เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา
-
6th December 2011 14:01
#1
-
รายชื่อสมาชิกจำนวน 62 คนที่กล่าวขอบคุณ:
Ahh..oW!!, avatar01, azuthra, Baramyu, centseroth, chaiwat19, classdragon, Daisuke, DeaThlz-, donlawit123, earth2834, EvilSoul, gosol, grandfajo, GuJokE, guntapon191, heresy, HISMAN, IIIusioN, j2547, jamejame022, jojo-nomercy, KaiserEmperoR, KEVIN369, ko555555, l3allmon, lanlanla, lionhearts, lnwfps, Loliese, lstkom78, lvloup, M40A3, maksilver, MaRiO, markza03, meganame, Miss, Mozart, Neotridagger, non16455, nonavailable, nookza86, onalovejung, PassT_T, pingpong444, popking22, Rebellion of angels, safeza00, sahasin1, seabook4, SRMB, thqthq, Tiair, tumbamboo555, TumFeNix, ukzeroooo, unlocked, YcF, zerohour, ZoMBiE_K
-
6th December 2011 14:01
#2
เผ่าต่างๆใน The Elder Scroll
เผ่าต่างๆในเกมจะประกอบไปด้วยชนเผ่าทั้งหมด 9 เผ่าด้วยกัน (ความจริงมีมากกว่านี้ครับ แต่ขอนำเสนอแค่เผ่าที่เราได้เล่นจริงๆละกันเนาะ) ดังต่อไปนี้ครับ
เผ่ามนุษย์
Nord เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Skyrim มีรูปร่างสูงใหญ่ ชื่นชอบความครื้นเครง การดื่มเหล้า และการต่อสู้ โดยส่วนมากแล้วชาว Nord จะมีความคุ้นเคยกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของ Skyrim และชาว Nord ส่วนใหญ่มักจะชื่อชอบการจัดการปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นการประลองกันด้วยหมัดและอื่นๆ โดยชาว Nord นั้นจะมีความยึดติดกับประเพณีโบราณของตนเองมาก เช่น การนับถือเทพเจ้าของตนและอื่นๆ
Imperial เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Cyrodiil มีรูปร่างปกติ ชอบการจัดการ ความเป็นระบบ และการใช้กฎหมายต่างๆ โดยชาว Imperial นั้นมักจะมีการแต่งตั้งระบบเจ้าขุนมูลนายต่างๆ ซึ่งเปรียบได้กับระบบปกครองของยุคโรมันโบราณในโลกเรา เพราะฉะนั้นชาว Imperial จึงมักจะมีการวางกฎเกณฑ์ต่างๆเอาไว้อย่างชัดเจน และการดำเนินการต่างๆอย่างเป็นระบบ โดยมักจะมีชาว Imperial บางกลุ่มที่เกิดในตระกูลขุนนาง มักจะมีสิทธิมากกว่าคนทั่วไป
Breton เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน High Rock มีรูปร่างเล็ก และมีความสามารถทางด้านการใช้เวทย์มนต์สูงที่สุดในบรรดาเผ่ามนุษย์ด้วยกัน ชาว Breton นั้นบางส่วนชอบลักษณะความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย แต่โดนส่วนใหญ่แล้วชาว Breton จะชอบศึกษาเวทย์มนต์ และยังชอบเรื่องของการเมือง การจัดการในระบบการเมืองต่างๆ ทั้งระบบขุนนาง และระบบอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ชาว Breton มักจะมองว่าตัวเองคือผู้คิดค้นระบบการเมืองทั้งหมดซึ่งภายหลังถูกต่อยอดมาใช้ในจักรวรรดิ์
Redguard เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Hammerfell มีรูปร่างสัดทัด ผิวคล้ำ และมีความสามารถทางการต่อสู้สูง ชาว Redguard มักจะประกอบอาชีพเป็นทหารรับจ้าง นักรบ หรือพวกว่าจ้างทำงานอิสระ เนื่องจากมีทักษะทางการรบที่สูง และถูกมองว่าเป็นเผ่าที่มีความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าชาว Nord เลยทีเดียว และยังมีความว่องไวและความสามารถในการต้านทานยาพิษต่างๆ จึงไม่แปลที่ชาว Redguard สามารถทำงานอันตรายต่างๆได้มากมาย
เผ่าเอลฟ์
High Elf หรือ Altmer เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Summerset Isle และเป็นชนชาวเอลฟ์ที่มองว่าตนเองอยู่เหนือกว่าเผ่าอื่นทั้งหมด ชาว High Elf จะมีรูปร่างสูง แต่เพรียวบาง และมีอำนาจเวทย์มนต์ที่แกร่งกล้ากว่าเผ่าอื่นๆ ชาว High Elf นั้นมักจะไม่ชอบสุงสิงกับชนเผ่าอื่นๆมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากมองว่าตนเองมีฐานะที่ดีกว่า และไม่ยอมรับการปกครองของมนุษย์ ทำให้ชาว High Elf ส่วนมากที่อาศัยในอาณาจักรอื่นๆที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตน มักจะไม่ชอบยุ่งกับผู้อื่นนอกจากชาว High Elf ด้วยกัน
