ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 2 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 12
กำลังแสดงผล 26 ถึง 49 จากทั้งหมด 49
  1. #26
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 23: The Nurse ชีวิตหม่นหมอง

    Chapter 23: The Nurse ชีวิตหม่นหมอง

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 21.06 น.

    ปริมาณน้ำฝน 2.346 นิ้ว


    เป็นเวลากว่า 12 ชั่วโมงแล้วที่ฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง เมดิสันซึ่งพึ่งกลับมาจากที่ทำงานก็เดินเข้ามาไขประตูเข้าห้องพักของเธอใน ครอสโร้ด โมเต็ล แต่เธอกลับเหลือบไปเห็นห้องซึ่งอยู่ห่างจากเธอไป 6 ประตูเปิดแง้มอยู่

    เมดิสันเดินไปตรงห้องนั้นและเคาะประตูเบาๆก่อนที่เธอจะเดินเข้าไป เธอเห็นอีธานนอนสลบอยู่กับพื้นอยู่ เสื้อผ้าเขาขาดวิ่นและมีกลิ่นเลือดโชยออกมาจากตัวเขา เธอยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก แต่เธอก็ตรงรี่เขามาหาอีธานแล้วอุ้มตัวเขาวางลงไปบนเตียง

    “อีธาน! อีธาน! ได้ยินฉันไหม?” เมดิสันพยายามปลุกพลางลูบมือไปบนหน้าผากเขา

    อีธานเริ่มรู้สึกตัว เธอโล่งอกเมื่อเห็นเขาค่อยๆกะพริบตาอย่างสะลึมสะลือ

    “คุณมีไข้สูงมากเลยนะ” เธอบอกกับเขา “ถอดเสื้อออกสิเดี๋ยวฉันจะปิดแผลให้”

    “อะ... อ่า...” อีธานลุกขึ้นมาและพยายามเปิดปากพูดแต่ในหัวเขานั้นวิงเวียนมากจนเขาล้มตัวลงไปนอนอีกครั้ง

    “เดี๋ยวฉันถอดให้”

    เมดิสันถอดเสื้อของเขาออกมาอย่างช้าๆ เห็นแขนและท้องของเขาเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลที่ค่อนข้างลึก

    “คุณดูแย่มาก... บอกเลย...”

    เมดิสันเดินไปเอาผ้าก๊อตและยาปิดปากแผลมาจากห้องน้ำ จากนั้นเธอก็ทามันลงไปบนแผลที่แขนและท้องของเขา เธอไม่ลืมที่จะพันผ้าก๊อตลงบนแขนของเขาเมื่อทุกอย่างเสร็จ

    “เอาล่ะอีธาน... นอนพักซะนะ” เมดิสันจับมือเขา “อีธาน... อีธาน อีธาน!”

    อีธานนอนนิ่งไม่เคลื่อนไหว

    “เขาคงจะหลับไปสินะ...”

    เมดิสันเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ใกล้ๆเตียงและรอเขาไปเรื่อย เธอพยายามคิดว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ในสภาพแบบนี้บ่อยครั้งนัก เวลาในนาฬิกาบนผนังก็ขยับไปเรื่อยๆ เธอรอเขาจนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา

    “เป็นไงบ้าง” เมดิสันถามเขาด้วยความเป็นห่วง

    “ดีขึ้นแล้วแหละ... ผมหลับไปนานไหม”

    “ประมาณ... สามชั่วโมงน่ะ”

    อีธานหันมามองที่เมดิสัน “ทำไมล่ะ... ทำไมถึงมาช่วยผม คุณไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ”

    เมดิสันก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนที่จะตอบเขา “รู้มั้ย... ตอนที่ฉันยังเด็กๆน่ะ ฉันเป็นคนที่คอยดูแลน้องชายของฉันที่ถูกรังแกอยู่บ่อยๆ ไม่รู้สิ... ฉันชินแล้วแหละ กับการช่วยคนอื่นน่ะ”

    อีธานลุกขึ้นจากเตียงและค่อยๆเดินไปนั่งตรงขอบเตียงใกล้ๆเมดิสัน ขาข้างขวาของเขาอาการยังไม่ค่อยดีนัก เขาคงจะยังเดินเร็วๆหรือวิ่งไม่ค่อยได้

    “คุณบอกว่า...” อีธานถามเธอ “คุณมาอยู่ที่นี่เพราะคุณเป็นโรคนอนไม่หลับหรอ”

    “อืม... ฉันมีอาการแปลกๆตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาน่ะ แต่ฉันก็อยู่กับมันมาได้ล่ะนะ... มันเป็นสิ่งบางสิ่งที่อยากจะลืมมันไปน่ะ...” เมดิสันตอบเขาและเงยหน้าขึ้นมา “พูดถึง... นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่ฉันเห็นคุณในสภาพแบบนี้น่ะ คุณเหมือนจะเอาชีวิตไปโยนทิ้งอยู่นะ... เกิดอะไรขึ้นหรออีธาน”

    อีธานไม่ตอบ เขาหันหน้าหนีเธอและมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีเม็ดฝนโปรยลงมาอยู่

    “คุณติดหนี้ใครอยู่... อะไรทำนองนี้หรือเปล่า... หรือมันเกิดอะไรขึ้นน่ะอีธาน” เมดิสันเซ้าซี้เขา

    “นี่... ฟังนะ” อีธานหันหน้ากลับมา “ผมซาบซึ้งมากเลยที่คุณมาช่วยผม แต่เพื่อคุณนะ ผมไม่อยากให้คุณถามคำถามอะไรผมอีกแล้ว”

    “ทำไมล่ะ... ฉันอาจช่วยคุณได้...”

    “ไม่มีใครช่วยผมได้หรอก” อีธานยกมือขึ้น “คุณ... ช่วยผมมามากพอแล้ว”

    “นั่นสินะ...” เมดิสันถอยหลังไปช้าๆ “ฉัน... ควรกลับสินะ... ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”

    เมื่อเมดิสันออกไปนอกห้องแล้วอีธานก็เข้ามานั่งหน้าโต๊ะที่มีกล่องรองเท้าเก่าอยู่ เขาเปิดมันขึ้นมาและหยิบโอริกามิสีเขียวออกมาจากกล่อง เขาค่อยๆคลี่มันออกมาอย่างถนัดมือ

    คุณพร้อมหรือยังที่จะเสียสละเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?

    9711 ถนนมาร์เบิ้ล


    ***

    เวลา 21.18 น.

    ปริมาณน้ำฝน 2.363 นิ้ว


    ในขณะเดียวกัน ในสถานีตำรวจของกัปตันเพอร์รี่ นอร์แมนและเบลคก็กำลังสอบสวนมิโรสลาฟอยู่

    “ฉันไม่ได้ทำนะ ฉันสาบานเลย ฉันไม่ได้ทำ! ฉันไม่เคยฆ่าใคร ฉันไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับคดีนี้เลย” มิโรสลาฟในชุดนักโทษสีส้มบอกกับตำรวจคนหนึ่งซึ่งกำลังสอบสวนเขาในห้องสอบสวน

    “อ้อหรอ แล้วคุณจะวิ่งหนีพวกเขาทำไมเมื่อเขามาถามคำถามคุณล่ะ”

    “ก็ผมบอกคุณไปแล้วไงว่าผมลืมไปรายงานตัวกับตำรวจ ผมไม่อยากเข้าคุกอีกครั้งเข้าใจไหม! เมื่อผมเจอตำรวจ ผมก็ตกใจสิ ผมไม่ได้คิดอะไรอยู่เลยตอนนั้น”

    เบลค แอช และนอร์แมนมองดูตำรวจคนนั้นสอบสวนมิโรสลาฟอยู่หลังกระจกเงาด้านเดียว

    “ผมไปสืบค้นประวัติเขามาดูแล้ว” แอชบอกเบลค “เขามีประวัติฆ่าคนตายอยู่สามคน แต่เขาไม่เคยฆ่าเด็กและเขาก็ไม่น่าใช่นักฆ่าโอริกามิ”

    “โธ่เว้ย! ไอ้บ้านั้นมันตรงเป๊ะกับข้อมูลนักฆ่าเราเลย ถ้ามันไม่ได้เป็นนักฆ่า แล้วใครเป็นล่ะ” เบลคเริ่มโวยวาย แต่ก็ถูกขัดเมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามา

    แอชเดินไปรับโทรศัพท์

    “แอชพูดครับ... ครับ... โอเค...” แอชวางโทรศัพท์ลง “เบลค... แม่ของชอนอยู่ที่นี่ เขาอยากจะคุยกับคุณน่ะ”

    “อืม... ไปกันเถอะ” เบลคบอกกับแอชและนอร์แมนก่อนที่เขาจะเดินออกนอกห้องไป ทั้งสามคนเดินตรงไปที่โต๊ะตัวนึงซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่

    “สวัสดีค่ะ... ฉันชื่อเกรซ มาร์สค่ะ” เกรซแนะนำตัวเมื่อเห็นเบลคเข้ามานั่งใกล้ๆ “ดิฉันเป็นแม่ของชอนน่ะค่ะ แล้วก็เป็นอดีตสามีของอีธานด้วย คือ... มันเกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนน่ะค่ะ กลางดึกคืนนึง ฝนตกหนักมาก แล้วก็... อีธานมาที่บ้านประมาณตีสาม ฉัน... ถามเขาว่าเขาไปไหนมาน่ะค่ะ แต่เขาก็เอาแต่พูดเกี่ยวกับฝน... การจมน้ำ... เขา... ดูเหมือนว่าจะพูดไม่รู้เรื่องเลยน่ะค่ะ ในตอนนั้นมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในตาเขา มัน... มันไม่เหมือนตัวเขาน่ะค่ะ เหมือนเขาเปลี่ยนไปเป็นอีกคนเลย...”

    เบลคซึ่งนั่งฟังอยู่พลางจดข้อมูลลงบนคอมพิวเตอร์ก็พูดขึ้นมา “แล้วไงต่อครับ”

    “ก็คือ... มันอาจจะไม่มีอะไรต่อเนื่องกัน... แต่หลังจากวันนั้นก็มีข่าวเกี่ยวกับเด็กถูกฆ่าตายโดยนักฆ่าโอริกามิน่ะค่ะ”

    เบลคหยุดจดข้อมูลและหันหน้ามาหาเกรซด้วยความแปลกใจ

    “ขอร้องเถอะค่ะ” เกรซยกมือไหว้ “หาลูกฉันให้เจอด้วยค่ะ”

  2. #27
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 24: Shrink and Punches ตามล่าแพะ

    Chapter 24: Shrink and Punches ตามล่าแพะ

    วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2011

    เวลา 21.55 น.

    ปริมาณน้ำฝน 2.498 นิ้ว


    นอร์แมนและเบลคเดินทางมาที่ศูนย์บำบัดจิตที่อีธานไปหาเป็นประจำ ด้วยความที่เกรซให้ข้อมูลแก่เขาทั้งสองก็ทำให้เขาซักใจว่าใครคือนักฆ่าโอริกามิกันแน่

    “สวัสดีครับ... มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” หมอคนนั้นกล่าวต้อนรับชายทั้งสองซึ่งกำลังเดินเข้ามานั่งต่อหน้าเขา

    “ผมคือร้อยโทคาร์เทอร์ เบลคและนี่คือเอฟบีไอนอร์แมน เจย์เดน ตามข้อมูลที่เรามีอยู่ อีธาน มาร์สเป็นหนึ่งในคนไข้ของคุณ เรามาที่นี่เพื่อจะถามอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเขา” เบลคบอกกับหมอคนนั้น

    “ขอโทษครับ แต่นั่นคงเป็นไปไม่ได้” หมอคนนั้นกล่าวอย่างราบเรียบ

    “โทษนะ?”

    “มันเป็นจรรยาบรรณของหมอน่ะครับ ผมจะเปิดเผยข้อมูลของคนไข้ให้ไม่ได้ไม่ว่ายังไงก็ตาม”

    เบลคเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย “หน้าที่ของผมคือการหาชอน มาร์สให้เจอและผมก็ไม่สนใจกับจรรยาบรรณห่าเหวไรนั่นหรอก”

    นอร์แมนเข้ามานั่งร่วมคุยด้วย “ชีวิตของเด็กคนนั้นกำลังถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายนะครับ กรุณาบอกพวกเราด้วยเถอะครับคุณหมอ”

    “ผมขอโทษ ผมช่วยคุณไม่ได้” หมอคนนั้นกล่าว “และผมก็ต้องเชิญพวกคุณออกไปจากที่นี่”

    เบลคลุกขึ้น “คุณต้องร่วมมือ เพื่อตัวคุณเองนะ”

    “ใช่” นอร์แมนเสริม “ตามกฏแล้วคุณควรที่จะบอกข้อมูลของผู้ต้องสงสัยให้ตำรวจรู้นะ”

    “นี่พวกคุณกำลังขู่ผมหรอ” หมอคนนั้นถามอย่างกลัวๆ

    “ผมก็แค่ให้คำแนะนำนะหมอ ผมแนะนำให้คุณรับมันไว้” เบลคเอามือเท้าโต๊ะ

    “เบลค... พอได้แล้ว ไปจากที่นี่กันเถอะ” นอร์แมนเห็นท่าไม่ดีจึงชวนเบลคออกไป แต่เบลคกลับไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย

    “ผมจะโทรแจ้งตำรวจและร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำของคุณ” หมอคนนั้นหยิบโทรศัพท์ข้างๆตัวเขาขึ้นมาและกดโทรออกในทันที

    โครม!

    เบลคปัดโทรศัพท์ลงบนพื้นจนแตกกระจาย จากนั้นเขาก็เดินเข้ามากระชากคอเสื้อของหมอพร้อมกับเงื้อกำปั้นขึ้นมา

    “สิ่งเดียวที่ผมสนใจอยู่ตอนนี้คือการช่วยเด็กคนนั้น! คุณจะต้องร่วมมือกับผมไม่งั้นผมจะอารมณ์เสียยิ่งกว่าเก่าเข้าใจไหม!” เบลคตะโกนใส่หน้าเขา

    “เฮ้ยเบลค!” นอร์แมนขัด “คุณทำอะไรอยู่?”

    “ถอยไปนอร์แมน!” เบลคพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “ไอ้หมอนี่รู้อะไรบางอย่างแล้วผมจะไม่ปล่อยมันจนกว่าผมจะได้ข้อมูลมา”

    “ปล่อยผมนะ!” หมอคนนั้นพยายามปัดมือเบลคออกจากคอเสื้อ “คุ... คุณ... ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้!”

    เมื่อเบลคได้ยินดังนั้นเขาก็ลากคอหมอคนนั้นแล้วจับทุ่มลงไปบนคอมพิวเตอร์

    “เอาสิหมอ... มีวิธีง่ายๆกับวิธียากๆ เลือกเอา!” เบลคกระชากตัวเขาขึ้นมาจากพื้นและระยำหมัดไปบนหน้าหมอคนนั้น

    “คุณไม่มีสิทธิ์ไปแตะต้องตัวเขา!” นอร์แมนร้องห้าม

    “ผมกำลังทำเพื่อเด็กคนนั้น! ถ้าคุณไม่ชอบก็ออกไป!”

    “ถ้าคุณไม่ปล่อยมือออกจากผู้ชายคนนี้ ผมจะรายงานเกี่ยวกับพฤติกรรมของคุณ ไม่ช้าคุณก็จะถูกถอนออกจากคดีนี้!”

    “อะไรของคุณวะนอร์แมน” เบลคปล่อยมือและเดินตรงมาหานอร์แมน “เกิดกลัวขึ้นมารึไง? ทำไม? ไม่กล้าทำให้มือตัวเองเปื้อนหรอ? ผมคิดว่าคุณอยากจะช่วยเด็กคนนั้นซะอีก!” เบลคยื่นหน้ามาใกล้ด้วยความโมโห

    “ผมก็อยากจะช่วยเด็กคนนั้นเหมือนกับคุณ! แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมต้องการซักหน่อย! คุณจะต้องหยุดเดี๋ยวนี้!”

    “หยุดห่าเหวไรล่ะ ถ้าคุณไม่ทำแบบนี้แล้วจะมีวิธีไหนอื่นอีก บอกมาสิวะ! ถ้าคุณไม่ชอบก็ออกไปเลย! ออกไป! และจำไว้เลยนะ ถ้ามันมีครั้งหน้า ผมจะไม่ออมมือแน่”

    เบลคและนอร์แมนจ้องหน้าข่มสายตากันด้วยความหงุดหงิดทั้งคู่ ไม่ช้าเสียงหมอคนนั้นก็ได้ดังขึ้นมากลบความโกรธของชายทั้งสอง

    “อีธาน มาร์ส เป็นโรคซึมเศร้าและมีปัญหาทางจิตมากมายหลังจากที่ลูกชายคนแรกของเขาตาย เขารู้สึกผิดมากที่ลูกของเขาตาย... เขาจิตหลอนน่ะครับ” หมอคนนั้นพยุงตัวเองขึ้นและลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ “เขาถูกหลอนโดยภาพต่างๆที่เกี่ยวกับฝน คนจมน้ำ ความตาย อะไรประมาณนี้น่ะครับ... เมื่อวานตอนเที่ยงๆผมกับเขาก็ได้คุยกับเขาเกี่ยวกับโรคนี้น่ะครับ และหลังที่เขากลับบ้าน... ผมก็เจอสิ่งนี้ตกอยู่บนพื้นครับ” หมอคนนั้นเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะออกมา

    มันคือโอริกามิรูปหมา...

    “ผมว่ามันคงเผลอหล่นออกมาจากกระเป๋าอีธานน่ะครับ” หมอบอกพวกเขาขณะที่ตัวเขาเองใช้มือกบปากที่กำลังเลือดไหลอยู่

    เบลคและนอร์แมนมองหน้ากัน จากนั้นทั้งสองก็หันไปหาหมอคนนั้น

    “ขอบคุณครับคุณหมอ” นอร์แมนกล่าว

    “รีบกลับเถอะ เราได้ตัวแล้ว” เบลคพูดพลางเดินออกจากห้องนั้นไป

    “เอ่อเบลค... คุณแน่ใจหรอว่าเขาคือนักฆ่าโอริกามิ”

    “หลักฐานมันมัดตัวขนาดนี้ คุณคิดว่าจะเป็นใครได้อีกล่ะ?”

    ***

    เบลคและนอร์แมนที่นั่งอยู่ในรถกำลังเร่งตรงไปที่สถานีตำรวจ นอร์แมนนั่งมองเบลคด้วยสายตาที่ไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่ขณะที่เขากำลังรายงานตัวผู้ต้องสงสัยให้กับแอชอยู่

    “แอช ผมต้องการให้คุณจัดหาตำรวจทุกนายไปที่บ้านอีธาน ผมต้องการให้ตำรวจตามจับตัวเขาตลอด 24 ชั่วโมง บอกทหารและเอฟบีไอด้วยว่าเรากำลังจะตามจับคนนี้ ผมต้องการให้คุณจับตามองเขาไปที่สนามบิน สถานีรถไฟ และป้ายรถเมล์ ถ้าเขาไปไหน เราจะรู้และสามารถตามจับเขาได้ทุกที่ ใช่แล้ว... อีธานคือนักฆ่าโอริกามิ”

    เมื่อเบลคพูดจบประโยคสุดท้าย เขาก็รีบซึ่งรถตรงไปที่สถานีตำรวจทันที เขามีความยินดีเล็กน้อยที่ได้ตัวนักฆ่าโอริกามิมาไว้ในมือ

  3. #28
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 25: The Golf Club นักฆ่าคือใครกัน

    Chapter 25: The Golf Club นักฆ่าคือใครกัน

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 07.00 น.

    ปริมาณน้ำฝน 2.992 นิ้ว


    ชาลส์ เครเมอร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทเครเมอร์ กำลังตีกอล์ฟอยู่ในสนามกอล์ฟส่วนตัวของเขาอยู่ นาฬิกาบนข้อมือเขาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้วแต่ว่าฝนก็ยังไม่มีท่าว่าจะหยุดสักที

    ข้างๆเขามีบอดี้การ์ดสามคนยืนรักษาความเรียบร้อยอยู่ข้างๆ บอดี้การ์ดคนหนึ่งเปิดประตูให้กับชายคนนึงที่เดินเข้ามา

    “ตีได้ดีนี่” สก๊อตกล่าวทักเมื่อเห็นชาลส์เพิ่งเหวี่ยงไม้กอล์ฟไป

    “ขอบคุณคุณสก๊อต เข้ามาสิ” ชาลส์หันมาหาเขา “กาแฟสักถ้วยไหม”

    “ไม่ล่ะขอบคุณ” สก๊อตปฏิเสธ

    “เล่นไหม” ชาลส์เอ่ยปากชวน

    “ผมเคยเล่นอยู่ครั้งนึง แต่ตอนนี้ผมคิดว่าเจ้าของสนามกอล์ฟนี้กำลังเรียกผมอยู่น่ะ”

    “มันเป็นกีฬาที่ดีอย่างนึงเลยล่ะ ต้องใช้กำลังแขนที่พอเหมาะ ต้องใจเย็นและแม่นยำ คุณสนใจมาเล่นกับผมสักเกมสองเกมไหม”

    สก๊อตคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป “โอเค”

    “ถอดเสื้อออกเลยครับและหยิบไม้มา”

    สก๊อตถอดเสื้อของเขาออกและยื่นมือไปหยิบไม้กอล์ฟสีเงินที่วางพิงไว้ข้างๆที่แขวนเสื้อ

    “ลูกกอล์ฟอยู่ในตะกร้า” ชาลส์บอกเขา

    เขาเหยียบลูกกอล์ฟที่หล่นจากตะกร้าและเอื้อมมือไปหยิบลูกกอล์ฟอีกอันมา

    “สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเล่นกอล์ฟคือการจับไม้ครับ เมื่อคุณพร้อมแล้ว คุณก็ตีได้เลย”

    เป๊าะ!

    ลูกกอล์ฟกระเด็นไปตกบนสนามหญ้าเทียม

    “เก่งนี่!” ชาลส์ชมเขา “ดูเหมือนคุณจะมีพรสวรรค์นะ”

    “แค่โชคช่วยเท่านั้นแหละ” สก๊อตกล่าว “ตาคุณแล้ว”

    ชาลส์เดินไปหยิบลูกกอล์ฟแล้วนำมันมาวางไว้ที่แท่นด้านล่างเขา

    “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้ชวนผมมาที่นี่เพียงเพื่อที่จะมาตีกอล์ฟใช่ไหม” สก๊อตถามเขา

    ชาลส์หันหน้ามามองเขาหลังจากที่เขาเหวี่ยงไม้กอลฟ์ไปแล้ว “ผมได้ยินมาว่าคุณกำลังสืบสวนข้อมูลเกี่ยวกับลูกชายผมอยู่”

    สก๊อตเดินไปหยิบลูกกอล์ฟ “ถูกแล้ว ผมแค่อยากรู้ว่าเขาเกี่ยวข้องยังไงกับนักฆ่าโอริกามิก็เท่านั้นเอง”

    “ลูกชายผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคดีบ้าๆนั่นหรอก” ชาลส์บอกกับเขา

    “ถ้างั้นเขาก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวผมหรอกจริงไหม”

    “คุณไม่จำเป็นต้องไปสืบสวนลูกชายผม ผมบอกคุณแล้วว่าเขาไม่ใช่นักฆ่าโอริกามิ” ชาลส์เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่

    “ด้วยความเคารพนะครับคุณเครเมอร์ มันเป็นการตัดสินใจของผมว่าผมอยากจะสืบสวนใคร”

    “ผมเป็นคนมีชื่อเสียงนะครับคุณสก๊อต รู้ไหมว่าผมจ่ายไปมากเพื่อเกียรติของผม” ชาลส์มองหน้าสก๊อตด้วยสายตาหยิ่ง

    “คุณจะซื้อผมหรอ” สก๊อตจ้องหน้าเขากลับ

    “เอางี้ดีกว่า” ชาลส์หันหน้าไปทางอื่น “ผมพยายามจะโชว์ให้คุณดูว่าจุดสนใจคุณควรจะอยู่ที่ไหน คุณต้องการเท่าไหร่ที่จะปล่อยให้ลูกชายผมอยู่คนเดียว”

    “ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะคุณชาลส์” สก๊อตเดินไปวางไม้กอล์ฟ “ผมไม่เล่นเกมแบบนั้นหรอก”

    “อย่าไปใกล้ลูกชายผม คุณสก๊อต” ชาลส์เตือนเขา “ถ้าคุณไป คุณจะต้องเสียใจในภายหลัง”

    สก๊อตหันมาและมองเขาเล็กน้อย “โชคดีครับคุณชาลส์”

    สก๊อตหยิบเสื้อคลุมของเขาบนไม้แขวนและเดินออกไปจากสนามกอล์ฟ ทิ้งให้ชาลส์อยู่คนเดียวด้วยความโกรธแค้น ชาลส์มองตามสก๊อตที่กำลังเปิดประตูออกไปก่อนที่จะหันมาเล่นกอล์ฟต่อ

    ***

    เบลคและนอร์แมนขับรถมาถึงบ้านของอีธาน

    “ดูเหมือนว่ารถของเขาจะไม่อยู่นะ” นอร์แมนบอกเบลคเมื่อเห็นหน้าบ้านเขาโล่งผิดปกติ

    “เข้าไปดูในบ้านเถอะ” เบลคชวน

    นอร์แมนรู้ดีว่าเขาทั้งคู่ไม่มีหมายค้น แต่เขาก็คงหยุดเบลคไว้ไม่ได้ ไม่แน่ว่าที่บ้านของอีธานอาจจะมีหลักฐานสำคัญบางอย่างก็เป็นได้ นอร์แมนเริ่มเล็งเห็นด้วยเกี่ยวกับข้อนี้

    ก๊อกๆ

    นอร์แมนเดินไปเคาะประตูหน้าบ้านแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ

    โครม!

    เบลคถีบประตูเข้าไปและยกมือถือปืนบุกเข้าไปในบ้านในขณะที่นอร์แมนก็ทำเช่นเดียวกัน

    “นอร์แมน” เบลคหันมาบอกกับเขาเมื่อเห็นว่าในบ้านไม่มีคน “ไปหาชั้นสอง เดี๋ยวผมหาชั้นล่างให้”

    นอร์แมนเดินขึ้นบันไดไป เขาเดินเข้าไปในห้องทำงานของอีธานและพบเทปวีดีโออันหนึ่งวางอยู่บนกล่องเก่าๆ

    ภาพของอีธานและเด็กทั้งสองถูกฉายออกมา นอร์แมนนั่งดูไปเรื่อยๆ เขาฉุกคิดขึ้นได้ว่าอีธานไม่มีทางเป็นนักฆ่าโอริกามิแน่ๆ ในห้องเขาเต็มไปด้วยงานที่เกี่ยวกับสถาปนิก ทั้งชีวิตเขาในเทปวีดีโอนั้นก็ดูมีความสุขดี ลูกทั้งสองก็ดูไม่มีอะไรน่าวิตก แล้วทำไมอีธานถึงไปพัวพันเกี่ยวกับอาการหลอน เห็นคนจมน้ำ อะไรแบบนี้ได้ล่ะ?

    นอร์แมนเดินลงบันไดลงมาหลังจากพบว่าชั้นสองก็ไม่มีคนอยู่เช่นเดียวกัน

    “ไม่เจอใครใช่ไหม” เบลคถามเขา

    “อืม ไม่รู้เขาไปอยู่ที่ไหน”

    กริ๊งๆ

    เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา

    “มือถือผม” เบลคพูดพลางพยายามหมุนตัวหาโทรศัพท์มือถือ

    “ฮัลโหล แอชหรอ?” เบลคพูดใส่โทรศัพท์

    “ครับ ผมเจอรถของอีธานแล้วครับ รถของเขาถูกพบที่ 9711 ถนนมาร์เบิ้ล ห่างจากห้างสรรพสินค้าเลคซิงตันไปประมาณสองสี่แยกถนนครับ” แอชรายงานข้อมูลของอีธานกับเบลค

    “ดี” เบลคกล่าว “นำกำลังตำรวจไปที่นั่นเลย เดี๋ยวผมกับนอร์แมนจะตามไป ไปได้!”

    “ครับผม” แอชรับคำและวางโทรศัพท์ไป

    “เจออีธานแล้วหรอครับ” นอร์แมนถามเบลคหลังจากที่เขาเพิ่งวางโทรศัพท์ไป

    “ใช่ เขาอยู่บนถนนมาร์เบิ้ล รีบไปกันเถอะ”

  4. #29
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 26: The Lizard โอริกามิหมายเลขสาม - กิ้งก่า


    “คุณพร้อมหรือยังที่จะเสียสละเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?”
    Chapter 26: The Lizard โอริกามิหมายเลขสาม - กิ้งก่า

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 07.47 น.

    ปริมาณน้ำฝน 3.060 นิ้ว


    “คุณพร้อมหรือยังที่จะเสียสละเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?”

    – โอริกามิหมายเลขสาม - กิ้งก่า

    อีธานเดินทางมาถึงตึกร้างเก่าๆแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนถนนมาร์เบิ้ล ตึกนั้นยังอยู่ในช่วงก่อสร้าง มีนั่งร้านวางคาอยู่กระจัดกระจาย ฝนที่ตกลงมาปรอยๆกับกลิ่นเหม็นจากสีทาผนังในตึกนั้นเริ่มส่งให้อีธานอาเจียนอีกครั้ง

    นอกจากกลิ่นเหม็นจากผนังแล้ว ในนั้นยังคงมีร่องรอยของการเผาไหม้ของตึกอยู่ทั่ว ตึกนี้ซึ่งกำลังถูกก่อสร้างอยู่คงถูกไฟไหม้ไปเมื่อนานมาแล้ว และแน่นอนว่ามันถูกทิ้งร้าง

    จี๊ดๆ

    หนูสองสามตัวส่งเสียงวิ่งหนีเมื่ออีธานก้าวขาไปบนบันไดซึ่งจะพังแหล่มิพังแหล่ มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ส่องเข้ามาในตัวตึกเล็กน้อย อีธานเดินเข้าไปตามทางเดินขณะที่ขาที่หักของเขาอาการก็ไม่ได้ดีขึ้นมากเท่าไหร่นัก

    อีธานเหลือบไปเห็นรูปปั้นกิ้งก่าที่เป็นกระเบื้องวางอยู่บนพื้น มันดูใหม่ ดูต่างจากสภาพตึกซึ่งอยู่รอบตัวมัน เขาเข้าใจว่าคนที่จัดเตรียมที่นี่คงวางรูปปั้นกิ้งก่าไว้ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง

    ความเจ็บปวดจากแผลเมื่อเขาโดนเศษแก้วบาดจากแบบทดสอบครั้งที่แล้วก็เริ่มถามหาเขา ยาที่เมดิสันใส่ให้เขาก็เริ่มที่จะหมดสภาพแล้ว เขาเดินตรงไปในตัวตึกจนสุดทางเดิน มีประตูสีขาวเก่าๆแปะสติกเกอร์กิ้งก่าสีเขียวไว้หน้าประตู

    ล็อค!?

    อีธานถอยออกมาจากประตูนั้นแล้วมองไปรอบๆ เขาเดินไปที่รูปปั้นกิ้งก่าที่วางอยู่บนพื้นนั่นอีกครั้งและหยิบมันขึ้นมา เมื่อเขาเขย่ามันเบาๆ เขาก็ได้ยินแปลกๆดังออกมาจากรูปปั้นนั้น เขายกมันขึ้นมาและทุ่มมันลงพื้น

    เพล้ง!

    เศษรูปปั้นกิ้งก่าแตกออกกระจัดกระจาย มีกุญแจดอกนึงกระเด็นออกมาจากรูปปั้น เขาหยิบกุญแจนั้นขึ้นมาแล้วเดินไปเปิดประตู

    กลิ่นเหม็นอับลอยโชยขึ้นมาจากในห้อง ในห้องนั้นมีโต๊ะอยู่หนึ่งตัวซึ่งมีแท็บเล็ตเครื่องหนึ่งวางตั้งอยู่บนโต๊ะ สภาพห้องนั้นสกปรกและเก่าถึงเก่ามาก มีใยแมงมุมติดตามมุมผนังห้อง วอลล์เปเปอร์รูปดอกไม้เก่าๆก็หลุดลุ่ยออกมา เพียงแต่ว่าอีธานไม่สนใจกับสิ่งเหล่านั้น เขาจ้องมองไปที่แท็บเล็ตเครื่องนั้นอย่างใจจดใจจ่อและนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหน้ามัน

    แท็บเล็ตเครื่องนั้นถูกเปิดเอาไว้แล้วโดยที่มีปุ่มลูกศรสีขาวอยู่บนจอ อีธานเห็นดังนั้นจึงค่อยๆเอานิ้วแตะไปที่จอ กล้องหน้าแท็บเล็ตถูกใช้งานขึ้นทันที เขาจ้องมองตัวของเขาเองในจอและนั่งฟังเสียงบรรยายจากในแท็บเล็ตที่ดังขึ้นมา

    ติ๊ด!

    “คุณพร้อมหรือยังที่จะเสียสละเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?”

    กรุณาฟังให้ดี

    คุณมีเวลาห้านาทีที่จะตัดส่วนใดส่วนหนึ่งของนิ้วคุณให้ขาดออกจากกันต่อหน้ากล้อง

    ถ้าคุณใช้เวลาเกินห้านาที คุณจะล้มเหลว


    เมื่อสิ้นสุดเสียง ตัวเลข 05:00 ก็ปรากฏขึ้นมาตรงด้านล่างของจอและมันก็ค่อยๆลดลงทีละหนึ่ง อีธานตกใจมากรีบถอยหลังจนเก้าอี้ล้มลง

    ตัดนิ้วตัวเอง!? ไม่มีทาง!

