ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

กำลังแสดงผล 1 ถึง 2 จากทั้งหมด 2
  1. #1
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Apr 2014
    ที่อยู่
    ฟักทอง
    กระทู้
    145
    กล่าวขอบคุณ
    215
    ได้รับคำขอบคุณ: 492

    Wink [2014] THE PIRATYPLIZE: ALEMBIC [PROLOGUE]

    ตั้งใจเขียน (นิดนึง) ความยาวของ (๑) จำนวน 17 หน้ากระดาษ A4 เอามาลงให้อ่านกันเล่นๆ ฆ่าเวลาครับ
    ผมตัดมาให้แค่ตอนเดียว (และตัดย่อซ้ำอีก) เอาไว้ให้ดิ้นกันไปก่อน เพราะสำนักหนังสือกำลังจะเอาไปตีพิมพ์
    จำนวน 1,000 เล่ม ขายเล่มละ 150 บาท สำหรับตอนนี้ผมค้างเขียนอีกประมาณ 2-3 ตอนก่อนส่งออกไปครับ
    ติดปัญหาสองอย่างคือเขียนมาตั้งนานแล้ว แต่ยังคิดชื่อเรื่องภาษาไทยไม่ได้เลย อยากได้ชื่อที่ดูสวยหรูน่ะ
    อีกปัญหาคือยังไม่ได้วาดภาพปกหนังสือ อีกเดี๋ยวคงจะเสร็จแล้ว ช่วงนี้จินตนาการไม่ค่อยจะล้ำเลิศเท่าไรนัก

    ปล. อย่าวิจารณ์หรือบ่งบอกข้อเสียใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องนี้เขียนขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขียนเพื่อให้ลองอ่านดูๆ กันไปเท่านั้น
    ใช่ มันอาจเป็นคำวิจารณ์ในทางที่ดีเพื่อให้เกิดการปรับปรุงก็จริง แต่ถ้าพูดถึงความรู้สึกของแต่ละคนน่ะ มันไม่เหมือนกันหรอกนะ
    ระหว่างคนที่ถูกวิจารณ์แล้ว 'ยิ้ม' กับคนที่ถูกวิจารณ์แล้ว 'เศร้า' ยังไงขอทุกคนที่ลองอ่านดูเข้าใจ เราไม่ใช่ 'มืออาชีพ' เราแค่ 'ว่าง'
    หากเราเป็นมืออาชีพ คงจะเขียนได้ 'ดีกว่านี้' ภาษาที่ใช้จะสละสลวยกว่านี้ หรือแม้แต่โมเม้นท์เนื้อเรื่องก็คงจะดีกว่านี้อีกเช่นกัน
    เพราะเข้าใจว่าสังคมบนโลกออนไลน์สมัยนี้ชอบแสดงความคิดเห็นกันในทางที่ทำให้ผู้ที่ 'มีความตั้งใจ' กลับ 'เลิกล้มความตั้งใจ'
    คนเหล่านี้มักโชว์การวิจารณ์ที่ไร้สาระ ทำอย่างกับว่าตนเองเป็นคนเดียวที่มีความสามารถในทุกๆ เรื่อง (ไปโดนใครก็ขออภัย ณ ที่นี้)
    การที่วิจารณ์ในทางบวกจะเป็นการให้ใจกับผู้เขียน (เช่นผม) มากกว่าจะบอกว่า "เขียนไม่ได้เรื่อง", "ห่วย" หรือ "เลิกเขียนไปเถอะ"
    ในเวลาเพียงสั้นๆ สิ่งเดียวที่ทำให้ความรู้สึกของผู้ตั้งใจไปได้ดีก็คือ 'กำลังใจ' กับ 'คำชื่นชมที่เป็นไปในทางบวก', ขอบคุณครับ..




    - PROLOGUE -


    แน่นอนว่าในการแต่งนิยายนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับผม แต่ว่าถ้าลองมาคิดๆ กันดูนั้น การแต่งนิยายก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย เพียงแค่ใช้จินตนาการให้มากกว่าความรู้เท่านั้น ผมเป็นคนที่เขียนนิยายไม่เก่ง แต่จินตนาการสูงจนขอยอมรับ ผมไม่เคยคิดจะแต่งนิยายเลยซักเรื่องจนมาถึงวันนี้มันทำให้ผมอินไปกับเนื้อเรื่องสุดประหลาดจากในความฝันของผมเอง วันนั้นผมฝันว่าได้เดินเรือไปพร้อมกับกลุ่มโจรสลัดชื่อดังจากทั่วโลก จนเป็นที่น่าตกใจมาก พอตื่นจากฝันผมก็นำเนื้อเรื่องพวกนี้มาเขียนต่อไป เพื่อทำให้เกิดความสนุกสนานกับการอ่านสำหรับทุกท่าน มันอาจจะทำให้คนที่เขียนนิยายไม่เป็น กลับเขียนเป็น มีจินตนาการสูง ผมใช้เวลาเขียนไม่นานในแต่ละบท เพียงแค่เวลาว่างในแต่ละวันก็คุ้มค่ามากมายแล้ว

    อย่างที่รู้ๆ กันว่ามันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มโจรสลัดที่มีเด็กติดตามไปด้วย เขาเป็นเพียงเด็กชายคนหนึ่งที่สูญเสียครอบครัวไปเมื่อหลายปีก่อน และต้องมาอยู่แบบไร้สินไร้เงินทอง ยากต่อการอาศัยอยู่ในชุมชนในทวีปยุโรป แน่นอนว่าเนื้อเรื่องจะสะท้อนให้เห็นถึงหลักการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า นี่แหละคือสิ่งที่จะได้ให้อ่าน และแล้วเด็กชายก็เข้ามาพบกับปาฏิหาริย์ในกลางดึกคืนหนึ่ง ทำให้รู้จักกับกลุ่มโจรสลัดกลุ่มนั้นนี่เอง ส่วนเนื้อเรื่องนั้นจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อยากให้ผู้อ่านติดตามกันต่อไปเรื่อยๆ เช่นกัน “ซักวันผมจะต้องเป็นนักเขียนมืออาชีพให้ได้”

    PIRATYPLIZE: ALEMBIC [2014]
    By.. "21 Guns"






    (๑) มุมถนนสาย ๘๘ ท่าเรือบาเรลบริดจ์


    ตรงใจกลางของประเทศในทวีปยุโรป เมืองที่ขึ้นชื่อว่ามั่งคั่งเต็มไปด้วยกองเงินกองทองจำนวนมากที่สุด แม้นระยะเวลาพร้อมด้วยความก้าวหน้าจะยังคงดำเนินให้เห็นอยู่แล้ว ยังคงสะท้อนให้เห็นภาพความล้าหลังในบางกาลเวลาของชาวอาณานิคมแห่งยุโรป ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าเงินทองสัมฤทธิ์ นักการเมืองผู้หนุ่มแน่นที่ชาวประชายังคงมองเห็นเขาเองในวัยเด็ก นายกรัฐมนตรีผู้เป็นหัวหลักแห่งสภาความมั่นคง และนอกเหนือจากนั้นยังมีนักท่องเที่ยวรอบโลกอยู่ไปตามๆ กันในขณะนั้น ภาพเหล่านั้นอยู่ในจิตใจของชาวยุโรปเสมอมา และยังเป็นเวลาที่นานที่สุดนับพันๆ ปี ร่องรอยของอารยธรรมเก่าแก่ยังคงมีให้เห็นในบางแห่งบางสถาน บางแห่งถูกปิดกั้นโดยเจ้าพนักงานดูแลเก๋ากึ๊กที่เดินไปเดินมาคอยดูพฤติกรรมของชาวท่องเที่ยว ในเวลานั้นนับเป็นความไกลห่างของศตวรรษเลยทีเดียว เป็นปีทองของการตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งทวีป แต่ใช่ว่าความเข้าใจจะตกลงอยู่ที่ฝ่ายๆ เดียวเท่านั้น แต่มันยังคงเป็นข้อกังขาของใครบางคนที่เรียกตนว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งทวีปยุโรป แน่นอนว่าเป็นเรื่องราวที่ผู้คนต้องหวาดผวาหากได้ยินชื่อของเขาผู้นั้น ผู้ที่ขึ้นชื่อเสียงในทางที่เสื่อมเสีย ยังคงเตร่ดูลาดเลาของสภาแห่งอาณาจักรจ้องที่จะทำลายให้สิ้นซาก รู้จักกันฐานะโจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่ในนามว่า “ดิโอลด์ชิฟ”

    นับตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช ๑๔๑๒ เป็นต้นมานั้น เหตการณ์ชุลมุนวุ่ยวายในเมืองก็ได้เริ่มขึ้นโดยเขาผู้นั้น แต่สำหรับบางผู้บางคนแล้ว ส่วนมากอาจจะเป็นพวกเด็กๆ เด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง และแม้กระทั่งผู้แก่สูงอายุ เราจะเห็นได้ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาชอบที่เห็นดิโอลด์ชิฟก่อเรื่องขึ้น ซึ่งเหตุผลที่พวกเขารักอาจเป็นเพราะความไม่เข้าใจในเรื่องของการเมือง โดยเฉพาะเด็กผู้ชายอายุต้นปีที่สิบนั้นชอบดิโอลด์ชิฟ ชอบที่จะเลียนแบบวีรกรรมอันผิดพลาดที่ส่งผลกระทบไปถึงสภาความมั่นคงแห่งอาณาจักรยิ่งนัก แน่นอนว่าชาวผู้ปกครองก็ไม่อาจจะห้ามพวกเขาให้ทำเช่นนั้นได้ ผู้เฒ่าผู้แก่บางผู้บางคนอ้างว่าเขาไม่ได้ที่จะก่อเรื่องขึ้นแม้แต่น้อย เพียงแต่จะทำให้ทวีปนี้เป็นทวีปแห่งความสุขและความยุติธรรม แต่ไม่ว่าเหตุใดก็ตาม ยังไงพวกชาวยุโรปเป็นส่วนใหญ่ยังคงมองเขาเป็นตัวอันตราย ที่จะพาความชั่วร้ายเข้ามาสู่เรา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราจึงได้ยินเกียรติศักดิ์ของดิโอลด์ชิฟ โจรสลัดจอมหลอกลวง จอมโอหัง และจอมทำลายล้าง อย่างที่รู้ๆ กันดีว่าในยุคสมัยปีคริสตศักราชนั้นเป็นยุคของความรุ่งเรืองมั่งคั่งเต็มไปด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่ใช่ว่าจะมีความสุขไปเสียหมด

    ณ มุมแคบๆ ของถนนโฮปสตรีท ชาวยุโรปเดินผ่านไปผ่านมาเป็นจำนวนน้อย ในช่วงเวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ยังคงมองเห็นเด็กชายผู้หนึ่ง แต่งตัวโทรมที่สุดเท่าที่เราไม่อาจจะคิด ชุดเครื่องแต่งกายพร้อมเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น นั่งอยู่ตรงมุมถนนสายที่ ๘๘ มือข้างหนึ่งถือแผ่นป้ายที่โทรมพอๆ กับตน เขียนข้อความที่ชวนให้ความสงสารแก่เด็กชาย มีแต่เพียงส่วนหนึ่งของร่างกายที่ประดับไปด้วยนาฬิกาข้อมือที่ยังคงใสแจ๋ว ไม่มีแม้กระทั่งรอยขีดข่วน เด็กชายนั่งอยู่ ณ จุดนั้นเป็นเวลานานที่สุดในแต่ละวันหรือเรียกได้ว่าทุกวันถึงจะดี ผู้คนเดินผ่านตรงถนนสายนั้นทุกวัน บางคนเห็นก็ดูจะสงสาร ให้ได้เพียงเศษเหรียญหนึ่งถึงสองเหรียญพอประทังอยู่แก่พอใจในอาหารที่จะหาได้ในแต่ละวัน เด็กรูปร่างผอมโซ ผมเผ้าสีแดงปนน้ำตาลยาวรุงรัง ตัวเล็กบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเดินทางมาไกล ไม่มีเชื้อสายชาวยุโรปแม้แต่น้อยนั่งอยู่อย่างนั้น ถึงแม้จะลุกขึ้นยืนก็คงเป็นครั้งที่เศษตังค์พอเพียงกับการซื้ออาหาร ที่ไม่อาจจะหยุดยั้งความหิวโหยได้ก็ตาม เด็กชายท่าทางไม่อาจสู้หน้าชาวประชาได้เลย แต่ก็ยังอดทนที่จะอยู่ตรงนั้นต่อไป

    “ไอ้เด็กนี่ยังไม่ออกไปอีกเรอะ ? ฉันบอกให้แกออกไปตั้งแต่สองสัปดาห์ที่แล้วไม่ใช่เรอะ ? หรือแกนั่งอยู่อย่างนี้จนความจำเสื่อมโทรมไปเหมือนรูปร่างของแกไปแล้ว !?” คุณนายเจ้าของร้านบาร์ “โกลเด้นบอยเลอรี่” ที่ตั้งอยู่มุมถนนสายนั้นพอดีเอะอะเป็นประจำทุกวัน แต่ก็ไม่อาจจะขับไล่เด็กชายนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนๆ ผู้น่าสงสารไปได้ เด็กชายไม่ตอบอะไร ยังคงนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น มือที่สั่นๆ อยู่ในความเย็นยะเยือกของฤดูหนาวที่พึ่งจะเข้าพัดพาสายลมเย็นฉัยบเข้ามาได้ไม่นานยังคงสั่นอยู่ เขาไม่กล้าที่จะสบตากับคุณนายผู้หญิงร้านนั้น คุณนายยืนเท้าสะเอวอยู่ต่อหน้าเด็กชายขณะที่ในใจคิดดูถูกและรังเกียจเป็นที่สุดก็รู้สึกรำคาญ

    “ไม่ได้ยินรึยังไงกัน !? ฉันบอกให้แกออกไปได้แล้ว อ๋อ ! ฉันลืมไปว่าแกพูดภาษาเดียวกับที่ฉันพูดไม่ได้ แกถึงไม่เข้าใจสินะ ได้ๆ ประเดี๋ยวฉันกลับมาใหม่ อย่าพึ่งไปไหนก็แล้วกัน !” คุณนายเดินกลับเข้าไปในร้านซักพักก็กลับออกมาอีกครั้ง ในมือทั้งสองของเธอแบกหม้อน้ำใบหนึ่ง เดินกลับออกมาเธอสาดลงไปที่เนื้อตัวอันสกปรกมอมแมมของเด็กชายอย่างไม่ใยดี เด็กชายแฉะไปทั้งตัว เนื่องจากเขาพึ่งถูกสาดไปด้วยน้ำโคลนจากแอ่งน้ำข้างหลังบาร์นั่นเอง คุณนายยังคงไม่สนใจอะไร เดินกลับเข้าร้านไปอย่างเชิดหน้าชูตา ไม่รักษาน้ำใจเลยแม้แต่นิดเดียว เด็กชายน่าสงสารเปื้อนโคลนเละๆ สีดำอย่างนั้น ป้ายที่เขียนข้อความขอความช่วยเหลือด้วยลายมือของเด็กที่ไม่ถนัดภาษาพลอยเปื้อนไปด้วยจนมองไม่เห็นข้อความ น้ำจากดวงตาค่อยๆ ไหลออกมา นาฬิกาที่ใสวับในตอนนั้นกลับมืดไปหมด เด็กชายรีบควักผ้าสีเก่าออกมาเช็ดจนกลับมาดูเหมือนใหม่อีกครั้ง แต่กลับไม่สนใจเนื้อตัวที่สกปรกของตนเลย

    “เราไม่ได้ไม่สามารถสื่อสารด้วยการพูดภาษาของเขา แต่เราเพียงไม่อยากจะต่อรองถกเถียงกับเขาต่างหาก ถึงเราจะกล่าวไปยังไงก็ไม่อาจทำให้ใครมาสงสารเราได้” ข้าพเจ้าพึมพำกับตนเองเป็นพักใหญ่ ที่ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นห่วงนาฬิกาเรือนนี้มากกว่าตัวตนของข้าพเจ้าเอกก็เป็นเพราะเรือนนี้เป็นสิ่งที่ติดตัวของข้าพเจ้ามาโดยตลอด มอบให้มาต่อๆ กันในตระกูลที่เคยโด่งดังในอดีต เรื่องเกี่ยวกับผู้พิทักษ์ต่างๆ นานา ถึงข้าพเจ้าจะเอ่ยขึ้นในเวลานี้ก็คงมีใครหาได้สนใจเป็นอีก นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดและยังคงสำคัญมากกว่าตัวข้าพเจ้าเอก นาฬิกาเรือนนี้น่ะ ท่านพ่อของข้าพเจ้ามอบให้ในวันที่ข้าพเจ้าได้เสียเขาไปในยุคสงคราม ถึงต้องดูแลมันให้ดีเป็นพิเศษ บางคนเรียกว่าเป็นของที่ดูไว้ต่างหน้า แต่สำหรับข้าพเจ้ามันคือหัวใจของข้าพเจ้าทั้งสิ้น

    ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่นี่ ที่ถนนโฮปสตรีท สายที่ ๘๘ แห่งเมืองไลอ้อนเกทซิตี้ ประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปนี้ เป็นเวลานานถึงสองปีแปดเดือนกับอีกยี่สิบสามวันแล้ว แล้วถ้าผ่านพ้นคืนที่เหน็บหนาวนี้ก็จะเป็นวันที่ยี่สิบสี่ ข้าพเจ้าจำได้ด้วยดี แม้ว่าของนอกกายที่จะช่วยดูแลข้าพเจ้าได้จะไม่มี แต่ความสามารถอันเป็นพิเศษของข้าพเจ้านั้นคือในเรื่องของความทรงจำอันเป็นเลิศ เรียกได้ว่าเป็นพรที่พระเจ้าบนสรวงสวรรค์ประทานมาให้ ข้าพเจ้าถึงไม่เคยลืมเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านพ้นมา ทั้งเรื่องดีที่สุดและเลวร้ายที่สุด ข้าพเจ้าจำได้แม้กระทั่งชื่อของนายกผู้หนึ่งที่ยาวเป็นไมล์ๆ ได้ หรือจะเป็นชื่อของโจรสลัดที่ร่ำลือโด่งดังทุกคน ข้าพเจ้าสนใจในเรื่องการเดินทางของไพเรทนักเดินเรือ การผจญภัยสุดขอบโลกของฮาร์เปอร์ไดท์ หรือแม้แต่เรื่องพิศวงของปีรัสเซอรุสชาวอียิปต์ ข้าพเจ้าสนใจทุกเรื่องเกี่ยวกับโจรสลัดแต่ท่านพ่อก็ไม่ชอบให้ข้าพเจ้าได้สนใจหรอก แต่ถึงจะห้ามให้ตายยังไงก็เลิกไม่ได้ นี่ก็ใกล้เวลาเที่ยงคืนเริ่มต้นของวันใหม่วันที่ยี่สิบสี่แล้ว ผู้คนบนถนนสาย ๘๘ จางลง ข้าพเจ้ามองเห็นแต่แสงจากคบไฟของยามแถวๆ นั้นประมาณสองถึงสามบั้ง และจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลย นี่คงจะเป็นคืนที่เหน็บหนาวจับขั้วหัวใจ เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นยังคงปลิวไปกับสายลมหนาวๆ อย่างนั้น แน่นอนว่าไม่มีใครจะช่วยเหลือข้าพเจ้าแม้แต่ยามสองสามนายที่เดินผ่านหน้าข้าพเจ้าไปนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม ข้าพเจ้านั่งพิงผนังแข็งๆ เริ่มที่จะผล็อยหลับไป นั่งกอดเข่าหลับลงไปอย่างนั้น แต่แล้วสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นในช่วงเวลากว่าสองปีนี้ ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะเคลิ้มหลับไป นัยต์ตาทั้งสองข้างก็เบิกบานขึ้นอีกครั้งเมื่อข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นไป ชายตัวสูงๆ ในเสื้อผ้าที่ใสสะอาดวิบวับแวววาวเปล่งไปดวงแสงสีขาวราวพระผู้เป็นเจ้าเดินข้ามถนนสายที่ ๘๗ มายังถนนสายที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ ตรงดิ่งมาหาข้าพเจ้าอย่างเป็นที่น่าสงสัยของข้าพเจ้าเอง

    ชายตัวสูงในชุดสีขาวมาหยุดยืนตรงหน้าข้าพเจ้า ส่งรอยยิ้มให้กับข้าพเจ้าอย่างมีความสุข ข้าพเจ้ามองเห็นเลยทีเดียวบนใบหน้าอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ข้าพเจ้าส่งยิ้มให้เขาผู้นั้น เขาผู้นั้นเหมือนกับจะรู้ว่าข้าพเจ้าเห็นเขาได้ไม่ถนัด เขาจึงนั่งลงเข่าข้างหนึ่งติดบนพื้นเปือนๆ อีกเข่าข้างหนึ่งตั้งอยู่เกือบแนบกับอกของตน ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่าเขาเป็นชายหน้าตาดี ใส่แว่นตาสีดำสนิท สวมหมวกสักหลาดสีขาวอย่างสวยงาม ยิ้มพร้อมกับมองหน้าข้าพเจ้าด้วยความเอ็นดู ทันทีที่เขาเอ่ยขึ้นข้าพเจ้าก็เต็มไปด้วยความหวัง

    “ฉันคงไม่ได้มาช้าไปใช่ไหม ? เด็กน้อย ?” คำพูดนั้นทำให้ข้าพเจ้าตกใจ ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไร ? ข้าพเจ้าเคยรู้จักเขางั้นรึ ? เขาถึงได้พูดกับข้าพเจ้าในคำถามแรกที่ดูสนิทสนมกันดีเป็นที่สุด

    “ขอโทษนะครับคุณ เราไม่รู้ว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไร ? เราได้เคยเห็นกันหรือรู้จักกันรึเปล่า ? ช่วงบอกให้เราได้รู้ทีเถิด” ข้าพเจ้าพูดติดๆ ขัดๆ เนื่องจากความหนาวที่มาพร้อมกับความง่วงเหงาหาวนอน มันก็แน่นอนอยู่แล้วที่อยู่ๆ มีคนมาทักทายพร้อมกับความเปล่งประกายด้วยแสงขาวที่ดูอบอุ่น มันจึงทำให้ข้าพเจ้าถึงกับสะดุ้งขึ้นมาทีเดียว ข้าพเจ้าถามเขา แต่เขากลับไม่ตอบอะไรเลย ได้แต่ยิ้มแฉ่ง รอยยิ้มเหมือนกับสมายด์แมนโจรสลัดที่ชอบยิ้มเยาะให้กับนักการผู้แพ้พ่ายในยุค ๑๑๗๔ ยังไงอย่างงั้นเลย ซักพักเขาก็ยอมเอ่ยปากพูดกับข้าพเจ้า

    “จงฟังไว้เถิด เด็กน้อยผู้มีพรสวรรค์จากพระเจ้า ฉันไม่ใช่ใครอื่นใดเลย เป็นผู้ที่ชาวมนุษย์รูปจักกันในนามทูตสวรรค์” ข้าพเจ้าหน้าตาค้างเป็นพักใหญ่ “เธออาจจะฟังดูแล้วไม่เชื่อแต่อีกเดี๋ยวไม่นานเธอจะเชื่อเมื่อฉันได้พูดต่อไป เธอถูกทอดทิ้งมาแล้วเป็นเวลาสองปี เธอเคยมีครอบครัวที่สุดแสนจะอบอุ่น แต่เธอได้เสียมันไปในเหตุการณ์สงครามในยุคที่ผ่านมา และเธอหวังอยากให้ความฝันของตนเป็นจริงเข้าซักวัน เธอยังคงรอความฝันนั้นอยู่ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากเธอขาดศรัทธา ขาดความหวัง ขาดความมั่นคง และในเวลานี้ เธอได้มีชีวิตอยู่รอดมาเป็นเวลาสองปีเกือบปีที่สามแล้ว ในครั้งนี้ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะมอบพรสิ่งที่เธอปรารถนาเป็นเวลานาน ให้แก่เธอผู้เดียว ผู้เดียวเท่านั้นในโลก เพราะเธอคือบทบัญญัติหน้าหนึ่งของพระเจ้า เธอจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตต่อไป จะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเรียงนาม ไม่มีใครเลยที่จะไม่รู้จักเธอ แต่แล้วเธอก็ต้องลงมือทำมันเองด้วยอย่างไม่ย่อท้อ และคำถามสุดท้ายที่ฉันจะถามเธอคือ เธอต้องการอะไรเป็นที่สุดในชีวิตนี้ ความฝันของเธอ ?”