Wood Elf หรือ Bosmer เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Valenwood เป็นชนเผ่าเอลฟ์ที่มีรูปร่างเล็ก และชอบอาศัยอยู่ในป่า มักจะอาศัยอยู่ในบ้านตามต้นไม้สูงขนาดใหญ่ ชาว Wood Elf ด้วยความที่มีรูปร่างเล็ก จึงมีลักษณะที่ว่องไว มีความชื่นชอบในการล่าสัตว์เป็นที่สุด และสามารถใช้เวทย์มนต์ได้ดี ตามลักษณะพื้นฐานของชาวเอลฟ์ แต่ด้วยความที่รูปร่างเล็ก ชาว Wood Elf จึงมักถูกดูแคลนจากชนเผ่าอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามาอาศัยในดินแดนอื่นๆที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตน
Dark Elf หรือ Dummer เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Morrowind เป็นชนเผ่าเอลฟ์ที่มีผิวสีเทาและมีดวงตาสีแดงเนื่องจากถูกสาปโดย Azura เป็นชาวเผ่าที่มีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มาก และมีลักษณะความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ชอบสุงสิงกับชาวเผ่าอื่น ชาว Dark Elf สามารถต่อสู้ได้ด้วยทั้งอาวุธและเวทย์มนต์ และมีความสามารถในการขอความช่วยเหลือจากวิญญาณของบรรพบุรุษเพื่อให้มาช่วยเหลือในยามคับขันได้
Orc เป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ตามป้อมปราการต่างๆ แม้จะไม่มีดินแดนของตนเองเหมือนเผ่าอื่นๆ แต่ชาว Orc ก็มีบ้านเกิดหลักอยู่ที่ดินแดนชื่อ Orsinium โดยชาว Orc มองว่าตนเองเป็นลูกหลานของ Daedric Prince นามว่า Malacath และใช้ชีวิตตามคำสอนของ Malacath มาโดยตลอด โดยพวกชาว Orc จะมีร่างกายใหญ่ และมีพละกำลังมาก ในขณะที่ Orc บางคนก็มีอำนาจเวทย์มนต์ด้วย
เผ่าสัตว์
Argonian เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Black Mash มีลักษณะของกิ้งก่าอยู่ในตัว ชาว Argonian มีความสามารถในการอาศัยในน้ำได้และยังมีความสามารถทางการรบสูง ทำให้ชาว Argonian มักชื่นชอบการทำงานริมน้ำ ดังจะเห็นได้จากการที่พวกเขามักหางานทำในแถบเมืองท่าเป็นสำคัญ ชาว Argonian มักถูกล่าโดย Dark Elf เพื่อนำไปเป็นทาสมายาวนาน ทำให้ชาว Argonian มีความเกลียดชังชาว Dark Elf มากเป็นพิเศษ
Khajiit เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Elsweyr และมีลักษณะของแมวอยู่ในตัว ชาว Khajiit มี่ทั้งความฉลาดและความว่องไวมากกว่าเผ่าอื่นๆ ทำให้ชาว Khajiit มักจะประกอบอาชีพที่ต้องใช้ความเร็วหรือความเงียบเป็นสำคัญ ชาว Khajiit มีความสามารถในการมองเห็นในที่มืดได้ และสามารถต่อสู้ได้ด้วยเล็บของตัวเอง แม้จะไม่มีอาวุธก็ตาม ด้วยความที่ชาว Khajiit มักจะชื่นชอบงานที่ต้องใช้ความเร็วและความเงียบ ชาว Khajiit จึงมักถูกมองว่าเป็นพวกหัวขโมยในสายตาคนชาวเผ่าอื่นเสมอ
นอกจากชนเผ่าต่างๆแล้วในโลกของ The Elder Scroll ยังมีทั้งเหล่าเทพ (Aedra) และเหล่าเทพอสูร (Daedra) อยู่อีกด้วยครับ
เทพทั้ง 9
เทพทั้ง 9 เป็นเหล่าเทพที่ถูกบูชาโดยชาว Tamriel มานาน แม้ว่าในหลายๆท้องที่จะมีการใช้ชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปลักษณะของเทพแต่ละองค์จะเหมือนกันครับ
Akatosh เป็นผู้นำของเหล่าทวยเทพทั้งหมด มักจะปรากฎตัวและถูกบูชาในรูปของมังกร ถูกมองว่าเป็นเทพเจ้าแห่งเวลา และเป็นเทพองค์แรกที่ถือกำเนิดขึ้นในจักรวาล
Dibella เป็นเทพเจ้าแห่งความงาม กลุ่มผู้ที่บูชาเธอมักจะเป็นหญิง และลัทธิต่างๆมักจะมีวิธีการบูชาเธอที่มักจะข้องเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ
Arkay เป็นเทพเจ้าแห่งความตาย และมักจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ในเรื่องของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
Zenithar เป็นเทพเจ้าแห่งการงาน การค้า ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ซึ่งผู้ที่บูชา Zenithar มักจะต้องมีความซื่อสัตย์ในการค้าและการแลกเปลี่ยนต่างๆ
Stendarr เป็นเทพแห่งความเที่ยงธรรม ความถูกต้อง กลุ่มผูุ้ที่บูชาเทพองค์นี้ มักจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อกำจัดความชั่ว และช่วยเหลือคนดี
Mara เป็นเทพแห่งความรัก มิตรภาพ และความเห็นอกเห็นใจ มักจะเข้ามาข้องเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ในเรื่องเกี่ยวกับความรัก
Kynareth เป็นเทพเจ้าแห่งธรรมชาติ และถูกมองว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ทุกอย่างในธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งพืชและสัตว์
