ยินดีต้อนรับเข้าสู่ jokergameth.com
jokergame
jokergame shop webboard Article Social


Colocation, VPS


joker123


เว็บไซต์เราจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาเหล่านี้ รวมช่วยกันสนับสนุนสปอนเซอร์ของพวกเรา

colocation,โคโลเคชั่น,ฝากเซิร์ฟเวอร์ game pc โหลดเกม pc slotxo Gameserver-Thai.com Bitcoin โหลดเกมส์ pc
ให้เช่า Colocation
รวมเซิฟเวอร์ Ragnarok
Bitcoin

หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 2 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 12
กำลังแสดงผล 26 ถึง 39 จากทั้งหมด 39
  1. #26
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    80
    กล่าวขอบคุณ
    15
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    016 : Survivor

    นิ้วชี้ขวากดลงเป็นจังหวะ พร้อมกับการระเบิดของดินปืนในปลอกกระสุนโลหะขนาด 7.62 กลไกทำงานโดยพร้อมเพียงกัน ส่งหัวกระสุนพุ่งผ่านลำกล้องปืนที่ยาวประมาณท่อนแขน เข้าสู่มัดเนื้อหยาบๆของเป้าหมายอันสับสนวุ่นวาย เกรฟกระพริบตาหนึ่งครั้งก่อนจะมุดหัวหลบเข้าที่กำบัง

    "****เอ้ย !" โคโลเนลสบถออกมาเสียงดัง แม้เกรฟกับจอร์จจะอยู่ที่แนวหน้า แต่โคโลเนลก็ต้องพยายามหลบกระสุนไว้บ้าง

    เกรฟรู้สึกเหมือนได้กลับเข้าสู่บรรยากาศเดิมๆของชีวิต กลุ่มควันพวยพุ่งจากปากกระบอกปืนพร้อมกับมัจจุราชลูกเล็กๆที่ฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ เสียงระเบิดดังกึกก้องข้างๆหู ที่ชวนชินชา หลังจากที่รอดจากการระเบิดบ้านมาได้อย่างปาฎิหารย์ เกรฟจำต้องคอยคุ้มกันจอร์จที่แบกฟาฮัด เพื่อให้เขาสามารถไปอยู่ที่แนวหลังได้ เพียงแต่ตอนนี้ ศัตรูมีกำลังระดมยิงมาทีพวกเขา มีเกือบร้อย

    "..." เกรฟขว้างระเบิดมือออกไป หวังมามันจะพอช่วยอะไรได้ 3 ชีวิตที่ถูกคร่าจากแรงระเบิดมันช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เขาส่งสัญญาณมือให้จอร์จที่กำลังกระหน่ำ LSAT ของเขา ให้รีบเตรียมตัวเคลื่อนย้ายทันทีที่เกรฟลุกขึ้น

    "ไป!" เกรฟลุกขึ้นแล้วกระหน่ำยิงไปที่เป้าหมาย ทั้งหวังผลและเพียงเพื่อคุ้มกัน จอร์จให้พละกำลังมหาศาลของเขาแบกฟาฮัดขึ้นหลังและรีบวิ่งไปทางออกหมู่บ้านทางเดียวกับที่เกรฟเข้ามา

    "รายการสถานการณ์ ไวเวิร์น!!" แซมแผดร้องอย่างกังวล เห็นได้ชัดว่า ทางนั้นกำลังวุ่นวายเรื่องนี้อยู่

    "ยิงกันมั่วเลยล่ะ!!!" โคโลเนลลั่นไกสังหารมือ RPG นายนึงอย่างรวดเร็ว "ต้องการกำลังเสริมทางอากาศด่วน!!!"

    "อดทนไว้ พรีเดเตอร์ ไปได้เร็วสุดก็ 10 นาที!!"

    "มีห่าเหวอะไรก็เอามาเถอ..." จรวดลูกนึงพุ่งเข้าใส่ชะง่อนหินที่โคโลเนลนอนอยู่อย่างจัง เกรฟเห็นเขาตกลงมาที่ฝืนทรายเบื้องล่าง

    "โอ้...เวร!" จอร์จสบถ "หนุ่มรัสเซียพวกมันมีเยอะเกินไป เราต้องวิ่งอย่างเดียวแล้ว"

    เกรฟปรับปืนเป็นออโตเมติกแล้วกระหน่ำไปทิศเบื้องหน้า พวกกลุ่มก่อการร้ายอย่างหลบกันได้อย่างรวดเร็ว

    "เห็นด้วยเลย.."

    จอร์จพยักหน้าแล้วถอดสลักระเบิดควัน 2 ลูก โยนลงไปที่พื้น ควันสีเทาปะทุออกมาเป็นทรงครึ่งวงกลม มันหนาและเยอะพอที่จะบดบังทัศนียภาพ เกรฟพยักหน้าให้จอร์จวิ่งอย่างเต็มกำลัง เขารีบวิ่งตามอย่างรวดเร็วเพราะควันนี้อยู่ได้ไม่นาน พวกก่อการร้ายยังคงยิงเอามาเพื่อหวังผล

    "ไวเวิร์น 0-4 เกิดอะไรขึ้น?!" แลงย์ลี่ต่อสายเข้ามา "เราติดต่อ 0-1 ไม่ได้"

    "เขาโดนแรงระเบิดกระเด็นตกจากเนินหิน" เกรฟตอบกลับ ขณะที่กำลังออกแรงวิ่งอย่างเต็มที่ โดยหันหลังไปเช็คทางหมู่บ้านเป็นระยะๆ กลุ่มควันเริ่มบางลงแล้วพวกมันกำลังวิ่งกรูมาจากหมู่บ้าน

    "เขายังอยู่!" เกรฟชี้ไปที่ร่างของโคโลเนลที่กำลังค่อยๆลุกขึ้น ให้จอร์จดู เขาพยักหน้า ส่วนเกรฟเริ่มวิ่งช้าลงเพื่อดูทางด้านหลัง

    "ห่าเอ้ย! " เกรฟวิ่งไปที่หาโคโลเนลทันที จอร์จค่อยตอนนี้แบกทั้งฟาฮัดและพยุงโคโลเนลเริ่มจะหมดแรงแล้ว

    "เราอาจจะต้องเคลื่อนย้ายไปด้านบน..." จอร์จละมือจากโคโลเนลที่เกรฟรับช่วงต่อแทน

    "พวกมัน...มาได้ยังไง..." โคโลเนลเช็คสติตัวเองแล้วค่อยๆลุกขึ้น

    "มาเถอะ...เราอาจจะต้านไว้ได้" ทันทีที่เกรฟพูดจบ เสียงห่ากระสุนจากปืนหลายสิบกระบอกดังลั่นพร้อมกับส่งลูกตะกั่วร้อนๆเข้าหาพวกเกรฟ โชคดีที่พวกมันไปชนผืนทรายกับหิน เกรฟรีบพยุงโคโลเนลที่อยู่ในสภาพเหมือนลูกหมาจมโคลนขึ้นไปที่เนินหินก่อนหน้านี้ โดยมีจอร์จที่กางขาทรายแล้วยิงสนับสนุนจากด้านบนรออยู่แล้ว

    "ฟาฮัดเป็นไงบ้าง?" เกรฟวางโคโลเนล แล้วไปนั่งช่วยจอร์จยิงต้าน โคโลเนลยังพอไหวอยู่ เห็นได้จากการที่เขาหาก้อนหินเพื่อวางปืนแล้วยิง

    "โดนก้อนอิฐกระเด็นใส่หัวตอนระเบิดน่ะสิ" จอร์จยังคงกระหน่ำยิง ยังพอทำให้พวกก่อการร้ายต้องเคลื่อนที่ช้า

    "โอเค.. 0 - 4 ถึง HQ อีกกี่นาที? " เกรฟประกบยิงควบคู่กับจอร์จ

    "ประมาณ 2 นาที!" แซมกล่าว "เราเห็นพวกนายแล้ว...พระเจ้า!! พวกมันมาจากไหนกัน"

    เกรฟหันไปมองดูด้านหลังบนฟ้า เครื่องบินไร้คนขับ พรีเดเตอร์ที่ติดตั้งจรวดเฮลไฟร์กำลังบินมาทางพวกเขา เกรฟเริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง

    "โอเคพวก..เรากำลังจะรอดแล้ว" เกรฟหันกลับไปยิงต้าน ในขณะที่จอร์จกำลังบรรจุกระสุนใหม่

    "เราจะยิงล่ะ ! พวกนายหลบๆไว้หน่อย!" ทันทีที่แซมพูดจบเกรฟหันไปมองดูที่เครื่องพรีเดเตอร์ มันอยู่เหนือหัวพวกเขา และกำลังปล่อยมิสไซล์ลำเท่าท่อนแขน มันบินมาอย่างรวดเร็ว

    "ก้มไว้!!!" เสียงระเบิดดังลั่น ผืนทรายกระเด็นขึ้นมาราวกับน้ำกระเซ็น เกรฟหันไปมองสถานการณ์ สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดเลยก็เกิดขึ้น

    "ไม่ ไม่ ไม่!!!" แซมร้องตระโกนลั่น จรวดแบบเฮลล์ไฟร์ลูกอีกลูกหนึ่งพุ่งแหวกทะลุผืนทรายที่อยู่กลางอากาศออกมาอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งเข้าใส่
    เครื่องพรีเดเตอร์จนระเบิดเป็นจุณกลางน่านฟ้า

    "นั่นมัน*****อะไรวะ!?!?" จอร์จตระโกนลั่น ความหวังที่จะรอดกลับไปเริ่มดับวูบ

    "เฮลล์ไฟร์!!! พวกมัน..." โคโลเนลประหลาดใจมาก พวกก่อการร้ายที่พวกเขากำลังปะทะอยู่ มัน..ไม่ธรรมดาเอามากๆ

    "ไวเวิร์น! รายงาน !" แซมกำลังแผดเสียงอย่างรุนแรง จากภารกิจสอดแนมธรรมดาๆ เธอกลับส่งพวกเกรฟมาอยู่กลางดงทหารรับจ้าง "เกิดอะไรขึ้น
    ที่นั่น! ตอบด้วย !!!"

    เกรฟกำลังจะตอบกลับไป แต่แล้ว เค้าก็เหลือบที่เห็นสิ่งที่คุ้นตา มันคุ้นตาเกินไป ทันทีที่ทรายกลางอากาศตกลงมาอยู่ที่ผืนทะเลทราย เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเป็นจังหวะพร้อมกับใบพัด 2 ชั้น มันคอยๆลอยลำอยู่เหนือพวกทหารรับจ้างนั่น ดูเหมือนว่า จรวดเฮลล์ไฟร์ที่ยิงพรีเดเตอร์ตก ก็ยิงมาจากกล่องบรรจุมิสไซล์ที่ติดเอาไว้ใต้ปีกของเล็กๆของมัน

    "ไฮนด์!!!!!!!!!!" เกรฟตระโกนดังลั่น พยายามจะดึงจอร์จและโคโลเนลให้ออกจากเนินหินนี้ แต่ทว่า มันไม่ทันการเสียแล้ว

    จรวดมิสไซล์ลูกนึงถูกยิงมาจากช่องนั้น มันพุ่งตรงเอามาหาเกรฟอย่างรวดเร็ว เกรฟไม่เคยคิดว่า เขาจะต้องมาตายแบบนี้...

    "....ไวเวิร์น..4...ได้..ยิ....หม... ย้ำ....0.....ได้.....ยิน........เปลี่ยน.....พระเจ้----" เสียงซ่าของวิทยุพกพาที่หูฟังติดอยู่ที่หู ค่อยๆอ่อนแรงลงและดับไปในที่สุด

    ท้องฟ้ายามบ่ายอันร้อนระอุสีฟ้าโปร่ง ถูกแทรกด้วยกลุ่มควันที่ลอยโขมงมาจากทางหมู่บ้าน และซากเครื่องพรีเดเตอร์ที่ตกใกล้ๆ ยัง...เขายังไม่ตาย...เกรฟกำมือทั้งสองข้างเพื่อสัมผัสว่าตนยังไม่ตาย ร่างกายไร้ซึ่งความรู้สึก หากแต่เพื่อมันหนักราวกับไม่ใช่ร่างของเขาเอง มือขวาค่อยๆดันพยุงตัวให้ลุกขึ้น เกรฟมองไปรอบๆตัว พวกเขากระเด็นจากเนินหินที่เคยอยู่บนเนินทรายมาไม่ไกลนัก จอร์จแล้วฟาฮัดต่างนอนคว่ำหน้าทั้งคู่ เกรฟจึงไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นยังไงบ้าง ส่วนโคโลเนล เขาขยับปลอกตานิดๆ เป็นสัญญาณว่ายังไม่ตาย ดูเหมือนเกรฟจะเป็นคนเดียวที่ยังมีสติอยู่ เกรฟคลำหาปืนของตนแล้วหยิบขึ้นมา เขารู้ดีว่า ตอนนี้ ยังไงก็ไม่มีทางที่จะรอดจากพวกทหารรับจ้างนั้นได้ เค้าได้แต่หวัง แซมกับแลงย์ลี่อาจจะสามารถเคลื่อนทัพมาช่วยพวกเขามาทันเวลาก็ได้

    เป็นความคิดที่ตลกสิ้นดี...

    เสียงเฮลิตอปเตอร์จู่โจม Mi-24 "Hind" ยังคงดังกระหึ่มอยู่เหนือพวกเขา เกรฟไม่รู้แน่ชัดว่าตอนนี้ พวกเขาอยู่ที่ตำแหน่งไหน แต่มันคงไม่ไกลจากหมู่บ้านมาก

    "ยังอยู่เหรอะ...ฮึ..."

    เกรฟสะดุ้งแล้วหันหลังไปพร้อมจะเหนี่ยวไกลทันที แต่ทว่าเขากลับโดนกระแทกใบหน้าอย่างแรงด้วยของแข็ง

    "ใจเย็น...ใจเย็น...." เกรฟมองหน้าชายดังกล่าว เขาเบิ่งตา ถึงแม้ว่ามันจะไม่ชัดเจนในตอนแรก แต่ว่า มันใช่แน่ๆ

    "อัซราม...." เกรฟกัดฟันพูด ชายคนนั้นมาตัวเปล่า แต่มาพร้อมกับทหารรับจ้างคนนึงที่ไม่ได้สวมเครื่องปกปิดใบหน้า เกรฟจึงเห็นได้อย่างชัดเจน
    เขากำลังเล็ง AN-94 มาทางเกรฟ

    "...และ นาย...คงจะเป็น เกวริล..เดมอนเชฟสินะ" อัซรามยิ้ม แล้วกวักมือเรียกทหารรับจ้างอีกเกือบ 10 นายเข้ามา

    "ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวสินะ...เอาล่ะ เกรงว่า พวกนายจะต้องไปกับชั้นซะแล้วล่ะ"

    เกรฟจ้องมองอัซรามอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ พยายามข่มใจไม่ให้ทำอะไรโง่ๆ

    "อ่ะ...ลืมไป..." อัซรามหยิบปืนพกจากซองของทหารรับจ้างข้างๆ "เดรคโค่ ของยืมหน่อยนะ"

    "พวกนั้นบอกมาเลยว่า จับตาย กรณีเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดี...แต่ โคลบี้..."

    อัซรามเดินไปทางโคโลเนลแล้วใช้เท้าค่อยๆเหยียบวางลงบนหัวของเขา

    "ชั้นมีเรื่องจำเป็นต้องคุยกับเพื่อนเก่า ซักหน่อย...ลาก่อน คุณเดมอนเซฟ"

    เกรฟตาเบิกกว้าง อัซรามเล็งปืนมาที่เขาแล้วเหนี่ยวไก อย่างรวดเร็ว ความรู้สึกเหมือนมีดเสียดแทงเข้าที่หน้าอก ส่งเกรฟเข้าสู่ความมืดมิด...


    เกรฟลืมตาตื่นขึ้นมา สัมผัสกับเกล็ดหิมะอันเยือกเย็น ลมหายใจแผ่ออกมาเป็นควันสีขาวบริสุทธิ์ เขารีบวิ่งเข้าหากองไฟตรงหน้า โดยลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไป

    "เกวริล...หรือชั้นควรจะเรียกว่า เกรฟ ดีล่ะ" เสียงอันคุ้นหูดังขึ้น แม้เสียงๆนี้จะไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษนักก็ตาม

    "ซาช่า?" เกรฟหันไปมองชายในชุดธรรมดาที่สวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ที่ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของกองไฟ

    "ยังอยู่ดีนะ?" ซาช่า เอากิ่งไม้เสียบมาร์ชเมลโล่แล้วเอามันไปอุ่นไฟ

    "แต่นาย...แล้วชั้น....." เกรฟกำลังจะพูด

    "ไม่ๆ นายยังไม่ตายหรอก เกวริล นี่เป็นแค่ภาพความฝันบ้าๆบอๆที่สารเคมีในหัวนายมันสร้างขึ้น" ซาช่าส่งมาร์ชเมลโลที่สุกกำลังดีให้เกรฟ

    "กินซะ....แล้วรีบไป" ซาช่ายิ้ม "ยังมีคนต้องการนายอยู่"

    "อะไรนะ?"


    เกรฟสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา จากกลิ่นควันไฟที่มาจากองไฟที่ใหญ่มากๆ ทุกอย่างมันมืดไปหมด แต่เกรฟรู้สึกได้ มือของเขากำลังสัมผัสกับเนื้อของมนุษย์อย่างแน่นอน

    "บ้าเอ้ย!!!" เกรฟสบถในใจ แล้วออกแรงทั้งหมดที่มีดันตัวเองออกมาก และใช้มือทั้งสองข้างแหวกออก เขาอยู่ใต้กองศพประมาณ 10 ศพ ของพวกทหารรับจ้างที่ตายไปตอนปะทะ เกรฟออกแรงดันแหวกออกมาจากได้สัมผัสกับอิสรภาพในที่สุด

    "เฮ้ย!!!! อะไรวะ***!!" เสียงตระโกนดังขึ้น เกรฟหันไปเห็นชายในชุดทหารรับจ้างกำลังตกใจราวกับเห็น เขาไม่รอช้า พุ่งเข้าไปปลดอาวุธ แล้ว
    สังหารชายคนดังกล่าวเสีย เสียงปืนทำให้ชายอีก 2 คนวิ่งเข้ามา เกรฟไหวตัวทันแล้วยิงสังหารทั้งสองอย่างรวดเร็ว

    เหตุการณ์สงบลง

    เกรฟคลำมือเข้าไปในเสื้อเคฟล่าที่เป็นรูสองรูด้วยคมกระสุนของอัซราม กระสุนไปโดนกับแผ่นเหล็กที่เกรฟใส่เอาไว้บริเวณหน้าอก ทำให้เขารอดอย่างหวุดหวิด เขามองดูรอบๆ เขาอยู่ที่จัตุรัสกลางหมู่บ้านแห่งเดิม ข้างๆมีกองศพที่เขาพึ่งขุดออกตัวเองออกมา ห่างออกไปมีกองไฟขนาดใหญ่และพบศพจำนวนหนึ่งที่นั้น กองไฟสุขสว่างโชติช่วงท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมิดของทะเลทรายเวลากลางคืน

    "ชั้นหลับไปนานเท่าไหร่เนี่ย" เกรฟสำรวจรอบๆ แล้วพบรถกระบะเก่าๆ ที่มีปืนวางเรียงรายอยู่บนกระบะ 3-4 กระบอก หนึ่งในนั้นคือ SCAR-H ของเขา มันคงไปถูกใจทหารซักคนที่เขาพึ่งฆ่าไปแน่ๆ

    เกรฟเตรียมเครื่องกระสุนและอุปกรณ์บนเสื้อผ้าและเครื่องป้องกันขาดๆ ราวกับผ่านสงครามโลกมา วิทยุที่ใช้ติดต่อกับพวกแซมก็เสียหายไปแล้ว เกรฟรอไม่ได้อีกต่อไป เขาหยิบวิทยุ walkie talkie เก่าๆ มาจากศพพวกทหารรับจ้าง แล้วสตาร์ทเครื่องรถกระบะ

    "รอก่อนนะพวก..."