    ชายผู้สูงส่งที่กล่าวว่าตนเป็นทูตสวรรค์แก่เด็กชายตัวน้อยอย่างข้าพเจ้าถามคำถามที่ยากกับการตอบ ข้าพเจ้าครุ่นคิดอย่างหนัก ในตอนแรกข้าพเจ้าไม่อยากจะเชื่อชายผู้นี้เลย แต่แล้วข้าพเจ้าก็เชื่อสนิทไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ข้าพเจ้าเริ่มยิ้มน้อยๆ ออกมา ชายผู้นี้ก็ยิ้มตอบเพราะเขารู้ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ความรัก ความสุข มีหลากหลายที่ข้าพเจ้าต้องการ หากข้าพเจ้าต้องการครอบครัวข้าพเจ้ากลับไปคิดถึงท่านพ่อผู้ล่วงลับไป ข้าพเจ้านิ่งคิดอยู่ถึงท่านพ่อพร้อมกับมองนาฬิกาเรือนที่ใส่อยู่ในข้อมือซ้ายของข้าพเจ้าเอง แต่แล้วข้าพเจ้าก็เลือกที่จะไม่ขอพรในเรื่องครอบครัวเพราะแม้นยังไงข้าพเจ้าก็มีนาฬิกาของท่านพ่อคอยเตือนว่าให้อยู่กับความจริง ข้าพเจ้าจึงคิดถึงเรื่องความรัก ถ้าผู้คนรักข้าพเจ้าหมดทุกคน ข้าพเจ้าจะต้องได้รับความเมตตาความน่าสงสารอย่างแน่นอน แต่ข้าพเจ้าก็กลับมาย้อนคิดถึงความเป็นจริง เพราะไม่อาจจะเป็นไปได้ที่จะทำให้คนรักข้าพเจ้าได้หมดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็มีศัตรูแม้แต่พระเยซูคริสต์พระองค์ก็ยังมีศัตรูเช่นกัน ข้าพเจ้าจึงไม่เลือกพรข้อนี้ หรือจะเป็นความสุข ความสุขที่จะอยู่อย่างมั่งคั่งแบบคนอื่นๆ ไม่ต้องทุกข์ยาก แต่พอย้อนกลับมาคิดอีกที ชายผู้นี้บอกไปว่าทุกอย่างต้องทำด้วยตนเอง ไม่อาจมีใครจะมาให้ความสุขกับข้าพเจ้าได้อย่างง่ายๆ โดยที่ไม่มีสิ่งที่เป็นอุปสรรคกีดขวางทางเดินเส้นสำคัญ ชายผู้สูงส่งเหมือนกับจะเข้าใจความคิดของข้าพเจ้าที่กำลังนึกคิดอยู่เป็นเวลาเกือบสิบนาทีแล้วเอ่ยขึ้น

    “ฉันเริ่มชอบเธอเข้าแล้วล่ะเจ้าหนู เธาเข้าใจถูกแล้ว สิ่งที่ล่วงลับไปมิอาจกลับคืน สิ่งที่เป็นชื่อเสียงมิอาจรักษาไว้ได้ และสิ่งที่หวังไว้ในความต้องการมิอาจเกิดได้หากปราศจากความพยายาม นี่แหละคือวิถีของชีวิตล่ะ !” ข้าพเจ้านิ่งอึ้งไปอีกรอบ เขารู้ความคิดข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ นี่แหละคือทูตสวรรค์ของจริง “วิถีของชีวิต เจ้าจะทำมันต่อไปในความตั้งใจและใฝ่หา” เขายังคงเสริมทางเดินให้แก่ข้าพเจ้า ความคิดหนึ่งเริ่มงอกเงยออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ สิ่งที่เป็นความฝันผุดขึ้นมาในหัว ข้าพเจ้ากำลังจะเอ่ยออกไปขอร้องให้เขาช่วยประทานให้ แต่แล้วกลับถูกหยุดไปกะทันหันทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจบ่งบอกความในใจออกได้

    “ตกลง ฉันจะช่วยเธอ เธอไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาหรอกนะ ฉันเข้าใจเธอดี และฉันหวังว่าเธอจะทำมันด้วยใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก เธอจะพบความสุขในสิ่งที่เธอได้เลือกแล้ว แต่มันก็ยังมีสิ่งกีดขวางให้แก่เธอ มันจะเป็นทั้งความเลวร้ายและเป็นสีสันให้แก่วิถีชีวิตของเธอ เอาล่ะ ! มันถึงเวลาแล้ว ณ ตอนนี้ฉันได้มอบพรให้เธอแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องลาจากกัน เธอไม่อาจจะพบฉันอีกครั้ง แต่ภาพของฉันจะเข้าไปอยู่ในใจความทรงจำของเธอจากนี้ เที่ยงคืนแล้วล่ะ ! วันนี้วันที่ยี่สิบสี่เวลาตีห้าเธอจงตื่นขึ้นแม้ว่าจะง่วงงันก็ตาม จงตื่นเสีย ลุกขึ้นมา จงเดินทางไปที่ท่าเรือบาเรลบริดจ์ที่ติดกับถนนสาย ๓๖ จงเดินไปเถิดไม่ต้องรีบเร่ง ไปถึงเธอจะพบเรือเดินสมุทรลำหนึ่งขนาดใหญ่พอๆ กับเรือโจรสลัดในความคิดของเธอ จงเดินขึ้นเรือไปแล้วบอกกับลูกเรือที่มีป้ายชื่อติดบนปกอกเสื้อว่า ‘เอ็ดเวิร์ด โจนส์’ บอกกับเขาว่าขอติดเรือไปด้วย แน่นอนว่าเขาจะตอบตกลงให้กับเธออย่างแน่นอน” มันทำให้ข้าพเจ้าตกใจอย่างเหลือเชื่อไปอีกเมื่อข้าพเจ้ามองดูชายหนุ่มปริศนายืนขึ้นอย่างสง่าส่องแสงสีขาวสวยงาม และหายไปกับตาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพยายามขยี้ตาดูแต่ก็ไม่ช่วยอะไร ข้าพเจ้าหันไปถนนทางซ้ายมียามถือคบไฟเดินผ่านมาพอดี ข้าพเจ้าถามเขาไปว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาเห็นชายสวมสูทสีขาวกางเกงขาวหมวกสักหลากสวมงาม สวมแว่นตาดำผ่านไปรึเปล่า ? สุดท้ายข้าพเจ้าก็ต้องตกใจกับคำตอบของยามที่หน้าตาดูงงๆ

    “ดึกป่านนี้คงไม่มีใครแต่งตัวเริ่ดหรูเดินเพ่นพ่านไปมาในยามสงัดแบบนี้หรอก ฉันว่าเธอคงหิวโหยจนตาลายไปแล้วล่ะมั้ง !” ยามพูดอย่างกับดูถูกว่าไม่มีใครเลยที่จะมาช่วยเหลือข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้านั่งกอดเข่าทั้งสองครุ่นคิดต่อไปซักพัก แต่ด้วยความเหนื่อยและความหิวที่ยังคงต้องการอาหารของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าต้องฝืนทนหลับลงไป ในเมื่อนัยน์ตาทั้งสองปิดลงก็เข้าสู่โลกของความฝัน ที่ๆ ข้าพเจ้าจะจินตนาการยังไงก็เป็นได้ทั้งหมด

