ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

กำลังแสดงผล 1 ถึง 7 จากทั้งหมด 7
  1. #1
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Dec 2011
    กระทู้
    1,311
    กล่าวขอบคุณ
    445
    ได้รับคำขอบคุณ: 656
    Blog Entries
    1

    Soul in Force : the legend of Dark

    ก่อนอื่นผมต้องกล่าวขอโทษที่ตังกระทู้ใหม่ขึ้นมานะครับ คือจริงๆแล้วไม่ให่ว่าจะทำเรื่องใหม่หรือยังไงนะครับแต่ในกระทู้เก่ามันมีจุดผิดพลาดค่อนข้างเยอะเช่น
    ชื่อกระทู้ จึงขอวิสาสะตั้งกระทู้ใหม่เลยนะครับ(หวังว่าจะให้อภัยสักครั้ง)

    ................................................................................................................................................................................
    "Soul in Force"

    ตอนที่ 0 จุดจบนี้คือจุดเริ่มต้น
    ครั้งหนึ่งนานมาแล้วในขณะที่ห้วงจักรวาลมีเพียงชายรูปงามฝาแฝดสองคนที่ต่อสู้กันเพื่อแย้งชิงความเอ็นดูจากสิ่ง

    ที่สร้างพวกเขาขึ้นมา จนเวลาหนึ่งพวกเขาได้สร้างโลกต่างๆขึ้นพร้อมกับสิ่งมีชีวิตอีกคนละสามสายพันธุ์

    คนแรกเป็นชายผู้สวมเกราะสีขาวมีแววตาสีเงิน เขาได้สร้างเหล่าเทพ,เอลฟ์และยมทูตพร้อมกับการสร้างภพสวรรค์และโลกวิญญาณ

    อีกคนเป็นชายผู้สวมเกราะสีดำมีแววตาสีทอง เขาได้สร้าง ปีศาจ,มาร,และมังกร พร้อมกับโลกปีศาจและโลกมาร

    และแล้วพวกเขาก็ได้เริ่มทำสงครามกันอีกครั้งบนดาวที่รกร้างดวงหนึ่ง เสียงโห่ร้องเสียงดาบกระทบกัน

    เสียงระเบิดตูมตามดังไม่หยุด สองผู้นำต่างใช้ดาบประจำตัวต่อสู้กันโดยไม่สนใจสิ่งที่อยู่รอบตัวเลยซักนิด

    จาการต่อสู้เพื่อต้องการความสนใจ กลับกลายเป็นสงครามเพื่อแย้งชิงพลังอันยิ่งใหญ่ของสิ่งที่

    พวกเขาเรียกว่า'พระเจ้า' จนวันหนึ่งผู้นำทั้งสองก็ได้รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการครอบครองนั้นได้หายไปแล้ว และเมื่อ

    พวกเขาหันกลับไปมองสิ่งที่พวกเขาทำ มันมีแต่ความสูณเสียสิ่งมีชีวิตล้มตายมากเกินกว่าจะรับได้ ในขณะที่พวกเขา

    ได้แต่สำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป บนท้องฟ้าได้มีแสงสีทองสาดส่องไปทั่วเอกภพแสงนั้นทำให้ซากศพจากสงคราม

    จมลงไปในดินแล้วเกิดเป็นธรรมชาติขึ้นมาจนดาวที่รกร้างว่างเปล่ากลับกลายดาวทีสวยงาม และขี้เท่าจากสงคราม

    ได้ก่อเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ที่เรียกว่า 'มนุษย์'

    แสงนั้นหายไปเหล่าสิ่งมีชีวิตแรกเริ่มกลับไปยังภพของตน ผู้นำทั้งสองได้สาบานต่อดาวดวงนั้นว่าจะไม่ต่อสู้กันอีก

    แล้วทั้งสองก็หายตัวไป ทว่าคำสาบานที่ทำไว้นั้นไม่ได้มีครอบคลุมถึงลูกหลานที่พวกเขาสร้างขึ้นมา เเล้วเมื่อ

    มหาสงครามกลับมาอีกจะมีบรุษผู้เป็นความหวังมาตัดสินผลสงครามบนดาวดวงนั้นที่มนุษย์เรียกว่าโลก

    _________________________________________________________________

    บันทึกแห่งจุดจบสงครามและการเริ่มต้นของทุกสิ่ง

    บัญญัติโดย Dark(ดาร์ค)ผู้นำแห่งโลกมารและโลกปีศาจ
    God(ก็อต)ผู้นำแห่งภพสวรรค์และโลกวิญญาณ

    __________________________________________________________________

    หลายพันปีต่อมา มนุษย์ได้พัฒนาความรู้และเทคโนโลยีในด้านต่างๆจนก่อสงครามของมนุษย์ขึ้นเอง ซึ่งไม่ได้ใช้แค่เทคโนโลยี แต่ทุกประเทศงัดทุกๆอย่างมาใช้ไม่เว้นแม่แต่เวทมนต์หรือปีศาจ บางฝ่ายใช้ เทคโนโลยีบวกกับอำนาจเทพ บ้างใช้ เทคโนโลยีบวกกับอำนาจปีศาจ แต่สิ่งที่เป็นพลังที่แท้จริงของของทุกฝ่ายคืออัศวิน จอมเวทต์ ผู้มีพลังพิเศษ และ เวทมนต์จนกระทั้งยุคสงครามยุติลง

    ผลกระทบจากสงครามทำให้โลกขยายตัวขึ้น3เท่าจึงเกิดเป็นทวีปขนาดใหญ่หลายทวีป และมีทวีปหนึ่งเกิดการแบ่งดินแดนขึ้นมา
    4อนาจักคือ 1.คอนแสตนตินโนเปิล 2.อาณาจักมังกรแสง 3.วิทาเนีย และ 4.วิลลาออดิโทเล แต่ถึงมหาสงครามจะยุติลงก็ยังมีสงครามเกิดขึ้นอยู่บ้างและเพราะสงครามครั้งก่อนที่ทำให้ ผู้คนที่เคยอยู่ในเงามืดได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลก (จอมเวทต์ ผู้มีพลังพิเศษ) นับวันผู้คนเหล่านี้เริ่มจะแพร่กระจายกันอยู่ตามทั่วทุกมุมโลก บางคนก็ได้ยกย้องคนพวกนั้นเป็นดั่งพระเจ้าแต่บางคนกลับดูถูกพวกเขาว่าเป็นได้แค่ปีศาจ และเพราะจำนวนที่เพิ่มขึ้นจึงใด้มีการแบ่งชนชั้นขึ้นมาซึ่งรู้กันแค่ในกลุ่มจอมเวทต์กับผู้มีพลังพิเศษเท่านั้น
    50ปีต่อมานะปราสาทหลวงอนาจักวิลลาออดิโทเล
    "ฝ่าบาท"หญิงรับใช้คนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมา

    "มีอะไร ไม่เห็นรึไงว่าข้ากำลังยุ้ง" ชายวัยกลางคนกำลังเคลียเอกสารที่กองเถ้าภูเขาด้วยถ้าทีรีบร้อนอยู่บนโต๊ะ

    "พระนางมาเรียกำลังจะให้กำเนิดบุตรแล้วคะ"

    "...หา!" ชายวัยกลางคนซึ่ง(น่าจะ)เป็นราชาพอได้ข่าวก็หยุดกิจกรรมทุกอย่างแล้วรีบวิ้งไปยังห้องทีชายาของตนเองทันที
    เมื่อถึงที่หมายเขารีบพลักประตูเขาไปเพื่อดูเด็กที่เกิดมาโดยไม่สังเกตุเหล่าคนใช้ที่นั่งตัวสั่นอยู่ตรงมุมกำแพง
    "มาเรียในที่สุดเจาก็ให้กำเนิดบุตรให้เราแล้วสินะ...นี่มันอะไรกัน!" พอราชาอุ้มห่อผ้าของเด็กน้อยขึ้นมาดูก็ตกใจ เพราะในห่อผ้ามันคือเส้นเลือดสีดำปนแดงที่จับตัวกันเป็นก้อนกำลังขยับไปมาก่อนมันจะขดบิดตัวเองและสร้างหนังคนขึ้นมาจนมีรูปร่างเหมือนเด็กทารกพร้อมกับสงเสยีงร้องออกมา
    1วันหลังจากนั้น

    "ท่านปราชญ์ลูก...ไม่สิ เด็กคนนีเป็นตัวอะไรกันแน่" ราชาถามอย่างเคร่งเครียดปนความหวาดกลัวพรางจ้องไปทีเด็กซึ่งอยู่บนแท่นกลางห้องโถง
    ตอนนี้เด็กน้อยอยู่ในห้องท้องพระโลงพร้อมกับ ขุณพล ราชินี นางสนมและอืนๆอีกน้อยนิด เพราะเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ
    ซึ่งตอนนี้นอกจากปราชญ์ที่คุกเข่าอยู่หน้าบัลลังแล้วทุกคนที่อยู่ในห้องล้วนเป็นคนในราชวงศ์ทั้งสิ้น

    "ขอข้าดูหน่อยใด้ใหมท่านราชา" ปราชญ์ถามแต่ตานั้นจ่องไปยังเด็กที่หลับอยู่แท่นวาง

    "เชิน"

    "หือ...โอ้!นี่มันอะไร" ปราชพูดออกมาก่อนจะถอยหลังออกจากเด็ก "เด็กคนนี้มีพลังของปีศาจอยู่และ..."ท่านปราชญ์พูดออกมาเบาๆแต่ทุกคนในห้องก็ได้ยินกันหมดและแทนที่จะพูดต่อเขากลับเงียบเอาไว้

    "จริงๆด้วยสินะ...ฆ่าเด็กคนนี้ซะ" ราชาสั่งท่ามกลางเสียงฮือฮาของเหล่าคนในราชวงศ์ แต่แล้วนักปราชญ์คนเดิมก็ห้ามเอาไว้ก่อน

    "ท่านราชาคิดดีแล้วหรือที่จะสั่งประหารบุตรชายของตัวเอง ถึงเด็กคนนี้อาจมีพลังปีศาจอยู่ในตัวแต่การที่จะสังหารลูกของตัวเองนะมันไม่ใช่เรื่องดีเลยสำหรับราชาผู้ปกครองแดนหนึ่งในศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเทพเช่นท่านจริงไหม" ปราชญ์พูดขึ้นก่อนแสยะยิ้มแล้วหันไปดูเด็กทารก
    "แล้วท่านจะให้ฆ่าทำไงเป่าประกาศว่าฆ่ามีลูกแป็นปีศาจแล้วให้ประนามราชวงศ์ ของฆ่านะเหรอ!"ราชาตะโกนบอกพร้อมกับทุบลงบนที่วางมือ
    "ใจเย็นๆท่านราชา ผมขอแนะนำให้นำเด็กคนนี้ใว้ในหอคอยดำ และอย่าปล่อยให้คนอื่นที่ไม่ใช่คนของราชวงศ์เห็นโดยเด็ดขาดยกเว้นคนใช้ซึ่งมีได้แค่2คนเท่านั้นพร้อมกับคนคอยตรวจดูคนรับใช้ว่า เอาความรับเรื่ององชายไปปูดหรือไม่และถ้าทำก็ให้ฆ่าได้เลยพอโตขึ้นก็ให้เขาเป็นแค่คนใช้ก็พอ"

