แอปเปิลเปิดตัว iPhone 6 และ iPhone 6 Plus พร้อมหน้าจอระดับ Retina HD:: ราคา เทียบ HK (ในราคาที่น่าจะใกล้เคียงในบ้านเราที่สุด) ::
:: บทวิเคราะห์ iPhone 6 - กลืนน้ำลาย ทำลายข้อจำกัด ::
และแล้วก็มาตามคาดสำหรับ iPhone รุ่นใหม่ ที่ปีนี้ยังนับชื่อเป็นตัวเลขตามเคยคือ iPhone 6 ตามคาด และมาสองขนาดหน้าจอตามข่าวที่ออกมา โดยรุ่นหน้าจอใหญ่กว่าจะใช้ชื่อว่า iPhone 6 Plus
ตัวเครื่องของ iPhone 6 ปรับไปใช้การออกแบบเน้นความโค้งมนทั้งเครื่อง วัสดุที่ใช้เป็นอะลูมิเนียมผสมกับโลหะ ทำให้ตัวเครื่องบางลงไปอีกจาก iPhone 5s ที่บางอยู่แล้ว ใน iPhone 6 และ 6 Plus
ตัวเครื่องจะบางเพียง 6.9 มม. และ 7.1 มม. ตามลำดับ และด้วยความที่ตัวเครื่องยาวขึ้น ปุ่มเปิดเครื่องจึงถูกโยกมาไว้ขอบด้านขวาเป็นที่เรียบร้อย
สเปคของ iPhone 6 เริ่มต้นที่หน้าจอก็ความละเอียดก็ไม่เท่ากันแล้ว โดย iPhone 6 จะใช้จอขนาด 4.7" ความละเอียด 1334x750 พิกเซล ส่วน iPhone 6 Plus จะใช้หน้าจอขนาด 5.5"
ความละเอียด 1920x1080 พิกเซล (ทั้งคู่เรียกว่า Retina HD) โดยบน iPhone 6 Plus จะมีส่วนติดต่อผู้ใช้ต่างกับรุ่นจอเล็กด้วยพื้นที่บนหน้าจอที่มากกว่า รวมถึงใช้งานในโหมดแนวนอนได้แล้ว
ส่วนของสเปคภายใน ชิปนั้นเป็น Apple A8 รุ่นใหม่ที่เคลมว่าเร็วขึ้น 25% กราฟิกเร็วขึ้น 50% และใช้พลังงานน้อยลง 50% ชิปช่วยประมวลผลอย่าง M8 สามารถดึงข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆ
อย่าง accelerometer, gyroscope และเข็มทิศอย่างต่อเนื่องได้แล้ว และใน iPhone 6 ยังเพิ่มบารอมิเตอร์สำหรับช่วยวัดความชื้นในอากาศเพื่อบอกสภาพภูมิประเทศในขณะนั้นได้ละเอียดขึ้นอีกด้วย
โมเด็มตัวใหม่รองรับ LTE ได้ถึง 20 ย่านความถี่ และ LTE-A รวมถึงใช้งาน VoLTE ได้ในตัวแล้ว
กล้องยังคงเป็นไฮไลท์เช่นเคย ใน iPhone 6 มาพร้อมกับเซนเซอร์ iSight ตัวใหม่พร้อมกับระบบโฟกัสที่เรียกว่า Focus Pixel (หรือ phase detection บน DSLR)
ที่ช่วยให้โฟกัสภาพได้รวดเร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ร่วมกับชิป ISP บน Apple A8 ช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อย และมือสั่นได้ดียิ่งอีกขึ้นไปอีก ส่วนสเปคกล้องแบบเพียวๆ
ความละเอียดอยู่ที่ 8 เมกะพิกเซล (พิกเซลขนาด 1.5 ไมครอน) รูรับแสงกว้างสุด f/2.2 สำหรับ iPhone 6 Plus จะมีระบบกันสั่น (OIS) มาให้ด้วย
ส่วน iPhone 6 จะได้ระบบกันสั่นแบบซอฟต์แวร์แทน ด้านการถ่ายวิดีโอ iPhone 6 สามารถถ่ายภาพสโลโมชันได้สูงสุดที่ 240 เฟรมต่อวินาทีแล้ว!