Julianos เป็นเทพเจ้าแห่งการคำนวน กฎหมาย ประวัติศาสตร์ และเวทย์มนต์ มักจะถูกบูชาโดยเหล่าจอมเวทย์ทั้งหลาย
Talos เป็นเทพเจ้าเพียงองค์เดียวที่ในอดีตเคยเป็นคนมาก่อน ในสมัยเป็นคนเขาคือ Tiber Septim ผู้สถาปณาจักรวรรดิ์ Tamriel และมีนักรบชาว Nord ที่มีชื่อเสียงที่สุด
เทพอสูรทั้ง 16
นอกจากเหล่าเทพแล้วยังมีเหล่า Daedra ซึ่งมีผู้นำคือ Daedric Prince ดังข้อมูลต่อไปนี้
Daedric Princes คือเหล่า Daedra ที่มีพลังอำนาจมากที่สุด (Daedra คือ พวกสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อาศัยอยู่ใน Oblivion หรือโลกอื่นๆที่ไม่ใช่โลกของ Nirn ทั้งหมด) ด้วยความที่มีอำนาจมากเหลือล้น คนส่วนมากเลยมักจะบูชา Daedric Princes ราวกับเป็นพระเจ้า (อ้างจากภาค 3 จะเห็นว่าชาว Dark Elf แต่โบราณจะบูชา Daedric Princes แทนพระเจ้า ก่อนที่วัดแห่งไตรเทพ (Tribunal Temple) จะเข้ามามีบทบาทแทน) ส่วนของ Daedric Princes (หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆในภาษาไทยเรา น่าจะคล้ายกับเทพอสูรที่สุด) จะมีโลกของตัวเอง และแม้ Daedric Princes จะปรากฎกายในร่างของผู้หญิงบางครั้ง โดยทั่วไปแล้ว Daedric Princes จะไม่มีการแบ่งแยกเพศชายหญิงแต่อย่างใด
Daedric Princes มักจะไม่สนใจเรื่องคุณธรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความดี ความเลว ทำให้พวก Daedric Princes มักจะชอบเข้ามายุ่งกับเรื่องราวของมนุษย์เพื่อความพอใจของตัวเองอยู่เป็นประจำ ทำให้การกระทำของ Daedric Princes ที่ติดต่อกับมนุษย์ในโลกนั้นมักจะมีผลกระทบตามมาเสมอและโดยส่วนมากจะไม่ใช่ผลที่ดีเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นไม่ใช่ Daedric Princes ทุกตนที่จะถูกมองว่าเลวร้ายไปซะทุกอย่าง Daedric Princes บางตนเองก็มีส่วนดีและคอยช่วยเหลือมนุษย์อยู่ไม่น้อย เช่น Azura ซึ่งมีส่วนช่วยเหลือตัวเอกในภาค 3 ไม่น้อยและยังเป็นผู้ทำให้คำพยากรณ์ของ Neverine (ตัวเอกในภาค 3) เป็นจริงขึ้นมา หรือ Meridia ที่เกลียดชังอันเดธทุกประเภทและให้ความช่วยเหลือมนุษย์ในการจัดการกับอันเดธ เป็นต้น
Azura เป็น Daedric Prince แห่งรุ่งอรุณและยานตะวันคล้อย (เอ่อ... ผมนึกศัพท์ภาษาไทยไม่ออก เอาตามนี้ละกันนะ) เป็นเจ้าแห่งโลก Moonshadow มักจะถูกเรียกขานกันว่า ราชินีแห่งรุ่งอรุณและยานตะวันคล้อย มารดาแห่งกลีบกุหลาบ ราชินีแห่งท้องฟ้าราตรี และเป็น Daedric Prince เพียงไม่กี่ตนที่ถูกมองว่าอยู่ฝ่ายดีและแสดงความเป็นห่วงเหล่าผู้ที่บูชาเธอมากกว่า Daedric Prince ตนอื่นๆ แม้ว่า Azura จะไม่ได้ชอบสร้างความวุ่นวายในโลก แต่ทุกๆครั้งที่เธอเข้ามาแทรกแซงในเหตุการณ์ใดๆก็ตาม มักจะนำมาซึ่งเหตุการณ์ใหญ่ๆเสมอ (เช่น คำพยากรณ์ Neverine ในภาค 3 เป็นต้น)
สมบัติประจำตัว Azura Star
Boethiah เป็น Daedric Prince แห่งแผนซ่อนเร้น การหักหลัง การฆาตกรรม การลอบสังหารและการทรยศทั้งหลาย หลายครั้งที่เขาจะเข้ามาแทรกแซง สร้างความบาดหมาง การหักหลัง ทรยศในหมู่เพื่อนพ้องทั้งมนุษย์และเอลฟ์
สมบัติประจำตัว Ebony Mail
Clavicus Vile เป็น Daedric Prince แห่งอำนาจ ความปราถนา และการทำสัญญา มักจะปรากฎตัวพร้อมสุนัขคู่ใจ Barbas (หมาพููดได้ในภาคนี้นั่นแหละ) มักจะทำสัญญาต่างๆกับมนุษย์และให้คำสัญญาต่างๆไม่ว่าจะเป็น อำนาจ ความร่ำรวย ซึ่งผู้ที่ทำสัญญากับเขามักจะต้องเสียใจทุกรายไป
สมบัติประจำตัว Masque of Clavicus Vile
Hermaeus Mora เป็น Daedric Prince แห่งโชคชะตา อดีต ปัจจุบัน และอนาคต และเป็น Daedric Prince เก็บรวบรวมแหล่งความรู้อันไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ในโลกของตัวเอง ว่ากันว่าหนังสือมารที่ลัทธิ Mystic Dawn นำมาใช้ในช่วงเหตุการณ์ภาคที่ 4 ถูกเขียนขึ้นโดยเขานี่เอง
สมบัติประจำตัว Oghma Infinium
Hircine เป็น Daedric Prince แห่งการล่า การถูกล่า และถือเป็นบิดาแห่งนักล่าทั้งหมด ว่ากันว่าเขานี่เองที่เป็นคนสร้างเชื้อมนุษย์หมาป่าเข้าสู่โลกนี้ เพื่อทำให้คนธรรมดากลายเป็นนักล่าเพื่อความสนุกของเขา เมื่อถึงคราวที่ใครทำให้เขาไม่พอใจ Hircine จะอัญเชิญ Bloodmoon (อ้างถึงใน The Elder Scroll 3 ภาคเสริมชื่อ Bloodmoon) เพื่อสร้างสนามสำหรับการล่าขนาดใหญ่ เพื่อกำจัดเหยื่อของเขา
สมบัติประจำตัว Savior's Hide, Ring of Hircine