  2. #27
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    80
    กล่าวขอบคุณ
    15
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    017 : Infiltrator

    พายุทรายโหมกระหน่ำเข้าใส่เกรฟอย่างไร้ความปราณี หลังจากรถกระบะเครื่องยนต์เสีย เกรฟไม่มีเวลาไปนั่งซ่อมอย่างแน่นอน เขาออกเดินจากจุดนั้นมาประมาณ 2 ชั่วโมงแล้ว ยังคงไร้ซึ่งวี่แววของฐานทัพของอัซราม ร่างกายที่เริ่มอ่อนล้าและไร้กำลัง ไม่อาจจะหยุดความตั้งใจของเกรฟได้
    เขาหงายท่อนแขนเพื่อดูเวลาจากนาฬิกาดิจิตอล อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกชิ้นเดียวที่รอดพ้นจากการยิงปะทะที่หมู่บ้านนั้น วิทยุ walkie-talkie ที่หยิบติดมือมาด้วยก็ไร้เสียงสัญญาณ

    "2 ทุ่ม..." เกรฟพึมพำและแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า พายุกำลังค่อยๆซาลง เกรฟจึงปลดผ้าซีมัคที่พันใบหน้าอยู่อย่างมิดชิด หมู่ดาวมากมายที่ประดับท้องฟ้ายามค่ำคืนเกือบจะทำให้เกรฟนึกว่า ตนมาเที่ยวพักผ่อน แต่ SCAR-H ที่กำเอาไว้ในมือยังคงช่วยเตือนสติเขาเอาไว้

    เกรฟหยุดเดินและนั่งลงบนเนินทรายขนาดใหญ่ หลังที่เขาเห็นหุบเขาทอดตัวเป็นแนวยาวอยู่ด้านหน้า ห่างออกไปประมาณ 500 เมตร ด้วยซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้างที่น่าจะเคยเป็นหมู่บ้านมาก่อน กับสิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนรูปสลักขนาดใหญ่ที่สลักเข้าไปในตัวหุบเขา เป็นรูปคนขนาดใหญ่ ถ้าเกรฟจำไม่ผิด สิ่งนั้นคือพระพุทธรูปหินแห่งบามิยันที่โดนพวกตาลีบันซึ่งเป็นรัฐบาลของอัฟกานิสถานในช่วงปี 2001 ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำหรับพระพุทธศาสนา เกรฟถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากที่สำรวจบริเวณพระพุทธรูป ส่วนหนึ่งให้กับความหัวรุนแรงและชาตินิยมของเหล่าตาลีบัน ส่วนหนึ่งให้กับความไร้วี่แววของกองทัพของอัซราม

    เกรฟนั่งลงจนแทบจะนอน หยิบขวดน้ำสนามขึ้นมาเพื่อดื่มน้ำอึกเล็กๆ ก่อนจะนั่งสังเกตุไปทางหมู่บ้านที่ตีนหุบเขาบามิยัน ในขณะที่สายลมหนาวของทะเลยทรายพัดเอื้อยๆ เกรฟเหลือไปเห็นแสงและควันไฟค่อยลอยขึ้นมาที่บริเวณซากปรักหักพังเข้า เขาไม่รอช้า ใช้กล้องทางไกลบริเวณนั้น เขาเห็นทหารรับจ้างในชุดที่คุ้นตาประมาณ 4-5 นาย ที่คงจะออกมาเดินเล่นรับลม ไม่ก็เป็นยามเฝ้าระวังกะกลางคืน
    แน่นอน มันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วนอกจากเข้าไปที่บริเวณนั้นแล้วหาฐานทัพดังกล่าวของอัซราม เกรฟไถลตัวลงจากเนินทรายแล้วรีบวิ่งก้มไปที่ซากหมู่บ้านแห่งนั้นอย่างเร่งรีบ

    "โฮเทล 7 ได้ยินแล้วตอบด้วย...เปลี่ยน" เสียงวิทยุ walkie-talkie ที่เกรฟหยิบติดมาดังขึ้นพร้อมกับเครื่องอื่นๆ อีก 5 เครื่องของทหารในบริเวณนั้น โชคดีที่มันยังใหม่ที่จะมีหูฟังแบบข้างเดียวติดมาด้วย

    "โฮเทล 7 ถึงฟ็อกทร๊อต 5-3 ชัดเจน ขับเข้ามาได้เลย เปลี่ยน" ทหารที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มโฮเทล 7 พูดตอบกลับไปทางวิทยุ เกรฟกำลังหลบอยู่หลังกำแพงของบ้านหลังหนึ่งที่ไกลพอที่พวกนั้นจะไม่รู้สึกตัว และใกล้พอที่จะยิงสังหารพวกมันได้แบบแน่นอน เขากำลังพยายามมองไปรอบๆเพื่อหาลู่ทางหรือร่องรอยของฐานทัพ แต่มันไม่มีอะไรเลย

    ก่อนที่รถบรรทุกทหารคันหนึ่งจะค่อยๆแล่นเข้ามาจากทิศทางเดียวกับที่เกรฟผ่านมา

    "โอเค ฟ๊อกทร๊อต 5-3 ดาราคนโปรดของชั้นคือใคร" หัวหน้าหน่วยโฮเทล 7 ลุกขึ้นมาหยุดรถบรรทุกดังกล่าวไว้

    คำถามที่ถามไปคงจะเป็นสัญญาณลับ ป้องกันพวกลับลอกเข้ามา เพราะถ้าตอบผิดเมื่อไหร่ล่ะก็ คนตอบผิดจะโดนยิงจนพรุนแน่นอน เกรฟไม่อาจฉุกคิดได้อีกต่อไป รถบรรทุกนี่เป็นสิ่งเดียวที่อาจจะนำเขาไปสู่ฐานทัพของอัซรามได้ เขาจึงรีบวิ่งเรียบกำแพงแล้วโดดมากลางถนนทราย ตรวจดูรอบข้างอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกเท้าขึ้นส่วนกระบะของรถบรรทุกไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่มันมีผ้าหนาๆคลุมเอาไว้ทั้งกระบะ และสิ่งที่ขนมาก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นเครื่องกระสุนกับอาวุธปืนจำนวนมาก

    "แอนน์ แฮทธาเวย์" คนขับรถนั้นที่คงจะมีรหัสว่า ฟ๊อกทร๊อต 5-3 กล่าว หัวหน้าโฮเทล 7 พยักหน้า แล้วกล่าวว่า ไปได้ รถบรรทุกค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านอย่างรวดเร็ว เกรฟที่นอนราบหลบอยู่หลังรถยังคงคิดว่ามันง่ายเกินไป แต่ไม่ใช่ว่า เป็นเพราะนี่เป็นกับดัก แต่ใครๆก็คิดว่า ทีม ไวเวิร์น 0 โดนจับ 3 และตาย 1 ไปแล้ว

    "นี่ เอ็ด รู้เรื่องที่อัซรามจับพวกสหรัฐได้รึยังวะ?" หลังจากที่รถแล่นมาไกล ตลอดระยะทางที่ผ่านมา ไอ้สองตัวหน้ารถเอาแต่คุยเรื่องเที่ยวผับกับซื้ออีตัวเมื่อได้เวลาพักผ่อน ประโยคนั้นเป็นประโยคแรกที่สะกิดต่อมสนใจของเกรฟเข้า

    "อ่า ได้ยินมาว่า มีคนที่เคยฆ่าล้างโคตรกลุ่มของอัซรามอยู่ด้วยนี่" เอ็ดถามชายคนขับรถ พลางสูบบุหรี่ไปพลาง หมอนี่คงไม่เคยคิดถึงความปลอดภัยเลยสินะ

    "ใช่ เป็นสมาชิกพวก Azure Wolf ด้วยนี่ ถ้าจำไม่ผิดนะ" เกรฟตัวแข็งทื่อขึ้นมาในทันที ก่อนหน้านี้ อัซรามก็เคยพูดทำนองนี้มาแล้ว ที่ว่า "จับตายเท่านั้น" หรือสิ่งที่แวนดอลเตือนเอาไว้จะเป็นความจริง ก่อนที่เกรฟจะคิดไปมากกว่านี้ ดูเหมือนว่ารถบรรทุกจะค่อยๆชะลอความเร็วลง

    "เอาล่ะ จะได้นอนซักที" ชายคนขับรถพูดขึ้น เกรฟเปิดผ้าแหง้มมองสถานที่รอบๆ พวกเขาพึ่งผ่านประตูลูกกรงขนาดใหญ่ที่มีป้อมยามคุมขนาบสองข้าง ขับแล่นมาทางพื้นหินที่ดูเหมือนเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่ ลงต่ำจากชั้นพื้นผิวไปเรื่อยๆ จนมิอาจเห็นแสงจันทร์ได้ในที่สุด เสียงของผู้คนและเครื่องยนต์ดังระงมอยู่ภายใน "ถ้ำ" ขนาดยักษ์ รถบรรทุกเเล่นมาเรื่อยๆจนหยุดจอดที่ด้านหน้าของท่ารถภายในถ้ำ เกรฟมองดูไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้ อาจจะกว้างถึง 2 สนามฟุตบอลก็เป็นได้ ทั้งทหารยามที่เดินตรวจเต็มไปด้วย และรถกระบะอีกหลายคัน

    "ฐานทัพใต้ดิน..." เกรฟพึมพำในใจ ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงปิดประตูรถทั้งสองข้าง

    "เดี๋ยวอีกซักพักจะมีคนมาจัดการเอาลงไปเอง เราไปพักก่อนเถอะ" เสียงคนขับรถกล่าว ได้โอกาสแล้วที่เกรฟจะลง ก่อนจะลง เขาคลำหาวัตถุระเบิดในกองคลังแสงเล็กๆท้ายรถ เผื่อยามจำเป็น

    "C4 3 ลูกน่าจะพอ" มีแล้วไม่ได้ใช้ ยังดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี เขาคิด

    เกรฟเปิดผ้าหนาๆออกแล้วโดดลงมาจากหลังรถอย่างเงียบเชียบ แล้วสำรวจรอบๆ สถานที่แห่งนี่ น่าจะมีความสูงประมาณตึก 2 ชั้น ผนังหินถูกขุดเป็นโพลงทางขนาดประตู 2 บาน และเชื่อมต่อถึงห้องเล็กๆ ที่มีกระจายอยู่ทั่วๆ จุดที่จอดรถอยู่ เป็นจุดทีเป็นลานกว้างๆใหญ่กว่าจุดอื่นๆ แต่เกรฟมั่นใจ ว่ามันจะมีใหญ่กว่านี้แน่นอน
    จะรอช้าไม่ได้ ที่นี่ต้องเป็นฐานทัพของอัซรามแน่ๆ เกรฟรีบตรงไปที่ทางเดินล่าสุด เขายังไม่รู้จำนวนของทหารที่นี่อย่างแน่นอน จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการปะทะให้มากที่สุด เกรฟเดินไปตามทางเดินหินที่มีการติดตั้งหลอดไฟเอาไว้ไม่ถี่มาก ความมืดไม่ใช่ปัญหา แต่เส้นทางต่างหาก

    "แกว่าไอ้เจ้าโคลบี้อะไรนั้น ที่โดนเดรคโค่ลากไป มันจะอึดซักแค่ไหนวะ" เสียงสนทนาดังมาจากเบื้องหน้า เกรฟรีบหาที่ซ่อน ก่อนจะเหลือบไปเห็นร่องหินขนาดพอดีตัว เขาจึงพุ่งเข้าซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว

    "พนัน 20 เหรียญ อีก 2 ชั่วโมงมันก็น๊อคแล้ว" เสียงสนทนาดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เกรฟชักมีดต่อสู้ออกมารอ เตรียมพร้อมสำหรับเหตุไม่คาดฝัน

    "อ่า แล้วไอ้ดำนั้นล่ะ" พวกมันสวมชุดคล้ายกับชาวพื้นเมืองปากีสถานเพียงแต่มีอุปกรณ์การรบและปืนเพิ่มมา มันสองคนมาหยุดอยู่ที่หน้าร่องหินที่เกรฟซ่อนอยู่พอดี

    "*****...." เกรฟสบถเบาๆ กำลังจะง้างมือออกไปสังหาร แต่ดูเมื่อว่า พวกมันจะยังไม่เห็นเขา

    "เฮ้...อีก 10 นาที ชั้นต้องไปผลัดเวรที่ห้องขังว่ะ" คนที่อยู่ไกลออกไปพูดขึ้นพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจะสูบ ดูเหมือนอากาศคงจะหนาว มันเผลอทำบุหรี่ตกลงพื้น

    ห้องขัง...จอร์จ ฟาฮัด....

    "เค้าห้ามสูบบุหรี่แถวนี้นี่หว่า" คนที่อยู่ตรงหน้าเกรฟพูดขึ้น

    "เออ ก็กูอยาก....เฮ้ย!!!!"

    เกรฟกระตุกแขนของตนแทงมีดเข้าไปที่ท้ายทอยของคนตรงหน้า ทะลุเข้าสู่ไขสันหลังและก้านสมอง หยุดการทำงานของชีวิตโดยสมบูรณ์ ก่อนจะดึงมันออกอย่างรุนแรง เลือดสาดกระเช็นเป็นเส้นตรงตามแนวมีด แล้วใช้มือซ้ายผลักร่างของมันออกไปด้านข้าง เขาพุ่งเข้าไปตีเข่าเข้าที่จุดอ่อนของคนที่หยิบบุหรี่ มันร้องครางเล็กๆ ก่อนจะโดนหมัดซ้ายประกบเข้าเต็มๆที่กรามจนเลือดกลบปาก เกรฟใช้แขนซ้ายวางพาดจับที่หน้าอกของมัน แล้วใช้มีดที่มือขวาจ่อบริเวณขมับของรวดเร็ว

    "เงียบ..." เกรฟพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ราวกับยมทูตในคืนอันหนาวเหน็บ "บอกชั้นหน่อย...ว่าทหารสหรัฐที่พวกแกจับมาอยู่ที่ไหน?"

    "***เป็นใครว...อึก" เกรฟกระแทกท่อนแขนซ้ายเข้าไปที่ลำคอของมัน "ดะ...เดินไปทางนั้น ป..ประมาณ 50 เมตร มันอยู่ในห้องขัง....ยะ...อย่าฆ่าชั้นนะ" มันชี้มือไปทางที่ที่มันกับเพื่อนเดินมา

    "แล้วอีกคนล่ะ...โคลบี้ แกพูดว่า เขาไม่ได้อยู่ในห้องขังนี้" เกรฟค่อยๆฝั่งคมมีดเข้าไปในเนื้อที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ จนเลือดเริ่มไหลซึมออกมา

    "....จะ...เจ้านั้น อัซรามต้องการจะสะส้างเรื่องเก่ากับมัน...ขะ เขาเลยจับมันไปที่ห้องบัญชาการ มัน...มันอยู่ชั้นล่างลงไปอีก 2 ชั้น..." มันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นระริก มองเห็นความกลัวและความเป็นมือใหม่ในฐานะทหารได้ชัดเจน

    เห็นได้ชัดว่า ที่นี่อยู่ลึกจากพื้นผิวโลกพอสมควร อัซรามจะต้องมีคนสนับสนุนที่มีเงินและอำนาจสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอย่างแน่นอน เกรฟไม่อาจเห็นหนทางรอดอะไรเลย ตอนนี้คงต้องช่วยโคโลเนล,จอร์จ และฟาฮัดให้ได้ก่อน เกรฟแทงมีดเข้าไปที่ขมับของทหารคนนั้นจนมิดด้าม มือซ้ายปิดปากเพื่อป้องกันเสียงที่จากเล็ดลอดมาจากปาก จนในที่สุด มันก็แน่นิ่งไป

    เกรฟลากศพของทหารทั้งสองเข้าไปซ่อนในร่องหิน แล้วเดินไปตามทางทิศที่ได้ข้อมูลมา

    50 เมตรต่อมา เกรฟพบกับทหารยามที่กำลังเฝ้าประตูไม้เก่าๆอยู่คนนึง ซึ่งอาจจะเป็นห้องขัง เกรฟดูลาดลเาของทางเดินที่ไม่แน่นอนที่นี้ ดูเหมือนจะหน้าที่เวรยามจะถูกกำหนดเอาไว้อยากชัดเจน เพราะตลอดทางที่เกรฟเดินมายังไม่พบทหารคนอื่น และไม่มีการรายงานว่าพบศพอะไรของใครด้วย เกรฟเห็นว่าได้โอกาสเขาจึงวิ่งพุ่งเข้าไปจัดการสังหารยามนั้นและลากศพผ่านประตูไม้เข้าไป กลิ่นเหม็นสาบแห้งๆ คละคลุ้งเข้ามาสู่รูจมูกทันที ภายในห้องมีกรงโลหะขนาด 3*3 อยู่ 4-5 กรง หลอดไฟ 2 ดวงที่ติดอยู่บนเพดานให้แสงสว่างไม่ทั่วถึงนัก เกรฟพบชายคนหนึ่งในชุดทหารสหรัฐแบบเดียวกับเขานั่งหันหลังพิงประตูกลูกรงอยู่

    "*****อะไรอีกวะ?" เสียงที่ใหญ่อึกทึกและมีท่าทีขี้เล่นอันคุ้นหูดังขึ้น "จะต่อยกับกูอีกรอบเหรอไง?"

    เป็นจอร์จอย่างแน่นอน

    "นี่ชั้นเอง" เกรฟนำกุญแจห้องขังที่อยู่กับผู้คุมมาปลคล๊อคกรงขังของจอร์จ ในขณะที่ฝ่ายหลังกำลังลุกขึ้น

    "ไอ้******!! ชั้นนึกว่านายตายไปแล้วซะอีก" จอร์จเดินออกมาจากกรงขัง ยืดเส้นแล้วเตะไปที่ศพของทหารยามแรงๆ 1 ครั้ง ก่อนจะหยิบปืน G36C กระสุนและวิทยุ Walkie-taklie มาจากศพนั้น

    "ดูท่าทางนายโอเคดีนะ" เกรฟกล่าว "แล้วฟาฮัดล่ะ"

    "ชั้นไม่รู้ว่ะ ชั้นรู้สึกตัวตอนฮอที่ยิงพวกเราลงจอดในฐานนี่ ชั้นเห็นแค่โคลบี้ หมอนั่นโดนลากไปชั้นล่าง" จอร์จอธิบาย "ที่ด้านโน้น เป็นโรงจอดฮอ 2 ลำ และมีรถกับอาวุธอีกเป็นเบือ ช่องทางเข้าของฮอมันเป็นช่องหินที่กว้างมากก็จริง แต่อยู่เหนือระดับพื้นชั้นนี่เกือบ 60 เมตร ชั้นไม่เห็นทางหนีออกจากที่นี่เลยว่ะ"

    "ฮองั้นเหรอ" เกรฟครุ่นคิด ก่อนจะยื่นระเบิด C4 3 ลูกและตัวจุดชนวนให้กับจอร์จ "นายไปรอที่นั้นเลย จัดดอกไม้ไฟลูกใหญ่ๆเลยนะ แต่เหลือฮอเอาไว้ลำนึงก็พอ"

    "ได้ เรื่องถนัดเลยล่ะ แล้วนายล่ะ หนุ่มรัสเซีย?"

    "ชั้นจะลงไปช่วยโคลบี้และตามหาฟาฮัด ถ้ามีจำเป็นจริงๆล่ะก็ จุดระเบิดได้เลย" เกรฟกล่าวอย่างเรียบๆ สายเลือดสเปซนาซเริ่มกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง "มีอะไรที่ชั้นควรจะรู้อีกไหม?"