ฝั่งซอฟต์แวร์ที่ปรับมาเพื่อ iPhone 6/6 Plus โดยเฉพาะจะมี "reachability" ที่ใช้การแตะปุ่มโฮมสองครั้งให้หน้าจอร่นลงมาครึ่งหนึ่ง
เพื่อให้สามารถแตะขอบบนได้ด้วยการใช้มือเดียวครับสำหรับความจุของ iPhone 6 เรียกได้ว่าตามคาด และผิดคาด โดยรุ่นเริ่มต้นยังคงใช้ความจุเดิมที่ 16GB และความจุสูงสุด 128GB ตามคาด
แต่ที่ผิดคาดคือรุ่นความจุ 32GB ได้จากไปเสียแล้ว สำหรับราคาแบบติดสัญญา iPhone 6 Plus แพงกว่าอยู่ 100 เหรียญ
เริ่มต้นที่ 299 เหรียญด้วยกัน และจะเริ่มให้จองวันที่ 12 กันยายน พร้อมขายจริงวันที่ 19 กันยายนนี้สำหรับ iPhone 6 ครับ
iPhone 6 16GB : ราคา 5588 HKD = 23900 บาท
iPhone 6 64GB : ราคา 6388 HKD = 26900 บาท
iPhone 6 128GB : ราคา 7188 HKD = 29900 บาท
iPhone 6 Plus 16GB : ราคา 6388 HKD = 26900 บาท
iPhone 6 Plus 64GB : ราคา 7188 HKD = 29900 บาท
iPhone 6 Plus 128GB : ราคา 8088 HKD = 33900 บาท
เปรียบเทียบ iPhone 6/6 Plus กับ 5s
อุปกรณ์เสริมสำหรับ iPhone 6 เคสซิลิโคน และเคสหนัง
บทวิเคราะห์ iPhone 6 - กลืนน้ำลาย ทำลายข้อจำกัด
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนโดดเด้งที่สุดของ iPhone คือเรื่อง "ขนาด" ผลสรุปของมันคือในที่สุดแล้ว แอปเปิลก็ยอมทำมือถือจอใหญ่สักที (เว้ยเฮ้ย)
ประเด็นเรื่องขนาดหน้าจอนี้ ถ้าให้วิเคราะห์ในเชิงทิศทางของอุตสาหกรรม คงพอสรุปได้ว่าในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมา เราเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์จาก
"คุย" มาเป็น "ดู/อ่าน" อย่างชัดเจน เมื่อวิธีการใช้โทรศัพท์ต้องพึ่งพาสายตามากขึ้น ผู้ใช้ย่อมต้องการโทรศัพท์หน้าจอใหญ่ขึ้นโดยธรรมชาติ
(ต่างไปจากมือถือในอดีตที่แข่งกันเล็ก ถึงขนาดโฆษณาว่าทำตกรูได้)
การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมลักษณะนี้ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง เพราะผู้บริโภคติดกับความคุ้นเคยแบบเดิมและต้องให้เวลาสักระยะหนึ่งในการเรียนรู้ ตัวผมเองตอนเห็น Galaxy Note รุ่นแรกเปิดตัวก็ยังคิดว่า
"มือถือใหญ่จังใครจะไปใช้" แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ปรับตัวเข้ากับมันได้ ตอนนี้กลายเป็นว่ากลับไปใช้มือถือจอเล็กกว่า 5 นิ้วไม่ได้แล้ว
(ต้องให้เครดิตซัมซุงว่ามองเกมขาดมาก)
เมื่อตลาดโดยรวมไปในทิศทางนี้ แอปเปิลย่อมฝืนกระแสไม่ไหว และยอมปรับตัวตามในที่สุด
เรื่องนี้จะไม่เป็นประเด็นอะไรเลย ถ้าหากแอปเปิลไม่เคย "ออกตัวแรง" ไว้เยอะแยะมากมายในอดีต เช่น สตีฟ จ็อบส์ ถึงขนาดพูดเอาไว้ว่า no one's going to buy that
หรือโฆษณาของแอปเปิลที่เคยชูจุดเด่นเรื่องหน้าจอขนาดเล็กพกพาสะดวก นิ้วกวาดทั้งจอได้ง่าย