    เป็นเวลาที่ผ่านไปสั้นๆ ข้าพเจ้าลืมตากลับมาดูนาฬิกาที่ใสวับก็เป็นเวลาตีสี่ห้าสิบห้านาที ถ้าข้าพเจ้าลองปักใจเชื่อชายเมื่อกลางคืนดูก็ไม่เสียหาย เพราะยังไงคุณนายเจ้าของร้านโกลเด้นบอยเลอรี่ข้างๆ ก็ไม่อยากให้ข้าพเจ้านั่งอยู่ต่อไปอีกอยู่แล้ว เขาคงอยากจะขับไล่ข้าพเจ้ามากที่สุด เวลานี้ข้าพเจ้าก็ได้ทำตามคำขอที่ออกจะดูสบประมาทของคุณนายผู้หญิงแก่ๆ เข้าให้แล้ว ข้าพเจ้าสะบัดหน้า ขยี้ตา ให้ตื่นตัวอยู่แม้ว่าข้าพเจ้าจะยังง่วงอยู่ก็ตาม ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืนบิดตัวนิดๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลายจากความปวดเมื่อยที่นอนพิงผนังอิฐแข็งๆ ตลอดทั้งคืน และตลอดทั้งปีด้วย ข้าพเจ้าเดินไปหน้าร้านของคุณนายบอยเลอรี่เป็นครั้งสุดท้าย เปิดก๊อกน้ำเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยตะไคร่เกาะอยู่หน้าร้านเปิดน้ำเบาๆ ล้างหน้าล้างตาให้ตื่นสดชื่นพร้อมที่จะเดินทางไปยังท่าเรือบาเรลบริดจ์ตามที่ชายคนนั้นบอกมา แน่นอนว่าข้าพเจ้าอาจจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยเลยก็ได้ เพราะในเวลานี้ยังเป็นเวลาที่นับว่าเช้ามืดและมืดเกินไปที่ใครจะตื่นขึ้นมาได้ บ้านเมืองที่ติดกันยาวเหยียดตรงถนนโฮปสตรีทสาย ๘๗ และ ๘๘ ยังคงมืด ยามเมื่อกลางคืนคงจะอู้งานกลับบ้านไปแล้ว นั่นคงเป็นสาเหตุที่โจรปล้นบ้านได้ง่ายดาย แต่เกิดการฆาตกรรมขึ้นในบางครั้ง ข้าพเจ้าคิดอย่างนั้นแล้วเดินไปในขณะที่มืดอยู่อย่างนั้น บรรยากาศในยามเช้ามืดนั้นช่างเหน็บหนาวกว่าในตอนกลางคืนหลายเท่า อาจจะเป็นเพราะเสื้อที่ขาดวิ่นจนไม่มีอะไรเหลือที่จะเอามาปะติดปะต่ออีกแล้วปลิวไสว ก็เหมือนกับร่างกายของข้าพเจ้าอันผอมซูบที่กำลังจะถูกลมหนาวพัดปลิวไปเช่นกัน ข้าพเจ้าที่กำลังอ่อนแรงเริ่มเดินไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด ข้าพเจ้าอาจได้เดินทางไกลที่สุดจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

    ไม่มีวี่แววว่าใครจะจุดตะเกียงขึ้นมาในตอนเช้ามืดของวันที่ยี่สิบสี่วันนี้ ข้าพเจ้ายังคงเดินตัวหนาวสั่นเพื่อมุ่งหน้าไปยังท่าเรือดังกล่าว เดินผ่านบ้านที่เรียงรายไปจนมาถึงท่าเรือบาเรลบริดจ์ในที่สุด เหมือนกับที่เขาพูดกับข้าพเจ้าไว้ มีเรือลำใหญ่ยักษ์ราวกับเรือโจรสลัดที่ข้าพเจ้าใฝ่ฝันอยากจะขึ้นมานานแสนนานจอดเทียบท่าอยู่ และดูเหมือนว่าในอีกไม่ช้าเรือกำลังจะจากข้าพเจ้าไปถ้าไม่ทำอะไรซักอย่าง มันเป็นเรือที่ทำจากไม้ที่แข็งที่สุดมีปืนใหญ่ติดอยู่ข้างตัวเรือ ห้าหัว และบนเรืออีกประมาณสามหัวตามที่ข้าพเจ้าเห็นด้วยตา ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้อีก เพราะมองไม่เห็นใครเลยบนเรือลำนั้น พวกเดินเรือคงจะอยู่ข้างในตัวเรือ อาจจะประชุมกันอยู่ว่าจะเดินทางไปไหนกัน ข้าพเจ้าคิดไปเรื่อยเปื่อย และแล้วความกล้าหาญก็เผชิญเข้า ข้าพเจ้าเหยียบทางบันไดที่เทียบกับพื้นดินของท่าเรือ เดินขึ้นไปบนเรือทันที แต่แล้วทันใดนั้นเองมีเสียงจากข้างหลังของข้าพเจ้ามาหยุดไว้ มือของชายวัยกลางคนแตะที่ไหล่ข้างซ้ายของข้าพเจ้า ทำให้ต้องหันไปมองว่าเป็นใคร

    “เจ้าหนูผมแดง เจ้าเดินมาทำอะไรบนเรือมโหฬารลำนี้ ? ดูเนื้อตัวเจ้าสิ มอมแมมเสียเหลือเกิน ทำไมรึ ? อยากขึ้นเรือรึไง ? ไม่มีทางหรอกน่า ฮ่าๆ อย่างเจ้านี่ต้องไปเป็นเด็กล้างจานให้กับร้านอาหารแห่งใดแห่งหนึ่งถึงจะเหมาะ” ชายวัยกลางคน ผมดำสนิท นัยน์ตาดูไม่เป็นมิตร รอยขีดข่วนเต็มไปหมดตามแขน หน้าตาที่ดูไม่ดีเป็นกระเกลื้อนพูดอย่างกับดูถูกข้าพเจ้าอย่างหนัก ข้าพเจ้ามองไปดูที่ปกอกเสื้อของเขาเห็นข้อความว่า ‘กริมม์ เกรกอรี่’ ไม่ใช่คนที่ข้าพเจ้าตามหา คนที่ข้าพเจ้าตามหาจะเป็นใครกันนะ ? ข้าพเจ้าคิด

    “ขอโทษนะครับท่านลุง ผมมาหาลูกเรือชื่อ ‘เอ็ดเวิร์ด โจนส์’ ครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างเรียบๆ ไม่อยากสู้กับน้ำเสียงที่ดุราวกับสิงโตของเขานัก พอเขาฟังผม ซักพักก็ถอดหมวกเดินทางของเขาออก นั่งลงตรงหน้าให้เท่ากับความสูงของข้าพเจ้า

    “เจ้ามาตามหาเอ็ดเวิร์ดลูกเรือคนใหม่ของเราทำไม ? รู้จักเขารึ ? แต่ข้าว่าอย่างเจ้าคงไม่ได้สนิทอะไรกับเขาใช่ไหม ?” สรุปคือหนุ่มที่ชื่อเอ็ดเวิร์ดเป็นลูกเรือใหม่อย่างนั้นรึ ? ทำไมชายผู้นั้นต้องให้มาหาเขาแทนที่จะเป็นกัปตันเรือหรือไม่ก็ลูกเรือที่อยู่มานานจนชำนาญการแล้ว ข้าพเจ้าไม่เข้าใจเลย จนกระทั่งมีเสียงเดินมาจากบนเรือลงมาตามทางเดินที่ข้าพเจ้ายืนคุยกับลุงคนนั้น ข้าพเจ้าหันกลับไปมอง ชายหนุ่มแน่นสวมหมวกเดินเรือสีน้ำตาล ผมบนศีรษะสีทอง นัยน์ตาสีฟ้าคราม หน้าตาดูหล่อเหลาและเกลี้ยงเกลา บ่งบอกว่าเป็นชาวอังกฤษนี่เอง สวมเสื้อกั๊กสีน้ำตาล ชุดชั้นในสีฟ้าสวมงาม ใส่กางเกงยาวสีดำอ่อนๆ รัดเข็มขัดที่เงาวับ เหลือบไปเห็นป้ายที่ปกอกเสื้อ ‘เอ็ดเวิร์ด โจนส์’ เดินลงมา เขาคงได้ยินเสียงเอะอะของลุงนี่จนเดินลงมา เขามองหน้าข้าพเจ้าซักพัก แล้วหันไปหาลุงกริมม์คนนั้น ถามเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น ลุงกริมม์ก็บอกว่าข้าพเจ้าถามหาเขา แล้วเขาก็กลับมาก้มลงมองข้าพเจ้าอีกครั้ง มองดูเสื้อผ้าที่ขาดๆ เก่าๆ ของข้าพเจ้าซักพัก จากนั้นอีกไม่นานเขาเดินจูงมือพาข้าพเจ้าขึ้นไปบนเรือลำยักษ์ ในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่สนใจอะไรอีกแล้ว กำลังคิดแต่เพียงว่าจะต้องทำยังไงต่อไป ?

