ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

กำลังแสดงผล 1 ถึง 18 จากทั้งหมด 18
  1. #1
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    KIZER - จะบ้าตาย เธอรู้ความลับผมหมดแล้ว!!!

    KIZER

    เกรียนเลือดเทพ


    ไค เด็กหนุ่มสายเลือดเทพมิคาเอลในมาดเงียบขรึมแต่กลับมีเบื้องหลังที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับปริศนาแปลกประหลาดรอบตัวเขา แต่พูดให้ถูก คงเป็นเรื่องชวนปวดหัวมากกว่า

    แนะนำให้อ่านในเว็บเด็กดีนะครับ คลิกอ่านที่นี่เลย




    แนะนำเรื่องคร่าว ๆ ...

    ไคเซอร์ มิคาเอล หรือ ‘ไค’ เด็กหนุ่มสายเลือดคนสุดท้ายของเทพมิคาเอล เด็กโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ไคในโรงเรียนคือบุรุษผู้เงียบขรึม สวมแว่นและเฉลียวฉลาด เขาคือเทพแห่งความเงียบงันประจำห้อง 6/3 ทว่า! เบื้องหลังที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้คราบเด็กเรียนนั่นก็คือ โอตาคุ! เกมเมอร์! มือกลอง! คลั่งนิยาย! นักเต้น(มั่ว)! หรือแม้แต่ โรคจิต?



    Download [PDF]

    Password

    Ch. 01 – ไคเซอร์ มิคาเอล

    Ch. 1.1 เกมล่าขุมทรัพย์



    ภาพตัวละคร

    ไคเซอร์ มิคาเอล(คนเดียวกัน)

    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 9th March 2014 เมื่อ 19:28

  2. รายชื่อสมาชิกจำนวน 8 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 01 – ไคเซอร์ มิคาเอล

    Ch. 01 – ไคเซอร์ มิคาเอล

    ‘ในกาลเวลาที่สุดจะนานแสนนาน เทพบรรพชนนาม ‘เทวทูตมิคาเอล’ นำบริวารของท่านกว่าหนึ่งแสน เข้าสู้รบกับเหล่าพญางู พญานาค มังกรไม่มีขา หรืออะไรต่าง ๆ ที่ไม่ถูกชะตากับท่านมิคาเอลในสงครามแห่งสรวงสวรรค์
    ในการสงครามครั้งนั้น ท่านเสียสหายร่วมศึกไปเพียงแค่ผู้เดียว เนื่องมาจากการที่สหายผู้นั้นอยู่ในวัยชราเกินไป สหายจึงได้ตายกลางสนามรบ โดยที่ไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ จากคมดาบหรือคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายเลยแม้แต่น้อย

    การสงครามกินเวลาไปมากถึง 1000 ปี ของโลกมนุษย์ หรือก็คือ 1 วันของสรวงสวรรค์ กลุ่มนักเลื้อย ปรปักษ์ของท่านมิคาเอลได้พ่ายแพ้อย่างราบคาบจนไม่มีที่ให้ฝังตัว พวกมันถูกจองจำไว้ ณ ก้นบึ้งที่ลึกที่สุดของพิภพนั่นก็คือ ‘นรก’ พันธนาการด้วยโซ่ยักษ์แห่งสวรรค์ ไม่สามารถอาบน้ำ กินข่าว หรือแม้แต่ดูอนิเมะได้

    ทว่า พญางู ลูกน้องคนสนิทของหัวหน้านักเลื้อยนาม ‘มิราจ’ ได้หลุดออกมาจากโซ่ตรวนเหล่านั้นเธอพยายามสุดฤทธิ์เพื่อทำลายพันธนาการของหัวหน้า แต่ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ ผ่านไป 4000 ปี ในยุคที่องค์เทพและพระผู้เป็นเจ้าไม่ย่างกรายและยุ่งเกี่ยวกับความเป็นไปของโลก ได้ปรากฏมีชายหนุ่มรูปงามและเฉลียวฉลาดนาม ‘ไซเคอร์ คิอาเมล’ สายเลือดสุดท้ายของ เทพมิคาเอล กำลังร่ำเรียนอยู่ในโรงเรียนมนุษย์แห่งหนึ่งบนพื้นโลก

    ด้วยเหตุนี้ เพื่อแก้แค้นแทนนายเหนือหัวของตน มิราจจึงใช้พลังทั้งหมดที่มี พุ่งทะยานขึ้นมาสู่พื้นโลก และในที่สุด เธอก็มาพบโรงเรียนซึ่งไซเคอร์เรียนจนได้ ทว่า พลังแห่งความเป็นอมตะ แข็งแกร่งไร้เทียมทานและน่าพรั่นพรึงของเธอกลับอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น ทำให้มิราจในโลกมนุษย์กลายเป็นหญิงสาวธรรมดา ๆ หลงยุคคนหนึ่งเท่านั้น

    เธอจะทำอย่างไรต่อไปกับไซเคอร์ คิมาเอลเพื่อให้เป้าประสงค์คือการแก้แค้นของเธอสำเร็จผล คงต้องติดตามกันใน ‘นางงูสุดซึน กับเทพบุตรกำมะลอ!’ ’


    “เป็นไงบ้างครับ เท่าที่อ่านต้นฉบับไปแล้ว” ผมนั่งสั่นขาถามแพรวพราว สาว ผู้จัดการสาวสุดเซ็กซี่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น หลังจากที่ได้ส่งต้นฉบับเรื่องนางงูสุดซึน กับเทพบุตรกำมะลอไป หวังว่าจะเข้าตาเธอบ้าง

    “อืม...” เธอเอียงคอไปทางซ้ายคิ้วขมวดเข้าหากัน แล้วเธอก็เอียงคอไปข้างขวา คิ้วเธอย่นเข้าหากันจะฟิวชันกันอยู่แล้ว “เอ...” เธอกัดนิ้วเธอด้วยฟันสีขาวจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ

    “ฉันไม่รู้จะทำยังไงนะถ้าเธอเอาแค่บทนำมาให้ฉันอ่าน” ในที่สุดเธอก็ตอบ “เพราะว่าพล็อตแบบนี้มันก็น่าสนใจอยู่...”

    “อะ?” ผมตาเบิกโพลงทันทีเมื่อได้ยินเธอพูด “ผม... ลืมเขียนครับ” ผมตอบออกไปทั้ง ๆ ที่ตายังเหลือถลน ไม่น่าเชื่อเลยว่าผมจะเขียนนิยายได้แค่บทนำแล้วเอามันมาส่งกองสำนักพิมพ์ แต่ก็เอาเถอะ...

    “งั้นเหรอ” เธอยิ้มให้ผมอย่างเอื้อมระอา

    “กลับไปเขียนมาให้เสร็จซะ!!!”

    เธอตวาดผมลั่นร้านกาแฟจนคนขายและลูกค้าอีกสามคนถลึงตาใส่ผม ไม่ใช่ตู ไม่ใช่ตู! จะมามองกันทำไมเล่า คนตะโกนน่ะคือยัยอกบวมนี่ต่างหาก!

    “เสียเวลาคนทำงานชะมัด! และก็นะ... ถ้าภายในหนึ่งสัปดาห์เธอเขียนได้ไม่ถึงห้าสิบหน้าล่ะก็ อย่ามาพูดกับฉัน!” เธอวางธนบัตร 100 บาทลงบนโต๊ะ สำหรับค่ากาแฟแล้วเชิดหน้าเดินออกจากร่างอย่างไม่สบอารมณ์ สงสัยเป็นวันนั้นของเดือนแหง

    ‘เฮ้อ~’ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วมองซ้ายขวาไปตามร้านกาแฟเล็ก ๆ ซึ่งสร้างจากซีเมนต์ทาสีน้ำตาลตกแต่งด้วยภาพวาดสีน้ำฝีมือเจ้าของร้านแห่งนี้ และพบว่ายังไม่มีใครเห็นเงิน จากนั้นผมก็ยัดมันลงกระเป๋าเงินแฟบ ๆ สีน้ำตาลดำของผมซะ ชีวิตนี้ยิ่งอด ๆ อยาก ๆ อยู่ด้วย ใช้นิดใช้หน่อยอนาคตจะได้รุ่งเรืองได้เป็นนายกกับเขาบ้าง

    ทั้ง ๆ ที่ช่วงแรกของนิยาย ‘นางงูสุดซึน กับเทพบุตรกำมะลอ!’จะมีส่วนที่เป็นผมอยู่ในนั้นก็เถอะ น่าเสียดายจริง ๆ ที่ไม่ได้แต่งเนื้อเรื่องทั้งหมดมาด้วย ว่าแล้วผมคอตกก็เดินออกจากร้านอย่างสร้อยเศร้า ลุงเจ้าของร้านชื่อ ‘อำพล’ ชายร่างใหญ่ผิวสีกาแฟแต่ไม่ไว้หนวดเครา แกมีลูกสาวสองแล้ว ผมเห็นแกวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาผม สงสัยมีเรื่องอยากคุยด้วยถึงได้รีบเร่งมากขนาดนั้น

    “กินแล้วคิดจะชักดาบหนีเหรอไอ้ไคเซอร์!!! นี่มันก็ครั้งที่สามสิบแล้วนะที่แกทำแบบนี้!!!” นั่นไง เอาเข้าให้แล้ว กะจะทำเนียนสักหน่อยก็ไม่ได้

    “ล้อเล่นแค่นี้เองครับ ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงเลย” ผมขยับแว่นทีหนึ่งแล้วยิ้มให้ ใบหน้ากว้าง ๆ ของลุงยิ้มตอบแล้วเอ่ยว่า

    “ครั้งที่แล้วเอ็งยังไม่จ่าย! เอามาเลย ฉันเห็นนะว่าแกได้มากี่บาทจากผู้หญิงออฟฟิศขาขาว ๆ นั่น” ลุงอำพลแบบมือใหญ่ ๆ ขึ้น โตป่านนี้แล้วยังจะแบบมือขอเงินอีกเรอะ... หึ ไอ้ไคเซอร์ มิคาเอล สายเลือดเทพเจ้าคงไม่มีวันให้มันเป็นแบบนั้นแน่

    “ชักดาบแล้วก็ต้องชักให้สุดสิครับลุง!!!” ผมยิ้มปากกว้างแล้วทะยานร่างหนีห่างจากลุงอำพลอย่างรวดเร็ว ถ้าหากว่าไม่ซ้อมบอลทุกวันคงหนีฝ่ามือนั่นไม่พ้นแน่

    ยามนี้มีแค่ลุงอำพลเท่านั้นที่รู้ว่าผมเป็นใครและมีนิสัยเป็นอย่างไร

    “อะไรกันนักวะ ยังไง ๆ ก็ได้ทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านลุงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ชักนิดชักหน่อยก็ไม่ได้ เป็นต้องขึ้นแบบนี้ทุกที” ว่าแล้วผมก็เดินกลับบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ นี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “หวังว่า****ูสาวมิราจจะไม่โผล่ออกมาจริง ๆ หรอกนะ” ...
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 22nd January 2014 เมื่อ 17:38

  4. รายชื่อสมาชิกจำนวน 4 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  5. #3
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 1.1 : เกมล่าขุมทรัพย์

    Ch. 1.1 : เกมล่าขุมทรัพย์

    เบื้องหน้าและเบื้องหลังที่ต่างกันถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสมบรูณ์ อาจจะเป็นเพราะว่า มันมีทั้งสองอย่างนี้มารวมกันจึงทำให้เกิดสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าเป็นสิ่งของหรือวัตถุ ย่อมเกิดผลดีอยู่เสมอ

    แต่ถ้าหากว่ามนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิตเปี่ยมปัญญามีเบื้องหน้าและเบื้องหลังแล้ว มันก็มักจะเป็นหนทางที่ผิดบาปอยู่เสมอ ผมไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วในฐานะมนุษย์สายเลือดเทวทูต ถึงแม้ว่าสายเลือดนั้นจะมีแค่หนึ่งในสิบก็ตามที

    “นิยาย ตอนแรกเหรอ ต้องเริ่มแบบไหนกันนะ?” บนทานเดินซึ่งเต็มไปด้วยเด็กนักเรียน มีผมเดินคอเอียงแล้วหรี่ตามองไปยังอาคารเรียนสีครีมสี่ชั้น ตั้งแต่ผมออกจากบ้านมา เดินทางด้วยเท้าจนถึงโรงเรียนแล้วเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จ ผมก็ครุ่นคิดแต่เรื่องการแต่งนิยายตอนแรกอยู่ตลอด

    ผมเดินขึ้นบันไดสีแดง ในขณะที่หลังก็แบกกระเป๋าสะพายซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือต่าง ๆ นานาทั้งที่เกี่ยวกับวิชาการและไร้สาระ

    ชั่วโมงแรกเป็นโฮมรูม เพราะวันนี้เป็นเปิดเรียนวันแรกหลังจากที่หยุดยาวจากเทศกาลปีใหม่ มันจึงพวกเพื่อน ๆ ผมก็พูดคุยกันดังเจี๊ยวจ๊าวมากขึ้น


    ภายในห้องเรียนชั้นม.6/3 ของชั้น 4 ของอาคารซึ่งถูกทาผนังด้วยสีขาวหม่นจนไปถึงเพดาน ครูประจำชั้นหญิงวัยกลางคนในเสื้อรักในหลวงสีเหลือง เธอสวมแว่นหนาเตอะและมีรอยตีนกาเล็กน้อย เธอชื่อ ‘ศิริลักษณ์’

    ครูศิริลักษณ์เดินมาหน้าไวท์บอร์ด หัวหน้าห้องสุดสวยกล่าวทำความเคารพ หนึ่งเดียวที่ครูทั่วไปจะกล่าวในยามนี้คือการเรียนต่อ

    กว่า 60 % ของนักเรียน 6/3 มีที่เรียนต่อแล้ว ส่วน 40 % นั้นคือยังงมหาไม่เจอ เช่นกัน ผมอยู่ใน 40 % นั้นพอดี และในที่สุด คุณครูศิริลักษณ์ก็หันมาถามผม

    “ไคเซอร์” เสียงแหบแห้งแต่แข็งกร้าวของเธอเอ่ยเรียกผม

    “ไคเซอร์...” เธอเรียกผมอีกครั้ง เนื่องจากผมไม่ตอบรับการเรียกขาน

    “ไคเซอร์ มิคาเอล!”

    “ครับ!” ผมสะดุ้งเฮือกจนเกือบตกเก้าอี้ ทุกคนหัวเราะคิกคักกันใหญ่ มันทำให้ผมรู้สึกอายเป็นที่สุด มากที่สุด...

    “ฉันเข้าใจนะว่าเธอกลุ่มใจเรื่องเรียนต่อ แต่อย่าหักโหมให้มันมากจนไม่ได้ยินที่ครูเรียกล่ะไคเซอร์” คุณครูศิริลักษณ์กล่าวอย่างห่วงใย ถึงแม้ว่าหน้าตาออกจะดูโหดร้ายไปหน่อยแต่เธอคนนี้กลับได้รับดอกกุหลาบมากที่สุดในวันไหว้ครู “แล้วว่าไง เรื่องเรียนต่อ... ไปถึงไหนแล้วล่ะ?”

    “อ่า... ครับ ขอโทษครับ คือว่า...” ผมอ่ำ ๆ อึ้ง ๆ ครู่ใหญ่จนน่ารำคาญจากการรอคอยคำตอบ

    “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ครูก็แค่อยากรู้เท่านั้น” เธอบ่ายเบี่ยงอย่างน่าโล่งใจ “จะว่าไป... คนที่มีที่เรียนรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเรียนรึยัง” ครูศิริลักษณ์ถาม เด็กนักเรียนมองหน้ากันแล้วตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ใช่

    “ครับ/ค่ะ”

    “ถ้าอย่างนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเรียนเทอมสุดท้ายนี้น่าเบื้อจนเกินไป ครูจึงได้คิดเกมดี ๆ มาให้พวกเธอเล่น มีใครสนใจบ้าง?” คุณครูผู้รักศิษย์ถามเด็กนักเรียนหน้าใสอย่างกระตือรือร้น แต่ถึงไม่ถามก็ต้องเล่นอยู่ดี

    “ครูจะแบ่งเป็นทีม ทีมละสองคน ถ้าหากว่าทีมไหนชนะเกมนี้ก็เอาเกรดสี่วิชาสังคมของครูไปได้เลยแบบไม่มีเงื่อนไข และของแถม วิชาชีววิทยา พวกเธอจะได้เกรดสามรองท้อง” ฟังน่าสนใจดีถ้าหากว่าบอกตอนม.4 หรือไม่ก็ม.5 แต่ตอนนี้เกรดอะไรก็ไม่มีผลสำหรับการศึกษาต่อแล้ว ถึงแม้ว่าสังคมของครูศิริลักษณ์ จะยากพอ ๆ กับชีววิทยาระดับพันธุกรรมก็เถอะ

    “แล้วจะให้แต่ละทีมทำอะไรเหรอครับ” เจมส์ เด็กหน้าหล่อผิวขาวเกรดเฉลี่ย 2.00 ท้วน ยกมือถามครูอย่างสนอกสนใจเป็นอย่างมาก

    “เกมล่าขุมทรัพย์” คุณครูตอบด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข นักเรียนทั้งห้องพากันโห่ร้องด้วยความตื่นตะลึง “แต่ก่อนอื่นต้องมีทีมแข่งซะก่อน”

    “ทีมแข่งเหรอ งั้นก็สวยสิ” พวกเด็กเกรดต่ำเบิกบานกันใหญ่

    “เฮ้ย ไอ้ไค มาอยู่ทีมกับฉันมา รับรอง ถ้าแกกับฉันร่วมมือกัน ทีมของเราต้องชนะเกมนี้แน่ เกรดสี่อยู่แค่ปลายนิ้ว!” ไอ้เจมส์มันหันมาบอกผมเสียงแผ่วเบา เนื่องจากมันนั่งโต๊ะข้าง ๆ จึงกระซิบกับผมได้ แล้วทำไมมันต้องกระซิบด้วย

    นักเรียนคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน พากันหาทีมของตนกันอย่างจ้าละหวั่น ทว่า ครูศิริลักษณ์กลับใช้ไม้เรียวขนาดยาวและยืดหยุ่นอย่างเหลือเชื่อ ฟาดเข้าที่ไวท์บอร์ดจนทั้งห้องสงบลง

    “พวกเธอจะรีบไปไหนกัน ครูยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้จับทีมกันเอง” คุณครูกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ไม่ถึงกับโกรธเคือง

    “หมายความว่า จะให้พวกผมจับฉลากงั้นเหรอครับ” เจมส์ถามด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ มันคงต้องอกแตกตายแน่ถ้าต้องจับฉลากเข้าทีม เพราะว่ามันเป็นคนดวงซวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา อย่างเช่นเมื่อวันก่อน วันที่มันกะจะมาโรงเรียนเช้าที่สุด แต่ระหว่างทาง มันกลับถูกรถยนต์เยียบน้ำแช่ปลาจากตลาดสดกระเซ็นใส่ชุดนักเรียนจนเลอะเปรอะเปื้อนราวคนจรจัดคนหนึ่ง มันจึงต้องบึ่งกลับบ้านเพื่อเปลี่ยนชุดทันที แต่ปรากฏว่า มันดันลืมกุญแจบ้านไว้ในบ้าน เพราะว่าคนในครอบครัวของมันเป็นพวกออฟฟิศเข้างาน กว่าพ่อแม่ของมันจะเข้ามาก็ปาไปถึงสามทุ่มครึ่ง วันนั้นทั้งวันมันต้องมาเรียนด้วยชุดนักเรียนของผมอย่างจำใจสุด ๆ เลิกเรียนมันพูดกับผมว่า “ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของแกจริง ๆ ที่ช่วยฉัน แต่ว่านะ ถ้าจะให้ไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าแบบนี้ไม่เอาด้วยแล้ว เหม็นคาวชะมัดยาด” และนับจากนั้นมามันก็มาโรงเรียนสายประจำ

    “ใช่แล้ว” ครูศิริลักษณ์ตอบในทันที ไอ้เจมส์มันก็เข่าอ่อนในเมื่อได้ยิน ผมหัวเราะมันในใจ

    “ภัทร ครูเห็นว่าวันนี้เธอออกจะกระปี้กระเป่ามากที่สุด ถ้างั้นมาช่วยครูทำฉลากหน่อยนะ ไคเซอร์ก็ด้วย” ครูศิริลักษณ์บอกเจมส์ ชื่อจริง ภัทร และผมให้ไปช่วยเธอทำฉลากทีม แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน คนที่ออกจะร่าเริงมันเป็นไอ้เจมส์ไม่ใช่เหรอ ทั้ง ๆ ที่วันนี้ผมก็ออกจะเบลอ ๆ ไม่ได้ยินเสียงเรียกของคุณครูด้วยนะครับ!


    5 นาทีผ่านไป

    ห้องทั้งห้องที่เคยอึมครึมด้วยบรรยากาศแห่งการเร่าเรียนก็เต็มไปด้วยสีสันและความตื่นเต้น

    “จับแล้วห้ามเปิดดูนะ ต้องเอามาให้ครูอย่างเดียว เข้าใจใช่ไหม เพราะว่าครูจะจัดสรรแผนที่หาขุมทรัพย์ได้ถูกตามความสามารถของแต่ละทีม” ครูกล่าวเสียงแข็ง

    ผมได้จับก่อนไอ้เจมส์ ใจเต้นเล็กน้อยตอนที่ล้วงมือเข้าไปในแก้วฉลากนั่น ส่วนไอ้เจมส์มีสีหน้าไม่สู้ดีนักตอนที่มันส่งม้วนกระดาษให้ครู

    “อย่าคิดมากเลยน่า วันพระไม่ได้มีหนเดียว ยังไงยังไงแกก็ต้องได้อยู่ร่วมทีมกับคนเก่ง ๆ อยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจจะเก่งกว่าฉันก็ได้” ผมพยายามให้กำลังใจมัน

    “หึ วันพระมันไม่เคยมีในปฏิทินของฉันเลยต่างหากล่ะ” มันพ่นหายลมออกจมูกอย่างเจ็บใจแล้วพูดต่อว่า “เกรด 4 อยู่แค่เอื้อมแท้ ๆ”

    “หลังเลิกเรียน ให้ทุกคนมารวมตัวกันที่ด้านหน้าอาคารกาญจนา ครูจะนำรายชื่อทีมไปติดไว้ที่บอร์ดหลักของอาคารกาญจนา ส่วนเกม... เริ่มวันพรุ่งนี้” ครูศิริลักษณ์กล่าว ผมรู้สึกได้ว่าเธอต้องมีแผนอะไรในใจแน่ถึงได้ยิ้มไม่หุบแบบนี้


    ออดดังเมื่อถึงชั่วโมงพักเที่ยง ผมซึ่งห่ออาหารมาเพียงผู้เดียวจึงต้องนั่งทานอยู่ในห้องเรียน 6/3 นี้อย่างโดดเดี่ยวบนโต๊ะเรียนข้างหน้าต่าง

    ที่โรงเรียนนี้ไม่ได้ห้ามเรื่องการนำอาหารขึ้นมาบนอาคารเรียน หึ มันก็ได้เฉพาะอาหารที่ทำมาจากบ้านหรือห่อมากินเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายเท่านั้นแหละ

    “อืม วันนี้ฉันห่อข้าวมาน่ะ คงไปทานกับพวกเธอไม่ได้” เสียงหวาน ๆ อันคุ้นหูดังขึ้นนอกห้อง

    “โห นี่เธอทำอาหารมาเองเลยเหรอ แหม แม่สีเรือนจริง ๆ นะเนี่ย” หืม ใครกัน? แม่สีเรือนที่ว่านั่น

    “แฮะๆ” มีเสียงหัวเราะแปลกดังขึ้นก่อนที่เสียงจะเงียบไป สงสัยเป็นเพื่อนห้องเดียวกันแน่ ผมคงต้องทำมาดนิ่ง ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ว่าแล้วผมก็ตักไข่แดงทั้งลูกเข้าไป อิ้ว~ ไข่แดงยังไม่สุก! สงสัยเป็นเพราะคิดเรื่องนิยายตอนแรกแหงแซะ

    “เอะ!?” เสียงอุทานเพราะความประหลาดใจกับบางสิ่งบางอย่างดังขึ้นที่ประตูห้อง ผมทำทีหันไปมองและก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือ คนที่ผมแอบมองอยู่นั่นเอง หัวหน้าห้อง 6/3 นั่นเอง นามของเธอคือ ‘ริน’ เธอคือหญิงสาวผมยาวผู้รวบหางม้า ริมฝีปากสีชมอ่อน ๆ และเรียวบาง ผิวขาวผ่องสะโอดสะองอีกทั้งรูปร่างยังบอบบางราวจะปลิดไปตามลม เธอสูงโปร่งเมื่อจัดระดับกับผู้หญิงปกติ ทว่าส่วนโค้งเว้ายั่วสายตากลับทำให้เธอเป็นคนที่เหมาะกับชุดนักเรียนและทรงผมแบบนี้มากที่สุด ดวงตากลมโตสุกสว่างสีน้ำตาลจาง ของเธอจ้องผมอย่างประหลาดใจ

    ในมือขงเธอมีห่อผ้าสีชมพูจาง ๆ สลักลายดอกไม้สีขาวเล็กน้อย เชื่อว่าน่าจะเป็นข้าวกล่อง ผมซึ่งเป็นคนไม่ทักใครและยิ้มให้ จึงทำได้ได้เพียงจ้องหน้าครู่หนึ่งแล้วก้มลงทานข้าวไข่ดาวต่อ

    “ไคเซอร์ใช่ไหม ที่เหม่อ ๆ ตอนคาบโฮมรูมน่ะ” รินถามขณะที่เดินตรงมาหาผม หา? เมื่อกี้ว่าไงนะ เหม่อ ๆ เหรอ? “ฉันหัวหน้าห้องรินนะ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่ค่อยมาสุงสิงหรือสนิทกันเท่าไหร่ก็เถอะ”

    “อะ... อืม” ไม่เคยคุยกันเลยล่ะ
    “จะจบแล้วทั้งที คงต้องทำความรู้จักกับคนอื่นที่ไม่ค่อยรู้จักอย่างนายบ้างล่ะนะ ฮ่า ฮ่า” อ้อไม่น่าล่ะ เธอถึงได้มาตีสนิท คงเป็นเพราะจะได้เห็นหน้ากันในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้วสินะ “ขอทานด้วยคนได้ไหม” รินยิ้มถาม

    “ดะ ได้สิ” ผมก็ตอบไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เอาแล้วไงล่ะ ได้ทานข้าวกับเธอเข้าให้แล้ว!

    “ไคเซอร์ห่อข้าวมาทานทุกวันเลยเหรอ” รินถามพลางลากโต๊ะมาต่อกับโต๊ะของผมและนั่งตรงข้ามกัน

    “ใช่”

    “ทำเองใช่ไหม หน้าตาน่าทานเชียว” น่าทานตรงไหนวะ กะอีแค่ข้าวสวยกับไข่ดาวไม่สุกสองลูกเท่านั้น

    “อืมใช่” ผมก็ตอบไปแบบอ่ำ ๆ อึ้ง ๆ

    “นาย... มาทานข้าวแบบนี้คนเดียวตลอดเลยเหรอ” เธอเริ่มหัวข้อหลังจากที่ตักอาหารเข้าปากได้สองคำ

    “ใช่”

    “นาย.... เป็นเพื่อนกับภัทรเหรอ คนที่ขาว ๆ พูดเก่ง ๆ นั่นน่ะ” ภัทรก็คือเจมส์

    “ใช่”

    “เรื่องเรียนต่อนี่ก็ทำให้ปวดหัวกันจริง ๆ นะ กว่าจะสอบเข้าได้เล่นออกเลือดแทบเล็ด แล้วนายยังไม่มีที่เรียนต่องั้นเหรอ ตอนที่อาจารย์ถามไม่เห็นตอบเลย” ใช้คำว่าของเสียแทบเล็ดจะเข้าท่ากว่า

    “ใช่”

    “แล้วนายคิดว่าครูศิริลักษณ์จะให้เกรดสี่กับพวกเราจริงไหม เพียงแค่ให้พวกเราเล่นเกมคลายเครียดน่ะ”

    “ใช่”

    “หึ ฉันคิดถึงแต่เรื่องนี้ตลอดเลยล่ะ เพราะเกือบสามปีที่ผ่านมาฉันอ่านหนังสือหนักมาตลอด ครั้งนี้คงต้องปลดปล่อยและทำให้มันสนุกสุด ๆ ไปแล้วล่ะ”

    “ฉันก็ว่างั้น” ผมตอบ รินนิ่วหน้าแปลก ๆ

    “นายพูดน้อยจังเลยนะ”

    “ก็ไม่รู้สิ ฉันแค่ไม่รู้จะพูดอะไรดี” เธอพูดต่อไปนั่นแหละดีแล้ว อย่ามาชวนให้ผมหาเรื่องคุยเลย เดี๋ยวเสียบรรยากาศโรแมนติคดี ๆ แบบนี้หมด

    “ยิ้มอะไรน่ะ” หืม? ผมยิ้มเหรอ

    “เปล่านี่~” ผมปฏิเสธช้าไปสองวินาที อีกทั้งยังขึ้นคีย์สูงอีกต่างหาก เธอไม่ว่าอะไร ยิ้มแฉ่งแล้วทานข้าวต่อ

    “ทำไมฉันไม่เห็นนายไปกับกลุ่มเพื่อน ๆ ตอนงานวันเกิดของนภาเลย วันนั้นเห็นว่าคุณครูศิริลักษณ์ก็ไปนะ” รินถามผมพลางมือเท้าคาง ในมือนั้นก็ถือช้อนพลาสติกอยู่

    “ฉันไม่ค่อยว่างน่ะ เธอก็ไม่ไปไม่ใช่เหรอ” ใช่แล้ว วันนั้นเขาไปกันทั้งห้อง ยกเว้นผมกับริน ทั้งที่เธอเป็นหัวหน้าห้องแท้ ๆ

    “ฉันไม่ว่างน่ะ แต่ฉันก็รู้สึกเสียดายนะที่ไม่ได้ไปทั้งที่เพื่อนเขาไปกันทั้งห้อง แล้วนายล่ะ ไม่รู้สึกเสียดายบ้างเหรอ” เธอถามกลับ

    “ก็นะ มันก็ธรรมดาอยู่แล้วที่ฉันอาจจะรู้สึก” ผมตอบ แต่ความจริงแล้ว ไม่เลยสักนิด ตั้งแต่เวลาของผมคนเดียวยังจะให้ไม่หมดแล้ว ผมไม่อยากไปเสียเวลาดูอนิเมะให้กับงานเลี้ยงไร้สีสันนั่นอยู่แล้ว ผมคิดแบบนี้ แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกผิดยังไงไม่รู้

    “นายนี่พูดน้อยกว่าคนปกติเกินไปนะ แล้วนายมีแฟนละยัง” หา!? ทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะ

    “ยัง...” ผมตอบทันควัน

    “จริงดิ” เธอจ้องหน้า

    “รินก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่ค่อยพูด แล้วจะไปมีแฟนได้ไง?”

    “น่าแปลกนะ ไม่จำเป็นต้องพูดมากพูดน้อยหรอก อีกอย่าง นายก็เป็นพวกหน้าตาดึงดูดคนด้วย” อย่าบอกนะว่าผมหล่อ หะ เดี๋ยว ๆ อย่าพึ่งคิดเข้าข้างตัวเองเกินไป ที่ว่าหน้าตาดึงดูดคนอาจจะเป็นเพราะเรื่องอื่นก็ได้

    “ดึงดูดเหรอ?” ผมลองถามหยั่งเชิง

    “ใช่” เธอตอบอย่างมั่นใจ ผมเงียบครู่ใหญ่เพราะกำลังครุ่นคิดว่าหน้าตาตัวเองมันเป็นยังไงกันแน่ทำไมถึงดึงดูดคนอื่น เธอจึงหาเรื่องอื่นมาคุย

    “ทำไมนายไม่ลองพยายามที่จะพูดแทนคิดบ้างล่ะ คนเงียบส่วนใหญ่เขาว่าจะคิดมากนะ ความคิดของเขายิ่งไม่ธรรมดาอีกซะด้วย” รินเสนอ

    “ไม่หรอก” ผมปฏิเสธในทันที

    “ทำไมล่ะ”

    “อย่าเลยจะดีกว่า ฉันว่าคนที่พูดมากน่ะคือคนที่ทำให้ตัวเองเสื่อมเสีย ความลับที่ของเขาหรือความลับของผู้อื่นที่ไม่ควรนำมาเปิดเผยก็จะถูกคนพูดมากแฉจนหมด อาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเปิดเผยความลับคนอื่นอยู่” เอ๋? พูดออกมาได้ไงวะเนี่ย ต่อหน้าคนที่ไม่สนิท... ผมพูดออกมาเป็นน้ำไหลเลย

    “ก็ถูกของนายนะ แต่ครั้งนี้นายก็พูดมากไปแล้วล่ะ” เธอจับผิดผมได้ซะแล้ว

    “เปล่า มันเป็นแค่การอธิบายเท่านั้น” ผมพยายามแก้ตัว

    หลังจากนั้นเธอก็ชวนผมคุยเรื่อง ‘เกมล่าขุมทรัพย์’ จนหมดเวลาพักเที่ยง


    ผมมองดูนาฬิกาข้อมือเลขบอก 16.50 เนื่องจากผมต้องซ้อมบอลจึงกลับบ้านช้ากว่าใครเพื่อน

    แต่วันนี้มีสิ่งที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นถึงแม้ว่าใจผมจะไม่รู้สึกอะไรก็ตาม เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากรายชื่อทีมผู้แข่งขันเกมล่าขุมทรัพย์เพื่อเกรดสี่วิชาสังคม

    แสงแดดอ่อน ๆ สีส้มส่องลอดใบไม้ของต้นราชพฤกษ์หน้าอาคารกาญจนากระทบบอร์ดประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่ เป็นบรรยากาศที่สวยงามไม่น้อย

    ทางเดินภายในอาคารนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คน ผมเดินตรงไปที่บอร์ดประชาสัมพันธ์แล้วงมหารายชื่อผู้เล่นเกม ปรากฏว่าเกมนี้มีผู้เล่นจากนักเรียนม.6/3 และม.6/2 รวมอยู่ด้วย ผมลองดูรายชื่อทีมพบว่าครูได้ทำการนำนักเรียนจากทั้งสองห้องมารวมกันเป็นทีมเดียว

    อาจเป็นเพราะว่าครูพรประภา ครูประจำชั้นม.6/2 ผู้สอนวิชาชีววิทยาร่วมมือกับครูศิริลักษณ์ เกมนี้ต้องหินแน่ ๆ ถ้าหากว่าพวกห้องสองลงแข่งด้วย

    ผมไล่นิ้วไปตามรายชื่อ ไปจนถึงทีมที่ 15 ปรากฏเป็นชื่อ ไคเซอร์ มิคาเอล ... คู่กับ ... เออ วิไลลักษณ์ พัทธนประสิทธิ์... เอ่อ ชื่อนี้คุ้น ๆ แฮะ หา! นึกออกแล้ว!

    “ริน!!!”
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 22nd January 2014 เมื่อ 17:37

  6. รายชื่อสมาชิกจำนวน 4 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  7. #4
    Brown Outstanding
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    ที่อยู่
    ม.ราม ,คณะมนุษย์ศาตร์ ,เอกภาษาญี่ปุ่น
    กระทู้
    922
    กล่าวขอบคุณ
    6,054
    ได้รับคำขอบคุณ: 466
    ติดตามอยู่นะท่าน
    Fansub

  8. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  9. #5
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 1.2 : ดินแดนแห่งมิคาเอล

    Ch. 1.2 : ดินแดนแห่งมิคาเอล

    ถ้าจะให้พูดกันจริง ๆ แล้วถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่บังเอิญที่โชคดีที่สุดในชีวิตผ

    เพราะเกมนั่นทำให้เธอได้ผ่อนคลาย และวันนั้นก็ทำให้ผมได้คุยกับเธอเป็นครั้งแรก แถมท้ายที่เยี่ยมสุด ๆ คือ... การได้ร่วมทีมกับเธอ

    เกมล่าขุมทรัพย์อาจทำให้นักเรียนหลาย ๆ คนเขวออกจากการเรียนปกติ แต่ด้วยความที่ผู้สร้างเกมอย่างครูศิริลักษณ์และครูพรประภานั้นได้คิดถึงลู่ทางและจุดบกพร่องไว้ทั้งหมดมาเป็นอย่างดี จึงทำให้ครูศิริลักษณ์ยกชั่วโมงเรียนของเธอหนึ่งชั่วโมงในหนึ่งสัปดาห์ให้เหล่าผู้เล่นได้แก้ปัญหาและคิดค้นเส้นทางสู่ขุมทรัพย์เกรดสี่ในทันที แต่เกมยังไม่เริ่ม ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรกันแน่ มันจะเหมือนกับเกมสะกดรอยหรือพวกสืบค้นตามข้อความหรือไม่คงต้องรอดูกันต่อไป...

    20.55 น. คือจุดที่เข็มนาฬิกาเรือนเก่าติดผนังในห้องครัวเล็ก ๆ นี้บ่งบอก

    ผมยืนรอหม้อน้ำใบเล็กบนเตาแก็สหัวเดี่ยวเพื่อที่จะนำโจ๊กซองลงไปหลอมในน้ำที่กำลังจะเดือดนั่น

    อาหารของเด็กวัยเจริญพันธุ์อย่างผมกลับเป็นโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปแทนที่จะเป็นข้าวผัดปูหรือไม่ก็ข้าวคลุกกะปิของโปรดของผมไปแทน แต่ด้วยงบประมาณอันน้อยนิดที่ต้องกินเกลือกินน้ำปลาไปวัน ๆ สิ่งที่ดีที่สุดของผมก็คงไม่พ้นข้าวผัดธรรมดา ๆ จานหนึ่งเท่านั้น ชีวิตนี้ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก...

    เงินที่ได้มาจากงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟ ‘อำพลคอฟฟี่’ ก็ได้แค่วันละสองร้อยเท่านั้น ที่ได้น้อยแค่นี่นั่นเป็นเพราะว่าเวลางานของผมมันมีแค่สี่ชั่วโมงเท่านั้น อีกทั้งยังแบ่งออกเป็นสองช่วงอีกต่างหาก โดยช่วงแรกคือตั้งแต่ 17.30-19.30 น. ส่วนช่วงที่สองคือ 04.00-06.00 น. ถ้าหากว่าใครเห็นเวลาทำงานของผมล่ะก็คงต้องร้อง ‘โอ้!’ ด้วยความประหลาดใจทันที

    แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมต้องเหงื่อไหลหรือร่างกายอ่อนเปลี้ยเมื่อเลิกงาน นั่นก็เป็นเพราะว่าร้านอำพลคอฟฟี่เป็นร้านกาแฟเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในซอยเล็ก ๆ พร้อมกับลูกค้ากลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกค้าขาประจำ ผมรู้จักหมดทุกคนอยู่แล้ว!


    ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

    มีเสียงเคาะประตูบ้าน บ้านนี้ไม่ใหญ่มากนักถึงแม้ว่าจะมีสองชั้นก็ตาม แต่ถ้าหากว่ามีใครเรียกตะโกนหรือเคาะประตูหน้า คนที่อยู่ด้านในก็จะรับรู้ได้ในทันที

    “มาแล้วคราบ~” ผมหมุนปิดแก็สก่อนเพื่อความปลอดภัย หลังจากนั้นก็ตรงไปที่ประตูหน้า ไม่ห่างจากห้องครัวนัก เดินแค่สิบก้าวก็ถึง

    ผมเปิดประตูออกและก็พบกับหญิงสาวหน้าละอ่อน ร่างเล็ก สูงประมาณหัวไหล่ผม ริมฝีปากของเธอเป็นสีชมพูสว่างสดใสพร้อมกับผมยาวประบ่าสีเกาลัดเงาสลวย อีกทั้งส่วนโค้งเว้าได้รูปราวกับสาวยี่สิบต้น ๆ ทั้งที่เธออายุแค่ 17 ปีเอง เธอสวมเสื้อยืดคอวีสีขาวพร้อมกับกางเกงยีนขาสั้นเลยหัวเข่าขึ้นมาสองนิ้ว เธอยิ้มให้ผมอย่างงดงาม ผมยิ้มตอบแล้วก็

    ‘ปัง!’

    ผมปิดประตูอัดหน้าเธอในทันที

    “อะไรกันเนี่ยไค! ปิดประตูอัดหน้าฉันทันทีที่พบเลยเหรอ! ไค ตุบ ตุบ ตุบ” เธอพยายามเร่งเร้าพลางทุบประตูอย่างรุนแรง

    “ไค เปิดหน่อยซี~ เปิดให้ฉันหน่อยเถอะน้าไค... ฉันกลัวผี~ ข้างนอกนี้มืดจะตาย” น้ำเสียงเธอสั่นเครือคล้ายจะร่ำไห้ ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ และเธอก็ทุบประตูไม่หยุดมือ ถ้าหากว่าผมปล่อยไว้แบบนี้คงได้มีบาทาหรือคำด่าทอจากเพื่อนบ้านแน่ ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องเปิดมันและเผชิญหน้ากับเธอ

    “โย่ววววว ไคเซอร์!” เธอทักหน้าบาน ทั้ง ๆ ที่เมื่อตะกี้ยังบอกว่ากลัวผีเนี่ยนะ ผมเลยกะที่จะปิดประตูอีกทีแต่มือเธอกลับคว้ากลอนไว้ได้ก่อน เธอผลักผมเข้าบ้านเพื่อให้ผมออกห่างจากประตู จากนั้นเธอก็เดินเข้ามา ล็อกประตูอีกซะด้วย! ถ้าหากว่าเป็นครั้งแรกของผมล่ะก็คงได้ร้องลั่นแน่ แต่นี่ไม่ใช่ ที่เธอทำแบบนี้ก็เป็นครั้งที่ห้าแล้ว

    สาวน้อยหน้ารักผู้นี้มีชื่อว่า ‘ลิลลี่’ อยู่ม.6/1 โรงเรียนเดียวกันกับผม ส่วนที่เห็นว่าการวางตัวใคร่สนิทชิดเชื้อกับผมแบบนี้ก็เพราะว่าเธอเป็นลูกสาวคนโตของลุงอำพล ลุงขายกาแฟซึ่งผมกำลังทำงานพาร์ทไทม์อยู่

    ลิลลี่เป็นเด็กสาวร่าเริงและเข้ากับผู้อื่นง่าย ถึงแม้ว่าบุคลิกของเธอออกจะเป็นคนห่วงเล่นแต่ความจริงแล้วเธอจริงจังกับการเรียนอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว ผมก็ตะลึงไม่น้อยเช่นกันที่คนอย่างเธอจะเรียนเก่งได้มากขนาดนี้ หึ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้อยู่ห้อง 6/1 อยู่แล้ว

    “ใจร้ายจังเลยน้าไคเซอร์... กับเด็กผู้หญิงปกป้องตัวเองไม่ได้นายกลับปิดประตูไม่ต้อนรับ” ลิลลี่หน้ามุ่ย แต่ร่างของเธอกลับกระโดดโลดเต้นไปยังโซฟาสีเหลืองซีดใกล้ ๆ เธอทิ้งร่างเล็ก ๆ ของเธอลงนอนขาไขว่กันอย่างสบายใจ “ถ้าฉันได้อยู่บ้านแบบนี้คนเดียวนะ ฉันจะจัดปาร์ตี้ให้สนุกสุดเหวี่ยงไปเลย!”

    “ทำไม่ได้หรอก” ผมเอ่ยดักทาง “จากการคำนวณแล้ว บ้านหลังนี้สามารถอยู่อาศัยได้ดีแค่ 3 คน อัดกันอยู่ได้ 6 คน และอัดเป็นปลากระป๋องได้ 179 คน จัดปาร์ตี้ปกติได้ 10 คน แต่ถ้าหากจะจัดปาร์ตี้สุดเหวี่ยงอย่างที่ว่าล่ะก็ คงได้แค่ 5 คนเท่านั้น ” ผมขยับแว่นตาแล้วเดินกลับไปที่ครัว มีเสียงหัวเราะจากลิลลี่พักหนึ่งแล้วเธอก็พูดว่า

    “นายคิดได้ไงกัน มุกละเปล่าเนี่ย”

    “เปล่า... แล้วดึกดื่นแบบนี้มาหาฉันทำไม ต้องการคนงานรึไง” ผมถามเธอในระหว่างที่เปิดแก็สต้มโจ๊กต่อ ผ่านไปคูร่ใหญ่ผมก็นำผงโจ๊กลงคน จากนั้นก็ตามด้วยไข่ไก่ฟองใหญ่ ลิลลี่ลุกออกจากโซฟาแล้วมุ่งตรงมาหาผม เธอพูดว่า
    “ไม่หรอก... ก็แค่อยากมาเห็นหน้าที่รักก็เท่านั้นเอง คิดถุงนะ รู้ไหม” คำพูดของเธอที่ว่า ‘ที่รัก’ ทำให้ผมขนลุกขนชันในทันที

    “เอาดี ๆ” ผมตัดบท

    “แหม พูดเล่นพูดหยอกหน่อยก็ไม่ได้ จะงอนไปไหนเนี่ย...” เออ เอาเข้าไป “คือว่านะ ตอนนี้น่ะ เอ่อ จะว่ายังไงดีล่ะ...” ถ้าทางแปลกไปนะ รู้ตัวไหม “นายจะว่าอะไรไหม ถ้าหากว่ามีคนเข้ามาอยู่ด้วยซัก... คน...” ผมจ้องหน้าเธอเขม็งจนเธอวางท่าไม่ถูก

    “หมายความว่าไง...” ผมรุกถามเพื่อให้ได้ข้อมูลที่กระจ่างมากขึ้น

    “เรื่องนั้นพ่อฉันขอร้องมาน่ะ อันที่จริงฉันก็ไม่อยากให้ใครมาอยู่กับที่รักหรอกนะถ้าไม่ใช่ฉัน” เธอพูดที่รักอีกแล้ว!

    “ลุงอำพลเหรอ? ฝากเธอมาบอกฉัน แล้วทำไมลุงไม่มาบอกด้วยตัวเองเลยล่ะ” ผมทำหน้างง

    “พอดีว่าพ่อกำลังหาทางอื่นอยู่น่ะ ถ้าหากว่าหาไม่ได้พ่อก็จะมาขอร้องด้วยตัวเองอีกที คงได้คำตอบพรุ่งนี้ แล้วนายล่ะว่าไง”

    “ถ้าเรื่องพักน่ะฉันไม่ค่อยมีปัญหานักหรอก แล้วคนที่จะมาพักบ้านฉันเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน” ผมถามเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ดูเหมือนว่าลิลลี่จะขำไปกับคำพูดของผมเล็กน้อย

    “ไม่รู้...” เธอตอบคล้ายไม่แน่ใจ “เธอคล้าย ๆ คนบ้านนอกไกลความเจริญหรือไม่ก็... คนหลงยุค”

    “หลงยุค? เธอ? แสดงว่าคน ๆ นั้นเป็นผู้หญิงเหรอ” ไม่น่าล่ะลิลลี่ถึงได้เล่นมุกแบบนั้น “แล้วอายุล่ะ”

    “ไม่รู้เหมือนกัน แต่จากผิวพรรณและหน้าตาแล้วก็ประมาณ สิบหกถึงสิบเก้าปีนี่แหละ... หะ!? ถามแบบนี้หมายความว่าไง นี่นายคิดจะนอกใจฉันแล้วไปกินเด็กใหม่อย่างนั้นเรอะ!” ลิลลี่ชี้หน้าผมพลางยื่นหน้าขาว ๆ เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ อะไรกันเนี่ย!

    “ปะ เปล่านี่...” ผมได้ยินเสียงเดือดปุด ๆ ของหม้อน้ำต้มโจ๊ก ผมจึงปิดแก็สซะ แล้วเทมันลงถ้วย สิ่งนี้ทำให้ผมรอดจากลิลลี่ได้หวุดหวิด

    “เอาเถอะ ๆ ฉันก็มีเรื่องมาบอกแค่นี้แหละ ดึกแล้วฉันคงต้องนอนแล้วล่ะ” ลิลลี่หาวหวอดเอามือกุมปาก เธอตรงไปทรุดกายที่โซฟาตัวเดิม

    “กลับไปนอนบ้านตัวเองสิ” ผมเอ่ยเสียงต่ำ แต่ร่างเธอไม่ขยับ ด้วยเหตุนี้ผมจึงเดินไปจี้เธอที่ใต้สีข้าง

    “ว้าย!” ลิลลี่สะดุ้งเฮือกใหญ่ เธอพลิกร่างสามตลบกว่าจะหันหน้ามาค้อนตาใส่ผมได้ ผมยิ้มเยาะเพราะความสะใจ

    “ฝากไว้ก่อนเถอะไค ถึงฉันจะไม่ได้นอนบ้านนายแต่ครั้งหน้าไม่พลาดแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ลิลลี่ท้าวใส่เอวหัวเราะคำใหญ่พลางเดินออกจากบ้านไปมาดมาเฟียหัวโต “นาย ตก เป็น ของ ฉัน แล้ว เรื่องเกมล่าเกรดสี่น่ะ พยายามเข้าล่ะ” และนั่นคือคำพูดทิ้งท้ายก่อนที่ร่างของเธอจะหายไป

    รู้ด้วยเหรอว่ามีการแข่งขัน แสดงว่าเรื่องนี้คงเป็นที่น่าสนใจจากผู้คนไม่น้อยสินะ

    ผมเดินถือถ้วยโจ๊กขึ้นชั้นสองไปนั่งทานหน้าคอมแล้วรับชมอนิเมะ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ถือว่าเป็นน้ำพักน้ำแรงของผม พึ่งได้มาเมื่อตอนม.5 แต่ก็คุ้มสำหรับการเก็บออมและทำงาน เพราะสเปคและคุณภาพของมันถือว่าอยู่ในระดับดีเยี่ยม อีกอย่าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดี ๆ สมัยนี้ก็ราคาถูกด้วย นี่อาจจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผมดำรงชีวิตด้วยความอดอยากอยู่ก็เป็นได้

    สอบกลางภาคคือสัปดาห์หน้า หนังสือยังไม่ได้แตะสักเล่ม อันที่จริงผมก็ไม่ค่อยได้อ่านมันนักถึงแม้ว่าจะอยู่ในยามสอบก็ตาม ไม่ได้คิดหนักเลยแม้แต่น้อย...

    “จะว่าไป เด็กสาว... หลงยุค? อย่างนั้นเหรอ...” ผมครุ่นคิดถึงคำพูดของลิลลี่ นิยายนางงูสุดซึนกับเทพบุตรกำมะลอของผมก็มีตัวละครคล้าย ๆ คนที่ว่านี้ด้วยสิ... “ว่าไปนั่น คงแค่บังเอิญล่ะมั้ง บางที... ช่างเหอะ” ผมเลิกคิดแล้วก้มหน้าซดโจ๊กต่อ

    ในตอนนี้ผมอยู่ในห้องส่วนตัวแล้ว และมันก็ทำให้ผมได้มีหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างที่ผมอยากจะทำในเวลาที่เหลือด้วย

    เอาล่ะ ขอต้อนรับสู่โลกส่วนตัวของผม ‘Michael Land’ โลกส่วนตัวที่ถูกรังสรรค์ปรุงแต่งขึ้นโดยตัวผม สร้างเสริมและสั่งสมมาตลอดชีวิตทั้งหมด กลายมาเป็นดินแดนแห่งความสนุกสนานและดินแดนต้องห้ามในเวลาเดียวกัน ถ้าถามว่าทำไมต้องห้ามน่ะเหรอ หึ ก็มันเป็นดินแดนส่วนตัวนี่นา

    ทีนี้ผมจะพาเที่ยวชมก็แล้วกัน

    ดินแดนที่หนึ่ง ‘Song of Music’

    ดินแดนที่เต็มไปด้วยเสียงเพลงอันไพเราะ ผมคงอยู่ไม่สุขแน่ถ้าขาดมันไป มันคือสิ่งที่ทำให้ผมได้มีความคิดและอารมณ์ที่ดีขึ้นอยู่เสมอ แต่ผมเป็นพวกชอบปลุกอารมณ์ให้ฮึกเหิม จึงมีแต่เพลงซาวด์แทร็กอยู่มากเลยทีเดียว บางครั้ง ถ้าหากว่าเผลอไปเปิดเพลงแนวลาตินหรือไม่ก็เพลงฮิพฮอบทำนองมันส์ ๆ ล่ะก็ คงอดใจไม่ได้ที่จะเต้นไปตามมัน

    ดินแดนที่สอง ‘Read and Write the World’

    ดินแดนที่สองนี้ก็ถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์และ ส่วนตั๋วส่วนตัวเอามาก ๆ เนื่องจากดินแดนแห่งนี้คือดินแดนที่ผมสามารถถ่ายเทอารมณ์และความรู้สึกที่ถูกกักเก็บไว้ ระบายออกมาเป็นเรื่องราวหรือตัวหนังสือได้ สิ่งนี้ทำให้ผมมีความสุข ผมสนุกและรู้สึกเหมือนได้มีคนรับรู้ว่าผมทำอะไรได้บ้างเมื่อได้เขียนมัน เหอะ ผมก็ทำได้แค่นำมันไปลงในอินเทอร์เน็ตเท่านั้นแหละ

    ดินแดนที่สาม ‘Excitement of Everything’

    นี่อาจเป็นดินแดนที่ใครหลาย ๆ คนมีกันอยู่แล้ว นั่นคือ ภาพยนตร์ วีดีโอเกม ละคร ซีรีส์ กีฬา การแข่งขัน หรืออื่น ๆ ผมไม่ค่อยได้มาเยี่ยมเยียนดินแดนนี้นัก เนื่องจากเวลาอันน้อยนิดในโลกใบนี้จึงทำให้สิ่งของที่ว่ามานั้นต้องเงียบเหงาไป แต่ถ้าหากเป็นเรื่องฟุตบอลล่ะก็ ผมตามติดไม่ขาดสายเลยล่ะ

    ดินแดนที่สี่ ‘All About Japan’

    โอตาคุ นั่นอาจจะเป็นคำที่เหมาะสมสำหรับผมมากที่สุด เพราะตั้งแต่ผมได้รู้จักวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมา มันก็ทำให้เวลาของผมเกือบทั้งหมด ต้องหมดไปกับการดูอนิเมะ ฟังเพลงประกอบอนิเมะ ล่าข่าวสารอนิเมะ เก็บตังค์ซื้อแผ่นเพลงและบ็อกเซ็ท วาดภาพสไตล์มังงะ จนในตอนนี้ ห้องผมก็ได้กลายเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยของสะสมของญี่ปุ่นอย่างมากมาย อะ! ถ้าเรื่องที่จะมีคนย้ายเข้ามาอยู่ด้วยล่ะ! ไม่หรอก เขาไม่เคยรู้จักเรามาก่อนคงไม่เป็นอะไร ละมั้ง...

    ในอนาคต ดินแดนที่ห้าที่หกและที่เจ็ดอาจก่อร่างขึ้นมาโดยที่ผมไม่รู้ตัวก็ได้ โลกส่วนตัวแห่งนี้ผมรักมันมาก มันเป็นสิ่งเดียวที่ถนอมจิตใจและทำให้ผมมีความสุข ถ้าหากว่าใครมาทำลายมันล่ะก็ คงไม่ได้ตายดีแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ว่าไปนั่น

    ผมเป็นคนที่แปลกมนุษย์คนหนึ่ง ก็แหงล่ะ มีสายเลือดเทพเจ้ายังไงก็ต้องแปลกอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้แปลกจริง ๆ มันเป็นเรื่องของลักษณะนิสัย อาจพบได้ทั่วไปแต่เป็นบุคลิกที่หายากในสังคม

    ผมเป็นพวกไร้ความตื่นเต้นในสถานการณ์ที่ควรจะตื่นเต้น แต่บางหนก็ทำให้ผมหัวใจเต้นตึกตักได้ อย่างเช่นยามเดินเข้าไปทักลูกค้าสาวหน้ารัก ๆ เพื่อถามรายการที่จะสั่งตอนทำงาน หรือไม่ก็ยามที่รอผลสอบเก็บคะแนน คงต้องย่ำว่าบางครั้งเท่านั้น ไม่ได้ตื่นเต้นตกอกตกใจเสมอไป

    ทว่า การมาโรงเรียนในวันนี้กลับเป็นวันที่ผมอยู่ไม่สุขเพราะความตื่นเต้นมากที่สุดเลยล่ะ

    “หวัดดีไคเซอร์ เราได้อยู่ร่วมทีมกันแล้วสินะ” รินยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนและน่ารัก อยู่ด้านหน้าของประตูห้องเคมีในชั่วโมงแรกของวันนี้ เรื่องการร่วมทีมกับหัวหน้าผู้หน้ารักอะไรนั่นไม่ทำให้พวกเพื่อน ๆ ของผมประหลาดใจเท่าการที่รินทักทายผมอย่างสนิทสนม

    ผมทำได้แค่พยักหน้าตอบเธอไปเท่านั้น

    ***


    ณ ประตูบ้านซึ่งสลักชื่อ ‘MICHAEL’ บนป้ายไม้แผ่นกว้างในยามเที่ยงแดดร้อนเปรี้ยง

    เด็กสาวหน้าตาน่ารักผมสีดำยาวถึงกลางหลังสวมหมวกแก็บยืนถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ด้วยท่าทีมุ่งมั่น เธอดั้นด้นมาไกลแสนไกลจนในที่สุด เป้าหมายสุดปลายทางของเธอก็อยู่ตรงหน้าแล้ว

    “ในเมื่อมุ่งมั่นมากขนาดนี้ก็ต้องทำให้ได้ ในที่สุดฉันก็จะได้พบแล้ว... ไคเซอร์!” เธอยกแขนชูสามนิ้วแล้วร้องเสียงก้องจนวินมอไซค์ซึ่งกำลังขี่ผ่านมามองตาไม่กระพริบด้วยความพิศวง
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 22nd January 2014 เมื่อ 17:36

  10. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  11. #6
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    แฮะ ๆ ช่วงนี้ไม่ว่างแต่ง เลยเอาหน้าปกเรื่อง(เน่า ๆ) มาแปะ


    ปล. ไม่มีสีลง

  12. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  13. #7
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 1.3 : “ไคเซอร์!!!”

    Ch. 1.3 : “ไคเซอร์!!!”

    เที่ยงวันแล้ว ผมก็ต้องมานั่งทานข้าวกล่องอยู่ในห้องเรียน 6/3 นี้อีกเช่นเคย แต่ที่เปลี่ยนไปคือ... เธอมาทานกับผมเป็นครั้งที่สอง

    ผมเปิดฝากล่องข้าว ด้านในมีไข่เจียวแผ่นบางแผ่นหนึ่ง ปกคลุมข้าวสวยไว้อย่างมิดชิด

    “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะ เราได้อยู่อยู่ทีมเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่เราพึ่งได้คุยกันจริง ๆ จัง ๆ ก็เมื่อวานนี้เอง...” รินส่งยิ้มแปลก ๆ ตอนพูด... ไม่อยากจะเชื่อเลยเหรอ? ไม่คิดว่ามันเป็นพรมลิขิตเหรอ!?

    “แต่ฉันว่ามันก็ไม่เลวหรอกนะ เพราะถ้าหากว่าเป็นเพื่อนสนิทด้วยกันมาก่อน ฉันก็อาจจะไม่ได้รู้จักไคเซอร์ก็ได้” เธอพูดไปยิ้มไป มันทำให้ผมเริ่มใจเต้นระรัว

    “หมายความว่า...” ผมทอดเสียงเพื่อคำพูดที่ชัดเจนมากขึ้น

    “หืม? ก็หมายถึงว่าฉันได้สนิทกับนายเพิ่มขึ้นอีกคนไง” เธอตอบ

    “อ้อ...” ผมพยักหน้าทีหนึ่ง “เอ่อ คือว่า... เรียกฉันว่าไคเฉย ๆ ก็ได้ ถ้าพูดไคเซอร์เต็มยศ มันฟังดูแปลก ๆ น่ะ ความรู้สึกคล้ายครูเรียกยังไงไม่รู้” ผมบอก เธอนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแทนคำพูด

    “เออใช่!” เธอโพล้งขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก “เรื่องปริศนาแรก ไครู้ละยัง?”

    “หา? ครูบอกแล้วเหรอ” ผมวางช้อนลงแล้วเก็บกล่องห่อข้าวเนื่องจากทานจนหมดแล้ว

    “ยังหรอก ๆ ฉันแค่อยากจะถามว่านายรู้เรื่องเวลาปล่อยปริศนาแรกรึเปล่า”

    “อ้อ ฉันรู้แล้วล่ะ... แล้วทำไมเหรอ”

    “ฉันตื่นเต้นนิดหน่อยน่ะ” รินตอบพลางเคาะนิ้วรัว ตื่นเต้นนิดหน่อยเหรอ? แต่ท่าทางมือไม้สั่นระรัวพร้อมกับรอยยิ้มอย่างเบิกบานติดหน้าแบบนั้นคงไม่นิดหน่อยแล้วล่ะ

    “ไอ้ไค~~!!!!!”

    เสียงลากยาวคุ้นหูดังขึ้นนอกห้องก่อนที่ร่างของเจ้าตัวจะโผล่มา

    “ไอ้ไค!~” เจ้าของเสียงคือไอ้เจมส์นั่นเอง สงสัยมีเรื่องดีเกิดขึ้นกับมันแหง ถึงทำให้มันร้องเรียกผมเสียงหลงแบบนี้ จะมาขัดช่วงเวลาเลิฟ ๆ ของตรูทำไมกันฟระ!

    “เฮ้ยไค! ไค! ไค!” มันวิ่งตรงเข้ามาเขย่าหัวไหล่ผมรัว “แกรู้ไหม! แกรู้ไหม! ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ไอ้เจมส์มันพูดไม่เป็นคำ สีหน้าก็เต็มไปด้วยแสงสีแห่งความสุข

    “ไค! ไค! ไค! แกรู้ไหม! แกรู้ไหม!” มันกระตุกร่างผมไม่หยุด

    ผมยื่นมือกำคอมันแบบหลวม ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงของนักฆ่ายมทูตว่า “ใจเย็น ๆ ก่อนเพื่อน”

    “โอ้” ไอ้เจมส์มันปล่อยมือจากไหล่ผมทันที ผมก็ปล่อยมือจากต้นคอมัน “โทษที แฮะ ๆ พอดีมันอดใจไม่ไหวน่ะ” มันเกาหัวไปมา อดใจไม่ไหวเรื่องเขย่าร่างคนอื่นเนี่ยนะ

    “สวัสดีภัทร” รินหันมาทักเจมส์

    “อะ...” เจมส์มีสีหน้าตกตะลึงกับอะไรบางอย่าง มันมองหน้ารินครู่ใหญ่ก่อนที่จะมองหน้าผมครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็มองไปยังโต๊ะเรียนซึ่งมีข่าวกล่องของรินวางอยู่ ด้านในก็เป็นกะเพราหมูพร้อมกับข้าวสวยหน้าตาน่าทานสุด ๆ ทว่า ผมยังไม่ได้ลิ้มรสมันเลย

    “ขอตัวเดี๋ยวนะครับ” ไอ้เจมส์มันยิ้มให้รินแล้วลากคอผมออกมาจากห้อง

    “เฮ้ย หมายความว่าไงวะไค นี่แกไปรู้จักกับคุณหัวหน้าสุดสวยคนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ปกติแกก็ไม่ค่อยคุยกับคนอื่นไม่ใช่เหรอ แบบนี้มัน แบบนี้มัน...” เจมส์กล่าวน้ำเสียงกระแทกอย่างแผ่วเบา

    “เปล่านี่ ฉันก็พึ่งได้คุยกับเธอเมื่อวานนี้เอง” ผมตอบไปหน้าตาย

    “หะ?! รู้จักกันแค่วันเดียวถึงกับทานข้าวด้วยกันเลยเหรอ ฉันไม่เชื่อหรอก!” มันรัดคอผมแน่นขนัด

    “แล้วแต่จะคิดก็แล้วกัน” ผมสลัดออกจากการรัดคอแล้วเดินกลับเข้าห้อง รู้สึกว่ามันจะยืนงงอยู่อย่างนั้นแล้วมองหลังผมจนหายลับไป ไม่นานมันก็วิ่งกลับเข้ามาหาผมที่โต๊ะเดิม

    “ว่าไงเจมส์” ผมทำทีทักมัน

    “ไม่ต้องมาทักเลย ชิ่งได้ของดีไปก่อนฉันแบบนี้ มันน่านัก!” เจมส์กะจะเอาเรื่องผม

    “เออใช่ แกมีเรื่องดีมาไม่ใช่เหรอ ไม่ลองเล่าให้ฉันฟังหน่อยล่ะ” ผมเปลี่ยนบรรยากาศ ไม่ให้มันกลายเป็นเวลาของผมกับเจมส์จนเกินไป

    “ว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” มันระเบิดหัวเราะออกมาทันใด

    “แกคงไม่รู้หรอกว่าฉันจับฉลากได้คู่กับใคร ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เกรดสี่อยู่แค่เอื้อม ฮ่า ฮ่า ฮ่า” มันพูดพลางหัวเราะอย่างพออกพอใจเป็นที่สุด

    “ถ้าให้เดา คงเป็นหนึ่งในกลุ่มของรินที่มีผลการเรียนดีที่สุดของห้อง... ใช่ไหม” ผมกล่าว

    “เอื้อก!” ไอ้เจมส์กระอักเลือด “แกรู้ได้ไง แกรู้ได้ยังไงกัน! ถ้าเป็นแบบนี้ มีหวังแกต้องเอาเกรดสี่ไปจากฉันแน่!” มันกระชากคอเสื้อผมอย่างรุนแรง

    “หืม? เพื่อนในกลุ่มของฉันเหรอ จะว่าไป...” รินเอ่ยขึ้นขัดลำไอ้เจมส์ ตัดความสนใจจากพวกเราทั้งสอง “ภัทรคู่กับมะนาวใช่ไหม”

    “มะนาว... ใช่ ใช่แล้ว แล้วมะนาวรู้เรื่องนี้ละยัง ปกติฉันไม่ค่อยสนิทกับพวกเรียนเก่งน่ะ” ไอ้เจมส์พูด

    “ไม่กล้าเข้าหาคนที่ชอบล่ะสิ” ผมเอ่ย

    “ไอ้ไค! แกจะเอาอะไรจากฉันหา!” ไอ้เจมส์มันตะเบ็งใส่ผม เพราะผมไปพูดแทงใจดำมันเข้า หึ เกมในครั้งนี้คือสิ่งที่ดีเยี่ยมจริง ๆ สำหรับบางคนล่ะนะ แต่สำหรับไอ้เจมส์ นั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตมัน

    มะนาว สาวผมยาวร่างเล็กและมีดวงตากลมโต เธอเป็นคนขี้อายและซุ่มซ่าม บุคลิกผิดกับชื่อ ‘มะนาว’ ลิบลับ แต่เธอไม่ไร้เดียงสา เรื่องอะไรลามกเธอรู้จักหมด ทว่า เธอก็ไม่คิดเรื่องนี้มากนัก ผมก็ไม่รู้เบื้องหลังเบื้องลึกของเธอเพราะไม่ได้สนิทกัน คงต้องถามไอ้เจมส์ถึงจะถูก เพราะว่ามันแอบชอบเธออยู่

    ส่วนผมน่ะเหรอ ถึงจะบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดก็ตาม แต่คนที่ผมแอบชอบไม่ใช่ริน รินน่ะเป็นแค่คนที่ผมแอบมองก็เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เธอก็คงไม่ได้คิดเรื่องรักใคร่อะไรเทือกนั้นกับคนอย่างผมอยู่แล้ว

    “หรือว่า หัวหน้าจะ...” หึ คงนึกออกแล้วสินะ

    “ใช่ ฉันอยู่ทีมเดียวกันกับไคน่ะ” รินตอบเจมส์พร้อมรอยยิ้ม

    “อ้าก~ จะบ้าตาย ผู้ชายที่เรียนเก่งที่สุดกับผู้หญิงที่เรียนเก่งที่สุดของห้อง 6/3 ได้อยู่ทีมเดียวกัน เกรดสี่ฉัน เกรดสี่ของช่านนนนน~~” ไอ้เจมส์สติหลุดซะแล้ว


    12.33 น. ผม เจมส์ และริน เดินตรงไปที่ห้องพักครูวิชาสังคมเพื่อไปรับปริศนาแรก

    ด้านหน้าของห้องมีคนมารอรับแน่นขนัด กว่าผมจะนำมันออกมาได้ ก็ใช้เวลากว่าห้านาที มะนาวเห็นเจมส์อยู่ร่วมกับผมและริน เธอจึงตรงเข้ามาหาทันที

    “นี่มะนาว เธอได้อะไรเหรอ” รินถามมะนาวอย่างสนอกสนใจ

    “อะ เอ่อ...” มะนาวกะจะตอบ แต่ดูเหมือนว่าเธอเกรงใจผมกับเจมส์อยู่

    “นี่ เขาไม่ให้บอกปริศนากับทีมอื่นนะ” ผมรั้งรินไว้

    “อะ อ้อ โทษที แฮะ ๆ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องไปเปิดปริศนาแบบลับ ๆ ด้วยสิ” รินถาม

    “กะ ก็คงจะอย่างนั้น... ล่ะนะ” ผมตอบ น่าแปลกที่บางครั้งผมก็อายที่จะพูด แต่บางครั้งผมก็พูดเหมือนเพื่อนสนิทกับริน

    “ถะ ถ้างั้น ฉะ ฉะ ฉันจะไปดูปริศนา กะ กะ กับมะนาวนะ นะ” ไอ้เจมส์พูดติด ๆ ขัด ๆ เมื่อมะนาวเข้ามาหาเขา

    “อะ อืม ฉะ ฉะ ฉะ โชคดี” ผมโบกมือให้ แล้วแต่ละทีมก็แยกย้ายกันไป


    ผมและรินเดินเคียงคู่แบบเกร็ง ๆ ตรงมาหน้าอาคารกาญจนา ที่นี่มีม้านั่งมากพอสำหรับนักเรียน 50 คน มีต้นไม้สูงใหญ่ถูกปลูกขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างความร่มเย็นให้แก่นักเรียนที่มาใช้ อีกทั้งลมเย็นยังถ่ายเทไหลเวียนเป็นอย่างดีด้วย ผิดอยู่ตรงที่ว่า ตอนนี้มันต้นเดือนมกราคม

    “เธอเปิดเลยนะ” ผมบอกรินในขณะที่เรากำลังเดินไปนั่งยังม้านั่งสีส้มตัวหนึ่ง

    “นายไม่เปิดเหรอ” เธอถามอย่างเกรงใจ แต่ใจจริงเธอก็อยากเปิดสุด ๆ เลยนี่นา

    “หึ เธอแหละเปิด” คำนี้ทำให้รินไม่กล้าหือ

    “ก็ได้”

    พวกเรานั่งแล้วข้าง ๆ กัน แล้วก็... คลี่กระดาษซึ่งถูกพับครึ่งออกมา ด้านในเขียน ไม่สิ มันถูกพิมพ์ไว้ว่า

    [ปริศนาที่ 1 ของทีม ไคเซอร์ & วิไลลักษณ์

    โจทย์ : 1. สิ่งที่ทำให้รู้ว่า “นก” มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน คือ?

    2. จงหาสถานที่ของคำตอบในข้อที่ 1.

    3. เมื่อเจอสถานที่นั้นแล้ว ให้หาแผ่นกระดาษสีแดง นั่นคือปริศนาที่ 2

    หมายเหตุ

    - ปริศนาที่ 2 จะถูกเก็บเมื่อเวลาผ่านไป 48 ชั่วโมง

    - หากว่าทีมคุณหาปริศนาที่ 2 ไม่เจอ ทีมของคุณก็จะตกรอบ

    ขอให้โชคดี]

    ผมกับรินนั่งอ่านข้อความที่ว่านี่สองรอบ แล้วค้ำคางกับโต๊ะครุ่นคิด

    “มีเวลาสองวันงั้นเหรอ...” ผมเอ่ยลอย ๆ

    “นายว่า... มันเกี่ยวกับชีวะไหม?” รินเอียงคอถามผมอย่างสงสัย “เพราะเขาพูดถึงสิ่งมีชีวิตอย่าง ‘นก’ กับ ‘วิวัฒนาการ’ น่ะ”

    “จะว่าไป... ก็ใช่นะ” ผมขมวดคิ้วตอบ “ความรู้สึกของปริศนาแรก มันก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร” ใช่แล้ว มันก็แค่หาว่า ‘สิ่งใด อะไร ทำให้เรารู้ว่า นกมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน จากนั้นก็แค่ตามหาสถานที่ที่ว่า’

    “ฉันก็ว่างั้น” รินกล่าวพลางจ้องมองไปยังแผ่นกระดาษ

    “รินเก็บมันไว้นะ ส่วนฉันจะจดมันเอง” ผมล้วงกระเป๋านำสมุดโนทออกมาแล้วเริ่มจด

    บรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ เหมือนเธอกำลังคิดตริตรองอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อผมจดปริศนาและเก็บสมุดโนทลงกระเป๋าเสร็จ เธอก็ตั้งหน้าถามทันที

    “นี่ ไค บ้านนายอยู่ที่ไหนเหรอ” เอ๋? ทำไมถามเรื่องนี้ล่ะ

    “อะ เออ... ก็อยู่แถวซอย 4 ใกล้ ๆ โรงเรียนนี้แหละ” ผมตอบพลางขยับแว่น

    “จริงดิ!? แล้วทำไมฉันไม่เห็นนายเลยล่ะ”

    “หมายความว่าไง”

    “บ้านฉันอยู่ซอยลอยกระทง เดินทางผ่านหน้าบ้านนายตลอดทุกวันไง” รินตึงตังตอบผมอย่างรีบร้อน อืม ซอยลอยกระทงเหรอ ถ้าจำไม่ผิด มันห่างจากซอย 4 ไปราว ๆ ครึ่งกิโล อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะผมเป็นคนไม่ออกจากบ้านนัก ส่วนที่รู้ว่าห่างกันเท่าไหร่ก็เพราะชื่อแปลก ๆ ของมันเท่านั้น

    “ก็ไม่รู้สินะ... บางที ฉันอาจจะไปคนละทางกับริน หมายถึง ทางลัดน่ะ” ก็ไม่แปลกที่จะไม่เห็นผม เพราะทุกวันผมไม่เคยใช้เส้นทางปกติสักที เนื่องจากทางลัดที่ว่านั่นลดระยะเวลาการเดินทางของผมถึง 5 นาที อีกอย่าง ที่ต้องใช้ทางลัดนี้บ่อย ๆ ก็เพราะร้านอำพลคอฟฟี่อยู่ในเส้นทางนี้ล่ะนะ

    “ทางลัดเหรอ! ทำไมฉัน... ไม่รู้เลย” รินเผยแววสงสัยเป็นอย่างมาก

    “มันอาจจะอยู่ในมุมอับของทางเลี้ยวก็ได้ พอดีว่าบ้านฉันอยู่ติดทางเข้าน่ะ ก็เลยรู้จักดี” ผมตอบ

    “ดีเลย!” รินประกบมือเข้าหากัน

    “ดี?”

    “วันนี้เรากลับบ้านด้วยกันนะ”

    “...” ผมมองหน้าริน

    “?!!!!?”

    แต่ก็ต้องผิดหวัง ในเมื่อช่วงเลิกเรียน ผมต้องซ้อมบอลจนมืดค่ำทุกวัน เลยต้องปฏิเสธเธอไปอย่างน่าเสียดายแบบสุด ๆ

    ตอนนี้ก็จวนจะห้าโมงเย็นแล้ว ผมคงต้องรีบกลับบ้านแล้วรีบไปทำ- อะ ไม่สิ วันนี้วันหยุดนี่นา

    งานพาร์ทไทม์ของผมมีแค่วันพุธถึงวันอาทิตย์เท่านั้น ส่วนที่เหลือสองวันคือวันหยุด วันนี้วันอังคาร จึงไม่ต้องมาห่วงเรื่องงานเลยสักน้อย สบายยย~ ~

    “แต่จะว่าไป อะฮ่า! ได้กลับบ้านซักเทททท!!!!!” ผมวิ่งปราดด้วยความเร็วตรงกลับบ้านดั่งชีต้าเข้าล่ากวางสาว


    แสงแดดแก่ ๆ ยามพลบค่ำส่องกระทบกำแพงซีเมนต์ของบ้านแต่ละหลังในซอย 4 อย่างงดงาม ผมเดินเบา ๆ สบาย ๆ ไปตามเส้นทางอย่างปกติ ก็เหมือนกับทุกวัน ที่ผ่านหน้าร้านขายทาโกยากิแล้วไม่มีเงินจะซื้อ ผ่านหน้าร้ายขายหมูปิ้งไก่ย่างก็ได้แต่สูดดม แห้วตลอด

    ผมเดินพลางกระโดดพร้อมกับฮัมเพลง ‘ทำได้(CAN DO)’ ของวงร็อคญี่ปุ่นอย่างมีความสุข วันนี้ก็ได้ทานข้าวกับเธอ ได้ร่วมงานกับเธอ และก็... เธออยากกลับบ้านพร้อมกับเรา ซูโค่ยยย ชีวิตวัยรุ่นมันต้องอย่างนี้สิวะ~!!!! –ผมตะโกนในใจ

    แต่ว่านะ...