พอมาถึงยุค iPhone 6 ที่แอปเปิลยอมปรับหน้าจอมือถือให้ใหญ่ขึ้น (ขึ้นไปถึง 5.5 นิ้วในรุ่น iPhone 6 Plus) ก็ต้องบอกว่างานนี้กลืนน้ำลายตัวเอง แบบเต็มๆ ครับ
ผมเคยเขียนถึงประเด็นเรื่องนี้ไว้หลายรอบแล้ว การกลืนน้ำลายตัวเองหรือลอกคู่แข่งนั้นมีผลแค่ "เสียศักดิ์ศรี" (และทำสาวกเงิบ) แต่ "ประโยชน์"
ที่ตกถึงแก่ผู้บริโภคทั่วไปจากพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่แข่งกันไปมา ลอกกันไปมา นั้นเยอะกว่ามากมายมหาศาล
ดังนั้นการทำจอใหญ่ของแอปเปิลจึงไม่เสียหายอะไรเลยทั้งในแง่ธุรกิจ (ของขายดีขึ้น) และผู้ใช้งาน
ทำไมต้องแบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือรอบนี้แอปเปิลเปิดตัว iPhone ทีเดียว 2 รุ่นย่อย เรื่องนี้ต่างไปจาก iPhone 5s/5c เมื่อปีที่แล้ว
ซึ่งเป็นสินค้าคนละตัวกัน แต่รอบนี้ iPhone 6 กับ iPhone 6 Plus เป็นสินค้าตัวเดียวกันที่มีรุ่นย่อย (variation) ต่างไปตรงขนาดหน้าจอกับ OIS เท่านั้นเอง
(อ่าน เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus อะไรบ้างที่ไม่เหมือนกัน)
ผมคิดว่า iPhone 6/6 Plus เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบของแอปเปิลต่อทิศทางของตลาดมือถือ ที่เริ่มหมุนไปในทาง phablet มากขึ้น (ข่าวเก่า DisplaySearch
ระบุแท็บเล็ตจอเล็กถูก phablet กดดัน ยอดตกเป็นครั้งแรก) บวกกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเองที่มีขอบเขตของ "จอใหญ่"
ที่อาจแตกต่างกันไป (เช่น บางคนบอก 5 นิ้วใหญ่ บางคนบอกไม่ใหญ่)
ในเรื่องนี้ ผู้ผลิตมือถือรายอื่นใช้ยุทธศาสตร์ออกมือถือจอขนาดปกติและจอใหญ่ควบคู่กันไป (เช่น Galaxy S/Note, Xperia Z/Z Ultra, HTC One/One Max, Lumia 920/1520)
เพื่อให้ตลาดเป็นคนเลือกว่าชอบมือถือขนาดไหน จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่แอปเปิลต้องเดินรอยตามบ้างอย่างไรก็ตาม ความเป็นแอปเปิลและนโยบายเรื่อง fragmentation
ทำให้แอปเปิลเลือกไม่ออกผลิตภัณฑ์ 2 ตัวที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ใช้วิธีออกสินค้าที่ไส้ในเหมือนกันแทบทุกประการต่างกันที่ขนาดหน้าจอเพียงอย่างเดียวแทน
(ผมเชื่อว่าถ้าทำได้ในเชิงเทคนิค แอปเปิลจะยัด OIS เข้ามาใน iPhone 6 รุ่นปกติด้วย)นโยบายนี้น่าจะช่วยลดความสับสนของลูกค้าแอปเปิลในแง่การเปรียบเทียบสเปกระหว่าง iPhone 6/6 Plus ด้วย
เรียกว่าบีบให้เหลือปัจจัยในการเลือกรุ่นแค่เรื่องขนาดหน้าจอเพียงอย่างเดียว
NFC และ Apple Pay
เรื่อง NFC เป็นอีกประเด็นที่แอปเปิลต้องกลืนน้ำลายตัวเอง หลังจากโดนอุตสาหกรรมกดดันให้ใส่ชิป NFC เข้ามาอยู่หลายปี