    ข้างบนเรือไม่เชิงว่าจะเป็นพื้นที่โล่งกว้างอะไรเลย ส่วนมากจะมีแต่ลังไม้วางกองๆ กันไป มีเชือกร้อยไปร้อยมาเป็นจำนวนมากบนเรือ โดยเฉพาะตรงเสากระโดงเรือ บนนั้นมีจุดยืน ข้าพเจ้าลองมองขึ้นไปที่สูงที่สุด มีชายตัวเตี้ยๆ สวมหมวกเดินเรือเช่นกันอยู่บนนั้น ทำอย่างกับคอยดูลาดเลาไปเรื่อยๆ ส่วนหัวเรือก็เริ่มมีคนยืนอยู่ประมาณสามถึงสี่คนแล้ว ต่างกับในตอนที่ข้าพเจ้ามองไปรอบๆ ในตอนแรกที่ยังคงมืดและไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า ข้าพเจ้าตามหนุ่มเอ็ดเวิร์ดเปิดประตูห้อง ลงมายังชั้นล่างของเรือ เปิดประตูห้องๆ หนึ่งที่ติดผนัง เขาพาข้าพเจ้ามาที่ดูจะสบายๆ ตามแบบฉบับของนักเดินเรือ มันเป็นห้องที่มีเตียงสองชั้น มีโต๊ะไม้วางเอกสารหลายๆ ฉบับ มีตะเกียงสวยๆ ตั้งด้วย เขาพาข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้ามองดูรอบๆ ซักพัก เขาก็ถามคำถามข้าพเจ้าเป็นข้อแรก เขาเอาซองซิการ์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงจุดไฟสูบควันมันเข้าไป ยืนไขว้ขาหลังพิงขอบประตูด้วย

    “นายมาที่เรือนี่ต้องการอะไรรึ เด็กน้อย ?” ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่สบายๆ มากที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าดู เขาดูไม่สนใจอะไรว่าข้าพเจ้ามาทำอะไร ? เหมือนกับว่าจะถามส่งๆ ไปอย่างนั้น มันก็ทำให้ข้าพเจ้าไว้ใจเข้าได้มากที่สุดแล้ว

    “ขอโทษนะครับ พี่ชาย ที่ทำให้ต้องลำบาก ผมก็ไม่แน่ใจว่าทำไมต้องมา แต่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมอยากขึ้นเรือลำนี้” ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นคำตอบที่ข้าพเจ้าไม่ได้คิดไว้ก่อนเลย

    “เอาเถอะ ไหนๆ นายก็ขึ้นมาแล้ว คงรู้จักฉันแล้วสิ ‘เอ็ดเวิร์ด โจนส์’ ฉันจะดูแลนายก็แล้วกัน แต่นายต้องมาเป็นคนของฉัน หวังว่าคงเข้าใจนะ แล้วก็.. ที่นอนของนายน่ะ อยู่เตียงชั้นบนสุด นายจะเป็นลูกเรือของเราตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันก็เป็นลูกเรือคนใหม่เหมือนกัน พึ่งมาอยู่ได้ประมาณอาทิตย์หนึ่งเท่านั้น มีอะไรข้องใจก็ถามฉันได้ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ ทำให้เหมือนกับนายอยู่บ้าน เพราะสังคมบนเรือลำนี้จะทำให้นายเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เอาล่ะ ! น้องชาย.. ไหนขอทราบชื่อนายหน่อยซิ ?” ใช่จริงๆ เขาดูเหมือนจะสบายๆ มากเลย เขายังคงสูดควันอยู่อย่างนั้น ไม่มองหน้าข้าพเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับจิตใจเหม่อลอยไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    “อีริคครับ.. ‘อีริค วอร์ไมเดน’” ข้าพเจ้าตอบไปสั้นๆ บนหน้าของชายหนุ่มปราดไปด้วยรอยยิ้มที่เริ่มส่งให้ข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงใครคนหนึ่งในสมัยก่อนเป็นอย่างยิ่ง พอเขาทราบชื่อของข้าพเจ้าแล้วจึงยืนขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้ปิดประตูอยู่อย่างนั้น ข้าพเจ้าสำรวจห้องอีกรอบหนึ่ง มีตู้เสื้อผ้าอยู่มุมห้องอยู่ ไม่มีกระจก แต่ข้าพเจ้าจำได้ว่าข้างนอกมีกระจกก่อนที่จะเข้าห้องมา ซักพักเสียงเดิมเดินกลับมายืนหน้าประตูห้อง มือขวาถือซิการ์ควันโขมงพูดกับข้าพเจ้า

    “แล้วก็.. เสื้อผ้าเก่าๆ ฉันอยู่ในตู้ที่นายยืนอยู่ตรงนั้นน่ะ หยิบมาใส่ซะ แล้วทิ้งเสื้อโทรมๆ นั้นเสีย จะได้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย ไม่ต้องเกรงใจนะไอ้น้อง” คนๆ นี้ถือว่าดีใช้ได้เลยทีเดียว จนข้าพเจ้าคิดว่าเขาอาจเป็นคนที่ดูชิวที่สุดแล้วในโลก แบบว่าไม่สนใจอะไรเลย ข้าพเจ้าหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมา เขายังไม่ไปไหน ยืนรออยู่หน้าห้องอย่างกับรอข้าพเจ้าเปลี่ยนชุดเสร็จก่อนถึงจะชวนไปที่ไหนซักแห่ง ข้าพเจ้าไม่รอช้ารีบเปลี่ยนชุด ยอมรับว่ามันสวยงามที่สุด ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้แต่งตัวเป็นนักเดินเรือตามที่ใจหวังไว้ เสื้อชั้นในสีแดง เสื้อกั๊กข้างนอกสีน้ำตาลเข้ม กางเกงขายาวสีดำอ่อนๆ พร้อมเข็มขัดเงาวับ ข้าพเจ้าสวมใส่ทั้งหมดลงไป ปิดตู้เสื้อผ้า กำลังจะเดินออกไปหน้าห้อง เอ็ดเวิร์ดบอกเสียงเบาๆ ว่าหยิบหมวกที่แขวนตรงหน้าต่างมาใส่ด้วย ข้าพเจ้าก็เดินกลับไปอีกรอบ หยิบหมวกเดินเรือยาวสีน้ำตาลมาใส่

    “ตีห้าสามสิบนาที ได้เวลาอาหารยามเช้าแล้ว ตามฉันมา” ชายหนุ่มสั่งไว้ ข้าพเจ้าเดินตามเขาเลี้ยวไปทางขวามือ จากที่ข้าพเจ้าเดินตามเขาลงมาจากทางซ้ายซึ่งเป็นบันไดขึ้นไปชั้นบนเรือ เดินตามหลังไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้าเริ่มมองเห็นแสงไฟสลัวๆ ตรงทางข้างหน้า มีโต๊ะไม้เต็มไปหมด วางอย่างไม่เป็นระเบียบ กับม้านั่งไม้ที่ติดไว้แต่ละตัว มีกลุ่มชายฉกรรจ์เต็มไปหมด กำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าอย่างเสียงดัง ที่เสียงดังก็เพราะพูดคุยสรวลเสเฮฮากันไปเรื่อยเปื่อย หัวเราะคิกคักกัน ทันทีที่ก้าวเข้าไป ชายเหล่านั้นก็หันมามองข้าพเจ้ากันเต็มไปหมด ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มหวาดกลัวนิดๆ แต่สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มผ่อนคลายลงบ้างก็เพราะเอ็ดเวิร์ดพี่เลี้ยงข้าพเจ้าคนนี้นี่เอง