    “คร็อก... ฟี่~ คร็อก... ฟี่~” เสียงกรนจากร่างเล็ก ๆ ของเด็กสาวดังระงมหน้าบ้านผม รอบกายของเธอมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เธอนอนเอนกายพิงกับรั่วเหล็กของบ้านผมอย่างผ่อนคลาย ถึงแม้จะหลับไปแล้วแต่ก็น่ารักไม่น้อย

    “คร็อก... ฟี่~” ริมฝีปากเรียวเล็ก ๆ ของเธอมีน้ำลายหยดย้อยออกมา

    “นี่ คุณ...? เอ่อ คือว่า...”

    “คร็อก... ฟี่~ คร็อก... ฟี่~” มาหลับหน้าบ้านคนอื่นทำไมฟระ!!! ถึงจะหน้าตาหน้ารักก็เถอะ ถ้าใครมาเห็นเข้าเดี๋ยวก็หาว่าตรูเป็นพวกลักพาเด็กผู้หญิงหรอก!!!!

    “เอ่อนี่ คุณครับ” ผมเอานิ้วไปจิ้มที่แก้มสีขาวผ่องอมชมพูดของเธอ

    ‘งับ!!!’

    ในชั่วพริบตา เธออ้าปากเข้างับที่นิ้วชี้ของผม... มันทำให้ผมรู้สึก...

    “อ้ากกกกกก!!!!!!! เจ็บ ๆ ๆ เจ็บ ๆ โว้ย ปล่อย ๆ ๆ ๆ อ้ากกกกก!!!!”

    ผมกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ฟันของเธอแหลมชะมัด!

    “หืม?” เด็กสาวลืมตาตื่น

    “ทำอะไรของเธอเนี่ย!!!!” ผมกระแทกถามเด็กสาวแปลกหน้าอย่างอดรนทนไม่ไหว

    “หา?” เด็กนั่นขยี้ตาครู่ใหญ่ก่อนจะจ้องหน้าผมเขม็ง

    และแล้วเธอก็... ทำสิ่งแปลก ๆ ขึ้น

    เด็กสาวยืดแขนตรงมายังผม ชูสามนิ้วอย่างมั่นอกมั่นใจ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงของนักรบยุคโบราณผู้กล้าหาญและแข็งแกร่งว่า

    “ไคเซอร์!!!!”

    “เอ๋?...”
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 22nd January 2014 เมื่อ 17:36

  14. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  15. #8
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 02 – รุ่นน้อง?

    Ch. 02 – รุ่นน้อง?

    [Persephone - นิยายเรื่องนี้สนุกมากค่ะ จะติดตามต่อไปนะคะ

    Persephone - โห พระเอกเท่ห์สุดยอด

    Persephone - จะว่าไป ทำไมไรเตอร์นานลงตอนต่อไปจัง

    JackrheER01 - เข้ามามอง สนุกดีครับ

    Persephone - เย้ ๆ บทที่ 10 มาแล้ว เข้าอ่านในทันใด

    Persephone – เศร้าค่ะ... พูดไม่ออกเลย

    Persephone – โว้ว สนุกมาเลยค่ะ รู้สึกถึงอารมณ์แห่งความรื่นเริงเข้าสมองเลย!

    Stilles1232 – ดีครับ อธิบายสื่ออารมณ์ได้ดี ขอยกนิ้วให้ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เห็นก็ตาม

    Persephone – เยส! ในที่สุด ในที่สุด.... อ่า~ ฟิน

    …]


    ก็อย่างที่เห็น คนเข้ามาเมนท์นิยายของผมมันก็ไม่ได้มากนัก ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่มีนามแฝงว่า ‘Persephone’ จำนวนแฟนคลับตอนนี้มี 13 คน อืม...

    ผมปิดเว็บบอร์ดลง Persephone งั้นเหรอ

    Persephone ... เราเคยเห็นชื่อนี้ที่ไหนมาก่อนไหมน้า...

    ผมนั่งครุ่นคิดในสิ่งที่ไม่ควรจะคิดอยู่นานในห้องสีขาวของผมนี้

    ‘ปัง!’ – “นายท่าน!”

    หญิงสาวหน้าใสเปิดประตูห้องผมราวกับจะพังมันแล้วตะโกนลั่น

    “อะไร! เกิดอะไรขึ้น!” ผมตึงตังหน้าตื่นลุกขึ้นถาม

    “พวกมัน! พวกมัน! มากันเต็มเลย” เธอหน้าแหยแกคล้ายจะร้องไห้

    “ใคร พวกมันเป็นใคร!” ผมซักไซ้เธอเสียงสั่น ไอ้พวกนั้นมันเป็นใคร!

    “แต่ไม่ต้องห่วง กราเซสผู้นี้จัดการมันสิ้นซากไปหมดแล้ว ด้วยเจ้านี่!” หญิงสาวนาม ‘กราเซส’ ยกชอร์คขีดมดขึ้นโชว์ แล้วยิ้มแฉ่งอย่างภาคภูมิใจ

    “นี่อย่าบอกนะว่า ‘พวกมัน’ คือ... มด” ผมลองถาม ถ้าหากว่าท่าทางของเธอคล้ายกับจะเป็นเรื่องใหญ่โตล่ะก็ คงไม่ใช่สิ่งขี้ประติ๋วแบบนี้แน่

    “ใช่แล้ว พวกมันมาเป็นกันกองทัพ แต่ด้วย-”

    “โป๊ก!” ผมสับมือลงกางกบาลกราเซส

    “อะไรของเธอเนี่ย!!!!”

    ผมตะโกนลั่นบ้าน

    “อย่าโกรธไปเลยนายท่าน ข้าเข้าใจดี ด้วยสิ่งที่เรียกว่าชอร์คนี่ อาจทำให้ท่านรู้สึกแพ้ ดังนั้น ข้าจึงขอนำมันไปทำลาย และกวาดซากพวกมัน(มด)ออกจากที่มั่นแห่งนี้ให้หมด” กราเซสยืนกอดอกชี้นิ้วแล้วพล่ามเหมือนมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

    “หยุดเลย ชอร์คนั่นยังใช้ได้นาน” ผมปรามเสียงทุ้มต่ำ “แล้วก็ ฉันไม่ได้แพ้ชอร์ค”

    “หา? นี่ท่าน... ช่างแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้แล้ว ข้าคงไม่อาจละสายตาจากท่าน ต้องติดตามและสังเกตท่านทุกฝีก้าว ข้าจึงจะได้นำความแข็งแกร่งนั้นมาเป็นตัวอย่าง และปฏิบัติตาม หึหึ ไม่นานไม่ช้า ข้าคงมีความแข็งแกร่งไม่แพ้นายท่านแน่นอน” กราเซสกล่าวดวงตาเปล่งประกาย

    “เฮ้อ~ เอะ? เดี๋ยวนะ ที่ว่าติดตามและสังเกตทุกฝีก้าวนี่ หมายความว่าเธอจะตามฉันไปทุกที่ใช่ไหม” ผมสะกิดใจแปลก ๆ

    “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ข้าคงไม่อาจละเลยกิจวัตเล็กน้อยของท่านได้ ทุกการกระทำของท่าน สื่อถึงความสุขุม แข็งแกร่ง หนักแน่น และกล้าหาญ!!! อย่างเป็นที่สุด”

    “...” บทสนทนาเงียบไปครู่ใหญ่ พวกเรามองหน้ากัน

    “อันใดหรือนายท่าน” กราเซสเอียงคอสงสัย

    “ถ้าหากว่าฉันยิงกระต่ายอยู่ มันจะหมายความว่าไง” ผมขยับขาแว่นถาม

    “ยิงกระต่าย? แล้วท่านจะนำมันไปทำการอันใดหรือ ถ้าหากว่านำไปทำอาหาร... เอ ข้าก็ไม่แน่ใจนะ”

    “เปล่า ฉันคงบ้าเองแหละที่ถาม” ตูหมายถึงตอนเข้าห้องน้ำเฟ้ย! สรุปแล้วเธอเป็นสตอร์คเกอร์เหรอเนี่ย!!! ไม่อยากจะเชื่อ นี่ต้องอยู่ใต้ชายคาร่วมกับเธองั้นเหรอ!!!
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย santisook01 : 22nd January 2014 เมื่อ 17:33

  16. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  17. #9
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 2.1 : ธิดาผู้สืบทอดเจตจำนงขององครักษ์พิทักษ์ทวยเทพรุ่น 109

    Ch. 2.1 : ธิดาผู้สืบทอดเจตจำนงขององครักษ์พิทักษ์ทวยเทพรุ่น 109

    คนแปลกหน้าเมื่อพบกันครั้งแรกคือคนที่เราไม่รู้จัก

    คนแปลกหน้าเมื่อพบกันครั้งแรกคือคนที่เราพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

    ทว่า คนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จักและพึ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรกกลับโพล้งชื่อของผมเสียงก้อง ราวกับว่าเขาคือเพื่อนสนิทรู้ใจมาก่อน

    “...”

    เด็กสาวในชุด- เอ่อ จะว่ายังไงดีล่ะ... เท่าที่เห็นแล้วเธอสวมเสื้อวอร์มสีขาวทับชุด ๆ หนึ่งไว้ ถึงแม้ว่าผมจะเห็นชุดนั่นแค่เล็กน้อยก็ตาม แต่เพียงแค่ส่วนของหน้าอกและชายเสื้อที่แลบออกมา มันบอกได้เลยว่า ชุดที่ถูกสวมอยู่ด้านในนั่น ต้องแปลกประหลาดน่าดู

    “เมื่อกี้พูดว่ายังไงนะครับ...” ผมใช้นิ้วขยับแว่นให้เข้าที่แล้วถามเด็กสาว เธอร่างเล็กผมยาวหน้ารัก ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าผม

    “ไคเซอร์!!!” เด็กสาวตะโกนเสียงดังดึงความสนใจผู้เดินผ่านไปมาได้เป็นอย่างดี ระหว่างที่เธอตะโกน เธอมักจะชูสามนิ้วเสมอ มันคล้ายกับท่าทำความเคารพของพวกทหารยุคสงครามโลก...

    “นามของข้าคือ กราเซส อีซะโบเซส ธิดาผู้สืบทอดเจตจำนงขององครักษ์พิทักษ์ทวยเทพรุ่น 109 ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาสายเลือดของมิคาเอล ไม่ทราบว่าท่านรู้จักบ้างหรือไม่” เด็กสาวซึ่งพึ่งแนะนำตัวเองไปว่าตนชื่อ กราเซส ตั้งหน้าซักผม

    “อ้าว เธอรู้จักชื่อฉันแล้วทำไมถึงไม่รู้จักว่าใครคือสายเลือดของมิคาเอลล่ะ” ผมถามกลับ

    “หืม? ชื่อเหรอ ข้ายังไม่รู้จักชื่อท่านเลยนะ” กราเซสชักสีหน้าสงสัย

    “... ก็ที่เธอร้องตะโกนไง ไค- ไคเซอร์!!! น่ะ” ผมลองเลียนแบบท่าโพสของเธอเพื่อยกตัวอย่าง

    “โห...” ทว่ากราเซสกลับทำตามมันวาวเมื่อเห็นการกระทำของผม เธอสะบัดหัวคล้ายตั้งสติสองครั้งก่อนจะพูด

    “ไคเซอร์ เหรอ ท่านชื่อไคเซอร์เหรอ” เธอเข้าใจแล้วสินะ

    “ใช่แล้ว ฉันชื่อไคเซอร์ ชื่อเล่นชื่อไค และก็ ถ้าเธออยากรู้ว่าสายเลือดของมิคาเอลอยู่ที่ไหน ตอนนี้ เขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว”

    “จะ จริงเหรอ ที่ว่าท่านคือสายเลือดมิคาเอล” กราเซสตาตื่นเหมือนพบขุมทรัพย์

    “ใช่ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเหลือแค่ฉันเพียงคนเดียวก็เถอะ” ผมตอบแบบเคอะเขิน... อะ แต่เดี๋ยวก่อน เธอรู้จักเราจากที่ไหนกัน องครักษ์พิทักษ์ทวยเทพรุ่น 109 ไม่เห็นมีใครเคยเล่าเรื่องนี้มาก่อน หรือว่าเธอจะมั่วไปเอง

    “ดะ เดี๋ยวก่อนนะ เธอรู้จักสายเลือดของมิคาเอลได้ไง”

    “เรื่องนั้นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว เพราะว่าข้าคือว่าที่องครักษ์พิทักษ์ทวยเทพรุ่น 110 มาเพื่อที่จะปกป้องท่านมิคาเอลในฐานะผู้รับใช้ซึ่งเคยทำสืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพกาฬ ต่อจากนี้ท่านคือนายเหนือหัวของข้า” กราเซสตอบอย่างชัดแจ้ง ราวกับว่ามันคือเรื่องจริงที่ถูกฝากฝังและฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

    “แต่ก่อนอื่น ข้าคงก้มหัวให้ใครแน่นอนไม่ได้ถ้าไม่ได้พิสูจน์ว่าท่านคือสายเลือดของมิคาเอล” กราเซสตรงเข้ามาหาผมแล้วก็-

    “ฟอด!!!!!”

    ปากบาง ๆ ของกราเซสยื่นขึ้นมาสัมผัสกับริมฝีปากของผมเนื่องจากส่วนสูงของเราต่างกัน กลิ่นหอบบาง ๆ ล่องลอยเข้าจมูกผม คล้ายมีบางอย่างเกิดขึ้นที่ตรงนั้น ชั่วครู่ก่อนที่ผมจะตั้งสติแล้วผละเธอออกไป ก็กลายเป็นว่า จูบแรกของผมได้เสียไปให้เธอเรียบร้อยแล้ว

    “ทำอะไรของเธอเนี่ย!!!” ผมร้องตะโกนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    “ทะ ท่าน โกรธมากขนาดนั้นเลยเหรอ ข้าขอโทษ ข้าเพียงแค่ต้องการจะพิสูจน์ว่าท่านใช่สายเลือดของมิคาเอลจริงอย่างที่กล่าวมาหรือไม่เท่านั้นเอง” กราเซสกล่าวเสียงสั่นเครือ เธอคงตกใจมากที่ผมตะคอกแบบนั้นไป เผลอลืมตัวไปซะได้!

    “มะ ไม่หรอก เพียงแค่...” ผมครุ่นคิดหาเหตุผลมากลบเกลื่อนแต่ก็คิดไม่ออก เหมือนมันติดอยู่ที่มุมปาก

    “เพียงแค่... ละ แล้วเธอไม่มีวิธีอื่นพิสูจน์นอกจากวิธีนี้เหรอ” ผมตาเคลือบแคลงถาม

    “มี” กราเซสพยักหน้า

    “เอ๋?” ผมอุทานด้วยความสับสนเสียงสูง

    “ทั้งหมดมีแค่สองวิธี หนึ่งคือจุบ ด้วยการสัมผัสจุดสำคัญของมนุษย์โดยตรง ทำให้ข้าสามารถใช้พลังเชื่อมต่อลมปราณของท่านได้ รู้ได้ง่ายคือ เทพนั้นจะมีลมปราณอันแข็งแกร่งและพิเศษมาก ๆ ส่วนมนุษย์ปกติคือลมปราณอันน้อยนิดและอ่อนแอ ไม่แม้แต่จะสามารถสัมผัสได้” กราเซสพูดเหมือนจอมยุทธ์

    “แต่ข้าดีใจมากเลยล่ะ ในที่สุด การเดินทางอันยาวไกลของข้าก็มาจบลงที่ท่าน” เธออย่าพูดเหมือนละครน้ำเน่าสิ

    “แล้วอีกวิธีล่ะ”

    “วิธีที่สองเหรอ เรื่องนั้น... ท่านต้องไปที่วิหารใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ที่นครรัฐวาติกัน หรือไม่ก็ เขต 51” กราเซสตอบแบบอ่ำอึ่ง สงสัยเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเธอจึงไม่อยากแนะนำ

    “อ้อ... ก็พอรู้อยู่ แต่... เขต 51 เนี่ย ไม่ใช่ว่าจะเป็นสามเหลี่ยมเมอร์มิวดาหรอกนะ”

    “ใช่ แต่นั่นคือประตูสู่นรก แต่ตอนนี้ถูกปิดอย่างสนิทแล้ว”

    “แล้วทำไมถึงต้องเป็นที่นั่นล่ะ”

    “นั่นก็เพราะว่า เมื่อท่านผู้มีพลังขององค์เทพอยู่ในตัว มันจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อพลังของเหล่าซาตานหรือปีศาจ สัมพันธ์กับระยะห่าง ยิ่งถ้าท่านอยู่ใกล้มากเท่าใด ร่างกายของท่านก็จะมีกลุ่มควันสีทองลอยฟุ้งรอบตัวท่านมากเท่านั้น” กราเซสอธิบาย มันก็จริงอย่างที่เธอว่า หรือว่าเธอจะเป็นองครักษ์พิทักษ์ทวยเทพจริง ๆ

    “แต่ว่านะ... ยังไงฉันก็ไม่ชอบใจอยู่ดีที่เธอมาจูบฉันแบบไม่บอกกล่าวกันก่อนแบบนี้ อีกอย่าง มันเป็นครั้งแรก... ช่างเถอะ ถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นดีกว่า” อันที่จริงเรื่องนี้มันเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่คิดว่าเธอจะทำเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ
    “ต้องขออภัยด้วย ข้าน้อยยอมรับผิด-” แต่การยอมรับผิดของเธอทำไมต้องก้มหน้าหูแดงแบบนั้นด้วยล่ะ

    “จะว่าไป... ถ้าหากว่าเรื่องจุบคือเรื่องที่ใช้ได้สะดวกที่สุด แล้วเธอทำเรื่องนี้มากี่ครั้งแล้วล่ะ”

    “ครั้งเดียว” กราเซสตอบอย่างจริงจัง ไม่ใช่โป้ปด

    “จริงดิ” ผมถามหยั่งเพื่อความแน่ใจ

    “ใช่ นี่คือครั้งแรกของข้ากับท่าน” กราเซสดวงตาแน่วแน่เมื่อตอบ

    “อะไรกันน่ะ เด็กสมัยนี้ ครั้งแรกตั้งแต่ยังเด็กเลยเหรอ” เสียงสอดเสียดซุบซิบดังลอยมาจากด้านหลัง ผมหันกลับไปมองก็เป็นคุณป่าที่ไหนไม่รู้สองคนเดินถือตะกร้าสานเปล่า ๆ อยู่ พวกเธอหันหน้าหนีเมื่อผมจ้องมอง ให้ตายสิ!

    “ทางที่ดี เข้ามาบ้านฉันก่อนดีกว่า” ผมเชื้อเชิญเพราะความจำเป็น ผมเดินเพื่อจะไปหยิบกระเป๋าขนาดใหญ่ของกราเซส แต่เธอกลับชักกระเป๋าไปด้านหลัง

    “ไม่ต้องหรอกท่าน ข้ารู้ว่าท่านต้องการจะช่วย” กราเซสปฏิเสธแบบเกรงใจ

    “เอาเถอะน่า เธอเดินทางมาเหนื่อย” ผมดึงกระเป๋าเธอมาจากมือ และก็พบว่ามันหนักเอาการ นี่สาวตัวน้อยแบบนี้ต้องแบบกระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ เธอเดินทางมาไกลแค่ไหนเนี่ย

    “ก็ได้ ถ้าท่านต้องการแบบนั้น” กราเซสก้มหน้าบิดตัวบิดแขนบิดมือไปมา อย่าทำท่าทางสมยอมในความหมายแปลก ๆ สิฟะ!

    “แล้ว ในเมื่อเธอตามหาฉันเนิ่นนานทำไมถึงพึ่งมาพิสูจน์กับฉันคนนี้คนแรกล่ะ อีกอย่าง ใครเป็นคนสอนเธอ” ผมถามในสิ่งที่ยังสงสัย

    “เป็นเพราะว่า จุดหมายที่ท่านพ่อหรือรุ่นที่ 109 บอกข้ามาคือที่แห่งนี้ บ้านที่สลักคำว่า มิคาเอล ท่านพ่อได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าตระกูลมิคาเอลที่ 223 ว่าต้องการให้องครักษ์พิทักษ์ทวยเทพมาทำงานรับใช้อีกครั้ง แต่ด้วยที่ท่านพ่อของข้าอ่อนแรงและแก่ชรามากจึงจำต้องส่งข้ามาแทน” กราเซสสีหน้าสร้อยเศร้าเมื่อพูดถึงผู้เป็นพ่อ ราวกับว่าเขาจะอยู่กับเธอได้ไม่นาน

    “อา...” เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว ผมก็เหมือนจะเข้าใจ แล้วทำไมไม่มีใครพูดกับผมเรื่องนี้เลย ทั้งพ่อ ทั้งแม่ หรือแม้แต่ลุงอำพล

    “แล้วด้วยเหตุใดทำไมจึงเหลือสายเลือดมิคาเอลแค่ผู้เดียวล่ะท่าน” กราเซสถามอย่างสุภาพ

    “เรื่องนั้น... เป็นเพราะว่าฉันอ่อนแอเองแหละ เรื่องมันก็เมื่อเดือนที่แล้ว...” ผมตอบเสียงอ่อน

    “นี่ท่านอย่าบอกนะว่า มันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ‘พันธนาการที่แตกหักของมวลมหามาร’” เธอรู้เรื่องนี้ได้ไง

    “เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” มันคงไม่แปลกที่เธอจะรู้ แต่ผมก็อยากจะรู้ว่าเธออยู่ได้มาจากไหน

    “นั่นก็แน่อยู่แล้ว ในเมื่อข้าเป็นองครักษ์พิทักษ์ทวยเทพ ก็ต้องรู้เป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งเรื่องใหญ่หลวงเพียงนี้ ข้าก็มิอาจหลงลืมมันได้อย่างเด็จขาด” กราเซสกำหมัดแน่น

    “เปล่า ๆ ฉันหมายความว่า เธอไปรู้เรื่องแบบนี้ได้ยังไง ใครเป็นคนบอกเธอ” ผมเอาให้ตรงประเด็น

    “ข้ารู้จากจดหมายข่าวสารของโซโลเบธ” หืม? อะไรล่ะนั่น ใครกันโซโลเบธ ผมครุ่นนึกคนชื่อโซโลเบธในขณะที่วางข้าวของต่าง ๆ ลงโต๊ะเล็กของห้องนั่งเล่น

    “อ้อ นึกออกแล้ว ที่ว่าจดหมายนั่นจะถูกเขียนขึ้นโดยพลังวิญญาณของผู้สังเกตการณ์นามโซโลเบธใช่ไหม” ผมตอบ คาดว่าน่าจะใช่

    “ใช่ สิ่งนั้นช่วยพวกเราได้มาก เนื่องพวกเราอยู่ในเขตห่างไกล ข่าวสารสำคัญต่าง ๆ จึงไม่อาจรับรู้ได้”

    “อืม เธอคงรู้สินะว่าพันธนาการที่แตกหักของมวลมหามารมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”

    “ข้ารู้เพียงบางส่วน ในจดหมายนั่นบอกเพียงแค่ว่าเกิดการต่อสู้ อาวุธแตกหัก และระเบิดกัมปนาทครั้งใหญ่จากพวกปีศาจชั่วร้าย มีผลให้ผู้คนจำนวนมากต้องสังเวยชีวิตไป” นั่นเธอยังรู้น้อยไป ถึงแม้ว่าจดหมายนั่นจะบอกข่าวต่าง ๆ ได้ก็เถอะ แต่รายละเอียดยิบย่อยคงทำไม่ได้สินะ ผมก็ขี้เกียจเล่าว่าเหตุครั้งนั้นมันเกิดอะไรบ้าง แต่ที่แน่ ๆ มันทำให้ผมได้รู้ว่า... ความอ่อนแอและความดึงดันหัวรั้นไม่เชื่อฟัง เป็นสิ่งที่ควรขจัดทิ้งไป

    “เออใช่ แล้วจดหมายขอความช่วยเหลือที่ส่งไปหาพวกเธอเขียนในนามของใคร” ผมนึกบางอย่างออกจึงถามกราเซส เธอกำลังนั่งยืดหลังตรงบนโซฟาสีครีมหน้าโทรทัศน์ ส่วนผมก็นั่งอีกมุมหนึ่งของโซฟาอีกตัว ท่าทางของเธอแบบนั้นช่างสง่างามจริง ๆ มันคล้ายกับพวกคุณหนูหรือไม่ก็จอมนางเปี่ยมมารยาท

    “ในนามของมิคาเอล” อะ ผมคงถามผิด

    “โทษที ๆ ฉันถามผิด เธอได้รับจดหมายนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมลองถามอีกครั้ง หวังว่าเธอจะไม่รำคาญ

    “หลังจากเหตุการณ์พันธนาการที่แตกหักของมวลมหามารหนึ่งวัน หลังจากนั้นพวกข้าก็ประชุมกันยกใหญ่ จากนั้นก็มีความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า จะส่งข้า ว่าที่องค์รักษ์พิทักษ์ทวยเทพรุ่น 110 มา” เดี๋ยวนะ เรื่องนั้นมันผ่านมาตั้งหนึ่งเดือนแล้วนี่

    “แล้ว เรื่องมันเกิดนานมากขนาดนั้น ทำไมเธอพึ่งมาถึงล่ะ”

    “ข้าก็ต้องขออภัยด้วยเช่นกัน อาจเป็นเพราะความสะเพร่าของข้าด้วย เนื่องจากระหว่างทาง ข้าพบเห็นวิญญาณชั่วร้ายและเหล่าสมุนของมารซาตานมากมาย ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องใช้เวลาส่งมันลงนรกไป”

    “อืม... ฟังดูแปลกดี แล้วที่ที่เธอจากมามันอยู่ที่ไหนกัน”

    “เทือกเขาโนว์กาเอล ที่ตั้งเดิมของกรุงบาบิโลน” หา? จริงดิ ถึงแม้ว่าชื่อของเทือกเขานี้ผมจะพอได้ยินมาก็เถอะ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมีจริง ผมเก็บคำถามอื่น ๆ ไว้ ถ้าหากว่าคิดจะถามเธอในรวดเดียวคงไม่ดี เธอเดินทางมาไกล ต้องพักผ่อนบ้าง ไม่ใช่คอยตอบคำถามของผมอยู่แบบนี้

    “อะ! ห้าโมงกว่าแล้วเหรอเนี่ย พาร์ทไทม์ พาร์ทไทม์” ผมตึงตังวิ่งขึ้นห้อง อาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวแล้ววิ่งลงมา กราเซสยังนั่งท่าเดิมและไม่ลุกไปไหน เธอมองผมอย่างสงสัย

    “โทษที พอดีกว่าฉันมีงานพาร์ทไทม์ต้องไปทำน่ะไม่สิ วันนี้ไม่มีนี่หว่า แต่ก็ต้องไปอยู่ดี เธอ... ต้องไปกับฉันด้วย” ใช่ เธอต้องไปกับผม ถ้าหากว่าคนที่ลิลลี่พูดถึงเมื่อคืนเป็นกราเซสล่ะก็ ต้องยืนยันจากปากลุงอำพลก่อน เพื่อไม่ให้เรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นล่ะนะ

    “น้อมรับคำสั่ง” กราเซสยิ้ม “นี่คงจะเป็นคำสั่งแรกของนายเหนือหัวของข้ากระมัง”

    ‘เหนือหงเหนือหัวอะไร ฉันยังไม่รู้เรื่องเลย’ ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอก หึ หลงยุค อย่างนั้นสินะ



    ‘แกร้ง แกร้ง’

    ผมในชุดลำลองเสื้อยืดกางเกงสามส่วน พร้อมกับกราเซสในชุดเดิมคือเสื้อวอร์มแขนยาวสีขาวกับกางเกงพละสีดำ ผมเปิดประตูร้านกาแฟของลุงอำพลเข้าไป ด้านในนี้มีโต๊ะ 5 โต๊ะ นั่งได้โต๊ะละ 4 คน บรรยากาศภายในนี้ถูกจัดตกแต่งด้วยเครื่องรางรูปร่างสวยงาม ถ้าจะบอกว่าเครื่องรางคงไม่ได้เพราะมันคือสิ่งที่ลุงเขาสร้างมากับมือ คงต้องเรียกว่างานประดิษฐ์ แต่ลุงแกกลับยืนกรานว่ามันคือเครื่องราง

    ด้านในของร้านเป็นรู้แบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า สั้นเกือบจะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้วยเหตุที่พื้นที่มีขนาดเล็ก แค่หน้าต่างใหญ่ ๆ สามบ้านพร้อมกับโคมไฟติดผนังนวลตาสี่หลอดก็ทำให้ร้านอำพลคอฟฟี่สว่างไสวยิ่งกว่าด้านนอกมาก
    ดูเหมือนว่ายังไม่มีคนเข้าร้านนัก เพราะลูกค้ามีแค่คนเดียว- คนเดียวก็ดีแค่ไหนแล้วสำหรับเวลาแบบนี้

    ผมเดินตรงไปยังเคานเตอร์ไม้ซึ่งตั้งอยู่มุมผนังหน้าร้าน แต่ก็ไม่มีใคร

    “อ้าว ไคไม่ใช่เหรอนั่น” เสียงทักจากลูกค้นคนเดียวดังขึ้น ผมหันไปมองก็พบว่านั่นคือน้าพงษ์ เนื่องจากตอนแรกแกหันหลังมาทางผมจึงไม่ได้คิดว่าเขาคือใคร

    “ครับ” ผมทักกลับ “จะเข้างานแล้วเหรอครับ”

    “ใช่ อีกซักหน่อยก็ไปแล้ว” น้าพงษ์ตอบ เขาทำงานเป็นบอดี้การ์ดผู้คุ้มกันอะไรเทือกนี้ผมก็ไม่ค่อยจำได้ เนื่องจากแกเคยเป็นทหารหน่วยพิเศษมาก่อน อีกทั้งยังเคยร่วมฝึกกับหน่วยรบต่างประเทศหลายครั้ง ฝีมือแกในเรื่องการต่อสู้จึงไม่น้อยหน้าใคร ผมบอกได้เลยว่า ไม่มีใครสู้แกได้

    ภายในร้านแห่งนี้ ผมจะกลายเป็นอีกตัวตนหนึ่ง ตัวตนซึ่งไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้เห็นมาก่อน แต่ผมไม่กลัวหรอกว่าตัวตนนี้จะร่วงรู้ถึงคนที่โรงเรียน ถึงแม้ว่าร้านอำพลคอฟฟี่จะตั้งอยู่ใกล้โรงเรียน แต่ไม่ยักกะมีเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับผมมาเข้าร้านเลยสักคน

    “อะ มาแล้วเหรอไค กำลังจะไปตามอยู่พอดี” เสียงของลุงอำพลดังลอยมาจากหลังเคานเตอร์

    “เอ๋?! นี่หนู กราเซส ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ รู้ไหมพวกลุงตามหาหนูแทบแย่” ลุงอำพลเดินตรงเข้าถามกราเซส และตรวจสอบเนื้อตัวผมเผ้าของกราเซสว่ายังอยู่ดีหรือไม่... ยังกับเป็นพ่อลูก

    “ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงด้วย แต่เนื่องด้วยภาระอันสำคัญเทียบชีวิตต้องมาก่อน” กราเซสโค้งศีรษะให้ลุงอำพล ภาพที่เห็นนี่อาจจะดูหน้ารักสำหรับผู้ใหญ่หลายคนก็ได้ แต่ผมว่ามันออกจะเวอร์เกินไป ไม่ใช่หนังจีนยุคตระกูลถังซักหน่อยที่จะต้องมาก้มโค้งคำนับคารวะต่อผู้อาวุโสแบบนี้

    “เอ้า ก็ลุงบอกแล้วว่าให้รอลุงที่นี่ก่อน ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นเลย” ลุงอำพลกล่าวเสียงอ่อน

    “ในเมื่อมาถึงใกล้แค่นี้แล้ว ข้าคงไม่สามารถอดใจไม่ออกตามหานายเหนือหัวของข้าได้” กราเซสยังยืนกรานคำเดิมจนลุงอำพลจนหนทาง

    “ไค เมื่อคืนลิลลี่ไปบอกเรื่องคนขออาศัยแล้วใช่ไหม” ลุงอำพลหันมาถามผมแทน

    “ชะ ใช่ครับ...” อย่าบอกนะว่า

    “คงต้องขอโทษด้วย ลุงหาที่ดี ๆ ไม่เจอ อีกอย่าง บ้านของลุงก็เล็กเกินกว่าที่จะรับแม่หนูคนนี้มาอยู่อีกคน คงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าหากว่าจะให้แม่หนูกราเซสไปอยู่ด้วย”

    “เอ่อ...” ผมนิ่งอึ่งครู่ใหญ่

    “หนู เจ้าไคมันบอกว่าตกลงน่ะ” ลุงอำพลหันไปยิ้มให้กราเซส

    “ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย!” ผมตัดพ้อ

    “ใช่ มันบอกว่าจะย้ายมาที่บ้านตั้งแต่วันนี้ก็ได้ ไม่มีปัญหา”

    “จะ จริงเหรอท่าน นับว่าเป็นเกียรต์อย่างสูงของข้าน้อยผู้นี้ยิ่งนัก กราเซสของคารวะ” กราเซสเอาฝ่ามือประกบกำปั้นก้มศีรษะให้ผมอย่างแข็งแรง

    “ลุงอำพล!” ผมตวาดเสียงดัง แต่ก็ยังมีสติระงับระดับเสียงนั้นไม่ให้ใครในร้อนต้องตกใจ

    “ไอ้ไค!” ลุงอำพลก็ไม่น้อยหน้า ตอกเสียงหนักแน่นจนน้ำลายกระเด็น ผิวสีแทนของแกกับร่างใหญ่ ๆ เหมือนนักมวยนั่น ถ้าหากว่าไม่รู้นิสัยกันแล้วล่ะก็ คงได้วิ่งแจ้นไปที่อื่นแน่

    “ฝากไว้ก่อนเถอะ!” ผมเชิดหน้าหนีแล้วเดินตรงออกจากร้าน

    “เออ! ข้าก็ฝากแม่หนูนั่นด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงของลุงอำพลดังไล่หลังมาจากด้านใน

    “เฮ้อ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “เป็นอะไรหรือท่าน หรือว่าจะไม่สบายตรงไหน” กราเซสจ้องหน้าผมแบบพวง หน้ารักไปอีกแบบ เอาเถอะ ยังไงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น... หรอกนะ?

  18. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  19. #10
    AEFIL,MNNOOO
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    DPP SIU
    กระทู้
    744
    กล่าวขอบคุณ
    2,128
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,818
    เพลิน สนุกดีครับ
    ถ้าได้ทำเป็นแบบการ์ตูนคงนั่งอ่านน้ำลายย้อย
    ฮ่าฮ่าฮ่า
    3 Coins DPP

  20. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  21. #11
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 2.2 :การพบกันกับรุ่นน้องสมัยเด็ก

    Ch. 2.2 :การพบกันกับรุ่นน้องสมัยเด็ก

    บนถนนเส้นเล็กตรงสู่บ้านผมซึ่งรายล้อมไปด้วยตึกแถวสามชั้น โดยชั้นแรกถูกสร้างให้กลายเป็นร้านขายของชำ ร้านโชว์ห่วยร้านบริการ หอพัก หรือบางตึกก็เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัย

    ผมกับกราเซสเดินเอื่อยเฉื่อยไปตามทางนั้น หากจะพูดให้ถูก เป็นผมซะมากกว่าที่เดินเอื่อยเฉื่อยแต่กราเซสกลับเดินชะลอความเร็วเพื่อให้เท่ากันกับผมเธอคงอึดอัดหน้าดู

    ตอนนี้ก็จวนจะมืดมากแล้ว แสงไฟข้างถนนกับแสงไฟจากนอกตึกและในตึกก็เริ่มเปิดให้เห็นกันบ้าง มีผู้คนจำนวนมากออกมาจับจ่ายซื้อของและกลับบ้าน แถบนี้จึงดูคึกคักผิดกับตอนกลางวันมาก

    ‘จร๊อกกกก~’หืม... เสียงอะไรล่ะนั่น

    “แฮะ ๆ เสียงของข้าเอง” กราเซสตอบพลางกุมหน้าท้อง- เสียงท้องร้องสินะ

    “เธอมีเงินติดตัวบ้างไหม” ผมลองถาม

    “ไม่” เธอตอบอย่างรวดเร็ว “ของนอกกายเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับข้าผู้นี้อยู่แล้ว”

    “หา! ของจำเป็นที่ว่านี่แหละที่มันทำให้เธอมีข้าวกิน”ผมกล่าว “ถ้าไม่มีเงินแล้วเธอเดินทางมาจากเทือกเขาโนกาวนั่นได้ไง”

    “โนว์กาเอลค่ะท่าน” กราเซสแก้คำผิด

    “เออนั่นแหละ”

    “เครื่องบิน” กราเซสตอบหน้าตาย

    “เครื่องบิน!” ผมตกตะลึง “ถ้านั่งเครื่องบินมาเธอก็ต้องใช้เงินน่ะสิ”

    “เปล่าเลย ท่านพี่ของข้าเป็นรับผิดชอบเรื่องการเดินทาง ท่านมีเครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่ง ท่านจึงใช้สิ่งนั้นพาข้ามาลงที่นี่”

    “อา เธอมีพี่สินะ รวยอีกต่างหหาก...” ผมพูดไม่ออก “แล้วทำไมพ่อเธอไม่ส่งพี่เธอมาล่ะ”

    “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า ท่านที่ของข้ามีงานมากมาย ไม่อาจมารับใช้ท่านได้” ก็เลยส่งสาวน้อยมาสินะ เยี่ยมจริง ๆ เลยครอบครัวนี้

    “แต่ยังไงก็เถอะ เราก็ต้องใช้เงินอยู่ดี ไม่อย่างนั้นก็ได้อดตายกันแน่”

    “ถะ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะท่าน!” กราเซสร้อนใจถาม

    “อืม... ก็คงต้องหามันล่ะนะ มันคือทางเดียวที่เราจะมีเงิน” ผมครุ่นคิดแล้วตอบ

    “หา... เงินนี่มันหากันยากไหมล่ะท่าน”

    “ก็ยากน่ะสิ ขนาดฉันคนนี้ยังหาเลี้ยงตัวเองไม่ไหวเลย” ความจริงแล้วมันหมดไปกับอนิเมะและก็มังงะต่างหาก

    “โห นั่นคงเป็นศัตรูร้ายกาจยากต่อกรมากจริง ๆ”

    “หึ เธอไม่รู้หรอกว่ามันยากเย็นแค่ไหนกว่าจะได้มันมา นี่อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้จักเงิน”

    “ไม่เชิงเสมอไปหรอกท่าน ข้ารู้ว่ามันคือของมีค่า แต่ที่บ้านของข้าแตกต่างจากที่นี่”

    “หมายความว่าไง”ผมสะกิดใจกับคำพูดของเธอ

    “ก็ที่นั่นไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลย บ้านข้าเลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก และล่าสัตว์ จึงไม่วิตกและขาดแคลนเรื่องปัจจัยสี่ อีกอย่าง ผู้คนที่นั่นก็จิตใจดีกันทุกคน ขออาหารหรือเนื้อสัตว์เล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเขาก็หยิบยื่นให้ท่านแล้ว”

    “ฟังดูเข้าท่าแฮะ แล้วถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องล่าสัตว์เป็นใช่ไหม”

    “ฮ่าฮ่าฮ่า เรื่องจิบจ้อยแค่นี้ไม่รามือข้าน้อยผู้นี้อยู่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า” อ้าว ไปกระตุกต่อมโอ้อวดเข้าให้แล้ว

    ‘แต่เดี๋ยวนะ ถ้าจะให้เธอมาอยู่ร่วมกันกับเราแบบนี้ก็เท่ากับว่าต้องทานข้าวด้วยกันสิ เธอพึ่งบอกเราไปหมาด ๆ ว่า ของนอกกายอย่างเงินน่ะไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย แต่ความซวยมันจะมาตกอยู่ที่เราหมดน่ะสิ! หากว่าเราขอเงินค่าแรงเพิ่มจากลุงอำพลล่ะ... ไม่ ไม่ ไม่ หน้าอย่างแกไม่มีวันทำแบบนั้นแน่ ใช่แล้ว! ถ้าเป็นเรื่องของกราเซสที่ยัดเยียดมาให้อยู่ร่วมกับเราแกต้องเพิ่มให้แน่นอน ไม่ ไม่ ไม่ หน้าอย่างแกไม่มีวันทำแบบนั้นแน่ เออใช่!ให้กราเซสทำงานหาเงินไง!’