    อีธานเดินไปเดินมาด้วยความกลัวและเครียดอยู่หน้ากล้อง เขาเห็นห้องครัวเก่าๆอยู่ข้างห้องจึงเดินเข้าไปในนั้น พบมีดปังตออยู่หนึ่งเล่มปักอยู่บนผนัง

    เขาดึงมีดปังตอนั้นออกมาแล้วเอามาวางไว้บนโต๊ะ

    เขาเดินหาอุปกรณ์ในการตัดอยู่ทั่วห้องอย่างเร่งรีบ เมื่อเขาเจออะไรบางอย่าง เขาก็นำมันมาวางไว้ที่โต๊ะทันที

    คุณเหลือเวลาอีก 4 นาที

    อีธานเหลือบมองไปที่แท็บเล็ตอีกครั้งก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำซึ่งอยู่ติดกับห้องครัว

    เอี๊ยดๆ

    เขาเอามือบิดก๊อกน้ำแต่ก็ไม่มีสิ่งใดไหลออกมา เขายื่นมือไปเปิดตู้เล็กๆเหนืออ่างล้างหน้า พบพลาสเตอร์ปิดแผลกับยาปฏิชีวนะอยู่ในตู้

    “ช่วยอะไรไม่ได้เลย พลาสเตอร์แค่นี้คงเอามาปิดแผลแบบนี้ไม่ได้...”

    ข้างๆอ่างล้างหน้ามีแท่งเหล็กเล็กๆอยู่หนึ่งอัน อีธานหยิบมันมาวางไว้บนโต๊ะเช่นเคย

    คุณเหลือเวลาอีก 3 นาที

    อีธานเดินเข้าไปในห้องครัวอีกรอบ เขาเหลือบไปเห็นแท่งเหล็กอีกอันวางอยู่ใกล้ๆเตาไฟ เขาก้มลงเช็คเตาแก๊สว่าเปิดติดหรือไม่ เมื่อเขาบิดวาล์ว ปรากฏว่ามีเปลวไฟสีน้ำเงินลุกโชนออกมาจากเตา

    เขานำแท่งเหล็กอันนั้นมาลนไฟจนมีแสงสีส้มๆแดงๆติดอยู่บนแท่งเหล็ก เขานำแท่งเหล็กอันนั้นไปไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปนั่งบนโซฟาหลังกล้อง เขาก้มหัวนั่งคิดว่าจะทำอะไรกับนิ้วของเขาดี

    “ถ้าเกิดว่าเราไม่ทำแบบนี้... เราคงไม่ได้เจอชอนอีกแล้ว...” เขาบ่นกับตัวเอง “เพื่อชอน... เราจะทำแบบนี้... เพื่อชอน...” เขาบีบมือตัวเอง

    คุณเหลือเวลาอีก 2 นาที

    อีธานขยับตัวมานั่งบนเก้าอี้หน้ากล้อง เขาเอามือทั้งสองข้างมาวางไว้บนโต๊ะแล้วกำมือขวาเอาไว้ เขานำนิ้วก้อยออกมาโดยที่นิ้วอื่นๆยังคงกำเอาไว้อยู่

    เขานั่งมองอุปกรณ์บนโต๊ะที่เขาหามาได้อย่างเคร่งเครียด บนโต๊ะนั้นมีมีดปังตอ ท่อพีวีซี เลื่อยตัดไม้ ไม้บรรทัด ดินสอ มีดพกสั้นๆ เข็มหมุด แท่งเหล็กสองอัน คีม และค้อน ในขณะเดียวกันมือของเขาก็เริ่มสั่น และมันก็เริ่มสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ

    เขาใช้มืออีกข้างลูบนิ้วก้อยของตัวเอง จากนั้นเขาก็ใช้มือนั้นหยิบมีดปังตอออกมาทาบกับนิ้วก้อยไว้เบาๆ

    คุณเหลือเวลาอีก 1 นาที

    อีธานเริ่มหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ เขาจ้องมองหน้าตัวเองในแท็บเล็ต เห็นตัวเองกำลังถือมีดปังตออยู่ เขาวางมีดปังตอลงและกำมือข้างนั้นไว้ เขาสูดลมหายใจเข้าอย่างลึกๆและปล่อยลมหายใจออกอย่างช้าๆ เขาทำอย่างนี้อยู่สามครั้งจากนั้นเขาก็หยิบแท่งเหล็กขึ้นมากัดไว้ที่ปาก

    เขาออกแรงกัดแท่งเหล็กนั้นอย่างแรงด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อเขาตัดนิ้วไปแล้ว ความเจ็บทั้งหลายทั้งปวงมันจะดึงความสนใจเขาไปที่แท่งเหล็ก

    คุณเหลือเวลาอีก 30 วินาที

    เขาหยิบมีดปังตอขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็วางมันไว้บนนิ้วก้อย

    เขาหายใจเข้าอีกครั้ง...

    จากนั้นเขาก็หายใจออก...

    แต่ดูเหมือนว่ามันจะระงับการหายใจถี่ๆของเขาไม่ได้เลย...

    คุณเหลือเวลาอีก 15 วินาที

    สิ่งเดียวที่อีธานคิดอยู่ในตอนนี้

    คือชอนเท่านั้น...

    คุณเหลือเวลาอีก 10 วินาที

    ฉับ!

    แรงจากมีดปังตอก็ถูกส่งจนมันเข้าไปในนิ้วก้อยของอีธาน! เลือดจากนิ้วของเขาก็พุ่งกระเด็นไปทั่วห้อง มันเปรอะจอแท็บเล็ตอันนั้น รวมไปถึงเสื้อผ้าของเขาเองด้วย แท่งเหล็กที่เขากัดอยู่หลุดกระเด็นออกมาจากปากเขาอย่างทันทีทันควัน เขาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดจนน้ำตาที่มีไม่สามารถเล็ดไหลออกมาได้! ทว่า! นิ้วก้อยของเขายังไม่ขาดออกจากกันดีนักเขาจึงออกแรงกดมีดลงไปอีกรอบ!

    ฉับ!

    นิ้วก้อยของอีธานหลุดกระเด็นออกไป! ตัวเขาเองล้มลงไปนอนอยู่กับพื้นพลางใช้มืออีกข้างกุมนิ้วก้อยนิ้วนั้นไม่ให้เลือดไหลออกมาเรื่อยๆ เขาค่อยๆพยุงตัวขึ้นแล้วเอานิ้วก้อยส่วนที่เหลือไปทาบกับแท่งเหล็กร้อนๆที่เขาลนมาจากเตาไฟโดยหวังว่ามันจะช่วยยึดติดแผลของเขาให้ปิดสนิท

    ความร้อนจากแท่งเหล็กทำเอาอีธานร้องตะโกนจนเสียงแหบ เขานอนดิ้นไปมาบนพื้นห้องอย่างทรมาน

    ใต้โต๊ะ

    เสียงจากแท็บเล็ตดังขึ้นมา เขาตะเกียกตะกายตัวเองมุดเข้าไปใต้โต๊ะ มองเห็นแผ่นไม้อันนึงซึ่งดูแปลกกว่าอันอื่น เขาออกแรงดึงมันออกมาจนกระทั่งเขาพบกล่องสีน้ำตาลอยู่กล่องหนึ่งใต้แผ่นไม้นั้น

    เมื่อเขาเปิดมันออกมา เขาก็พบเมมโมรี่การ์ดอยู่หนึ่งอัน

    เขาค่อยๆหยิบโทรศัพท์มือถือที่เขาได้รับออกมา จากนั้นเขาก็ค่อยๆเสียบเมมโมรี่การ์ดอันนั้นเข้าไป

    ติ๊ด!

    กำลังโหลด...

    ...

    โหลดเสร็จสิ้น กำลังเล่นวีดีโอ...


    มีภาพชอนถูกฉายขึ้นมา น้ำที่ท่วมเขาไว้ขึ้นมาอยู่ในระดับคางของเขา ตัวของเขาอยู่นิ่งๆราวกับว่าหมดเรี่ยวแรงในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นภาพก็ถูกตัดไป

    _ 5 _ _ ท _ _ _ดอ _ ถ น _ _ ซ _ ว ลท์

    มีอักษรบางตัวฉายขึ้นมาเพิ่มจากของเก่า

    เขาเก็บโทรศัพท์นั้นไว้แล้วค่อยๆเดินออกไปจากห้องนั้นอย่างใจลอย... ในตอนนี้... ไม่มีอะไรอยู่ในหัวของเขาเลย...


    เกล็ดความรู้เล็กน้อยนะครับ - ทำไมถึงต้อง "กิ้งก่า"
    กิ้งก่าเป็นสัตว์ที่มีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง เมื่อมันสูญเสียหางของมันไป มันจะสามารถงอกอันใหม่ขึ้นมาแทนที่ได้อีกครั้ง

  5. #30
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 27: Fugitive ผู้หลบหนี

    Chapter 27: Fugitive ผู้หลบหนี

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา ไม่แสดง

    ปริมาณน้ำฝน ไม่แสดง


    นอร์แมนและเบลคนำกำลังตำรวจมาจอดรถไว้ที่หน้าตึกร้างบนถนนมาร์เบิ้ล

    ติ๊ด!

    เบลคยื่นมือไปรับวิทยุสื่อสารตรงหน้าคอนโซลรถ

    “ร้อยโทครับ พวกผมประจำตำแหน่งแล้ว” เสียงตำรวจคนหนึ่งพูด

    “ดีมาก อย่าขยับจนกว่าผมจะออกคำสั่ง เคลียร์มั้ย เมื่อเขาโผล่ออกมาจากตึกนั่นเราจะบุกเข้าไปทันที” เบลคพูดใส่วิทยุ

    “ครับผม”

    เบลควางวิทยุไว้ข้างหน้าแล้วหันมามองนอร์แมนที่นั่งอยู่ข้างๆ “โชคดีที่ตำรวจคนหนึ่งพบรถของเขาจอดทิ้งไว้ที่นี่”

    “เขาเข้าไปทำอะไรในนั้นน่ะ” นอร์แมนถาม

    “อย่าถามผมสิ คุณเป็นนักสืบเอฟบีไอใช่มั้ยล่ะ มันควรจะอยู่ในหัวคุณตลอดเวลานะ”

    “มันก็แค่นั้น” นอร์แมนถอนหายใจ “เท่าที่ผมทราบก็คือข้อมูลของอีธานตอนนี้มันไม่ตรงกับข้อมูลของนักฆ่าโอริกามิสักเท่าไหร่นักน่ะ”

    “ผมรู้ว่าศาลจะเลือกตัดสินอะไรระหว่างทฤษฎีของคุณกับหลักฐานที่ผมมีอยู่”

    เบลคเหลือบไปมองกระจกข้าง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดข้างๆรถของอีธาน

    “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครน่ะ” เบลคถาม “ถ้าอีธานออกมาตอนนี้เธอต้องแย่แน่”

    “เอาไงครับ” เสียงตำรวจดังมาจากวิทยุ “จะให้พาเธอออกมาไหม”

    “ไม่ต้อง! ขอย้ำ อย่าเพิ่งบุก!” เบลคบอก

    เมดิสันลงจากรถมอเตอร์ไซค์และถอดหมวกกันน็อคของเธอออก เธอเปิดประตูที่ตึกหลังนั้นแล้วเดินเข้าไป

    “เธอเดินเข้าไปแล้วล่ะ” เบลคพูดขึ้นมา “หรือว่าเธอจะพักอยู่ที่นั่น? ดีแล้วล่ะ เราไม่อยากให้ใครอยู่ข้างหน้าเมื่ออีธานเดินออกมา”

    เมดิสันเดินเข้าไปในตึกร้างและพบกับอีธานที่กำลังนอนอยู่บนพื้น

    “อีธาน! เกิดอะไรขึ้น!” เมดิสันร้องถาม “ข้างนอกนั่นมีตำรวจเต็มเลย ฉันคิดว่าพวกนั้นจะมาจับคุณนะ”

    อีธานไม่พูดอะไร เขานอนนิ่งอยู่บนพื้นพลางเอามือกุมนิ้วที่เลือดยังไหลอยู่เรื่อยๆ

    “เดี๋ยวฉันจะพาคุณออกไป คุณดูแย่อีกแล้วนะ...” เมดิสันกล่าวพร้อมกับมองซ้ายมองขวา

    นอร์แมนและเบลคซึ่งรออยู่ในรถก็เริ่มที่จะแคลงใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    “เขาไปทำอะไรในนั้นน่ะ” เบลคเริ่มบ่นและหยิบวิทยุขึ้นมา “ทุกนายเตรียมพร้อม รอคำสั่งผม”

    เมดิสันเดินไปแง้มประตูหน้าตึก “พวกนั้นยังอยู่ข้างนอกอยู่เลย” เธอเดินกลับมาหาอีธานและพบหน้าต่างที่มีแผงไม้ปิดกั้นอยู่ เธอค่อยๆดึงแผ่นไม้นั้นออกมาทีละชิ้นๆจนแสงอาทิตย์สามารถลอดผ่านออกมาได้

    “โธ่เว้ย! หน้าต่างมันสูงไป” เธออุทานและมองหาสิ่งของข้างๆเธอที่จะสามารถยันตัวเธอกับอีธานขึ้นมาได้

    อีธานใช้นิ้วชี้ไปที่กล่องสีแดงข้างๆตู้ไม้ เธอเห็นดังนั้นจึงลากมันมาไว้ใต้หน้าต่าง

    ในขณะเดียวกันเบลคก็เตรียมพร้อมที่จะบุกเข้าไปแล้ว

    “ตำรวจทุกนาย เตรียมพร้อม” เบลคสั่งย้ำ “นอร์แมน รออยู่ที่นี่”

    “หยุดเลย!” นอร์แมนหันมา “ผมจะไปด้วย!”

    “ตำรวจสองคนไปประจำที่ข้างๆประตูตึก ตำรวจที่เหลือมากับผม ไปได้!” เบลคสั่งตำรวจพวกนั้นจากนั้นเขาและนอร์แมนก็เปิดประตูรถ ชักปืน และวิ่งออกมารออยู่หน้าประตู

    เอี้ยดๆ

    เสียงแรงเสียดทานจากหน้าต่างบานเลื่อนก็ดังขึ้น เมดิสันปีนลงมาจากกล่องและใช้มือตัวเองพยุงอีธานให้ลุกขึ้นมา

    “เร็วๆอีธาน ตำรวจจะมากันแล้ว” เมดิสันเร่งเร้าพลางดันตัวเขาขึ้นไปบนหน้าต่าง เมื่ออีธานข้ามหน้าต่างไปได้แล้ว เมดิสันก็เตรียมที่จะกระโดดข้ามไป

    “ทุกนาย! บุกเข้าไปภายในสาม!” เบลคบอกกับตำรวจข้างๆเขาระหว่างที่เขาถือปืนขึ้นมาอยู่บนมือ

    “สอง”

    “หนึ่ง”

    โครม!

    เบลคถีบประตูเข้าไปแต่มันสายเกินไปแล้ว

    “ไปค้นให้ทั่วตึก!” เบลคสั่ง “นอร์แมน มากับผม!”

    อีธานกับเมดิสันร่วงลงมาจากหน้าต่างแล้วตกลงมาบนตู้คอนเทนเนอร์ เสียงที่ดังขึ้นได้เรียกความสนใจจากตำรวจคนหนึ่งจนเขาหันมาดู

    “เฮ้ย! หยุดนะ ไม่งั้นผมยิง!” ตำรวจคนหนึ่งเล็งปืนไปที่อีธานกับเมดิสันผ่านโซ่รั้ว อีธานกับเมดิสันไม่สนใจตำรวจคนนั้นแล้วเดินต่อไปข้างหน้า

    ปัง!

    ตำรวจคนนั้นยิงปืนขึ้นฟ้าจากนั้นเขาก็หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา

    “ร้อยโทครับ มีผู้ชายกับผู้หญิงกำลังหนีโดยใช้ทางข้างหลังตึกครับ!”

    “ผู้หญิง!?” เบลคตกใจ “โธ่เว้ย! เป็นผู้หญิงคนนั้นที่เพิ่งเข้าตึกไปแน่เลย! ตำรวจทุกนาย! ลงบันไดมา! พวกมันอยู่ด้านหลักตึก อย่าปล่อยให้มันรอดไปได้!”

    เมดิสันเริ่มอ่อนล้าจากการพยุงตัวอีธาน เขาและเธอเดินมาถึงถนนใหญ่ซึ่งมีรถติดอยู่มากมาย พวกเขาพยายามที่จะเดินฝ่ารถเหล่านั้นไปก่อนที่นอร์แมนและเบลคจะเดินทางมาถึง

    “ระ...” อีธานเอ่ยปากอย่างช้าๆ “รถไฟใต้ดิน”

    “โอเค”

    เมดิสันพาตัวอีธานมาถึงสถานีรถไฟใต้ดินและลงบันไดเลื่อนไป มีผู้คนมากมายอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดิน อาการกลัวคนเยอะของอีธานก็เริ่มกำเริบขึ้นอีกครั้ง

    “เฮ้ยอีธาน! เป็นอะไรไป! จะยอมแพ้ตรงนี้ไม่ได้นะ!” เมดิสันเขย่าตัวเขาหลังจากที่เขาหมดแรงเดิน

    “ผะ... ผมไม่ไหวแล้ว”

    “ฉันมีบัตรรถไฟใต้ดินอยู่ แข็งใจไว้หน่อยอีธาน!”

    นอร์แมนกับเบลคพร้อมตำรวจอีกสิบกว่านายวิ่งลงบันไดเลื่อนลงมา

    “คนเยอะชิบห*ย” เบลคอุทาน “พวกนั้นจะไปรถไฟใต้ดินแน่เลย ไปดักมันไว้”

    ปิ๊ด

    ประตูเลื่อนออกหลังจากที่เมดิสันรูดบัตรรถไฟใต้ดินไป เธอพยุงตัวอีธานไว้และลงบันไดเลื่อนไปอีกรอบ

    “พบตัวแล้วครับ” ตำรวจคนหนึ่งสังเกตุเห็นชายหญิงสองคนกำลังเดินลงบันไดเลื่อน เบลคและนอร์แมนวิ่งฝ่าผู้คนไปและกระโดดข้ามประตูพร้อมเล็งปืนไปที่สองคนนั้น

    “หยุด!ไม่งั้นผมยิง!” เบลคเล็งปืนลงไปที่ข้างล่างบันไดเลื่อนแต่ด้วยความที่ผู้คนล้มหลามเขาจึงต้องชักปืนเก็บลงไป

    อีธานและเมดิสันเดินมาถึงชานชาลา มีรถไฟขบวนหนึ่งจอดอยู่แล้ว

    “รีบไปเถอะ” เมดิสันเอ่ยปากชวนและรีบเร่งให้อีธานเร่งฝีเท้าอย่างสุดความสามารถ

    ปิ๊ดๆๆๆๆๆ

    เสียงเตือนเตรียมปิดประตูจากขบวนรถไฟดังขึ้น เมดิสันลากอีธานมาที่หน้าขบวนรถไฟแต่ประตูรถไฟก็ปิดลงต่อหน้าต่อตาชายหญิงทั้งสอง

    “โธ่เว้ย!” เมดิสันตบประตูรถไฟหลายครั้งก่อนที่รถไฟจะเริ่มออกตัวไป

    “เมดิสัน... ไปอีกข้างเถอะ”

    เมดิสันหันมามองอีธาน จากนั้นเธอก็มองไปที่ชานชาลาอีกฝั่งที่มีรางรถไฟกั้นอยู่

    “นั่นสิ ไม่มีทางเลือกแล้ว ไปเถอะ” เมดิสันกล่าวจากนั้นเธอก็พยุงตัวอีธานลงไปบนรางรถไฟ

    มีสัญลักษณ์รูปไฟฟ้ากับคำว่า คำเตือน ไฟฟ้าแรงสูง! ติดอยู่ตามรางรถไฟ แต่อีธานและเมดิสันก็พยายามที่จะก้าวข้ามมันไป

    ปี๊ด!

    เสียงนกหวีดดังขึ้นจากยามที่คอยรักษาความปลอดภัยอยู่ข้างๆ “ทำอะไรกันน่ะ! ออกมาเดี๋ยวนี้!”

    ในขณะเดียวกันนอร์แมนและเบลคก็เดินทางมาถึงพอดี เขาสังเกตุว่าชายหญิงทั้งสองได้ข้ามไปอีกฝั่งเรียบร้อยแล้ว

    “พวกมันข้ามไปอีกด้าน!” เบลคพูดใส่วิทยุ “พวกตำรวจที่ยังอยู่ข้างบน ไปดักพวกเขาที่ชานชาลาอีกฝั่ง!”

    “ครับ!”

    เมดิสันดึงอีธานขึ้นมาจากรางรถไฟเมื่อเธอได้ขึ้นมาอยู่ข้างบนแล้ว จากนั้นเมดิสันก็แง้มหน้าไปมองจอโทรทัศน์ข้างบน

    รถไฟขบวนต่อไปจะมาภายใน 4 นาทีค่ะ

    “แย่แล้ว...” เมดิสันอุทาน

    “นี่...” อีธานบีบมือเมดิสัน “ไปเถอะ”

    “อีธาน...” เมดิสันมองหน้าเขา

    “ให้ผม... อยู่ที่นี่...”

    “แต่ว่า...”

    “ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่รอดแน่ ไปเถอะ”

    เมดิสันมองหน้าเขาอีกครั้ง น้ำตาของเธอเริ่มไหลออกมา แต่เมื่อเธอเห็นตำรวจจำนวนมากกรูกันลงมาจากบันไดเลื่อน เธอก็ค่อยๆหายตัวไปกับฝูงชน

    “หยุดนะ! นี่ตำรวจ!” ตำรวจคนหนึ่งวิ่งเข้ามาเล็งปืนที่อีธาน “ยกมือขึ้น!”

    นิ้วที่เจ็บของอีธานยังคงมีเลือดไหลออกมาเป็นระยะๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีแรงพอที่จะค่อยๆยกแขนทั้งสองขึ้นอย่างช้าๆ

    ตำรวจคนหนึ่งเข้ามาใส่กุญแจมือกับอีธานไว้ ในขณะเดียวกันเบลคและนอร์แมนก็วิ่งมาถึงพอดี

    “เฮ้อ” เบลคถอนหายใจจากนั้นเขาก็สั่งตำรวจ “พาตัวเขาไปเลย แล้วก็นอร์แมน” เบลคหันมาหานอร์แมน “ไปแจ้งแอชให้ด้วย”

    “ครับผม” นอร์แมนรับคำอย่างสั้นๆ

  6. #31
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 28: Under Arrest ผู้ต้องหา

    Chapter 28: Under Arrest ผู้ต้องหา

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 10.42 น.

    ปริมาณน้ำฝน 3.198 นิ้ว


    อีธานนั่งอยู่ในห้องสอบสวนที่สถานีตำรวจกัปตันเพอร์รี่ มือขวาของเขาถูกล็อคโดยกุญแจมือสีเงินที่มัดเขาติดไว้กับโต๊ะ นอร์แมนนั่งอยู่ข้างหน้าเขาระหว่างที่เบลคกำลังยืนพิงกำแพงอยู่

    “ผมไม่ได้พาคุณมาที่นี่เพื่อที่จะตัดสินคุณหรอกนะอีธาน ผมพยายามที่จะช่วยลูกชายของคุณ เรายังมีเวลาเหลืออยู่แต่ว่า... มันก็จะหมดลงแล้ว ช่วยเราเถอะอีธาน... บอกผมมาว่าคุณรู้อะไรบ้าง”

    อีธานไม่พูดอะไร เขานั่งก้มหน้าอย่างเดียว นอร์แมนเห็นดังนั้นจึงถามเขาอีกรอบ

    “อีธาน... ผมพยายามที่จะช่วยคุณนะ ผมอยากเข้าใจเรื่องทั้งหมด และผมก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คุณต้องเชื่อผมนะ” นอร์แมนตั้งหน้าตั้งตาถามเขา

    อีธานก็ยังไม่พูดอะไรอยู่ดี นอร์แมนเริ่มหงุดหงิดจึงลุกขึ้นและเริ่มถามเขาอย่างจริงจัง

    “คุณทำอะไรไม่ได้แล้วอีธาน บอกมาสิ คุณจะได้อะไรเมื่อคุณได้ฆ่าเหยื่ออีกรายน่ะ หะ?”

    เมื่ออีธานนิ่งเงียบนอร์แมนก็หยิบแฟ้มคดีขึ้นมาจากกระเป๋าของเขา

    “ดูนี่สิอีธาน! ดูนี่!” นอร์แมนเปิดแฟ้มนักฆ่าโอริกามิขึ้นมาแล้วโชว์ให้เขาดู ภายในนั้นมีรูปลูกชายของอีธานด้วย “แปดเหยื่อ! แปดรูป! แปดชีวิตถูกฆ่า! ทุกคนจมน้ำตาย! รู้สึกผิดอะไรบ้างมั้ยอีธาน!”

    นอร์แมนชี้นิ้วไปที่รูปชอนในแฟ้ม

    “จำคนนี้ได้มั้ย นั่นลูกคุณนะ! นั่นชอน! เขายังมีชีวิตอยู่นะ! คุณต้องช่วยผม! อีธาน! พูดอะไรบ้างสิโว้ยยยยยย!”

    ปึง!

    นอร์แมนทุบกำปั้นลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงไปบนเก้าอี้อย่างอารมณ์เสีย

    “ผม... ลักพาตัวลูกของผมเอง” อีธานเริ่มกล่าวขึ้นมาช้าๆ “แต่ผม... จำอะไรไม่ได้เลย ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน... ทางเดียวที่ผมจะรู้ได้ก็คือ... พวกคุณต้องปล่อยผมออกไป ผมเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยลูกของผมได้”

    “คุณจำอะไรไม่ได้... แต่คุณกลับบอกว่าคุณลักพาตัวลูกของคุณไป” นอร์แมนเริ่มสงสัยเขามากขึ้น “ขอโทษนะอีธานแต่คุณยังต้องปรับปรุงตัวอีกเยอะเพื่อที่จะให้ผมเชื่อคุณน่ะ”

    “ผมรักลูกของผม... ผมรักมาก... ถ้าคุณยังขังผมไว้ที่นี่... ชอนจะตายนะ...”

    เบลคส่งสัญญาณให้ตำรวจอีกฟากนึงของกระจกปิดกล้องบันทึกไว้ จากนั้นเขาก็เดินไปที่อีธานและพูดกับเขาอย่างช้าๆ

    “เวลาหมดแล้วล่ะอีธาน และเชื่อไหม ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณทำอะไรลงไป” เบลคบอกกับเขา “สิ่งเดียวที่ผมสนใจอยู่ตอนนี้ก็คือชอน ชอนอยู่ที่ไหน”

    “ผมไม่รู้!” อีธานเริ่มขึ้นเสียง “ถ้าผมรู้ผมคงไปช่วยเขาได้ตั้งนานแล้ว!”

    เบลคสูดลมหายใจและถามเขาใหม่อีกครั้ง

    “โอเค... เอางี้นะอีธาน... นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว แล้วคราวนี้ ผมแนะนำให้คุณคิดดีๆก่อนที่จะตอบออกมา ชอน-อยู่-ที่-ไหน?”

    “ผมบอกคุณไปแล้วไงว่าผมไม่รู้!” อีธานตะโกนใส่หน้าเบลค

    ผัวะ!

    เบลคต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของอีธานอย่างจัง นอร์แมนเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากห้าม

    “เฮ้ย! ทำไรวะ! ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักฆ่า คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปต่อยหน้าเขานะ!”

    “คุณอยู่ข้างไหนวะนอร์แมน!” เบลคหันมาประจันหน้ากับเขา “คุณกำลังปกป้องชายคนนี้อยู่เรอะ?”

    “ผมกำลังปกป้องกฏหมาย! และกฏหมายบอกว่าเขาบริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสิน!”

    “ชายคนนี้ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย! คุณได้ยินไหม! ไม่มี-สิทธิ์-อะ-ไร-เลย!”

    นอร์แมนส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่าย เบลคหันหน้าไปหาอีธานและถีบเขาจนตกลงเก้าอี้ ข้อมือของอีธานที่ถูกล็อคไว้อยู่ก็ดึงเขาไว้จนมันเริ่มบาดมือเขา

    “ถ้าคุณทำร้ายเขาจนหมดสติ คุณก็จะไม่ได้อะไรจากปากเขาเลยนะ!” นอร์แมนเริ่มโมโหกับการกระทำของเบลค “ไอ้เบลค! ถ้าคุณไม่ยอมหยุด ผมจะรายงานเรื่องคุณกับกัปตันเพอร์รี่!”

    “เอาสิ! เอาเลย! ถ้าอยากทำอย่างงั้นก็ออกไปจากห้องนี้เลย! ออกไปเดี๋ยวนี้!” เบลคตะโกนลั่นห้อง นอร์แมนซึ่งหมดความอดทนมานานเต็มทีก็ผลักเบลคออกไปด้วยความแรงจนเขากระเด็นไปติดผนัง

    “มาสิ! มา! กูรอเวลานี้มานานแล้ว!” เบลคเดินเข้ามาหานอร์แมนพร้อมเงื้อกำปั้นขึ้น นอร์แมนได้ทีรีบซัดเขาที่หน้าก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร

    เบลคหันมาชักปืนใส่นอร์แมนพลางใช้มืออีกข้างปิดจมูกซึ่งมีเลือดไหลออกมา

    “อยากจะเล่นเกมนี้ใช่มั้ย” เบลคถุยน้ำลาย “ได้! เรามาเล่นเกมกัน!”

    “คุณมันบ้าไปแล้วเบลค ถ้าคุณทำแบบนี้ ยศร้อยโทของคุณได้หายไปแน่!”

    “ออกไปจากห้องนี้ซะนอร์แมน! ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน!” เบลคยังคงเล็งปืนไว้ที่นอร์แมนอยู่

    นอร์แมนเดินถอยออกมาด้วยความโมโห เขายกเก้าอี้ขึ้นมาทุ่มกับพื้นและบุ่มบ่ามออกจากห้องไป

    “ไอ้บ้านั่นเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ” เขาบ่นกับตัวเองระหว่างที่เขากำลังเดินไปที่ห้องกัปตันเพอร์รี่ “เขาอยากที่จะปิดคดีเร็วๆถึงแม้ว่าเขาจะจับผิดคนก็ตาม”

    นอร์แมนเปิดประตูห้องของกัปตันเพอร์รี่อย่างแรงจนกัปตันเพอร์รี่สะดุ้ง

    “เบลคมันกำลังทำร้ายอีธานอยู่คุณต้องทำอะไรสักอย่างสิ!” นอร์แมนตะโกนลั่นห้อง

    กัปตันเพอร์รี่มองมาที่เขาและตอบด้วยสายตาเรียบเฉย “อะไรสำคัญกันกว่าล่ะนอร์แมน การที่เราจะได้ตัวชอนมากับการที่เราจะปล่อยเขาไว้สักสองสามแผลน่ะ คุณทำไข่เจียวโดยที่ไม่ทำไข่แตกไม่ได้หรอกนะ”

    ปึง!

    นอร์แมนทุบโต๊ะกัปตันเพอร์รี่อย่างแรง

    “โธ่เว้ย! อีธานเป็นคนบริสุทธิ์โว้ย! คุณต้องเชื่อใจเขาถึงจะมีโอกาสในการหาชอนในขณะที่เขากำลังมีชีวิตอยู่!”

    “คดีนี้กำลังทำให้คุณเสียสติอยู่นะนอร์แมน เอาล่ะผมจะขอสั่งให้คุณพักงานชั่วคราว ระหว่างนี้ก็กลับไปคิดให้ดีๆล่ะ”

    นอร์แมนถอนหายใจอย่างแรงและสะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องของกัปตันเพอร์รี่ เขาเดินตรงไปที่ห้องทำงานของเขาจากนั้นเขาก็นั่งลงข้างๆผนังอย่างอ่อนแรง

    20 นาทีผ่านไป...

    กัปตันเพอร์รี่ออกมาจากห้องของเขาและเดินไปหาเบลคที่นั่งทำงานอยู่

    “อีธานสารภาพมั้ย” กัปตันเพอร์รี่เอ่ยปากถาม

    “ไม่ล่ะ เขาหมดสติไปซะก่อน เราให้เวลาพักเขาอยู่แล้วเดี๋ยวเราจะกลับไปหาเขาอีกที” เบลคตอบ

    “อืม... เขาดูอึดกว่าที่คิดไว้ซะอีกนะเนี่ย...”