    "งั้นก็ประกาศออกไปว่าโอรสชายลำดับที่3แห่งราชวงศ์ออดิโทเลสิ้นพระชนม์แล้ว จะไม่มีการเผาฝังหรือทำการได้ๆทั้งสิ้น" ราชาประกาศอย่างกู่ก้อง นับแต่นั้นมาองชายลำดับที่3แห่งราชวงศ์ออดิโทเลก็ถูกลบออกไป

    หลังจากนั้นไม่นานพระนางมาเลียก็ได้คลอดบุตรตรีขึ้นมาเป็นลำดับที่8ถ้ารวมกับนางสนมคนอื่นของราชวงศ์ แล้วตั้งชื่อให้ว่า นานาลี
    และด้วยความน่ารักอ่อนโยนและใสซื้อทำให้เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนจนแม้แต่กษัตริย์จากเมืองต่างๆก็หมายจะแนะนำบุตรชายของตนเองให้องหญิงน้อย

    5ปีต่อมา

    ทั้งเมืองและปราสาทหลังใหญ่กำลังจะมีงานฉลองเพราะวันนี้เป็นวันเกิดขององหญิงคนสุดท้องลำดับที่8 นานาลี
    แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเด็กที่นั้งอยู่ริมหน้าต่างในหอคอยที่มืดมิด จนเสียงประตูเปิดออกพร้อมกับพระนางมาเรียก้าวท้าวเข้ามาจ้องมองเด็กชายที่นั้งอยู่ริมหน้าต่างท่ามกลาแสงจันทร์ที่ส่องลงมา

    "ท่านแม่หรอ ท่านมาทำอะไรที่นี้ท่านหน้าจะอยู่ในงานพิธีกับน้องของข้าไม่ใช้เหรอ" เด็กทารกในตอนนั้นโตขึ้นมาเป็นเด็กน้อยที่มีผมสีดำมันเงา และตาสีน้ำเงินเข้มบวกกับหน้าตาที่หล่อเหล่าทั้งทียังเด็กแต่ก็ซ้อนความซุกซนไว้ ซึ้งขัดกับน้ำเสียงที่ดูจริงจังปนกับความเป็นห่วงและสีหน้าที่ยิ้มน้อยๆให้ผู้เป็นมารดา

    "แม่แค่เป็นห่วงเจ้านะ...เจ้าไม่อิจฉาหรือโกรธคนอื่นเลยหรอที่ทำกับเจ้าแบบนี้" ผู้เป็นมารดาถามด้วยสีหน้าเฉยเมยอันเป็นเอกลักของเธอเอง

    "โกรธหรอ? ไม่ ข้าไม่เคยโกรธเลยท่านแม่เพราะนั้นคือครอบครัวของข้าและข้าก็แยกแยะออกว่าอันให้ถูกอันไหนผิด"
    เด็กชายบอกพร้อมกับทำให้มีปรสิธ(พลังในตอนนั้น)ไหลผ่านมือไปมา

    "แต่อย่างน้อยเจ้าก็หน้าจะระบายอารม์ออกมาสิอา..." ขณะที่มาเรียกำลังจะเอ่ยชื่อ เด็กน้อยก็ยกมือขึ้นมาห้าม

    "ข้าไม่ได้ชื้อนั้นอีกต่อไปแล้วท่านแม่ ต่อไปนี้ข้าจะไม่ใช้ชื่อของราชวงศ์อีกต่อไปตอนนี้ชื่อของข้าคือ คินโล"

    ในคืนนั้นทุกคนในปราสาทไปงานฉลองกันจนหมดยกเว้นเด็กน้อยคินโลที่นอนหลับพร้อมกับน้ำตาแห่งความเหงา
    แต่แล้วหน้าต่างก็ถูกเปิดออกโดยมีผู้ชาย3คนเขามาในห้องหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดมิด...

    ช้าววันต่อมา

    "คุณคะ" มาเรียก้าวเข้ามายังหน้าบัลลังด้วยสีหน้าจริงจังไม่เหมือนทุกที

    "มีอะไรหรอมาเรีย"ราชานั่งอยู่บนบัลลังอย่างสบายใจไม่ใช่เพราะเคลียเอกสารเสร็จแต่เพราะมีบางอย่างถูกกำจัดไป

    "ลูกชายคนทีสามของท่านหายตัวไปแล้ว"

    "งั้นหรอ" ราชาพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย

    "นี่ท่านทำอะไรกับลูกของเรากัน" มาเรียถามอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมก้าวเข้าหาสามีของนางอย่างเอาเรื่องจนองครักษ์ต้องมาห้ามไว้

    "ทำอะไรนะหรอก็ทำในสิ่งที่ควรทำไง...เมื่อคืนเป็นงานวันเกิดของนานาลี้ลูกคนแรกของเจ้ากับข้า และเพื่อให้เป็นแบบนั้นก็ควรกำจัดไอ้เด็กนั้นไปซะ" ราชาบอกด้วยน้ำเสียงสะใจนิดๆ

    "ท่านทำใด้ยังไงกันนั้นมันลูกของเรานะ" มาเรียพอใด้ยินเขาก็ถึงกับเข่าอ่อนแล้วก็ล้มลงด้วยสีหน้าที่เหมือนคนตาย

    "เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสินะ...ไอ้เด็กนั้นมันไม่ใช้ลูกของฉัน!

    10ปีต่อมา

    ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังเดินอยู่ในสถานที่ที่เขาไม่รู้ว่ามันคือที่ใหน มีเพียงเสียงเพลงอันไพเราะ ทางเดินปูด้วยพรมสีเเดงพนังทำจาก หินอ่อน
    และแสงสลัวๆเขาเดินตามเสียงนั้นไป จนมาถึงบันไดหินอ่อนทีปรายสุดมีประตูสีขาวเขาเข้าก้าวขึ้นบันไดไปเปิดประตูทุกอย่างเงียบลงและหายไปหมือนกับกลุ่มควัน

    แล้วเขาก็ตื่นขึ้นมา

    เสียงและน้ำฝนที่ตกลงมาทำให้ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นโดยยังมีสีหน้าที่มึนงง ที่นี่เป็นห้องที่ทำจากไม้แคบๆ เตียงที่เขานอนก็ทำจากฟางแข็งๆ หลังคามีรอยรั่วหลายจุด

    "เฮ้อ…ขอต้อนรับกลับสู่โลกแห่งความจริงนะ อามาโนะ เจมส์ คินโล"


    “วันเวลาแห่งคำสาปของเจ้าจะยังคงเดินต่อไปหากเจ้าเชื่อว่ามันเป็นคำสาป”

    หญิงแก่ผมขาวคนหนึ่งนั่งแกะสลักไม้อยู่หน้าเตาผิงและพูดกับชายอีกคนที่กำลังจะเปิดประตูเพื่อออกไปแต่เขาก็ต้องหยุดชะงังและหันกลับมาฟังสิ่งที่หญิงแก่กำลังจะบอก

    “นานมาแล้วในทวีปทางตอนใต้ของโพ้นทะเล มีดินแดนที่ถูกสาปโดยหมู่มารนาม ออนโด”

    นางกวักมือให้ชายหนุ่มเขาไปใกล้ๆ แล้วยื่นไม้แกะสลักของนางให้ชายหนุ่ม

    “รับมันไว้แล้วเมื่อเจ้าไปยังที่แห่งนั้น และซักวันสิ่งนี้จะเป็นเครื่องนำทางให้ดวงตาที่มืดบอดของเจ้า”

    ชายหนุ่มรับไม้แกะสลักรูปหญิงประสานมือไว้ที่อก มาแล้วเดินออกไปโดยไม่หันกลับไปมองอีกเลย


    ตอนที่1 ยามเมื่อตำนานเริ่มต้น

    ครึ่งปีต่อมา

    ณ ลานฝึกซ้อมกองทหาร

    เหล่าชายหญิงอายุราวๆ16-17กำลังมุงดูชายหนุ่มผมสีทองในชุดอัศวิน ซ้อมชายผมสีดำตาสีน้ำเงินเข้มอยู่

    “เฮ้ย...! ลุกขึ้นมาดิวะ ไอ้กระจอก!”

    สิ้นเสียงชายคนหนึ่งได้ถูกเตะโดยเจ้าของเสียงเข้าไปที่บริเวณท้อง จนตัวงอเป็นกุ้งซึ่งไม่วายเจ้าของเสียงได้ใช้เท้าเหยียบมันลงไปที่หัวอีกจนหน้าแทบติดพื้น

    “สำหรับแก...แค่พื้นโสโครกนี่ก็หรูแล้ว จูบมันไปซะ”

    และแล้วเขาก็เพิ่มแรงเหยียบจนหน้าชายผมดำกระแทกกับพื้นอย่างจัง

    “อี๋... ขยะแขยงจัง”

    “นั่นสิแค่ต้องหายใจร่วมอากาศเดียวกับมันก็อยากตายแล้ว”

    “รีบๆหายไปซักทีสิ อยู่ไปก็รกโลกแกนะ”

    พวกผู้หญิงที่นี่ยิ่งแล้วใหญ่ มองชายผมดำต่ำกว่าขยะโสโครก

    ชายผมทองมีชื่อว่าไรอัน เรวิสตัน เป็นคนที่เรียนเก่งฉลาด สอบได้ที่1ของทั้งชั้นปีแถมยังได้รางวัลต่างๆมามากมาย นอกจากนี้ตระกูลเขายังเป็นขุนนางในวังหลวงอีก ดังนั้นไม่ว่าเขาจะทำอะไรคนอื่นก็ยอมรับ
    นับถือ ถึงแม้เขาจะกดขี่ข่มเหงชายผมดำยังไง คนอื่นก็ๆจะคิดว่าเขาเป็นคนผิดไปซะหมด แต่ภายใต้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็เหมือนกับลูกคนมีตระกูลทั่วไปคือเขาต้องได้ในสิ่งที่เขาอยากได้ และแน่นอน
    ต้องมีคนอยากสนิทกับเขาแน่ซึ่งทำได้ไม่อยากแต่ช่วยสนับสนุนเขาก็พอ อย่างเช่นที่อันซิเอลเดินเข้ามาและกระทืบพร้อมกับเตะเข้ามาที่ท้อง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่ามกลางผู้คนที่กำลังหัวเราะเยาะชายผมดำ

    เหตุผลที่ชายผมดำถูกแกล้งนะเหรอมันคงต้องเริ่มจากครึ่งปีก่อน….

