ประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์แตกต่างกันอย่างไร
ประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ต่างก็ตรงข้ามกัน โลกประชาธิปไตยติดตามสวรรค์ ส่วนโลกคอมมิวนิสต์กลับตรงกันข้าม ในขณะที่คอมมิวนิสต์ติดตามวัตถุ แต่ประชาธิปไตยยึดศูนย์กลางคนละอย่าง ระบบประชาธิปไตยมีศูนย์กลางที่บุคคล แต่คอมมิวนิสต์มีศูนย์กลางที่พวกพ้องหรือพรรค ในขณะโลกประชาธิปไตยมีศูนย์กลางที่อิสรภาพทางความรักและสันติภาพ แต่คอมมิวนิสต์กลับมีศูนย์กลางที่การข่มขู่ อาวุธปืนดาบ และปกครองโดยใช้กำลัง โลกสองโลกนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โลกประชาธิปไตยมีศูนย์กลางที่หัวใจ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยก็พูดคุยกันในเรื่องสันติภาพ อย่างไรก็ตาม อุดมการณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์กลับให้การสนับสนุนการสู้รบ คอมมิวนิสต์ใช้ยุทธศาสตร์การต่อสู้มาเป็นปัจจัยแรกในการพัฒนา สันติภาพย่อมไม่เกิดขึ้นในห้วงนี้เป็นแน่แท้ สองอุดมการณ์นี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โลกประชาธิปไตยได้ผูกมัดพรรคคอมมิวนิสต์ด้วยเงื่อนไขความเป็นพี่น้อง และโดยอาศัยองค์กรสหประชาชาติ บทความหนึ่งของสหประชาชาติกล่าวถึงสันติภาพ สหประชาชาติตระหนักว่า สันติภาพเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ผมคิดว่า คงไม่มีใครในประวัติศาสตร์นี้ ที่ไม่ปรารถนาโลกสามัคคีแห่งสันติภาพ เราต่างก็รู้แล้วว่าโลกนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองโลกตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เมื่อมองดูสองห้วงนี้ ซึ่งมีห้วงคอมมิวนิสต์กับห้วงประชาธิปไตย เราอาจมีคำถามว่า โลกสามัคคีอุดมคติ จะเกิดขึ้นกับห้วงคอมมิวนิสต์หรือห้วงประชาธิปไตย จากนี้ไป เราต้องยอมรับความจริงที่ว่า เรากำลังมีชีวิตอยู่ในยุคที่มนุษยชาติกำลังเสื่อมลง และกำลังตกไปสู่ความสิ้นหวัง มากกว่าจะมีความหวังเสียอีก
โลกปัจจุบันนี้เป็นโลกที่มีแต่การสู้รบกัน โดยยึดศูนย์กลางที่ร่างกายและวัตถุสิ่งของเป็นหลัก ไม่ว่าเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ หรือปรัชญาจะพัฒนาไปสักเท่าใด สิ่งเหล่านี้ก็หาได้สร้างสันติภาพให้แก่มนุษยชาติไม่ สิ่งที่กล่าวมานี้ล้วนมีศักยภาพไม่เพียงพอ ตราบใดที่ศักยภาพการดำเนินงานโดยอาศัยอุดมการณ์แนวความคิดเหล่านี้ ไม่สามารถแก้ไขความแตกต่างระหว่างร่างกายซึ่งเป็นโลกทางวัตถุ กับจิตใจซึ่งเป็นโลกทางจิตวิญญาณ ซึ่งปรากฏให้เห็นในยุคประวัติศาสตร์ของยุคสุดท้ายนี้ ตราบนั้น โลกก็ย่อมมุ่งไปสู่ความวิบัติ บัดนี้ เรากำลังเผชิญหน้ากับยุคสุดท้ายของประวัติศาสตร์ ซึ่งพระเจ้าจะทรงตัดสินอย่างเด็ดเดี่ยว เราผู้กำลังมีชีวิตอยู่ในยุคนี้ จะนำวิสัยทัศน์ใด มาใช้แก้ไขปัญหามากมาย กระบวนการนี้เผยตัวเองออกมาในระดับโลก โดยได้สร้างกระแสแนวความคิดหลักถึงสองกระแสด้วยกัน นั่นก็คือ วัตถุนิยมกับอุดมการณ์นิยม โดยกระแสหนึ่งได้ครอบงำดินแดนเกาหลีใต้แล้ว
