สืบเนื่องจาก กระทู้ของคุณ mosetza11 http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=80032
ตามตำนานความหายนะของเรือไททานิค เป็นเรื่องของ มัมมี่โชคร้าย ที่ถูกลำเลียงโดยนำลงบนเรือลำที่ว่ากันว่าไม่มีทางที่จะล่มหรือจม ได้เลย แต่แล้ว กลับล่มลงจนก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่
เรื่องราวที่นำมาเล่า เป็นเรื่องของความโชคร้ายของผู้ที่ได้ครองมัมมี่ตัวนี้ ย้อนอดีตไปเมื่อหลายพันปีก่อนคริสตกาล หลังจาก "เจ้าหญิง อาเมน-รา" สิ้นพระชนม์ มีการบรรจุพระศพของพระองค์ในโลงศพไม้ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม และฝังในสุสาน Luxor
ในเวลาต่อมาราวๆปี พ.ศ.2433 ชายหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ได้เดินทางไปสำรวจที่ Luxor และได้รับการชักชวนให้ซื้อหีบมัมมี่หีบหนึ่ง ไม่ต้องบอก ทุกท่านก็คงจะเดาออกนะครับ ว่าเป็น หีบมัมมี่ของใคร หุหุ เมื่อทั้ง 4 เห็น แล้วก็เกิดความละโมบ อยากได้ จนต้องมีการจับฉลากกันครับ ชายคนที่จับฉลากชนะก็ได้ไปพร้อมกับจ่ายเงินไปนับพันๆปอนด์
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ก้มีคนเห็นชายคนนั้นแหละครับ เดินตรงไปยังทะเลทราย แล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย วันต่อมา ชาย 1 ใน 3 คนทีเหลือก็ถูกคนรับใช้ชาวอียิปตืยิงบาดเจ็บสาหัส ต้องตัดแขนทิ้ง ต่อมาชายคนที่ 3 ทราบข่าวร้ายระหว่างเดินทางกลับบ้านว่าธนาคารที่เค้าฝากเงินไว้เกิดล้มละลาย ในขณะที่ ชายคนที่4 คนสุดท้ายแล้วครับ ได้เกิดเจ็บป่วยเป้นโรคร้ายแรงจนตกงาน และกลายเป็นคนขายไม้ขีดไฟตามท้องถนน
อย่างไรก้ตาม โลงศพก็ได้เดินทางมาถึงอังกฤษโดยนักธุรกิจชาวลอนดอน แต่ก็ไม่พ้นเคราะห์ร้ายอยู่ดีครับ เจอมาตลอดทาง แถมครอบครัวยังบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ทางถนน และไฟไหม้อีกด้วย เขาเลยบริจาค โลงมัมมี่ให้แก่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ ขณะลำเลียงโลงก้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกครับ ((สงสารคนที่ไม่รู้นะครับ)) ก็รถบรรทุกที่บรรทุกมัมมี่สิครับ ดันถอยหลังไปทับคนงาน และคนที่เดินไปเดินมาแถวนั้น นอกจากนี้นะครับ คนงาน2คนที่ยกโลงขึ้นบันได ตกลงมาขาหักคนนึง อีกคน 2 วันต่อมาก็เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทีนี้พอวางโลงมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-ราไว้ในห้องสไตล์อียิปต์แล้ว ก็มีปัญหาตามมาอีกครับ เฮ้อออออ ก็จะอะไรซะอีกล่ะครับ ยามที่เฝ้าน่ะครับ จะได้ยินเสียง ทุบตีอย่างบ้าคลั่ง และเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจากโลงศพ แถมยังได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมออกมาจากห้องนั้น ยามคนหนึ่งก็ตายในหน้าที่อีก ทำให้ทุกๆคนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีกเลยครับ
ยังมีอีกนะครับ ไม่จบเพียงเท่านี้นะครับ ยังมีอีกครับ คือ มีผู้ชมคนหนึ่งลบหลู่เจ้าหญิงโดยการใช้ผ้าปัดฝุ่นใบหน้าบนโลงศพ ลูกของเขาก็ตายด้วยโรคหัดในไม่ช้าเลยค่ะ พอเกิดเหตุการณ์ไม่ค่อยดี เยอะมาก เจ้าหน้าที่เลยย้ายลงมาที่ห้องใต้ดินะครับ เผื่อจะได้ไม่มีใครเป็นอะไรอีก แต่พวกเค้ากลับคิดผิดน่ะสิครับ เพราะภายใน 1 อาทิตย์ต่อมา ผู้ช่วยคนหนึ่งก็บาดเจ็บสาหัส ผู้ควบคุมการเคลื่อนย้ายก้ตายอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา เมื่อหนังสือพิมพ์ทราบเรื่องช่างภาพคนหนึ่งได้ถ่ายรูปโลงศพ แต่พอล้างฟิล์มออกมากลับกลายเป้นใบหน้าที่น่ากลัวน่าสยดสยอง ช่างภาพเลยกลับบ้าน ล็อคห้อง และยิงตัวตาย ว๊ายยยยย ผมล่ะเหนื่อย เล่าถึงตรงนี้ สยองจังครับ เหอๆๆ มาๆๆเรามาเล่าต่อกันดีกว่าครับ
ในที่สุด หลังจากนั้นไม่นาน พิพิธภัณฑ์ก็ได้ขายมัมมี่ให้นักสะสม ซึ่งเจ้าของก็ได้รับภัยพิบัติเช่นกันครับ เขาจึงเนรเทศไปอยู่บนห้องเพดาน แต่ในที่สุดก็มี นักโบราณคดีชาวอเมริกันก็ได้ตัดสินใจจ่ายเงินเพื่อซื้อมัมมี่และเตรียมขนย้ายไปนิวยอร์ค ในเดือนเมษายน พ.ศ.2454 ดดยได้ลำเลียงทรัพย์สมบัติขึ้นบนเรือสีขาวลำใหม่ ซึ่งเป็นสายการเดินเรือลำแรกที่เดินทางไปนิวยอร์ค นั่นก็คือ "เรือไททานิค" นั่นเองครับ และแล้ว "เจ้าหญิงอาเมน-รา" พร้อมด้วยผู้โดยสารนับพันๆคน ได้ดำดิ่งลงสู่ความตาย ณ ทะเลแอตแลนติกนั่นเอง
cr:vmpirez
เดี๋ยวผมจะลองหาอ่านครับ อันนี้ที่เจอมาเขาบอกว่ามันเป็นแบบย่อ จะลองหาอ่านแบบละเอียดๆอีกทีนะครับ ขอบคุณมาก
เพิ่มเติมอันนี้อัน
คำเล่าลือถึงสาเหตุของความหายนะของเรือไททานิค ซึ่งเชื่อกันว่าเป็น "เรือที่ไม่มีวันจม" กลับล่มเสียตั้งแต่ในเที่ยวแรกอย่างไม่น่าเป็นไปได้ น่าจะมาจากอาถรรพ์ ที่เรือไททานิคได้ลักลอบบรรทุก สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งมาด้วย สิ่งนั้นคือ...มัมมี่ ...มัมมี่ของเจ้าหญิงไอยคุปต์โบราณ "อาเมน-รา" ที่เต็มไปด้วยอาถรรพณ์