    ชายผมดำมีชื่อว่า อามาโนะ เจมส์ คินโล เขาเข้ามาสมัครเป็นอัศวินให้กับราชอาณาจักรไบเซนไทเพื่อหาเงินไปซ่อมโบสถ์ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาเคยอาศัยอยู่ พร้อมๆกับเอลฟ่า เอลฟ์ที่โตมาด้วยกัน แต่แล้วเรื่องก็
    เริ่มขึ้น ในวันที่สมัครไรอันดันจำคินโลได้ว่าเคยเป็นคนรับใช้ในวังหลวงและโดนไล่ออกไป ตามหลักของประเทศนี้นั้นมีการแบ่งวรรณะอยู่คือ กษัตริย์-ขุนนาง-ประชาชน-คนจรจัด และคนที่จะสมัครเป็นอัศวินได้
    จะต้องเป็นคนที่ไม่ต่ำกว่า ประชาชนแต่คินโลเคยถูกไล่ออกโดยขุนนางมาแล้วตอนนี้เลยอยู่ในวรรณะคนจรจัด ผลสุดทาย เอลฟ่า ได้เป็นอัศวินฝึกหัดแต่คินโลตอนนี้ได้เป็นแค่ทหารยศต่ำและเพราะเป็นคนจร
    จัดคนเดียวในประเทศที่หน้าด้านเข้ามาสมัคเป็นทหารเพราะคนจรจัดส่วนใหญ่มักทำงานในเหมืองแร่ คินโลเลยถูกแกล้งจนปัจจุบัน

    เมื่อไรอันเห็นว่าคินโลสลบไปแล้วเขาจึงกะโกนขึ้นว่า

    “เฮ้ยพวกเรา ปล่อยเจ้านี่ไว้แบบนี้แล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า” แล้วคนเหล่านั้นก็เดินจากไปโดยทิ้งให้คินโลนอนกองอยู่อย่างนั้น

    เมื่อเห็นว่าทุกคนไปหมดแล้วเขาจึงลุกขึ้นปัดฝุ่นก่อนจะมีเสียงผู้หญิงดังมาจากข้างหลัง

    “ทำไมนายไม่อัดพวกมันไปซักที่สองที่ละคินโล”เสียงนั้นเป็นของ กวิน เฟเทอร์ โฮส เธอเป็นหัวหน้าหน่วยที่คินโลประจำอยู่และรับหน้าที่ครูฝึกของทหารเข้าใหม่แต่ดูเหมือนเธอจะเอ็นดูตัวเขาเป็นพิเศษ

    “ก็ถ้าผมทำแบบนั้นมีหวังถูกไล่ออกกันพอดี” ใช่ถ้าถูกไล่ออกทุกอย่างก็จบ เหตุผลที่มาสมัคก็เพื่อเงิน ใช่เงินเท่านั้นเพื่อนำเงินไปซ่อมโบสถ์ และช่วยเอเลน่าเพื่อนสมัยเด็กที่นอนป่วยอยู่ที่นั่นเขาต้องการเงิน
    เพราะอย่างนั้นตอนนี้จะถูกไล่ออกไม่ได้

    “เฮ้อ...เลิกคิดเรื่องหยุมหยิมแล้วไปหาอะไรกินดีกว่าน่าคินโล”

    “ได้สิ ถ้าคณเลี้ยงนะ”

    “อึ๋ย! ขี้งกอย่างนี้ระวังจะไม่มีสาวมาสนใจนะคินโล”

    “เหอะๆ ถึงไม่ขี้งกยังไงก็ไม่มีสาวสวยๆมาสนใจอยู่แล้วนี่ครับ” แล้วคินโลก็เดินไปยังร้านอาหารพร้อมกับหัวหน้าหน่วยของเขา
    ถึงจะบอกว่าไปร้านอาหารแต่ที่ๆพวกเขามาถึงคือร้านเหล้าใกล้ๆกับค่ายทหารในเมือง

    เป็นเพราะคินโลเป็นคนประเภทไม่ค่อยดื่มจึงกินแต่กลับแกล้ม ส่วนเฟเทอร์ก็คงจะเดาได้ไม่ยากเพราะเธอเมาเละตั่งแต่เหล้าเข้าปากแล้ว

    ผ่านมาได้ชั่วโมงพระอาทิตย์เริ่มตกดินแล้วคงถึงเวลาที่จะพาหัวหน้าหน่วยคนสวยที่หลับคาโต๊ะคนนี้กลับห้องแล้ว เวลาเฟเทอร์เมาเละที่ไรเขาต้องเป็นคนแบกเธอพาไปที่ห้องพักทุกทีจนกลายเป็นกิจวัตประจำ
    วันไปแล้ว เมื่อถึงห้องเขาโยนเธอลงบนเตียงแล้วออกไปอย่างเงียบๆ เพื่อไปทำกิจวัตประจำวันอีกอย่าง

    เขาเดินไปยังป่านอกเมืองซึ่งที่นั้นเป็นที่มีพลังวิญญาณสูงที่กลางป่านั่นมีต้นไม้ที่ชื่อต้นไม้หิ่งห้อยอยู่ เหตุผลที่ชื่อนี้ก็เพราะที่ต้นไม้มีหิ่งห้อยวิญญาณอาศัยอยู่ ว่ากันว่าหิ่งห้อยพวกนี้คือภูตป่าที่เหลือเพียง
    วิญญาณเมื่อเขามาถึงไต้ต้นไม้นั่นมีเอลฟ์ผมทวินเทลเรืองแสงนั่งกอดเข่าอยู่เธอสวมชุดที่เหมือนใบไม้และสะพายธนูขนาดเท่าตัวเธอไว้ที่หลัง

    “เฮ้ เอลฟ่า”

    เขาเดินเข้าไปทักเธอซึ่งเธอมองเขาด้วยหางตา

    “จะค่ำแล้วนะ กลับกันเถอะ”

    เขายิ้มกริ่มและยื่นมือมาหวังจะฉุดเอลฟ่าให้ลุกขึ้นและเธอกลับปัดมือเขาทิ้ง

    “รำคาญน่า!! ไปให้พ้น! อย่ามายุ่งกับฉัน!!!!”

    เหอะๆเป็นแบบนี้ทุกทีเธอคนนี้คือ เอลฟ่าอัล เธอเป็นฮาล์ฟเอลฟ์ลูกครึ่งเอลฟ์ที่เกิดจาก พ่อมนุษย์ กับ แม่เอลฟ์ ทั้งมนุษย์และเอลฟ์ก็ล้วนแต่รังเกียจฮาล์ฟเอลฟ์ทั้งนั้น และเธอก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หลังจากที่สูญ
    เสียพ่อแม่ไปแต่ยังเล็ก เธอก็ต้องเอาชีวิตรอดด้วยตนเองไม่เคยหวังพึ่งพาใครจนถึงเดี๋ยวนี้ เธอมีนิสัยหยิ่ง หงุดหงิดง่าย และเจ้าอารมณ์มาก แต่จริงๆแล้วก็มีด้านที่อ่อนไหวและอ่อนโยนอยู่เหมือนกัน เลยไม่
    สบายใจที่บางครั้งเธอก็ใช้อารมณ์จนทำร้ายความรู้สึกคนอื่นบ่อยๆ

    "เอเลน่า"ช่วยเธอไว้จากสัตว์ประหลาดใกล้กับศาสนจักรก่อนจะบังคับคล้ายๆให้กลับไปด้วยกัน เธอจึงได้อาศัยอยู่ที่โบสถ์ซึ่ง"คินโล"กับเอเลน่าอาศัยอยู่ด้วย เนื่องจากเธอเป็นนักธนูฝึกมือเยี่ยมทั้งยังมีพรสวรรค์
    ด้านเวทมนต์และสามารถอัดพลังเวทมนต์เข้าไปในธนูแล้วยิงออกไปได้ ด้วยคำแนะนำของคินโลกับเอเลน่า เอลฟ่าจึงได้เข้าเป็นทหารศาสนจักรแล้วก็ได้รับพรจากเทพให้กลายเป็นอัศวินในเวลาไม่นานนัก
    เธอไม่ชอบอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยมนุษย์และมักใช้เวลาส่วนใหญ่คนเดียวในป่าใกล้กับเมืองมากกว่า เวลามีคำสั่งจากศาสนจักรหรือเวลาใกล้มืดค่ำก็เป็นหน้าที่ของคินโลที่ต้องไปตามเธอ และเธอยังไม่ให้ความ
    ร่วมมือ

    “แต่นี่มันจะมืดแล้วนะถ้าไม่รีบกลับเดียวมันจะ...”

    “หนวกหูน่า! ไม่ต้องบอกฉันหรอกน่าฉันรู้อยู่แล้วเข้าใจมั๊ย? ฉันเกลียดพวกมนุษย์ที่สุด! ฉันไม่อยากเห็นหน้านายด้วยซ้ำฉะนั้นไม่ต้องโผล่ให้เห็นมาเลย! ไปให้พ้นซะเจ้างั่ง!”

    เธอพูดพร้อมกับเขวี้ยงหินมาทางคินโล แต่เขากลับไม่หลบ หินเลยกระแทกหัวคินโลเต็มๆ

    “อุ๊ย! ป...เป็นอะไรหรือเปล่า” เธอถามเขาทั้งๆที่เป็นคนเขวี้ยงมาเองเนี่ยนะ?

    “อืม….ไม่เป็นไรหรอก” เขาพูดพร้อมจับบริเวณหน้าผากที่ถูกหินเขวี้ยงใส่ ทำให้มีเลือดซึมออกมานิดหน่อย

    “ข...ขอโทษนะ ฉ...ฉันไม่ตั้งใจ”

    “บอกว่าไม่เป็นไรไง เอลฟ่า” ใช่แค่นี้ไม่เป็นไรถ้าเทียบกับที่โดนยำมาตลอดแค่นี้ยังจิ๊บๆ อีกอย่างไม่กี่วินาทีมันก็หายเอง

    “ฉันไปก่อนนะ อย่าอยู่นานนักละเดียวเอเลน่าจะเป็นห่วง” พูดจบเขาก็เดินจากไปโดยไม่ได้เห็นสีหน้าและน้ำตาของเธอเลย

    ในขณะที่กลับเขามาในเมืองนั้นเองเขาได้เดินสวนทางกับหญิงสาวผมสีเงินสั้นคนหนึ่ง เธอใส่ชุดอัศวินสีขาวเต็มยศ ชาวบ้านต่างทักทายเธอด้วยความเคารพเพราะเธอคือ จอมอัศวินหญิงอันดับ 1 แห่งราช
    อาณาจักร

    เฟอร์ดินานด์ เชา นัวฮาร์ท ไม่มีใครในทวีปนี้ไม่รู้จักชื่อของเธอ ชื่อที่คนในทวีปนี้คิดว่าจะกลายเป็นความหวัง ชื่อที่ทุกคนคิดว่าจะกลายเป็นผู้กล้าในตำนาน แต่สำหรับชายหนุ่มเธอคือคนเพื่อนที่เคยเล่นด้วยกัน
    ตอนเด็กแต่ตอนนี้เธอคือ เฟอร์ดินานด์ เชา นัวฮาร์ท จอมอัศวินหญิงอันดับ 1 แห่งราชอาณาจักร ที่แข็งแกร่งที่สุด ที่สำคัญเธอเป็นคู่หมั้นของ ไรอัน เพราะผู้คนที่อยู่รอบกายก็มีแต่คนที่พ่อและราชอาณาจักรคัด
    สรรแล้วว่าคู่ควรจะเป็นเพื่อนของอัศวินหญิงอันดับ 1 ลูกน้องของอัศวินหญิงอันดับ 1 คนรับใช้ของอัศวินหญิงอันดับ1 มารวมอยู่ด้วยกัน ส่วนตำแหน่งของตัวชายหนุ่มคือทหารยศต่ำซึ่งจะเป็นเพื่อนหรือลูกน้องก็ไม่เหมาะทั้งนั้น ไม่มีทางมาอยู่ใกล้ชิดกับเธอได้ ภายใต้ระเบียบของราช อาณาจักร เธอจึงไม่อาจไปหาคินโลได้ต่อได้ได้เจอกันโดยบังเอิญก็ตาม

    เขาเดินมายังชั้นใต้ดินของปราสาทที่ซึ่งเป็นห้องเก็บของเก่าๆและห้องพักของเขาเอง

    เป็นเพราะการกดขี่ข่มเหงของไรอันทำให้เขาต้องมาพักที่นี่ซึ่งเขาก็ไม่ติดใจอะไรขอแค่มี่ที่นอนก็พอ เขาถอดเสื้อออกเหลือแต่กางเกงเผยให้เห็นรอยแผลทั่วตัว แผลพวกนี่ไม่ได้เกิดจากการแกล้งของพวกลูนันแต่เป็นแผลจากการเดินทางอย่างโชกโชนของเขาตังหาก เขาล้มตัวลงนอนบนฟูกบางๆบนพื้นคาดว่าน่าจะเป็นที่นอนแล้วหลับไป

    ‘เฮ่’

    ‘หือ?’

