เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา
-
15th February 2012 09:43
#76
เป็นประเด็นที่ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ
-
-
15th February 2012 17:15
#77
suarezยอมรับแล้วครับ
หงส์นี้ รู้จักขอโทษมีน้ำใจนักกีฬาดี ไม่เหมือนบางคน จบเกมแล้วดีใจเยาะเย้ย
ใครจะด่าผมยังไงก็ช่าง
-
-
15th February 2012 17:25
#78
เอฟร่านายทำได้สะใจข้าพเจ้ามาก 5555555555 ถึงกับหน้าเสียอ่ะ 555555555 สะใจว่ะ
-
-
15th February 2012 19:23
#79
-
-
15th February 2012 19:32
#80
-
-
15th February 2012 19:34
#81
-
-
15th February 2012 19:43
#82
ให้คนที่ไม่รู้เรื่องนี้ดูครับ คลิปนี้ แล้วคำตอบที่คุณต้องการจะออกมา คุณอาจจะไม่ชอบใจครับตอบกันก็ได้
-
-
15th February 2012 19:46
#83
แล้วเจ้า ซัวเรส ตอนที่สัมภาษณ์ เจ้าตัวก็ออกมาขอโทษและยอมรับผิดแล้วนิ ไม่ได้แก้ตัวหรืออธิบายอะไรเลย
แล้วคลิปจะมีประโยชน์อะไร !!!
-
-
15th February 2012 19:54
#84
อะไรก็เริ่มดูชัด แต่เอลร่า กต.อยู่แล้วนะ
-
-
15th February 2012 20:15
#85
ใครล่ะเริ่มเรื่อง ใครล่ะ กวนตีนก่อน ใครล่ะสันดารเสีย แล้วโดนเอาคืนแค่นี้ยังไม่สาสมหรอก โดนแค่นี้แฟนบอลทำโวยวาย นักเตะเขายังยอมรับเล๊ยย
พวกคุณคงไม่รู้สึกหัวอกของคน(เมืองนอก)ที่โดนเหยียดผิวหรอก ว่าเขาถือกันมากแค่ไหน
เรื่องราวที่มิอาจมองข้าม การเหยียด "สีผิว-ชาติพันธุ์" (racism) ในเกมฟุตบอล
วิทยากร บุญเรือง
บทนำ
"Stand by the Union Jack
Send those niggers back
If you're white, you're alright
If you're black, send 'em back"
นี่คือเนื้อเพลงเชียร์ทีมชาติอังกฤษยอดฮิตของเหล่ากองเชียร์ฮูลิแกน (hooligan) ชาตินิยม (patriotism) ใน อดีตเพลงหนึ่ง สิ่งนี้เป็นหลักฐานที่ยืนยันให้เห็นถึงความคับแคบในการเปิดใจรับความแตกต่าง ทางชาติพันธุ์ของการเชียร์กีฬาประเภทนี้ จากแฟนฟุตบอลบางส่วน
แต่เพลงนี้ ณ ช่วงบริบทปัจจุบัน ดูเหมือนว่าจะเป็นการไม่สมควรแล้ว สำหรับการขับขานพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะเพื่อให้กำลังใจเหล่าขุนพลนักเตะ สิงโตคำราม เพราะนักฟุตบอลผิวสีหลายคนของอังกฤษได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นถึง ความสามารถและความสำคัญ ของพวกเขาเองว่ามีมากแค่ไหน
สีผิวและชาติพันธุ์มิใช่อุปสรรคในการที่จะ "เอาดี" กับกีฬาประเภทนี้
ความพยายามที่จะทำให้เกมฟุตบอลสลัดภาพ "ความรุนแรง - สิ่งเลวร้ายแอบแฝง" ออกไปนั้น นอกจากการขจัดความรุนแรงของเกมและอันธพาลในคราบกองเชียร์แล้ว "การเหยียดผิว-ชาติพันธุ์" เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะต้องทำให้มันหมดไปให้ได้ทั้งในและนอกสนามฟุตบอล
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว กีฬาอันดับหนึ่งที่ถูกยกย่องว่าสามารถสร้างเอกภาพในความแตกต่างบนโลกใบนี้ อย่างเกมฟุตบอล คงจะถูกตั้งคำถามว่า
ความพยายามนั้นแค่เพียงการสร้างภาพใช่หรือไม่?