    “จะอึดหรือไม่อึด อีกไม่นานเขาก็ยอมสารภาพอยู่ดีแหละ ทุกคนก็เป็นอย่างนั้น”

    “ยังไงก็ตาม ขอแสดงความยินดีด้วยนะที่หานักฆ่าจนเจอ” กัปตันเพอร์รี่ชื่นชมเขา “ผมแจ้งที่สถานีข่าวไปแล้วว่าเราเจอนักฆ่าโอริกามิเรียบร้อย อีกชั่วโมงพวกนักข่าวทั้งหลายจะแห่กันมาที่นี่ คงจะน่าสนุกดีทีเดียว”

    “ท่านจะไม่รอให้อีธานสารภาพก่อนหรอกหรือครับ” เบลคถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

    “ไม่จำเป็นหรอก ยังไงเราก็มีสิทธิ์จับเขาได้ทุกเวลา พวกนักข่าวก็คงอยากให้เป็นแบบนี้เหมือนกันแหละ พวกนั้นไม่สนใจหรอกว่านักฆ่าจะเป็นใคร ขอให้เขาโดนจับก็พอแล้ว” กัปตันเพอร์รี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกไป เบลคพยักหน้าเห็นด้วย

    ในระหว่างนั้นนอร์แมนก็เดินออกมาจากห้องแล้วเดินไปหาอีธาน

    “หวังว่าเขาจะอาการดีขึ้นนะ” นอร์แมนบ่นพึมพำ แต่เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป เขาก็เห็นอีธานนอนสลบอยู่กับพื้น มีตำรวจคนหนึ่งยืนเฝ้าเขาอยู่

    “ให้เราอยู่คนเดียว” นอร์แมนหันไปสั่งตำรวจคนนั้น

    “ผม... เอ่อ... ร้อยโทเบลคบอกให้ผม...” ตำรวจคนนั้นพูดอย่างตะกุกตะกัก

    “ได้โปรด ให้เราอยู่คนเดียว” นอร์แมนพยักหน้าขอความเห็นใจ

    “โอเค...” ตำรวจคนนั้นตอบตกลง “ผมจะรออยู่หน้าประตูนะถ้าคุณต้องการอะไร”

    เมื่อตำรวจคนนั้นออกไปแล้วนอร์แมนก็รีบเข้ามาดูอาการของอีธาน

    “อีธาน! เป็นอะไรมั้ย!” นอร์แมนถามในขณะที่เขากำลังพยายามพยุงตัวอีธานขึ้นมานั่งบนเก้าอี้อยู่

    “ผมต้องออกไปจากที่นี่...” อีธานพูดขึ้นมา “ผมต้องออกไปช่วยลูกของผม...”

    “รอที่นี่ก่อนนะ ผมจะพยายามหาทางให้”

    นอร์แมนเดินออกมาจากห้องก่อนที่ตำรวจคนนั้นจะเดินเข้ามาแทนที่ เขาเดินไปที่ห้องอีกฝั่งนึงของห้องสอบสวนซึ่งมีกระจกด้านเดียวอยู่

    เขากดปุ่มบนไมโครโฟนและพูดใส่มัน “แกรี่ คุณพักได้แล้ว เดี๋ยวผมจะจับตามองเขาต่อจากนี้เอง”

    “แน่ใจนะ? ถ้าคุณอยากปรับกุณแจมือเขาผมจะวางกุญแจไว้ที่โต๊ะทำงานของผมนะ” ตำรวจคนนั้นบอกกับนอร์แมนผ่านทางวิทยุและเดินออกไป

    นอร์แมนสังเกตุเห็นเสื้อคลุมตำรวจสีดำวางอยู่บนโต๊ะเขาจึงหยิบขึ้นมาด้วย เขาเดินไปหยิบกุญแจบนโต๊ะทำงานของแกรี่และเดินไปหาอีธาน

    กริ๊กๆ

    นอร์แมนหยิบกุญแจขึ้นมาไข “เอาล่ะอีธาน คุณเป็นอิสระแล้ว”

    อีธานยกมือขึ้นมาและลูบมือตัวเอง

    “นี่! สวมนี่ไว้” นอร์แมนยื่นเสื้อคลุมให้กับเขา “ตอนนี้พวกนั้นกำลังพักอยู่ ถ้าคุณเดินออกไปจากที่นี่เร็วๆ พวกนั้นก็อาจจะไม่เห็นคุณก็ได้”

    อีธานสวมเสื้อคลุมนั้นแล้วก้มหัวเดินตรงไปที่ประตู

    “เดินตรงไปที่ประตูหน้าเลย อย่าหยุด อย่าคุย อย่าแม้แต่กระทั่งคิด เดิน... เดินตรงไปอย่างเดียว” นอร์แมนบอกกับเขา

    “ผม...” อีธานตื้นตันใจ “ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี...”

    “แค่พูดว่าคุณจะไปช่วยลูกของคุณ... แค่นั้นก็พอแล้ว...”

  7. #32
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 29: Origami Blues สภาวะตกต่ำ

    Chapter 29: Origami Blues สภาวะตกต่ำ

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 11.08 น.

    ปริมาณน้ำฝน 3.327 นิ้ว


    ...เมื่อสามสิบนาทีที่ผ่านมา ตำรวจได้ค้นพบชายที่เป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นนักฆ่าโอริกามิครับ อีธาน มาร์ส พ่อของเด็กที่ถูกลักพาตัวไป ชอน มาร์ส ในตอนนี้ถือว่าเป็นบุคคลอันตราย ทางตำรวจกำลังตามล่าชายคนนี้อย่างสุดความสามารถและหวังว่าเขาจะยอมมามอบตัวในไม่ช้า...

    เสียงโทรทัศน์ในห้องพักของอีธานดังก้องในสมองของเขาจนเขาต้องปิดมัน เขารู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นถึงแม้เขาจะสามารถหนีออกมาจากสถานีตำรวจได้ก็ตามที

    กริ๊ก

    เสียงบิดลูกบิดประตูทำอีธานสะดุ้งเล็กน้อย เมดิสันเข้ามาในห้องของเขาพร้อมกับถือถุงอะไรบางอย่าง

    “ฉัน... ซื้ออาหารมาน่ะค่ะ ฉันไม่รู้ว่าคุณชอบกินอะไรก็เลยซื้อทุกอย่างมานิดๆหน่อยๆ” เมดิสันพูดขึ้นพร้อมกับวางถุงนั่นลงบนโต๊ะ

    “คุณตามผมมาทำไม” เขาเอามือกุมขมับ

    “ฉันก็แค่อยากรู้... คุณไปทำอะไรมา ทำไมคุณถึงโดนจับล่ะ”

    อีธานไม่ตอบ เขาหันหน้าหนีไปทางอื่น

    “คุณอยู่ในข่าวเต็มไปหมดเลยนะอีธาน” เมดิสันจับไหล่เขา “ตำรวจทั่วประเทศกำลังตามล่าคุณนะ พวกนั้นบอกว่าคุณคือนักฆ่าโอริกามิ... คุณคือนักฆ่าหรือเปล่าอีธาน”

    อีธานหันมา “ผมว่า... คุณเลิกถามผมสักทีเถอะ”

    “แต่ฉันอยากช่วยคุณนะอีธาน บอกหน่อยเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น” เมดิสันเซ้าซี้

    อีธานมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดขึ้นมา “บางครั้ง... ผมมีอาการแปลกๆน่ะ บางครั้งผมก็หมดสติไป ในตอนนั้นผมไม่รู้ว่าตัวผมกำลังทำอะไรอยู่ มันเหมือนกับว่า... ผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยน่ะ สิ่งเดียวที่ผมจำได้หลังจากนั้น... ก็คือศพ... ศพที่ถูกถ่วงน้ำจนตาย...”

    “แล้วทำไมคุณถึงบาดเจ็บล่ะอีธาน” เมดิสันนั่งลงบนเตียง “คุณไปอยู่ในตึกร้างนั่นทำไม”

    อีธานนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเตียง “ผมคิดว่า... ตัวผมอีกคนหนึ่งกำลังทดสอบผมอยู่... ทดสอบความรักระหว่างผมกับชอน เขาอยากรู้ว่าผมรักชอนจริงๆหรือไม่ ซึ่งก็แปลว่าเสี้ยวนึงของตัวผมรู้ว่าชอนกำลังอยู่ที่ไหน แต่ว่าทางเดียวที่จะไปหาชอนได้ก็คือการผ่านบททดสอบที่ผมได้รับมา...”

    “แล้วทำไมคุณไม่ไปบอกตำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ” เมดิสันลุกขึ้น

    อีธานลุกขึ้นตาม “แล้วจะบอกพวกเขาว่าไงล่ะ บอกว่าผมเป็นคนบ้าที่ถ่วงเด็กแปดคนจมน้ำจากนั้นก็ลักพาตัวลูกของตัวเองอย่างงั้นหรอ พวกเขาจะไม่ยอมปล่อยตัวผมแน่! และผมก็ต้องอยู่แบบนี้ไว้เพื่อที่จะช่วยชอน! ผมไม่มีทางเลือกอื่นอีกน่ะ... ผมคือความหวังเดียวของชอน...” อีธานหันหน้าเบี่ยงไปทางอื่น “ถ้าชอนปลอดภัยดีแล้วผมถึงจะยอมเข้ามอบตัว แต่ถ้าหากผมยังไม่รู้ว่าชอนเป็นไงผมก็จะไม่ยอมให้ตัวเองถูกจับเด็ดขาด”

    เมดิสันเดินเข้ามาใกล้ๆเขา “คุณใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆไม่ได้นะ คุณกำลังทำลายตัวเองอยู่นะอีธาน”

    “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก... สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่จะทำให้ลูกของผมปลอดภัย”

    “มันน่าจะมีทางอื่นสิ”

    “คุณไม่เข้าใจผมหรอก! เวลามันจะหมดแล้ว ชอนจะตายภายในไม่กี่ชั่วโมงนี้! แล้วผมไม่มีทางเลือกอื่นอีก!”

    “อีธาน...”

    “ขอร้องเถอะเมดิสัน... ออกไปเถอะ... อย่ามายุ่งกับผม... ลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเถอะ... คุณช่วยผมไม่ได้หรอก...”

    เมดิสันเดินเข้ามาเขา แต่อีธานส่ายหน้าและเดินไปนั่งบนเตียง “ถ้าคุณอยากจะช่วยผม ผมก็จะขอร้องให้คุณออกไปเถอะ... ปล่อยให้ผมทำสิ่งนี้ตามลำพัง”

    เมดิสันก้มหน้าเล็กน้อยด้วยความเสียใจและเดินออกไปจากห้อง เธอชะแง้มมองอีธานเป็นครั้งสุดท้ายจากนั้นเธอก็ปิดประตูห้องลง

    อีธานลุกขึ้นแล้วเดินไปที่โต๊ะ เขาเปิดกล่องรองเท้าเก่าๆอีกครั้ง ในนั้นมีปืนกับโอริกามิอยู่สองอัน อันนึงเป็นรูปฉลาม ส่วนอีกอันเป็นรูปหนู เขาหยิบโอริกามิรูปฉลามขึ้นมาคลี่ออกซึ่งมีหมายเลขสี่กำกับไว้อยู่

    คุณพร้อมหรือยังที่จะฆ่าใครสักคนเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?

    เป้าหมาย แบรด ซิลเวอร์

    6784 ถนนลองเวย์ เลคซิงตัน

    ฆ่าเขาด้วยปืนจากนั้นส่งรูปมา


    อีธานหยิบปืนขึ้นมาจากกล่อง ปืนนั้นมีกระสุนอยู่เต็มแม็ค เขาหยิบมันขึ้นมาดูเล็กน้อยจากนั้นก็เหน็บมันไว้กับกระเป๋ากางเกง

    เขาปิดฝากล่องไว้เหมือนเดิมและตรงดิ่งออกไปนอกห้องทันที

    ***

    นอร์แมนนั่งเล่นเปียโนคนเดียวอย่างเศร้าๆภายในบาร์แห่งหนึ่ง เขาสวมแว่นเอ.อาร์.ไอ.ทิ้งไว้อยู่ ภายในบาร์นั้นมีเขาอยู่คนเดียว เขานั่งกดคีย์เปียโนไปเรื่อยๆด้วยความเบื่อหน่าย

    “วอดก้าของคุณได้แล้วครับ”

    นอร์แมนหันหน้าไปหาเจ้าของเสียง เห็นบาร์เท็นเดอร์คนหนึ่งสวมชุดสูทสีแดงกำลังวางวอดก้าไว้บนแกรนด์เปียโน

    “ช่วงนี้คุณดูหมกมุ่นมากเลยนะครับ ถ้าคุณไม่ว่าอะไรนะ” บาร์เท็นเดอร์คนนั้นกล่าว “มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการสืบสวนหรือเปล่าครับ”

    นอร์แมนนั่งกดเปียโนไปในขณะที่เขาพูดคุยไปด้วย “เบลคเขาคิดว่าอีธานเป็นนักฆ่าโอริกามิน่ะ”

    “แล้วคุณไม่คิดเช่นนั้นหรอกหรอครับ ผมคิดว่ามีหลักฐานบางอย่างที่สามารถมัดตัวชายคนนั้นได้อยู่...”

    “ก็จริง... แต่ว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย ข้อมูลบางอย่างของเขามันไม่ตรงกับข้อมูลนักฆ่าโอริกามิที่ผมมีน่ะ... ข้อมูลทางกายภาพก็ไม่ตรงกันด้วย... ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าเขาจะเป็นคนฆ่าเด็กแปดคนจากนั้นก็ลักพาตัวลูกของตัวเองไปน่ะ... อีธานไม่ใช่นักฆ่าโอริกามิแน่นอน... ผมเดิมพันด้วยชีวิตผมเลย”

    “แล้วนักฆ่าคือใครล่ะ” บาร์เท็นเดอร์คนนั้นถาม

    “ผมไม่มีแม้แต่ไอเดีย...”

    “บางทีนะ... ผมคิดว่าคุณควรจะตรวจสอบหลักฐานที่คุณครอบครองไว้อยู่อีกรอบ”

    “ผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน...”

    บาร์เท็นเดอร์คนนั้นพยักหน้าและเดินจากไป แต่เขาก็หันหน้ากลับมาหาอีกรอบ

    “อ้อ! ผมมีอีกอย่างที่อยากจะบอกคุณนะครับ... คุณควรจะระวังการหมกมุ่นอยู่กับ คุณ-ก็-รู้-ว่า-อะไร มากขึ้นอีกสักหน่อย มันจะเป็นอันตรายได้... และอันตรายมากทีเดียว...“

    “ผมก็... พยายามที่จะควบคุมตัวเองอยู่นะแต่ว่า... มันยากมากทีเดียว และเมื่อเวลาผ่านไปมันก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ”

    “มันอาจฆ่าคุณได้นะถ้าคุณไม่ระวัง” บาร์เท็นเดอร์คนนั้นเตือนเขา “นั่นจะเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดนะครับ”

    นอร์แมนพยักหน้าจากนั้นเขาก็เริ่มสั่งการแว่นเอ.อาร์.ไอ.ของเขา “ยกเลิกระบบจำลองสถานที่”

    เมื่อสิ้นสุดเสียง บาร์ แกรนด์เปียโน หรือแม้กระทั่งบาร์เท็นเดอร์คนนั้นก็หายไป ทุกสิ่งทุกอย่างกลายสภาพเป็นพื้นผิวของดาวอังคาร

    “เอ.อาร์.ไอ. เปลี่ยนสภาพแวดล้อมเป็นทุ่งดอกซากุระ”

    เอ.อาร์.ไอ. กำลังเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม...

    พื้นผิวสีแดงของดาวอังคารค่อยๆถูกแทนที่ด้วยพื้นหญ้าสีเขียวที่มีต้นซากุระงอกขึ้นมาเป็นระยะๆ กลีบดอกซากุระสีชมพูก็ค่อยๆหล่นลงมากจากต้นด้วยแรงลม

    นอร์แมนเปิดไฟล์วีดีโอที่เขาได้รับมาจากกล้องวงจรปิดใกล้ๆกับสวนสาธารณะที่ชอนหายตัวไป ในวีดีโอนั้น เขาสังเกตุเห็นรถเชฟโรเล็ตคนหนึ่งขับเข้าไปในสวนสาธารณะในเวลา 16.02 น. และขับออกมาในเวลา 16.37 น. ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันในขณะที่ชอนถูกลักพาตัวพอดี

    “รถคันนั้นถูกขโมย ลายล้อนั้นตรงกับลายล้ออีกอันในบริเวณที่เหยื่อรายที่แปดถูกฆ่า” นอร์แมนอ่านข้อมูลในแว่นตาของเขา “อืม... แจ็คสัน เนวิลล์เคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในข้อหาขโมยรถ แต่สุดท้ายแล้วคดีนี้ก็ตกไปเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ”

    กำลังเปิดข้อมูล แจ็คสัน เนวิลล์...

    “แจ็คสัน เนวิลล์ มีส่วนร่วมอยู่ในหลายคดีที่เกี่ยวกับการซื้อและขายรถที่ถูกขโมย นักฆ่าโอริกามิเช่ารถจากเขา”

    “เฮ้อ...” นอร์แมนถอดแว่นของเขาออก เขานั่งอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ของเขาซึ่งอยู่ในตึกระฟ้าแห่งหนึ่งในเลคซิงตัน เขาตั้งใจจะอยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อนจะกลับไปยังสถานีตำรวจกัปตันเพอร์รี่อีกครั้ง

    เขาใช้มือลูบหัวและลูบจมูกด้วยความเครียด แต่เมื่อเขาเอามือออกมา เขาก็เห็นเลือดจำนวนมากติดอยู่บนมือ

    “อีกแล้ว...” มือของนอร์แมนเริ่มสั่น เลือดไหลออกมาจากจมูกของเขา เขามองออกไปนอกหน้าต่างที่ฝนตกหนักอยู่ ทันใดนั้น ฝนที่เขาเห็นก็ค่อยๆกลายเป็นดอกซากุระ โต๊ะทำงานข้างหน้าเขาก็เริ่มแปรสภาพกลายเป็นโต๊ะไม้เก่าๆ ห้องพักของนอร์แมนได้หายไป เหลือไว้เพียงทุ่งซากุระที่เหมือนกับตอนที่เขาสวมแว่นเมื่อกี้นี้

    เสียงบาร์เท็นเดอร์คนนั้นได้ผุดขึ้นมาในสมองเขา

    “อ้อ! ผมมีอีกอย่างที่อยากจะบอกคุณนะครับ... คุณควรจะระวังการหมกมุ่นอยู่กับ คุณ-ก็-รู้-ว่า-อะไร มากขึ้นอีกสักหน่อย มันจะเป็นอันตรายได้... และอันตรายมากทีเดียว...“

    ดอกซากุระค่อยๆพัดเข้ามาล้อมรอบตัวเขาและมันก็พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เขามองไปรอบๆ เห็นขวดยาทริปโตเคนวางอยู่บนเตียง เขาออกแรงเดินไปที่นั่น เสียงจากในหัวเขาผุดขึ้นมาอีกครั้ง

    “ผมก็... พยายามที่จะควบคุมตัวเองอยู่นะแต่ว่า... มันยากมากทีเดียว และเมื่อเวลาผ่านไปมันก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ”

    นอร์แมนรู้ดีว่านี่คืออาการจิตหลอนจากการขาดทริปโตเคน เขาเดินโซเซไปหยิบขวดยาและชูมันขึ้นมา

    “ฉันจะ... ไม่ใช้... มัน... อีกแล้ว...”

    ภาพดอกซากุระได้สับเปลี่ยนกับภาพในห้องพักของเขาอย่างต่อเนื่อง เขาเริ่มมึนหัวจนเดินไปชนโคมไฟตกลงมาแตก!

    เขากำขวดยานั้นไว้แน่นและเดินไปในห้องน้ำ เขาเปิดฝาชักโครกและชูขวดยาไปไว้เหนือมัน มือของเขาเริ่มสั่นขึ้นเรื่อยๆ ความคิดที่ว่าเขาจะเลิกเสพทริปโตเคนก็ผุดๆหายๆ ในที่สุดเขาก็วางขวดยานั้นกับพื้นห้องน้ำและปิดฝาชักโครก

    “ไม่ไหว...” เขาทิ้งขวดยาไว้ตรงนั้นและเดินไปที่อ่างอาบน้ำ เขาเปิดน้ำก๊อกและฝักบัวก่อนที่จะนอนลงไปในอ่างทั้งๆที่เขากำลังสวมชุดสูทอยู่

    ดอกซากุระค่อยๆหายไป มันกลายเป็นน้ำธรรมดาที่ตกใส่หัวนอร์แมน... จากนั้นเขาก็ก้มหัวและกอดเข่าในอ่างอาบน้ำต่อไป...

  8. #33
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 30: Manfred อยู่ใกล้แค่เอื้อม

    Chapter 30: Manfred อยู่ใกล้แค่เอื้อม

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 11.10 น.

    ปริมาณน้ำฝน 3.332 นิ้ว


    กริ้งๆ

    เสียงกริ่งประตูดังขึ้นเมื่อลอเรนและสก๊อตเดินเข้าไปในร้านขายของเก่าแห่งหนึ่งในเลคซิงตัน ภายในร้านนั้นค่อนข้างเก่าอันเนื่องมาจากว่าร้านนี้ได้เปิดมาหลายสิบปีแล้ว มีเครื่องประดับโบราณมากมายแต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่นาฬิกาที่เป็นจุดเด่น นาฬิกาหลายประเภทได้ส่งเสียงทับกันจนกลายเป็นเสียงแปลกๆ

    “แมนเฟรด! แมนเฟรด! มีใครอยู่มั้ย!” สก๊อตตะโกนเมื่อเห็นว่าภายในร้านไม่มีคนยืนเฝ้า “รออยู่นี่แปปนะ” สก๊อตหันไปหาลอเรนและเดินหาเจ้าของร้าน

    แมนเฟรดในชุดสูทเก่าๆสีขาวกำลังนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะ สก๊อตเห็นดังนั้นจึงไปเคาะที่ไหล่เขาเบาๆ “สวัสดีแมนเฟรด”

    “ใครน่ะ”

    “สก๊อตไง สก๊อต เชลบี จำผมได้ไหม” สก๊อตยืดตัวขึ้น

    “สก๊อต... สก๊อต... อ้อ! สก๊อตนี่เอง! จำได้สิแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย”

    “อืม... คงสักสิบปีล่ะมั้ง”

    “อายุของฉันก็เริ่มมากแล้วล่ะ ยิ่งมากเวลาก็ยิ่งสำคัญน้อยลง ฉันก็มามัวแต่มาซ่อมพวกนาฬิกาอะไรพวกนี้ล่ะ ไม่ได้สนใจพวกเวลาเลย แล้วคุณล่ะเป็นไงบ้าง คุณยังเป็นตำรวจอยู่หรือเปล่า”

    “ไม่แล้วแหละ... ผมลาออกจากสถานีตำรวจมาได้หลายปีแล้ว ตอนนี้ผมเป็นนักสืบคดีลับอยู่ เอ้อใช่! นี่คือลอเรนนะ เธอเป็น... เอ่อ... เธอเป็นเพื่อน”

    “สวัสดีจ้า” ลอเรนโบกมือให้แมนเฟรด

    “สวัสดีสาวน้อย” แมนเฟรดพยักหน้าให้จากนั้นก็หันไปหาสก๊อต “ว้าว! แบบนี้ต้องฉลองกันหน่อย รอแปปนะ ฉันมั่นใจว่าเคยเห็นขวดวอดก้าอยู่แถวๆนี้แหละ”

    แมนเฟรดเดินไปหยิบวอดก้า ระหว่างนั้นมีโทรศัพท์เข้ามาที่ร้าน

    “รับโทรศัพท์ให้หน่อยสิคุณสก๊อต บอกให้เขาโทรมาใหม่หลังเที่ยง”

    “ได้เลย” สก๊อตเดินไปรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล... ใช่ ที่นี่คือร้านแมนเฟรด... เอ่อเขาไม่ว่างอยู่น่ะตอนนี้ โทรมาใหม่หลังเที่ยงละกัน”

    สก๊อตวางโทรศัพท์ลงแล้วเดินมาหาแมนเฟรดซึ่งเขาได้จัดเตรียมแก้ววอดก้าเอาไว้ให้แล้ว

    “ดื่มเลย!” แมนเฟรดยกแก้ว “เพื่อเพื่อนเก่า!”

    กิ้ง!

    ทั้งสองชนแก้วและดื่มวอดก้าเข้าไป

    “ผมอยากให้คุณดูจดหมายฉบับนึงน่ะ” สก๊อตเริ่มเข้าเรื่อง “ผมอยากให้คุณดูแล้วก็บอกว่ามันถูกพิมพ์โดยเครื่องพิมพ์ดีดชนิดไหนน่ะ”

    “หืม... ขอดูหน่อยสิ”

    สก๊อตหยิบจดหมายที่ลอเรนให้มาออกมาจากกระเป๋าเสื้อและส่งให้แมนเฟรด

    “เอ่อ... ช่วยหยิบแว่นขยายในตู้หลังคุณให้หน่อย... ตาของฉันเริ่มแย่ลงทุกวันแล้ว”

    “ไม่มีปัญหา” สก๊อตหันหลังไปหยิบแว่นขยายแล้วส่งให้แมนเฟรด

    “ขอบใจ มาดูกันว่าจดหมายนี้จะบอกอะไรเราบ้าง” แมนเฟรดบอกกับเขาและมองไปที่จดหมาย ลอเรนเดินเข้ามาดูด้วยเช่นกัน

    “อืม...” แมนเฟรดวิเคราะห์จดหมายนั้น “มันคงจะเป็นเอ่อ... โรยัล ไฟฟ์ มั้งนะ... ดูจากเอ่อ... ตัวอักษรน่ะ ใช่แหละ! โรยัล ไฟฟ์ มันถูกผลิตขึ้นเมื่อปี 1907 ถึง 1924 น่ะ”

    “ใช่” สก๊อตพยักหน้า

    “ไม่ต้องสงสัยอะไรเลย จดหมายนี้ถูกพิมพ์ด้วยโรยัล ไฟฟ์” แมนเฟรดส่งจดหมายคืนให้เขา

    “พวกเครื่องพิมพ์ดีดพวกนี้นี่... มันหายากมั้ย” สก๊อตถามเขาต่อ

    “เอาจริงๆมันก็หาไม่ค่อยยากนะ เพียงแต่ว่ามันไม่ค่อยถูกใช้กันเท่าไหร่นัก”

    “มีที่ไหนบ้างไหมที่จะสามารถซ่อมเครื่องพิมพ์ดีดพวกนี้ได้น่ะ”

    “นี่... ฉันซื้ออุปกรณ์ซ่อมเครื่องพิมพ์ดีดมาทุกรุ่นเลยนะ” แมนเฟรดหัวเราะเล็กน้อย “พวกลูกค้าแถวๆนี้เวลาจะทำอะไรก็ให้ฉันซ่อมตลอดแหละ”

    “คุณได้บันทึกประวัติการซื้อของลูกค้าหรือเปล่าครับ”

    “แน่นอนสิ... แต่สำหรับคนที่จ่ายเท่านั้นนะ ฮ่าๆๆ”

    “ผมขอดูหน่อยได้ไหม”

    “ได้เลย... ฉันมีรายชื่อลูกค้าที่เคยซื้อเครื่องโรยัล ไฟฟ์หรือเคยซ่อมมันมาก่อนอยู่ ขอเวลาแปปนะ มันอยู่หลังร้านน่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบไปเอา”

    “ขอบคุณครับ นั่นจะช่วยพวกเราได้มากเลย”

    เมื่อแมนเฟรดออกไปแล้วลอเรนก็เข้ามาถามเขา

    “คุณคิดว่า... นักฆ่าเขาเคยมาที่นี่หรอ”

    “ก็นะ” สก๊อตตอบ “ถ้าเขามีเครื่องโรยัล ไฟฟ์อยู่ เขาก็คงที่จะต้องใช้บริการแมนเฟรดน่ะนะ เราจะรู้เองแหละเมื่อเราได้รายชื่อมา”

    ลอเรนหันไปมองกล่องเพลงเก่าๆซึ่งมีรูปปั้นนักเต้นติดอยู่ เธอเล่นกับมันไปพลางในขณะที่เธอรอแมนเฟรดออกมาอยู่

    “นี่! ทำไมนานจังเลยอ่ะ” ลอเรนถามสก๊อต

    “นั่นสิ... เดี๋ยวเราไปดูให้”

    สก๊อตเดินเข้าไปหลังร้าน เจอแมนเฟรดกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น หูโทรศัพท์ในห้องของเขาถูกห้อยทิ้งเอาไว้และมีเสียงพูดออกมาจากโทรศัพท์

    ฮัลโหล ฮัลโหล เบอร์คุณถูกบันทึกแล้วค่ะ รถตำรวจกำลังจะไปถึงที่หมายภายในไม่กี่นาที ดิฉันต้องทราบค่ะว่าคุณเป็นใคร ฮัลโหล ฮัลโหล

    สก๊อตนำหูโทรศัพท์ไปวางไว้บนแป้นจากนั้นก็รี่ตรงเข้ามาหาแมนเฟรด

    “เฮ้ย! แมนเฟรด! แมนเฟรด!” สก๊อตเข้าไปเขย่าตัวเขา แต่เขากลับไร้การตอบสนอง สก๊อตมองไปยังหน้าต่าง เห็นมันถูกเปิดทิ้งไว้อยู่

    “สก๊อต? เกิดอะไรขึ้นหรอ” ลอเรนซึ่งได้ยินเสียงร้องของสก๊อตก็เกิดความสงสัย เธอสะดุ้งเมื่อเห็นแมนเฟรดนอนสลบ “พระเจ้าช่วย!”

    สก๊อตหันไปมองลอเรน เห็นเธอกำลังวิ่งตรงไปที่โทรศัพท์อยู่

    “เธอจะทำอะไรน่ะ” สก๊อตถาม

    “แจ้งตำรวจไง”

    “นักฆ่ามันโทรไปเรียบร้อยแล้ว มันอาจจะใช้พวกเราเป็นแพะรับบาปนะ เราต้องรีบออกไปจากที่นี่!”

    “หมายความว่าไงน่ะ เราเพิ่งมาถึงที่นี่เองนะ เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเขาเลย”

    “นี่ฟังนะ! เหลือเวลาอีกไม่มากที่จะหาชอนเจอน่ะ ถ้าเราไปให้การกับตำรวจเราอาจจะเสียเวลาอย่างน้อยหลายชั่วโมงนะ!”

    “แล้ว... เราจะทำไงกันดี”

    สก๊อตเดินไปเดินมา เขาพยายามหาทางออกกับเรื่องที่เกิดขึ้น

    “เอางี้ คุณไปหารายชื่อลูกค้าที่เอาโรยัล ไฟฟ์มาซ่อม จากนั้นก็ไปเฝ้าประตูหน้า” สก๊อตบอกเธอ “ผมจะลบรอยนิ้วมือของเราออกจากที่นี่ให้หมด เร็วๆนะ ตำรวจอาจมาที่นี่ได้ทุกเมื่อ”

    3 นาทีผ่านไป

    “สก๊อต! พวกตำรวจมันมากันแล้ว!” ลอเรนเตือนเขา

    “ไวจังวะ!” สก๊อตอุทาน “ได้รายชื่อแล้วใช่ไหม เก็บใส่กระเป๋าซะ”

    โครม!

    ตำรวจประมาณห้านายถีบประตูเข้ามาและเล็งปืนไปที่สก๊อตกับลอเรน “ยกมือขึ้น!”

    “ใจเย็นไว้ลอเรน” สก๊อตบอกลอเรนในขณะที่เขาชูมือขึ้นอยู่ “เราไม่ได้ทำอะไรผิด เดี๋ยวผมจะไปเคลียร์กับตำรวจให้เอง”

    ***

    “คุณกำลังจะบอกว่าเขาทุกฆ่าในระหว่างที่คุณกำลังอยู่ในร้านเขาถูกต้องไหมครับ” แอชถามสก๊อตหลังจากที่สก๊อตถูกส่งตัวมายังสถานีตำรวจกัปตันเพอร์รี่

    “ใช่” สก๊อตตอบกลับ “เขาบอกกับผมว่าเขาจะเดินไปเอาของในห้องของเขา ไม่กี่นาทีต่อมาผมก็เข้าไปดูเพื่อเช็คว่าเขาเสร็จหรือยัง ผมเจอศพเขาเมื่อนั้นแหละ”

    แอชพิมพ์ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์จากนั้นเขาก็หันมา “คุณควรที่จะโทรแจ้งตำรวจทันทีที่คุณพบศพนะครับคุณสก๊อต มันจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณถูกจับมาที่สถานีตำรวจได้”

    “นี่ฟังนะ” สก๊อตบอก “ผมกับลอเรนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการฆาตกรรมนี่เลย เราแค่บังเอิญไปอยู่ที่นั่นตอนเหตุการณ์มันกิดขึ้นพอดีน่ะ ผมอยากเสียเวลามาที่สถานีตำรวจนิดหน่อยก็เพราะว่าผมอยากจะบอกกับพวกคุณไงล่ะว่าผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ!”

    “ยังไงก็ตามครับคุณสก๊อต” แอชหันมาหาเขา “ถ้าเกิดว่าคุณเจอศพอีกเมื่อไหร่ก็ช่วยโทรแจ้งให้เร็วขึ้นด้วยนะครับ ขอบคุณครับที่สละเวลามา”

    “มันสละเวลาตรงไหนฟระ” สก๊อตบ่นกับตัวเอง “แบบนี้มันเรียกว่าโดนบังคับมาจะดีกว่า”

    “อ้าวนี่มันสก๊อต เชลบีนี่หว่า มีปัญหาอะไรหรือเปล่าเพื่อน” เสียงคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง สก๊อตหันหลังไปก็พบเบลคกำลังยืนมองเขาอยู่

    “ผิดที่ผิดเวลาไปหน่อย” สก๊อตพยักหน้า “นายก็รู้ว่ามันรู้สึกยังไง”

    “อย่าเหนื่อยไปเลย” เบลคบอกกับสก๊อต “เดี๋ยวผมจัดการให้ ถือซะว่าเป็นการตอบแทนที่ได้เจอเพื่อนเก่าก็แล้วกัน”

    “ขอบใจมากเบลค” สก๊อตกล่าว “ผมเป็นหนี้นายครั้งนึงนะ”

    “นายกำลัง... มีปัญหาอะไรอยู่หรือเปล่าตอนนี้น่ะ” เบลคถามเขาด้วยความเป็นห่วง

    “ก็นะ... ไม่ค่อยมีอะไรมากหรอก มีแต่ความคิดพิลึกๆน่ะ”

    “ก็... ถ้าเกิดว่ามันเกินกว่าไอ้ความคิดพิลึกๆนั่นน่ะนะ... บอกผมได้ทุกเวลาเลยนะ”

    “แน่นอน” สก๊อตพยักหน้าจากนั้นเขาก็เดินออกไป
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 25th January 2015 เมื่อ 17:16

  9. #34
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 31: The Shark โอริกามิหมายเลขสี่ - ฉลาม


    "คุณพร้อมหรือยังที่จะฆ่าใครสักคนเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?"
    Chapter 31: The Shark โอริกามิหมายเลขสี่ - ฉลาม

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 11.15 น.