    ‘เฮ่ แปะ เปะ’

    ‘ใครนะ’

    ‘เฮ้ย! ลืมตาขึ้นสิ’

    ‘อะไรกันพึ่งนอนเอง’

    ‘ถ้านายลืมตา ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ให้ฟัง’

    ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นทันที ตอนนี้เขายืนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้มีแต่ความมืด ด้านหน้ามีกองไฟเขาเดินไปที่กองไฟนั้น และที่กองไฟนั่นก็มีชายอีกคนยืนอยู่

    “ไง ได้เจอกันซะทีนะ”

    “กะ...แกเป็นใคร”

    ชายคนนั้นไม่ใช่มนุษย์ เขามีร่างกายเป็นสีดำสนิทและมีรอยสักสีทองทั่วทั้งตัว ผมของเขาเป็นไฟสีดำ มีดวงตาปีศาจสีแดงและที่แขนมีโซ่พันอยู่ถึงไหล่
    เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ

    “ถามแบบนั้นจะตอบว่าไงดีเอาเป็นว่าอย่างนี้ละกันข้าคือเทพอสูรวันสิ้นโลกแห่งสงครามชื่อ แซกเกอร์แมน เอ็น”

    “เทพอสูรวันสิ้นโลก...ก็ไม่ร้ว่ามันคืออะไรนะแต่นายพาฉันมาที่นี่ทำไม”

    “ถ้าถามว่าพามาทำไมแล้วนายรู้รึไงว่าที่นี่ที่ไหน”

    ‘นั่นดิที่ไหนหว่า’

    เขามองไปรอบๆ ที่นี่มันไม่มีอะไรซักอย่างนอกจากความมืดและกองไฟ

    “เฮ้อ...ถ้าไม่รู้จะบอกให้ก็ได้ ที่นี่คือในจิตใจของนายไง”

    “หาว่าไงนะ”

    “ส่วนกองไฟที่อยู่ตรงหน้าพวกเรานี่นะก็คือวิญญาณของนายนั่นแหละ”

    “เฮ่ยจริงดิ” เขามองไปที่กองไปตรงหน้าเขา ถ้าตามตำราเวทย์ดวงวิญญาณต้องเป็นไฟสีฟ้าแต่สีนี้มัน

    เปลวเพลิงสีส้มบริสุธ ที่ลุกไหม้อยู่บนดาบ12เล่มที่ว่างเรียงกันเป็นวงกลมอยู่บนพื้นทว่า

    “มันเกิดอะไรขึ้นทำไมเหลือแค่นี้”

    เปลวเพลิงนั้นเหลืออยู่เพียงน้อยนิดเท่ากับเทียนเล่มเดียว

    “มันกำลังจะดับแล้วนายก็กำลังจะตาย”

    “อะ...อะไรกัน”ตัวชายหนุ่มเข่าอ่อนลงทันทีที่ได้ยิน ตัวเขานั้นยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยตั้งแต่เกิดแล้วต้องมาตายแบบนี้เนี่ยนะ!?

    “นายอยากมีชีวิตต่อไหม” ชายปริศนาพูดขึ้นก่อนที่ทั้งสองจะจ้องตากัน

    “ยะ...อยากสิ”

    “ถ้างั้นก็เอามีดตรงเอวแกปักไปตรงกลางกองไฟนั่นซะ”

    ตรงเอวของเขามีมีดอยู่เล่มหนึ่งเขาเอามันมาถือในมือ มีดสีฟ้าที่มีด้ามจับทำจากทองตกแต่งด้วยอัญมณีซึ่งเป็นมีดที่เคยปักอกของเขาเมื่อนานมาแล้ว

    “เร็วสิ”

    เขาเดินไปไกล้ๆกับกองไฟนั้นและปักมีดมีดเล่มนั้นลงตรงกลางวงดาบ เมื่อปักลงไปเปลวไฟที่กำลังจะดับได้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่มาก

    “โอเค รอดไปที” เมื่อพูดจบแสงจากกองไฟก็สว่างจ้าขึ้น จนเขาต้องหลับตา และเมื่อลืมตาขึ้นเขาก็ตื่นขึ้นมาในห้องของตัวเองแล้ว ในสภาพเหงื่อท่วมตัว

    ‘เมื่อกี้มันอะไร’ เขาลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแล้วเดินออกไปจอกห้องเพื่อสูดอากาศ ทางเข้าของห้องใต้ดินอยู่แถวสนามฝึกซ้อมพอดี เมื่อออกมาจึงเจอกับลานฝึกซ้อมซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยังพักอยู่ที่นี่

    “เหอะๆ เราคงเครียดมาไปสินะ” ใช่เมื่อมาคิดดูดีๆมันอาจเป็นความฝันก็ได้นิ คงเพราะครึ่งปีมานี่มีแต่เรื่องให้ปวดหัวโดยเฉพาะเรื่องเพื่อนสนิดทีกำลังป่วยอยู่ที่โบสถ์โทรมๆ เล็กๆนอกเมือง

    แต่แล้วจู่ๆก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอกแปลกเหมือนกับจะมีอะไรระเบิดออกมา ก่อนจะมีเสียงระเบิดดังขึ้นหน้าเมืองพร้อมกับประประตูเมืองลอยมาตกที่ประตูปราสาท เขาก็รู้สึกเจ็บขึ้นไปอีกจนตาลายและในที่สุดก็สลบไป

    ‘หึๆ คิดว่ามันเป็นความฝันหรอ งี่เงา’เสียงนั้นดังขึ้นในหัว เป็นเสียงที่คุ้นเคยเสียงของแซกเกอร์แมน เอ็น

    “นะ…นาย”

    “ใช่ ข้าเอง” เสียงตอบกลับมายิ่งเป็นการชีชัดเลยว่ามีปีศาจอยู่ในตัวเขาจริง

    “ก่อนอืนเลยคินโลข้าขอยึดร้างเจ้าใช้ก่อนนะ”

    “เฮ่ย ไม่ได้ฉันไม่ให้ร้างฉันกับแกแน่”เขาพูดทั้งทังที่หลับตา ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเหมือนมันจะดูดเอาพลังของเขาไปหมด

    “ยังไงเจ้าก็ไม่มีทางเลือก เพราะถ้าเจ้าคุมร่างไว้ตอนนี้มีหวังเจ้าตายแน่”

    “หมายความว่าไง”

    “เมื่อกี้ร่างกายนายเริ่มปรับตัวกับพลังใหม่อยู่จริงๆแค่ให้นายนอนคืนนี้เดียวก็จบ เพียงแต่มันมีปัญหาอย่างเดียว ตอนนี่เมืองที่นายอยู่กำลังถูกกองทัพปีศาจโจมตี”

    “กองทัพปีศาจ! ทำไมมันพึ่งมาบุกตอนนี้แล้วมันฝ่าด่านมาได้ไง”

    รอบๆเมือหลวงมีเมืองหน้าด่านเอาไว้สกัดทัพของศัตรูอยู่ ถ้ามันถูกโจมตีทำไมถึงไม่ได้ข่าวเลย

    “เอาเป็นว่าเดียวฉันจัดการทุกอย่างเองนายนะหลับไปซักพักแล้วกัน”

    “เดี๋ยว!”

    และแล้วความรู้สึกก็กลับมา มันเป็นความรู้สึกสบายอย่างที่เขาไม่ได้รู้สึกมานาน มันเหมือนกับกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ้มๆ เมื่อลืมตาขึ้นเขานอนอยู่บนเตียงสีขาวกลางน้ำที่สะท้อนดวงดาวเหนือเตียงของเขา ความรู้สึกทีไม่ได้สัมผัสมานานทำให้เขาปิดตาลงอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มที่ตามมา

    “เฮ่ย”แซกปลุกคินโลให้ตืนซึ่งเขาก็ลืมตาในทันที่ต่างจากที่แล้วๆมา ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงเพื่อบิดตัว

    “หลับสบายไหม?”

    “อือขอบใจ ว่าแต่นายเอาร้างกายของฉันไปทำอะไร?”

    “ก็นิดหน่อยตอนแรกกะว่าจะไปช่วยพวกเพื่อนๆของแกแต่…”แซกก้มหน้าลงเหมือนกับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น

    “อะไร เกิดอะไรขึ้น” เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของคู่สนทนาอย่างใจร้อน ซึ่งอีกฝ่ายปัดมันอย่างใจเย็น

    “ที่พวกปีศาจบุกมาที่นี่ก็เพื่อเปลี่ยนมนุษย์ที่นี่ให้กลายเป็นปีศาจเหมือนพวกมันแล้วเพื่อนของนายก็เป็นปีศาจไปหมดแล้ว”

    เป็นคำตอบที่พอรับได้สำหลับเขาเพราะมันก็ยังดีกว่าความตายที่จากไปแบบไม่มีวันหวนคืน

    “แล้วพวกเธอเป็นยังไงบ้าง” เขาถามถึงพวกเธอที่กลายเป็นปีศาจไป เพราะหากมนุษย์กลายเป็นปีศาจจากตำราที่เขาอ่านมาพลังปีศาจจะดึงความรู้สึกที่เจ้าตัวปิดกั้นเอาไว้ออกมาซึ่งถ้าเป็นงั้นจริงไม่แน่ลึกๆแล้วพวกเธออาจรังเกรียดตัวเขาก็ได้

    “เดียวถ้าแก้เจอพวกเธอเมื่อไหร่แกก็รู้เอง เอาเป็นว่าตอนนี้แกปรอดภัยแล้วเพราะแกกับพวกคนที่เคยรังเกรียดแก ถูกพวกเทพช่วยเอาไว้พอดีเลย”

    “พวกของไรอัน?”