    “มีอะไรหรือท่าน” กราเซสยื่นหน้าเข้ามาถามในขณะที่ผมครุ่นคิดเรื่องอนาคตที่อาจเป็นไปได้ การกระทำของเธอทำซะผมลืมความคิดนั้นไปในทันที

    “หือ?...อ่า... คิดเรื่อยเปื่อยเท่านั้นแหละ” แต่ว่านะ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เกินไปแล้ว! ใกล้จนได้กลิ่นหอม ๆ นุ่ม ๆ ของเธอเต็มจมูกแล้ว!

    “ยังไงก็เถอะ เธอต้องเป็นคนช่วยฉันหาเงินพวกนั้นมาให้ได้ ถ้าหากว่าเธออยากมีที่อยู่ล่ะก็นะ” ผมยกนิ้วชี้บอกกราเซส

    “คำสั่งของเจ้านาย ข้าน้อยผู้นี้ย่อมทำตามอย่างไม่มีข้อสงสัย!” กราเซสโค้งศีรษะ “ว่าแต่เงินที่ว่านั่น มันหาได้อย่างไรล่ะท่าน”โถ่ ยังถามมาได้

    “ไหนว่าไม่มีข้อสงสัยไง”

    “แฮะ แฮะ” ไม่ต้องมาหัวเราะเลย!

    “เอาเถอะ เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง” เฮ้อ... เอาจริงเหรอเนี่ยลุงอำพล จะให้เธอมาอยู่บ้านผมจริง ๆ เหรอ“กลับบ้านไปจัดห้องก่อน ฉันมีเรื่องจะถามเธอเยอะแยะเลย”



    ณ บ้านของผมเอง

    22.10 น. ผมกำลังปั้นนิยายตอนที่ 12 ด้วยความเพลิดเพลิน ไอเดียพลุ่งพล่านออกมาราวจะแตกกระจายเป็นประกายพลุ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ค่อยมีคนอ่านก็ตาม แต่ในเมื่อมีความคิดที่ดีแล้ว มันก็ต้องระบายออกมา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ การเขียนจึงกลายเป็นหนึ่งในแนวทางการระบายอารมณ์ของผมได้ดีที่สุด

    ‘ก๊อก ก๊อก’ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

    “นายท่าน” เสียงของกราเซส

    “อะไรอีก” จะว่าไป วันนี้เธอก็เคาะประตูห้องผมมากถึงสี่ครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็ครั้งที่ห้า อีกทั้งเรื่องที่ทำให้เธอต้องเคาะก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ออกจะเป็นเรื่องน่ารำคาญด้วยซ้ำคราวนี้เป็นเรื่องอะไรผมคงต้องรอลุ้น

    “คือว่า...”

    “เข้ามาก่อนก็ได้” ผมเชื้อเชิญ แล้วเธอก็เปิดประตูเข้ามา โอ้โห อาบน้ำแล้วงั้นเหรอ พึ่งเคยเห็นผู้หญิงอาบน้ำเสร็จหมาด ๆ ก็คราวนี้แหละ

    กราเซสสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงนอนขายาวบาง ๆ ก้าวขาเข้ามาภายในห้องผม ผมเธอยังไม่แห้งนักจึงมีผ้าขนหนูคลุมไว้ อยากจะบอกเลยว่า... โคตรน่ารักเลยล่ะ! ถ้าไม่ติดตรงที่การกระทำเยี่ยงผู้รับใช้ของเธอล่ะนะ ยิ่งถ้าหากว่าเธอเป็นพวกลงสมัครประธานนักเรียน ผมจะลงคะแนนเสียงสุดตัวเลย หึ ว่าไปนั่น โลกนี้ผมทิ้งตัวตนไปตั้งนานแล้ว นั่นก็เพราะว่า!!! ผมผันตัวมาโลก 2 D แล้ว!!!ฮ่าฮ่าฮ่า

    “นายท่านยิ้มอะไรรึ” กราเซสถามด้วยความงุนงงเธอนั่งเข่าแนบพื้นใกล้ ๆ ผมแล้วเอียงคอด้วยความสงสัย

    “เปล่า ว่าแต่ ครั้งนี้มีอะไรล่ะ คราวที่แล้วเธอก็บอกว่ากองทัพมดบุกมา ครั้งนี้คงไม่ใช่ว่าพวกมันฝ่าแนวรับของเธอเข้ามาได้หรอกนะ”

    “ระ เรื่องนั้น เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว! ข้าน้อยได้ทำการตั้งด่านป้องกันไว้ถึงสิบชั้น ไม่มีทางที่พวกมันจะฝ่าแนวกั้นระดับสูงได้แน่นอน” กราเซสกล่าวอย่างร้อนรน ราวกับว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โต

    “ช่างเถอะ ว่าแต่มีอะไรล่ะ...” ผมตรงเข้าประเด็นถามจุดประสงค์ของกราเซส

    “คือว่า... อันที่จริง จดหมายของมิคาเอลที่ส่งมาหาพ่อข้า ไม่ได้มีแค่ฉบับเดียว” กราเซสพูดเสียงสั่นเหมือนกำลังสารภาพบางอย่าง

    อีกฉบับเหรอ แต่ว่าฉบับแรกผมก็ยังไม่ได้อ่านเลยนี่นา

    “อือ ว่าแต่ มันเขียนว่าไงล่ะ”

    “เชิญท่านอ่านด้วยตัวเองจะดีกว่า” กราเซสยื่นแผ่นกระดาษแผ่นเล็กใส่ฝ่ามือผม จากนั้นเธอก็ก้มหน้าต่ำ ผมคลี่มันออกจนกลายเป็นแผ่นกระดาษขนาด A4 เขียนด้วยลายมือของใครบางคน พ่อของผมนั่นเอง ผมปรายตาอ่านจดหมายจนจบแล้วมองหน้ากราเซส

    “เธอคิดว่าไง” ผมถามกราเซสอย่างจริงจังหลังจากที่ได้อ่านเนื้อความของจดหมาย

    “ทะ ท่านหมายความว่า...” กราเซสอ่ำอึ้ง

    “เรื่องจดหมายนี่แหละ”

    “เอ่อ... คือว่า” คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้อาการดีใจตกใจตกตะลึงของผมก็มีเหมือนกัน แต่ผมไม่อยากแสดงออกมา พ่อนะพ่อ ทำไมไม่ปรึกษาผมก่อน คำสั่งเสียสุดท้ายที่ว่า ถ้าหากว่าไม่อยู่(ตาย)แล้ว ก็อยากให้มีคนมาดูแลลูกชายแทนงั้นเหรอ แถมยังบอกเฉพาะเจาะจงด้วยว่าถ้าเป็นลูกสาวของรุ่นที่ 109 มาทำหน้าที่เป็นภรรยาคู่ครองชีวิตก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก ถึงจะไม่ใช่ตัวเลือกบังคับ แต่มันก็มีความเสรีทางความคิดแค่ 10 เปอร์เซ็นเท่านั้นเองนะพ่อ!

    ผมยิ้มให้กราเซสก่อนจะพูด

    “เรื่องนี้ไม่ต้องคิดมากหรอก ฉันดูแลตัวเองได้” ทางกลับกัน พวกเขาส่งเธอมาให้ผมดูแลซะมากกว่า

    “ไม่ว่าเธอจะคิดยังไง หรือจะชอบใครนั่นมันก็สิทธิของเธอ ฉันรู้นิสัยของพ่อฉันดี ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำขอของท่านเองก็ตาม” แต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่แหละที่ไม่อาจทำตามได้

    “ท่าน... มิคาเอล” กราเซสเอ่ยเสียงแผ่ว “แต่นั่นคือคำสั่งเสียของพ่อท่านเลยไม่ใช่เหรอ”

    “ก็บอกแล้วว่ามันเป็นสิทธิของเธอ” ผมย้ำจนเธอพูดอะไรไม่ออก

    “สรุปว่า เธอมาหาฉันเพราะเรื่องนี้สินะ ดูท่าว่ามันจะจบแล้ว ไปนอนได้แล้วล่ะ อีกซักหน่อยฉันก็จะนอนเหมือนกัน” ผมบอกกราเซสแล้วหันตัวไปหน้าคอม

    กราเซสเดินคอตกก้มหน้าออกจากห้องไปอย่างเชื่องช้า ท่าทางแบบนี้รู้สึกไม่ดีเลยแฮะ



    รุ่งเช้าของอีกวัน

    ผมบอกให้กราเซสอยู่เฝ้าบ้าน ไม่รู้ว่าจะเฝ้าได้ดีหรือไม่ แต่ท่าทางการรับปากรับคำของเธอนั้นดูมุ่งมั่นและจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็นในตัวใครมาก่อนผมจึงวางใจไป หวังว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไรนะ

    ‘เฮ้อ~’ ผมยืนถอนหายใจยาวขณะทานเดินตรงเข้าห้องน้ำ เพราะยังไงมันก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี

    พักเที่ยง ข้าวกล่องผมคือไข่เจียว ไม่ได้ต่างอะไรกับสองวันที่ผ่านมาเลย ถึงแม้ว่าอาหารของผมมันออกจะซ้ำเดิมอยู่ทุกวัน แต่การที่มีสาวหน้ารัก ๆ ร่วมทานด้วยอย่างรินแล้ว มันก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกเบื่อมันเลยสักนิด

    “แหม่ มีโอกาสได้คุยกันซักที” รินกล่าวเปิดบทสนทนา เป็นเธอทุกครั้งที่พูด

    “นายชอบกินไข่เหรอ เห็นห่อมาทุกวันเชียว” รินก้มหน้ามองข่าวกล่องแล้วถามผม

    “อ่า... ฉัน... เอ่อ... ใช่” ผมหลบหน้าตอนตอบคำถามโดยไม่รู้ตัวและก็นึกขำตัวเองในใจ

    “อืม...” รินมือท้าวคางครางเสียงคิดในลำคอ

    “แล้วว่าไง เรื่องปริศนาแรก” ผมเหวี่ยงประเด็นอื่นปริศนาเรื่องแรกนั้น รินรับปากว่าจะจัดการมันด้วยตัวเอง ผมก็อยากจะช่วยแบ่งเบามันอยู่หรอก แต่จากรูปความแล้ว มันก็ไม่ได้ยากอะไรสำหรับเธอนัก ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปริศนานั่นเลย

    “อะ ใช่ ฉันรู้แล้วว่ามันคืออะไร!” รินลุกขึ้นผละเก้าอีกออกจากตัวแล้วโพล้งออกมา…ได้ผล เบี่ยงความสนใจของเธอได้ทันตา

    “เจ๋งไปเลยไม่ใช่เหรอนั่น”

    “มันเป็นซากดึกดำบรรพ์ของนกโบราณอาร์คีออพเทริกซ์(Archeopteryx) เป็นบรรพบุรุษของนกมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานในอดีต หึ มันง่ายมากเลยล่ะ ตอนแรกฉันก็คิดอยู่ว่าจะค้นหายังไง น่าแปลกนะ ที่ปริศนากลับเป็นการหาคำตอบโดยการเปิดหนังสือไม่ใช่ปริศนาแบบเงื่อนงำซับซ้อนให้เราสืบค้นเหมือนพวกนักสืบ” รินพูดด้วยความภาคภูมิใจแฝงความสงสัย

    “อืม”

    “และก็นะ เรื่องสถานที่นั่นคงเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจาก...” รินหยุดคำ อาจเป็นเพราะอยากให้ผมรู้สึกลุ้นตาม เล่นตามเธอซักหน่อยดีกว่า

    “นอกจาก...”

    “พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของคนและสัตว์!” รินตอบอย่างมั่นใจแล้วนั่งลงอย่างเรียบร้อย

    “แน่ใจนะ”

    “ไม่... นายก็รู้นี่ว่าครูไม่มีทางไปติดปริศนานอกโรงเรียนอยู่แล้ว” อ้าว

    “แล้ว... เธอพูดขึ้นมาทำไม”ผมจ้องหน้าถาม

    “แหม อย่าทำหน้าจริงจังแบบนั้นสิ ฉันก็แค่อยากเล่นมุกน่ะ” รินตอบเสียงสั่น กลัวงั้นเหรอ ก็ไม่แปลก ผมไม่ใช่คนยิ้มตลอดเวลานี่นา ใครเห็นก็ไม่กล้าเข้าหากันสักคน

    “แล้วถ้าเอาจริง ๆ สถานที่ที่ว่านั่นอยู่ตรงไหนล่ะ” ผมถามไปแล้วทานข้าวพลาง

    “มีสองที่ ฉันว่า ไม่ห้องธรณีวิทยาที่มีแต่ซากสัตว์กับก้อนหิน ไม่ก็เตาเผาขยะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าที่นั่นคือจุดที่นกไปทำรังบนต้นไม้หลังเตามากที่สุด” รินตอบแบบเกรงใจ ก็คงจะจริงอย่างที่เธอพูด

    “เจอแล้ว!!!” รินโบกมือไปมา พวกเราตกลงกันที่จะออกมาตามหาปริศนาตัวที่สองหลังจากทานข้าวเสร็จ จุดแรกของเราคือเตาเผาขยะ และก็เป็นจริงอย่างที่เธอพูด ปริศนาที่สองของเราอยู่ที่นี่ ง่ายเกินไปแล้วมั้ง

    “ไค ฉันเจอแล้ว!” รินกวักมือเรียกผมด้วยความตื่นเต้น

    “เยี่ยม”

    “นี่ ๆ ๆ ดูสิ กระดาษสีแดงอย่างที่ว่าเลยล่ะ ฮ้า~ ในที่สุดก็หาเจอ” รินถอนหายใจโล่งอก

    “ค่อยเปิดดูพร้อมกัน”

    “ดูบนห้องไหมล่ะ ตอนนี้เลย!”

    “ก็ได้”

    และพวกเราก็เดินมาถึงห้องเรียน 6/3 ด้วยความรวดเร็ว ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ชั้นสามก็ตาม

    รินคลี่ปริศนาออกโดยไม่รอสัญญาณจากผม ดวงตาเธอฉายแววตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เธอคงจะชอบอะไรแบบนี้มากสินะ


    [ปริศนาที่ 2 ของทีม ไคเซอร์&วิไลลักษณ์

    โจทย์: 1. นาวาที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคโบราณ(มาก ๆ)

    2. จุดเริ่มต้นของความเสื่อมเสีย ความเชื่อใจ ความรุ่งโรจน์ ความเชื่อถือ ความแตกแยก ความปรองดอง ความเท็จ ความจริง ฯลฯ

    3. รูปแบบของคำตอบเกี่ยวข้องกับภาษาไทย

    หมายเหตุ

    - ปริศนาที่ 3 จะถูกเก็บเมื่อเวลาผ่านไป 36 ชั่วโมง

    - หากว่าทีมคุณหาปริศนาที่ 3 ไม่เจอ ทีมของคุณก็จะตกรอบ

    ขอให้โชคดี]


    พวกเรานิ่วหน้าเมื่ออ่านปริศนาเสร็จ ผมติดใจกับคำว่า มาก ๆ นั่นจริง ๆ

    “คราวนี้... เราช่วยกันคิดนะ” รินมองหน้าผมเหมือนแมวขี้อ้อนตัวหนึ่ง

    “ก็แหงสิ หัวข้อมันยังเขียนไว้เลยว่า ไคเซอร์&วิไลลักษณ์” ผมพูดตามความจริง

    “แฮะ ๆ” รินยิ้มหัวเราะอย่างเคอะเขิน “ก็จริงอย่างที่นายพูด ฉันคิดผิดเองแหละ แต่จะว่าไป... พออ่านหัวข้อดูดี ๆ แล้วเหมือนเราแต่งงานกันเลยเนาะ” หา?!!!

    “ก็นี่ไง ไคเซอร์&วิไลลักษณ์ ที่มันจะตัวใหญ่ที่สุดในบัตรเชิญและก็ป้ายใหญ่ ๆ หน้างานว่าเจ้าของงานครั้งนี้คือใคร” รินชี้ให้ผมดู “อะ!” รินอุทานขึ้น เหมือนเธอจะนึกบางอย่างออก

    ภายในห้องเงียบไปชั่วขณะ ผมเห็นว่าส่วนเค้าหน้าของเธอเริ่มแดงมากขึ้น โอ้ว!!! น่ารักชะมัด ยิ่งตอนเขินแล้วก้มหน้านะโอ้ววววว!!!



    เลิกเรียนแล้วซ้อมบอล

    แสงแดดสีส้มแก้ตอนนี้ก็ยังงดงามไม่เปลี่ยน แต่ว่า

    “เฮ้อ~ เอาจริงเหรอเนี่ย” ผมต้องถอนหายใจเยียดยาวอีกครั้ง เมื่อรินบอกว่า... จะไปบ้านผม แต่เนื่องด้วยว่าผมติดงานพาร์ทไทม์จึงปฏิเสธไป แต่เธอก็หาทางมาจนได้ เธอจะไปคุยเรื่องปริศนากับผมที่ร้านกาแฟเลย สุดท้าย ผมก็จำจนแล้วตามใจเธอ

    “หลีกด้วยค้า!~” เสียงเล็กแหลมลอยมาแต่ไกล ผมหันกลับหลังไปมองก็-

    ‘อุบ’ มีบางอย่างพุ่งชนเข้าร่างผมเราทั้งสองล้มคลุกดินแห้งจนเปื้อนไปหมด ให้ตายสิ ทางโล่งกว้างขนาดนี้แต่กลับวิ่งมาชนเนี่ยนะ

    เนื่องจากว่ากระเป๋าสะพายของผมนั้นยังไม่ได้รูดซิบ เมื่อเจอกับการกระแทกแบบนี้ ของด้านในจึงกระจายออกมาจนหมด

    “ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ” คนที่ชนผมนั้นคือเด็กสาวรวบหางม้าผิวขาวผ่องอมชมพูในชุดวอร์มสีน้ำเงิน คงจะอยู่ ม.5 เธอรัวคำขอโทษออกมาไม่หยุดแล้วก็ช่วยเก็บของต่าง ๆ ของผมให้

    “ไม่เป็นไรหรอก” ผมตอบด้วยความเห็นใจ

    “เอ้?” เด็กสาวอุทานด้วยความแปลกใจเมื่อหยิบสมุดพกของผมขึ้นมา เอ้า! ซวยล่ะ ตะ แต่ว่าจะแย่งมาจากเธอทันทีก็ไม่ได้ด้วยสิ แล้วจะทำยังไงดีล่ะ ในนั้นน่ะ ในนั้นน่ะ มันมีโครงเรื่องนิยายแล้วก็โน้ตโง่ ๆ ของผมตั้งเยอะแยะ ขนาดผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเขียนอะไรไว้ในนั้นบ้าง

    “เครซี่แมน...” เด็กสาวเอ่ยบางอย่างออกมาและเปิดสมุดพก “พี่ไค...” หา?

    “ยะ ยังไงก็เถอะ ฉันต้องรีบกลับแล้ว ขอบคุณที่ช่วยเก็บของให้นะ” ผมยกกระเป๋าขึ้นแล้วยื่นมือของสมุดพกจากเธอ

    “นี่พี่... ไคเหรอ” เด็กสาวถามผมเสียงสั่น

    “ไค... ใช่ พี่ชื่อไค ชื่อเต็มว่าไคเซอร์” ว่าแต่เธอรู้ชื่อเราได้ยังไง

    “ชะ ชะ ชะ ใช่คนที่แต่งนิยายเรื่อง ‘หนังสือของพันแทลเลส’ ใช่ไหมคะ”

    “เอ่อ...” ผมตกตะลึงกับคำถามนั้น ไม่นึกว่าเธอจะ...

    “นี่หนูไง แพรวพราว น้องพี่ที่ชอบเล่นด้วยกันตอนอนุบาลจนถึง ป.5 น่ะ” เด็กสาวลุกขึ้นแล้วยื่นสมุดพกให้ผม ผมรับไว้อย่างงง ๆ

    “แพรวพราว...” ผมทอดเสียง อืม จำได้แล้ว หา?!จริงดิ! ตอนเด็กไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลยนี่นา โตขึ้นมาแล้วทำไมถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้เนี่ย แต่จะว่าไป ผมก็ไม่ค่อยได้เล่นกับรุ่นน้องคนนี้มากเท่าไหร่เลยนี่หว่า

    “ใช่แล้ว แพรวพราว และก็นะ ถ้าพี่ไคเป็นแต่งเรื่อง ‘หนังสือของพันแทลเลส’ นามปากกา ‘เครซี่แมน’ จริง ๆ ล่ะก็ หนูก็คือแฟนคลับตัวยงของพี่เลยล่ะ” เฮ้อ มาถึงขั้นนี้แล้ว ปกปิดไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ผมคงต้องตอบไปแล้ว
    “อืมใช่ ฉันนี่แหละ”

    “ย้า ใช่จริง ๆ ด้วย!!!” แพรวโผเข้ากอดผมในทันใด

    “เอ้า ๆ นี่ ตัวฉันเหม็นเหงื่ออยู่นะ” ผมพยายามผละเธอออก แต่เธอรัดแน่นมาก

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูดีใจสุด ๆ เลย ไม่คิดว่าจะเป็นพี่ด้วยซ้ำ แต่พอได้รู้และได้เจอพี่... มันทำให้หนู~ ดีใจมากเลยค่ะ” แพรวกล่าวทั้งน้ำตาในอ้อมอกผม เอ่อ สถานการณ์แบบนี้ ผมต้องทำอะไรดี

    “หนูคือคนที่ใช้นามแฝงว่า ‘Persephone’ ที่ตอบนิยายพี่บ่อย ๆ ไงล่ะคะ” แพรวพูด อ่า อย่างนี้นี่เอง ไม่น่าล่ะมันถึงรู้สึกคุ้น ๆ Persephone คือนามที่เธอชอบใช้ตอนที่เป็นจูนิเบียว(โรคเพี้ยน) ส่วนเครซี่แมนของผมนั้นเธอไม่รู้หรอกว่าได้มายังไง และผมก็ไม่อยากจะบอกด้วยว่ามันได้มายังไง เรื่องน่าอายไม่ควรนำมาเปิดเผย

    “มันทำให้หนู รู้สึกอบอุ่นมากเลยล่ะ” แพรวกอดร่างผมแน่นขนัด ดะ ดะ เดี๋ยวนะ หน้าอกเธอมันโดน... เอ่อ- ช่างเทอะ

    “แพรว...” แพรวเงยหน้ามองผม และจ้องตาไม่กระพริบ

    “รักพี่ไคนะ” เอื้อก!!! ไม่ทันตั้งตัว! นี่เธอ! “ช่วย... คบกับหนูด้วยได้ไหมคะ”

    “เอ่อ... คือว่า... เป็นในรูปแบบ Love หรือว่า Like ล่ะ” ผมใจเต้นโครมครามไม่หยุดแล้วถามเพื่อความแน่ใจ

    “ก็ต้อง Love สิคะ!!!” แพรวตอบเสียงแข็ง

    เอาแล้วไงล่ะ ปีนี้มันเป็นปีมหาเฮงของตูรึไงฟะ พัวพันกับเรื่องผู้หญิงไม่เว้นแต่ละวันเชียว

  22. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  23. #12
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 2.3 : เธอเห็น-ของผม

    Ch. 2.3 : เธอเห็น-ของผม

    ‘กรี้ง!~’

    “หา?... หืม?...” ผมตาปรือแล้วคลำไปทั่วหัวเตียงเพื่อหาโทรศัพท์มือถือซึ่งสั่นรัวและส่งเสียงกวนประสาท กดปิดมันแล้วขยี้ตาและบิดตัวไปมาอย่างทรมานกาย

    “บ้าจริงง่วงนอนชะมัด” เสียงงัวเงียขาดตอนของผมดังไม่ชัดนัก แต่ถึงจะรู้สึกอ่อนเปลี้ยขี้เกียจลุกจากเตียงนอน ก็ต้องทำมันอยู่ดี ในเมื่องานของผมจ่อหน้ารออยู่แล้ว ถ้าไม่ไปทำคงได้โดนเทศตายแน่

    04.30 น. จากนาฬิกาของโทรศัพท์รุ่นเก่า เล่นเน็ทไม่ได้ รูดปรืดไม่ได้(สัมผัส) และถ่ายรูปไม่ได้! มันจะตกรุ่นไปถึงไหนเนี่ย

    “นายท่าน... มีอะไรงั้นเหรอ... ตื่นเช้าเชียว...” ระหว่างที่ผมจะเข้าห้องน้ำ กราเซสก็เดินขยี้ตาพลางหาวหวอดไม่หยุดปากออกมาจากห้องซึ่งแต่เดิมเคยเป็นห้องของพี่ชายผม ยังรู้อีกนะว่าผมตื่นแล้ว ประสาทรับรู้จะดีไปไหม
    “อา... ฉันจะไปทำงานน่ะ” ผมตอบแบบหน่าย ๆ ไม่ใช่เพราะคนถาม แต่เป็นเรื่องงาน

    “ข้า- อะ! ฉันรับทราบแล้ว” กราเซสสะดุดคำกล่าวแทนตัวเอง ผมนี่แหละคือต้นเหตุ ถ้าหากว่าเธอฟังคำสั่งทั้งหมดของผมจริง ๆ ผมก็เลยลองจากเรื่องง่าย ๆ ก่อน คือให้เธอใช้คำนามและสรรพนามใหม่ โดยให้คำพวกนั้นอยู่ในยุคปัจจุบันอย่างที่คนปกติเขาพูดกัน

    “ไม่ต้องหรอก ฉันไปคนเดียวได้ กลับไปนอนต่อเถอะ” ผมปัดมือบอกแล้วปิดประตูห้องน้ำ

    ช่วงนี้อากาศก็หนาวไม่น้อย บางทีอาจลดลงถึง 7 องศาเซลเซียส นั่นคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ถึงแม้ว่าผมเคยอาบน้ำช่วงเช้ามืดมาถึง 2 ปีก็ตาม แต่ไม่ว่าครั้ง ๆ ไหนที่เข้าห้องน้ำเพื่อราดน้ำใส่ร่าง มันก็ตัดสินใจได้ยากอยู่ดี

    ห้องน้ำบ้านผมเป็นฝักบัว ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ยามอาบฝักบัวคือสิ่งอันตราย เวลาชำระล้างนานเกินไปสำหรับความเหน็บหนาวระดับนี้ ร่างผมคงต้องสั่นสะท้านจนทำอะไรไม่ถูกแน่ ผมจึงผันเปลี่ยนมาเป็นการตักอาบแทน รวดเร็ว สะอาด และประหยัด

    รักษาดินแดนที่เคยมีการจำกัดเวลาอาบน้ำนั่นผมไม่เคยเรียนหรอก แต่จากประสบการณ์ที่เคยเข้าค่ายเสริมประสบการณ์ฤดูร้อนก็ทำให้ผมมีระเบียบวินัยในตนเองมากยิ่งขึ้น

    ค่ายเสริมประสบการณ์ ขออธิบายสักเล็กน้อยเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน

    ค่ายเสริมประสบการณ์นั้นคือค่ายที่เปิดรับคนทุกเพศทุกวัย เข้าร่วมเพื่อเพิ่มประสบการณ์การเอาตัวรอดในรูปแบบทหาร ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้เรื่องนี้ ใบประกาศวันเปิดค่ายไม่เคยแจก การประชาสัมพันธ์ไม่เคยเกิดขึ้น มีเพียงจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาหาครอบครัวผมเท่านั้น

    เราเรียกมันว่า ‘ค่ายนักรบ’

    เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมได้ก้าวเข้าสู่ประตูค่ายอย่างสับสน งุนงงว่า ‘ตูมาทำอะไรที่นี่’ ในตอนนั้นผมรู้แค่ว่า... ผมไม่รู้จักใครเลยสักคน

    ค่ายถูกตั้งขึ้นที่ตีนเขามุมหนึ่งของภูเรือ จ.เลย ถูกจัดแจงไว้โดยเจ้าหน้าที่ดูแลเป็นอย่างดีก่อนหน้าถึงสองสัปดาห์ อากาศอบอุ่นตอนกลางวัน และหนาวเล็กน้อยตอนกลางคืน แม้ว่าจะเป็นฤดูร้อนก็ตาม

    ครูฝึก ไม่ใช่คนไทยทุกคน ผมจำได้ว่าครูฝึกทั้งหมด 5 คน โคลัมเบีย 1 อุรุกวัย 1 อเมริกา 1 และไทย 2

    สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ในค่ายนั้นมีเด็กหนุ่มเด็กสาวมาเข้าค่ายเพียง 15 คนเท่านั้น อีกทั้ง 15 คนเหล่านั้น กลับรู้จักผมทุกคน ไม่ใช่ ๆ เขารู้จักผมในนามของนามสกุล ‘มิคาเอล’ ต่างหาก ผมไม่เคยถามพวกเขา ไม่มีเคยถามว่าพวกเขาคือใคร ตลอดหนึ่งสัปดาห์ของการเข้าค่ายพวกเราทั้งหมดได้คุยกันไม่มากนัก พวกเราเหนื่อยและอ่อนแรงจากการฝึก

    แต่ด้วยความที่ว่าการฝึกนั้น มีหัวข้อความสามัคคีและการทำงานร่วมกันเป็นทีมรวมอยู่ด้วยจึงทำให้พวกเรารู้จักกันมากขึ้น ทว่ามีคนหนึ่งซึ่งผมควรจะจำเขาได้ ตั้งแต่ต้นแล้ว ผมควรจะจำเขาได้ ไม่ใช่เขาสิ “เธอต่างหาก”

    ผมเพ้ากระเซอะกระเซิงและยาวถึงติ่งหู หน้าตาจิ่มลิ๋มเหมือนผู้หญิง แต่ด้วยท่าทางทะมัดทะแมงแข็งกระโดก และชอบสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงสามส่วนก็ทำให้ผมเข้าใจว่าเธอเป็นผู้ชาย แต่เธอไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย

    แพรวพราว เด็กสาวอายุ 16 ปี ได้สารภาพรักกับ ไคเซอร์ ชายผู้เงียบงันอายุ 18 ปี ไม่สิ ไม่สิ ยังไม่ 18 อีกประมาณกี่วันนะ อ้อ อีก 3 วันผมก็จะอายุ 18 แล้ว

    ใช่ ตอนเข้าค่ายเธอก็ได้คุยกับผม เธอบอกว่าเธอชื่อ แรร์ ชื่อแปลกหายากสมชื่อ ฟังดูก้ำกึ่งระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย ตอนนั้นเธออายุได้ 13 ปี อาจเป็นเพราะว่ายังไม่มีหน้าอกผมก็ไม่ทันสังเกต

    ตอน ป.5 ผมย้ายไปเรียนต่างจังหวัดพร้อมกับครอบครัว และจากเธอไปทั้งอย่างนั้น ไม่ได้กล่าวลา ไม่มีคำพูดใด ๆ กล่าวกับเธอ แม้แต่เพื่อนร่วมชั้นของผม

    สามวันสุดท้ายเธอเฉลยว่าเธอชื่อแพรวพราว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงจำเธอไม่ได้ เหมือนเธอจะโกรธผมไม่น้อยตอนที่ผมอุทานด้วยความตกใจว่าเธอคือแพรวพราว รุ่นน้องขี้เล่นเมื่อตอนเด็ก ๆ

    “เฮ้อ~” คิดแล้วก็เจ็บใจ


    “ว่าแต่ ฉันบอกให้เธอกลับไปนอนไม่ใช่เหรอ” ผมกล่าวเหน็บแนมกราเซสในขณะที่พวกเรากำลังเดินเข้าสู่ซอยเล็กไร้ผู้คน อากาศหนาวไม่เคยปราณี ผมจึงต้องสวมเสื้อโค้ตตัวใหญ่ออกมาแบบนี้ทุกวัน

    “ข้า- ฉันเคยบอกแล้วนี่นาว่า เจ้านายไปไหนฉันก็ต้องไปด้วย เจ้านายอยู่ที่ไหน แล้วทำไมฉันจำต้องอยู่ที่อื่น” คำพังเพยรึไงวะ

    กราเซสสวมเสื้อแขนยาวกันหนาวสีขาวของผม เธอรู้สึกเกรงใจเมื่อผมยื่นเสื้อตัวนี้ให้ แต่สุดท้ายเธอก็ใส่มัน แฮะ ๆ รู้สึกแปลกจัง โคตรแปลกเลย อ้อ ผู้หญิงใส่เสื้อของเราครั้งแรกสินะ

    ผมเหลือบมองม่านฝุ่นสีทองสว่างเหนือน่านฟ้ายามเช้ามืดแล้วขบคิดเรื่องแปลกที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน และเมื่อวาน

    ฝุ่นมากมายปลิดปลิวขึ้นสู่ท้องฟ้า หลั่งไหลมาไม่ขาดสายราวฝูงตั๊กแตนของพระผู้เป็นเจ้า ฝุ่นหนึ่งเม็ดเท่ากับคนหนึ่งคน มีฝุ่นรวมตัวกันที่ไหน ฝุ่นอื่น ๆ ก็จะตามไปหา พบปะและร่วมเดินทางสู่สรวงสวรรค์เพื่อรับการพิพากษาจากผู้ครอบครองเอกภพทั้งมวล

    “ครั้งนี้มีน้อยกว่าเมื่อวาน ลดน้อยลงเรื่อย ๆ” ผมเอ่ยบางอย่างซึ่งทำให้กราเซสสงสัย

    “อะไรหรือท่าน- พี่ไค” กราเซสเรียกผมว่า ‘พี่’ เนื่องจากว่าเธออายุน้อยกว่าผมหนึ่งปีผมจึงให้เธอเรียกว่าพี่ เพื่อไม่ให้ใครเข้าใจผิดเมื่อเธอเรียกผมว่า ‘ท่าน’

    “เธอมองไม่เห็นสินะ ฝุ่นสีทองของดวงวิญญาณน่ะ” ผมเบิกตามองท้องฟ้าสีดำซึ่งเต็มไปด้วยกลุ่มฝุ่นสีทองหมุนวนพุ่งทะยานสู่กลีบเมฆและหายลับไปเรื่อย ๆ

    “ท่านเห็นเหรอ” กราเซสกล่าวถามอย่างตกอกตกใจ “มะ มันมีจริงเหรอท่าน อะ! พี่ไค ฉันนึกว่ามันมีแค่ในตำราเท่านั้น” เธอมองไม่เห็นเหรอ นั่นแสดงว่าเธอเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ต่างไปจากมนุษย์โลกเลยนี่นา ถ้าให้คนธรรมดาอย่างเธอมาคุ้มครองเทพมันจะดีเหรอ?