Malacath เป็น Daedric Prince แห่งคำสาป และคำสาบาน ตัวเขาถูกมองว่าเป็นผู้ให้กำเนิดเผ่า Orc ทั้งหมด และได้รับการนับถือจากเผ่า Orc อย่างมาก แม้ว่า Daedric Prince ตนอื่นๆจะไม่มองเขาเป็น 1 ใน Daedric Prince ก็ตาม
สมบัติประจำตัว Volendrung
Mehrunes Dagon เป็น Daedric Prince แห่งการทำลายล้าง การเปลี่ยนแปลง การปฎิวัติและความทะเยอทะยาน ว่ากันว่าเขาเป็นผู้นำมาหายนะ ภัยพิบัติต่างๆมาสู่โลก ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟป่าและอื่นๆ เขาคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ Oblivion Crisis เมื่อ 200 ปีที่ผ่านมานั่นเอง (ใครเล่นภาค 4 คงจะได้ฉะกับเจ้านี่ไปแล้วแน่ๆ)
สมบัติประจำตัว Mehrunes Razor
Mephala เป็น Daedric Prince แห่งการชักใย เป็นผู้ที่มักจะปรากฎตัวให้มนุษย์เห็นทั้งในคราบของชายและหญิง มักจะคอยสร้างความร้าวฉานในหมู่มนุษย์ และมีความสุขที่ได้เห็นเพื่อนรักเข่นฆ่ากันเอง ว่ากันว่า Sithis ที่ Dark Brotherhood บูชานั้น อาจจะเป็นอีกร่างหนึ่งของ Mephala ก็ได้
สมบัติประจำตัว Ebony Blade
Meridia เป็น Daedric Prince ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังของชีวิต และเป็น Daedric Prince เพียงไม่กี่ตนที่ถูกมองว่าอยู่ฝ่ายดี โดยเธอเกลียดชังอันเดธในทุกๆรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์ ซอมบี้ และอื่นๆ ตัวเธอเคยมีส่วนช่วยเหลือตัวเอกในภาค 2 (Daggerfall) มาก่อนด้วย และเธอพร้อมจะตบรางวัลอย่างงามให้แก่มนุษย์ทุกคนที่รับใช้เธอและช่วยเธอทำลายล้างพวกอันเดธให้สิ้นซาก
สมบัติประจำตัว Dawnstar, Ring of Meridia
Molag Bal เป็น Daedric Prince แห่งการครอบงำและการกักขัง มีความสุขในการรวบรวมวิญญาณของมนุษย์และเข้าครอบงำจิตใจของอริให้ยอมเป็นทาสรับใช้ของเขา มักจะให้มนุษย์ที่บูชาเขารับใช้เขาโดยการทำลายจิตวิญญาณของคนดีเพื่อความสนุกของตัวเอง
สมบัติประจำตัว Mace of Molag Bal
Namira เป็น Daedric Prince แห่งความมืด เป็นผู้ที่คอยควบคุมสิ่งมีชีวิตในโลกแห่งวิญญาณ ผู้ที่บูชาเธอมักจะชอบที่จะอาศัยอยู่กับความมืด นอกจากนั้นเธอยังเกลียดชังทุกคนที่คิดจะยื่นมือเข้ามา "ช่วยเหลือ" ผู้ที่บูชาเธอให้ออกจากความมืดอีกด้วย
สมบัติประจำตัว Ring of Namira
Nocturnal เป็น Daedric Prince แห่งเงา ราตรี และเป็น Daedric Prince ที่ถูกบูชาโดย Thieve Guild มาแต่โบราณ เธอเป็น Daedric Prince ที่อาศัยอยู่ในโลกชื่อ Evergloam ในภาคนี้เราจะได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเธอมากขึ้นผ่านเควสของ Thieve Guild ว่าความจริงแล้ว Nocturnal มีกลุ่มผู้ภักดีพิเศษที่คอยรับใช้เธออยู่ตั้งแต่ยุคโบราณ
สมบัติประจำตัว Skeleton Key
Peryite เป็น Daedric Prince แห่งหน้าที่และลำดับ และถูกมองว่าเป็น Daedric Prince ที่มีอำนาจน้อยที่สุดในบรรดา Daedric Prince ทั้ง 16 ตนแม้จะเลือกปรากฎตัวให้มนุษย์เห็นในร่างมังกรก็ตาม เขามักจะชื่นชอบที่เห็นทุกสิ่งถูกทำอย่างเป็นระบบระเบียบ และสะอาดหมดจดที่สุด
สมบัติประจำตัว Spellbreaker
Sanguine เป็น Daedric Prince แห่งความครื้นเครง อารมณ์ และความปราศถนา เขามักจะเข้ามาเล่นกับชีวิตของมนุษย์โดยการก่อให้เกิดเรื่องราวครื้นเครงต่างๆขึ้น ซึ่งส่วนมากมักจะไม่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ แม้บางคนจะมองว่าเขาอาจอยู่ฝ่ายดี แต่หลายครั้งที่การชักจูงของเขาก็นำไปสู่การละเลงเลือดขึ้น
สมบัติประจำตัว Sanguine Rose
Sheogorath เป็น Daedric Prince แห่งความบ้าคลั่ง โดยเขามีโลกของตัวเองอยู่ที่ Shivering Isles (ใครเล่นภาคเสริมนี้ของภาค 4 คงคุ้นเคยกับเขาดีนะครับ) ตัวเขามักจะปรากฎตัวในร่างของชายแก่ถือไม้เท้า และมักจะชอบนำพาความบ้าคลั่งมาสู่มนุษย์ ว่ากันว่า Sheogorath นั้นมีวิญญาณของ Daedric Prince 2 ตนอยู่ในร่างเดียว 1 คือ Daedric Prince แห่งความบ้าคลั่ง Sheogorath และอีก 1 คือ Jyggalag ซึ่ง Jyggalag ถือเป็นตัวตนที่แท้จริงของ Sheogorath ในขณะที่ Sheogorath เป็นตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ครั้งอดีตที่ Jyggalag โดน Daedric Prince ตนอื่นสาปเนื่องจากมีพลังมากเกินไป หลังเหตุการณ์ในภาค 4 Sheogorath กับ Jyggalag ได้แยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ Jyggalag ตัวจริงท่องไปในโลกต่างๆของ Oblivion เพื่อหมายจะสร้างอำนาจให้ตัวเองอีกครั้ง ส่วนตัวเอกในภาค 4 รับตำแหน่ง Sheogorath มาแทน 200 ปีให้หลัง Sheogorath ที่คุณพบในภาค 5 เขาก็คือตัวเอกในภาค 4 นั่นเอง (ตรงนี้เป็นทฤษฎีนะครับ เพราะ Sheogorath บอกว่าตัวเขามีส่วนร่วมกับ Oblivion Crisis เป็นอย่างดี และเขารู้จัก Martin Septim ดี ทั้งๆที่ Sheogorath คนเดิมไม่ได้เข้าไปเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย เพราะงั้น Sheogorath ที่เราเจอในภาคนี้ก็คือตัวเอกของภาค 4 ที่รับอำนาจของ Sheogorath คนเก่ามา จนทั้งนิสัย รูปร่างและเสียงเปลี่ยนไปนั่นเอง )
สมบัติประจำตัว Wabbajack, Staff of Sheogorath
Vaermina เป็น Daedric Prince แห่งฝันร้ายและลางร้าย เธอเป็นผู้ที่มักจะสร้างฝันร้ายให้กับมนุษย์ และมีการกล่าวกันว่า ทุกครั้งที่มนุษย์ฝันร้าย มนุษย์ได้ก้าวเข้าไปสู่โลกของเธอแล้ว เธอมีพลังอำนาจที่สามารถควบคุมวิญญาณผ่านฝันร้ายได้
สมบัติประจำตัว Skull of Corruption
นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆอีก ที่แยกย่อยออกมาจากกลุ่มดังกล่าว ได้แก่
Vampire เป็นสิ่งมีชีวิตยามราตรีที่ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการดื่มเลือดจากสิ่งมีชีวิตอื่นเท่านั้น แวมไพร์จะสามารถคงสภาพของตนเองได้ตราบเท่าที่ได้ดื่มเลือดสดๆเสมอ และยังสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ แวมไพร์จะมีลักษณะที่แตกต่างไปจากคนทั่วไปเพียงเล็กน้อย แต่จะมีกำลัง ความสามารถที่สูงกว่าคนทั่วไป นอกจากนั้นผู้ที่กลายเป็นแวมไพร์ยังจะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตายจากการแก่เถ้าหรือโรคร้ายอีกด้วย
Werewolf เป็นครึ่งคนครึ่งหมาป่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่พบเห็นมากใน Skyrim และถูกสร้างขึ้นมาโดย Hircine โดยทั่วไปมักจะอยู่ในร่างคนธรรมดาและสามารถใช้ชีวิตปกติได้ แต่ในยามค่ำคืน มักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าออกหากิน มีสัญชาตญาณในการล่าสูง แต่มักจะถูกล่าจากกลุ่มที่เกลียดชังมนุษย์หมาป่ามากๆ
Scoop พิเศษ Dwemer และสิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้
Dwemer เป็นเผ่าเอลฟ์ที่ตั้งรถรากอยู่ส่วนมากในแถบ Morrowind, Hammergell, High Rock และก็ Skyrim โดยเฉพาะบนเกาะ Vvardenfell ในช่วงยุคที่ 1 ถือว่าเป็นเผ่าที่มีอารยธรรมทั้งเวทย์มนต์และเทคโนโลยีก้าวหน้าที่สุดในโลก สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำยุคไว้มากมาย โดยชาวจักรวรรดิ์มักจะเรียกพวกเขาว่า Dwarves
ชาว Dwemer เป็นพวกนักคิดและนักเหตุผล เพราะฉะนั้น Dwemer จะตรงกันข้ามกับเผ่าอื่นๆทุกเผ่าที่ยังเชื่อในไสยศาสตร์และยังบูชาเทพและเทพอสูรอยู่ เพราะ Dwemer ไม่เชื่อในเทพ แต่เชื่อในพลังแห่งวิทยาศาสตร์เท่านั้น ผลงานประดิษฐ์ที่สำคัญๆของ Dwemer มีตั้งแต่การสร้างโกเล็มที่ขับเคลื่อนด้วยพลังเวทย์และเทคโนโลยี ไปจนถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย
ชาว Dwemer ใน Vvardenfell ทำสงครามกับเผ่า Chimer (เผ่า Dark Elf หรือ Dummer ในสมัยโบราณก่อนที่จะโดนสาปให้ผิวสีเทา ตาสีแดง) มานาน จนกระทั่ง Nord ยกพลมาบุกเกาะ Vvardenfell ทั้ง 2 เผ่าเลยผูกมิตรกันขับไล่ Nord ออกไปได้ หลังสงครามจบเลยสถาปณาสภาสูง Resdayn ขึ้น และใช้ชื่อนั้นเป็นชื่อประเทศมาตลอด โดยตอนหลังชื่อ Resdayn โดนเปลี่ยนเป็น Morrowind หลังจากประเทศนี้เข้าร่วมกับจักรวรรดิ์ Tamriel
Dwemer กับ Chimer ถึงจะเป็นมิตรกัน แต่ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรม ประชาชนของทั้งสองเลยกระทบกระทั่งกันบ่อยๆ ที่ยังรักษาสันติได้ก็เพียงเพราะผู้นำของทั้งสองฝ่ายเป็นเพื่อนรักกันเท่านั้น โดยตอนนั้นผู้นำของ Dwemer คือ กษัตริย์ Dumac Dwarfking โดยมี Kagrenac นักประดิษฐ์และนักเวทอัจฉริยะเป็นที่ปรึกษา ส่วนฝ่าย Chimer มีนายพล Indoril Nerevar แห่งตระกูล Indoril เป็นผู้นำโดยมี Almalexia เป็นภรรยา Vivec เป็นแม่ทัพ Sotha Sil เป็นที่ปรึกษาและ Voryn Dagoth เป็นเพื่อนสนิท ความสัมพันธ์ที่เปราะบางของทั้งสองเผ่าดำเนินไปหลายร้อยปี