    “ใช่พวกของไอ้ผู้ดีผมทองนั่นแหละ เอาเถอะยังไงก็ได้เวลากลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริงแล้วคินโล”

    แล้วเขาก็กลับมายังโลกความจริงตอนนี่เขายืนอยู่ในที่ที่มีแต่สีขาวไม่ว่าจะมองไปทางไหน กับหนุ่มสาวอีก50กว่าคนที่กำลังสับสนไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน ซึ่งคนพวกนั้นก็เป็นกลุ่มเดียวกันกับที่เคยแกล้งเขาในอดีด และเมื่อพวกเขาสังเกตุเห็นชายหนุ่มก็พากันเดินถอยห่างและทำท่าทางรังเกรีดใส่ เหมื่อสำรวจตัวเองเขาพบว่าตัวเขาเลอะดินโคลนทังตัวซึ่งก็ไม่แปลกหากพวกคุณหนูลูกผู้ดีอย่างพวกเขาจะถอยห่าง

    “ทุกท่านได้โปรดเงียบเสียงลงก่อน”

    เสียงที่สดใส ก้องกังวาน และไพเราะ ดังขึ้นจากนั้นแค่ชั่วพริบตาเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน

    ผมสีทองยาวถึงเอว ดวงตาสีฟ้า ชวนให้หลงใหล หน้าอกถูกบีบไว้กับเสื้อแน่นจนล้นออก แขนขาวที่เรียวยาวสูงดงามกว่าสิ่งใด สายตาของพวกเราต่างจับจ้องไปที่เธอ เหมือนถูกสะกดให้ละสายตาออกมาไม่ได้
    แต่นั่นไม่สำคัญเท่าเรื่องที่เธอกำลังจะพูด

    “เราชื่ออลิสเป็นเทพธิดาจากสวงสวรรค์ เรามาที่นี่เพื่อขอให้ท่านช่วยเรากำจัดจอมปีศาจ”

    หลังจากได้ยินเทพธิดาพูดขึ้นดูเหมือนทุกคนเริ่มจะสงบลงบ้าง พวกเขาหันกลับไปตั้งใจฟังเรื่องราวที่เทพธิดากำลังจะเล่าต่อ
    เรื่องแรก
    เธอบอกว่าเหตุผลที่เลือกพวกเขาเพราะพวกเขาเป็นกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียวที่ได้โดนผลกระทบจากพลังปีศาจในเมือง ในตอนที่ปีศาจเข้าโจมตีเมืองเธอบอกว่าพวกมันปล่อยไอปีศาจออกมาทำให้ คนส่วนใหญ่ในเมืองกลายเป็นปีศาจแต่คนที่อยู่นะที่แห่งนี้สามารถต่อต้านพลังปีศาจได้ ดูเหมือนว่าเธอต้องการพลังของพวกขามาช่วยปราบราชาปีศาจผู้ที่กำลังจะมายึดทวีปที่เธอปกครองอยู่

    ‘ให้พวกเราไปปราบราชาปีศาจหรือเรียกง่ายๆว่าให้พวกเราไปเป็นผู้กล้าสินะ’ ชายหนุ่มคิดอย่างลำบากใจเพาระคำว่า ผู้กล้า มันไม่เหมาะกับเขาเลย เพราะผู้กล้าคือคนที่ได้รับการยกย่อง เชื่อหมั้น และสนับสนุนจากทุกๆคน ซึ่งมันไม่ใช่ตัวเขาที่เป็นอยู่ตอนนี้…ขยะโสโครก

    และเทพทิดาตนนั้ก็พูดต่อ

    “เราแบ่งพลังของเราไปให้พวกเธอทุกคนแล้ว พวกเธอล้วนแต่เป็นกำลังที่สำคัญ
    ถ้าพวกเธอร่วมมือกันต้องปราบราชาปีศาจและนำความสงบสุขกลับมายังทวีปนี้ได้เป็นแน่”

    เมื่อเธอพูดจบก็ก้มหัวต่ำลง

    ทุกๆคนในที่นี้คงจะลังเลใจอยู่พวกเขาแสดงมันออกมาทางสีหน้าเรื่องอะไรต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงสินะ สู้ไปก็ไม่ได้อะไร จะสู้ไปทำไมสินะ

    “แน่นอนฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่มีอะไรตอบแทน”

    สิ่งที่ทุกคนคิดกลับถูกสวนกลับด้วยคำพูดของท่านเทพธิดา

    “มีรางวัลให้?มันคืออะไร”

    ไรอันถามกลับแทนพวกเราทุกคน

    “อะไรก็ได้ เลือกมาหนึ่งอย่างที่พวกเธอต้องการ”

    สายตาของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนไป สติของพวกเขาเริ่มกลับมา

    “จะได้ต่อเมื่อ พวกเราเอาชนะราชาปีศาจ?”

    “ใช่แล้ว”

    “ทุกๆอย่างเลยสินะ”

    "ใช่…ทุกๆอย่างที่พวกเธอต้องการ”

    สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยัง ไรอัน

    ท่าทีของไรอันดูเปลี่ยนไปทันทีหลังจากท่าเทพธิดาย้ำชัดมีคนๆเดียวที่สังเกตเห็นแววตาอันแสนเจ้าเล่บนใบหน้าของเขาคนๆนั้นคือคินโลแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

    “ผมเข้าใจแล้ว”

    ไรอันพูดขึ้นขณะที่กำลังเดินไปนั่งข้างหน้าอลิสเหมือนอัศวินทีกำลังถูกแต่งตั้ง

    “พวกเราจะปราบราชาปีศาจและนำสันติภาพกลับมาสู่ทวีปนี้ซึ่งเป็นทวีปของเราและของท่าน”

    “ใช่ไหมทุกคน”

    “อืม!”

    ทุกๆคนต่างสนับสนุนเขาอย่างออกหน้าออกตา เหลือแต่คินโลเพียงคนเดียว ที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

    ไรอันหันมาจ้องชายหนุ่ม ด้วยสายตาที่เหมือนจะกินเขาให้ได้

    “คือ…ผมเห็นด้วย…ผมเห็นด้วยก็ได้”

    ในขณะที่คนอื่นๆต่างเห็นด้วยกับไรอันถ้าบอกว่าบอกว่าไม่เห็นด้วยและไม่อยากทำ จะเป็นยังไง

    คำตอบอยู่ในสายตาของคนนับ50คู่อยู่แล้ว แต่เมื่อคำตอบออกมาเป็นแบบนั้นทำให้

    สายตาของพวกเขาหันกลับไปจ้องมองทาง ไรอัน กับ อลิส เหมือนเดิม

    “อย่างที่ท่านเห็น...ได้โปรดมอบพลังของท่านแก่พวกเราเพื่อล้มจอมปีศาจด้วย”

    ไรอันก้มลง จูบลงที่มือของอลิสเบาๆเหมือนอัศวินที่ทำการสาบานว่าจะจงรักภักดี

    ‘อึ๋ยโคตรน่าอายเลยไม่อยากจะเชื่อว่าฉันเคยคิดอยากเป็นอัศวินแต่เดี๋ยวเราต้องทำด้วยป่าวหว่า’คินโลคิดแบบนั้น

    แต่เรื่องที่แย่กว่าคือ อลิสหน้าแดงขึ้นมาทันทีหลังจากเขาจูบลงบนมือ

    “เอาล่ะ ต่อไปฉันจากส่งทุกคนไปยังพระราชวังของศาสนจักร ขอให้ทุกคนช่วยพระราชาของที่นั่น

    ฉันหวังว่าพวกเธอจะเติบโตขึ้นเป็นผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่จากพลังที่ฉันให้พวกเธอทุกคนไป”

    “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเรา ผมสาบานว่าผมจะโค้นราชาปีศาจลงด้วยมือคู่นี้ให้ได้”

    “เอาหล่ะ...ผู้กล้าทุกคน...เราขออวยพรให้พวกท่านทำสำเร็จแล้วเจอกันใหม่”

    หลังจากที่ อลิส พูดจบพวกเราทุกคนก็ถูกแสงสีขาวห่อหุ้ม

    ไม่นานนัก พวกเขาก็ลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงที่ดูหรูหรา

    โคมระย้าที่ใหญ่โตภาพวาดใหญ่ติดเด่นเป็นสง่าอยู่ตามผนัง พรมแดงปูไปตามบันไดต่างๆ

    ให้ความรู้สึกที่หรูหราเกินกว่าปราสาทไบเซนไทซะอีก

    หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาทางพวกเราเหมือนกับว่ารออยู่แล้วเธอเดินเข้ามาจับมือของไรอันที่ยืนอยู่ด้านหน้าของพวกเราและพูดขึ้นมาว่า

    “ท่านวีรบุรุษ...ได้โปรดช่วยพวกเราและทวีปอันเทเซียด้วย”

    และแล้วเรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้นโดยความขัดแย้งในใจของคินโล

    _______________________________________________________________________________________________________
    รูปประกอบเรื่อง
    ทวีปเซา (ดินแดนที่คินโลกำเนิดขึ้นมา)
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ASSASSIN S : 10th August 2014 เมื่อ 00:53

  2. รายชื่อสมาชิกจำนวน 5 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jun 2012
    กระทู้
    516
    กล่าวขอบคุณ
    832
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    ชอบครับ----------

  4. #3
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Dec 2011
    กระทู้
    1,311
    กล่าวขอบคุณ
    445
    ได้รับคำขอบคุณ: 656
    Blog Entries
    1
    ตอนที่ 2 ความหวังอันซ้อนเร้น