    "ชั้นเดาว่า ข้างล่างนั้น มีพวกมันเป็นร้อยเลยล่ะ พกโชคไปเยอะๆนะพวก"

    "....งานนี้ ได้มียิงกันเละแน่"

    จอร์จหัวเราะเบาๆแล้วไปประจำตำแหน่งที่ประตูก่อนจะเปิดออกไป เกรฟพยักหน้าแล้วแยกย้ายกับเขาตรงนั้น ในขณะที่ จอร์จวิ่งกลับไปทางที่เกรฟมา เกรฟวิ่งเข้าสู่ทางเดินอันอับแสงเบื้องหน้า...ต่อไป

  3. #28
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    80
    กล่าวขอบคุณ
    15
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    018 : Loose

    เกรฟค่อยๆก้าวลงเหยียบขั้นบันไดโลหะเล็กๆอันเป็นทางลงสู่ชั้นล่างอีกชั้นของฐานทัพใต้ดินแห่งนี้ ฟังจากเสียงวิทยุแล้ว ยังคงไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น หลังจากแยกกับจอร์จ เกรฟก็ตรงดิ่งมาตามทาง หลีกเลี่ยงการปะทะกับทหารยาม 2-3 ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมา มันจึงไม่ได้ยากเย็นอะไรมากนัก

    มาถึงจนได้...เกรฟคิด เขาสำรวจดูสภาพโดยรวมของที่นี่ บริเวนบันไดมีกล่องกระดาษและกล่องเก็บของอยู่ ตรงออกไปดูเหมือนเป็นพื้นที่ที่ใหญ่มากๆ และมีการขุดทางเดิน แยกเป็นห้องเล็กๆ อีกมากมายไฟเปิดสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวัน เสียงอึกทึกก็ดังกว่าชั้นที่ผ่านมา เกรฟค่อยๆเดินไปที่มุมทางเดินก่อนจะรีบกลับเข้ามาหลบเพราะที่นี่เต็มไปด้วยทหาร และมี 2 นายกำลังเดินมาทางเขา

    "ไอ้ 2 ตัวนั้น หายหัวไปอยู่ไหนนะ ได้เวลาเปลี่ยนผลัดแล้วเนี่ย" ทหารนายหนึ่งที่เดินนำผ่านเกรฟที่ซ่อนตัวโดยการนำลังกระดาษขนาดใหญ่มาปิดตัว

    "ไม่รู้วะ ยังไงซะ ก็รีบไปเถอะ คงอัดบุหรี่อยู่แหงๆ" คนที่เดินตามมาเอ่ยขึ้นโดยไม่รู้สึกถึงเกรฟที่ซ่อนตัวอยู่

    เมื่อทั้งสองเดินผ่านและขึ้นบันไดหายลับไป เกรฟก็ดันตัวขึ้นมา เมื่อซักครู่จะหมายถึงทหารสองคนที่โดนเก็บไปรึป่าวนะ ถ้าใช่ เกรฟก็จะช้าไม่ได้แล้ว เกรฟวาง SCAR-H พวดไปด้านหลัง ก่อนจะหยิบ USP45 เก็บเสียงพร้อมกับมีดต่อสู้ออกมา แล้วตั้งท่าโดยการถือมีดเอาไว้ที่มือซ้าย สำหรับการจู่โจมที่รวดเร็ว

    เกรฟเคลื่อนตัวผ่านที่กำบังจุดต่อจุดอย่างรวดเร็ว บริเวณที่เป็นที่พักทหารแบบนี้ ห้องบัญชาการน่าจะอยู่ไม่ไกล ณ เวลานี้ ที่นี่ค่อนข้างคึกคัก หลายๆคนกำลังคุยกันและบางคนกำลังเปิดเพลงฟังในห้องของตน เกรฟยังไม่อาจหาที่ทางที่จะไปต่อได้ นอกจากตรงไปข้างหน้า เกรฟค่อยๆเดินให้ตัวติดกับผนังและที่กำบังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่เกรฟกำลังเดินย่างก้าวอยู่นั้นเอง ทหารกลุ่มหนึ่งประมาณ 4-5 ก็เดินมาจากทิศที่เกรฟกำลังมุ่งหน้าไป เกรฟเกือบจะหลบให้พ้นสายตาเสียแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่เพราะชุดสีทรายเละๆที่คุ้นตาและใบหน้าที่พอจำเค้าโครงได้ เกรฟเฝ้ามองแล้วพึมพำกับตัวเอง

    "ฟาฮัด !!" เกรฟสะดุ้งขึ้นมา ในสถานการณ์แบบนี้ ที่เกรฟต้องเลือก แน่นอน เกรฟค่อยๆไล่ตามกลุ่มทหารที่ดูเหมือนกำลังควบคุมตัวฟาฮัดอยู่เพื่อไปที่ไหนซักแห่ง ถ้าหากช่วยฟาฮัดได้ เขาจะได้ข้อมูลของโคโลเนลและเพื่อนร่วมรบมาอีกคนแน่นอน

    ฟาฮัดที่อยู่ในสภาพมอมแมมไม่ต่างกับเกรฟ กับสีหน้าที่ดูหน่ายๆ อีกทั้งมือยังไม่ได้ถูกมัดอีกด้วย ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรงของผู้จับกุม ฟาฮัดที่ซึ่งอยู่ในหน่วยรบพิเศษ UNSF เป็นตัวอันตรายควรจะถูกควบคุมให้แน่นหนาที่สุด เกรฟสะบัดความคิดเรื่อยเปื่อยออกจากหัว เป้าหมายตอนนี้คือช่วยฟาฮัดให้ได้ก่อน ไม่นานนัก โชคก็เข้าข้าง เมื่อทหารยาม 2 คนที่อยู่ด้านหลัง แยกตัวออกไปทำให้เกรฟสามารถเข้าจู่โจมได้ ดูเหมือนว่า พวกมันกำลังควบคุมตัวฟาฮัดไปทางด้านซ้ายของพื้นที่ ทันทีที่พวกมันเดินเข้าสู่ส่วนที่เป็นทางเดินยาวที่ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ เกรฟพุ่งเข้าไปแตะตัวฟาฮัดเบาๆ เมื่อเขารู้ตัวแล้วหันหน้ามา เกรฟก็ไม่รอช้า ยิงทหารคนหน้าเข้าที่หลัง 3 นัดอย่างแม่นยำ มันล้มลงไปนอนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเข้าไปเอามีดเสียบเข้าที่ไหล่ขวาของอีกคนจากด้านหลัง แล้วดึงมันให้ล้มลง แล้วจัดการด้วยกระสุนอีก 2 นัดที่หน้าอก ฟาฮัดผละไปนิดนึงด้วยความตกใจ

    "นายโอเคไหม?" เกรฟถามพลางขยับศพของทหาร 2 นายให้ถูกกล่องไม้และลังบริเวณนั้นบดบัง

    "นาย...นายรอดมาได้ยังไง??" ฟาฮัดมีท่าทีสงบลงบ้าง

    " Breastplate น่ะ" เกรฟปลดซองกระสุน USP อันเก่าออก แล้วใส่อันใหม่เข้าไป "...นายรู้เหรอว่า เกิดอะไรขึ้น?"

    "ตอนที่ชั้นตื่น ชั้นก็อยู่ในห้องบัญชาการกับโคลบี้แล้ว ชั้น...ชั้นไม่เห็นนาย เลยนึกว่า นายตายไปแล้ว"

    "..." เกรฟเม้มปากพยักหน้า "แล้วโคลบี้ล่ะ ปลอดภัยดีไหม?"

    "ชั้นไม่รู้สิ ชั้นรู้สึกตัวก่อนเขา พวกมันเลยจะหาชั้นไปห้องขัง" ฟาฮัดหันหน้าไปมาเบาๆเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง

    "...โอเค นายจะไปกับชั้นไหม ตอนนี้ จอร์จอยู่ที่โรงเก็บเครื่องบิน กำลังรอจุดระเบิด"

    ฟาฮัดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินไปที่ศพของทหาร แล้วหยิบปืนพกขึ้นมา

    "ชั้นจะไปหาจอร์จเอง....ที่นี่มันเฮงซวย" ฟาฮัดขึ้นลำกล้องปืนสั้น "ห้องบัญชาการตรงไปทางนั้น ระวังด้วยล่ะ"

    "ขอบใจ..ชั้นจะรีบช่วยโคลบี้ แล้วกลับหาพวกนายให้เร็วที่สุด" เกรฟหันหลังให้ฟาฮัด แล้วกำลังจะก้าวเดินกลับไปทางเดิม เสียงพื้นรองเท้าบูท
    กระทบพื้นหินเบาๆ แต่เกิดเบาดังทึบ ช่วยดึงสติของเกรฟให้กลับมาจากความรีบร้อน แล้วเรียบเรียงปะติดปะต่อเรื่องราว

    "ฟาฮัด.." เกรฟหยุดเดิน กำมีดในมือแน่น "นายดูไม่ตกใจเรื่องจอร์จเลยว่ะ"

    "ว่าไงนะ?" ฟาฮัดถาม เกรฟหันหลังไป ยกมือขึ้นหมายจะจ้วงแทงเป้าหมาย

    เปรี้ยง ! เสียงปืนดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งชั้น เลือดหยาดเล็กสาดเป็นทางยาวจากแก้มอันหยาบกร้าน แต่ปะทะมันไม่อาจหยุดเขาได้ ฟาฮัดกับแววตานักฆ่ากำลังจะลั่นไกนัดต่อไป หลังจากที่เกรฟสามารถเบี่ยงตัวหลบกระสุนนัดแรกได้อย่างหวุดหวิด เขาก้าวสาวเท้าแล้วพุ่งชาร์จคมมีดสีเงินสะท้อนเข้าหาฟาฮัดราวกับกระทิงดุ ฟาฮัดลั่นไกนัดที่สอง เป้าหมายคือหว่างคิ้วของเกรฟที่กำลังพุ่งเข้ามา เพียงแต่ว่าเกรฟสามารถเอียงหัวหลบมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ฟาฮัดเบิกตากว้างรับกับแววตามือสังหารของเกรฟ มีดกำลังพุ่งเข้าใส่ลำตัวของฟาฮัดอย่างไม่มีอะไรหยุดมันได้...ณ ตอนนี้

    เปรี้ยง เปรี้ยง ! เลือดสาดกระจุยไหลซึมออกมาจากเสื้อเนื้อสเปนเดกสีทราย มีดตกกระทบกับพื้นอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยผู้ถือมัน เกรฟโน้มตัวลงนอนตามแรงเคลื่อนที่ มือขวารีบกุมสีข้างซ้ายที่บาดเจ็บตามสัญชาตญาณอย่างรวดเร็ว

    "เดรคโค่!!" ฟาฮัดทำเสียงตื่นเต้น "มาทันเวลาพอดี"

    เกรฟกัดฟัน ด้วยความแค้นเครียดและสะกดความเจ็บปวด กระสุนขนาด 5.45 จากปืน AN94 พุ่งเฉียวสีข้างหนึ่งนัด และทะลุไปอีก 1 นัด เขาพยายามจะลุกขึ้นแต่โดนฟาฮัดเตะเบาๆก็ล้ม เดรคโค่ ชายชาวยุโรปผมยาม สีน้ำตาลที่เขาจำได้ จากการพบอัซรามที่ทะเลทราย กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับทหารอีกจำนวนหนึ่ง ความเฉยชาไร้อารมณ์บนใบหน้า ที่ค่อนไปทางหล่อเหลาของเขา บ่งบอกถึงความชินชาต่อการยิงคน

    "เกวริล? Breastplate สินะ" เดรคโค่กล่าว "ชั้นว่าอัซรามต้องชอบแน่ๆ"

    "ก็นะ" ฟาฮัดยักไหล่ก่อนจะหันมาทางเกรฟที่ตอนนี้ กำลังถูกหามอยู่ในท่าคุกเข่าโดยทหาร 2 คน

    "ทำไม..." เกรฟเอื้อนเอ่ยต่อฟาฮัด "นาย...เป็นสายลับงั้นเหรอะ..."

    "เซอไพรซ์ไหมล่ะ" ฟาฮัดยิ้มเยาะ "แต่ที่น่าเซอไพรซ์กว่าคือ ***หลบกระสุนปืนได้ไงวะ ****.."

    ฟาฮัดฉีกยิ้มกว้างราวกับคนโรคจิตก่อนจะเดินไปทางห้องบัญชาการ

    "มาดูกัน...ว่าคราวนี้ แกจะรอดไหม" เดรคโค่ก้าวเข้ามา ก่อนที่จะง้างพานท้ายปืน เกรฟรู้ดีว่ากำลังจะโดนอะไร เขาหลับตาก่อนที่จะถูกทำให้หลับไหลไปชั่วขณะ

    "เขาหักหลังคนมาเยอะแล้ว.." นายโซโคลอฟกล่าวอธิบายให้กับเกวริลในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ทั้งคู่แต่งกายด้วยชุดพลเรือนจึงไม่ตกเป็นเป้าสายตา

    "เกี่ยวกับเรื่องนี้...เรื่องค้าอาวุธ" เกวริลชี้ที่กระดาษเอกสารภาษารัสเซียบนโต๊ะ "เขาวางแผนอะไรอยู่ ที่ให้การสนับสนุนพวกกบฏเชชเนียพวกนั้น"

    "มันมีหลายเหตุผล" โซโคลอฟจิ๊บกาแฟ "แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ชั้นเดาได้เพียงอย่างเดียว"

    "รัฐบาลกำลังอ่อนแอจากพิษเศรษฐกิจ ประชาชนตกงานและขาดแคลนอาหาร การประท้วง" เกวริลขุ่นคิดไล่ที่ละข้อ ทันใดนั้น เขาก็เบิกตากว้าง

    "รัฐประหาร..."


    แสงไฟสว่างจ้าค่อยๆปลุกเกรฟจากภวังค์ ความเจ็บปวดและชาจากการถูกพานท้ายปืนกระแทก เขาเองไม่รู้ว่าตนสลบไปนานแค่ไหน แต่มันคงไม่นานมากนักหรอก

    เพราะเบื้องหน้าคืออัซรามกำลังยืนกอดอกอยู่ พร้อมกับซองปืนและปืนพกที่เข็มขัด

    สีหน้าของอัซรามไม่ได้แสดงถึงอารมณ์ด้านลบ ออกไปทางแสดงความยินดีเสียมากกว่า ด้านหลังของเขามีโต๊ะเปล่าๆวางอยู่ และมีชายที่เกรฟรู้จักดีนั่งอยู่เก้าอี้ในสภาพถูกมัดมือ รอบๆข้าง มีโต๊ะเอกสารแผนที่และเครื่องมือสื่อสารมากมาย การที่เอาโคโลเนลมาไว้ที่นี้ อัซรามคงมั่นใจมากแน่ๆว่าสามารถคุมตัวพวกเขาได้ เกรฟค่อยๆคืนสติขึ้น

    "รู้ไหม...ว่าปกติชั้นไม่ชอบยิงคนที่หัว.." อัซรามอธิบายด้วยท่าทางราวกับพิธีกรรายการเกมโชว์ พลางหันไปมองฟาฮัดและเดรคโค่ที่เข้ามาพอดี
    "ส่วนที่สวยงามที่สุดของคนเวลาตายก็คือใบหน้า ชั้นจึงอยากเก็บส่วนนั้นๆเอาไว้ให้กับทุกคนที่ชั้นฆ่าทิ้ง....แต่นายทำให้ชั้นคิดใหม่นะ"

    "ส่งคนออกไปดูแล้ว เรากำลังคว้านหามันอยู่" เดรคโค่กล่าว "ไม่น่าไว้ชีวิตไอ้ดำนั้นเลย"

    "จอร์จ?" โคลบี้ที่ถูกมัดอยู่กล่าวขึ้นมา พลางมองมาที่เกรฟ "นาย..."

    "ช่ายๆ มันยังไม่ตาย นั้นเรารู้กันหมดแล้ว" ฟาฮัดขัดจังหวะขึ้น "ยังไงซะ เดี๋ยวพวกแกก็ได้ตายกันแล้ว"

    "ฟาฮัด...แก..." เกรฟกัดฟัน ด้วยเชือกที่มัดอย่างแน่นหนา ต่อให้ออกแรงยังไงมันก็เอาไม่ออก พวกนี่คงรู้วิธีจัดการกับพวกหน่วยรบพิเศษเป็นอย่างดี

    "หึ...เกวริล...นายนี่ช่างไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย ทุกๆวันนี้ โลกใบนี้มันมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่เป็นความลับเต็มไปหมด สายลับแฝงตัว ผลประโยชน์ทางธุรกิจ บลาๆๆๆ" ฟาฮัดแบมือทั้งสองข้าง "พวกเราเป็นอะไรที่ใหญ่ ใหญ่มากๆ อีกไม่นาน ทั้งเจค๊อบและ Azure Wolf จะตกเป็นของเราทั้งหมด"

    "หุบปากสว่างๆของแกได้แล้ว" อัซรามกล่าวห้าม ซึ่งฟาฮัดก็ปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง "ก็อย่างที่แกเดาๆนั้นแหละนะ เกวริล พวกแกถูกล่อให้มาตายที่นี้ เราวางแผนเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่ให้ชั้นไปล่อเป้าให้โคลบี้เลือดขึ้นหน้า ใช้ฟาฮัดและคนภายในเกลี้ยกล้อม UNSF ให้พาตัวแกมาเชือดถึงที่นี้"

    "สารเลวเอ้ย!!" โคโลเนลคำราม เกรฟเองก็นึกเจ็บใจ ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไง "พวกมัน" ตั้งแต่ที่เกาลูน และจ้างวานคาลอสที่บราซิล เป็นองค์กรเดียวกันหรือไม่ก็เป็นส่วนหนึ่งกับกองทัพของอัซราม ได้วางแผนเอาไว้ทั้งหมด เป้าหมายของพวกมันคงจะเป็นการกวาดล้าง Azure Wolf จริงๆ แต่เพื่ออะไรกันล่ะ?

    "ยังจำคราวนั้นได้ไหม โคลบี้ ปฏิบัติการทลายรังแตนนั้น" อัซรามปลดกระดุมเสื้อของตนทีล่ะเม็ด ออกจะเปิดมันออก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นรูปกระสุนปืน 2 จุดที่บริเวณอกซ้าย "พวกแก โดยเฉพาะแก พรากชีวิตพี่น้องของชั้น และเกือบจะพรากชีวิตชั้นไป..."

    "แล้วใครใช้ให้***ไปเป็นผู้ก่อการร้ายล่ะวะ?!?" โคโลเนลคำราม แต่ก็ไม่มีผลอะไรกับอัซราม

    "ผู้ก่อการร้ายเหรอะ? ชั้นอยากให้แกคิดซะใหม่นะ ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ก่อการร้าย ที่แทรกแซงเข้ามา และตั้งตนเป็นใหญ่ในบ้านของคนอื่น !!!" อัซรามทุกมือกระแทรกโต๊ะ "สหรัฐอเมริกาคือบ่อแห่งความชั่วช้าที่สมควรโดนทำลายให้สิ้นซาก!!!"

    อัซรามเริ่มสงบสติอารมณ์ก่อนจะพูดต่อ

    "ชั้นไม่อยากจะฆ่าแก โคลบี้ ชั้นอยากให้แกได้เห็น ได้เห็นแผ่นดินอเมริกาลุกเป็นไฟ ให้แกได้เห็นพวกพ้องของแกโดนฆ่าอยากเลือดเย็นในขณะที่แกทำอะไม่ได้เลย ชั้นอยากให้แกได้รู้สึกเหมือนกันชั้น ได้รู้สึกถึงดวงวิญญาณที่แตกสลายจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป!!!"