    อาจกลายเป็นว่า คนที่คุ้มครองเธอคือผมมากกว่า

    ฝุ่นเม็ดหนึ่งลอยต่ำ มันร่วงลงมา... ไม่สิ มันกำลังถูกดึงดูด! มันพุ่งดิ่งเข้าหาพื้นด้วยความเร็วสูงสุด และก็วิ่งผ่านหน้าผมไปราวกระสุนปืนไรเฟิล

    “เฮ้!! จะไปไหนน่ะ” ผมร้องตามเม็ดฝุ่นนั่น แต่มันก็ยังวิ่งแล่นไปโดยไม่สนเสียงเรียกของผม ความเร็วระดับนี้ F-22 ก็ตามไม่ทัน

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอท่าน- พี่ไค” กราเซสวิ่งตามผมมา ผมหยุดนิ่งและมองไปยังสุดปลายทางของซอยเล็กซอยนี้ “มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ นี่ก็ครั้งที่สามแล้ว”

    ผมบ่นพึมพำอยู่คนเดียว

    “พี่ไค...” กราเซสถามด้วยความเป็นห่วง ผมโบกมือให้กราเซสว่ายังโอเค แล้วเดินคอตกไปร้านอำพลคอฟฟี่ “เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง”


    ‘กริ้ง กริ้ง’

    เสียงกระดิ้งหน้าร้านดังขึ้นเมื่อผมไขกุญแจเข้าไป ผมมีกุญแจของร้านจึงต้องมาเข้างานก่อนเวลาเปิด 10 นาที

    “มีอะไรให้ฉันช่วยบ้าง บอกมาได้เลยนะพี่ไค” กราเซสพูดอย่างลิงโลด

    “อืม”

    ผมเดินเข้าสู่ความมืด กดสวิทซ์เปิดไฟทุกดวง ปัดกวาดหน้าร้านในร้านและหลังร้าน จัดข้าวของบนเคานเตอร์ ล้างถ้วยชามแก้วน้ำแก้วกาแฟ ตั้งไฟต้มน้ำและวางอุปกรณ์ไว้ในจุดที่มือหยิบจัดได้ง่าย ผมเดินออกมาจากหลังร้านแล้วจัดโต๊ะเก้าอี้ 5 กลุ่มให้สวยงาม เดินปัดมือไปหมุนป้ายเป็น ‘OPEN’ พร้อมกับเปิดโคมไฟสีเหลืองอ่อนนวลตาประดับหน้าร้าน ‘อำพลคอฟฟี่’ จากนั้นก็สวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาล ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้นสำหรับการเตรียมร้าน

    “อ้าว ลืมไปซะสนิทเลยว่าเธออยากจะช่วยฉัน” ผมยิ้มเจื่อน ๆ ให้กราเซส เธอยืนตัวตรงรอรับคำสั่งผม ในยามที่เธอจะเข้ามาช่วยผม ผมก็ทำสิ่งนั้นเสร็จไปก่อนแล้ว

    เธอชักสีหน้าหดหู่ พอเข้าใจแล้วว่ากำลังรู้สึกอะไร

    “ไม่เป็นไรหรอก สมัยนี้ไม่ใช่เจ้าทาสบ่าวนายกันสักหน่อย อีกอย่าง การกระทำและการพูดของเธอออกจะเกรงใจฉันเกินไป มันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด ปลดปล่อยมันออกมาหน่อยก็ดี” ผมยืนหลังเคานเตอร์แล้วพูดกับกราเซสอย่างเป็นกันเอง “นี่ไม่ใช่คำแนะนำ แต่มันคือคำสั่ง”

    ผมหยิบหนังสือจิตวิทยาเรื่องการโน้มน้าวใจของลุงอำพลในลิ้นชักติดผนังขนาดใหญ่ออกมาอ่านเพื่อฆ่าเวลา ช่วงนี้ลูกค้าจะมีมากที่สุด แต่ก็คงอีกประมาณ 10 นาทีถึงโผล่เข้ามา ส่วนริน... นัดไว้ตอนตี 5 หวังว่าจะตรงเวลานะ

    ก่อนหน้านั้นผมบอกรินว่าร้านที่ผมทำงานนั้นหาได้ง่าย มันเขียนป้ายไว้ชัดเจนว่า ‘อำพลคอฟฟี่’ เป็นบ้านไม้สีน้ำตาลเข้มชั้นเดียวยาวไล่ออกจากถนนพอสมควร ตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางตึกสามชั้นของซอย จำได้ง่าย ดูก็รู้เลยว่า นี่คือร้านกาแฟ

    ผมบอกเธอว่า ตี 5 ให้มา เพราะช่วงนั้นลูกค้ามักจะว่างเสมอ ส่วนเวลาทำงานของผมคือตี 4 เธอสามารถมาก่อนหน้านั้นก็ได้ ไม่มีปัญหา


    ‘กริ้ง กริ้ง’

    เสียงกระดิ่งดังขึ้น ลูกค้าวันนี้มาเร็วจังแฮะ

    “อ้าว รินนี่หว่า” ไม่ใช่ลูกค้า อาจจะเป็นลูกค้าก็ได้ รินมาเร็วกว่าที่คิด เหลือเวลาอีก 59 นาทีก็จะตรงตามนัด เธอสวมเสื้อกีฬาแขนยาวแนบเนื้อสีน้ำเงิน กางเกงพละสีดำพร้อมกับผ้าขนหนูสีขาวพาดคอไว้ ผมยาวสลวยถูกมัดเป็นมัดหางม้าสูงเช่นเดิม แต่ครั้งนี้ใช้ยางมัดผมแทนโบผูกผม งดงามไม่เคยเปลี่ยน

    “อรุสวัสดิ์ไค” รินยิ้มร่าแล้วเดินตรงเข้ามาหา

    “อะ.. หวัดดี” ผมก้มหัวรับ ปกติผมไม่มักพูดทักใครนักจึงทำให้ท่าทางออกจะแข็งเกินไป

    “ฉันพึ่งเคยเห็นคนอย่างเธอนี่แหละ ที่มาทำงานเวลาแบบนี้” รินเหยียดแขนตรึงค้ำกับเคานเตอร์และยืดตัวไปมา

    “นี่ไค... เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่นั่งอยู่ตรงนั้นใครเหรอ” รินโน้มตัวเข้ามากระซิบถาม

    “น้องสาวน่ะ” ผมจำต้องตอบแบบนี้ ถ้าบอกว่าเป็นผู้รับใช้เธอคงแปลกใจน่าดู อาจจะทึกทักว่าเป็นแฟนสาวแทนก็ได้

    “น้องสาว?!” รินโพล้งขึ้นด้วยความตกใจแล้วหันไปมองหน้าของกราเซสสลับกับหน้าผม

    “เธอชื่อกราเซส” ผมแนะนำ และกราเซสก็ลุกขึ้นโค้งคำนับให้รินอย่างอ่อนน้อม

    “นายไม่เคยพูดเลยนี่นาว่านายมีน้องสาว” รินหันมาถามผมอย่างสงสัย

    “อืม” คำตอบห้วน ๆ ของผมทำให้เธอนิ่วหน้า

    ผมเคยพูดไปแล้วว่าถ้าผมอยู่ร้านนี้ผมจะเปลี่ยนเป็นคนละคน ถ้าหากว่าคนที่รู้จักผมมาเห็นผมแบบนี้ก็คงประหลาดใจและอุทานอย่างไม่น่าเชื่อ

    และถ้าหากว่ารินสงสัยขึ้นมาผมก็จะบอกว่า ‘มันคือคุณสมบัติของนักธุรกิจ’

    “หน้าตาไม่เหมือนกันเลยนะ” รินมองหน้ากราเซส เธอเพ่งพิจารณาอยู่นาน

    “ใคร ๆ ก็ว่าแบบนั้น” ผมเอ่ย เกลียดจริง ๆ เลยการโกหก ผมทำแบบนี้มันดีแล้วเหรอ

    “ฉันว่า เราเข้าเรื่องเลยดีกว่า ไหน ๆ ก็มาแล้ว ไม่อย่างนั้นลูกค้าจะมาซะก่อน” ผมพูดเรียกสติริน

    “ก็ได้” เธอตอบเสียงละห้อย

    “ฉันอยากฟังความคิดของเธอก่อน” ผมเกริ่นถามริน ให้รินนั่งเก้าอี้หัวโล้นหน้าเคานเตอร์ส่วนผมก็ยืนหลังเคานเตอร์

    “ฉันไม่รู้เลย เรื่องเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณนั่น ถ้ามันไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาล่ะนะ อีกอย่าง ปริศนาในครั้งนี้ก็ไม่ได้บอกว่าปริศนาถัดไปจะได้มายังไง” รินก้มหน้าพูด เหมือนเธอจนหนทางซะแล้ว

    “ฉันว่ามันเกี่ยวกับเรือโนอา” คำพูดของผมทำให้กราเซสมองตรงมาที่ผม ผมชูนิ้วจุปากตัวเองว่าให้เงียบไว้ เธอพยักหน้าเข้าใจและนั่งลงเช่นเดิม

    “เรือโนอา” รินชักสีหน้าสงสัย

    “ถ้าจะให้เล่ารายละเอียดมันก็เยอะเกินไป แต่ถ้าจุดประสงค์หลักในการสร้างเรือคือ พระเจ้าจะทำลายโลกด้วยมวลน้ำ” รินพยักหน้าให้ผมอธิบายต่อ “พูดให้ถูก ฉันว่าปริศนาครั้งนี้ก็ไม่ได้ยากอะไรนัก”

    “นายไขได้แล้วเหรอ” รินถามแบบเกร็ง ๆ เหมือนเธอยังรู้สึกเกรงใจผมอยู่

    “ก็ไม่เชิงนักหรอก ในกระดาษนั่นบอกว่าคำตอบว่าเกี่ยวกับภาษาไทย อีกอย่าง โจทย์ข้อสองเมื่อนำมาวิเคราะห์อย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้วก็ทำให้รู้ว่าจุดเริ่มต้นของความเสื่อมเสีย ความเชื่อใจ ความรุ่งโรจน์ บลา ๆ ๆ คือ...” ผมทอดเสียงให้รินตอบ

    “ลมปาก” ถูกเผง

    “ใช่ ไม่พ้นจากสำนวนหรือสุภาษิตไทยแน่นอน”

    “อย่างนี้นี่เอง” รินจับคางพยักหน้าเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นกระจ่างหมดแล้ว

    “เขาไม่บอกใช่ไหมว่าสถานที่รับปริศนาครั้งต่อไปอยู่ที่ไหน แต่หมายเหตุกลับบอกว่า ถ้าคุณตามหาปริศนาที่ 3 ไม่เจอทีมของคุณก็จะตกรอบ”

    “ภายใน 36 ชั่วโมงอีกด้วย” รินเสริม

    “แต่ถ้าลองเอาคำตอบมาคิดล่ะ” ผมลองถามหยั่งเชิง เธอครุ่นคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก

    “ไม่รู้อ่ะ” ยอมแล้วสินะ

    “ห้องเก็บเสียง หรือห้องดนตรีนั่นแหละ” ผมเฉลย

    รินนิ่งนึกอยู่นานก่อนจะอุทานขึ้นด้วยความตกใจ “ใช่จริง ๆ ด้วย!” เธอมองผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

    ‘น้ำท่วมปาก’


    ***


    เป็นไปได้ยังไงกัน ปริศนานี้ไม่ได้ยากงั้นเหรอ ฉันคิดหัวแทบยังคิดไม่ออก แต่เขากลับพูดออกมาอย่างง่ายดายเหมือนกับว่ามันเป็นโจทย์ปัญหาระดับเด็กประถมเท่านั้น

    ฉันมองหน้าเขาแล้วยิ้มแบบฝืน ๆ พยายามไปเท่าไหร่ฉันก็ไม่เคยชนะเขาสักที มันมีอะไรซ่อนอยู่ในใบหน้าราบเรียบอีกรึเปล่านะ

    ใช่ มันต้องมีแน่ ๆ คนแน่นิ่งหน้าตายใจเย็นต้องไม่ใช่เขาคนนี้ ‘ไคเซอร์ มิคาเอล’

    ฉันว่าฉันควรจะกล่าวชมเขาสักหน่อย แต่มันกลับ... “น้ำท่วมปาก” อย่างบอกไม่ถูก

    พวกเราสนทนากันเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่ฉันจะบอกลาไคและกราเซสน้องสาวสุดหน้ารักของเขาเพื่อกลับบ้าน แต่ก่อนหน้านั้นฉันจะไปวิ่งออกกำลังกายซะก่อน

    เขาอาจจะเป็นคน ๆ แรกที่ทำให้ฉันรู้สึกฉงน ฉันจ้องมองเขามาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งตอนที่เขาย้ายมาจากอังกฤษตอน ม.4 เทอม 2 ไม่ได้สอบเข้าที่นี่โดยตรงเลยได้อยู่ห้อง 3 อันดับเกรดเฉลี่ยสูงสุดของห้องถูกเขาแย่งไป น่าเจ็บใจทุกครั้งที่เขาไม่รู้สึกรู้สาและดีใจกับคะแนนที่ได้ คนแบบนี้สอบเข้ามหาลัยดัง ๆ ได้ไม่ยาก

    เขาเป็นคนน่าจับตามากขึ้นเมื่อลงสมัครชมรมฟุตบอล เด็กหนุ่มสวมแว่นร่างเพรียวแลแข็งแกร่งเข้าชมรมฟุตบอล มันเป็นสิ่งที่ทำให้คนทั้งห้องตกตะลึงมาแล้ว มิหนำซ้ำด้วยความสูง 183 เซนติเมตรก็ทำให้เขาเป็นที่น่าสนใจของโค้ชบาสเกตบอล เขาเคยโชว์ฝีมือมาแล้วตอนคาบพละและกีฬาสีปีที่แล้ว

    จากจุดนี้ทำให้สาว ๆ ในห้องรุ่นน้องและสาวห้องอื่นเริ่มพูดถึงชายร่างเพรียวสวมแว่นมากขึ้น

    ต่อมา เขาสมัครการแข่งขันวาดภาพวันคริสต์มาสโดยที่ไม่ให้ใครรู้ เนื่องว่าการกิจกรรมครั้งนี้ไม่ต้องลงชื่อจริงของตน แต่ใช้นามแฝงแทนได้ จึงทำให้เขาสนอกสนใจเป็นอย่างมาก ฝีมือการวาดของเขาเข้าขั้นนักวาดดาวรุ่ง ด้วยลายเส้นแบบการ์ตูนญี่ปุ่นอาจดูไม่เข้าตากรรมการ แต่การลงสีเงา เทคนิค และองค์ประกอบล้วนสมบูรณ์ไร้ที่ติ เขารับรางวัลอันดับหนึ่งมาอย่างง่ายดาย ในยามเขาขึ้นรับรางวัล เขาหายตัวไป ครูผู้รับผิดชอบงานประกาศว่า ‘เครซี่แมน’ ป่วย ไม่สบาย ‘เครซี่แมน’ คือนามแฝงของเขา มีแค่ฉันเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้

    การกระทำอย่างลับ ๆ ของเขาทำให้ฉันเริ่มติดตามเขามากขึ้น

    ไคพบปะกับรุ่นน้องกลุ่มหนึ่ง ตั้งวงดนตรีขึ้นมาและเขาคือมือกลอง เขาเริ่มจากศูนย์ เรียนรู้จากเน็ท ผ่านไปหนึ่งเดือน พื้นฐานการตีกลองของเขาแน่นเอียด สองเดือนเขาแกะเพลงได้ทุกเพลง สามเดือนเขาเล่นเพลงร็อคระดับสูงได้อย่างไม่ผิดพลาด การพัฒนาการและการเรียนรู้อันรวดเร็วของเขา ฉันพึ่งเคยเห็นเป็นคนแรก

    หลังจากนั้นฉันก็สังเกตเขาทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าการเดิน การทานข้าว การพูด และการเข้าสังคม มันทำให้ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนพูดไม่เก่ง ใจดี เกรงใจและมักเป็นห่วงผู้อื่นอยู่เสมอ ฉันไม่เคยเจอผู้ชายแบบนี้มาก่อน

    และวันนี้ วันที่ฉันได้เห็นว่าเขาไม่ใช่ชายแสนเกรียดคร้าน เพราะร้อยทั้งร้อย คนที่มีความสามารถรอบด้านมักไม่เอาไหนเรื่องงานส่วนตัวและงานประจำบ้าน แปลกใจมากเลยล่ะ

    ความจงเกลียดจงชัดเปลี่ยนแปลงมาเป็นการชื่นชมแบบไม่ทันตั้งตัว ฉันไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นในใจฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่เราหันหน้ามาปะกันโดยบังเอิญ

    หลายอาจจะคิดว่าฉันคนนี้เป็นสตอร์คเกอร์(Stalker) ก็ได้ แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็นเขามันไม่เคยหมดไปจากหัวฉันสักที มิหนำซ้ำมันยากมากขึ้นทุกวันจนทนอยู่เฉยไม่ได้


    ฉันวิ่งฝ่าลมหนาวไปตามถนนคนเดินในสวนสาธารณะใกล้บ้าน ทักทายคนรู้จักแล้ววิ่งต่อ

    แสงแดดสีส้มอ่อนแผ่ออกสู่ท้องฟ้า ฉันต้องกลับบ้านไปเตรียมตัวแล้ว

    7.30 น. ฉันออกจากบ้าน อยากจะสร้างความสัมพันธ์กับเขาให้แนบชิดมากขึ้น จึงตั้งใจจะไปเรียกเขาหน้าบ้าน

    เขาเรียกนี่ว่าอะไรนะ ฉันเคยอ่านนิยายรักและดูหนังรักมามากมาย ฉันรู้ตัวว่า ถ้าฉันจับตาดูการกระทำของเขาต่อไปอาจทำให้ฉันหลงรักเขาจนโงหัวไม่ขึ้นแน่ ว่าแล้วหัวใจก็เต้นตึกตักขึ้นมาทันที

    “ไค นี่รินนะ ไค” ฉันตะโกนเรียกเขาอยู่หน้าบ้าน เขาเคยบอกก่อนแล้วว่าบ้านของเขาสลักชื่อว่า ‘MICHAEL’ คงไม่ผิดหลังหรอกนะ

    ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ ประตูบ้านเปิดทิ้งไว้ ฉันเลยถือวิสาสะเดินเข้าไปพลางร้องเรียกเขาอยู่เนือง ๆ

    ฉันเข้ามาข้างในแล้ว ก็ยังไม่มีใครตอบกลับอยู่ดี อืม นี่บ้านของไคสินะ แล้วพ่อแม่เขาไม่อยู่เหรอ เงียบเชียว

    “นี่ทำอะไรของเธอเนี่ย ทำไมถึงมาด้วยสภาพแบบนี้” หืม ฉันได้ยินเสียงตะโกนของใครบางคน มันไม่ดังมากนัก อยู่ในห้องน้ำเหรอ

    “บ้าเอ้ย ทำไมต้องมาติดอยู่ในนี้ด้วย รอก่อนนะ ฉันจะช่วยแกเอง อ้ากกก!!!!” เสียงร้องตะคอกนั่นอีกแล้ว ฉันฟังไม่ได้ศัพท์นัก จึงเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น ด้านหน้าคือประตูห้องน้ำ

    “ม่ายยยย!!!!” เสียงร้องตะโกนของไคนี่นา! ฉันวิ่งเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต ประตูห้องน้ำถูกแง้มไว้ มันไม่ได้ปิดตั้งแต่แรก ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อได้ยินเสียงร้อยตะโกนของเขา

    และ... ฉันก็เห็น

    ฉันเห็น ฉันเห็นมัน... ไอ้นั่นของเขา! ใบหูฉันร้อนผ่าวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    “อะ” ไคมองหน้าฉัน เขาตกตะลึงอ้าปากค้างไร้คำกล่าวเหมือนโจรกับตำรวจ ร่างของไคเปลือยเปล่าในมือกำหมัดเหมือนจะชกพื้นห้องน้ำ ไคหันหลังให้กับเด็กสาวที่เขาเรียกว่าน้องสาวซึ่งสวมแค่ผ้าขนหนูผืนเดียว ในมือของกราเซสถือไม้ถูพื้นเหมือนกับจะทำอะไรบางอย่าง นี่มัน...

    “อะไรกันเนี่ย!!!” ฉันกรีดร้องออกมาแล้วปิดประตูด้วยความโมโหขีดสุด

    “อ้าวเฮ้!” เสียงเรียกของไคเรียกรั้งฉันแต่ฉันไม่สน

    ฉันเห็นไอ้นั่น ของเขาแล้ว!

    “กรี้ด!!!!~” ฉันกรีดร้องอีกที สติสัมปชัญญะเริ่มแตกพล่าน ฉันวิ่งพรวดขึ้นชั้นสองโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากรูปแบบภายในของบ้านหลังนี้เหมือนกับบ้านของฉันมากจึงเผลอคิดว่าฉันกำลังจะวิ่งเข้าห้องตัวเอง

    และก็เอาจนได้ ฉันเปิดประตูห้อง ไม่ทันสังเกตคำหน้าประตูว่ามันเขียนอะไร แต่เมื่อฉันเปิดประตูก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก

    ห้องนอนสีขาวหม่นติดเต็มไปด้วยโปสเตอร์การ์ตูนญี่ปุ่น หมอนข้างลายการ์ตูน ชั้นหนังสือซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูนและนิยายเกิน 100 เล่ม มากกว่าหนังสือเรียนถึง 10 เท่า ทั้ง ๆ ที่เขาเรียนเก่งมากขนาดนั้นเนี่ยนะ ข้าง ๆ ชั้นหนังสือมีแผงวางซีดีขนาดใหญ่ มันมีกล่องซีดี ดีวีดี และกล่องลายการ์ตูนมากมายราวแผงขายของ เยอะเกินไปแล้ว

    อีกมุมหนึ่งของห้องมีคอมพิวเตอร์ทันสมัยเครื่องใหญ่ มีภาพวาดดินสอรูปการ์ตูนจำนวนมากวางไว้บนโต๊ะทำงาน แล้วนี่อะไร โมเดลหุ่นยนตร์กับตุ๊กตาบลายเหรอ ไม่ใช่งานมันประณีตยิ่งกว่า ฉันเคยเห็นนะ ใช่แล้ว ฟิกเกอร์นั่นเอง และก็... กันพลา!!!

    เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกเปิดทิ้งไว้ หัวใจฉันเต้นระรัว ไม่รู้จะทำอะไรก่อนดีจึงเดินเข้าไปมองจอมอนิเตอร์นั้นอย่างระแวดระวัง คงไม่มีตัวอะไรโผล่มาหรอกนะ

    ฉันมองเห็นหัวข้อเว็บบอร์ดว่า [โอตาคุไม่เคยรุ่งเรืองกับสาว 3 D] มีการเข้าชมและตอบกลับเป็นจำนวนมาก ฉันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ‘โอตาคุ’ มันคืออะไร

    ฉันเหลือบไปเห็นเมมโมสีเหลือแปะไว้ที่ผนังหลังคอมพิวเตอร์ มันเขียนไว้ว่า [อย่าลืมเรื่องการสารภาพรักของแพรว] และอีกแผ่น [ไอจังน่ารักที่สุดในสามโลก] นี่มันอะไรกัน นี่มันห้องของใคร! การหายใจของฉันติดขัด มือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก ฉันยืนขาชาอยู่กับที่... และเขาก็วิ่งตรงเข้ามา ผ้าเช็ดตัวลายการ์ตูน

  24. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  25. #13
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342
    เข้ามาแจ้งข่าวสำหรับผู็ที่ยังติดตามเรื่องนี้อยู่

    เนื้อเรื่องตอนต่อไปผมจะลงแค่เว็บเด็กดีเท่านั้นนะครับ หมายความว่าเว็บแมวและเว็บนี้ผมไม่ลงอีกแล้ว ถ้าอยากอ่านตอนต่อไปก็กดตามลิงค์ด้านล่างเลยครับ

    http://my.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1079507

  26. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  27. #14
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 03 – สิ่งที่ไม่เคยพูด

    Ch. 03 – สิ่งที่ไม่เคยพูด

    ‘ง้าว~’

    เสียงหาวหวอดดังออกมาจากปากของผม ผมเดินลากขาขึ้นชั้นสองของบ้านด้วยสภาพเหนื่อยหนัก วันนี้ดันไปเจอพวกแก็งค์นักเลงบ้า ๆ ซะได้ ทั้งที่อยู่ใกล้บ้านตัวเองแท้ ๆ อีกทั้งแถบนี้ก็เป็นเขตของแก้งค์อื่นด้วย แล้วทำไมมันถึงได้มาไกลถึงขนาดนี้กัน

    หลังจากที่ทำงานช่วงเช้าเสร็จผมกับกราเซสก็ได้ปะหน้ากับกลุ่มแก็งค์อันธพาลชื่อ ‘หัวไก่’ โผล่พรวดออกมาจากหน้าซอย คล้ายกับว่ามันเป็นพวกที่พึ่งเข้าแก็งค์ได้ไม่นาน ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าและสถานที่ต้องห้ามทั้งหลาย
    ผมต้องหิ้วกราเซสวิ่งหนีอ้อมเมืองอยู่นานกว่าจะสลัดเจ้าพวกนั้นพ้น ยังดีที่กราเซสยอมวิ่งตามไม่หวนกลับไปประจัญหน้ากับพวกมัน ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่ามีฝีมือ แต่ถ้าจะให้สู้กันแบบนี้คงไม่จบแค่เรื่องบาดเจ็บเข้าโรงบาลแน่

    ในเมืองนี้มีแก็งค์อันธพาลอยู่ทั้งหมดสามแก็งค์ มีการแบ่งพื้นที่ของตัวเองอย่างชัดเจน โดยแต่ละแก็งค์ก็จะไม่เคยล้ำเส้นที่ถูกสร้างขึ้นเลย ถ้าไม่มีเหตุอันควรล่ะนะ ซึ่งสมาชิกของแต่ละแก้งค์จะมีอายุในช่วง 15 ถึง 35 บางครั้งก็มีพวกลูกเศรษฐีเข้ามาป้วนเปี้ยนตามแก็งค์นั้น ๆ ด้วย

    ส่วนเหตุผลที่ว่า ทำไมเจ้าพวกหัวไก่ถึงไล่ฆ่าผมก็คงไม่พ้นเรื่องแก็งค์อยู่ดี ผมถูกพวกเหล่าแก็งค์ทั้งเมืองตราหน้าว่าเป็นหัวหน้าใหญ่ของแก็งค์ H & K (Hunt & Kizer)

    ปัญหาหลักมันก็คงอยู่ที่หัวหน้าแก็งค์ H & K เพราะเขาเป็นรุ่นน้องผมชื่อ ‘ฮันท์’ ผมรู้จักกับเขาตอนเรียนที่นิวออลีน พ่อของฮันท์เป็นมาเฟียหัวโตที่เม็กซิโก มีเชื้ออเมริกาใต้จึงทำให้หน้าตาของเขาคล้ายคนไทย พ่อส่งเขาไปเรียนที่อเมริกา ได้รู้จักกับผมตอนที่ถูกพวกขี้ยาข้างถนนพยายามจะปล้นเงิน ฮันท์ไม่ทันตั้งตัวเลยเพลี่ยงพล้ำและโดนพวกมันรุมกระทืบ

    ผมผ่านไปเห็นด้วยความบังเอิญ... ก็ไม่คิดว่าตัวเองเก่งกาจเลิศเลอมาจากไหนหรอก ผมวิ่งเข้าไปช่วยเขา ทำให้ฮันท์ไม่ต้องเสียรถและไม่ต้องเจ็บตัวไปมากกว่านี้ ผมกลับมาบ้านพร้อมกับสภาพเสื้อแจ็กเก็ตตัวโปรดฉีกขาดเป็นทางยาว มุมปากฟกช้ำสีเขียวคล้ำและกระดูกข้อมือขวาแหลกละเอียดจากการที่พวกโจรใช้แท่งเหล็กเป็นอาวุธ

    ค่ารักษาพยาบาลฮันท์เป็นคนออกให้ผมทั้งหมด ฮันท์พยายามเข้ามาตีสนิทผม วันนั้นเขามีลูกน้องร่างใหญ่อายุพอ ๆ กันติดตามมาด้วยสองคน คาดว่าน่าจะเป็นคนที่พ่อเขาจ้างวานมาคุ้มกัน

    ขึ้นชั้นปีที่ 3 พวกเราสนิทสนมยิ่งกว่าเพื่อนตาย พอผมบอกว่าจะย้ายมาที่ประเทศไทยฮันท์ก็หายตัวโดยไม่บอกกล่าว หนึ่งปีผ่านไป ฮันท์มาโผล่หน้าที่โรงเรียนเดียวกับผมในฐานะรุ่นน้องผู้หล่อเหลา ถึงแม้ว่ามันจะมีผิวสีแทนไม่ต้องตาคนแถวนี้ก็ตาม

    สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า มันเอาลูกน้องมาด้วย


    “พี่ ท่าทางพี่ไม่สู้ดีเลย” กราเซสเอ่ยถามขณะเดินตามผมขึ้นบันได

    “ไม่หรอก แค่เหนื่อยเท่านั้นแหละ อะ วันนี้ฉันขออาบน้ำก่อนนะ ต้องรีบไปโรงเรียน” น้ำเสียงผมอ่อนแรงเป็นอย่างมาก ตอนนี้ก็ 07.00 น. แล้ว ไม่รีบก็คงสายแย่

    “ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันขอไปทำอาหารเช้าให้พี่นะ” กราเซสพยักหน้ารับคำแล้ววิ่งลงบ้าน

    “ไม่ต้อง ฉันไม่หิว ฉันกินกาแฟที่ร้านมามากแล้ว” ผมกล่าวรั้งเธอไว้

    กราเซสหยุดกึกทำตามแต่โดยดี เธอเดินตรงเข้าห้องในตอนที่ผมลงมาจากชั้น 2 เพื่อเข้าห้องน้ำที่อยู่ชั้นแรก บ้านผมมีห้องน้ำห้องเดียวจึงต้องต่อคิวกันหน่อย

    “บรื้อ~”

    ในขณะที่น้ำราดลงบนร่าง เสียงครางดังออกมาไม่ขาดสาย น้ำเย็นไม่เคยเปลี่ยน ทั้งที่ผมเปิดน้ำใหม่แล้วแท้ ๆ อื้ย~ ร่างผมสั่นระริกรัว

    “ย้า!~” เสียงร้องครางแหลมสูงดังขึ้นมาจากพื้นห้อง หืม...

    “อ้าวเฮ้ย!” ผมอุทานออกมาทันใดเมื่อพบกับ ‘วิงกี้’ สัตว์วิญญาณร่างเล็กซึ่งมีเพียงตาดวงโตสดใสกับปากเล็กจิ๋ว มันมีรูปร่างเหมือนซาลาเปา มีสีโปร่งแสง วิงกี้คือสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการนำพาฝุ่นของดวงวิญญาณให้มารวมตัวกัน ถึงแม้ว่ามันจะไม่รู้ตัวก็ตามว่ามันทำอะไรอยู่ แต่ถ้าขาดมันไป คนที่ลำบากคือทูตสวรรค์

    วิงกี้ตัวนี้มีสีเขียวน้ำทะเล มันร้องครวญครางอยู่พื้นห้องน้ำอย่างทรมาน ดูเหมือนว่ามันจะอยู่นี่ก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามาแล้ว

    มีบางอย่างฉุดดึงมันไว้กับพื้น

    “รากหญ้าปีศาจเหรอ” ผมมองดูรากพืชสีขาวซีดพันรอบร่างของวิงกี้ไว้ “รากหญ้าปีศาจ ทำไมถึงมาขึ้นที่นี่ได้กัน” ผมมองเพ่งพิจารณา

    “ย่าห์!~” เสียงร้องของวิงกี้เรียกสติผมกลับคืน- ต้องช่วยมัน

    ทางเดียวคือต้องทำลายรากหญ้าปีศาจนั่นให้สิ้นซาก “แกมาโผล่ที่ห้องน้ำบ้านฉันได้ไงเนี่ย วิงกี้”

    ‘ปัง!’

    เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิด ไม่สิ มันถูกถีบ!

    “หา!” ผมเหลือบมองไปยังผู้กระทำ

    “กราเซส!”

    “พี่ไค! เป็นอะไรมากไหม หนูมาช่วยพี่แล้ว” กราเซสวิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู ในมือมีไม้ถูพื้นคาดว่าคงจะใช้เป็นอาวุธ

    “เข้ามาทำไมเนี่ย!” ผมตะโกนหยุดการก้าวขาของเธอ

    “ช่วยพี่ไคไง” กราเซสตอบแบบงง ๆ

    “ก็พอจะรู้อยู่หรอก แต่ทำไมเธอถึงมาพร้อมกับผ้าขนหนูแบบนั้นล่ะ ฉันก็บอกไปแล้วนี่ว่าฉันจะอาบก่อน อีกอย่าง บ้านฉันมีห้องน้ำแค่ห้องเดียว”

    “เตรียมพร้อม”

    “เตรียมพร้อม?” ผมทวนคำเพราะความสงสัย

    “ฉันต้องเตรียมพร้อมรับมืออยู่ตลอดเวลา หากพี่ไคอาบน้ำเสร็จเมื่อไหร่ ฉันก็จะเข้าต่อในทันที เพื่อความรวดเร็ว” กราเซสตอบอย่างกระตือรือร้น

    “แต่ว่าพี่ไค...” กราเซสมองมาที่ผม ตอนนี้ผมตัวล่อนจ่อนอยู่

    “เฮ้! จะมองไปถึงเมื่อไหร่! รีบออกไปได้แล้ว!” ผมตะคอกใส่แล้วเอี่ยวตัวหลบ

    “แต่ว่า...”

    “ยาห์~” เสียงร้องของวิงกี้ดังขึ้นอีกแล้ว ต้องรีบช่วยโดยด่วน!

    “พี่ไค” กราเซสจ้องมองวิงกี้ สีหน้าเธอฉายแววแปลกประหลาด “น่ารักจัง”

    “เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะน่า ฉันบอกแล้วว่าให้ออกไปก่อน” ผมตัดอารมณ์เธอในทันที

    “บ้าเอ้ย ทำไมต้องมาติดอยู่ในนี้ด้วย รอก่อนนะ ฉันจะช่วยแกเอง อ้ากกก!!!!” ผมพยายามดึงวิงกี้ออกจากรากพืช นั่นผิดวิธี ผมทำเพราะเผลอตัวกับไปสถานการณ์อันตึงเครียด

    “ม่ายยยยย!!!!” เกือบไปแล้ว! ผมถูกรากปีศาจนั่นดึงกลับแต่ก็ปล่อยมือได้ทันควัน ทว่าวิงกี้ยังติดอยู่ กราเซสวิ่งตรงเข้ามาพร้อมกับไม้ถูพื้น

    ‘นี่ไม่ดูเลยหรือไงว่าฉันเป็นชีเปลือย ตูก็อายเป็นเหมือนกันนะเฟ้ย!’

    ‘กึก’ เสียงหยุดฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นที่ประตูห้องน้ำ

    “อะ” พวกเรามองไปยังผู้มาเยือนพร้อมกัน

    “กรี้ด!!!~”

    เฮ้ย!!! รินมาที่นี่ทำไม!

    รินร้องลั่นแล้วออกวิ่งในบันดล

    “อ้าวเฮ้” ผมตะโกนเรียกตามแต่เธอไม่สนใจ ก็แหงล่ะ เห็นของลับของคนมีหรือที่จะไม่ตกใจ

    เธอมาทำบ้าอะไรตอนนี้เนี่ย! มิหนำซ้ำยังมาเห็นตอนที่เรา... โอ้ไม่ จบสิ้นชีวิตนี้

    “กราเซส ช่วยวิงกี้แทนฉันที” ผมหันมาสั่งเธอ

    “ฉันจะช่วยเอง” กราเซสรับคำแล้วเบือนหน้าหนี ****เข้! เธอเห็นของผมเข้าจัง ๆ

    “ฝากด้วย” ว่าแล้วผมก็ดึงผ้าเช็ดตัวลาย ‘ไอจัง’ ลงมาปกปิดน้องชาย ผมรู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มทั้งด้านในและด้านนอก พลังความเป็นชายพลุ่งพล่านราวแมกมะเดือดปะทุ พวกเธอเห็นของผมแล้ว!

    ความรู้สึกว่างเปล่าหายไปชั่วครู่ ตอนนี้มันถูกแทนที่ด้วยความอับอายและความอัปยศจนหมดสิ้น ไม่มีทางเลยที่คนเงียบขรึมอย่างผมคนนี้จะไม่หัวเสีย

    เห็นหมดแล้วสินะ ผมแต้มยิ้มทั้งน้ำตา ความบริสุทธิ์ของผม


    วันที่ : 12 มกราคม 2014

    เวลา : 07.32 น.

    สถานที่ : บ้านมิคาเอล

    เหตุ : เจ้าของบ้านมิคาเอลวัย 17 ปี 11 เดือนกระทำอานาจารต่อหน้าเด็กสาวสองคน เป็นเหตุให้เจ้าของบ้านต้องกักขังตนเองเป็นเวลา 2 วัน เพื่อสำนึกผิดที่ตนกระทำลงไป

    ข่าวบ้าข่าวบออะไรกัน

  28. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  29. #15
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 3.1 : ผู้หญิงตีนแมว

    Ch. 3.1 : ผู้หญิงตีนแมว

    ภายในความมืดมิดของโลกใบนี้ อาจมีหลายสิ่งหลายอย่างรอให้เราเข้าไปค้นหา และพิสูจน์มัน

    แต่หากถ้าว่าเป็นมันความมืดอยู่ในใจมนุษย์ มันกลับทำให้เราถอยห่างและอยากทิ้งมันไป

    ความมืดเหล่านั้นช่างว่างเปล่า เหมือนภาชนะใช้การไม่ได้ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไร้ความสวยงามอยู่ดี

    หรือหากจะมองในแง่มุมหนึ่ง จิตใจมนุษย์นั้นกลับเป็นเพียงภาชนะที่เอ่อล้น นำสิ่งใดเข้าใส่ก็หกล้นออกจากภาชนะนั้นอยู่ดี

    สาเหตุมันมาจากหลายประการ

    ทว่ายามนี้จิตใจของผมกลับไม่เชิงว่ามืดมิด พูดให้ถูก ผมรู้สึกว่างเปล่าในความมืดซะมากกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนดำดิ่งลงสู่เบื้องลึกของทะเลใหญ่ หรือการร่วงหล่นจากหน้าผาที่ไม่มีจุดสิ้นสุด



    ไม่รู้ว่าทำไม ผมถึงได้นึกตอนที่ผมอายุได้ 5 ขวบ นั่งเล่นตักดินตักทรายใส่กระบะรถลากเพื่อความสนุกสนานแล้วเทมันทิ้งอย่างไม่แยแส ไม่นานผมก็ครุ่นคิดเรื่องการเกิดมาของมนุษย์รวมถึงสรรพสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้... ต้นกำเนิดมันมาจากที่ใดกัน

    “ผู้ทรงสร้าง” ผมแย้มยิ้มที่มุมปาก ผมนึกถึงบรรพบุรุษและการกำเนิดของพิภพ ‘ข้าคงได้ไปพบท่านในเร็ววัน รอข้าด้วย’

    “ว้าย!~”

    รินกรีดร้องด้วยระดับเสียงเกินกว่า 95 เดซิเบล

    ‘ปึง!’

    เธอปิดประตูอัดหน้าผมทันที

    “นายมันบ้าไปแล้ว!!! อย่ามาใกล้ฉันนะไอ้โรคจิต” รินคำรามผ่านประตูออกมา

    สติปัญญาของมนุษย์เรียกได้ว่ายากหยั่งถึงในหลาย ๆ ความหมาย แต่วันนี้เวลานี้ผมกลับรู้สึกว่าสติปัญญาของผมขาวโพลนโล่งว่างและไร้สิ่งเจือปน คงต้องเรียกมันกลับคืนโดยเร็วที่สุด

    “อะ เฮ้ย! นั่นมันห้องของฉันนะ!” ผมยืนจับปมมัดผ้าเช็ดตัวแล้วตะโกนเรียกริน หมุนกลอนกึกกักแต่มันถูกล็อค อะไรกัน “เฮ้ เปิดประตูให้ฉันที!”

    “ไม่เอา นายมันไอ้โรคจิตชัด ๆ ไปไกล ๆ เลยคนอย่างนายน่ะ อย่างเข้ามาใกล้ฉันเด็จขาด!” เสียงเธอสวนกลับ ทำให้ร่างผมสั่นสะท้าน โรคจิต? เหรอ...

    “ฉันแค่อาบน้ำเอง โรคจิตตรงไหน!” ผมตะคอกกลับ ในเมื่อเห็นทุกอย่างมามากขนาดนี้แล้วคงต้องเผยตัวตนที่แท้จริง

    “ก็นาย...” เสียงเธอสั่นเครือไม่กล้าพูด “ก็นาย...”

    “ฉัน?”

    “นายมันบ้าไปแล้ว!”

    “หา?”

    “ลามก โรคจิต วิปริต ผิดเพี้ยน แปลกประหลาด ชอบทำการอุจาด คิดผิดจริง ๆ ที่หลงรักคนอย่างนาย” เธอพูดอะไรออกมาน่ะ!

    “ว่าไงนะ?” ผมอยากให้เธอพูดใหม่อีกที

    “จะบ้ารึไง!”