    หลายสัปดาห์แล้วที่พวกเขามาอยู่ที่นี่ ในวันแรกไรอันได้ไปหาลือเกี่ยวกับข้อมูลตางๆซึ่งได้ประมาณว่า
    อานาจักไบเซนไทของพวกเขาในตอนนี้ถูกพวกปีศาจยึดและหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในจุดที่เคยเป็นอานาจักตอนนี้เหลือเพียงทุ่งหญ้าโล่งๆดูเหมือนพวกปีศาจจะใช้เวทย์ พาอานาจักทั้งหมดไปซ้อนไว้ที่อื่นทำให้ทางเราไม่รู้จุดประสงที่แท้จริงของพวกมัน
    ส่วนประเทศที่พวกเขาอยู่ตอนนี้คือไซรัส ประเทศนี้ถือเป็นประเทศที่เจริญที่สุดในทวีปนี้ และเป็นประเทศแม่ของศาสนจักรไบเซนไท ไบเซนไทนั้นถึงจะเป็นศาสนจักรอันยิ่งใหญ่แต่จริงๆแล้วเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในทวีปก็ว่าได้ เพราะเซนไทแต่เดิมคืออนาจักที่อยู่ได้การปกคลองของไซรัส ก่อนประการอิสรภาพภายใต้ชื่อของเหล่าเทพแต่ก่อตั้งสนจักรขึ้นมา ถึงจะแยกตัวจากกันแล้วแต่ไบเซนไทกับไซรัสก็ยังมีความสายสัมพันธ์อันแน่นแฝ้นกันอยู่เพราะราชาของไบเซนไทเป็นพี่ชายของ ราชาแห่งไซรัส ทำให้แม้จะไม่พูดอะไรแต่พระราชาของที่นี่ท่าน ริชาร์ด ก็สนับสนุนไรอันอย่างเต็มที่
    เริ่มต้นด้วยการฝึกฝนดาบ พวกเขาได้รับการฝึกสอนโดยนักดาบที่มีฝีมือที่สุดของพระราชวัง นอกจากนี้ยังมีการฝึกอบรบทางด้านเวทมนต์ และความรู้ทางยุทธศาสตร์แถมทุกคนมีห้องส่วนตัวและมีเมดคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
    ยกเว้นคนเพียงคนเดียวคือคินโลซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรและไม่มีสิทธ์อะไรเลยด้วย
    สาเหตุหลักก็มาจากเมื่อ1อาทิตย์ก่อน เกิดเหตุบางอย่างขึ้นเริ่มด้วยการที่พวกเขาถูกเรียกมารวมตัวที่ห้องโถงใหญ่ภายในวังเพื่อตรวจดูความสามารถด้านต่างๆของทุกคนและประสิทธิภาพในการต่อสู้
    ตอนแรกทุกคนในที่นี้ไม่รู้ว่าจะทำกันยังไง จนกระทั่งมีนักเวทย์เสื้อขาวคนหนึ่งเดินถือลูกแก้วเขามากลางห้องและวางลูกแก้วไว้กลางห้อง มันส่องแสงชี้ไปที่ทุกคนในห้องและแสดงค่าต่างๆออกมาเป็นตัวเลขหน้าคนๆนั้น
    ของคินโลคือ
    พลังชีวิต 50
    พลังเวทย์ 20
    ความแข็งแกร่ง 10
    ความเร็ว 100
    ไหวพริบ 10
    ดูจากพลังของเขาแล้ว จะเห็นได้ว่ามันไม่ถึงร้อยเลยอาจเป็นเพราะค่าต่างมีสูงสุดอยู่แค่ร้อยมั้ง
    แต่ความคิดนั้นก็ตกไปทันทีหลังจากได้ยินเสียง
    “ไม่อยากจะเชื่อ นี่มันสุดยอดเลย ไรอัน!”
    นักเวทย์ทำท่าดีใจอย่างออกนอกหน้าเมื่อเห็น ตัวเลขหน้า ไรอัน
    พลังชีวิต 600
    พลังเวทย์ 550
    ความแข็งแกร่ง 400
    ความเร็ว 300
    ไหวพริบ 480
    ความสามารถพิเศษ
    พลังโจมตีเพิ่มสองเท่าเมือมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ การป้องกันเพิ่มสองเท่า มีธาตุอยู่ในตัว4สาย 1.ดิน 2.น้ำ 3.ไฟ 4.ลม หากใช้ดาบแห่งแสง ระหว่างที่โจมตีศัตรู จะสามารถตัดเวทย์ที่หุ้มศัตรูอยู่ได้
    “…”
    เมื่อเทียบกับของคินโลมันต่างกันมากกว่าสองเท่าอีก นี่ยังไม่รวมถึงมีความสามารถพิเศษที่เพิ่มเข้ามาด้วย
    พลังที่ว่ามาแทบไม่มีประโยชน์เลย
    คนอื่นๆก็เริ่มตรวจสอบกัน และทุกๆคน ต่างก็มีความสามารถพิเศษติดตัวมาด้วยทั้งนั้น
    แม้ค่าพลังจะน้อยกว่าของ ไรอัน แต่ทุกคนก็มากกว่าเขาสองถึงสามเท่า
    ค่อนข้างมั่นใจได้เลยว่าพวกเขาได้รับพลังจากท่านเทพอลิสมาทุกคน และ ไรอันก็ได้รับมันมาเยอะที่สุด
    เพราะก็ค่าพลังของทหารทั่วไปในประเทศนี้ ขั้นต่ำก็มากว่า100กันหมด
    ดูๆไปแล้วเขาได้รับพลังมาแน่หรอ?
    นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเขาตอนนี้ แต่ทันใดนั้นเขาก็ชุกคิดได้ถึงบางอย่างบางอย่างที่อยู่ในตัวเขา
    หลังจากที่ทุกคนรู้ ค่าพลังของคินโล พวกเขาต่างเรียกเขาว่า ตัวไร้ประโยชน์จากนั้นไม่นานมันก็แพร่ออกไปทั่วทั้งพระราชวังที่พวกเขาอยู่ ไม่มีใครไม่รู้จักเขา
    คุณริชาร์ค ตีค่าเขาต่ำลงอย่างรวดเร็ว และยกระดับผู้กล้าที่แท้จริงทั้ง54คนให้สูงขึ้นเป็นอย่างมาก
    ตัดสิทธ์ในการติดอาวุธให้กับคินโลและสั่งให้เขาไปอาศัยในกระท่อมเลี้ยงม้า
    การศึกษาและการฝึกฝนวิชาการหากินต่างๆก็ต้องทำด้วยตัวเองตอนนี้เขาถูกเตะออกจากกลุ่มเรียบร้อยแล้ว
    ทว่าเขาไม่นึกเสียใจเลยซักนิดเมือได้คุยกับแซงเกอร์แมนในโลกของจิตใจเกี่ยวกับค่าพลังของเขา
    ในโลกจิตใจของเขาตอนนี้เลี่ยนไปบางนิดเดียวคือ แต่เดิมที่มีแค่เตียงอยู่บนน้ำท้ามกลางหมู่ดาว ตอนนี้เตียงอยู่บนแท่นหินสีขาวขนาดเตี้ยๆกว้างๆเป็นรูปวงกลมแซคก็เปลี่ยนไปนิดหน่อยเช่นกันในตอนนี้มีหางงอกออกมาหางนั้นเป็นโซ่ที่มีปรายแหลมคม มีเล็บสีดำที่ยาวขึ้นยิ่งเหมือนปีศาจเข้าไปใหญ่
    “ถ้าคิดว่าค่าพลังของแกมีแค่นี้ละก็แกคิดผิดแล้ว”แซกพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายขณะที่นอนใช้มือกวักน้ำไปมาอยู่บนแท่นหิน
    “คิดผิดยังไง”
    “ดูเองสิ” แซคชีนิ้วมาทางเขาทันใดนั้นตัวเลขก็ขึ้นมาอีกครั้งหน้าตัวเขา และทำให้ตัวของเขาตกใจสุดๆ
    ค่าพลังในตอนนี้คือ
    พลังชีวิต 5500
    พลังเวทย์ 2900
    ความแข็งแกร่ง 5506
    ความเร็ว 4700
    ไหวพริบ 5471
    ความสามารถพิเศษ
    เมื่อบาจเจ็บจะรักษาตัวเองทันที่ มีธาตุอยู่ในตัว4สาย 1.สายฟ้า 2.ความมืด 3.ไฟ 4.???
    ค่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก แซคบอกว่าในตอนที่คินโลใช้ลูกแก้ววัดพลัง ตัวแซคก็กำลังทำบางอย่างกับพลังที่อลิสให้มาอยู่ จึงจำเป็นต้องลีบูทค่าพลังใหม่ ซึ่งเขาก็ไม่ได้บอกว่าทำอะไรกับพลังนั่นและบอกแค่ว่า
    “ไม่มีอะไรต้องกลัวฉันก็เหมือนกับคลังข้อมูลและพลังของนายเพราะงั้นยังไงนายก็ใช้พลังได้อยู่แล้ว”
    และนี่ก็เป็นเรื่องที่สองที่แซคไม่ยอมบอกเขาส่วนเรื่องแรกคือแซคไม่ยอมบอกว่าตอนที่ยึดร้างไปนั้นเขาเอาไปทำอะไรบ้าง ไม่ว่าจะถามซักกี่ครั้งเขาก็ปิดปากสนิดไม่ยอมบอกอะไรเลย
    และในตอนนี้ก็อาจจะมีเรื่องที่สามด้วย
    “แซค ทำใมนายถึงมาอยู่ในร้างของฉันได้” คินโลถามขณะนั่งอยู่หน้ากองไฟวิญญาณของตัวเอง
    “ถามทำไม”
    “ก็ฉันเป็นเจ้าของร้างนะโวย!ก็ต้องรู้ถึงเหตุผลที่จู่ๆก็มีโคตรพลังอย่างแกมาอยู่ในร่างดิ”
    “แล้วแกรู้จักข้าดีแค่ไหนกัน” แซกถามกลับขณะที่ยืนขึ้นกอดอก
    “ก็เคยอ่านเจอมาในหนังสือ ตำนานเทพที่บอกว่าเทพอสูรวันสินโลกมีอยู่สี่ตน
    1.อาทอเรียส สกาย เทพแห่งภัยพิบัติและความทุกข์ยาก
    2.พิมลี อิม เทพแห่งโรคภัยและความเสื่อมสลาย
    3.นีโล อัล เทพแห่งคว่มตายและความหวาดกลัว
    4.แซกเกอร์แมน เอ็น เทพแห่งสงครามและความโกธแค้น
    แล้วก็เรื่องจำพวกวีรกรรมของพวกนายเช่น ลบสวรรค์ออกไปส่วนนึงหรือตัดปีกของมหาเทพไปหนึ่งคู่จเหลืออยู่เพียงหกคู่”
    “หึ...เจ้ารู้เพียงแค่นั้นก็ดีแล้วเพราะจริงๆข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้ามาอยู่นี่ได้ไง”
    “หมายความว่าไงที่บอกไม่รู้”
    “ก็ที่ผ่านมาหลังจากตัดปีกมหาเทพแล้วข้าก็ไปหลับอยู่ในภูเขาที่ข้าสร้างพอตื่นมาอีกที่ข้าก็มาอยู่ในร้างของเจ้าตอนยังเด็กแล้ว”
    “ถ้าเป็นงั้นจริงทำไมแกไม่ยึดร้างหรือออกไปซะเลยละจะมาอยู่นี่ทำใม” คินโลลุกขึ้นจากกองไฟแล้วเดินไปหาคู้สนทนา
    “อา...เป็นคำถามที่ดีเพราะจริงๆข้าก็มีเรื่องอยากถามเจ้าอยู่เหมือนกันว่าไอ่สิ่งนี่มันมาอยู่ในวิณญาณเจ้าได้ยังไง”
    แซคเดินผ่านคินโลไปยังกองไฟและใช้มือหยิบเปลวไฟส่วนหนึ่งขึ้นมาเหมือนมันเป็นของแข็งที่หยิบถือได้แล้วเดินตรงไปอีกสองสามก้าวและหยุดยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับบีบเปลวไฟจนแตกออกเหมือนแก้ว เปลวไปที่แตกออกกลายเป็นทรายสีทองล่วงหล่นลงบนผืนน้ำทันใดนั้น ก็เกิดวงแหวนเวทย์สีแดงจำนวนมหาศาลอยู่บนฟ้าท้ามกลางหมู่ดาว ราวกับวงแหวนเวทย์พวกนั้นกำลังห่อหุ้มโลกนี้อยู่ แต่นั่นก็ยังไม่หน้าตกตะลึงเทากับเบื่องหน้าของแซคมีประตูศิลาสีขาวขนาดใหญ่มากกำลังขึ้นมาเหนือผิวน้ำ คินโลเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
    ประตูนี้มีรอยจาลึกอยู่เต็มไปหมด
    “นี่แหละสาเหตุที่ว่าทำไมข้าถึงออกไปไม่ได้”
    “อะไรกันนายจะบอกว่านายเข้าประตูนี่ไม่ได้?” แล้วเขาก็ยื้อมือออกไปเพื่อจะเปิดแต่แซคปัดมือเขาออก
    “อย่าเข้าไกลมันหรอเปิดมันเด็ดขาด”
    “ทำไมอะไรอยู่ในนี้เหรอ”คินโลไม่ฟังและยื่นมือไปอีกครั้ง
    “อย่า!…” ไม่ทันการ แค่เอือมมือไปใกล้ๆประตูก็แง้มออกมาแล้ว
    ช้องของประตูมีไอพลังงานสีขาวออกมาเพียงนิดหน่อยมันลอยเข้าไปที่กองไฟทันได้นั้นกองไฟก็ลุกโชนขึ้นใหญ่กว่าเดิมถึง3เท่า จากตอนแรกที่เหมือนกองไฟจากกิ่งไม้กลายเป็นกองไฟที่เหมือนกับบ้านกำลังถูกเผา
    และเปลวไฟบางส่วนก็พุ้งใส่แซคแต่ไม้เกิดอันตรายกับเขาแต่รูปร่างเขาเปลี่ยนไปอีกแล้ว หลังส้นเท้ามีหนามงอกออกมา รอยสักสีทองเพิ่มขึ้น รอบดวงตาเหมือนจะมีไฟสีดำเล็กๆ ลุกอยู่
    “เอาจนได้ทังๆที่ยังไม่ถึงเวลาแท้ๆ”แซคพูดขึ้นขณะสำรวจสภาพตัวเองและปิดประตู
    “อะไร…นั่นมันอะไร”
    “ข้างหลังประตูนี่คือพลังอันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะมีผู้ใดล่วงรู้ และข้าขอเตือนอย่าเปิดมันก่อนจะถึงเวลาจริงๆ”
    ประตูปิดลงและจมสู่ผืนน้ำอีกครั้ง
    “มันมาอยู่ในตัวฉันได้ไง นายเอามันมาเหรอ”
    “ไม่ใช่ข้าตั้งแต่ที่ข้าตื่นมามันก็อยู่ที่นี่แล้ว…เจ้ากลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริงซะข้าจะตั้งค่าภาชนะวิญาณใหม่” แล้วทุกอย่างก็มืดลง
    เขาตื่นมาในกระท่อมตอนเช้า จริงๆวันนี้เขาแทบไม่อยากตื่นเลยเพราะวันนี้พวกเขาจะต้องไปผจญภัยครั้งแรกหลังจากถูกอัญเชิญมา และค่าพลังของเขาที่วัดได้ตอนนั้นมันต่ำเอามากๆทำให้เขาไม่คิดจะไปแต่ตอนนี้พลังของเขาเพิ่มมากขึ้นแล้วทำให้ความมั่นใจกลับมา เมื่อเขาหยิบแท่งคริสตอลทีมีไว้สำหลับเช็คค่าพลังที่นักเวทย์ให้มาดูก็เจอกลับผลที่ตกใจยิ่งกว่า
    ตัวเลขที่ลอยออกมาจากแท่งคริสตอลคือ
    พลังชีวิต 10524
    พลังเวทย์ 9290
    ความแข็งแกร่ง 11006
    ความเร็ว 10612
    ไหวพริบ 10471
    ความสามารถพิเศษ
    เมื่อบาดเจ็บจะรักษาตัวเองทันที่ มีธาตุอยู่ในตัว4สาย 1.สายฟ้า 2.ความมืด 3.ไฟ 4.แสง 5.???