    "แกขู่ชั้นได้ อัซราม แต่แกจะไม่มีวันได้อย่างที่แกต้องการ!!" โคโลเนลตอบกลับ

    ราวกับทั้งสองเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว มันทำให้เกรฟนึกถึงคาลอส ที่ยอมรับและเสียทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้ฆ่าแรปป้า อัซรามในตอนนี้เป็นเหมือนหัวหน้าสาขา ผู้ซึ่งไม่เหลือสิ้นใดแล้วนอกจากความกระหายการทำลายล้างผู้ที่ตนอาฆาต เกรฟใคร่รู้เหลือเกินว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด

    "โอ้...ขู่งั้นเหรอ? ไม่เลย โคลบี้ อย่าลืมสิ ว่ายังไงซะ พวกแกก็ถูกลงชื่อจับตายอยู่แล้ว" พูดจบอัซรามก็หยิบปืนพกของตนออกมาแล้ว เล็งมาที่
    ตรงหน้าของเกรฟพอดี

    เกรฟเบิกตากว้างรับกับนัยต์ตาที่โฟกัสภาพลำกล้องปืนกลางแสกหน้าของตนพอดี

    "ลาก่อน...อีกครั้ง คุณเดมอนเชฟ"

  4. #29
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    80
    กล่าวขอบคุณ
    15
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    019 : Dawn

    “อัซราม!! พบศพคนของเรา 3 ศพบริเวณที่พักชั้น 1 ” เสียงรายงานจากทหารยามที่ได้รับคำสั่งให้คว้านหาตัวจอร์จดังขึ้น ช่วยยืดเวลาชีวิตของเกรฟไปได้ 2-3 วินาที

    “เดรคโค่ ไปจัดการสิ” อัซรามลดปืนลงเป็นระยะสั้น สั่งเดรคโค่ ฝ่ายหลังก้าวเดินไปที่ประตูอย่างไร้ท่าทีใดๆ

    เกรฟได้แต่นั่งคุกเข่า จดจ้องอยู่ปากกระบอกปืนพก P99 ในมือของอัซราม

    “ดูเหมือนเพื่อนของพวกแกก็แสบใช้ได้นะ” อัซรามก่อนที่จะหันปืนเล็งมาทางเกรฟอีกครั้ง

    “ไปตายซะ ไอ้พวกระยำ!!!” เสียงดังกังวาลอันคุ้นหูดังแหวกออกมาทางวิทยุ อัซราม เดรคโค่ และ ฟาฮัดต่างมองหน้ากันไปมา

    เกรฟได้โอกาสลุกขึ้น คิดจะพุ่งเข้าไปแทคเคิลอัซราม ในขณะที่ฟาฮัดแล้วเดรคโค่ยกปืนขึ้นเล็ง โคโลเนลลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

    “แผลงฤทธิ์นักนะ!!!” ฟาฮัดตระโกนลั่น

    แรงระเบิดมหาศาลกระแทกเข้ามาจากทุกทิศทาง ผนังห้องที่เป็นชั้นหินแตกกระจุยกระจายจนทำให้เครื่องมือในห้องนั้นลอยกระเด็นเสียหายไปทั่ว ทันทีที่เสียงระเบิดดังประทุ เกรฟรู้สึกได้ว่าเวลาเริ่มเดินช้าลง เดรคโค่โดนแรงระเบิดที่บริเวณประตูจนกระเด็นถอยหลัง ฟาฮัดเสียหลักจนหน้ากระแทกกับโต๊ะที่โคโลเนลถีบเข้าหาเขา ส่วนอัซรามกำลังจะเหนี่ยวไกสังหารเกรฟ แต่ทว่า ด้วยแรงทั้งหมดที่มีเกรฟดึงข้อมือออกจากกัน จนเชือที่มัดเอาไว้หลุดปมแล้วง้างหมัดซ้ายชกเข้าที่กรามของอัซรามอย่างเต็มแรง อัซรามก็สวนกลับด้วยเข่าเข้าที่ท้องแต่เกรฟกลับไม่รู้สึกอะไรมากนัก ก่อนจะถีบอัซรามออก และในจังหวะนั้นเอง อัซรามยกปืนขึ้นหมายจะยิงเกรฟ

    “รอนานไหมเพื่อน!!!” จอร์จที่มาพร้อมกับปืนลูกซอง USAS-12 พุ่งตัวเข้ามาทางประตูหน้าห้อง ฝ่าเปลวเพลิงและกลุ่มควันเข้ามา เดรคโค่ที่ตั้งหลักได้แล้วพยายามยิง AN-94 ใส่จอร์จ แต่ด้วยอาการจากแรงระเบิดทำให้มันพลาดไป ก่อนที่จะโดนจอร์จยิงด้วยปืนลูกซองเข้าไปจังๆที่กลางลำตัวหนึ่งนัดจนกระเด็นนอนแน่นิ่งไป ก่อนระดมยิงไปทั่วห้อง ในขณะที่โคโลเนลและเกรฟต่างหมอบหลบกับพื้น จนอัซรามก็โดนคมกระสุนเฉือนร่างลงไปกองกับพื้นอีกคน

    “ไอ้สัตว์เอ้ย!!!! ” ฟาฮัดพยายามจะยิงโต้ตอบแต่กลับถูกโคโลเนลเตะเข้าไปคางจนเสย

    “เราต้องรีบแล้ว พวกมันจะยกโขยงกันมาที่นี้ เราต้องรีบไปกันแล้วล่ะ!!!” จอร์จกระโจนข้ามร่างอันแน่นิ่งของเดรคโค่มาก่อนจะจ้องมองดูที่ฟาฮัดที่สลบไปแล้ว

    “ไอ้ฟาฮัด? อะไรวะเนี่ย?” จอร์จสบถ ดูเหมือนเหตุการณ์ในห้องจะสงบลงแล้ว แต่ส่วนอื่นๆของฐานทัพลับนี่ กำลังเดือดพล่านและเต็มไปด้วยเสียงโวกเวก

    “มันหักหลังเรา รีบไปกันก่อน เรื่องอื่นค่อยว่าทีหลัง เกรฟ?” โคโลเนลถามเกรฟ ที่กำลังมองดูร่างของอัซรามพลางเอามือกดแผลที่โดนเครดโค่ยิง

    “ไปที่จานจอดฮอ จอร์จ?” เกรฟ กล่าวทัก จอร์จพยักหน้า

    “ชั้นวางระเบิดเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้จุดระเบิด เอาไว้เวลาหนี”

    “เยี่ยม” โคโลเนลกล่าวหลังจากปลดเชือกที่มัดมือได้แล้ว ตาเขาเบิ่งกว้างและตัวเริ่มก้มต่ำลง “รีบไปจากที่นี่ เร็ว!!”

    พูดจบ ห่ากระสุนจำนวนมากก็ยิงเข้ามาในห้องบัญชาการอย่างไม่ยั้ง จนบีบให้พวกเกรฟต้องวิ่งออกไปอีกทาง ทิ้งร่างของอัซรามเอาไว้ในห้องนั้น เสียงตระโกนที่พอฟังเป็นคำของพวกทหารที่ตามมาด้านหลัง พวกนั้นกำลังเดือดปุดๆเลยที่เดียว หลังจากวิ่งเข้าสู่ส่วนทางเดิน เกรฟหันไปมองด้านหลังเป็นระยะสั้นๆ นอกจากกลุ่มทหารนับสิบที่วิ่งตามมาแล้วกำลังยิงใส่พวกเขาอยู่ เขาเห็นฟาฮัดกำลังลุกขึ้น

    “ขึ้นบันได!” จอร์จที่วิ่งนำหน้าตระโกนบอก ก่อนจะยิงซัดกระสุนลูกซองใส่ทหาร 2 นายทารอดักอยู่ระหว่างชั้นบันได โดยที่แง้มมองด้านบน ก่อนที่จะรีบหดลงมาพร้อมกับห่ากระสุนของพวกที่ดักรออยู่แล้ว

    “จะใช้แฟลชล่ะนะ” จอร์จกล่าวกับบเกรฟและโคโลเนลที่จัดการยึดอาวุธและกระสุนจากศพของทหารสองนายนั้นมาแล้ว โคโลเนลเปลี่ยนแมกกระสุนปืน Ak74s-u แล้วยืนด้านหลังของจอร์จ ส่วนเกรฟกับปืนไรเฟิล TAR21 ที่จะเป็นคนคุ้มกันก็อยู่ข้างๆกับจอร์จ ซึ่งกำลังกำระเบิดแฟลชเอาไว้ในมือ

    “เอ้า...” จอร์จดึงสลักรอชั่วขณะ โยนระเบิดแฟลชไป มันแทบจะทำงานทันทีเนื่องจากจอร์จกะเวลาเอาไว้ก่อนจะปาออกไป เหล่าทหารที่ร้องเสียงหลงเพราะตาพร่าเป็นสัญญาณให้ “ลุย!!”

    จอร์จวิ่งนำขึ้นไป แล้วลั่นไกระเบิดกระสุนลูกซองประเคนใส่เหล่าทหารที่ไมทันตั้งตัวอย่างระห่ำ หยาดเลือดจากร่างกายสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งห้องราวกับระเบิดถังสี โคโลเนลเล็งเป้าหมายที่จอร์จพลาดไปด้วยการยิงเป็นชุด และปิดด้วยเกรฟที่ยิงอย่างแม่นยำแม้จะบาดเจ็บอยู่ก็ตาม ทหารเกือบสิบนาย ลงนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น

    “ไปเร็ว!!” โคโลเนลกล่าว ในขณะที่เกรฟยิงตอบโต้กับทหารกลุ่มที่ตามมาทางบันไดจากชั้นล่าง พวกมันถูกตรึงเอาไว้ด้านล่าง และจอร์จที่โยนระเบิดมือเข้าที่ช่องบันได้นั้น 2 ลูก

    ทั้งหมดรีบวิ่งออกจากชั้นนั้นอย่างรวดเร็ว เสียงระเบิดดังอึกทึกอยู่เบื้องหลังในขณะที่พวกเขาทั้ง 3 กำลังวิ่งไป หลบไป ยิงไป กับเหล่าทหารที่ดาหน้าเข้ามาจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง
    อีกไม่นานก็ถึงโรงจอดฮอแล้ว

    “ต้านพวกมันเอาไว้ อย่าให้พวกมันหนีรอดไปได้!!!!!” พวกทหารตระโกนสั่งกันอย่างเดือดดาษ

    พวกเกรฟกำลังฝ่าดงกระสุนจากปืนไรเฟิลนับ 10 กระบอกจากด้านหน้า และยิงโต้ตอบกับอีก 10 ทางด้านหลัง ชั้น พักอาศัยที่ชั้น 1 กลายเป็นสนามรบขนาดย่อมๆ ควันไฟและแสงประกายส่องสว่างทั่วทั้งชั้น เกรฟที่แม้จะบาดเจ็บอยู่ กลับรู้สึกและสามารถสู้ได้ดีกว่าที่ผ่านๆมา กระสุนทุกๆนัดที่เขายิงสามารถที่จะทำให้พวกทหารร้องโหยหวนและสิ้นชีพได้อย่างแม่นยำ กลิ่นดินปืนและควันจากช่องคัดปลอกกระสุนไม่อาจระแคะระคายนัยต์ตาที่กำลังเพ่งมองการสังหารของเกรฟได้ กระสุนนัดสุดท้ายในแมกกระสุน 5.56 แมกสุดท้ายถูกยิงออกไป

    “จอร์จ เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว!” เกรฟควักปืนพกออกมาแล้วยิง

    “ชั้นวางระเบิดเอาไว้ที่ชั้นบน แต่ถ้าจุดล่ะก็ เราอาจจะหนีออกจากที่นี่ไม่ทันนะ!” แมกกระสุน Usas12 ถูกปลดออกมา จอร์จก็หยิบปืนพกของตนออกมาเช่นกัน

    “อย่างน้อยมันก็น่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้นะ” โคโลเนลกล่าว “เอาเลย!”

    จอร์จหันไปมองหน้าเกรฟ เขาพยักหน้ารับ จอร์จหมอบลงแล้วหยิบแท่นสัญญาณจุดระเบิดC4 ออกมา แล้วกดเบาๆ
    เสียงระเบิดดังอื้ออึงอยู่ในถ้ำนั้น ระเบิดที่ถูกวางเอาตามจุดต่างๆระเบิดเรียงกันเป็นตัวโดมิโน พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับอาฟเตอร์ซ๊อค จนพวกทหารไม่อาจยืนอยู่ได้ ห้องหับต่างๆถูกระเบิดเป็นจุณ ไม่อาจเหลือสิ้นได้เอาไว้ดูต่างหน้าได้ เมื่อเสียงระเบิดใกล้เข้ามาพร้อมกับผนังหินที่เริ่มถล่มลงมา

    “วิ่ง!!!!” เกรฟตระโกนลั่นก่อนจะออกตัววิ่งออกจากที่กำบัง ใช้ปืนพกยิงพวกทหารที่จะยิงใส่พวกเขาโดยมีจอร์จแล้วโคโลเนลวิ่งตามหลัง

    “โว้!!! โว้ย!!!!!” จอร์จตระโกนดังลั่นพลางวิ่งกึ่งกระโดดข้ามก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถล่มมาจากชั้นบน พวกทหารที่แต่เดิมไล่ล่าพวกเกรฟ ณ ตอนนี้กำลังพากันหนีตามเหมือนมดแตกรัง โคโลเนลต้องวิ่งหลยเศษและก้อนหินที่กำลังร่วงลงมา จนพวกเขาถึงบันไดที่จะพาพวกเขาไปโรงจอดฮอ

    “นายไปเอาระเบิดมากมายขนาดนี้มาจากไหนวะ!?!” เกรฟตระโกนถามขณะที่ลดความเร็วลงแล้ว

    “ตอนกำลังคลำทางไปโรงจอดฮอเจอคลังแสงเข้าน่ะ!!” จอร์จพูดอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่จะมีเสียงระเบิดดังลั่นมาจากด้านหน้าของพวกเขา เปลวเพลิงโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง พื้นสั่นจนทำให้พวกเขาเกือบจะล้ม “นั้นระเบิดที่คลังแสงสินะ”

    “โอ้ เวร..” โคโลเนลกล่าวเบาๆ

    ทั้งสามวิ่งผ่านซากหินและถ้ำโพลงที่โดนระเบิดจนแหลกบางที่กลายสภาพเป็นหลุมเนื่องจากการถล่มของชั้นดิน แม้พวกเขาจะกระโดดข้ามไปได้ไม่ยาก แต่ถ้าพลาดมันก็หมายถึงชีวิต

    “เฮ้!!!” เกรฟที่วิ่งนำตระโกนลั่น พวกเขาวิ่งมาถึงโรงจอดฮอ แต่สภาพมันดูเหมือนนรก ทั้งแท๊งน้ำมันเชื้อเพลิงและยานพาหนะพวกรถฮัมวี่ที่โดยระเบิดจนสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่โดยรอบ เปลวเพลิงกำลังโหมกระหน่ำพื้นที่ภายในถ้ำและกำลังย่างสดเหล่าทหารผู้โชคร้าย หินกองใหญ่ที่ถล่มมาจากด้านบนปิดทางออกที่ใหย่โตของถ้ำนี่ เหลือเพียงทางคนเดิน กำลังแออัดและเต็มไปด้วยเหล่าทหารที่กำลังหลี้ภัย ตรงกลางมีเฮลิคอปเตอร์ Mi -24 Hind อยู่ 2 ลำ โดยที่ลำหนึ่งกลายเป็นซากไปแล้ว

    “มาเร็ว!!” เกรฟกวักมือเรียกแล้ว วิ่งนำไปที่ ฮอ เขาหยิบปืนไรเฟิล Ak-74 ที่ตกอยู่กับศพบริเวณนั้น ยิงสังหารนักบินของเครื่อง Mi-24 ที่กำลังพยายามเปิดคอกพิทเพื่อใช้ฮอหลบหนี

    “ไอ้นี่ เนี่ยนะ?!! อย่าล้อกันเล่นนะโว้ย!!” โคโลเนลสบถ

    “เชื่อชั้นเถอะน่า” เกรฟโยนปืนทิ้งแล้วเปิดฝากระจกที่นั่งนักบินกับผู้ช่วยนักบิน “โคโลเนล นายมาที่ผู้ช่วยนักบิน จอร์จไปส่วนห้องโดยสาร เต็มอาวุธให้พร้อม!”

    “ได้เลย!!” จอร์จรับคำก่อนที่จะวิ่งไปเปิดประตูเลื่อนที่ส่วนห้องโดยสารด้านหลัง

    ท่ามกลางเสียงระเบิดแล้วเปลวเพลิง เสียงปืนไรเฟิลดังขึ้น

    “จอร์จ!!!” เกรฟพุ่งเข้าไปหาจอร์จที่ฟุบลงไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว เขาโดนยิงที่ลำตัว 2 นัด กระสุนทะลุออกไปจนเลือดไหลออกมามาก

    “ชั้นไหว...” จอร์จกล่าวอย่างสั้นๆ ในขณะที่เกรฟอุ้มเขาขึ้น

    “เวรเอ้ย!!!” โคโลเนลชักปืนพกออกมาแล้ว หันไปที่ต้นทิศทางของกระสุน แต่แล้วก็ต้องมุดหัวหลบ เมื่อโดยยิงสวนกลับมาเป็นชุด

    เกรฟกระชากประตูห้องโดยสารแล้วค่อยๆอุ้มจอร์จเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร แล้วปิดประตู เขาชักปืนแล้วหันไปยิงมือปืนลึกลับอย่างรวดเร็ว แต่ฝ่ายหลังหลบได้ แล้วยิงสวนกลับมา แต่กระสุนกลับไปกระทบกับผิวเครื่องฮอด้านบนของเกรฟ

    “เดรคโค่?” เกรฟเบิกตา ครู่หนึ่ง เขาเห็นเดรคโค่ในสภาพยับเยินและมีเลือดไหลตามจุดต่างๆทั่วร่างกาย อ้าปากเพื่อช่วยหายใจ ในมือกระชับ AN -94 เอาไว้แน่นพร้อมสำหรับการยิงครั้งต่อไป

    “แกรอดมาได้ยังไง?” เกรฟตระโกนพลางเล็งปืนไปที่เดรคโค่

    “แล้วแกล่ะ เกวริล!!!” เดรคโค่ตระโกนกลับ ก่อนที่จะเหนี่ยวไกปืนยิงมาที่เกรฟ แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บ ทำให้มันพลาดเป้า แต่เฉี่ยวต้นแขนซ้ายของเกรฟที่ก้มตัวหลบ แล้วยิงโต้ตอบจนไปโดนเข้าที่ท้องของเดรคโค่ จนล้มลงไป แต่ทว่า เดรคโค่ไม่ยอมแพ้ ควักปืน SIG Sauer P226 ออกมายิงใส่เกรฟ

    “****เอ้ย!!” เกรฟไม่อาจเสียเวลาได้อีกต่อไป เขาวิ่งหลบกระสุนแล้วกระโดดขึ้นที่นั่งนักบินแล้วติดเครื่องอย่างรวดเร็ว

    “ไอ้เฮี้ยนั้น! เดรคโค่!?!” โคโลเนลตาม

    เกรฟไม่ตอบแต่พยักหน้าอย่างแรง เขาเพิ่มระดับการลอยตัวของฮอในขณะที่ใบพัดปั้นแรงขึ้นจนมันเริ่มลอยตัว

    “ใส่หูฟังซะ” เกรฟกล่าวกับโคโลเนล “จอร์จ นายโอเคมั้ย?”

    “โคตรๆ ไอ้เปรตที่ยิงชั้น มันคือใครวะ” จอร์จซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังตอบกลับมาทางวิทยุของเครื่อง

    “ไอ้เดรคโค่”

    “ไอ้*****นั้นน่ะนะ??”