แฟนฟุตบอลฝ่ายขวา กับการเหยียดผิว-ชาติพันธุ์
ปัจจุบันเกือบทุกสโมรสรในระดับลีกสูงสุดของอังกฤษล้วนแล้วแต่มีนักฟุตบอลผิวสี - ต่างชาติพันธุ์เข้ามาสร้างสีสันและยกระดับมาตรฐาน คุณภาพการเล่นฟุตบอลในอังกฤษให้หลากหลายยิ่งขึ้น
นักฟุตบอลผิวดำคนแรกของเกาะอังกฤษ Arthur Wharton
นักฟุตบอลผิวดำคนแรกของเกาะอังกฤษ Arthur Wharton เซ็นต์สัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสร Darlington FC ในปี ค.ศ.1889 หรือราวร้อยกว่าปีที่แล้ว
แต่ทว่าการเหยียดผิวในเกมกีฬาชนิดนี้ยังไม่เคยหมดสิ้นไป ความรุนแรงของมันก็ขึ้นอยู่กับบริบทสภาพแวดล้อมในแต่ละยุค
จาก Wharton จน ถึงปัจจุบัน นักฟุตบอลผิวสีในอังกฤษได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในเชิงลูกหนังเพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆ พบว่าทุกวันนี้นักฟุตบอลผิวสีในอังกฤษมีจำนวนมากกว่า 25% ของทั้งหมด
แต่จากการสำรวจของเบียร์ Carling ผู้สนับสนุนการแข่งขันของ Premier League ในฤดูกาลที่ 1993/94 พบว่ามี 1% ของแฟนบอลที่ไม่ใช่ "คนผิวขาว" นี่เป็นเหตุผลหนึ่งของภาพที่เราเห็นคนผิวขาวหัวรุนแรง รุมร้องรำทำเพลง ยั่วยุ เสียดสีนักเตะผิวสีอยู่เนืองๆ
นอกจากจะเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศแล้ว
ชนผิวสียังเป็นชนกลุ่มน้อยข้างสนามฟุตบอลอีกด้วย
เพลงเชียร์ที่มีท่วงทำนองและเนื้อหาดูถูกและเหยียดสีผิว ได้ยินบ่อยครั้งในสนามฟุตบอล ในยุคทศวรรษที่ 1970 และ 1980 แฟนบอลผู้นิยมการเหยียดผิวข้างสนามชอบที่จะทำเสียงแบบ "ลิง" เพื่อล้อเลียนยั่วยุนักเตะผิวสีในสนาม นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่ดูว่าไม่น่าที่จะนำมาล้อเล่น-ล้อเลียนได้ เพราะเป็นการกระทำที่กระทบกระเทือนจิตใจผู้อื่นอย่างแรง เช่นเมื่อปี 1981 เหตุการณ์ไฟไหม้ที่ Deptford ทำให้นักฟุตบอลเยาวชนผิวดำ 13 รายสีชีวิต เหตุการณ์นี้กลับถูกนำไปเป็นเพลงล้อเลียนที่ข้างสนามของทีม Millwall ดังนี้ :
"We all agree
Niggers burn better than petrol"
ผู้เล่นผิวดำเองมิใช่ว่าจะเป็นเป้าหมายของพวกแฟนบอล hooligans - patriotism กลุ่มเดียวเท่านั้น เหล่าแฟนบอลชาตินิยมบ้าคลั่งเอียงขวาเหล่านี้ ยังมีเป้าหมายยั่วยุ-เสียดสี แฟนฟุตบอลต่างชาติพันธุ์ของสโมสรอื่น เช่น แฟนฟุตบอลของทีม Tottenham Hotspur ซึ่งส่วนมากมีเชื้อสายยิวก็มักจะถูกยั่วยุจากฝ่ายตรงข้ามเสมอ ดังเช่นเพลงเชียร์ที่ว่า :
"Those yids from Tottenham
The gas man's got them
Oh those yids from
White Hart Lane*"
(* White Hart Lane คือ สนามเหย้าของ Tottenham Hotspur )