    ปริมาณน้ำฝน 3.366 นิ้ว


    “คุณพร้อมหรือยังที่จะฆ่าใครสักคนเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?”

    – โอริกามิหมายเลขสี่ - ฉลาม


    อีธานยืนหยุดอยู่หน้าห้องพักในอพาร์ตเม้นท์แห่งหนึ่งบนถนนลองเวย์ เขาถือปืนขึ้นมาและแอบมันไว้ด้านหลังเขา

    “ถ้าเขาโผล่มาเมื่อไหร่ ฉันจะยิง” อีธานพยายามสงบสติตัวเอง “ฉันจะฆ่าเขาด้วยปืนนี้ ฉันจะทิ้งศพไว้ในห้อง แล้วฉันจะรีบเดินออกมา เพื่อชอน... เพื่อชอน...”

    ก๊อกๆ

    อีธานเคาะประตูไปสองที จากนั้นเขาก็ยืนรออยู่หน้าประตู

    “ฆ่าคน... เพื่อแลกกับชีวิตของชอนงั้นหรอ...” อีธานคิดในใจ “เป็นตัวเลือกที่เหลวไหลสิ้นดี!”

    เมื่อไม่มีเสียงตอบรับเขาจึงเคาะประตูไปอีกสองที

    ก๊อกๆ

    ชายคนหนึ่งในชุดอาบน้ำเปิดประตูแง้มๆออกมา

    “แบรด ซิลเวอร์ใช่ไหม” อีธานถามเขา

    “ใช่! มีอะไร” ชายคนนั้นถามอีธานกลับ แต่อีธานกลับยืนนิ่งและมองหน้าแบรดไปเรื่อยๆ

    “เฮ้อ...” แบรดสบถ “ผมพูดไปหลายครั้งแล้วนะว่าผมไม่ต้องการขยะอยู่หน้าห้องของผม ถ้าคุณอยากจะ...”

    กริ๊ก!

    อีธานชักปืนขึ้นมาจ่อหน้าแบรด

    “เฮ้ยๆ ใจเย็นก่อนสิ” แบรดชูมือทั้งสองขึ้น “คุณอยากได้อะไร? เงินหรอ? ยาหรอ? บอกผมมาสิว่าคุณอยากได้อะไร เราเชื่อว่าพวกเราสามารถตกลงกันได้จริงไหม”

    อีธานเอาปืนเข้าไปใกล้หน้าแบรดเรื่อยๆ แบรดได้ทีปัดมือเขาจนปืนตกลงไป จากนั้นแบรดก็รีบวิ่งไปหยิบปืนช็อตกันที่เขาเก็บไว้ในห้องเก็บของออกมา

    ปัง!

    แบรดรัวช็อตกันใส่อีธานไม่ยังแต่เคราะห์ดีที่มันไม่โดนอีธาน อีธานรีบหยิบปืนที่ตกขึ้นมาและหนีไปอีกห้องหนึ่ง

    ปัง!

    “อะไรกันหะ! คุณคิดว่าคุณสามารถบุกเข้าบ้านคนอื่นแล้วมาขโมยยาได้ง่ายๆอย่างงั้นหรอหะ!”

    ปัง!

    “ไปลงนรกซะ ไอ้สารเลว!”

    ปัง!

    ลูกกระสุนได้สาดเกลื่อนไปทั่วห้องพักของแบรด อีธานวิ่งหนีตะเกียกตะกายเข้าไปในห้องนอน เขาวิ่งหนีจนตัวเขาจนมุมจากนั้นเขาก็หันมาชูมือทั้งสองขึ้น

    กริ๊ก!

    แบรดเหนี่ยวไกแต่ลูกปืนกลับไม่ออกมา กระสุนของเขาหมด! อีธานได้ทีรีบเอาปืนตัวเองมาจ่อเขาแทน แบรดตกใจมากรีบทิ้งช็อตกันของตัวเองลงไปกับพิ้นจากนั้นเขาก็คุกเข่าลง

    “ชะ... ช้าก่อน คุณอยากได้อะไรล่ะ... เอาไปเลย... ฉันจะให้คุณหมดทุกอย่าง” แบรดร้องขอชีวิต “ผมมียา... ผมมีเงิน... คุณอยากได้อะไร... ได้โปรด... ได้โปรดอย่าฆ่าผมเลย ผมมีลูกนะ”

    แบรดหยิบรูปลูกของเขามาจากลิ้นชัก “นี่... นี่คือของลูกผมเห็นไหม” เขาชี้ไปที่เด็กผู้หญิงในรูปภาพซึ่งมีด้วยกันสองคน ทั้งสองอายุประมาณ 10 ขวบ “คนนี้... คนนี้เธอชื่อซาร่าห์ แล้วก็อีกคน... ซินดี้... ได้โปรดอย่าฆ่าผมเลย...”

    อีธานปัดมือแบรดจนรูปภาพนั้นตกลงไป

    “ผม... อยากจะเจอลูกของผมอีกครั้ง...” แบรดก้มหัวลง “ได้โปรด... อย่ายิงเลย... แม่ของลูกผมไม่อยู่แล้ว... ถ้าผมตายไปก็จะไม่มีใครมาดูแลลูกของผมนะ...”

    อีธานคิดอยู่ว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี เขาจำเป็นที่จะต้องฆ่าผู้ชายคนนี้ถึงจะสามารถผ่านแบบทดสอบได้ เขาจำได้ดีว่าเขาเคยทำแบบทดสอบไม่ผ่านมารอบนึงแล้ว ตอนที่เขาอยู่โรงไฟฟ้าเก่า เขาไม่สามารถทำแบบทดสอบได้... เขาต้องทำแบบนี้เพื่อชอน... มันจำเป็นจริงๆ...

    “ผมก็เป็นพ่อเหมือนกัน” อีธานกล่าวขึ้นมาจากนั้นก็เอาปืนไปจ่อที่หน้าผากแบรด “แต่ผมไม่มีทางเลือก!”

    ปัง!

    ร่างของแบรดล้มลงไปในทันที! อีธานซึ่งเห็นการกระทำของตัวเองแล้วก็ทนไม่ไหว เขารู้สึกคลื่นไส้ แต่กระนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วถ่ายรูปศพแบรด

    ทันใดนั้นอีธานก็อ้วกออกมา! เขาทนกับสภาพนี้ไม่ไหวแล้ว...

    ปิ๊บ!

    มีข้อความโผล่เข้ามาในโทรศัพท์เขา

    ในด้ามปืน

    อีธานมองไปที่ปืนแล้วถอดส่วนด้ามปืนออก เขาเขวี้ยงด้ามปืนนั้นลงบนพื้นจนมีเมมโมรี่การ์ดอันนึงกระเด้งออกมา เขาใส่เมมโมรี่การ์ดอันนั้นไม่ที่โทรศัพท์

    ติ๊ด!

    กำลังโหลด...

    ...

    โหลดเสร็จสิ้น กำลังเล่นวีดีโอ...


    ระดับน้ำถึงจมูกชอนแล้ว ส่วนวีดีโอนั้นก็สั้นมาก มันแสดงอยู่ไม่ถึง 5 วินาที จากนั้นภาพก็ถูกตัดลง

    _ 5 _ _ ท _ โอดอ _ ถน _ รูซเวลท์

    อีธานมองไปที่แบรดอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หยิบรูปของลูกสาวแบรดขึ้นมาดู

    “ขอโทษนะ...” อีธานกล่าวกับตัวเองเบาๆ จากนั้นเขาก็วางรูปนั้นไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ

    ***

    หลังจากที่สก๊อตและลอเรนออกมาจากสถานีตำรวจสักพักนึงแล้ว สก๊อตก็ตั้งใจขับรถพาลอเรนไปส่งที่บ้านของเธอ

    “เราจะไปไหนกันน่ะ” ลอเรนถามด้วยความสงสัย

    “ผมจะพาคุณกลับบ้าน” สก๊อตบอก “เรื่องนี้มันเริ่มที่จะอันตรายเกินไปแล้ว”

    “ไม่มีทาง!” ลอเรนค้านอย่างเต็มที่ “เราเป็นคู่หูกันแล้วนะ ลืมไปแล้วหรอ! เราตกลงกันไว้แล้วนะ!”

    “เฮ้อ...” สก๊อตถอนหายใจ “นี่ไม่ใช่เกมนะลอเรน แมนเฟรดถูกฆ่าเพราะว่าเขารู้ข้อมูลบางอย่างของนักฆ่าโอริกามิ เขาถูกฆ่าโดยที่พวกเราอยู่ห่างจากเขาไม่ถึง 20 เมตรเองนะ! ไม่! ผมจะไม่ยอมให้นักฆ่าโอริกามิอยู่ใกล้คุณเหมือนเมื่อกี้นี้เด็ดขาด!”

    “ฉันไม่ใช่เด็กนะ!” ลอเรนเริ่มโมโห “ฉันรู้ว่าฉันควรจะทำอะไร ฉันจะหานักฆ่าโอริกามิจนเจอและคุณก็จะไม่หยุดฉัน!”

    “ถ้างั้นคุณก็ไปหาเขาโดยที่ไม่มีผมก็แล้วกัน! และผมก็จะไม่รับประกันอะไรหรอกนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวคุณน่ะ!” สก๊อตเริ่มขึ้นเสียง

    “หยุดรถซะ...” ลอเรนพูดขึ้นมาเบาๆ

    “อะไรนะ”

    “หยุดรถเดี๋ยวนี้!” ลอเรนยื่นมือมาแย่งพวงมาลัย สก๊อตพยายามแย่งกลับแต่ก็ไม่เป็นผล เขาเหยียบเบรคทันที รถนั้นส่ายไปมาจากนั้นมันก็หยุดลงกลางถนน!

    “ถ้าคุณไม่มาร่วมมือในการช่วยหาคนที่ฆ่าลูกของฉัน ฉันจะทำเอง!” ลอเรนตะโกนใส่หน้าสก๊อตจากนั้นเธอก็บุ่มบ่ามออกจากรถไป เธอเดินไปยืนอยู่หน้ารถสก๊อตและยืนอยู่นิ่งๆท่ามกลางฝนที่ตกหนักอยู่

    สก๊อตเดินลงมาจากรถและเดินเข้าไปใกล้ๆลอเรน เขาสังเกตุว่าลอเรนกำลังร้องไห้อยู่

    “ฉันคิดถึงเขามาก...” ลอเรนบอกกับเขา “คิดถึงเขามากเหลือเกิน... ฉันยอมเสียทุกอย่างเพื่อที่จะให้เขากลับมาอีกครั้ง...”

    สก๊อตถอดเสื้อคลุมออกจากนั้นเขาก็เอาเสื้อคลุมของเขาไปสวมให้ลอเรน ลอเรนหันมาทั้งน้ำตา

    “ผมขอโทษ...” สก๊อตกล่าวขึ้นมาเบาๆ “ไปขึ้นรถเถอะ อยู่ตรงนี้เดี๋ยวเป็นหวัด”

    ลอเรนยืนก้มหน้าไม่พูดอะไร สก๊อตเห็นดังนั้นจึงเข้าไปโอบไหล่เธอและพาเธอขึ้นรถก่อนที่เขาจะสตาร์ทรถออกไป


    เกล็ดความรู้เล็กน้อยนะครับ - ทำไมถึงต้อง "ฉลาม"

    โอริกามิชิ้นนี้ถูกเรียกว่าฉลามเพราะมันเป็นการแสดงถึงความโหดร้ายของฉลาม ฉลามยังเป็นสัตว์ที่อยู่ในจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอีกด้วย อีธานต้องกระทำสิ่งที่โหดร้ายเช่นนี้เฉกเช่นเดียวกับที่ฉลามนั้นทำอยู่

  10. #35
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 32: The Doc จงใจกระทืบลุง

    Chapter 32: The Doc จงใจกระทืบลุง

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 13.32 น.

    ปริมาณน้ำฝน 3.434 นิ้ว


    เมดิสันขับมอเตอร์ไซค์มาบนทางด่วนแห่งหนึ่งในเลคซิงตัน ฝนที่ตกติดต่อกันหลายวันทำให้บนทางด่วนมีน้ำขังค่อนข้างมาก

    กริ้งๆ

    เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา เมดิสันคว้ามันออกมาจากกระเป๋า “ฮัลโหล”

    “เมดิสันหรอ นี่แซมนะ ผมได้ข้อมูลที่คุณต้องการแล้ว” เสียงผู้ชายจากปลายสายดังขึ้น “เจ้าของตึกร้างที่ถนนมาร์เบิ้ลมีชื่อว่า ดร. เอเดรียน เบเกอร์ ตึกนั้นเคยเป็นอพาร์ตเม้นท์มาก่อน ตอนนี้เขาเลิกจากการเป็นหมอและมาขายยาผิดกฏหมายแทน เขาเอาเงินที่ได้มานั้นไปซื้ออพาร์ตเม้นท์หลายๆที่ รวมไปถึงอันที่อยู่บนถนนมาร์เบิ้ลด้วย เขาเคยติดคุกอยู่แต่หลังจากสองเดือนเขาก็ถูกปล่อยตัว...”

    “น่าสนใจ...” เมดิสันบอกแซม “ตอนนี้ฉันใกล้ถึงบ้านเขาแล้วล่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะแซม ไว้ค่อยคุยกันนะ”

    “เอ่อ... เมดิสัน” แซมรีบพูดก่อนที่เมดิสันจะวางสาย “ระวังตัวด้วยนะ”

    “ไม่มีปัญหา” เมดิสันตัดบท “ขอบคุณนะแซม”

    ไม่นานเมดิสันก็ขี่มอเตอร์ไซค์จนมาถึงบ้านของเอเดรียน เธอจอดมอเตอร์ไซค์ไว้หน้าบ้านเขาจากนั้นเธอก็เดินไปเคาะประตูหน้าบ้าน

    ชายแก่ๆคนนึงเปิดประตูต้องรับเธอ

    “สวัสดีค่ะ” เมดิสันพูดกับเขา “ฉันได้ยินมาว่าที่นี่ขายยาแก้โรคนอนไม่หลับน่ะค่ะ... โดยที่ไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์...”

    “ขอโทษ” ชายคนนั้นกล่าวอยากไร้น้ำใจ “คุณคงมาผิดที่แล้วแหละ ลาก่อน”

    “เดี๋ยว!” เมดิสันเอามือยันประตูไว้ “ฉะ... ฉันต้องการมันจริงๆนะ... ยานั่นน่ะ... เอ่อฉัน... ฉันจะจ่ายให้!”

    “แล้วทำไมไม่บอกก่อนล่ะ” ชายคนนั้นยิ้มเล็กน้อย “เข้ามาสิ”

    ภายในบ้านนั้นค่อนข้างหรู แต่ของส่วนใหญ่ยังคงวางทิ้งไว้อยู่อย่างไม่เป็นที่เป็นทาง

    “คุณ... กำลังหายานอนหลับอยู่ใช่ไหม” ชายคนนั้นเดินเข้ามา “เรียกผมว่าหมอนะ”

    “ค่ะ... หมอ”

    “คุณกำลัง... นอนไม่หลับใช่ไหม ต้องการเท่าไหร่ล่ะ”

    “ไม่รู้สิ... สักประมาณ... เอ่อ... สี่กล่องก็พอล่ะมั้ง”

    “อืม... ได้สิ” หมอรับคำ “อยากดื่มอะไรก่อนไหมล่ะ ผมกำลังจะดื่มอยู่พอดี”

    “ไม่เป็นไรค่ะ” เมดิสันหันหน้าหนีไปทางอื่น

    “แอลกอฮอล์ช่วยทำให้ยาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเชื่อมั้ยล่ะ” หมอรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “ยังไงก็ตาม เราก็ควรที่จะดื่มอะไรสักแก้วก่อนที่เราจะตกลงอะไรกันนะ”

    หมอเอเดรียนเดินไปที่เคาน์เตอร์ใกล้ๆโซฟา เขานำวอดก้าเทลงไปบนแก้วสองใบ จากนั้นเขาก็ยื่นแก้วใบนึงให้เมดิสันที่นั่งรอเขาอยู่บนโซฟาอยู่แล้ว

    เมดิสันยื่นมือไปรับแก้วแล้วถือไว้ หมอเอเดรียนนั่งลงข้างๆเธอ

    “ผมไม่เห็นคุณอยู่แถวๆนี้เลยนะ รู้จักผมได้ยังไง” หมอถามเธอ

    “มีเพื่อนฉันคนนึงน่ะค่ะ” เมดิสันตอบ “เขานอนไม่หลับเหมือนกัน เขาบอกว่าเขาได้ยานี้มาจากคุณน่ะค่ะ”

    หมอพยักหน้า

    เมดิสันถามเขาต่อ “คุณมี... ยาชนิดอื่นไหมคะ”

    “แน่นอน... แต่ทุกสิ่งมีราคานะ” หมอคนนั้นยิ้มเล็กน้อย “แล้วคุณล่ะมีราคามั้ย”

    เมดิสันหันมา “ฉันไม่ได้มีไว้ขายนะ!”

    “ใจเย็นสิ... ผมแค่พูดเล่นเท่านั้นเอง”

    ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันสักพักหลังจากนั้นเมดิสันก็ถามเขาอีกครั้ง

    “คุณ... คุณกำลังเปิดอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าถูกไหมคะ... ฉันกำลังจะหาน่ะค่ะ”

    “โทษนะ... แต่มันถูกจองไปหมดแล้วล่ะ

    “เฮ้อ...” เมดิสันถอนหายใจ “น่าเสียดายจัง ฉันคิดว่าจะเช่าอันที่อยู่แถวๆถนนมาร์เบิ้ลซะด้วยสิ”

    หมอเอเดรียนหันหน้ามามองเธอเล็กน้อยจากนั้นก็ยืนขึ้น “เธอไม่ดื่มหรอ”

    เมดิสันมองไปที่แก้วที่เธอถืออยู่ เธอเขย่ามันเล็กน้อยจากนั้นก็ดื่มมันลงไป

    เพล้ง!

    แก้วนั้นตกลงมาทันที หมอเอเดรียนซึ่งยืนอยู่ข้างๆเธอก็หัวเราะขึ้นมา “พ่อแม่เธอไม่เคยสอนหรือไงว่าไม่ให้รับสิ่งของจากคนแปลกหน้าน่ะ”

    ตัวของเมดิสันเริ่มอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรง จากนั้นเธอก็ค่อยๆหมดสติและล้มลงกับพื้นด้วยฤทธิ์ยาที่หมอผสมลงไปในแก้ววอดก้าอันนี้...

    ***

    หลอดไฟ?

    หลอดไฟสีจางๆค่อยๆปรากฏขึ้นมา เมดิสันค่อยๆลืมตาขึ้น เธอหันมองไปทางขวาแล้วพบกับศพหนึ่งศพอยู่ในสภาพโดนเฉือนเละทั้งตัว

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!” เมดิสันร้องแหกปากอย่างสุดเสียงด้วยความกลัว ขาและมือเธอถูกมัดด้วยเชือก ตัวของเธออยู่บนโต๊ะซึ่งมีคราบเลือดเกรอะกรัง

    “อ้าวตื่นแล้วหรอ” หมอคนนั้นทัก “นั่นแมทธิวน่ะ” หมอชี้ไปที่ศพที่อยู่ข้างๆเธอ “เขาบอกว่าเขาป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่างน่ะ ผมก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน น่าเสียดายที่เขาเป็นสปายของรัฐน่ะ”

    เมดิสันหันหน้าไปมองหมอพลางพยายามดิ้นให้มือและขาหลุดออกจากเชือก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังง่วนกับของเล่นที่อยู่ตรงหน้าของเขาอยู่

    “แหม...” หมอคนนั้นพูดออกมา “ดูเหมือนว่าเธอจะสนใจอพาร์ทเม้นท์แถวๆถนนมาร์เบิ้ลสินะ ผมให้เพื่อนของฉันที่ชื่อปาโก้เช่าเองแหละ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปทำอะไรที่นั่น จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้แคร์อะไรนักหรอกว่าเขาไปทำอะไร ถ้าเขาจ่ายเงินผมแล้ว เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขาจริงไหม”

    เมดิสันมองไปรอบๆ เธออยู่ในห้องใต้ดินซึ่งไม่มีแสงอาทิตย์เล็ดลอดเข้ามา ในห้องนั้นมืดและมีกลิ่นอับโชยอบอวลอยู่ต่อเนื่อง

    “เอาล่ะคุยกันมามากพอแล้วสินะ... ผมคิดถึงจัง ของเล่นชิ้นนี้น่ะ ผมไม่ได้เล่นมันมานานแล้วนะ จริงๆแล้วผมก็อยากได้ของเล่นอะไรที่มันเจ๋งๆกว่านี้อีกหน่อยน่ะ แต่น่าเสียดาย ผมหามันมาได้แค่เท่านี้เอง อย่าว่าผมก็แล้วกันนะ...”

    เสียงสว่านไฟฟ้าดังขึ้น หมอคนนั้นหันมาพร้อมกับสว่านที่กำลังถูกใช้งานอยู่ในมือ

    “อยู่นิ่งๆนะเพราะมันอาจจะทำให้เจ็บนิดหน่อย” หมอยิ้มเล็กน้อยและค่อยๆจ่อสว่านไฟฟ้าอันนั้นลงไปในช่วงระหว่างขาของเมดิสัน

    เมื่อร่างกายของเมดิสันกับสว่านไฟฟ้าอยู่ห่างจากการเพียงแค่ 1 เซนติเมตร เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นมา หมอคนนั้นยกสว่านไฟฟ้าขึ้นและถอนหายใจเล็กน้อย

    “น่าเสียดายจัง รู้ไหมว่าเวลาผมกำลังจะทำอะไร ต้องมีคนมาขัดจังหวะทุกที อยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะรีบกลับมา”

    เมื่อหมอพูดจบเขาก็วางสว่านไฟฟ้าไว้บนโต๊ะและเดินออกไป เมดิสันได้โอกาสรีบเอาเท้าปัดสว่านไฟฟ้าและค่อยๆขยับมันมาใกล้เชือกที่มัดขาเธอไว้อยู่

    เมื่อเชือกถูกคลายออกจากกันแล้ว เธอก็นำมันมาตัดเชือกที่ขาอีกข้างและส่งมันมาที่มือ เธอเอียงตัวเล็กน้อยแล้วใช้สว่านอันนั้นตัดเชือกที่มัดมือเธอทั้งสองข้าง

    หมอคนนั้นกลับมาพอดี เมดิสันรีบหยิบสว่านไฟฟ้าและหมุนตัวลงมาจากโต๊ะหนีไปทางหลังห้อง หมอเอเดรียนคว้ามีดสั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อและพยายามที่จะแทงเมดิสัน เมดิสันได้ทีโยนค้อนอันนึงไปที่หัวเขา

    เมื่อเลือดเขาไหลออกมาจากหน้าผากเขาก็ยิ่งโมโหมากขึ้น เขาวิ่งกระโจนเข้ามาจับตัวเมดิสันไว้และทุ่มตัวเธอเข้ากับเสา เขาดึงผมเธอขึ้นและโขกไปที่เสาอย่างเต็มแรงจากนั้นเขาก็จับเมดิสันโยนลงบนโต๊ะอีกครั้ง

    เมดิสันแน่นิ่งไป...

    หมอคนนั้นหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะลูบไล้เธอด้วยอารมณ์ มือข้างหนึ่งของเมดิสันกำสว่านไฟฟ้าไว้อยู่ และเมื่อได้จังหวะเธอก็ลุกขึ้นมาควงหัวใจหมอเอเดรียนด้วยความแรง

    หมอคนนั้นร่วงลงพื้นไปในทันที เมดิสันกระโดดกระทืบหน้าเขาด้วยความโมโห

    “ตายซะไอ้สารเลว!”

    เมื่อเธอกระทืบจนพอใจแล้วเธอก็เดินออกมาจากห้องใต้ดินนั้น ระหว่างทางกลับเธอเหลือบไปเห็นบัตรสีฟ้าที่มีคำว่า บลูลากูน จาก ปาโก้ อยู่ เธอหยิบมันขึ้นมาและออกจากบ้านหมอเอเดรียนไปทันที

  11. #36
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 33: Mad Jack ชายคลั่งปราบดิน

    Chapter 33: Mad Jack ชายคลั่งปราบดิน

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 14.18 น.

    ปริมาณน้ำฝน 3.502 นิ้ว


    นอร์แมนขับรถมาที่ๆอยู่ของแจ็คสันตามข้อมูลที่เขาได้รับมาจากแว่นของเขาหลังจากที่เขาถูกปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือจากเบลค เขาขับมาที่นี่คนเดียว บริเวณนั้นเต็มไปด้วยเศษซากขยะที่จะมาจากรถยนต์ซะส่วนใหญ่

    ป้ายประกาศว่าห้ามเข้าอันใหญ่ขวางกั้นเขาไว้อยู่แต่เขาไม่สนใจมันแม้แต่น้อย เขาขับรถของเขาไปจอดตรงใกล้ๆโรงรถ จากนั้นเขาก็เดินออกมาจากรถพร้อมกับได้ยินเสียงรถปราบดินที่ดังกระหึ่มอยู่ใกล้ๆ

    เขาเดินไปหาชายคนหนึ่งซึ่งกำลังขับรถปราบดินอยู่

    “เฮ้!” นอร์แมนตะโกนทักเขา “หยุดรถนั่นให้หน่อยได้ไหม!”

    ชายร่างดำคนนั้นซึ่งสวมเสื้อกล้ามสีเทาอยู่หันมาก่อนที่เขาจะหันตัวไปปิดสวิทช์รถนั่น จากนั้นเขาก็กระโดดลงมาจากรถและยืนหน้านอร์แมน

    “นอร์แมน เจย์เดน เอฟบีไอ” นอร์แมนแนะนำตัวเอง “เราคุยกันนิดหน่อยได้ไหม”

    “ฟังอยู่” แจ็คตอบมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ

    “ไปคุยกันข้างไหนได้ไหม” นอร์แมนกล่าวในขณะที่เขากำลังยืนตัวขดสั่นเทาจากความหนาวเย็นของน้ำฝน

    แจ็คเดินเข้าไปในโรงรถโดยที่มีนอร์แมนตามมาอยู่ข้างหลัง เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในโรงรถแล้ว นอร์แมนจึงเอ่ยปากถามเขา

    “ผมกำลังหาเจ้าของรถเชฟโรเล็ต มาลิบู 83 สีฟ้า” นอร์แมนยืนเท้าเอว “ผมไม่สนใจว่ารถนั่นจะมาที่นี่ได้ยังไง ไม่ว่าคุณจะขโมยมันมาหรือไม่ สิ่งที่ผมต้องการคือชื่อของคนที่มาซื้อรถนั่นต่อจากคุณ”

    “โทษทีว่ะ... ผมจำไม่ได้” แจ็คส่ายหน้า “ความจำผมมันเริ่มเสื่อมแล้วว่ะ”

    “บางทีผมอาจจะช่วยคุณได้นะ” นอร์แมนหรี่ตา “ถ้าเกิดว่าผมจับได้ว่าคุณขโมยรถนั่นมาแล้วขายให้กับคนที่ผมกำลังตามหาอยู่ คุณจะเสียใจภายหลังแน่”

    “คุณกำลังขู่ผมหรอ” แจ็คเริ่มขู่เขา “ผมไม่เคยเห็นรถของคุณ! ไปเดินดูรอบๆเองไป!”

    เมื่อแจ็คพูดจบเขาก็เดินกลับไปที่รถปราบดินและทำงานของเขาต่อ นอร์แมนหยิบแว่นขึ้นมาสวมแล้วสำรวจที่โรงรถของเขาไปสักพักนึง

    แว่นเอ.อาร์.ไอ.บอกเขาว่ารถของนักฆ่าโอริกามิเคยขับผ่านมาที่นี่แล้ว ทั้งยังมีละอองเกสรจากดอกกล้วยไม้ชนิดเดียวกันกับที่โปรยลงบนเหยื่ออยู่ด้วย

    นอร์แมนเปิดฝาสังกาสีที่ครอบอะไรบางอย่างอยู่ แล้วเขาก็ตกใจเมื่อเห็นกะโหลกมนุษย์อยู่ในน้ำกรดซึ่งมีก๊าซบางอย่างปล่อยออกมาอยู่

    กริ๊ก!

    แจ็คเอาปืนมาจ่อที่หัวนอร์แมนจากด้านหลัง “เมื่อตอนที่เพื่อนคุณมาที่นี่ เขาถามคำถามมากไปน่ะ ผมจึงต้องโยนตัวเขาลงไปในนี้” แจ็คหยิบปืนพกจากกระเป๋าเสื้อนอร์แมนแล้วโดยนมันไปข้างหลัง

    “เอามือไว้ข้างหลังซะไอ้หนู! เดินไปหลังโรงรถ!” แจ็คกระแทกปืนบนหัวนอร์แมน นอร์แมนชูมือขึ้นและเดินไปตามคำสั่งของแจ็ค

    นอร์แมนเดินไปเรื่อยๆจนเขาเห็นค้อนเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เมื่อเขาได้จังหวะเขาก็รีบโยนมันใส่ตัวแจ็คแต่ทว่าเขากลับไม่เป็นไรเลย แจ็คได้ทีอุ้มนอร์แมนขึ้นมาด้วยความโมโห เขาโยนแว่นของนอร์แมนออกไปแล้วทุ่มตัวเขาลงกับกระโปรงหน้ารถ แจ็คหยิบไม้เหล็กแหลมขึ้นมาแล้วพยายามแทงไปที่ตัวนอร์แมนแต่โชคดีที่เขากลิ้งหลบได้ทัน

    นอร์แมนรีบวิ่งไปเก็บปืนที่ตกอยู่ แจ็คกระโดดเข้ามาแต่เขากลับสะดุดพื้นและล้มลงใส่ถังแก๊สที่วางไว้ข้างผนัง นอร์แมนรีบเล็งปืนไปที่แจ็คและลุกขึ้นมา

    “หมดเวลาเล่นแล้วแจ็ค! คุณจะต้องบอกผมมาว่าคนๆนั้นที่ซื้อรถคุณไปชื่ออะไร!”

    “ไปตายซะ...”

    นอร์แมนถีบใส่หน้าแจ็คไปอีกหนึ่งทีจากนั้นเขาก็ถอยออกมา “ครั้งต่อไปผมจะยิงที่กลางหน้าคุณ! คายออกมา!”

    “คุณจะทำอะไร”

    “โอกาสสุดท้ายแล้วนะแจ็ค บอกผมมา!”

    “ถ้าผมไม่บอกแล้วคุณจะทำอะไร” แจ็คมองหน้าเขา จะจับผมหรอ ก็จับซะสิ!”

    “อยากเห็นดอกไม้ไฟไหมแจ็ค” นอร์แมนเล็งปืนไปที่ถังแก๊สที่ตกอยู่ข้างๆแจ็ค “เพราะผมคิดว่าถังพวกนี้จะระเบิดได้ดีเชียวล่ะ”

    “อย่านะเฮ้ย! อย่ายุ่งกับถังพวกนี้เชียวนะ” แจ็ครีบส่ายมือ

    “ทำไมล่ะ หรือว่าผมจะแจ้งว่านี่เป็นอุบัติเหตุดีไหมนะ หรือไม่ ผมจะแจ้งว่ามันเป็นอุบัติเหตุแหละเพราะดูท่าคุณจะไม่ยอมบอกอะไรผมเลยจริงไหม”

    “ไอ้หนุ่มเอฟบีไอ... คุณมันบ้าไปแล้วเฮ้ย! ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายคนนั้นชื่ออะไร เขามาเพื่อให้ผมทำป้ายทะเบียนปลอมให้ เขาจ่ายเงินผมๆจึงไม่ค่อยอยากจะเซ้าซี้เขานักน่ะ เขาบอกผมว่าถ้าผมทำป้ายทะเบียนเสร็จ เขาจะให้ผมส่งรถคันนี้ไปให้คนๆนึงที่ชื่อว่าปาโก้เมื่อผมทำรถเสร็จแล้วน่ะ ผมสาบานเลยผมรู้แค่นี้จริงๆ...” แจ็คค่อยๆยืนขึ้น

    “เราจะคุยเรื่องนี้ต่อที่สถานีตำรวจ” นอร์แมนตัดบท “คุณถูกจับแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด ทุกสิ่ง...”

    ทันใดนั้นนอร์แมนก็เริ่มวิงเวียนศีรษะ เขาเอามือไปแตะจมูกก็พบว่ามีเลือดไหลออกมาจากจมูกเขาอีกแล้ว

    “โธ่เว้ย! ไม่ใช่ตอนนี้สิ!” เขาบ่นกับตัวเองจากนั้นก็หันหน้าไปหาแจ็คต่อ “...ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพูดจะสามารถใช้กับ...”

    “เฮ้ยเป็นไงบ้าง! ดูเหมือนว่าคุณจะมีปัญหาอะไรสักอย่างนะ” แจ็คถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นนอร์แมนค่อยๆก้มตัวลงอย่างทุรนทุราย

    นอร์แมนค่อยๆหยิบหลอดทริปโตเคนออกมา แต่เขาเผลอทำหลอดตกและมันก็กลิ้งไปหาแจ็ค นอร์แมนรีบตะเกียกตะกายนอนลงพร้อมกับเอื้อมมือไปเอายานั้น

    “อะไรวะเนี่ย!” แจ็คอุทานและเดินเข้ามาหานอร์แมน “อย่าบอกนะว่าเอฟบีไอให้คนติดยามาทำงานได้แล้วหรอ น่าผิดหวังจริงๆ” เขาหัวเราะน้อยๆก่อนที่จะใช้เท้าเขี่ยหลอดให้มันกลิ้งออกห่างจากนอร์แมน “เดี๋ยวผมจะทำให้คุณหายทรมานเอง... คุณเอฟบีไอ... ตลอดกาลเลยแหละ...”