    เฮลิคอปเตอร์ลอยตัวสูงขึ้นจนผ่านช่องหินที่แต่เดิมกว้างอยู่แล้ว จากการระเบิดทำให้มันกว้างขึ้นอีก แล้วค่อยๆ บินไปทางทิศใต้ผ่านเทือกเขาบามิยันในช่วงเข้าที่มืดมิด

    “โคโลเนล ติดต่อไปทางแซมสิ” เกรฟกล่าวขณะบังคับเครื่องอย่างคล่องแคล่ว

    “โอเค ได้” โคโลเนลที่ไดพักผ่อนบ้างแล้ว เริ่มจัดการกับคลื่นวิทยุ เครื่อง Hind ค่อยๆบินผ่านผืนทรายรวดเร็ว

    อย่างน้อยในตอนนี้ พวกเขาก็รอดมาได้แล้ว เกรฟเริ่มสงบใจขึ้นมาหน่อย เขาถอนหายใจแรงๆ มองดูทิวทัศน์ของทะเลอันรกร้างยามเช้ามืด ถึงแม้จะคาใจเรื่องของอัซรามและความเชื่อมต่อของกลุ่มทหารรับจ้าง แต่ตอนนี้ ขอให้เขาได้มีเวลาพักหายใจซักหน่อย เรื่องน่าปวดหัวพวกนั้นค่อยให้แวนดอลจัดการเอาเถอะ

    “ขอบคุณพระเจ้า พวกนายมันเกินคนจริงๆ!!!” เสียงของแซมฟังมาทางวิทยุ ทุกคนในเครื่องได้ยินทั้งหมด

    “ความจริง เธอควรจะขอบคุณ เกรฟ เขามันพระเอกตัวจริง!!!” จอร์จกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

    “ใช่เลยล่ะ แซม...เตรียมวอดก้ากับสเต็กชิ้นใหญ่ๆเอาไว้รอเลย”

    เกรฟยิ้ม

    “อ้า...เอาเป็นว่าขอทำแผลกับเตียงนุ่มๆก่อนดีกว่านะ”

    แสงรุ่งอรุณสาดส่องรับกับเฮลิคอปเตอร์ Hind ในขณะที่มันบินสู่ค่ายนอร์ริส

  5. #30
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Oct 2012
    กระทู้
    129
    กล่าวขอบคุณ
    25
    ได้รับคำขอบคุณ: 87
    เนื้อเรื่องน่าติดตามมากครับ นานแล้วที่ไม่ได้อ่านนิยายสงครามที่สนุกเร้าใจแบบนี้ หวังว่าจะแต่งจนจบนะครับ
    สู้ๆครับผู้แต่ง
    CPU : i5-2400 3.10GHz VGA : AMD HD 6790 RAM : ddr3 1600 8gb

  6. #31
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    80
    กล่าวขอบคุณ
    15
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    020 : Our Turn

    “เดรคโค่ อายุราวๆ 28 คอเคเซียน ผมทอง หน้าตาค่อนข้างดี สูง...” ลิซ่าทวนรายละเอียดที่เกรฟให้มา เธอกำลังอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะระดับไฮเอนพร้อมกับหน้าจอมอร์นิเตอร์ขนาด 100 นิ้ว และเชื่อมต่อกับเซริฟเวอร์ขนาดใหญ่สองตัวในห้องถัดไป โดยมีแซม โคโลเนล แวนดอลและมาริ อยู่ด้วย

    “อ่า....” ลิซ่าส่งเสียงให้ลำคอขณะเฝ้ามองจอมอนิเตอร์แสดงข้อความว่า กำลังประมวลผลข้อมูล

    “ได้ล่ะ!” เธอร้อง บนจอมอร์นิเตอร์แสดงใบหน้าของชาย 3 คนพร้อมประวัติโดยละเอียด “เดรคโค่เป็นชื่อยอดนิยมในวงการทหารรับจ้างเลยนะ แต่ตัวจี๊ดๆคงมีอยู่ไม่กี่คนหรอก”

    “อืม...โดยเฉพาะ...หมอนี่” เกรฟชี้ไปที่ใบหน้าริมขวาสุด ลิซ่าขยายใบหน้านั้นขึ้นมา พร้อมกับข้อมูลอย่างละเอียด

    “ดันเต้ บลานซ์ เกิดที่แซ็งเตเตียน ฝรั่งเศส เคย...เป็นทหารรับจ้างของกลุ่ม Guillotine มีศูนย์ใหญ่อยู่ที่ปารีส เป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่กำเนิด ก่อนเป็นทหารรับจ้างเคยหน่วยรบพิเศษของฝรั่งเศส มีเหรียญกล้าหาญ และเชิดชูเกียรติ” มาริไล่สายตาอ่านแบบสรุปอย่างรวดเร็ว “หมอนี่จี๊ดตัวพ่อเลยล่ะ แถมหน้าตาดีซะด้วย”

    “ใช่ หมอนี่แหละ” โคโลเนลกล่าวเสริม “มันเดินตามตูดอัซรามอย่างกับหมา”

    “แต่ดูประวัติแล้ว หมอนี่ไม่น่าจะยอมเป็นลูกน้อง คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้การร้ายอย่างอัซรามแน่ๆ” โคโลเนลกล่าวพลางหันไปทางมาริ

    “ถูกส่งมาช่วยหรือไม่ก็จับตาดู” เธอขยับแว่น “ถ้าที่เกรฟเล่ามาเป็นจริงล่ะก็ น่าจะส่งมาเพื่อจับตาดูมากกว่า”

    เกรฟพยักหน้า

    หลังจากกลับสู่ค่ายนอร์ริสอย่างปลอดภัย และให้ข้อมูลกับแลงย์ลี่ เรื่องเกี่ยวกับการทรยศของฟาฮัด ทำให้มีการค้นข้อมูลของเจ้าหน้าที่ภายในกองทัพที่อัฟกานิสถานและปากีสถานทั้งระบบเพื่อป้องกันสายลับแบบฟาฮัดอีก ส่วนจอร์จที่บาดเจ็บสาหัสแต่ยังดูคึกคะนองก็มีท่าทีเซ็งหน่อยๆ พอรู้ว่าเกรฟและโคโลเนลจะต้องกลับแมนฮัตตันในวันรุ่งขึ้น โดยมีแซมตามมาด้วย

    “ยัยบ้าเอ้ย เธอพาพวกเค้าไปลุยอะไรมาวะเนี่ย!!!” นั้นคือคำพูดแรกของแวนดอลหลังจากเห็นทั้ง 3 ที่อาคาร AW Tower หลังจากนั้น เกรฟและโคโลเนลก็ผลัดกันเล่าเรื่องของฮัซรามซึ่งน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับกองกำลังลึกลับที่จ้องจะกวาดล้าง Azure Wolf อยู่ มาริสะดุดกับ เดรคโค่ เกรฟเล่าว่า เก่งเกินกว่าจะเป็นแค่ผู้ก่อการร้ายธรรมดาๆ และคำอธิบายของโคโลเนลที่ว่า ทั้งฐานทัพและอาวุธที่พวกนั้นมีมันแพงและครบครันมากกว่าที่พวกอัลกออิดะห์หรือตาลีบันจะมีในครอบครองได้ พวกเขาจึงตรงรี่มาหาลิซ่าที่ The Club ทันที

    “ก็ได้ๆ คลังข้อมูลที่คัดลอกมาจาก CIA มันค่อนข้างเก่าไป 2-3 ปีนะ” ลิซ่ากล่าวกับมาริ

    “2-3 ปี ก็พอที่จะทำให้เธอติดคุกหรือหายไปจากสารบบได้แล้วน่า” มาริกล่าว

    “นี่ๆความถ่อมตัวสมัยเป็นศิษย์ของชั้นมันหายไปไหนหมดยะ?”

    และสุดท้าย พวกเขาก็มาอยู่ที่นี้ โดยแซมสัญญาว่าจะไม่บอกใครเรื่องคลังข้อมูล CIA ที่ลิซ่าแฮคมา

    “เป็นพันธมิตรและให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้าย...” แซมครุ่นคิด “นั้นเป็นการกระทำผิดกฏหมายสหประชาชาติเลยนะ ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำแบบนี้ พวกมันจะต้องมีเงินทุนที่สูง สูงมากพอที่จะเป็นงบประมาณประเทศได้เลยล่ะ”

    “ถ้าอย่างนั้น องค์กรที่พอจะทำแบบนั้นได้คือบริษัทขนาดยักษ์หรือไม่ก็อาจจะเป็นประเทศเลยก็ได้” แวนดอลกล่าว

    “แต่ดูจากสิ่งที่เรากำลังเจอกันอยู่ มันน่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่มากกว่า” เกรฟกล่าว “ด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่างผลประโยชน์ทางธุรกิจ”

    ถึงแม้ว่าโจทย์จะแคบลง แต่ก็ยังคงยากที่จะคาดเดาอยู่ เพราะทั้งบริษัทอุตสาหกรรมอย่าง เจค๊อบอินดัสทรี่ ก็มีมากมายเหลือเกินในปัจจุบัน และด้วยการแข่งขันที่สูงทะลุชั้นบรรยากาศ ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่ตามมา อาชีพทหารรับจ้างจึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดตามไปด้วย เช่นเดียวกับ Azure Wolf

    “เป็นไปได้ ที่บริษัทนั้นๆจะใช้ทหารรับจ้างของตัวเองโจมตีพวกเรา” มาริกล่าว “แต่ยังไงซะ เจ้าพวกชุดดำนั้นก็ไม่มีข้อมูลอะไรที่เราพอจะรู้ได้เลย นอกจากที่ว่า พวกมันสามารถพอที่จะวางแผนให้พวกเราติดกับ และสามารถดึงผู้ก่อการร้ายมาเป็นพวกได้”

    “เรากำลังเจอกันอะไรอยู่กันแน่วะเนี่ย” โคโลเนลสบถ

    ความเงียบงันก่อตัวขึ้นมาชั่วครู่ เกรฟหันมองหน้าแต่ละคน ที่เต็มไปด้วยความเครียด ครุ่นคิดและความสิ้นหวัง ทำให้เขานึกถึงสมัยที่ตนเองเป็นทหาร สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ อาจจะก่อเกิดเป็นสงครามได้ทุกเมื่อ

    “แล้ว....พวกนายจะเอาไงกันต่อล่ะ” ลิซ่ากล่าวขึ้น หลังจากที่เธอสั่งพิมพ์ข้อมูลเดรคโค่ลงกระดาษเสร็จ แล้วยื่นให้มาริ “พวกนายอาจต้องใช้มัน”

    “ถ้าเราจะตามรอย ต้องเริ่มจากหมอนี่แหละนะ” แวนดอลจ้องมองใบหน้าของเดรคโค่ในเอกสาร

    ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อะไรมามาก แต่มันก็เพียงพอต่อการสืบเรื่องต่อไป

    “ดูเหมือนว่าชั้นคงจะต้องกลับแล้วล่ะนะ” แซมกล่าวหลังจากที่พวกเขาออกมาจาก The Club แล้ว

    “อืม...คงมีเรื่องให้จัดการเยอะสินะ” โคโลเนลตอบรับ แซมพยักหน้าแล้วยิ้ม

    “ชั้นต้องขอโทษนายกับเกวริลจริงๆ ที่ส่งพวกนายไปติดกันแบบนั้น ไม่น่าเชื่อว่า UNSF จะโดนเข้าเอง” เธอส่ายหน้ายิ้ม เธอดูเหนื่อยและคงรู้สึกผิดจริงๆ

    “ไม่หรอก แซม อย่างน้อยพวกชั้นก็รอดมาแล้ว ทุกอย่างจบลงด้วยดี” โคโลเนลพูดปลอบเธอ “แต่ยังไงซะ พวกมันยังไม่ตายแน่ๆ”

    “อืม” แซมพยักหน้า “ถ้ามีอะไรคืบหน้าล่ะ ชั้นจะติดต่อมาทันทีเลย เอ่อ เกวริล ขอบคุณมากนะ สำหรับหลายๆอย่าง”

    “ไม่เป็นไร ฝากความคิดถึงถึงจอร์จด้วยแล้วกัน” เกรฟกล่าว

    “ได้เลย แล้วเจอกันนะ” แซมกำลังจะเปิดประตูรถ SUV ที่เธอนั่งมาโดยมีทหารอารักขสเป็นพลขับ “ครอส ชั้นจะโอนเงินให้ภายในวันนี้นะ!”

    “เร็วๆล่ะกันล่ะ!” แวนดอลตระโกนไล่ แซมยิ้มแล้วขึ้นรถ และมันก็แล่นจากไป

    ห้องประชุมภายในอาคาร AW Tower เกรฟ แวนดอล โคโลเนล แรปป้า และเบิร์น นั่งอยู่ที่โต๊ะประชุม และมีมาริที่ยืนอยู่หัวโต๊ะกำลังให้ข้อมูล

    “สงครามข้ามบริษัทงั้นหรอ? ไม่ได้เห็นมานานแล้วนะเนี่ย” แรปป้าพูดอย่างติดตลก

    “ก็อย่างที่ว่าไปล่ะนะ เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าพวกมันต้องการอะไรจากเรา” มาริพูดพลางนั่งลงกับเก้าอี้

    แวนดอลนั่งครุ่นคิด อยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าที่แสดงความลังเลออกมาอย่างได้ชัด ทำให้เกรฟรู้สึกว่านี่ไม่ใช่แวนดอลที่เค้าคุ้นเคยนัก

    “นี่ถึงตาของเราแล้ว พวกมันทำกับเรามาเยอะ ชั้นจะตามรอยพวกมันเอง ส่วนพวกนายอยู่ที่นี้เผื่อมีเหตุฉุกเฉินเหมือนเดิม”

    “อะไรนะ? อย่ามาตลกกับชั้นนะแวนดอล” มาริกล่าว “นายจะทำยังไง ปารีสหรอะ?”

    “คงจะต้องเป็นอย่างนั้น”

    “ชั้นก็คงคัดค้านอะไรนายไม่ได้ อย่างน้อย พาพวกเราคนนึงไปด้วยจะดีกว่านะ” แรปป้ากล่าวขึ้น

    “ชั้นจะเสี่ยงกับพวกนายไม่ได้หรอกนะ แต่ก่อนชั้นก็ทำงานคนเดียวมาตลอด” แวนดอลกล่าว “งานนี้เป็นงานลับ เราควรจะทำให้เรื่องเงียบให้มากที่สุด ชั้นไม่อยากสร้างปัญหาที่ปารีสหรอกนะ”

    “งั้นให้ชั้น-”

    “เธอต้องอยู่แทนชั้นที่นี้ มาริ” แวนดอลตัดบท “พวกนายลุยมามากพอแล้ว ให้ชั้นได้จัดการด้วยตัวเองบางเถอะ”

    “แวนดอล...” เกรฟกล่าวขึ้น “นายไม่ควรไปคนเดียวนะ และถ้านายต้องการคนประเภทจารชนล่ะก็ ชั้นพอช่วยได้นะ”

    “เกรฟ? นายพูดบ้าอะไรของนายวะ นายบาดเจ็บอยู่นะ” แรปป้ากล่าว

    “เอ่อ...พวก ชั้นไม่รู้หรอกนะ ว่าเกรฟมันเคยเป็นอะไรมากบ้างแต่หมอนี้มันขับฮอกับเครื่องบินเป็นแน่ๆ” โคโลเนลกล่าว ในตอนแรก เขาไม่ได้เล่ามาพวกเขาหนีจากอัซรามยังไง จึงไม่มีใครรู้ว่าเป็นเกรฟ

    “ถ้าเป็นงานประเภทนั้น...ชั้นเคย...เอ่อ อยู่กับ KGB ช่วงนึงน่ะนะ” เกรฟยิ้ม

    “ไม่ๆ ยังไงก็เถอะ นายยังบาดเจ็บอยู่นะ” แวนดอลยังคงปฏิเสธ

    “ถ้างั้น ถ้านายเกิดเจอปัญหาขึ้นมาล่ะ ไม่ก็ไม่ต่างอะไรจากฆ่าตัวตายนะ?” เกรฟกล่าว “ให้ชั้นไปกับนาย”

    “มันก็ไม่เสียหายนะแวน ถือซะว่า พาไปฝึกงานกับดูฝีมือล่ะกัน” เสียงแหบแห้งที่ไม่ได้ยินบ่อยๆดังขึ้น ทุกคนหันไปทางเบิร์น เจ้าตัวเอียงคอแล้วพูด “อะไร?”

    “ถ้าเบิร์นพูดถึงขนาดนี้ล่ะก็นะ” มาริกล่าว

    “อืม ใช่..” โคโลเนลยิ้ม ดูท่าทางทุกครั้งที่เบิร์นมันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ อย่างน้อยก็ในความคิดของเกรฟล่ะนะ

    แวนดอลหลับตา แล้วถอนหายใจ

    “ก็ได้ ก็ได้ นายไปกับชั้นได้ เราจะออกเดินทาง พรุ่งนี้เช้าเลย”

    เกรฟพยักหน้า แวนดอลจึงสั่งให้แยกย้ายได้

    “ระวังตัวด้วยนะพวก” แรปป้ากล่าวกับเกรฟ

    เกรฟพยักหน้ารับ “ได้ เดี๋ยวจะซื้อของมาฝากนะ”

    ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

    สนามบินที่เดิมที่คับคั่งไปด้วยผู้คน เกรฟยังไม่รู้สึกกับสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดนี่เท่าไหร่นัก เขายืนอยู่หน้าบอร์ดตารางเวลา ข้างๆกับแวนดอล

    “ไม่ลืมอะไรนะเกรฟ” แวนดอลในชุดสูทพร้อมกับเนคไทสีคราม สวมแว่นตากันแดดสีดำ RB8301 ของ Ray Ban มือขวาหิ้วกระเป๋าเอกสารสีดำใบใหญ่

    “ทุกอย่างครบ พร้อมกันเดินทาง” เกรฟตอบกลับ เขาอยู่ในชุดสุท สวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำทับ สวมแว่นตากัน M Frame Hybrid S ของ Oakley มือขวาก็หิ้วกระเป๋าเอกสารเช่นกัน แต่ของเกรฟดูเหมือนจะใบใหญ่กว่านิดหน่อย

    “รู้สึกเหมือนเจมส์ บอนด์เลยแฮะ” เกรฟกล่าว

    “เชื่อชั้นเถอะ จากนี้ไป เจมส์ บอนด์น่ะ ดูเด็กไปเลยล่ะ” แวนดอลพูดขณะกำลังกดโทรศัพท์ บนหน้าจอขึ้นเบอร์ของ ไมเคิล เจค๊อบ

    “ว่าไง ครอส โทรหากันแต่เช้าเลย?” เสียงของไมเคิลดังขึ้น

    “ไมเคิล ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็ ติดต่อ มาริไปเลยนะ” แวนดอลกล่าว

    “ชั้นกำลังจะไปปารีส”
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Alathreon : 24th February 2013 เมื่อ 16:37

  7. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  8. #32
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Nov 2012
    ที่อยู่
    ดาวพลูโต
    กระทู้
    375
    กล่าวขอบคุณ
    1,902
    ได้รับคำขอบคุณ: 363
    เป็นนักเขียนที่สานต่อได้ยอดเยี่ยมเลยครับ ยกนิ้วให้เลย (เพื่อนผมมันไปกับสายลมละ)
    I SEE BLOOD A YOU

  9. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  10. #33
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    80
    กล่าวขอบคุณ
    15
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    ตั้งแต่ช่วงนี้ไป จะอัพเร็วขึ้นนะครับ เพราะปิดเทอมแล้ว ปั่นกันยาวๆเลย (ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิวครับ)

  11. #34
    ชอบโพสต์เป็นชีวิตจิตใจ
    วันที่สมัคร
    Nov 2012
    ที่อยู่
    ดาวพลูโต
    กระทู้
    375
    กล่าวขอบคุณ
    1,902
    ได้รับคำขอบคุณ: 363
    อ้างถึง กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ Alathreon อ่านกระทู้
    ตั้งแต่ช่วงนี้ไป จะอัพเร็วขึ้นนะครับ เพราะปิดเทอมแล้ว ปั่นกันยาวๆเลย (ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิวครับ)
    ครับผม ขอให้สานต่ออย่างต่อเนื่องได้ตลอดนะครับ
    I SEE BLOOD A YOU

  12. สมาชิกที่กล่าวขอบคุณ:


  13. #35
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    80
    กล่าวขอบคุณ
    15
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    021 : Paris

    “แล้ว....แกไปทำอะไรที่ปารีส” ไมเคิล เจค๊อบ ถามไถ่กับแวนดอล ฝ่ายหลังส่ายหน้าเป็นเชิงเบื่อหน่าย

    “ก็แค่...มาทำธุรกิจกับมาหาอะไรกินน่ะ”

    “แกจะบ้ารึไงเนี่ย แล้วนี่แกไปกันใคร”

    “เอ่อ...ผมมาคนเดียว พอดีนี้เป็นธุรกิจลับ” แวนดอลขยิบตาให้กับเกรฟที่กำลังนั่งซดกาแฟกับขนมปังโยเกิร์ต

    “ธุรกิจลับ? ธุรกิจลับบ้าบออะไรวะ *แซด* เฮ้ย นั่นอะไรน่ะ” ไมเคิลโวยวาย ขณะที่แวนดอลเอากระดาษซับมันขนมปังเฟรนซ์โทสมาขยี้จ่อที่โทรศัพท์

    “อ๋า ไมเคิล สัญญาเริ่มไม่ค่อยดีแล้ว แค่นี้ก่อนนะ!!” แวนดอลวางโทรศัพท์แล้วบล็อคเบอร์ขอไมเคิลทันที

    “น่ารำคาญชะมัด ไอ้เครือข่ายเวรนี่ก็ดันใช้ข้ามประเทศได้ซะงั้น” แวนดอลเก็บโทรศัพท์แล้วหันมานั่งกินเฟรนซ์โทสต่อ

    “เค้าก็คงเป็นห่วงนั้นล่ะ” เกรฟวางแก้วกาแฟ “นายกับไมเคิลดูสนิทกันดีนะ”

    “...ก็แค่ทำงานอยู่ด้วยกันมานานเท่านั้นแหละ” แวนดอลตอบด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ไม่ว่าจะมองมุมไหน แวนดอลในยามปกตินั้นดูไม่ต่างจากวัยรุ่นอารมณ์แปรปวนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเลยซักนิด แต่เอาเถอะ แวนดอลก็เป็นหัวหน้าทีมที่ดีที่สุด เท่าที่เกรฟเคยเจอมา

    “อ่า...เฮ้ ชั้นยังไม่เคยรู้เลยว่า พวกนายกับเจค๊อบ อินดัสทรี่ ไปทำงานร่วมกันได้ยังไง?”