ค่านิยม "ขวาจัด" ของกลุ่มแฟนบอลในอังกฤษมีมาเกือบทุกยุคทุกสมัย เริ่มตั้งแต่ในทศวรรษที่ 1930 กลุ่ม British Union of Fascists ได้ทำร้ายแฟนลูกหนังชนชั้นกรรมชีพ จนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนมาถึงทศวรรษที่ 1970 ในอังกฤษ เหล่าแฟนบอลขวาจัด และเหล่าฮูลิแกน ต่างก็สร้างปัญหาให้กับเกมกีฬานี้ โดยกลุ่มที่เคลื่อนไหวสำคัญคือกลุ่ม The National Front (NF) พวกเขาได้ออกนิตยสาร Bulldog ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับความบันเทิงและฟุตบอล แน่นอนว่ามีเนื้อหา "การเหยียดสีผิว-ชาติพันธุ์" แฝงอยู่ในนั้นด้วย ขาประจำของ Bulldog มีทั้งแฟนทีมต่างสโมสรต่างๆ ทั่วอังกฤษ ประโยคบรรยายสรรพคุณอย่างหนึ่งของนิตยสารที่ว่า "most racist ground in Britain' ได้กลายเป็นสโลแกนของแฟนทีม West Ham, Chelsea, Leeds United, Millwall, Newcastle United และ Arsenal ซึ่งในขณะนั้นถือว่ามีค่านิยมขวาจัดแข็งแกร่งที่สุดกลุ่มหนึ่งในหลายสโมสรของอังกฤษ
ในยุคทศวรรษที่ 1980 แฟนฟุตบอลขวาจัดติดตามเชียร์ขุนพลสิงโตคำรามนอกประเทศอย่างเป็นกลุ่มก้อน ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการอาละวาดของกลุ่มฮูลิแกนที่คุกคามภูมิภาคยุโรปในยุคนี้
เข้าสู่ยุคทศวรรษที่ 1990 ความพยายามแรกในการยับยั้งการเหยียดผิว-ชาติพันธุ์ที่เป็นรูปธรรม ของอังกฤษก็เกิดขึ้น การร้องเพลงล้อเลียน-เสียดสี ที่เกี่ยวกับการเหยียดผิว-ชาติพันธุ์ ในระหว่างการแข่งขันฟุตบอลถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในอังกฤษ แต่กระนั้นมันก็ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการเหยียดผิว-ชาติพันธุ์ ผ่านท่วงทำนองการเชียร์ฟุตบอลได้ เนื่องจากการลงโทษบุคคลปัจเจกทำได้ยาก ทั้งจากเรื่องการหาหลักฐานและเจาะจงหาผู้กระทำผิด เพราะบนอัฒจันทร์ที่คละเคล้าไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา
ในปี ค.ศ.1995 กลุ่มแฟนบอลขวาจัดของพลพรรคสิงโตคำราม ยกพลไปเยือนกรุง Dublin เพื่อ ชมการแข่งขันนัดกระชับมิตรระหว่าง สาธารณะรัฐไอร์แลนด์ กับ อังกฤษ การปะทะกันของแฟนบอลทั้งสองฝ่ายทำให้เกมกระชับมิตรนี้ต้องยุติลง หลังเล่นได้ประมาณครึ่งชั่วโมง กลุ่มสนับสนุน British National Party (BNP) ถูกระบุว่าเป็นสาเหตุความรุนแรง มีการร้องเพลงเชียร์เสียดสีและด่าทอชาวไอริช
เมื่อบุกมาถึงถิ่นเจ้าบ้านพร้อมกับกริยามารยาทเช่นนี้ การแข่งขันนัดกระชับมิตรจึงกลับได้รับผลลัพธ์ตรงกันข้าม
ในยุโรปเองก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับอังกฤษ กลุ่ม Neo-nazi และ Neo-fascist ถือว่าเป็นตัวป่วนของการสร้างความสมานฉันท์ในสนามฟุตบอล สโมสรที่ถูกจับตามองเกี่ยวกับปัญหานี้ได้แก่ Lazio และ AC Milan ของอิตาลี Paris Saint-Germain ของฝรั่งเศส Real Madrid และ Espagnole ของสเปน เป็นต้น
ในอิตาลี ผู้เล่นเชื้อสายยิวอย่าง Ronnie Rosenthal ไม่สามารถลงเล่นให้กับสโมสร Udinese ได้แม้แต่เกมเดียว ทั้งๆที่สโมสรต้องจ่ายเงินซื้อตัวเซ็นต์และสัญญามา ทั้งนี้เนื่องด้วยผลจากการกดดันของกลุ่มแฟนบอล Neo-fascist ของทีมนั่นเอง