    “เอาล่ะๆ ทุกท่าน ข้าขออภัยกับเรื่องนี้ด้วย นี่น้องชายห่างๆ ของข้าเองแหละ เขาจะมาอยู่ร่วมกับพวกท่านตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะมาใช้ชีวิตบนเรือกับเราๆ ขอให้พวกท่านอย่างได้กลั่นแกล้งอะไรเขา เขายังเป็นเด็กอยู่ ขอต้อนรับเขาไว้ในอ้อมอกของชาวเรืออย่างเรา.. ‘อีริค วอร์ไมเดน’ !” จากนั้นมันกลับทำให้ตัวข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเยอะ จากกาลเวลาหลายปีที่ผ่านมา รู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก พวกชายที่น่ากลัวพวกนั้นส่งเสียงเฮให้กับข้าพเจ้า ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นมิตรมากกว่าวายร้ายเสียอีก หลังจากนั้นพวกเขาก็หันกลับไปรับประทานมื้อเช้ากันต่อ พูดคุย หัวเราะ ยิ้มแย้ม ส่วนตัวข้าพเจ้าก็ถูกพาไปนั่งแถวหน้าสุดกับนายเอ็ดเวิร์ดของข้าพเจ้า ซักพักก็มีคนนำอาหารเช้ามาเสิร์ฟ นับว่าเป็นมื้อแรกที่ได้กินอาหารที่สมบูรณ์ที่สุดในรอบปีเช่นกัน ในจานของเราประกอบด้วยไข่ดาวหนึ่งฟองสดๆ เนื้อปลาแซลม่อนย่างอย่างดี พร้อมกับแก้วน้ำส้มคั้นใสๆ อีกหนึ่งแก้ววางอยู่ข้างๆ จาน ข้าพเจ้าถูมือไปมาหลังจากหายหนาวไปซักพักหนึ่งแล้ว หยิบส้อมกับมีดพร้อมรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยที่สุด เอ็ดเวิร์ดที่นั่งตรงข้ามแอบมองข้าพเจ้านิดๆ และยิ้ม ในขณะที่เขาก็กำลังรับประทานอยู่เช่นกัน แน่นอนว่าการที่ข้าพเจ้ามาขออยู่อาศัยด้วย แล้วอย่างน้อยก็ควรจะคิดหาอะไรมาพูดคุยกันบ้างในขณะที่กินอยู่ด้วย มันเป็นมารยาทที่ควรให้กับผู้ที่รับเราไว้จากความยากลำบากที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเริ่มหาคำถามซักสองสามข้อถามนายเอ็ดเวิร์ด

    “ขอบคุณนะครับสำหรับเรื่องที่รับผมมาอยู่ที่นี่ ไม่งั้นผมคงจะต้องตายอยู่อย่างนั้น ตรงมุมถนนแคบๆ ที่ไลอ้อนเกทซิตี้ มันเหมือนกับผมได้เกิดใหม่อีกรอบ แล้วพี่อยู่เป็นนักเดินเรือนานแล้วใช่ไหมครับ ?”

    “แน่นอนล่ะ ! ตั้งแต่ฉันยังเด็กแล้วล่ะ ครอบครัวก็ส่งเสริมให้ฉันเป็นนักเดินเรือ และฉันก็ชอบมันด้วย เอ้อ ! แล้วนายอายุเท่าไหร่ล่ะ อีริค ?”

    “สิบสองปีครับ” นายเอ็ดเวิร์ดแทบวางส้อมกับมีดทันที

    “นายนี่สุดยอดเหลือเชื่อจริงๆ ! เด็กน้อยขนาดนี้ไปนอนอยู่ข้างถนนแบบนั้น น่าสงสารเสียจริงๆ แล้วนายอยู่อย่างนั้นมากี่วันแล้ว ?” เขาจ้องหน้าถามข้าพเจ้าอย่างนั้น

    “สองปีแปดเดือนยี่สิบสี่วันครับ แต่เป็นยี่สิบสี่นิดๆ เพราะผมพึ่งขึ้นเรือมานี่เอง”

    “นายรอดแล้วล่ะไอ้น้อง ! ถ้านายไม่มาที่นี่ฉันคงไม่รู้ว่านายลำบากขนาดนั้น ไหนเล่าประวัตินายคร่าวๆ ให้ฉันฟังทีซิ” เขาดูเหมือนจะตั้งใจฟังมาก ถึงกับหยุดกินข้าวเช้าเป็นพักใหญ่เอาศอกทั้งสองข้างประทับตั้งบนโต๊ะ ถูมือไปมา แล้ววางคางไว้บนมือสะอาดๆ ทั้งสอง ตั้งใจฟัง ข้าพเจ้าก็ยังคงกินเข้าไปพร้อมกับเล่าไปด้วย

    “เมื่อเกือบสามปีก่อน ผมเสียครอบครัวไป ครอบครัวผมก็มีกันอยู่แค่สองคน คือผมกับท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นทหารสงคราม พ่อเล่าให้ฟังครั้งสุดท้ายว่าต้องไปรบกับข้าศึก นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมต้องเสียเขาไป ไม่มีแม้แต่คำล่ำลา มีแต่สิ่งๆ เดียวที่ทำให้ผมระลึกถึงเขาคือนาฬิกาเรือนนี้เท่านั้น ที่ท่านพ่อให้ไว้ก่อนที่จะเสียท่านไป จากนั้นผมก็ไม่มีที่อยู่อีกเลย เพราะถูกพวกนักการยึดบ้านไปหมด ทำให้ผมไร้ที่อยู่ จากวันนั้นเป็นต้นมาผมก็ต้องหาที่อยู่ใหม่ ผมเดินผ่านถนนสาย ๘๖ ไปถึงถนนสาย ๘๘ จนกระทั่งหมดเรี่ยวแรงในที่สุด ผมล้มลงตรงนั้น มันก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ผมไม่อาจเล่าบรรยายได้มากกว่านี้แล้ว มันยังคงเป็นฝันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเด็กน้อยอย่างผม” ข้าพเจ้าเล่าตามที่เขาอยากจะฟังแล้ว เขานิ่งเงียบไปซักพัก ทำหน้าตาสงสารเอ็นดูข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก เขาอาจจะประทับใจหรืออะไรบางอย่างที่ทำให้เด็กชายอย่างข้าพเจ้าได้มาอยู่ ณ ตรงหน้าเขานี้

    เขายิ้มให้อย่างเอ็นดู “นายนี่มีพรสวรรค์เรื่องความทรงจำสินะ นายจำได้แม้กระทั่งวันเวลา เป็นเด็กที่แปลกนะสำหรับพวกเราน่ะ นายผ่านประสบการณ์ความสูญเสียมาเยอะสินะ ฉันก็เหมือนนาย ฉันสูญเสียครอบครัวก็เพราะสงครามนี่แหละ ครอบครัวเสียสละให้ฉันได้อยู่ต่อไป ยอมแม้กระทั่งแลกชีวิตให้คนอย่างฉัน แต่ก็นะ ! เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละ วิถีชีวิตของคนเรามันต้องเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมาย หวังว่าเราจะเป็นพี่น้องกันได้ ฉันอายุ ๑๘ ปีไม่ห่างจากนายเท่าไหร่หรอกไอ้น้อง” เขาพูดยิ้มๆ แล้วกินอาหารเช้าต่อไป หลังจากกินกันเสร็จแล้ว ซักพักมีเสียงประกาศจากบนเรือชั้นบนว่าในอีกไม่ช้าเรือก็จะออกจากทวีปยุโรปสู่ทวีปอเมริกาเหนือแล้ว หวังว่าจะเป็นการเดินทางที่สนุกสนาน ทั้งข้าพเจ้า เอ็ดเวิร์ด และลูกเรือที่พึ่งทานอาหารเช้าเสร็จก็เดินขึ้นไปชั้นบนสุดดาดฟ้าเรือ ข้าพเจ้าเหลือบดูนาฬิกาของท่านพ่อนี่เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว ข้าพเจ้าแอบนับจำนวนคนบนเรือว่ามีเท่าไหร่ ข้าพเจ้านับได้ทั้งหมดสี่สิบเอ็ดคนรวมข้าพเจ้าด้วย เอ็ดเวิร์ดพาไปนั่งเก้าอี้ไม้ที่หัวเรือโดยเก้าอี้หันหน้าไปทางที่บังคับทิศทางเรือ เห็นชายร่างท้วมหมุนๆ อยู่ตรงนั้น นั่นคงจะเป็นกัปตันเรือ ไม่มีใครบอกข้าพเจ้าว่าใครคือกัปตันตั้งแต่ขึ้นเรือมาแล้ว เอ็ดเวิร์ดก็ปีนเชือกขึ้นไปบนเสากระโดงเรือ ไปยืนแทนที่ชายหนุ่มเตี้ยๆ คนที่แล้ว แล้วหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาส่องระยะทางอย่างเคร่งขรึม ข้าพเจ้ามองไปรอบๆ อีกที ชายหนุ่มร่างบึกบึนที่กินอาหารเช้าตอนตีห้าสามสิบก็ช่วยกันหักทางเดินเรือทำให้เรือเริ่มขยับลำ แต่แล้วข้าพเจ้าก็ต้องตกใจสะดุ้งเล็กน้อยอย่างไม่คาดคิด ข้าพเจ้าเหลือบมองปางที่ข้าพเจ้าจากมา นั่นคือดินแดนของประเทศหนึ่งในยุโรป ตรงท่าเรือบาเรลบริดจ์เต็มไปด้วยพวกผู้คุม พวกทหารแล้วในขณะนี้ ข้าพเจ้าเริ่มสงสัยแล้วว่าเรือที่ข้าพเจ้าอยู่ในขณะนี้เชื่อถือได้หรือไม่ ? ข้าพเจ้าพยายามลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพื่อจับราวไม้เฝ้าดูพวกทหารที่กำลังมองดูเรือยักษ์ของเราแล่นออกจากท่าอย่างช้าๆ บางคนที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นหัวหน้าทหารทำหน้าเคร่งเครียดเหมือนกับกลุ้มใจอะไรบางอย่าง ผู้คุมส่วนมากก็เช่นกัน ข้าพเจ้าหันขึ้นดูทางเอ็ดเวิร์ด เขายิ้มและโบกมือให้กับพวกทหารกับผู้คุมอย่างเยาะเย้ย แล้วไม่นานเขาก็หันมามองข้าพเจ้า ยิ้มให้ข้าพเจ้าเช่นกัน ข้าพเจ้างงงวยไปหมดว่าเรือลำนี้มีอะไรกันแน่ ? ข้าพเจ้าจะต้องพยายามรู้ให้ได้ว่าทำให้พวกผู้คุมพวกทหารถึงทำท่าทางไม่พอใจกับเรา