  5. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  6. #4
    โลกมีไว้เหยียบ
    วันที่สมัคร
    Apr 2014
    ที่อยู่
    เทือกเขาง๊อไบ๊ใกล้ๆสำนักตักศิลาถัดมาวัดเส้าหลิน
    กระทู้
    661
    กล่าวขอบคุณ
    164
    ได้รับคำขอบคุณ: 250
    สนุกดีครับ ปั่นมาเยอะๆนะครับ

  7. #5
    =Xian=
    วันที่สมัคร
    Nov 2011
    กระทู้
    681
    กล่าวขอบคุณ
    1,381
    ได้รับคำขอบคุณ: 221
    เยี่ยมมมมมมมมมมมม ชอบ

  8. #6
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Dec 2011
    กระทู้
    1,311
    กล่าวขอบคุณ
    445
    ได้รับคำขอบคุณ: 656
    Blog Entries
    1
    ตอนที่ 3

    วันนี้ไม่มีการฝึกซ้อมเพราะทุกคนกำลังจะได้ออกไปผจญภัยครั้งแรกที่ป่าแห่งหมอกซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของมอนเตอร์ที่ใกล้สุดของเมืองหลวงแห่งไซรัส
    พวกเขาต่างตื่นเต้นและดีใจ กับการที่ได้ล่ามอนเตอร์ครั้งแรก ราชาริชาร์ดบอกว่าถ้ากลับมาถึงจะมี พิธีบางอย่างเตรียมไว้ให้ซึ่งพิธีนีมีเงื่อนใขอย่างหนึ่ง

    ในตอนนี้กลุ่มผู้กล้าตอนนี้มีผู้นำอยู่สี่คน
    คนแรก แน่นอนเขาคือไรอัลผู้มีพลังและความสามารถมากที่สุดในกลุ่ม

    คนที่ 2 เป็นผู้หญิงเธอชื่อ ลีลีอา แต่ทุกคนเรียกเธอว่า ริน เธอเป็นเพื่อนสมันเด็กของไรอัล และเธอก็มีความสามารถพอๆกับไรอัลจนทุกคนเรียกเธอว่า “จอมอัศวินหญิงคนที่2”
    ต่อจากเฟอร์ดินานด์ เชา นัวฮาร์ ซึ่ง ราชาริชาร์จบอกว่า เชาเคยมายังเมืองนี้แล้วครั้งนึ่งเพื่อศึกษาและฝึกฝนจนเธอได้เป็นจอมอัศวินหญิงได้ในที่สุด

    คนที่ 3 คือ อัลซิเอล เพื่อนนิดของไรอัลถึงจะมีความสามารถไม่เทียบเท่าแต่ก็มากกว่าทุกคนในกลุ่ม
    สุดท้าย

    คนที่4 เป็นผู้หญิงเธอมีชื่อว่า เอลลี เป็นคนที่มีพลังเวทย์มากที่สุด

    ทั้ง4คนจะเป็นแนวหน้าในการบุกยิ่งทำให้ทุกคนฮึกเหิมในการล่ามอนเตอร์ครั้งนี้โดยมีไรอัลเป็นผู้นำพร้อมกับนายพลเรย์
    2ชั่วโมงผ่านไปหลังออกเดินทางที่คนก็มาถึงหน้าทางเข้าป่า ซึ่งมีมอนเตอร์เต็มไปหมดกลุ่มที่เดินนำหน้าเริ่มเปิดฉากการต่อสู้

    “ไฟบอลรีส” ผู้ใช้เวทสาวเปิดฉากการโจมตีด้วยเวทบอลไฟใส่มอนเตอร์หมาป่าตาแดงที่เดินเข้ามาซึ่งสามารถจัดการมันได้ง่ายๆ

    “เย้ๆ ฉันทำได้ๆ ดูสิค่าพลังเพิ่มขึ้นด้วย” หญิงสาวคนแรกที่เปิดฉากยิงเวทลมเข้าไปกระโดดชูมือ แสดงความดีใจออกมา
    ต่างจากคินโลที่ยืนทำหน้าเฉยๆเพราะเขาทำได้แค่ แอบเอามีดที่ได้มาจากเรย์ไปจิ้มๆมอนเตอร์ตัว2ตัวแต่เพียงจิ้มไปทีเดียวก็เกิดแผลที่ใหญ่และลึกกว่ามีดของเขาจนมอนตัวนั้นตายในที่สุด
    ดูเหมือนพลังของเขามันมากเกินไปจนมอนเตอร์ระดับต่ำพวกนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู่สำหรับเขา แต่จากคำสั่งของเรย์ที่ว่า อย่าเข้าไปเกะกะ ให้ยืนอยู่ข้างหลังเฉยๆพอ
    บวกกับการที่เขาตีมอนพวกนี้ไปก็ไม่เพิ่มอะไรขึ้นมาเขาจึงลองตีไปตัว2ตัวเท่านั้น

    “ชายนิ่ง ฟอร์ซ (Shining Force)” ไรอัลฟันดาบไปทางกลุ่มมอนเตอร์กลุ่มหนึ่งพร้อมกับร่ายเวทย์ ทำให้เกิดเป็นลื้นพลังตัดมอนเตอร์กลุ่มนั้นขาด2ท่อน

    “ว่าวไรอัลคุง ช่วยพวกเราได้มากเลยขอบคุณนะ”พวกผู้หญิงต่างปลื้มในตัวของไรอัลกันใหญ่

    “แฮะๆ ไม่เป็นไรๆเรื่องแค่นี้เอง”

    ผู้หญิงพวกนั้นหน้าแดงใหญ่เลยแฮะ แค่มันพูดหน่อยเดียว

    “พวกเธอ อย่าแตกแถวกันสิ ระวังอันตรายกันด้วย”

    เรย์ตะโกนบอกพวกเธอแต่เหมือนไม่มีใครฟัง ทำให้เรย์ดูไม่ค่อยพอใจซึ่งตั้งแต่เข้ามาก็เป็นแบบนี้กันตลอดคงเป็นเพราะยังไม่ชินสินะ

    “หืม...คุณเรย์ทำไมเราไม่เขาไปในป่าหมอกนั่นละ” ไรอัลชี้ไปทางป่าด้วยรอยยิ้มบนสีหน้าปกติ

    หลังจากได้ยินคำถามของเขา คุณเรย์ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยสีหน้าไม่พอใจ

    “ในป่านั่นเป็นสถานที่ อันตรายเกินไปสำหรับพวกเธอในตอนนี้เพราะจนถึงตอนนี้ยังพวกที่เขาไปสำรวจไม่เคยมีไครออกมาจากป่านั่นได้เลย
    เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยพวกเธอตอนนี้จึงไม่ควรจะไปที่นั่นตอนนี้”

    “อืม...ผมไม่คิดแบบนั้นนะ...ดูจากจำนวนของพวกเราแล้วผมคิดว่าพวกเราน่าจะไหว”

    “อย่าโง่น่า ถึงพวกเธอจะเป็นผู้กล้าที่ได้รับพลังจากเทพมาก็เถอะ แต่ตอนนี้พวกเธอยังไม่ไหวหลอก!”

    “งั้นผมขอถามอะไรหน่อยนะครับ ที่นี้เป็นที่สำหรับผู้เริ่มต้นใช่ไหมครับ”

    “ก็ใช่ แต่...”