ผู้เล่นอย่าง Aaron Winter ก็ประสบปัญหาคล้ายกันที่โรม เนื่องด้วยความเป็นชาว Suriname ของเขา แฟนบอลทีม Lazio ต้นสังกัดของเขาเอง กลับขับไล่เขาด้วยป้าย 'Niggers and Jews Out' ดาวเตะจอมห้าวทีมชาติอังกฤษอย่าง Paul Ince ที่เคยไปค้าแข่งอยู่ในทีม Inter Milan ก็รู้ซึ่งดีต่อความไม่เป็นมิตรเท่าที่ควรของแฟนบอล Neo-fascist เหล่านี้
ประเทศเยอรมัน อีกหนึ่งประเทศในยุโรปที่แฟนบอลฝ่ายขวามีความแข็งแกร่งและเป็นกลุ่มก้อนสูง บ่อยครั้งที่จะได้เห็นแฟนฟุตบอลทีมชาติเยอรมันทำท่าแสดงความเคารพต่อ Hitler (Hitler salutes) โดยเฉพาะเจาะจงในเกมการแข่งขันระดับชาติ
มีรายงานที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวสร้างปัญหาของกลุ่มแฟนบอล Neo-nazi เหล่านี้ เช่น ในปี 1990 กลุ่ม skinheads (หนึ่งในพลพรรค Neo-nazi) ทำร้าย-ข่มขู่นักเตะผิวสีส่วนน้อยในลีกของเยอรมัน ปี 1992 กลุ่ม neo-nazi ใช้ การแข่งขันฟุตบอลเป็นโอกาสในการจัดตั้งกลุ่มโจมตีชนกลุ่มน้อยในแต่ละท้อง ถิ่นรวมถึงสถานที่พักพิงของชาวยุโรปตะวันออกในเยอรมันด้วย จากการวิเคราะห์-สำรวจของเยอรมัน พบว่า 20% ของแฟนฟุตบอลในเยอรมันมีความใกล้ชิดกับกลุ่ม Neo-nazi
ประเทศสเปน สถานที่รวมความหลากหลายทางเอกลักษณ์และชาติพันธุ์ต่างๆ ไว้เข้าด้วยกัน เกมฟุตบอลถือว่าเป็นกระจกสะท้อนความหลากหลายนั้น ด้วยการที่ไม่มีข้อกำหนดกีดกันมากมายเหมือนเช่นลีกอื่นๆในยุโรป ผู้เล่นนอกสหภาพยุโรปจำนวนมากหลั่งไหลกันมาจากทั่วสารทิศ เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์ และพัฒนาเกมฟุตบอลลีกสเปนให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น ซึ่งทีมแชมป์สโมสรยุโรปทีมล่าสุดอย่าง F.C. Barcelona ก็ประกอบด้วยผู้เล่นจากหลากหลายภูมิภาคในโลก
นอกจากนี้ความเป็นท้องถิ่นนิยมของทีมสโมสรในสเปนก็เป็นที่ขึ้นชื่อลือชา และมีประวัติศาสตร์ยาวนานเก่าแก่ ในยุคของนายพลฟรังโก (Franco) เรืองอำนาจ สองทีมที่เปรียบเสมือนหนามยอกอกของนายพลเผด็จการผู้นี้คงจะหนีไม่พ้น F.C. Barcelona ของชาว Catalan กับ Athletico Bilbao ของชาว Basque (ทีม Athletico Bilbao มีประเพณีสำคัญอย่างหนึ่งของทีม ก็คือ ผู้เล่นในทีมทุกคนจะต้องมีเชื้อสาย Basque เท่านั้น)
ทีม Real Madrid คือกระบอกเสียงทางการเมืองของฟรังโกอันสำคัญในยุคที่เขามีอำนาจสูงสุด แต่เมื่อใดที่ Real Madrid ซึ่งเป็นหัวขบวนของทีมฟุตบอลฝ่ายขวา (ในลีกของสเปน ทีมฟุตบอลที่มีคำว่า Real นำหน้าหมายถึงทีมนั้นอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของกษัตริย์) เผชิญหน้ากับ Barcelona หรือ Bilbao ก็เหมือนกับการทำสงครามเชิงสัญลักษณ์ "การกำหราบชนกลุ่มน้อย กับ การปลดปล่อยเพื่ออิสระภาพ" ถูกอัญเชิญลงไปในสนามและอัฒจันทร์ แน่นอนว่าการเชียร์ของต่างฝ่ายล้วนแล้วแต่มีเรื่องของประวัติศาสตร์-ชาติพันธุ์-และ การเมือง เกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น การเหยียดสีผิวและชาติพันธุ์ในสเปนจึงเป็นอีกแห่งที่มีความระอุร้อนของเกม กีฬาผสมผสานกับเรื่องของการเมือง