    “อืม...ก็ เรื่องไม่เป็นเรื่องนั้น มันเป็นข้อตกลงระหว่างชั้นกับ...ประธานของเจค๊อบนั้นล่ะ” แวนดอลซดกาแฟเข้าไป ก่อนจะวางมันลง “เอาล่ะ เสียเวลามามากพอแล้ว”

    แวนดอลเรียกให้พนักงานมาเก็บเงินค่าอาหารด้วยภาษาฝรั่งเศส แถมยังพูดได้คล่องเสียด้วย เกรฟที่ออกมายืนรอนอกร้าน ที่ไม่สามารถทิ้งนิสัยเดิมๆของตัวเองได้ เขาหันมองรอบๆตัวราวกับเป็นนักสำรวจ อาคารอพาร์ตเมนที่เรียงตัวกันอย่างเบียดเสียด ถนนแต่ล่ะเส้นที่เชื่อมต่อกันเหมือนกันตาข่ายที่ถักทอมาอย่างประณีต ผู้คนสัญจรไปมาบนท้องถนนที่แน่นขนัด ดูๆไปแล้วไม่ต่างจากแมนฮัตตันมากนัก ไกลๆออกเค้าเห็นหอไอเฟลที่ตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส ช่างเป็นภาพที่หลงไหล และเป็ฯบรรยากาศที่น่ามาเที่ยวพักผ่อนซักครั้ง เพียงแต่ว่า เกรฟไม่ได้มาพักผ่อน

    “เอาล่ะ ก่อนอื่นเราต้องหาที่พัก” แวนดอลใช้ GPS ในโทรศัพท์มือถือ Iphone ของเขา “นี่ล่ะ Pullman Paris Tour Eiffel”

    “ใกล้กับหอไอเฟล” เกรฟกล่าว “แถวนั้นมันจะไม่โล่งไปหน่อยเหรอะ?”

    “ปารีสไม่เคยโล่ง” แวนดอลกล่าวติดตลก “และเพื่อความปลอดภัยเราควรจะ-”

    “-แยกกันและทำเป็นไม่รู้จักกัน” เกรฟกล่าวแทรกขึ้นมา “แต่ว่า ให้ตายสิ นี่มันฝรั่งเศสนะ”

    “ดูเหมือนว่านายจะเคยเป็นพวก KGB จริงๆสินะ” แวนดอลยิ้มอย่างพอใจ เค้าหยิบกระดาษขึ้นมาพร้อมกับปากกาและจดบางอย่างลงไปในนั้น

    “หาแท๊กซี่ แล้วเอากระดาษให้เขา” แวนดอลยื่นกระดาษนั้นให้ มันเขียนด้วยภาษาฝรั่งเศสที่เกรฟไม่อาจเข้าใจได้ ก่อนจะเก็บมันลงไปในกระเป๋าเสื้อเทรนซ์โค้ท

    “เจอกันที่ Pullman ....ทุ่มนึงล่ะกัน นายเดินเล่นไปก่อนก็ได้นะ แต่อย่าไปทำอะไรบ้าๆเข้าล่ะ”

    “เอาน่า พวก!” เกรฟยิ้ม ก่อนจะแยกกับแวนดอล



    “ก่อนอื่น...ขอทำความคุ้นเคยกับเมืองนี้ก่อนล่ะกัน” เกรฟพึมพำกับตัวเอง หลังจากที่แยกกับแวนดอลบริเวณหน้าร้านกาแฟเมื่อครู่นี้ เกรฟเดินไปตามบาทวิถีข้างถนน พลางใช้อินเตอร์เน็ตจากโทรศัทพ์มือถือเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองนี้ หลายๆอย่างที่เกรฟรู้สึกว่าเมืองนี้ น่าจะเหมาะกับเขา ตั้งแต่ที่ปารีสได้รับการกล่าวขานกันว่า เป็นเมืองที่เหมาะแก่การเดินเล่น การเดินเล่นก็ไม่เลวเท่าไหร่นัก เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องการจำเส้นทางและสร้างความคุ้นเคยมันยังเป็นงานอดิเรกอย่างเดียวที่เกรฟมีตอนยังอยู่ในกองทัพรัสเซีย

    “ตลาดดอกไม้เหรอะ?” เกรฟหยุดเดินแล้ว มองไปด้านหน้า ก่อนจะหันมามองหน้าจอโทรศัทพ์ของตนอีกรอบ ก่อนจะมองไปด้านหน้าอีกครั้ง สีสันสวยงามของดอกไม้นับพัน ช่วยให้เพลินได้ไม่น้อยทีเดียว

    “คงไม่เสียหายอะไรหรอกมั้ง” เกรฟพึมพำกับตัวเอง เวลาช่วง บ่ายโมงของย่าน I’île de la Cité ค่อนข้างจะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่ดูท่าทางจะเป็น Backpacker ด้วย แม้จะเป็นทหารเก่าแต่ดอกไม้สวยๆพวกนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลอะไรกับเกรฟเลย มันทำให้เกรฟคิดหลายๆเรื่องที่เค้าไม่เคยคิดมาก่อน ทั้งการใช้ชีวิต เป้าหมายในชีวิต และคนรัก....เกรฟนึกขำกับตัวเองที่กำลังเอาโทรศัทพ์ของตนถ่ายรูปดอกทิวลิปสีขาวอยู่

    “เอ่อ...คุณค่ะ?” เสียงของเด็กสาวฝรั่งเศสคนหนึ่งดังขึ้น เธออายุประมาณ 16-17 เนื้อตัวดูมอมแมมและผมยาวรกรุงรัง

    “ว่าไง?” เกรฟถามกลับ เขาตกใจเล็กน้อย ที่มีชาวฝรั่งเศสทักเขาด้วยภาษาอังกฤษ

    “คือว่า....พ่อแม่ของหนูป่วยน่ะค่ะ...แล้วพวกเราไม่มีแม้แต่เงินซักยูโร คุณจะช่วย..” เด็กสาวนั้น กล่าวอ้อนวอนกับเกรฟ แต่ว่าแวนดอลเคยบอกกับเกรฟมาแล้วว่า อย่าเด็ดขาด แก๊งมิจฉาชีพประเภทนี้ในปารีสก็มีเยอะพอสมควร

    “เอ่อ....” แต่เกรฟก็มักจะปฏิเสธอะไรไม่ค่อยเป็น เขาหวังให้แวนดอลอยู่ด้วยตอนนี้

    “คุณค่ะ ได้โปรด....” ให้ตายสิ เกรฟคิด เค้าควรจะทำอะไรดีนะ

    แต่ยังไม่ทันทำอะไร จู่ๆ ก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านเข้ามาชนกับเกรฟเบาๆ เกรฟที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับผงะเล็กน้อย มือขวากำกระเป๋าเอกสารใบใหญ่เอาไว้อย่างแน่น ก่อนที่เด็กคนนั้นเดินหายลับไปอย่างรวดเร็ว

    “นักท่องเที่ยวขี้ตืด!” เด็กสาวตระโกนใส่เกรฟ แล้ววิ่งจากไป เกรฟสับสนเล็กน้อย ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่แวนดอลบอกเอาไว้อีกเรื่องหนึ่ง ระวังกระเป๋าเงินให้ดี เกรฟรีบเอามือซ้ายคลำกระเป๋าเทรนซ์โค้ทที่บริเวนท้อง เขาเบิกตากว้าง กระเป๋าเงินของเขาหายไปแล้ว!

    “เวร!!!” เกรฟสบถแล้ววิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่เกรฟวิ่งผ่านต่างตกใจแล้วรีบเปิดทางให้เกรฟอย่างรู้งาน เกรฟเห็นหลังของเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้ว เธอกำลังวิ่งช้าๆ แต่ทันทีที่เธอได้ยินเสียงผู้คนโวยวายแล้วหันมาพบเกรฟที่กำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจแล้วรีบวิ่งไปที่กำแพงอิฐที่ด้านอาคารนึงทันที

    “จะทำอะไรน่ะ” ด้วยความสูงของกำแพง เด็กสาวคนนั้นไม่รอดแน่ๆ เกรฟคิด ยังไงซะ เธอกับเด็กผู้ชายเมื่อกี้คงจะต้องร่วมมือกันแน่ๆ

    “ไม่รอดหรอกน่า!” เกรฟคำรามลั่นมาตามหลัง แต่เด็กสาวคนนั้นดูท่าทางไม่ตกใจแม้แต่น้อย

    เธอวิ่งเหยียบกำแพงในแนวดิ่งจนขึ้นไปถึงครึ่งกำแพงก่อนที่จะใช้มือทั้งสอง เกาะที่สันกำแพงแล้วดึงตัวเองลอบข้ามไปอย่างรวดเร็ว

    “ฟรีรันนิ่ง?!” เกรฟตกใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถึงตัวกำแพงแล้วใช้มือซ้ายเกาะขอบแล้วดึงตัวเองให้กระโดดข้ามไป

    “ให้ตายสิ...” หลังจากกระโดดกำแพงมา เด็กสาวคนนั้นก็วิ่งไปทางอาคารที่ยังเป็นเพียงโครงและร้างมานานนับปี เธอกระโดดเกาะราวเหล็กที่ยื่นออกมาจากตัวโครงอาคารแล้วดันตัวเองขึ้นไปนั่งบนชั้น 2

    “คุณนักท่องเที่ยว....ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณจะตามมาได้นะ” หลังจากที่เธอนั่งลง แล้วสางผมที่ ระเกะระกะใบหน้าเธอออก ทำให้เห็นใบหน้าของเธอชัดเจน ซึ่งก็หน้าตาดีไม่น้อยที่เดียว

    “กระเป๋าเงินชั้นอยู่ไหน....” เกรฟถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

    “เอเบล!” เด็กสาวคนนั้นพูดเสียงดัง ไม่นาน เด็กหนุ่มที่เดินชนเกรฟก็เดินออกมาจากภายในตัวอาคาร พร้อมกับกระเป๋าเงินสีดำของเกรฟ

    “ถ้าคุณอยากได้คืนก็มาเอาสิค่ะ” เด็กสาวคนนั้นกล่าว พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กันเกรฟ

    “อย่าท้านะ” เกรฟกำลังจะเดินเข้าไป แต่ทว่ากลับมีเด็กผู้ชายอีกประมาณ 4 คนพร้อมกับท่อนเหล็กเดินออกมาจากอาคารชั้น 1 และเอเบลก็กระโดดลงมาจากชั้น 2

    “เฮ้...ชั้นไม่อยากทำร้ายเด็ก” เกรฟกล่าว พลางเอามือซ้ายสอดเข้าไปในเทรนซ์โค้ท

    “งั้นก็ปล่อยพวกเราไปซะสิ” เอเบลกล่าว “พวกเราต้องการแต่เงินก็พอ อย่างอื่น เราจะคืนให้”

    “ชั้นไม่รู้หรอกนะ ว่าพวกนายกำพร้าหรือหนีออกจากบ้าน หรืออะไรก็ตาม” เกรฟกล่าว “แต่ชั้นเข้าใจดี แต่นั้นก็ไม่ใช่ข้ออ้างในการทำแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง”

    “คุณจะไปรู้อะไรล่ะ คุณนักท่องเที่ยว!!!” เด็กสาวคนเดิมกล่าว

    “ชั้นรู้สิ เธอชื่ออะไร สาวน้อย?” เกรฟถาม

    “…เบียทริซ..”

    “เอาล่ะ เบียทริซ คืนกระเป๋าเงินของชั้นมาแล้วเราจะคุยกันดีๆ”

    “.....”

    “ปัดโธ่เว้ย!!!” เอเบลพุ่งเข้ามาด้วยความหมดความอดทน เกรฟวางกระเป๋าเอกสารลงแล้วใช้มือขวาเพียงมือเดียว จับไปที่แขนซ้ายของเอเบลซึ่งถือท่อนเหล็กอยู่แล้วบิดมันไปทางด้านหลังของเอเบล ด้วยความเจ็บปวด เอเบลจึงปล่อยท่อนเหล็กลง ในขณะนั้นเองที่เด็กคนอื่นๆกำลังจะพุ่งเข้ามา เกรฟก็ดึงมือซ้าย ออกมาจากเสื้อพร้อมกับปืนพก HK45C ในมือ

    “ชั้นไม่อยาก...ลงมือ” เขาเล็งปืนไปที่เด็กๆ พร้อมกับส่งสายตาเย็นชา เบียทริซได้แต่อ้าปากค้างและมือที่สั่นเทา เกรฟรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปรึป่าว ที่ถึงกับเอาปืนออกมา แต่มันก็คงจะดีกว่าการที่เขาต้อง “ซัด”กับเด็กๆพวกนี้ตรงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เขาสามารถฆ่าคนเดียวมือเปล่าได้ง่ายๆ

    “เบียทริซ...เราจะคุยกันดีๆ”

    “….ค่ะ...”

  14. #36
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    80
    กล่าวขอบคุณ
    15
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    022 : Paris (2)

    เกรฟนั่งกับพื้นคอนกรีตเก่าๆในอาคารร้างที่เป็นที่อยู่อาศัยของแก๊งเด็กของเบียทริช อย่างสงบ พลางมองดูกิจวัตรประจำวันของเหล่าเด็กๆที่มีเบียทรีซ ซึ่งอายุ 17 ปีมากที่สุดในกลุ่มเป็นผู้นำ ตั้งแต่ เอเบล เด็กชายอายุ 15 ที่เป็นเปรียบเสมือนน้องชายของเบียทรีซ เด็กแสบ 4 หน่ออายุ 13 ที่จ้องจะรุมเกรฟเมื่อครู่ เดวิด เกล และฝาแฝดเอ็ดการ์ กับ เอ็ดมัน และสาวน้อยที่อายุน้อยที่สุด เอ็มม่า 11 ปี สภาพของที่นี้ดูเหมือนกับค่ายหลี้ภัยเล็กๆที่เอาเศษผ้ามาทำเป็นฉากและมุงหลังคา ข้าวของเครื่องใช้ที่ดูเหมือนจะขโมยหรือไม่ก็เก็บมาได้ ตามมีตามเกิด มันทำให้เกรฟรู้สึกสงสารเด็กพวนี้ขึ้นมาจับใจ

    “เอาล่ะ คุณนักท่องเที่ยว” เบียทรีซเดินมาแลว ก้มลงมองหน้าเกรฟ “เราจะคุยกันได้รึยัง?”

    “อ่า...มาสิ” เกรฟกล่าว “เรียกชั้นว่า...เกวริลล่ะกัน”

    “เกวริลหรอ?” เอเบลทักขึ้นมา “นั้นชื่อรัสเซียนี้!”

    เกรฟเอียงหัว รู้สึกตกใจเล็กน้อย

    “คุณเกวริล” เบียทรีซนั่งลงตรงหน้าเกรฟ “อย่างที่คุณเห็นนั้นล่ะ ว่าพวกเราต้องการเห็นจริงๆ”

    “ใช่ๆ เรื่องนั้นชั้นรู้ แต่ก่อนอื่น ชั้นต้องขอคำอธิบายหน่อย”

    “เรื่องอะไรค่ะ?”

    “ทุกเรื่อง...” เกรฟกล่าว “เกี่ยวกับพวกเธอ”

    “เอ่อ...” เบียทรีซหลบสายตาจากเกรฟ แต่เธอก็พูดต่อ “พวกนั้นทั้งหมดเป็นเด็กกำพร้าจากบ้านสถานสังเคราะห์จากย่าน Porte de clignancourt ส่วนชั้นก็เคยเป็นเด็กในความดูแลจนกระทั่งอายุ 15 ก็เลยขอทำงานอยู่กับสถานสังเคราะห์”

    “ถ้างั้นก็แสดงว่า พวกเธอ หนีออกมาจากที่นั้น”

    “ไม่ใช่นะคะ!! ” เบียทริซปฏิเสธทันควัน เธอกำมือทั้งสองที่วางบนตักของตนเอง “คือว่า...เมื่อปลายปี 2015 สถานสังเคราะห์เริ่มไม่มีทุน ทั้งจากที่มีภาระของเด็กกำพร้าเยอะมากขึ้น และเงินทุนที่ได้จากรัฐเริ่มไม่พอใช้....”

    เบียทริซเริ่มเสียงสั้น แววตาของเธอแสดงได้บางสิ่ง เป็นบางสิ่งที่เธอไม่อยากพูดถึง

    “ผู้บริหารบ้านก็เริ่มทำตัวแปลกๆ เขาคุยกับคนที่ดูเหมือนทหาร ทุกๆคืนนับแต่นั้น เค้าจะคัดตัวเด็กๆไปทีล่ะ 5-6 คน เมื่อเด็กๆพวกนั้นไปกับพวกทหาร เราก็ไม่ได้เห็นพวกเขาอีกเลย”

    เกรฟเริ่มคิดว่า พวกทหารอาจจะเป็นพวก Guillotine

    “ทุกๆครั้งที่เด็กๆหายไป ผู้บริหารก็เริ่มมีเงินใช้มากขึ้น แต่เขาไม่เคยสนใจที่จะบำรุงสถานสงเคราะห์ จนกระทั่ง...ชั้นเข้าไปแอบฟังผู้บริหารกับพวกทหารคุยกัน...พวกเขา...พวกเขาขายเด็กกำพร้าให้กับกลุ่มพวกค้าทาสที่อิตาลี...”

    เกรฟมองดูเด็กๆคนอื่นๆในบริเวณนั้น ขณะที่เบียทริซเล่าเรื่องนี้ให้เกรฟฟัง พวกเด็กๆดูเศร้าและหดหู่ แสดงว่ามันเป็นเรื่องจริง

    “ในตอนนั้น ชั้นตัดสินแล้วว่า ชั้นจะต้องช่วยเด็กๆ ชั้นพาเด็กๆพวกนี้หนีออกมาได้ ชั้นพยายามจะแจ้งตำรวจ แต่ว่า...”

    “ไม่มีใครสนและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...” เกรฟกล่าวพร้อมกับเบียทริซ เธอเงยหน้าขึ้นมองเกรฟด้วยสายตาสลด

    “ชั้นเข้าใจและคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ดี ” เกรฟวางมือลงบนหัวของเบียทริซเป็นเชิงปลอบโยนเธอ เธอได้แค่ก้มหน้ามองพื้น

    “ชั้นต้องยอมรับนะ ว่าพวกเธอเก่งที่อยู่กันได้มา ปีกว่าๆ” เกรฟกล่าว “แต่เธอจะทำยังไงล่ะ เมื่อพวกเขาโตขึ้น”

    เกรฟชี้ไปทางเอ็มม่า ที่อยู่ไกลจากเขาที่สุด เธอกำลังนั่งขดตัวอยู่กับฟูกเก่าๆ แล้วตุ๊กตาหมีขาดๆ

    “เบียทริซ เธอเคยลองไปสมัครงานที่ไหนบ้างรึป่าวล่ะ?”

    “ค่ะ ชั้นเคยไปสมัครงานที่ เอ่อ...Guillotine PMC ที่อยู่ใกล้ๆกับหอไอเฟลนี้เอง”

    เกรฟเอียงคอ “เธอ? ไปสมัครกองกำลังทหารรับจ้างเหรอะ?”

