ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

กำลังแสดงผล 1 ถึง 11 จากทั้งหมด 11
  1. #1
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Feb 2015
    กระทู้
    355
    กล่าวขอบคุณ
    506
    ได้รับคำขอบคุณ: 5,590

    จบเป็นตำนาน...หรือสานต่อจนเละเทะ

    จบเป็นตำนาน...หรือสานต่อจนเละเทะ



    ปี 2558 ผ่านมาอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวเราก็ก้าวผ่านครึ่งปีแรกของวงการเกมกันมาแล้วครับ จากช่วงต้นปีที่ดูเหมือนจะจืดชืด ด้วยขบวนเกมที่ทยอยออกมาให้เราเล่นแบบค่อนข่างจะเนือยๆ แต่เกมระดับ AAA อย่าง Bloodborne, The Witcher 3: Wild Hunt และ Batman: Arkham Knight นั้นก็แสนจะโดดเด่นและไม่ทำให้พวกเราผิดหวังเลย ทั้ง 3 เกมมีงานโปรดักชั่นที่ยอดเยี่ยม เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ มีระบบเกมที่ดี อยู่ในระดับที่สามารถเข้าชิงตำแหน่ง Game of the Year ได้สบายๆ



    และหากเหลียวมองปฏิทินไปยังครึ่งปีหลังก็ยังมีเกมฟอร์มยักษ์รอเราอยู่อีกหลายเกม จำพวกที่ชื่อชั้นการันตีชนิดขาข้างหนึ่งก้าวเข้าชิงตำแหน่งเกมยอดเยี่ยมประจำปีได้เลยก็คือ Metal Gear Solid V: The Phantom Pain และ Fallout 4 แต่ถ้าเกมที่ดูฟอร์มดีน่าเล่นยังมีอีกเพียบ เช่น Forza Motorsport 6, Assassin’s Creed Syndicate, Call of Duty: Black Ops III หรือ Star Wars: Battlefront และอื่นๆ อีกมากมาย ดูท่าแล้ว 2558 น่าจะถือว่าเป็นปีที่ดีมากปีหนึ่งสำหรับชาวเกมเมอร์

    ในขณะเดียวกันปีนี้เหมือนจะเป็นปีรูดม่านปิดฉากเกมหลายๆ ซีรีส์ เช่น The Witcher 3: Wild Hunt และ Batman: Arkham Knight ทีมสร้างของทั้งสองเกม อย่าง CD Projekt RED และ Rocksteady ประกาศแล้วว่าจะขอหยุดซีรีส์ทั้งสองเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ โดยทีมงานจะขอไปค้นหาแนวทางใหม่ๆ หรืออาจจะไปซุ่มสร้างซีรีส์ใหม่ๆ มาให้เล่นกันอีกในอนาคต ซึ่งทั้งสองซีรีส์ที่ว่ามาต่างก็มีบทส่งท้ายที่งดงาม ประทับใจ และน่าจดจำสำหรับผมในฐานะแฟนซีรีส์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ The Witcher 3 ที่เมื่อเล่นจบแล้ว ผมได้ความรู้สึก “เต็ม” และอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก



    หากพวกเราติดตามข่าวสารจากงาน E3 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมากันดีๆ ก็แอบมีการประกาศปิดตัวซีรีส์กันไปไม่น้อย อาทิ ทีม Guerrilla Game ที่คลุกคลีปลุกปั้นซีรีส์ Killzone มาตลอดนับสิบปีก็เปิดตัวผลงานใหม่อย่าง Horizon: Zero Dawn ด้วย ทำให้เราอาจจะไม่ได้เจอกับ Killzone ภาคใหม่กันอีกสักระยะ แม้แต่ Metal Gear Solid V: The Phantom Pain ของ ฮิเดโอะ โคจิมะ ก็ยังประกาศว่าภาคนี้จะเป็นภาคสุดท้ายของเขาแล้ว (แม้เจ้าตัวจะเคยพูดแบบนี้อยู่บ่อยๆ แต่คราวนี้ดูจะเป็นไปได้มากที่สุด เพราะดูเหมือนโคจิมะจะไปมีปัญหากับต้นสังกัดอย่าง Konami จนน่าจะไปเปิดสตูดิโอของตัวเองแล้ว)



    ผมมีความคิดว่าตัวอย่างทั้งหมดที่กล่าวมานั้น พวกเขาได้เลือกเส้นทางที่กล้าหาญสำหรับทีมพัฒนาเกมในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการสร้างเกมดีๆ ขึ้นมาสักเกมนั้นสูงมาก ทั้งแรงงานคน เวลา และงบประมาณ หลายๆ ค่ายดังมักจะเลือกเอาหนทางที่แน่นอนหรือชัวร์เอาไว้ก่อนว่าหากทำเกมออกมาแล้วจะขายได้กำไร ซึ่งนั่นก็คือ การสร้างภาคต่อให้กับซีรีส์ที่เป็นที่รู้จัก โด่งดัง และมีฐานแฟนมากพอสมควร เพราะมันมีความเสี่ยงน้อยกว่า อันเป็นที่มาของวิกฤติความคิดสร้างสรรค์ในวงการวิดีโอเกมซึ่งเริ่มจะตีบตัน เกมต่างๆ ก็เหมือนพัฒนาชนิดลอกกันมาหมด หรือเกมภาคใหม่ที่ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม สุดท้ายมันก็มาจบลงที่ความเบื่อหน่ายของผู้เล่นอย่างเราๆ นั่นเอง

    อันที่จริงจะเรียกว่าวิกฤติก็อาจจะไม่ถูกนัก เพราะหากเรามองวงการเกมโดยรวมให้ลึกลงไป ยุคนี้เรียกได้ว่าเป็นยุค “กำเนิดใหม่ของเกมอินดี้” เกมของนักพัฒนาเกมรุ่นใหม่ที่คิดอะไรนอกกรอบ สร้างจากความรัก ความผูกพัน และความทรงจำในวัยเด็กว่า เกมอะไรที่เราอยากเล่น เล่นแล้วสนุก หรือแม้แต่ใช้ส่งสาร ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของผู้สร้าง น่าเสียดายว่าความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้มักถูกตีมูลค่าไม่สูงนักจากเกมเมอร์ เพราะความที่ “ดูไม่น่าเล่น” ของมัน ที่แตกต่างจากเกมฟอร์มยักษ์ซึ่งทุนหนา ทำให้มีกราฟิกฉูดฉาด ลูกเล่นแพรวราว พร้อมโหมโฆษณากันทั่วบ้านทั่วเมือง คนเลยมองข้ามเกมจำพวกนี้ไป



    แต่กลับมาในตลาดเกมค่ายใหญ่ที่พวกเราคุ้นเคยกันนั้น หลายค่ายไม่อาจที่จะตัดใจทิ้งซีรีส์ที่ตัวเองเพียรสร้างขึ้นมาจนชื่อกระฉ่อนอยู่แถวหน้าของวงการได้ จนต้องนำกลับมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดในการผลิตซ้ำผลงานเดิมๆ หากควบคุมคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์ดีไปเรื่อยๆ ได้ตลอดรอดฝั่ง ก็ยังพอเอาตัวรอดจากการก่นด่าของแฟนๆ ไปได้ แต่เมื่อใดที่พลาดขึ้นมา หายนะก็บังเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เช่นกัน

    Call of Duty, Final Fantasy และ Assassin’s Creed คือตัวอย่างที่ชัดเจน สองรายแรกอาจจะดีหน่อยที่เนื้อหาของแต่ละภาคจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนละเกมกับภาคก่อนเลยก็ได้ เพียงแต่อาศัยบุญเก่าของชื่อเดิมที่สั่งสมมานานในการทำโปรโมท แต่สำหรับซีรีส์ Assassin’s Creed ที่ถือกำเนิดในปี 2550 จนมาถึงในปี 2558 ภายในระยะเวลา 8 ปี เราได้เล่นเกมจากซีรีส์นี้ไปแล้ว 8 ภาค (ยังไม่รวมภาค Spin-off อีก 13 ภาค และยังไม่นับภาคใหม่ที่กำลังจะออกปลายปีนี้อีก 1 ภาค) สำหรับหลายๆ คนเกมนี้มันถึงจุดอิ่มตัวมานานมากแล้ว หากว่ากันตามตรง นับตั้งแต่ภาค Brotherhood เป็นต้นมา ซีรีส์ Assassin’s Creed นั้นพัฒนาอะไรใหม่ลงไปในเกมค่อนข้างน้อยมาก แถมเรื่องราวเหตุการณ์สถานการณ์โดยรวมของเกมก็ไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลยตั้งแต่ภาค 3 แต่อาศัยดราม่าของตัวละครในแต่ละภาค ทำให้เนื้อหาของแต่ละคนน่าสนใจแทน เพื่อยื้อเวลาและหลีกเลี่ยงการเล่าเรื่องราวหลักของเกม