    “เธอน่ะสิบ้า! ขังตัวเองในห้องของคนโรคจิตแบบนั้นคงไม่แปลกแล้วล่ะ” สงครามปะทะคารมได้ปะทุขึ้นแล้ว “คืนห้องฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”

    “ไม่เอา ถ้าฉันเปิดประตู...” เธอกล่ำกลืน “ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย ไปให้พ้น!”

    “หา?! แต่นี่มันบ้านของฉันนะ ถ้าเธอไม่ไปแล้วฉันจะไปได้ไง”

    “อะไร” เหมือนเธอจะสงสัยกับคำพูดของผม

    “ก็เธอเล่นยึดห้องของฉันไว้แบบนั้น ฉันก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ได้สิ ฉันไม่มีทางออกจากบ้านด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวหรอก” จะว่าไป ตอนนี้ก็มีซุปเปอร์ฮีโร่กางเกงในตัวเดียวอยู่นี่หว่า

    “พี่ไค” กราเซสวิ่งตึงตังขึ้นมาพลางเรียกผม เธอสวมผ้าขนหนูผืนเดียวตัวเดิม

    “ช่วยวิงกี้ได้แล้วเหรอ” ผมถามเธอ

    “สวิงกี้ง?” เสียงสงสัยของรินเล็ดลอดออกมา

    “จะบ้าเหรอ!” ผมรีบหยุดชะงักความคิดของเธอ

    “ค่ะ หนูช่วยมันได้แล้ว นี่” กราเซสยื่นร่างของวิงกี้ให้ผม แต่ว่า ให้ตายสิ! ผมต้องเอาเจ้านี้ไปไว้ในห้องเพื่อดูอาการ แบบนี้แย่แน่ ดีไม่ดีโรงเรียนอาจจะไม่ได้ไปเลยด้วยซ้ำ

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอพี่” กราเซสถามด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก เธอจ้องประตูห้องผมไม่วางตา

    “จะอะไรซะอีกล่ะ ฉันโดนยึดห้องอยู่นี่ไงไม่เห็นเหรอ” น้ำเสียงผมฟังดูเจ็บใจตนเองเป็นอย่างมาก บรรยากาศเงียบไปซักพัก ในที่สุดกราเซสก็พูดขึ้น

    “ถะ ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่ก็ต้องยึดคืนสิ” หืม ยึดคืนเหรอ

    “ทำยังไงล่ะ” ผมเริ่มสนใจกับความคิดของกราเซส ในเมื่อสมองของผมขาวโพลนไร้ความคิดเพราะความอับอายจากการที่ผู้หญิงสองคนเห็นน้องชายเข้า เป็นแบบนี้ก็คงต้องพึ่งผู้อื่นบ้างแล้ว

    “ก่อนอื่นเราต้องเข้าไปให้ได้ก่อน จากนั้นเราก็เคลียร์พื้นที่โดยการกำจัดผู้บุกรุกทั้งหมด”

    “กำจัดผู้บุกรุก!” รินโพล่งอย่างตกใจขึ้นเมื่อได้ยินคำของกราเซส “ธะ เธอคงไม่ทำจริง ๆ หรอกใช่ไหม” เสียงของเธอดูหวาดหวั่นไม่น้อย

    “ถ้าไม่อยากถูกกำจัดก็เปิดประตูให้ฉันสักทีเซ่!” ผมยื่นข้อเสนอ

    “มะ ไม่เอาด้วยหรอก ถ้าออกไปเจอคนอย่างนายเมื่อไหร่ ฉันคง... ฉันคง...” รินทำท่าเหมือนจะร้องไห้

    “ต้องพังเข้าไป” กราเซสบอก สีหน้าจริงจังเอามาก ๆ

    “อืม คงต้องพังเข้าไป กุญแจห้องก็ดันอยู่ในนั้นอีก” ผมเสริม

    “เอาล่ะนะพี่” กราเซสสับเท้าไปสองก้าวด้านหลัง ตั้งท่าเตรียมพร้อมหมายจะวิ่งกระโดดถีบประตู

    แต่พอมาคิดดูอีกที

    “เดี๋ยว!” ผมโพล้งขึ้นรั้งร่างซึ่งกำลังจะออกวิ่งของเธอ กราเซสหยุดยืนแล้วมองหน้าผมเหมือนลูกแมวขี้สงสัย

    ถ้าจะเทียบเรื่องหน้าตาคงไม่ต่างอะไรกับรินนัก ยิ่งเธอสวมผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแบบนี้มันก็ทำให้เห็นส่วนอื่นของร่างกายกว่าเมื่อก่อน เนื่องจากปกติเธอสวมชุดแบบมิดชิดจึงเห็นเพียงแค่ใบหน้าและมือ แต่ตอนนี้เธอสวมผ้าเช็ดตัว ผิวขาวผ่องนวลใสตามวัยของเด็กสาวคุกรุ่นด้วยกลิ่นกายประจำตัวได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าผม เธอมีกลิ่นจำเพาะของบุคคลซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้น้ำหอมใด ๆ กลิ่นกายของเธอนั้นหอมหวนยิ่งกว่าคนปกติหลายเท่าตัว มันเป็นกลิ่นที่ผมไม่เคยได้ยลมาก่อน หอมละมุนยิ่งกว่าดอกมะลิซะอีก


    “มีอะไรเหรอพี่ไค” เธอชักสีหน้างุนงง

    “เดี๋ยวประตูฉันพัง” อืม ผมพึ่งมานึกออกว่าถ้าประตูพังแล้วจะไม่มีเงินซ่อม อีกอย่าง กราเซสก็ยังสวมแค่ผ้าขนหนูด้วย ถ้าเธอขยับแข้งขยับขามากเกินไปมันคงหลุดลงแน่

    “อ้าว แล้วจะทำยังไงดีล่ะ”

    “นั่นสิ จะทำยังไงดี” ผมก้มหน้าลงแล้วลูบหัวของวิงกี้เบา ๆ พลางคิดแผนที่คิดยังไงก็คิดไม่ออก เจ้าวิงกี้เคลิบเคลิ้มไปกับการกระทำของผมจนกราเซสอยากร่วมด้วย

    “กราเซส”

    “พี่ไค”

    “ฉันว่าเธอรีบไปเปลี่ยนชุดดีกว่า” ผมมองหน้าเธอแล้วกล่าว กราเซสก้มมองเครื่องแต่งกายของตนจากนั้นก็ตอบว่า “รับทราบ” เธอเดินเข้าห้อง ผ่านไปสองนาที เธอออกมาในชุดลำลองเสื้อยืดกางกางขาสั้น เร็วไปไหมเนี่ย

    “วันนี้ทั้งวันเธอคงไม่เปิดประตูให้ฉันเลยใช่ไหม”

    “ก็นาย...” รินอึกอัก “ไม่! ยังไงฉันก็ไม่เปิด ให้ตายยังไงฉันก็ไม่เปิดให้นายอยู่ดี คนไร้ยางอายแบบนายน่ะ ไม่!”

    “อะไรของเธอเนี่ย!”

    “พี่เค! พี่เค!” เสียงเพรียกคุ้นหูของชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ชั้นล่าง “พี่เค!” การเรียกชื่อแบบนี้มีแค่คนเดียวเท่านั้น

    “ฮันท์” หัวหน้าแก็งค์ H & K ด้านหลังมันมีวัยรุ่นชุดนักเรียนอยู่สองคนชื่อเอสหนุ่มหน้าเข้มกรามหนากับเฟส หนุ่มหน้าคมรูปสลัก เอสมือขวาและเฟสมือซ้าย ฮันท์ตั้งพวกมันตามข้างที่ถนัด

    ทั้งสามอยู่ในอาการตื่นตระหนกและพร้อมสู้ได้ทุกเมื่อ

    “พี่เค” ฮันท์และพรรคพวกวิ่งขึ้นชั้นสองเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อจากผม

    “พี่เป็นอะไรมากไหม เห็นว่าเจ้าพวก ‘หัวไก่’ เข้ามาในเขตนี้แล้วไล่ตามพี่” ฮันท์วิ่งตรงมาดูอาการผมโดยไม่สังเกตสถานการณ์โดยรอบ

    “ไม่ ไม่เป็นไร แล้วนายล่ะ ทำไมไม่รีบไปโรงเรียน สายแล้วนะ”

    “จะไปได้ยังไงกันเล่า ในเมื่อเกิดเรื่องใหญ่โตแบบนี้” ฮันท์ตีสีหน้าจริงจัง “ผมไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้แน่ พวกหัวไก่ต้องชดใช้ที่มาทำกับพี่เค” ... ไม่ดี ถ้าเกิดเรื่องปะทะระหว่างแก็งค์เพราะผมแบบนี้ไม่ดีแน่

    “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ถือสาอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว อย่าให้เรื่องมันบานปลายลุกลามใหญ่โตจนเป็นสงครามระหว่างแก็งค์เลยดีกว่า อีกอย่างฉันก็ไม่ได้มีส่วนอะไรกับแก็งค์ด้วย” ผมพูด เห็นได้ชัดว่าฮันท์รู้สึกไม่สบอารมณ์กับคำกล่าวในช่วงท้าย

    “ไม่มีส่วนอะไรกัน ในเมื่อชื่อแก็งค์ของเรายังตั้งเป็น H & K ที่ย่อมาจากชื่อของผมกับของชื่อพี่เชียวนะ แบบนี้มันไม่เย็นชาหมางเมินกันหน่อยเหรอ” ฮันท์พูดคล้ายเรียกร้อง “อีกอย่าง พี่ก็ควรเรียกผมว่า ‘เฮช’ เพราะว่าก็ผมเรียกพี่ว่า ‘เค’ แล้ว”

    “เฮ้อ” ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วพูด “อย่าเลยดีกว่า แค่นี้ชีวิตฉันก็ยุ่งยากมากพอแล้ว วันนี้ดันมาเจอกับผู้หญิงตีนแมวเข้าบ้านคนอื่นอีก” คำพูดไร้อารมณ์ของผมทำให้พวกฮันท์หันไปมองกราเซส

    “ผู้หญิงตีนแมวงั้นเหรอ!” เสียงของรินท้วงขึ้นทันควัน สายตาพวกฮันท์เปลี่ยนจากกราเซสไปมองประตูห้องสีน้ำตาลจาง

    “รู้สึกว่าพี่เคจะลำบากเรื่องผู้หญิงบ่อยจังนะ” ฮันท์ลูบคางพลางจ้องมองไปยังห้องของผม

    “ไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอก” ผมท้วงติง

    “แล้วเธอคนนี้ล่ะลูกพี่” เอสหนุ่มหน้าเข้มกรามหนาร่างใหญ่ที่ปิดปากเงียบมาตั้งแต่แรกเอ่ยถามผมถึงกราเซส ทุกคนในแก็งค์ H & K จะเรียกผมว่า ‘ลูกพี่’ ยกเว้นฮันท์ที่เรียกผมว่า ‘พี่เค’ นี่คงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ผมโดนหมายหัวจากเหล่าแก็งค์ก็เป็นได้

    “น้องสาวน่ะ เธอพึ่งย้ายมาเมื่อวันก่อน พ่อฉันขอญาติให้มาอยู่กับฉันก่อนเขาจะจากไป” ผมจำต้องโกหกอีกครั้ง กราเซสมองผมจนต้องเบือนหน้าหนี ละอายใจต่อตัวเองจริง ๆ

    “น้องสาว!”

    “น้องสาว!”

    “น้องสาว!”

    ทุกคนโพล่งขึ้นเป็นเสียงเดียวกันพร้อมกันในเวลาเดียวกัน ไม่มีใครไม่ตื่นเต้นและตกตะลึงตาค้างปากฉีกกว้าง กราเซสเป็นเด็กสาวหน้าตาหน้ารักยิ่งกว่าลูกคุณหนู ใบหน้าเรียวคมผมดำขลับตัดกับผิวขาวผ่องเป็นยองใยพร้อมกับกลิ่นหอมดั่งทุ่งดอกไม้สวรรค์แบบนี้ คงไม่มีชายใดละสายตาเชยชมโดยไม่มีเหตุผลขนาดที่ว่า ‘โลกกำลังจะแตก’ แน่ มันทำให้ผมชักสงสัยถึงการเป็นอยู่และชาติกำเนิดของเธออยู่เสมอ อีกอย่าง ช่วงแขนขาอันเรียวเล็กแบบนั้น ถ้าจะบอกว่าเคยล่าสัตว์มาก่อนคงเชื่อได้ยาก หากว่าเป็นองค์หญิงหรือลูกสาวเจ้าพ่อยังฟังดูเข้าท่ากว่าเยอะ

    กราเซสรู้สึกเขินอายจากการจ้องมองของทุกสายตา มันทำให้เธอวางตัวไม่ค่อยถูก พวงแก้มสีขาวบริสุทธิ์เริ่มมีสีชมพูแย้มออกมายิ่งทำให้เธอน่าหยิกเข้าไปใหญ่

    “โห”

    “โห”

    “โห”

    ทุกคนตกตะลึงกับความงดงามของเธอจนเผลอตัวอุทานขึ้นพร้อมกัน ไม่เว้นแม้แต่ผม แต่คำว่า ‘โห’ นั้นผมพูดในใจ

    “ทำไมพี่ถึงไม่เล่าว่ามีน้องสาวหน้าตาน่ารักแบบนี้บ้างเลย!” ฮันท์หันมาต่อว่าผม ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

    “ก็แกไม่ถามฉันนี่” ผมตอบหน้าตายน้ำเสียงราบเรียบ

    “...”

    ฮันท์และพรรคพวกกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นท่าทีการตอบแบบขอไปทีของผม พวกเขามักตีตัวออกห่างทุกครั้งที่ผมมีท่าทางแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่ในใจผมก็ไม่ได้คิดเรื่องร้ายแรงหรือโกรธเคืองเลยสักที

    “จะว่าไป... พี่เค” เหมือนฮันท์สงสัยอะไรบางอย่าง “ทำไมพี่ถึงสวมผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแบบนี้ล่ะ อีกอย่าง ลายการ์ตูนบนผ้าเช็ดตัวของพี่... ผมก็เข้าใจอยู่นะว่าพี่เป็นโอตาคุตัวยง แต่ก็ไม่นึกว่าจะเป็นเอามากถึงขนาดนี้” ทั้งหมดก้มมองต่ำ

    “มองที่ไหนกันแน่ฟระ!” ผมทักท้วงขึ้นทันใด “เขาเรียกว่ารสนิยมเว้ย รสนิยมของคนอิสระ! ส่วนเหตุผลที่ฉันใส่แค่ผ้าเช็ดตัวแบบนี้คงต้องถามคนที่อยู่ด้านในห้องเอาเอง” ผมพยักพเยิดไปทางประตูห้อง

    “ผู้หญิงตีนแมวที่ว่าเหรอ” ฮันท์ถาม

    “ก็มีคนเดียวนั่นแหละ เข้าบ้านคนอื่น แอบดูฉันอาบน้ำแถมยังมาหาว่าฉันโรคจิตอีก” หึหึ นึกแล้วก็รู้สึกหน้าเสียไม่หาย อยากยัดหน้าลงดินหนีความจริงซะตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่คงทำไม่ได้เพราะอยู่ชั้นสอง

    “แบบนี้แย่เลยนะเนี่ย”

    “ใช่ แย่สุด ๆ เลยล่ะ” ผมกล่าวเสริม

    “นี่ลูกพี่ ผมเห็นตั้งแต่ขึ้นมาแล้ว ลูกพี่กำลังถืออะไรอยู่ ไม่เห็นมีอะไรในมือเลย แล้วทำไมถึงต้องทำอุ้งมือเหมือนถืออะไรด้วย” เอสหันมามองอุ้งมือของผมซึ่งกำลังถือร่างของวิงกี้อยู่ มองไม่เห็นสิท่า งงล่ะสิงง

    “เปล่า อย่าไปใส่ใจเลย”

    “แต่พี่ไค ตอนนี้เพื่อนพี่ไม่ตอบอะไรกลับมาจากการพูดตอกย้ำของพี่เลยนะ” กราเซสบอกผมเป็นนัยว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

    “ใช่ เงียบมานานแล้วด้วย” ฮันท์ก็รู้สึกแบบเดียวเช่นกัน

    “เฮ้ริน ยังอยู่ไหม” ผมเลยตัดสินใจเรียกเธอ

    “...”

    “ริน” ผมตะโกนเรียกอีกที

    “...”

    “เฮ้ คนเรียกน่ะได้ยินไหม”

    “...”

    “ริน!”

    “...” พวกเราทั้งหมดมองหน้ากัน ฮันท์จ้องหน้าเอสกับเฟส สื่อสารรู้เรื่องเพียงแค่สบตา เขาพยักหน้าผมพยักหน้า

    เอสกับเฟสเดินมายืนข้าง ๆ กันแล้วตั้งท่า ฉับพลันพวกเขาทั้งสองก็ออกวิ่งแล้วยกขาขวาขึ้นยันประตูอย่างพร้อมเพรียง

    ‘ตึง!’ ประตูถูกเปิดออกจากการปะทะฝ่าเท้าแค่ครั้งเดียว มีรอยบุอยู่ตรงรอยเท้าของพวกเขา ผมไม่ใส่ใจ จากนั้นพวกเราก็ตรงเข้าห้องโดยไม่รอช้า

    ‘ครืน~’

    พื้นห้องสั่นสะเทือน ข้าวของตกลงพื้นเสียงดังโครมโครมพร้อมกับการจากไปของบางสิ่ง ‘หางงูใหญ่!’ ร่างของมันหนีหายออกนอกหน้าต่างเมื่อเราวิ่งเข้ามา

    “นั่นมัน” เหมือนกราเซสจะเห็นแบบเดียวกัน

    “อะไรกัน แผ่นดินไหวเหรอ” เอส ลูกน้องของฮันท์เอ่ยขึ้นขณะจับขอบประตูเพื่อทรงตัวจากแรงสั่นสะเทือน ไม่ใช่แผ่นดินไหวแน่นอน เพียงแค่ชั่วครู่ที่ผมได้พบเจอ... สีดำคล้ำแต่เงาวับกับแสงสว่าง ตามร่างมีลายหยักยาวพาดเป็นสีเขียวเข้ม ขนาดความกว้างของปลายหางราว ๆ 50 เซนติเมตร คงไม่ต้องพูดถึงขนาดทั้งหมดของตัวมัน คงเป็นอะไรนอกเหนือจากนี้ไม่ได้

    “พญางู” กราเซสเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็นด้วยตา ร่างเธอสั่นไหวกริ่งกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    ของในห้องกระกระจายเพราะเจ้าพญางูนั่นแน่ ๆ หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์มีรินนอนไร้สติอยู่บนพื้นไม้ของห้อง

    “พี่เค!” ฮันท์เรียกผม เขานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าริน

    “เธอเป็นอะไรไป” ผมถามฮันท์ขณะนั่งลงข้าง ๆ เขา

    “คาดว่าน่าจะสลบไปเท่านั้น คงไม่เป็นอะไรมาก” ฮันท์จับดูชีพจรที่ข้อมือ เขาพอมีความรู้ทางด้านนี้อยู่ อีกอย่าง ลุงของเขาก็เชี่ยวชาญเรื่องแพทย์แผนโบราณ เพียงแค่จับชีพจรก็รู้ว่ามีโรคอะไรเจืออยู่ในร่างของผู้ป่วย ข้อนี้ทุกคนรู้ดี เขาสอนแค่ฮันท์คนเดียว

    “นี่มันเรื่องอะไรกันพี่เค ทำไมเธอถึงอยู่ในสภาพนี้” ฮันท์หันมาถามผมอย่างเคร่งเครียด เด็กสาวนอนสลบอยู่ในห้องของผู้ชาย ถ้าไม่เกิดจากเรื่องประสงค์ร้ายจากตัวผมเองก็คงคิดเป็นอื่นได้ยาก

    “ฉันก็อยู่กับแกมาตลอดจะไปรู้ได้ไง ถ้าไม่เชื่อใจฉันแกก็ถามน้องสาวฉันเอาก็ได้” คำตอบของผมชัดเจนจนฮันท์ต้องยอมรับ ผมลุกขึ้นแล้วไตร่ตรองเรื่องที่เกิด

    ทันใดนั้น ลมเย็นวาบหวิวพลันพัดผ่านกาย รู้สึกแปลกจังแฮะ

    กราเซสรีบหันหลัง ทุกคนทำหน้าเหยเก

    “พี่เค” ฮันท์เรียกผมแล้วชักสีหน้าไม่สู้ดี “ต่อหน้าผู้หญิงพี่ยัง...”

    “พูดเรื่องอะไรกัน” ผมก้มต่ำเห็นไอ้จ้อนของตัวเองเข้า ส่วนผ้าเช็ดตัวนั้นกองไว้อยู่บนพื้น จะบ้าตายอะไรกันนักฟะเนี่ย!

    “โอ้ย~” ในตอนนั้นเอง รินกระพริบตาปริบ ๆ เธอฟื้นขึ้นมาพอดี

    “เธอฟื้นแล้ว!” ฮันท์ส่งเสียง ฟื้นมาทำห่านอะไรตอนนี้!

    ผมรีบเก็บผ้าเช็ดตัวขึ้น แต่ไม่ทัน เธอเห็นเข้าเต็มตา เอาอีกแล้ว ๆ ทำไมช่วงเวลามันถึงได้เหมาะเจาะกันนัก

    “กรี้ด!!~”

    รินหน้ามืดและสลบไปเป็นครั้งที่สอง

    “เอาจริงเหรอเนี่ย”

  30. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  31. #16
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 3.2 : I’m a Crazy Man

    Ch. 3.2 : I’m a Crazy Man

    “แฮก แฮก แฮก” ผมวิ่งเหนื่อยหอบอยู่บนฟุตบาตรเพื่อตรงเข้าโรงเรียน มองดูนาฬิกาข้อมือตลอดเวลา ในใจก็คิดแต่ว่า จะโดนอะไรจากคุณครูบ้าง

    ด้านหน้าของผมคือริน เธอลุกพรวดพราดขึ้นมาหลังจากนอนสลบไปได้ 10 นาที ในตอนนั้นผมก็แต่งตัวใส่ชุดเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว หายห่วงเรื่องน้องชายได้ร้อยเปอร์เซ็น คิดไปแล้วก็รู้สึกหน้าเสียไม่หาย

    ฮันท์กับลูกน้องวิ่งไปโรงเรียนก่อนหน้า พวกเขาก็ไม่ใช่เด็กเกเรหรืออันธพาลไม่เอาการเรียน การประพฤติออกจะอยู่ในทางที่ดีด้วยซ้ำ

    ตั้งแต่รินได้สติและวิ่งออกมาพร้อมผมเธอก็ไม่ปริปากพูดอะไรสักอย่าง ผมไม่กล้าสู้หน้าเธอ เธอก็เช่นกัน เราทั้งสองต่างอึกอักอึดอัด รินเห็นของผมหมดแล้ว นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นและไม่อาจเลี่ยงได้

    ‘โดนผู้หญิงเห็นของเราในสภาพแบบนั้นยังมีหน้ามาวิ่งใกล้เธออีกเหรอ’ ผมนึกด่าทอตัวเองในใจ

    รินวิ่งเร็วกว่าที่คิด เธอสวมเสื้อโค้ตสีดำตัวใหญ่ทับชุดนักเรียนไว้ ยาวจนไม่เห็นข้อมือ ไอหนาวถูกพ่นออกมาจากจมูกและช่องปากของเธออยู่เนือง ๆ อุณหภูมิคงอยู่ 9 องศาเซลเซียส ร่างสั่นสะท้านได้ทุกเมื่อถ้าเราไม่อบอุ่นร่างกายไว้
    จากที่วิ่งมาได้สักพักร่างของรินก็หยุดกึกอยู่ตรงหน้า ผมไม่ทันตั้งตัวจึงไถลไปด้านหน้า ยังดีที่มันหยุดทันการ ผมอยู่ตรงหน้าของเธอพอดิบพอดี รินมองหน้าผมเขม็ง ในระยะแค่หนึ่งช่วงแขน

    ผมกลับท่ามายืนให้เป็นปกติ แล้วค่อย ๆ ถอยหลังช้า ๆ

    “ทะ ทำไมถึงไม่รีบไปล่ะ จะสายแล้วนะ” ผมครุ่นถามด้วยความแปลกใจ อีกแค่นิดเดียวเราก็จะถึงแล้วแต่เธอกลับหยุดวิ่งไปซะดื้อ ๆ รู้สึกว่ามันไร้เหตุแปลก ๆ

    “เรื่องสายน่ะมันสายไปนานแล้ว รีบยังไงก็ไม่ทันอยู่ดี” รินมือเท้าเอวตอบอย่างฉุนเฉียว ถึงในใจคิดจะโต้ตอบอยู่หรอกว่าต้นเหตุที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ก็คือเธอ

    “ละ แล้วหยุดทำไมเหรอ” ผมถามตะกุกตะกักทว่าเธอกลับหน้าแดงระเรื่อ

    “นี่” ผมถามอีกทีในขณะที่เธอก้มหน้าหลบตา

    “ฉะ ฉันมีคำถาม” ในที่สุดเธอก็เงยหน้าขึ้นมากล่าวตรง ๆ

    “...” ผมใจเต้นตึกตัก ไม่รู้ว่านั่นจะเป็นคำถามแบบไหนคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเมื่อเช้าแน่ รินยิ้มที่มุมปากแล้วเอ่ย

    “เอาเป็นหลังเลิกเรียน” เธอบอก

    “แต่ว่า... ฉันซ้อมบอล”

    “ฉันไม่สน” รินกล่าวตัดในทันที

    “วะ ว่าไงนะ” ผมไม่แน่ใจว่าใช่อย่างที่ได้ยินหรือไม่จึงถามอีกครั้งเพื่อความชัดเจน

    “ถ้าหากว่านายไม่อยากให้เรื่องนี้แดงขึ้นนายต้องมาหาฉัน และตอบคำถามของฉันตรง ๆ” รินหันมาพูดเสียงเรียบเฉยแฝงขมขู่ ใช่ นี่มันข่มขู่ชัด ๆ

    “ตะ แต่ฉัน-”

    “จะบอกว่านายไม่ได้ทำอะไรผิดงั้นเหรอ” รินเอ่ยจนผมพูดไม่ออก

    “หมายความไง เธอมาบ้านฉันเองนะ”

    “นั่นก็...” รินหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ไม่- ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี ระหว่างสาวน้อยไร้ทางสู้กับผู้ชายโรคจิตในบ้านของเขาเอง นายคิดว่าพวกเขาจะเชื่อใคร ฉันไม่ใช่คนไร้สมองนะ เหตุผลร้อยแปดมีตั้งมากมาย ฉันปรักปรำนายได้อยู่แล้ว”

    “นะ นี่มัน นี่เธอคิดอะไรอยู่ ฉันไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เธอคิดเลยสักนิด” ผมพยายามแก้ข่าว

    “ไม่ได้ทำ แต่ฉัน... แต่ฉันก็เห็นเต็มตา!” รินตะเบ็ง

    “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้เห็นสักหน่อย” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง

    “แต่ฉันเห็น!” รินขึ้นเสียง

    “...” จริง เป็นจริงอย่างที่เธอพูด เถียงค่ำ ๆ คู ๆ ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

    “แล้วจะให้ฉันทำยังไง” ผมจึงถามถึงสิ่งที่เธอต้องการ

    “ฉันก็บอกแล้วนี่นาว่าฉันจะถามนาย และนายต้องตอบฉันตามความจริงด้วย” รินกอดอกยืนแอ่นหลังเยี่ยงผู้ชนะ ตอนนี้ผมเพลี่ยงพล้ำเธอเข้าให้แล้ว

    ความจริงผมก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับนิสัยที่เปลี่ยนไปของเธอนัก การมองคนไม่ควรคิดเล็กน้อยจุกจิก มนุษย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ตื้นลึกหนาบางหยั่งรู้ได้ยากถ้าหากเราไม่รู้จักเขาดีพอ ผมถือว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เสมอ

    คนที่ผมพอจะเดาทางและรู้นิสัยใจคอมีไม่มากนัก เท่าที่จำได้ตอนนี้ก็มี ลุงอำพล ลิลลี่ลูกสาวของแกและก็ฮันท์รุ่นน้องหัวหน้าแก็งค์อันธพาลเท่านั้น คนอื่นนอกเหนือจากนี้ผมไม่ไว้ใจเลย แม้แต่กราเซส



    ช่วงเวลาอันตึงเครียดได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง

    ผมนั่งเหงื่อตกอยู่บนโต๊ะเรียนคาบพักเที่ยง ลมเย็นโชยมาตลอดวันแต่มันช่างร้อนตับแตกสิ้นดี รินมาทานข้าวกับผมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีชมพูสดใสเมื่อเธอมานั่งมุมตรงข้ามกลับกลายเป็นสีเทามืดไร้ความรู้สึกราวกับนั่งอยู่ในทุ่งสุสานโบราณ

    “ไค เรื่องปริศนา...” เธอเกริ่น ผมปิดปากเงียบไม่แยแสอะไรทั้งนั้น ผมพยายามข่มใจไม่ให้นึกถึงเรื่องน่าอายเมื่อตอนเช้า แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรวิธีไหนก็นึกได้อยู่เพียงเรื่องเดียว ขุดคุ้ยเรื่องไร้สาระขึ้นมาคิดมันก็ทำได้แค่ชั่วครู่ ‘ไอ้ เธอเห็นไอ้จ้อนของเรา’ คำ ๆ นี้ดันวนเวียนในหัวผมอยู่ตลอด

    “เอาตามนั้นก็ได้ แต่เรื่องนี้นายต้องรับผิดชอบ” รินกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “นายรู้ไหม ฉันไม่เคย...” รินหยุดคำ “ให้ตายสิ ทำไมฉันต้องคิดถึงเรื่องนี้ด้วย เป็นเพราะนายคนเดียวแท้ ๆ ฉันถึงไม่มีกะจิตกะใจเรียนตั้งแต่เช้า โดนลงโทษให้ล้างห้องน้ำอีก” เธอจ้องหน้าผมขณะกล่าวตำหนิเรื่องผลจากการมาโรงเรียนสาย

    “...” ผมได้แต่นั่งทานข้าวไร้บทพูดไปเท่านั้น ผมไม่มองหน้าเธอไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมอง

    “ว่าแต่... ทำไมเธอถึงต้องมาทานข้าวกับฉันล่ะ เห็นหน้าฉันทีไรเธอจำต้องนึกถึงเรื่อง-” เรื่องเมื่อเช้า ผมหยุดชะงักไม่พูดต่อ มันกระทบใจผมเหมือนกัน คล้ายหนามทิ่มแทงหน้าอกตอนเห็นสายตาของเธอจ้องมองไอ้จ้อนของผมแล้วกรีดร้องลั่นบ้าน

    “เรื่องของฉัน” รินตอบอย่างไม่ใส่ใจ เธอหันไปมองนอกหน้าต่างดวงตาเลื่อนลอย

    “...” บรรยากาศน่าอึดอัดมากขึ้นเมื่อรินหุบปาก รอบบริเวณเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ

    “ฉันสงสัย... เมื่อเช้าเธอไปบ้านฉันทำไม” ผมนึกขึ้นได้ว่าสาเหตุมาจากจุดไหนจึงถามเธอทันที

    “ทะ ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย” รินเชิดหน้าหนี แต่น้ำเสียงฟังดูสั่น ๆ

    “ก็ถ้าเธอไม่ไปมันคงไม่เกิดเรื่องยุ่ง ๆ ขึ้นหรอก”

    “อ้อเหรอ นายเลยคิดที่จะโยนความผิดมาที่ฉันงั้นสิ” เธอไม่ยอมอ่อนข้อ

    หางคิ้วผมเริ่มกระตุก ‘เธอคิดไม่สงสารฉันบ้างเลยใช่ไหม’ ผมคิดในใจ เธอสามารถกล่าวหาผมได้ทุกข้อ ผมโต้แย้งเธอไม่ได้เลยสักนิด ไม่ได้เรียนเรื่องกฎหมายมาก่อนด้วย สงสัยคงต้องสนอกสนใจเรื่องนี้มากขึ้นแล้ว

    “เอาเถอะน่า ฉันไม่ให้เรื่องนี้เข้าถึงหูตำรวจหรอก” รินเอ่ยเหมือนมันจะเกิดขึ้นจริง

    “นี่เธอคิดจะแจ้งตำรวจเลยเหรอ” ผมลุกจากเก้าอี้ทันที

    “ในกรณีฉุกเฉิน ถ้ามันไม่ร้ายแรงจริง ๆ” รินช้อนตาแล้วตอบ ผม... ทำผิดจนถึงขึ้นต้องเข้าคุกเลยเหรอเนี่ย

    “ฉันล้อเล่น” รินพูดเสียงราบเรียบด้วยหน้าตาไร้อารมณ์ ผมค่อย ๆ นั่งลงสงบสติและถอนหายใจ

    “ถามจริง เธอไม่ใช่คนที่จะกุมชะตาคนอื่นไว้ในกำมือด้วยความสุขอยู่แล้ว เธอต้องการอะไรบอกฉันมาเลยดีกว่า” ผมพยายามถามอย่างใจเย็นและกักเก็บอารมณ์สีเทามืดไว้

    รินมองหน้าผมแล้วยิ้มหยาดเยิ้มอย่างมีความสุข “ฉันก็แค่... คิดอะไรดี ๆ ออกเท่านั้น”

    “คิดว่า...”

    “นายควรจะมาเป็นทาสรับใช้ฉัน” รินยืดตัวตรงแล้วเสริมคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

    “...”

    “นิ่งไปทำไมล่ะ เพื่อปกปิดความลับ นายไม่รู้หรอกว่าฉันล้วงตับนายไปลึกแค่ไหน”

    “...”

    “แหม่ นายนี่ พอแหย่เข้าหน่อยก็ทำหน้าเหมือนพวกที่พร้อมฆ่าคนได้ทุกเมื่อเลยนะ” เสียงเธอหวาดหวั่นตอนพูด ผมรู้ดีว่าถ้าใครเห็นเค้าหน้านิ่งตึงตาจ้องเขม็งหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์เป็นต้องเกรงกลัวกันทุกคน ผมคงประเมินเธอสูงไป รินก็แค่เด็กผู้หญิงใสซื่อเฉลียวฉลาดเท่านั้น เธออยากเอาชนะผมสินะ

    “ฉันหวังว่าครั้งนี้คงจะไม่ใช่เรื่องจริงนะ เธอล้อเล่นใช่ไหม” ความหวังริบหรี่เมื่อเธอปั้นหน้าแข็งกระด้าง

    “ใช่ ฉันล้อเล่น” เธอตอบ ผมอมยิ้มในใจ “แต่ฉันก็สามารถที่จะทำให้มันเป็นเรื่องจริงได้ทุกเมื่อ”

    “เธอคิดจะทำอะไรกันแน่”

    “เปิดโปงเรื่องลับกับไอ้จ้อนของนาย อี๋~ คิดแล้วก็ขนลุก” รินแสยะแสดงความรังเกลียด ผมกระอักเลือด พูดไม่ออกอีกแล้ว เธอเอาจริง เธอเอาจริงแน่!

    “อิ่มแล้ว ไปหาปริศนากันเถอะ” รินปิดกล่องข้าวที่ยังทานไม่หมดแล้วลุกออกจากที่นั่ง

    “อืม” ถึงจะตอบไปแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ยอมลุก

    “...เร็วเข้าสิ” รินกล่าวเร่งอย่างร่าเริง เธอแอบยิ้มที่มุมปาก สะใจเธอแล้วสิท่า


    ภายในห้องดนตรีไร้ผู้คนของโรงเรียน

    กลองชุดถูกตั้งไว้มุมหลังของห้องพร้อมกับเบส กีตาร์ไฟฟ้า เครื่องขยาย ลำโพง บลา บลา ๆ อีกฟากเป็นโต๊ะเก้าอี้จำนวนหนึ่ง แสงสว่างจากด้านนอกส่องลอดหน้าต่างและหลังคาโปร่งแสงพอสมควร

    รินวิ่งเข้าไปหาปริศนาอย่างรวดเร็ว เธอคงตื่นเต้นมาก ส่วนผมน่ะเหรอ ถูกความอับอายกลบกลืนไปจนหมดแล้ว

    “ปริศนานี้นายใช้เวลาคิดนานแค่ไหน” รินถามพลางจับกระดาษแผ่นเล็กออกมาจากกระดานดำในห้องดนตรี เธออุทานเมื่อพบกระดาษอย่างที่ผมคิดไว้ สายตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

    “ไม่นานหรอก อาจไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ มันแวบขึ้นมาในหัวก็เลยลองวิเคราะห์ดู” ผมเงยหน้านึก

    “ขี้โม้” รินแอบชำเลืองมาหา

    “เธอจะเอายังไงกันแน่” ท่าทางของผมจริงจังและเคร่งเครียดจนเธอไม่กล้าสู้หน้า ด้วยเหตุนี้ผมจึงปั้นหน้าใหม่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ต่างจากเมื่อเดิมสักนิด

    “ไอ้คนโรคจิต” รินหันขวับมาด่าทอ

    “หา?”

    “โรคจิต”

    “นี่เธอ!”

    “ก็ได้ ๆ หรือจะให้ฉันเรียกนายว่า ‘เครซี่แมน’ แทนล่ะ” รินเน้นเสียงตรงคำว่า ‘เครซี่แมน’ อย่างชัดเจน

    “ธะ เธอรู้ได้ไง” เรื่องนี้ทำเอาผมตกตะลึงไม่น้อย ท่าทางคล้ายจำเลยไร้ทางสู้คดีของผมทำให้รินยิ่งได้ใจ

    “ปริศนาต่อไป เขาว่าให้รอน่ะ” เธอจงใจเปลี่ยนเรื่องชัด ๆ

    “เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” ผมย้ำคำถาม

    “ก็จากกระดาษนี่ไง ครูบอกว่าให้รอคาบโฮมรูมสัปดาห์หน้า” เธอจงใจอีกแล้ว

    “ฉันหมายถึง เครซี่แมน” ผมพยายามวางหน้าตามปกติให้ได้มากที่สุด

    “งั้นเหรอ...” เธอทอดเสียงหายเงียบแล้วเดินตรงไปยังด้านหน้าของกระดานดำ มีโน๊ทกลองลายมือผมเขียนไว้เป็นจำนวนมาก

    “ลายมือนายสินะ ไม่น่าล่ะถึงอ่านไม่ออก” รินใช้มือยันคางแล้ววิพากษ์วิจารณ์ จริงอยู่ที่ลายมือหยัก ๆ ในการเขียนกระดานโดยใช้ชอร์คของผมนั้นมันไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าหากว่าโดนคนที่พึ่งรู้จักกันได้ไม่นานามาพูดตรง ๆ กันแบบนั้นผมก็รู้สึกไม่พอใจอยู่นิด ๆ

    “ฉันถามเธออยู่นะ” ผมไม่ยอมแพ้

    “งานวันคริสต์มาส” ในที่สุดเธอก็ยอมตอบ ผมนิ่งอึ่งครู่ใหญ่แล้วครุ่นคิด... งานวันคริสต์มาสงั้นเหรอ ถ้าจำไม่ผิดผมลงเข้าแข่งขันวาดภาพด้วยนี่นา ที่ว่าสามารถใช้ชื่อแฝงได้ ตั้งแต่เล่นบาสในคาบพละกับลงสมัครชมรมฟุตบอลก็ทำให้คนมองหน้าผมตลอด ถ้าหากว่าไม่รักมันจริง ๆ ผมคงไม่สมัครหรอก อีกอย่าง ผมไม่ชอบสายตาของผู้คนด้วย ไม่ว่าเขาจะมองในแง่ดีหรือแง่ร้ายก็ตาม รู้สึกเหมือนมีใครตามตัวอยู่ตลอดเวลา

    “ฉัน ฉันว่าฉันไม่เคยบอกใครเรื่องนี้นะ” ผมกล่าวน้ำเสียงไม่สู้ดี รู้สึกแปลกใจที่เธอรู้ความลับส่วนตัวมากถึงขนาดนี้

    “ไม่ได้มีแค่ครูผู้รับผิดชอบงานกิจกรรมเท่านั้นหรอกนะที่รู้... แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาชอบเปิดเผยเรื่องคนอื่น” รินละสายตาจากกระดานดำไปมองที่กลองชุดสีดำ นั่นคือที่ประจำการของผม

    “ถ้าจะว่าพวกครูไม่ได้บอกเธอเรื่องนามแฝงของฉันแล้วเธอรู้มาจากไหน”

    “ฉันไม่จำเป็นต้องตอบนายหรอก ก็แค่... อยากให้นายรับรู้ไว้ก็พอว่าฉันรู้ลึกมากแค่ไหน” รินตอบแบบไม่ใส่ใจ ซวยระดับพระกาฬ! ถ้าหากว่าฉายา ‘เครซี่แมน’ หลุดออกไปล่ะก็...

    เครซี่แมน ชื่อนี้ได้มาตอน ป.5 ตามปกติแล้ว เด็กมักมีนิสัยแตกต่างจากตอนโต ผมก็เช่นกัน ผมเป็นเด็กเกเร ไม่ใช่เรื่องรังแกผู้อื่นแต่เป็นเรื่องการเรียน ผมไม่เอาไหนเรื่องการเรียนตอนอายุ 10 ขวบ ถึงชั่วโมงเรียนทีไรไม่เคยจดงานหรือส่งการบ้าน ถูกพ่อกับครูประจำชั้นดุด่าทุกวี่ทุกวันแต่สุดท้าย ผมก็ไม่ยอมทำมันอยู่ดี

    การสอบปลายภาคเผยผลสรุปความสามารถของเด็กถูกปล่อยออกมาเป็นกระดาษ A4 แสดงเกรดเฉลี่ยและอันดับคะแนนของนักเรียน ของผมคงที่อยู่อันดับ 36 จากนักเรียน 38 คนมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลแล้ว


    ในวันที่ผมกำลังเดินหิ้วกระเป๋าใบใหญ่กลับบ้าน ผมเดินเข้าไปเจอกลุ่มรุ่นพี่ ป.6 กำลังพูดเซ้าซี้เหย้าแหย่ไอ้แว่น เด็กขี้กลัว ป.5 หรือก็คือเพื่อนสนิทของผมเอง ตอนนั้นผมไม่ได้ใส่แว่นจึงเรียกมันว่าไอ้แว่น หน้าตามันออกจะเนิร์ดไปหน่อย ตลกดีตอนที่มันยิ้ม และส่วนที่ดีที่สุดของมันคือมันขยันเรียน หึ ไม่อยากจะบอกหรอก ผมลอกการบ้านมันประจำ

    ดวงอาทิตย์ร่วงต่ำแต่แสงกลับส่องเจิดจ้า

    พวกรุ่นพี่บ้านั่นก็ชอบเข้ามาแกล้งมันอยู่เรื่อย เห็นว่ามันขี้กลัวก็ยิ่งชอบใจใหญ่ ผมเห็นเจ้าแว่นเริ่มเม้มปากหน้าย่นเหมือนจะร้องไห้ผมจึงออกวิ่งไปหามันทันที

    “เฮ้ไอ้แว่นสี่ตา แกเคยดูการ์ตูนเรื่อง ‘แว่นตามหาประลัยไหม’ ****โคตรฮาเลยว่ะ ใส่กางกางในพร้อมกับแว่นสีแดงออกรบข้าศึก” เด็กหน้าขาวกล่าวพลางอมยิ้มไว้ แน่นอน นั่นคือการ์ตูนเรต 15 ทว่า ทั้งผมและเจ้าแว่นก็ดูมันไปแล้ว เขารู้ดีว่าเนื้อเรื่องของตัวเอกมันเหมือนเขามากแค่ไหน จึงไม่วายเก็บไปคิดว่าตัวเองคือพระเอก แต่พอได้ยินคำพูดแบบนี้ของรุ่นพี่ขึ้นมามันคงอายน่าดู

    “นี่ ถ้าหากว่ามันสู้ไปพร้อมกับซุปเปอร์แมนกางเกงในสีแดงนั่นคงขายแผ่นออกไปทั่วโลกเลยว่ะ ฉันจะซื้อเป็นคนแรกเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ว่าแล้วเด็กทั้งสามก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน แว่นหน้าแดงไปถึงติ่งหู ใกล้จะร้องออกมาแล้ว
    “แบบนี้มันเหมือนคนโรคจิตไหม” เด็กชายร่างสูงผมเอ่ยพลางมองไปยังเพื่อน ๆ

    “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจคำว่าคนโรคจิตน่ะ” เด็กชายร่างอ้วนพลุ้ยตอบแบบไม่แน่ใจ

    “โรคจิตอยู่แล้ว โรคจิตชัด ๆ” เด็กชายหน้าขาวตอกย้ำและหันไปบอกเด็กชายร่างอ้วนพลุ้ย ผมจำหมอนี่ได้ดี เนื่องจากว่ามันชอบมีปัญหากับผมอยู่บ่อย ๆ มันชื่อว่า ‘ออด’

    “ว่าไงแว่น ฉันขอยืมหนังสือการ์ตูนมาอ่านหน่อยสิ” ผมวิ่งหน้าตั้งเข้าไปทักแว่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้ายับยู่ยี่เปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นในทันใด มันพยักหน้าเต็มแรงด้วยความเต็มใจ

    “ไปกันเถอะ ฉันมีให้นายยืมเพียบเลย” แว่นออกเดินนำหน้าทันที

    “เดี๋ยวก่อนไค” ออดเดินมาดักทางพวกเรา “คิดจะเดินหนีหน้าตาเฉยจากพวกเราไปง่าย ๆ เหรอ”

    “ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน ไปกันเถอะแว่น” อารมณ์ร้อนผมเริ่มพลุ่งพล่านเต็มอก ติดแต่ตรงที่ว่า ถ้าหากว่ามีเรื่องชกต่อยโดยสาเหตุเป็นมาจากผมล่ะ คงจบไม่สวยแน่ ผมถูกครูใหญ่เตือนมาหลายครั้งแล้ว หากว่าเรื่องนี้แว่วเข้าหูเขาอีกล่ะก็ ผมก็จะต้องย้ายไปโรงเรียนอื่น ไม่ว่าเหตุครั้งนั้นจะเป็นใครก็ตามที่เริ่มเรื่องก่อน

    “นี่ออด ฉันพึ่งนึกขึ้นได้ ไอ้แว่นโรคจิตมันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งใช่ไหม โรคจิตยิ่งกว่าหมอนี่อีก” เด็กชายพุงพลุ้ยเอ่ยทัก

    “จะว่าไปมันก็ใช่นะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เหมือนกันไม่มีผิด คู่หูโรคจิต ‘แว่นตามหาประลัย’ อยู่ตรงหน้านี้แล้ว!” ออดกางแขนแล้วร้องตะโกนสุดเสียง กลุ่มเด็กชายระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน ผมกำหมัดแน่น

    “ไค เรารีบไปกันเถอะ” แว่นเรียกร้องเสียงอ่อน เขารู้ว่าเสียงปรามนี้ไม่ได้เข้าหูผมเลยสักนิด

    “อ้อ ถ้าอย่างนั้นพวกแกก็คงจะเป็นตัวร้ายสินะ” ผมเงยหน้ากล่าวเชิงประชด

    “อะไร” ออดตีหน้างง

    “อย่ามาทำโง่ไปหน่อยเลย คู่หูโรคจิตก็มีศัตรูแบบพวกนายทั้งนั้นแหละ” ผมพูดน้ำเสียงต่อต้าน ศัตรูของคู่หูโรคจิตในการ์ตูนเรื่อง ‘แว่นตามหาประลัย’ ก็คือกลุ่มชอบทำอานาจารหรือก็คือ พวกโรคจิตวิปริตผิดบ้านผิดเมืองยิ่งกว่าคู่หูโรคจิตผู้ผดุงความยุติธรรมซะอีก

    “มันว่าไงนะ ฉันงงอะ” เด็กชายพุงพลุ้ยชักสีหน้าสงสัย

    “แกก็อย่าทำโง่ให้มันเห็นสิไอ้อ้วน” ออดตะคอดด่าเพื่อนตัวเอง เขาคือคนที่ฉลาดที่สุดในกลุ่ม รองลงมาคือเด็กชายร่างผอม

    เด็กนักเรียนที่กำลังเดินกลับบ้านเริ่มสุมกลุ่มมุงพวกเรา เรื่องชกต่อยเป็นที่น่าสนใจเสมอ

    เสียงสอดเสียดซุบซิบ

    “นี่ เด็กคนนั้นชื่อไคใช่ไหม ที่ชอบตีกับรุ่นพี่บ่อย ๆ น่ะ”

    “ใช่ ๆ ฉันจำได้ ไมน่าเชื่อเลยนะว่าเขาจะกล้าท้าต่อย เห็นว่ามีเรื่องมาตั้ง 5 ครั้งแล้วนะ”

    “นั่นออดคู่อริตลอดการของไคนี่นา ฉันขอเดา ไคต้องแพ้อีกแหง”

    “ฉันว่างานนี้ต้องสนุกแน่ ไคชอบท้าตีแต่ไม่เคยชนะ กับออดเด็กเกรด A ที่ชอบดูถูกคนอื่น”

    “ตีกันแน่ ตีกันแน่ ตีกันแน่”


    ผมพยายามไม่ใส่ใจ เจ้าแว่นเลิกลักมองหน้ามองหลังไม่หยุดเมื่อสายตาจำนวนมากจับจ้องมาที่จุดเดียว

    ผมกับออดมองจ้องตากันเขม็ง คนมากขึ้นความอึดอัดย่อมมากตาม เรื่องแพร่กระจายเร็วถ้าหากว่าเราไม่หยั่งคิด หยุดตอนนี้ก็ยังไม่สาย

    “กลับกันดีกว่าไค” แว่นเร่งเร้ากล้า ๆ กลัว ๆ

    “อืม” ผมฝืนใจตอบไปแบบนั้น

    “หน้าตัวเมียซะจริง ไม่กล้าสู้ฉันล่ะสิ” ปากแบบนี้คงอยู่ได้ไม่นาน “ไอ้สวะ ไอ้ลูกไม่มีแม่-”

    ‘ผัวะ!’

    สิ้นเสียงคนปากปีจอก็เกิดเสียงกำปั้นกระทบจมูกดังขึ้น และในที่สุดเหตุทะเลาะวิวาทก็ถึงครอบครัวและที่ประชุมใหญ่ของโรงเรียน มติเป็นเอกฉันท์ ผมถูกสั่งย้าย

    พวกรุ่นพี่ที่เคยชกต่อยผลัดหน้ากันมาเยาะเย้ย ถ้าคิดที่จะมาอีกคนล่ะก็ น้ำอดน้ำทนของผมคงหมดเกลี้ยงแน่

    ผมรู้สึกแปลกใจที่ออดไม่กล้าสู้หน้าผม เขาไม่แม้แต่ที่จะพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ


    “ไอ้พี่บ้า” เด็กสาวผมสั้นถึงติ่งหูเอ่ยทักจากด้านหลัง “ตีคนไม่เว้นแต่ละวัน”

    “แพรว” ผมเรียกชื่อเธอผมยังไม่ได้พูดเรื่องย้ายโรงเรียนให้ใครฟังยกเว้นเจ้าแว่น ผมขอครูใหญ่ว่าอยากจะหายไปแบบเงียบ ๆ ครูใหญ่เข้าใจและทำตามคำขอ

    “ถ้าจะเรียกแบบนั้นพี่ก็ไม่ค่อยยอมรับเท่าไหร่นะ ‘เคแมน’ ก็ว่าไปอย่าง” ผมยืดอกพูดอย่างภาคภูมิใจ

    “เครซี่แมนต่างหาก” แว่นเดินห่อไหล่เข้ามา “กว่าจะช่วยงานอาจารย์เสร็จ เหนื่อยแทบตาย”

    “เครซี่แมน ชื่อะไรล่ะนั่น” ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย จึงนึกสงสัยและคิดว่ามันเท่ดี

    “ชื่อเท่จะตาย นายน่าจะใช้มัน” แว่นตบไหล่แล้วยิ้ม ผมคิ้วขมวดเล็กน้อย

    “เท่งั้นเหรอ” ท่าทางของผมออกจะดีใจนิด ๆ

    “นี่ เอาเล่มนี้ไป มันจะบอกนายว่าเครซี่แมนเป็นคนยังไง” แว่นยื่นหนังสือทำมือให้ผม หน้าปกสีเหลืองจาง ๆ พิมพ์ชื่อตัวใหญ่กลางหน้ากระดาษไว้ว่า ‘Crazy Man’ ผมอ่านไม่ออก

    “พี่ฉันเขียนเองแหละ” แว่นเขินเล็กน้อยตอนพูดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นฝีมือของใคร

    “นิยายเหรอ”

    “ใช่” แว่นตอบ “คงจะช่วยแก้เบื่อได้บ้าง”

    “ขอบใจมากเพื่อน” ผมกุมไหล่แว่นเต็มกำมือ พี่ชายของเคแมนเป็นนักเขียนมากฝีมือ ผมติดใจงานเขียนของเขามาตั้งแต่เล่มแรกแล้ว ทุกครั้งที่เขาได้รับเลือกลงตีพิมพ์เขาก็จะซื้อมันมาให้ผมอ่านตลอด จากนั้นเราทั้งสามก็เล่นกันตามปกติ


    “ไค ลูกต้องไปอเมริกา” พ่อหน้าเข้มกล่าวน้ำเสียงขึงขัง ท่านวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะเล็กหน้าโทรทัศน์แล้วช้อนตามองมาทางผม

    “ทำไมผมต้องไป” ไกลเกิน ติดต่อเพื่อนได้ยากอีกต่างหาก ผมจึงต้องถามเหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงต้องทำแบบนี้

    “พ่อรู้ว่ามันไกล แต่ที่นั่นจะช่วยดัดนิสัยลูกได้” พ่อกล่าวสีหน้าจริงจัง

    “...” ผมยอมรับจึงปิดปากเงียบ

    เครซี่แมน บุรุษหนุ่มบ้าคลั่งผู้เกลียดชังความชั่วร้าย ปิดบังตนเองในคราบของคนไม่เอาถ่าน ผมนับถือเขาเป็นแบบอย่างจนกระทั่งได้เข้าเรียนที่อเมริกา

    ในวันที่เพื่อนร่วมห้องถามว่าผมชื่ออะไรผมก็มักจะตอบว่า ‘I’m a Crazy Man’ ช่วงแรกผมไม่รู้เรื่องภาษาดีนัก จึงตอบออกไปหน้าตาเฉย ผมแปลกใจทุกครั้งที่พวกเขาหัวเราะตอนผมแนะนำตัว ไม่รู้ทำไม

    เป็นเหมือนกันหมดทุกที่ทุกโรงเรียน พวกชอบกวนใจวางมาดอำนาจใหญ่โตมักตามรังควานและพูดหยอกเย้าผมอยู่ทุกวัน แต่ยังดีที่ผมมีรุ่นน้องอย่างฮันท์คอยอยู่เคียงข้าง พวกนั้นจึงไม่กล้าหือ

    ฮันท์สงสัยเรื่องชื่อเรียกของผม ในตอนนั้นผมรู้หมดทุกอย่างแล้วแครซี่แมนหมายถึงอะไร อยากเอาหัวทุบกำแพงให้ตายจริง ๆ ตอนที่ทำหน้าระรื่นบอกชื่อตนเองกับเพื่อนร่วมชั้น

    ผมทำการแปลนิยาย ‘I’m a Crazy Man’ ให้ฮันท์ เขาประทับมากเมื่ออ่านจบ หลังจากนั้นหมอนี่ก็ดันไปประกาศกับลูกน้องของตนว่า ‘พี่เคนี่แหละ เครซี่แมนตัวจริง’

    แว่นเมล์มาบอกว่า ‘นายถูกจดจำจากคนทั้งโรงเรียนแล้วว่านายเป็นเครซี่แมนตัวจริง’ มันบอกว่าผู้ประกาศเรื่องนี้คือประธานนักเรียนหญิงคนใหม่ ‘แพรวพราว’ รุ่นน้องผมเอง

    ผมถามถึงสาเหตุจากแว่น มันตอบว่า ‘เธอโกรธนายมากที่ไม่ยอมบอกเรื่องย้ายโรงเรียน วีรกรรมของนายเป็นที่น่าจดจำกว่าใคร ชื่อนี้อาจติดตรึงกับพวกเขาอยู่นาน’ วันนั้นผมหยุดเรียนทันที

    จะว่าไป ถ้าเรื่องถูกเปิดเผยขึ้นมาจริง ๆ จะมีคนจำผมได้ไหมนะ หนึ่งล่ะแพรวพราว


    แสงแดดสีเหลืองส้มส่องลอดอาคารเรียนสี่ชั้นลงมายังพื้นถนนหน้าโรงเรียน

    ผมนั่งรอรินอยู่ตรงม้านั่งติดกำแพงอิฐของโรงเรียนมา 10 นาทีแล้ว การซ้อมบอลถูกยกเลิก เพราะเธอคนเดียว!

    “ไปกันเถอะ” รินกระโดดออกมาจากโรงเรียนสีหน้ามีความสุขที่สุดเท่าเคยเห็นมา

    “ไปไหน” ผมลุกขึ้นถาม

    “ตามฉันมาเดี๋ยวก็รู้” เธอตอบแต่ไม่มองหน้าเป้าสายตาเธอคือเส้นทางที่กำลังจุมุ่งไป

    “เธอบอกว่าจะถามฉันไม่ใช่เหรอ”

    “เครซี่แมน” รินหันกลับมาจ้องแล้วเรียกชื่อต้องห้ามนั่น “ใคร ๆ ก็อยากรู้ว่าเจ้าของรูปภาพอันสวยงามในวันคริสต์มาสนั่นคือใคร”

    “นี่เธอ...” หมดทางสู้แล้วสินะ “ก็ได้ครับ”

    “ต้องอย่างนี้สิ” รินหัวเราะคิกคัก

    พวกเราเดินออกจากเส้นทางกลับบ้าน ตรงเข้าร้านอาหารตามสั่งซึ่งถูกจัดแต่งอย่างสวยงามเหมือนสวนดอกไม้นานาพันธุ์ มีเด็กนักเรียนหนุ่มสาวจำนวนมากมาที่นี่เพื่อพูดคุยและสานความสัมพันธ์กัน แต่เท่าที่ดู มีโรงเรียนเดียวกันกับเราน้อยมาก

    “นี่มันงานพืชสวนโลกรึไงกัน” ผมตกตะลึงไม่คิดว่าเมืองนี้จะมีร้านอาหารแบบนี้

    “นายคิดงั้นเหรอ” ดูท่าเธอจะชอบใจกับคำพูดของผม

    “ไม่ต้องห่วงหรอก ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเราแน่นอน” รินตอบอย่างมั่นใจหลังจากเห็นท่าทีลังเลของผม

    “ทำไมต้องมาที่นี่ด้วยฉันไม่หิวข้าวหรอกนะ” อันที่จริงหิวจนไส้กิ้วอยู่แล้ว เพียงแต่เงินในกระเป๋าตอนนี้เหลือแค่ 30 บาทเท่านั้น

    “นั่งโต๊ะนั้นกันเถอะ” รินเมินคำถามของผมพลางชี้มือไปยังโต๊ะหนึ่งติดระเบียงไม้ซึ่งสามารถมองเห็นสระเลี้ยงปลาได้

    พวกเรานั่งลงตรงข้ามกัน เธอตั้งใจจะนั่งตรงข้ามผม สายลมอ่อน ๆ พลิ้วไหวกระทบผืนน้ำนิ่งเบื้องล่าง มองออกเป็นพุ่มไม้ประดับขึ้นซ้อนกันหนาตาแต่กลับรู้สึกผ่อนคลาย ผมสามารถงีบหลับลงตรงนี้ได้ทุกเมื่อ

    “ขอเข้าห้องน้ำก่อน” ผมบอกแล้วลุกขึ้นทันที

    ขากลับผมเห็นหนุ่มมหาลัยหน้าตาหล่อเหลาสองคนตรงเข้ามาจีบริน ผมลองแอบสังเกตอยู่แต่ไกลว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลึก ๆ แล้วก็รู้สึกสะใจที่เห็นใบหน้าบอกบุญไม่รับของเธอ สมน้ำหน้า อยากบังคับฉันดีนัก

    แต่ปล่อยแบบนี้ไปคงไม่ดี เธอเกรงใจอยู่หน่อย ๆ ดูเหมือนว่าจะไม่ชอบใจผู้ชายสองคนนั้นเท่าไหร่

    ผมจ้ำเท้าเดินเข้าหา

    “ขอที่นั่งผมคืนด้วยครับ” ผมกล่าวน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์แล้วจ้องมองเก้าอี้ตัวเดิมซึ่งเคยนั่งเมื่อครู่ ชายหนุ่มสองจิตสองใจ เหมือนเขาไม่สบอารมณ์ที่ผมทำแบบนี้ ส่วนอีกใจหนึ่งคงคิดที่จะวางหน้าผู้ดีต่อรินเพื่อไม่ให้เธอมองเขาแบบผิด ๆ

    “ไปกันเถอะเพื่อน แฟนเธอมาแล้ว” อีกคนเอ่ยขึ้นแล้วทำหน้าเซ็งเดินออกไป

    “พี่ขอโทษด้วยนะน้อง ไม่คิดว่าจะมีแฟนแล้ว” ชายคนนั้นยิ้มกริ่งเกรงให้เราทั้งสองแล้วออกจากร้าน เรียกว่าแฟนเลยเหรอ หึ พวกพี่คงรู้อะไรน้อยไปซะแล้ว

    “เฮ้อ~” รินถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แฟนงั้นเหรอ...” เธอพึมพำบางอย่างอยู่คนเดียว ผมฟังไม่ถนัด

    “ด่าใครลับหลังรึไง” ผมกล่าวแดกดัน

    “เปล่าสักหน่อย” รินก้มหน้าปฏิเสธ โกหกชัด ๆ

    “นายจะทานอะไรหน่อยไหม” รินถามขณะมองรายการอาหารที่อยู่ในมือ

    “ไม่หรอก” ยังดีที่เสียงท้องไม่ประท้วงขึ้น

    “พี่คะ สั่งอาหารค่ะ” รินโบกมือเรียกพนักงาน

    “คะน้าหมูกรอบสองจานค่ะ” พนักงานสาวพยักหน้ารับคำแล้วเดินจากไป

    “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่หิว”

    “ดูหน้านายก็รู้แล้วว่าเหนื่อยแค่ไหน” เธอยิ้มให้

    “เข้าเรื่องเลยดีกว่า เธอจะถามฉันเรื่องอะไร”

    “ก็ได้” เธอเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลายแล้วกลับมาใช้แขนค่ำโต๊ะ “ถ้าก็เรื่องแรก”

    “เรื่องแรก? เธอคิดจะถามฉันกี่เรื่องกันเนี่ย”

    “เซ้าซี้อยู่ได้ ฟังฉันก่อนดีกว่าน่า ย้ำอีกครั้งนะว่านายต้องพูดแต่ความจริง”

    “เออน่า” ผมเพยิดหน้าให้รีบถาม

    “เมื่อเช้าฉันว่าฉันเห็นงูยักษ์ในห้องนายนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคิดไปเอง นายคงเป็นสายเลือดเทวทูตใช่ไหม” น้ำเสียงเธอจริงจังเป็นอย่างมาก

    “วะ ว่าไงนะ” นี่ตกลงเธอรู้เรื่องผมมากแค่ไหนกัน

    “นายฟังไม่ผิดหรอก ฉันเห็นงูยักษ์อยู่ในห้องนายคาดว่าน่าจะเป็น ‘พญางู’ กราเซสคงรู้เรื่องนี้ด้วย ฉันพูดมาถึงขนาดนี้แล้วนายก็น่าเข้าใจหน่อยสิ”

    “เธอคงเห็นภาพหลอนไม่ก็ดูการ์ตูนมากไป ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลยสักนิด แมลงสาบตัวเดียวยังไม่มี อย่าไปคิดถึงงูยักษ์ที่ฟังดูหลุดโลกเลยดีกว่า”

    “นายต่างหากที่ดูการ์ตูนมากไป” เธอสวนกลับ

    “อึก!”

    “ตอบฉันมาตรง ๆ นายมีสายเลือดของเทวทูตใช่ไหม”

    “...” ผมนิ่งคิด “ถ้ามีแล้วจะทำไม”

    “แล้วเธอไปรู้มาจากไหนกัน”

    “เอาย่อ ๆ นายจะต้องมาเป็นเป็นคู่ครองของฉัน” รินเบือนหน้าหนีทันที ผมตกใจจนพูดไม่ออก “ถ้าหากว่าฉันไม่ฆ่านายซะก่อน”

  32. #17
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 3.3 : คำตอบเล็ก ๆ น้อย ๆ

    Ch. 3.3 : คำตอบเล็ก ๆ น้อย ๆ

    เสียงพูดคุยของกลุ่มเด็กนักเรียนและหนุ่มสาววัยมหาลัยเริ่มอื้ออึงครื้นเครงมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ โดยส่วนใหญ่มักมาเป็นกลุ่ม จับแขนจูงมือกันสองต่อสองหรือเดินเคียงข้างมีเพียง 1 ใน 3 ร้านอาหารสวนดอกไม้ตระกาลตาแห่งนี้สร้างแบบเปิดโล่งหลังคายกสูง บางจุดก็ไม่มี ปูพื้นด้วยไม้ ปลูกขึ้นเหนือบ่อเลี้ยงปลา มีอาหารเม็ดวางไว้ริมระเบียงของแต่ละจุดเพื่อให้ผู้คนที่มีจิตเอื้อเฟื้อชอบช่วยเหลือได้ให้อาหารแก่ปลาทั้งหลาย

    ดูท่าว่าผมคงจะต้องมาที่นี่อีกซะแล้ว

    กลิ่นหอมบริสุทธิ์ของบรรยากาศกระจายในร้านอย่างทั่วถึงจนรู้สึกสดชื่นทันตา เพลงบรรเลงโมซาร์ทเปิดขับกล่อมจิตใจอย่างแผ่วเบาตามความเหมาะสม คล้ายกับมันสามารถที่จะกลบกลืนความเงียบงันและความหน้าอึดอัดทั้งหลายได้หมดสิ้น อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ สาวหน้ารักมากันเพียบ!

    “โรแมนติคซะไม่มี” รินเอ่ยปากพลางก้มต่ำ

    “ฆ่าเหรอ?!” ผมโพล้งขึ้นทันใดเมื่อได้ยินคำกล่าวของเธอ ทุกคนในร้านหันมาจ้องมอง แต่เมื่อผมนั่งลงอย่างสงบจึงหันกลับไปสนทนาปราศรัยต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “ไหนเธอลองช่วยอธิบายมาให้ฉันฟันหน่อยได้ไหม” ผมถามเสียงเรียบเฉยคุมสติไว้ไม่สนความเห็นอื่นต่อไป รินบอกว่าเธอคือคู่ครองของผม ก็ถ้าเธอไม่ฆ่าผมซะก่อน ฟังดูทะ**** ๆ เหมือนมีลับลมคมในซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น อีกอย่าง เธอพูดวกไปวนมาเหมือนมากัดหางตัวเองมานานแล้ว

    “แต่พอมาคิดดูอีกที ฉันอยากจะฆ่านายมากกว่า” รินพูดออกมาอย่างง่ายดาย

    “ทำไม?” ผมเอ่ยถามแผดเสียงต่ำแฝงความเข้มพลางจ้องตารินเขม็ง

    “เหตุผลนายก็น่าจะรู้” รินตอบแบบปัด ๆ

    “เรื่องเมื่อเช้า เฮ้อ~ นี่คิดที่จะเปลี่ยนการข่มขู่มาเป็นการฆ่าแกงกันงั้นเหรอ สมองเธอคิดอะไรอยู่เนี่ย” ความคิดลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่แน่นอนแบบนี้ใช้บังคับใครไม่ได้หรอกนะแม่คุณ

    “เอ่อ... มันก็มีอยู่หลายเรื่องล่ะนะ” น้ำเสียงเธอฟังดูไม่แน่ใจ สรุปว่าเธอพูดขึ้นมาลอย ๆ ไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผมนัก หรืออยากจะแหย่ผมเล่น แต่เรายังไม่ได้สนิทกันมากพอที่จะพูดเย้าแหย่ได้แรงขนาดนี้เลยนี่

    “แล้วเรื่องคู่ครองล่ะ” ผมลองถามอีกข้อ

    “ฉะ ฉันก็บอกไปแล้วนี่ว่าฉันอยากฆ่านายซะก่อน! เรื่องนั้น มะ ไม่มีวันเกิดขึ้นหรอก!” รินดูลนลานเป็นพิเศษ เธอพูดดังจนลูกค้ารอบโต๊ะเริ่มมอง ผมชำเลืองดูพนักงานร้านว่าเขาจับตาพวกเราอยู่หรือไม่ แต่เห็นว่าพวกเขากำลังวิ่งวุ่นเพราะงานรัดตัวอยู่จึงวางใจไป

    “ไม่ใช่ว่าแอบชอบฉันหรอกนะ” ผมจงใจเล่นมุขนี้เข้าไปและรอดูปฏิกิริยาของเธอ

    “ปะ เปล่าสักหน่อย! คนโรคจิตลามกอย่างนาย คะ ใครจะไปชอบลง” รินปฏิเสธขึ้นทันควันพร้อมกับพวงแก้มสีแดงเรื่อ ถือว่าเข้าข่ายเล็กน้อย ถ้าผมไม่คิดไปเองเธออาจมีใจให้ผม หึ คิดไปเองทั้งนั้นแหละ

    ความอึดอัดน่าหงุดหงิดเข้าก่อกวนอีกรอบเพราะความเงียบไร้ผู้ใดปริปากของเราทั้งสอง ผมตัดสินใจทับเรื่องเมื่อครู่ไว้แล้วยกเรื่องใหม่ขึ้นมากล่าว

    “ริน” ผมเอ่ย

    “อะไรอีกล่ะ” รินเหลือบมองแต่ไม่สบตา

    “เธอรู้ว่าฉันมีสายเลือดเทวทูตมานานแค่ไหนกัน”

    “มะ เมื่อตอนเช้า” เธอตอบ แปลกกว่าเมื่อครั้งก่อนที่เธอชอบปัดคำถามทิ้งหรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นหัวข้ออื่น

    “จากการที่เห็นงูเมื่อเช้านี้ เธอเลยตั้งข้อสันนิษฐานว่าฉันอาจจะเป็นสายเลือดเทวทูตขึ้นมาสินะ” คำกล่าวทำเอาเธอหน้าเปลี่ยนสี

    “ก็มีส่วนอยู่หรอก ฉันเห็นนายถือวิงกี้ตอนรู้สึกตัว แต่... กลับเห็น... ของนายเข้าด้วย...” เสียงเริ่มแผ่วลง เลือดขึ้นหน้าเธอลามไปถึงใบหู

    “เรื่องนั้น... ฉันขอโทษด้วยแล้วกันมันเป็นอุบัติเหตุ”

    “นายมันก็ไอ้โรคจิตอยู่ดี นายต้องรับผิดชอบ” เธอค้อนตาใส่อย่างอาฆาต

    “รับผิดชอบ? ฉันก็เดินมาตามเธอมาเพื่อตอบคำถามแล้วไม่ใช่เหรอ”

    “มันยังไม่หมดหรอกนะ” เธอรินน้ำจากเหยือกลงแก้วใสแล้วยกขึ้นดื่ม

    “อย่างที่คิด เธอแอบชอบฉันงั้นสินะ” ผมเริ่มเล่นมุขแรงขึ้นเรื่อย ๆ

    “พรวด!” รินพ่นน้ำเปล่าออกมาและไอสำลักอยู่นาน “นายพูดเรื่องอะไรของนายเนี่ย! ละ แล้วกราเซสลล่ะ! เธอเป็นใครกัน ฉันไม่หลงกลกับมุขโกหกห่วย ๆ ของนายหรอกนะ!” เค้าหน้าแดงก่ำ รินเปลี่ยนเรื่องแล้วหันมาปรักปรำผมแทน

    “กราเซส...” ผมใคร่คิดว่าควรเอ่ยไปดีไหมหรือต้องขออนุญาตจากเจ้าตัวก่อน

    “แล้วทำไมเธอถึงมักเปลี่ยนเรื่องไปโน่นนี่อยู่เรื่อยเลย” ผมวกกลับเข้ามาอีก

    “...” รินพูดไม่ออกพลางก้มหน้าต่ำ

    “เอาเถอะ... เธออยากจะถามฉันเรื่องอะไรล่ะ” ผมเห็นสีหน้าอ่ำอึ่งจึงตัดสินใจไม่ซักไซ้

    “อืม...” เธอนิ่งคิด ลืมไปซะงั้น?

    “นายเคยบอกฉันละยังว่านายมีสายเลือดของเทวทูต” รินเอ่ยถามเรื่องเดิม น้ำเสียงกลับมาเป็นปกติ

    “อืม”

    “ฉันบอกไปละยังว่าทำไมฉันถึงรู้”

    “ยัง” รินพยักหน้าเล็กน้อยสองสามที แล้วผมก็ลองถาม “ตอนอยู่ในห้อง ทำไมงูใหญ่ถึงเข้ามาได้ ฉันอยู่มาเกือบ 10 ปีไม่เคยมีเรื่องทำนองนี้มาก่อน แต่ทำไมตอนที่เธอมาบ้านฉันแค่ไม่กี่นาทีกลับโผล่พรวดออกมาแล้วเลื้อยหนีไป มิหนำซ้ำมันยังเป็นงูโบราณซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพญางูอีกต่างหาก”

    รินหลบสายตาผมแบบอาย ๆ อาจเป็นเพราะคำถามของผม “ถะ ถ้าฉันบอกนาย... นายห้ามหัวเราะเด็ดขาด”

    “ฉันเป็นคนหัวเราะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ” ดูท่าว่าจะมีเรื่องสนุกเข้าให้แล้ว

    “อะ อืม ก็จริงของนายอยู่หรอก คือว่า... คือ...” เธอลังเลครู่ใหญ่แต่ก็ยอมบอก “คือ... หลังจากที่ฉันปิดประตูใส่นายฉันก็ทำอะไรไม่ถูก ฉันเดินเข้าไปหน้าคอมที่ถูกเปิดทิ้งไว้ มองมันอยู่นาน แต่พอ... หันกลับมาอีกที หัวงูนั่นมันจ่ออยู่ที่หน้าฉัน ฉันตกใจมากเอามือกุมปากไว้แน่น และหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย”

    “หรือเธอจะบอกว่าเธอตกใจที่งูมาจ้องหน้าจนสลบไป” ผมลองสรุปความแล้วนึกขำในใจ เธอพยักหน้าอย่างอาย ๆ “ถ้าอย่างนั้นเธอเป็นใคร ทำไมถึงมองเห็นงูใหญ่และรู้ว่าฉันมีสายเลือดเทวทูตอยู่ในตัว”

    “เอ่อ... เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่... ตอนนั้นฉันผ่านเหตุเสี่ยงตายอย่างไม่น่าเชื่อ...” หน้าเธอเศร้าสร้อยลงน้ำเสียงเริ่มผ่อนต่ำลง “มีคนช่วยฉันไว้ เขาทำแผลให้ฉัน ถ้านายได้ดูข่าวใหญ่ข่าวดังที่เกิดขึ้นกับเด็กประถม 30 คนบนรถทัวร์ทัศนศึกษาเมื่อ 8 ปีก่อน” เธอจ้องมองผมคิดตาม

    “อืม ฉันพอจำได้ หา!? อย่าบอกนะว่าเธอคือเด็กคนที่รอดชีวิตคนเดียวเหตุรถทัวร์พลิกตกเนินเขาครั้งนั้น” พอนึกถึงเหตุสลดและความสูญเสียครั้งใหญ่ ภาพของเด็กหญิงหน้าตามอมแมมพลันผุดขึ้นมาในหัวของผม ข่าวหน้าหนึ่งลงยาวถึง 3 สัปดาห์กล่าวถึงการเสียชีวิตของเด็กนักเรียนพร้อมครูผู้สอน แต่กลับมีเพียงหนึ่งที่รอดมาได้ เด็กหญิงตัวน้อยรอดตายมาอย่างปาฏิหาริย์

    รถทัวร์ชั้น 1 พลัดตกจากเชิงเขา เรารู้แค่นั้น ได้แต่ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า อาจมีบางอย่างออกมาขวางกั้นเส้นทางเดินรถเช่น รถยนต์ตัดหน้า กิ่งไม้หักวางดัก สัตว์ป่าวิ่งออกมาจนโชเฟอร์ไม่ทันตั้งตัว แต่นั่นก็เป็นได้แค่ข้อสันนิษฐาน ตำรวจ นักข่าวไม่สามารถซักไซ้สอบปากใครได้ ทั้งนักเรียนทั้งครูตายเกลี้ยง ยกเว้นเด็กหญิงคนหนึ่ง หากพวกเขาคิดจะถามเธอถึงสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นก็อาจเป็นการทำร้ายจิตใจเด็ก อีกทั้งผู้ปกครองยังกีดกันและเป็นห่วงเรื่องนี้มาก ในที่สุด ข่าวนั้นก็จบลงไปโดยถูกสรุปออกมาว่า เหตุครั้งนี้มีสัตว์เป็นผู้กระทำ

    “ใช่ ฉันคือเด็กคนนั้น” เสียงเธอฟังดูหดหู่ชอบกล

    “เสียใจด้วยนะ มันคงทำร้ายจิตใจเธอมาก” ผมไม่มีอะไรจะพูดนอกเหนือคำสั้น ๆ พื้น ๆ พวกนี้ รินพยักหน้าย้ำ ๆ อยู่นาน...