    “ในตำแหน่งแม่บ้านน่ะค่ะ...” เธอยิ้มเล็กๆ “แต่สุดท้ายก็ลาออกมา เพราะโดนทหารที่นั้นลวนลามน่ะค่ะ”

    “ก็เธอ...หน้าตาดีนี่” เกรฟรู้สึกเขินปนขัดปากๆนิด เพราะทั้งชีวิตไม่ค่อยได้ชมผู้หญิงเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่มีอายุเกือบเป็นรุ่นลูก “แล้วถ้างั้น...เธอคุ้นชินกับสถานที่ที่นั้น มากน้อยแค่ไหนล่ะ”

    “ค่อนข้างมากค่ะ เพราะชั้นเป็นผู้ช่วยแม่บ้านภายในเลยได้เข้าไปเกือบทุกห้อง”

    “ก็ดีนะ...” เกรฟยืนขึ้น พลางควักกระเป๋าเงินออกมา เขาหยิบเงินยูโรที่มีออกมาเกือบทั้งหมด นับได้ 5 พันยูโร “นี่มันอาจจะไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ดูแลกันด้วยล่ะ”

    “คุณเกวริล..” เบียทรีซรับเงินจากเกรฟ เธอดูมีความเกรงใจขัดกับความเป็นโจรจริงๆ

    “ชั้นต้องไปแล้วล่ะ...” เกรฟก้าวเดินพร้อมกับกระเป๋าเอกสารในมือ เมื่อเดินมาได้ซักพักเขาก็หยุด “เบียทริซ....ถ้ามีอะไรที่เธอพอจะทำได้กับพวกทหารที่เอาเด็กๆไป ...เธอพร้อมจะทำรึป่าว”

    “....ค่ะ....ชั้น พร้อม” เบียทริซแสดงสายตาแน่วแน่

    เกรฟยิ้มก่อนจะออกจากอาคารมาอย่างรวดเร็ว



    เกรฟในชุดเสื้อเชิ๊ตกางเกงสูทขายาวกำลังนั่งบนเตียงขนาดควีนไซส์ บนเตียงมีแผนที่ตัวเมืองของปารีส ซึ่งมีร่องรอยการจดบันทึกบนแผ่นที่ ข้างๆมีกระเป๋าเอกสารที่เปิดออก แทนที่จะเป็นกองกระดาษเอกสาร มันกลับเป็นปืนไรเฟิล SCAR PDW กระบอกกระทัดรัดและเครื่องกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง

    “พรุ่งนี้ ชั้นจะเข้าไปในศูนย์ของ Guillotine เพื่อไปคุยกับผู้บริหาร ส่วนนายรออยูด้านนอก ดูลาดเลาและเตรียมพร้อมเอาไว้เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน..” เสียงของแวนดอลดังมาจากวิทยุแบบหูฟังขนาดเล็กที่เกรฟสวมเอาไว้

    “ไหนบอกว่า ไม่อยากมีปัญหาไง” เกรฟกล่าว

    “นายคิดจริงๆรึ ว่ามันจะไม่มีเรื่องน่ะ” แวนดอลตอบกลับมากึ่งหัวเราะ

    “นั้นสินะ...” เกรฟยิ้ม แล้วยืนขึ้น

    เขาเดินไปที่ระเบียงของห้องพักแบบดีลักซ์ของโรงแรม Pullman Paris Tour Eiffel วิวของหอไอเฟลยามค่ำคืนที่ประดับได้ด้วยหลอดไฟนับหมื่นดวงก็เพียงพอที่จะทำให้ปารีสสว่างสไวและเจิดจ้า ไกลออกไปเกือบ 600 เมตร สำนักงานใหญ่ของ Guillotine PMC ตั้งตระหง่านอยู่ มันเป็นอาคารคอนกรีตกับสไตล์สถาปัตย์แบบเดียวกับอาคารส่วนใหญ่ในปารีส แต่ว่า มันกินพื้นที่หลายช่วงตึก ทั้งบริเวณนั้นเป็นพื้นที่ของพวกมัน แม้ภายนอกจะไม่มีอะไร แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยทหารรับจ้างกว่าร้อยชีวิต เกรฟไม่เคยคิดที่จะต้องบุกในทีแบบนั้น ถ้าไม่จำเป็น นี่ไม่ใช่เกมที่ทหารฝ่ายตัวเอกสามารถบุกเข้าไปในอาคารที่มีคนที่ต้องการจะฆ่าเขากว่า ร้อยคน เพียงแค่ 20 คนก็เกินพอแล้วสำหรับทหารในชีวิตจริงของพวกเขา

    “แวนดอล...”

    “ว่าไง เกรฟ...”

    “ถ้าหาก นาย...ถ้าหาก เรา ไม่ได้ข้อมูลของดันเต้มาดีๆล่ะ”

    แวนดอลหัวเราะผ่านออกมา อย่างร่าเริง

    “เรื่องนั้น เราก็น่าจะรู้ๆกันนะ ว่าควรทำยังไง”

  15. #37
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    80
    กล่าวขอบคุณ
    15
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    023 : Accompany

    “ดูปลอดภัยดี ไม่มียาม หรือสไนเปอร์บนตึก” เกรฟกล่าวรายงานกับแวนดอลทางวิทยุ ขณะที่ตัวเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะกาแฟ ก่อนจะซดกาแฟไป 1 อึก พลางมองไปทางด้านหอไอเฟลไม่ไกลนัก ซึ่งแวนดอลกำลังเดินอยู่ในกลุ่มผู้คน มุ่งหน้าไป อาคารศูนย์ใหญ่ของ Guillotine PMC เบื้องหน้า

    “โอเค...กำลังมุ่งหน้าไป” แวนดอลเรียงฝีเท้าเดินไปทางด้านหน้าอาคาร เวลา 9 โมงเช้า ดูเวลาที่คนไม่เยอะจนเกินไป และอากาศกำลังดี ถ้าจะหนีหรือป้องกันการสะกดรอยตามก็นับว่าเป็นโอกาศที่ค่อนข้างดี

    “ประตูหน้า...” แวนดอลก้าวถึงประตูกระจกบานคู่หน้าอาคารโดยมีพนักงานคอยต้อนรับ

    จากจุดนี้ไป เกรฟ ไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนของแวนดอลได้แล้ว แวนดอลต้องการให้เกรฟคอยสอดแนมดูภายนอกตัวอาคารรวมไปถึงการค้นหาทางหนีทีไล่เผื่อเหตุฉุกเฉิน ซึ่งตอนนี้ เกรฟก็พอจะมีแผนรองรับเอาไว้แล้ว

    “อยู่ด้านในแล้ว กำลังเดินทาง” เสียงแวนดอลกระซิบมาผ่านวิทยุ โดยมีเสียงของคนอื่นๆแทรกเข้ามาด้วย ดูท่าทางภายในคงมีคนเยอะพอสมควร

    “สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ” เสียงของพนักงานต้อนรับดังขึ้น

    “ผมขอเข้าพบหัวหน้าของพวกคุณหน่อย...ฟรานซิส เซเนีย สินะครับ”

    “ได้ค่ะ จากคุณอะไรค่ะ ?”

    “ผม ครอส, แคเนียล ครอส ครับ” เกรฟนึกถึงประโยคทำนองเดียวกันที่เคยได้ยินจากหนังสายลับอังกฤษชื่อดังเรื่องหนึ่งขึ้นมา

    “ซักครู่นะคะ” เธอคงกำลังต่อสายถึง ฟรานซิส เซเนีย เจ้าของและผู้บริหาร Guillotine PMC “ค่ะ ท่านอนุญาตให้เข้าพบค่ะ”

    แวนดอลกระแอ่มเบาๆเป็นเชิงบอกกับเกรฟ เสียงพนักงานต้อนรับพูดขึ้นเป็นภาษาฝรั่งเศส เธอคงจะบอกให้เจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นช่วยพาเกรฟไปที่ห้องของฟรานซิส ระหว่างการเดิน เกรฟได้ยินเสียงมากมายเท่าทีจะได้ยินได้ ในออฟฟิศงานบริษัททั่วไป ฟังดูจากระยะของเสียง ทางเดินน่าจะยาวพอสมควร และเสียงที่สะท้อนกันดังก็พอจะบอกได้ว่า ที่นั้นค่อนข้างแออัดที่เดียว

    “ถึงหน้าห้องแล้ว” แวนดอลกล่าว “เลขาฯหมอนี่ สวยเป็นบ้า”

    “คุณฟรานซิส รออยู่ด้านในแล้วค่ะ” เลขาฯของฟรานซิสกล่าวขึ้น พร้อมกับมีเสียงประตูดัง

    เกรฟซดกาแฟไปอีก 1 อึก พลางมองดูรอบๆ ยังไม่มีอะไรน่าสงสัย

    “อ่า...แดเนียล ครอส นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พอกับคุณแบบส่วนตัวในวันนี้” เสียงชายหนุ่มวัยกลางคนดังขึ้น น้ำเสียงนิ่มนวลแต่ฉะฉานแสดงความหรูหราและเย่อหยิ่งของคนพูดได้เป็นอย่างดี จากที่เกรฟเคยลองค้นข้อมูลดู ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะฟรานซิส เซเนียก็หน้าตาออกไปทางเจ้าชายหรือคนชนชั้นสูงที่เห็นได้จากรูปวาดเก่าๆของฝรั่งเศสอะไรเทือกนั้น

    “ชั้นอยากเห็นหน้ามันว่ะ” เกรฟกล่าว

    “ครับ...เช่นกันครับ ต้องขอโทษด้วยที่มาหาคุณกระทันหันไปหน่อย” แวนดอลกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ซึ้งดูไม่เป็นแวนดอลเลยซักนิด

    “อ่อ...ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ อะไรทำให้เจ้าชายแห่งหมาป่าสีครามมาหาผมถึงที่นี้ล่ะ”

    เกรฟยิ้มมุมปากแล้วส่ายหน้าเล็กๆ ดูเหมือนแวนดอลก็คงจะดังพอตัว

    “ผมมา ด้วยเรื่องของดันเต้ บลานซ์ครับ ผมเชื่อว่า เขาเคยอยู่ในสังกัดทหารรับจ้างของคุณ”

    “โอ้...ดันเต้หรอะ” ฟรานซิสเงียบไปครู่นึง “เค้า...เป็นเด็กที่เก่งมากเลยล่ะครับ ไหวพริบสูง ภาวะผู้นำเต็มเปี่ยม เรารักเขามากครับ แต่จู่ๆ เมื่อสองปีก่อนเค้าก็หายตัวไปซะเฉยๆ ตามหาตัวไม่ได้เลยครับ”

    “แล้วข้อมูลหลังจากที่เขา...จากไปล่ะครับ เขาไปอยู่ที่ไหนกันครับ”

    “ต้องขออภัยจริงๆนะครับ ที่ทำให้คุณมาเสียเที่ยว ดันเต้ขาดการติดต่อจากเราไปเกือบ 2 ปีแล้วล่ะครับ”

    “งั้นเหรอครับ...” แวนดอลกล่าวแล้วทำท่าจะลุกขึ้นยืน

    “คุณมีเรื่องอะไรกับเขารึป่าวครับ?” ฟรานซิสกล่าว

    “ไม่มีอะไรหรอกครับ...ช่างมันเถอะ”

    เกรฟไม่อาจเห็นความผิดปกติใดๆในบทสนทนานั้น ก็คงขึ้นอยู่กับแวนดอลว่าจะรับพิรุธหรืออะไรได้ไหม

    “งั้นผมคงต้องขอกลับก่อนนะครับ..” แวนดอลกล่าว

    “ไม่มีเรื่องอะไรอีกหรอครับ?” ฟรานซิสกล่าว ฟังจากเสียง แวนดอลคงจะเดินออกมาจากห้องแล้ว

    “เกรฟ ชั้นกำลังเดินออกจากที่นี้” แวนดอลกล่าว

    เกรฟส่งเสียงตอบ เขามองจ้องไปที่หน้าอาคารของ Guillotine PMC ที่ประตูหน้า มีผู้ชาย 2 คนในชุดพลเรือน กางเกงยีนส์เสื้อกันหนาวเดินออกมา ก่อนที่ทั้งสองจะแยกออกจากกัน

    “เฮ้...มีชายสองคนเดินออกมาจากอาคาร ตอนนี้แยกกันแล้ว”

    “จับตาดูเอาไว้...” แวนดอลเร่งฝีเท้า

    เกรฟยืนขึ้น แล้วค่อยๆเดินออกจากลานร้านกาแฟอย่างเป็นธรรมชาติ ชายทั้งสองคนแยกกันอย่างรวดเร็วโดยที่คนแรกเดินอ้อมไปทางด้านหลังอาคาร ส่วนอีกคนเดินตรงมาทางเกรฟ แต่ดูเหมือนว่า มันจะยังไ
    ม่รู้ว่าเกรฟมากับแวนดอล มันเดินผ่านเกรฟไป แล้วไปหยุดยืนอยู่ที่หัวมุมถนน เป็นจังหวะเดียวกับที่แวนดอลเดินออกมาพอดี

    “หัวมุมถนนด้านหลังชั้น กับอีกคนเดินอ้อมไปหลังอาคารแล้ว” เกรฟพูดรายงานกับแวนดอล

    แวนดอลกระแอ่มตอบก่อนที่จะเดินอ้อมไปด้านหลังอาคารทิศทางเดียวกับชายคนแรก เมื่อแวนดอลหายไปจากทัศวิสัยของทั้งเกรฟและชายคนที่สอง ชายคนที่สองก็เริ่มออกเดินตามไปทันที ท่ามกลางฝูงคนกลางๆบริเวณนี้ การติดตามมันไม่ยากมากนัก เกรฟออกเดินสะกดรอยมันอีกต่อหนึ่ง

    “ฟรานซิสโกหก...” แวนดอลกล่าว “บอกตรงๆ ไอ้เวรนี่โกหกได้ไม่เก่งเลย แอร์เย็นจะตายห่าเสือกเหงื่อแตก..”

    “ตากระพริบไม่เป็นธรรมชาติ และก็พล่ามมากมาย” แวนดอลตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นแวนดอลที่สุด

    “เอาเถอะ...รีบจัดการกับพวกมันก่อนดีกว่า” เกรฟตอบกลับขณะก้าวเดินเร็วตามชายสะกดรอยคนที่สอง ตรงไปทิศทางเดียวกับที่แวนดอลเดินไป

    “ตรอกทางซ้ายตามมาเลย” แวนดอลกล่าว เมื่อเกรฟเดินถึงหัวมุมถนนเดียวกับแวนดอลอยู่ ถนนนี้เป็นถนนแคบๆ รถผ่านได้คันเดียว ท่าทางถนนนี้จะเป็นย่านอพาร์ตเมนต์ ไร้ซึ่งผู้คนสัญจรไปมา เกรฟหยุดเดิ
    นก่อนจะหยิบโทรศัทพ์ของตน ทำทีว่ากำลังเปิดแผนที่เดินเท้าอยู่ ชั่วครู่ แวนดอลเดินตรงปรี่เข้าไปในตรอกทางด้านซ้ายของถนน ชายสะกดรอยคนแรกก็เดินตามเข้าไปทันที และในขณะที่คนสองกำลังจะเดิ
    นตามเข้าไป เกรฟก็ตรงดิ่งเข้าไปทันที

    “เฮ้ !! ขอโทษนะครับ ผมอยากทราบว่าที่นี้ต้องเดินไปทางไหนน่ะครับ” เกรฟกล่าวพลางยื่นจอโทรศัทพ์ให้ดู

    มันพึมพำเป็นภาษาฝรั่งเศส ก่อนที่จะชะโงกหน้ามากดูในจอ

    “ไอ้*****เอ้ย!!” เสียงแวนดอลตระโกนออกมาจากตรอก พร้อมกับเสียงดังโครมคราม จนชายสะกดรอยคนที่สองหันไปมองแล้วกำลังจะออกวิ่ง

    “เฮ้!!!” แต่เกรฟกระชากแขนมันเอาไว้ได้ ก่อนที่จะกระทุ้งเข่าเข้าไปที่ท้องน้อยของมันอย่างแรง จนมันคลุกเข้าลง ต่อด้วยหมัดฮุคขวา และแย๊บซ้าย สุดท้าย เกรฟก็จับหัวของมันไปกระแทกกับผนังอิฐของอาคารแนวนั้นก่อนจะค่อยๆปล่อยมันนอนลง

    “ลงหมัดหนักไปรึป่าววะ...” เกรฟพึมพำ ก่อนจะเดินตรงไปที่ตรอก พบว่าขาทั้งสองข้างของชายสะกดรอยที่ตามแวนดอลมาชี้โด้เด้ขึ้นมาจากถังขยะถังใหญ่แบบเป็นฝาพับ ส่วนแวนดอลกำลังปีดเสื้อนอกชุดสู
    ทของเขา ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดมาสวม

    “มีอะไรให้ช่วยรึป่าวครับคุณ?” เกรฟกล่าวบ่นยิ้ม

    “อ่า...คงไม่ล่ะครับ” แวนดอลกล่าว “ผมกำจัดปัญหาทิ้งไปแล้ว” เขามองไปที่ถังขยะ “ฝังลงไปในถังขยะเลย”

    “โอเค...” เกรฟตอบกลับแล้วกลับหลังหันเดินกลับที่หัวมุมถนน ส่วนแวนดอลเดินออกมาจากตรอกแล้วเดินออกไปอีทางหนึ่ง

    “เตรียมตัวได้เลย คืนนี้เราจะบุกเข้า Guillotine”

  16. #38
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    80
    กล่าวขอบคุณ
    15
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    024 : Plan

    “ตอนนี้ นายอยู่ที่ไหนวะ” แวนดอลติดต่อมาหาเกรฟ ซึ่งเกรฟกำลังขนถุงกระดาษซื้อของถุงใหญ่ 2 ถุง อันเต็มไปด้วยสะเบียงอาหารจำพวกขนมปัง เนย แยมผลไม้ อาหารสำเร็จรูปและขนมมากมาย

    “ตลาดดอกไม้ ไม่ต้องห่วง นายเตรียมของรอเอาไว้เลย” เกรฟกล่าวขณะที่ตัวเขาเองอยู่ด้านหน้าของประตูรั้วเหล็กเก่าๆ ที่ถูกล๊อคจากด้านใน ในซอยเล็กๆที่เป็นทางเข้าของอาคารที่ดูเหมือนกับร้างมาหลายปี พงหญ้าและวัชพืชเริ่มขึ้นจนถึงหัวเข่าและหนานุ่มมากพอจะนอนลงได้

    “เอ็มม่า! นี่ชั้นเอง เกวริล” เกรฟตระโกน ไม่นานนั้น ประตูเหล็กนั้นก็ถูกเปิดออก โดยมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มารอต้อนรับอยู่ด้วย

    “เบียทริซอยู่รึป่าว?” เกรฟถาม เอ็มม่าพยักหน้า 2 ครั้งเล็กๆ เกรฟยิ้มให้เธอ ก่อนที่จะเดินเข้าไป โดยเอ็มม่าอยู่ปิดและล๊อคประตู

    “ไง เด็กๆ” เกรฟทักทายพวกเด็กๆ ทั้ง 7 คน มีเพียงเบียทริซและเอเบลเท่านั้นที่พูดภาษาอังกฤษได้ แก๊ง 4 แสบวิ่งปรี่เข้ามารับถุงกระดาษถุงใหญ่จากเกรฟ ก่อนที่เอ็มม่าจะวิ่งมาสมทบ

    “หวัดดีครับ คุณเกวริล” เอเบลกล่าวขึ้น เกรฟทักทายกลับ ก่อนที่เขาจะนั่งลงแล้วหยิบกระดาษกับปากกาออกมา

    ไม่นานนัก เบียทริซก็โดดลงมาจากชั้น 2 หลังจากที่ได้ยินเสียงของเกรฟ

    “ไปทำอะไร ข้างบนน่ะ?” เกรฟถาม

    “งานอดิเรกของชั้นเอง ดูวิวเมือง” เบียทริซกล่าว ก่อนจะเดินมานั่งลงตรงหน้าเกรฟ เธอหันไปมองกลุ่มเด็กๆที่กำลังดีใจกับของที่เกรฟซื้อมาให้

    “เงินที่คุณให้มา เรายังใช้ไปไม่มากเลย”

    “เอาเถอะ อย่าเกรงใจเลย” เกรฟยิ้ม เบียทริซถึงแม้จะ 17 แล้ว แต่ก็ยังคงมีความเป็นเด็กอยู่และแสดงออกมาได้ชัดเหลือเกิน

    “เอาล่ะ ชั้นมีเรื่องจะให้เธอช่วย” เกรฟยื่นกระดาษให้เบียทริซ “เธอพอจะจำโครงสร้างภายในของอาคาร Guillotine ได้ไหม”

    “ก็พอได้ค่ะ”

    “ดีมาก ชั้นต้องการให้เธอวาดมันลงไปในนี้ เท่าที่เธอจำได้นะ” เกรฟวางมือบนหัวของเบียทริซและตบเบาๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงชอบทำแบบนี้

    เบียทริซยิ้มแล้วลงมือวาดแผนผังอาคาร guillotine ด้วยมุมมองแบบด้านบน เธอใสใจกับทุกรายละเอียดและจำได้แม้กระทั่งประตูตามจุดต่างๆ ขณะที่เกรฟเฝ้าดูอยู่นั้น เอ็มม่าก็นำขนมปังแผ่นทาด้วยแยมบลูเบอร์รี่ 2 แผ่นมาให้เกรฟกับเบียทริซ เขารับไว้ ก่อนที่หนูน้อยจะวิ่งกลับไปหาเอเบล เขายื่นให้เบียทริซ เธอรับมันแล้วคาบไว้ที่ปาก เกรฟค่อยๆกัดกินละเลียดไปทีล่ะคำ เวลาผ่านไปประมาณ 5 นาที เบียทริซวาดรูปอาคารที่เหมือนกัน 4 รูป แทนที่แต่ล่ะชั้นของอาคาร พร้อมกับกลืนขนมปังแผ่นที่เหลืออยู่ลงคอไป

    เกรฟลองเปรียบเทียบกับที่เห็นจากภายนอกกับที่เห็นจากรูปของเบียทริซ อาคารนี่ภายในต้องดูใหญ่กว่าภายนอกแน่ๆ ยังไม่รวมจุดที่เป็นที่ห้องเก็บอาวุธและยุทโปกรณ์

    “ระบบภายในของที่นั้นเป็นยังไง เธอพอรู้รึป่าว”

    “ค่ะ โดยปกติที่นั้นจะมีทหารประจำตามเวลาเวรยามแล้ว ก็ประมาณ 30 คนค่ะ” เบียทริชทำท่าครุ่นคิด “อืม...จะมีการเปลี่ยนกะทุกๆ 2 ชั่วโมงค่ะ”

    เกรฟพยักหน้า แค่นี้ก็เพียงพอแล้วต่อการจะบุกเข้าไป เพราะแวนดอลก็ได้เห็นและคงพอจะรู้ลู่ทางภายในบางแล้ว จากนี้ไป คงต้องเตรียมการและอาวุธให้พร้อม และอีกปัญหานึงคือ แวนดอลไม่อยากให้มีปั
    ญหาจึงห้ามไม่ให้ฆ่าใคร

    “เอาล่ะ ขอบคุณมากนะ เบียทริซ” เกรฟหยิบกระดาษแผ่นนั้นหลังจากเบียทริซยื่นให้เขา “พรุ่งนี้ ชั้นจะกลับมาอีก...ถ้าชั้นพอจะช่วยอะไรได้น่ะนะ” เกรฟยืนขึ้น

    “แล้วเจอกัน เด็กๆ” เกรฟกล่าวกับพวกเด็กๆ ที่จัดอาหารขายของที่เกรฟซื้อมาให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดหันมาหาเกรฟแล้วยิ้มพร้อมกับโบกมือลา

    “เดี๋ยว คุณเกวริล!” เบียทริซโพล่งขึ้น “คุณมาทำอะไรที่ปารีสกันแน่?”