เราได้เห็นแล้วว่า โลกทุกวันนี้เป็นอย่างไร โลกถูกแบ่งออกเป็นสองค่าย ระหว่างโลกคอมมิวนิสต์กับโลกประชาธิปไตย หรือระหว่างคาอินกับอาแบล และทั่วโลกก็ถูกแบ่งไปตามนั้น คาอินอาแบลสร้างแต่ความทุกข์ขึ้น เพราะทั้งสองต่อสู้กันหลังเกิดการตกสู่บาป ตราบใดที่โลกคอมมิวนิสต์แบบคาอิน
และโลกประชาธิปไตยแบบอาแบลยังคงแบ่งแยกกันอยู่และยังคงต่อสู้กันในสนามรบ ตราบนั้นการชำระสายเลือดในประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้าโศก ในอาณาจักรแห่งสันติภาพของสวรรค์ ก็ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นบนโลก พ่อแม่แห่งสันติภาพก็ไม่อาจเกิดขึ้นบนโลกได้เช่นกัน ดังนั้น พ่อแม่ของโลกแห่งความสามัคคีจะมายังโลกนี้ได้ ก็ต่อเมื่อโลกคอมมิวนิสต์กับโลกประชาธิปไตย ซึ่งเป็นแบบคาอินอาแบลนั้น รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฉะนั้น ยุคปัจจุบันนี้จึงเป็นยุคสุดท้ายของทั่วโลก
หากการดำรงอยู่ร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่มีการต่อสู้และการปฏิเสธฝ่ายตรงข้าม ยังคงดำเนินอยู่ การดำรงอยู่ร่วมกันโดยไม่มีการต่อสู้นั้น ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย และการดำรงอยู่โดยที่แต่ละคนผดุงไว้ซึ่งสันติภาพและให้ความรักแก่กันนั้นก็แทบไม่มีเลย จากทัศนะนี้เอง เราต้องแก้ไขการต่อสู้กันตั้งแต่รากเหง้า ระหว่างแนวความคิดอุดมการณ์นิยมกับแนวความคิดทางวัตถุนิยม เราจะนำความดีมาแก้ไขปัญหานี้โดยเริ่มจากจุดใด เราต้องสร้างมาตรฐานที่เป็นพื้นฐานที่มั่นคงเสียก่อน แล้วเราจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาโดยอาศัยมาตรฐานดังกล่าว
ทุกวันนี้ อะไรเป็นตัววัดว่า จิตใจมาก่อนหรือวัตถุมาก่อน หรือร่างกายมาก่อน เราต้องตระหนักรู้ว่า นี่คือความสับสนที่เกิดขึ้นทางกระบวนทัศน์ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในยุคสุดท้ายนี้ จิตใจอยู่ฝ่ายภายในส่วนร่างกายอยู่ฝ่ายวัตถุ และทั้งสองต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา แล้วสันติภาพจะมีในตัวบุคคลนั้นหรือไม่ เราต้องรู้ว่า โลกนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะของความสับสน
ตามหลักการ ผมต้องยืนอยู่บนพื้นฐานที่โลกประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ในฝ่ายอาแบล รวมเป็นหนึ่งกับโลกคอมมิวนิสต์ ซึ่งอยู่ในฝ่ายของคาอิน ดังนั้น สองโลกนี้จะต้องรวมเป็นหนึ่งกัน โลกนี้ได้แบ่งออกเป็นโลกประชาธิปไตย(ใจ)และโลกคอมมิวนิสต์(กาย) ผมไม่สามารถเปิดประตูไปสู่สันติภาพโลกได้ หากผมไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานการรวมเป็นหนึ่งของทั้งสองโลกนี้ นี่คือหลักการ หลักการนี้จะเป็นตัวเชื่อม ตั้งแต่ร่างกายของบุคคลหนึ่งไปสู่ครอบครัว สังคม ชาติและโลก
ในเอกภพนี้ มีสิ่งดำรงอยู่เริ่มแรกอยู่หนึ่งหรือสอง นี่คือคำถาม ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมิได้เริ่มต้นมาจากหนึ่ง แต่เริ่มต้นมาจากสอง มนุษย์ก็ย่อมติดตามเส้นทางความขัดแย้งของสองทาง ดังนั้นแล้ว ย่อมไม่มีสันติภาพ ความสุข หรือเสรีภาพอันใดเกิดขึ้นบนโลกนี้อย่างแน่นอน
สิ่งที่เราเรียกว่า เสรีภาพจะแสดงออกมา ในสภาพแวดล้อมที่มีศูนย์กลางที่เจ้านายเดียว สิ่งที่เราเรียกว่าความสุขหรือสันติภาพ จะเกิดขึ้นได้ในสภาวะที่มีศูนย์กลางที่เจ้านายเดียวเช่นกัน และไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากมีสองเจ้านายต่อสู้กัน ครอบครัวที่พ่อแม่ต่อสู้กัน จะมีความสุขหรือไม่ แล้วคนที่อยู่ในครอบครัวนี้จะมีความสุขได้อย่างไร ย่อมไม่มีความสุขแน่นอน ลูกๆ ที่อยู่ในครอบครัวนี้ก็ไม่มีความสุขเช่นกัน ตามหลักตรรกศาสตร์ของลัทธิคอมมิวนิสต์ โลกจะกลายเป็นเมืองแห่งความฝันตามที่คอมมิวนิสต์ปรารถนา ก็โดยอาศัยกระบวนการการต่อสู้ ซึ่งจะถือว่าสมบูรณ์ ดังนั้น นโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์จึงคิดว่า นโยบายของตนสมบูรณ์กว่านโยบายอื่นๆ นั่นอาจถือว่าดี ถ้านโยบายนั้นอยู่ในฝ่ายของความดีซึ่งสามารถทำให้เกิดเสรีภาพ ความสุขและสันติภาพ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามองไปที่เนื้อหา ที่เป็นธาตุแท้ของคอมมิวนิสต์แล้ว เนื้อหาทั้งหลายล้วนอยู่เหนือความเชื่อ ในทำนองเดียวกัน คอมมิวนิสต์ไม่มีความแตกต่างระหว่างจุดเริ่มต้นกับจุดจบในการบรรลุถึงจุดมุ่งหมาย พวกคอมมิวนิสต์ยอมหันไปต่อต้านพ่อแม่ของตน ประเทศ หรือพวกพร้องของตน ถ้าหนทางนั้นทำให้พวกเขาบรรลุถึงจุดมุ่งหมาย ดังนั้น ทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งมีประวัติศาสตร์เจ็ดสิบปี ก่อปัญหาไปทั่วโลก
โลกคอมมิวนิสต์มุ่งแสวงหาสิ่งใด มันแสวงหาโลกแห่งสันติภาพที่เกิดจากการต่อสู้ โลกสันติภาพที่ว่านี้ แตกต่างไปจากโลกสันติภาพ ที่โลกประชาธิปไตยกำลังพูดถึงในทุกวันนี้ โลกคอมมิวนิสต์จะกำจัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ต่อต้านอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ฉะนั้น พวกเขาจึงพูดถึงสันติภาพโลกที่เกิดจากการขจัดสิ่งที่มีปฏิกิริยาตอบโต้ มันจึงแตกต่างกัน ปัจจุบันนี้ สหภาพโซเวียต ได้ประกาศถึงสันติภาพ แต่สันติภาพที่พวกเขากล่าวถึงนั้น ชี้ให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีศูนย์กลางที่ ม๊ากซ์ และ เลนิน และสิ่งที่ตอบโต้จะต้องถูกกำจัดออกไปและต้องไม่มีสิ่งใดมาต่อต้าน ส่วนสันติภาพของโลกประชาธิปไตยนั้น คือ การรวมแนวความคิดฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาเข้าด้วยกัน เพียงแค่พื้นฐานก็แตกต่างกันแล้ว โลกประชาธิปไตยให้ฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน และการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันย่อมทำให้เกิดสันติภาพ ไม่มีแนวความคิดเกี่ยวกับการกำจัดใครออกไป ประชาธิปไตยมีแนวความคิดที่เข้าใจและเป็นอุดมการณ์ แต่ไม่มีแนวความคิดการทำลายล้างหรือการกำจัดออกไป ดังนั้น ประชาชนอย่างเราๆ จะต้องต่อสู้ในแนวหน้าในฐานะเป็นผู้ธำรงไว้ซึ่งมาตรฐานระดับโลก ส่วนลัทธิคอมมิวนิสต์ยึดอุดมการณ์ที่ไม่มีความเป็นมนุษยธรรม ในลัทธิคอมมิวนิสต์ ประชาชนกล่าวว่า แม้แต่ความรัก ครอบครัว และพ่อแม่ยังเป็นนักตักตวงผลประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น จากทัศนะของคอมมิวนิสต์ ลูกๆ จะมองพ่อแม่ของตนว่า เป็นนักตักตวงผลประโยชน์ที่หาผลประโยชน์กับลูกๆ ในระบบดังกล่าวจึงไม่มีการพูดถึงความรักหรือพูดถึงความจริงใดเลย
สันติภาพที่ประชาธิปไตยยึดถือทุกวันนี้ คือสันติภาพที่มีความกลมกลืนกัน โดยไม่คำนึงถึงชนชั้นฐานะ ยกตัวอย่างเช่น คนที่อยู่ในสังคมชั้นสูง สามารถลดตัวลงมาช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในสังคมชั้นต่ำได้ ประชาชนที่อยู่ฝ่ายซ้าย ทำงานร่วมกับประชาชนในฝ่ายขวา และประชาชนในฝ่ายขวาทำงานร่วมกับประชาชนที่อยู่ฝ่ายซ้ายได้ ดังนั้น ย่อมเกิดความกลมกลืนกัน ถ้าองค์รวมนี้มีขนาดใหญ่ ก็ย่อมมีการแบ่งปัน ไปให้องค์รวมที่มีขนาดเล็ก เพื่อจะได้บรรลุถึงความกลมกลืน อย่างไรก็ตาม เราควรรู้ว่า นี่มิใช่วิธีการสันติภาพของลัทธิคอมมิวนิสต์ แนวความคิดแตกต่างกันมาก ไม่นานมานี้ โกบาชอฟได้ทำตัวเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่สิ่งที่เขาทำนั้นเริ่มมาจากพื้นฐานที่ว่า โลกทั้งโลกตกอยู่ภายใต้ลัทธิคอมมิวนิสต์แล้ว เขาจะกำจัดสิ่งที่ตรงกันข้ามกับระบบของเขา ทุกวิถีทางไม่ว่าด้วยเล่ห์หรือด้วยกล
เราไม่สามารถนำพาโลกไปสู่ทางที่ถูกที่ควรได้ โดยอาศัยความโหดร้ายทางสงคราม มีเพียงสันติภาพ ความกลมกลืน หรือการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันเท่านั้น ที่จะดำเนินการนี้ได้ เงินทองหรือ จะทำได้ ไม่มีสิ่งใดจะให้ประสิทธิผลเท่ากับการกีฬา สิ่งถัดมาที่ถือว่าดีที่สุด ก็เห็นจะเป็นกิจกรรมด้านวัฒนธรรม มันเป็นเรื่องของการศึกษา การให้ทุนการศึกษา และการร่วมจิตร่วมใจทางการกีฬา แล้วจีนจะไม่เปิดประเทศ ตั้งโต๊ะเทนนิสเชียวหรือ
Credit :
http://www.samakki.com/teaching/cig/ruc3.html