    ปึ้ง!

  12. #37
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 34: Eureka สวรรค์แห่งความหวัง

    Chapter 34: Eureka สวรรค์แห่งความหวัง

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 14.33 น.

    ปริมาณน้ำฝน 3.527 นิ้ว


    เพล้ง!

    นอร์แมนตกใจรีบลืมตาขึ้นเมื่อเสียงที่น่าพิศวงปลุกเขา เขามองไปรอบๆตัวแล้วก็พบว่าตัวของเขาอยู่ในรถของเขาเอง แต่ทว่ารถคันนี้มันกลับถูกยกโดยรถปราบดินอยู่ หน้าต่างทุกบานแตกร้าว มือของเขาเองก็ถูกล็อคไว้กับพวงมาลัย แจ็คขับรถปราบดินไปตรงเครื่องทำลายรถยนต์ที่ตั้งอยู่ข้างหน้า

    ท่ามกลางความสิ้นหวัง นอร์แมนก็นึกขึ้นได้ว่าเขามีปืนอีกกระบอกนึงอยู่ใต้ลิ้นชักในรถ เขาใช้เท้าถีบตัวล็อคลิ้นชักนั้นจนพังออกมาจากนั้นเขาก็รีบเตะปืนขึ้นมาไว้หน้าคอนโซล เขาพยายามเอนตัวไปหาปืนเล็กน้อยก่อนที่จะคว้ามันมายิงใส่โซ่เหล็กที่มัดมือเขาอยู่

    โครม!

    รถของเขาตกลงไปในเครื่องบดแล้ว นอร์แมนอาศัยหน้าต่างที่แตกปืนข้ามไปเหนือรถที่กำลังตะแคงอยู่ และในไม่กี่อึดใจเขาก็สามารถหลบหนีมาจากเครื่องมรณะนั่นได้

    นอร์แมนรีบเล็งปืนไปที่รถปราบดินแต่แจ็คกลับไม่อยู่แล้ว แจ็คซึ่งแอบหลบอยู่ข้างหลังเขาก็โผล่ออกมาปัดปืนทิ้งและถีบนอร์แมนจนเขาล้มลงไป นอร์แมนรีบตะเกียกตะกายหนีแต่แจ็คก็รีบมาจับขาเขาไว้และกระโดดใส่ขาเขา นอร์แมนหันตัวหลบทันและฟาดท่อนเหล็กที่เขาเก็บได้จากพื้นใส่หน้าเขา

    แจ็คยืนนิ่งดั่งอสูรกาย หน้าของเขาไม่แสดงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย นอร์แมนฟาดใส่เขาอีกครั้งแต่แจ็คก็ยังคงยืนนิ่งเช่นเดิม นอร์แมนซึ่งเหนื่อยล้าก็ผล็อยปล่อยท่อนเหล็กนั้นกับพื้นจากนั้นเขาก็กระโดดใส่แจ็ค

    แจ็ครับตัวเขาไว้ได้ เขาโยนนอร์แมนลงไปบนเครื่องปราบดินซึ่งมันกำลังเดินไปข้างหน้าอยู่อย่างช้าๆ ก่อนที่นอร์แมนจะทำอะไรแจ็คก็มาคว้าตัวเขาและโขกหัวเขากับเครื่องยนต์ร้อนๆในเครื่องปราบดิน เขาลากตัวนอร์แมนมาไว้ใกล้ล้อโดยหวังจะให้รถทับแต่นอร์แมนก็ไหวตัวทันเช่นกัน เขาพลิกตัวหลบและเตะขาแจ็คจนเขาเสียหลักเล็กน้อย

    เมื่อเสื้อผ้าของแจ็คที่หลุดลุ่ยค่อยๆถูกกินเข้าไปในล้อของรถปราบดินและตัวแจ็คเองก็ค่อยๆถูกดึงไปตามเช่นกัน ร่างกายของเขาถูกบดขยี้ด้วยแรงล้อจากรถปราบดินท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของเขา

    นอร์แมนยืนมองด้วยความเหนื่อยล้าท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ เขาก้มมองลงเสื้อผ้าของเขาที่สกปรกและขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีก่อนที่จะเดินไปหาปาโก้ที่คลับของเขาเพื่อตามหาหลักฐานสำคัญของนักฆ่าโอริกามิ

    ***

    เวลา 16.30 น.

    ปริมาณน้ำฝน 3.672 นิ้ว


    สก๊อตพาลอเรนมาที่บ้านของเขาเอง เขาถอดเสื้อคลุมให้ลอเรนก่อนที่เธอจะเดินไปที่โต๊ะทำงานของเขา

    “คุณคิดว่า... นักฆ่าโอริกามิฆ่าแมนเฟรดใช่ไหม” ลอเรนถามพลางยืนกอดอกคิดครุ่น

    “พอคิดๆดูแล้วมันก็สมเหตุสมผลนะ” สก๊อตตอบ

    “แล้วคุณก็สงสัยว่านักฆ่าคือกอร์ดี ใช่ไหมล่ะ”

    “ก็อาจจะเป็นเขา... หรือไม่ก็ลูกน้องของเขาน่ะ... กอร์ดีมีวันเวลาและจุดประสงค์คล้ายๆกับตัวของนักฆ่าโอริกามิเอง นี่ยังไม่ได้บอกถึงพฤติกรรมแย่ๆของเขาเลยนะ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นแค่ผู้ต้องสงสัยก็ตาม แต่เขาก็มีหลักฐานมัดตัวอยู่เยอะนะ”

    ลอเรนหันไปมองงานของสก๊อตที่วางอยู่บนโต๊ะ “นี่งานคุณหรอ”

    “ใช่” สก๊อตตอบเธอ “ผมทำงานเรื่องนี้มาประมาณเกือบสองปีแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเอกสารน่ะนะ”

    “นิตยสารโอริกามิ...” ลอเรนมองไปที่สิ่งของบนโต๊ะของเขา “คุณคิดว่านักฆ่าจะสามารภเป็นสมาชิกของหนังสือพวกนี้ได้ไหม”

    “อย่างน้อยถ้าเขาสนใจในเรื่องโอริกามิมาอย่างน้อย 30 ปีน่ะ ชื่อของเขาก็อาจจะอยู่ในนั้นแหละ แต่ปัญหาใหญ่ก็คือชื่อในนั้นมันมีมากกว่า 500 ชื่อ... มันทำให้ผมเหนื่อยน่ะ”

    “ฉันหิวแล้ว” ลอเรนมองหน้าสก๊อต “มีอะไรให้ฉันกินบ้างไหม”

    “จะเอาไข่กวนมั้ยล่ะ ถึงผมจะไม่ใช่เชฟแต่ผมก็สามารถทำมันได้นะ”

    “โอเค” ลอเรนก้มหน้าพลางมองไปยังนิตยสารฉบับนั้น “ฉันเปียกไปทั้งตัวเลย... ขออาบน้ำที่นี่ได้หรือเปล่า”

    “เชิญเลย” สก๊อตยิ้มเล็กน้อย “ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนผมน่ะ ผมจะทำไข่กวนรอนะ”

    สก๊อตเดินไปยังห้องครัวจากนั้นเขาก็หยิบไข่ขึ้นมาสองฟอง เขาตอกไข่ใส่ลงบนกระทะและคนให้มันแตก เขาเปิดไฟบนเตาเล็กน้อยและทอดมันเป็นเวลาไม่นาน หลังจากนั้นการทอดไข่ของสก๊อตก็เสร็จสมบูรณ์

    เขานำไข่นั้นวางลงบนจานและนำมันมาวางไว้บนโต๊ะอาหารใกล้ๆห้องครัว ลอเรนเดินออกมาพอดีพร้อมกับชุดอาบน้ำสีแดงสด

    “น่ากินจัง” ลอเรนกล่าวขึ้นมาพร้อมกับน้ำเสียงหิวกระหาย

    “นั่นอะไรน่ะ” สก๊อตถามเธอด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเธอหยิบสมุดโน้ตเล็กๆออกมาจากกระเป๋า

    “ฉันเอามาจากร้านของแมนเฟรดน่ะ ในนี้มีชื่อของคนที่ซื้อหรือซ่อมเครื่องโรยัล ไฟฟ์ ภายในระยะเวลาสิบปีแค่ 30 คนเองนะ ไม่แน่ว่าชื่อของนักฆ่าโอริกามิอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้”

    “รู้ไหมลอเรน...” สก๊อตส่ายหน้า “การที่เราจะมานั่งดูประวัติคนในนั้นหนึ่งต่อหนึ่งน่ะ... มันลำบากมากเลยนะ”

    “เพียงแต่ว่าถ้าเรานำชื่อนั้นมาเปรียบเทียบกับชื่อของสมาชิกนิตยสารโอริกามิ เราก็จะได้ชื่อของนักฆ่าด้วยจริงไหม”

    “ก็ใช่นะ... แต่...” สก๊อตพูดยังไม่ทันจบลอเรนก็รีบลุกขึ้นไปที่โต๊ะทำงานของสก๊อต “เฮ้ยเดี๋ยว!”

    “ถ้านักฆ่าโอริกามิใช้เจ้าเครื่องโรยัล ไฟฟ์กับเป็นสมาชิกของนิตยสารโอริกามิจริงๆ ชื่อของเขาก็จะปรากฏอยู่บนทั้งสองรายชื่อไง” ลอเรนกล่าวอย่างตื่นเต้น

    “เออมันก็ถูกละนะ... แต่ว่า...”

    “ชื่อของเขาอยู่ในนี้แหละ มาช่วยฉันหาหน่อยสิ”

    ***

    เมื่อเวลาผ่านไปสามสิบนาที ชื่อของคนที่ทั้งคู่คิดว่าจะเป็นนักฆ่าก็ปรากฏขึ้นมา

    จอห์น เชพเพิร์ด

    “นี่แหละที่เราต้องการล่ะ! บ้านคุณมีคอมพิวเตอร์ไหม” ลอเรนกล่าวอย่างตื่นเต้น

    “รอแปปนึงนะ” สก๊อตบอกพลางก้มตัวไปหยิบโน้ตบุ้คในกระเป๋ามาวางไว้บนโต๊ะ

    ลอเรนกดปุ่มเปิดเครื่องและบอกกับเขา “เราจะหาข้อมูลเขาจากในนี้...”

    “จะบ้าหรอ! ในเน็ตมันจะไปมีได้ไง”

    “ก็ไม่แน่นะ...”

    ลอเรนกดเข้าเว็บไซต์และพิมพ์คำว่า จอห์น เชพเพิร์ด ลงไป ไม่นานข้อมูลหลายก็ปรากฏขึ้นมา

    ทั้งคู่สะดุดตาไปที่บทความนึงของสำนักงานข่าว เจอาร์.ทีวี

    ย้อนรอย จอห์น เชพเพิร์ด เด็กชายอายุสิบขวบซึ่งเสียชีวิตจากเหตุจมน้ำในสถานที่ก่อสร้างบริษัท เครเมอร์ คอนสตรัคชั่นในวันที่ 26 ตุลาคม 1977 หลังจากนั้นหนึ่งวันร่างของเขาก็ถูกฝังไว้ในสุสานเลคซิงตัน

    ลอเรนมองหน้าสก๊อต แต่สก๊อตกำลังตั้งใจมองอย่างจดใจจดจ่อไปที่บทความนั้น

    “1977 หรอ เขาตายไปแล้วหนิ!” สก๊อตบอกเธอ “เสียเวลาเปล่าจริงๆ!”

    “แปลกๆนะ เด็กอายุสิบขวบไม่น่าจะมีเครื่องโรยัล ไฟฟ์ไว้ครอบครองได้” ลอเรนนั่งคิด “ไปที่สุสานเลคซิงตันกัน เพื่อเราจะได้ข้อมูลอะไรขึ้นมาบ้าง”

    “ไปทำไมน่ะ” สก๊อตถามเธอ “เขาตายไปแล้วหนิ”

    “อย่างน้อยเราก็อาจจะได้ข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับนักฆ่านะ ไปกันเถอะ!” เมื่อพูดจบลอเรนก็รีบคว้าเสื้อคลุมมาสวมและออกจากห้องไปทันทีโดยที่มีสก๊อตตามมาติดๆอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก

  13. #38
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 35: Flower on the Grave ดอกไม้บนหลุมศพ

    Chapter 35: Flower on the Grave ดอกไม้บนหลุมศพ

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 17.13 น.

    ปริมาณน้ำฝน 3.774 นิ้ว


    สุสานเลคซิงตันยังคงไม่เปลี่ยนแปลงสภาพหลังจากที่มันถูกสร้างมากว่า 30 ปีแล้ว ลอเรนเดินเข้ามาที่นี่โดยมีสก๊อตเดินบ่นอยู่ข้างๆ

    “คนที่มีชื่ออยู่ในรายชื่อทั้งสองนั้นตายตอนเขาอายุสิบขวบนะ! คุณจะมาที่นี่ทำไมล่ะ จะมาขุดหลุมศพเขาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาตายแล้วอย่างงั้นหรอ” สก๊อตเริ่มไม่เข้าใจในตัวลอเรน

    “ฉันรู้ว่ามันไม่สมเหตุสมผล แต่ถ้านักฆ่าใช้ชื่อของเขาล่ะ” ลอเรนหันหน้ามา

    “แล้วทำไมต้องใช้ชื่อคนที่ตายไปเมื่อ 30 ปีก่อนด้วยล่ะ”

    “ก็เรามาที่นี่เพื่อที่จะหาคำตอบไม่ใช่หรอ จอห์น เชพเพิร์ดน่ะ หลุมศพของเขาน่าจะอยู่ที่นี่แหละ มาช่วยฉันหาหน่อยสิ”

    เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ทั้งสองก็พบกับสิ่งที่ตนเองค้นหา

    จอห์น เอส. เชพเพิร์ด

    1967 – 1977

    เรสท์ อิน พีซ


    สก๊อตมองลงไปยังหลุมศพ เขาสังเหตุเห็นโอริกามิรูปหมาสีขาวอยู่หนึ่งชิ้น

    “โอริกามิ...” สก๊อตหยิบมันขึ้นมา

    “บังเอิญจังเลยเนอะ” ลอเรนเท้าเอว “มีคนเอาดอกไม้มาวางด้วยแหละ”
    “ใช่” สก๊อตวางโอริกามิไว้ที่เดิม “ดอกไม้พวกนี้ยังสดอยู่เลย มีใครบางคนกำลังดูแลหลุมศพนี้อยู่น่ะ”

    ชายแก่ๆคนนึงเดินเข้ามาทักชายหญิงทั้งสอง “เด็กน้อยที่น่าสงสาร... ฉันรู้จักดีเลยแหละ”

    “คุณรู้จักจอห์นหรอ” สก๊อตถามเขา

    “ผมทำงานอยู่ที่นี่ตั้งแต่สมัยผมยังเด็กนะ ผมยังจำมันได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนนั้น เมื่อ 30 ปีก่อนน่ะ...”

    ชายแก่ๆคนนั้นเริ่มเล่าเรื่องของเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายให้ชายหญิงทั้งสองฟังโดยที่พวกเขากำลังตั้งใจฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อ...

    ***

    วันที่ 26 ตุลาคม 1977

    ณ ชานเมืองชนบทแห่งหนึ่งในเลคซิงตันยังคงมีอากาศที่แสนมืดครึ้มพร้อมกับฝนที่ตกปรอยๆลงมาอยู่ไม่ขาดในฤดูฝนอันหนาวเหน็บ ในเขตการก่อสร้างตึกใหม่ของบริษัท เครเมอร์ คอนสตรัคชั่นยังคงมีบ้านหลังเล็กๆอยู่ภายในนั้น แน่นอนว่ามันเป็นบ้านของคนงาน ฐานะยากจน มีคนอยู่สี่คน จอห์น ฝาแฝดของจอห์น พ่อ และ แม่ของพวกเขา...

    “ออกไปซะ!” เสียงพ่อตะโกนลั่นบ้าน “ไอ้พวกเด็กสวะจอมเสียงดัง ไปเล่นกันข้างนอก ไป!”

    จอห์นและฝาแฝดของจอห์นซึ่งคุ้นเคยกับการกระทำของพ่อของพวกเขามาบ่อยครั้งแล้วก็ไม่ค่อยที่จะแปลกใจเท่าไหร่นัก

    “เขาเมาอีกแล้วล่ะ” จอห์นบอกกับฝาแฝดของเขา

    “แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ” ฝาแฝดของเขากล่าวขึ้น “ตอนนี้ฝนก็ตก เราจะเปียกฝนกันนะถ้าเราเล่นกันข้างนอกน่ะ”

    “แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ถูกพ่อว่าล่ะนะ ฝนตกแค่นี้ไม่เคยทำให้ใครเจ็บหรอก ไปเล่นกันเถอะ!”

    จอห์นแตะฝาแฝดของเขา “จับฉันให้ได้สิ~” จากนั้นเขาก็วิ่งหนีไปโดยที่มีฝาแฝดของเขาวิ่งตามมาติดๆ ทั้งคู่วิ่งเข้าไปในโซนบริเวณก่อสร้าง ฝาแฝดของจอห์นนั้นมีท่าทีไม่ค่อยเต็มใจจะเข้าไปเล่นข้างในนั้นเท่าไหร่เพราะว่าแถวนั้นมันดูอันตรายเหลือเกิน แต่เขาก็ทนจอห์นหยามไม่ได้เขาจึงออกวิ่งตามจอห์นไป

    เมื่อทั้งคู่เล่นกันไปสักพักจอห์นก็ชวนเขาเล่นซ่อนแอบ จอห์นแตะฝาแฝดของเขาและวิ่งหนีไปโดยที่ฝาแฝดของเขาก้มตานับเลขอยู่

    5 นาทีผ่านไป

    ฝาแฝดของจอห์นได้ยินเสียงร้องของใครสักคนออกมา

    “ช่วยด้วย”

    เขารีบวิ่งไปหาเจ้าของเสียงแล้วก็พบว่าจอห์นกำลังติดอยู่ในท่อระบายน้ำที่มีน้ำไหลแรงอยู่

    “ขาฉันติด...” จอห์นบอกพลางพยายามยื่นมือไปหาฝาแฝดของเขา ฝาแฝดของเขาพยายามดึงมือจอห์นขึ้นมาแต่มันก็ไม่เป็นผล

    “อยู่ที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปหาคนช่วย”

    “ไปเร็วๆๆ ดูเหมือนว่าน้ำมันจะไหลสูงขึ้นเรื่อยๆด้วยนะ”

    ***

    “แต่ฝาแฝดของเด็กคนนั้นก็ไม่สามารถหาคนช่วยที่ไหนได้...” ชายแก่ๆที่เล่าเรื่องเด็กคนนั้นมาซะยาวบอกกับสก๊อตและลอเรน “จอห์น... เสียชีวิตเพราะเขาจมน้ำในท่อนั่น”

    “แล้วฝาแฝดของเขาล่ะคะ เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรอ” ลอเรนถาม

    “ผมก็รู้ไม่ค่อยเยอะหรอกนะ” ชายแก่ๆคนนั้นบอก “ผมรู้เพียงแค่ว่าเด็กคนนั้นถูกแยกจากครอบครัวแล้วมีครอบครัวนึงรับเด็กคนนั้นไป”

    เสียงฟ้าร้องและเสียงฟ้าแลบค่อยๆคืบคลานเข้ามา

    “ดูเหมือน... อากาศจะเริ่มแย่ลงแล้วนะ” ชายแก่ๆคนนั้นมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ผมกลับบ้านดีกว่า”

    “เฮ้อ... เป็นเรื่องที่น่าสลดจังนะ” ลอเรนพูดออกมา “จอห์นเสียชีวิตโดยที่เขากำลังจับมือกับฝาแฝดของเขาอยู่... ฝาแฝดเขาน่ะ... คิดว่าเขาคือนักฆ่าโอริกามิหรือเปล่าล่ะ”

    “กลับบ้านเถอะ” สก๊อตชักชวน “ที่นี่ไม่มีอะไรสำหรับเราแล้ว”

    เมื่อทั้งคู่กำลังจะก้าวออกนอกสุสานเลคซิงตันสก๊อตก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง

    “เดี๋ยว” สก๊อตจับแขนลอเรนไว้และชะโงกดูคนสองคนที่เดินเข้าไปในสุสาน

    “มีอะไรหรอ”

    “นั่นมัน... ชาลส์ เครเมอร์”

    “พ่อของกอร์ดีหรอ” ลอเรนถามเขา “เขามาทำอะไรกันที่นี่น่ะ”

    สก๊อตและลอเรนมองชาลส์ที่ถือดอกไม้สีขาวมาที่หลุมศพของจอห์น ชาลส์ยืนนิ่งอยู่หน้าหลุมศพของเขา จากนั้นเขาก็วางดอกไม้นั่นลงบนหลุมศพอย่างใจเย็น

    “ไปกันเถอะ” สก๊อตชวนลอเรนจากนั้นทั้งคู่ก็ตรงกลับบ้าน

  14. #39
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 36: Sexy Girl ใครหรือจะยั่วใจปาโก้

    Chapter 36: Sexy Girl ใครหรือจะยั่วใจปาโก้

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 23.03 น.

    ปริมาณน้ำฝน 4.216 นิ้ว


    คำเตือน – เนื้อหาในตอนนี้ค่อนข้างที่จะ 18+ อยู่

    บลูลากูนเป็นผับขนาดใหญ่ของมหาเศรษฐีนามว่าปาโก้ ภายในนั้นมีเสียงเพลงและแสงสีมากมายส่องประกายอยู่ทั่วผับ เมดิสันซึ่งเดินเข้าไปในนั้นก็เริ่มลายตาเล็กน้อย เธอสวมชุดไม่มิดชิดเท่าไหร่นัก เธอสวมกระโปรงที่สั้นมากและเสื้อของเธอก็ค่อนข้างรัดรูป ในผับนั้นมีสาวสวมชุดชั้นในโหนเสาอยู่ประมาณสามคน มีผู้คนมากมายต่างก็เต้นโยกไปมาตามจังหวะเสียงเพลง

    เมดิสันเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าสีดำเล็กๆใบหนึ่ง เธอเดินฝ่าฝูงชนไปหาบาร์เทนเดอร์คนหนึ่งซึ่งกำลังรินค็อกเทลใส่แก้วลูกค้าอยู่

    “ขอโทษนะคะ” เมดิสันเอ่ยถาม “รู้จักปาโก้ เมนเดสไหมคะ”

    “อะไรนะ” บาร์เทนเดอร์คนนั้นยื่นหน้ามาใกล้เมื่อเสียงเพลงที่ดังสนั่นกลบเสียงพูดของเธอ

    “ปาโก้ เมนเดส!” เมดิสันพูดเสียงดัง “รู้จักเขาไหมคะ”

    “แหงสิ! เขาเป็นเจ้านายผมนะ เขาอยู่ตรงนั้นน่ะ ตรงโซนวีไอพี” บาร์เทนเดอร์ชี้นิ้วผ่านเมดิสันไป

    “ขอบคุณ”

    เมดิสันเดินตรงไปยังโซนวีไอพี แต่เธอก็ถูกขัดจากบอดี้การ์ดคนนึงของเขา

    “ฉันอยากจะคุยกับปาโก้น่ะค่ะ” เมดิสันบอกเขา

    “ไม่ได้ครับ ปาโก้บอกว่าเขาไม่อยากถูกรบกวนตอนนี้”

    เมดิสันหันหลังไป เธอครุ่นคิดว่าเธอควรที่จะทำอย่างไรดี ไม่นานเธอก็คิดออกเมื่อเห็นสาวโหนบาร์อยู่ใกล้ๆ เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำหญิงและหยิบลิบสติกสีแดงออกมาจากกระเป๋าของเธอ

    เธอนำลิบสติกสีแดงขึ้นมาทาจากนั้นเธอก็ปัดขนตาขึ้นสักเล็กน้อย เมื่อเสร็จแล้วเธอก็นำหวีมาปัดผมสั้นๆของเธอให้เข้าที่ เธอปลดกระดุมเสื้อออกเล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องน้ำ

    เธอเดินไปยังเสาโหนบาร์ข้างๆโซนวีไอพีที่ไม่มีคน เมดิสันก้าวขึ้นไปบนแท่นเต้นนั้นจากนั้นก็เต้นยั่วคนที่อยู่รอบๆโดยการส่ายสะโพกของเธออย่างเป็นจังหวะ

    ปาโก้ซึ่งกำลังกอดผู้หญิงคนนึงอยู่ก็เริ่มแสดงความสนใจ

    เมดิสันค่อยๆเอามือลูบไล้ไปที่ส่วนต่างๆของร่างกาย เธอเอาขาข้างหนึ่งพาดเสาเอาไว้จากนั้นก็รูดขึ้นลงๆตามจังหวะเพลง

    “เฮ้ย!” เสียงบอดี้การ์ดคนเดิมเรียกเธอ

    เมดิสันลงมาจากแท่นและเดินไปหาเขา “มีอะไรหรอ”

    “ปาโก้อยากจะชวนคุณเข้ามาในโซนวีไอพีน่ะ คุณโชคดีมากเลย”

    เมดิสันพยักหน้าพร้อมยิ้มออกน้อยๆ เธอเดินเข้าไปหาปาโก้ที่กำลังกวักมือเรียกเธออยู่

    “เฮ้!” ปาโก้กล่าวทักเธออย่างสนิทสนมพลางโอบไหล่เธอเมื่อเธอเข้ามานั่ง “ขอบใจนะที่มาร่วมงานเล็กๆของฉันน่ะ เธอเพิ่งมาที่นี่หรอ ดูเหมือนว่าฉันจะไม่เคยเห็นเธอเลยนะ ชื่ออะไรหรอเรา”

    “เมดิสัน... ฉันชื่อเมดิสัน” เมดิสันตอบอย่างว่าง่าย

    “โอ้... เมดิสันสินะ” ปาโก้ขยับตัวเข้ามาชิดเมดิสัน “ฉันชอบวิธีการส่ายสะโพกของเธอนะ จะบอกให้ว่าเธอทำท่อนล่างของร่างกายฉันร้อนขึ้นมาทีเดียวเชียวล่ะ”

    “บางที” เมดิสันยืนหน้าไปใกล้ๆปาโก้ “เราควรจะคุยเรื่องนี้กันในที่... ลับๆกว่านี้ดีกว่ามั้ย”

    “โอ้! ไอเดียดีนะเรา” ปาโก้ลุกขึ้น “ตามฉันมา”

    เมดิสันเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ตรงไปยังห้องของปาโก้ เมื่อปาโก้เขาห้องของเขาไปแล้ว ก่อนที่เมดิสันจะตามเขาไป เธอก็เช็คปืนในกระเป๋าของเธอว่ามันยังอยู่ดีไหม

    “เอาล่ะ... เราต้องใช้ปืนนี้ขู่เขา” เมดิสันพูดกับตัวเองเบาๆ “เราจะทำ... ที่นี่แหละ” เธอนำปืนเก็บใส่กระเป๋าตัวเอง

    เมดิสันเดินเข้าห้องปาโก้ไป ปาโก้เดินออกมากอดตัวเมดิสันเบาๆจากนั้นเขาก็หยิบกระเป๋าของเมดิสันวางลงบนเก้าอี้

    อ้าวซวยแล้ว!

    “วางมันไว้ตรงนี้ก่อนแหละ” ปาโก้เอ่ย “มันจะได้ไม่รบกวนเราทั้งสองไง~”

    ปาโก้พาเมดิสันมายืนอยู่หน้าโซฟา ส่วนตัวเขาเองก็นั่งบนโซฟาและมองมาที่เมดิสันอย่างไม่ลดหย่อน

    “เอาล่ะ” ปาโก้เอามือพิงโซฟา “ถอดออกมาซะ เบบี๋~ ช้าๆนะ ไม่ต้องรีบ”

    “เอ่อ...” เมดิสันเริ่มกระวนกระวายแต่เธอก็ยังแสร้งยิ้มอยู่ “ขอฉัน... ดื่มน้ำก่อนสักแก้วได้ไหมคะ จะได้เป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่เราจะทำอะไรน่ะ...”

    “โอ้... เรื่องนั้นน่ะ เราอุ่นเครื่องเรียบร้อยแล้วล่ะ มาเถอะ โชว์ให้ฉันดูหน่อยว่าเธอมีอะไรดีบ้าง ฮี่ๆๆ”

    “เรา... คุยกันก่อนไม่ได้หรอ”

    “ถึงตอนนี้ฉันก็พูดอะไรไม่ออกแล้วแหละ” ปาโก้ยิ้มน้อย “โชว์ให้ฉันดูสิ แล้วเดี๋ยวฉันจะวิจารณ์เอง”

    “เอ่อ... ฉันว่าคุณกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่นะ ฮ่าๆ” เมดิสันหัวเราะอย่างกลัวๆ “เอางี้ ฉันจะไปก่อนแล้วกัน เรื่องนี้เอาไว้วันหลังนะ ฮ่าๆๆ”

    ปาโก้หยิบปืนขึ้นมาเล็งที่เมดิสัน “เธอต่างหากที่กำลังเข้าใจผิดอยู่นะ ฉันเหนื่อยที่ต้องเสียเวลาแล้ว จะทำตอนนี้ หรือจะไม่ทำเลย แต่ฉันแนะนำให้เธอทำเลยดีกว่านะ ฮ่าๆๆๆ”

    เมดิสันเริ่มหน้าเสียเล็กน้อย เธอเดินเข้ามาใกล้ปาโก้อีกนิดจากนั้นเธอก็ค่อยๆปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดๆ เสื้อสีแดงของเธอก็ถูกปลดกระดุมออกจนหมดแต่เธอก็ยังไม่ถอดเสื้อ

    “ต่อสิ” ปาโก้เอ่ย

    เมดิสันเริ่มคิดหาทางแก้แล้ว เธอคิดว่าถ้าเธอบอกเขาว่าเธอเป็นเลสเบี้ยนเขาจะทำยังไง ไม่สิ นี่ไม่ใช่เวลามาตลก...

    “จะต่อมั้ย” ปาโก้ถามเธออีกครั้ง

    เมดิสันถอดเสื้อออกจนเห็นชุดชั้นในบางๆอยู่ภายใน จากนั้นเธอก็ค่อยๆถอดกระโปรงลงมาอย่างช้าๆ กางเกงในของเธอก็ค่อยๆปรากฏขึ้นมา

    “ไม่ได้ใส่ซับในมาด้วยสิ” เมดิสันคิดในใจ “เอาไงดี...”

    “ถอดต่อสิจ๊ะ” ปาโก้ยังคงถือปืนขู่ไว้เช่นเดิม

    เมดิสันค่อยๆถอดบราของเธอออก จากนั้นเธอก็วางมันลงบนโคมไฟ

    “โอ้! มันสุดยอดมาก” ปาโก้กล่าวอย่างตื่นเต้น “เอ้าเธอ! ถอดอันนั้นด้วยสิจ๊ะ”

    “ใช่แล้ว! โคมไฟ!” เมดิสันนึกอะไรบางอย่างได้ เธอหันหลังใส่ปาโก้จากนั้นเธอก็โค้งตัวลงพร้อมกับส่ายสะโพกเข้าไปใกล้ๆหน้าของปาโก้

    “อู้ววว อะไรทำให้สะโพกของเธอน่า...”

    โป๊ก!

    เมดิสันคว้าโคมไฟมาจากนั้นก็ฟาดไปที่หน้าปาโก้อย่างเต็มแรง

    “ไอ้โรคจิตเอ้ย!” เมดิสันสบถพร้อมกับเขวี้ยงโคมไฟทิ้งลงพื้น

    ***

    เพียะ!

    แรงจากฝ่ามือของเมดิสันได้ถูกส่งไปยังใบหน้าของปาโก้อย่างเต็มแรง

    เพียะ!

    มันเกิดขึ้นอีกครั้ง

    เพียะ!

    ปาโก้ถูกมัดมือมัดเท้าไว้กับเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องของเขา เมดิสันยืนเท้าเอวอยู่หน้าเขา

    “ถ้าคุณเรียกยามมา ฉันจะฆ่าคุณ เข้าใจไหม” เมดิสันถือปืนของเธอขู่เขา

    “โธ่เว้ย...” ปาโก้บ่นออกมา “เธออยากได้อะไร”

    “คุณเช่าอพาร์ตเม้นท์ที่ถนนมาร์เบิ้ล ฉันอยากรู้ว่าทำไม”
    “อพาร์ตเม้นท์” ปาโก้ตีหน้างง “เธอกำลังพูดถึงอะไรอยู่เนี่ย!”

    เพียะ!

    “ไอ้เวรบรรลัยเอ้ย ฉันจะฆ่าแก!” ปาโก้ดิ้นไปมาอยู่ในเก้าอี้

    “หัวหน้าครับ” เสียงยามคนหนึ่งดังออกมาจากอีกฟากนึงของประตู “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

    เมดิสันเอาปืนจ่อไปที่หน้าผากของปาโก้ จากนั้นเธอก็ทำเสียงอะไรบางอย่าง ทำเอาปาโก้อ้าปากค้างกันเลยทีเดียว

    ยามคนนั้นเงี่ยหูไปที่ประตูและฟังอย่างใจจดใจจ่อ

    “อ๊าา! อร๊างงง! โอ้วววว~! อู้วววววว~! โอ้ววว~ อ๊ายยยยย!”