เป็นเรื่องลึกลับที่ไม่น่าเชื่อ .... เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1920 เมื่อ นักโบราณคดีชาวอเมริกันเดินทางไปพบกับนักอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษชื่อ เมอร์เรย์ ที่บ้านพักในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ จุดประสงค์ของเขามีเพียง ต้องการติดต่อขายสินค้าชิ้นหนึ่งให้กับ เมอร์เรย์ และสินค้าที่ว่านี้คือหีบพระศพของเจ้าหญิงไอยคุปต์โบราณ องค์หนึ่งซึ่งก็คือ เจ้าหญิง "อาเมน-รา"
นักโบราณคดีชาวอเมริกันคนนี้ ดูซูบซีดเหมือนขี้ยา แต่งเนื้อแต่งตัวสกปรก เมอร์เรย์ ก็เลยไม่ค่อยศรัทธาใน "สินค้า" ที่ได้รับการ เสนอขาย แต่ก็เอ่ยปากขอดู "สินค้า" ก่อนจะตัดสินใจ ทันทีที่เมอร์เรย์เห็นหีบพระศพเคลือบด้วยทองคำเหลืองอร่ามตระการตาเข้าเท่านั้น เขาก็ถึงกับอ้าปากค้าง ไม่คาดคิดว่าจะพบสิ่งมีค่ามหาศาลเช่นนี้ ต่อหน้าต่อตา นักโบราณคดีอเมริกันเล่าว่าหีบพระศพใบนี้ ค้นพบที่วิหารอะมอนรา ในธีบีส ซึ่งเป็นบริเวณที่เก็บพระศพของบรรดาเจ้าหญิงอียิปต์โบราณมากมาย สำหรับโลงพระศพที่อยู่ต่อหน้า เมอร์เรย์ คาดว่าน่าจะมีอายุประมาณ 1,600 ปีก่อนคริสตศักราช "ตกลง ผมรับซื้อ" เมอร์เรย์กล่าว "แต่มันมีอาถรรพณ์หน่อยนะ เพราะมีคำสาปแช่งจารึกไว้ด้วย" นักโบราณคดีอเมริกันบอกกับเมอร์เรย์"ไม่เป็นไร ผมไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้หรอก" เมอร์เรย์กล่าว เมอร์เรย์ไม่เสียดายเงินก้อนใหญ่ที่เขาจ่ายให้นักโบราณคดีผู้นั้นแม้แต่น้อยเลย ด้วยว่ามูลค่าของหีบพระศพที่เขาได้มามีค่ามากกว่ามากนัก แม้คำสาปแช่งที่นักโบราณคดีอเมริกาบันทึกไว้ให้ก็ ไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือน คำสาปแช่งนั้นมีความว่า "มันผู้ใดบังอาจรบกวนสถานที่ซึ่งเป็นที่ร่างของข้าได้สถาปนาไว้ในอาณาจักรแห่งลุ่มน้ำไนล์ มันผู้นั้นจะต้องพบกับภัยพิบัติอันน่าสยดสยองทุกวัน มันต้องตายทุกคน"
เมอร์เรย์ไม่เชื่อเรื่องคำสาป เขานำหีบพระศพของเจ้าหญิงโบราณไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโบราณคดีในกรุงไคโรอีกหลายท่านพิสูจน์ว่า เป็นหีบพระศพสมัยไหน? ของเจ้าหญิงองค์ใด? แม้ว่าคำตอบที่เขาได้รับจะไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด แต่กลับมีคำชมว่าเขามีสายตาเฉียบคม สามารถซื้อหีบพระศพโบราณได้ในราคาที่นับว่าถูกมากเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง หลังจากนั้นได้มีข่าวๆ หนึ่งแทรกเข้ามารบกวนความรู้สึกของเขาไม่น้อย นั่นคือ นักโบราณคดีอเมริกันที่เพิ่งขายหีบพระศพใบนี้ให้ ได้เสียชีวิตอย่างลึกลับ...! หลังจากที่รับเช็คเงินสดจากเขาไปได้ไม่กี่ชั่วโมง หรือว่าคำสาปจะเป็นจริง?