ผมเชื่อว่าแอปเปิลพยายามมองหาเทคโนโลยีอื่นๆ (เช่น Bluetooth) สำหรับโซลูชันการจ่ายเงินด้วยมือถืออยู่พักใหญ่ๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จจนต้องกลับมายอมทำ NFC
เหตุผลส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเทคโนโลยี mobile payment ไม่ได้ขึ้นกับตัวอุปกรณ์พกพาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอิงกับ ecosystem ของเครื่องจ่ายเงินตามร้านค้าต่างๆ ด้วย
เมื่อองค์กรด้านการเงินทั่วโลกมีความเห็นร่วมกันว่าจะใช้ NFC (แม้ในรายละเอียดปลีกย่อยอาจเห็นไม่ตรงกัน) แอปเปิลจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมใช้ NFC ตามชาวบ้านเขา
เราคงไม่ต้องกล่าวถึงประเด็นเรื่องลอก/ทำตามหลังชาวบ้านกันอีกนะครับ โดยสรุปแล้ว การที่แอปเปิลยอมใส่ NFC เข้ามาใน iPhone 6 ถือเป็นผลดีต่อวงการ mobile payment
ในภาพรวม เพราะจะได้ข้อสรุปเรื่องฮาร์ดแวร์กันสักที แถมชื่อเสียงและแบรนด์ของแอปเปิลย่อมเป็นผลดีต่อการผลักดันร้านค้าปลีกทั่วโลกให้หันมาสนใจใช้ระบบ mobile payment เร็วขึ้นด้วย
สิ่งที่น่าสนใจใน Apple Pay มีอยู่สองประการ (อ่านรายละเอียดเรื่อง Apple Pay)
อย่างแรกคือระบบความปลอดภัยที่แอปเปิลเตรียมพร้อมมาค่อนข้างดี ในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ประเด็นเรื่องความปลอดภัยมีผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภคมาก
ซึ่งตรงนี้แอปเปิลต่อยอดระบบความปลอดภัยจากแพลตฟอร์มยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ (Touch ID) ของตัวเอง ร่วมกับการเก็บข้อมูลเข้ารหัสลงชิปแยกเฉพาะ
(ที่เราเรียกว่า secure element) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลการเงินที่อ่อนไหว ผมคิดว่าเรื่องมาตรการความปลอดภัยหลายชั้นแบบนี้ แอปเปิลค่อนข้างล้ำหน้าคู่แข่งไปมาก
(ในการใช้งานจริงจะปลอดภัยแค่ไหนต้องดูกันยาวๆ) และน่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้มือถือค่ายอื่นต้องหันมาทำตามกันถ้วนหน้า
อย่างที่สองคืออิทธิพลของแอปเปิลในอเมริกา ซึ่งแอปเปิลมีส่วนแบ่งตลาดมือถือสูงมาก ทั้งในแง่ยอดขายจริง (สถิติของ comScore เดือนกรกฎาคม 2014 คือ 42.4%)
และอิทธิพลทางความคิดต่อผู้คน (mindset) ดังนั้นการที่แอปเปิลลงมาผลักดัน Apple Pay เต็มตัว ย่อมกระตุ้นให้ธุรกิจร้านค้าทั่วอเมริกาจับตามอง
และสนใจปรับตัวให้พร้อมรับเทคโนโลยีของแอปเปิลมากขึ้น (ลองนึกว่าถ้าเป็นไมโครซอฟท์ออกมาเปิดตัวระบบจ่ายเงินแบบเดียวกันเป๊ะสิครับ อิทธิพลมันย่อมต่างกัน)
ผลคือธนาคารและร้านค้ารายใหญ่จำนวนไม่น้อย ยินดีเข้าร่วมกับแอปเปิลตั้งแต่เปิดตัว
อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของแอปเปิลเรื่องอิทธิพลในอเมริกาก็มีด้านกลับว่า อิทธิพลนี้ใช้งานแทบไม่ได้เลยนอกอเมริกา แอปเปิลจะสามารถผลักดัน Apple Pay ได้มากน้อยแค่ไหนในยุโรป
(ที่แอนดรอยด์มีส่วนแบ่งตลาดสูงมากในหลายประเทศ) และเอเชีย (ที่ยังอาจยึดติดกับเงินสดแบบเดิมๆ อยู่) เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
สมรรถนะของฮาร์ดแวร์ เดินหน้าต่อไปในทิศทางเดิม
นโยบายของแอปเปิลในงานเปิดตัว iPhone ทุกครั้งคือชูจุดขายเรื่องประสิทธิภาพเหนือสเปกเป็นตัวเลข ซึ่งรอบนี้ก็ยังเดินหน้าต่อไปในทิศทางเดิม
ช่วงหลังแอปเปิลหันมาใช้หน่วยประมวลผลของตัวเอง ทำให้เปรียบเทียบสเปกตรงๆ กับคู่แข่งได้ยาก (และแอปเปิลก็ไม่ค่อยอยากทำ ดังจะเห็นได้จากการพยายามปิดบังสเปกเชิงตัวเลขเสมอมา)
สิ่งที่แอปเปิลทำคือโฆษณาเรื่องประสิทธิภาพผลลัพธ์จากการใช้งานจริง ซึ่งรอบนี้ก็บอกว่าซีพียูของ iPhone 6 ดีขึ้นกว่า iPhone รุ่นแรกถึง 50 เท่า
ส่วนจีพียูก็ดีขึ้นกว่ารุ่นแรก 84 เท่า
เรื่องของกล้องถ่ายภาพก็ไม่ต่างกัน นับตั้งแต่ iPhone 4 เป็นต้นมา แอปเปิลชูจุดขายเรื่องกล้องมาโดยตลอด (ซึ่งผลลัพธ์ก็ถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ในวงการเช่นกัน)
และรอบนี้แอปเปิลก็พยายามผลักดันเทคโนโลยีกล้องไปสุดตัว ทั้งในแง่ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
พัฒนาการทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นผลดีกับผู้บริโภคอย่างแน่นอนครับ แต่ถ้าถามว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการเพิ่มสมรรถนะทางฮาร์ดแวร์ (marginal gain) นั้น "เยอะ"
ในเชิงสัมพัทธ์เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ หรือไม่ ก็คงต้องบอกว่ามันลดลงตามธรรมชาติอยู่แล้ว (ตามหลัก law of diminishing returns) ซึ่งตรงนี้เกิดขึ้นกับมือถือทุกราย ไม่ใช่แค่แอปเปิลรายเดียว
โดยสรุปคือพัฒนาการทางสมรรถนะฮาร์ดแวร์ของ iPhone 6 นั้นเดินหน้าด้วยอัตราปกติ เฉกเช่นเดียวกับปีที่แล้ว แต่ด้วยสภาพการณ์ในตลาด ทำให้เราอาจรู้สึกว่ามันเปลี่ยนจากเดิมไม่เยอะนัก
iOS 8 แอปเปิลยุคใหม่ที่เปิดกว้างมากขึ้น
งานเมื่อคืนนี้ไม่มีพูดถึง iOS 8 มากนัก เพราะรายละเอียดถูกพูดถึงในงาน WWDC 2014 ไปหมดแล้ว แต่จะวิเคราะห์ iPhone 6 โดยไม่พูดถึง iOS 8 เลยก็เห็นจะไม่ได้
ถ้าเปรียบเทียบน้ำหนักกันแล้ว iOS 8 อาจถือเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดของแอปเปิลในปีนี้เลยก็ว่าได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างใน iOS 8 สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายของ
"แอปเปิลยุคใหม่" ภายใต้การนำของ Tim Cook ที่ดูเปิดกว้างและยินดีร่วมมือกับคนอื่นมากขึ้น เช่น เปิดให้มีคีย์บอร์ดภายนอก, เปิด Touch ID ให้คนอื่นใช้งาน,