    ยามคนนั้นพยักไหล่เล็กน้อยจากนั้นก็เดินจากไป

    เมดิสันคุกเข่าลง “ถึงเวลาที่คุณจะต้องพูดแล้วนะ” เมื่อเธอพูดจบ เธอก็นำมือไปขยำตรงอวัยวะระหว่างขาของปาโก้อย่างเต็มแรง

    “เฮ้ย! เฮ้ย! จะทำอะไรเฮ้ย! หยุดนะ! หยุดนะ!”

    “นี่แค่อุ่นเครื่องเองนะ อยากได้อีกมั้ยล่ะ” เมดิสันขยำแรงขึ้นกว่าเก่า

    “อ๊า!” ปาโก้ร้องด้วยความเจ็บปวดอวัยวะ “ฉะ... ฉันไม่เคยเข้าไปในอพาร์ตเม้นท์นั้น ฉันให้กุญแจกับคนๆนึงไปน่ะ”

    “คนๆนั้นชื่ออะไร” เมดิสันยิ่งขยำแรงขึ้นอีก

    “โอ้ยยย! จะ... จอห์น จอห์นเชพเพิร์ด!”

    “ก็แค่นั้นแหละ ไม่ยากเลยจริงไหม” เมดิสันลุกขึ้นและหยิบกระเป๋าขึ้นมา “ไว้เจอกันครั้งหน้านะจ้ะ”

    ปาโก้มองตามเธอไปด้วยสายตาแปลกประหลาด... “อย่าให้ฉันเจอเธออีกนะ จะบอกให้~!”

  15. #40
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 37: Kill the Origami! ประจัญบานกับโอริกามิ!

    Chapter 37: Kill the Origami! ประจัญบานกับโอริกามิ!

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 23.32 น.

    ปริมาณน้ำฝน 4.386 นิ้ว


    ก๊อกๆ

    ปาโก้หันไปมองที่ประตูด้วยความตกใจ “อ้อ คุณเองหรอ เฮ้อ... คุณน่าจะเคาะประตูก่อนนะ เมื่อกี้ก็มีผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้เกือบฆ่าฉันซะแล้ว เธอมาถามเรื่องอพาร์ตเม้นท์ที่คุณขอน่ะ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าคุณไปทำอะไรที่นั่นน่ะนะ แต่ว่า เธอเกือบฆ่าผมแล้วนะ!”

    กริ๊ก!

    “เฮ้ย จะทำอะไรน่ะ” ปาโก้เอามือบังหน้าด้วยความกลัว “เฮ้ยเดี๋ยว! ฉันว่าฉันจ่ายหนี้คุณหมดแล้วนะ! ไม่ ไม่... อย่าฆ่าผม!”

    ปัง!

    ***

    นอร์แมนเดินเข้าไปในผับบลูลากูน ซึ่งสวนทางกับเมดิสันที่กำลังเดินออกจากผับไป

    “ผมมาหาปาโก้” นอร์แมนบอกกับบอดี้การ์ดคนนึงในนั้น

    “ปาโก้น่ะหรอ ไม่มีหรอก กลับบ้านไปซะ” เขาไล่ตะเพิดนอร์แมนอย่างไม่ไยดี

    “แน่ใจหรอ” นอร์แมนโชว์บัตรเอฟบีไอขึ้นมา

    เขาทำหน้าเสียเล็กน้อยก่อนที่จะชี้ทางไปที่บันได “เขาอยู่บนชั้นสองน่ะ”

    นอร์แมนเดินเข้ามาหน้าห้องของปาโก้ เขาเคาะประตูไปสามครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ เขาจึงเปิดประตูและเดินเข้าไป

    เสียงเพลงยังคงเปิดอยู่เบาๆ สิ่งของในห้องนั้นกระจัดกระจาย นอร์แมนเห็นปาโก้นั่งอยู่บนเก้าอี้จึงเดินไปหาเขา แต่ก็พบว่าเขาเสียชีวิตไปซะแล้ว

    นอร์แมนสะดุ้งจากเสียงแปลกประหลาดข้างหลังเขา เขารีบชักปืนขึ้นมาแล้วก็พบว่าชายคนหนึ่งที่สวมผ้าปิดปากและหมวกก็กระโจนเข้ามารัดตัวเขา

    นอร์แมนดิ้นออกจากฝ่ามือคนนั้นและต่อสู้กับเขาอย่างสุดกำลัง ชายปริศนาคนนั้นชกหน้านอร์แมนไปหนึ่งทีหลังจากที่เขาปัดปืนออกจากมือ นอร์แมนถีบเขากลับ แต่ชายคนนั้นก็ไปหยิบคาตานะเล่มยาวออกมาจากผนังและพยายามแทงนอร์แมน

    นอร์แมนกลิ้งตัวหลบไปด้านข้างพร้อมกับถีบขาชายคนนั้นให้ล้ม เขาวิ่งไปที่ตู้ปลาขนาดใหญ่และใช้เท้าถีบมันจนแตก ชายคนนั้นไหวตัวทันรีบกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะและกระโจนเข้ามาหานอร์แมนเข้าไปในตู้ปลา เขากระชากตัวนอร์แมนขึ้นมาและโยนเขาลงไปบนโต๊ะนั่นอีกครั้ง นอร์แมนรีบกลิ้งลงจากโต๊ะและยกโต๊ะเขวี้ยงไปยังชายคนนั้น เขาทรุดลงทันที

    นอร์แมนรีบวิ่งไปยังปืนที่ตกอยู่บนพื้นจากนั้นเขาก็เล็งไปที่ชายคนนั้น ชายคนนั้นขยับตัวไวกว่ารีบปาดาบคาตานะไปที่ตัวนอร์แมนแต่นอร์แมนก็ไหวตัวหลบทัน แต่ถึงกระนั้นดาบนั้นก็ปักโดนมือของเขา

    นอร์แมนปล่อยปืนลงและใช้มืออีกข้างพยายามดึงดาบออกจากมือ แต่ชายคนนั้นก็รีบวิ่งหนีออกจากห้องไปแล้ว

    เมื่อนอร์แมนได้สติ เขาก็รีบคว้าปืนวิ่งออกจากห้องไปทันที แต่ก็พบว่าชายคนนั้นก็ได้หายกลืนไปกับฝูงชนแล้ว

    “ชายที่พึ่งวิ่งออกไป ชื่ออะไร” นอร์แมนถามบอดี้การ์ดคนหนึ่งซึ่งเฝ้าประตูอยู่

    “เรื่องอะไรผมจะต้องตอบคำถามคุณล่ะ”

    นอร์แมนโมโหจัดรีบกระชากคอเสื้อเขาและทุ่มเขาไปกับกำแพง

    “ดู-ปาก-กู” นอร์แมนเน้นคำ “ปาโก้รู้จักชายคนนั้นไหม ใช่ หรือ ไม่ใช่!”

    “จอห์น... ปาโก้บอกว่าเขาชื่อจอห์น เชพเพิร์ด เขาเป็นเพื่อนของปาโก้น่ะ...”

    นอร์แมนปล่อยมือลงด้วยความหงุดหงิด จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าไปในห้องของปาโก้อีกครั้ง

    เขาหยิบแว่นเอ.อาร์.ไอ. มาสวมจากนั้นเขาก็ส่องหาหลักฐานที่อยู่ในห้องของปาโก้

    “นาฬิกาสีทองสวมอยู่บนข้อมือของชายคนนั้น” นอร์แมนดูประวัติบันทึก “แล้วก็... ปืนที่ใช้ฆ่าปาโก้ก็เป็นปืนที่ถูกขโมยจากสถานีตำรวจเลคซิงตัน... สถานีตำรวจเลคซิงตัน?”

    นอร์แมนเปิดประวัติคดีที่เคยเกิดขึ้นในสถานีตำรวจนั้นดู พบว่ามีประวัติเกิดการสูญหายของอาวุธในคลังของสถานีตำรวจเลคซิงตันจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น แสดงว่าชายคนนั้นเป็นตำรวจที่สถานีเลคซิงตัน!

    และชายคนนั้นก็ยังเป็นนักฆ่าโอริกามิอีกด้วย...

    แต่มันจะเป็นใครกันล่ะ...

    เบลค คาร์เทอร์? งั้นหรอ?

    คงไม่หรอกมั้ง...

    ***

    ณ อพาร์ตเม้นท์ห้องเช่าของอีธาน เขาก็นั่งเครียดอยู่กับมุมหนึ่งของห้อง เมดิสันพลางเปิดประตูเข้ามาแล้วก็เข้ามานั่งข้างๆเขา

    “เป็นอะไรไหม... อีธาน” เมดิสันถามด้วยความเป็นห่วง

    “ผม... ผมฆ่าคนไป...” อีธานดูมือตนเอง “ผมไม่มีทางเลือก... ได้ยินไหม! ผมไม่มีทางเลือก!”

    “คุณไม่ใช่นักฆ่าโอริกามิหรอกอีธาน” เมดิสันปลอบเขา “ฉันมีหลักฐานนะ”

    “มันเปลี่ยนเรื่องอะไรไม่ได้หรอก... ช่วยชอนคือเป้าหมายเดียวของผมตอนนี้”

    “อีธาน...” เมดิสันยกมือขึ้นมาลูบแก้มของเขา อีธานหันหน้ามาช้าๆ และไม่กี่วินาทีต่อมาริมฝีปากของอีธานและเมดิสันก็ประสานกันอย่างเบาๆ

    เมดิสันค่อยๆถอดเสื้อของเธอออก และอีธานก็ถอดด้วยเช่นกัน...

    ...

    ทั้งคู่บรรเลงความรักกันอยู่ทั้งคืน และดูเหมือนว่าทั้งคู่ก็เต็มใจยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น...

    ...

    ในคืนนั้น... อีธานได้ที่ปลดปล่อยความสุขแล้ว...

    ...

    แต่ทำไม...

    ...

    เขาถึงยังไม่มีความสุขอยู่ล่ะ...

    ...

    อีธานพยายามที่จะลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อเขาอยู่ใต้ผ้าห่มเดียวกับเมดิสัน แต่ทว่า มันก็ไม่ได้ช่วยให้เขามีความสุขขึ้นเลย

    ...

    ไม่นานอีธานก็ผล็อยหลับไป และเมดิสันก็เช่นกัน
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 5th February 2015 เมื่อ 19:30

  16. #41
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 38: SWAT vs. Ethan! หน่วยสวาทหรือจะสู้อีธาน!

    Chapter 38: SWAT vs. Ethan! หน่วยสวาทหรือจะสู้อีธาน!

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา ในค่ำคืนที่แสนยาวนาน

    ปริมาณน้ำฝน กำลังเพิ่มขึ้น...


    ร้อยโทเบลคนำกำลังตำรวจและหน่วยสวาทเข้ามายึดพื้นที่โรงแรม ครอสโร้ด โมเต็ล ที่อีธานกับเมดิสันกำลังพักอาศัยอยู่ พายุฝนได้พัดกระหน่ำเข้ามาในที่แห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย ดั่งเช่นทุกๆวัน

    “อีธานอยู่ห้อง 207 ครับ” ตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกเขาหลังจากที่เขาไปถามพนักงานมา

    “ดี” เบลคกล่าว “เราจะบุกภายใน 10 นาที นำกำลังตำรวจไปล้อมรอบโรงแรมด้วย”

    “ครับผม”

    ***

    ภายในห้องหมายเลข 207 เมื่ออีธานรู้สึกตัวอีกทีเขาก็นอนกอดข้างเมดิสันแล้ว เขามองนาฬิกาปลุกที่อยู่ข้างเตียง ท้องฟ้ายังมืดอยู่ เขาค่อยๆลุกออกจากเตียงพลางคิดว่าเขาเสียเวลามาเยอะแล้วกับการที่เขาทำอะไรแบบนี้ เขายังเหลือแบบทดสอบโอริกามิชิ้นสุดท้ายอยู่ และเขาต้องทำมันให้สำเร็จ

    อีธานเดินไปยังโต๊ะและเปิดกล่องรองเท้าเก่าๆขึ้นมา เขาคลี่โอริกามิรูปหนู ซึ่งแน่นอนว่ามันคือชิ้นสุดท้าย

    961 ถนนเรนโบว์

    ไม่มีแม้แต่คำปราศรัยที่ปกติเขาได้รับจากการเปิดโอริกามิชิ้นใหม่ๆ มีเพียงแค่เลขที่อยู่เท่านั้น ว่าแล้วอีธานก็พับโอริกามิเก็บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ

    เขามองไปที่เมดิสันซึ่งกำลังหลับอยู่ในสภาพเปลือยกายอยู่ อีธานเห็นดังนั้นจึงหยิบเสื้อคลุมของเมดิสันที่วางไว้อยู่บนเก้าอี้ขึ้นมาหมายจะคลุมใส่เมดิสันแต่ทว่ามีบางสิ่งตกลงมาจากเสื้อคลุม

    กล้องถ่ายรูป และ สมุดโน้ต...

    อีธานหยิบกล้องนั้นขึ้นมา เขาเห็นรูปเขาอยู่ในกล้องนั้นมากมาย พร้อมด้วยสถานที่ๆเขาไปมา

    เขาตกใจและมองไปที่เมดิสันอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหยิบสมุดโน้ตขึ้นมาอ่าน ภายในนั้นมีการบรรยายเรื่องราวของอีธานอย่างละเอียดยิบ แน่นอนว่าเขาต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน

    เมดิสันตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงียจากการเรียกของอีธาน

    “นี่คืออะไรเมดิสัน!” อีธานตะโกนใส่เธอ

    “เกิดอะไรขึ้นหรอ...”

    “ผมคิดว่าผมมีความหมายกับคุณซะอีก!”

    “ฟังนะ... ฉัน...” เมดิสันกลืนน้ำลายและกล่าวอย่างช้าๆ

    “คุณมันก็แค่ไอ้นางพยาบาลจอมปลอมเพื่อหาข่าวไปเขียนสินะ!” อีธานขว้างสมุดโน้ตใส่เธออย่างเต็มแรง

    “อะ... อีธาน... ฉันก็อยากจะบอกคุณเหมือนกันนะ... แต่...”

    “คุณจะเขียนข่าวอะไรเกี่ยวกับผม!” อีธานตะคอก “ชีวิตของผมกับการเป็นนักฆ่าอย่างงั้นหรอ ไม่สิ! ต้องบอกว่าวิธีที่ผมสามารถจับนักฆ่าโอริกามิได้ ต้องการอย่างนั้นใช่มั้ย! คุณคงจะได้ค่าข่าวดีเลยสินะ หึ! คุ้มชะมัด!”

    “อีธาน... ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกนะ... ฉันแค่” เมดิสันยืนมือไปจับแขนเขา แต่ถูกเขาสะบัดกลับอย่างไม่ไยดี

    “แค่อะไร! คุณโกหกผมเมดิสัน! โกหกผมมาตลอด! ผมคิดมาเสมอเลยนะว่าคุณอยากช่วยผม แต่ที่ไหนได้ สิ่งที่คุณต้องการก็มีแค่การหาข่าวเท่านั้น!”

    เมดิสันก้มหน้าเงียบๆ เธอเดินไปนั่งข้างเตียงและพูดออกมาเบาๆ “ก็จริง... ฉันเป็นนักข่าว... และฉันก็รู้มาก่อนด้วยว่าคุณคือพ่อของเด็กที่ถูกลักพาตัวไป... และฉันก็อยากเขียนข่าวนั้นขึ้นมา... แต่ว่าฉัน! ฉันเห็นสิ่งที่คุณทำเพื่อช่วยเด็กคนนั้น... มันทำให้ฉันรู้ว่าคุณรักลูกของคุณมากแค่ไหน...”

    เธอลุกขึ้นมาแล้วเดินไปใกล้ๆอีธาน “ฉันอยากจะบอกความจริงกับคุณแต่ฉันกลัว... กลัวว่าคุณจะไม่เชื่อฉันและ... จะให้ฉันไป... สิ่งที่ฉันอยากได้ก็แค่ให้คุณหาลูกของคุณจนเจอ... และเมื่อเรื่องทุกอย่างจบลง... ฉันก็อยากที่จะอยู่กับคุณ”

    อีธานหันหน้ามาและกอดเธอเบาๆ

    “ฉันขอโทษ” เมดิสันเอ่ยขึ้นมาน้ำตาคลอเบ้า อีธานกอดเธอสักพักจากนั้นเขาก็ปล่อยเธอ

    “คุณจะไป... ใช่ไหม” เมดิสันถามเขา

    “โอริกามิชิ้นสุดท้าย... น่ะ... เมื่อเสร็จแล้วผมก็จะรู้ว่าชอนอยู่ที่ไหน”

    “ดูแลตัวเองด้วยนะอีธาน” เมดิสันเข้ามากอดเขาจากด้านหลัง “ฉันเสียคุณไปไม่ได้อีกแล้ว...”

    อีธานยืนนิ่ง เขามองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืด

    “ฉันจะออกไปซื้อขนมกินหน่อยนะ” เมดิสันผละตัวออกจากเขา “เดี่ยวอีก 10 นาทีฉันจะกลับมา”

    อีธานไม่ตอบอะไรเธอ เขายังยืนนิ่งเช่นเดิม เมดิสันพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป

    ***

    “ได้เวลาแล้วครับ” ตำรวจคนหนึ่งบอกกับเบลคซึ่งกำลังรอฤกษ์ดีในเวลาบุกอยู่

    “ไปเลย!” เบลคสั่ง “ตำรวจทุกนาย! ไปยังห้อง 207!”

    เสียงตำรวจจำนวนมากวิ่งเข้าไปในโรงแรมนั้นได้ดังขึ้นก้องผสานกับเสียงฝนที่โปรยลงมา ระหว่างทางพวกเขาก็วิ่งฝ่าเมดิสันไป เธอตกใจและรู้ดีว่าตำรวจพวกนั้นนำกองกำลังเพื่อมาจับอีธานโดยเฉพาะ เธอรีบวิ่งเข้าไปที่ล้อบบี้โรงแรมและโทรหาอีธานทันที

    “รับสิ!” เมดิสันบ่นอย่างกระวนกระวาย

    “ฮัลโหล” เสียงจากปลายสายดังขึ้นอย่างใจเย็น

    “อีธาน! พวกนั้น! ตำรวจ! กำลังขึ้นมา! รีบหนีด้วย!” เมื่อพูดเสร็จเมดิสันก็วางโทรศัพท์ลงไป

    อีกด้านหนึ่ง พวกตำรวจทั้งหลายก็มาอยู่หน้าห้องของอีธานแล้ว

    “เอาล่ะ สาม... สอง... หนึ่ง...”

    โครม!

    ประตูห้อง 207 เปิดออก พวกเขาเห็นอีธานกำลังอยู่บนระเบียงหน้าต่าง

    “หยุดนะ!”

    อีธานไม่รอช้า เขาออกตัววิ่งกระโดดข้ามจากระเบียงหนึ่งไปยังอีกระเบียงหนึ่ง หน่วยสวาทและตำรวจทั้งหลายได้แห่กรูเข้ามาจับตัวเขา

    อีธานกระโดดเข้าห้องคนอื่นและหนีไปทางประตูหน้า เห็นตำรวจกำลังวิ่งมาจึงวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าโรงแรม

    “เป้าหมายอยู่บนดาดฟ้า!” เสียงจากเฮลิคอปเตอร์ดังขึ้น อีธานแหงนหน้าขึ้นไปข้างบน เห็นสปอตไลท์สีขาวส่องมาที่ตัวเขาเรื่อยๆในขณะที่เขากำลังวิ่งอยู่ เขาวิ่งหนีไปเรื่อยๆจนถึงขอบตึก

    “จบแล้ว” เบลคถือปืนสั้นเล็งไปที่เขาเมื่อเขาวอกแวก อีธานก้มลงมองไปยังขอบตึกที่สูงประมาณ 3 ชั้น จากนั้นเขาก็หันหน้ากลับมาหาเบลค

    “คุณไปไหนไม่ได้แล้ว คุณถูกล้อมไว้หมด มอบตัวซะ” เบลคขยับเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ

    อีธานมองไปยังด้านหลังอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เอนตัวไปด้านหลังอย่างใจเย็น

    “แม่คุณเอ้ย!” เบลคอุทานเมื่อเห็นอีธานทิ้งตัวลงไป

    โครม!

    อีธานตกลงมายังนั่งร้านที่อยู่ข้างโรงแรม ถึงมันจะช่วยรับน้ำหนักอีธานที่ตกลงมาไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้ขาอีธานพิการไปมาก

    เขาเดินมาใจกลางถนนอย่างทุลักทุเล มีแท็กซี่ผ่านมาหนึ่งคัน เขาโบกแท็กซี่แต่รถคนนั้นกลับไม่ยอมหยุด เมื่อเห็นดังนั้นอีธานจึงเอาตัวเข้าไปขวาง

    เอี้ยดๆๆ

    คนขับรถแท็กซี่เหยียบเบรคอย่างทันทีทันใด มันกระแทกตัวอีธานเล็กน้อย คนขับเปิดประตูแง้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะพยายามปิดเมื่อเห็นอีธานรี่ตรงเข้ามาจับยึดประตูไม่ให้เขาปิด

    อีธานกระชากคนขับลงมาจากรถจากนั้นเขาก็แย่งรถแท็กซี่คนนั้นขับหนีไปจากโรงแรม เบลคพยายามจะวิ่งเข้ามาพอดีแต่มันก็สายไปเสียแล้ว

  17. #42
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 39: Annihilation! สังหารล้างตระกูล!

    Chapter 39: Annihilation! สังหารล้างตระกูล!

    วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2011

    เวลา 23.43 น.

    ปริมาณน้ำฝน 4.488 นิ้ว


    สก๊อตเดินเข้ามาในอพาร์ตเม้นท์ของเขาหลังจากที่เขาไปทำธุระเสร็จ เขาปล่อยให้ลอเรนรออยู่ภายในห้องคนเดียวและเขาได้สั่งเธอไว้ให้ล็อคประตูไว้ด้วย แต่น่าแปลกที่เขาสามารถบิดลูกบิดประตูออกได้อย่างง่ายดายโดยที่เขายังไม่ทันเสียบกุญแจเลย

    “ลอเรน?” สก๊อตถามลอเรนอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเธอยืนเก้ๆกังๆอยู่ภายในบ้าน “เกิดอะไรขึ้น”

    “ฉันขอโทษ...” ลอเรนก้มหน้า

    กริ๊ก

    ชายคนหนึ่งถือปืนมาจ่อข้างๆหัวเขา

    “คุณควรที่จะฟังผม... คุณสก๊อต” ชาลส์ เครเมอร์ เดินเข้ามาจากข้างหลังลอเรน มียามอยู่ข้างๆเขาประมาณสามคน “ผมสั่งให้คุณหยุดการสืบสวน แต่คุณก็ไม่ฟัง”

    “ลูกของคุณเป็นนักฆ่าโอริกามิ” สก๊อตยืดหน้าขึ้น “เขาจะต้องฆ่าอีกกี่คนจนกว่าคุณจะยอมมอบตัวเขา”

    “กอร์ดีอาจจะผิดก็จริง... แต่เขาก็เป็นลูกชายผม คุณไม่มีเด็กสักคนคุณสก๊อต คุณคงไม่มีวันเข้าใจ... คุณทำให้ผมหมดทางเลือกคุณสก๊อต การสืบสวนของคุณจบลงแล้ว”

    โป๊ก!

    ชายที่จ่อปืนใส่สก๊อตเขกหัวเขาจนหมดสติไป ลอเรนรีบวิ่งเข้าไปหาเขาแต่โดนยามอีกคนจับตัวเธอไว้

    “นำตัวเธอและสก๊อตไปทิ้งน้ำ!” ชาลส์กล่าวอย่างไร้น้ำใจ ลอเรนพยายามขัดขืนแต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ เธอโดนยามคนหนึ่งปิดปากและเขาก็จับตัวเธอกับสก๊อตยัดเข้าไปในรถของสก๊อต

    ลอเรนดิ้นตะเกียกตะกายอย่างน่าเวทนา ยามเห็นดังนั้นจึงกระชากผมเธอขึ้นและกระแทกมันกับพวงมาลัยจนลอเรนหมดสติไป...

    ***

    เมื่อสก๊อตรู้สึกตัวอีกที รถของเขาก็อยู่ใต้น้ำแล้ว ตัวของเขากับลอเรนถูกมัดมือติดอยู่กับพวงมาลัย

    “ลอเรน! ลอเรน!” สก๊อตพยายามปลุกลอเรนที่หมดสติอยู่ แต่เธอก็ไม่ตอบสนองอะไรทั้งสิ้น สก๊อตยกมือที่ถูกมัดไว้อยู่ไปถูกับใบมีดที่เขาเก็บไว้ในลิ้นชักรถ เมื่อเขาแก้เชือกได้แล้วเขาก็ตรงรี่เข้าไปแก้มัดลอเรนทันที

    เพียะ!

    สก๊อตตบหน้าลอเรนหมายที่จะหวังให้เธอรู้สึกตัว แต่เธอก็ยังไม่รู้ตัวเช่นเดิม ระดับน้ำได้ท่วมทั้งตัวรถเป็นระยะเวลานึงแล้ว กระจกหน้ารถมีรอยร้าวเพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ ประตูข้างก็เรื่มมีรอยรั่วจนน้ำสามารถค่อยๆซึมผ่านมาได้

    เพล้ง!

    สก๊อตออกแรงใช้สองเท้าถีบกระจกข้างประตูจนพัง น้ำจำนวนมหาศาลทะลักเข้ามาทันที เขาอุ้มลอเรนจากนั้นก็พุ่งตัวออกจากรถ ไม่นานทั้งสองก็มาเกยตื้นที่ขอบชายฝั่งคอนกรีตข้างๆถนน

    พายุฝนยังคงพัดกระหน่ำเช่นเคย ลอเรนเริ่มรู้สึกตัวแล้วหลังจากที่สก๊อตลากเธอขึ้นมา

    “ผมไม่ค่อยได้เรียนการว่ายน้ำน่ะ แต่นี่ไม่ใช่แบบที่ผมคิดเลย” สก๊อตนั่งข้างลอเรนที่กำลังเช็ดหน้าตัวเองอยู่ “คุณมีรถไหมล่ะ ดูเหมือนรถผมจะไม่เหลือแล้วล่ะ...” เขานั่งมองแม่น้ำที่รถของเขาเพิ่งถูกกลืนเข้าไปเมื่อกี้นี้

    “มีสิ...” ลอเรนกล่าวอย่างงัวเงีย “คุณจะทำอะไรต่อหรอ”

    “ผมจะไปคุยกับไอ้หมอนั่นให้รู้เรื่องเอง!” สก๊อตมองไปยังชายฝั่ง “กลับบ้านเถอะ อยู่ในบ้าน ใส่กลอน ล็อคประตู อย่าให้ใครเข้ามานอกจากผม โอเคไหม”

    “ดูแลตัวเองด้วยสก๊อต ฉันยังไม่อยากเสียคุณ...” ลอเรนก้มหน้า

    ***

    สก๊อตซึ่งมีความโทสะทวีคูณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆก็ขับรถลอเรนมาถึงหน้าคฤหาสน์ของชาลส์ เขาเหยียบคันเร่งในขณะที่เบรคมือถูกดึงขึ้นอยู่ เมื่อได้จังหวะเขาก็ปลดเบรคมือทันที

    บรึ้น!

    ล้อรถถูกปั่นทันทีด้วยความไว รถลอเรนได้พุ่งเข้าใส่ประตูคฤหาสน์จากนั้นรถของเขาก็พุ่งชนใส่คฤหาสน์อย่างระเนระนาด

    สก๊อตเดินออกมาจากรถ เขาหยิบปืนขึ้นมาสองกระบอกจากสองข้างกระเป๋ากางเกง เขายิงใส่ยามคนนึงทันทีที่กำลังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่

    สก๊อตเดินออกมาจากห้องนั้นและเดินตรงไปยังห้องโถงใหญ่ซึ่งมียามประมาณสิบคนอยู่ สก๊อตไม่รอช้ารัวปืนทั้งสองกระบอกใส่พวกเขาอย่างไม่ยั้ง

    ยามทั้งสิบซึ่งตายไปเกินครึ่งก็หลบอยู่หลังเสาพยายามหาจังหวะยิงใส่สก๊อต สก๊อตก็แอบอยู่หลังเสาเช่นกัน เมื่อได้เวลาสก๊อตก็ออกมาจากเสาและกระโดดไปยิงยามสองคนที่กำลังหลบใต้โต๊ะอยู่

    “ต้องการกำลังเสริม! กำลังเสริมที่ห้องโถง!” ยามคนหนึ่งร้องของความช่วยเหลือก่อนเขาจะโดนยิงจากสก๊อต สก๊อตไม่รอช้ารีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสองทันที มียามประมาณอีกห้าคนเข้ามาจากสวน สก๊อตวิ่งไปยิงไปใส่ยามเหล่านั้น ซึ่งกระสุนก็โดนพวกเขาอยู่ไม่ใช่น้อย

    โครม!

    ยามสองคนถีบประตูออกมาจากด้านหลังสก๊อต สก๊อตหันตัวไปอย่างไวและกระโดดถีบใส่ยามทั้งสองคนนั้นอย่างแรง เขายิงสองคนนั้นซ้ำอีกครั้ง!

    ยามอีกสองคนกำลังขึ้นบันไดมา สก๊อตฆ่าพวกเขาอย่างไวและเดินเข้าไปในห้องที่เพิ่งถูกเปิดออกเมื่อกี้นี้

    ชาลส์ลุกขึ้นมาจากโต๊ะทำงานและเล็งปืนไปที่สก๊อตอย่างกระวนกระวาย “ยะ... อย่าเข้ามานะ! ไม่งั้นผมยิง!”

    สก๊อตเดินตรงเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย เขาปัดปืนนั้นทิ้งและนำมือทั้งสองข้างกระชากเสื้อชาลส์จากนั้นเขาก็ปล่อยหมัดไปบนหน้าเขาอย่างเต็มแรง

    “อย่า... อย่าทำร้ายผม!”

    สก๊อตบีบคอชาลส์แล้วทุ่มเขาลงบนโต๊ะก่อนที่จะลากตัวเขาขึ้นมา “ไอ้ลูกโง่ๆของคุณเป็นคนฆ่าเด็กพวกนั้นใช่ไหม เขาเป็นนักฆ่าโอริกามิใช่ไหม!?”

    “ไม่... ไม่! เขาเป็นคนบริสุทธิ์ เขาไม่ใช่นักฆ่า! ไม่ใช่นักฆ่า!” ชาลส์พยายามพูดเมื่อเขาโดนบีบคออยู่

    สก๊อตได้ยินดังนั้นก็ยิ่งบันดาลโทสะเขาเพิ่มมากขึ้นอีก เขาโยนตัวชาลส์ลงไปบนโต๊ะจากนั้นก็จับตัวเขาขึ้นมาใหม่ “คุณมันก็แค่ไอ้ตัวโกหก บอกความจริงผมมา!”

    “ไม่... อย่าทำร้ายผม... ผมสาบาน... ผมไม่รู้จริงๆ”

    สก๊อตบีบคอเขาแรงขึ้น เขากดตัวชาลส์ลงไปกับโต๊ะและออกแรงกดไปเรื่อยๆจนชาลส์ยอมเปิดปาก

    “ฉะ...ฉันจะบอกคุณหมดทุกอย่าง หยุดนะ! ฉันจะบอกคุณหมดเลย”

    สก๊อตปล่อยมือและยืนข้างๆเขา

    “กอร์ดี...” ชาลส์ในสภาพหน้าเละค่อยๆพูดขึ้นมา “เขาอยากสนุกน่ะ... รู้ไหม... เขาอยากทำตัวเป็นนักฆ่าโอริกามิ... เขาลักพาตัวเด็กคนนึง แต่... เขากดหัวเด็กคนนั้นในน้ำนานจนเกินไป... มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ! เขาไม่ได้จงใจทำ! เขาแค่อยากเล่นสนุก... เขาบอกผมหมดทุกอย่าง... เขาร้องไห้นะคืนนั้นน่ะ... เขาเสียใจกับสิ่งที่เขาทำลงไป... ยังไงก็ตามกอร์ดี... เขาก็เป็นลูกของฉัน อีกอย่างนะ เด็กคนนั้นน่ะ... ที่กอร์ดีฆ่าไป... เขาก็เป็นแค่เศษขยะตามถนน ไม่มีใครไปคิดถึงเขาหรอก”

    “คุณมันน่าสมเพช... แล้วจอห์น เชพเพิร์ดล่ะ! ทำไมคุณถึงต้องเอาดอกไม้ไปวางที่หลุมศพเขา!”

    “ฉัน... เป็นเจ้าของสถานที่ก่อสร้างที่เขาตาย... ฉันไม่มีวันลืมเลย... ฉันวางดอกไม้บนหลุมศพนั่นมาตลอดสามสิบปีเลยนะ!”

    “จอห์นมีฝาแฝด” สก๊อตถามเขาต่อ “เกิดอะไรขึ้นกับฝาแฝดคนนั้น”

    “ไม่รู้สิ... เขาน่าจะถูกเก็บไปเลี้ยงจากครอบครัวนึงน่ะ... แม่ของเขา... แม่ของเขาน่าจะรู้ แม่เขาชื่อแอน เชพเพิร์ด”

    เมื่อสก๊อตได้ยินดังนั้นก็เขาก็เดินจากไป แต่ยังไม่พ้นประตูดีนักชาลส์ก็กุมมือมาวางไว้บนหน้าอก

    “อะ... หัวใจฉัน... ไม่! ฉันต้องการยา” ชาลส์หอบรัวๆ “เร็วๆ ยาอยู่ในลิ้นชัก! เร็วๆ!”

    สก๊อตไม่มองชาลส์ที่กำลังหัวใจวาย เขาก้าวขาออกเดินไปจากห้องนั้นอย่างไร้ความปราณี “ไปตายซะ”

    “ยะ... หยุดนะ!” ชาลส์ล้มลงกับพื้น “สก๊อต! ฉันสั่งแก! ฉันสั่งแกให้กลับมา! สก๊อต! สก๊อตตตตตตตตตตตตตตต!”

    และไม่นานสก๊อตก็เดินมายืนหยุดอยู่หน้าคฤหาสน์ เขามองดูศพทั้งหลายที่เขาได้ฆ่าไปคืนนี้ก่อนที่จะกลับบ้านของเขา

  18. #43
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 40: Alzheimer! สูญสิ้นความจำ!

    Chapter 40: Alzheimer! สูญสิ้นความจำ!

    วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 2011

    เวลา 09.07 น.

    ปริมาณน้ำฝน 4.998 นิ้ว


    เมดิสันเดินทางมาถึงโรงพยาบาลเก่าๆแห่งหนึ่งในเล็กซิงตันเพื่อที่จะสืบหาข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับนักฆ่าโอริกามิ ตามข้อมูลที่เธอได้รับมา แม่ของจอห์น เชพเพิร์ด หรือแอน เชพเพิร์ด ได้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์และนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ วันนี้เป็นวันศุกร์แล้ว เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงจนกว่าชอนจะตาย เมดิสันคิดเล็กน้อยว่าที่เธอเดินทางมาที่นี่เธอจะเสียเวลาหรือไม่ แต่ยังไงก็ตามนี่เป็นเบาะแสเดียวที่เธอมีอยู่ ว่าแล้วเมดิสันก็เดินเข้าไป

    “ฉันมาเยี่ยมแอน เชพเพิร์ดน่ะค่ะ” เมดิสันกล่าวกับพนักงานคนหนึ่งหน้าโรงพยาบาล

    “เซ็นชื่อด้วยค่ะ” พนักงานคนนั้นยื่นสมุดเซ็นชื่อให้ “คุณเป็นญาติกับผู้ป่วยใช่ไหมคะ”

    “ค่ะ... เอ่อ... จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เมดิสันเลือกที่จะโกหกเธอเพราะไม่อยากให้เธอเซ้าซี้อะไรอีก

    “เธอจะดีใจมากที่มีแขกมาเยี่ยมน่ะ” พนักงานคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย “ตลอด 10 ปีมานี้ ไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเลย”

    “แม้แต่ครอบครัวเขาก็ไม่มาเยี่ยมหรอคะ”

    “เธอเป็นโรคอัลไซเมอร์น่ะ ไม่แปลกหรอกที่จะไม่มีใครอยากคุยกับเธอ เธอจำอะไรไม่ค่อยได้แล้วล่ะ... เธออยู่ห้อง 19 น่ะ อยู่สุดทางเดินเลย”

    “ขอบคุณค่ะ”

    เมดิสันเดินเข้ามาในห้องหมายเลข 19 มีหญิงแก่ๆคนนึงนอนอยู่บนเตียง ผมของเธอขาวโล้นและดูเหมือนว่าเธอจะย่างเข้าอายุ 90 แล้ว

    “สวัสดีค่ะคุณแอน เชพเพิร์ด” เมดิสันกล่าวทักทายเธอ

    “ถึงเวลาที่ฉันต้องกินยาอีกแล้วหรอ” แอนตอบกลับมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

    “เปล่าค่ะ....” เมดิสันยิ้มน้อยๆ “คือฉัน...”

    “พวกเขาไม่เคยมาตรงเวลาเลย...” แอนส่ายหน้า “ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกันที่นี่น่ะ... โรงพยาบาลอื่นพวกเขามาให้ยาตรงเวลาตลอด... แต่ที่นี่...”

    “ฉันเป็นนักข่าวค่ะ ชื่อเมดิสัน” เธอแนะนำตัวเอง “ฉันอยากจะถามคำถามคุณเกี่ยวกับลูกชายของคุณน่ะค่ะ”

    “ฉันไม่ชอบโรงพยาบาลนี้เลย” แอนมองออกไปนอกหน้าต่าง “ฉันไม่ชอบอาหารที่นี่...”

    เมดิสันเดินมานั่งลงข้างเตียง “ลูกชายอีกคนของคุณน่ะค่ะ คุณแอน... ฝาแฝดของจอห์นน่ะค่ะ เขาชื่ออะไร”

    “ลูกชายอีกคนอะไรหรอ...” แอนกล่าวอย่างสงสัย “ฉันไม่มีลูกชายหรอก”

    “คุณจำจอห์นได้ไหมคะ”

    “จอห์นสุดที่รักของฉัน... เขาเป็นเด็กดีมากเลยล่ะ”

    “คุณมีลูกชื่อว่าจอห์น และจอห์นก็มีฝาแฝดน่ะค่ะ เขาชื่อว่าอะไร”

    “คุณมียาของฉันไหม... ฉันว่าถึงเวลาที่ฉันควรจะกินยาแล้วนะ” แอนกล่าวอย่างไม่ค่อยสนใจเธอเท่าไหร่

    “ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่คาร์นิบี้ สแควร์” เมดิสันถามเธอต่อ “คุณจำได้ไหมคะ”

    “คาร์นิบี้ สแควร์หรอ... ฉันคิดว่าฉันเคยพักอาศัยอยู่ที่นั่นมาประมาณหลายปีแล้วนะ ตอนนั้นเรายังไม่มีเงินเลย... เราได้เงินทีละนิดๆ แย่มากเลยตอนนั้น...”

    เมดิสันถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะถามเธอต่อ “คุณแอนคะ ลูกของคุณอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับนักฆ่านะคะ คุณอาจจะมีข้อมูลที่สามารถทำให้เราสืบสวนได้ก็ได้”

    “คุณเป็นพนักงานใหม่ที่นี่หรอ” แอนมองหน้าเมดิสัน “ยาของฉันอยู่ไหนล่ะ”

    “ลูกของคุณอาจจะเป็นนักฆ่านะคะคุณแอน เขาทำสิ่งที่เลวร้ายมาก...”

    “สิ่งเลวร้ายที่คุณบอกน่ะ” แอนกล่าวช้าๆ “รู้ไหมว่าลูกชายฉันไม่เคยมาเยี่ยมฉันเลยนะ เชื่อมั้ย... 10 ปีเลยนะ... ไม่มีใครสามารถลืมแม่ตัวเองได้จริงไหม”

    “ฝาแฝดของจอห์นถูกครอบครัวนึงรับไปเลี้ยงหลังจากเกิดอุบัติเหตุขึ้นตอนนั้น ครอบครัวนั้นชื่ออะไรหรอคะ” เมดิสันเซ้าซี้ต่อ

    “ฉันว่าฉันขอโทรทัศน์ไว้ดูนะ... แต่พวกเขาก็บอกว่าไม่ให้น่ะ... บอกว่าฉันไม่มีเงิน... น่าเสียดายจัง... ฉันชอบดูโทรทัศน์มากเลยนะ”

    เมดิสันถอนหายใจยาวๆและลุกขึ้นออกจากเตียง ดูเหมือนว่าการพูดคุยกับนักป่วยอัลไซเมอร์จะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่นัก เธอเดินออกไปจากห้องและไปคุยกับนางพยาบาลที่คอยดูแลแอนอยู่

    “แอนเขาพูดถึงอดีตบ่อยไหมคะ” เมดิสันกล่าวถาม

    “เธอไม่ค่อยพูดถึงมันน่ะค่ะ ส่วนใหญ่เธอจะลืมเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยได้ส่งผลต่อตัวเธอนัก...”

    “เธอพูดถึงลูกชายของเธอบ้างไหมคะ”

    “ลูกชายหรอคะ... แอนเขาพูดถึงจอห์นบ่อยมากเลยนะ... เหมือนฉันจะได้ยินว่าเขาจมน้ำไปเมื่อ 30 ปีก่อนนะคะ”

    “แล้วลูกชายอีกคนล่ะคะ”

    “ลูกชายอีกคนหรอคะ” นางพยาบาลคนนั้นตีหน้าสงสัย “ฉันไม่รู้นะคะว่าเธอมีลูกอีกคนน่ะ เหมือนเธอจะไม่พูดถึงลูกอีกคนเลย”

    “มีแขกมาเยี่ยมเธอบ่อยไหมคะ”

    “10 ปีที่ผ่านมานี้... คุณเป็นคนแรกนะคะ แล้วก็มีคนแนะนำมานะคะว่า หากคุณอยากจะให้คนป่วยอัลไซเมอร์จำบางสิ่งบางอย่างได้ คนๆนั้นก็ควรที่จะเห็นสิ่งของที่จะกระตุ้นความทรงจำของเขาให้กลับมาน่ะค่ะ”

    “ขอบคุณค่ะ” เมดิสันยิ้มน้อยๆและเดินจากไป เธอเหลือบไปเห็นดอกกล้วยไม้วางอยู่บนแจกัน ดอกไม้นี้เป็นแบบเดียวกับที่วางบนเหยื่อของนักฆ่าโอริกามิ ว่าแล้วเมดิสันก็หยิบดอกไม้นั้นและนำมันไปปักไว้บนแจกันข้างๆแอน

    “ดอกกล้วยไม้สวยจัง...” แอนหันมามอง “ลูกชายของฉันชอบมันมากเลยล่ะ! เราเคยปลูกมันด้วยกันในสวนหลังบ้าน เมื่อจอห์นตายฉันก็วางดอกกล้วยไม้บนหลุมศพเขาทุกวัน”

    เมดิสันเห็นโอริกามิรูปหมาวางอยู่บนโต๊ะเธอจึงหยิบมันขึ้นมา

    “โอ้! ไปเอามาจากที่ไหนน่ะ รู้ไหมว่าเด็กๆของฉันชอบโอริกามิมากเลยนะ” แอนยื่นมือมาหยิบโอริกามิรูปหมามาจากมือเมดิสัน “ฉันเป็นคนสอนเขาพับโอริกามิเองแหละ จอห์นชอบหมาโอริกามิมาก เขาคอยแต่เรียกชื่อมันทุกวัน แม็กซ์ แม็กซ์ แม็กซ์... ฉันเสียเวลาไปมากเลยนะที่จะบอกว่าหมาทุกตัวที่เขาพับมีชื่อซ้ำกันไม่ได้น่ะ แต่เขาก็ยังอยากได้โอริกามิของเขาเป็นชื่อนี้อยู่ ตลกจริงนะว่าไหม... ลูกๆของฉันเล่นมันทุกวันเลยล่ะ”

    “ใช่แล้วคุณแอน” เมดิสันหันมา “ลูกๆของคุณน่ะ... จอห์นและ... ใครอีกคนหรอคะ”

    “ลูกอีกคนหรอ... ฉันมีลูกแค่คนเดียวนะ... จอห์นนี่ของฉัน”

    เมดิสันเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะที่อยู่ข้างๆแอนออกมา มีรูปเด็กสองคนอยู่ในภาพขาวดำ “เด็กๆพวกนี้ใช่ลูกของคุณไหมคะ จอห์นและฝาแฝดของเขา ถูกไหมคะ”

    “พวกเขาเป็นเด็กดีมาก... พ่อพวกเขาไม่เคยดูแลเขาเลย... เอาแต่ดื่มเหล้า... เด็กพวกนั้นไม่เคยมีชีวิตที่ดีเลย เมื่อครอบครัวนั้นบอกว่าจะมารับลูกของฉันอีกคนไปเลี้ยง... ฉันก็ร้องไห้ออกมา... ฉันสูญเสียจอห์นนี่ไปแล้ว... แล้วนี่ฉันยังจะต้องมาเสียลูกอีกคนของฉันไปอีก...”

    “แล้วชื่อของครอบครัวที่มารับฝาแฝดของจอห์นไปเลี้ยงล่ะคะ พวกเขาชื่ออะไรหรอคะ”

    “พวกเขาเป็นคนดีมากเลยนะ” แอนพูดเบาๆ “ตอนพวกเขาเก็บลูกฉันไปเลี้ยงฉันก็คอยไปแวะดูแลเขาเรื่อยๆ ต่อมาฉันป่วยก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยมเขาอีกเลย... เขาคงคิดว่าฉันลืมเขาไปแล้วน่ะ... เขาคงคิดว่าฉันไม่รักเขาอีกต่อไปแล้ว... คงไม่แปลกหรอกที่เขาจะไม่มาเยี่ยมฉันเหมือนกัน...”

    “แล้วชื่อของเขาล่ะคะคุณแอน พวกเขาชื่ออะไร”

    “แต่ฉันรักเขามาก... ฉันอยากให้คุณรู้ว่าฉันรักเขามากแค่ไหน” แอนมองไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง

    “ขอร้องเถอะค่ะคุณแอน” เมดิสันเซ้าซี้ “ครอบครัวนั้นชื่ออะไร”

    “ถ้าฉันจำไม่ผิด... ครอบครัวนั้น... ชื่อว่า... เชลบี”

    เมดิสันอึ้งไป เธอพยายามคิดว่าสิ่งที่เธอได้ยินมานั้นตรงกับสิ่งที่เธอคิดไว้ แต่เธอไม่พูดอะไร เธอมองหน้าแอนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป

  19. #44
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 41: The Rat โอริกามิหมายเลขห้า - หนู


    "คุณพร้อมหรือยังที่จะสละชีวิตเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?"
    Chapter 41: The Rat โอริกามิหมายเลขห้า - หนู

    วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 2011

    เวลา 18.24 น.

    ปริมาณน้ำฝน 5.115 นิ้ว


    “คุณพร้อมหรือยังที่จะสละชีวิตเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?”

    – โอริกามิหมายเลขห้า - หนู

    หลังจากที่อีธานขโมยรถแท็กซี่มา เขาก็เดินทางมาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางสนามหญ้า เขาก็ค่อยๆเปิดประตูรั้วเข้าไป

    สภาพอากาศบริเวณนั้นยังคงมีฝนโปรยปรายลงมาเช่นเคย เวลาก็ใกล้พลบค่ำแล้ว แสงสีส้มจากรั้วคฤหาสน์ก็ส่องสว่างจางๆ ดูเหมือนว่าภายในคฤหาสน์นั้นจะไม่มีใครนอกจากเขาอยู่เลย

    ก๊อกๆ

    อีธานเคาะประตูซึ่งมีขนาดใหญ่เทียบเท่าตึกสองชั้น แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆออกมา เขาออกแรงผลักประตูเล็กน้อยและมันก็สามารถเปิดได้อย่างง่ายดาย ภายในคฤหาสน์นั้นกว้างขวางใหญ่โตมาก เขาอยู่ในห้องโถงซึ่งประดับด้วยสีขาวผสมทองอยู่ทั่วบริเวณ เขารู้สึกได้ถึงความเย็นจากพื้นกระเบื้องลามิเนตที่ไม่มีพรมปูทับ มีแสงไฟส่องออกมาจากทางเดินเล็กๆตรงข้างหน้าเขา เขาจึงเดินตรงไปข้างหน้า

    บริเวณทางเดินถูกส่องด้วยโคมไฟสีแดง เขาเดินตรงมาเรื่อยๆจนถึงห้องซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นัก ภายในห้องไม่มีอะไรตกแต่งผนังไว้เลย เหลือไว้เพียงแต่กระเบื้องสีขาวๆปูทับอยู่ทั่วห้อง มีกระจกตั้งอยู่รอบตัวเขา ทั้งยังมีกล้องทุกชนิด ทุกประเภท ตั้งส่องมาที่ตัวเขาอยู่

    อีธานเดินไปที่โต๊ะตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง บนโต๊ะมีกล้องอยู่หนึ่งตัว นาฬิกาจับเวลา แท็บเล็ต และขวดยาซึ่งมีน้ำสีฟ้าจางๆอยู่ภายใน เขายื่นมือไปแตะแท็บเล็ตอันนั้น

    แบบทดสอบสุดท้าย

    “คุณพร้อมหรือยังที่จะสละชีวิตเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?”

    กรุณาฟังให้ดี

    ในขวดยานี้มียาพิษอยู่ซึ่งมันจะฆ่าคุณภายในเวลา 60 นาที

    หากคุณดื่มยานี้เข้าไป คุณจะได้คำใบ้เรื่องที่อยู่ต่อจากเดิม

    หากคุณผ่านแบบทดสอบทั้งสี่มาแล้ว คุณจะได้สถานที่ๆลูกของคุณอยู่ทันที

    คุณจะมีเวลาพอที่จะไปช่วยลูกของคุณ จากนั้นคุณจะเสียชีวิต

    ทางเลือกเป็นของคุณ


    อีธานมองไปยังกล้องทั้งหลายรอบๆตัวเขา พลางนึกคิดขึ้นมาได้ว่านักฆ่าคนนั้นคงกำลังมองเขาอยู่ เขาหยิบขวดยานั้นขึ้นมาช้าๆ จากนั้นก็กรอกมันเข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว

    เขาไม่ลังเลเลย...

    เขาทำมาถึงขนาดนี้แล้ว คงถอยกลับไม่ได้แล้วล่ะ...

    ยานั้นมีรสฝาดมาก อีธานกุมท้องทันทีหลังจากที่เขาดื่มมัน เสียงในแท็บเล็ตก็พลันดังขึ้นอีกครั้ง

    คำใบ้ถูกส่งเข้าไปยังโทรศัพท์มือถือของคุณแล้ว

    อีธานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

    _ 5 _ เทโอดอร์ ถนนรูสเวลท์

    ยังเหลืออีกสองตัวปริศนาที่เขายังไม่รู้ นี่คงเป็นเพราะว่าเขาไม่ผ่านแบบทดสอบหนึ่งอัน โอริกามิรูปผีเสื้อน่ะ...

    อีธานหลับตาและสูดลมหายใจเข้าอย่างใจเย็น เขาหยิบนาฬิกาจับเวลาที่มีตัวเลข 60.00 นาทีอยู่ซึ่งมันก็ค่อยๆลดลงเรื่อยๆ นี่เป็นเวลาที่เขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ก่อนที่เขาจะสามารถช่วยลูกของเขาได้ เขาคิดได้ดังนั้นจึงรีบวิ่งออกจากห้องนั้นไป

    ***

    นอร์แมนซึ่งได้กลับมาทำงานในสถานีตำรวจแล้วก็นั่งอยู่ในห้องของเขาอย่างกระวนกระวายในขณะที่เขาสวมแว่นอยู่

    “เหลืออีกแค่ไม่ชั่วโมงก่อนที่เด็กคนนั้นจะตาย...” นอร์แมนบ่นกับตัวเอง “มันต้องมีคำใบ้อะไรสักอย่างอยู่ในนี้สิ... ถ้าเป็นอย่างนี้ นั่งหาคำใบ้แทบตายยังไงก็ไม่เจอแล้วเด็กคนนั้นก็จะตายหรอวะ!”

    นอร์แมนนั่งลงด้วยความโมโห เขาถอดแว่นออกและกุมขมับด้วยความเครียด

    โครม!

    เบลคผลักประตูห้องเขาเข้ามาด้วยความโมโห

    “ไอ้*หี้ย! มึ*ปล่อยอีธานไปทำไมวะ!” เบลคทุ่มโต๊ะเขา

    “พูดอะไรของนาย” นอร์แมนหันมา

    “ไอ้รูตูดเอ้ย! มึ*ลืมเรื่องกล้องวงจรปิดสินะ เราทุกคนเห็นหมดเลยว่ามึ*แอบช่วยอีธานให้ออกไปจากที่นี่ ไอ้บัดซบเอ้ย!”

    “อีธานเป็นผู้บริสุทธิ์!” นอร์แมนยืนขึ้น “เขาไม่ใช่นักฆ่าโอริกามิ”

    “คุณถูกหยุดงานแล้วนอร์แมน! กัปตันเพอร์รี่สั่งมาแล้ว! คุณจะโดนจับด้วยข้อหาปล่อยให้ตัวผู้ต้องสงสัยหนีไป! ไอ้ลูกหมาเอ้ย กูทนมึ*มาตั้งแต่วันแรกที่กูเจอมึ*แล้ว! ไปใช้แว่นของมึ*ในคุกซะเถอะ ขอให้สนุกนะ! เหอะ!”

    โครม!

    เบลคปิดประตูอย่างแรง นอร์แมนถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความตกใจ เลือดไหลออกมาจากจมูกเขาอีกครั้ง แต่เขาไม่ลังเลแล้ว เขาหยิบทริปโตเคนออกมาแล้วสูดมันขึ้นไปเต็มปอด

    “มันต้องอยู่นี้แน่” นอร์แมนบ่นกับตัวเอง “ชื่อของนักฆ่า... ต้องอยู่ในนี้ อยู่ในข้อมูล...”

    นอร์แมนรีบสวมแว่น แต่ทันทีที่เขาสวม เสียงที่คุ้นหูก็โผล่มาอีกครั้ง

    “อ้อ! ผมมีอีกอย่างที่อยากจะบอกคุณนะครับ... คุณควรจะระวังการหมกมุ่นอยู่กับ คุณ-ก็-รู้-ว่า-อะไร มากขึ้นอีกสักหน่อย มันจะเป็นอันตรายได้... และอันตรายมากทีเดียว...“

    บาร์เทนเดอร์ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาก่อนที่จะค่อยๆหายตัวไปกับดอกซากุระ นอร์แมนคิดเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มค้นหาข้อมูลของเขา

    เขาเปิดวีดีโอที่กล้องในแว่นเขาสามารถถ่ายไว้ได้เมื่อเขาสู้กับนักฆ่าโอริกามิที่บลูลากูน พบว่านักฆ่าที่ปิดหน้าไว้อยู่สวมนาฬิกาสีทอง

    เขาสแกนนาฬิกาสีทองอันนั้น พบว่ามันเป็นของสถานีตำรวจเลคซิงตัน และนาฬิกานั้นก็เอาไว้สำหรับแจกคนที่ได้เลื่อนขั้นเป็นร้อยโทด้วย

    “นักฆ่าต้องเป็นตำรวจที่สถานีเลคซิงตันแน่” นอร์แมนยืนยันความคิดตัวเอง “คารเทอร์ เบลค! ถ้าเขาเป็นนักฆ่า ก็คงไม่แปลกหรอกที่เขาจะอยากจับตัวอีธานให้ไวๆเพื่อที่จะปิดคดีนี้เร็วๆ”

    เมื่อได้ความดังนั้น นอร์แมนก็ตัดสินใจที่จะกล่าวหาเบลคว่าเขาเป็นนักฆ่าโอริกามิ เขาถอดแว่น สูดทริปโตเคนอีกครั้ง จากนั้นก็เดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของเบลค

    “ยื่นแขนซ้ายมา” นอร์แมนกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันใส่เบลคที่กำลังนั่งพิมพ์งานอยู่

    “อะไรนะ”

    “ยื่นแขนซ้ายมา!” นอร์แมนตะโกนลั่นจนตำรวจทุกคนในสถานนีตำรวจหันมามอง

    เบลคโชว์แขนซ้ายของเขาซึ่งมีนาฬิกาสีทองสวมอยู่

    “นักฆ่ามีนาฬิกาสีทองเหมือนกัน”

    เบลคส่ายหน้าและถอนหายใจ “เออแล้วไง ตำรวจที่ได้เลื่อนขั้นเป็นร้อยโทก็ได้นาฬิกานี้เหมือนกันทุกคนน่ะแหละ นาฬิกาแบบนี้ก็มีขายตามตลาดนัด ตกลงคุณจะสื่ออะไร”

    “มันเป็นความบังเอิญที่แปลกมากเลยนะ “นอร์แมนยิ้มน้อยๆและพยักหน้า

    “คุณจะพูดอะไรนอร์แมน จะบอกว่าผมคือนักฆ่าโอริกามิอย่างนั้นหรอ!”

    “ใช่! คุณคือนักฆ่าโอริกามิ! เบลค!”

    ตำรวจทุกคนที่ทำงานอยู่หันมาฟังทันที พวกเขามองมาที่นอร์แมนและเบลคที่ทะเลาะกันอยู่

    “ระวังปากหน่อยนอร์แมน คุณกำลังจะทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตคุณอยู่นะ”

    กริ๊ก!

    นอร์แมนชักปืนออกมาและเล็งไปที่เบลคท่ามกลางสายตาตำรวจจำนวนมาก “ร้อยโท เบลค คุณถูกจับแล้ว! คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด! สิ่งใดก็ตามที่คุณพูดมาจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในการต่อต้านคุณในศาล”

    “มึ*บ้าไปแล้วนอร์แมน!” เบลคยืนขึ้น “มึ*มันบ้าไปแล้วจริงๆ!”

    “นอร์แมน...” กัปตันเพอร์รี่เดินเข้ามา “เข้ามาหาผมหน่อย”

    นอร์แมนลดปืนลง เขาถอดหายใจอีกครั้งก่อนจะเดินตามกัปตันเข้าไปในห้อง

    “แม่คุณเอ้ย! คุณมันบ้าไปแล้วจริงๆหรือไง” กัปตันเพอร์รี่ถามเขาเมื่อนอร์แมนนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน “กล่าวหาเบลคว่าเป็นนักฆ่าโอริกามิน่ะมันถูกแล้วหรอไง!”

    “ผะ... ผมมีหลักฐานนะครับ... กัปตัน”

    “หลักฐานของคุณมันก็มีแต่ขยะๆ! สิ่งที่คุณมีก็มีแต่ทฤษฏี! แถมคุณยังปล่อยตัวอีธานออกไปด้วยเพียงเพราะว่าคุณมีหลักฐานขยะๆของคุณแค่นั้นหรือไง! พอแล้ว... นอร์แมน! คุณถูกปลดแล้ว! เก็บของซะแล้วกลับไปวอชิงตัน! หัวหน้าเอฟบีไอของคุณต้องรู้เรื่องนี้แน่ คอยดูสิ!”

    นอร์แมนก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป


    เกล็ดความรู้เล็กน้อยนะครับ - ทำไมถึงต้อง "หนู"

    หนูเป็นสัตว์พาหะนำโรค หรือพูดอีกอย่างได้ว่าหนูเป็นตัวแพร่พิษ ห้องที่อีธานเข้าไปก็เปรียบเสมือนร่างกายมนุษย์ โคมไฟสีแดงตรงทางเดินหน้าห้องแสดงถึงเลือด ภายในห้องก็เหมือนความสะอาด และในบางครั้ง หนูบางตัวจะถูกวางยาเบื่อ แต่บางตัวก็ดันมีชีวิตรอดเพราะยาพิษหมดฤทธิ์หรือไม่ก็ตัวหนูเองมีความต้านทานพอ
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 8th February 2015 เมื่อ 14:55

  20. #45
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 42: Hold My Hand! จับมือฉันไว้!

    Chapter 42: Hold My Hand! จับมือฉันไว้!

    วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 2011

    เวลา ไม่แสดง

    ปริมาณน้ำฝน ไม่แสดง


    ณ สถานีรถไฟเลคซิงตัน สก๊อตกับลอเรนก็กำลังยืนร่ำลากันอยู่กลางสถานีท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่าน

    “ให้ฉันอยู่กับคุณนะสก๊อต... ฉันไม่อยากไปเลย” ลอเรนน้ำตาร่วงลงมาเล็กน้อยเมื่อต้องรู้ว่าเธอกับสก๊อตต้องแยกจากกันแล้ว

    “ฟังนะ ผมจะใช้เวลาแค่สองวันเอง นั่นก็เพียงพอแล้วที่ผมจะหาตัวนักฆ่าจนเจอ” สก๊อตบอกกับเธอด้วยความเป็นห่วงว่าเธอจะเกิดอันตราย

    “ฉันทนรอไม่ได้หรอกระหว่างที่คุณกำลังจับนักฆ่าที่ฆ่าลูกชายฉันอยู่น่ะ...”

    “มันเป็นแค่ทางเดียวนะลอเรน... เชื่อผมเถอะ... ไปอยู่กับแม่สักสองวันแล้วผมจะกลับมารับคุณเองเมื่อเรื่องทั้งหลายจบลง”

    “ฉันอยากรู้น่ะว่านักฆ่าคนนั้นเขาเป็นใคร... ฉันอยากรู้ว่าใครฆ่าลูกของฉัน...” ลอเรนร้องไห้

    สก๊อตยื่นมือมาแตะไหล่เธอและเขย่าเธอเบาๆ “เมื่อเรื่องจบ... ผมจะบอกคุณทุกอย่างเอง”

    “สัญญานะ...” ลอเรนเงยหน้าขึ้นมา น้ำตาเธอยังคงไหลพรากเป็นสายๆ

    “ผมสัญญา” สก๊อตยื่นหน้าเข้ามาจูบปากเธอเบาๆจากนั้นเขาก็เดินจากไป ทิ้งให้ลอเรนมองดูเขาอย่างเศร้าสร้อย

    “ดูแลตัวเองด้วยนะ...”

    ***

    วันที่ 26 ตุลาคม 1977

    ฝาแฝดของจอห์นกำลังดึงจอห์นขึ้นมาจากท่ออย่างสุดความสามารถ แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ด้วยแรงของเขาลำพัง

    “เกาะไว้ก่อน จอห์น” ฝาแฝดของเขาบอกจอห์น “ฉันจะไปหาพ่อ ฉันจะให้พ่อมาช่วย!”

    “เร็วๆด้วย!” จอห์นซึ่งขาติดอยู่ในท่อระบายน้ำก็พูดขึ้นอย่างกลัวตาย “น้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเร็วมากเลย”

    “ฉันจะรีบไป รอก่อนนะ!”

    ฝาแฝดของจอห์นวิ่งตรงไปหาพ่อของเขาซึ่งกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างสวนกล้วยไม้

    “พ่อ! พ่อ! จอห์นเขาตกลงไปในท่อ เขากำลังจมน้ำ!”

    “ออกไปซะ! อย่ามายุ่ง!” พ่อของเขาผลักฝาแฝดของจอห์นออกไป

    ฝาแฝดของจอห์นวิ่งเข้ามาดึงมือพ่อของเขา “พ่อต้องมานะ พ่อ! จอห์นกำลังจะตายนะ! จอห์นกำลังจะตาย!”

    “ก็ดีสิ ฉันจะได้ไม่ต้องให้อาหารมันอีก เปลืองข้าว!” พ่อเขาพูดอย่างไร้น้ำใจ “ออกไปซะ!”

    “พ่อ! จอห์นกำลังจะตายนะ! ขอร้องเถอะนะพ่อ! ไปช่วยจอห์นเถอะ!”

    “กูบอกมึ*ไปว่าไง?” พ่อของเขาผลักฝาแฝดล้มลงไป

    “พ่อ...” ฝาแฝดของจอห์นร้องไห้ “พ่อต้องมาช่วยจอห์นนะ...”

    เมื่อไม่สามารถหาความช่วยเหลือใดๆได้ ฝาแฝดของจอห์นก็วิ่งเข้ามาหาจอห์น “ฉันพยายามแล้วนะจอห์น ฉันพยายามแล้ว... แต่เขาไม่ยอมมา... ขอร้องเถอะนะจอห์น... อย่าตายนะ...”

    ฝาแฝดเขาก้มตัวลง นำมือสองทั้งข้างมาประกบมือจอห์นที่ค่อยๆจมน้ำ เขาร้องไห้

    “อย่าร้องไห้สิ...” จอห์นบอกกับฝาแฝดของเขา “แค่อย่าลืมฉันก็พอนะ... สก๊อต...”

    “จอห์น...”

    สก๊อตนำมือของตนจับมือจอห์นไว้เรื่อยๆท่ามกลางน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น

    “ฉันสัญญา...” สก๊อตพูดทั้งที่น้ำตาเขาไหลพราก “ฉันจะไม่มีวันลืมนายเลย... จอห์น...”

    จอห์นยิ้มออกน้อยๆ “อย่าปล่อยมือฉันนะ...”

    สก๊อตก้มหัวลงร้องไห้อีกครั้ง แรงน้ำที่พุ่งออกมาจากท่อระบายน้ำยังคงเย็นเฉียบ ต่างจากมือของจอห์นที่มีความอบอุ่นอยู่ แต่ไม่นานมือของจอห์นก็ค่อยๆเย็นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดจอห์นก็เสียชีวิตโดยที่มือของเขายังคงจับมือสก๊อตไว้อยู่

    “ฉันจะไม่มีวันปล่อยมือเลยจอห์น... ฉันสัญญา”

    ***

    เหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีก่อนยังคงส่งผลกระทบต่อสก๊อตอยู่ไม่ขาดสาย เขานั่งอยู่ในห้องของเขา นั่งมองรูปเขากับจอห์นที่อยู่ในภาพขาวดำซ้ำแล้วซ้ำเล่า น้ำตาของเขาก็ไหลพรากเช่นกัน

    สก๊อตหยิบไม้ขีดไฟขึ้นมา เขาจุดมันแล้วโยนลงไปในถังขยะที่มีกระดาษอยู่ ไฟค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ เขานำกล่องรองเท้าที่เขาได้รับมาจากฮัสซันทิ้งไปในกองไฟ เขานำโทรศัพท์มือถือของสามีซูซานทิ้งไปด้วย เขาหยิบซองจดหมายที่ลอเรนให้เขามาเมื่อวันก่อนทิ้งไปเช่นกัน

    มีสมุดบันทึกสองเล่มวางอยู่บนโต๊ะ เล่มนึงเป็นของปาโก้ เล่มนึงเป็นของแมนเฟรด สก๊อตหยิบมันขึ้นมาและทิ้งมันไป เหลือไว้เพียงอย่างเดียวที่อยู่บนโต๊ะ

    รูปเขากับจอห์นในสมัยเด็ก...

    เขาพลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าวันนี้เมื่อเขาได้ไปเยี่ยมเยี่ยนแม่ของเขาที่โรงพยาบาล

    “ถึงเวลาให้ยาฉันแล้วสินะ” แอนพูดขึ้นมาหลังจากที่เธอเห็นสก๊อต

    สก๊อตยิ้มน้อยๆจากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้ๆแอน

    “เดี๋ยวนะ... ฉันจำหน้าเธอได้... สก๊อต เชพเพิร์ด? ไม่สิ... ต้องสก๊อต เชลบี...”

    เขาพยักหน้า

    “10 ปีแล้วสินะที่ไม่ได้เจอกันน่ะ... แม่คิดว่าลูกลืมแม่แล้วซะอีก” แอนกล่าวต่ออย่างช้าๆ

    แอนหยิบรูปที่มีตัวเขากับจอห์นขึ้นมา สก๊อตเห็นจึงถามเธอ“ยังเก็บไว้อยู่อีกหรอ...”

    “อืม... เผื่อเวลาที่แม่คิดถึงลูกแม่จะได้เห็นหน้าไง... เมื่อกี้ก็มีนักข่าวเข้ามาถามเกี่ยวกับครอบครัวที่รับเลี้ยงลูกไปน่ะ... เหมือนเธอจะบอกว่าลูกไปทำอะไรผิดมาอย่างนั้นใช่ไหม”

    สก๊อตจับมือแม่ เขาไม่พูดอะไรและนั่งฟังแอนพูดต่อ

    “เธอบอกว่าลูกน่ะ... เป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียง...” แอนยิ้มน้อยๆ “คงจะฝังใจเรื่องจอห์นอยู่สินะ”

    สก๊อตหยิบรูปนั้นมาใส่กระเป๋าตัวเอง

    “เอ้านี่... เอาแม็กซ์ไปด้วยสิ” แอนยื่นโอริกามิรูปหมาให้แก่เขา เขารับมันมาแต่โดยดี

    ...

    “หลับให้สบายนะ...” สก๊อตปล่อยมือแอนและยืนขึ้น “แม่...”


    พลันน้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจฉีกรูปนื้ทิ้งแล้วโยนมันเข้าไปในกองไฟที่กำลังลุกโหมในถังขยะ

    ทั้งหมดนั่นคือหลักฐานที่เขาได้รับมาจากการไปเยือนสถานที่ต่างๆ เขาตั้งใจที่จะทำลายหลักฐานทั้งหมดนั่นทิ้งเพราะถ้าหากว่ามันถูกพบ เขาอาจจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้โดยง่าย

    “อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงชอนก็จะตายแล้วสินะ” สก๊อตชำเลืองมองนาฬิกาอย่างใจเย็น
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย macnum10 : 8th February 2015 เมื่อ 19:06

  21. #46
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 43: Fire Storm! เปลวไฟมรณะ!

    Chapter 43: Fire Storm! เปลวไฟมรณะ!

    วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 2011

    เวลา 18.36 น.

    ปริมาณน้ำฝน 5.644 นิ้ว


    เมดิสันเดินมาถึงหน้าห้องของสก๊อตตามที่แอนบอกเธอมา เธอเดินเข้าไปในห้องหลังจากที่เธอไขประตูด้วยเข็มหมุด กลิ่นไหม้ลอยขึ้นมาแตะจมูกเธอทันที เธอเดินตามกลิ่นนั้นไป เจอเศษซากกระดาษไหม้เป็นขี้เถ้าอยู่ในถังขยะ

    “หลักฐานถูกเผาซะแล้ว...” เมดิสันพูดกับตัวเอง แต่ไม่รอช้าเธอเดินค้นบ้านสก๊อตทันที บนโต๊ะทำงานของเขาไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับชอนอยู่เลย เธอคงมาช้าไป...

    เธอเปิดตู้เสื้อผ้าซึ่งอยู่ข้างๆโต๊ะทำงานของสก๊อต มีชุดตำรวจอยู่ข้างใน

    “งี้เอง... นักฆ่าโอริกามิปลอมเป็นตำรวจแล้วแอบลักพาเด็กไปสินะ เด็กๆถึงเชื่อเขาไงล่ะ”

    มีกระด้านไม้อยู่หลังเสื้อตำรวจอันนั้น ด้วยความสงสัยเมดิสันจึงชะโงกหน้าไปเคาะมัน

    ก๊อกๆ

    เสียงแปลกประหลาดดังขึ้น เมดิสันยิ่งสงสัยมันหนักขึ้นไปอีก เธอออกแรงผลักไม้นั้นเบาๆ ปรากฏว่ามันสามารถเปิดออกไปได้

    มีห้องลับอยู่หลังตู้เสื้อผ้านั้น ในนั้นมีแปลงปลูกกล้วยไม้ที่มีไฟสปอตไลท์สีขาวส่องอยู่ มีโต๊ะทำงานอยู่ข้างๆแปลงนั้นอยู่สองโต๊ะ บนโต๊ะนั้นมีเครื่องโรยัล ไฟฟ์ อยู่ด้วย

    เมดิสันยื่นมือไปดูโอริกามิทั้งห้าชื้นที่อยู่บนชั้นวางของเหนือเครื่องพิมพ์ดีด เธอยิ่งมั่นใจว่าสก๊อตคือนักฆ่าโอริกามิอย่างแน่นอน

    มีคอมพิวเตอร์วางอยู่ใกล้ๆเครื่องพิมพ์ดีดเช่นเดียวกัน เธอกดเปิดเครื่อง รอสักพัก จากนั้นก็มีหน้าต่างปรากฏขึ้นมา

    พาสเวิร์ด...

    “แย่ละ...”

    เมดิสันลองเดาพาสเวิร์ดไปเรื่อยๆ เธอใส่พาสเวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องกับนักฆ่า เช่น โอริกามิ จอห์น ฝน กล้วยไม้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรถูกสักอย่าง

    หากคุณใส่พาสเวิร์ดผิดอีกหนึ่งครั้ง ระบบจะล็อคตัวเองโดยอัตโนมัติ

    เมดิสันถอดหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะพิมพ์อีกคำเป็นคำสุดท้าย

    “แม็กซ์”

    พาสเวิร์ดถูกต้อง

    “โอเค... ใจเย็นๆ” เมดิสันปลอบตัวเองพลางเลื่อนเม้าส์คลิกหาโฟลเดอร์ที่ชื่อว่า ชอน มาร์ส ที่อยู่กลางเดสก์ท็อป

    มีที่อยู่ปรากฏขึ้นมา

    852 เธโอดอร์ ถนนรูซเวลท์

    “ที่อยู่นี้...” เมดิสันเอานิ้วไปแตะที่จอ “ต้องเป็นที่ๆชอนอยู่แน่ๆ”

    เมื่อทราบข้อมูลที่จำเป็นทุกอย่างแล้ว เมดิสันก็ออกมาจากห้องนั้น และในขณะที่เธอกำลังปีนออกมาจากตู้เสื้อผ้า กระบอกปืนพกก็โผล่ขึ้นมาจ่อที่หน้าผากเธอ

    “รู้ความลับผมแล้วสินะ” สก๊อตซึ่งถือปืนค้างไว้อยู่กล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่

    “มันจบแล้วสก๊อต สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดน่ะ... เพื่อที่จะหาพ่อที่สามารถช่วยลูกตัวเองได้อย่างนั้นหรอ!”

    “เงียบ!” สก๊อตตะโกน “คุณไม่เข้าใจหรอก!”

    “ยังเหลือเด็กอีกคนนึงนะ... ยังเหลือเวลาพอที่จะช่วยเขาอยู่... ปล่อยเขาไปเถอะ ทำสิ่งที่พ่อไม่สามารถทำได้เถอะ...” เมดิสันขอร้องเขา

    สก๊อตก้มหน้าหนีพลางคิดเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันหน้ามา “เข้าไปซะ”

    เมดิสันถอยหลังไปเรื่อยๆจนเธอเข้ามาอยู่ในห้องลับของสก๊อต เมื่อสก๊อตเดินเข้ามาถึงประตูเขาก็ปิดประตูนั้นและล็อคเอาไว้

    เมดิสันตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะวิ่งเข้าไปเปิดประตูอย่างสุดกำลัง แต่น่าเสียดายที่มันคงถูกเปิดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

    สักพัก มีควันไฟลอยออกมาใต้ประตูนั้น เมดิสันเริ่มกระวนกระวาย เธอพยายามหาทางออกซึ่งเธอเห็นค้อนเล่มนึงวางอยู่บนโต๊ะ

    เธอเงี่ยหูฟังน้ำไหลที่อยู่อีกฟากนึงของกำแพง “อีกฟากนึงต้องเป็นห้องน้ำแน่” เธอหยิบค้อนอันนั้นและทุบมันไปที่กำแพงอย่างเต็มแรง

    ตัวกำแพงเกิดรอยร้าวเล็กน้อย เมดิสันทุบไปเรื่อยๆจนกำแพงทะลุถึงอีกฟั่ง เธอปีนเข้าไปในช่องเล็กๆที่เธอทำพังจากนั้นเธอก็มุดเข้าไป เธอออกมากลางอ่างอาบน้ำเล็กๆที่อยู่ในห้องน้ำ

    มีหน้าต่างบานนึงเปิดอยู่ เมดิสันเดินเข้าไปดูและชะโงกหัวออก ฝนยังตกหนักอยู่ แต่ที่ๆเมดิสันอยู่คือชั้นสี่ ซึ่งไม่มีทางที่เธอจะสามารถกระโดดหลบออกไปได้

    เมดิสันนำผ้าชุบน้ำมาแตะๆที่ลูกบิดประตูห้องน้ำที่กำลังร้อนจัด เธอค่อยๆเปิดมัน เปลวไฟจำนวนมากได้ลุกโหมในห้องนั่งเล่นของสก๊อตแล้ว!

    แกร๊กๆ

    เสียงไม้ที่ค่อยๆผุดังขึ้น เมดิสันมองขึ้นและกระโดดหลบเข้าไปในห้องนั่งเล่น เธอทำใจก่อนเล็กน้อยก่อนที่จะกระโดดข้ามกองไฟนั้นไป

    มีถังแก๊สหุงต้มวางอยู่กลางห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยไฟ เมดิสันพยายามที่จะเดินไปที่ประตูหลัก แต่ไฟและเฟอร์นิเจอร์จำนวนมากก็ขวางทางเธออยู่ เธอหันซ้ายหันขวา เดินไปยังสถานที่ๆไม่ค่อยมีไฟเท่าไหร่นัก มันคือห้องครัว

    เมดิสันเห็นหน้าต่างของห้องครัวถูกเปิดไว้เช่นกัน เธอเห็นทางเดินเล็กๆอยู่คนละฝั่งกับหน้าต่าง เธอมุดออกนอกหน้าต่างและกระโดดมาที่ทางเดินเล็กๆอันนั้น จากนั้นเธอก็วิ่งออกมาจากอพาร์ตเม้นท์นั้นอย่างเร็วไว

    บึ้ม!

    ห้องของสก๊อตระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ หวิดเกือบคร่าชีวิตของเมดิสันที่สามารถกระโดดออกมาทันแค่เสี้ยววินาที เมดิสันพักเหนื่อยอยู่ข้างๆมอเตอร์ไซค์ของเธอและท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่มามุงดูบ้านที่ถูกไฟไหม้อยู่

    เมดิสันรีบหยิบโทรศัพท์ของเธอมาและโทรไปหาอีธานเพื่อให้เขาไปที่นั่นเช่นกัน

    “ฮัลโหล” อีธานกล่าวขึ้นหลังจากที่เธอโทรไปหา

    “อีธาน! ชอนอยู่ที่ 852 เธโอดอร์ ถนนรูซเวลท์ รีบไปด่วนเลย! ระวังนะ นักฆ่าโอริกามิอาจจะอยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน!”

    “ผมกำลังไป”

    “โอเค”

    เมดิสันตัดสาย สวมหมวกกันน็อค จากนั้นก็ทะยานมอเตอร์ไซค์ของเธอออกไปทันทีก่อนที่นักดับเพลิงจะเข้ามา

    ***

    นอร์แมนเดินเข้าไปในร้านเหล้าแห่งหนึ่งบนถนนเลคซิงตันอย่างหมดหวังหลังจากที่เขาโดนไล่ไม่ให้ทำงานกับกัปตันเพอร์รี่ เขาเดินไปนั่งในบาร์ในร้านและสั่งวอดก้ามาแก้วนึง

    เขาแหงนหน้ามองจอในโทรศัพท์มือถือ

    19.01 น.

    “อีกไม่กี่นาทีแล้วสินะ... ทำไมกัน...” นอร์แมนก้มหน้าด้วยความเสียใจหลังจากที่เขาไม่สามารถทำอะไรเพื่อที่จะช่วยชอนได้เลย “อีกไม่กี่นาทีชอนก็จะตาย... แล้วทำไมเราต้องมานั่งอยู่ในนี้ด้วย...”

    “วอดก้าของคุณได้แล้วครับ” บาร์เทนเดอร์ยื่นแก้ววอดก้ามาให้

    “ที่นี่มีทริปโตเคนขายไหม...” นอร์แมนเงยหน้าถามเขา

    บาร์เทนเดอร์มองหน้านอร์แมนเล็กน้อยก่อนจะตอบเขาเบาๆ “มี... อยู่หลังร้านน่ะ”

    “ขอแพ็คนึง...”

    “แน่ใจนะ...” บาร์เทนเดอร์คนนั้นถามเขาย้ำ “ตามผมมา”

    นอร์แมนเดินตามเขาไปก่อนที่เขาจะซื้อทริปโตเคนขวดใหม่มา เมื่อได้มาแล้วนอร์แมนก็เดินไปที่ห้องน้ำและสวมแว่นของเขา

    ร่างกายของนอร์แมนอีกคนปรากฏขึ้นมาข้างๆนอร์แมนในทุ่งดอกซากุระ นอร์แมนหันไปมองเขาและนั่งลงไปกับพื้นที่เต็มไปด้วยดอกซากุระ นอร์แมนอีกคนก็นั่งลงเช่นกัน

    ทั้งคู่นั่งมองดอกซากุระที่ค่อยๆปลิวหล่นมาจากต้น ถึงแม้ภายนอกจะดูใจเย็น แต่ภายในจิตใจของนอร์แมนคงจะมีความเครียดสะสมอยู่มากทีเดียว เขาต้องการคนบางคนที่จะมาช่วยปลอบประโลม และนั่นก็คือเหตุผลนึงที่เขาสร้างตัวเขาเองขึ้นมาในแว่นของเขา

  22. #47
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 44: Dead End หมดหนทาง

    Chapter 44: Dead End หมดหนทาง

    วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 2011

    เวลา 19.22 น.

    ปริมาณน้ำฝน 5.848 นิ้ว


    ณ โกดังเก่าๆแห่งหนึ่งในถนนเลคซิงตัน เป็นสถานที่ๆร้างมาเมื่อนานปีมาแล้ว ที่นี่เคยเป็นโรงงานผลิตสินค้าอยู่จนกระทั่งเจ้าของเลิกกิจการไป บนหลังคามีรูขนาดใหญ่ซึ่งปล่อยน้ำฝนให้ตกผ่านมาใส่บ่อน้ำเล็กๆจนเกือบเต็ม ภายในบ่อน้ำนั้นก็มีเด็กน้อยๆคนหนึ่งซึ่งกำลังจะหมดสติแล้ว สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแค่รอเวลาจนกว่าพ่อของเขาจะมาถึงก็เท่านั้นเอง

    อีธานเดินเข้ามาในโกดังเก่าๆตามสถานที่ๆเมดิสันบอกเขามาด้วยรถแท็กซี่ที่เขาขโมยมาจากหน้าโรงแรม เสียงฟ้าร้องฟ้าแลบยังคงส่งเสียงอยู่ไม่ขาด

    “ชอนนนนนน!” อีธานวิ่งไปที่ตะแกรงเหล็กและเขย่ามันหลังจากที่เห็นชอนอยู่ในน้ำ เขาพยายามใช้มือดึงแม่กุญแจออกแต่ก็ไม่สำเร็จ เขาเห็นท่อนไม้วางอยู่ข้างๆจึงหยิบมันมาแงะกุญแจที่ล็อคตะแกรงจนมันหลุดออกไป

    อีธานรีบอุ้มชอนที่หมดสติขึ้นมาและปั้มหน้าอกของเขาอย่างทุลักทุเล

    “ชอนนนน! ชอนนนนน! ตื่นสิ! ชอนนนน!” อีธานพยายามปลุกเขา ร่างกายของชอนยังคงแน่นิ่ง อีธานมองไปยังนาฬิกาที่นักฆ่าโอริกามิให้มา

    02.18 นาที

    ด้วยผลจากยาพิษนั้น อีกสองนาทีกว่าๆอีธานก็ต้องสิ้นชีวิต เขารู้ถึงข้อนี้ดีจึงทำให้เขาอยากที่จะเจอหน้าลูกก่อนอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย...

    ก่อนที่เขาจะไม่ได้เจอเขาอีก...

    อีธานเป่าปากชอนและปั้มหัวใจไปเรื่อยๆ มีน้ำทะลักออกมาจากปากเขา แต่เขาก็ยังคงนิ่ง

    อีธานนั่งทรุดลงร้องไห้ข้างๆเขา...

    00.38 นาที

    “แค่กๆ” เสียงไอดังขึ้นมา อีธานรีบหันไปมองก็พบเห็นลูกของเขาเริ่มขยับตัวแล้ว

    “ชอนน!” อีธานร้องขึ้นด้วยความดีใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็หันไปมองนาฬิกา เหลือเวลาไม่มากแล้ว เขารีบพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอยากบอกกับลูกของเขาก่อนที่ตัวเขาจะหมดสติ

    “ชอนฟังนะ! ลูกคือสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อได้รับมาตั้งแต่ที่พ่อมีชีวิตอยู่” อีธานเอามือเขย่าไหล่ชอนที่กำลังงัวเงีย “พ่อรักลูกมากกว่าสิ่งอื่นนะ...”

    00.00 นาที

    ...

    “ฉันยังไม่ตาย...” อีธานพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “ฉันยังไม่ตาย! ฉันกินยาพิษไปเมื่อชั่วโมงก่อนแล้วฉันก็ยังมีชีวิตอยู่!” อีธานตื้นตันใจมาก เขารีบคว้าไหล่ชอนมากอดโดยไว “ชอน... ลูกไม่เป็นไรแล้วนะ... พ่อมาอยู่นี่แล้ว”

    “พ่อ...” ชอนค่อยๆพูดขึ้นมา

    “ไม่เป็นไร... ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร...”

    เมดิสันวิ่งเข้ามาในที่เกิดเหตุ

    “อีธาน...”

    “เมดิสัน...”

    กริ๊ก!

    เสียงปืนดังขึ้นจากข้างหลัง อีธานและเมดิสันหันไป พบสก๊อตกำลังยืนเล็งปืนไปที่พวกเขาทั้งสอง

    “ยินดีด้วยนะอีธาน” สก๊อตกล่าวมา “คุณทำสำเร็จแล้ว คุณเป็นพ่อที่ผมกำลังตามหาอยู่หลายปี ผู้ชายที่สามารถสละชีวิตตัวเองได้เพื่อที่จะช่วยลูกชายของเขา ผมเคยเห็นคุณมาก่อนแล้วล่ะ... ยังจำได้ไหม เมื่อสองปีที่แล้วที่ห้างนั่นน่ะ คุณกระโดดเข้าไปช่วยลูกชายที่กำลังจะถูกรถชนโดยไม่คิดอะไรเลย”

    “คุณได้สิ่งที่ต้องการแล้ว” อีธานยืนขึ้น “ผมทำแบบทดสอบเสร็จแล้ว ปล่อยเราไป”
    “ผมเกรงว่ามันคงเป็นไปไม่ได้น่ะ... ผู้หญิงคนนี้เธอรู้ความลับผมหมดแล้ว ผมไม่อยากใช้ชีวิตต่อไปในคุกหรอก ผมคงต้องฆ่าพวกคุณทั้งสอง ขอโทษด้วยนะ... ผมนับถือคุณนะอีธาน”

    สก๊อตค่อยๆเอานิ้วมือสอดเข้าไปในไกปืน เมดิสันรีบวิ่งมาปัดมือเขา สก๊อตได้ทีต่อยหน้าเมดิสันและวิ่งเข้ามาหาอีธาน อีธานหลบไปข้างๆและชักปืนของตนออกมาเล็งที่สก๊อต สก๊อตกระชากตัวชอนที่กำลังงัวเงียอยู่และจับเขามาเป็นตัวประกัน

    “นาย... มันผิดสัญญา... ผมทำแบบทดสอบคุณผ่านหมดแล้ว...” อีธานพูดขึ้น

    “ไม่ว่ายังไงผมก็คงต้องฆ่าคุณทั้งหมดอยู่ดี... มันช่วยไม่ได้น่ะ... ถ้าคุณจะฆ่าผม... ผมจะฆ่าเด็กคนนี้ก่อน!”

    ปัง!

    เสียงปืนของสก๊อตดังลั่นทำเอาอีธานสะดุ้ง เขาไม่เชื่อในสิ่งที่ตาตัวเองเห็น ร่างกายของชอนค่อยๆล้มลงไปและนอนแน่นิ่งไปบนพื้น เลือดของเขาค่อยๆไหลออกมาจากหน้าผากผสมกับสายฝนที่โปรยลงมา

    “ชอนนนนนนนนนนนนน!” อีธานร้องตะโกนโหวกเหวกกด้วยความบ้าคลั่ง เขารั่วกระหน่ำกระสุนปืนใส่สก๊อตอย่างไม่ยั้ง ร่างของสก๊อตค่อยๆล้มลงไปเช่นกัน อีธานรีบทิ้งปืนและวิ่งเข้ามาหาชอนทันที

    เขาก้มลงกอดร่างลูกชายไร้วิญญาณอย่างน่าเวทนา เขาเสียลูกชายทั้งสองคนไปแล้ว และทั้งสองคนก็ตายด้วยความผิดของเขา...

    เมดิสันที่ทำอะไรไม่ถูกก็ยังคงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นก็มีไฟสปอตไลท์ฉายลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ด้านบน เมดิสันและอีธานหันไปด้านหลัง มีตำรวจจำนวนมากรวมทั้งเบลคและแอชวิ่งเข้ามา

    “ยกมือขึ้นทั้งคู่!” เบลควิ่งมาเล็งปืนใส่อีธานและเมดิสัน จากนั้นเขาก็เห็นร่างชอนกับสก๊อตนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น “ใส่กุญแจมือพวกเขา”

    “ฉันมีหลักฐานอยู่นะอีธาน” เมดิสันพูดกับอีธานเบาๆ “เราจะไม่โดนเข้าใจผิดแน่...”

    อีธานไม่พูดอะไร เหมือนเขาจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขาแล้วเมื่อชอนจากไป เขาก้มหัวลงตามคำสั่งของเบลค ไม่นานก็มีตำรวจคนหนึ่งนำกุญแจมือมาใส่เขาและนำตัวเขาไปยังสถานีตำรวจ

    ร่างของชอนและสก๊อตก็เช่นกัน ถูกนำส่งโรงพยาบาล น่าเสียดายที่ชอนไม่รอดชีวิต แต่สก๊อตที่ได้สวมชุดเกราะกันกระสุนเอาไว้ก็รอดชีวิต แต่ถึงกระนั้นเขาก็ถูกส่งไปยังสถานีตำรวจทันที

    ...

    ต่อมาสก๊อตถูกตัดสินว่าเป็นนักฆ่าโอริกามิด้วยหลักฐานของเมดิสันและบางส่วนของนอร์แมน อีธานกับเมดิสันก็พ้นคดี น่าประหลาดที่ฝนที่ตกติดต่อกันมา 3 วันก็หยุดลงพอดี

    เบลคกับกัปตันเพอร์รี่แสดงความเสียใจโดยการลาออกจากการทำงานที่สถานีตำรวจหลังจากที่พวกเขากล่าวหาคนผิด เบลคตัดสินใจที่จะไปเยื่ยมสก๊อตในเรือนจำ

    “ว่าไง” เบลคกล่าวทักสก๊อตที่สวมชุดนักโทษสีส้ม

    สก๊อตยกมือขึ้นทักทาย “มันช่วยไม่ได้สินะ...”

    “ผมไม่ได้เป็นตำรวจแล้วล่ะ...”

    “นั่นสินะ...”

    เบลคและสก๊อตเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อนในสมัยที่สก๊อตยังทำงานอยู่ที่สถานีตำรวจกัปตันเพอร์รี่ แต่สุดท้ายแล้วสก๊อตก็เกษียณไป

    เบลคซึ่งไม่อยากเอาผิดเพื่อนของเขาจึงตัดสินใจลาออกจากงานนี้เช่นกัน...

  23. #48
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    Chapter 45: Tears in the Rain น้ำตาในสายฝน

    Chapter 45: Tears in the Rain น้ำตาในสายฝน

    นอร์แมนนั่งดูดอกซากุระที่ค่อยๆร่วงหล่นในเอ.อาร์.ไอ.กับตัวของเขาเอง ตาของนอร์แมนเหม่อลอย ราวกับว่าอยากจะลบเลือนความทรงจำในอดีตทั้งหมด

    “คุณอยากจะทำอะไรต่อไป” นอร์แมนอีกคนถามเขา

    “ไม่รู้สิ... ลาออก... หรือไม่ก็พยายามลืมมันน่ะ... ผมไม่รู้หรอก...” นอร์แมนตอบระหว่างที่เขามองไปข้างหน้า

    “คุณจะลืมเรื่องทั้งหมดนั่นด้วยทริปโตเคนใช่มั้ย”

    “มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมมีอยู่น่ะ...”

    นอร์แมนตัวปลอมลุกขึ้นและหันหลังให้เขา “เพียงแต่ว่านั่นมันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาน่ะสิ...”

    “ตอนนี้ผมไม่อยากจะแก้ปัญหาอะไรหรอก... ผมก็แค่อยากจะลืมมันก็เท่านั้นแหละ”

    “ผมเกรงว่าทริปโตมันส่งผลกับคุณมากกว่าที่คุณคิดอีกนะนอร์แมน”

    “ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ...” นอร์แมนพูดออกมาเบาๆ “ผมไม่เป็นไร... ผมจะผ่านพ้นมันไปเอง... อย่าไปซีเรียสเลย” เขาลุกขึ้นมา “ไว้คอยดูดีกว่าว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น... หลังจากที่เรื่องทุกอย่างจบลงน่ะ”

    นอร์แมนตัวปลอมยักคิ้วขึ้นมานิดๆด้วยความเป็นห่วง “ผมว่ามันจะไม่มีวันจบหรอกนอร์แมน...”

    นอร์แมนหันมามองหน้าเขาและแตะไหล่เขาเบาๆท่ามกลางดอกซากุระที่ค่อยๆร่วงโปรยลงมา

    ***

    ลอเรนก้าวเท้าเข้ามาในสถานีตำรวจกัปตันเพอร์รี่ “โทษที สก๊อตอยู่ห้องไหน”

    “ลงไปชั้นล่างสุดเลยครับ” แอชกล่าว

    “ขอบคุณ”

    ลอเรนเดินเข้ามาหน้าห้องขังของสก๊อต สก๊อตเงยหน้าขึ้นมาและเดินไปยังเสาเหล็กที่กั้นระหว่างเขาและเธออยู่

    “ไม่มีครอบครัวไหนที่จ้างวานคุณเป็นนักสืบลับเลยใช่ไหมสก๊อต” ลอเรนพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ “ฉันโทรไปหาทุกคน... ไม่มีคนไหนที่บอกเลยว่าคุณเคยติดต่อพวกเขาไป สิ่งที่คุณทำก็แค่เก็บหลักฐานที่คุณทิ้งไว้ที่บ้านเหยื่อเพี่อให้ตัวเองหนีได้ใช่ไหมล่ะ”

    สก๊อตยืนนิ่ง เขาจ้องหน้าลอเรน และเธอก็จ้องหน้าเขาเช่นกัน

    “ฉันสาบานต่อหน้าหลุมศพของฉัน” ลอเรนพูดอย่างช้าๆ “ว่าฉันจะฆ่าคนที่ฆ่าลูกชายของฉัน... และฉันจะไม่มีวันผิดสัญญา”

    ลอเรนชักปืนพกออกมาจากกระเป๋ากางเกงและยิงใส่สก๊อตทันที

    ***

    วันต่อมาหลังจากที่อีธานและเมดิสันถูกปล่อยตัว ชอนก็ถูกฝังลงในสุสานเลคซิงตันซึ่งก็เป็นที่เดียวกับที่จอห์น เชพเพิร์ด ถูกฝัง ฝนที่ได้ห่างเหินจากเมืองนี้ไปหนึ่งวันก็เริ่มลงเม็ดอีกครั้ง อีธานยืนมองหลุมศพตัวเองด้วยสายตาบ่งบอกถึงว่าตัวเองทำความผิดร้ายแรงไปมากแค่ไหน ใบไม้แห้งค่อยๆร่วงลงมาตามเม็ดฝน เปื้อนเสื้อโค้ทของอีธานอยู่ตลอดเวลา เมดิสันซึ่งเห็นอีธานยืนต่อหน้าหลุมศพลูกชายของเขามาเป็นระยะเวลานานก็เดินเข้าไปปลอบเขา

    “เราจะไปจากที่นี่กันอีธาน...” เมดิสันกระซิบข้างๆหูเขา “ไปที่ๆไม่มีฝน... เราจะเริ่มชีวิตใหม่กันที่นั่น” เธอซบไหล่เขา “คุณจะได้อาชีพเป็นสถาปนิกส่วนฉัน... ฉันจะเป็นนักข่าว... เราจะสร้างชีวิตของเราขึ้นมาใหม่... และเราก็จะลืมเหตุการณ์แบบนี้...”

    “ฉันจะลืมได้ยังไงในเมื่อลูกชายสองคนของฉัน... ตาย... เพราะฉันคนเดียว” อีธานเงยหน้า “ฉันรักพวกเขา... มากกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้...” น้ำตาค่อยๆไหลออกมาผสมกับสายฝนที่ตกมาบนหน้าเขา “แต่ฉันก็ยัง... ปกป้องเขาไว้ไม่ได้”

    เมดิสันเอามือไปลูบหน้าเขาเบาๆ “ฉันอยากให้คุณมีลูกกับเรา... จากนั้นเราจะได้เด็กชายตัวเล็กๆที่มีตาของคุณ แล้วเราจะดูเขาเติบโตไปด้วยกัน เราจะมีความสุข... คุณต้องก้าวข้ามมันไปอีธาน... ชีวิตมันต้องก้าวเดินต่อไป... ฉันจะช่วยคุณเอง เราจะผ่านพ้นฝันร้ายนี้และ... ฉันรักคุณนะ อีธาน”

    อีธานหันหน้าไปมองเมดิสันและหันกลับมาที่เดิม เขายืนนิ่ง แต่ภายในหัวของเขาเหมือนว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ บางสิ่งนั้นที่มันมากเกินกว่าที่คนๆเดียวจะรับไหว

    “ขอเวลาให้ฉันสักนิดนะเมดิสัน...” เขาพูดขึ้นมา “เดี๋ยวฉันจะตามไป”

    เมดิสันก้มหน้าและปัดน้ำตาที่ไหลรินบนแก้มอีธานก่อนที่เธอจะเดินจากไป “ฉันจะ... ไปรอคุณที่รถนะคะ”

    เมื่อเมดิสันเดินจากเขาไปแล้ว อีธานก็ค่อยๆหยิบปืนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วจ่อมันที่ขมับของเขา

    เมดิสันหันมา เห็นร่างของอีธานค่อยๆล้มลง เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงฝน เสียงฟ้าร้อง หรือเสียงปืน... สิ่งที่เธอเห็นก็มีแค่ร่างกายของคนที่เธอรักล้มลงต่อหน้าต่อตา

    “อีธานนนนน! อย่า!” เมดิสันร้องเรียกเขาแต่มันก็สายไปเสียแล้ว น้ำตาได้ไหลออกมาบนแก้มของเธอโดยที่เธอไม่รู้ตัว เธอทรุดเข้าไปหาอีธานที่ขมับของเขาเต็มไปด้วยเลือด จากนั้นเธอก็เข้าไปกอดพลางร้องไห้อย่างน่าเวทนา

    น้ำตากับน้ำฝนผสมคลุ้กเคล้าบนใบหน้าของชายหญิงทั้งสอง มือของเธอเริ่มสั่น เธอค่อยๆหยิบปืนของอีธานและค่อยๆจ่อมันมาที่ขมับของตัวเอง

    เธอมองขึ้นไปบนฟ้า ปล่อยให้น้ำฝนตกกระทบลงบนใบหน้าของเธอ จากนั้นเธอก็เหนี่ยวไก

    กริ๊ก!

    “ทำไม... ไม่เหลือกระสุนให้ฉันบ้างเลย...” เมดิสันทิ้งปืนลงและนอนแผ่ลงบนพื้นหญ้าข้างๆอีธาน เธอจับมืออีธานไว้ และอยู่นิ่งๆเป็นเวลาหลายชั่วโมง

    ใบไม้สีน้ำตาลร่วงลงมาจากต้นจนหมดด้วยแรงของน้ำฝนและลมเบาๆที่เข้ามาปะทะ เธอค่อยๆดูใบไม้เหล่านั้นที่ค่อยๆร่วงผ่านเธอไปจนฝนเริ่มซาลง


    วันฝนกระหน่ำ จบบริบูรณ์

  24. #49
    слыхал! но......
    วันที่สมัคร
    Dec 2012
    กระทู้
    341
    กล่าวขอบคุณ
    61
    ได้รับคำขอบคุณ: 240
    Blog Entries
    1
    จบแล้วนะครับสำหรับเรื่องนี้

  25. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:



 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top