เมอร์เรย์ ไม่เชื่อว่าจะมีความเร้นลับอะไรในศตวรรษที่ 20 ได้อีก สิ่งที่เขาต้องรีบกระทำขณะนี้ คือ การส่งหีบพระศพไปเก็บไว้ที่บ้านในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สมัยนั้นไม่มีการขนส่งใดดีกว่าทางเรือ เมอร์เรย์ จึงติดต่อว่าจ้างให้บริษัทเดินเรือมาจัดการขนหีบห่อที่เขาจัดการบรรจุไว้เรียบร้อยไปขึ้นเรือก่อนการเดินทาง แต่ว่าสามวันหลังจากนั้น ก็มีเหตุเกิดขึ้นเมื่อเขาออกไปซ้อมยิงปืนทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ จู่ๆ ปืนเกิดระเบิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ถูกเข้าที่แขนของเมอร์เรย์เป็นแผลเหวอะหวะ แพทย์ต้องตัดแขนเขาทิ้งตั้งแต่ข้อศอกลงไป เมอร์เรย์ กลายเป็นคนพิการอย่างที่ไม่น่าจะเป็น ด้วยสาเหตุบังเอิญที่น่าพิศวงยิ่ง อุบัติเหตุคราวนี้ทำให้ต้องปล่อยหีบพระศพเดินทางไปล่วงหน้า ส่วนตัวเขาจำเป็นต้องอยู่พักฟื้นในอียิปต์สักพักจนแน่ใจว่าอาการไม่กำเริบแน่ จึงค่อยตามไปภายหลัง
หลังจากนั้น เมื่อบาดแผลค่อยยังชั่ว เมอร์เรย์ ก็รีบเดินทางไปอังกฤษทันที แต่ระหว่างการเดินทางอยู่ในเรือ ปรากฏว่าเพื่อนของเขาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่งหีบพระศพ 2 คน และหญิงรับใช้ชาวอียิปต์ของเขาอีก 1 คน จู่ๆ ก็พร้อมใจกันตายโดยไม่ทราบสาเหตุ พอไปถึงอังกฤษ เมอร์เรย์ ก็รีบจัดการนำหีบพระศพออกจากโกดังท่าเรือกลับบ้าน เมื่อถึงที่บ้านเมอร์เรย์ ตัดสินใจเปิดหีบออกดูพระศพ ทันทีที่ฝาโลงเปิดออกเผยให้เห็นมัมมี่ของเจ้าหญิงเท่านั้น
เมอร์เรย์ ถึงกับผงะก็มัมมี่ของเจ้าหญิงที่เขาเห็นเวลานี้ แตกต่างไปจากที่เคยเห็นซะแล้ว มันดูเหมือน ใบหน้าของคนยังมีชีวิตอยู่จริง กำลังจ้องมองเขาเขม็งด้วยแววตาอาฆาตแค้น คราวนี้ เมอร์เรย์ ปักใจเชื่อว่าคำสาปมีจริงเต็มร้อย เขาคิดว่าสิ่งที่นักโบราณคดีอเมริกันเตือน เริ่มสำแดงเดชให้ประจักษ์ ความหวาดกลัวพุ่งเข้าจับขั้วหัวใจ เขาต้องคิดหาวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะนำหีบพระศพไปให้พ้นตัว แต่ใครล่ะจะมาเป็นผู้รับเคราะห์แทน ในที่สุด ก็มีเพื่อนหญิงที่เคยร่วมชั้นเรียน สนิทสนมกับเขามาตั้งแต่เด็ก ยินยอมรับเอาหีบพระศพไปเก็บไว้
เพื่อนหญิง ของ เมอร์เรย์ ไม่ต้องรอนานเลย บรรดาคำสาปที่ติดอยู่กับมัมมี่โบราณก็เริ่มแผลงฤทธิ์ เริ่มด้วยแม่ของเธอเสียชีวิตกระทันหัน แล้วเธอเอง ก็ถูกสามีทอดทิ้ง แล้วต่อมาก็ล้มป่วยด้วยโรคประหลาด เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นซ้อนๆ กันทำให้เธอรีบนำหีบพระศพมาคืนให้ เมอร์เรย์