จนวันหนึ่ง ฝ่าย Chimer พบว่า Dwemer นำโดย Kagrenac พยายามทดลองใช้อำนาจของพระเจ้าทำให้เผ่าตนก้าวข้ามความเป็นความตาย โดยใช้หัวใจของ Lorkhan หนึ่งในเทพยุคโบราณเป็นเครื่องมือ Nerevar รู้เรื่องนี้เข้าเลยรุดหน้าไปถาม Dumac แต่ Dumac ไม่รู้เรื่องนี้กลับปฎิเสธเสียงแข็ง สุดท้ายทำให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายเปิดสงครามกัน ซึ่งสงครามจบลงที่ฝ่าย Chimer ล้อมกรอบทัพของ Dwemer เอาไว้ที่ภูเขาไฟ Red Mountain สุดท้าย Dumac รู้ความจริงว่า Kagrenac แอบทำการทดลองลับจริงๆ แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว เขาเลยสู้กับ Nerevar จนตัวตาย ส่วน Kagrenac เองก็ได้ทำการทดลองบางอย่างโดยใช้พลังของหัวใจของ Lorkhan ผลที่ตามมาคือ ชาว Dwemer ทั้งหมดใน Tamriel หายตัวไปอย่างลึกลับอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาหายไปไหน และชาว Dwemer ก็หายสาปสูญไปอย่างไม่มีสาเหตุที่ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจนจนถึงตอนนี้ มีหลายๆทฤษฎีบอกว่า Dwemer อาจจะถูกลงโทษจากการพยายามใช้พลังของพระเจ้า บางส่วนบอกว่า Dwemer อาจจะถูกส่งไปอยู่ยังดินแดนที่ไม่มีใครค้นพบ หรืออาจจะไปอยู่ในโลก Oblivion ที่ไหนซักแห่งก็ได้
หลังจากเผ่า Dwemer หายไปหมดแล้ว หัวใจของ Lorkhan และสิ่งประดิษฐ์ทุกอย่างของ Dwemer กลับเหลือทิ้งไว้ Nerevar ที่กำลังเสียใจอย่างหนักที่ต้องทำสงครามกับเพื่อนรักอย่าง Dumac จนตายกันไปข้าง Nerevar เลยให้ Voryn Dagoth เป็นผู้เฝ้ารักษาหัวใจไว้ ส่วนตัวเองกลับไปปรึกษา Vivec, Almalexia และ Sotha Sil ว่าจะทำยังไงกับหัวใจดี ซึ่งภายหลัง Nerevar ตัดสินใจว่าหัวใจจะต้องไม่ถูกนำมาใช้เอง แม้ทั้ง 3 จะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่พอกลับไปที่ป้อมปราการของ Dwemer กลับพบว่า Voryn Dagoth ได้เริ่มทำการทดลองอำนาจของหัวใจแล้ว เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น Dagoth Ur ทำให้ Nerevar ต้องสั่งกวาดล้างตระกูล Dagoth ให้หมดสิ้น ทำให้ 6 ตระกูลใหญ่ของ Morrowind เหลือแค่ 5 ตระกูลในเวลาต่อมา
หลังจากกำจัด Dagoth Ur ได้แล้ว Nerevar ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนตายจึงสั่งเสียให้ Vivec, Almalexia และ Sotha Sil ว่าจะต้องไม่ใช้อำนาจของหัวใจเด็ดขาด แต่หลังจาก Nerevar ตายไป Vivec, Almalexia และ Sotha Sil กลับใช้อำนาจของหัวใจ ทำให้ตัวเองกลายเป็นเทพเจ้า วินาทีนั้นเองที่ Azura ปรากฎตัวขึ้นในโลก พร้อมกับสาปแช่ง Vivec, Almalexia และ Sotha Sil และชาว Chimer ทั้งหมด และสาปให้พวกเขากลายเป็นชาวเอลฟ์ผิวสีแทน ดวงตาสีแดงเพลิง ชาว Chimer จึงกลายเป็นชาว Dummer มาตั้งแต่ตอนนั้น และ Azura ยังบอกอีกว่า วันหนึ่งเธอจะนำ Nerevar กลับมาที่โลกนี้อีกครั้ง เพื่อทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรเป็น หลังจากเหตุการณ์นั้น Vivec, Almalexia และ Sotha Sil จึงได้สถาปณาวัดไตรเทพ (Tribunal Temple) เพื่อปกครองชาว Dummer ต่อไป
ชาว Dwemer แม้จะหายสาปสูญไปจากโลกแล้ว แต่ก็ยังสร้างผลงานเอาไว้มากมาย ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาว Dwemer คงหนีไม่พ้นโกเล็มยักษ์ Anumidum ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังอำนาจมหาศาล ในช่วงปลายของยุคที่ 2 หลังจาก Resdayn เข้าร่วมกับจักรวรรดิ์ Tamriel และเปลี่ยนชื่อเป็น Morrowind ผ่านการทำสนธิสัญญากันแล้ว Anumidum ได้ถูกมอบให้กับ Tiber Septim ซึ่งเขาได้ใช้อำนาจของ Anumidum ในการกวาดล้างจักรวรรดิ์ Aldmeri Dominion ที่แข็งแกร่งลงได้สำเร็จ นำไปสู่การสถาปณาจักรวรรดิ์ Tamriel ขึ้นในภายหลัง และเป็นจุดสิ้นสุดยุคที่ 2 และเริ่มต้นยุคที่ 3 ซึ่งเป็นยุคของราชวงศ์ Septim
Anumidum ถูกนำมาใช้อีกครั้งในช่วงปลายยุคที่ 3 โดยความช่วยเหลือของสายลับของ Blade คนหนึ่ง (ตัวเอกในภาคที่ 2) ยังผลให้ดินแดนรอยต่อระหว่าง Hammerfell และ High Rock ที่ถูกเรียกว่า Daggerfell ซึ่งมีการแก่งแย่งทางอำนาจทางการเมืองอย่างรุนแรงมายาวนาน จบสิ้นลงภายในข้ามคืนเดียวอย่างเป็นปริศนา โดยไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้แต่เพียงว่า ความวุ่นวายใน Daggerfell ที่ไม่มีแม้แต่ทีท่าว่าจะสงบลงได้นั้น จบลงภายในเวลาแค่คืนเดียว และ Daggerfell ก็สัญญาจะซื่อสัตย์ต่อจักรวรรดิ์ต่อไป เหตุการณ์นี้ถูกเรียกต่อมาว่า The Warp in the West (สำหรับคนที่ไม่ได้เล่นภาค 2 หาหนังสืออ่านได้ในเกมครับ ภาคนี้ก็มี )
