคฆ์ขาวที่นิ่งเงียบไม่ยอมปริปากก่อนจะเดินออกไปจากถ้ำแล้วสลายร่างไปในพริบตา

    พวกเจนมองดูการพูดคุยระหว่างเหล่าเทพอสูรที่หยอกล้อกันอย่างไม่กลัวพลังของฝั่งตรงข้ามเลย คงเป็นเพราะเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางตนแรกอย่างคิวบิ โนะ โยโกะเองก็คงมีพลังสูสีพอ ๆ กันแน่ แต่ว่าตอนนั้นเองที่มีหน้าต่างแสงขึ้นมาเตือนอยู่ตรงหน้าเธอ เมื่อลองเปิดหน้าต่างนั้นดูเจนก็พบว่าเรื่องเก่ายังไม่จัดการแต่ก็มีเรื่องหนักใจเพิ่มเข้ามาให้เธออีกเรื่องแล้ว

    ภารกิจอาชีพ : ผู้กล้า
    หยุดยั้งสงครามเทพอสูร

    หลังจากที่เบียคโกะจากไปแล้วบรรยากาศก็เริ่มที่จะผ่อนคลายลงมาก แต่การมาของคิวบิ โนะ โยโกะนั้นก็สร้างความแปลกใจให้กับพวกเจนและมาเอะไม่น้อย

    "ว่าแต่ท่านเก้าหางมาที่นี่ได้ยังไงหรือคะ" มาเอะถามขึ้นอย่างนอบน้อม

    "ก็นะ พอดีฉันอยู่ที่เกียวโตน่ะ ทันทีที่รู้สึกถึงพลังของเด็กคนนี้ก็รีบมาดูและได้สมทบกับพวกเธอนั่นแหละ" โยโกะตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ

    "เดี๋ยวก่อนนะคะ! เมืองเกียวโตที่ว่านี่มันอยู่ห่างจากเมืองยามะไตมากเลยนะคะ!" ซินจูพูดเสียงดังพร้อมทั้งดูแผนที่ประกอบ ระยะห่างระหว่างเมืองทั้งสองนั้นไม่ใช่น้อย ๆ เลย ถ้าหากเดินทางด้วยรถม้าก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันเต็ม ๆ นี่ยังไม่นับระยะทางจากเมืองมาถึงหุบเขาจิ้งจอกอีก แต่โยโกะกลับใช้เวลาเพียงพริบตาเท่านั้นเอง

    สาวงามในเสื้อแจ็คเก็ตแดงกอดอกยิ้มอย่างภาคภูมิใจก่อนจะหันไปตอบเด็กสาว "ฉันเป็นถึงเทพอสูรเผ่าจิ้งจอกที่ทรงพลังที่สุดเชียวนะ ระยะทางแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ปัญหาที่ฉันเป็นห่วงมากกว่านี่มัน..."

    โยโกะลดสายลงก้มลงมองดูหญิงสาวที่ถือดาบเทพเจ้าอยู่พร้อมกับทุกคนที่หันมามองเป็นตาเดียว ทำเอาเจนรู้สึกอึดอัดไม่ได้พลางคิดว่าตัวเองไปทำอะไรเข้าอีกล่ะเนี่ย

    "ถ้าฉันไม่ได้รู้สึกไปเองล่ะก็ พลังที่เธอเพิ่งใช้เป็นทั้งของมาเอะและโอโรจิใช่หรือเปล่า" โยโกะถามด้วยน้ำเสียงจริงจังต่างจากที่ผ่านมา

    "เอ่อ..ค่ะ แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยใช้มาก่อนแล้วหนหนึ่ง" เจนตอบพลางนึกไปถึงตอนที่ใช้พลังครั้งก่อนแต่ตอนนั้นก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรนอกจากพลังเวทที่ลดไปอย่างรวดเร็วเหมือนโดนสูบเท่านั้นเอง

    "อย่าลืมสิเจน หนนี้เธอสลบไปหลังจากใช้ทักษะนั้นแล้วนะ" เสือซ่อนลายแย้งขึ้นมา

    "อ่า..เป็นเพราะอย่างนั้นเองสินะถึงเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น" สาวงามพูดขึ้นมา ในขณะเดียวกันนั้นเองที่เธอเดินเข้าไปหาเจนพร้อมกับจับไหล่ของหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง

    "จะถือว่าขอร้องก็ได้นะ แต่อยากให้เจนช่วยรับปากหน่อยได้หรือเปล่าว่าต่อไปนี้อย่าใช้พลังสถิตร่างพร้อมกันอีก อย่างน้อยก็จนกว่าเจนจะมีความพร้อมมากกว่านี้"

    ดวงตาสีเหลืองทอประกายให้รู้สึกถึงความรู้สึกกังวลออกมา เจนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงจะต้องเป็นห่วงขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่ระดับผสานของพลังสถิตร่างนั้นมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยจากที่เธอเคยใช้ในอดีต แต่ก็คงจะละเลยความรู้สึกของมาเอะไม่ได้เช่นกัน อีกอย่างเจนก็ยังสะกิดใจกับคำพูดของโจที่ว่าเหมือนกับตัวของเธอกำลังถูกควบคุมและความฝันแปลก ๆ ด้วย ทางที่ดีเธอคงเชื่อฟังคำขอของมาเอะน่าจะเป็นการดีที่สุด

    หญิงสาวผงกหัวรับคำซึ่งทำให้สาวงามยิ้มร่าด้วยความดีใจ แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยแต่การได้เห็นรอยยิ้มของคนอื่นก็ทำให้เจนรู้สึกมีความสุขมากพอแล้ว

    "เอาล่ะ ถ้าจบเรื่องแล้วฉันก็ขอตัวก่อนล่ะนะ ตอนขามาฉันเห็นกระเป๋าหนังสวยมากใบหนึ่งกะว่าจะเข้าไปดูซักหน่อย หวังว่ามันคงยังไม่มีใครชิงตัดหน้าฉันไปก่อนนะ" โยโกะกล่าวพร้อมทำท่าจะเดินจากไปแต่ถูกคำพูดของมาเอะรั้งเอาไว้ก่อน

    "ช้าก่อนค่ะท่านเก้าหาง ท่านจะไม่อยู่ทานมื้อเย็นกับพวกเราก่อนหรือ" พูดจบแล้วเธอก็ผายมือไปยังพวกเจนที่กำลังจับกลุ่มคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่โยโกะรู้ว่าที่มาเอะพูดถึงนั้นไม่ได้หมายถึงพวกเจน แต่เป็นคิทซึเนะที่เป็นจิ้งจอกที่เปรียบได้เหมือนกับหลานสาวของเธอ

    ดวงตาของเจ้าแห่งเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางจ้องมองดูจิ้งจอกสาวด้วยความเอ็นดู แม้ว่าการที่ได้เห็นภาพนี้จะชวนให้เธอนึกย้อนกลับไปถึงอดีตที่ปวดร้าวแต่มันก็คุ้มที่จะได้มองดูจิ้งจอกน้อยที่เติบโตมาได้เพียงนี้

    สาวในชุดแดงส่ายหน้าปฏิเสธ "เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกัน เดี๋ยวช้าจะอด" พูดจบโยโกะก็หายไปในพริบตา ทิ้งให้สางสามมองตามตาละห้อย ในขณะเดียวกันนั้นเองที่คิทซึเนะได้เข้ามาหาแม่ของตนพลางมองหาอะไรหรือใครบางคน

    "อ้าว ท่านโยโกะไปแล้วหรือคะ เพิ่งได้คุยกันแค่นิดเดียวเอง" จิ้งจอกสาวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงรู้สึกเสียดาย

    มาเอะลูบหัวเบา ๆ เป็นการปลอบใจลูกสาวของตนเอง สำหรับคิทซึเนะแล้วตัวคิวบิ โนะ โยโกะนั้นถือเป็นแบบอย่างของเธอเลยทีเดียวเพราะต่างมีขนสีขาวเหมือนกันทั้งคู่ นิสัยรักอิสระก็แทบถอดแบบมาเลยด้วยซ้ำทำให้ทั้งสองสนิทกันมาก จึงไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกเสียใจเมื่อโยโกะจากไปโดยไม่ลาเช่นนี้



    ทางด้านพวกเจนที่ตอนนี้ก็ยังคงพูดคุยกันเรื่องการประลองหลังจากที่เจนสลบไป เธอได้ทราบว่าอาราชินั้นรอดการการโจมตีของเธอด้วยฝีมือของเทพอสูรทั้งสามที่เข้ามาช่วยเอาไว้ทันเวลาพอดี หลังจากรักษาบาดแผลเสร็จแล้วเบียคโกะจึงส่งราชาพยัคฆ์กลับไปยังถิ่นฐานของตน

    ส่วนตัวเจนนั้นก็ถูกรักษาแล้วจึงพากลับมานอนพักที่ถ้ำแห่งนี้ โดยเสือซ่อนลายที่เป็นคนหยิบดาบคุซานางิกลับมายืนยันว่าไม่ได้เป็นเทพอสูรที่ถูกผนึกอยู่ในดาบที่ควบคุมร่างกายของเจนแน่ ๆ เพราะตอนเกิดเรื่องนั้นตัวดาบคุซานางิอยู่ไกลจากเจนมาก ทำให้ข้อสงสัยของเธอตกไปแต่เป็นอะไรที่ควบคุมร่างของเธอไปสู้กับเทพอสูรทั้งสามนั้นก็ยังคงยากที่จะรู้ได้

    "ขอขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยให้ผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดีถึงจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็ตาม ถ้าหากมีอะไรจะให้ช่วยขอเพียงแค่เอ่ยมา ข้าจะช่วยเท่าที่ทำได้" มาเอะกล่าว

    เจนทำท่าจะปฏิเสธไปเพราะพวกโจไปค้นคลังสมบัติของมาเอะแล้วหยิบของกลับมาตั้งเยอะแยะ ขนาดไม่นับรวมเสื้อคลุมที่ซินจูเอามาไม่ต่ำกว่าห้าสิบตัวก็ยังมีเครื่องป้องกันอื่น ๆ อีกมากมายจนเจนเกรงใจแทน แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร อามีร่าที่มาอยู่ข้างตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

    "คือพวกเราเพิ่งตั้งกิลด์ขึ้นมาน่ะค่ะ แต่ยังไม่มีที่ทำการกิลด์เลย พวกเราปรึกษากันแล้วว่าไม่อยากจะตั้งที่ทำการในเมืองใดเมืองหนึ่งเพราะอยากจะเดินไปเรื่อย ๆ พวกเราจึงอยากจะขอคำปรึกษากับท่านมาเอะหน่อยค่ะว่าควรทำยังไงดี" เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความนอบน้อมทำเอาเจนแทบสะดุ้งเพราะลืมไปซะสนิทว่าพวกเธอมาที่นี่เพื่ออะไรตั้งแต่แรก

    มาเอะที่ได้ยินก็มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองไปที่โจราวกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง จอมเวทหนุ่มรู้สึกได้ถึงสายตาที่สอดส่องมาก็ได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้ถูเพ่งเล็งจากสาวงามผู้นี้

    "เรื่องนี้ก็ไม่เห็นยากนะ ทำไมไม่ใช้มังกรหินของพวกเจ้าให้เป็นประโยชน์ล่ะ ขนาดของมันในตอนนี้ก็น่าจะพอใช้อาศัยได้สบาย ๆ อยู่เหมือนกันนะ เวลาพวกเจ้าจะไปที่ไหนก็ให้มังกรหินตัวนั้นบินไปได้ง่าย ๆ ด้วย” มาเอะเสนอ นับว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจมากถ้าหากไม่ติดอยู่ที่ว่ามังกรที่กำลังพูดถึงอยู่คือมังกรของโจ

    “เดี๋ยวก่อนนะ ท่านกำลังบอกว่าจะให้โอร็อคเป็นที่ทำการกิลด์อย่างงั้นหรือครับ!? แต่เจ้านี่เป็นสัตว์เลี้ยงของผมนะครับ แถมเจ้านี่ตัวใหญ่เกือบเท่าปราสาท จะไปไหนมาไหนก็เตะตาคนเกินไปด้วย ท่านคงไม่คิดจะให้พวกเราไปสร้างบ้านบนหลังของเจ้าโอร็อคหรอกนะครับ” โจพูดขึ้นเสียงดัง ไอ้ความคิดแบบนี้แม้จะเป็นไปได้ทางทฤษฏีแต่ไม่มีทางที่เจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้ทำได้แน่

    “ข้าไม่สามารถสร้างบ้านเคลื่อนที่ให้กับเจ้าได้ แต่มังกรหินสามารถเป็นแผ่นดินที่พาเจ้าไปได้ทุกที่ และสิ่งที่สามารถเป็นบ้านให้กับเจ้าได้ก็อยู่ในตัวของเจนนั่นแหละ”

    ทุกคนหันมามองเจนเป็นสายตาเดียวทั้ง ๆ ที่ เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าสิ่งที่มาเอะพูดถึงนั้นคืออะไร หญิงสาวรีบลุกขึ้นและค้นช่องเก็บของกับกระเป๋าของตัวเองทันที แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะพอจะเรียกได้ว่าบ้านอยู่เลย จนในที่สุดเจนก็หยิบเมล็ดพืชที่อยู่ในช่องเก็บของส่วนตัวออกมา

    “นี่มันเมล็ดพืชที่ได้มาตอนที่อยู่บนเกาะ...อ้า!”

    หญิงสาวร้องเสียงดังเมื่ออ่านรายระเอียดของเมล็ดพืชนี้ เธอลืมไปซะสนิทเลยว่ามีมันอยู่

    เมล็ดพันธุ์แห่งบ้านต้นไม้ ระดับ S
    เป็นเมล็ดอ่อนที่สามารถปลูกขึ้นมาโตเป็นบ้านต้นไม้ได้

    สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ของพวกเธอได้เป็นอย่างดี ถ้าหากสิ่งนี้สามารถปลูกบนหลังของมังกรหิน โอร็อคของโจได้จริง

    “เมล็ดพืชอันขนาดนี้แต่เป็นไอเท็มระดับ S เนี่ยนะ! นี่พวกนายไปได้มาจากไหนกันเนี่ย!” หนูส่งข่าวเสียงเสียงร้องออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา ทั้ง ๆ ที่เขาทุ่มเวลากับการหาข้อมูลของไอเท็มระดับสูงแต่ที่เขาเคยพบ เคยได้ยินกลับเป็นแต่ไอเท็มระดับ A ทว่าสามคนนี้ที่เพียงแค่เข้ามาเล่นเกมสนุก ๆ กลับครอบครองไอเท็มระดับ S อย่างน้อยถึงสองชิ้น ใครจะไปรู้ว่าในตัวของเพื่อนของเขาทั้งสามคนนี้จะมีอะไรให้แปลกใจอีก

    “แล้วของแบบนี้ใช้ปลูกบนตัวของโอร็อคได้แน่หรือครับ” จอมเวทหนุ่มยังคงคลางแคลงใจ แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะไม่ค่อยเอาใจใส่มังกรหินของเขาซักเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะฟีบีที่ทำให้เขาเห็นความสำคัญของโอร็อคมากขึ้น ถ้าหากว่าไอ้เจ้าเมล็ดบ้านต้นไม้นี่ทำอะไรที่ทำให้สัตว์เลี้ยงของเขาอึดอัดใจล่ะก็คงรู้สึกผิดไม่น้อยแน่

    “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก แค่ต้นไม้ต้นเดียวทำอะไรมังกรหินไม่ได้อยู่แล้ว พวกเธอเชื่อคำพูดของข้าได้เลย” สาวงามให้คำมั่น

    “อย่าลืมแตงโตวันโตคืนที่เธอเก็บเอาไว้ด้วยนะ เอามาใช้รดน้ำจะได้เร่งให้เมล็ดนั่นโตเร็ว ๆ ไง” แจ็คบอก

    เจนที่ได้ยินก็รีบหยิบแตงใบเล็กออกมาด้วย นึกไม่ถึงว่าของทั้งสองอย่างตอนได้มาก็ไม่รู้จะได้เอามาใช้ประโยชน์อะไรจะได้มาใช้ในตอนนี้ได้อย่างเหมาะเจาะกับเวลานี้ซะจริง ๆ

    “ความจริงแล้วยังอีกอะไรอีกอย่างที่ฟีบี จะช่วยพวกเจ้าได้นะ” ไม่พูดเปล่า มาเอะก็สาวเท้าเข้าไปหามังกรน้อยที่เงยหน้ามองอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

    ไม่ทันที่เจนจะได้ถาม เธอก็ถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่เทพอสูรเพิ่งทำกับน้องสาวของเธอเพราะมือเรียวเพิ่งจะแทงเข้าไปในร่างของฟีบีทะลุหน้าอกไป!

    เสียงร้องที่ควรจะออกมากลับจุกอยู่ในลำคอ เจนแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามาเอะที่รักและเอ็นดูมังกรน้อยเหมือนกับลูกแท้ ๆ จะทำร้ายฟีบีได้ลง แต่ทว่าเมื่อสังเกตดูดี ๆ แล้วไม่มีเลือดไหลออกมาจากร่างของเด็กสาวเลยแม้แต่หยดเดียว มือของเทพอสูรทะลุผ่านร่างของเธอไปราวกับเป็นวิญญาณ และเมื่อดึงมือออกมากเจนก็พบว่ามีอะไรบางอย่างอยู่บนฝ่ามือของมาเอะด้วย

    “นี่คือแก้วข้ามมิติ มีพลังที่จะส่งผู้ใช้พร้อมกับคนที่อยู่ใกล้เคียงไปยังจุดหมายที่ต้องการได้ในพริบตา นี่เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์โบราณที่ทรงอำนาจและหายากมาก ข้าคิดว่ามันถูกทำลายไปหมดแล้วซะอีก"

    พวกเจนหันหน้ามามองกันด้วยความตกตะลึง เพราะของชิ้นนี้ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ขนาดคิทซึเนะที่อยู่กับฟีบีตลอดเวลาก็ยังส่ายหน้า ไม่รู้ว่ามังกรน้อยไปได้ของอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่แถมไปอยู่ในร่างของเธอได้ยังไงกัน ถ้าหากนำไปขายในตลาดแล้วล่ะก็ ด้วยความสามารถของอุปกรณ์เวทชิ้นนี้คงไม่อาจตีราคาได้เลย

    "นี่ฟีบีไปได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ แล้วมันทำงานยังไงหรือคะ" เจนถามขึ้น

    "มีคนให้หนูมาน่ะค่ะ" ฟีบีตอบเสียงใสซื่อแต่ทำเอาคนฟังมึนงงตาม ๆ กันไป ถ้าหากจะซักถามคงไม่มีประโยชน์อะไรจึงทำได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้และหันไปฟังเทพอสูรจิ้งจอกหางที่กำลังอธิบายวิธีใช้งานของแก้วข้ามมิติ

    มาเอะที่ถือแก้วข้ามมิติอยู่ก็ค่อย ๆ จับบิดออกมา ทำเอาพวกเจนที่มองดูทำเสียงร้องอย่างหวาดเสียวเพราะคิดว่าสาวงามตรงหน้าจะทำลูกแก้วสุดล้ำค่านี้แตก ทว่าเมื่อมาเอะแบมือออกมาก็พบว่าแก้วข้ามมิติถูกแบ่งออกมาเป็นสองลูก โดยลูกแรกส่องแสงประกายสีฟ้าในขณะอีกลูกส่องประกายแสงสีส้ม