    “ไม่เป็นไร ฉันทำใจได้แล้วล่ะฉันไม่รู้จะพูดยังไงดี รู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ เข้ามามากมายจนตั้งตัวไม่ทัน เทวทูตออกมาปกป้องฉันและช่วยเหลือฉันจากอุบัติเหตุ เธอกอดฉันไว้ คุ้มครองฉันจนในที่สุดก็ปีนเขาขึ้นมาขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้ เธอมีชื่อว่า ‘โซเรีย’ เป็นเทพผู้พิทักษ์องค์เทพของเทพอีกทอดหนึ่ง” หน้าเธอแสดงอารมณ์ทั้งชื่นชมทั้งโศกเศร้าพร้อมกัน

    “เดี๋ยวนะ สรุปว่าเธอมีสายเลือดของเทพงั้นเหรอ”

    “ฉันก็พึ่งรู้ตอนเกิดเหตุ โซเรียเล่าให้ฉันฟังหมดทุกอย่าง พ่อฉันมีสายเลือดของโอไซดัส ****ีสายเลือดของซาฮา แต่ท่านทั้งสองก็มีเลือดมนุษย์อยู่เหมือนกัน ฉันจึงได้รับสายเลือดต่าง ๆ ผสมอยู่ในตัวมากมาย ทั้งมนุษย์ โอไซดัส และซาฮา” รินสูดลมหายใจแล้วกล่าวต่อ “พ่อแม่พยายามปิดเรื่องโลกหลังความตาย วิญญาณชั่ว สัตว์ปีศาจและเรื่องสายเลือดเทวทูตมาตลอด เหตุผลคงเป็นเพราะว่าฉันยังเด็กเกินไปที่จะรับรู้ถึงเรื่องนี้ และก็เพื่อปกป้องฉันจากการตกเป็นเป้าสายตาของผีร้ายด้วย”

    “ตอนแรกเธอมองไม่เห็นพวกมันใช่ไหม”

    “ใช่ โซเรียทำอะไรสักอย่างกับตาฉัน เธอไม่ต้องการให้ฉันเห็น กลายเป็นว่าตลอดเวลาโซเรียอยู่เคียงข้างฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลย” ต่างกับผมลิบลับ เทวทูตผู้พิทักษ์องค์เทพไม่มี เห็นวิญญาณภูตผีมาตั้งแต่เด็กจนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน เด็กสาวอย่างเธอได้รับความกระเทือนปวดร้าวจิตใจมาตั้งแต่เด็ก แบบนี้คงทำใจได้อยากและอาจทำให้เธอมีนิสัยแปลก ๆ ผุดออกมา เช่นกลัวที่จะขึ้นรถบัสรถทัวร์ หรือยืนหยัดคำเดียวว่าจะไม่ไปเที่ยวภูเขาอีกเลย ผมมองหน้าขาว ๆ ซึ่งกำบังอารมณ์โศกเศร้าและความว่างเปล่าไว้โดยไม่กะพริบตา

    “มะ มองอะไรกันนัก” รินหันหน้าเขินอายไปทางอื่นทันที

    “ขอโทษที่ให้รอคะ” พนักงานสาวยกถาดอาหารมาหน้าโต๊ะ วางคะน้าหมูกรอบลงให้คนละจาน เธอยิ้มให้พวกเราแล้วเดินถือถาดออกไปอย่างรีบเร่ง พนักงานสาวสวมผ้ากันเปื้อนทับชุดนักศึกษาไว้ กระโปงสีดำเธอยาวเลยหัวเข่า ผมรู้สึกดีที่เห็นการแต่งตัวแบบนี้ คิดไปแล้วก็เหมือนตอนทำงานของผมไม่มีผิด

    “พวกโรคจิต” รินแขวะใส่หลังจากที่เห็นสายตาของผมจับจ้องด้านหลังพนักงาน เหมือนเธอจะเห็นรอยยิ้มของผมด้วย “นายคงคิดอะไรแปลก ๆ กับเธอแน่ถึงได้ยิ้มพอใจแบบนั้น”

    “เปล่านี่” ผมปฏิเสธ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เชื่อคำกล่าว ผมมองจานอาหาร กลิ่นหอมของคะน้า ซีอิ๋ว และพริกชิ้นเล็กลอยล่องเข้าจมูกอย่างเชื่องช้าราวนางไม้ล่อใจหนุ่มผจญป่าลึก เธอคงอยากให้ผมติดกับ ผมไม่สน หิวจะตายอยู่แล้ว แต่คงต้องทำเก็กหน่อย ไม่อย่างนั้นเธออาจได้ใจไป

    “ทานเลยสิ มื้อนี้ฉันเลี้ยง แต่คราวหน้าต้องเป็นเงินของนาย” รินยกช้อนขึ้นมาชี้ใส่จานข้าว เยี่ยม! เงินไม่ต้องออกกระเป๋าแถมยังได้ทานข่าวฟรี ใจหนึ่งรู้สึกแปลก ๆ แต่ใจก็นึกขอบคุณเธอสุด ๆ ทว่า... เดี๋ยวนะ

    “คราวหน้า? นี่เราจะต้องมาทานอาหารที่นี่อีกเหรอ” ผมข้องใจ ไม่ใช่ว่าเธอจะลากผมออกมาหรอกนะ
    “ใช่แล้ว” รินตอบ เธอตักอาหารเข้าปากขย้ำเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

    “บอกได้ไหมว่าทำไม...” ผมถามอย่างเกรงอกเกรงใจ

    “ข้าวน่ะรีบทานได้แล้ว เดี๋ยวเย็นหมดไม่อร่อยกันพอดี” เธอเปลี่ยนเรื่องอย่างรำคาญ ...ก็ได้ครับ

    ผ่านไปไม่ถึง 3 นาที

    รินตาโพลงเมื่อเห็นจานอาหารอันเกลี้ยงเกลาราวล้างใหม่ของผม อาหารร้านนี้อร่อยมากผมทานรวดเดียวหมด อาจเป็นเพราะความหิวเข้าครอบงำ ผมยกแก้วน้ำเปล่าไม่มีน้ำแข็งขึ้นดื่ม เธอยังทานไม่เสร็จ เหลือมากกว่าครึ่ง

    “นายไปอดอยากที่ไหนมาเนี่ย สงสัยอยู่ที่บ้านคงไม่ต้องล้างจานให้ยาก” รินเย้าใส่อย่างพึงพอใจ

    “หึ หึ” ผมหัวเราะในลำคอกลับแล้วยกแขนซ้ายดูนาฬิกาข้อมือ 16.11 น. เหลืออีกไม่ถึง 20 นาที ผมต้องเร่งทำให้เรื่องมันจบ ๆ แต่ต้องรอให้เธอทานหมดก่อน

    น่าแปลก ในวันที่ได้ทานอาหารกับเธอครั้งแรก ผมประหม่าอึดอัดและกล้ำกลืนอยู่ตลอด ไม่รู้จะเอาแขนไปไว้ที่ไหนตอนทานข้าวเสร็จก่อนเธอ รินก็ชอบมองผมอยู่เสมอระหว่างเคี้ยวอาหาร แต่พอมาตอนนี้ ใจผมกลับว่างเปล่าและผ่อนคลายมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร้านอาหารหรือเพราะว่าเธอแสดงนิสัยจริง ๆ ออกมา เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าผมเริ่มสนิทกับใครมากเข้าก็จะกลายเป็นคนละคน ที่อยู่ตรงหน้านี้มันก็แค่เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น

    “ตอนนี้โซเรียอยู่กับเธอไหม” ผมลองถามตัดความเงียบบริเวณโต๊ะ แม้ว่าบรรยากาศโดยรอบออกจะดูครึกครื้นเพราะลูกค้าหนุ่มสาวจำนวนมหาศาลก็ตาม จะว่าไป ร้านนี้ก็ใหญ่อยู่พอตัว เหมือนภัตตาคารหรูหราในโรงแรม 5 ดาวยังไงยังงั้น

    “ไม่หรอก เธอคงนอนเล่นอยู่บ้านนั่นแหละ” รินกลืนข้าวลงคอแล้วตักคำใหม่

    “แสดงว่าโซเรียในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องปกป้องเธอแล้วสิ อะ... โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องนั้น” ผมหมายถึงเรื่องอุบัติเหตุ ซึ่งทำให้เธอต้องสูญเสียเพื่อนร่วมชั้นไปทั้งหมด

    “ไม่เป็นไรหรอก” รินปัดคำ “เธอรู้ตัวอยู่เสมอถ้าเกิดเรื่องกับฉัน เพราะว่าเธอเป็นเทพประจำตัวของฉัน”

    “หมายความว่า ถ้าฉันฆ่าเธอลงตอนนี้ โซเรียก็จะโผล่พรอดออกมาทันทีเลยใช่ไหม” ผมลองแหย่เล่น

    “นี่นาย... คงไม่ทำจริง ๆ หรอกนะ” รินอ้าปากค้างตาเหลือกถลน

    “เธอเข้าใจมุขคนอื่นบ้างไหมเนี่ย” ผมกุมขมับ

    “นายนั่นแหละที่ไม่เข้าใจมุขฉัน” เธองับปากแล้วกลืนอาหารอีกคำลงคอ นี่ถึงกับเล่นมุขซ้อนมุขผมเลยเหรอ

    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า โดนเข้าจนได้” รินชี้หน้าเหมือนผมเป็นหมาหัวเน่า

    “หึ หึ หึ” พวกเราหัวเราะพร้อมกัน

    “เธอ... ไม่ใช่คนจังหวัดนี้ตั้งแต่แรกใช่ไหม” ผมเอ่ยถามเธอหลังจากนั้น

    “ใช่ หลังจากอุบัติเหตุ นักเรียนยกห้องตายหมดเหลือแค่ฉัน ถ้าจะให้ไปเรียนคนเดียวแล้วมีแต่คนสงสัยว่าฉันรอดตายมาได้ยังไงฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก พ่อกับแม่ยิ่งไม่ยอมใหญ่ พวกท่านจึงพาฉันย้ายมาอยู่ที่บ้านยาย แม่ตามมาด้วยแต่พ่อต้องทำงาน” เธอกล้ำกลืน “อาจเป็นความผิดของฉันก็ได้ที่ทำให้พวกท่านแยกกันอยู่” ผมตัดสินใจไม่ถามต่อ พอรู้แล้วว่าเธอมีปูมหลังยังไง

    ผมนั่งสั่นขามองพวกนักเรียนหน้าใสโต๊ะอื่น ๆ ยกแขนขึ้นดูนาฬิกาข้อมืออีกที 16.16 น. เวลาหดสั้นลงเร็วชะมัด รินชำเลืองการกระของผม

    “นายได้ลาฝึกจากชมรมฟุตบอลแล้วใช่ไหม” เธอถามสีหน้าห่วงใยเป็นพิเศษ

    “อะ ...อืม” พอมานึกดูอีกที คนที่ทำให้ผมต้องมาอยู่ที่นี่ก็คือเธอ

    “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก เมื่อวานฉันได้ยินโค้ชก้องพูดโทรศัพท์กับกัปตันทีมชื่อว่าอะไรนะ... อ้อ แจ็ค เขาว่าวันนี้ติดธุระและให้พวกนักฟุตบอลหยุดพักหนึ่งวัน เผอิญว่าบ้านเขาอยู่ติดกับบ้านฉัน ก็เลยได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์ข้ามกำแพงบ้านมาแบบไม่ได้ตั้งใจ” ...อืม ฟังดูสมเหตุสมผลดี เธอไม่ใช่พวกทำลายความฝันคนอื่นสินะ เธอไตร่ตรองมาดี คิดหน้าคิดหลังแถมยังรอบคอบ อีกอย่างตอนบอกลากัปตันทีมเขาก็ดันตอบรับอย่างง่ายดายจนผมประหลาดใจ และก็ โค้ชก้องเคยบอกว่าบ้านเป็นเพื่อนนักเรียนหญิงรุ่นผมคนหนึ่ง เขาจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร เหตุผมสุดท้ายที่ทำให้คำพูดของรินน่าเชื่อถือคือ โค้ชก้องเป็นพวกพูดดังพูดตะคอก อาจทำให้คนอื่นกลัวแต่เนื่องจากเขาเป็นโค้ชซึ่งต้องคอยร้องตะโกนสั่งนักฟุตบอลอยู่บ่อย ๆ จึงมีนิสัยแบบนี้ ผมพยักหน้าให้เธออย่างเข้าใจ ริน... เธอหน้ารักกว่าที่ฉันคิดไว้นะ

    “อย่างที่คิด เธอแอบชอบฉันเต็มเปาเลยสินะ” ผมยิ้มแย้มจงใจเล่นมุขเดิม

    “นายนี่มัน” รินเชิดหน้าหนี

    “นะ นายมีธุระที่ไหนรึเปล่า เห็นจ้องนาฬิกาไม่หยุด” เธอเอ่ยทักเรื่องื่อนแล้ววางช้อนเคียงกันเป็นอันว่าทานเสร็จ

    “อืม อีกไม่นานหรอก” ผมตอบแล้วรอคำกล่าวของเธอ เธอกำลังดื่มน้ำอย่างช้า ๆ ตามปกติของผู้หญิง

    “เรื่องแพรวพราวล่ะสิท่า” รินท้วงขึ้นสีหน้าจริงจังเอาเรื่อง

    “อึก!” เรื่องนี้ผมยัง... อ้อ เมมโม พลาดอีกแล้วตู “เรื่องส่วนตัวน่ะ” ผมก้มหน้าต่ำ

    “นายคิดยังไงกับเธอ” รินรุกเข้าประเด็น

    “ทำไมฉันต้องบอกเธอด้วย” ผมทักขึ้น ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย ไม่มีสิทธิอะไรด้วยซ้ำ

    “หรืออยากเห็นใครต่อใครรู้จักนายในนามเครซี่แมน” เธอยกข้อนี้มาข่มขู่ ไม่รู้ว่าเธอเจาะลึกเรื่องเครซี่แมนมากน้อยแค่ไหน ผมจำต้องตอบออกไปแต่โดยดี เครซี่แมน ชื่อนี้ถือว่าร้ายแรงยิ่งกว่าการโชว์ของลับซะอีก ถ้าจะให้พูดถึงวีรกรรมสุดแสบของเครซี่แมนล่ะก็ มันคงยาวน่าดู อีกทั้ง... นามปากกาเครซี่แมนที่ผมใช้ตอนแข่งวาดภาพมันก็ทำให้นักเรียนมากกว่าครึ่งตกตะลึงกันมาแล้ว แถมยังได้ยินแว่ว ๆ มาว่ามาว่าเครซี่แมนยังคงอยู่ในใจของทุกคนเสมอ

    “ฉันยังไม่รู้เลย เธอ... เหมือนน้องสาวฉันมากกว่า แต่ก็ไม่รู้จะตอบออกไปยังดีเพื่อรักษาความรู้สึกของเธอเอาไว้ ฉันสัญญาไว้แล้วว่าจะให้คำตอบกับเธอวันนี้” ใช่ วันนั้น วันที่แพรวพราวปุบปับสารภาพรักออกมา มันทำให้ผมตัวแข็งทื่อและสมองเบลอ ผมคิดไม่ออกว่าควรทำอะไรก่อนจึงบอกเธอว่า ขอเวลาฉันคิดได้ไหม แพรวนิ่งงันครู่หนึ่งแต่ก็เข้าใจ เธอนัดผมไว้จุดเดิมเวลาเดิมนั่นคือ 16.35 น. ณ ลานดินติดสนามฟุตบอล

    “ถ้าฝ่ายหญิงเริ่มเข้าหานายก่อนแสดงว่าเธอรักนายมาก นายควรคิดให้ดีที่สุด อย่าทำให้เธอต้องร้องไห้เสียใจเป็นอันขาด” เธอเตือนเสียงเข้ม

    “อืม ฉันคิดไม่ตกเลยล่ะ” ผมนั่งนิ่งแล้วครุ่นคิดถึงความรักในใจของตัวเอง เมื่อก่อนผมเคยโหยหาถึงมัน หึ หึ ตอนนั้นเป็นตอนที่ผมติดอมิเมะฮาเร็ม(การ์ตูนแนวสาว ๆ รุมล้อมพระเอก) ทว่า พอมาถึงตอนนี้ ผมกลับกลายเป็นพวก 2 D(พวกกู่ไม่กลับเมื่อได้ดูการ์ตูนญี่ปุ่นไปอย่างมากมาย) ไปซะแล้ว เวลาทั้งหมดผมยกให้การ์ตูน นิยาย และงานอดิเรก เรื่องรักใคร่ผู้อื่นหรือแอบชอบใคร ๆ เป็นเพียงแค่ความคิดชั่วครู่ ไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังในเมื่อคนส่วนใหญ่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนกันเกือบหมดแล้ว

    “ฉันขอถามอีกเรื่อง” รินชักสีหน้าเปลี่ยนรอยยิ้มเป็นไร้อารมณ์ “นายกับกราเซสเกี่ยวข้องอะไรกัน ยิ่งเมื่อเช้าพวกนายยัง... อยู่ในห้องน้ำด้วยกันอีกต่างหาก” รินแขยะระหว่างพูด

    “เฮ้อ” มาเรื่องนี้จนได้ ...ผมอธิบายถึงตัวตนของกราเซส ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป เธอเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างแต่ก็ยังกว่าไม่ตอบเธอ และก็อธิบายว่าทำไมกราเซสถึงอยู่ในห้องน้ำร่วมกันกับผม

    “เสือผู้หญิงซะจริง” รินกล่าวหลังฟังคำอธิบายของผม

    “อะ หา?” ผมโพล้งเสียงสูง

    “แล้วไอจังล่ะ เธอเป็นใครกัน” รินตั้งหน้าถาม

    “หึ หึ เธอคงไม่รู้อะไรเลยสินะ” ผมหัวเราะอย่างพึงพอใจ “นั่นน่ะคือคนรักของฉันเอง”

    “หา!” รินโพล้งขึ้น เป็นที่น่าสนใจจากลูกค้าโต๊ะอื่นอีกครั้ง เธออายสุดขีดแต่ก็จ้องหน้าผมไม่ปล่อย “ไม่มีทางหรอก คนอย่างนายเนี่ยนะ”

    “ใช่ คนอย่างฉันนี่แหละ เพียงแต่ว่า คนรักของฉันเขาติดธุระอยู่ต่างประเทศน่ะ”

    “อังกฤษเหรอ” รินชักสีหน้างุนงง เธอรู้แค่ว่าผมไปเรียนอังกฤษ ก็ไม่เชิงว่าไปเรียนหรอก ผมไปเรียนวิชาการต่อสู้แบบพิเศษที่อังกฤษ แต่เรื่องตำรับตำราน่ะอยู่ที่อเมริกา ตอนย้ายเข้ามาครูประจำชั้นดันแนะนำว่าผมกลับมาจากอังกฤษ ผมขี้เกียจแก้ข่าวจึงปล่อยมันไปซะ

    “ไม่- ญี่ปุ่น”

    “นายเคยไปญี่ปุ่นด้วยเหรอ”

    “เปล่า”

    “อ้าว” รินสับสนกับคำตอบแปลก ๆ ของผม “ตกลงไอจังเป็นใครกัน”

    “เป็นคนรักของฉัน” ผมตอบพลางยิ้มแย้มเล็กน้อย

    “อะไรของนายเนี่ย สงสัยเพี้ยนเข้าขั้นปรมาจารย์แหง”

    “แล้วแต่จะคิด” ผมยักไหล่ไม่ใส่ใจ

    อ้าว! ลืมเวลาไปซะสนิท

    “ริน ฉันต้องไปแล้ว เรื่องอาหารขอบคุณมาก” ผมลุกขึ้นแบกกระเป๋าสะพาย

    “อืม ขอให้โชคดี ส่วนฉันจะอยู่ที่นี่อักสักหน่อย” รินปัดมือ “จำไว้ ห้ามทำให้เธอเสียใจเด็ดขาด” เธอย้ำเตือนแต่ไม่มองหน้าผม

    “รู้อยู่แล้วน่า” ผมตอบแล้วเดินฉับ ๆ อย่างเร่งรีบ


    “เฮ้อ~” ผมทอดเสียงถอนหายใจยาวสุด ๆ

    ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้ ห่วงใยผู้อื่น มีน้ำใจ และรอบคอบ หรือผมยังไม่รู้จักเธอดีพอ แต่ว่าสายตาจ้องมองตอนผมย้ายเข้ามาเรียนที่นี่หมาด ๆ กลับดูเย็นชาไม่เป็นมิตรซะงั้น

    เมื่อเช้า ผมไม่มั่นใจว่าบ้านจะปลอดภัยดีหรือไม่ ผมบอกให้กราเซสไปช่วยงานลุงอำพลที่ร้านกาแฟ และเล่าเรื่องเมื่อเช้ากับแก วางใจได้เล็กน้อยถ้าเธออยู่ในความคุ้มครองของลุง หวั่น ๆ เหมือนกันเธอพลั้งปากพูดเรื่องไอ้จ้อน

    ผมไม่เคยเห็นพญางูตัวเป็น ๆ มาก่อน พ่อเคยเล่าว่ามันคือสัตว์ร้ายในตำนาน แทบจะไม่เหลือให้เห็นในยุคนี้ การกำเนิดหรือโผล่ขึ้นมาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นไปในรูปแบบใด และไม่รู้ด้วยว่ามันน่ากลัวและอันตรายแค่ไหน

    รินเล่าว่างูนั่นโผล่พรวดออกมา ทำใจเชื่อได้ยากแต่ก็อาจเป็นไปได้ เธอไม่มีเหตุผลต้องเรียกงูเข้ามาหา เธอกุมปากแน่นสนิทเมื่องูจ้องหน้า เธอร้องลั่นเมื่อเห็นน้องชายของผม ฟังดูไม่สมเหตุผลนักเมื่อเอาสองเรื่องนี้มารวมกัน ไม่ว่าจะพูดยังไงเธอก็น่าสงสัยอยู่ดี

    จากเรื่องอุบัติเหตุ คงต้องค้นหาข่าวเมื่อ 8 ปีก่อน ใช่ว่าสิ่งที่พูดมาจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เทพ เทวทูตมีหลายองค์ โอไซดัส ซาฮา คุ้นหูอยู่แต่ก็ฟังดูแปลก ๆ

    ผมเดินตามเธอมาถึงร้านอาหารเพื่อกะว่าจะได้ข้อมูลสำคัญว่าเธอรู้ความลับของผมมาได้ยังไงและรับมาจากไหน ทว่าผมกลับได้ฟังเรื่องโศกเศร้าซะแทน ดีไม่ดีอาจได้มากกว่าที่คิด ไม่รู้ว่าจะนำเรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหน เรื่องทั้งหมดคงกระจ่างเองแหละถ้าถามลุงอำพล

    ผมออกวิ่งกลับโรงเรียนซึ่งห่างออกไปราว ๆ 300 เมตรได้ เหลือเวลาแค่ 2 นาทียังไงก็ทัน

    ‘วิ้ง~ วิ้ง~’

    เสียงเรียกขานฝุ่นวิญญาณสีทองดังขึ้นใกล้หู ตอนนี้มันยังสว่างอยู่นะ ทำไมฝุ่นวิญญาณถึงได้... ไม่ใช่ นี่มันควันสีทองของปีศาจ ใกล้นี้ มันอยู่ใกล้ ๆ นี้ ตัวตนซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับ ‘พันธนาการที่แตกหักของมวลมหามาร’ การณ์สำคัญใหญ่ยิ่ง ต้นเหตุการตายของพี่ชายและพ่อ

    “ต้องเป็นแกไม่ผิดแน่”

  33. #18
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jan 2012
    ที่อยู่
    ทุกที่ที่มีเธอ
    กระทู้
    361
    กล่าวขอบคุณ
    724
    ได้รับคำขอบคุณ: 342

    Ch. 04 – วิน วิน

    Ch. 04 – วิน วิน

    รัศมีคือ สิ่งที่พวยพุ่งออกจากจุดศูนย์กลาง มักเป็นความสว่าง ไม่ใช่ความมืด แต่ก็มีทั้งรังสีของความงดงามสง่า รังสีสุดสว่างเปล่งประกายเจิดจ้าเรียกผู้คนเข้าหาดั่งแสงสรวงสวรรค์ หรือแม้แต่รังสีอำมหิตแห่งความโหด*****มเกรี้ยวโกรธ สร้างความปั่นป่วนในจิต นึกหวาดกลัว และสุดท้ายก็ต้องยอมศิโรราบ

    นั่นคือสิ่งที่ผมทำได้ ความพิเศษของมนุษย์สายเลือดเทวทูต

    พวกเราไม่ใช่นักเวทย์หรือจอมเวทย์ที่จะสามารถใช้พลังเหนือมนุษย์เหมือนในการ์ตูนหรือภาพยนตร์อย่างที่เคยเห็นอยู่บ่อย ๆ เรามีจิตใจเป็นมนุษย์ มีกายเป็นมนุษย์ เราสู้ในรูปแบบเดียวกันกับมนุษย์ ถูกแทงที่หัวใจ โดนยิงกลางศีรษะเราก็ตายได้เช่นมนุษย์ทั่วไป

    เพียงแต่ว่าเรามีศักดิ์และความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ขึ้นมาเล็กน้อย

    เทวทูตตามสัณฐานปกติคือ มีปีกใหญ่สี่ปีก กว้างราวกับจะปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ผมรู้เพียงเท่านี้ ถึงมีสายเลือดของเทวทูตไหลเวียนอยู่ในกายก็ตาม แต่กลับไม่เคยเห็นทูตสวรรค์ร่างจริงเลยสักครั้ง

    สายเลือดเทวทูตมีมาตั้งแต่ยุคก่อนกรุงบาบิโลนยึดครองทวีปทั่วโลก เรื่อยมามีสายเลือดเทวทูตกระจายออกไปอย่างมากมาย หน้าที่ของพวกเราคือ คอยทำหน้าที่แทนทูตสวรรค์โดยการส่งสัตว์มารวิญญาณร้ายลงนรกและคอยคุ้มครองดวงวิญญาณสิ่งต่าง ๆ ของมนุษย์ไว้

    ถึงแม้ว่าครอบครัวจะพอมีฐานะอยู่บ้างแต่ชีวิตผมก็ไม่ต่างอะไรกับยาจก

    พ่อสอนให้ผมรู้จักการใช้ชีวิตในรูปแบบของนักรบ ขึ้นชื่อว่ามีสายเลือดของมหาแม่ทัพใหญ่อย่างมิคาเอลแล้วย่อมต้องยืนหยัดและคงค่าเกียรติประวัติเหล่านั้นไว้

    ตอนอายุ 12 ปีผมต้องวิ่งออกกำลังกายในเวลา 30 นาทีก่อนทานเข้าเช้าทุกวัน ระยะเวลาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน ผมจำต้องตื่นมาแต่เช้า ผมไม่จำเป็นต้องวิ่งก็ได้ แค่ออกไปเดินเล่นโน่นนี่นั่นแล้วกลับมาบ้านให้ได้ตามเวลา แต่พ่อผมก็ไม่โง่พอที่จะให้เด็กน้อยคนนี้หลอกเอา ท่านมองปราดเดียวก็รู้เลยว่าผมทำตามคำสั่งหรือไม่

    สัปดาห์ที่สองพ่อให้ผมแบกกระเป๋าใส่ก้อนอิฐแดงสี่ก้อนก้อนก่อนไปโรงเรียน หนักอึ่ง จนแทบจะโยนมันทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าชีวิตผมคงจบไม่สวยแน่ถ้ากระเป๋าใบนั้นไม่คงอยู่บนหลัง แววตาพ่อเหมือนเหยี่ยวจับจ้องเหยื่อ รู้เห็นทุกอย่างไม่ว่าผมจะทำผิดอะไร แต่ความดีท่านไม่พูดถึง

    พ่อส่งผมเข้าเรียนวิชาป้องกันตัว การใช้อาวุธ และการต่อสู้ระยะประชิดจากค่ายพิเศษที่อังกฤษ เรียนนาน 3 ปี แต่ก็เรียนเฉพาะช่วงหน้าร้อน ผมผ่านการฝึกเหล่านั้นมาได้ ทว่ามันยังไม่เพียงพอ ผมเป็นเด็ก ไม่มีกำลังมากพอที่จะต่อสู้คนตัวใหญ่อย่างพวกผู้ใหญ่ ผมได้รับการซับซ้อมจนกายบวมช้ำเพราะฤทธิ์หมัดอยู่เสมอ ไม่ต่างอะไรจากนักมวยเลยสักนิด

    ตอนนี้เดินอยู่บนฟุตบาตรติดถนนใหญ่ตัดผ่ากลางเมือง แสงแดดถูกบนบังโดยก้อนเมฆสีเทาปุดปุยจำนวนมาก คล้ายฝนกำลังจะตก แต่เป็นไปไม่ได้ที่มันจากรินน้ำลงมาในเวลานี้

    ลมพัดหวิวจนเด็กนักเรียนสาวหน้าขาวรีบเอามือมาปิดกระโปง ตึกแถว ห้างร้าน ศูนย์การค้าการบริการผุดขึ้นเรียงรายมากมายและอัดแน่นยิ่งกว่าชั้นหนังสือ

    ผู้คนจำนวนมากเดินสวนทางกันไปมา หน้าบึ้งบูดเบี้ยวเดินฉับไวไม่สนว่าจะชนใคร สดใสยิ้มแย้มเริงร่าเดินพลางกระโดดพลางพร้อมกับหิ้วถุงอาหารใบใหญ่ เรียบเฉยไร้อารมณ์ไม่เป็นมิตร พูดพล่ามไม่หยุดปากมือยกโทรศัพท์แนบหู ก้มหน้าก้มตาเขินอายไม่กล้ามองหน้าคู่เดินเคียง ห่อเหี่ยวไหล่ตกโศกเศร้าเพราะธุรกิจ ตามองจอสี่เหลี่ยมเท้าเดินไปข้างหน้า คนทั้งหลายทั้งมวลนี้กลับไม่มีใครเลยสักคนที่คิดจะหันมามองหน้าและเอ่ยทักทายกันบ้าง

    ผมเอามือล้วงลงกระเป๋าของเสื้อโค้ตสีดำมีฮู้ดเพราะลมหนาว หยุดกึกตรงช่องตึก ชั่งใจเรื่องแพรวกับเรื่องของเจ้าหมอนั่นว่าควรจะเลือกไปหาใครก่อน ควันสีทองลอยล่องรอบกายผม เธอกำลังรอผมอยู่ แล้วเราคิดทำบ้าอะไรกัน ในใจก็คิดแบบนั้นแต่เท้ากลับก้าวเข้าไปเรื่อย ๆ ด้านในมืดทึบแต่ก็ยังพอมองเห็น เครื่องระบายอากาศเป่าลมร้อนออกมาดัง ‘วืด ๆ’ ไม่หยุด ด้านบนมีน้ำหยดลงมาจากผนังตึกทั้งสองข้างอยู่เนือง ๆ กลิ่นอับชื้นของน้ำแฉะกับขยะแห้งในถังอบอวลฟุ้งทั่วบริเวณ เดินเลี้ยวขวาควันสีทองรอบกายพลันพวยพุ่งราววิ่งหนีเปลวไฟบนกองเพลิง ผมเดินเข้าไปใกล้อย่างระแวดระวัง

    ประตูหลังของตึกแถวถูกเปิดออกมา ร่างของชายหนุ่มสวมเสื้อแจ็กเก็ตกางกางยีนสีดำรองเท้าผ้าใบเหมือนพวกนักบิด ผมเรียบไปตามศีรษะอาจเพราะหมวกกันน็อค ใบหน้าคมเข้มกรามกว้างเล็กน้อย หน้าตาคล้ายคนยุโรป ดวงตาสุกใสนัยน์ตาอำพันประทับมายังร่างของผม

    เรานิ่ง มองหน้ากัน

    “บ้าเอ้ย!” ชายหนุ่มสบถ กระทืบเท้ายันประตูเข้าปิดดัง ‘ปัง’ แล้วก้าวขาออกวิ่งในบันดล

    “เฮ้ เดี๋ยวก่อน” ผมร้องเรียกแต่ไม่เป็นผลจึงต้องสับเท้าออกตามลูกเดียว

    “อย่าตามฉันมาสิวะ” ชายหนุ่มตะโกนพลางวิ่งไปตามช่องตึกทั้งหลาย วิ่งวกวนไปมาเหมือนเขาไม่อยากออกไปถนนใหญ่

    ควันสีทองยังคงล่องลอยรอบกายอยู่ มั่นใจได้แน่นอนว่าเป็นหมอนี่ ถึงแม้จะจำหน้าค่าตาไม่ค่อยได้แต่ผมก็รู้สึกคุ้นตาและติดใจอยู่เสมอ

    “คุณหยุดวิ่งก่อนสิถ้าไม่อยากให้ผมไล่ตาม” ผมตะโกนกลับไป

    “หยุดก็บ้าสิวะ” ชายหนุ่มวิ่งรุดหน้าผมอยู่เรื่อย ไม่ยอมให้ผมได้เข้าใกล้ ไม่นานพวกเราก็วิ่งทะลุช่องตึกออกสูงลานซีเมนต์กว้าง วิ่งฉับ ๆ ท่ามกลางสายตาของผู้อาวุโสซึ่งกำลังเต้นแอโรบิคอย่างกระตือรือร้น เรากระโดดข้ามกำแพงไม้เตี้ยซึ่งล้อมรอบโซนเด็กเล็ก ปีนกำแพงสูงของบ้านเศรษฐี สุนัขโกลเด้นตัวใหญ่เห่าลั่นแล้วออกวิ่งตาม พวกเราปีนกำแพงหนีมัน เหนื่อยหอบฮักเมื่อลงมาจากกำแพง ชายหนุ่มออกวิ่งต่อผมออกวิ่งตาม

    เราวิ่งฝ่าไฟแดง พูดให้ถูก ในตอนที่รถติดไฟแดงคือตอนที่พวกเราวิ่งออกมาพอดี ฝ่าพุ่มไม้ข้างรั้วบ้าน ใบไม้ใบหญ้าติดหัวติดตัวพวกเรา คนทั้งหลายมองอย่างงุนงงด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชายหนุ่มพาผมขึ้นบันไดของตึกร้างจวนพัง ขึ้นไปบนดาดฟ้าชั้นสี่แล้วกระโดดข้ามตึกไปย่ำหลังคากระเบื้องของบ้านหลังหนึ่ง ล้มลุกคลุกคลานยามวิ่งเหยียบหลังคา เขากระโดดโหนกันสาดของอาคาเรียนขนาดใหญ่ ดึงร่างขึ้นแล้วออกวิ่งต่อ

    “ฉันเหนื่อยนะเว้ย แกไม่เหนื่อยบ้างเหรอ!” ชายหนุ่มหันมาตะคอก แน่นอนว่าผมเหนื่อย แต่ผมไม่ยอมให้หลุดรอดไปเป็นครั้งที่สองแน่

    “คุณก็หยุดวิ่งสิ!” ผมร้องอย่างไร้ประโยชน์

    เราวิ่งไปตามกันสาดไม่แม้แต่จะย่างเข้าภายในอาคาร ว่าแต่ อาคารนี่มันคุ้น ๆ นะ ร่างของชายหนุ่มลอยล่องกลางอากาศและตกลงดาดฟ้าของตึกอีกตึก ผมกระโจนถลาร่างไล่ตาม ตีลังกาลดแรงกระแทกหนึ่งตลบ แต่ก็เจ็บแปลบที่หัวไหล่ ต้นขา ข้อเท้าและข้อศอก

    ‘ปึง!’ ชายหนุ่มถีบประตูสีเขียวของดาดฟ้าแล้วไหลรุดลงไปตามราวบันไดอย่างรวดเร็ว ผมไม่ยอมแค่นี้หรอก เราวิ่งออกมาจากอาคารเรียนตรงไปยังลานอเนกประสงค์ นี่มันโรงเรียนเรานี่!

    มีเด็กสาวหน้าตาน่ารักยืนรอใครบางคนอยู่ตรงหน้า แพรวพราวเหรอ เธอมารอผมนานแล้วเหรอเนี่ย

    “อ้าวพี่วิน” แพรวเอ่ยถามหน้าตาสงสัยเมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตั้งวิ่งหนีอะไรบางอย่าง

    “อ้าวพี่ไค” แพรวร้องอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นผมกำลังวิ่งไล่ชายหนุ่มอย่างเอาเป็นเอาตาย

    ชายหนุ่มวิ่งตรงเข้ารัดตัวของแพรว ตายหอง! มันจะใช้เธอบังคับผม แต่รู้สึกแปลก ๆ เหมือนผมเห็นว่าสองคนนั้นซุบซิบกัน แพรวแสดงสีหน้าสงสัยส่วนชายหนุ่มชักหน้าขอร้องท่าทีแบบนี้มันไม่ทำให้ผมรู้สึกอยากจะตะโกนว่า ‘ปล่อยแพรวเดี๋ยวนี้เลยนะ!เธอไม่เกี่ยว!’ แต่มันทำให้ผมอยากดูการกระทำต่อไปของเจ้าหนุ่มนั่นมากกว่า

    เสียงหอบเหนื่อยหนักดังออกมาจากร่างของพวกเราทั้งสอง เหงื่อไหลเล็กน้อยเพราะอากาศเย็น สภาพพวกเราไม่ต่างอะไรกับลูกหมาคลุกฝุ่น เศษดินเศษหญ้าติดตามเสื้อไปหมด นี่คงจะเป็นการไล่ล่าผู้อื่นที่ใช้ระยะทางยาวไกลที่สุดของผม ไม่เคยวิ่งไกลและเหนื่อยหอบแบบนี้มาก่อน

    เราพักการสนทนาเพื่อสร้างเวลาหายใจ รอบข้างเงียบเชียบทันที

    ผ่านไปครู่ใหญ่ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในเสื้อแจ็กเก็ต มืออีกข้างกุมร่างของแพรวไว้ ปืนงั้นเหรอ! -อย่าพึ่งคิดไปเอง มันยังไม่ได้เอาออกมา...

    “บ้าชะมัดดันร่วงตอนวิ่งซะได้!” ชายหนุ่มโวยลั่นเมื่อหยิบจับสิ่งที่ตนต้องการแล้วไม่พบ

    “นี่น้องสาว พอมีมีดสักเล่มไหมพี่ของยืมหน่อยสิ” ชายหนุ่มหันไปถามแพรว

    “เอ๋?” แพรวอุทานแสดงสีหน้างุนงง “ของแบบนั้นหนูไม่มีหรอกนะพี่วิน แล้วทำไมต้องเรียกหนูว่าน้องสาวด้วย” รินตอบ หึ หึ ชัดแล้วสินะ

    ชายหนุ่มตึงตังรีบปิดปากแพรวแต่ไม่ทันการ ผมได้ยินหมดแล้ว


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top