สมบัติอื่นๆที่ Dwemer ทิ้งไว้ก็เช่น ดาบเพลิง True Flame และ Hope Flame ที่ Dumac สั่งทำให้กับ Nerevar เป็นของขวัญแต่งงานกับ Almalexia เป็นดาบที่มีเปลวเพลิงลุกโชติช่วงตลอดเวลา โดยดาบ True Flame หักไปตอนที่ Nerevar สู้กับ Dumac นอกจากนั้นก็มีแหวน Moon and Star แหวนที่ใช้ยืนยันตัวตนของ Nerevar คนอื่นที่คิดจะสวมแหวนนี้จะตายในทันที แหวนนี้มอบอำนาจของความเป็นผู้นำให้กับ Nerevar นอกจากนั้นสมบัติอีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ เครื่องมือของ Kagrenac ที่สร้างมาเพื่อใช้ควบคุมอำนาจของหัวใจของ Lorkhan มีพลังมหาศาลขนาดพอจะใช้ควบคุมพลังของเทพเจ้าได้กันเลยทีเดียว
เหตุการณ์ดำเนินต่อมาจนช่วงปลายยุคที่ 3 ประมาณ 6 ปีก่อนถึงเหตุการณ์ Oblivion Crisis (เหตุการณ์ในภาค 3) นักโทษลึกลับคนหนึ่งได้ถูกส่งขึ้นเรือมายัง Vvardenfell เพื่อมาเข้าร่วมกับกลุ่ม Blade ซึ่งภายหลังนักโทษคนนั้นได้พบว่า ตัวเขาคือ นายพล Indoril Nerevar กลับชาติมาเกิดใหม่ด้วยอำนาจของ Azura และมีหน้าที่ๆจะต้องเติมเต็มคำพยากรณ์ Nerevarine เพื่อกำจัด Dagoth Ur และเปิดโปงความจริงเบื้องหลังของเทพเจ้าตัวปลอด Vivec, Almalexia และ Sotha Sil ให้ได้ ยืนยันตัวเองด้วยแหวน Moon and Star และสุดท้ายแล้ว Dagoth Ur ก็ถูกทำลายพร้อมกับหัวใจของ Lorkhan แผนการของเขาที่จะสร้าง Anumidum ตัวใหม่ขึ้นมาจากแผนผังที่เหลือของ Dwemer ล้มเหลว ส่วน Vivec, Almalexia และ Sotha Sil เมื่อไม่มีอำนาจของหัวใจก็หมดสภาพความเป็นเทพ กลับเป็นแค่คนธรรมดา เป็นจุดสิ้นสุดของวัดไตรเทพ และตัวเอกของภาค 3 ถูกเรียกขานต่อมาว่า Nerevarine หลังจากเหตุการณ์ภาคนี้จบลง Nerevarine ได้เดินทางข้ามทะเลไปยังทวีป Akavir และก็ไม่มีใครเคยพบเห็นอีกเลย (แต่ไม่แน่ เขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ เพราะ Nerevarine มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่แก่ ไม่ป่วยตาย ถ้าอยู่ๆจะมีเซอไพรส์ให้เขาโผล่มาอีกรอบคงไม่แปลก)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย MahouKenshi : 22nd December 2011 เมื่อ 08:19
-
รายชื่อสมาชิกจำนวน 47 คนที่กล่าวขอบคุณ:
Ahh..oW!!, avatar01, azuthra, centseroth, chaiwat19, CrocoZz, Deathevil141, DiffENT, donlawit123, eiei___, EvilSoul, Ezio-Yokarite, GuJokE, IIoNutoII, jamejame022, king kong, king2070, ko555555, lanlanla, lionhearts, lnwfps, Loliese, lstkom78, maksilver, Miss, mos19811, Mozart, Msguzs, napushi, nookza86, numcang, pea42622, phacawit, popking22, RiderSakuya, safeza00, sahasin1, STK01, Tiair, tumbamboo555, TumFeNix, unlocked, Wakinos, YcF, zerohour, ZoMBiE_K
-
6th December 2011 14:02
#3
-
รายชื่อสมาชิกจำนวน 34 คนที่กล่าวขอบคุณ:
avatar01, azuthra, centseroth, chaiwat19, CrocoZz, Deathevil141, donlawit123, eiei___, EvilSoul, GamezO2, jamejame022, king kong, king2070, ko555555, lanlanla, lionhearts, Loliese, lstkom78, MiLaT " C " M!Ne, Miss, Mozart, Msguzs, napushi, nookza86, numcang, poolpool, safeza00, sahasin1, suravong, TumFeNix, unlocked, YcF, zerohour
-
6th December 2011 14:03
#4
-
รายชื่อสมาชิกจำนวน 51 คนที่กล่าวขอบคุณ:
ADDA, Ahh..oW!!, aionic, avatar01, centseroth, chaiwat19, chigarat, CrocoZz, Deathevil141, donlawit123, earth2834, eiei___, EvilSoul, GamezO2, gigle555, GuJokE, hight007, hisawahiroki, jojo-nomercy, KaiserEmperoR, king kong, king2070, ko555555, lanlanla, lionhearts, Loliese, Miss, mos19811, Mozart, Msguzs, napushi, nawatc, non16455, nookza86, pingpong444, popking22, safeza00, sahasin1, sommark, suravong, the name is already taken, thegot555, triple9, TumFeNix, unlocked, vamvamvam, wintas, YcF, zerohour, ZoMBiE_K
-
6th December 2011 14:08
#5
เจ๋งครับ อยากรู้มานานแล้ว
-
-
6th December 2011 15:06
#6
ทำเอาผมอยากลองเล่นซีรีย์นี้ซะเเล้ว!