    เอ็ดเวิร์ดปีนลงมาจากเสากระโดงเรือ ข้าพเจ้าวิ่งไปหาเขาเพื่อจะถามเอาความให้ได้ในขณะที่เขายืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าแล้ว เขารู้ว่าข้าพเจ้าจะถามอะไร เขาก็พูดออกมาจนได้

    “ฉันเสียใจนะน้องชาย นายติดมากับเราแล้วล่ะ ตอนแรกฉันคิดจะหาเด็กคนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ แต่แล้วนายก็ก้าวขึ้นมาหาฉันด้วยตัวเอง นายคงเข้าใจใช่ไหม ?” ข้าพเจ้ายังคงทำหน้าตางงๆ ไม่เข้าใจ เขาจึงอธิบายต่อไป “ที่ฉันบอกว่าหาเด็กคนหนึ่งมาน่ะ ฉันคิดจะเอามาเป็นตัวประกัน จะได้ทำให้พวกผู้คุมพวกทหารไม่กล้าทำอะไรเรือลำนี้ของเรา เพราะพวกนั้นต้องเกรงกลัวแน่นอนถ้าเห็นว่ามีเด็กอยู่บนเรือจนไม่กล้าจะยิงเรือของเรา จากนั้นฉันจะให้ลูกเรือปล่อยเด็กคนนั้นตกน้ำไป ทำให้ความสนใจไปที่เด็กคนนั้น เขาก็จะไม่กล้าตามเรือลำนี้ไงล่ะ !”

    ข้าพเจ้าขนลุกซู่ไปหมด ข้าพเจ้าเริ่มกลัวๆ ชายที่ชื่อเอ็ดเวิร์ดผู้นี้แล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าเขาจะเป็นอย่างที่ข้าพเจ้าคิดในตอนนี้รึเปล่า ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ข้าพเจ้าคงต้องพยายามกระโดดออกจากเรือมาให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะหนีพวกลูกเรือกับชายผู้นี้ แต่ความคิดนั้นก็ถูกตัดออกไปเมื่อข้าพเจ้าได้ฟังคำกล่าวของเอ็ดเวิร์ดผู้นี้

    “ฉันต้องขอโทษนายจริงๆ นะ แต่นายเป็นเด็กดีเกินไปที่ฉันจะปล่อยไปได้ลง ฉันอยากให้นายอยู่กับฉันที่นี่ ตอนนี้ และต่อไป ฉันไม่ต้องการให้นายไปหรอกนะ แม้ว่านายจะอยากไปจากพวกเราก็ตาม ฉันรู้ว่าเราทำผิดพลาดมา แต่ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดกับเราแน่นอน ฉันขอยอมรับโดยตรงเลยก็แล้วกัน ว่าเรือของพวกเราเป็นเรือโจรสลัดจริงๆ นายอาจจะคิดว่ามันไม่ใช่ แต่นี่แหละเรือโจรสลัดของจริง ! และฉันก็เป็นกัปตันเรือนี้ด้วย ขอโทษด้วยที่ทำให้เข้าใจผิด คิดว่าเป็นลูกเรือใหม่ของเรือแห่งนี้ แต่ฉันต้องทำเพื่อปกปิดบางสิ่ง อย่างที่นายเห็นๆ อยู่คือพวกทหารกับผู้คุมต้องการจับตัวฉันเป็นอย่างมาก” ข้าพเจ้าเริ่มรู้อะไรบางอย่างแล้วจึงขอให้เขาเล่าต่อไปอีก จนกระจ่างแจ้งเห็นความ

    “พวกฉันน่ะ ก่อคดีมามากมายนับไม่ถ้วน แต่ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยว่าไม่มีคดีเกี่ยวกับการทำร้ายหรือฆ่าคนอย่างแน่นอน ขึ้นชื่อว่าโจรสลัดแล้ว ก็ต้องเกี่ยวกับการล่าขุมทรัพย์ล่าสมบัติใช่ไหมล่ะ ? วันหนึ่งฉันเดินเรือไปที่เกาะหนึ่งที่มีพวกทหารอยู่เต็มไปหมด ฉันต้องการเพียงขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในเกาะเท่านั้น แต่กลัวถูกข้อหาบุกรุกสถานที่ และพวกมันก็รู้ด้วยว่าฉันต้องการของล้ำค่าพวกนั้น พวกมันจึงคอยขัดขวางตลอดเวลาที่เราเดินเรือไปเทียบท่าที่ไหนก็ตาม แม้กระทั่งที่นี่ด้วยอย่างที่นายเห็นนี่แหละ”

    “งั้นก็คือเรือที่ผมอยู่นี้เป็นเรือโจรสลัด ?” ข้าพเจ้าอึ้งไปซักพัก

    “แน่นอน” เขาตอบห้วนๆ

    นัยน์ตาของข้าพเจ้าเริ่มก้มต่ำลง มันทำให้ข้าพเจ้าสะดุ้งสุดๆ เคยเพียงแค่ใฝ่ฝันที่จะเห็น แต่กลับได้มากกว่านั้นคือได้การสัมผัสที่สมจริงที่สุด และแน่นอนว่าข้าพเจ้ากลับแผ่นดินนั้นไม่ได้แล้ว พวกทหารเห็นหน้าตาของข้าพเจ้าเสียแล้ว และถ้าข้าพเจ้าไม่กระโดดจากเรือ พวกเขาคงคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน และแล้วความคิดบางอย่างทำให้ข้าพเจ้าถามคำถามสุดท้ายออกไป..

    “สรุปว่าที่แท้จริงแล้วพี่คือ ‘ดิโอลด์ชิฟ’ ?” ข้าพเจ้ายังคงตั้งใจฟังคำตอบ

    “เปล่าหรอก นั่นเป็นวายร้ายตัวฉกาจเลยแหละ”





    จริงๆ ลงไว้อีก 3 ตอนต่อไป (แต่ย่อไปอีกเยอะเลย) มันเป็นลิขสิทธิ์ส่วนตัวครับ เผยแพร่ออกไปเยอะไม่ได้
    แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะ นี่ตอนที่เหลือไปค้นเอง > http://blog.wunjun.com/21guns <

  2. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jun 2012
    กระทู้
    516
    กล่าวขอบคุณ
    832
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    ชอบครับ---------


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top