    “....” เกรฟอ้ำอึ้งไปชั่วครู่ “เธอคงไม่อยากรู้หรอก”

    เบียทรีซได้แต่มองขณะที่เกรฟเดินจากไป

    เกรฟค่อยๆกระดกน้ำอัดลมยี่ห้อนึงของฝรั่งเศส ก่อนจะกลืนแซนวิชแฮมเบคอนคำสุดท้ายลงคำไป อากาศยามค่ำคืนค่อนไปทางดึกของปารีส กำลังเย็นยะเยือก ถึงแม้จะเย็นไม่เท่ารัสเซียก็ตาม ในตรอกมืดๆ
    ที่อยู่ไม่ห่างอาคาร Guillotine มาก เกรฟในชุดลอบเล้นสีดำกระมึน เสื้อผ้าสเปนเดกซ์ กับกางเกงคาร์โก้ที่มีสายรัดขาและเวสท์ใส่กระสุนแบบบาง ปืนไรเฟิล SCAR PDW ใส่ที่เก็บเสียงเตรียมพร้อม ขณะที่เกรฟกำลังลองเปิดกล้องไนท์วิสชั่นแบบตาเดียว แวนดอลในชุดคล้ายกันก็เดินเข้ามา

    “เหมือนที่เด็กของนายว่าไว้” แวนดอลกางกระดาษแผนที่ที่วางโดยเบียทริซออก “มียาม 3-4 อยู่ด้านนอกตัวอาคาร ด้านใน บางส่วนเปิดไฟสว่าง ประตูหน้าคงจะเข้าได้ยาก”

    “แล้วประตูโรงรถด้านหลังล่ะ”

    “กำลังเล่นโป๊กเกอร์กันเลยล่ะ” แวนดอลถอนหายใจ “เราอาจจะต้องเข้าไปทางด้านบน”

    “เอาจริงดิ” เกรฟตกใจเล็กๆ “เอาเถอะ”

    แวนดอลพยักหน้าพลางตรวจเช็คความพร้อมของชุด และปืน Magpul PDR เก็บเสียงขนาดกระทัดรัดของเขาด้วย เมื่อเขาจึงพับกล้องไนท์วิสชั่นแบบ 2 ตาที่รัดอยู่กับหัวของเขาลง แสงสีเขียวอ่อนๆ สว่างเป็นดวงตาในความมืดมิด ก่อนที่เขาจะชูนิ้วโป้งให้ แล้ววิ่งนำออกไป เกรฟเปิดกล้องไนท์วิสชั่นแบบตาเดียวของตน แล้วขยับโม่งคุ้มหน้าสีดำให้ปกปิดใบหน้าจนมิด ก่อนจะวิ่งตามแวนดอลไป
    เสียงหลอดไฟนับหมื่นดวงบนหอไอเฟล ส่องสว่างให้กับเมืองปารีส แต่มันไม่ได้สว่างมากพอที่จะทำให้เห็นชายสองคนในชุดดำได้ง่ายๆ เกรฟกับแวนดอลมาหยุดอยู่ที่อาคารอพาร์ตเมนท์นึงที่อยู่ใกล้ๆกับอาคารของ Guillotine ทั้งสองอาศัยบันไดหนีไฟด้านข้างตัวอาคารในการปีนให้ถึงชั้นดาดฟ้าที่เป็นหลังคาแบน

    “เอาล่ะ” แวนดอลนั่งลงข้างๆกับเครื่องระบายอากาศ โดยมีเกรฟตามมาติดๆ “เราจะเข้าประตูบันไดบนดาดฟ้า หวังว่าคงไม่มีใครอยู่นะ”

    เกรฟพยักหน้า มองดูอาคาร Guillotine ที่เป็นหลังคาเรียบแบนที่นั้นมีเครื่องระบายอากาศ 2-3 เครื่องและมีช่องทางเดินทางไฟอยู่อีก 2 ช่องและห้องบันไดฉุกเฉินที่มีประตูเหล็กเก่าๆ ผ่านโลกสีเขียวของไนท์วิสชั่นที่ว่ากันว่า ทำให้มองตอนกลางคืน เห็นเหมือนตอนกลางวัน

    แวนดอลค่อยๆเคลี่อนตัวไป โดยมีเกรฟคอยระวังหลัง เนื่องจากควมมืดมิด หูจึงการเป็นอวัยวะในการรับรู้ อันดับแรกๆ เกรฟพยายามเงื้อหูฟังเสียงต่างๆที่พอจะได้ยิน จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าเล็กๆดังมาจากเบื้องหน้า

    “หยุด!” แวนดอลพูดเบาๆพร้อมกับชี้ปืนไปทางร่างของคนเล็กด้านหน้า เกรฟเข้าประกบด้านข้างและเล็งไปทางนั้น เห็นเป็นคนที่น่าจะเป็นผู้หญิงกำลังยกมือทั้งสองข้างอยู่

    “เฮ้ เดี๋ยวนะ...” เกรฟที่มองผ่านไนท์วิสชั่น เห็นผู้ที่อยู่เบื้องหน้า แม้จะไม่ชัดมาก แต่ก็รู้ว่าเป็นใคร

    “เบียทริซ เธอมาทำบ้าอะไรที่นี้”

    เบียทริซที่ยกมืออยู่ ค่อยๆลดมือลงหลังจากได้ยินเสียงของเกรฟ

  17. #39
    ชอบดูไม่ชอบโพสต์
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    80
    กล่าวขอบคุณ
    15
    ได้รับคำขอบคุณ: 47
    025 : Night Raid

    “ชั้นก็แค่สงสัย ว่าคุณเป็นใครกันแน่น่ะ เกวริล” เบียทริซยังคงยืนยันคำเดิม ขณะที่เธอมาแอบดักเกรฟ ซึ่งเธอก็มาถูกที่ ถูกเวลาเกินไป

    “ไม่ๆ เบียทริซ เธอไม่ควรจะ...” เกรฟพยายามจะอธิบายกับเธอ แต่ไม่รู้ว่าจะใช้เหตุผลอะไร

    “ยังไงซะ เธอต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ กลับไปซะ”

    “ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง? เกรวิล ขอโทษนะแต่ชั้นให้ข้อมูลพวกคุณ แล้วถ้าพวกคุณเป็นผู้ก่อการร้ายล่ะ”

    “นี่ เธอ !” แวนดอลกล่าวขึ้น “ถ้าเธออยากรู้เรื่องนักล่ะก็ ได้ เราเป็นทหารรับจ้าง แล้วพวกเราถูกไอ้เด็กที่ เคย เป็นใต้สังกัดของที่นี้โจมตี แค่นั้นก็พอแล้ว”

    “แล้วพวกคุณมาทำอะไร ล้างแค้นหรอ ?!”

    “ให้ตายสิ ถ้ามาล้างแค้น สาบานเลยชั้นไม่มากันแค่นี้หรอก”

    “แค่รู้ไว้ ก็พอว่าพวกเราไม่ใช่คนเลว เอาล่ะ เธอรีบกลับไปซะ” เกรฟเกลี่ยกล่อมเบียทริซ

    “ไม่ ชั้นจะรออยู่ที่นี่แหละ” เธอยืนยัน

    เกรฟส่ายหน้าก่อนจะหันไปหาแวนดอล ที่ดูท่าทางจะเบื่อเต็มทน

    “จะทำยังไงล่ะ แวนดอล” เกรฟหมดปัญญา

    “ชั้นก็ไม่รู้ แต่เดาได้แน่ๆว่าเธอไม่รออยู่เฉยๆแน่” แวนดอลกล่าวอย่างกวนๆ “เด็กนายแสบใช่เล่นนะ”

    “เราให้เธอตามไปไม่ได้หรอกนะ มันอันตรายเกินไป”

    “นี่ หนุ่มๆ ชั้นเคยทำงานที่นั้นนะ ชั้นดูแลตัวเองได้แหละน่า” เบียทริซพูดแทรกขึ้นมา “ถ้าพวกคุณจะเข้าที่นั้นล่ะก็ ชั้นแนะนำ หน้าต่างห้องเก็บของชั้น 3 นะ เพราะเข้าง่าย และอยู่ในตัวอาคารหลักพอดี”

    “....” แวนดอลเงียบไปครู่นึง “เธอมั่นใจนะ ว่าจะดูแลตัวเองได้”

    เกรฟตั้งใจจะพูดห้ามแต่ว่า ทั้งแวนดอลและเบียทริซก็หัวรั้นพอๆกัน

    “แน่นอน ชั้นมั่นใจ”

    หน้าต่างแบบบานเลื่อนแนวนอนขนาดเล็กที่ใหญ่พอที่จะให้คนๆนึงลอดผ่านเข้าไปได้อย่างสบายๆถูกเปิดออกโดยเบียทริซ ก่อนที่จะลอดเข้ามาในห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยลังกระดาษเก็บของและฝุ่นหนาเตอะ เกรฟและแวนดอลค่อยๆลอดตามมาทีละคน โดยทันทีที่เท้าแตะพื้น เกรฟค่อยๆเปิดประตูที่ไม่ได้ล๊อคแล้วออกไปเฝ้าระวังด้านนอก ซึ่งเป็นส่วนขวาสุดของชั้น 3 มันมืดและไร้ซึ่งการป้องกัน

    “โดยปกติ พวกยามจะอยู่กันเยอะที่ชั้น 1 บริเวณทางเข้า และจุดใหญ่จะอยู่ที่โรงจอดรถด้านหลัง ทุกๆชั้นจะมีการเปิดไฟในจุดสำคัญและจะมียามเฝ้าชั้นล่ะ 5-6 คน”

    “เป็นข้อมูลที่ดีหนูน้อย” แวนดอลตบเบาๆบนหัวเธอ “แต่ชั้นต้องการแหล่งข้อมูล อะไรก็ได้ที่มันไม่เกี่ยวกับเซริฟเวอร์”

    “ถ้างั้น คุณก็น่าจะลองถามฟรานซิสเองเลย” เบียทริซกล่าว “เขามักจะอยู่ที่นี่จนดึก ตอนนี้อาจจะยังอยู่ในห้องก็ได้”

    “งั้นงานนี้ คงมีคนได้เข้าโรง’บาลยาวแน่ๆ” เกรฟกล่าว

    “ชั้นก็ ว่างั้นล่ะ ไปเร็ว!” แวนดอลกล่าวแล้วออกเดินนำ

    ทั้งสามค่อยๆออกเดินไปตามห้องทำงานที่เป็นออฟฟิศขนาดยาว แวนดอลใช้ผนังระหว่างโต๊ะทำงานเป็นที่กำบังดูเหมือนว่า ยามที่นี่จะน้อยกว่าที่อื่นๆ และการเล็ดลอดเข้ามาก็ดูง่ายกว่าที่ควรจะเป็น ห้องของฟ
    รานซิสทีอยู่ชั้นนี้ ห่างออกไปไม่ไกลนัก แวนดอลเดินเร็วเข้าไปที่โต๊ะเลขาก่อนจะส่งสัญญาณให้เบียทริซตามมาโดยมีเกรฟอยู่รั้งท้ายเพื่อเฝ้าระวังด่านหลัง

    “....มันอยู่ที่นี้ ที่ปารีส” แม้จะเบาแต่พวกเขาที่อยู่ด้านนอกก็ได้ยิน เสียงของผู้ชายที่ทุ้มแปลกๆที่เหมือนกับถูกดัดแปลงดังออกมาจากห้องของฟรานซิสที่ยังเปิดไฟสว่าง

    “มันที่ว่านี้ หมายถึง ไอ้ครอสกับเพื่อนมันนะเหรอ?” เสียงของฟรานซิสดังขึ้น “มันมากัน 2 คนครับ คุณเฮ็คเตอร์”

    “2 งั้นเหรอ อืม...แล้วนายเตรียมต้อนรับมันรึยังล่ะ” เสียงของชายที่ถูกเรียกว่า เฮ็คเตอร์ ถามกลับ

    “ครับ ผม- เฮ้ย!!” เกรฟไม่อาจห้ามได้ทัน แวนดอลถีบประตูเข้าไปแล้วเล็งปืนไปที่ฟรานซิสที่นั่งอยู่ในห้องเพียงคนเดียว มีเพียงคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปขนาดเล็กที่เปิดอยู่

    “หมอบลงกับพื้น!” แวนดอลร้องบอก ฟรานซิสจำต้องทำตาม ตามที่แวนดอลกล่าว ถึงแวนดอลจะสวมโม่งคุมหน้า แต่ฟรานซิสกลับรู้ว่าเขาเป็นใคร

    “แกเองเหรอะ ครอส...” ฟรานซิสยิ้ม เกรฟที่ตามเข้ามาโดยให้เบียทริซรออยู่ด้านนอก เริ่มเปิดลิ้นชักที่โต๊ะทำงานของฟรานซิส

    “แกกำลังหาอะไรล่ะ ไอ้รัสเซีย แฟ้มของดันเต้เหรอะ” ฟรานซิสที่ก้มลงหมอบกับพื้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ชั้นไม่โง่เก็บของแบบนั้นเอาไว้หรอก กันพวกแกสืบสาวต้นตอได้ยังไงล่ะ”

    “งั้นแกก็รู้ว่า มันทำงานให้ใครอยู่!” แวนดอลกระทืบลงไปที่หลังของฟรานซิส “บอกชั้นดีๆ หรือไม่ ชั้นจะทำให้แกบอกเอง!”

    “ช่างดุร้ายและเดือดดาษตามที่เขาว่ากันจริงๆ” เสียงของเฮ็คเตอร์ดังมาจากคอมพิวเตอร์ เกรฟเปิดดูหน้าจอที่แสดงโปรแกรมทางคุยกันแบบออนไลน์ แต่หน้าจอแสดงคู่สนทนากลับเป็นรูปเครื่องหมายคำถาม

    “อืม....มาที่นี้เพื่อมาตามหาข้อมูลของดันเต้ บลานซ์สินะ” เฮ็คเตอร์กล่าว สร้างเดือดดาษให้กับแวนดอลยิ่งขึ้น “ต้องยอมรับเลยว่า ดันเต้ หรือ เดรคโค่ของพวกนายคงจะสร้างปัญญาให้เยอะพอดูสินะ”

    “เยอะ แต่ไม่มากพอ” เกรฟเป็นฝ่ายพูดขึ้น “ชั้นไม่รู้ว่าแกเป็นใคร ชั้นเดาว่าเป็นผู้สนับสนุนของอัซรามงั้นสิ”

    “อ้า...เกวริล เดมอนเชฟ ชายหนุ่มผู้ทำลายฐานทัพลับของชั้น ฮึๆ” ในน้ำเสียงของเฮ็คเตอร์มีเพียงความหยิ่งยโสและดูถูก “อัซรามก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของแผนของชั้น Azure Wolf เอ๋ย...พวกแกช่างโง่เขลา
    นัก”

    “ว่าไงนะ!? ไอ้เปรต!!” แวนดอลตระโกนอย่างเดือดดาษ “พวกแกวางแผนอะไรอยู่กันแน่!!!”

    “หึๆๆ ครอส...ชั้นคิดว่า คนที่จะตอบคำถามนั้นให้แกได้ คือ จอห์นสัน เจค็อบ มากกว่านะ”

    เฮ็คเตอร์หัวเราะอย่างวิกลจริตก่อนที่เขาจะตัดการสื่อสารไป

    “....เกรฟ เก็บคอมพ์เวรนั้นไปด้วย เราต้องรู้ว่า มีอะไรในนั้นบ้าง” แวนดอลสั่งเกรฟ

    เกรฟพยักหน้า สุดท้าย พวกเขาก็ยังไม่ได้อะไรเมื่อเดิม นอกจากรับรู้การมีตัวตนของชายที่ชื่อว่า เฮ็กเตอร์ ซึ่งตัวเกรฟเองก็มั่นใจว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด

    “อย่าร้องไห้ไปเลย ฮ่าๆๆๆ” ฟรานซิสหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ในจังหวะนั้นที่เบียทริซที่รออยู่ด้านนอกค่อยๆเดินเข้ามา

    “เบียทริซ งั้นรึ?” ฟรานซิสยิ้ม “เธอช่วยพวกนี่ งั้นสินะ”

    “ฟรานซิส ชั้น...” เบียทริซพยายามจะพูด แต่เกรฟก็ยกมือขึ้นแล้วส่ายมือเป็นเชิง อย่าใส่ใจ

    “พวกแกมาได้แค่นี้แหละ ฮ่าๆๆ-” ฟรานซิสหัวเราะอีกครั้งก่อนจะโดนแวนดอลใช้สันมือสับเข้าที่ท้ายทอยจนสลบในครั้งเดียว

    “ไอ้*****นี่ น่ารำคาญเป็นบ้า” แวนดอลกล่าว “ไปกันเถอะ”

    เกรฟพยักหน้า เขาโอบเบียทริซที่เดินอยู่ข้าง ทั้งสามกำลังจะตรงไปที่บันไดซึ่งจะนำพวกเขาไปที่ดาดฟ้า เกรฟหันออกไปมองด้านนอกของเมืองปารีส ผ่านนอกหน้าต่างออกไป ที่อาคารที่กำลังก่อสร้างด้านน
    อกที่มีนั่งร้านก่อสร้างอยู่ตลอดแนว ก่อนที่แสงสีแดงจะวิ่งผ่านตาเขาไปอย่างรวดเร็ว เกรฟสลัดความคิดอื่นๆออก ก่อนที่จะรีบเอามือก้มหัวเบียทริซลง

    “หมอบลง!!” เกรฟร้องบอกแวนดอล ทันที ในจังหวะที่แสงเลเซอร์สีแดงนับสิบจะสาดส่องเข้ามาจากด้านนอก เสียงกระจกหน้าต่างที่ถูกทุบจนแตกจากภายนอกพร้อมกับวัตถุทรงกระบอกที่ถูกโยนเข้ามา

    “ซุ่มโจมตี!!” เกรฟร้องพลางกับใช้มือขวาจับมือของเบียทริซไว้ให้แน่นที่สุด


 

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •  
Back to top