...อดีตกาลยาวนานมาแล้วหลายล้านสหัสวรรษตั้งแต่สมัยที่จักรวาลอันกว้างใหญ่อันหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ยังเต็มไปด้วยความมืดในอวกาศ ไม่มีสิ่งใดทั้งนั้น ทว่าในความไม่มีนั่นเองกับมีอยู่ด้วยสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าพลังงาน ซึ่งลอยเวิ้งว้างตามจักรวาลอันมหาศาลนี้ จนเมื่อเวลาผ่านไปยาวนานเข้าอีกหลายล้านปีแหล่งพลังงานนั้นก็ได้ลอยมารวมกันเป็นก้อนพลังงานใหญ่ เมื่อมารวมกันมากเข้า ก็ได้ก่อกำเนิดสรรพสิ่งหนึ่งเป็นครั้งแรกในจักรวาล นั่นคือจิตวิญญาณ ดวงจิตวิญญาณนั้นต่อมาคือเทพเจ้าฟาธอร์ ผู้สรรสร้างทุกสรรพสิ่ง ในยุคแรกเริ่มนั้นพระองค์หารู้ไม่ว่าพระองค์มีอำนาจในการสร้างและบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นมาได้ จนกระทั่งถึงขณะหนึ่งที่พระองค์กำลังสับสนกับตัวตนของพระองค์เองอยู่ พระองค์ก็ได้ทรงมองไปรอบๆจักรวาลก็แลเห็นว่ามันกว้างใหญ่เหลือเกินจะดูชมทั่วได้ จึงได้ทรงคิดในพระทัยว่าถ้าหากมีตัวยาวๆเลื้อยๆอยู่เต็มไปหมดจะเป็นเช่นไร(พระองค์ทรงนึกถึงคำว่าแหวกว่ายแล้วได้จินตนาการถึงตัวเลื้อยๆอย่างที่ว่า ซึ่งพระองค์ก็มิรู้หรอกว่าตัวเลื้อยๆมันคือตัวอะไร ลักษณะเป็นยังไง) ในขณะที่พระองค์ทรงคิดนั่นเองเพียงชั่ววูบเดียวก็บังเกิดสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวด้วยการเลื้อยดังที่พระองค์ทรงคิดภาพไว้ แต่ไปได้ไม่ไกลเจ้าเลื้อยตัวนั้นก็ตายลง พระองค์ทดลองทำแบบนี้อยู่หลายครั้งก็ตายทุกตัว พระองค์ทรงมองเห็นแล้วว่าตนนั้นมีอำนาจในการสรรสร้างได้ตามแต่ใจปรารถนา พระองค์จึงทรงตั้งพระทัยแน่วแน่กำหนดลักษณะเจ้าเลื้อยตัวนั้นใหม่ให้มีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ คำว่าเจ้าเลื้อยพระองค์เห็นว่าคำเรียกนี้ไม่เหมาะสมกับเกียรติแห่งชีวิตแรกที่พระองค์ได้สร้างเลย เทพเจ้าฟาธอร์จึงทรงคิดชื่อให้ใหม่ว่า มังกร พระองค์ได้ทรงสร้างมังกรที่มีลักษณะลำตัวยาวมีขาเล็กๆสองข้างอยู่ข้างหน้า ไม่มีปีก มีแผงขนที่คอ เคลื่อนไหวด้วยการเลื้อยเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ที่สำคัญคือสามารถพูดเป็นภาษาได้ แล้วทรงให้ชื่อเผ่าพันธุ์แรกนี้ว่านิคิ ในตอนแรกๆนั้นมังกรนิคิเหล่านี้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้จึงได้ล้มตายกันไปเพราะไม่มีอากาศหายใจ พระองค์จึงทรงคิดสร้างพลังงานขึ้นมาเป็นแหล่งใหญ่ แล้วปักแหล่งพลังงานนั้นไว้อยู่ตรงแกนกลางจักรวาลทั้งมวล พลังงานนี้เป็นแหล่งอากาศที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถหายใจได้ มันสามารถแทรกซึมไปได้ทุกที่อย่างทั่วถึง แหล่งพลังงานนี้จะแผ่กระจายอากาศออกมาได้ทั่วจักรวาล พระองค์ให้ชื่อแหล่งพลังงานนี้ว่า “ผลึกแสงแห่งชีวิต”