เมอร์เรย์ กลัวคำสาปมาก ไม่ต้องการเก็บหีบพระศพไว้เช่นกัน จึงมอบต่อให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกฤษ ทางพิพิธภัณฑ์รีบนำมาจัดแสดงทันทีโดยจัดสถานที่วางหีบพระศพให้เหมือนบรรยากาศอียิปต์โบราณ แล้วเปิดให้นักท่องเที่ยวซื้อบัตรเข้าชม ไม่มีใครคาดว่าเหตุการณ์สยองขวัญจะเกิดขึ้นจนได้ ขณะที่นักท่องเที่ยวคนหนึ่งกำลังถ่ายภาพหีบพระศพอยู่นั้น เขาได้ล้มตึงชักดิ้นชักงอขาดใจตายคาที่โดยไม่มีท่าทีมาก่อน นอกจากนี้นักอียิปต์วิทยาผู้แตะต้องหีบพระศพเพื่อการจัดแสดง ก็นอนตายตาเหลือกอยู่บนเตียงในห้องนอน คล้ายกับตกใจกลัวอะไรบางอย่างสุดขีดจนหัวใจวายกระทันหัน
หนังสือพิมพ์อังกฤษเอาข่าวนี้ไปตีพิมพ์ กลายเป็นข่าวดังทำให้ประชาชนหวาดกลัว ไม่มีใครอยากเฉียดเข้าไปใกล้หีบพระศพเลย ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกฤษ จึงตัดสินใจมอบหีบพระศพใบนี้ให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ซึ่งทางนิวยอร์คก็ยอมรับอย่างยินดี โดยให้ทางอังกฤษจัดส่งโดยเรือที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด และใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นคือ เรือไททานิค
เรือไททานิค เป็นเรือที่ถือกันว่า "ไม่มีวันจม" และถือว่าเป็นเรือที่หรูหราที่สุด หากจะขนย้ายหีบพระศพไปกับเรืออย่างเปิดเผย ก็กลัวผู้คนจะแตกตื่น เลยจำเป็นต้องกระทำอย่างเป็นความลับ ทางฝ่ายขนส่งจัดการบรรจุหีบพระศพใส่ลังอย่างดี แล้วนำไปซ่อนไว้ใต้ท้องเรือ ไม่มีผู้โดยสารทราบเลยแม้แต่คนเดียวว่า มีหีบพระศพอียิปต์โบราณที่มีอาถรรพณ์ บรรทุกมากับเรือด้วย ผู้รู้เรื่องนี้ดีก็คือ บริษัทผู้จัดส่งเท่านั้น เรือไททานิคเที่ยวแรกออกเดินทางจาก South Hamton มู่งสู่New York กระทั่งถึงวันที่ 15 เมษายน ค.ศ.1912 ทั่วโลกก็ตะลึงงันกับข่าว "เรือไททานิคชนภูเขาน้ำแข็งอับปางลงกลางมหาสมุทรแอตแลนติค มีผู้โดยสารเสียชีวิตถึง 1,498 คน" ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่าเรือไททานิคที่มีอุปกรณ์เดินเรือทันสมัย ทำไมถึงอับปางเร็วนัก หรือทำไมถึงต้องพุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็งเข้าอย่างจัง แต่บริษัทผู้รับจ้างขนหีบพระศพและบริษัทประกันภัยเท่านั้นที่ทราบอยู่เต็มอกว่า เหตุที่เรือไททานิคชนภูเขาน้ำแข็งจนมีผู้เสียชีวิตมากมาย เพราะคำสาปของเจ้าหญิงอียิปต์โบราณ "อาเมน-รา" นั่นเอง เรือไททานิคต้องคำสาป และถูกทำลายด้วยมนต์ตราโบราณอายุนับพันปี
เจ้าหญิงองค์นี้คงต้องการที่อยู่ที่สงบ ปราศจากการรบกวนของผู้คน เธอจึงเลือกท้องน้ำที่ลึกที่สุดซึ่งจนกระทั่งบัดนี้ ยังไม่มีการกู้เรือมาได้เพราะความลึกของท้องน้ำทะเล
ที่มา : archaeologythai.com
พักสายตาหน่อย.. น้องน้ำฟ้า เด็กสงขลาส่งเข้าประกวด