    "วิธีใช้คือนำลูกแก้วลูกใดลูกหนึ่งไปไว้ที่จุดหมายที่ต้องการจะไป จากนั้นก็ใส่พลังเวทลงในลูกแก้วอีกใบก็จะสามารถไปปรากฏยังลูกแก้วอีกใบได้ทันที" ไม่ว่าเปล่า มาเอะก็โยนลูกแก้วสีส้มให้กับเสือซ่อนลายที่ทำหน้าตื่นรับแก้วข้ามมิติมาด้วยความตกใจ จากนั้นเธอจึงชูแก้วข้ามมิติที่อยู่ในมือของเธอขึ้นที่ส่องแสงจาง ๆ ทันใดนั้นแรงที่ร่างของสาวงามพลันสลายเป็นแสงไปประไปปรากฏอยู่เหนือหัวของอัศวินหนุ่มที่อ้าแขนรับแทบไม่ทัน

    "ข้อดีของมันคือไม่จำกัดว่าจะระยะทางไกลเท่าไหร่ก็สามารถเดินทางไปได้ในพริบตา แต่จุดหมายนั้นต้องมีแก้วข้ามมิติอีกลูกอยู่เท่านั้นและคนที่จะไปด้วยกันต้องอยู่ใกล้กับผู้ใช้มาก ๆ ด้วย" มาเอะว่าพร้อมกับก้าวลงพื้นอย่างนุ่มนวลโดยเสือซ่อนลายที่ค่อย ๆ วางร่างบางด้วยความเบามือ ใบหน้าของเขาแดงก่ำอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้ซินจูและไมโกะหันไปหัวเราะคิกคักกับสีหน้าใหม่ของอัศวินหนุ่มผู้นี้



    หลังจากจัดการเตรียมพร้อมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเจนจึงตัดสินใจจะนำเมล็ดพันธุ์บ้านต้นไม้ไปปลูกบนตัวของโอร็อคเลยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พอพวกเจนและมาเอะออกมาจากหุบเขาจิ้งจอกแล้วก็ให้โจเรียกมังกรหินออกมาทันที

    ขนาดของโอร็อคเมื่อเทียบกับหุบเขาจิ้งจอกด้านนอกแล้วยังมีความสูงเทียบไม่ถึงหนึ่งในสามของหุบเขา ถ้าเทียบให้เห็นภาพก็มีความสูงพอ ๆ กับตึกสี่ชั้น แม้ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากับปราสาทในเมืองแต่ก็เหลือเฟือสำหรับคนสิบเอ็ดคน ถ้าหากบ้านต้นไม้ที่กำลังจะขึ้นบนหลังมีขนาดใหญ่พอนะ

    เริ่มจากการให้ฟีบีไปเจรจากับเจ้ามังกรขี้เซาเป็นอันดับแรก เพราะถ้าหากตัวโอร็อคไม่ยินยอม โจเองก็ไม่อยากขัดใจของมันเช่นกัน แต่ทว่าเรื่องราวกับง่ายดายกว่าที่คาดเพราะมังกรน้อยตอบมาว่าเจ้าโอร็อคบอกให้ทำอะไรก็ได้ตามใจเลย ขอแค่ได้นอนก็เป็นพอ

    บนตัวของมังกรหินนั้นกว้างมาจนดูคล้ายกับอยู่บนเนินเขาขนาดเล็ก ถ้าหากไม่เห็นปีกที่ยังคงเป็นหนังและเกล็ดก็คงดูไม่ออกเหมือนกันว่านี่เป็นร่างของมังกร

    บนแผ่นหลังของมังกรหินนั้นส่วนใหญ่จะเป็นหินจนทำให้เป็นการยากที่จะหาจุดที่จะปลูกบ้านต้นไม้ได้ จนเมื่อเดินไปยังบริเวณกลางแผ่นหลังก็พบว่ามีจุดที่เป็นพื้นดินอ่อนนุ่มสามารถขุดได้อยู่และจุดนี้ยังเป็นจุดที่โอร็อคสามารถเหลียวหัวมาได้อย่างพอดีอีกด้วย

    เจนขุดหลุดเล็ก ๆ จากนั้นจึงหย่อนเมล็ดบ้านต้นไม้ลงไปแล้วรดด้วยน้ำของแตงโตวันโตคืนที่คั้นเอาน้ำเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วจากนั้นจึงถอยออกไปรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

    ในเวลาไม่นานผลของแตงโตวันโตคืนที่ช่วยเร่งให้โอร็อคโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วก็ออกฤทธิ์ ต้นอ่อนโผล่ขึ้นมาให้เห็นอย่างช้า ๆ ใบอ่อนของต้นไม้ค่อย ๆ งอกขึ้นราวกับว่ากำลังดูภาพเร่งเวลาให้เห็นถึงการเติบโตของต้นไม้ แต่สิ่งที่เห็นอยู่นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แม้ว่าจะอยู่ในเกมก็ตามแต่การเห็นภาพแบบนี้ต่อหน้าต่อตาก็ชวนตื่นเต้นไม่น้อย

    เพียงพริบตาเดียวจากต้นกล้าต้นเล็กที่สูงไม่กี่ฟุตก็กลายเป็นต้นไม้สูงตระหง่านมาแทนที่ ใบไม้สีเขียวสดผลิใบอยู่เหนือต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีขนาดลำต้นเกือบสิบคนโอบ บริเวณโคนต้นนั้นมีโพรงไม้ธรรมชาติอยู่และนั่นก็คงจะเป็นทางเข้าบ้านต้นไม้อย่างแน่นอน

    "โอ้ อลังการสุดยอดไปเลยนะเนี่ย ว่าแต่มังกรของนายเป็นอะไรหรือเปล่า" ไมโกะส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้นก่อนจะหันไปถามจอมเวทหนุ่มที่ยืนมองตาค้างอยู่เช่นกัน

    "ไม่เป็นอะไรหรอก อย่างที่ข้าบอกแล้วว่าแค่ต้นไม้ต้นเดียวทำอะไรมังกรหินไม่ได้อยู่แล้ว ปกติมังกรหินก็จะมีต้นไม้ขึ้นอยู่บนตัวตอนที่กำลังจำศีลอยู่แล้ว ตัวที่โตเต็มที่บางตัวถึงขนาดแบกป่าเลยนะ" มาเอะอธิบาย และการที่เจ้าโอร็อคไม่มีปฏิกิริยาอะไรก็เป็นการยืนยันคำพูดของเธอ

    เมื่อไม่มีปัญหาอะไรจากนั้นตัวจอมเวทหนุ่มและตัวมังกรหิน มาเอะจึงเดินนำพวกเจนเข้าไปด้านในบ้านต้นไม้

    ด้านในบ้านต้นไม้นั้นกว้างขวางมาก ขนาดพวกเจนเข้ามาด้านในพร้อมกันยังมีพื้นที่ให้เดินไปเดินมาอย่างเหลือเฟือ แถมยังมีเครื่องเรื่องให้พร้อมอย่างโต๊ะและเก้าอี้ไม้ที่เป็นรากงอกขึ้นมาจากบนพื้นไม้หรือเตียงแขวนที่เป็นเถาวัลย์ห้อยอยู่เหนือหัว นอกจากนั้นยังมีบันไดวนไล่ขึ้นไปบนลำต้นอีก ทำให้บ้านต้นไม้ชนิดปลูกในโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ต้นนี้ดูน่าสำรวจไม่น้อย

    "ว้าว!! สุดยอดไปเลย ทั้งกว้างทั้งน่าอยู่ แถมยังอากาศเย็นสบายแบบนี้อาคารในเมืองเทียบไม่ติดเลยนะคะเนี่ย" อามีร่าพูดอย่างตื่นเต้นพลางวิ่งสำรวจไปรอบ ๆ พร้อมกับฟีบี

    "ตรงนี้เป็นห้องนั่งเล่น ส่วนตรงนี้ก็เป็นห้องอาหาร.." เสือซ่อนลายพูดพึมพำกำหนดให้แต่ละห้องที่ตัวเองเห็นใช้ทำอะไรบ้างอย่างเสร็จสรรพ ทำเอาคนที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ คิ้วกระตุกเพราะเล่นไม่ปรึกษาคนอื่นเลย

    "อ๋า! นี่นายทำไมถึงไปกำหนดห้องเอาเองแบบนี้ล่ะ นายเนี่ยน้า" ยูสตาร์ชี้ไปยังอัศวินหนุ่มด้วยความไม่พอใจโดยมีหนูส่งข่าวคอยเสริมโรง

    "จะเอาอะไรทำไมไม่ปรึกษาคนอื่นเลยล่ะพี่ ที่นี่เป็นของพวกเรานะไม่ใช่แค่ของพี่คนเดียว"

    "ฉันไม่ได้คิดจะให้ห้องตรงนี้เป็นอย่างนั้นเลยซักหน่อย ฉันแค่คิดว่าตรงนี้มันเหมาะที่จะทำเป็นห้องอะไรบ้างก็เท่านั้นเอง!" เสือซ่อนลายตอบเสียงดัง ทำเอาไมโกะส่วยหน้าเบา ๆ เพราะสองคนนี้จะทะเลาะกันได้ทุกเรื่องทุกเวลาสิน่า

    "ก็ถือว่าน่าอยู่มากเลยนะ ขาดก็แต่ของตกแต่งอีกหน่อยก็คงจะน่าอยู่มากกว่านี้" มาเอะว่า

    "เอาไว้เป็นหน้าที่หนูกับอามีร่าจะไปเดินซื้อของตกแต่งในเมืองเองค่ะ รับรองว่าที่นี่จะต้องออกมาทั้งสวยทั้งหรูแน่ ๆ" ซินจูเอ่ยปากรับหน้าที่อย่างหนักแน่น

    เจนเองก็รู้สึกประทับใจกับบ้านต้นไม้ไม่น้อย ไม่นึกว่าเมล็ดเล็ก ๆ จะกลายมาเป็นต้นไม้ต้นใหญ่ได้ถึงขนาดนี้ แต่ความจริงแล้วถ้าหากเธอไม่มีแตงโตวันโตคืนช่วยเร่งระยะเวลาเติบโตล่ะก็ คงอีกนานกว่าเมล็ดพันธุ์บ้านต้นไม้จะออกกล้าออกมาเหนือพื้นดิน

    "จากนี้ไปที่นี่ก็จะเป็นที่ทำการกิลด์อัสนีพิสุทธิ์แล้วสินะ ดูใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย" ผู้กล้าในชุดขาวเอ่ย แล้วจึงหันไปมองดูเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางก้มตัวลงไปที่พื้นห้องพร้อมกับวางแก้วข้ามมิติสีส้มเอาไว้ ทันใดนั้นเองพื้นไม้ก็แยกตัวออกและค่อย ๆ กลืนแก้วข้ามมิติจนเหลือแค่ครึ่งลูกให้เห็น

    "เท่านี้เวลาพวกเจ้าจะเดินทางกลับมาที่นี่ก็คงไม่ลำบากแล้วล่ะนะ เพราะยังไงเวลาจะกลับเมืองพวกเจ้าก็มีคัมภีร์เวทอยู่แล้วนี่" มาเอะกล่าว

    เจนหันไปเอ่ยขอบคุณเทพอสูรอย่างใจจริงก่อนที่สาวงามจะขอตัวกลับไปในหุบเขาจิ้งจอกของเธอ



    หลังจากทำการสำรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกคนก็หันมาปรึกษากันถึงเป้าหมายต่อไป

    "ก่อนอื่นพวกเราก็ต้องไปแจ้งเรื่องที่ทำการกิลด์กับอาคารระบบก่อนล่ะนะ" เจนพูดขึ้นเป็นคนแรก เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องจัดการเป็นอันดับแรกเพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาที่ต้องล็อกเอาท์ออกจากเกมแล้ว ถ้าหากไปแจ้งในล็อกอินครั้งหน้ามีหวังโดนค่าปรับหลังอานแน่

    "คงจะต้องเป็นอย่างนั้น แล้วคนอื่นมีธุระอะไรในเมืองบ้างหรือเปล่า" โจถาม

    "หนูกับอามีร่าจะไปหาซื้อเสบียงและก็อุปกรณ์เครื่องครัวมาไว้ในบ้านแล้วก็จะหาซื้อของอย่างอื่นมาตกแต่งที่นี่ด้วยน่ะค่ะ ว่าแต่จะขอแรงพี่แจ็คมาช่วยทางนี้ได้มั้ยคะ" ซินจูถามขึ้น ชายหนุ่มที่ได้ยินก็ทำท่าทางตื่นเพราะเพิ่งเคยโดนผู้หญิงเอ่ยชวนไปด้วยเป็นครั้งแรกแต่ก็พยักหน้ายอมไปด้วยแต่โดยดี

    "ฉันเองก็ต้องกลับเข้าไปในเมืองเหมือนกัน อยากจะรู้จริง ๆ ว่าถ้าพวกหัวขโมยในสมาคมได้เห็นข้อมูลชุดใหม่ของฉันจะทำหน้ายังไงกัน หึหึ” หนูส่งข่าวพูดแล้วหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย

    “ฉันเองก็ไม่มีธุระอะไรในเมืองซะด้วยสิ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอไปเดินเล่นกับซินจูด้วยละกัน” ไมโกะว่าและหันไปหาเสือซ่อนลาย

    “พวกเธอไปเถอะ เอาเป็นว่าฉันจะเฝ้าที่นี่ให้เอง ฉันอยากจะสำรวจดูที่นี่ให้ทั่ว ๆ น่ะ” อัศวินหนุ่มกล่าว ท่าทางชองเขาดูจะสนใจบ้านต้นไม้หลังนี้ไม่น้อยเลย

    “หนูไปด้วย หนูไปด้วย!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟีบีดังขึ้นพร้อมกับเด็กสาววิ่งไปหาเสือซ่อนลาย

    “เอ่อ ถ้าพี่เจนไม่ว่าอะไร หนูขออยู่กับท่านแม่จนกว่าทุกคนจะกลับมาได้หรือเปล่าคะ”

    เจนหันไปหาคิทซึเนะที่มีท่าทีเอียงอายแต่เธอก็พอจะเข้าใจเพราะจากนี้ไปคงใช้เวลาอีกนานกว่าที่จะกลับมายังหุบเขาจิ้งจอกอีกครั้ง ดังนั้นจิ้งจอกสาวจึงอยากจะใช้เวลากับแม่ของเธอให้มากที่สุดก่อนจะออกเดินทางไปกับพวกพี่สาวของเธอ

    ผู้กล้าในชุดขาวพยักหน้าตอบจิ้งจอกสาวที่รีบกลับไปยังหุบเขาจิ้งจอกทันทีเมื่อได้รับคำอนุญาต

    “เอาล่ะพวกเราเองก็ไปกับบ้างดีกว่า” เจนว่าแล้วหยิบใบวาปขึ้นมาก่อนจะฉีกมันส่งตัวเองกลับไปที่เมืองยามะไตโดยมีมังกรน้อยและอัศวินหนุ่มยืนส่งพวกเธอ


    พวกเจนกลับมายังในเมืองยามะไตอีกครั้ง ตอนนี้เวลาเย็น มีคนเดินไปมากอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้กล้ายกฮูดขึ้นปิดบังใบหน้าของตนเองอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายเพราะชื่อเสียงของเธอในตอนนี้ทำให้มีทั้งคนที่มีเจตนาดีและเจตนาร้ายต่างตามหาเธอกันเต็มไปหมด โชคดีที่เธอมีทักษะฮีโร่นิรนามอยู่และเสื้อคลุมตัวใหม่นี้ก็สามารถปิดบังใบหน้าของเธอได้อย่างมิดชิดอีกด้วย

    “เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายไปจัดการธุระของตัวเอง ซักทุ่มหนึ่งแล้วค่อยมาเจอกันที่นี่นะ” โจบอกกับทุกคนแล้วจากนั้นจึงแยกย้ายไปทำธุระของตนเอง

    สำหรับตัวเจนนั้นเลือกที่จะไปกับเพื่อนของเธอ เพราะถ้าหากให้ไปรังหัวขโมยกับหนูส่งข่าวกับไปช้อปปิ้งกับสามสาวที่เอ่ยปากชวนเธอด้วยน้ำเสียงฟังขนลุกที่ต้นคอ เจนเลือกที่จะไปคุยเรื่องน่าเบื่อที่อาคารระบบกับโจยังจะดีซะกว่า

    เมื่อมาถึงอาคารระบบโจก็ตรงไปจัดการเรื่องที่ทำการกิลด์ทันที เจนแอบขำเล็กน้อยตอนที่มองดูใบหน้าของเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่รับงานจัดการให้สำนักงานของกิลด์อัสนีพิสุทธิ์เป็นบ้านต้นไม้ที่อยู่บนหลังมังกรหิน หน้าตาตื่นตกใจของเขาพร้อมกับยกมือขึ้นแตะไปที่หูเป็นสูตรสำเร็จเวลาที่พวกเจนมาใช้บริการอาคารระบบซะทุกครั้งไป

    ไม่นานนักเจ้าหน้าที่คนนั้นก็หันมาตอบโจด้วยท่าทางยิ้มแย้มและก้มหัวลงพร้อมกับที่จอมเวทหนุ่มเดินจากมา

    “เป็นยังไงบ้าง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เจนถามขึ้นมาเห็นโจเข้ามาใกล้

    ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับส่งยิ้มกลับมาหาเธอจากนั้นจึงตอบคำ

    “ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่ตกใจที่พวกเราปลูกบ้านบนสัตว์เลี้ยงของตัวเองน่ะ ก็เลยต้องเสียเวลาตรวจสอบนิดหน่อยแต่ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อย บ้านต้นไม้หลังนั้นเป็นสำนักงานกิลด์ของพวกเราเรียบร้อยแล้ว”

    ทั้งสองเดินออกมาจากอาคารระบบก็จบว่าท้องฟ้าในเวลานี้กำลังกลายเป็นสีแดง ตะวันกำลังค่อย ๆ คล้อยตกลับขอบฟ้าไปแต่ทว่าเวลาในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่นัดกับพวกซินจูและหนูส่งข่าวเอาไว้เลย พวกเธอจึงพากันไปเดินดูของในตลาดเผื่อจะได้เจกับพวกสาว ๆ เนื่องจากไม่รู้จะไปตามหาหนูส่งข่าวได้จากไหน

    ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงระฆังก็ดังกังวานไปทั่วทั้งเมือง เหล่าทหารประจำการอยู่ต่างตื่นตัวขึ้นแล้วรีบวิ่งตรงไปยังทางทิศเหนืออย่างรวดเร็ว

    โจและเจนต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ได้แต่ชะเง้อมองตามผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่กำลังสับสนเช่นกัน ตอนนั้นเองที่มีเสียงตะโกนของทหารดังลอยมาตามลมที่ทำให้ผู้เล่นทั้งหลายยิ้มกริ่มอย่างชอบอกชอบใจ

    “สงคราม!! เกิดสงครามแล้ว!!”

    จบตอนที่ 43 พายุสีดำ


  8. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  9. #58
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    386
    กล่าวขอบคุณ
    41
    ได้รับคำขอบคุณ: 162

    ตอนที่ 44 บ้านต้นไม้บนหลังมังกร

    ตอนที่ 44 บ้านต้นไม้บนหลังมังกร

    ผู้เล่นจำนวนมากวิ่งขึ้นไปบนกำแพงเมืองราวกับคนกำลังวิ่งขึ้นไปบนอัศจรรย์เพื่อชมการแสดงอันน่าทึ่ง เพียงแต่ว่าการแสดงที่กำลังจะเปิดฉากนั้นไม่ใช่การแสดงธรรมดา แต่เป็นบทโหมของไฟสงครามที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า และมันไม่ใช่สงครามระหว่างมนุษย์ แต่เป็นสงครามที่ฝ่ายตรงข้ามคือทัพอมนุษย์ร่างใหญ่นับพัน ๆ ตน

    เจนพยายามมองดูกองทัพมอนสเตอร์ที่กำลังตั้งทัพอยู่นอกกำแพงเมืองให้รู้ว่าตกลงมันเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่เป็นเพราะความสูงของเธอที่มีอยู่ไม่มากทำให้เธอไม่สามารถที่จะมองฝ่าฝูงคนไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เธอพอจะเข้าใจความรู้สึกของปลากระป๋องแล้วล่ะว่ามันรู้สึกยังไง

    "โจ นายมองเห็นหรือเปล่าว่านั่นมันเป็นตัวอะไร" เจนเอ่ยถามผ่านช่องสื่อสารกิลด์

    "แปบนะ..เฮ้ย! อย่ามาเบียดกันสิวะ!" เสียงของจอมเวทหนุ่มดังตอบกลับมา แต่เขาคงจะลืมไปว่าเสียงของเขาตอนนี้คงไม่เข้าหูคงลนที่กำลังเบียดเขาอยู่แน่เพราะมีคนในกิลด์เท่านั้นถึงสามารถได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยในช่องสื่อสารกิลด์

    "พี่เจน เกิดอะไรขึ้นหรือคะ ทำไมตอนนี้ทั้งเมืองดูวุ่นวายไปหมดเลย" เสียงของซินจูดังขึ้น แน่นอนว่าการที่มีกองทัพมาถึงประตูเมืองแบบนี้มันก็ต้องเกิดความวุ่นวายไปทั้งเมืองอยู่แล้ว

    "ดูเหมือนว่ากำลังมีกองทัพมอนสเตอร์มาบุกเมืองน่ะ พวกเธอได้ของที่ต้องการแล้วก็กลับไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันกับโจจะขออยู่ดูสถานการณ์ต่ออีกหน่อย" เจนตอบกลับไป เธอไม่มีทางจะยอมพลาดเรื่องน่าตื่นเต้นแบบนี้แน่นอน

    "เอ๋! ถ้าพวกเราใช้แก้วข้ามมิติกลับไปแล้วพวกพี่จะกลับมาได้ยังไงล่ะคะ"

    "เดี่ยวเรื่องจบเมื่อไหร่ฉันจะติดต่อไปอีกที ถึงตอนนั้นก็ค่อยให้ใครซักคนมารับพวกเราไง" เจนพูดจบแล้วจึงพยายามเบียดร่างผ่านฝูงคนอีกครั้ง

    หลังจากพยายามแทรกผ่านผู้เล่นคนอื่นหลายต่อหลายคนมาได้อย่างยากเย็น ในที่สุดเจนก็มองเห็นว่าตัวอะไรกันแน่ที่กล้ายกทัพเข้ามาบุกเมืองของมนุษย์ที่มีผู้คนนับแสนเช่นนี้ ร่างขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อภาสใต้ชุดเกราะเหล็กสานแบบตะวันออก อาวุธที่ถือในมือก็เป็นอาวุธขนาดใหญ่กว่าปกติมากไม่ว่าจะเป็นดาบ กระบองหนามและหอกขนาดใหญ่แต่ก็ดูเหมาะกับพวกมันที่มีความสูงกว่าสองเมตร เจนเคยเห็นร่างใหญ่พวกนี้มาก่อนจากโลกภายนอก มันคือยักษ์ของประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเรียกกันว่า "โอนิ"

    โอนิ ยศขุนนาง เลเวล 70

    ใบหน้าดุร้ายพร้อมกับเขี้ยวที่ออกมาจากปากและเขาสองข้างบนหัวก็สามารถทำให้เกิดความหวาดกลัวไปทั่วในหมู่ชาวเมืองที่ได้เห็นพวกมันแล้ว แต่ว่ากลับเกิดผลตรงกันข้ามกับผู้เล่นซึ่งแทบจะพุ่งลงไปสู้ด้วย ถ้าหากไม่ติดที่กองทหารของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่คอยกันไม่ให้ผู้เล่นกระโดดลงจากกำแพงเมืองคงเกิดสงครามไปแล้ว

    "โอนิพวกนี้ท่าทางแข็งแกร่งหน้าดู นอกจากพละกำลังแล้วไม่รู้ว่าจะมีความสามารถอะไรอย่างอื่นอีก" โจพูดขึ้นขณะที่เจนเคลื่อนตัวมาอยู่ข้าง ๆ

    เจนเองก็เห็นด้วยกับความคิดของโจเพราะนอกจากรูปร่างแล้ว สีผิวของโอนิแต่ละตัวเองก็แตกต่างกันจนน่าสงสัย บางตัวมีผิวสีแดง บ้างก็มีสีเขียวหรือสีน้ำเงินยืนปนกันโดยที่แต่ละทัพไม่ได้แบ่งแยกสี เมื่อสังเกตดูดี ๆ ก็พบว่าอาวุธที่ถือก็แบ่งไปตามสี โดยสีแดงนั้นจะถืออาวุธโจมตีระยะประชิดอย่างดาบหรือกระบองหนาม ส่วนสีน้ำเงินจะถือหอกยาว ส่วนสีเขียวนั้นเป็นธนูคันใหญ่

    ในขณะที่ภายในเมืองกำลังวุ่นวายกับการจัดกองทัพเตรียมพร้อมรบอยู่นั้นเอง ด้านนอกเมืองกลับยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย กองทัพโอนิเพียงแค่ยืนประจำที่อยู่เฉย ๆ ไม่มีทีท่าจะเข้าบุกตีเมืองแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเหล่าโอนิพวกนี้ต้องการอะไรหรือกำลังรออะไรอยู่กันแน่

    "พวกจีโอมากันโน้นแล้วล่ะ" เสียงของหนูส่งข่าวดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของหัวขโมยหนุ่ม ทำเอาเจนตกอกตกใจหมด

    "เฮ้ย! นี่นายไม่ได้กลับไปพร้อมกับพวกซินจูหรอกเหรอ" เจนถามเสียงดัง

    "ฉันบอกให้พวกนั้นกลับไปก่อนเองแหละ กองทัพโอนิบุกเมืองหลังจากที่เทพอสูรออกมาจากผนึก เรื่องนี้มันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่ ๆ ไม่มีทางที่ฉันจะยอมพลาดเรื่องอย่างนี้หรอก พวกเธอก็ด้วยใช่มั้ยล่ะ" หนูส่งข่าวแยกเขี้ยวยิ้มพลางชะโงกมองลงไปดูกองทัพยักษ์ด้วยความสนอกสนใจ

    เจนถอนหายใจออกมาให้กับความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนคนนี้ที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ แต่มันก็เหมาะกับเขามากและสิ่งที่เขารู้ก็ช่วยเจนเอาไว้ได้หลายต่อหลายครั้งทีเดียว บางทีดวงตาของหนูส่งข่าวอาจจะมองเห็นในสิ่งที่เจนมองไม่เห็นก็ได้

    หันไปตามที่หัวขโมยหนุ่มบอก เธอเห็นจีโอและหย่งฟางพร้อมกับกองทัพในชุดเกราะสีแดงคล้ายกับชุดเกราะของจีโอกำลังเดินทัพมา เช่นเดียวกับทัพในชุดเกราะสีขาวของหย่งฟางโดยรวมแล้วหลายหมื่นคน เพียงแค่วัดจากสายตาก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือกองทัพแห่งยอดฝีมือที่อาจจะมีความเก่งกาจมากพอจนสามารถต่อกรกับทัพผู้รุกรานได้ แต่เจนเองก็ยังไม่คิดจะปักใจเชื่อจากที่เห็นถ้าหากยังไม่รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของโอนิกับตา

    ไม่นานนักหย่งฟางก็ตะโกนเสียงดังให้เหล่าผู้เล่นที่อยู่รอบ ๆ หันไปสนใจ

    "ทุกคนฟังทางนี้! ผมมีชื่อว่าหย่งฟาง เป็นตัวแทนจากกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ที่มีสิทธ์ในการคุ้มครองเมืองยามะไตแห่งนี้ ขอให้ทุก ๆ คนโปรดถอยห่างออกจากบริเวณประตูเมืองด้วย!"

    เพียงแค่พูดจบ หัวหน้ากิลด์หนุ่มผู้นี้ก็ถูกส่งเสียงโห่ร้องในทันที ผู้เล่นข้างกายเจนตะโกนใส่หย่งฟางด้วยความไม่พอใจเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

    "ฉันคิดเอาไว้แล้วเชียวว่าจะต้องมีเรื่องแบบนี้ขึ้น" หนูส่งข่าวพูดขึ้น เจนหันไปถามทันทีด้วยความสงสัย

    "อะไรงั้นหรือ หย่งฟางทำอะไรงั้นหรือ"

    "ก็นี่ไง หมอนั่นกำลังใช้อำนาจของกิลด์ที่ปกครองเมืองนี้กีดกันผู้เล่นไม่ให้เข้าไปสู้กับทัพโอนิ นั่นหมายความว่าผลประโยชน์อะไรก็ตามอย่างพวกอาวุธของของที่ตกจากเจ้าพวกโอนิจะกลายเป็นของกิลด์ราชาพยัคฆ์เท่านั้น" หนูส่งข่าวอธิบาย

    "นี่เป็นเรื่องปกติที่กิลด์เจ้าของเมืองจะต้องทำอยู่แล้วเพื่อผลประโยชน์ของกิลด์ ไหนจะยังเป็นเรื่องมอนสเตอร์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนอย่างโอนิอีก” โจเสริม “ไม่รู้ว่าจะให้ของอะไรบ้าง ดูดาบนั่นสิ เผลอ ๆ คงมีพลังโจมตีสูงกว่าดาบอสูรคลั่งของเสือซ่อนลายอีก"

    เสียงโห่ร้องของเหล่าผู้เล่นยังคงดังอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งหย่งฟางยกมือขึ้นปรามลง ในเวลาไม่นานเสียงจึงค่อยซาลง "ถึงแม้ว่าการปกป้องเมืองจะเป็นหน้าที่ของพวกเรา แต่ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ทว่าผมเองก็ไม่อาจจะปล่อยให้ทุกคนเข้าไปสู้โดยไร้แบบแผนได้เช่นกัน ดังนั้นจึงขอให้ผู้เล่นทุกคนที่ไม่ใช่กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่มารวมตัวกันที่ใจกลางเมืองเพื่อลงทะเบียนเป็นทัพหน้า โดยให้ซึบากิ ผู้ที่เป็นถึงรองหัวหน้ากิลด์วิหคเทเวศผู้นี้เป็นผู้นำทัพ"

    พูดจบแล้วเขาก็ผายมือไปยังสาวร่างสูงที่ออกมายืนอยู่ข้าง ๆ ตัวของหย่งฟาง เจนยังจำซึบากิได้ดีจากที่เคยร่วมมือกันสู้ในสมรภูมิหนองน้ำที่เธอเป็นคงทำลายจนวินาศสิ้น

    "พวกนั้นกำลังจัดตั้งกองทัพแล้ว พวกเราจะลองเข้าไปร่วมมือกับซึบากิดูกันดีมั้ย" เจนเสนอความเห็น แต่สองหนุ่มกลับมีความเห็นคนละอย่างกับเธอ

    "อย่าดีกว่าเจน ศึกนี้ถึงสู้ไปก็ไม่มีประโยชน์กับพวกเราซักเท่าไหร่ อีกอย่างกิลด์ของเราตอนนี้ก็ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าหากทุกคนรู้ว่าผู้กล้าในชุดขาวอยู่ในกิลด์ของเราขึ้นมาแล้วล่ะก็จะต้องถูกจับตามองในฐานะกิลด์ที่มีความสำคัญแน่ พอถึงตอนนั้นแล้วเวลาพวกเราไปไหนมาไหนก็จะลำบาก เพราะฉะนั้นตอนนี้พวกเราควรจะทำตัวเงียบ ๆ เอาไว้ก่อนเพื่อความสะดวกของทุกคนจะดีกว่า" โจบอกพลางกระชับฮูดคลุมหัว แม้จะไม่มีใครได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนอ่านริมฝีปากได้

    ถึงจะไม่ค่อยพอใจแต่เจนก็ต้องยอมทำตาม เพราะเธอมองการไม่ไกลเท่ากับเพื่อนคนนี้ถึงได้ยกให้โจเป็นหัวหน้ากิลด์ ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้ในหัวของโจจะคิดอะไรอยู่ บางทีเขาอาจจะมองเห็นภาพรวมทั้งหมดของอนาคตของกิลด์อัสนีพิสุทธิ์แล้วก็เป็นได้ ทางที่ดีเธอควรจะเชื่อใจของโจไปก่อน ถึงยังไงก็ใช่ว่าพวกซึบากิจะไร้ฝีมือซะที่ไหน

    การจัดทัพของซึบากินั้นจัดขึ้นง่าย ๆ โดยให้ผู้เล่นแต่ละสายอาชีพแบ่งเป็นชั้น ๆ โดยชั้นหน้าสุดเป็นพวกเข้าปะทะและพวกลุยอย่างเดียว ส่วนชั้นต่อมาเป็นสายเวทมนตร์ทั้งสนับสนุนและเวทมนตร์โจมตี และอยู่ด้านหลังสุดจะเป็นพวกที่โจมตีระยะไกลอย่างปืนหรือธนู และเพิ่มพิเศษด้วยผู้เล่นสายเวทที่มีเวทโจมตีเป็นบริเวณกว้างซึ่งต้องใช้เวลาในการร่ายอยู่พอสมควร

    ไม่นานนักผู้เล่นบนกำแพงเมืองก็หายไปจนเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนที่ไม่ต้องการจะเข้าไปสู้ในศึกนี้ ไม่นานนักทหารประจำเมืองก็ขึ้นมาประจำการบนกำแพงพร้อมกับผู้เล่นในทัพของหย่งฟางที่เจนสังเกตได้ทันทีเพราะสวมชุดเกราะสีขาวเช่นเดียวกัน ทั้งสามรีบหลบไปก่อนเพราะยังไม่อยากจะพบกับหย่งฟางในตอนนี้ เจนยังไม่อยากอธิบายเรื่องราวในการพบกันครั้งล่าสุดของเธอและชายคนนี้

    หลังจากทัพหน้าที่นำโดยซึบากิจัดทัพเสร็จ ประตูเมืองก็ถูกเปิดออกพร้อมกับหญิงสาวสั่งเดินทัพออกไปนอกเมือง เพื่อที่จะเผชิญหน้ากับเหล่าอสูรยักษ์ที่กำลังยืนนิ่งราวกับว่ากำลังรอคอยพวกเธออยู่

    เมื่อออกมาแต่ทัพของโอนิก็ยังไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด ซึบากิเองก็ไม่ทราบเหตุผลแต่ก็ระมัดระวังเต็มที่ ดาวกระจายขนาดยักษ์ถูกหยิบออกมาเตรียมพร้อมต่อสู้ สัญชาติญาณถูกเร่งขึ้นมาเต็มที่ เมื่อเข้ามามองใกล้ ๆ ก็พบว่าขนาดของโอนิแต่ละตัวนั้นสูงกว่ามนุษย์มากจนชวนรู้สึกหวั่นใจ ขนาดตัวซึบากิเองที่ถือว่าเป็นคนที่มีความสูงอยู่พอควรยังเทียบได้เพียงแค่หน้าอกของโอนิเท่านั้นเอง

    แม้ว่าซึบากิไม่อยากจะเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อนเพราะยังไม่รู้ถึงความสามารถของทัพฝ่ายตรงข้าม แต่กองทัพที่เธอบัญชานั้นมีเพียงแค่กลุ่มสมาชิกกิลด์วิหคเทเวศที่ยังอยู่ในเมืองและผู้เล่นไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนที่เหลือของกองทัพกระหายพร้อมที่จะทำสงครามทุกเมื่อโดยที่ไม่สนใจเลยว่าเลเวลของตนห่างชั้นกับโอนิมากแค่ไหน และซึบากิก็ไม่รู้ว่าจะถ่วงเวลาให้พอที่จะสำรวจศัตรูไปได้อีกนานเท่าไหร่

    การจัดกองทัพของโอนินั้นค่อยข้างหยาบและคล้ายกับกองทัพหน้าของซึบากิ ที่ต่างกันก็คือกองทัพของโอนิไม่มีจอมเวทเลยแม้แต่ตัวเดียว และอีกอย่างที่สำคัญพอกันก็คือไม่เห็นโอนิตนใดที่ดูท่าทางเหมือนผู้นำทัพเลยเช่นกัน

    แม้กองทัพหน้าที่รวมผู้เล่นภายในเมืองจะมีจำนวนมากและมีผู้บังคับบัญชาที่เก่งกาจอย่างซึบากิ แต่ทว่าเป็นเพราะการรวมตัวอย่างเฉพาะกิจจึงทำให้ผู้เล่นแต่ละคนไม่มีคิดจะทำตามคำสั่งของซึบากิได้นานนัก ในระหว่างที่ซึบากิกำลังประเมินความสามารถของทัพโอนิอยู่นั้นเอง ก็มีลูกธนูที่มีพลังสีแดงเพลิงหุ้มเอาไปอยู่อย่างเข้มข้นพุ่งเข้าใส่โอนิตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ทัพหน้า

    เจนไม่เคยเห็นธนูที่มีพลังหุ้มอยู่แบบนี้มาก่อนแต่พนันได้ว่ามันต้องรุนแรงมากกว่าธนูปกติอย่างแน่นอน เธอได้ยินเสียงร้องอุทานของใครหลาย ๆ คนที่สังเกตเห็นธนูดอกนั้น แต่เพียงแค่เสียงมันไม่สามารถหยุดธนูที่พุ่งออกไปแล้วได้

    แทนที่ลูกธนูจะปักเข้าที่กลางหัวของโอนิอย่างแม่นยำ เมื่อกระทบเข้ากับร่างของโอนิมันกลับแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ โดยที่ผิวของโอนิตนนั้นเองไม่มีรอบขีดข่วนเลยแม้แต่น้อย ภาพของลูกธนูที่กลายเป็นเศษไม้ร่วงลงสู่พื้นดินทำให้เหล่าผู้เล่นทุกคนที่เห็นถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลาย เห็นทีศึกนี้คงไม่ใช่ง่าย ๆ อย่างที่คิดเอาไว้ซะแล้ว

    เสียงหัวเราะในลำคอของเหล่าโอนิดังขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหวของกองทัพยักษ์แห่งแดนอาทิตย์อุทัย โอนิที่อยู่แถวหน้าโบกอาวุธไปมาและออกตะกุยเท้าตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วในขณะที่โอนิแถวหลังที่ถือธนูเตรียมขึ้นศร เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้วซึบากิจึงไม่มีทางเลือกอื่นอีก เธอรีบสั่งการลงไปให้ทุกคนรีบโจมตีก่อนจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที

    เวทมนตร์จำนวนมากถูกปลดปล่อยออกมาใส่กองทัพโอนิอย่างไร้ความปราณี ลูกไฟ สายฟ้า เสาน้ำแข็งพุ่งห้ำหั่นหมายจะปลิดชีวิตยักษ์เหล่านี้ ทว่าสิ่งที่เวทมนตร์ทำได้กลับเป็นบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีโอนิตนไหนตายจากการโจมตีเมื่อครู่เลยแม้แต่ตนเดียว

    เมื่อโอนิเข้าปะทะกับเหล่าผู้เล่นแถวหน้า ความแตกต่างของพลังแสดงให้เห็นออกมาทันทีเมื่ออัศวินคนหนึ่งถูกกระบองหนามฟาดเข้าเต็มแรงจนร่างลอยกระเด็นไปไกลก่อนจะสลายเป็นแสง การโจมตีที่รุนแรงถึงฆ่าผู้เล่นสายต่อสู้ระยะประชิดได้ในครั้งเดียวของโอนิทำให้ผู้เล่นคนอื่นถึงกับแตกตื่นและถอยกันไม่เป็นขบวน

    มีเพียงกองกำลังของซึบากิและผู้เล่นไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่เกาะกลุ่มกันต้านทานกองทัพโอนิเอาไว้ได้ แต่สถานการณ์ก็เลวร้ายลงอย่างรวดเร็วเพราะการโจมตีของพวกเธอแทบทำอะไรไม่ได้เลย จนตอนนี้เป็นฝ่ายทัพโอนิที่ไล่บี้กองทัพของมนุษย์เพียงฝ่ายเดียว

    "มีทั้งพละกำลังเหนือมนุษย์แล้วยังมีผิวหนังที่ป้องกันการโจมตีทั้งจากอาวุธและเวทมนตร์ แบบนี้พวกทัพหน้าไม่มีทางเอาชนะได้แหง ถูกไล่ฆ่าอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้" โจวิเคราะห์

    "แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปถึงกองทัพของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ออกมาก็สู้พวกโอนิไม่ได้อยู่ดี ถ้าเป็นอย่างนั้นเมืองคงได้พินาศแน่" เจนเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ถึงผู้เล่นจะสามารถคืนชีพได้ เมืองจะสร้างใหม่ได้ แต่ชีวิตของชาวเมืองนั้นเธอไม่คิดว่าจะเอากลับมาได้เหมือนกับอย่างอื่น

    "ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เธออย่าเพิ่งดูถูกพวกกิลด์ใหญ่เลยดีกว่า แล้วอีกอย่างลองดูหมอนั่นสิ ยังตีหน้ายิ้มออกมาได้แบบนั้นได้คงจะมีแผนอะไรอยู่ในหัวแล้วแน่ ๆ" หนูส่งข่าวว่าพร้อมกับชี้ไปยังจีโอที่ยิ้มหน้าระรื่นราวกับว่าความแข็งแกร่งของโอนิที่แสดงออกมาไม่ได้มีความหมายสำหรับเขาเลย

    เจนมองดูใบหน้าของชายหนุ่มที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยมแต่เธอเองก็ยังคงรู้สึกกังวลอยู่ในใจไม่น้อย ถ้าหากว่าเขาเป็นอะไรไปเธอคง... เดี๋ยวนะ นี่เธอกำลังเป็นห่วงจีโองั้นหรือ!?

    หญิงสาวหน้าขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าเผลอคิดอะไรไป เธอสะบัดหน้าไล่ความติดนั้นออกไปและหันไปจดจ่อกับศึกตรงหน้าที่ตอนนี้กองทัพหน้าของซึบากิที่จากเดิมมีอยู่เป็นพันคน แต่ตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งในขณะที่มีโอนิตายไปเพียงไม่กี่ตนเท่านั้น จนกองกำลังทหารของเมืองและกองกำลังของหย่งฟางที่ประจำอยู่บนกำแพงเมืองต้องช่วยยิงสกัดลูกธนูและเวทมนตร์ระดับสูงใส่จนโอนิต้องถอยกลับไปชั่วครูทำให้มีเวลาพอที่จะให้ทัพหน้ากลับมาหลบภายในเมือง

    "ดูท่าทางคงถึงตาจีโอออกมาสู้แล้วล่ะ ถ้าไม่ใช่หมอนั่นเมืองแตกแน่" โจคาดการณ์

    "แต่ถ้าเปิดประตูเมืองก็เท่ากับปล่อยให้โอนิมาในเมืองนะ ดูนั่นสิ" เจนชี้ไปยังบริเวณหน้าประตูเมืองที่ตอนนี้มีโอนิจำนวนมากกำลังทำลายประตูไม้ด้วยอาวุธของตน แม้ประตูเมืองจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตามแต่ ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของโอนิ คงใช้เวลาไม่นานก็แน่ใจว่าประตูเมืองจะต้องพลังทลายอย่างแน่นอน

    บนกำแพงเมืองก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ธนูที่เหมือนดั่งหอกเหล็กพุ่งเข้าโจมตีทหารราวกับห่าฝน ธนูที่โอนิยิงมาแม้จะมีขนาดใหญ่กว่าปกติแต่ก็มีความเร็วไม่ต่างจากธนูธรรมดาเลยจนพวกเจนเองแทบหาที่หลบไม่ทัน

    ทว่าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง ชายคนหนึ่งยังคงยืนนิ่งขณะที่คนอื่นรอบกายเขากลับหาที่หลบลูกธนูยักษ์กันจ้าละหวั่น เพียงแค่เอี้ยวตัวเพียงเล็กน้อยจีโอก็หลบลูกธนูได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ได้ก้าวออกจากขุดที่ยืนอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

    ผ้าคลุมถูกปลดออกให้เห็นชุดเกราะสีแดงที่เจนเคยเห็นมาแล้วอีกครั้ง ถึงแม้ตัวจีโอจะไม่หลบธนูเหล่านี้แต่เจนก็แน่ใจว่าคงไม่มีการโจมตีใดของโอนิจะสามารถทะลุผ่านเกราะของจีโอไปได้อย่างแน่นอน

    ทันใดนั้นเองเขาก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดเมื่อจีโอกระโดดลงจากกำแพงเมืองออกไปด้านนอกที่มีทัพโอนิกำลังอาละวาดอยู่ ดาบสีแดงเล่มยักษ์ถูกเรียกออกมาจากอากาศธาตุพร้อมกับฟาดลงไปยังโอนิที่อยู่ตรงหน้า

    ตูม!!!

    ไม่เพียงแค่ดาบของจีโอสามารถสร้างบาดแผลให้กับโอนิได้ แต่ยังสามารถปลิดชีพได้ในดาบเดียว นอกจากนั้นเมื่อดาบกระทบพื้นแล้วยังระเบิดออกมาเป็นวงกว้าง โอนิที่อยู่รอบ ๆ กระเด็นไปไกลจนบริเวณประตูเมืองที่อยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้พังรอดจากการถูกทำลายมาได้อย่างหวุดหวิด

    "เปิดประตู!!" เสียงของทหารบนกำแพงเมืองคนหนึ่งสั่งการเมื่อเห็นว่าปลอดภัยที่จะเปิดประตูเมืองแล้ว

    เมื่อประตูเมืองเปิดออก กองทัพทหารในชุดเกราะสีแดงก็ก้าวออกมาจากเมืองอย่างพร้อมเพรียงกันราวกับเป็นทหารที่ฝึกมาอย่างดี อาวุธและชุดเกราะที่พวกเขาสวมใส่ก็ดูแข็งแกร่งกว่าของผู้เล่นทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ยังไม่ต้องพูดถึงความสามัคคีและจำนวนคนที่ทัพหน้าของซึบากิเทียบกันไม่ได้เลย เจนหวังว่าทหารพวกนี้คงจะสามารถรับมือโอนิได้บ้างเพราะถึงจีโอจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็เป็นเพียงแค่คน ๆ เดียว คงไม่อาจจะไปสู้กองทัพอมนุษย์นับพันได้

    เหล่าโอนิที่เห็นมนุษย์ผู้ที่สังหารพวกมันได้ในดาบเดียวก็เริ่มแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก และมันก็รู้สึกได้ว่าทหารพวกที่มาใหม่นั้นก็มีฝีมือไม่ธรรมดาเช่นกัน การต่อสู้จากนี้ไปคงไม่ง่ายดายสำหรับพวกมันอีกต่อไปแล้ว

    ครั้งนี้เหล่าโอนิไม่รอให้กองทัพหลักของจีโอจัดแถวให้เสร็จ ยักษ์ทุกตนต่างพุ่งเข้าใส่พร้อมยกอาวุธฟาดฟันหมายจะบดขยี้ศัตรูให้สิ้น ทว่าก่อนจะมาถึงตัวของเหล่าทหารในชุดเกราะแดงก็มีห่าธนูที่มีแสงสีขาวห่อหุ้มพุ่งลงมาสกัดเอาไว้ซะก่อน ครั้งนี้แทนที่ลูกธนูจะแตกเป็นชิ้น ๆ เหมือนครั้งที่ลูกธนูสีแดง แต่เหล่าลูกธนูสีขาวกลับเหล่านี้กลับแทงทะลุผิวหนังที่หนาราวกับชุดเกราะของโอนิได้อย่างง่ายดาย

    มองขึ้นไปบนกำแพงก็ไม่ได้เป็นใครอื่นไปได้นอกจากตัวหย่งฟางที่กำลังสั่งการพลธนูในทัพของเขารวมถึงทหารประจำเมืองด้วย โดยธนูที่พวกเขายิงออกมานั้นเป็นเพียงแค่ธนูธรรมดาเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้มันเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายเช่นนี้ได้อยู่ในมือของผู้นำทัพ เมื่อหย่งฟางยกมือขึ้นเตรียมให้สัญญาณก็มีแสงสีขาวปรากฏที่มือของเขา และพร้อมกันนั้นเองลูกธนูของทหารนับพันก็ส่องสว่างเช่นเดียวกันด้วย

    "ยิง!!" เสียงของหย่งฟางจะโกน ลูกธนูพิฆาตอีกระรอกก็พุ่งเข้าโจมตีอีกครั้งจนเหล่าโอนิต้องร่นถอยไปอีกครั้งเพราะไม่อาจทนรับการโจมตีต่อไปได้อีก ทำให้กองทัพของจีโอสามารถจัดทัพพร้อมศึกได้อย่างราบรื่น ไร้ปัญหา

    "ให้กองทัพของจีโอที่มีพลังในการทะลุทะลวงและพลังป้องกันสูงเป็นฝ่ายรุก และในขณะเดียวกันก็ให้หย่งฟางที่มีพลังในการสนับสนุนการโจมตีของคนรอบ ๆ คอยป้องกันเมืองเอาไว้ แบบนี้ถ้าพวกโอนิไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์อีกก็คงฝ่าพวกนั้นมาไม่ได้แล้วล่ะ" โจพูดขึ้น แม้แผนการจะพื้น ๆ แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนต่างเป็นผู้เล่นที่มีฝีมือสูงพอสมควร ทำให้การป้องกันที่ดูเหมือนไม่แข็งแกร่งอะไรนัก กลายเป็นการป้องกันที่ไร้เทียมทานขึ้นมาทันที

    แม้ว่าในตอนแรกนั้นกองทัพของจีโอจะได้เปรียบเพราะกองทัพของเขาทั้งฝีมือ อาวุธและชุดเกราะรวมไปถึงความสามัคคีที่เหนือกว่าการรวมตัวเฉพาะกิจของเหล่าผู้เล่นในทัพหน้ามาก ทำให้สามารถทั้งรุกและรับการโจมตีของโอนิได้อย่างสูสี แต่ทว่าความแข็งแกร่งของเหล่าโอนินั้นก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และมันยังมีทีเด็ดที่จีโอและหย่งฟางไม่รู้ซ่อนอยู่อีก

    "อ้ากกกกก!!" เสียงตะโกนอย่างเดือดดาลของโอนิดังลั่นไปทั่วสนามรบ เหล่าโอนิทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่าตกใจราวกับว่าก่อนหน้านี้พวกมันไม่ได้สู้อย่างเอาจริงเอาจังเลยแม้แต่น้อย จนทัพของจีโอต้องใช้คนถึงสิบคนช่วยกันจัดการโอนิต่อหนึ่งตนถึงจะพอสู้ได้ ทว่านั่นก็ทำให้ผู้บาดเจ็บมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกองทัพของมนุษย์กลับมาเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกครั้ง

    แม้จีโอจะสามารถรับมือโอนิที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่เมื่อโอนิกว่าสิบตัวเข้ามารุมโจมตีเขาเพียงคนเดียวแบบที่วิธีทหารในทัพของเขาใช้จัดการเหล่าโอนิก็ทำเอาหืดขึ้นคอ ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปเห็นทีเขาเองก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน

    พวกเจนทั้งสามคนที่เห็นภาพของโอนิกำลังไล่บี้กองทัพของเหล่ามนุษย์อีกครั้งหนึ่งก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ นึกไม่ถึงว่าอมนุษย์พวกนี้จะมีพลังที่แอบซ่อนอยู่อีกจริง ๆ จะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าหากยังมีพลังอย่างอื่นที่ซ่อนอยู่ในร่างของโอนิเหล่านี้อีก

    ในขณะที่สถานการณ์ในสนามรบกำลังคับขัน ด้านบนกำแพงเมืองก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก พลังแสงสีขาวที่ใช้เสริมพลังอาวุธของหย่งฟางนั้นแทบจะไม่มีประโยชน์เมื่อพบกับโอนิที่เพิ่มพลังขึ้นมาเช่นนี้ ถึงทั้งตัวเขาและจีโอยังแสดงฝีมือออกมายังไม่ถึงครึ่งก็ตาม ทว่าจะใช้พลังเต็มที่ตอนนี้ก็คงไม่แคล้วมีโอกาสที่พวกโอนิจะบุกเข้ามาในเมืองได้แน่ นับว่าศึกนี้พวกเขาประมาทไปจริง ๆ ที่ประเมินศัตรูผิดพลาดและเก็บงำฝีมือเอาไว้เช่นนี้

    ชายหนุ่มชักดาบออกมาทำท่าจะลงไปช่วยเพื่อนของตน แต่ก่อนที่จะได้ขยับไปไหนก็มีมือเรียวพุ่งมาจับมือของหย่งฟางไม่ให้ชักดาบออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าผู้ที่ยืนต่อหน้าเขานั้นเป็นหุ้นส่วนของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ผู้ที่ปกครองเมืองแห่งนี้อยู่อีกครึ่งหนึ่ง

    เธอเป็นหญิงสาวร่างสูงมีผมดำขลับ ดวงตาสีแดงเป็นประกายโดยมีใบหน้างามเป็นทรงช่วยทำให้ดวงตาเด่นขึ้นมาอีก ชุดที่เธอสวมอยู่เป็นชุดคลุมทำจากผ้าสีขาวบางยาวลากพื้นไปพร้อมกับเส้นผมของเธอ ความงามบนใบหน้าของเธอทำเอาหย่งฟางใจเต้น ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ยังไม่ชินซักที

    การปรากฏตัวของหญิงสาวผู้นี้ทำให้ทหารบริเวณรอบ ๆ ต่างตกตะลึงให้กับทั้งความงามและฐานะของเธอ แต่กับทหารประจำเมืองนั้นแทบจะเอาหัวกระแทกพื้นเพื่อจะแสดงความน้อมน้อมที่มีให้ต่อหญิงสาวผู้นี้

    ทหารในสนามรบเองก็รับรู้ถึงการปรากฏตัวของหญิงสาวในอาภรณ์สีขาวและจีโอเองก็พอจะเดาได้ว่ากำลังจะมีอะไรตามมาซึ่งในหัวของเขาตอนนี้คิดอยู่เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือพาพรรคพวกของตนออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ความคิดนี้ไม่โผล่ขึ้นมาในหัวของเขาบ่อยนักแต่เผอิญว่าครั้งนี้จีโอรู้ว่าทางเลือกนี้เป็นทางเลือกดีที่สุดแล้ว

    ชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงหยิบนกหวีดขึ้นมาเป่า แต่เสียงที่ออกมานั้นมันช่างเบาบางจนแทบไม่มีใครได้ยิน ทว่าคนในกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ทุกคนได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจนและรีบร่นถอยไปที่หน้าประตูโดยไม่สนใจโอนิอีกต่อไป ส่วนด้านยักษาก็เร่งรุกบุกเพราะคิดว่าที่มนุษย์พวกนี้ถอยหนีเป็นเพราะรู้ว่าสู้พวกตนไม่ได้แล้ว โดยที่ไม่คิดเลยว่าตนเองจะเจอเข้ากับสิ่งที่ไม่ควรตอแยด้วย

    ยังไม่ทันที่จีโอและกองทัพของเขาจะไปถึงบริเวณประตูเมือง หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวก็ชูมือขึ้นเหนือหัวพร้อมกับร่ายเวท พริบตาเดียว ลูกเพลิงที่ร้อนระอุดังดวงอาทิตย์พลันปรากฏขึ้นมากลางอากาศ แสงของลูกเพลิงนั้นสว่างจ้าจนไม่อาจมองได้ด้วยตาเปล่า เจนรู้สึกได้ถึงความร้อนของมันแม้เธอจะอยู่ห่างจากหญิงสาวคนนั้นมากก็ตาม เจนแน่ใจว่าชุดของเธอไหม้เล็กน้อยเพียงจากยืนมองลูกเพลิงลูกนี้

    ก่อนที่ศัตรูจะได้มีโอกาสรู้ตัว หญิงสาวก็ส่งลูกเพลิงพุ่งเข้าใส่ทัพโอนิอย่างรวดเร็ว พลังของเธอมหาศาลจนไม่มีโอนิตนไหนสามารถหนีรอดไปจากอาณาเขตเพลิงที่ทุกอย่างลุกไหม้ในพริบตาเมื่อลูกเพลิงของหญิงสาวผู้นี้สัมผัส ผิวหนังหนาและชุดเกราะเหล็กไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเมื่อพบกับพลังขนาดย่อม ๆ ของพระอาทิตย์

    พริบตาเดียว กองทัพโอนิที่แข็งแกร่งก็กลายเป็นเถ้าถ่าน รวมไปถึงพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ประตูเมืองที่มีไฟลุกไหม้ทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้กระทั่งก้อนหินที่รอดจากการปะทะ

    "ในที่สุดก็ออกมาให้เห็นแล้วสิ ราชินีแห่งดวงอาทิตย์ผู้ปกครองเมือง ราชินีฮิมิโกะแห่งยามะไต" หนูส่งข่าวกระซิบบอก

    เจนไม่เคยได้ยินเรื่องราวของราชินีแห่งดวงอาทิตย์ผู้นี้มาก่อนแต่จากที่เห็นก็พอจะรู้ว่าเธอทรงพลังมากแค่ไหน เธอคงจะมีพลังใกล้เคียงกับมอนสเตอร์ยศเทพอสูรมากทีเดียว

    "เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าคนที่ปกครองเมืองมีพลังมหาศาลขนาดนี้แล้วพวกจีโอเอาชนะมาได้ยังไงกัน" เจนถามด้วยความสงสัย เพราะแค่เจอพลังเมื่อกี้เข้าไปแค่ครั้งเดียวก็ไม่มีทัพใดต่อกรกับราชินีฮิมิโกะได้แน่

    "ก็กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ไม่ได้ใช้กำลังยึดเมืองนี้ไงล่ะ หย่งฟางเป็นคนเจรจากับราชินีฮิมิโกะ จากนั้นก็ส่งคนในกิลด์เข้ามาช่วยดูแลผู้เล่นในเมืองให้ ขณะที่ตัวหย่งฟางเองก็อยู่ดูแลเมืองลั่วหยางและจีโอก็ดูแลเมืองซีโป เป็นสามเหลี่ยมแห่งอำนาจในทวีปอัลเทเชียไงล่ะ" หนูส่งข่าวอธิบายขณะพยายามเก็บภาพเหตุการณ์ตรงหน้าให้มากที่สุด ใครจะไปรู้ว่ารูปภาพใบหน้าอันงดงามของราชินีแห่งดวงอาทิตย์จะขายในตลาดมืดได้ซักเท่าไหร่กันเชียว

    "ดูท่าทางคงหมดเรื่องแล้วล่ะ พวกเราเองก็รีบไปก่อนที่จะมีใครสงสัยกันดีกว่า" โจพูด เจนได้ยินจึงสังเกตว่าตอนนี้รอบตัวของพวกเธอเหลือผู้เล่นอยู่เพียงไม่กี่คน ที่เหลือเป็นทหารประจำเมืองและสมาชิกกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่เท่านั้น ถ้าหากยังโต๋เต๋อยู่แถวนี้ต่อคงโดนสงสัยแน่ ๆ

    ก่อนที่เจนจะไป เธอมองไปยังทัพโอนิที่เหลือรอดอยู่ไม่กี่ตนกำลังล่าถอยกลับไปในชายป่า แต่ตอนนั้นเองที่เจนเห็นโอนิตนหนึ่งที่มีลักษณะแตกต่างจากตนอื่นโดยสิ้นเชิง ที่แน่ใจอย่างนั้นก็เพราะว่าโอนิตนนี้ไม่ได้มีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่เหมือนตนอื่น ๆ เพราะว่าโอนิตนนี้เป็นโอนิเพศหญิงนั่นเอง!

    โอนิตนนี้สวมผ้าคลุมสีส้ม ที่เอวของเธอเหน็บดาบคาตะนะเล่มใหญ่เอาไว้แต่ถ้าตามมาตรฐานของโอนิก็คงไม่ใหญ่มากนัก เธอเป็นยักษ์สีน้ำเงินที่มีผิวเนียนเรียบสมกับเป็นเพศหญิง ดวงตาสีเหลืองจ้องขึ้นมายังราชินีแห่งดวงอาทิตย์ซึ่งราชินีฮิมิโกะเองก็จ้องกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว จนสุดท้ายโอนิหญิงตนนั้นก็ค่อย ๆ ก้าวถอยหลังกลับเข้าป่าไปโดยที่ไม่มีใครอื่นได้ทันสังเกตการปรากฏตัวของเธอในสนามรบแห่งนี้เลย



    เมื่อพวกเจนกลับมาถึงบ้านต้นไม้ก็พบว่าบ้านหลังใหม่แห่งนี้ถูกตกแต่งออกมาใหม่อย่างสวยงาม ต่างจากสภาพเดิมที่เจนเคยเห็นลิบลับ โถงกลางถูกตกแต่งด้วยผ้าสีสดใส โดยเฉพาะจุดที่แก้วข้ามมิติฝังตัวอยู่บนพื้นไม้ซึ่งในตอนนี้เป็นเหมือนของประดับราคาแพงไปแล้ว ทำให้พื้นที่ถูกตกแต่งด้วยพรมราคาแพง หรือที่ซินจูบอกเอาไว้ว่า'ได้มาในราคาพิเศษ'

    ตอนนี้เจนได้โอกาสที่จะสำรวจบ้านต้นไม้จริง ๆ จัง ๆ เป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้เธอมีโอกาสแค่มองดูเพียงนิดหน่อยเท่านั้นก่อนจะต้องรีบไปจัดการธุระในเมืองยามะไต นอกจากชั้นแรกที่เป็นโถงกว้างและพื้นฝังแก้วข้ามมิติ นอกจากนี้ยังมีห้องอาบน้ำที่เป็นบ่อน้ำร้อนปริศนาซึ่งไม่มีใครอยากคิดว่าต้นกำเนิดความร้อนของบ่อน้ำแห่งนี้มาจากอะไรหรือใคร...

    บ้านต้นไม้แห่งนี้ดูภายนอกจะมีลักษณะเป็นต้นไม้ต้นใหญ่ธรรมดาเท่านั้น ภายในต้นไม้เป็นโพรงกลวงสำหรับใช้อยู่อาศัยได้อย่างสบาย ๆ โดยภายในนั้นจะเป็นโถงกลางที่เชื่อมกับบันไดวนขึ้นสูงไปในแต่ละชั้น โดยชั้นที่สองเป็นห้องนั่งเล่นที่จุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ส่วนอีกด้านก็เป็นห้องครัวและห้องรับประทานอาหารไปในตัว ซึ่งแม้ว่าภายในเกมจะไม่มีเตาไฟ แต่ก็มีอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายกันก็คืออัญมณีเวทที่ใช้พลังเวทจุดไฟนั่นเอง และในห้องครัวในบ้านต้นไม้ก็มีกองหินเอาไว้สำหรับติดตั้งเตาไฟจากอัญมณีเวทได้อย่างเหมาะเจาะทีเดียว

    ตั้งแต่ชั้นที่สามจนไปถึงชั้นที่หกเป็นห้องพักส่วนตัวที่ปนกันหลายขนาด ไม่ว่าจะเป็นห้องเตียงเดี่ยวไปจนถึงห้องนอนเตียงขนาดสำหรับสี่คน ซึ่งโดยรวมแล้วบ้านต้นไม้หลังนี้สามารถใช้อาศัยได้กว่าร้อยคนโดยที่ไม่แออัดเท่าไหร่นัก ส่วนชั้นที่เจ็ดซึ่งเป็นชั้นบนสุดนั้นเป็นห้องว่างเปล่าซึ่งน่าจะเอาไว้ใช้สำหรับเก็บของแต่ก็ยังไม่มีใครแน่ใจนักว่าห้องนี้เอาไว้ใช้ทำอะไรกันแน่

    หลังจากแยกย้ายไปจองห้องโดยที่เจนเลือกใช้ห้องสำหรับสี่คนเพราะคิทซึเนะและฟีบีไม่ยอมแยกห้องกับเธออย่างแน่นอน จากนั้นจึงลงมายังห้องทานอาหารที่ซินจูเตรียมมื้อเย็นเอาไว้พร้อมอยู่แล้ว

    ระหว่างทานมื้อเย็นกันนั้น พวกเจนก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองยามะไตให้คนอื่น ๆ ฟังทั้งเรื่องสงครามกับโอนิและราชินีฮิมิโกะ ซึ่งแต่ละคนก็มีท่าทางแสดงตอบรับออกมาอย่างที่เจนคิดเอาไว้ไม่มีผิด

    "แย่จริงพวกนาย! เรื่องสนุกขนาดนี้ทำไมไม่บอกกันก่อน ฉันจะได้เข้าไปลุย..ฉันหมายถึงอยู่ดูให้เห็นกับตาด้วย" ไมโกะส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ ในขณะที่สามผู้อยู่ในเหตุการณ์ไม่กล้าเอ่ยตอบว่าดีแล้วที่ให้กลับไปก่อนก็เพราะไม่อย่างนั้นตัวแม่คุณก็คงได้จะทำเรื่องจะยุ่งเหยิงมากกว่าที่เป็น

    "ว่าแต่พวกคุณจีโอไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ ไม่มีโอนิบุกเข้าไปในเมืองใช่หรือเปล่า" ซินจูถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง คงจะเป็นเพราะตอนที่อยู่ในเมืองเธอเองก็ทำความรู้จักกับชาวเมืองอยู่หลายคน เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเธอจึงรู้สึกเป็นห่วงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นเพียงแค่เอไอก็ตาม

    "จู่ ๆ ก็มีมอนสเตอร์ที่ไม่เคยมีใครเจอมาก่อนอย่างโอนิบุกเมืองหลังจากที่ประกาศอัพเดทตัวเกมแบบนี้ ทุกคนไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะบังเอิญไปหน่อยหรือคะ" อามีร่าถามขึ้น

    "ฉันเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วก็ไม่ได้มีแค่เมืองยามะไตที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ดูสิ ที่เมืองอื่น ๆ อย่างซีโปกับคริสตัลเบลเองก็โดนมอนสเตอร์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนบุกเหมือนกัน" หนูส่งข่าวเสริมพร้อมกับเปิดหน้าต่างข่าวสารให้ทุกคนดู ภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพของอมนุษย์ที่มีหัวเป็นปลาแต่มีร่างกายเป็นมนุษย์กำลังบุกเมืองซีโปอยู่แต่ถูกกองทหารในชุดเกราะสีแดงต้านทานเอาไว้อย่างสูสี ส่วนอีกภาพเป็นเมืองคริสตัลเบลอย่างแน่นอนเพราะระฆังแก้วที่ลอยอยู่เหนือเมืองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน แต่สภาพของมอนสเตอร์ที่บุกเมืองนั้นแตกต่างจากเมืองยามะไตหรือเมืองซีโปโดยสิ้นเชิงเพราะในภาพแสดงให้เห็นเพียงแต่ซากและเถ้าถ่านของมอนสเตอร์โดยที่ไม่รู้เลยว่าเป็นตัวอะไร ส่วนตัวเมืองนั้นยังเหมือนเดิมทุกประการโดนที่มอนสเตอร์ที่บุกเมืองไม่มีโอกาสได้เข้ามาใกล้ประตูเมืองเลย

    "พวกเรามาลองคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นประกอบกับสิ่งที่เรารู้กันก่อนดีกว่า ก่อนอื่นเลยพวกเราทุกคนรู้แล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกันกับเหตุการณ์ที่เทพอสูรหลุดออกมาจากผนึกพันปีแน่ ๆ ตามคำบอกเล่าของท่านมาเอะ" เสือซ่อนลายว่า

    "ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็หมายความว่าการที่มอนสเตอร์บุกเมืองก็น่าจะมีเทพอสูรอยู่เบื้องหลัง คำถามก็คือเป็นฝีมือของฝ่ายไหน เทพ...หรืออสูร" โจเสริม

    "ในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น เรื่องราวโอนิส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับปีศาจซะส่วนใหญ่ อย่างเป็นผู้คุมวิญญาณในนรกบ้างล่ะ เป็นปีศาจในงานเทศการบ้างล่ะ หรือว่าเป็นตัวร้ายในนิทานพื้นบ้าน" ไมโกะอธิบาย ซึ่งฟังแล้วเจนก็พอจะเดาได้ว่าโอนิอยู่ในกองทัพเทพหรือกองทัพอสูร

    "ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ากองทัพโอนิที่บุกเมืองยามะไตก็เป็นฝ่ายกองทัพอสูรสินะ" เจนพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ถ้าเป็นอย่างที่เธอคิดจริง ๆ ล่ะก็ ทุกอย่างก็เข้าล็อกตามที่เธอคาดคิดเอาไว้พอดี นั่นก็คือฝ่ายทัพอสูรเริ่มเคลื่อนไหวแล้วนั่นเอง

    "ก็ยังไม่แน่หรอกเจน โอนิเองก็ถูกใช้เป็นตัวแทนของสิ่งที่ดีงามอยู่บ้างเหมือนกัน มีโอนิบางตนถึงขั้นกับเป็นตัวแทนของศาสนาเลยด้วยซ้ำ แล้วก็ยังมีโอนิในฐานะเทพเจ้าอยู่ไม่น้อยด้วย เดิมทีโอนิก็เป็นสัญลักษณ์ของพลังที่ไม่อาจเอาชนะได้ซึ่งฉันคิดว่านั่นไม่ได้หมายความว่าโอนิจะเป็นสิ่งเลวร้าย พวกเราคงฟันธงไม่ได้หรอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นฝีมือของกองทัพอสูรจริง ๆ"

    เจนพยักหน้าเข้าใจคำพูดของไมโกะ ถึงสิ่งที่ตัวเธอคิดจะลงตัวแต่เธอยังยืนยันไม่ได้ ถึงจะยืนยันได้ก็ใช่ว่าเธอจะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ซักหน่อย

    "แล้วที่เมืองซีโปล่ะ โดนมนุษย์ปลาบุกแบบนี้จะว่ายังไง" ยูสตาร์ทักท้วงขึ้น ทำเอาคนอื่น ๆ หันหน้ามองกันก่อนแจ็คจะเอ่ยปากพูด

    "เรื่องที่เมืองซีโปนี่ฉันว่าคงเดากันไม่ถูกหรอก ที่มาของเจ้ามนุษย์ปลาพวกนั่นเป็นได้ตั้งแต่สัตว์อสูรใต้ทะเลลึกจนไปถึงเรื่องเมืองแอทแลนติสโน้น เผลอ ๆ ที่ฉันพูดออกมายังไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ"

    "ว่าแต่ตอนที่เกิดเรื่องขึ้น เธอมีภารกิจอะไรหรือเปล่าเจน อาชีพผู้กล้าอย่างเธอมันน่าจะมีภารกิจปกป้องเมืองอะไรแบบนั้นนะ" ยูสตาร์ถาม เพราะปกติแล้วอาชีพพิเศษมักจะมีพันธกิจที่เกี่ยวข้องกับการรับใช้สังคม อย่างเช่นอาชีพจอมดาบที่จะได้ภารกิจปกป้องเมืองหรือจับโจรบ่อย ๆ ทำให้อาชีพผู้กล้าก็น่าจะมีพันธกิจเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

    เจนเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นดูแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ"ไม่มีภารกิจอะไรใหม่เลยนะ นอกจากภารกิจหยุดยั้งสงครามเทพอสูรที่ได้มาก่อนหน้านี้นั่นแหละ" เจนบอกถึงภารกิจที่เธอได้มาหลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเทพอสูรทั้งสามตน จะว่าไปแล้วเธอก็ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคนอื่นเลย

    พรู้ด!!

    เสียงของโจพ่นน้ำออกมาเป็นละอองเพราะสำลักน้ำระหว่างที่กำลังยกแก้วขึ้นดื่มพอดี สีหน้าของเขาตกใจมากเมื่อได้ฟังสิ่งที่เจนพูดออกมา คนอื่น ๆ เองก็มีสีหน้าไม่ค่อยแตกต่างกันนัก มันก็แน่อยู่แล้วถ้าหากใครที่เจอเข้ากับภารกิจสุดหินอย่างหยุดยั้งสงครามเทพอสูรที่ขนาดแค่มอนสเตอร์ยศราชาตัวเดียวยังแทบจะเอาตัวไม่รอดเลยแท้ ๆ

    "นี่เธอทำไมถึงไปได้ภารกิจยากขนาดนั้นมาได้ล่ะเนี่ย อ๋าา!" ยูสตาร์ส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องของเขาเลย แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเป็นเจนเองก็คงโวยวายไม่ต่างจากที่ยูสตาร์ทำเช่นกันถ้าหากคนในกลุ่มได้ภารกิจมหาโหดเช่นนี้

    ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังพยายามปลอบใจเจนที่ได้ภารกิจสุดหินมา แต่เสือซ่อนลายกลับมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะฉีกยิ้มออกมาแล้วหันไปพูดกับทุกคน "บางที...บางทีที่เจนได้ภารกิจนี้มาอาจจะดีก็ได้"

    "ดีงั้นเรอะ!! นี่นายคิดว่าการที่พวกเราต้องเอาหัวไปรับฟันของพวกเทพอสูรไม่ให้เปิดสงครามกันเองนี่เป็นเรื่องดีงั้นเรอะ!" เสียงของยูสตาร์โต้กลับทันควัน

    "ที่ฉันว่าดีน่ะหมายความว่าถ้าหากจากนี้กิลด์ของเราจะตั้งเป้าหมายเป็นการหยุดยั้งสงครามเทพอสูรหรือจะพูดให้ถูกก็คือตามภารกิจผู้กล้าที่เจนได้มา ฟังดูเป็นยังไง" เสือซ่อนลายชี้แจงและรอดูปฏิกิริยาของเพื่อน ๆ ที่หันหน้ามองกันคิ้วขมวด

    "ก็ไม่เลวนะ พวกเราไม่จำเป็นจะต้องหาเงินเพราะพวกเราเองก็มีเงินเหลืออยู่จากที่ขายทองคำแท่งอีกตั้งเยอะ พวกเราไม่ต้องบุกปราสาทเพื่อหาที่ทำการกิลด์ก็เพราะเรามีที่นี่อยู่แล้ว แถมเป็นปราสาทแบบเคลื่อนที่ได้ซะด้วย" แจ็คว่า

    "นั่นสิคะ ถ้าจะให้ไปรวมตัวกันสู้มอนสเตอร์เก็บเลเวลทุกวันก็คงน่าเบื่อแย่ สู้ไปช่วยพี่เจนทำภารกิจผู้กล้ายังจะน่าตื่นเต้นกว่าอีก" ซินจูเสริม

    เมื่อได้ยินคำพูดโน้มน้าวก็ทำให้คนอื่น ๆ คล้อยตามไปอย่างง่ายดาย เจนเองก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไร เพราะอย่างไรก็ตามด้วยลำพังเธอคนเดียวก็คงไม่มีทางทำภารกิจสำเร็จอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงสนับสนุนความคิดของเสือซ่อนลายเต็มที่

    "ฉันไม่ได้อยากจะเป็นแกะดำอยู่คนเดียวหรอกนะ แต่แค่พวกเราลำพังจะไปหยุดกองทัพเทพอสูรได้ยังไงกัน ถ้าหากเรามีพลังเหมือนเจนกันทุกคนก็ว่าไปอย่าง" หนูส่งข่าวพูดขัด และนั่นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เจนยังคิดไม่ออกเช่นกัน

    "ฉันไม่คิดว่าพวกเราจะต้องสู้กับกองทัพเทพอสูรหรือกองทัพไหนหรอกนะคะ" อามีร่าแสดงความคิดเห็นขึ้นมา ดึงสายตาจากคนอื่นในห้องไปเป็นตาเดียว "ก็อย่างที่เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางโยโกะบอกเอาไว้ว่าไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะถูกกองทัพเทพบุกเพราะกฎของทางนั้น ส่วนกองทัพอสูรเองก็ยังไม่ได้รวมตัวกันเลย ที่พวกเราต้องทำก็คือทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีสาเหตุให้กองทัพอสูรรวมตัวกันได้หรือสาเหตุให้กองทัพเทพบุกโจมตี...เอ่อ ฉันพูดอะไรผิดไปหรือคะ" อามีร่าถามขึ้นเพราะตอนนี้ทุกคนกำลังมองเธอด้วยสายตาแสดงถึงความแปลกใจ

    "เปล่าหรอก ก็แค่รู้สึกตกใจที่เธอวางแผนเก่งเหมือนกับโจหรือพี่เสือก็แค่นั้นเอง" เจนว่า

    "อ๋อ ขอบคุณมากค่ะ แต่ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกนะคะ ก็แค่ตอนที่ยังอยู่กับกิลด์พิฆาตราชาต้องวางแผนบ่อยก็เลยได้ซึมซับเรื่องแบบนี้ไปในตัวด้วย"

    เจนพยักหน้าเข้าใจและไม่เอ่ยถามต่อ ถ้าเป็นไปได้เธอไม่อยากจะรื้อฟื้นเรื่องราวที่เจ็บปวดให้กับอามีร่าขึ้นมาอีก เพราะสำหรับตัวเธอแล้วความจริงมันเพิ่งผ่านมาได้ไม่ถึงวัน

    "แล้วกองทัพเทพอสูรของเบียคโกะล่ะจะทำยังไง" ไมโกะถามขึ้น

    "เรื่องกองทัพเทพอสูรเองจากที่ฟังจากปากเบียคโกะเองก็เริ่มรวมตัวกันแล้วแต่ยังไม่มากนัก แต่ฉันคิดว่าถ้าหากปล่อยให้เบียคโกะรวบรวมกองทัพได้ต่อไปอีกล่ะก็อาจจะเป็นการจุดชนวนให้เกิดสงครามขึ้นก็ได้ เพราะเมื่อกองทัพเทพอสูรพร้อมรบก็เหมือนเป็นสาเหตุให้ทัพเทพบุกโจมตีและเป็นสาเหตุให้ทัพอสูรรวมกันเป็นหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นถ้าเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้กองทัพเทพอสูรรวมตัวกันได้ พวกเราก็ต้องทำให้มั่นใจว่าจะมีเทพอสูรที่จะไม่เข้าร่วมสงครามแบบเดียวกับท่านมาเอะหรือท่านโยโกะให้มากพอจนเทพอสูรตนอื่น ๆ ไม่คิดจะเข้าร่วมทัพด้วย"

    "อื้ม! ความคิดไม่เลวนะ ถ้าทำได้จริงบางทีเราอาจจะสามารถหยุดยั้งสงครามไม่ให้เกิดขึ้นเลยก็ได้" โจสนับสนุน

    เจนเองก็ชอบความคิดนี้เช่นกัน แต่ยังมีปัญหาเดียวที่ต้องหาคำตอบให้ได้เพื่อที่จะเดินหน้าต่อไปตามที่คิดเอาไว้ "แล้วพวกเราจะไปหาเทพอสูรที่ว่าได้จากไหนล่ะ"

    อามีร่ายกมือทำท่าจะพูดออกมาแต่สุดท้ายเธอก็เอามือลงและนั่งลงจัดการมื้อเย็นเช่นเดิมเพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาเทพอสูรตนอื่นได้ยังไง ความจริงแล้วคนที่ได้เจอเทพอสูรบ่อยที่สุดในกลุ่มก็คือตัวเจนเอง ซึ่งที่ผ่านมาการพานพบกับเทพอสูรของเธอนั้นเป็นไปด้วยดวงซวยของเจนล้วน ๆ และเจนเองก็ไม่ได้พิสมัยที่จะพบหน้าเทพอสูรเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้พวกเธอเป็นฝ่ายอยากจะออกไปตามหาเทพอสูรเอง แต่ยังไงก็ใช่ว่าเทพอสูรเหล่านี้จะพบง่ายเหมือนเดินหากระต่ายป่าซะเมื่อไหร่

    "ถ้าเป็นเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ท่านแม่ให้ม้วนผ้าแผ่นนี้เอาไว้เผื่อในกรณีเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาพอดีเลยล่ะค่ะ" คิทซึเนะพูดขึ้นพร้อมกับชูม้วนผ้ากำมยีสีแดงดูหรูหราขึ้นให้ทุกคนดู จิ้งจอกสาวส่งให้เสือซ่อนลายซึ่งเขาก็กางออกมาอ่านเสียงดัง

    'ถึงพวกเจน
    ในกรณีที่พวกเจ้าต้องการพบเทพอสูรตนอื่นที่เบียคโกะต้องการจะดึงให้เข้าร่วมทัพเทพอสูร ข้าได้คัดรายชื่อเทพอสูรที่พวกเจ้าน่าจะสามารถเจรจาด้วยได้และยังเป็นเทพอสูรที่มีอำนาจมากพอ ๆ กับเบียคโกะ บางตนอาจจะมีพลังสูสีกับยามาตะ โนะ โอโรจิเลยก็ได้ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรกับรายชื่อนี้ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าจะต้องมีเจตนาดีและข้าก็จะขอไว้ใจให้รายชื่อนี้แก่พวกเจ้าเผื่อว่าจะได้ใช้ประโยชน์ในอนาคต
    ทามาโมะ มาเอะ'

    "เขียนเอาไว้เท่านี้แหละ ที่เหลือเป็นตัวอักษรยึกยืออะไรก็ไม่รู้ ฉันอ่านไม่ออก" เสือซ่อนลายบอกแล้วส่งม้วนผ้าให้คนอื่นดู ทว่าแม้แต่โจหรือตัวคิทซึเนะเองก็ไม่สามารถอ่านม้วนผ้านี้ออกเช่นกัน

    "ท่านมาเอะคงไม่ให้รายชื่อเทพอสูรโดยที่ไม่มีวิธีอ่านหรอก มันคงต้องมีวิธีอ่านอยู่ซักวิธีแหละ" ไมโกะพูดขึ้นหลังจากโดนอามีร่าและซินจูรั้งเอาไว้ไม่ให้เอาม้วนผ้าไปรนไฟเผื่อจะสามารถอ่านได้เหมือนในภาพยนตร์

    "จนถึงตอนนั้นพวกเราก็คงต้องหาเป้าหมายการเดินทางต่อไป ตอนนี้พวกเรามีโอร็อคแล้วคงเดินทางไปไหนมาไหนง่ายขึ้นเยอะล่ะนะ" โจกล่าวก่อนจะหันไปหาเจนเพื่อปรึกษาว่าจะจุดหมายต่อไปจะเป็นที่ไหนกันดี "จะไปไหนต่อกันดี เจน"

    ผู้กล้าชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเพี่อนของเธอถามขึ้นเช่นนี้ "ทำไมมาถามฉันล่ะ นายเป็นหัวหน้ากิลด์แถมเป็นเจ้าของโอร็อคด้วย ก็กำหนดเองเลยสิว่าจะไปไหน"

    "ให้เธอกำหนดดีกว่า เพราะไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็มีแต่เรื่องวุ่น ๆ ตลอด ไม่น่าเบื่อดี" ชายหนุ่มยิ้มบางแล้วยกมือเขย่าไหล่เพื่อนสาวของตนเบา ๆ ทำเอาเจนอมยิ้มจนแก้มปริ คนอื่น ๆ ที่เห็นภาพใบหน้าของเธอก็พากันยิ้มไปด้วย

    "เอ..จะไปไหนกันดีล่ะ ตอนนี้ทั้งฟีบีและโอร็อคก็นาจะเลื่อนยศได้แล้วแต่ท่านมาเอะก็เลื่อนยศให้ทั้งสองไม่ได้ บางทีถ้าเราตามหามังกรตัวอื่นเจอบางทีอาจจะหาวิธีเลื่อนยศให้ทั้งสองได้ก็ได้นะ"

    "ถ้าพูดถึงมังกรก็ต้องเป็นทวีปยูโรปาสินะ! ฉันเคยได้ยินว่ามีคนจับมังกรเป็นสัตว์เลี้ยงได้ที่นั่นด้วยล่ะ แต่มันก็เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้นเองนะ ยังยืนยันไม่ได้" หนูส่งข่าวว่าเสียงใส ในหัวของเขาตอนนี้มั่นใจว่าถ้าหากกล่อมให้เพื่อน ๆ ของเขาไปได้ล่ะก็ ข่าวการมีตัวตนของมังกรในทวีปยูโรปาจะต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน และมันก็จะช่วยให้ยกระดับความสำคัญในด้านนักข้อมูลข่าวสารของเขาให้สูงขึ้นลิบลิ่วทีเดียว และแน่นอนหมายถึงจำนวนเงินที่จะไหลเข้ากระเป๋าก็สูงตามขึ้นด้วยเช่นกัน

    "เอาเป็นว่าตกลงพวกเราจะไปทวีปยูโรปากันสินะ" เสือซ่อนลายสรุป

    "คราวก่อนที่พวกหนูไปทวีปยูโรปาก็เอาแต่ทำภารกิจเลยไม่ได้เที่ยวกันเท่าไหร่เลย คราวนี้ไปด้วยกันพร้อมหน้าคงจะต้องสนุกมากแน่ ๆ เลยล่ะคะ!" ซินจูส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับยกมือบางของอามีร่าขึ้นมาเขย่าไปมา

    "ฉันเองก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปผจญภัยพร้อมกับทุกคนจนแทบอดใจไม่ไหวแล้วเหมือนกันค่ะ" อามีร่าตอบแล้วยิ้มออกมา แม้เธอจะเคยไปที่ทวีปยูโรปามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่มีความสุขที่สุดที่เธอจะไปเยือนทวีปแห่งนั้น

    "ที่นั่นจะมีของกินอร่อย ๆ เหมือนกับที่นี่หรือเปล่าคะ" ฟีบีเอ่ยปากถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา ยูสตาร์ได้ยินจึงอดใจไม่ได้จนใช้มือขยี้หัวของมังกรน้อยจนผมยุ่งไปหมด

    "อ๋าา! เธอนี่ก็สนแต่เรื่องกินอย่างเดียวเลยนะ ไม่รู้หรือไงว่าการเดินทางครั้งนี้เพื่อที่จะเลื่อนระดับยศให้เธอและโอร็อคโดยเฉพาะเลยนะ"

    "ระดับยศนี่อร่อยมั้ยคะพี่แว่น" ฟีบีถามขึ้นอีกครั้ง ทำเอายูสตาร์หลุดหัวเราะออกมาและขยี้หัวของเธออีกรอบ

    ทุกคนพากันหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของฟีบีแล้วจึงหันหน้ามามองกันรู้ใจแล้วจึงหันไปหาโจผู้ซึ่งเป็นคนเดียวที่สามารถสั่งให้บ้านต้นไม้หลังนี้ออกเดินทางได้

    "เอาล่ะ ในฐานะของหัวหน้ากิลด์อัสนีพิสุทธิ์ ฉันก็จะขอเริ่มเปิดฉากการเดินทางครั้งแรกของพวกเราเลยก็แล้วกันนะ ออกบินไปได้เลยโอร็อค!"

    กรร!!

    เสียงร้องของมังกรหินผาดังตอบราวกับตอบรับคำสั่งของเจ้านาย แต่หลังจากผ่านไปได้พักใหญ่พวกเจนก็ยังไม่รู้สึกว่าพวกตนกำลังลอยสูงขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

    "นี่พวกเราเริ่มออกเดินทางแล้วงั้นหรือ เจ้าโอร็อคนี่บินนิ่งกว่าที่คิดเยอะเลยนะ นิ่งมากซะจนคิดว่าไม่ได้ไปไหนเลยแหนะ" แจ็คยอกย้อน แน่นอนว่าตอนนี้พวกเรายังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อย

    คนหน้าแตกตอนนี้เองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้แต่หันไปหาผู้เดียวที่เข้าใจทั้งภาษามังกรและภาษามนุษย์ "เอ่อ...ฟีบีช่วยถามเจ้าโอร็อคหน่อยได้มั้ยว่าทำไมถึงไม่ไปซักที"

    มังกรน้อยไม่ตอบโจทันที เธอพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ อยู่สองสามรอบเหมือนกำลังคุยกับใครอยู่แล้วจึงหันมาหาโจที่รอฟังคำตอบ

    "โอร็อคบอกว่ายังไม่ได้กินมื้อเย็นเลย เขาว่าถ้าท้องไม่อิ่มก็ไม่มีแรงจะขยับปีกหรอก"

    คำตอบที่ได้ยินทำให้จอมเวทหนุ่มอยากตะโกนออกมาดัง ๆ แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันอย่างหัวเสียเท่านั้น เพราะถ้าหากทำให้เจ้ามังกรหินตัวนี้ไม่พอใจขึ้นมาอีกก็คงจะเสียเวลายิ่งกว่านี้แน่ ถึงอย่างนั้นเจนก็ไม่คิดว่าการที่จะทำให้มังกรที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับภูเขาครึ่งลูกอิ่มท้องได้จะใช้เวลาเร็วนัก...ความจริงแล้วเธอยังไม่มั่นใจเลยว่าเสบียงที่เก็บตุนเอาไว้ทั้งหมดจะพอเลี้ยงโอร็อคมื้อนี้ได้ด้วยซ้ำไป



    ในเวลาใกล้เคียงกันห่างออกไปที่เมืองซีโปซึ่งเพิ่งจบจากศึกมนุษย์ปลาไม่นานนัก ทำให้ตอนนี้ทั้งเมืองกำลังอยู่ในสภาวะฟื้นฟู โดยมีช่างจำนวนมากโดยไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไอกำลังออกมาซ่อมแซมเมืองกันอย่างขยันขันแข็งแม้ว่าพระอาทิตย์จะตกดินไปแล้วก็ตาม เป็นเพราะว่าเงินที่ไหลผ่านเมืองนี้มีมากซะจนไม่อาจทำให้การโจมตีของมอนสเตอร์มาทำให้ตลาดต้องปิดได้นานนัก ช่างซ่อมทั้งเมืองจึงถูกจ้างให้เร่งซ่อมเมืองทั้งหมดโดยเฉพาะบริเวณท่าเรือที่เสียหายมากที่สุดให้เปิดทำการได้ก่อนเวลารุ่งสาง

    ในขณะที่เหล่าช่างซ่อมกำลังเร่งงานให้เสร็จทันกำหนดอยู่นั้น ท่าเรือที่แสนวุ่นวายก็มีผู้มาเยี่ยมเยียน เขาเป็นชายร่างสูงกว่าสองเมตร เขาสวมชุดเกราะปูที่ดูทรุดโทรมใกล้จะพังแต่ว่ากล้ามเนื้อที่เผยออกมานั้นดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าชุดเกราะที่เขาสวมอยู่ซะอีก แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาคนรอบ ๆ นั้นกลับเป็นเขาขนาดใหญ่ที่อยู่บนหัวชวนน่าสงสัยและดูอันตรายยิ่ง

    'เขานั่นมันอะไรกัน เครื่องประดับใหม่งั้นหรือ' สิ่งที่คนทั่วไปนึกคิดเมื่อเห็นเขาของชายผู้นี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าจะเข้าไปถามเพราะสายตาที่แข็งกร้าวราวสัตว์ป่าของชายคนนี้ที่ทำเอาคนที่สบตาด้วยไม่กล้าเข้าใกล้ ทำให้ตลอดทางจากประตูเมืองไม่มีใครรั้งเขาเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

    "เฮ้พี่ชาย มีธุระอะไรหรือเปล่า ตอนนี้ท่าเรือกำลังปิดซ่อมบำรุงอยู่นะ เอาไว้มาใหม่พรุ่งนี้เช้าหลังจากพวกเราซ่อมเสร็จดีกว่า" ช่างซ่อมคนหนึ่งที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นสายตาและเขาของชายคนนี้พูดทักขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว แต่ไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ จากชายผู้นี้เลยจนช่างซ่อมจะทักอีกรอบ ตอนนั้นเองที่เขาก็ได้ยินเสียง*****มที่ฟังดูก็ทำเอาสั่นไปทั้งตัวดังออกมาจากปากของชายร่างใหญ่

    "..นักดาบชุดขาว..อยู่ที่ไหน"

    "เอ่อ พี่ชายหมายถึงผู้กล้าในชุดขาวงั้นหรือ ถ้าเป็นเขาล่ะก็ไม่ได้อยู่แถวนี้หรอก รู้สึกว่ามีคนเห็นเขาคนนั้นล่าสุดก็ที่เมืองยามะไตโน้นแหนะ" ช่างซ่อมบอกทางให้อย่างเป็นมิตร แม้ว่าเขาเองก็เริ่มที่จะรู้สึกว่าท่าทางของชายคนนี้จะแปลก ๆ ก็ตาม

    ทันใดนั้นเองชายร่างใหญ่ผู้มีเขาประหลาดบนหัวก็ยืดตัวขึ้นทำท่าสูดดมกลิ่นไปทั่วบริเวณราวกับเป็นสุนัขได้กลิ่นของเป้าหมาย ทำเอาช่างซ่อมหนุ่มรู้สึกเสียใจนิด ๆ ที่เข้ามาคุยกับชายคนนี้ ดูท่าทางแล้วเขาคงไม่ใช่ผู้เล่นเหมือนกับตัวช่างซ่อมอย่างแน่นอน แต่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผู้กล้าในชุดขาวเองก็เป็นที่นิยมในหมู่เอไอเช่นกัน

    "กลิ่นของนักดาบชุดขาว! ถึงจะเบาบางแต่ก็ยังหลงเหลืออยู่...กลิ่นมุ่งหน้าไปทางนั้น" ชายร่างใหญ่พูดพึมพำกับตัวเองพร้อมกับหันไปทางท่าเรือที่มีช่างซ่อมจำนวนมากกำลังเร่งทำงานอยู่

    ช่างซ่อมหนุ่มเห็นสายตาที่มุ่งตรงไปยังท่าเรือก็รู้ทันทีว่าคิดอะไรอยู่ เขารีบเอาตัวมาขวางไม่ให้ชายร่างใหญ่ตรงไปยังท่าเรือทันทีโดยที่ไม่ทันนึกเลยว่าขนาดของตัวเองกับชายมีเขาผู้นี้ต่างกันมากขนาดไหน

    "เดี๋ยวก่อนนะพี่ชาย ผมบอกแล้วไงว่าตอนนี้ท่าเรือยังไม่เปิดให้บริการ เอาไว้ตอนเช้าค่อยมาใหม่..- เฮ้ย!" ยังไม่ทันช่างซ่อมหนุ่มจะพูดจบ ชายร่างใหญ่ก็เดินตรงไปยังที่ท่าเรือโดยไม่สนใจเสียงเรียกของช่างซ่อมเลยแม้แต่น้อย

    เมื่อเสียงดังมากขึ้นก็ทำให้ช่างคนอื่น ๆ หันมาสนใจผู้มาเยือนไร้ที่มา จนท้ายที่สุดชายอีกคนที่มีความสูงสูสีกับชายมีเขาก็เดินเข้ามาดูว่าตกลงเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่ต้องเร่งทำงานเช่นนี้

    "มีอะไรกัน! เหลือเวลาอีกไม่นานจะถึงเส้นตายแล้วนะเว้ยไอ้พวกขี้เกียด ทำไมถึงไม่แยกย้ายไปทำงานกันอีก!" เสียงตะคอกดังใส่คนงานนับสิบคนที่ยืนมุงดูคนงานคนอื่น ๆ ที่เข้ามาช่วยช่างซ่อมหนุ่มรั้งตัวของชายมีเขาเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าถึงจะมีคนมาช่วยอีกกว่าสิบคนก็ไม่ทำให้ชายผู้นี้ช้าลงเลย

    "หัวหน้าครับ ไอ้หมอนี่มันจะเข้าไปที่ไซด์งานครับ! ผมพยายามห้ามแล้วแต่มันทำหูทวนลมไม่ยอมฟังเลย" ช่างซ่อมหนุ่มตะโกนตอบกลับไปโดยที่พยายามออกแรงดึงไม่ให้ชายมีเขาเดินหน้าไปต่อแต่ไร้ผล เหมือนกับว่าเขาออกแรงสู้กับช้างอย่างไรอย่างนั้น

    ชายผู้เป็นหัวหน้าช่างได้ยินจึงหันไปมองดูผู้บุกรุกที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งรูปร่างและความสูงของชายมีเขาผู้นี้แทบไม่ต่างกันนัก ถึงตัวเขาจะเป็นช่างซ่อมแต่ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งเขี้ยวเล็บ ก่อนหน้าที่ที่มนุษย์ปลาบุกเมืองก็ได้ตัวเขานี่แหละที่ช่วยป้องกันเมืองส่วนหนึ่งเอาไว้อย่างปลอดภัย เรื่องการต่อสู้และพละกำลังเขามั่นใจว่าไม่แพ้ผู้บุกรุกคนนี้อย่างแน่นอน

    "เอาล่ะ เล่นสนุกกันมาพอแล้ว จากตรงนี้ไปห้าม..-"

    เหมือนกลับโลกพลิกกลับตีลังกาในไม่กี่วินาที หัวหน้าช่างรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกตุ้มที่กำลังถูกเหวี่ยงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง เสียแต่ว่าเป้าหมายที่เขาถูกเหวี่ยงไปนั้นเป็นห้างร้านขายของที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนและสินค้า ซึ่งนั่นนับว่าเป็นโชคดีที่สุดของหัวหน้าช่างในค่ำคืนนี้

    โคร้ม!!

    คนงานและช่างซ่อมหนุ่มมองร่างใหญ่ของหัวหน้าของตนลอยข้ามหัวไปทับห้างร้านที่ทำจากไม้ชั้นดีจนไม่เหลือซาก ร่างของหัวหน้าของเขาเองก็นิ่งไม่ไหวติง ขนาดพวกมนุษย์เงือกยังแทบทำอะไรหัวหน้าของพวกเขาไม่ได้ แต่ชายคนนี้กลับเหวี่ยงทีเดียวก็ทำให้คนอึดอย่างหัวหน้าของเขาสลบเหมือด

    "เฮ้ย!! ไอ้เวรนี่ทำร้ายหัวหน้าพวกเราโว้ย! อย่าปล่อยให้มันดูถูกพวกเราช่างซ่อมได้ รุมมันเลย!!" เสียงตะโกนของใครบางคนดังลั่น รู้ตัวอีกที ช่างซ่อมหนุ่มก็เป็นสักขีพยานมหกรรมคนบิน..พูดให้ถูกก็ต้องต้องเปลี่ยนเป็นช่างซ่อมบินได้มากกว่า

    ร่างแล้วร่างเล่าที่บุกเข้าไปหาหมายจะทำร้ายชายมีเขาก็ถูกเหวี่ยงออกมาซึ่งคนเหล่านั้นก็ไม่มีโอกาสจะกลับเข้าไปอีกเป็นหนที่สอง ส่วนตัวช่างซ่อมหนุ่มนั้นไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกนั้นเพราะเขาไม่คิดจะห้ามคนที่เหวี่ยงหัวหน้าของเขาได้ตั้งแต่ที่เห็นกับตาแล้ว เพียงไม่ถึงสิบนาทีชายมีเขาก็เดินทางไปถึงท่าเรือโดยมีร่างนับร้อยสลบเหมือดอยู่ไปทั่วบริเวณ บ้างถึงกับพุ่งทะลุเข้าไปในบ้านของผู้โชคร้ายที่อาศัยอยู่แถวนั้น บ้างก็พุ่งทะลุเข้าไปในเรือที่จอดรอซ่อมแซมซึ่งคงไม่ได้รับการซ่อมเร็ว ๆ นี้แน่ ส่วนพวกที่โชคดีหน่อยก็โดนเหวี่ยงลงไปในทะเลซึ่งก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนหรอก

    "กลิ่น...ลอยไปทางนี้ เจ้านักดาบ...ไม่สิ ผู้กล้าในชุดขาว!!" เมื่อชายมีเขาพูดจบแล้วก็กระโจนลงไปในทะเลทันทีและไหว้น้ำตรงไปอย่างรวดเร็วราวกับเป็นนักว่ายน้ำมืออาชีพ พวกที่ตกอยู่ในทะเลเห็นว่าชายที่เหวี่ยงพวกตนลงมาก็ต่างพากันว่ายน้ำหนีกันจ้าละหวั่นเพราะคิดว่าโดนชายมีเขาตามล่า

    "ไอ้หมอนั่นมันใครกัน..ผู้กล้าในชุดขาวไปทำอะไรให้หมอนี่โมโหนะถึงได้ตามล่าอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น แต่ก็คงตามเจอหรอกนะที่เล่นไปคนละทางกับเมืองยามะไตแบบนี้" ช่างซ่อมหนุ่มพูดขึ้นแล้วก้มลงมองหน้าต่างแสงที่เขาใช้ทักษะตรวจสอบกับชายมีเขาคนนี้ ถ้าหากเขาโดนคนที่มีระดับขนาดนี้ตามล่าล่ะก็คงยอมเลิกเล่นเกมนี้ไปแล้ว แต่ถ้าหากเป็นผู้กล้าในชุดขาวออาจจะพอรับมือชายคนนี้ไหวก็ได้...มั้งนะ

    ราชากระทิง ทารอส ยศขุนนาง ระดับ89



    อย่างที่เจนคิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าอาหารทีมีอยู่ไม่พอที่จะทำให้มังกรหินตัวมหึมาอย่างโอร็อคอิ่มได้ ทำให้พวกเธอต้องเสียเวลาอีกหลายชั่วโมงที่ต้องกลับเข้าเมืองไปซื้อเสบียงมาเพิ่มรวมไปถึงไปซื้ออาหารสำหรับโอร็อคมาโดยเฉพาะอีกหลายชุดซึ่งโจต้องควักจ่ายเองไปหลายแสนโกลด์เพียงแค่ค่าอาหารของโอร็อคเพียงตัวเดียวเท่านั้น ถึงเขาจะมีเงินอีกหลายล้านก็ตาม แต่ดูท่าทางแล้วเงินก้อนนี้ของเขาคงจะพร่องลงอย่างรวดเร็วทีเดียว

    หลังจากอิ่มท้องแล้ว(ซึ่งอาหารที่โจก็พร่องไปกว่าครึ่ง จนเสือซ่อนลายเสนอให้ทุกคนช่วยกันออกค่าอาหารให้กับโอร็อคในครั้งต่อไปที่ถึงเมือง)มังกรหินจอมกินจุก็เริ่มกางปีกออกบิน ด้วยขนาดที่ใหญ่ราวกับภูเขาทำให้เจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะบินได้ แต่เป็นเพราะเจ้าโอร็อคเคยบินมาช่วยชีวิตเธอเอาไว้ครั้งหนึ่งและตอนนี้มันเองก็กำลังกระพือปีกทำเอาบ้านต้นไม้สั่นไหวไปหมด เพียงไม่นานนักเจนก็เห็นดวงจันทร์และเมฆลอยอยู่นอกหน้าต่างบ่งบอกว่าตอนนี้บ้านต้นไม้ได้ขึ้นมาอยู่บนอากาศแล้ว

    "เฮ้ โจ ระวังอย่าให้พวกเราบินผ่านเมืองหรือหมู่บ้านเชียวนะ" เสือซ่อนลายทักก่อนที่จะขึ้นไปพักที่ห้องของตน "ถ้าขืนมีคนเห็นมังกรตัวใหญ่ขนาดนี้บินผ่านเมืองมีหวังได้เกิดเรื่องวุ่นแน่"

    โจพยักหน้ารับแล้วจึงเดินออกไปด้านนอก คงจะตรงไปที่ส่วนหัวของมังกรเพื่อที่จะบังคับทิศทาง ส่วนเจนนั้นรู้สึกเพลียมากจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งวันตั้งแต่การประลองกับอาราชิจนไปถึงเรื่องสงครามที่เมืองยามะไตจนไม่มีเวลาได้พักซักเท่าไหร่เลย เธอจึงพาคิทซึเนะและฟีบีขึ้นไปที่ห้องพักและหลับในแทบจะทันทีที่หัวถึงหมอน

    การเดินทางด้วยโอร็อคนั้นรวดเร็วกว่าการเดินทางด้วยเรือมาก เพียงเวลาแค่คืนเดียวพวกเจนก็พ้นออกมาจากทวีปอัลเทเชียและกำลังอยู่บนท้องฟ้าเหนือน้ำทะเล กำลังมุ่งตรงไปยังทวีปยูโรปาซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไป

    แม้ว่าสำหรับเจนการเดินทางจะน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าหากเทียบกับเรือเดินทะเลหรือเรือเหาะแล้ว บนหลังของโอร็อคมีความสบายกว่ากันมาก แม้จะไม่ได้มีอาหารเลี้ยงแต่อาหารฝีมือของซินจูก็มีรสชาติที่อร่อยไม่แพ้กัน

    หลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งวัน พวกเจนก็มองเห็นทวีปยูโรปาอยู่ไม่ไกล นับได้ว่าความเร็วของโอร็อคนั้นรวดเร็วมากทีเดียว อีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นก็จะเดินทางถึงทวีปยูโรปาแล้ว

    "เป้าหมายของพวกเราตอนนี้น่าจะเป็นเมืองนี้นะ อยู่ไม่ไกลจากทะเลแถมเรายังใช้ป่าตรงนี้แอบซ่อนโอร็อคได้ไม่ยากด้วย" เสือซ่อนลายพูดขึ้นขณะที่กำลังอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นพร้อมกับกางแผนที่ทวีปยูโรปาออกมาวางแผนการเดินทาง

    "จะไม่ให้โจเก็บโอร็อคเข้าไปในสร้อยหรอ เดี๋ยวถ้าหากมีคนมาเห็นโอร็อคจะไม่แย่หรือไง" เจนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่ตัวจอมเวทหนุ่มกลับส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ

    "เอาไว้ด้านนอกนี่แหละดีแล้ว ถึงจะมีคนมาเจอโอร็อคแต่ก็คงทำอะไรไม่ได้มากหรอก แล้วอีกอย่างคือพวกเราจะได้กลับมานอนที่นี่แทนที่จะไปเสียเงินให้กับโรงแรมในเมืองไง เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนที่จะต้องล็อกเอาท์ออกจากเกมแล้วด้วย"

    เจนพยักหน้าเข้าใจแล้วจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เป็นวันที่เจ็ดแล้วที่เธอเข้าเกมมา อีกสามวันเธอจะต้องล็อกเอาท์ออกจากเกม ถ้าหากให้ฟีบีและคิทซึเนะพักอยู่ที่นี่ก็คงไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับการที่ต้องทิ้งเอาไว้ในเมือง

    โอร็อคบินตรงไปยังป่าแห่งหนึ่งไกลจากเมืองเป้าหมายพอสมควร หลังจากแน่ใจแล้วว่าเจ้าโอร็อคซ่อนหัวเอาไว้อย่างดีจนดูผิวเผินแล้วเหมือนกับเป็นภูเขารูปร่างแปลก ๆ ที่มีต้นไม้ต้นใหญ่เพียงต้นเดียวอยู่บนเนินเขา จากนั้นพวกเจนจึงหยิบกระดาษวาปกลับเมืองออกมาเตรียมพร้อมที่จะฉีกมันออกเพื่อทำให้เวทมนตร์ที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษทำงาน

    "นายแน่ใจนะว่าพวกเราจะไปที่เมืองนั้นจริง ๆ ฉันไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนนะ" เจนถามด้วยความไม่มั่นในเพราะกลัวจะรู้สึกตัวอีกทีพบว่าตัวเองกลับมาที่เมืองยามะไตอีกครั้ง

    "ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า" โจพูด "กระดาษวาปกลับเมืองนี่จะพาพวกเราไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด ฉันแน่ใจว่าเมืองที่อยู่ใกล้ที่นี่ก็เป็นเมืองเดียวที่พวกเราอยากจะไปนั่นแหละ"

    เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วเจนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อใจคำพูดของเพื่อนของเธอแต่ไม่ได้มีความมั่นใจเลย เจนทำใจครู่หนึ่งแล้วใช้มือฉีกกระดาษวาปออกเพื่อให้มันทำงาน ความรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกบีบกลับมาอีกครั้งก่อนที่จมูกของเจนจะได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไปและเจนก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่ใช่เมืองยามะไตเช่นกัน ในตอนนี้เจนมาถึงจุดหมายแรกของพวกเธอแล้ว เมืองแห่งตำราของทวีปยูโรปา ลิปาริโอ

    เป้าหมายในการมาทวีปยูโรปาของพวกเจนนั้นค่อนข้างชัดเจน นั่นก็คือการตามหามังกรเพื่อที่จะเลื่อนยศให้กับฟีบีและโอร็อค แต่การที่จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่ามังกรนั้นอยู่ที่ไหน และที่ ๆ จะตามหาข้อมูลนั้นก็จะมีที่ไหนเหมาะไปกว่าเมืองที่รวบรวมตำราเอาไว้มากที่สุดในทวีปหรืออาจจะมากที่สุดในโลกแห่งนี้เลยก็ว่าได้

    เมืองลิปาริโอนั้นเป็นเมืองขนาดกลางที่มีสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่และมีมนตร์ขลัง ที่นี่มีประวัติศาสตร์และเรื่องราวการก่อตั้งสมาคมจอมเวทและเป็นสถานที่ ๆ ให้กำเนิดจอมเวทระดับสูงมานับไม่ถ้วน สำหรับผู้เล่นสายนักเวทแล้วที่แห่งนี้เปรียบได้เหมือนกับเหมืองทองคำที่ซ่อนคัมภีร์เวทระดับสูงเอาไว้มหาศาล ในกระดานข่าวสารของนักเวทเคยมีเรื่องราวของคนที่เคยพบคัมภีร์เวทระดับสูงสุดจากหนึ่งในหลายสิบห้องสมุดที่ตั้งอยู่ในเมืองแห่งนี้ด้วย

    ว้าว! เมืองนี้สวยน่าเที่ยวจังเลย" ซินจูส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้น "ดูโบสถ์ตรงนั้นก็สวยมากเลย พี่เจน เดี๋ยวพวกเราไปถ่ายรูปกันตรงนั้นดีมั้ยคะ"

    “เป้าหมายของพวกเราคือข้อมูลที่เกี่ยวกับมังกรนะ เรื่องเที่ยวเอาไว้หลักจากพวกเราได้สิ่งที่เราต้องการเถอะ" เสือซ่อนลายพูดขัดทำให้ถูกซินจูค้อนใส่ด้วยใบหน้าแก้มป่องที่แสดงออกมาถึงความไม่พอใจ แต่เธอก็คงจะไปแย้งอะไรกับพี่ชายของเธอไม่ได้เพราะเวลาที่จะอยู่ในเกมตอนนี้เหลืออยู่ไม่มากนัก บางทีถ้าพวกเธอได้ข้อมูลที่ต้องการก่อนจะถึงเวลาล็อกเอาท์ล่ะก็อาจจะเหลือเวลามากพอที่จะไปเที่ยวก็ได้

    แต่เหมือนกับเป็นคราวเคราะห์ของซินจูที่ทำให้ความหวังที่จะได้เที่ยวมลายหายไป เพราะเมื่อเสือซ่อนลายจะเริ่มจัดกลุ่มทุกคนให้แยกย้ายไปหาข้อมูล เสียงตะโกนของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังเรียกให้ทุกคนบริเวณนั้นหันไปมองเป็นตาเดียว

    เมื่อเจนหันไปมองก็พบว่าเป็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังทะเลาะกันโดนฝ่ายชายกำลังพยายามรั้งฝ่ายหญิงไม่ให้ไปไหนในขณะฝ่ายหญิงที่ดูเหมือนกำลังท้องอยู่ด้วยเองก็ไม่ยอมฝ่ายชายเลยแม้แต่น้อย ผู้ชายคนนั้นมีหน้าตาดี รูปร่างสมส่วน อีกด้านเป็นหญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นแม้จะท้องป่อง หน้าตาสวยราวกับเป็นนางงามแต่แฝงไปด้วยความโศกเศร้าจนดูออกได้ไม่ยาก ดูจากภายนอกแล้วอาจจะนึกว่าผู้ชายที่เป็นคนทำร้ายผู้หญิง ทว่าคำพูดนั้นกลับแสดงออกให้เห็นถึงสถานการณ์ตรงกันข้าม

    "ท่านพี่ครับ!! พอทีเถอะ อย่าไปเสียเงินให้กับไอ้คนอย่างหมอนั่นเลย! เงินก้อนนี้เป็นเงินก้อนสุดท้ายของพวกเราแล้วนะครับ! ถ้าหากไม่มีเงินก้อนนี้แล้วจะเอาเงินไหนมาเลี้ยงลูกของพี่ล่ะ!"

    "ปล่อยข้านะ! ถ้าเงินนี่มันช่วยให้สามีของข้ากลับมามันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง เขาเองก็เป็นพี่ชายเจ้านะ ทำไมเจ้าถึงมาห้ามข้าล่ะ!"

    พวกเจนมองหน้ากันก่อนที่เจนจะเดินเข้าไปหาโดยมีคนอื่น ๆ เดินตามไปด้วย "ขอโทษทีที่รบกวนนะ แต่ว่ามีอะไรงั้นหรือ พวกเราพอที่จะช่วยอะไรได้ง้างหรือเปล่า"

    ดูเหมือนการปรากฏตัวของพวกเจนทำให้ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเป็นพี่สะใภ้ของฝ่ายชายสงบลง ส่วนฝ่ายชายเองก็รู้สึกแปลกใจที่จู่ ๆ นักผจญภัยซึ่งปกติจะไม่ค่อยมายุ่งเกี่ยวกับชาวเมืองอย่างพวกเขาซักเท่าไหร่กลับมาเสนอความช่วยเหลือต่อหน้า ชายหนุ่มมีท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่นะพูดในสิ่งที่ทำให้พวกเจนต้องพากันสงสัยและแปลกใจ

    "ได้โปรดเถอะครับท่านนักผจญภัย ได้โปรดช่วยหยุดพ่อมดที่หลอกให้ความหวังของพี่สาวข้าด้วย"



    ในร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ ๆ กันนั้น เจนพาชายหนุ่มที่แนะนำตัวเองว่าชื่ออัลวิน ส่วนพี่สะใภ้ของเขาที่ท้องอยู่นั้นมีชื่อว่าเรย์ อัลวินเล่าให้ฟังว่าพี่ชายของเขาที่เป็นสามีของเรย์เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นาน แต่เวลายังไม่สามารถแผลใจที่เรย์กำลังมีอยู่ในตอนนี้ได้แถมยังมีลูกที่อยู่ในท้องทำให้เธอยิ่งเสียใจมากที่ต้องเสียคนรักไปในเวลาเช่นนี้ ตัวอัลวินนั้นเป็นเพียงแค่พ่อค้าธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่ว่าเขาก็คอยช่วยเหลือพี่สะใภ้ของเขาเหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกันมาตลอด

    จนกระทั่งไม่นานมานี้ได้มีพ่อมดปริศนาที่โพทะนาตัวเองว่ามีพลังที่สามารถเรียกวิญญาณของคนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นกลับคืนชีวิตมาได้อีกครั้ง ทำให้คนหลายคนที่เสียคนรักไปอย่างเช่นเรย์พากันไปหาพ่อมดคนนี้ แต่แน่นอนว่าการเข้าพบพ่อมดคนนี้จะต้องใช้เงินจำนวนมากและมากยิ่งกว่าถ้าหากต้องการจะชุบชีวิตคนรักของตน

    "และพ่อมดคนนี้ก็เรียกเงินก้อนใหญ่เพื่อที่จะชุบชีวิตพี่ชายของคุณสินะ" เจนถามด้วยอารมณ์ที่ครุกกรุ่นขึ้นมาในใจ แต่เธอเองยังรู้สึกเคลือบแคลงใจอยู่เล็กน้อยว่าสิ่งที่พ่อมดคนนั้นอ้างถึงสามารถทำได้จริงหรือเปล่า

    "ครับ เขาบอกว่าเป็นค่าวัตถุดิบเวทมนตร์ที่จะใช้ในการชุบชีวิตน่ะครับ แต่เงินแสนโกลด์ก้อนนี้เป็นเงินทั้งหมดที่ผมเหลืออยู่แล้ว"

    "เงินแสนโกลด์นี่สำหรับผู้เล่น..นักผจญภัยอย่างพวกเรานี่ก็ถือว่าเป็นเงินไม่น้อยเลยนะ" เสือซ่อนลายพูดขึ้น "ใช้ซื้ออาวุธหรือชุดเกราะดี ๆ ได้เลย"

    "สำหรับคนธรรมดาแล้วสามารถอยู่ได้เป็นปีหรือสามารถตั้งตัวได้ด้วยเงินก้อนนี้ได้สบาย ๆ เลยล่ะครับ เพราะว่าข้าอยากเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้ให้หลานของข้าที่กำลังจะเกิดมามากกว่าไปจ่ายให้กับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ" อัลวินกล่าวแล้วหันไปมองยังเรย์ที่ตอนนี้ก้มหน้าเงียบ ๆ ไม่หันไปพูดกับใคร

    "ว่าแต่ที่นี่มีเวทมนตร์ที่สามารถชุบชีวิตคนที่ตายไปแล้วได้ด้วยหรือคะ" ที่ซินจูหมายถึงคือในโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ แต่ขนาดเหล่าผู้เล่นด้วยกันยังไม่มีใครเคยพูดถึงเรื่องเวทมนตร์ชุบชีวิตเลยแม้แต่น้อย จะเป็นไปได้หรือเปล่าที่จอทเวทเอไอจะมีเวทชุบชีวิต

    ไม่มีเสียตอบกลับมาจากอัลวินหรือเรย์ แต่พวกเจนก็ได้คำตอบแล้วว่าไม่มีใครเคยเห็นหรือมีข่าวคนที่ใช้เวทชุบชีวิตได้กับตามาก่อน พ่อมดคนนี้เป็นเพียงแค่คนที่อ้างว่าตัวเองสามารถเรียกวิญญาณของคนตายให้กลับมาได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาทำจะเป็นการชุบชีวิตอย่างที่เรย์หวังเอาไว้

    "ว่าแต่เจ้าพ่อมดคนนี้อยู่ที่ไหนงั้นหรือ" ไมโกะยิงคำถามใส่แต่กลับไม่มีคำตอบจากทั้งคู่อีกตามเคย จนกระทั่งเรย์ที่เงียบมานานเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนด้วยความลังเลใจ

    "ข้าไม่ได้เข้าไปเจอกับท่านพ่อมดในตอนที่จ่ายเงินหรอก หลังจากให้เงินกับลูกศิษย์ของท่านพ่อมดแล้วจะได้รับบัตรนัดที่จะมีวันและสถานที่กำหนดเอาไว้ซึ่งเมื่อถึงเวลาจะแสดงออกมาให้เห็น ไม่มีใครจะได้พบท่านพ่อมดจนกว่าท่านจะอนุญาต พวกเจ้าไม่มีทางหาท่านพ่อมดเจอแน่"

    คำพูดของเรย์แทบเหมือนกับว่าเป็นการขู่ เจนรู้ว่าตอนนี้พวกเธอเป็นเหมือนมารที่มาขัดขวางเธอไม่ให้พบกับสามี อีกด้านพวกเสือซ่อนลายก็เริ่มปรึกษากันว่าจะช่วยทั้งสองอย่างไรดี แต่สำหรับเจนการที่ทำให้สามีของเรย์ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งโดยแลกกับเงินแสนก็ดูไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก เพราะเธอเองรู้ดีกว่าการโตมาโดยไม่มีพ่อนั้นยากแค่ไหน เธอเองเคยหวังให้พ่อของเธอฟื้นคืนมาอีกครั้ง แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงหวังอยู่เช่นกัน

    “ฉันรู้ว่าพวกเรามีธุระอื่นที่ต้องทำอยู่ แต่ฉันไม่อยากปล่อยเรื่องนี้ไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย" เสือซ่อนลายพูดขึ้นในหมู่ของพรรคพวก

    "ฉันเห็นด้วยนะ" ไมโกะสนับสนุน "เรื่องนี้คงไม่ใช่แค่เป็นการหลอกเอาเงินธรรมดาแน่ และเหยื่อก็คงไม่ได้มีแค่คนสองคนหรอก"

    "แล้วพวกเราจะเริ่มต้นยังไงล่ะ ได้ยินที่เรย์บอกนี่ว่าไม่มีใครหาพ่อมดนั่นเจอจนกว่าจะยอมให้เจอ หรือว่าพวกเราจะปล่อยให้เรย์เป็นเหยื่อล่อพาพวกเราเข้าไปหาดีล่ะ" แจ็คพยายามจะแสดงความคิดเห็นแต่กลับทำให้ซินจูที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โมโหและยิกแขนจนร้องเสียงหลง

    "ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก ลืมไปแล้วหรือไงว่าในกลุ่มของเรามีสุดยอดคนที่มีทักษะในด้านนี้อยู่คนหนึ่ง" โจว่าและหันไปหาหนูซ่อนลายที่มีสีหน้าครุ่นคิดแต่ยังคงประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอยู่

    "ถ้าหากพวกเราออกเงินให้กับเรย์ล่ะ" เจนที่นิ่งเงียบไปพูดขึ้น "ถ้าหากพ่อมดคนนั้นสามารถชุบชีวิตขึ้นมาได้จริง ๆ ล่ะ..."

    ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อหูกับสิ่งที่เจนพูดออกมา โจที่รู้ว่าตอนนี้เจนกำลังคิดอะไรอยู่ต้องรีบเข้ามาคุยด้วย

    "ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ และรู้ด้วยว่าทำไมแต่ว่านั่นมันไม่ถูกต้องนะ"

    "ใช่ สิ่งที่เธอทำมันเป็นแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แล้วเธอจะทำยังไงกับคนอื่นที่โดนพ่อมดนี่เรียกเงินด้วยล่ะ ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็ไม่พอสำหรับคนชั่วหรอกนะ" แจ็คช่วยเสริม

    อามีร่าเดินเข้ามาหาแล้วยกมือวางทาบไหล่ของเจนอย่างอ่อนโยน ดวงตาของเธอที่เป็นประกายแต่ก็ยังคงแฝงด้วยความเศร้าโศกอยู่มองลงมาที่เจนทำให้เธอหยุดความคิดในหัวไปชั่วขณะ "คุณเจน ถึงพ่อมดคนนี้จะชุบชีวิตได้จริง ๆ แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่คิดที่จะเอาพ่อและพี่ชายของฉันกลับคืนมาหรอกนะคะ"

    ไม่มีคำพูดใดในหัวของเจนที่จะตอบอามีร่าได้เลย เด็กผู้หญิงตรงหน้าของเจนนั้นสูญเสียยิ่งกว่าเจนมากนัก แต่เธอกลับปฏิเสธความหวังที่จะได้พบพ่อและพี่ชายของเธออีกครั้งไปอย่างง่ายดายแม้ความเป็นจริงแล้วไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นเลยก็ตาม เจนรู้สึกละอายที่ปล่อยให้ตัวเองคิดเรื่องฟุ้งซ่าน ละอายที่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ทำให้จิตใจของเธออ่อนแอลงได้ขนาดนี้

    "แล้วก็เรื่องพ่อมดคนนั้นที่พวกเราไม่สามารถตามหาเขาเจอได้มันก็ออกจะเวอร์ไปหน่อย การที่เขามีบัตรนัดมันก็หมายความว่าเขายังคงอยู่ภายในเมืองนี้ และเมืองนี้ก็มีขนาดไม่ได้ใหญ่มากนักคงใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถหาเขาเจอได้ และยิ่งได้ข่าวสารของคุณหนูส่งข่าวมาช่วยอีก ฉันเชื่อว่าคงใช้เวลานานหรอกค่ะที่จะหาพ่อมดคนนั้นเจอ"

    "ฉันดีใจนะที่เวลาที่เธออยู่กับกิลด์พิฆาตราชาไม่ได้เสียเปล่าอย่างที่คิดเอาไว้" ไมโกะเอ่ยกับอามีร่าทำให้บรรยากาศดีขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเธอจึงหันไปหาเจนเช่นเดียวกันกับทุกคนที่หันมาเป็นสายตาเดียว

    "ทุกคนตกลงกันเรียบร้อย แล้วเธอล่ะเจน เธอจะเอาด้วยหรือเปล่า" โจถามเสียงเรียบ เขาไม่คิดที่จะเกลี่ยกล่อมเพื่อนสาวคนนี้เพราะถ้าหากถ้ายังคงเป็นเจนที่เขารู้จัก เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะทำให้เธอหวั่นไหวได้นานนักหรอก "หรือว่าเธออยากจะไปจัดการเรื่องมังกรก่อนล่ะ"

    ผู้กล้าในชุดขาวนิ่งเงียบไม่ตอบในทันที เธอเงยหน้ามองทุกคนก่อนจะหันไปสบตากับอามีร่าเป็นคนสุดท้ายแล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กลับมามั่นใจอีกครั้ง "เรื่องนั้นเอาไว้จัดการทีหลัง พวกเรามาตามหาไอ้พ่อมดชั่วคนนั้นกันเถอะ"

    อัลวินที่นั่งฟังอยู่รู้สึกแปลกใจและตื้นตันขึ้นเมื่อได้ยินว่าเหล่านักผจญภัยพวกนี้จะช่วยเหลือเขาโดยที่เพิ่งจะเจอกันเป็นครั้งแรกเท่านั้น เรื่องแบบนี้ขนาดไปขอให้ทหารประจำเมืองช่วยยังแทบเป็นไปไม่ได้ การปรากฏตัวของพวกเจนนั้นราวกับว่าเป็นโชคช่วยมหาศาลสำหรับอัลวินและเรย์เลยทีเดียว แม้ว่าตอนนี้เรย์จะไม่ได้คิดเช่นนั้นก็ตาม



    ตลอดเวลาสอวสามวันที่เหลืออยู่ภายในเกม เจนและคนอื่น ๆ ต่างพากันแยกย้ายไปค้นหาพ่อมดผู้นี้ แต่น่าแปลกมากทีเดียวเพราะทั้ง ๆ ที่ชื่อเสียงที่โด่งดังของพ่อมดคนนี้ที่ประกาศตนเองว่าสามารถชุบชีวิตได้ แต่พวกเจนก็ยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของพ่อมดผู้นี้เลยแม้แต่น้อย หลังจากเสียเวลาสืบหาในเมืองอีกพักใหญ่ก็ได้ทราบอีกว่าเรย์ไม่ใช่คนเดียวที่เสียเงินจำนวนมากให้กับพ่อมดผู้นี้ ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ยอมจ่ายเพื่อที่จะได้คุยกับคนที่รักอีกครั้ง ทว่ากลับเหมือนกับเรย์ เจนไม่ได้รับความร่วมมือกับคนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อยแถมยังโดนผลักไสไล่ส่งอีกต่างหาก ทำให้การค้นหาพ่อมดผู้นี้เป็นไปได้อย่างยากลำบาก

    ทางด้านหนูส่งข่าวเองก็ยังไม่กลับมาจากการหาข่าวแถมหนึ่งวันก่อนเวลาล็อกเอาท์ก็ยังส่งข้อความบอกมาว่าจะออกจากเกมไปก่อนทำให้พวกเจนต้องก้มหน้าสืบเสาะกันเองโดยไร้ซึ่งการคืบหน้าใด ๆ เช่นเดียวกันกับอามีร่าที่ต้องออกจากเกมเพราะถึงเวลาล็อกเอาท์ของเธอแล้ว

    เจนพยายามตามหาในที่ ๆ คิดว่าพ่อมดผู้นี้พักอาศัยอยู่ภายในเมืองโดยพยายามค้นหาในโรงแรมห้าดาว คนอย่างพ่อมดที่เอาเงินของผู้คนไปมหาศาลขนาดนั้นย่อมไม่มีทางที่จะพักอยู่ในโรงแรมซอมซ่ออยู่แล้ว ทว่าเจนก็คว้าได้เพียงแค่น้ำเหลวเท่านั้น เนื่องจากโรงแรมหน้าดาวจะปกปิดข้อมูลลูกค้าเอาไว้เป็นอย่างดี ทำให้เจนไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าพ่อมดพักอยู่ที่ไหน ความจริงแล้วแม้แต่หน้าตาของพ่อมดเจนก็ยังไม่ทราบเช่นกัน บางทีเธออาจจะเคยเดินผ่านพ่อมดไปโดยที่เธอไม่รู้ตัวก็ได้

    ในวันสุดท้ายก่อนถึงเวลาล็อกเอาท์ของพวกเจน ทุกคนตัดสินใจว่าวันนี้จะหยุดค้นหาไปก่อนและกักตุนเสบียงให้กับพวกคิทซึเนะ โดยเฉพาะโอร็อคที่พวกเจนหารเฉลี่ยค่าอาหารสำหรับครึ่งเดือนเอาไว้เป็นล้านโกลด์ เห็นทีคงจะต้องหาวิธีลดค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารของมังกรหินตัวทีหลังซะแล้ว

    หลังจากจัดการเรื่องอาหารเสร็จ เจนก็คิดจะออกเดินลาดตระเวนอีกครั้งเผื่อว่าจะได้ข้อมูลอะไรใหม่ ๆ บ้าง แต่ก็ยังคงคว้าน้ำเหลวเช่นเดิม ทว่าก่อนที่เจนจะกลับไปยังบ้านต้นไม้ เธอเห็นใครบางคนที่ดูคุ้นตาเป็นพิเศษได้เดินเข้าไปยังโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง เจนมั่นใจมากกว่าเคยเจอคนคนนั้นมาก่อนแต่เพราะเวลาจำกัดทำให้เธอต้องรีบกลับไปที่บ้านต้นไม้พร้อมกับทุกคนเพื่อล็อกเอาท์ออกจากเกม

    หลังจากออกมาจากเกม เจนก็รีบจัดการทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วจึงกลับมาค้นหาเรื่องราวของพ่อมดผู้นี้บนกระดานข่าวสารทันที แต่เธอก็พบว่าเรื่องราวของเอไอภายในเกมนั้นมีการพูดคุยบนกระดานข่าวสารนั้นมีน้อยซะยิ่งกว่าน้อยซะอีก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกนักเพราะผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะสนใจเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคอาชีพ แหล่งของมอนสเตอร์ต่าง ๆ และภารกิจซะมากกว่า

    จากเช้าไปจนบ่าย เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจนเจนรู้สึกแปลกใจเพราะวันนี้เธอนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวันเพื่อค้นหาข้อมูลเรื่องของพ่อมดจนไม่ได้ลุกไปไหนเลย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่าเรื่องราวของตำนานผู้วิเศษภายในเกมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น

    'ไม่ได้เรื่องอะไรเลยแฮะ สงสัยคงต้องหวังพึ่งหนูส่งข่าวแล้วล่ะ หวังว่าหมอนั่นคงจะได้เรื่องอะไรมาบ้างนะ' เจนคิดในใจและหวังให้เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอก็คงต้องหาใครซักคนเล่นบทละครตีหน้าเศร้าเข้าไปขอความช่วยเหลือกับพ่อมดโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องหน้าอายที่สุดที่เจนไม่รู้ว่าตัวเองคิดได้ยังไง

    รู้สึกตัวอีกทีเจนก็ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านที่หมายความว่าแม่ของเธอกลับมาจากที่ทำงานแล้ว แต่เมื่อมองไปยังนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลากลับบ้านปกติของจริยาเลยด้วยซ้ำ ทำให้เจนผละจากหน้าคอมพิวเตอร์และลงไปหาแม่ของเธอ

    เมื่อลงมาถึงเจนก็พบว่าตอนนี้จริยากำลังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู ไม่ยอมถอดรองเท้าเข้ามาในบ้าน นั่นถือว่าเป็นเรื่องแปลกมากเพราะเจนไม่เคยเห็นแม่ของเธอทำตัวแบบนี้มาก่อน

    "ทำไมวันนี้แม่กลับบ้านไวจังเลย มีอะไรหรือเปล่า" เจนถามขึ้นด้วยความสงสัยพร้อมกับเดินเข้าไปหาจริยาที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เมื่อสังเกตดูดี ๆ ก็พบว่าจริยานั้นหน้าซีดและมีสีหน้าตกใจราวกับมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทำให้เจนรีบจูงมือแม่ของเธอเข้ามาในบ้านไปที่โซฟาแล้วจึงไปหาน้ำมาให้

    ตอนนี้รู้สึกได้ทันทีว่ามีเรื่องผิดปกติ แต่เธอคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดไหนจนกว่าแม่ของเธอจะยอมพูดออกมา

    "แม่ มีอะไรหรือเปล่า วันนี้กลับบ้านไวแบบนี้เกิดอะไรขึ้นที่ทำงานหรือเปล่า" เจนพยายามถาม

    จริยาเงยหน้าขึ้นมาแล้วยกมือขึ้นมากุมมือของเจนอย่างอ่อนโยนก่อนจะยอมเปิดปากพูด "วันนี้ที่ทำงาน...แม่โดนไล่ออก..-"

    "ว่ายังไงนะ! โดนไล่ออกงั้นหรือ! แต่ว่าแม่ทำงานดีมาตลอด ไม่เคยสร้างปัญหาให้ที่ทำงานเลยนี่นา จู่ ๆ พวกเขาจะมาไล่แม่ออกแบบนี้ไม่ได้นะ!" เจนโวยวายเสียงดัง แม้ว่าแม่ของเธอจะมีนิสัยเหมือนกับเด็กในบางครั้งแต่จริยาก็เป็นคนที่มีความตั้งใจสูงและมีความรับผิดชอบอย่างมาก งานที่แม่ของเธอทำนั้นเป็นเพียงแค่นักบัญชีธรรมดาซึ่งจริยาไม่เคยทำงานผิดพลาดเลยแม้แต่หนเดียว และเจนก็ไม่คิดว่าแม่ของเธอจะมาเริ่มพลาดในตอนนี้ด้วย การไล่แม่เธอออกเช่นนี้ต้องมีเรื่องราวอะไรแอบแฝงอยู่อย่างแน่นอน

    "ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะเจน ตอนนี้เรายังมีเงินเก็บอยู่อีกเยอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะไปหางานใหม่ทำเองนะ ลูกไม่ต้องเป็นห่วงนะ" จริยาพยายามปลอบใจเจนทั้ง ๆ ตัวเธอเองต่างหาจะต้องเป็นฝ่ายที่ถูกปลอบใจ

    "แต่ว่าเรื่องนี้มัน..-"

    "ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ เชื่อแม่สิ เดี๋ยวทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดีเอง เหมือนทุกครั้ง..." จริยาส่งยิ้มให้กับเจนแล้วจึงลุกขึ้นตรงไปที่ห้องครัวเพื่อทำมื้อเย็น ทิ้งให้เจนที่ยังคงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั่งอยู่ที่เดิม

    'เรื่องนี้มันต้องมีเรื่องอะไรไม่ชองมาพากลแน่ ไม่มีทางที่แม่จะโดนไล่ออกแบบนี้ได้ ไม่มีทาง!" เจนคิดอย่างเผ็ดร้อน ถึงเจนจะไม่ได้รู้เรื่องในที่ทำงานของแม่เธอมากมายนัก แต่ก็พอจะรู้ว่าทุกคนในที่ทำงานชื่นชอบจริยามากแค่ไหน ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีทางจะเป็นเรื่องกลั่นแกล้งกันภายในบริษัทแน่ ต่อให้แม่ของเธอทำงานพลาดจริง ๆ ก็ไม่มีทางที่จู่ ๆ จะมาโดนไล่ออกโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าเช่นนี้

    มีเพียงคนเดียวที่เจนรู้ว่าจะปรึกษาในเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าแม่เธอรู้เข้าก็คงจะไม่ยอมแน่ ดังนั้นเจนจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วใช้เฮดก็อกเกิ่ลติดต่อไปยังคนเดียวที่ช่วยเธอได้ทันที



    คืนนั้นเจนไม่คิดจะรีบกลับเข้าเกมไวนัก หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เจนต้องเลิกคิดเรื่องเกมไปก่อนและแก้ปัญหาตรงหน้าของเธอให้ได้ ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันก็ไม่มีอะไรที่เจนจะทำได้มาก นอกจากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เกอร์ทูธฟังอย่างละเอียด ซึ่งคุณหมอสาวก็รับฟังอย่างเช่นเคยและบอกให้เจนพาแม่เข้าไปหาที่โรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้เช้า

    ไม่รู้ว่าคุณหมอคนดีคิดจะทำอะไรแต่เจนคิดว่าคงไม่เกี่ยวกับการสืบสวนการที่แม่ของเธอถูกไล่ออกจากงานอย่างเป็นปริศนา ทุกอย่างที่เจนทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงรอเวลาให้เรื่องราวมันผ่านไปเท่านั้น

    เมื่อเจนพยายามจะกลับเข้าไปในเกมเพื่อที่จะให้รีบลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปซะ แต่กลับพบว่าเธอไม่สามารถเข้าเกมได้ โดยหน้าจอแสงแสงข้อความเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเจนต้องลุกขึ้นมาดู

    'ไม่สามารถเข้าเกมได้เนื่องจากอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน อันตราย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย' เจนคิดแล้วจึงมองไปรอบ ๆ ห้องของเธอซึ่งไม่มีอะไรผิดปกติไปจากเดิม

    ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ ๆ เจนก็ได้กลิ่นไหม้เตะจมูกขึ้นมา เมื่อมองไปที่ประตูก็พบว่ามีควันลอยขึ้นมาจากช่องใต้ประตู หัวใจของเจนเต้นรัวเพราะรู้ว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นแต่เพื่อความแน่ใจ หญิงสาวเดินตรงไปที่ประตูห้องและเปิดออก สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าของเธอคือบ้านที่เธออาศัยอยู่กำลังลุกเป็นไฟ

    จบตอนที่ 44 บ้านต้นไม้บนหลังมังกร


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top