พร้อมกับสร้างหลุมดำขนาดใหญ่เอาไว้ด้วยตามแหล่งที่ต่างๆทั่วทุกจักรวาล เพื่อเป็นการเตือนสอนให้มีสติไม่ใช่เอาแต่ชมเล่นหลงระเริงในความสวยงามของจักรวาลอย่างเดียว เอาแต่สนุกจนพลาดท่าไปโดนหลุมดำดูดเข้า เมื่อพระองค์ได้สร้างอากาศหายใจกับหลุมดำแล้ว ก็ทรงสร้างมังกรนิคิขึ้นมาอีก ซึ่งตอนนี้มันสามารถบินแหวกว่ายเลื้อยอยู่ในจักรวาลได้แล้ว แต่ด้วยจักรวาลนั้นกว้างใหญ่ เทพเจ้าฟาธอร์จึงทรงวิวัฒนาการมังกรนิคิให้ไม่มีวันตายถ้าหากไม่กัดกันเอง มีจมูกในการดมกลิ่นจำกลิ่นเป็นเลิศแล้วสามารถพ่นไฟซึ่งเป็นเปลวเพลิงอันร้อนระอุที่ใช้แผดเผาได้ และที่พิเศษกว่านั้นมังกรนิคิสามารถพ่นกระแสพลังงานจากตัวของมันเองได้ เมื่อมันพ่นกระแสพลังงานนี้ออกมา จะเป็นเสมือนประตูมิติ ซึ่งถ้ามังกรนิคิมันเคยแหวกว่ายในอวกาศไปที่ไหนแล้วมันอยากจะไปที่นั่นอีก มันก็ดมกลิ่นพื้นที่บริเวณนั้น แล้วจำกลิ่นนั้นไว้ซึ่งมันมีความจำเป็นเลิศ มันก็สามารถพ่นพลังงานเป็นประตูมิติออกมา แล้วว่ายเลื้อยเข้าไปในนั้น มันก็จะไปโผล่ในที่นั้นทันทีดังที่มันตั้งใจไว้ ด้วยพระผู้สร้างเทพเจ้าฟาธอร์นี้ทรงเล็งเห็นว่าจักรวาลนี้มันกว้างใหญ่ ซึ่งบางที่ก็ใช้เวลาหลายแสนล้านปีเลยทีเดียวกว่าจะไปถึง มังกรนิคิจึงเปรียบเสมือนพาหนะที่ใช้ท่องอวกาศที่ดีที่สุด


หลังจากนั้นเทพเจ้าฟาธอร์ก็ทรงสร้างจักรวาลขึ้นมาอีกถึง ๓๒ จักรวาล พร้อมด้วยพระอาทิตย์โดยทรงวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แล้วได้สร้างดวงดาวต่างๆมากมายหลายร้อยดวง ทรงสร้างป่าไม้ แม่น้ำ ท้องฟ้า ทะเล ก้อนเมฆ ซึ่งบางดวงดาวก็จะเป็นน้ำทั้งหมด บางดวงดาวก็จะเป็นทะเลทราย บางดวงดาวก็ไม่มีทะเลทรายแต่มีป่าไม้สมบูรณ์ บางดวงดาวก็อุดมสมบูรณ์สวยงาม พระองค์ทรงสร้างลักษณะแบบนี้คละเคล้ากันไป เพื่อให้จักรวาลมีความสดใสมีสีสัน ต่อมาจึงทรงสร้างสิ่งมีชีวิตมนุษย์ สัตว์ ทั้งเพศผู้และเพศเมียที่เหมาะสมกับดาวนั้นๆ อย่างดาวที่เป็นน้ำทั้งหมด พระองค์จะทรงสร้างลักษณะคล้ายๆปลา แต่ถ้าเป็นดวงดาวทะเลทรายร้อนๆพระองค์จะทรงสร้างสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายหินซึ่งจะไม่มีความรู้สึกถึงความร้อนใดๆ ในขณะที่มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมากมายบนจักรวาลนี้แล้ว เทพเจ้าฟาธอร์ก็ทรงสร้างมังกรขึ้นมาอีกเผ่าคือ ดูราโก ลักษณะของมังกรดูราโกแตกต่างกับมังกรนิคิอย่างมาก มังกรสายพันธุ์ดูราโก จะตัวใหญ่กว่ามังกรสายพันธุ์นิคิ มีปีกอันมโหฬารที่ลำตัว มีมือหน้าใหญ่ และขาสองข้างที่มีเล็บแหลมคมแข็งแรงอันทรงพลัง พ่นไฟไม่ได้สร้างประตูมิติไม่ได้ แต่แรงกัดมหาศาล ด้วยการที่มันสร้างประตูมิติไปไหนมาไหนไม่ได้ มังกรเผ่าดูราโกจึงนิยมไปอยู่สืบพันธุ์ตามดวงดาวใหญ่ต่างๆมากกว่าจะบินชมแดนอวกาศ




แต่ทว่ามังกรสองเผ่าพันธุ์นี้ไม่ค่อยจะถูกกันเสียเท่าไหร่ ซึ่งเทพเจ้าฟาธอร์มิได้คิดว่ามันจะกัดกันเลย แต่ด้วยความที่พระองค์ทรงรักทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์สร้างขึ้นมาเหมือนลูก จึงปล่อยให้เป็นเรื่องของลูกๆจัดการกัน เพราะพระองค์ก็ได้ทรงมอบอาวุธวิเศษอันล้ำค่าที่สุดให้กับสิ่งมีชีวิตต่างๆเรียบร้อยแล้ว นั่นคือก้อนสมอง พระองค์สร้างสัญชาติญาณเอาตัวรอดเป็นพื้นฐานให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิด เพื่อให้รู้อันตราย(เช่น หน้าผาตรงนี้สูงตกลงไปจะเสียชีวิตประมาณนี้) พระองค์ทรงทำให้หมด เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายสามารถดำรงชีวิตรอดปลอดภัยสืบเผ่าพันธุ์ได้ ดังนั้นเมื่อดวงดาวหรือส่วนไหนในจักรวาลมีเหตุเดือดร้อนใดๆ พระองค์จะไม่ทรงยุ่ง เพราะเทพเจ้าฟาธอร์รักทุกสรรพสิ่งเท่ากันเหมือนพ่อรักลูก และด้วยความเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้ของเทพเจ้าฟาธอร์ พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการสื่อสารกันเป็นอย่างมาก ถ้าหากคุยกันมิรู้เรื่องจะสร้างสัมพันธไมตรีกันได้อย่างไร ด้วยข้อนี้พระองค์ทรงกำหนดจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในจักรวาลที่พระองค์ได้สร้างจากพลังงานเอาไว้ นอกจากสัญชาติญาณเอาตัวรอดที่มีเหมือนกันหมดทุกสรรพสิ่งแล้ว พระองค์ยังทรงให้มีภาษาที่ใช้พูดคุยสื่อสารกันเหมือนกันอีกด้วย ซึ่งอานุภาพของพลังงานจิตวิญญานที่เทพเจ้าฟาธอร์ให้มานั้น สามารถทำได้ ก็ด้วยจิตวิญญาณสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นมาจากที่เดียวกัน คือมาจากการแบ่งพลังงานจิตวิญญาณจากเทพเจ้าฟาธอร์นั่นเอง ภาษาทุกภาษาจึงเป็นภาษาเดียวกันอย่างเป็นธรรมชาติในตัวของมันเองด้วยอานุภาพของพลังงานแห่งพระผู้สร้าง