    จริงอยู่ว่าทุกครั้งที่ออกภาคใหม่ ผู้คนจะยังคงสนใจ ได้ขึ้นเป็นข่าวพาดหัวใหญ่ และหากนำมาเล่นก็ยังคงสนุกอยู่ แต่ความรู้สึกอยากและโหยหาที่จะได้เล่นภาคต่อไปของมันนั้น...สำหรับผมแล้วมันน้อยลงไปทุกปี ตัวอย่างเกมเพลย์ของภาคใหม่อย่าง Syndicate ไม่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและสนใจมันเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว ยิ่งปีนี้ต้องชนกับเกมบิ๊กเนมทั้งหลายที่กล่าวมาอย่าง แบทแมน ที่มีระบบยิงสลิงลอยตัวกันแบบธรรมดาบ้านๆ ไม่ต้องเอามาเป็นประเด็นโปรโมทอย่างที่ Syndicate ทำเลย กลับกันผมอยากให้ภาคนี้ประสบความล้มเหลวทางด้านยอดขายจนทำให้ต้นสังกัดอย่าง Ubisoft หันกลับมามองตัวเองได้แล้วว่า พวกเขาจะต้องใส่อะไรลงไปในเกมให้มันมากขึ้นเป็นรูปธรรม...ผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไง? ทำไมผมถึงอยากให้ซีรีส์ที่ผมแสนรักนั้นประสบความล้มเหลวไปได้?...หรือมันอาจจะถึงจุดที่ผมเกินจะทนได้อย่างไม่รู้ตัวแล้วกันแน่?

    Shawn Layton ประธานของ Sony ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในงาน E3 ว่า “การเล่าเรื่องและเนื้อเรื่องคือเครื่องมืออันทรงพลังของสื่ออย่างวิดีโอเกม นั่นคือสาเหตุที่ทำให้การประกาศ Shenmue 3 หรือ Final Fantasy VII Remake ถึงได้มีผลต่อหัวใจของเหล่าเกมเมอร์มาก” เพราะความซาบซึ้งจากเรื่องราวอันน่าประทับใจจะยังคงอยู่ และทิ้งรอยประทับไว้ในห้วงความทรงจำของเรา แม้เวลาจะล่วงเลยไปเกือบ 2 ทศวรรษแล้วก็ตาม



    เกมรายปีทั้งหลาย เช่น เกมกีฬาหรือซีรีส์อื่นๆ แม้ว่าจะพัฒนาระบบของตัวเกมไปขนาดไหนก็ยากที่จะยืนหยัดต่อสู้กับบททดสอบแห่งกาลเวลาได้ เพราะเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดที่เกมในยุคหนึ่งทำได้ไปแล้วนั้น ความล้ำสมัยของมันก็จะหมดลงไป เราอาจจะจดจำมันได้ในฐานะเกมที่ดีในช่วงเวลาแห่งยุคนั้น แต่คงไม่อาจจะคงอยู่ในสถานะที่เป็นอมตะหรือคลาสสิก อย่างที่เรารู้สึกกับภาพยนตร์ชั้นดีเมื่อ 50-60 ปีก่อนได้

    สิ่งที่เป็นสัจธรรมสำหรับทุกเรื่องราว ก็คือเมื่อมันมีจุดเริ่มต้น มันย่อมต้องมีจุดจบ และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ การสร้างสรรค์เนรมิตเรื่องราวสุดวิจิตรขึ้นมาว่ายากแล้ว แต่การรูดม่านปิดฉากตำนานให้สวยงามจับใจเป็นเรื่องยากกว่าหลายเท่า

    ความพยายามในการรื้อฟื้น ปลุกชีพ หรือรีบูตซีรีส์ที่จบไปแล้วจึงเป็นเรื่องที่ผมไม่สนับสนุนนัก เพราะน้อยครั้งที่มันจะออกมาดี ส่วนใหญ่เป็นผลพวงของการ ”จบไม่ลง” ของทีมสร้าง เช่น Devil May Cry ที่ดำเนินเนื้อเรื่องมาถึง 4 ภาค แต่ก็กลับตัดสินใจรีบูตกันเสียดื้อๆ หรือ Mass Effect ที่กำลังจะเปิดฉากปฐมบทของตำนานใหม่ทั้งที่จบบริบูรณ์ไปแล้วในภาค Andromeda โดยเราเองก็ยังไม่รู้กันว่าจะดีร้ายขนาดไหน ก็ได้แต่หวังว่าค่ายเกมต่างๆ จะไม่ติดหล่มอยู่ในวังวนการสร้างภาคต่อแบบไม่รู้จบกันเสียที



    แน่นอนว่าเสียงบ่นของผมมันไม่มีความหมายมากไปกว่าความชอบของเกมเมอร์ทุกคน ซึ่งทุกคนก็มีสิทธิ์จะเลือกสิ่งที่ตัวเองพอใจได้เสมอ อย่างที่ผมเคยพูดอยู่เป็นประจำว่า “Vote With Your Wallet” ถ้าใครที่ยังชอบกับระบบของเกมแบบเดิมที่เราเล่นกันอยู่เป็นประจำหรือเชื่อมั่นในฝีมือและผลงานของทีมสร้างที่เรารัก ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะสนับสนุนเกมนั้นๆ ต่อไป แต่หากเราไม่พอใจเกมไหน หรือต้องการให้มันมีการเปลี่ยนแปลง ก็แค่อย่าไปซื้อของเขา ให้เวลาเขาไปพัฒนาปรับปรุงตัว เราก็จะได้เล่นอะไรใหม่ๆ ที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปเอง นั่นคือวิธีเดียวที่เราจะส่งสารจากความต้องการของเราไปถึงทีมพัฒนาได้ ผมไม่อยากให้ถึงวันที่เราจะได้เห็นเกม XXX (นามสมมุติ) ภาค 50 เลยจริงๆ

    Credit : http://www.online-station.net/feature/feature/16043

  2. รายชื่อสมาชิกจำนวน 25 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  3. #2
    เสพกราฟฟิกขั้นเทพ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    6,574
    กล่าวขอบคุณ
    2,381
    ได้รับคำขอบคุณ: 4,560
    Assassin's Creed มีหลายภาคมากจริงๆ ผมเล่นไม่จบซักภาค ไม่มีเวลาว่างมากขนาดนั้น

    โดยส่วนตัวผมเล่นเกม ไม่ค่อยสนใจเนื่อเรื่องซักเท่าไหร่ ก็เล่นๆไป เห็นภาษาอังกฤษเยอะๆก็กดข้ามๆไป ขี้เกียจอ่าน

    แต่ก็พอจะเดาเนื้อเรื่องได้ ไม่ชอบเกมที่เนื้อเรื่องซับซ้อน ขี้เกียจคิดตาม

    ผมชอบเกมแนวมาริโออ่ะ ง่ายดี ไม่ต้องเรื่องมาก โหม่งเห็ด เก็บเหรียญ สู้กับบอส มีหลายๆด่านหน่อย แค่นี้ก็สนุกแล้ว
    Intel Core i7 4790k / MSI Z97 Gaming 5 / GALAX GTX980 SOC 4GB
    AMD Phenom II X6 1090T / Asrock 890GX Extreme 3 / Power Color HD5970 2GB

  4. รายชื่อสมาชิกจำนวน 6 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  5. #3
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    May 2012
    กระทู้
    155
    กล่าวขอบคุณ
    88
    ได้รับคำขอบคุณ: 57
    battlefield hardline ขึ้นชื่อว่า battlefield แค่ชื่อก็อยากเล่นละแต่มาภาคนี้ปุบ อะไรเนี่ย มานคืออะไร GTA หรือ...?

  6. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  7. #4
    It where my Demon hide
    วันที่สมัคร
    Mar 2012
    กระทู้
    2,418
    กล่าวขอบคุณ
    2,422
    ได้รับคำขอบคุณ: 3,922
    Assassin’s Creed มันอิ่มตัวในส่วนของเนื้อเรื่องในยุคปัจจุบันนี่แหละ ยืดเยื้อมาก และเนื้อเรื่องของอดีตก็วนเวียนแต่กับเทมพลา

    ถ้าทำแบบ Final ก็คงดี เปลี่ยนเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ อาจจะไม่เกี่ยวกันหรือเกี่ยวกันก็ได้ มีอะไรรอบโลกให้เล่นเยอะแยะเลย ไม่ต้องมัวไปแต่ยุโรป

  8. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  9. #5
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Feb 2012
    ที่อยู่
    กะลาแลนด์ 4.0
    กระทู้
    2,314
    กล่าวขอบคุณ
    1,843
    ได้รับคำขอบคุณ: 1,598
    ค่ายเกมก็พยายามทำเกมให้ถูกจริตคนเล่นเป็นธรรมดา ทำหลายภาคคนเล่นก็เบื่อ เปลี่ยนมากแฟนบอยก็ด่า

  10. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  11. #6
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    1,016
    กล่าวขอบคุณ
    1,003
    ได้รับคำขอบคุณ: 437
    ส่วนใหญ่ เกมส์แนว FPS มันมักจะมีจุดอิ่มตัวจริงๆมาเสมอจะทำภาคต่อต้องใส่ใจเนื้อเรื่องจริงๆไม่งั้นก็ล้มไม่เป็นท่าครับ
    แต่ก่อนเคยหวัง COD นะ พอมาหลังๆ นี่มันอะไรกันนี่มันโคตะระจะแฟนตาซีเลยทีเดียว(ประชด)ความดราม่าหายไปไหน
    COD มันควรจบไปตั้งแต่ภาค Black ops แล้ว ยิ่งทำต่อยิ่งออกทะเลไปไกล ส่วน BF ไม่ต้องพูดถึงครับขอบายตั้งแต่ภาค 3 แล้ว

  12. รายชื่อสมาชิกจำนวน 3 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  13. #7
    ไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น
    วันที่สมัคร
    Jun 2014
    กระทู้
    443
    กล่าวขอบคุณ
    87
    ได้รับคำขอบคุณ: 545
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ aun5 อ่านกระทู้
    battlefield hardline ขึ้นชื่อว่า battlefield แค่ชื่อก็อยากเล่นละแต่มาภาคนี้ปุบ อะไรเนี่ย มานคืออะไร GTA หรือ...?
    ผมอยากเล่นมุขนี้มานานแล้ว เอาซะหน่อย




    I Love You Enough.....
    to Kill you.

  14. รายชื่อสมาชิกจำนวน 4 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  15. #8
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Aug 2011
    ที่อยู่
    bankkok
    กระทู้
    1,250
    กล่าวขอบคุณ
    410
    ได้รับคำขอบคุณ: 319
    BFHLอาจจะทำมาเป็นเนื้อเรื่องเหมือนNFSRก็ได้แต่เนื้อเรื่องมันบ้านๆแถมแค่ย่องๆไปข้างหลังตะล่อมจับก็เคลียละมันไม่ได้ยิงสนั่นหวั่นไหวเหมือนภาคอื่นๆ

  16. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  17. #9
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    May 2015
    ที่อยู่
    Phitsanulok
    กระทู้
    100
    กล่าวขอบคุณ
    57
    ได้รับคำขอบคุณ: 82
    battlefield hardline ถ้าออกมาขายราคาเท่าเกม CS GO เรื่องคงเปลี่ยน มันเหมือน MOD หรือ DLC ของ battlefield 4 มากกว่า

  18. รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:


  19. #10
    きょすけ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    2,569
    กล่าวขอบคุณ
    650
    ได้รับคำขอบคุณ: 2,125
    Final Fantasy แต่ละภาคเนื้อเรื่องมันต่อกันที่ไหนล่ะ แต่ละภาคก็จะมีเนื่อหา gameplay ที่แตกต่างกันออกไป โครตมั่ว 55555

  20. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  21. #11
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Jul 2011
    กระทู้
    651
    กล่าวขอบคุณ
    521
    ได้รับคำขอบคุณ: 362
    ยังไงก็ได้ขอให้เนื้อเรื่องดีและภาพสวยพอล่ะผม เป็นพวกชอบถ่ายรูปในเกม *-*

  22. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:



 

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top