เปิดให้แอพสามารถคุยกันเองได้ ฯลฯ (รายละเอียดของ iOS 8 อ่านในข่าวเก่า แอปเปิลเปิดตัว iOS 8 ไม่มุ่งเน้นทำสิ่งใหม่ แต่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น)
ผมคิดว่าในภาพรวมแล้ว iOS 8 สะท้อนทิศทางของแอปเปิลเองว่าเริ่มเปลี่ยนจากการมองสินค้าตระกูล iDevice ในฐานะ "อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์" มามองให้มันเป็น "แพลตฟอร์ม"
เชิงนามธรรมมากขึ้น แอปเปิลเริ่มขยับโมเดลธุรกิจของตัวเองจากการขายสินค้าเชิงกายภาพ (หาเงินจากการขายของตรงๆ) มาเป็น "พ่อค้าคนกลาง"
ที่เปิดแพลตฟอร์มของตัวเองให้คนอื่นเข้ามาทำมาหากิน (แล้วเก็บรายได้จากค่าธรรมเนียม) มากขึ้น
iPhone 6 คือการทำลายข้อจำกัดเดิมๆ ของ iPhone
ในแง่ผลิตภัณฑ์แล้ว iPhone 6 ทำลายข้อจำกัดเดิมๆ ของ "สินค้าตระกูล iPhone" ไปเกือบหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขนาดหน้าจอหรือ NFC
และเมื่อบวกกับแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์และบริการที่เข้มแข็งของแอปเปิล (ที่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว)
มันจึงถือเป็นสินค้าที่ยอดเยี่ยมมากของตลาดมือถือในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับราคาของ iPhone 6 เปรียบเทียบกับสภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมมือถือในปัจจุบัน
ทำให้เกิดคำถามว่าเรายังจำเป็นต้องใช้มือถือราคาเกิน 2 หมื่นบาทอีกหรือไม่ผมเคยตั้งคำถามเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง (เช่น ในบทวิเคราะห์ Galaxy S5 หรือ iPhone 5c)
และสภาพตลาดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาก็เป็นหลักฐานชั้นดีที่ชี้ให้เราเห็นว่า "มือถือราคาถูกที่คุณภาพดีพอ" กำลังกินตลาดมือถือรุ่นท็อปมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Zenfone
ที่เน้นเจาะตลาดมือถือหลักพันโดยตรง หรือมือถือฝั่งจีนหลายค่าย (Xiaomi, Meizu, Oppo, OnePlus) ที่ออกมือถือสเปกสุดแรงในราคาถูกเหลือเชื่อ
ในแง่ความแตกต่างของสินค้า แอปเปิลยังสามารถสร้างจุดเด่นของตัวเองผ่านซอฟต์แวร์และบริการ (รวมถึงแบรนด์) ให้แตกต่างจากมือถือคู่แข่งได้
และน่าจะยังคงรักษาตลาดมือถือระดับบน-แฟนพันธุ์แท้ได้ต่อไป (อธิบายง่ายๆ คือคนที่เหนียวแน่นกับ iPhone อยู่แล้ว ยังไงก็ซื้อต่อไป)
แต่ในกลุ่มลูกค้าที่ไม่ภักดีกับแบรนด์มากนัก และมีความอ่อนไหวเรื่องราคาอยู่บ้าง
ก็เป็นเรื่องที่น่าตั้งคำถามต่อไปว่า แอปเปิลจะยังรักษาฐานลูกค้ากลุ่มนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
Credit
...
blognone