ในยุโรปตะวันออกเอง เกมฟุตบอลที่มีความเกี่ยวโยงกับชาติพันธุ์และการเมือง ก็มีความเข้มข้นดุเดือดไม่แพ้สเปน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ในตอนที่ Croatia ยังเป็นส่วนหนึ่งของ Yugoslavia เกมการแข่งขั้นระหว่าง Dinamo Zagreb ตัวแทนของชาวโครแอต กับ Redstar Belgred ซึ่งเป็นของชาวเซิร์บ เมื่อปี 1990 ในช่วงต้นเกมแฟนบอลของทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกันทั้งในสนามและบนอัฒจันทร์ ตำรวจ Yugoslavia ซึ่ง ส่วนใหญ่เป็นชาวเซิร์บกลับทุบตีแฟนบอลชาวโครแอต ปล่อยให้ชาวเซิร์บกระทำวุ่นวายต่อไปทั่วทั้งสนาม ว่ากันว่าเหตุการณ์นั้นเป็นหนึ่งในหลายความโกรธแค้นของชาวโครแอต อันเป็นเหตุให้เกิดสงครามปลดปล่อย Croatia ในกาลต่อมา
-
รายชื่อสมาชิกจำนวน 3 คนที่กล่าวขอบคุณ:
-
15th February 2012 20:17
#86
แล้วที มันเหยียดสีผิวล่ะ ??? มันก็ต้องเอาคืนบ้าง วู้วๆ
ปล. ตอนเตะ ปาร์คเกอร์ตั้งใจชัดๆ มีผลัก แล้วเตะ นี่มันมวยไทยชัดๆ บอกได้คำเดียว ซัวเรซ เกรียน
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Hoshigaki : 15th February 2012 เมื่อ 20:19
i3 3.10 GHz - RAM 4 GB - P8H77-M LE - HD7770
-
รายชื่อสมาชิกจำนวน 3 คนที่กล่าวขอบคุณ:
-
15th February 2012 20:57
#87
มาเร็วๆๆ คนไทยเป็นไรไม่รู้ เถียงกันไร้สาระ
ปล.ผมเด็กผี แต่เงียบๆจะดีกว่า
-
-
15th February 2012 21:18
#88
,, ยังไม่จบอีกหรอ !! =o=';
โลกสวยด้วยมือเราต้องที่ : Jokergame ! lol lol lol lol lol.
-
-
15th February 2012 21:38
#89
คนบางคนก็แปลกแหะ ตอนที่ซัวเรสไม่ยอมรับก็ออกมาแถแล้วบอกว่าใครกันแน่ที่ไม่ยอมจับมือ แต่พอเจ้าตัวเค้าออกมาสำนึกผิดยังมีหน้ามาพูดว่า
เอฟร่าชนะแล้วยังมีหน้ามาเยาะเย้ย เห้อออ เห็นใจชาวเดอะค๊อปที่เค้าสำนึกแล้วจริงๆ
ไม่หน้าให้คนบางคนมาทำให้เสียชื่อเลย
-
รายชื่อสมาชิกจำนวน 2 คนที่กล่าวขอบคุณ:
-
16th February 2012 07:12
#90
ใกล้ดราม่าขึ้นทุกทีแฮะ จบซะทีครับ เรื่องไม่เป็นเรื่องเนี่ย รอดูบอลยูโรป้าคืนนี้กันดีกว่าครับ *-*
00:00 โลโคโมทีฟ มอสโก บิลเบา 0/0.5 -5
01:00 อาแจ๊กซ์ แมนฯยู 0.5
01:00 AZ อัคร์มาร์ อันเดอร์เลชส์ 0.5 -10
01:00 วิคตอเรีย พลาเซ่น ชาลเก้ 0/0.5 -10 N
01:00 ลิเกีย วอร์ซอ สปอร์ติ้งลิสบอน 0/0.5 -10
01:00 ลาซิโอ แอต.มาดริด 0/0.5 -10
01:00 ซัลซ์บวร์ก มิลทอลลิส คาร์คิฟ 0/0.5 -5
03:05 สโต๊ค บาเลนเซีย +10
03:05 แทรบซอนสปอร์ พีเอสวี 0/0.5 -5
03:05 สเตอัว บูคาเรสต์ ทเวนเต้ 0/0.5 -5
03:05 อูดิเนเซ่ PAOK สาโลนิกิ 0.5/1 -10
03:05 ปอร์โต้ แมนเชสเตอร์ซิตี้ 5-4
03:05 วิสล่า คราคอฟ สตองดาร์ ลีแอช 0/0.5 -5
03:05 ฮันโนเวอร์ คลับ บรูจจ์ 0.5/1
ต่อเยอะไปก็เล่นไม่ไหวแฮะ T^T
-
กฎการส่งข้อความ
- You may not post new threads
- You may not post replies
- You may not post attachments
- You may not edit your posts
-
Forum Rules