-
-
6th December 2011 15:24
#7
ตอนแรกก็กะจะเขียนบทความนี้เหมือนกัน ดีใจจังที่มีคนทำแล้ว คนขี้เกียจคนนี้ขอขอบคุณ ฮ่าๆ
-
-
6th December 2011 20:23
#8
โห ผมไม่นึกเลยนะว่าจะมีคนมาเขียนบทความเนี่ยอ่ะ แวดงว่าใจรักจิงๆนั้นแหละ
สุดยอดจริงๆน่ายกนิ้วให้เลย
-
-
6th December 2011 21:15
#9
-
-
7th December 2011 13:32
#10
สุดยอดครับ บางอย่างผมพอรู้มาบ้างเนื่องจากเล่นมาตั้งแต่ Morrwwind แต่นี่รายละเอียดสุดยอดมากครับ
-
-
7th December 2011 13:41
#11
เกมนี้ เนื้อที่ โดยรวมแล้วเท่าไหร่หรอครับ สงสัย
แล้วเกมนี้กินสเปก เยอะเปล่า ถ้าเยอะก็ไม่โหลด(Ram1GB เอง) ถ้ากินเล็กน้อยจะลองโหลดมาเล่นดู
-
-
7th December 2011 14:06
#12
^
^
ลงแล้วก็ประมาณ 5.6GB ครับ
ส่วนกินสเปคมั้ย ก็พอสมควรครับ แต่ถ้าไม่คิดจะปรับกราฟฟิคสูงสุดยอด ยังไงก็เล่นได้อยู่แล้วครับ
-
-
7th December 2011 14:14
#13
โอวสุดยอดครับ ผมเล่นเเค่ภาค Oblivion กับ Skyrim ไม่เคยเล่น Morrowind เลย
ปล. ดันให้เเล้วครับ
-
-
7th December 2011 14:41
#14
ภาคนี้ไม่ค่อยชอบพวกจักรวรรดิเท่าไหร่เลยแฮะ เหมือนได้เห็นอีกด้านนึง ดูมันเสื่อมโทรมลงไปมากจริงๆแหละ
แต่เพราะภาคที่แล้วชื่นชมในวีรกรรมของ Martin Septim มาก ก็เลยขอสืบสานต่อเจตนารมณ์ต่อไป
[ที่จริง Martin น่าจะถูกยกให้เป็นเทพเหมือน Tiber ได้เลยนะ]
-
-
7th December 2011 14:44
#15
กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ
Neotridagger
ภาคนี้ไม่ค่อยชอบพวกจักรวรรดิเท่าไหร่เลยแฮะ เหมือนได้เห็นอีกด้านนึง ดูมันเสื่อมโทรมลงไปมากจริงๆแหละ
แต่เพราะภาคที่แล้วชื่นชมในวีรกรรมของ Martin Septim มาก ก็เลยขอสืบสานต่อเจตนารมณ์ต่อไป
[ที่จริง Martin น่าจะถูกยกให้เป็นเทพเหมือน Tiber ได้เลยนะ]
จริงๆผมก็เห็นด้วยนะครับ
Martin ไม่ได้เป็นเทพก็จริง แต่ดูเหมือนตัวเราจากภาค 4 จะกลายเป็นเทพไปแทนซะยังงั้น
-
-
7th December 2011 15:23
#16
-
-
7th December 2011 16:39
#17
กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ
Noname1
เกมนี้ เนื้อที่ โดยรวมแล้วเท่าไหร่หรอครับ สงสัย
แล้วเกมนี้กินสเปก เยอะเปล่า ถ้าเยอะก็ไม่โหลด(Ram1GB เอง) ถ้ากินเล็กน้อยจะลองโหลดมาเล่นดู
กินสเปคไม่น่าเยอะนะ สำหรับเรา
เพราะคอมเรา CPU กับการ์ดจอก็ตกรุ่นไปเยอะแ้ล้ว
CPU E5200 กับ VGA ATI 4670
ปรับเกมตามค่าดีฟ้อล เริ่มต้น ปิดแค่ Anit Aliasingที่มัน*4 กับ *16 เป็น off
ปรับภาพ High เงา Medium เฟรมเรทเกม ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 44 - 45 โดยสายตาของเราแล้ว คือมันเล่นได้ลื่น
นานๆทีจะมีตกไป 27 28 แต่ตกแค่แป๊บเดียว *-*
เห็นเฟรมเรทสูงสุดเสปคเราอ่ะ 56.2 แน่ะ
พอดี Patch ENB มันมีให้กด * ดูเฟรมเรทน่ะ
-
-
7th December 2011 16:50
#18
กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ
unlocked
กินสเปคไม่น่าเยอะนะ สำหรับเรา
เพราะคอมเรา CPU กับการ์ดจอก็ตกรุ่นไปเยอะแ้ล้ว
CPU E5200 กับ VGA ATI 4670
ปรับเกมตามค่าดีฟ้อล เริ่มต้น ปิดแค่ Anit Aliasingที่มัน*4 กับ *16 เป็น off
ปรับภาพ High เงา Medium เฟรมเรทเกม ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 44 - 45 โดยสายตาของเราแล้ว คือมันเล่นได้ลื่น
นานๆทีจะมีตกไป 27 28 แต่ตกแค่แป๊บเดียว *-*
เห็นเฟรมเรทสูงสุดเสปคเราอ่ะ 56.2 แน่ะ
พอดี Patch ENB มันมีให้กด * ดูเฟรมเรทน่ะ
แต่คอมผม คงไม่ไหวอะครับ Ram 1 9500GT Inter Core 2 เอง ครับ คอมตั้งแต่ 6 ปี ที่แล้ว --
-
-
7th December 2011 16:56
#19
เป็นประโยชน์สำหรับคนไม่รู้ครับ
-
-
7th December 2011 16:57
#20
ละเอียดมากครับท่านสุดยอดเลยอ่ะ
-
-
7th December 2011 18:35
#21
กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ
Noname1
แต่คอมผม คงไม่ไหวอะครับ Ram 1 9500GT Inter Core 2 เอง ครับ คอมตั้งแต่ 6 ปี ที่แล้ว --
เพิ่ม RAM ผมว่าก็เล่นได้แล้วนะ แต่คงตัองปรับเยอะเป็นพิเศษเท่านั้นเอง
-
-
7th December 2011 18:59
#22
โห ขอบคุณมากเลยครับ อ่านแล้วขนลุกเลยครับบางที สุดยอดมาก
-
-
7th December 2011 19:01
#23
ขอผ่าน
-
-
7th December 2011 19:59
#24
ดันให้ๆ
ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้ว่า ภาคต่อไปจะเป็นยังไง
Talos Guide you ......
ว่าแต่ ตัวเอกภาค 4 ได้เป็นเทพก็สมควรนะ
ทำทุกอย่างจริงๆงะ
-
-
12th December 2011 16:43
#25
อยากรู้เรื่องของ Mythic Dawn อะครับ
ผมเจอในภาคนี้ (มันยังอยู่แฮะ)
ก็เลยนึกได้ว่า กลุ่มนี้ ยังไม่ค่อยรู้ความเป็นมาของมันเลย
-
กฎการส่งข้อความ
- You may not post new threads
- You may not post replies
- You may not post attachments
- You may not edit your posts
-
Forum Rules