ต่อมาพระองค์ได้ทรงแบ่งภาคจิตวิญญาณของพระองค์เองเป็นสามดวงใหญ่และมีความเข้มข้นทางพลังงานสูงมาก ดวงจิตสามดวงนั้นก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเทพเจ้ามหาบุรุษสามองค์ (ซึ่งมีความสำคัญมากในโลกไตรภพ)
องค์ที่ ๑ เทพเจ้าธัชรัชธิฟาธาร์
องค์ที่ ๒ เทพเจ้ามิทาร์อลายะ
องค์ที่ ๓ เทพเจ้าดิเอียนโธทานัธ
และเทพเจ้าฟาธอร์ยังทรงแบ่งภาคจิตวิญญาณออกมาอีกหลายดวง เป็นบุรุษสตรีคละเคล้ากันไป แต่ความเข้มข้นของพลังงานไม่เท่าสามองค์แรก ซึ่งเทพเจ้าที่เกิดจากการแบ่งภาคออกมาทีหลังนี้ พระองค์ให้ทรงเรียกว่า เหล่ารูปธรรมชั้นสูง ส่วนเทพเจ้าสามองค์แรกที่มีความเข้มข้นทางพลังงานสูง พระองค์ทรงให้เรียกว่า ตรีสรณะ ซึ่งมีอำนาจในการดูแลสอดส่องทั่วจักรวาลทั้งหมด
ในที่สุดดาวดวงสุดท้ายที่เทพเจ้าฟาธอร์ได้ทรงสร้างนั้น อยู่ในจักรวาลที่ ๔ จากทั้ง ๓๒ จักรวาล ดาวดวงนี้อยู่ในเขตกลุ่มดาวฟาลาไซนัส ซึ่งมีดวงดาวอยู่ในกลุ่มดาวนี้ ๑๘ ดวง ซึ่งก่อนที่เทพเจ้าฟาธอร์จะตัดสินใจสร้างดาวดวงนี้ซึ่งเป็นดาวดวงสุดท้าย พระองค์ได้เล็งเห็นดาวดวงหนึ่งในจักรวาลที่ ๔ ในเขตกลุ่มดาวอาดูล ซึ่งอยู่ข้างๆกลุ่มดาวฟาลาไซนัส ดาวดวงนั้นมีชื่อว่า “วาเรีย” เป็นดาวแห่งยอดนักรบ ซึ่งแต่เดิมก็เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ธรรมดาๆ แต่ด้วยของวิเศษอย่างมันสมองที่เทพเจ้าฟาธอร์ได้มอบไว้ให้ จึงทำให้เกิดการพัฒนามาตลอดจากที่ดำรงชีวิตแบบเดินทางค่ำไหนนอนนั่น จนกระทั่งมีอารยธรรม มีการปกครอง มียศมีศักดิ์ แต่พระองค์ก็ยินดีกับเรื่องนี้ด้วย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ทุกสิ่งก็ย่อมเปลี่ยนไป จากการปกครองดวงดาวของตนกลับกลายเป็นการรุกรานดาวอื่นเผ่าพันธุ์อื่นให้ได้รับความเดือดร้อนด้วยกองทัพมังกรนิคิ สิ่งมีชีวิตแรกแห่งจักรวาล เหตุการณ์ในครั้งนี้เทพเจ้าฟาธอร์จะปล่อยให้จัดการกันเองเสียไม่ได้ เพราะผู้ปกครองแห่งดาววาเรีย(ดาวแห่งยอดนักรบ) เป็นบุตรแห่งไอร์เซ็นจ้าวแห่งน้ำแข็ง ที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้เมื่อกาลนานมาแล้ว(บุตรแห่งไอร์เซ็นเป็นอมตะไม่มีวันตายไม่มีวันแก่ เพราะมีเชื้อสายเทพน้ำแข็งสมัยยุคแรกแห่งจักรวาล) ไม่ว่าใครก็ตามที่สังหารบุตรแห่งไอร์เซ็นได้ จะมีชีวิตอยู่ได้อีกหนึ่งวัน หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นน้ำแข็งไปตลอดกาล ซึ่งไอร์เซ็นได้ให้คำสาปนี้ไว้ เพื่อเป็นการแก้แค้นผู้ที่ฆ่าลูกของตนได้ เป็นการแก้แค้นทางอ้อมนั่นเองเพราะไอร์เซ็นเป็นเทพผู้รักสงบและสันติ(ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้น) แถมองค์เทพเจ้าฟาธอร์เองก็เคยลั่นวาจาสัตย์เป็นการประทานพรแก่บุตรของผู้ปกครองดาววาเรียนั้นอีกด้วย ในตอนนั้นบุตรแห่งผู้ปกครองวาเรียเป็นคนมีคุณธรรมเป็นคนมีใจสันโดษรักสันติและเจ้าตัวผู้ปกครองวาเรียเองก็ดูท่าจะเป็นคนดี เทพเจ้าฟาธอร์จึงได้เบ่งวาจาศักดิ์ศิทธิ์ออกมาว่า “บิดาของเจ้ายิ่งใหญ่และเก่งกาจเพียงไร ข้าขอให้เจ้ายิ่งใหญ่กว่าผู้เป็นบิดาหลายเท่าตัว”
ต่อมาผู้ปกครองดาววาเรียกลับละโมบโลภมากอยากขยายอำนาจ อย่างที่กล่าวไว้ว่าถ้าหากใครสังหารบุตรแห่งไอร์เซ็นได้จะต้องตายตามไปด้วย ซึ่งจ้าววาเรียคนนี้ก็เก่งมากๆ แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้น มีมหาบุรุษจากดวงดาวที่ยิ่งใหญ่ดวงหนึ่ง เป็นคนสังหารผู้ปกครองดาววาเรียที่เก่งกาจลงได้ด้วยดาบที่มีพลังงานบริสุทธิ์สูงมากๆ แต่เรื่องนั้นยังไม่เลวร้ายพอ เพราะยังมีสายเลือดแห่งไอร์เซ็นอยู่ นั่นคือบุตรชายแท้ๆของผู้ปกครองดาววาเรียที่ถูกสังหารไป แถมยังมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์กว่าผู้เป็นบิดาอีกด้วย(ด้วยอานุภาพพรของเทพเจ้าฟาธอร์) ความแค้นความเจ็บปวดมันบ่มเพาะอยู่ในใจลูกชายคนนี้ที่มีต่อมหาบุรุษผู้สังหารบิดาของเขา ด้วยเหตุเพราะมหาบุรุษผู้เก่งกาจที่สังหารผู้ปกครองวาเรียได้ในตอนนั้น ได้กลายเป็นน้ำแข็งไปตลอดกาลเรียบร้อย แล้วถูกชาวดาวของเขานำพาไปฝังยังที่ที่ปลอดภัย ซึ่งตนนั้นไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน จึงได้พาลยกทัพรุกรานไปทั่วทุกดวงดาว คมอาวุธที่ตีมาจากแร่ธาตุชั้นดีดื่มเลือดดื่มเนื้อทุกคนที่ถูกฟาดฟัน จนสุดท้ายด้วยความเก่งกาจมากๆของคนลูกนั้น เขาได้กลายเป็นจักรพรรดิ์ราชาแห่งจักรวาลที่ ๔ ทั้งหมด ในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี เขาเก่งและน่าเกรงขามขนาดที่ว่าแค่บอกว่าจะไปยึดกลุ่มดาวนั้นกลุ่มดาวนี้ เพียงแค่กล่าวเท่านั้น กองทัพยังมิทันได้เตรียมการ กลุ่มดาวทั้งหลายที่ถูกพูดถึงก็ยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี นี่คือผู้มีบารมีและอำนาจอย่างแท้จริง(ตัวเทพเจ้าฟาธอร์เองรู้สึกว่าได้ทำเรื่องผิดพลาดอย่างร้ายแรง)