    “ถ้างั้นก็ไม่เห็นจะมีอะไรต้องกลัวนิครับในเมื่อที่อยู่ด้านนอกยังไม่คณามือพวกเราพวกข้างในก็คงจะเหมือนกัน”

    “เธออย่าดูถูกที่นี่ให้มากนัก ฉันก็บอกไปแล้วนิว่ายังไม่เคยมีไครออกมาจากป่านี่ได้เลย”

    “แต่เรื่องนั้นก็ไม่มีหลักฐานใช่ไหมครับว่ามีคนเคยเขาไปจริงๆ ไม่แน่คนพวกนั้นอาจกลัวกันจนหนีหายไปเองก็ได้”

    “ก็เป็นไปได้ แต่.....”

    “ถ้าแค่ป่านี่พวกเรายังผ่านไม่ได้ แล้วเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้นละ?”

    “พวกเรามีเป้าหมายคือโค่นจอมปีศาจไม่ใช่หรอครับ ถ้าแค่นี้ยังผ่านไม่ได้ คงไม่ต้องหวังถึงขั้นนั้นหลอก!!”

    ไรอัลทำให้ทุกคนถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว

    ที่เขาบอกมาหลายๆอย่างนั้นถูกต้อง มันดูน่าเชื่อถือ และมีความเป็นไปได้ที่เราจะรับมือ ไหวแต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าโอกาสที่พวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตนั้นเป็นศูนย์
    เรย์ก็คงเหมือนกัน เหมือนเขาจะรู้สึกว่าที่นั้นมีอะไรอันตรายรออยู่ส่วนเหตุผลอาจเป็นเพราะประสบการณ์ ที่เยอะกว่า หรืออาจจะเป็นแค่ลางสังหรณ์ได้เพราะงั้น เขาก้มหัวจึงแสดงท่าทีอึกอักที่จะตอบ
    ไรอัลเพราะสิ่งที่เขากำลังจะตอบหมายถึงชีวิตของพวกเขา

    และแล้วเขาก็ถอนหายใจก่อนจะเงิยหน้าขึ้นพูดว่า

    “ก็ได้ถ้าพูดถึงขนาดนั้น เชิญ!”

    ไรอัลก้มหัวคำนับเรย์และรีบวิ่งไปที่ทางเข้าในทันที

    “ไม่!!”

    “หยุดก่อน... ไรอัล!”

    “เห่...อามาโนะคุง”

    “เฮ้ย แกนะ”

    เขาคงไม่ได้เรียกคนอื่นสินะ เพราะคนอื่นๆก็ไปรุมอยู่ตรงทางเข้ากันหมด ยกเว้น…

    “หือ...”

    คนที่ยังยืนหัวเด่อยู่คนเดียว ด้านหลังคือคินโล

    “มาเดินนำเข้าไปซะ”

    ‘เฮ่อ...ให้ตายเหอะ’

    และเขาก็ตองเป็นคนเดินนำเข้าไปยังป่าแห่งนั้นจนได้

    ข้างในเป็นป่าหมอกหนาทึบเหมือนกับที่เห็นข้างนอกพวกเขาเดินไปเรื่อยๆจนผ่านไปหลายนาที่ ก็ยังไม่เจออะไร

    “ยังไงกันไม่เห็นมีอะไรเลย” ทุกคนหยุดเดินและนั่งพักกันเพราะเดินมาหลายนาทีก็ยังไม่เจออะไรจนกระทั่งเสียงของไรอัลดังขึ้น

    “เฮ่...พวกเรามาดูอะไรนี่สิ” ทุกคนรีบไปตามเสียงจึงพบไรอัลกำลังยืนดูแผ่นหินที่มีตัวอักษรบางอย่างเขียนเอาไว้และมีโครงกระดูกมนุษย์รายล้อมอยู่

    “คะ...โครงกระดูกนี่มัน ศาสตราจารย์แลนดิส” เรย์เดินเข้ามาดูโครงกระดูกอันหนึ่งที่สพายเป้และกอดหนังสือขนาดใหญ่เอาไว้

    “คุณ รู้จักเขาเหรอ”ไรอัลถาม

    “ใช่ เข้าเป็นคนสุดท้ายที่เขามายังที่นี่เพื่อหาวัตถุโบราณ เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาตามหามันอยู่ที่นี่”

    “สิ่งที่เขาหา?มันคืออะไร”

    “ไม่มีใครรู้เพราะเขาไม่เคยบอกใครแต่บางที่เขาก็หลุดปากพูดออกมาบ้างนะว่าศิลาทองคำ”พูดจบเขาก็เอาผ้าคลุมขาดๆแถวนั้นมาคลุมโคลงกระดูกของศาสตราจารย์

    “หือ...งั้นมันก็อาจจะเกี่ยวกับรอยจาลึกพวกนี้ด้วยสินะ”ไรอัลชีไปที่แผ่นหินข้างหลังเขา นายพลเรย์จึงเดินเขาไปดู

    “ภาษาโบราณงันหรอ”

    “คุณอ่านออกไหม”

    “ออกสิฉันเคยเรียนมาจาก ศาสตราจารย์แลนดิสนั่นแหละไหนดูสิ…”

    “ผู้ได้เขามายังที่นี่จงระวังอย่าสร้างแสงขึ้นมา มันหลับใหลอยู่ที่นี่ด้วยหมอกแห่งจันทรา จงกลับไปยังทางที่เจ้ามาก่อนสายเกินการ”

    “อย่าสร้างแสงขึ้นมาคือยังไงกัน?”

    “แสงไฟ…ใช่แล้วไฟไง จุดไฟกันเถอะ”

    “เดี๋ยวก่อนพวกเธอ ยังไม่รู้สาเหตุการตายของโคลงกระดูกพวกนี้เลยนะ อย่าพึ่งทำอะไรบ้าๆสิ!”

    ไม่ทันการมีคนในกลุ่มจุดไฟด้วยเวทย์มนขึ้นมา ทันไดนั้นหมอกบริเวรรอบพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีส้มเหมือนมันสามารถเผาไหม้จนเป็นสะเกดไฟพร้อมกับถูกสูบลงไปในดิน
    หมอกสีส้มถูกดูดลงดินพร้อมๆกับมือและขาหน้าจำนวนมากโผล่ขึ้นมาบนพื้นดิน

    “มอนเตอร์! มอนเตอร์!!”

    ใครไม่รู้ในกลุ่มตะโกนขึ้นดังลั่น เสียงนั้นเรียกสติของพวกเขากลับมาทันที ใช่แล้วพวกเขาประมาทที่นี่มากไปทำให้ เขามาติดกับดักในรังมอนเตอร์

    “เทลมาออเทนตา” เวทย์สายฟ้าภาษาประหลาดถูกยิงออกไปโดยนายพลเรย์ ทำให้พวก4หัวกะทิเริ่มเขาต่อสู้ตามด้วยคนอื่นๆ แต่จะดีแน่หรอปักหลักสู้กับมอนเตอร์ระดับสูงเป็นร้อยตัวเนี่ย

    “ไม่ไหวมันเยอะเกินไป”

    “แล้วเราจะทำไงกันดี”

    ขณะทีทุกคนกำลังตื่นกลัวนายพลเรย์ก็พูดขึ้น

    “พวกเธอฉันมีแผน เดียวฉันจะล่อพวกมันไว้ให้ส่วนพวกเธอให้รีบวิ่งหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเขาใจนะ!”

    แล้วเขาก็วิ่งออกไปชูดาบขึ้นพร้อมกับร่ายเวทย์ออกมา

    “ชายนิงฟอซ(shine force)”

    ดาบของเขาเปล่งแสงออกมาส่องไปยังพวกมอนเตอร์เสียงร้องโหยหวนของมอนเตอร์ดังขึ้นตามมา พวกมันวิ่งไปคนละทิศละทาง

    ทุกคนจึงพากันวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตไปที่ทางออกซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก แต่ตอนนี้ตรงทางออกนั้นกรายเป็นเหวลึกไปแล้วอาจเป็นกลไกกับดักที่ไม่ให้มีใครออกไปได้

    โถ่โว้ยยุ่งยากจริงๆ เอลลีใช้เวทย์ของเธอสร้างสะพานเร็ว”

    เธอรับคำแล้วสร้างสะพานขึ้น จนเสร็จทุกคนทยอยกันข้ามไป จนกระทั่งแสงจ้า จากสกิลของเรย์ ค่อยๆจางลง ฝูงมอนเตอร์กลับมารู้สึกตัวอีกครั้งและวิ่งมาด้วยความเร็วสูง และข้ามสะพานมาแต่เพราะสะพานสร้างมาแบบรวบลัดทำให้มันรับน้ำหนักพวกมอนเตอร์ไม่ไหวและพังลง

    คินโลเป็นคนที่อยู่ท้ายสุดของกลุ่มตกลงไปด้วย แต่โชคดีที่เขาเกาะหน้าผาของอีกฝั่งได้ พอจะปีนขึ้นไปข้างบนเขาก็สังเกตเห็นบางอย่างตรงจุดที่ยังเหลือสะพาน มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังห้อยอยู่ตรงนั้น ไรอัลจับมือของเธอพร้อมกับพูดอะไรบางอย่าง คนอื่นอาจไม่เห็นแต่คินโลสังเกตเห็น แววตาอันเจ้าเล่ของเขา ถุงมือที่เธอใส่อยู่หลุดออก เธอล่วงลงมาพร้อมกับน้ำตา วินาทีนั้นคินโลสามารถช่วยเธอได้แต่ถ้าทำแบบนั้นเขาต้องล่วงลงไปด้วยแน่ เมื่อคิดถึงผลได้ผลเสียคำตอบมันก็แน่นอนอยู่แล้วตัวเขาไม่ใช่คนดีถึงขนาดเอาตัวเองไปเสี่ยงช่วยคนที่ไม่รู้จักนิใช่ตัวเขาไม่ใช่คนดีเลยซักนิดตอนที่รู้ข่าวว่าพวกคนที่เขารู้จักกลายเป็นปีศาจไปแล้วนั้นเขาเองก็ไม่คิดจะทำอะไร ไม่คิดตามหาไม่คิดช่วยแล้วเรื่องอะไรที่จะต้องไปช่วยคนที่ไม่รู้จักกันเล่าดีไม่ดีผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นพวกที่ดูถูกเหยียดหยามเขาก็ได้แถมไม่แน่พอช่วยไปยัยนั้นคงไม่สำนึกในบุญคุณหลอก เพรางั้น...

    “โถ่เวย... ให้ตายเหอะ”

    คินโลกระโดดจากผาที่เขาเกาะและลับตัวหญิงสาวกลางอากาศพร้อมกับร่วงลงไปยังเหวลึกเบื่องล่าง

    ‘หึ...ถึงตัวเราจะไม่ใช่คนดีแต่จะปล่อยให้คนที่สามารถช่วยได้ตายนะ มันหน้าหงุดหงิดโวย!’

    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ASSASSIN S : 11th October 2014 เมื่อ 22:01

  9. #7
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Apr 2014
    ที่อยู่
    Bangkok
    กระทู้
    48
    กล่าวขอบคุณ
    46
    ได้รับคำขอบคุณ: 33
    ตอนแรก เขียนผิดเยอะอยุ่ น่ะ แต่เนื้อเรื่องนุกดี ทำต่อๆ


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top