ด้วยเหตุนี้เทพเจ้าฟาธอร์จึงทรงสร้างดวงดาวดวงสุดท้ายขึ้นมา พระองค์วางตำแหน่งดาวให้อยู่ห่างจากดาวอื่นพอสมควร เพื่อป้องกันทหารตรวจตราที่คอยขี่มังกรนิคิมาสอดส่องดวงดาวตามที่ต่างๆ เมื่อเทพเจ้าฟาธอร์สร้างดาวดวงนี้เสร็จ ทรงให้สมญานามว่า “ไตรภพ โลกสามแผ่นดิน”โดยใส่ความสำนึกรู้ได้ด้วยตนเองให้กับมนุษย์ยุคแรกของไตรภพ มนุษย์ยุคนั้นจึงเรียกโลกที่ตนอยู่ว่าไตรภพด้วยความสำนึกรู้โดยธรรมชาติซึ่งเทพเจ้าฟาธอร์ทรงต้องการให้มีชื่อเช่นนั้นนั่นเอง พระองค์กำหนดลักษณะดาวดวงนี้ให้มีแผ่นดินอยู่สามส่วน ยาววนบรรจบกัน(นึกภาพลูกโลกที่มีวงแหวนพาดวงเป็นแผ่นดินสามวง ซ้าย กลาง ขวา) ที่พระองค์ทรงแบ่งแผ่นดินแยกออกจากกันเพราะพระองค์ปรารถนาจะให้เทพตรีสรณะ ลงไปสร้างระเบียบสร้างอารยะเอง แล้วเพื่อจะได้อยู่ห่างกันอยู่ต่างแผ่นดินกัน เรียนรู้ประสบการณ์คนละแบบกัน เทพเจ้าฟาธอร์สร้างไตรภพเสร็จก็หาให้เทพตรีสรณะอวตารลงไปเกิดเป็นมนุษย์บนดาวดวงนั้นเลยไม่ พระองค์ทรงรอให้มนุษย์ที่ทรงสร้างบนดาวไตรภพนี้ได้ดำรงชีวิตกันไปก่อน เพื่อที่เมื่อถึงเวลาอันสมควรเทพตรีสรณะทั้งสามที่ลงไปเกิดเป็นมนุษย์จะได้มีความรู้ในการเอาตัวรอดกับสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศจากผู้เฒ่าผู้แก่หรือบรรพบุรุษที่อาศัยอยู่ก่อนแล้วในไตรภพนั่นเอง
จนในที่สุดเมื่อใกล้เวลาอันเหมะสม เทพเจ้าฟาธอร์ได้ส่งเทพสตรีรูปธรรมชั้นสูง อวตารลงไปเกิดเป็นนักพยากรณ์ เพื่อไปทำหน้าที่บอกถึงเหตุการมาของเทพตรีสรณะให้ชาวไตรภพได้รับรู้ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม เทพเจ้าฟาธอร์ทรงวางแผนอย่างแยบยล พระองค์ให้เทพตรีสรณะไปจุติเกิดก่อนเพื่อสร้างอารยธรรม ซึ่งบางช่วงพระองค์จำต้องส่งรูปธรรมชั้นสูงซึ่งเป็นเทพสตรีผู้กล้าหาญลงไปช่วยด้วย เพื่อให้ไตรภพเกิดอารยธรรมขึ้นอย่างก้าวกระโดด แล้วส่วนตัวพระองค์เทพเจ้าฟาธอร์นั้นจะอวตารลงไปเกิดภายหลังเพื่อรวมอารยธรรมทั้งสามแผ่นดินเข้าด้วยกัน พร้อมกับรูปธรรมชั้นสูงซึ่งเป็นบุรุษ(จะมีบทบาทสำคัญในอนาคตซึ่งถูกใส่รหัสทางจิตวิญญาณ(พันธสัญญา) ให้ทำหน้าที่สำคัญ คือนำภัยจากวาเรียมาสู่ไตรภพ) พระองค์ทรงวางแผนครั้งนี้ด้วยเป้าหมายเดียวคือดับชีวิตสายเลือดแห่งไอร์เซ็นผู้นั้น ไม่เช่นนั้นจักรวาลทั้ง ๓๒ จักรวาลที่อยู่กันอย่างสันติ จะต้องได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าทุกดวงดาวไปด้วย…



“ข้าผู้เป็นพ่อของทุกสรรพสิ่ง ข้าจำต้องทำเพื่อหยุดลูกคนนี้ ข้าต้องลืมว่าข้าเป็นใคร
มาจากไหน เกิดมาทำไม ข้าต้องใช้ชีวิตที่ซึ่งแม้ตัวข้าเองก็หารู้ได้ว่าจะไปในทิศทางใด ข้าได้แต่หวังว่ารหัสที่ใส่ไว้ในจิตวิญญาณและพละกำลังในกายมนุษย์นี้ จะทำให้ตัวข้าทำหน้าที่ดั่งที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ”